127
5.2 จดุ เนน้ ท่ีแตกต่างกันของการประเมนิ หลักสูตรกบั การประเมินการเรียนการสอน
การประเมินหลักสูตรกับการประเมินการเรียนการสอนมีลักษณะร่วมกันและมีจุดเน้น
ทแ่ี ตกตา่ งกันวิเคราะหไ์ ดด้ ังตารางต่อไปน้ี
ตาราง 2 จดุ เน้นท่แี ตกตา่ งกันระหวา่ งการประเมินการเรียนการสอนกับการประเมนิ หลกั สตู ร
ประเภทการประเมิน จุดมุง่ หมาย ผใู้ หข้ อ้ มลู การนาผลการประเมนิ ไปใช้
การประเมนิ หลักสตู ร
เพ่อื ตรวจสอบคุณภาพ - ผูส้ อน - ปรับปรุงหรือเปล่ยี นแปลงเนื้อหาสาระ
ของหลักสตู รทัง้ ระบบ - ผู้เรยี น ของหลักสตู ร
ทั้งวัตถปุ ระสงค์ - ผูบ้ ริหาร - ปรบั ปรุงการบริหารจดั การหลกั สูตร
การจดั การเรยี นการสอน - ผ้ปู กครอง และการวางแผนวิชาการ
และการประเมินผล - ชุมชน - ปรับปรุงการจัดการเรียนการสอน
และประเดน็ อนื่ ๆ - ผเู้ ช่ียวชาญ - ปรบั ปรงุ การวดั และประเมินผล
ทเ่ี กย่ี วข้อง - พัฒนาศักยภาพทางวิชาการของบุคลากร
- ปรบั ปรุงประเด็นๆ อ่ืน ท่ีเกยี่ วขอ้ งกบั
การประเมนิ การเรียนการสอน เพอ่ื ตรวจสอบคณุ ภาพ - ผสู้ อน การพัฒนาคุณภาพวชิ าการของหลักสูตร
ของการจัดการเรยี น - ผ้เู รียน - วินิจฉัยความเขา้ ใจทคี่ ลาดเคลือ่ น
การสอนของหลกั สตู ร - ผบู้ ริหาร ของผู้เรียน
- ผู้ปกครอง - ใหค้ วามช่วยเหลอื ทางวชิ าการแก่ผูเ้ รยี น
- ปรบั ปรุงการจัดการเรยี นการสอน
- ปรบั ปรุงสือ่ การเรยี นรู้ / แหลง่ การเรยี นรู้
- ปรับปรงุ การวดั และประเมินผลการเรียนรู้
- ปรับปรงุ ประเดน็ อื่นๆ ทเี่ ก่ยี วข้องกับ
การจัดการเรียนการสอน
128
5.3 ความสัมพันธ์ระหว่างสารสนเทศจากการประเมินหลักสูตร สู่การปรับปรุง
หลักสูตร การเรยี นการสอน และคณุ ภาพผเู้ รียน
หลักสูตรและการเรียนการสอนเป็นส่ิงท่ีมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด การปรับปรุง
หลักสูตรย่อมจะต้องส่งผลต่อการเรียนการสอนไม่ทางใดก็ทางหน่ึง ในขณะเดียวกันการจัดการเรียน
การสอนก็ส่งผลโดยตรงต่อหลักสูตรในแง่ของเป็นกลไกขับเคล่ือนหลักสูตรให้บรรลุเปูาหมาย คือ
คุณภาพของผเู้ รียน ดังแผนภาพต่อไปน้ี (Oliva and Gordon. 2013)
หลกั สตู ร การเรยี นการสอน
แผนภาพ 12 ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งหลกั สูตรและการเรยี นการสอน
ดังน้ันสารสนเทศจากการประเมินหลักสูตรจึงเป็นสิ่งท่ีสาคัญมาก หากผลการประเมิน
มีความถูกต้องและครอบคลุมแล้ว ย่อมทาให้การตัดสินใจปรับปรุงหลักสูตรเป็นไปอย่างถูกต้อง
ตรงประเด็นและการตัดสินใจดังกล่าวจะส่งผลกระทบไปที่การจัดการเรียนการสอนและคุณภาพของ
ผ้เู รียนในทีส่ ดุ ดังแผนภาพต่อไปนี้
129
สารสนเทศ การปรบั ปรุง การปรับปรุง คุณภาพผเู้ รยี น
จากการ หลกั สตู ร การเรยี นการสอน ที่ดขี ้นึ
ประเมินหลกั สูตร
แผนภาพ 13 ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสารสนเทศจากการประเมนิ หลกั สตู ร ส่กู ารปรับปรุงหลักสูตร
การเรยี นการสอนและคณุ ภาพผเู้ รยี น
5.4 องค์ประกอบของการประเมินการเรียนการสอน
องค์ประกอบของการประเมินการเรียนการสอน มี 2 มิติ ได้แก่ 1) การประเมินกระบวนการ
จัดการเรียนการสอน และ 2) การประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยท่ีการประเมินเรียนการสอน
เป็นหัวใจของการดารงรกั ษาและพัฒนาคุณภาพการจดั การศึกษาในทกุ หลกั สตู ร มสี าระสาคัญดังตอ่ ไปน้ี
1) การประเมินกระบวนการจัดการเรยี นการสอน
เป็นการประเมินที่มุ่งข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับกระบวนการวางแผน การดาเนินการ
จัดการเรยี นการสอน การวัดและประเมินผล ว่ามีประสิทธิภาพเพียงใด เป็นการประเมินที่ทาได้ทั้งแบบ
เป็นทางการ และไม่เปน็ ทางการ สารสนเทศจากการประเมินสามารถนามาปรับปรุงกระบวนการจัดการ
เรียนการสอนได้ทันที โดยมีการใช้เคร่ืองมือการประเมินท่ีหลากหลาย เช่น การใช้แบบสอบถามความ
คิดเห็นที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน ดังตัวอย่างแบบสอบถามคุณภาพการจัดการเรียนการสอน
ตอ่ ไปนี้ (มารุต พฒั ผล. 2554ก)
130
แบบสอบถามคณุ ภาพการจัดการเรยี นการสอน
วัตถุประสงค์ เพอื่ ให้ผตู้ อบแบบสอบถามให้ข้อมลู เก่ยี วกบั การจัดการเรียนการสอนของหลกั สูตร
พุทธศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวปิ สั สนาภาวนา วทิ ยาเขตบาฬศี กึ ษาพุทธโฆษ นครปฐม
คาช้ีแจง โปรดทาเคร่ืองหมาย ลงในช่องระดับการปฏิบัติให้ครบทกุ รายการ
ระดบั การปฏิบตั ิ
รายการ นอ้ ย น้อย ปาน มาก มาก
ทีส่ ดุ กลาง ทสี่ ุด
1. จัดกระบวนการเรียนรู้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัด
และความต้องการของผู้เรียน
2. จดั กระบวนการเรยี นรู้ทีส่ ่งเสรมิ ให้ผู้เรียนมกี ารศึกษา
คน้ คว้าความรู้ดว้ ยตนเอง
3. ใชว้ ิธกี ารจดั การเรียนการสอนอย่างหลากหลาย เช่น
การบรรยาย การอภิปราย การสมั มนา การวจิ ยั เปน็ ฐาน
4. กระบวนการเรียนรู้ได้ใชแ้ หลง่ การเรยี นรตู้ า่ งๆ มาสนบั สนนุ
5. กระบวนการเรยี นรู้มุ่งพฒั นาความรู้ทางวิชาการ
ทักษะปฏิบัติและคุณลกั ษณะท่ีพึงประสงคค์ วบคกู่ นั
6. กระบวนการเรียนรูเ้ น้นการเช่ือมโยงองค์ความรู้
ทางพระพทุ ธศาสนากบั ปรากฏการณท์ างสังคม
7. กระบวนการเรียนรู้กระตนุ้ ใหผ้ ้เู รียนคดิ วเิ คราะห์
8. กระบวนการเรยี นรสู้ ่งเสริมใหผ้ เู้ รียนมกี ารแลกเปลย่ี นเรยี นรู้
9. กระบวนการเรยี นรู้สง่ เสริมใหผ้ ู้เรยี นพฒั นาตนเองอยา่ งต่อเน่ือง
10. มกี ารนาผลการวิจยั ต่างๆ มาประกอบการเรยี นรู้
131
ระดับการปฏบิ ตั ิ
รายการ นอ้ ย น้อย ปาน มาก มาก
ที่สุด กลาง ที่สุด
11. ผ้เู รียนได้ปฏบิ ตั ิการวจิ ยั เป็นสว่ นหนง่ึ ของกจิ กรรมการเรยี นรู้
12. ใชส้ ื่อการเรยี นการสอนสอดคล้องกับเน้ือหาสาระ
13. ผูส้ อนเอ้อื อานวยความสะดวกในเรยี นรใู้ ห้กับผ้เู รยี น
โดยใชว้ ิธกี ารต่างๆ เชน่ ใหค้ าแนะนา ให้ความชว่ ยเหลือ
ขอ้ เสนอแนะเพ่ิมเตมิ เพ่ือการพัฒนาคณุ ภาพการเรียนการสอน
1. ............................................................................................................................. .................................
2. ..............................................................................................................................................................
3. ............................................................................................................................. .................................
4. .................................................................................................................................................... ..........
5. ..............................................................................................................................................................
132
แบบสอบถามความคดิ เหน็ ทม่ี ีตอ่ การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้
วัตถุประสงค์ เพอื่ ใหผ้ ูต้ อบแบบสอบถามให้ขอ้ มูลเกยี่ วกบั การวดั และประเมินผลการเรียนรู้
ของหลกั สูตรพุทธศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิปสั สนาภาวนา วทิ ยาเขตบาฬีศึกษา
พุทธโฆษ นครปฐม
คาชแี้ จง โปรดทาเครอ่ื งหมาย ลงในช่องระดบั การปฏิบตั ิให้ครบทกุ รายการ
ระดับการปฏิบตั ิ
รายการ นอ้ ย นอ้ ย ปาน มาก มาก
ทีส่ ุด กลาง ทสี่ ดุ
1. ใช้วิธีการวัดผลการเรียนรู้อยา่ งหลากหลาย เชน่
การสังเกต การทดสอบ การประเมนิ ตนเอง การตรวจผลงาน
2. ใช้ผู้ประเมินจากบุคคลหลายฝาุ ย เช่น ผู้สอน เพ่อื น
ผู้เรียน ผู้เกย่ี วข้อง
3. ดาเนินการประเมินผลกอ่ นการเรียนรู้ เพ่อื วินจิ ฉยั
ความพร้อมในการเรยี นรขู้ องผ้เู รียน ดว้ ยวธิ ีการตา่ งๆ
เช่น การสอบถาม การใชแ้ บบทดสอบ
4. ดาเนนิ การประเมนิ ผลระหว่างการเรยี นรู้ควบคกู่ ับการจดั
การเรียนการสอน เช่น การตรวจสอบผลงาน การสังเกต
5. ดาเนนิ การประเมินผลหลังการเรียนรู้ เช่น การทดสอบ
การปฏบิ ัตงิ าน การทารายงานทางวิชาการ
6. ดาเนนิ การประเมินผลการเรียนรเู้ พอ่ื ตรวจสอบ
กระบวนการเรียนรู้ (process) ของผูเ้ รยี น
7. ดาเนินการประเมนิ ผลการเรยี นรเู้ พือ่ ตรวจสอบผลผลติ
ของการเรยี นรู้ (product) ของผเู้ รยี น
133
ระดับการปฏบิ ตั ิ
รายการ น้อย นอ้ ย ปาน มาก มาก
ทีส่ ดุ กลาง ทส่ี ดุ
8. ดาเนนิ การประเมนิ ผลการเรยี นรเู้ พอื่ ตรวจสอบ
ความก้าวหน้าในการเรยี นรู้ (progress) ของผูเ้ รยี น
9. ผู้เรียนมสี ว่ นร่วมในการกาหนดเกณฑก์ ารประเมนิ
10. มีการสะท้อนผลการประเมนิ ส่ผู ้เู รียนดว้ ยวิธีการตา่ งๆ
เช่น การที่ผู้สอนนาผลการประเมนิ มาแจง้ ในช้นั เรยี น
การนาผลการประเมินมาปรับปรงุ กจิ กรรมการเรียนการสอน
ข้อเสนอแนะเพิ่มเตมิ เพอื่ การพฒั นาคุณภาพการวดั และประเมินผลการเรียนรู้
1. ............................................................................................................................. .................................
2. ..............................................................................................................................................................
3. ............................................................................................................................. .................................
4. .................................................................................................................................................... ..........
5. ..............................................................................................................................................................
134
2) การประเมินผลการเรยี นรู้ของผู้เรียน
เป็นการประเมินท่ีมุ่งหาข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับผลการเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น ความรู้
ความสามารถ สมรรถนะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ เป็นต้น สารสนเทศจากการประเมินจะนาไปสู่
การปรบั ปรุงกระบวนการจัดการเรียนการสอนท่ีสอดคล้องกับความต้องการ ความสนใจ และความถนัด
ของผู้เรยี น โดยใชเ้ คร่อื งวิธีการและเครอ่ื งมือทมี่ คี ณุ ภาพ สอดคล้องกับการเรียนรูใ้ นสภาพจริง
การประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนสามารถจาแนกออกได้เป็น 2 ประเภทได้แก่
การประเมนิ แบบก้าวหน้า (formative evaluation) และการประเมินแบบรวบยอด (summative
evaluation) ซ่ึง Scriven (1967) ผู้เช่ียวชาญด้านการประเมินได้เสนอวิธีการประเมินที่มีจุดเน้น
แตกต่างกัน ไว้ 2 วิธี ได้แก่ การประเมินแบบก้าวหน้า และการประเมินแบบรวบยอด ซ่ึงการประเมิน
ดังกล่าวได้นามาใช้ในการประเมินการเรียนการสอนเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามยังสามารถนาแนวคิด
มาปรับใช้ในการประเมินหลักสูตรได้ด้วย โดยการประเมินแบบก้าวหน้าในมิติของการประเมิน
หลักสูตร หมายถึงการประเมินที่เกิดขึ้นระหว่างการใช้หลักสูตร ส่วนการประเมินแบบรวบยอด
หมายถึงการประเมินเม่ือเสรจ็ ส้นิ การใชห้ ลกั สตู ร
การประเมินแบบก้าวหน้า มุ่งเน้นการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนระหว่าง
การจัดการเรียนรู้ เพ่ือการปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนการสอน และพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน
อย่างต่อเนื่อง การประเมินแบบก้าวหน้าเป็นการประเมินที่ดาเนินการอย่างต่อเน่ือง (ongoing)
จุดเน้นของการประเมินแบบก้าวหน้าคือการปรับปรุงและพัฒนา (improvement and
development) ช่วยทาให้ผสู้ อนมีขอ้ มลู สารสนเทศทีส่ ามารถนามาปรับปรุงและพัฒนาการดาเนินการ
ต่างๆ ท้ังที่เป็นจุดอ่อนและจุดแข็งของการจัดการเรียนการสอนได้ทันทีและมีการสะท้อนผลการ
ประเมิน (reflection) โดยใชข้ อ้ มลู เชงิ ประจักษม์ าสนบั สนนุ ใช้วธิ กี ารที่สร้างสรรค์นาไปสู่การปรับปรุง
ผเู้ รียนใหม้ ีคณุ ภาพมากข้นึ
135
การประเมินวินิจฉัย (diagnostic evaluation) เป็นการประเมินท่ีมี
จุดมุ่งหมายเพ่ือตรวจสอบความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน (misconceptions) ของผู้เรียน รวมทั้งการ
จัดลาดบั ความรูค้ วามสามารถของกลมุ่ ผู้เรยี น (placement) ก่อนเร่ิมดาเนินการจัดการเรยี นการสอน
การประเมินแบบรวบยอด เป็นการประเมินเมื่อเสร็จส้ินการจัดการเรียน
การสอนเพ่ือตรวจสอบผลการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ของผู้เรียนด้วย การใช้
เครื่องมือวัดท่ีมีคุณภาพ เช่น แบบทดสอบ แบบประเมินผลงาน แบบประเมินสมรรถนะ เป็นต้น มีการ
สะทอ้ นผลการประเมนิ และนามาปรบั ปรุงและพัฒนาคณุ ภาพผู้เรียนรวมท้ังคุณภาพการจัดการเรียนการ
สอนต่อไป
ความสัมพันธ์ระหว่างการประเมินแบบก้าวหน้า การประเมินแบบรวบยอดและการ
สะทอ้ นผลการประเมนิ สรุปไดด้ ังแผนภาพตอ่ ไปนี้
การจัดการเรียนการสอน การประเมินแบบรวบยอด
และการสะทอ้ นผล
การประเมินแบบก้าวหน้า / การประเมนิ วินจิ ฉัย
และการสะทอ้ นผล เสรจ็ ส้ินการจัด
การเรยี นการสอน
แผนภาพ 14 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการประเมินแบบกา้ วหนา้ การประเมินแบบรวบยอด
และการสะทอ้ นผลการประเมนิ
136
การประเมนิ ท้ัง 3 ลกั ษณะ สามารถนามาใช้ในการประเมนิ การเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทาให้มีสารสนเทศสาหรับนาไปพัฒนาผู้เรียนอย่างต่อเน่ือง อย่างไรก็ตามการประเมินทั้ง 3 ลักษณะ
มคี วามแตกตา่ งกันตามจดุ เนน้ ดงั ตอ่ ไปน้ี
ตาราง 3 การวิเคราะหค์ วามแตกต่างระหวา่ งการประเมินแบบกา้ วหนา้ การประเมินเพอื่ วนิ จิ ฉัย
และการประเมนิ รวบยอด
ประเด็นการวิเคราะห์ การประเมินแบบก้าวหนา้ การประเมินวนิ จิ ฉัย การประเมนิ รวบยอด
หน้าทข่ี องการประเมิน
- ตรวจสอบกระบวนการ - ตรวจสอบความรู้ ทักษะ - ตรวจสอบผลการเรยี นรู้
จดุ เน้นของการประเมิน
เรยี นรูข้ องผ้เู รยี น พ้ืนฐานของผูเ้ รยี น หลงั การจัดการเรียนรู้
- ตรวจสอบความรู้ ทักษะ กอ่ นเร่ิมกจิ กรรม - ตรวจสอบการบรรลุ
และคณุ ลักษณะ การจดั การเรยี นรู้ มาตรฐานการเรยี นรู้
ของผเู้ รยี นระหว่าง - จดั ลาดับความรู้ ของผเู้ รยี น ภายหลงั
การเรยี นรู้ ความสามารถของผ้เู รยี น การจดั การเรียนรู้
- ให้ขอ้ มูลยอ้ นกลับ เพื่อการออกแบบ - ให้ขอ้ มูลยอ้ นกลบั
เพอื่ การพัฒนาตนเอง กจิ กรรมการเรียนรู้ เพื่อการพัฒนาผเู้ รียน
ของผเู้ รยี น - ตรวจสอบความเขา้ ใจ - ให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลับ
- ให้ข้อมูลย้อนกลบั ต่อการ ท่ีคลาดเคล่อื นของผู้เรียน เพ่ือการพัฒนาคณุ ภาพ
ปรบั ปรุงกระบวนการ ของการจดั การเรยี นรู้
จัดการเรยี นรู้
- การรคู้ ดิ ความรู้ ทกั ษะ - การรคู้ ิด ความรู้ ทักษะ - การร้คู ิด ความรู้ ทักษะ
และคณุ ลักษณะ และคุณลักษณะ และคุณลกั ษณะ
ของผ้เู รียน ระหว่าง ของผเู้ รียน ของผเู้ รยี น
การจัดการเรยี นรู้ ก่อนการจดั การเรียนรู้ หลงั การจัดการเรยี นรู้
137
ตาราง 3 การวเิ คราะหค์ วามแตกต่างระหว่างการประเมนิ แบบกา้ วหน้า การประเมนิ เพอื่ วนิ จิ ฉยั
และการประเมินรวบยอด (ตอ่ )
ประเด็นการวิเคราะห์ การประเมนิ แบบก้าวหนา้ การประเมินวนิ ิจฉัย การประเมินรวบยอด
ชว่ งเวลาของการประเมิน
- ประเมินอย่างต่อเนอื่ ง - ประเมินก่อนเร่ิมทาการ - ประเมินภายหลงั
วิธกี ารประเมนิ เปน็ ชว่ งเวลา จัดการเรียนรู้ เสรจ็ ส้ินการจดั การ
(ท่ใี ช้กนั โดยทวั่ ไป) หลายๆ ครั้ง ในระหวา่ ง - ประเมนิ ระหวา่ งการจดั เรยี นรู้
การจัดการเรยี นรู้ การเรียนรู้ ในกรณีท่ี
ผ้เู รียนเกดิ ความเข้าใจ - การทดสอบโดยใช้
- การทดสอบโดยใช้ ทค่ี ลาดเคลอ่ื น แบบทดสอบ
แบบทดสอบชนดิ ตา่ งๆ - การทดสอบโดยใช้ วัดผลสมั ฤทธิ์
ทผี่ สู้ อนพัฒนาข้นึ แบบทดสอบวินิจฉัย ที่มมี าตรฐาน
ด้วยตนเอง (diagnosis test) (standardized test)
- การสงั เกตพฤตกิ รรม ที่ผสู้ อนพัฒนาข้นึ - การทดสอบโดยใช้
ของผเู้ รียน ดว้ ยตนเอง แบบทดสอบชนิดต่างๆ
- การสัมภาษณผ์ เู้ รยี น - การทดสอบโดยใช้ ทผี่ ู้สอนพฒั นาข้ึน
- การสอบถามผเู้ รยี น แบบทดสอบวนิ ิจฉัย ด้วยตนเอง
- การประเมินตนเอง ท่ีมีมาตรฐาน - การตรวจสอบชิ้นงาน
ของผู้เรยี น - การสังเกตพฤตกิ รรม หรอื ผลงานของผเู้ รยี น
- การรายงานตนเอง ของผเู้ รียน - การรายงานตนเอง
ของผ้เู รยี น - การสอบถามผูเ้ รยี น ของผู้เรียน
- การตรวจสอบช้นิ งาน เป็นรายบคุ คล
หรือผลงานของผูเ้ รียน
138
5.5 ประสิทธภิ าพของวิธีการประเมนิ ผลการเรียนรู้
แนวทางการเลือกวิธีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน จากผลการวิจัยของ
Marzano (2000) ทาให้เห็นว่าผู้สอนควรเลือกวิธีการวัดและประเมินผลให้สอดคล้องกับส่ิงท่ีต้องการ
ประเมิน ซง่ึ จะทาให้การประเมนิ มปี ระสทิ ธภิ าพสงู มขี ้อมลู สารสนเทศที่ถูกต้องและสามารถนาไปพัฒนา
ผเู้ รียนเปน็ รายบุคคลได้ต่อไป ดงั ตารางต่อไปน้ี (Marzano.2000: 87)
ตาราง 4 ประสทิ ธภิ าพของวธิ กี ารประเมินผลการเรยี นรู้
วิธีการวดั และประเมินผล / ระดับประสิทธภิ าพของการวัดและประเมนิ ผล
ขอบขา่ ยของ การ การตอบ การตอบ การสอบ การ การสงั เกต การ
การประเมิน ทดสอบ แบบขยาย สนั้ ปากเปล่า ทดสอบ โดยผสู้ อน ประเมนิ
แบบ รายละเอยี ด ภาคปฏบิ ตั ิ ตนเอง
เลือกตอบ โดยผเู้ รยี น
ความรู้ กลาง สูง สูง สูง สูง กลาง สงู
กระบวนการ ต่า กลาง ต่า กลาง สงู สงู สูง
เรียนรู้
การคิด กลาง สูง กลาง สูง สูง ตา่ สูง
การใหเ้ หตผุ ล
การสอ่ื สาร ต่า สงู ตา่ สูง สงู ต่า สงู
คุณธรรม ตา่ ต่า ตา่ ต่า กลาง สูง สงู
จริยธรรม/เจตคติ
139
กล่าวโดยสรุปการประเมินหลักสูตรมีขอบเขตท่ีกว้างขวางและครอบคลุมการประเมิน
การเรียนการสอน การประเมินการเรียนการสอนที่ประกอบด้วยการประเมินจุดประสงค์การเรียนรู้
การประเมินกิจกรรมการเรียนรู้และการประเมินผลการเรียนรู้ เป็นส่วนหน่ึงของการประเมินหลักสูตร
ดงั แผนภาพต่อไปน้ี
การประเมินหลกั สตู ร
การประเมินการเรียนการสอน
จุดประสงค์ กิจกรรม การประเมิน
การเรยี นรู้ การเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้
(การประเมินแบบก้าวหน้า
การประเมินวินิจฉยั
การประเมนิ รวบยอด)
แผนภาพ 15 ระบบการประเมินการเรียนการสอนทเี่ ป็นสว่ นหนึง่ ของการประเมนิ หลกั สตู ร
140
5.6 นวัตกรรมการประเมินการเรียนการสอนและการประเมินผลการเรยี นรู้
ของผู้เรยี น
ในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมาได้มีนวัตกรรมการประเมินการเรียนการสอนซึ่งสามารถนาไป
ประยุกตใ์ ช้ในการประเมนิ การเรยี นการสอนได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ดังต่อไปน้ี
1) รปู แบบการประเมินผลผลการเรียนรู้ทีเ่ สริมพลงั ตามสภาพจริง
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นหัวใจสาคัญของการพัฒนาคุณภาพ
ของผู้เรยี นทผี่ ู้สอนจะต้องดาเนินการประเมนิ อยา่ งเปน็ ระบบ ใช้วิธกี ารที่มีประสิทธิภาพและใช้เคร่ืองมือ
ที่มีคุณภาพ และนาผลการประเมินมาพัฒนาผู้เรียนรวมทั้งปรับปรุงกระบวนการจัดการเรียนรู้ให้มี
คุณภาพอยา่ งต่อเน่อื ง
การประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยท่ัวไปจะมีขอบเขตการประเมิน
3 ด้าน ประกอบด้วย 1) การประเมินด้านกระบวนการเรียนรู้ (learning process) มุ่งเน้นการ
ประเมินความสามารถในการสืบเสาะแสวงหาความรู้ การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลให้เป็น
องค์ความร้ขู องตนเอง 2) การประเมินด้านผลการเรียนรู้ (learning outcomes) มุ่งเน้นการประเมิน
ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะของผู้เรียนตามจุดประสงค์การเรียนรู้ภายหลังเสร็จส้ินการจัดการเรียนรู้
3) การประเมินด้านความก้าวหน้าทางการเรียนรู้ (learning progress) มุ่งเน้นการประเมิน
พัฒนาการของผู้เรียนทั้งด้านความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะ ในช่วงเวลาก่อน ระหว่าง และหลังการ
จัดการเรียนรู้ โดยการประเมินทั้ง 3 มิติ มีลักษณะเป็นวงจร (cycle) การประเมินที่เกิดข้ึนในระบบ
การจัดการเรียนรู้โดยมีการนาผลการประเมินมาปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้
อยา่ งต่อเนอื่ ง แสดงไดด้ งั แผนภาพต่อไปน้ี
141
การประเมนิ ดา้ น การประเมิน การประเมนิ
กระบวนการเรียนรู้ ด้านผลการเรยี นรู้ ดา้ นความก้าวหนา้ ทางการเรยี นรู้
การนาผลการประเมนิ มาปรับปรงุ และพฒั นา
แผนภาพ 16 วงจรการประเมินผลการเรยี นร้ขู องผเู้ รยี น
ก า ร ป ร ะ เ มิ น ผ ล ก า ร เ รี ย น รู้ ข อ ง ผู้ เ รี ย น ใ น ปั จ จุ บั น มุ่ ง เ น้ น ก า ร ป ร ะ เ มิ น
ที่เสริมพลังตามสภาพจริง (authentic empowerment assessment) เป็นการประเมินผลการ
เรียนรู้ของผู้เรียนทุกด้านท่ีนาไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์
(creative improvement) โดยการใช้ผู้ประเมินหลายฝุาย ใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลหลายวิธี
การประเมินหลายช่วงเวลา และการสะท้อนผลการประเมินสู่การปรับปรุงและพัฒนาท่ีดาเนินการโดย
ผทู้ เี่ ก่ยี วขอ้ งกับหลกั สูตร ดาเนนิ การประเมนิ และปรับปรุงหลักสูตร จากการสะท้อนผลการประเมินด้าน
ตา่ งๆ ได้ดว้ ยตนเอง
“empowerment evaluation is designed to help people help themselves
and improve their programs using a form of self – evaluation and reflection”
Fetterman. 1996: 5 (อ้างอิงจาก Armstrong. 2003: 274)
142
การประเมินผลการเรียนรู้ท่ีเสริมพลังตามสภาพจริงเป็นส่วนหนึ่งของ
กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ มีการสะท้อนผลการประเมินสู่การ
พัฒนาผู้เรียน การประเมินผลท่ีเสริมพลังตามสภาพจริง เป็นวิธีการประเมินผลที่มีความสาคัญสาหรับ
การวัดและประเมินผล การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนจากข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์
ซึง่ เป็นหลักฐานทางการเรยี นรู้โดยตรง เช่น พฤติกรรมที่แสดงออก ผลงานหรือชิ้นงานแฟูมสะสมผลงาน
เปน็ ต้น
ลักษณะเด่นของการประเมินผลการเรียนรู้ท่ีเสริมพลังตามสภาพจริง
มี 5 ประการไดแ้ ก่ 1) การมงุ่ ประเมินผลงานของผเู้ รียนท่แี สดงถึงศกั ยภาพการเรยี นรู้ในลักษณะองค์รวม
2) การมุ่งประเมินการคิดระดับสูง ทักษะการปฏิบัติงาน ทักษะการเรียนรู้ สมรรถนะและคุณลักษณะ
ที่พึงประสงค์ 3) เป็นการประเมินแบบองค์รวม มากกว่า การประเมินแบบแยกส่วนท่ีมีความสอดคล้อง
กับหลักสูตรและจุดประสงค์การเรียนรู้ 4) เป็นการประเมินที่มีความต่อเนื่องตลอดช่วงเวลาการเรียนรู้
(ongoing) 5) กระตุ้นให้ผู้เรียนเรียนรู้สะท้อนผลการประเมินสู่การพัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ืองและผล
การประเมนิ ตามสภาพจริงจะสะท้อนไปสกู่ ารพัฒนาการจัดการเรียนรขู้ องผู้สอน
การประเมินท่ีเสริมพลังตามสภาพจริงมีหลักการ 4 ข้อ ดังนี้ 1) ใช้ผู้ประเมินหลายๆ ฝ่าย
เช่น ผู้เรียน เพื่อน ตนเอง ผู้ปกครอง ผู้เก่ียวข้อง 2) ใช้วิธีการและเคร่ืองมือหลายๆ ชนิด เช่น
การสังเกตการปฏิบัติจริง การทดสอบ 3) วัดและประเมินหลายๆ ครั้ง ในช่วงเวลาการเรียนรู้ ได้แก่
ก่อนเรียนระหว่างเรียน หลังเรียน ติดตามผล 4) สะท้อนผลการประเมินสู่การปรับปรุงและพัฒนา
ผู้เรียน รวมทั้งปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง สรุปได้ดังแผนภาพต่อไปน้ี
(วิชัย วงษ์ใหญ่ และมารุต พฒั ผล. 2554ก: 138)
143
ตนเอง
ก่อน
การทดสอบ เรยี น การสงั เกต
ระหว่างเรยี น ตดิ ตามผล
การรายงาน หลงั การตรวจ ผสู้ อน
ตนเอง เรยี น ช้นิ งาน ผู้เกีย่ วขอ้ ง
เพอ่ื น
การสะท้อนผลการประเมิน
แผนภาพ 17 รปู แบบการประเมนิ ผลการเรยี นร้ทู เ่ี สริมพลังตามสภาพจริง
โดยท่กี ารประเมนิ ในแต่ละชว่ งเวลามวี ัตถปุ ระสงคท์ ี่แตกต่างกันดังน้ี
การประเมนิ กอ่ นเรยี น
1. ตรวจสอบวา่ ผเู้ รยี นมคี วามรู้ความเขา้ ใจพน้ื ฐานเกย่ี วกับสง่ิ ท่ีจะเรยี นรู้
2. ตรวจสอบวา่ ผู้เรยี นมที กั ษะพน้ื ฐานทจี่ าเปน็ ในการเรียนรู้และการฝกึ ปฏบิ ัติ
3. นาผลการประเมนิ ไปใชส้ าหรบั วางแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรใู้ ห้เหมาะสม
4. ใชเ้ ปน็ ข้อมลู สาหรบั เปรียบเทียบกบั ผลการประเมนิ หลงั เรยี น
144
การประเมนิ ระหว่างเรยี น
1. ตรวจสอบว่าผู้เรียนบรรลวุ ัตถุประสงค์ทีก่ าหนดไว้ ในแตล่ ะขั้นตอน
ของการเรียนรูห้ รอื ไม่
2. ตรวจสอบทักษะกระบวนการฝึกปฏบิ ตั ขิ องผู้เรยี น
3. นาผลการประเมนิ มาพัฒนากิจกรรมการเรยี นรู้ โดยปรับกิจกรรมใหเ้ หมาะสม
กบั ผเู้ รียนรายบุคคล และบรรลจุ ดุ ประสงค์การเรยี นรู้
4. ใชเ้ ป็นขอ้ มลู สาหรับการประเมนิ คร้ังต่อไป
การประเมินหลงั เรยี น
1. ตรวจสอบว่าผู้เรยี นมคี วามรู้ ความเข้าใจ ความสามารถ และความคดิ เก่ยี วกับ
การสง่ิ ท่ีเรียนตามท่กี าหนดไวใ้ นวตั ถปุ ระสงค์หรือไม่
2. ตรวจสอบเจตคติ ความสนใจ ความสขุ ในการเรยี นรู้ และคณุ ลักษณะ
ท่พี ึงประสงค์ของผเู้ รยี น
3. นาผลการประเมินไปพฒั นาผูเ้ รียนและปรบั ปรงุ การจดั การเรียนรู้
การประเมินติดตามผล
1. ตรวจสอบว่าผูเ้ รียนสามารถนาความร้ไู ปเชอ่ื มโยงกับสง่ิ ทีเ่ รยี นรมู้ าแลว้
2. ตรวจสอบว่าผูเ้ รียนสามารถประยกุ ต์ใชค้ วามรู้ ความคดิ แก้ปัญหา
3. นาผลการประเมินไปใชใ้ นการพัฒนาผูเ้ รยี น ปรับปรงุ สาระและกิจกรรม
การเรียนรใู้ นการจดั การเรยี นรู้
145
จากประสบการณ์การพัฒนาความสามารถในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่เสริมพลัง
ตามสภาพจริงให้กับผู้สอนทัง้ ในระดบั การศกึ ษาข้นั พน้ื ฐานและระดบั อดุ มศกึ ษาเป็นระยะเวลากว่า 15 ปี
ที่ผ่านมา พบว่า มีประเด็นเก่ียวกับการประเมินด้านคุณธรรมจริยธรรมซ่ึงบางคร้ังจะมีแนวความคิดว่า
ไม่สามารถวดั ได้ หรือวดั ได้ยาก ผลการวดั ขาดความนา่ เชอื่ ถอื เพราะเป็นเรอ่ื งนามธรรม
ซง่ึ แท้จรงิ แลว้ การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ด้านคุณธรรมจริยธรรม สามารถทาได้ไม่ยาก
เพียงแต่ต้องทาอย่างเป็นระบบข้ันตอนซึ่งจะทาให้ได้เคร่ืองมือวัดท่ีมีคุณภาพและมาตรฐาน สามารถ
นาไปใช้วดั และประเมนิ ผลได้อยา่ งถกู ต้องและนาผลการประเมินมาปรับปรุงและพัฒนามิติด้านคุณธรรม
จริยธรรมของผู้เรียนต่อไป รวมทั้งการปรับปรุงคุณภาพการจัดการเรียนรู้เพ่ือเสริมสร้างคุณธรรม
จรยิ ธรรมใหก้ บั ผู้เรียน
การวัดและประเมินผลด้านคุณธรรมจริยธรรมมีเงื่อนไขสาคัญ 2 ประการ ได้แก่ 1) การใช้
เครื่องมือวัดที่มีคุณภาพและ 2) การดาเนินการวัดที่มีประสิทธิภาพซึ่งการใช้เคร่ืองมือวัดที่มีคุณภาพ
จะต้องสอดคล้องกับธรรมชาติของการมีคุณธรรมจริยธรรมของบุคคลซ่ึงมีวิธีการหน่ึงที่สามารถนามา ใช้
ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง คือการใช้เกณฑ์การให้คะแนน (scoring rubrics) ที่ระบุพฤติกรรมของ
คุณธรรมจริยธรรมท่ีต้องการประเมินเพ่ือให้ได้ผลการประเมินที่ถูกต้อง (validity) คือการที่เคร่ืองมือวัด
น้ันสามารถวัดได้ตรงกับคุณธรรมจริยธรรมที่ต้องการวัด และมีความเป็นปรนัย (objectivity) คือความ
ชัดเจน 3 ประการ ได้แก่ ความชัดเจนของคาถาม ความชัดเจนของการตรวจให้คะแนน และความ
ชดั เจนในการแปลความหมาย
เกณฑ์การให้คะแนน คือ ระดับการให้คะแนนท่ีมีคาอธิบายเกี่ยวกับมาตรฐานคุณภาพ
ของสมรรถนะหรือคุณลักษณะที่พึงประสงค์ คุณธรรมจริยธรรมซึ่งผู้สอนพัฒนาข้ึนเพ่ือใช้วัด
และประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ สามารถดาเนินการโดยใช้
กระบวนการเชงิ ปริมาณและคณุ ภาพ
146
ขอ้ ดขี องการเกณฑก์ ารให้คะแนนจะช่วยให้ผู้ประเมินสามารถกาหนดลักษณะของพฤติกรรม
การปฏิบัติท่ีเป็นเลิศตลอดจนสามารถนามาใช้ในการวางแผนเพื่อการพัฒนาผู้เรียนให้ประสบ
ความสาเร็จสูงสุดได้ นอกจากนี้ยังทาให้ผู้สอนและผู้เรียนสามารถทาความเข้าใจร่วมกันเก่ียวกับ
แนวทางการปฏบิ ตั แิ ละการประเมินตนเอง สามารถรายงานผลการเรียนรู้ให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทราบได้อย่าง
ละเอยี ดลออและท่ีสาคัญคอื ทาให้การประเมนิ มีความถูกต้องและเช่ือถือได้สูงปราศจากความลาเอียง
ประเภทของเกณฑ์การใหค้ ะแนน มี 2 แบบ ดังนี้
แบบท่ี 1
1. คุณภาพที่กาหนดเป็นขอ้ ความทั่วไปไมย่ ึดติดเนือ้ หา (general scoring rubrics)
2. คุณภาพกาหนดเปน็ ข้อความท่ีเจาะจงยดึ ตดิ เนื้อหา (specifics scoring rubrics)
แบบที่ 2
1. การกาหนดเกณฑ์แบบองคร์ วม (holistic rubrics) ไม่แยกการใหค้ ะแนน
ตามแต่ละองคป์ ระกอบย่อย
2. การกาหนดแบบวเิ คราะห์ (analytic rubrics) การให้คะแนน
ตามแต่ละองค์ประกอบยอ่ ย แล้วสรุปเป็นคะแนนรวม
คณุ ภาพเกณฑ์การใหค้ ะแนน
1. เกณฑ์การให้คะแนนสอดคล้องกบั วตั ถปุ ระสงค์ของการประเมนิ
2. เกณฑ์การใหค้ ะแนนมคี วามคลอบคลมุ ความสามารถในการปฏบิ ตั ิทีส่ าคัญ
3. มิติของการประเมนิ แต่ละมติ ิไดร้ บั การนิยามให้ความหมายอย่างชัดเจน
4. เกณฑก์ ารประเมนิ ปราศจากความลาเอียงในการประเมินหรอื การให้คะแนน
147
5. เกณฑ์การให้คะแนนทจ่ี ัดทาข้นึ สามารถนาไปประยุกต์ใชก้ บั การประเมินอ่นื ๆ
ที่คลา้ ยคลงึ กันได้หรือไม่
6. เกณฑก์ ารให้คะแนนท่ีจัดทาขน้ึ สามารถทาให้ผู้ถกู ประเมนิ มีความเข้าใจในการปฏิบัติ
7. เกณฑ์การให้คะแนนท่พี ฒั นาขึ้นมีความเหมาะสมต่อการนาไปใช้หรอื ไม่
8. เกณฑ์การให้คะแนนท่จี ดั ทาขึ้นเออ้ื อานวยความยุติธรรมในการประเมนิ
9. เกณฑก์ ารประเมินสามารถนาไปใชไ้ ดจ้ ริงอยา่ งมคี วามหมายในเชงิ ปฏบิ ตั ิ
องค์ประกอบของเกณฑก์ ารให้คะแนน ประกอบด้วย
1. การนิยามความหมาย (definition) เป็นการให้ความหมายของส่ิงที่ต้องการวัด
อย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับบริบทของการวัด การนิยามความหมายเพื่อสร้างเคร่ืองมือวัดจะต้อง
เขียนในลกั ษณะนยิ ามเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร (operational definition)
2. รายการประเมิน (dimensions) เป็นการนานิยามเชิงปฏิบัติการมาวิเคราะห์และ
กาหนดเปน็ รายการพฤติกรรมที่จะวัดและประเมินซึ่งต้องมีความสอดคลอ้ งกับนิยามเชงิ ปฏิบัติการ
3. มาตรฐานการให้คะแนน (standards) เป็นการกาหนดระดับคะแนนให้กับรายการ
ประเมินแต่ละรายการที่มีระดับลดหลั่นกันอย่างเป็นระบบ การประเมินคุณธรรมจริยธรรมของผู้เรียน
อาจกาหนดเกณฑ์การใหค้ ะแนนการประเมินคณุ ธรรมจริยธรรมได้ 3 ระดับ ดังน้ี
148
ระดับ 3 ปฏิบตั ใิ นคุณธรรมจริยธรรมด้วยตนเอง
โดยไม่ต้องอาศยั ปจั จัยจากภายนอก
และแนะนาให้บคุ คลอื่นปฏิบัติตาม (ให้ 3 คะแนน)
ระดบั 2 ปฏิบตั ิในคุณธรรมจริยธรรมด้วยตนเอง
โดยไมต่ ้องอาศยั ปจั จัยจากภายนอก (ให้ 2 คะแนน)
ระดบั 1 ปฏิบัตใิ นคุณธรรมจริยธรรมโดยอาศยั ปัจจัยจากภายนอก
เชน่ การแนะนาให้ปฏบิ ัติจากบุคคลอนื่ การบอกกลา่ ว
(ให้ 1 คะแนน)
สิ่งสาคัญของการกาหนดเกณฑ์การให้คะแนน คือ การกาหนดมาตรฐานการให้คะแนน
ท่ีมี ค วามเ ป็ นร ะบ บ แล ะมี ควา มต่ อเ นื่ องจ า ก ร ะดั บ หนึ่งไ ป ยังอี ก ร ะดั บ หน่ึง ดั ง แ ผน ภ า พ แ น ว คิด
การกาหนดเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนดา้ นคุณธรรมจริยธรรม ต่อไปนี้
149
ระดับ 3
ระดบั 1 ระดบั 2 ปฏิบตั ิในคุณธรรมจรยิ ธรรม
ดว้ ยตนเองโดยไมอ่ าศยั
ปฏิบัตใิ นคุณธรรมจริยธรรม ปฏบิ ัติในคุณธรรมจรยิ ธรรม ปจั จยั จากภายนอก
โดยอาศยั ปจั จัยจากภายนอก ดว้ ยตนเองโดยไมอ่ าศัย และแนะนาบคุ คลอ่นื
ปัจจัยจากภายนอก ใหป้ ฏบิ ตั ิ
(ให้ 1 คะแนน) (ให้ 2 คะแนน) (ให้ 3 คะแนน)
แผนภาพ 18 แนวคดิ การกาหนดเกณฑก์ ารให้คะแนนด้านคณุ ธรรมจริยธรรม
เพ่ือให้เห็นเคร่ืองมือวัดด้านคุณธรรมจริยธรรมของผู้เรียนอย่างชัดเจน จะนาเสนอตัวอย่าง
เครื่องมือวัดและประเมินผลด้านคุณธรรมจริยธรรมท่ีผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญและถูกนาไปใช้
ในการวัดและประเมินผลจริงในการจัดการเรียนการสอนได้ท้ังในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
และระดบั อุดมศึกษา ดงั ตวั อย่างเครือ่ งมอื วดั และประเมินผลตอ่ ไปนี้
150
แบบประเมินความมีวนิ ยั
คาชแ้ี จง เขยี นระดับคะแนนลงในชอ่ งรายการประเมนิ ของผ้เู รียนแต่ละคนให้ครบท้ัง 3 รายการ
โดยใชเ้ กณฑ์การให้คะแนน ดังน้ี
ให้ 3 คะแนน เม่ือผเู้ รยี นปฏบิ ตั ิในพฤตกิ รรมทีป่ ระเมนิ อยา่ งสมา่ เสมอดว้ ยตนเอง
และแนะนา ชักชวน เพ่อื นในชนั้ เรียนใหป้ ฏิบตั ิ
ให้ 2 คะแนน เมือ่ ผูเ้ รียนปฏบิ ตั ใิ นพฤติกรรมท่ีประเมินอย่างสม่าเสมอดว้ ยตนเอง
ให้ 1 คะแนน เม่ือผู้เรียนปฏิบัตใิ นพฤติกรรมทป่ี ระเมนิ เม่ือมีตัวแบบจากเพือ่ นหรือครู
รายการประเมิน
ชอ่ื – สกลุ ต้งั ใจ ปฏิบัตงิ าน อดทนต่อส่งิ ยัว่ ยุ รวมคะแนน
ในการเรยี นรู้ เตม็ ความสามารถ
เกณฑ์การประเมนิ
8 – 9 คะแนน ดี
5 – 7 คะแนน พอใช้
3 – 4 คะแนน ปรับปรุง
151
แบบประเมนิ จิตอาสา
คาชแ้ี จง เขียนระดับคะแนนลงในชอ่ งรายการประเมนิ ของผ้เู รียนแตล่ ะคนให้ครบทั้ง 3 รายการ
โดยใช้เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ดังน้ี
ให้ 3 คะแนน เมอ่ื ผเู้ รยี นปฏบิ ตั ิในพฤติกรรมที่ประเมินอย่างสมา่ เสมอดว้ ยตนเอง
และแนะนา ชักชวน เพ่ือนในชั้นเรยี นใหป้ ฏิบตั ิ
ให้ 2 คะแนน เมอ่ื ผู้เรยี นปฏิบตั ิในพฤติกรรมที่ประเมินอย่างสม่าเสมอดว้ ยตนเอง
ให้ 1 คะแนน เมื่อผู้เรยี นปฏบิ ัติในพฤติกรรมทปี่ ระเมินเมือ่ มีตวั แบบจากเพื่อนหรือครู
รายการประเมิน
ชอ่ื – สกลุ แบ่งปัน ใหค้ วาม ให้คาแนะนา ให้ความคดิ รวมคะแนน
ส่งิ ของ ช่วยเหลือ ทางบวก
เกณฑ์การประเมิน
11 – 12 คะแนน ดมี าก
9 – 10 คะแนน ดี
7 – 8 คะแนน พอใช้
4 – 6 คะแนน ปรบั ปรุง
152
2) การประเมินผลการเรียนรโู้ ดยใช้การถอดบทเรียน
ตามหลักกาลามสูตร
การถอดบทเรียน หรือ lesson – learned เป็นกระบวนการวิเคราะห์
หลังการปฏิบัติหรือการทากิจกรรมเพ่ือการจัดการความรู้ เป็นการให้ข้อมูลปูอนกลับอย่างเป็นระบบ
ตอ่ คณะทางานเกี่ยวกบั ผลการปฏิบัติกจิ กรรมท่ดี าเนนิ การแล้ว
การถอดบทเรียนมุ่งเน้นการวิเคราะห์ความรู้และประสบการณ์หลังการ
ปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ สามารถพัฒนาการคิดวิเคราะห์สังเคราะห์นาไปสู่การปรับปรุงและพัฒนา
การปฏิบตั ิหรอื การเรยี นรแู้ ละเป็นการกระตุ้นให้คณะทางานเกดิ ความต่นื ตัวและมีความรู้สึกผูกพันอยู่กับ
งานและการเรียนรู้
ส่วนหลักกาลามสูตรเป็นหลักธรรมคาสอนของพระพุทธเจ้าที่ไม่ให้เชื่อถือ
สิง่ ใดอย่างงมงายไรเ้ หตผุ ลไมว่ ่าจะเป็นเพราะด้วยการฟังตามกนั มา การถือสืบต่อกันมา การเล่าลือกันมา
การอ้างตารา หรือคัมภีร์ การใช้ตรรกะ การอนุมาน การคิดตรองตามแนวเหตุผล การเข้ากันได้กับ
ทฤษฎีของตน การมองเห็นรูปลักษณะน่าเช่ือและการนับถือว่าเป็นครูของตนเอง แต่ให้พิจารณา
ไตรต่ รองหรือทดลองปฏิบัติดกู ่อนจนถ้ามัน่ ใจวา่ ส่งิ นัน้ เป็นสิง่ ที่ถกู ต้องดีงามแล้วจึงเชอื่ หรือปฏบิ ตั ิตาม
การประเมินผลการเรียนรู้โดยใช้การถอดบทเรียนและหลักกาลามสูตร
เป็นกิจกรรมทผ่ี เู้ ขยี นไดใ้ ห้นิสติ ระดับปริญญาเอกสาขาวิชาการบริหารการศึกษา และสาขาการวิจัยและ
พัฒนาหลกั สูตร มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ ปฏิบัติการถอดบทเรยี นหลังการเรียนการสอนแต่ละครั้ง
มาตง้ั แต่ปีการศึกษา 2552 จนถงึ ปจั จบุ นั โดยไดพ้ ัฒนาใบงานการถอดบทเรียนตามหลักกาลามสูตรดังนี้
(วิชยั วงษใ์ หญ่ และมารุต พฒั ผล. 2554ข)
153
ใบงานการถอดบทเรยี น
คาชแ้ี จง ใหผ้ เู้ รยี นทบทวนถงึ สาระและกิจกรรมการเรยี นรูแ้ ละถอดบทเรียนลงในตาราง
แล้วนามาแลกเปล่ียนเรยี นรูก้ ับเพอื่ น
หัวข้อการเรียนรู้ วนั เวลา สถานที่ สรปุ ประเดน็ จากการถอดบทเรยี น
อะไรคือส่งิ ทคี่ าดหวังจากการเข้ารว่ มกจิ กรรม ...............................................................................................
การเรยี นรู้ ...............................................................................................
...............................................................................................
การคดิ ใครค่ รวญเรยี นรู้เชอ่ื มโยงเข้ากับส่ิงท่ไี ด้เรยี นรู้ ...............................................................................................
ในการเรียนครง้ั นี้ ...............................................................................................
...............................................................................................
เชื่อสิ่งที่ได้เรียนรจู้ ากผสู้ อนหรือไม่ ...............................................................................................
...............................................................................................
...............................................................................................
ถ้าเชอ่ื เชื่ออยา่ งไร เหตใุ ดจงึ เช่ือ ...............................................................................................
...............................................................................................
...............................................................................................
ทาไมคิดว่าองค์ความรทู้ ไ่ี ด้รบั จากผสู้ อน ...............................................................................................
เปน็ สงิ่ ทีถ่ ูกตอ้ ง ...............................................................................................
...............................................................................................
ถ้าไม่เชอื่ มสี าเหตมุ าจากอะไร ...............................................................................................
...............................................................................................
...............................................................................................
ทาไมจึงคิดว่าสง่ิ ที่ผสู้ อนพดู ไม่ถูกตอ้ ง ...............................................................................................
...............................................................................................
...............................................................................................
154
ผลการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารการถอดบทเรียนของนิสิตและนามาประเมินผลการ
เรียนรู้ พบว่า กิจกรรมการถอดบทเรียนทาให้นิสิตมีความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของตนเองได้
เป็นอย่างดี เพราะผลจาการที่แต่ละคนถอดบทเรียนจะนามาแลกเปล่ียนเรียนรู้กับเพื่อนร่วมช้ันเรียน
จึงทาให้ต้องใช้ความพยายามในการเรียนรู้และการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองอย่างต่อเน่ือง ผู้เรียนต้ังใจ
และจดจ่ออยู่กับกิจกรรมการเรียนรู้โดยไม่มีการนากิจกรรมอื่นมาทาในชั้นเรียนขณะที่มีก ารบรรยาย
นอกจากนี้ผู้เรียนหลายคนได้รายงานตนเองสอดคล้องกันว่าต้องมีสติและสมาธิในการเรียนเพราะต้อง
ถอดบทเรียนและทาให้ต้องคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ คิดวิจารณญาณใช้เหตุผลทบทวนบทเรียนและสรุป
สาระสาคัญ รวมทั้งต้องศึกษาค้นคว้าและเรียนรู้ด้วยตนเองมากข้ึน นอกจากนี้ยังทาให้เกิดการ
แลกเปล่ียนเรียนรู้กับบุคคลอื่นอีกด้วย ดังตัวอย่างข้อความการถอดบทเรียนของนิสิตท้ัง 2 สาขา
ดงั ตอ่ ไปน้ี (วชิ ัย วงษ์ใหญ่ และมารตุ พฒั ผล. 2554ข)
“กิจกรรมการถอดบทเรียนเหมาะสาหรับการเรียนรู้ในยุคปฏิรูปการศึกษารอบสอง
เป็นอย่างย่ิง ... บทบาทของผู้เรียนเปลี่ยนไป จะต้องเรียนรู้พร้อมๆ กับการฝึกทักษะการคิด ฝึกการ
จับประเด็นของเน้ือหาสาระในแต่ละคร้ัง ต้องพยายามทาความเข้าใจบทเรียน ต้องมีสมาธิในการเรียน
ตอ้ งสามารถคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์บทเรียนในแตล่ ะครง้ั ”
“กิจกรรมการถอดบทเรียนทาให้ผู้เรียนได้รับทักษะในการสังเคราะห์และการสรุป
สาระสาคญั ของบทเรียน”
“การที่ผู้สอนมอบหมายให้ถอดบทเรียนทุกคร้ัง ทาให้ข้าพเจ้าได้แลกเปล่ียนเรียนรู้กับ
บุคคลอ่ืนมากมาย”
“การถอดบทเรียนเป็นกระบวนการที่ทาให้เราได้รวบรวม ประมวลความรู้ที่ได้เรียนไป
ว่าในแต่ละคร้ังน้ัน เราได้เรียนรู้อะไรไปบ้าง เป็นการสรุปภาพรวมของการเรียนรู้ในคร้ังนั้นและที่สาคัญ
155
มันยังเป็นตัวบอกให้เราทราบว่าในการเรียนแต่ละคร้ังน้ันมีสิ่งใดบ้างท่ีเรายังคลุมเครือต้องแสวงหา
ความรู้เพมิ่ เติมเต็มสงิ่ ทีข่ าดหายไปโดยสว่ นตวั แล้วชอบมากค่ะ”
“คาถามส่วนใหญ่เป็นการถามเรือ่ ง “ความเช่ือ” และ “ความถูกต้อง” ขององค์ความรู้
ที่ได้รับ ข้าพเจ้าเช่ือว่าอาจารย์ต้องการให้เรารู้จักไตร่ตรองในองค์ความรู้ท่ีได้รับและหากจะเช่ืออะไร
ก็ต้องมีเหตุของความเช่ือน้ันๆ สิ่งท่ีได้ฝึกฝนนี้ ทาให้ข้าพเจ้าเกิดวิจารณญาณในการเช่ือมากข้ึน การทา
เชน่ นที้ าให้เราไมป่ ระมาท และกอ่ นจะตอบวา่ “เชอ่ื ” หรือ “ไมเ่ ชือ่ ” ยอ่ มมีเหตุผลเสมอ”
จากการให้นิสิตถ อดบทเรียนดังก ล่าวทาให้พบว่า การใช้กิจกรรม การถอดบทเรีย น
ตามหลักกาลามสตู รทาให้นสิ ติ เกิดการเรียนรู้ 5 ดา้ น ได้แก่ 1) การมสี ติและสมาธิอยู่กับกิจกรรมการ
เรียนรู้ 2) การทบทวนบทเรยี นและใช้การคิดเชงิ เหตผุ ลสรปุ สาระสาคัญ 3) ศึกษาค้นคว้าและเรียนรู้
ด้วยตนเอง 4) การคดิ วเิ คราะหส์ งั เคราะห์ วจิ ารณญาณ และ 5) การแลกเปลย่ี นเรยี นรู้
3) การพฒั นาเครอ่ื งมอื วัดและประเมนิ ผลลพั ธ์การเรยี นรู้ของนักศกึ ษา
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สถาบันพระบรมราชชนก
วิทยาลัยพยาบาลในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก สานักงานปลัดกระทรวง
กระทรวงสาธารณสุข ได้ดาเนินการพัฒนาเคร่ืองมือวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามมาตรฐานผลการ
เรยี นรู้คณุ วฒุ ิระดบั ปริญญาตรีสาขาพยาบาลศาสตร์ พ.ศ.2552 ข้นึ ในปี พ.ศ. 2555 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือ
วัดและประเมินผลการเรียนรู้ จานวน 6 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านคุณธรรมจริยธรรม 2) ด้านความรู้ 3) ด้าน
ทักษะทางปัญญา 4) ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ 5) ด้านทักษะการ
วิเคราะห์เชิงตัวเลข การส่ือสาร และเทคโนโลยีสารสนเทศ และ 6) ด้านทักษะการปฏิบัติทางวิชาชีพ
เพ่ือนาไปใช้สาหรับวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีทุกวิทยาลัย สืบเนื่องมาจากการปรับปรุงหลักสูตร
156
พยาบาลศาสตรบัณฑิต (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2554) และความมุ่งหมายที่ต้องการให้ทุกวิทยาลัย
ในสังกัดมีเครื่องมือวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่แต่ละวิทยาลัยสามารถนาไปใช้หรือปรับประยุกต์ใช้
ควบคู่กับการจดั การเรยี นการสอนในแต่ละรายวิชาเพ่ือนาผลการประเมนิ มาปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพ
การจัดการเรียนการสอนรวมทั้งคุณภาพผู้เรียน ส่งผลให้บัณฑิตมีคุณภาพได้มาตรฐานใกล้เคียงกับ
มาตรฐานสากลและความคาดหวงั ของสภาวชิ าชพี พยาบาล
โดยไดร้ บั ความร่วมมือจากคณะอาจารย์ ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีในสังกัด
สถาบันพระบรมราชชนกทุกแห่ง ฝุายพัฒนาหลักสูตรพยาบาลศาสตร์ กลุ่มพัฒนาการศึกษา เพื่อให้
วทิ ยาลยั สามารถนาไปใชใ้ นการประเมินผลการเรียนรูไ้ ดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ
กร ะ บว น กา ร จั ด ท าเ ค รื่ อ ง มือ วั ดมี ก าร ด า เนิ น กา ร ทั้ง ใ น ร ะ ดับ ส ถา บั น แ ล ะร ะ ดั บ
วิทยาลัย โดยระดบั สถาบนั มกี ารดาเนินการ 4 ระยะ ไดแ้ ก่
1) การเตรียมความพร้อมให้กับอาจารย์ของแต่ละวิทยาลัยด้านการวัดและ
ประเมินผลการศึกษาตามมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาพยาบาลศาสตร์ พ.ศ. 2552
ทั้ง 6 ด้าน
2) ยกร่างเครื่องมือวัดและประเมินผลครอบคลุมมาตรฐานผลการเรียนรู้
ท้ัง 6 ด้าน ในลักษณะเคร่ืองมือวัดและประเมินผลกลางท่ีแต่ละวิทยาลัยสามารถนาไปใช้และปรับ
ประยกุ ตใ์ ชไ้ ด้
3) ดาเนนิ การตรวจสอบคุณภาพเบื้องต้นโดยการให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดและ
ประเมินผลทัง้ ภายในและภายนอกสถาบันพระบรมราชชนก
4) การทดลองใช้เคร่ืองมือวัดและประเมินผลในแต่ละวิทยาลัยแล้วนามา
ปรับปรุงแก้ไข ส่วนในระดับวิทยาลัยได้นาเครื่องมือวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่ร่วมกันสร้างข้ึน
ไปทดลองใช้ในบรบิ ทสภาพจริง แสดงได้ดังแผนภาพตอ่ ไปนี้
157
ขนั้ ตอนการดาเนินงานการสรา้ งเครอื่ งมือวดั และประเมินผลการเรยี นรู้
ตามมาตรฐานคุณวฒุ ริ ะดบั ปริญญาตรสี าขาพยาบาลศาสตร์ พ.ศ. 2552 ระดับสถาบัน
นโยบายการวัดและประเมนิ ผลการเรียนร้ตู ามมาตรฐานคณุ วุฒริ ะดบั ปริญญาตรี
สาขาพยาบาลศาสตร์ พ.ศ. 2552 ของสถาบันพระบรมราชชนก
จดั ทาโครงการพฒั นาสมรรถนะอาจารยด์ า้ นการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้
ตามมาตรฐานคณุ วุฒิระดบั ปริญญาตรีสาขาพยาบาลศาสตร์ พ.ศ. 2552 ของสถาบนั พระบรมราชชนก
การเตรยี มความพรอ้ มอาจารยด์ า้ นการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้
ตามมาตรฐานคณุ วุฒริ ะดับปริญญาตรีสาขาพยาบาลศาสตร์ พ.ศ. 2552 ท้งั 6 ดา้ น
ยกร่างเครื่องมือวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้
เครอื่ งมือวดั และประเมินผลการเรยี นรู้
ตรวจสอบคณุ ภาพเครอื่ งมอื วัดและประเมินผลการเรียนรู้
โดยผู้เช่ียวชาญท้ังภายในและภายนอกสถาบนั พระบรมราชชนก
ปรบั ปรุงแก้ไขเครอ่ื งมอื วดั และประเมินผลการเรยี นรู้
ตามมาตรฐานคณุ วฒุ ริ ะดับปรญิ ญาตรสี าขาพยาบาลศาสตร์ พ.ศ. 2552 ทงั้ 6 ด้าน
ประสานวิทยาลัยเพอื่ นาเครอ่ื งมือไปทดลองใช้
แผนภาพ 19 ขั้นตอนการดาเนนิ งานการสรา้ งเครอื่ งมอื วัดและประเมินผลการเรยี นรู้ตามมาตรฐาน
คุณวุฒิระดับปรญิ ญาตรีสาขาพยาบาลศาสตร์ พ.ศ. 2552 ระดับสถาบนั
158
ขน้ั ตอนการดาเนินงานการสรา้ งเครือ่ งมอื วัดและประเมินผลการเรียนรู้
ตามมาตรฐานคุณวฒุ ิระดับปริญญาตรสี าขาพยาบาลศาสตร์ พ.ศ. 2552 ระดบั วิทยาลัย
นโยบายการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ตามมาตรฐานคณุ วฒุ ริ ะดบั ปริญญาตรี
สาขาพยาบาลศาสตร์ พ.ศ. 2552 ระดับวิทยาลัย
ฝ่ายวิชาการรับทราบ และประชุมคณะกรรมการวชิ าการ
กาหนดรายวชิ าทที่ ดลองใชเ้ ครือ่ งมือวดั และประเมนิ ผลทุกฉบบั
มอบหัวหนา้ ภาคดาเนินการ กาหนดผ้รู บั ผดิ ชอบภารกจิ
ดาเนนิ การทดลองใชเ้ คร่ืองมือและบันทกึ ผลการทดลองใช้
สรปุ รายงานผลการทดลองใช้ให้หวั หนา้ ภาคและรวบรวมส่งใหก้ บั ฝา่ ยวชิ าการ
ประชุมคณะกรรมการวชิ าการสรปุ ผลการทดลองใชเ้ คร่ืองมอื
และจัดทารายงานผลการทดลองใชเ้ คร่ืองมอื รวมท้ังประเดน็ การปรบั ปรุงแก้ไข
รายงานผลไปยังส่วนพัฒนาการศกึ ษาสถาบันพระบรมราชชนก
แผนภาพ 20 ขัน้ ตอนการดาเนินงานการสรา้ งเครือ่ งมือวัดและประเมินผลการเรียนร้ตู ามมาตรฐาน
คุณวุฒริ ะดบั ปริญญาตรีสาขาพยาบาลศาสตร์ พ.ศ. 2552 ระดับวทิ ยาลัย
159
สาหรับการดาเนนิ การจดั ทาเครื่องมือวัดและประเมินผลดงั กล่าวทีมทางานได้มีการออกแบบ
บทปฏิบัติการสร้างเครื่องมือวัดและประเมินผลโดยใช้บทปฏิบัติการพัฒนาเครื่องมือวัดและประเมินผล
ตามมาตรฐานคุณวุฒิระดบั ปริญญาตรี สาขาพยาบาลศาสตร์ ดงั น้ี
บทปฏบิ ัตกิ ารพัฒนาเคร่ืองมือวัดและประเมนิ ผล
ตามกรอบมาตรฐานคณุ วฒุ ริ ะดับอุดมศกึ ษา (TQF)
คาช้ีแจง ใหอ้ าจารยผ์ ูเ้ ขา้ ร่วมการสมั มนาปฏิบตั กิ ิจกรรมการพฒั นาเครื่องมือวัดและประเมนิ ผล
ตามกรอบมาตรฐานคณุ วฒุ ิระดับอดุ มศกึ ษา (TQF) ตามลาดบั ข้ันตอนตอ่ ไปน้ี
1. การตรวจสอบความสอดคลอ้ งระหวา่ งจดุ ประสงค์รายวิชากับตวั ชวี้ ัดคณุ ลกั ษณะที่พงึ ประสงค์
ในแผนทีก่ ระจายความรับผดิ ชอบมาตรฐานผลการเรียนรจู้ ากหลักสูตรสรู่ ายวชิ า
(curriculum mapping)
(ใช้ใบงานที่ 1 การตรวจสอบความสอดคล้องระหวา่ งตวั ชวี้ ดั คุณลักษณะที่พงึ ประสงค์
ในแผนท่กี ระจายความรบั ผิดชอบมาตรฐานผลการเรยี นรจู้ ากหลักสตู รสู่รายวชิ า
2. การจดั ทาพิมพเ์ ขียวการวัดและประเมนิ ผลรายวิชา
(ใช้ใบงานที่ 2 การจดั ทาพิมพ์เขียวการวัดและประเมนิ ผลรายวิชา)
3. การสรา้ งเครอื่ งมอื วดั ฉบบั รา่ ง และตรวจสอบคุณภาพ
(ใช้ใบงานที่ 3 การสรา้ งเครอ่ื งมือวัดฉบบั รา่ งและตรวจสอบคุณภาพ)
4. การจัดทาเครื่องมือวดั ท่ีสมบูรณ์
(ใชใ้ บงานที่ 4 การจัดทาเครือ่ งมือวัดทสี่ มบูรณ)์
160
ใบงานที่ 1
การวเิ คราะหส์ ังเคราะหค์ ุณลกั ษณะบณั ฑติ ท่ีพึงประสงค์
ในตวั ชี้วดั มาตรฐานผลการเรยี นรขู้ อง curriculum mapping
วตั ถปุ ระสงค์ เพื่อให้อาจารย์ทาการวิเคราะห์สังเคราะหค์ ุณลักษณะบัณฑิตทีพ่ งึ ประสงค์
จากตัวช้วี ดั มาตรฐานผลการเรยี นรใู้ น curriculum mapping
คาช้ีแจง โปรดศึกษาและวิเคราะหส์ ังเคราะห์คณุ ลักษณะบัณฑิตท่ีพงึ ประสงคใ์ นตวั ช้วี ดั มาตรฐาน
ผลการเรียนรใู้ น curriculum mapping แลว้ เขยี นคุณลกั ษณะบัณฑิตท่ีพึงประสงค์
ในแตล่ ะมาตรฐานผลการเรียนรู้ให้ครบถว้ นทั้ง 6 ดา้ น
ตัวชว้ี ดั มาตรฐานผลการเรยี นรู้ใน curriculum mapping คณุ ลักษณะบณั ฑติ ที่พงึ ประสงค์
ดา้ นความรู้
ตวั ชีว้ ดั มาตรฐานผลการเรยี นรทู้ ่ี 1
ตวั ชี้วัดมาตรฐานผลการเรียนรทู้ ่ี 2
ตัวชี้วัดมาตรฐานผลการเรยี นรทู้ ่ี ...
ดา้ นคณุ ธรรมจริยธรรม
ตัวชี้วดั มาตรฐานผลการเรียนรูท้ ี่ 1
ตัวชว้ี ัดมาตรฐานผลการเรยี นรู้ท่ี 2
ตัวชว้ี ดั มาตรฐานผลการเรียนรทู้ ี่ ...
ด้านทกั ษะทางปญั ญา
ตัวชว้ี ดั มาตรฐานผลการเรยี นรู้ท่ี 1
ตัวชว้ี ัดมาตรฐานผลการเรยี นรทู้ ่ี 2
ตวั ช้วี ัดมาตรฐานผลการเรียนรทู้ ี่ ...
ตวั ชี้วดั มาตรฐานผลการเรียนร้ใู น curriculum mapping 161
ด้านความสมั พนั ธ์ระหว่างบุคคลและความรับผดิ ชอบ คณุ ลกั ษณะบณั ฑติ ที่พงึ ประสงค์
ตัวชว้ี ัดมาตรฐานผลการเรียนรู้ที่ 1
ตวั ช้วี ดั มาตรฐานผลการเรียนรูท้ ่ี 2
ตัวช้ีวดั มาตรฐานผลการเรยี นรูท้ ่ี ...
ดา้ นทกั ษะการวิเคราะหเ์ ชงิ ตัวเลข การสือ่ สาร
และการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ
ตวั ชีว้ ดั มาตรฐานผลการเรยี นรู้ที่ 1
ตัวชี้วัดมาตรฐานผลการเรยี นรทู้ ่ี 2
ตัวชว้ี ัดมาตรฐานผลการเรยี นร้ทู ี่ ...
ดา้ นทักษะการปฏบิ ัตกิ ารพยาบาล
ตวั ชี้วดั มาตรฐานผลการเรยี นรทู้ ี่ 1
ตัวชี้วดั มาตรฐานผลการเรยี นรทู้ ี่ 2
ตวั ชว้ี ดั มาตรฐานผลการเรียนรทู้ ่ี ...
162
ใบงานที่ 2
การจัดทาพมิ พ์เขียวการวัดและประเมนิ ผล
วัตถุประสงค์ เพ่อื ให้อาจารยจ์ ัดทาพิมพ์เขียวการวดั และประเมนิ ผลคณุ ลักษณะบณั ฑติ ท่ีพึงประสงค์
ท่ีสะท้อนตวั ช้วี ดั มาตรฐานผลการเรยี นร้ใู น curriculum mapping
คาชแ้ี จง โปรดจดั ทาพมิ พ์เขยี วการวดั และประเมินผลคุณลกั ษณะบัณฑิตท่ีพงึ ประสงค์
และระบนุ ยิ ามปฏิบตั กิ าร วิธกี ารวัด เครอื่ งมือวัด แหลง่ ข้อมูล และเกณฑ์การประเมนิ
คุณลักษณะบณั ฑติ ท่พี งึ ประสงค์ วธิ กี ารวัด เครอื่ งมอื วัด แหลง่ ข้อมลู เกณฑ์
และนยิ ามปฏิบตั ิการ การประเมนิ
163
ใบงานที่ 3
การสร้างเครอื่ งมือวัดฉบับร่างและตรวจสอบคุณภาพ
วัตถปุ ระสงค์ เพื่อใหอ้ าจารย์แบ่งกลุ่มตามความถนัดและความสนใจแลว้ จัดทาเครื่องมือวัดฉบบั รา่ ง
คาชี้แจง โปรดจัดทาเครอ่ื งมอื วัดฉบบั ร่าง จาแนกการสร้างเคร่อื งมือวดั ออกเป็น 2 ลกั ษณะ
ได้แก่ เครื่องมือวัดประเภทแบบทดสอบและเครื่องมือวัดชนดิ ทไ่ี ม่ใชแ่ บบทดสอบ
แลว้ นาไปตรวจสอบคณุ ภาพ
1. เคร่อื งมือวัดประเภทแบบทดสอบ โปรดจัดทาพิมพ์เขยี วการสร้างแบบทดสอบ (test blueprint)
โดยระบสุ าระสาคัญ (main concept) ที่จะทดสอบและกาหนดระดบั ขัน้ การคดิ และคา่ นา้ หนกั
ความสาคัญของระดับขั้นการคิด และคานวณจานวนขอ้ สอบท่ีจะต้องสรา้ งโดยเขยี นวงเลบ็ ไว้
ใตค้ ่าน้าหนัก และเมื่อจดั ทาพิมพ์เขียวเสร็จแล้วให้ดาเนินการสร้างแบบทดสอบ
สตู รคานวณ จานวนข้อสอบที่ตอ้ งสร้าง = (น้าหนักความสาคญั X จานวนข้อสอบท้งั ฉบบั ท่ีตอ้ งการ)
หารดว้ ยคะแนนรวมน้าหนักความสาคัญ
164
สาระสาคญั ระดับขน้ั การคดิ รวมคา่
(main concepts) (ระบนุ า้ หนักความสาคญั ของแต่ละสาระสาคญั ในแตล่ ะระดับข้ันการคดิ น้าหนัก
แนวนอน
เฉพาะเทา่ ทต่ี อ้ งการสรา้ งขอ้ สอบ คะแนนเตม็ 10 คะแนน)
ความจา ความเข้าใจ นาไปใช้ วเิ คราะห์ ประเมินค่า สร้างสรรค์
รวมค่าน้าหนกั รวมนา้ หนัก
แนวตงั้ ความสาคญั
= ..............
165
2. เครื่องมือวดั ท่ีไม่ใชแ่ บบทดสอบ โปรดนิยามเชงิ ปฏบิ ัติการคณุ ลกั ษณะบัณฑิตที่พงึ ประสงค์
ทต่ี อ้ งการวดั ครอบคลมุ มาตรฐานผลการเรยี นรทู้ ั้ง 6 ดา้ น จากการสังเคราะห์เอกสาร
และงานวจิ ยั ทีเ่ กีย่ วขอ้ ง
คุณลกั ษณะบณั ฑติ ทพี่ งึ ประสงค์ นยิ ามศัพทเ์ ชิงปฏิบัติการ (องคป์ ระกอบนยิ ามเชิงปฏิบัติการ
ท่ีต้องการวดั 1) ความหมายเชิงทฤษฎี 2) ตัวช้ีวัดเชงิ พฤติกรรม 3) วิธกี ารวัด)
166
องค์ประกอบของแบบประเมนิ
1) ชอื่ แบบประเมนิ 2) คาชี้แจง 3) เกณฑ์การให้คะแนน 4) สว่ นบันทกึ ผล 5) เกณฑ์การ
ประเมิน
ตัวอยา่ งแบบประเมินพฤติกรรมการใช้กระบวนการพยาบาล
คาช้ีแจง 1. แบบประเมินน้ใี ช้ประเมินพฤติกรรมการใช้กระบวนการพยาบาลของนักศกึ ษาพยาบาล
2. บันทกึ ระดบั คะแนนลงในชอ่ งผลการประเมนิ โดยใช้เกณฑด์ งั นี้
3 คะแนน หมายถงึ ปฏบิ ตั ไิ ดด้ ว้ ยตนเอง ถกู ตอ้ ง เป็นตวั แบบของเพ่ือนได้
2 คะแนน หมายถงึ ปฏิบัตไิ ด้ แต่ต้องไดร้ บั คาแนะนาเพม่ิ เติม
1 คะแนน หมายถึง ปฏบิ ัติไดเ้ มื่อได้รบั การแสดงตัวอย่าง และคาแนะนาเพ่มิ เติม
ผลการสังเกต
ช่ือ – สกลุ การประเมิน การวนิ ิจฉยั การวางแผน กิจกรรม การประเมินผล รวม
ผปู้ ุวยแรกรบั ทางการ การพยาบาล การพยาบาล การพยาบาล
พยาบาล
เกณฑ์การประเมนิ 8 – 10 ผ่าน
5 – 7 ปรับปรงุ 14 – 15 ดมี าก
11 – 13 ดี
167
คาช้ีแจง โปรดบันทกึ ผลการตรวจสอบคณุ ภาพเคร่ืองมือวัดทกุ ฉบบั
เครื่องมือวัด ขอ้ เสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญ ผลการทดลองใชภ้ าคสนาม
และการปรับปรงุ แกไ้ ข และการปรับปรุงแกไ้ ข
168
ใบงานที่ 4
การจดั ทาเครอื่ งมอื วัดท่ีสมบูรณ์
คาชีแ้ จง โปรดนาผลการตรวจสอบคณุ ภาพเครอ่ื งมอื วัดมาปรบั ปรงุ แก้ไขและจัดทาเป็นเครื่องมือวดั
ทส่ี มบรู ณ์ทีแ่ ตล่ ะวิทยาลัยสามารถนาไปใชห้ รอื ปรับประยุกต์ใช้ได้
ตวั อยา่ งเครื่องมือวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ตามมาตรฐานคณุ วฒุ ริ ะดับปริญญาตรี
สาขาพยาบาลศาสตร์ พ.ศ. 2552 ของวทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี
สถาบันพระบรมราชชนก ฉบบั ท่ีทดลองใช้ภาคสนามในวิทยาลัยต่างๆ
แบบประเมินการเคารพในคณุ คา่ และศกั ดิ์ศรคี วามเป็นมนุษย์
นยิ ามปฏิบตั ิการ
การเคารพในคุณค่าและศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ หมายถึง การแสดงออกถึงการยอมรับ
และเคารพในคุณค่าความเป็นปัจเจกบุคคลของนักศึกษาพยาบาล โดยคานึงถึงความแตกต่างด้านถิ่น
กาเนิด เช้ือชาติ ศาสนา ภาษา เพศ อายุ สถานภาพทางสังคม เศรษฐกิจ ค่านิยม ความเช่ือ การศึกษา
อบรม วัฒนธรรม ยอมรับ และไม่ด่วนสรุปความคิดเห็น หรือตัดสินพฤติกรรมของบุคคล ซึ่งประเมิน
ได้โดยใช้เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน 4 ระดบั
คาช้แี จง โปรดทาเครือ่ งหมาย ลงในชอ่ งระดบั การประเมนิ โดยมเี กณฑ์ดงั น้ี
4 หมายถงึ ปฏบิ ัตดิ ้วยตนเอง ชกั ชวนผู้อน่ื ใหป้ ฏบิ ัติ และเปน็ แบบอย่างใหก้ บั เพ่อื น
3 หมายถึง ปฏบิ ัตดิ ว้ ยตนเอง และชักชวนผ้อู นื่ ให้ปฏิบัติ
2 หมายถึง ปฏิบัติด้วยตนเอง
1 หมายถงึ ปฏิบัตเิ มอื่ ไดร้ บั คาแนะนา
169
รายวิชา .................................................................................................................... ................................
ช่อื ผรู้ ับการประเมิน ................................................................................ ชนั้ ปี ........... เลขท่ี ................
รายการประเมิน 1 ระดับการประเมนิ 4 หมายเหตุ
23
1. ยอมรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของผูอ้ ่นื
2. ปฏิบตั ติ ่อผู้อน่ื ดว้ ยความเสมอภาค
3. แสดงพฤตกิ รรมยกยอ่ งสิ่งทีด่ งี ามความถูกต้องของบคุ คล
4. ตัดสนิ พฤติกรรมของบคุ คลอนื่ บนพน้ื ฐานของข้อมูล
ตามความจริง
5. ปฏบิ ัตติ ่อบุคคลอืน่ โดยคานึงถึงความแตกตา่ งระหว่างบุคคล
เกณฑ์การประเมิน
เกณฑ์การประเมินไดค้ ะแนนเฉลยี่ ตั้งแต่ 2.41 ข้ึนไป ถือวา่ ผ่านเกณฑ์
ผา่ น ไม่ผา่ น
ขอ้ เสนอแนะ ................................................................................................................. ...........................
............................................................................................................................. ......................................
............................................................................................ .......................................................................
ประเมนิ โดย ตนเอง เพอื่ น ผสู้ อน
ลงชื่อ ....................................................... ผู้สอน
(.......................................................)
วนั ที่ ........... เดือน .......................... ปี ..................
170
แบบประเมินทักษะการพยาบาลอยา่ งเป็นองค์รวมและการใชก้ ระบวนการพยาบาล
โดยประยุกต์ใชศ้ าสตรแ์ ละศิลปะทางการพยาบาล
นยิ ามปฏบิ ัติการ
การพยาบาลแบบองค์รวมและการใช้กระบวนการพยาบาล หมายถึง การปฏิบัติกิจกรรม
ทางการพยาบาลของนักศึกษาพยาบาล เพื่อตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาของการใช้บริการ
โดยครอบคลุมทง้ั ด้านรา่ งกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และจิตวิญญาณ ตามลาดับข้ันตอนของการดูแลที่มี
การวางแผนและการปฏิบตั อิ ย่างเป็นระบบ เพือ่ ตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาของผู้ใช้บริการ
ประกอบด้วย การประเมินสภาพผู้ใช้บริการ การวินิจฉัยปัญหาทางการพยาบาล การวางแผนการ
พยาบาล การปฏิบัติการพยาบาล และการประเมินผลการพยาบาล ซ่ึงประเมินได้โดยใช้เกณฑ์การให้
คะแนน 4 ระดับ
คาชีแ้ จง โปรดทาเครื่องหมาย ลงในช่องระดบั การประเมินโดยมีเกณฑด์ ังน้ี
4 หมายถงึ ปฏิบตั ิได้ถกู ตอ้ ง เป็นระบบ และสามารถอธิบายใหเ้ หตผุ ลส่งิ ที่ปฏบิ ัติได้
3 หมายถึง ปฏิบตั ิได้ถกู ตอ้ ง แตย่ ังไม่สามารถให้เหตผุ ลสง่ิ ท่ีปฏบิ ตั ิได้
2 หมายถึง ปฏิบัติไดถ้ ูกตอ้ งเมื่อไดร้ ับคาแนะนาเพิ่มเติมจากผสู้ อน
1 หมายถงึ ปฏิบัติเม่ือไดถ้ ูกตอ้ งเม่ือมตี ัวอยา่ งให้ปฏิบตั ติ ามหรือศึกษาเพิม่ เติม
171
รายวชิ า .................................................................................................................... ................................
ช่อื ผรู้ บั การประเมิน ................................................................................ ช้นั ปี ........... เลขท่ี ................
รายการประเมิน 1 ระดับการประเมนิ 4 หมายเหตุ
23
1. การประเมนิ สภาพผู้ใชบ้ ริการ
1.1 รวบรวมข้อมลู ได้ครอบคลุมดา้ นกาย จติ ใจ สงั คม
และจิตวญิ ญาณ
1.2 รวบรวมข้อมลู ได้สอดคลอ้ งกับปัญหาและความ
ต้องการของผูใ้ ชบ้ รกิ าร
1.3 บันทึกข้อมูลอยา่ งเป็นระบบ
2. การวินิจฉยั ปญั หาทางการพยาบาล
2.1 วเิ คราะหข์ อ้ มลู โดยใชอ้ งคค์ วามรใู้ นศาสตร์ท่เี กี่ยวขอ้ ง
2.2 ระบขุ อ้ วินจิ ฉัยทางการพยาบาลไดส้ อดคลอ้ งกบั ปัญหา
และความตอ้ งการของผใู้ ชบ้ รกิ ารอย่างเป็นองค์รวม
3. การวางแผนการพยาบาล
3.1 จดั ลาดบั ความสาคญั ของปญั หาไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
3.2 กาหนดวตั ถปุ ระสงคไ์ ดถ้ กู ต้องสอดคล้องกับปัญหา
ทางการพยาบาล
3.3 กาหนดเกณฑก์ ารประเมนิ ผลการพยาบาลได้ถูกต้อง
สอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงค์
3.4 ระบุและจดั ลาดบั กิจกรรมการพยาบาลไดส้ อดคลอ้ ง
กบั ปัญหาทางการพยาบาลอย่างเป็นองค์รวม
3.5 อธิบายเหตผุ ลของกิจกรรมการพยาบาลโดยใช้
องคค์ วามร้ใู นศาสตรท์ ่ีเกี่ยวข้อง
172
รายการประเมิน 1 ระดบั การประเมิน 4 หมายเหตุ
23
4. การปฏบิ ตั กิ ารพยาบาล
4.1 ปฏิบัตกิ ารพยาบาลถกู ตอ้ งตามศาสตรท์ างการพยาบาล
และศาสตรส์ าขาท่ีเก่ยี วข้อง
4.2 ปฏบิ ัติการพยาบาลถูกตอ้ งตามหลกั การและเทคนคิ
วธิ ีปฏบิ ตั ิการพยาบาลและเหมาะสมกับผ้ใู ช้บริการ
4.3 ปฏบิ ัตกิ ารพยาบาลดว้ ยความนมุ่ นวล ออ่ นโยน
คานงึ ถึงความปลอดภัยของผู้ใช้บริการ
4.4 ปฏิบัติการพยาบาลเพือ่ ปอู งกันการแพรก่ ระจายเชอื้
4.5 ปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลโดยคานึงถงึ ศกั ดศิ์ รคี วามเปน็ มนษุ ย์
และสทิ ธขิ องผปู้ วุ ย
4.6 บันทกึ การปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลตามสภาพปัญหาของ
ผปู้ ุวยและความเป็นจรงิ
4.7 เขยี นบันทึกทางการพยาบาลถูกตอ้ งตามรูปแบบ
คานงึ ถึงหลกั ฐานทางกฎหมาย
5. การประเมินผลการพยาบาล
5.1 ติดตามผลการปฏิบัตกิ ารพยาบาลตามระยะเวลา
ทเี่ หมาะสม
5.2 ปรบั เปลีย่ นแผน / กิจกรรมการพยาบาลตามผลการ
ประเมนิ
5.3 ประเมนิ ผลการพยาบาลได้ตามวตั ถุประสงค์
และเกณฑ์ทกี่ าหนด
173
เกณฑก์ ารประเมนิ
เกณฑ์การประเมินได้คะแนนเฉลย่ี ต้งั แต่ 2.41 ข้นึ ไป ถอื ว่าผา่ นเกณฑ์
ผ่าน ไมผ่ า่ น
ขอ้ เสนอแนะ ............................................................................................................................. ...............
................................................................................................................... ................................................
ประเมินโดย ตนเอง เพอ่ื น ผ้สู อน
ลงชอื่ ....................................................... ผูส้ อน
(.......................................................)
วนั ที่ ........... เดอื น .......................... ปี ..................
174
4) การประเมนิ เพ่ือรบั รองหลกั สูตรตามกรอบมาตรฐานคณุ วฒุ ิ
ระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2552 และมาตรฐานคณุ วฒุ ิ
ระดับอดุ มศกึ ษา
การประเมนิ เพอื่ รับรองหลกั สูตรตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา
แหง่ ชาติ พ.ศ. 2552 และมาตรฐานคณุ วุฒริ ะดบั อดุ มศกึ ษา สาขา............. เปน็ ข้อกาหนดท่ีระบุไว้อย่าง
ชัดเจนว่าเมื่อเสร็จสิ้นการจัดการเรียนการสอนทุกรายวิชาในหลักสูตรระดับอุดมศึกษา จะต้องมีการ
ประเมินผลของรายวิชาตามเอกสาร มคอ.5 รายงานผลการดาเนินการของรายวิชา (Course Report)
และเอกสาร มคอ.6 รายงานผลการดาเนินการประสบการณ์ภาคสนาม (Field Experience Report)
โดยสานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้กาหนดไว้เพื่อใช้ เป็นแนวทางการรายงานผล
การดาเนนิ การของหลกั สูตร มีสาระสาคัญดงั นี้ (สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา. 2552)
เอกสาร มคอ.5 เป็นการรายงานจัดการเรียนการสอนแต่ละรายวิชาเมื่อส้ิน
ภาคเรียนไดด้ าเนินการเป็นไปตามแผนทวี่ างไว้ในรายละเอียดของรายวิชาหรือไม่ และหากไม่เป็นไปตาม
แผนท่ีวางไว้ โดยต้องให้เหตุผลและข้อเสนอแนะในการปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนของรายวิชา
ดังกล่าวในคร้ังต่อไป มีประเด็นการรายงานผล 6 หมวด ได้แก่ 1) ข้อมูลท่ัวไป 2) การจัดการเรียนการ
สอนเปรียบเทียบกับแผนการสอน 3) สรุปปัญหาการจัดการเรียนการสอนของรายวิชา 4) ปัญหาและ
ผลกระทบต่อการดาเนินการ 5) การประเมินรายวิชา 6) แผนการปรับปรุง โดยที่ผู้สอนนาผลการ
รายงานนไี้ ปปรับปรุงรายวิชาใหม้ คี ณุ ภาพมากขน้ึ
เอกสาร มคอ.6 เป็นการรายงานผลการฝึกงาน ออกฝึกภาคสนาม หรือ
ส ห กิจ ศึก ษา ว่ า บ ร ร ลุ ผ ล ต า ม แ ผ น ท่ี ว า ง ไว้ ห รื อไ ม่ แ ล ะ ห า กไ ม่ เ ป็ น ไป ต า ม แ ผ น ต้ อ ง ใ ห้ เ ห ตุ ผ ล แ ล ะ
ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงการฝึกงาน ออกฝึกภาคสนาม หรือสหกิจศึกษาในคร้ังต่อไป มีประเด็นการ
รายงานผล 6 หมวด ได้แก่ 1) ข้อมูลท่ัวไป 2) การดาเนินการท่ีต่างไปจากแผนการฝึกประสบการณ์
175
ภาคสนาม 3) ผลการดาเนนิ การ 4) ปัญหาและผลกระทบด้านการบริหารจัดการ 5) การประเมินการฝึก
ประสบการณ์ภาคสนาม 6) แผนการปรับปรุง โดยท่ีผู้สอนดาเนินการนาผลการรายงานนี้ไปปรับปรุง
การฝึกประสบการณ์ภาคสนามให้มีคุณภาพมากข้ึน การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามกรอบ
มาตรฐานคณุ วุฒิระดบั อดุ มศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2552 และมาตรฐานคุณวฒุ ิระดับอุดมศึกษาสาขา.........
ของแต่ละรายวิชาที่มีประสิทธิภาพจะต้องสามารถตอบสนองความรับผิดชอบหลักในมาตรฐานผลการ
เรียนรู้ที่กาหนดไว้ในหลักสูตรซึ่งพิจารณาได้จากแผนท่ีกระจายความรับผิดชอบมาตรฐานผลการเรียนรู้
จากหลกั สตู รสรู่ ายวิชา (curriculum mapping) เป็นสาคญั
ดังน้ันถ้าวิเคราะห์เชิงระบบจะพบว่าสิ่งที่ถูกกาหนดไว้เป็นความรับผิดชอบหลัก
ใน curriculum mapping ผู้สอนแต่ละรายวิชาจะต้องนาไปสู่การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่าง
เป็นรูปธรรม และตอ้ งมวี ิธีการวดั และเครือ่ งมือวดั ท่ีชัดเจนด้วย และเม่ือดาเนินการจัดการเรียนการสอน
เสร็จสิ้นแลว้ จึงนาผลมาเขียนรายงานตามแนวทางท่ีกาหนดไว้ใน มคอ.5 และ มคอ.6 ซึ่งเป็นส่ิงท่ีสาคัญ
แ ล ะ จ า เ ป็ น อ ย่ า ง ยิ่ ง ส า ห รั บ ก า ร รั บ ร อ ง ห ลั ก สู ต ร จ า ก ส า นั ก ง า น ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ก า ร อุ ด ม ศึ ก ษ า
(สกอ.) ซ่ึงการส่งหลักสูตรให้สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาภายหลังได้รับอนุมัติจากสภา
มหาวิทยาลัย สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจะพิจารณาว่าจะรับทราบหลักสูตรหรือไม่
ถ้ารับทราบหลักสูตรแล้วจะส่งต่อไปยังสานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เพ่ือรับรอง
คุณวุฒิการศึกษาและกาหนดอัตราเงินเดือน โดยที่ยังไม่ให้การรับรองหลักสูตร โดยที่จะต้องมีการ
ประเมินคุณภาพของหลักสูตรอีกคร้ัง เม่ือสถาบันการศึกษาได้เปิดสอนไปแล้วอย่างน้อยคร่ึงระยะเวลา
ของหลักสูตร เพ่ือเผยแพร่หลักสูตรท่ีมีคุณภาพและมาตรฐานตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิ/มาตรฐาน
คุณวุฒิ ถ้าให้การรับรองหลักสูตรใดแล้วหลักสูตรนั้นจะถูกบันทึกไว้ในฐานข้อมูลหลักสูตรเพ่ือการ
เผยแพร่ (Thai Qualifications Register: TQR) ต่อไป แสดงเปน็ แผนภาพดังนี้
176
หลกั สตู รได้รับการอนุมตั ิโดยสภาสถาบัน
ส่งใหส้ านกั งานคณะกรรมการการอดุ มศึกษารับทราบ สานักงานคณะกรรมการ
ภายใน 30 วนั การอดุ มศึกษาสง่ เรอื่ งตอ่ ไป
ให้สานักงานคณะกรรมการ
สง่ คนื สถาบนั ไม่รบั ทราบ พิจารณา รับทราบ ข้าราชการพลเรอื นรับรอง
เพอื่ ปรบั ปรุงแกไ้ ข รับทราบ คุณวุฒิการศึกษาและกาหนด
อัตราเงินเดอื นของผสู้ าเร็จ
สานักงานคณะกรรมการการอดุ มศึกษา การศึกษาที่จะเขา้ รบั ราชการ
ประเมนิ คณุ ภาพหลกั สตู ร เพอื่ ให้การรับรองหลกั สตู ร
สถาบนั อดุ มศึกษากากบั ดแู ล
สถาบันอดุ มศึกษา ไม่รบั รอง พจิ ารณา รับรอง การรักษาคณุ ภาพ
ปรบั ปรงุ ตามเงอื่ นไข รบั รอง
ใหม้ มี าตรฐานอยเู่ สมอ
ผลการประเมิน
สานักงานคณะกรรมการการอดุ มศึกษาเผยแพร่ ผา่ นเกณฑ์ ประเมนิ คุณภาพหลกั สูตร
หลกั สตู รในฐานขอ้ มลู หลักสตู ร เพ่ือรกั ษาสถานภาพ
การเผยแพรห่ ลกั สตู ร
(Thai Qualifications Register: TQR)
ไมผ่ า่ นเกณฑ์
แผนภาพ 21 กระบวนการรบั ทราบและรับรองหลักสูตรระดบั อุดมศึกษา