1
พระราชทานเพลิงศพ
สมเด็จพระวันรตั (จนุ ท์ พฺรหมฺ คุตฺโต)
๑ ธันวาคม ๒๕๖๕
3
4
คตชิ ีวติ จากชาดก
โดย
สมเดจ็ พระวันรตั
(จนุ ท์ พฺรหมฺ คตุ ฺโต)
วดั บวรนิเวศวหิ าร และ วดั วชริ ธรรมาราม
พมิ พ์โดยเสดจ็ พระราชกศุ ล
ในการพระราชทานเพลิงศพ
สมเดจ็ พระวนั รัต
(จุนท์ พฺรหฺมคตุ โฺ ต)
ณ เมรุหลวงหนา้ พลบั พลาอิศรยิ าภรณ์
วัดเทพศิรนิ ทราวาส เขตปอ้ มปราบศตั รูพา่ ย กรงุ เทพมหานคร
วันพฤหัสบดที ่ี ๑ ธันวาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๕
5
6
7
คา� ปรารภ
เจ้าประคณุ สมเดจ็ พระวนั รตั (จนุ ท ์ พรฺ หมฺ คตุ ฺโต) อดีตกรรมการ
มหาเถรสมาคม อดตี ผปู้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทแ่ี ทนเจา้ คณะใหญค่ ณะธรรมยตุ และอดตี
เจา้ อาวาสวดั บวรนเิ วศวหิ าร เปน็ พระเถระผทู้ รงเกยี รตคิ ณุ และมคี ณุ ปู การตอ่
พระศาสนา และบา้ นเมืองหลายดา้ น อาทิ
ในดา้ นการพระศาสนา ดา� รงอยใู่ นเพศพรหมจรรยน์ บั แตบ่ รรพชาเมอ่ื
อาย ุ ๑๒ ป ี และอปุ สมบทในกาลตอ่ มา จวบจนเจรญิ ชนมาย ุ ๘๕ พรรษา
๖๖ ไดข้ ยันหมัน่ เพียรในการศกึ ษาพระปรยิ ตั ิธรรม จนสา� เรจ็ เปรียญธรรม
๙ ประโยค ต่อแต่น้ันก็ได้รับภาระธุระทางพระพุทธศาสนา เร่ิมแต่ทางการ
ศกึ ษา โดยเปน็ ครสู อนพระปรยิ ตั ธิ รรม ทงั้ แผนกธรรมและแผนกบาล ี ประจา�
สา� นกั เรยี นวดั บวรนเิ วศวหิ ารมายาวนาน จนถงึ กาลอนั ควร กไ็ ดเ้ ปน็ ผอู้ า� นวย
การศึกษาสา� นักเรยี นวดั บวรนเิ วศวิหาร เป็นเจา้ สา� นกั เรียนวดั บวรนเิ วศวิหาร
และเปน็ แม่กองธรรมสนามหลวง เปน็ ที่สุด
ในส่วนพทุ ธศึกษา คือสัง่ สอนพระพทุ ธศาสนาแก่คนทวั่ ไป กไ็ ดเ้ ปน็
ครูสอนศีลธรรมนักเรียนในโรงเรียนวัดบวรนิเวศมาตลอด เป็นอาจารย์สอน
พระธรรมวนิ ัยแกพ่ ระนวกภกิ ษ ุ คอื ผูบ้ วชใหมใ่ นสา� นกั วัดบวรนเิ วศวหิ ารเปน็
ประจา� และได้ท�าหน้าท่ถี วายพระธรรมวนิ ยั แดส่ มเดจ็ บรมบพติ ร พระราช
สมภารเจ้า พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อคร้ังด�ารงพระราช
อิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงผนวชเปน็
พระภิกษเุ มื่อพทุ ธศกั ราช ๒๕๒๑ เสด็จประทับ ณ วัดบวรนเิ วศวหิ าร ตลอด
เวลาแห่งการทรงผนวช
นอกจากน้ียังเป็นพระเถระผู้ทรงพระปาติโมกข์ รับหน้าท่ีเป็นผู้สวด
พระปาติโมกข์ในวัดบวรนิเวศวิหารมายาวนาน แม้ในกาลทรงผนวชแห่ง
สมเดจ็ บรมบพติ ร พระราชสมภารเจา้ พระบาทสมเดจ็ พระวชริ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั
กไ็ ดร้ บั อาราธนาใหเ้ ปน็ ผสู้ วดพระปาตโิ มกขถ์ วายในวนั อโุ บสถทมี่ าถงึ เปน็ กรณี
พเิ ศษ
ในด้านการคณะสงฆ์ เจา้ ประคุณสมเด็จ ฯ กไ็ ดด้ า� รงต�าแหนง่ หนา้ ท่ี
สา� คญั มาตามลา� ดบั กาลคอื เปน็ เจา้ คณะกรงุ เทพมหานคร-สมทุ รปราการ (ธ)
เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม เป็นพระอุปัชฌาย์ เป็นคณะผู้ปฏิบัติหน้าท่ี
สมเดจ็ พระสงั ฆราช เปน็ เจา้ อาวาสวดั บวรนเิ วศวหิ าร เปน็ เจา้ คณะใหญค่ ณะ
8
ธรรมยุต เปน็ ประธานคณะสนองงานในสมเดจ็ พระสงั ฆราช ในด้านคณะ
สงฆน์ น้ั เจา้ ประคณุ สมเดจ็ ฯ มงุ่ สรา้ งความสมคั รสมานสามคั คแี กท่ กุ ฝา่ ย
เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ กลา่ วอยเู่ สมอวา่ การคณะสงฆ์ตอ้ งมุ่งเอาพระพทุ ธ
ศาสนาเปน็ ท่ีตงั้
ในด้านการนวกรรม คือการก่อสร้างพุทธสถานและถาวรวัตถุอัน
อ�านวยสาธารณประโยชน์ เจา้ ประคุณสมเดจ็ ฯ ก็มดี า� ริให้สร้างพทุ ธสถาน
คอื อารามอนั ประณตี งดงามหลายแหง่ อาท ิ วดั วชริ ธรรมาราม อา� เภอมหาราช
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัดรัตนวนาราม อ�าเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด
ซ่ึงได้สร้างข้ึนใหม่ทั้งวัด ส่วนวัดคิรีวิหาร อ�าเภอเมืองตราด จังหวัดตราด
ได้บูรณะซ่อมแซมบางส่วน และสร้างเพ่ิมเติมขึ้นอีกเป็นจ�านวนมาก
นอกจากนก้ี ็ยังไดส้ ร้างอาคารโรงเรียน อาคารโรงพยาบาล อีกหลายแห่ง
ในด้านการพระอาราม นับแต่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร
สมเดจ็ พระสังฆราช สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก (สวุ ฑฒฺ นมหาเถร) ประชวร
และเสด็จไปประทับรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
สภากาชาดไทย อยา่ งตอ่ เนอื่ ง เจา้ ประคณุ สมเดจ็ ฯ กไ็ ดร้ บั สนองพระบญั ชา
ด�าเนินกิจการต่าง ๆ ภายในวัดบวรนเิ วศวิหารแทนเจา้ พระคุณสมเดจ็ พระ
สงั ฆราชอย่างเตม็ กา� ลังความสามารถในทุกดา้ น กระท่งั เจ้าพระคุณสมเดจ็
พระสังฆราชสิ้นพระชนม์ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๕๖ และได้ด�ารงต�าแหน่ง
เจา้ อาวาสวดั บวรนเิ วศวิหารสืบตอ่ มา
ในด้านจริยวัตรอัธยาศัย เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (จุนท ์
พรฺ หมฺ คตุ โฺ ต) มบี คุ ลกิ เงยี บขรมึ พดู นอ้ ย ตรงไปตรงมา เปน็ ผอู้ อ่ นนอ้ มถอ่ ม
ตน ให้เกียรตแิ กผ่ ูอ้ ื่นตามฐานะ สิง่ ทีไ่ ม่รู้ รบั ว่าไม่ร ู้ แล้วสืบสวนสอบถาม
สิ่งท่ีไม่แน่ใจในความถูกต้อง แม้จะเป็นประเพณีนิยม ไม่ด่วนตัดสินหรือ
ลงมือกระทา� แต่นา� ปรกึ ษาหารือ หรอื แสวงหาผูร้ ู้ช่วยพิจารณาตรวจสอบ
เปน็ ผหู้ นกั ในพระธรรมวนิ ยั ไมร่ บี ดว่ นไดด้ ว่ นปฏบิ ตั ิ มอี ธั ยาศยั ชอบ
วเิ คราะห์สอบสวน อาทเิ มื่อพบเห็นสหธรรมิกปนู พระเถระ กอ่ นทีจ่ ะแสดง
วนิ ยั กรรมตอ่ กนั ตอ้ งสอบถามพรรษายกุ าลใหแ้ นช่ ดั เพอ่ื จกั ไดไ้ มข่ ดั ตอ่ วนิ ยั
นยิ ม แลว้ จงึ ถวายคารวะตามควรแกพ่ รรษา เปน็ อาจณิ ณปฏบิ ตั ิ ไมว่ า่ จะอยู่
ในพระอารามหรือวา่ ไปในทใี่ ด ๆ
กลา่ วโดยรวม เจา้ ประคณุ สมเดจ็ พระวนั รตั (จนุ ท ์ พรฺ หมฺ คุตฺโต)
เปน็ พระเถระท่ีเจรญิ ด้วยคุณอันเปน็ อัตตสมบัต ิ และปรหิตปฏิบัติ เป็นผทู้ ี่
9
เรียกได้ว่า เจริญมาในส�านักอาจารย์ คือได้รับการศึกษาอบรมมาดีใน
สา� นกั ของพระอปุ ชั ฌายอ์ าจารย ์ จงึ ไดซ้ มึ ซาบเอาคณุ ธรรมและเยย่ี งอยา่ ง
อนั ดมี าเปน็ จรยิ วตั รและอธั ยาศยั สว่ นตน จนเปน็ ทป่ี รากฏแกส่ าธชุ นและ
บรรดาศิษยานุศษิ ย์ตลอดมา
ด้วยอัตตสมบัติและปรหิตปฏิบัติอันสมบูรณ์พร้อม กอปรด้วย
วัตตจริยาและอัธยาศัยดังกล่าวมา เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (จุนท์
พฺรหฺมคุตฺโต) จึงเป็นท่ีทรงเคารพนับถือในสมเด็จบรมบพิตร พระราช
สมภารเจา้ และพระบรมวงศานวุ งศ ์ จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดใหเ้ จา้ ประคณุ
สมเดจ็ ฯ ปฏบิ ตั ภิ ารกจิ ในการพระราชกศุ ล และในการพระราชพธิ สี า� คญั
ตา่ ง ๆ เปน็ ลา� ดบั มา นบั แตก่ ารถวายพระธรรมเทศนา เรม่ิ แตพ่ ทุ ธศกั ราช
๒๕๑๗ ขณะดา� รงสมณศกั ดท์ิ ่ี พระอมรโมล ี เปน็ ต้นมา โดยเฉพาะอย่าง
ยิง่ ในพระราชพธิ ีส�าคญั คอื
เป็นผู้น่ังพระเสลี่ยงกลีบบัวและราชรถน้อย อ่านพระอภิธรรม
น�าพระศพ ในพระราชพิธพี ระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจา้ พี่นาง
เธอ เจา้ ฟา้ กลั ยาณวิ ฒั นา กรมหลวงนราธวิ าสราชนครนิ ทร ์ จากพระทนี่ งั่
ดสุ ติ มหาปราสาท สู่พระเมร ุ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง พทุ ธศักราช
๒๕๕๑
เป็นผู้น่ังพระเสลี่ยงกลีบบัวและราชรถน้อย อ่านพระอภิธรรม
น�าพระศพ ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินี
เธอ เจ้าฟา้ เพชรรตั นราชสดุ า สิรโิ สภาพัณณวด ี จากพระทนี่ ง่ั ดสุ ิตมหา
ปราสาท สพู่ ระเมร ุ ณ มณฑลพธิ ที ้องสนามหลวง พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๕
เป็นผู้น�าพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล
อดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลท่ี ๙ จากโรงพยาบาลศิริราช สู่
พระท่ีน่งั ดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง พุทธศกั ราช ๒๕๕๙
เป็นผู้นั่งพระเสลี่ยงกลีบบัวและราชรถน้อย อ่านพระอภิธรรม
นา� พระบรมศพ ในพระราชพธิ ถี วายพระเพลงิ พระบรมศพพระบาทสมเดจ็
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ จาก
พระทีน่ ่ังดสุ ิตมหาปราสาท สู่พระเมรุมาศ ณ มณฑลพธิ ที ้องสนามหลวง
พุทธศกั ราช ๒๕๖๐
ครั้นเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม
พุทธศักราช ๒๕๖๕ ณ โรงพยาบาลจฬุ าลงกรณ ์ สภากาชาดไทย ความ
10
ทราบฝา่ ละอองธลุ พี ระบาท สมเดจ็ บรมบพติ ร พระราชสมภารเจา้ พระบาท
สมเด็จพระวชริ เกล้าเจ้าอยู่หวั จึงทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานนา�้ หลวง
สรงศพ พร้อมด้วยเครือ่ งประกอบเกยี รตยิ ศประดับศพ ณ หอ้ งบ�าเพญ็ กศุ ล
ช้ัน ๒ อาคาร ๑๐๐ ปี วดั บวรนเิ วศวิหาร
ทรงพระกรุณาโปรดเลื่อนชั้นเกียรติยศประกอบศพจากโกศไม้
สิบสอง เป็นพระราชทานโกศมณฑป ฉัตรเคร่ืองสูงทองแผ่ลวดตั้งประดับ
แตรงอน แตรฝรัง่ ป ่ี กลองชนะ ประโคมเวลาพระราชทานน้�าหลวงสรงศพ
และทรงรับศพอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์โดยตลอด มีพระพิธีธรรมสวด
พระอภธิ รรมเวลากลางคืน กา� หนด ๗ วนั
พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั และสมเดจ็ พระนางเจ้า ฯ พระบรม
ราชนิ ี เสดจ็ พระราชดา� เนนิ ไปพระราชทานนา�้ หลวงสรงศพ วางพวงมาลาของ
สว่ นพระองค ์ และของสมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ิ์ พระบรมราชนิ นี าถ พระบรม
ราชชนนีพนั ปีหลวง ทห่ี น้าโกศศพ
ทรงบ�าเพ็ญพระราชกุศลสัตตมวาร ปัญญาสมวาร และสตมวาร
พระราชทานอุทศิ ถวาย บรรดาศิษยานศุ ษิ ย์และผูเ้ คารพนบั ถอื ทง้ั บรรพชิต
และคฤหัสถ์หลากหลาย ต่างพร้อมใจกันบ�าเพ็ญกุศลถวายต่อเน่ืองมาตาม
ลา� ดบั กาล จวบจนวนั ที่ ๑ ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๕ จงึ ทรงพระกรณุ า
โปรดพระราชทานเพลงิ ศพเจา้ ประคณุ สมเดจ็ พระวนั รตั (จนุ ท ์ พรฺ หมฺ คตุ โฺ ต)
ณ เมรหุ ลวงหนา้ พลบั พลาอศิ รยิ าภรณ ์ วดั เทพศริ นิ ทราวาส กรงุ เทพมหานคร
ขอพระราชกุศลบุญราศีท่ีสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า
ผทู้ รงพระคณุ อนั ประเสรฐิ ไดท้ รงพระกรณุ าโปรดบา� เพญ็ พระราชทาน ตลอด
ถึงทักษณิ านุประทานกิจ ท่ีคณะสงฆ์ คณะศษิ ยานศุ ษิ ย์ และผเู้ คารพนบั ถือ
ท้งั ปวง ได้ต้ังใจบ�าเพญ็ อทุ ิศถวายมาแตต่ น้ จนถงึ วาระพระราชทานเพลิงศพ
เปน็ ทสี่ ดุ จงสมั ฤทธสิ ขุ วบิ ลู มนญุ ทพิ ยวบิ าก แดเ่ จา้ ประคณุ สมเดจ็ พระวนั รตั
(จนุ ท์ พรฺ หฺมคุตโฺ ต) ณ ทิพยคตนิ ัน้ ๆ จงทกุ ประการ เทอญ ฯ
วัดบวรนิเวศวิหาร และ วดั วชริ ธรรมาราม
๑ ธันวาคม ๒๕๖๕
11
ประวัตสิ ังเขป
สมเดจ็ พระวนั รตั (จุนท์ พฺรหมฺ คตุ โฺ ต)
เจา้ ประคุณสมเดจ็ พระวนั รัต (จนุ ท ์ พรฺ หมฺ คุตฺโต) นามเดมิ จนุ ท ์
พราหมณพ์ ิทกั ษ ์ เกดิ เมอื่ วันพฤหสั บดีท ี่ ๑๗ กันยายน พุทธศกั ราช ๒๔๗๙
เดือน ๑๑ ข้นึ ๑ ค�่า ปชี วด ณ บา้ นเกาะเกตุ ตา� บลช�าราก อา� เภอเมือง
ตราด จังหวดั ตราด โยมบดิ าชื่อ นายจนั ทร ์ พราหมณพ์ ิทักษ ์ โยมมารดา
ช่ือ นางเหลย็ พราหมณพ์ ทิ ักษ ์ (สกุลเดมิ รตั นเศยี ร)
เม่อื เยาว์วยั ไดร้ ับการศกึ ษาเบอื้ งตน้ ณ โรงเรยี นวดั คริ วี ิหาร ต�าบล
ช�าราก อ�าเภอเมอื งตราด จังหวัดตราด จบชัน้ ประถม ๔
ครัน้ จบช้ันประถม ๔ อาย ุ ๑๒ ปี ไดบ้ รรพชาเปน็ สามเณร ณ วัด
คิรีวิหารนั้น โดยมีพระราชวินัยเวที (ถาวร ฐานุตฺตโร ป.ธ.๗ ขณะด�ารง
สมณศักดทิ์ ่ ี พระวนิ ัยบัณฑติ ) เปน็ พระอุปัชฌาย์ เม่อื วนั ท ่ี ๑๒ พฤษภาคม
พทุ ธศกั ราช ๒๔๙๑ ไดศ้ กึ ษาเลา่ เรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรม ณ วดั คริ วี หิ ารนน้ั สอบ
ได้นักธรรมช้ันโท
พทุ ธศกั ราช ๒๔๙๔ ไดเ้ ขา้ มาอยวู่ ดั บวรนเิ วศวหิ าร และศกึ ษาเลา่ เรยี น
พระปริยัติธรรมต่อ จนสอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค เมื่อพุทธศักราช
๒๕๑๕
ครน้ั อายุครบอปุ สมบท ได้อุปสมบท ณ วดั บวรนิเวศวหิ าร เมือ่ วนั ที ่
๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙ มีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวง
วชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว. ช่นื สุจติ โฺ ต) ขณะดา� รงพระสมณศักด์ิท ่ี สมเดจ็ พระ
วชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นพระ
อปุ ชั ฌาย์ พระราชวนิ ยั เวที (ถาวร ฐานุตฺตโร ขณะด�ารงสมณศกั ด์ิที่ พระวินัย
บณั ฑิต) เปน็ พระกรรมวาจาจารย ์ พระราชบณั ฑติ (แจม่ ธมมฺ สาโร ขณะ
ดา� รงสมณศกั ดทิ์ ่ี พระครวู สิ ทุ ธธิ รรมภาณ) เปน็ พระอนสุ าวนาจารย ์ อปุ สมบท
ในพรรษากาลเดียวกับสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช
มหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลท่ี ๙ ซึง่ ทรงผนวชเปน็ พระภิกษุ ณ วัดพระ
ศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง แล้วเสด็จมาประทับ ณ วัด
บวรนิเวศวหิ าร
ครั้นสอบได้เป็นเปรียญธรรม ๕ ประโยค เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๐
เเลว้ นบั วา่ พน้ ภาวะของการเปน็ นกั เรยี น ตามประเพณนี ยิ มของสา� นกั เรยี นวดั
บวรนเิ วศวหิ าร จงึ ไดเ้ รมิ่ รบั ภาระธรุ ะทางพระพทุ ธศาสนา โดยเปน็ ครสู อนพระ
12
ปรยิ ตั ธิ รรม ทงั้ แผนกธรรมและแผนกบาล ี ประจา� สา� นกั เรยี นวดั บวรนเิ วศวหิ าร
เปน็ กรรมการสนามหลวง ทงั้ แผนกธรรมและแผนกบาลี เป็นผชู้ ่วยเจา้ อาวาส
วัดบวรนเิ วศวหิ าร
พทุ ธศกั ราช ๒๕๑๗ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เปน็ พระราชาคณะ
ชั้นสามญั ที่ พระอมรโมล ี นบั ตั้งแตน่ นั้ มา ก็เจรญิ ด้วยสมณศกั ด์ ิ และมภี าระ
หนา้ ที่ทางการพระศาสนาและการคณะสงฆเ์ พิ่มพูนขนึ้ ตามลา� ดับกาลดังน้ี
เมอื่ ดา� รงสมณศกั ดทิ์ ่ี พระอมรโมล ี เปน็ ผอู้ า� นวยการศกึ ษาสา� นกั เรยี น
วดั บวรนเิ วศวหิ าร
พุทธศกั ราช ๒๕๓๑ ไดร้ ับพระราชทานเลือ่ นสมณศกั ด์เิ ป็นพระราชา
คณะช้ันราชท ่ี พระราชสมุ นตม์ ุนี
เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร - สมุทรปราการ
(ธรรมยุต)
พทุ ธศักราช ๒๕๓๕ ไดร้ ับพระราชทานเล่อื นสมณศักด์ิเป็นพระราชา
คณะชั้นเทพท ่ี พระเทพกวี
เป็นเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร-สมุทรปราการ (ธรรมยุต) เป็น
กรรมการบรหิ ารคณะธรรมยุต เปน็ รองเจ้าคณะภาค ๔-๕-๖-๗ (ธรรมยตุ )
พทุ ธศักราช ๒๕๔๑ ได้รบั พระราชทานเลอ่ื นสมณศกั ดเิ์ ปน็ พระราชา
คณะชน้ั ธรรมท ่ี พระธรรมกว ี
เปน็ กรรมการมหาเถรสมาคม
เปน็ แมก่ องธรรมสนามหลวง ไดต้ ง้ั สา� นกั งานแมก่ องธรรมสนามหลวง
ข้นึ เป็นครงั้ แรก ณ ตึกหอสมุดมหามกุฏราชวทิ ยาลัย หนา้ วดั บวรนิเวศวหิ าร
เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราช
วทิ ยาลยั เปน็ ประธานกรรมการตา� ราและวชิ าการ มลู นธิ มิ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั
ในพระบรมราชปู ถัมภ์
พุทธศักราช ๒๕๔๓ ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นพระราชาคณะ
เจ้าคณะรองชัน้ หริ ัญบฏั ท่ี พระพรหมมุนี
เป็นผู้ชว่ ยปฏบิ ัติหน้าท่สี มเด็จพระสังฆราช เปน็ พระอปุ ัชฌาย์
พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๒ ได้รบั พระราชทานสถาปนาเปน็ สมเด็จพระราชา
คณะชั้นสพุ รรณบฏั ท ี่ สมเดจ็ พระวนั รตั
เป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นคณะผู้ปฏิบัติหน้าท่ีสมเด็จพระ
สังฆราช เป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต เป็นประธานคณะผู้สนองงานใน
สมเด็จพระสังฆราช เป็นผ้ปู ฏิบตั ิหน้าท่แี ทนเจา้ คณะใหญค่ ณะธรรมยุต
13
เปน็ เจ้าสา� นักเรยี นวดั บวรนเิ วศวิหาร เปน็ ประธานท่ปี รกึ ษาแม่กอง
ธรรมสนามหลวง เปน็ ประธานกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนก
สามญั เปน็ ประธานกรรมการการศกึ ษาพระปรยิ ตั ธิ รรม เปน็ อปุ นายกสภา
มหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลัย
เป็นประธานกรรมการบริหารกองทุนเผยแผ่พระธรรมในพระพุทธ
ศาสนา เป็นประธานกรรมการมูลนิธิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระ
สังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร เปน็ ประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลและ
โรงเรียนสมเดจ็ พระปิยมหาราชรมณยี เขต จงั หวดั กาญจนบรุ ี เป็นประธาน
กรรมการมลู นธิ แิ ผน่ ดนิ ธรรม เปน็ ผอู้ า� นวยการมลู นธิ มิ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั
ในพระบรมราชูปถมั ภ์
ในดา้ นการนวกรรมและการบรู ณะปฏสิ งั ขรณพ์ ทุ ธสถาน เจา้ ประคณุ
สมเด็จฯ กไ็ ดด้ า� ร ิ และดา� เนนิ การขึน้ เป็นจา� นวนมาก ทงั้ ในประเทศ และใน
ต่างประเทศ ทสี่ า� คัญคือ
สรา้ งอาคาร ๑๐๐ ป ี ญสส. วัดบวรนเิ วศวหิ าร สรา้ งอาคารท่ีพกั
สงฆ์ ๕ ชน้ั วดั บวรนเิ วศวหิ าร สรา้ งอาคารจอดรถวดั บวรนเิ วศวิหาร
สรา้ งวัดวชิรธรรมาราม อา� เภอมหาราช จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา
สร้างวดั รตั นวนาราม อ�าเภอบอ่ ไร ่ จังหวดั ตราด บูรณะและสรา้ งอาคารขึน้
ใหม่อกี เป็นจ�านวนมาก ในวัดคริ ีวิหาร อ�าเภอเมืองตราด จังหวัดตราด
สร้างอาคารเรียนโรงเรียนวัดคิรีวิหาร และอาคารเรียนโรงเรียน
มธั ยมครี เี วศนร์ ตั นปู ถมั ภ ์ อา� เภอเมอื งตราด จงั หวดั ตราด สรา้ งตกึ สกลมหา
สังฆปรณิ ายก หลงั ท ่ี ๑๕ โรงพยาบาลตราด
เป็นประธานโครงการหุ้มทองค�ายอดฉัตรพระมหาเจดีย์พุทธคยา
ประเทศอินเดยี
ในดา้ นพระบรมราชวงศ ์ เจา้ ประคณุ สมเดจ็ ฯ ไดป้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทสี่ นอง
พระราชกรณยี กจิ และสนองพระราชศรทั ธาในการพระราชพธิ ี และการพระ
ราชกุศลในโอกาสตา่ ง ๆ เสมอมา แต่เม่ือดา� รงสมณศกั ดิ์ท ่ี พระอมรโมล ี
ท่นี บั วา่ เป็นกรณียะพเิ ศษ คอื
เป็นผู้ด�าเนินการสร้างพระพุทธรูปปางลีลา เนื้อทองค�า ประจ�า
พระชนมพรรษา เนอ่ื งในโอกาสพระราชพธิ มี หามงคล เฉลมิ พระชนมพรรษา
๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔
เป็นผู้ด�าเนินการสร้างพระพุทธรูปปางลีลา เนื้อทองค�า ประจ�า
พระชนมพรรษา เฉลิมพระเกียรตสิ มเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ นี าถ
14
เน่อื งในโอกาสพระราชพธิ ีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๑๒
สิงหาคม ๒๕๕๗
เป็นพระอาจารย์ถวายพระธรรมวินัย แด่พระบาทสมเด็จ
พระเจา้ อยหู่ วั รชั กาลท ี่ ๑๐ ขณะทรงดา� รงพระราชอสิ รยิ ยศ สมเดจ็ พระบรม
โอรสาธริ าชฯ สยามมกุฎราชกมุ าร ทรงผนวชเปน็ พระภิกษุ เสดจ็ ประทบั
ณ วัดบวรนเิ วศวิหาร ตลอดระยะเวลาแหง่ การทรงผนวช เมื่อพุทธศักราช
๒๕๒๑
เป็นผู้น่ังพระเสล่ียงกลีบบัวและราชรถน้อย อ่านพระอภิธรรม
นา� พระศพ ในพระราชพธิ พี ระราชทานเพลงิ พระศพสมเดจ็ พระเจา้ พน่ี างเธอ
เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จากพระท่ีนั่งดุสิต
มหาปราสาท สู่พระเมรุ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เม่ือวันที่ ๑๕
พฤศจกิ ายน ๒๕๕๑
เป็นผู้น่ังพระเสล่ียงกลีบบัวและราชรถน้อย อ่านพระอภิธรรม
น�าพระศพ ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ
เจา้ ฟา้ เพชรรตั นราชสดุ า สริ โิ สภาพณั ณวดี จากพระทน่ี ั่งดุสิตมหาปราสาท
สพู่ ระเมรุ ณ มณฑลพธิ ที ้องสนามหลวง เมอ่ื วนั ท ี่ ๙ เมษายน ๒๕๕๕
เป็นผู้น�าพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล
อดุลยเดช บรมนาถบพติ ร รชั กาลท ี่ ๙ จากโรงพยาบาลศริ ริ าช ส่พู ระทน่ี ง่ั
ดสุ ิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เมือ่ วันท่ี ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙
เป็นผู้นั่งพระเสล่ียงกลีบบัวและราชรถน้อย อ่านพระอภิธรรม
น�าพระบรมศพ ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จ
พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช บรมนาถบพติ ร รชั กาลท ี่ ๙ จากพระทนี่ งั่
ดุสติ มหาปราสาท สู่พระเมร ุ ณ มณฑลพิธที ้องสนามหลวง เมอื่ วันท ่ี ๒๖
ตลุ าคม ๒๕๖๐
นบั แตเ่ จา้ ประคณุ สมเดจ็ ฯ ดา� รงสมณศกั ดท์ิ ี่ สมเดจ็ พระวนั รตั ภาระ
หน้าท่ีท้ังทางการพระศาสนาและการคณะสงฆ์ในต่างประเทศก็มีมากขึ้น
เจา้ ประคณุ สมเดจ็ ฯ จงึ ตอ้ งเดนิ ทางไปปฏบิ ตั หิ นา้ ทส่ี นองงานคณะสงฆ ์ เชน่
การประชุม การประกอบสังฆกรรม ปฏิบัติหน้าที่เจริญศาสนสัมพันธ์กับ
คณะสงฆ ์ และพุทธศาสนิกชนในประเทศนนั้ ๆ ปฏิบตั ิหนา้ ทีส่ นองศรทั ธา
ของหน่วยราชการ องค์กร และคณะบคุ คลในโอกาสตา่ ง ๆ ณ ตา่ งประเทศ
ในทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป และทวีปอเมริกา คือสาธารณรัฐประชาชนจีน
เกาหล ี ญี่ปนุ่ เนปาล อนิ เดยี สวติ เซอร์แลนด์ สเปน นอร์เวย์ สหราช
15
อาณาจกั ร และสหรฐั อเมรกิ า นบั วา่ เจา้ ประคณุ สมเดจ็ พระวนั รตั ไดเ้ ปน็ พระ
มหาเถระท่ีได้ท�าหนา้ ที่ทางงานพระธรรมทตู ท่ีสา� คญั รูปหน่ึงของไทย
เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต นับเป็นพระมหาเถระท่ีได้รับถวาย
เกียรติคุณ ทั้งในประเทศและในต่างประเทศอยา่ งกวา้ งขวางรูปหนงึ่ คือ
ไดร้ ับถวายดษุ ฎีบณั ฑติ กติ ตมิ ศักดิจ์ ากสถาบนั ตา่ ง ๆ ดงั นี้
- ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักด์ิ สาขาสังคมศาสตร ์
เพ่อื การพัฒนา มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั มหาสารคาม
- ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาพระพุทธ-
ศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
- ปรญิ ญาปรชั ญาดษุ ฎบี ณั ฑติ กติ ตมิ ศกั ด ์ิ สาขาวชิ าพทุ ธศาสตรก์ าร-
พัฒนา มหาวิทยาลยั ราชภฏั พระนคร
- ปรญิ ญาศาสนศาสตรดษุ ฎบี ณั ฑติ กติ ตมิ ศกั ด ์ิ สาขาวชิ าการบรหิ าร-
การศึกษา มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลยั
- ปรญิ ญาศลิ ปศาสตรดษุ ฎบี ณั ฑิตกติ ติมศักด ิ์ สาขาวิชาวฒั นธรรม-
ศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏก�าแพงเพชร
ได้รับถวายสมณศักด์ิที่ อัครมหาบัณฑิต จากรัฐบาลสาธารณรัฐ
แห่งสหภาพเมยี นมา
เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต มรณภาพด้วยโรคมะเร็งถุงน�้าด ี
ณ โรงพยาบาลจฬุ าลงกรณ์ สภากาชาดไทย เม่อื วนั องั คารท่ี ๑๕ มนี าคม
พุทธศักราช ๒๕๖๕ สิริอายไุ ด้ ๘๕ ปี ๕ เดอื น ๒๖ วัน พรรษา ๖๖
16
17
คำำ� นำ�ำ
ชาดก คือเรื่องราวในอดีตชาติของพระพุทธเจ้า เม่ือคร้ังยังเป็น
พระโพธสิ ตั วบ์ า� เพญ็ บารม ี หรอื ทา� ความด ี เพอื่ ตรสั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ ประมวล
ไว้เป็นคัมภีร์หนึ่ง ในพระไตรปิฎก เรียกว่า ชาตกะ รวมอยู่ในขุททกนิกาย
สุตตันตปิฎก มีท้ังหมด ๕๔๗ เรื่อง แต่นิยมเรียกกันเพื่อจ�าง่ายว่า ชาดก
๕๐๐ เร่ือง ชาวพทุ ธไทยนยิ มเรียกอีกชื่อหนงึ่ ว่า พระเจา้ ๕๐๐ ชาติ ซง่ึ มี
ความหมายว่า อดีตชาต ิ ๕๐๐ ชาติของพระพุทธเจ้า
ชาดก เป็นเรื่องราวของพระพุทธเจ้าก่อนท่ีจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
เป็นช่วงชีวิตที่ส่ังสมความดีโดยปรารถนาท่ีจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ที่เรียก
ว่า บ�าเพ็ญบุญบารมี ผู้บ�าเพ็ญบุญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า จึงเรียกว่า
พระโพธิสัตว์
ฉะน้ัน เร่อื งชาดก หากกล่าวอย่างง่ายๆ กค็ อื เร่อื งราวของคนทีต่ ้งั ใจ
ท�าดี ชาดกจึงมีลักษณะเปน็ นิทานคติธรรม ส้นั บา้ งยาวบ้าง
ชาดกท่ปี ระมวลไว้ในชนั้ พระบาลหี รอื พระไตรปิฎก มเี ฉพาะข้อธรรม
หรอื คา� สอน ทเ่ี รยี งเปน็ คาถาลว้ น บางเรอื่ งกส็ น้ั ๆ บางเรอื่ งกย็ าว มเี ฉพาะบาง
เรอ่ื งทกี่ ล่าวถึงชอ่ื บุคคลบา้ ง สถานทีบ่ า้ ง แตพ่ บเปน็ ส่วนนอ้ ย และไมพ่ อให้
เขา้ ใจเร่อื งราวได ้
เรอ่ื งราวละเอยี ดของชาดกแตล่ ะเรอื่ งมาปรากฏอยใู่ นคมั ภรี อ์ รรถกถา
ซึ่งเปน็ คัมภรี อ์ ธิบายขยายความพระไตรปิฎก ทีพ่ ระอรรถกถาจารยเ์ รียบเรยี ง
ข้ึนภายหลังเรียกวา่ คมั ภีร์อรรถกถาชาดก
เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรตั (จนุ ท ์ พฺรหฺมคุตโฺ ต) เหน็ วา่ ชาดกเป็น
เร่ืองราวการท�าความดีของคนในหลากหลายสถานะ หรือหลายประเภท มี
เหตกุ ารณ ์ วธิ กี าร และคา� สอน เปน็ คตสิ อนใจมากมายหลายดา้ น ควรแกก่ าร
ส�าเหนียกศึกษา และสามารถน�ามาเป็นแบบอย่าง หรือให้ขอ้ คิดแก่คนท่วั ไป
ได้เปน็ อยา่ งดี จงึ ได้น�าชาดกบางเร่ืองมาเลา่ แบบงา่ ยๆ และชี้ให้เห็นคตธิ รรม
ทค่ี วรแกก่ ารศกึ ษาใหผ้ อู้ า่ นไดเ้ หน็ และไดต้ งั้ ชอื่ ขอ้ เขยี นชดุ นวี้ า่ คตชิ วี ติ จาก
ชาดก
18
การเล่าเร่ืองราวชาดกให้ฟังนั้น นับเป็นวิธีการสอนอย่างหน่ึงใน
พระพุทธศาสนา แม้พระพุทธองค์ก็ทรงใช้การสอนด้วยวิธีเล่าเรื่องชาดกเป็น
ครงั้ คราว
เรอ่ื ง คติชีวิตจากชาดก จึงเปน็ ขอ้ เขยี นของเจา้ ประคุณสมเด็จฯ อีก
ชดุ หนง่ึ ทีค่ วรแกก่ ารศกึ ษาและควรแก่การเผยแผใ่ ห้กว้างขวาง เพื่อประโยชน์
แก่คนท่ัวไป วัดบวรนิเวศวิหารและวัดวชิรธรรมาราม จึงได้จัดพิมพ์โดย
เสดจ็ พระราชกศุ ล ในงานพระราชทานเพลิงศพเจา้ ประคุณสมเดจ็ พระวนั รัต
(จุนท ์ พฺรหมฺ คุตฺโต) ณ เมรุหลวงหนา้ พลับพลาอิศรยิ าภรณ์ วัดเทพศริ ินทรา-
วาส เพอื่ น้อมถวายเป็นคุรุสมั มานสกั การะและธรรมานสุ รณ์ บชู าพระคณุ แด่
เจ้าประคณุ สมเดจ็ ฯ ในวาระน้ี
วดั บวรนิเวศวหิ าร และ วัดวชิรธรรมาราม
๑ ธนั วาคม ๒๕๖๕
19
คา� ปรารภ สำรบญั ๑๒๙
ประวตั สิ ังเขป สารบญั ๑๓๒
ค�าน�า ๑๓๖
มาณพชบุ เสือ ๘ นกกระทา ๑๓๙
ราชสีหค์ บจิ้งจอก ๑๒ นกยงู ทอง ๑๔๒
จระเขแ้ สนกล ๑๘ พญานาคราช ๑๔๕
นกแขกเตา้ จา� ศีล ๒๔ ฤษีเลย้ี งง ู ๑๔๙
นายพรานสุนัข ๒๗ พญาเนือ้ ทราย ๑๕๒
นกพิราบกบั กาโกง ๓๑ ลกู นกแขกเต้า ๑๕๕
เสอื เหลอื งอนั ธพาล ๓๕ กระตา่ ยต่ืนตมู ๑๕๘
กาสปุ ตั ตะ ๓๘ โคกับราชสหี ์ ๑๖๑
สนุ ัขทะนง ๔๒ หมทู ้าราชสีห์ ๑๖๔
สมันตดิ รส ๔๖ แพะสิน้ เวร ๑๖๘
นกนอ้ ยฆา่ ช้าง ๔๙ เมือ่ จ้งิ จอกเปน็ ราชสีห์ ๑๗๑
มา้ อาชาไนย ๕๓ หมกี ับไมต้ ะครอ้ ๑๗๕
จ้งิ จอกเจา้ เลห่ ์ ๕๗ ก้อนหนิ พดู ได้ ๑๗๙
หมูปา่ ฆา่ เสอื ๖๐ จิง้ จอกกบั ราชสหี ์ ๑๘๔
นกกระจาบ ๖๔ ชีเปลือยปลอม ๑๘๘
สัตว์สามสหาย ๖๙ พญานิโครธ ๑๙๔
เพือ่ นแท ้ ๗๒ สุนขั รบั บาป ๑๙๙
พญาหงสก์ บั เทพารักษ์ ๗๖ สมันทอง ๒๐๔
กาลามก ๘๐ กวางทอง ๒๐๙
จิ้งจอกหลอกกนิ ปลา ๘๓ เหยยี่ วกับพรานป่า ๒๑๕
กระตา่ ยจา� ศีล ๘๘ กรรมสนองกรรม ๒๒๔
โคนนั ทวศิ าล ๙๑ แรงพยาบาท ๒๒๘
นกยางเจา้ เลห่ ์ ๙๕ อานุภาพบุญ ๒๓๒
หงส์ทอง ๙๙ นายพรานเบ็ดโลภมาก ๒๓๕
นกแขกเต้ากตัญญู ๑๐๔ กา� เนดิ สรุ า ๒๓๘
ชื่อไมส่ �าคัญ ๑๐๘ ลงิ เฝา้ สวน ๒๔๑
พญาช้างเผอื ก ๑๑๒ พระราชาผู้กตญั ญู ๒๔๔
กาลมื ตวั ๑๑๕ ราชสีห์กบั เสือโคร่ง ๒๔๘
๑๑๙ หงส์กับเตา่
๑๒๒ คา� สอนของพระราชา
๑๒๖ ต้นไทรวเิ ศษ
20
ความเปน็ พี่น้อง ๒๕๑ ก�าแพงคกุ ๓๖๘
คนไม่รู้จักคณุ คน ๒๕๔ โคตวั ท่ี ๑๘ ๓๗๑
มดกับนกขุนทอง ๒๕๘ กาหลงซาก ๓๗๔
ไก่วเิ ศษ ๒๖๑ สามคั คีคอื พลงั ๓๗๗
ราชสีหเ์ นรคณุ ๒๖๕ ปูทองผฉู้ ลาด ๓๘๐
ตัวอบุ าทว ์ ๒๖๘ ลงุ ดา� ๓๘๓
พญาชา้ งต้นกับลกู สุนัข ๒๗๒ ความลบั ไม่มีในโลก ๓๘๖
พระราชาพระเกศาหงอก ๒๗๖ กาเจ้าเลห่ ์ ๓๘๙
ครอบครัวชาวนา ๒๗๙ ตายเพราะปาก ๓๙๓
นกกระทาเจา้ ปัญญา ๒๘๓ ตายเพราะไม่เรยี น ๓๙๗
หนอนกบั เทวดา ๒๘๖ มติ รท่ีโง่เขลา ๔๐๐
รักยาวใหบ้ ัน่ รกั สน้ั ใหต้ อ่ ๒๘๙ กง้ิ กา่ จอมหยงิ่ ๔๐๓
การใหด้ วงตาเป็นทาน ๒๙๔ ช้างกตญั ญ ู ๔๐๖
บญุ ทีใ่ หท้ านแก่ปลา ๓๐๐ ทางกนั ดาร ๔๑๐
ไมค่ วรพดู ใหเ้ กนิ ความจรงิ ๓๐๔ พ่อค้าเร ่ ๔๑๔
ธรรมพิพากษา ๓๐๗ อ�านาจหญิง ๔๑๘
หญงิ เกบ็ ฟืน ๓๑๑ ความขยัน ๔๒๒
ศลี ธรรมดี ชีวมี ีสุข ๓๑๕ กลลวงนายพราน ๔๒๖
วิชาหลอกคน ๓๒๐ หงสผ์ ภู้ ักดี ๔๓๐
หม่บู า้ นที่ความตายไปไม่ถงึ ๓๒๔ หงสเ์ ลอื กค ู่ ๔๓๔
ปากเป็นเอก ๓๒๘ ยงุ เป็นเหตุ ๔๓๙
สภานกอลเวง ๓๓๒ เพลงขับพระราชา ๔๔๓
ชาวนาขอโค ๓๓๖ ขาดประสบการณ ์ ๔๔๗
ทิดคง ๓๔๐ พญาวานรกบั ผเี ส้อื น้�า ๔๕๑
ทดิ ดี ทิดรา้ ย ๓๔๓ ความพยายาม ๔๕๕
นกเจ้าปญั ญา ๓๔๖ จนทรพั ยแ์ ตไ่ มจ่ นใจ ๔๖๐
พุทธานุภาพ ๓๔๙ อยา่ ตัดสินคนทีภ่ ายนอก ๔๖๔
ชา้ งเกเรกลับใจ ๓๕๓ กาเทียมหงส์ ๔๖๘
มฏั ฐกุณฑลี ๓๕๗ การให้คือการได้ ๔๗๒
ไฟสุมอก ๓๖๑ คุณธรรมของหัวหนา้ ๔๗๖
ราคาของอ�านาจ ๓๖๔ จิ้งจอกใฝ่สูง ๔๗๙
21
ถอื ธรรมเป็นใหญ ่ ๔๘๓ นางโจร ๕๔๕
เทวดาที่ตน้ สะเดา ๔๘๗ กรรมเปน็ เหตุ ๕๔๙
ปญั ญาประเสรฐิ กว่าทรพั ย์ ๔๙๐ ไก่ขันไมเ่ ป็นเวลา ๕๕๔
แปลงวกิ ฤตเปน็ โอกาส ๔๙๒ ดวงใจแม ่ ๕๕๗
รอดด้วยปัญญา ๔๙๕ เทวดามีเพอ่ื นเปน็ มนษุ ย ์ ๕๖๐
ฤกษง์ ามยามด ี ๔๙๘ เทวดาหนุ่มกับเทวดาแก ่ ๕๖๓
ฤษีกินเหย้ี ๕๐๒ นางกากี ๕๖๖
ศรัทธากับปญั ญา ๕๐๕ ประโยชนข์ องการคบเพอื่ น ๕๖๙
เหย่ยี วนกเขา ๕๐๙ ฝนโบกขรพรรษ ๕๗๒
ความสวสั ดี ๕๑๒ พระราชากับคนสนทิ ๕๗๕
แรงอธษิ ฐาน ๕๑๗ ปัญญาพาตวั รอด ๕๗๙
ทุกขเ์ พราะรกั ๕๒๒ รอดตายเพราะธรรม ๕๘๒
ข้อคิดจากการขอ ๕๒๖ อย่าผดั วันประกนั พร่งุ ๕๘๕
ผีเส้ือน�้า ๕๓๐ อย่าดแี ตส่ อนคนอื่น ๕๘๘
ด้วงข้คี วาย ๕๓๔ สองสหายแสวงโชค ๕๙๑
สตเิ ตลดิ เกดิ ปัญหา ๕๓๘ วดั วชิรธรรมาราม ๕๙๔
ลูกสกาอาบยาพิษ ๕๔๒
22
23
24
มาณพชุบเสือ
“ทา� คณุ แกผ่ ู้รา้ ย มักใหโ้ ทษ”
ครง้ั หนงึ่ ในปา่ หมิ พานต ์ ณ เมอื งพาราณส ี เมอื่ พระเจา้ พรหม
ทตั เสวยราชย ์ พระโพธสิ ตั วเ์ กดิ เปน็ พราหมณม์ หาศาล มสี มบตั มิ าก
เมอื่ เจรญิ วยั ถกู ส่งไปสเู่ มอื งตกั กศลิ า เรยี นวิชาศลิ ปศาสตร์ทง้ั ปวง
จนคล่องแคล่วแล้วตั้งตัวเป็นอาจารย์สอนศิลปวิทยาแก่มาณพ
ประมาณ ๕๐๐ คน ดา� เนินชีวติ ด้วยการสอนศิษยต์ ลอดมา
ในบรรดาศษิ ยข์ องพระโพธิสตั ว ์ มีอยูค่ นหน่ึงชื่อสญั ชีพ ได้
เรยี นส�าเรจ็ มนต์ชุบชวี ติ คนตายใหฟ้ ื้นได้ไปจากอาจารย ์ แต่สัญชพี
เรยี นแตท่ างผกู ไมไ่ ดเ้ รยี นทางแก ้ คอื ชบุ ชวี ติ คนตายใหค้ นเปน็ อยา่ ง
เดียว จะท�าใหต้ ายอีกไมไ่ ด้
วนั หนง่ึ เขาออกปา่ เพอื่ หาฟนื กบั ศษิ ยค์ นหนงึ่ พบเสอื ตวั ใหญ่
นอนตายอยใู่ นปา่ สญั ชพี ใครจ่ ะทดลองวชิ าและอวดความสามารถตวั
จึงเอย่ กับเพอ่ื นวา่ “เพอ่ื นเอย๋ เสอื ท่นี อนตายอยู่นี้ เราจะชุบชีวิตให้
เปน็ ข้นึ มา เมอื่ ไรก็ได ้ มนตน์ ้เี ราเรยี นมาจากอาจารย์ส�าเรจ็ แล้ว”
“อยา่ โมไ้ ปหนอ่ ยเลย” เพอ่ื นขดั คอ “ถา้ แกทา� ไดเ้ ชน่ นน้ั กก็ ลาย
เป็นเทวดาไปแล้ว “ถ้าไมเ่ ชือ่ จะลองดกู ็ยงั ได”้ สญั ชพี ยืนกราน
“ถา้ เกง่ จรงิ กล็ องดซู ”ิ เพอื่ นกลา่ วแลว้ กห็ วั เราะเปน็ เชงิ เยย้ หยนั
สัญชีพจงึ รา่ ยมนต์เปน็ เวลานาน เสอื โคร่งเร่ิมรสู้ กึ ตัวขึ้น โดย
ลา� ดบั จนกระทงั่ ลมื ตา ลกุ พรวดขน้ึ มาดว้ ยความหวิ และโกรธ เสอื จงึ
เดนิ ปร่เี ขา้ มาขู่ค�ารามจะเอาชีวติ เพื่อนตะโกนให้สญั ชพี ร่ายมนต์ให้
เสือตายดังเดมิ สญั ชพี ไม่สามารถทา� ได ้ เพราะเรยี นมาแตว่ ิชาชบุ
ชวี ติ ทต่ี ายใหเ้ ปน็ มไิ ดเ้ รยี นทางทา� ใหต้ าย พอไดร้ ะยะเสอื จงึ กระโดด
ตะปบสญั ชพี ลม้ ลง และขยา้� กา้ นคอสญั ชพี ถงึ ความตายในทนั ท ี หลงั
จากน้ันเสือจึงหันไปจัดการกับเพื่อนอีกคนหน่ึงถึงส้ินชีพไปตามกัน
ทั้งคนู่ อนตายอยู่ในท่ไี ม่ไกลกัน
25
มาณพทง้ั หลายเมอื่ ไมเ่ หน็ ทง้ั สองคนกลบั มา จงึ ออกเทยี่ ว ตาม
หา กพ็ บท้งั สองนอนตายเรียงกนั อยู่ จงึ น�าศพไปหาอาจารย์ เม่อื
เห็นแผลอาจารย์กร็ ไู้ ด้ทันที จึงเรยี กบรรดาศิษยท์ ัง้ หมดแลว้ กลา่ ว
สอนวา่
“ศิษย์ท้ังหลาย พวกเธอจงดูสัญชีพมาณพเป็นตัวอย่าง เขา
ทา� คณุ แกเ่ สอื รา้ ย ธรรมดาเสอื เปน็ สตั วไ์ มร่ คู้ ณุ คน จงึ ทา� อนั ตรายตน
ถึงชวี ิต เหมอื นมนษุ ย์บางคนเป็นคนชวั่ ชา้ สามานย์ ย่อมไมร่ ู้จักบุญ
คุณคนอื่น การท�าคุณแก่บุคคลประเภทนี้อาจถูกเขาท�าอันตรายใน
ภายหลังได้ การเข้าใกล้คนใจบาป ไม่ว่าในทางสร้าง คุณหรือการ
คบหา ยอ่ มใหโ้ ทษตลอดกาล” แลว้ พากนั ชว่ ยทา� ศพสญั ชพี และเพอื่ น
ตามประเพณี
ชาดกเรอ่ื งนสี้ อนเราวา่ คนชว่ั ไมว่ า่ จะอยใู่ นฐานะเชน่ ไร ยอ่ ม
มีใจทุจริต ทุศีล ลามกอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไปยกย่องสรรเสริญ
บชู าคนประเภทน้ี มักจะหวนกลับมาท�าอนั ตรายเราได้ในภายหลัง
เพราะคนช่ัวชอบลอบกดั และทา� ร้ายคนไมเ่ ลอื กหน้า เขา้ หลักที่ว่า
ท�าคุณแก่สัตว์รา้ ยย่อมให้โทษ เหมือนสัญชีพชบุ เสอื ก็ถูกเสือกัด
ตาย จึงควรถือเป็นคติ อย่าเข้าใกล้หรือยกย่องคนช่ัวเลยทีเดียว
เพราะการสมาคมคนชวั่ พาตวั ใหห้ ายนะตลอดไป
(สญั ชีวชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย
ชาดก เอกนบิ าต เล่ม ๒๙ หนา้ ๔๗๑)
26
27
ราชสีหค์ บจิ้งจอก
“คบคนชั่ว ปราชัย”
คร้ังหนึ่งในป่าหิมพานต์ พระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชสีห์ อยู่ร่วมกับนาง
ราชสีห์ตวั หน่ึง ตอ่ มา ได้ออกลูกมา ๒ ตัว ตัวหนึ่งเป็นตวั ผู้ อกี ตัวหนง่ึ เป็น
ตวั เมยี ไดต้ ง้ั ช่อื ลกู ตวั ผ้วู ่า “มาโนช” เมอ่ื โตเปน็ ราชสหี ์หนมุ่ ไดอ้ ยรู่ ว่ มกับ
นางราชสหี ์ตัวหนึง่ จงึ รวมเป็นราชสีห์ ๕ ตวั ด้วยกนั
วันหน่ึง ราชสีห์มาโนชออกป่าเพ่ือหาอาหารมาเลี้ยงกัน ได้พบ
หมาจิ้งจอกรุ่นตัวหน่ึง จิ้งจอกหนีไม่ทันจวนตัวเข้า จึงหมอบลงแทบเท้า
ราชสีหแ์ ล้วกลา่ วว่า
“ข้าแตน่ าย! ข้าพเจา้ เห็นท่านแล้วนกึ เล่ือมใส ใคร่ขออย่เู ป็นข้ารบั ใช้
หากทา่ นไม่ขัดขอ้ ง โปรดรบั ข้าพเจ้าไว้เป็นทาสด้วยเถดิ ”
มาโนชกลา่ ววา่ “ดีละ เจา้ จงไปอยูร่ บั ใช้เรา เร่ืองอาหารการกินไมต่ ้อง
หว่ ง จะเลย้ี งดใู หอ้ ม่ิ หนา� สา� ราญทกุ เวลา” แลว้ พาหมาจง้ิ จอกไปยงั ถา้� ทอ่ี ยขู่ อง
ตน
พญาราชสีห์ตัวพ่อเห็นดังนั้นจึงเตือนลูกว่า “ธรรมดาหมาจิ้งจอกเป็น
สัตว์เลวทรามต่�าชาติ มักประกอบกรรมท�าช่ัวอยู่เสมอ อย่าน�ามาอยู่กับเรา
เลย มนั จะน�าความพินาศมาสู่เราไม่วันใดก็วันหนึ่ง”
ห้ามอย่อู ยา่ งนน้ั แมห้ ลายคร้ัง กไ็ มอ่ าจห้ามลกู เลิกคบกบั จ้งิ จอกได ้ จงึ
กล่าวเตือนลูกวา่ “แล้วเจา้ กจ็ ะเห็นไดด้ ว้ ยตวั เอง”
วนั หนง่ึ เจา้ หมาจงิ้ จอกนกึ อยากกนิ เนอื้ มา้ จงึ พดู กบั ราชสหี ์ “เจา้ นาย!
เนือ้ ชนิดอน่ื จะเปน็ ช้าง เสือ กวาง เกง้ เราก็เคยกินกนั หมดแลว้ ยังแต่เน้อื
ม้าเท่านน้ั ท่ยี ังไมเ่ คยได้ชิม วันนีเ้ ราไปจบั มา้ มากนิ กันใหอ้ ร่อยสักวันเถอะ”
“มา้ ท่ีไหนมเี ล่าเพอ่ื นยาก” มาโนชถาม “ข้าพเจ้าเห็นม้าฝงู หน่ึงหากิน
อยรู่ มิ แม่น้า� ใกล้เมืองพาราณสี ดอู ้วนพีนา่ กนิ มาก” จิ้งจอกแนะน�า มาโนช
ไดฟ้ งั ดงั นนั้ กด็ ใี จ จงึ แอบไปฝง่ั แมน่ า�้ ในเวลาทพ่ี วกเจา้ ของนา� มา้ มาอาบนา้� ใน
เวลาเยน็ เมอ่ื ไดโ้ อกาสจงึ ตะปบมา้ ตวั หนง่ึ ลม้ ลงแลว้ ขยา้� กา้ นคอเหวยี่ งขน้ึ หลงั
วิ่งเข้าปา่ โดยเร็ว เม่อื ถงึ ถ้�า วางมา้ ลงแล้วกินอยา่ งอมิ่ หน�าสา� ราญ
หลังจากกินเนือ้ ม้าแลว้ พ่อจงึ กล่าวกบั มาโนชว่า “ลกู เอ๋ย ธรรมดามา้
28
มักจะเป็นพาหนะของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นมนุษย์มีไหวพริบฉลาดและ
อ�านาจมาก อาจใช้นกั แมน่ ธนูมาดกั ยงิ เมอื่ ใดกไ็ ด้ ชอื่ ว่าราชสีห์ท่ชี อบกินเนือ้
ม้าแล้วมักมอี ายุส้นั ตอ่ ไป เจา้ อยา่ ได้แตะตอ้ งสัตว์ประเภทม้าอกี เลย สัตว์
อ่นื มีกนิ ถมไป จงงดเน้อื ม้าเสยี เถดิ ”
มาโนชไดฟ้ งั ดงั นน้ั กห็ าเชอื่ ไม ่ ยงั คงดกั จบั กนิ มา้ ตามคา� แนะนา� ของสนุ ขั
จงิ้ จอกอยนู่ นั่ เอง เชอ่ื ฟงั คา� เพอ่ื นมากกวา่ คา� ของพอ่ พระเจา้ พาราณสที รงสดบั
วา่ มรี าชสหี ม์ าจบั มา้ เปน็ ประจา� จงึ รบั สงั่ ใหง้ ดการนา� มา้ ไปกนิ นา�้ ณ ฝง่ั แมน่ า้�
ใหข้ ดุ สระขน้ึ ภายในบรเิ วณพระราชวงั ใหม้ า้ กนิ และอาบในสระนน้ั แมก้ ระนน้ั
มาโนชกย็ ังเล็ดลอดเข้าไปจับม้ากินจนได้
พระราชาจึงรับส่งั ใหล้ อ้ มคอก แล้วให้น�าหญา้ มาเลย้ี งภายในคอก กย็ งั
ไมว่ ายถกู ราชสหี ก์ ระโดดขา้ มรวั้ มาจบั ไปกนิ จนได ้ พระราชาทรงแคน้ พระทยั
ยง่ิ นกั รบั สง่ั ใหน้ ายขมงั ธนคู นหนงึ่ เขา้ เฝา้ รบั สง่ั วา่ “เจา้ จงดกั ยงิ ราชสหี ต์ วั มา
ขโมยมา้ เราให้จงได้”
นายขมงั ธนรู บั พระราชโองการแลว้ จงึ ขดั หา้ งอยบู่ นกา� แพงทรี่ าชสหี เ์ คย
กระโดดมาจับมา้ คอยเฝา้ ดอู ยดู่ ว้ ยความระมดั ระวงั
เวลานั้นเป็นเวลาใกล้รุ่ง ราชสีห์เห็นเงียบสงัดดี จึงด้อมมากับจ้ิงจอก
เม่ือถึงป่าช้าใกล้ตัวเมือง จึงให้เจ้าจิ้งจอกรออยู่ที่ริมป่าช้า ตัวเองย่องเข้าไป
เพยี งผู้เดยี ว ผา่ นไปทางหา้ งทน่ี ายขมงั ธนคู อยอยู่ นายขมงั ธนูเห็นแลว้ คดิ ว่า
“ถ้าเรายิงขณะเข้าไปน้ีอาจพลาดได้ เพราะราชสีห์ตัวน้ีก�าลังหนุ่มแน่น และ
วอ่ งไว เราควรยงิ เวลามนั คาบมา้ ออกมา เพราะเมอ่ื คาบมา้ หนกั กว็ ง่ิ ไดช้ า้ ” คดิ
ดงั นนั้ จึงโก่งคนั ธนู คอยทอี ย ู่ ราชสหี ม์ าโนชมไิ ด้เฉลยี วใจ กระโดดขา้ มรว้ั
เข้าไปในคอกมา้ คาบม้าตัวหนง่ึ ออกมาด้วยการเดินอันเช่อื งช้า นายขมังธนู
เหน็ ดงั นนั้ จงึ เลง็ เอาตามสบาย ปลอ่ ยลกู ศรแหวกอากาศปกั เขา้ กลางลา� ตวั ทะลุ
ออกอีกขา้ งหน่งึ ราชสีหจ์ ึงปล่อยม้าแลว้ วิง่ ร้องวา่ “เพ่อื นเอ๋ย! เราถกู ยงิ เสีย
แลว้ ”
ฝา่ ยเจา้ จงิ้ จอกไดย้ นิ ดงั นน้ั กค็ ดิ วา่ “สหายมาโนชคงถกู ลกู ศรเขา้ ทส่ี า� คญั
29
เห็นจะตายแน่ การคบกับผู้ตายไม่มีประโยชน์เลย” จึงว่ิงหนีเข้าป่าเอา
ตัวรอด
มาโนชราชสีหว์ ง่ิ มาด้วยความเร็ว เม่อื ถงึ ปากถ้�ากล็ ้มลงสิ้นใจ ณ
ทนี่ นั้ เอง พวกญาตทิ งั้ หลายเหน็ มาโนชถกู ยงิ นอนตายอย ู่ มเี ลอื ดไหลออก
จากแผลกร็ ทู้ นั ทวี า่ ถกู ศรของนายขมงั ธน ู จงึ พากนั กลา่ วโศลก เปน็ ภาษติ
โดยล�าดับ พญาราชสหี ์ได้กล่าวว่า
“คนใดคบหาสมาคมกบั คนชวั่ คนนนั้ จะไมไ่ ดร้ บั สขุ ชวั่ กาลนาน
เหมือนมาโนชคบจง้ิ จอกเชอ่ื ค�าของจง้ิ จอก จึงถงึ แก่ความตาย ฉะนี”้
แมก่ ลา่ วตอ่ วา่ “แมไ่ มภ่ ูมใิ จในเม่อื เห็นลกู มเี พอ่ื นเป็นคนเลว
จงดูลูกมาโนชเถดิ ตายอยุู่ในกองเลือดของตัวเอง เพราะมีคนช่วั มา
พวั พนั โดยแท้”
น้องสาวกลา่ วตอ่ วา่ “บคุ คลไมเ่ ชอื่ ฟังคา� ผู้หวังดี มุง่ ชปี้ ระโยชน์
ให้ ยังขืนคบคนช่วั ตอ่ ไป ยอ่ มถงึ ความพินาศ เหมอื นพมี่ าโนชนอน
ตายอยู่นี้ กเ็ พราะมเี พื่อนเลวเป็นค่หู ”ู
เมียกล่าวต่อว่า “บุคคลผู้มีตระกูลสูงเข้าไปคลุกคลีกับคนชั่ว
ตระกลู ตา่� ยอ่ มกลายเปน็ คนเลวกวา่ จงดูพีม่ าโนชเปน็ ผสู้ งู ศกั ด์ิใน
หมเู่ นอื้ แตม่ าคบกบั จง้ิ จอกสนั ดานหยาบ จงึ ตอ้ งตายดว้ ยลกู ศร” เมอื่
ไดก้ ล่าวค�าปลงสงั เวชแล้ว กช็ ว่ ยกันคาบศพไปไว้ ณ ทค่ี วร แลว้ หากิน
ไปตามยถากรรม โดยไม่แตะต้องเนื้อม้าอีก จนถงึ กาลอวสานแหง่ ชีวิต
ขอ้ คดิ จากชาดกเรอ่ี งน ้ี อยทู่ กี่ ารคบคนชว่ั ตามปกติ ราชสหี ถ์ อื วา่
เป็นสตั ว์ใหญ่ มีทั้งอ�านาจและศักดิ์ศรี สว่ นสุนัขจ้งิ จอกเปน็ สตั ว์ชั้น
ต�่า นอกจากจะเกิดในก�าเนิดท่ีเลวแล้ว ยังมีอุปนิสัยคดในข้องอใน
กระดกู ชอบประทุษรา้ ยตอ่ มิตรสหายอยู่เสมอ ไมค่ ่คู วรกนั เลย แต่
มาโนชลูกราชสีห์ไปคลุกคลีด้วย จึงพาตัวให้ถึงความตาย เปรียบ
เหมือนคนดีมีตระกูล แต่ไมร่ ู้จักคบคนให้ถกู ตอ้ ง คบคนชัว่ เป็นมติ ร
แลว้ ยอ่ มพาไปสคู่ วามหายนะ บณั ฑติ แตโ่ บราณจงึ กลา่ วเตอื นวา่ คบ
คนดีเปน็ ศรีแก่ตวั คบคนช่วั ปราชัย ฉะน.้ี
(มาโนชชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย
ชาดก สัตตกนบิ าต เล่ม ๓๒ หนา้ ๑๓๖)
30
31
จระเขแ้ สนกล
“รูร้ กั ษาตวั รอด เปน็ ยอดคน”
ครงั้ หนง่ึ ในปา่ หมิ พานต ์ ณ เมอื งพาราณส ี พระโพธสิ ตั วเ์ กดิ ในกา� เนดิ วานร
อาศัยอยใู่ นป่า กรงุ พาราณส ี มรี ่างกายกา� ย�า มพี ลังมหาศาล หากนิ อยู่บริเวณดง
มะเดอื่ รมิ ฝ่งั แมน่ �า้ คงคา
ณ บรเิ วณแม่นา�้ คงคาน้นั มจี ระเข ้ ๒ ตัว ผวั เมยี อาศยั อยู่ ต่อมาจระเข้ตวั
เมยี เกดิ แพท้ อ้ ง เหน็ วานรโพธสิ ตั วอ์ ว้ นพมี พี ลงั มาก จงึ อยากกนิ เนอ้ื หวั ใจของวานร
แตไ่ มท่ ราบจะทา� ประการใดจงึ จะสามารถจบั มาฉกี เนอื้ กนิ หวั ใจใหส้ มอยากได ้ จงึ
ออ้ นวอนจระเขต้ ัวผวั ว่า
“พ ่ี ฉนั เกดิ แพท้ อ้ งอยากจะกนิ หวั ใจลงิ ตวั นน้ั หากไมไ่ ดก้ นิ ใหส้ มอยากแลว้
คงจะต้องตายแน่ๆ ถ้าสงสารและอยากให้น้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ก็ขอให้หาทางเอา
หัวใจลงิ ตวั น้ันมาใหน้ อ้ งดว้ ยเถิด”
จระเข้ตัวผวั ท้วงวา่ “นอ้ งเอย๋ ! ธรรมดาลงิ เป็นสัตว์บก เราเปน็ สตั วน์ ้�า จะ
ไปจบั สัตวบ์ กเอาหัวใจมากนิ ได้อยา่ งไร?”
“เทา่ น้ีพก่ี ส็ ้ินปัญญาแล้วหรอื ?” จระเข้ตวั เมียตดั พ้อ “ถ้าเร่อื งส�าคัญกว่าน้ี
คงไม่มีทางท�าได้ พ่ีก็ช่ือว่ามีปัญญาเฉียบแหลม ท�าไมไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์บ้าง
เล่า พต่ี อ้ งหาทางออกอุบายลวงเอาหัวใจลงิ มาใหไ้ ด”้
จระเขต้ วั ผวั รดู้ วี า่ การขดั ความอยากของผแู้ พท้ อ้ งนน้ั จะเกดิ อะไรขนึ้ จงึ พดู
บ่ายเบีย่ งวา่ “เอาเถอะนอ้ ง แลว้ พีจ่ ะหาชอ่ งทางน�าหัวใจลิงมาใหจ้ งได้”
ตกกลางคืน จระเข้ตัวผัวไม่เป็นอันกินอันนอน ฟังแต่ค�าเซ้าซี้ของตัวเมีย
และคดิ หาอบุ ายเอาหวั ใจลิงมาใหไ้ ด ้ พอรุง่ เช้า เห็นวานรโพธิสัตว์น่ังทีท่ ่าน�้า จึง
เขา้ ไปพดู เกลย้ี กลอ่ มว่า
“ทา่ นพญาวานร! ข้าพเจ้าสังเกตเหน็ ทา่ นและพวกเทีย่ วหาผลไมก้ นิ บรเิ วณ
นม้ี ากน็ านหนกั หนาแลว้ ผลไมก้ ร็ อ่ ยหรอนอ้ ยลงไปทกุ ท ี เหตใุ ดจงึ ไมไ่ ปหากนิ ฝง่ั
โน้นบ้าง ข้าพเจ้าเห็นที่ฝั่งโน้นมีผลไม้น้อยใหญ่อยู่ดกดื่น ไม่มีสัตว์ใดไปเก็บกิน
เลย”
วานรโพธิสัตว์จึงตอบว่า “ท่านพญากุมภีล์! แม่น�้าคงคาน้ี ท้ังลึกทั้งกว้าง
ใหญ ่ มีกระแสน�า้ ไหลแรง ข้าพเจา้ เปน็ สัตว์บกตวั เทา่ น ี้ จะข้ามไปได้อยา่ งไร?”
32
“ถา้ ทา่ นตอ้ งการไปจรงิ ๆ กเ็ ชญิ ทา่ นขห่ี ลงั ของขา้ พเจา้ เถดิ ขา้ พเจา้
จะวา่ ยพาไปฝง่ั โนน้ เอง” พญากมุ ภลี ต์ อบดว้ ยนา้� เสยี งแสดงอาการเปน็ สตั ว์
ซื่อ วานรพระโพธสิ ตั ว์มไิ ดเ้ ฉลยี วใจ นกึ ว่าจระเข้กลา่ วด้วยความเปน็ มิตร
จงึ ไดก้ ระโดดลงเกาะบนหลงั จระเขใ้ หพ้ าขา้ มฟาก จระเขน้ กึ กระหยม่ิ ในใจ
วา่ “อุบายของเราสา� เรจ็ แลว้ ” จึงว่ายน�้าท�าทีจะพาพระโพธสิ ตั ว์ข้ามฟาก
พอเห็นว่าออกมาห่างฝั่งพอสมควรแล้ว จึงด�าน้�าลงทีละน้อยๆ จนพระ
โพธิสัตว์ต้องลอยคออย่กู ลางแมน่ า้�
พระโพธสิ ตั วจ์ งึ ถามวา่ “สหาย! ทา� ไมทา่ นจงึ แกลง้ ทา� ใหข้ า้ พเจา้ จม
น้�าอย่างนี้เล่า ทา่ นมีความประสงคอ์ ะไรหรือ?”
จระเขก้ ล่าวพลางหวั เราะพลาง “ท่านพญาวานร! บรรดาสตั ว์ใน
ปา่ เขาลอื กนั วา่ ลงิ เปน็ สตั วท์ ฉี่ ลาดทส่ี ดุ นนั้ เหน็ จะไมเ่ ปน็ ความจรงิ เสยี แลว้
ท่ีขา้ พเจ้าพาท่านมาน้ีกโ็ ดยหวังจะลวงทา่ นมาเป็นอาหาร เพราะภรรยา
ของขา้ พเจ้าเกิดแพ้ทอ้ ง อยากกินเนื้อหวั ใจลิง ขา้ พเจ้าจะฆา่ และนา� หัวใจ
ของทา่ นไปใหเ้ ธอบัดนลี้ ะ”
พระโพธิสตั ว์พยายามขม่ ใจให้เป็นปกต ิ กล่าวดว้ ยนา้� เสียงชดั เจน
ว่า “ท่านพญากุมภีล์! ท่านมีความฉลาดมากแต่ขาดความเฉลียว ตาม
ธรรมดาลิงเป็นสัตว์ไม่อยู่สุข ชอบกระโดดโลดเต้น ห้อยโหนโยนตัวบน
ต้นไม้ ถ้าขืนเอาหัวใจไว้กับตัวก็คงถูกก่ิงไม้ฟาดแตกสลายไปหมดแล้ว
พวกลิงรดู้ ี เวลาไปไหนจงึ ไมย่ อมเอาหวั ใจไปด้วย ตา่ งถอดหวั ใจแขวนไว้
บนต้นไมก้ ันหมด”
พระโพธิสัตว์เมื่อพูดจบก็ชี้ไปบนต้นมะเด่ือใกล้ฝั่งน�้า แล้วกล่าวว่า
“โนน่ ไง ท่านเหน็ ลกู กลมๆ เปน็ พวงๆ บนตน้ ไมน้ ้ันหรอื ไม่ นนั้ แหละคอื
หัวใจของลงิ ทั้งหลาย ถ้าทา่ นมาฆ่าเราขณะนี้ ทา่ นก็คงไม่ได้หัวใจลิงตาม
ทภี่ รรยาตอ้ งการ แตถ่ า้ ปลอ่ ยใหข้ า้ พเจา้ ขน้ึ ฝง่ั ได ้ ขา้ พเจา้ จะนา� หวั ใจลงิ มา
ใหท้ า่ นอยา่ งเพียงพอทีเดียว”
จระเขน้ กึ สงสยั แตเ่ มอ่ื มองไปบนตน้ มะเดอ่ื กเ็ หน็ ลกู กลมๆ อยเู่ ตม็
33
ตน้ เขา้ ใจวา่ คงเปน็ หวั ใจลงิ ตามทล่ี งิ บอก จงึ กลา่ วเปน็ เชงิ เอาอกเอาใจวา่
“ท่านพญาวานร! ถ้าท่านเอาหัวใจลิงท่ีต้นมะเดื่อน้ันมาให้ข้าพเจ้าได ้
ข้าพเจา้ จะไม่ฆ่าทา่ น และจะนกึ ถึงบญุ คณุ ของท่านไปจนวนั ตาย”
“ถ้าเช่นนั้น ท่านพาข้าพเจ้าขน้ึ บกซิ ข้าพเจ้าจะข้ึนไปเด็ดมาให”้
จระเข้หลงเชอื่ เข้าใจวา่ เป็นความจริง จงึ ด�านา้� เอาหลังหนนุ พระ
โพธสิ ัตว์ใหพ้ น้ นา�้ แล้วว่ายไปสง่ ท่ีตลิง่
พอถงึ ตลง่ิ พระโพธสิ ตั วก์ ก็ ระโดดขน้ึ ฝง่ั สะบดั นา�้ จากตวั หมดแลว้
จึงพูดกบั จระเขว้ ่า “จระเขห้ น้าโง ่ ถกู ลวงด้วยลูกไมต้ ื้นๆ ไม่มีใครทไี่ หน
ดอกจะเอาหวั ใจไปแขวนไวบ้ นต้นไม ้ ผลมะม่วง หวา้ และขนนุ ซงึ่ อยฝู่ ัง่
โน้น ขา้ พเจา้ ไม่ตอ้ งการของทา่ นหรอก ผลมะเดอ่ื ของเรานอ้ี ร่อยกว่า
รา่ งกายของท่านกใ็ หญ่พอดู แตป่ ัญญาของทา่ นซนิ อ้ ยนัก ช่างไมส่ มกับ
ตวั ของทา่ นเลย ทา่ นถกู ขา้ พเจา้ หลอกแลว้ จงกลบั ไปอยตู่ ามประสาสตั ว์
โง่เถดิ ”
จระเข้ได้รับท้ังความอับอายและเจ็บใจ เม่ือกลับไปถึงที่อยู่แล้วก็
ยงั ถกู ภรรยาประณามต่อไปอกี
ชาดกเร่ืองน้ีมีคติสอนใจว่า คนเราเม่ือถึงคราวอันตรายแล้ว ก็
อย่าเพิง่ ตีโพยตีพาย หรอื ยอมอับจนแต่โดยง่าย พยายามท�าจติ ใจให้
เปน็ ปกติ หาหนทางแก้ไขให้จงได้ ดูตัวอยา่ งเชน่ พญาวานรโพธิสัตว์
แมจ้ ะถูกจระเข้ลวงไปเชน่ นั้นก็หาเสยี ก�าลงั ใจไม่ พยายามหาหนทาง
แก้ไขด้วยปญั ญาจนส�าเรจ็ คนเรามมี นั สมองและความรู้มากกว่าสัตว์
หลายเท่า เม่ือถึงคราวคับขันต้องพยายามใช้ปัญญาหาหนทางแก้ไข
เอาตัวรอดจงได้ จึงควรท่เี ยาวชนจะถือ เป็นคติเตอื นใจตอ่ ไป ดังมี
ภาษิตสรรเสริญไว้ว่า
มีปญั ญาเหมือนมีทรพั ยอ์ ยูน่ ับแสน
จะตกถ่นิ ฐานใดก็ไม่แคลน
ถึงยากแค้นกพ็ อยังประทงั ตน
(สงุ สุมารชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย
ชาดก ทุกนิบาต เล่ม ๓๐ หน้า ๒๔๗)
34
35
แขกเตา้ จ�าศลี
“ความพอใจ เป็นทรพั ย์อันประเสรฐิ ”
คร้ังหน่ึง ในป่าหิมพานต์ มีนกแขกเต้าฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณป่า
มะเดอื่ ใกลฝ้ ง่ั แมน่ า�้ คงคา ไดอ้ าศยั กนิ ผลมะเดอื่ ในปา่ นน้ั เปน็ อาหารตลอด
มา คราวหนึง่ เกดิ แล้งจดั ตน้ มะเดอื่ เรม่ิ เหี่ยวแห้งลง ผลกว็ ายไปโดยลา� ดับ
จนกระท่ังหมดผลไปในท่ีสุด บรรดานกแขกเต้าทั้งหลายพากันผละหนีจาก
ดงมะเดอื่ ไปหากนิ ในถ่ินอนื่ กนั หมด คงเหลอื แต่พญานกแขกเตา้ ตวั เดยี วท่ี
ไม่ยอมทิ้งดงมะเด่ือนั้น พยายามจิกกินใบอ่อนและแมลงที่ยังพอมีเหลืออย ู่
นานเขา้ กนิ ผงผขุ องตน้ มะเดือ่ แล้วดื่มน้า� ในแมน่ �้าคงคาเพือ่ ให้อ่ิม ยังอัตภาพ
ใหเ้ ปน็ ไปไดม้ ้ือหนึง่ ๆ บ�าเพญ็ ตบะธรรม ถือความสนั โดษโดยเคร่งครัด
ด้วยเดชะที่ได้ประพฤติธรรมคือความมักน้อยสันโดษอย่างแรงกล้า
บันดาลให้อาสนะของท้าวสักกเทวราชแสดงอาการร้อน เกิดความหว่ันไหว
จึงทรงพจิ ารณาดู ร้เู หตุที่นกแขกเตา้ บ�าเพ็ญตบะ ถือความมกั น้อย ใคร่จะ
ทดลองให้แนใ่ จ จึงบันดาลใหต้ ้นไมน้ น้ั แหง้ ย่ิงขึน้ จนกระทงั่ เหลอื แตต่ อแตก
เป็นโพรงใหญ่ เม่ือถูกลมพัดก็เปล่งเสียงดังจนน่าร�าคาญยิ่งนัก แม้กระนั้น
พญานกแขกเต้าก็มไิ ด้เปลย่ี นใจจะไปอยู่ท่ีอนื่ พยายามจิกกินผงไม้ผแุ ลว้ ดืม่
นา�้ ในแมน่ า้� คงคาใหอ้ มิ่ ทอ้ งอยา่ งเดมิ และไมม่ คี วามยอ่ ทอ้ ตอ่ ลมแดดแตอ่ ยา่ ง
ใด
ทา้ วสกั กเทวราชคิดว่า “นกแขกเตา้ ตัวนม้ี คี ณุ ธรรม ถอื ความมักนอ้ ย
เป็นอย่างย่ิง เราจะให้พญานกแขกเต้าแสดงคุณธรรม คือความมักน้อยให้
ปรากฏ แล้วจกั ให้พรเพ่ือความสวสั ดีแกน่ กแขกเตา้ นตี้ ลอดไป” จึงปลอม
เพศเป็นพญาหงส ์ บินมายงั ป่าไม้มะเดือ่ วา่ ยอยูร่ ิมแม่นา้� คงคา ณ ที่ไมไ่ กล
เจรจากับนกแขกเตา้
“ท่านพญานกสหายรัก ตามธรรมดานกทั้งหลายย่อมหาต้นไม้ที่
บรบิ รู ณด์ ว้ ยกง่ิ ใบและผลาผล เมอ่ื ตน้ ไมใ้ ดหมดผลแลว้ ฝงู นกกพ็ ากนั ทง้ิ แลว้
บินไปหากนิ ต้นอน่ื ต่อไปอกี ต้นมะเดอื่ ที่ทา่ นอาศยั กินอยนู่ ้ีหมดผลเหลอื แต่
ตอแห้ง ทา่ นมวั งมงายจิกกินผงไม้ผอุ ยู่อย่างน้ ี เหน็ จะตายเสียเปลา่ อย่าเอา
36
ชีวิตมาทิ้งเสียท่ีนี่เลย ออกไปหากินที่อื่นเสียจะดี นา�้ ในแม่น้�าคงคาพรมลงทต่ี อมะเดอื่ ทันใดนน้ั ตน้
กวา่ หรอื ทา่ นมเี หตผุ ลประการใดจงึ ไมย่ อมทงิ้ ตน้ ไม้ มะเดอื่ กส็ มบรู ณด์ ว้ ยกง่ิ และคาคบ ผลติ ดอกออกผลอ
นี้” ย่เู ตม็ ตน้ มีรสอรอ่ ยปานรสทิพย์
พญานกแขกเตา้ จึงกลา่ วกบั พญาหงส ์ “ท่าน พญานกแขกเต้าเห็นดังนั้นเกิดความปลื้ม
พญาหงส์ผู้สูงศักด์ิ ท่ีเราไม่ทิ้งต้นมะเด่ือนี้ไปก็ โสมนัสเป็นล้นพน้ จึงสรรเสรญิ อา� นวยพรดว้ ยความ
เพราะแรงกตัญญูที่มีอยู่ในใจข้าพเจ้า ต้นไม้เหล่านี้ ปลื้มปีติว่า “ขอพระองค์พร้อมด้วยหมู่ญาติ จงมี
ขา้ พเจา้ ถอื เสมอื นญาตสิ นทิ มติ รรกั เพราะนอกจาก โสมนัส เหมือนข้าฯ ได้รับความสขุ เพราะเห็นผลไม้
เกิดร่วมปา่ เดยี วกนั แล้ว ก็ยังเป็นเสมอื นญาตผิ ใู้ หญ่ เตม็ ตน้ ณ บดั น้เี ถดิ ”
ให้ผลาผล เป็นอาหารเลีย้ งชีพตลอดมา ยามเพอ่ื น ท้าวสักกะจึงประทานพรแก่นกแขกเต้า แล้ว
มีผลดกตกใบอ่อนซิ เราได้อาศัยทั้งผลและร่มเงา เสด็จกลับนันทวัน นกแขกเต้าตัวน้ันได้อาศัยต้น
ท�าตัวเป็นเพอื่ นสนทิ แต่พอหมดดอก หมดร่มเงา มะเด่อื น้ันไปจนถึงกาลอวสานแหง่ ชวี ิต
แล้ว ก็พากันตีจากไปน้ัน มิใช่ลักษณะมิตรดีเลย ชาดกเรื่องน้ีมุ่งช้ีให้เห็นคติธรรมบทหนึ่งว่า
ข้าพเจ้าอาศัยกินเพียงเพื่ออยู่เท่านั้น อะไรก็กินได ้ คนเราเมอื่ ยามมบี ญุ หนกั ศกั ดใิ์ หญ่ กเ็ สมอื นตน้ ไม้
แต่จะให้ท้ิงธรรมะของคนดีเพราะเห็นแก่การกินน้ัน ที่มกี ่งิ ก้านสาขาและดอกผล เป็นทีอ่ าศัยใหค้ วาม
ขา้ พเจา้ ทา� มไิ ด ้ จงึ ไมย่ อมไปหากนิ ทอี่ นื่ จะยอมตาย รม่ เย็นแก่ฝูงนกกา เมอ่ื คราวยากไร้ หมดใบและ
อยทู่ ี่น่ลี ะ” ผลแล้ว นกกาก็จะพากนั บินหนไี ปสิ้น เหมอื นฝูง
ทา้ วสกั กะไดฟ้ งั ถอ้ ยคา� ของพญานกแขกเตา้ ก็ นกแขกเตา้ เมอ่ื มะเดอื่ หมดผลแลว้ กพ็ ากนั บนิ หนี
เกดิ ความชืน่ ชมยนิ ด ี จงึ กลา่ วสรรเสริญคณุ ของนก ไปหมด หากจะมีผู้ใดหลงเหลือให้ความภักดีอยู่ก็
แขกเตา้ ดว้ ยประการตา่ งๆ เมอ่ื จะประทานพรแกน่ ก พึงรู้เถิดว่า ผู้นัน้ เปน็ ผู้ภกั ดีโดยคณุ ธรรม มใิ ช่โดย
แขกเต้า จงึ กล่าวว่า หวงั ผลประโยชน์ เสมอื นพญานกแขกเตา้ โพธสิ ตั ว์
“ท่านพญานกแขกเต้า! ข้าพเจ้าเลื่อมใสใน ไม่ ยอมทิ้งตอตน้ ไม้มะเดอื่ ซ่ึงเหลอื แต่ผงผกุ ็ตาม
คุณธรรมของท่าน ท่านมีน้�าใจมิตรท่ีล้�าเลิศ ไม่ ด้วยคุณธรรมท่ีมีอยู่ในใจ ย่อมบันดาลให้เกิดผล
ละท้งิ เพ่ือนเมื่อยามทุกข์ยาก ข้าพเจา้ ประสงค์จะให้ เป็นสขุ ในภายหลัง จึงมคี า� ภาษิตสอนใหด้ ูคนไว้
พรแกท่ า่ นอยา่ งหนงึ่ จงเลอื กขอเอาตามความพอใจ
เถดิ ” ไมใ้ หญใ่ บหลน่ สน้ิ บังแสง
พญานกแขกเตา้ จึงขอพรว่า “ทา่ นพญาหงส์ผู้ นกบ่มาพักแผลง พลอดได้
เจรญิ ! หากทา่ นประสงคจ์ ะใหพ้ รแกข่ า้ พเจา้ กข็ อได้ เฉกชนเส่อื มโรยแรง บญุ เกา่ สนองนา
โปรดให้ต้นไม้น้ีกลับสดช่ืน มีอายุยืนยาว มีกิ่งผล ชนบ่มาใหใ้ ช้ เพราะเชอ้ื บุญสญู
เจริญงอกงาม มีรสหวานปานน�้าผ้ึงต่อไปอีกเถิด
ข้าพเจ้าพอใจเพียงแคน่ ี้” (มหาสวุ ราชชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย
ท้าวสักกะเมื่อจะประทานพรแก่นกแขกเต้า ชาดก นวกนบิ าต เล่ม ๓๒ หน้า ๓๙๒)
ได้กลบั เพศเป็นท้าวสกั กะ แลว้ จงึ เอ้ือมพระหตั ถ์วัก
37
38
นายพรานสุนขั
“ให้ทกุ ขแ์ กท่ า่ น ทกุ ขน์ นั้ ถงึ ตวั ”
ครั้งหน่งึ ในปา่ หมิ พานต์ พรานปา่ ผหู้ น่งึ ช่ือ โกกะ เทยี่ วลา่ เนือ้
โดยใชส้ ุนัขเปน็ เครอ่ื งมือ วันหนง่ึ พรานโกกะออกจากบ้านแตเ่ ช้าตร ู่
เดนิ เขา้ ปา่ เพอื่ ลา่ เนอื้ พบพระรปู หนงึ่ กา� ลงั เดนิ บณิ ฑบาตในระหวา่ งทาง
ธรรมดานายพรานกับพระเปน็ ปฏิปักษ์กนั วันใดทเี่ ห็นพระกอ่ นจะออก
ลา่ สตั ว ์ พรานถอื ว่าเป็นลางรา้ ย ล่าสตั ว์ไมไ่ ดผ้ ล เมอ่ื พรานเห็นพระ
เชน่ นน้ั จงึ คดิ ในใจวา่ “วนั นพ้ี บกาลกณิ เี ขา้ แลว้ คงลา่ สตั วไ์ มไ่ ดแ้ น”่ แลว้
เดนิ หลกี ไป พระรปู น้นั ครน้ั บิณฑบาต ฉันอาหารเสรจ็ แล้วกก็ ลับไปยัง
วหิ าร พรานสนุ ัขเท่ยี วหาสตั วอ์ ย่เู ป็นเวลานาน ก็ไม่พบสตั วแ์ ม้แตต่ ัว
เดยี ว จึงเดินทางไปยังทีพ่ กั ประกอบกบั หวั เสียทีไ่ ม่พบสตั วใ์ ดๆ เลย
จึงคิดพาลเอากบั พระ “เรานึกตง้ั แต่ขาไปแลว้ ว่า พบพระรปู นีแ้ ลว้ ซวย
ล่าสัตว์ไม่ได้เลย เวลากลับยังจะมาพบเข้าอีก ต้องยุหมาให้กัดเสียให้
เขด็ จะไดไ้ มม่ าขดั ลาภเราอกี ” จงึ ใหส้ ญั ญาณแกส่ นุ ขั เพอ่ื ไลก่ ดั พระเถระ
พระเถระเห็นดังน้ันจึงห้ามนายพรานว่า “อย่า! อย่า! อุบาสก
อย่าท�าอย่างนัน้ เลย”
พรานกห็ าไดฟ้ งั ไม่ ปล่อยหมาฝูงใหญใ่ ห้ไลพ่ ระเถระทันที ปากก็
กล่าวว่า “ตัวขัดลาภ ตายเสียแหละดี”
พระเถระเห็นสุนัขวิ่งมาเป็นฝูงด้วยอาการดุร้าย จึงปีนข้ึนบน
ต้นไม้โดยเรว็ แต่พระเถระเปน็ พระท่เี คร่งครดั ในวนิ ัย จึงไมไ่ ดป้ ีนขึ้น
ไปใหส้ งู ถงึ ยอดไม ้ เพราะตามวนิ ยั ระบใุ หพ้ ระขนึ้ ตน้ ไมไ้ ดส้ งู เพยี งศรี ษะ
คน เมอื่ ทา่ นปนี สงู แคน่ น้ั กพ็ อพน้ ระยะทสี่ นุ ขั จะกระโดดทา� รา้ ยได ้ สนุ ขั
ท้ังหลายจึงไดแ้ ตก่ ระโดดงับ และเห่าอยู่รอบ ๆ ตน้ ไม้
นายพรานโกกะเห็นดังน้ัน จึงเดินตรงเข้าไปกล่าวขู่ว่า “ถึงท่าน
จะพน้ จากสนุ ขั แตก่ ไ็ มพ่ น้ มอื เรา” หลงั จากนน้ั จงึ หยบิ ลกู ธนแู หลมออก
มาจากกระบอก แทงเทา้ พระเถระเพอื่ ใหห้ ลน่ ลงมา แมพ้ ระเถระจะรอ้ ง
หา้ มวา่ “อยา่ ทา� อยา่ งน้นั เลยอบุ าสก” นายพรานก็มิไดฟ้ ังพระเถระแต่
อยา่ งใด พระเถระไม่กล้าปีนใหส้ งู ขนึ้ ไปกว่าน้ัน เกรงว่าจะผดิ พระวินยั
39
นายพรานกใ็ ชล้ กู ธนแู ทงเทา้ ทา่ นไมย่ อมหยดุ เมอ่ื เทา้ กลมุ่ เดก็ ๆ ดว้ ยกนั แถวบรเิ วณตน้ ไทร ใกลป้ ระตบู า้ น
ขวาถกู แทงกห็ ดเทา้ ขวาขนึ้ หยอ่ นเทา้ ซา้ ยลงมาเพอื่ มหี มอเฒา่ ผหู้ นงึ่ เทยี่ วตระเวนหารกั ษาคนไขเ้ พอ่ื นา�
รักษาระดับตามที่พระวินัยก�าหนด เม่ือเท้าซ้ายถูก คา่ รกั ษามาเลย้ี งชพี วนั นน้ั หมดเงนิ เทยี่ วหารกั ษา
แทงทนไมไ่ หวกย็ กเท้าซา้ ยข้นึ แลว้ หยอ่ นเทา้ ขวาลง คนไขแ้ ถวนนั้ กไ็ มม่ ใี ครจา้ งเพราะไมม่ คี นเจบ็ ปว่ ย จงึ
สลับกันไปมาอยู่เช่นน้ี นายพรานอยู่ใต้ต้นไม้ก็แทง คดิ วา่ “เราต้องหาวธิ ที า� ให้คนปว่ ยจะไดค้ ่ารักษามา
อย่างไม่ลดละ จนพระเถระทนความเจ็บปวดไม่ไหว เลี้ยงชีพ” จึงเดินเข้าไปยังกลุ่มเด็ก มองขึ้นไปบน
เกือบจะตกจากต้นไม้แล้ว ก็พอดีจีวรท่ีท่านห่มหลุด ตน้ ไทร เหน็ งเู หา่ ตวั หนงึ่ นอนซกุ หวั ในขนด หางโผล่
จากตัวทา่ นลงไปคลมุ ตัวนายพรานมิดพอดี มาที่คบไม้หน่อยหน่ึง หมอเฒ่าจึงไปพูดกับพระ
โพธสิ ัตวว์ ่า
สุนัขทงั้ หลายซ่งึ ลอ้ มรอบต้นไมค้ อยทอี ยู่ เห็น
ดงั นน้ั กเ็ ขา้ ใจวา่ พระบนตน้ ไมต้ กลงมาแลว้ จงึ รมุ ลอ้ ม “น่ีพ่อหนูน้อย! ดบู นต้นไม้โนน่ ซิ มลี ูกนก
ฟัดนายพรานนนั้ ชุลมุน แมน้ ายพรานจะร้องอย่างไร สารกิ านอนอยู่บนคาคบ มองเหน็ ไรๆ น่ัน หนปู นี
ฝูงสุนัขก็ไม่ได้ยินเสียง ครั้นนายพรานสลบไปจึงพา ข้นึ ไปจับเอาซ”ิ
กันเทะเนื้อด้วยความหิวจนเหลือแต่กระดูกในที่สุด
คร้ันอิ่มกันทุกตัวแล้วจึงออกมาเดินหานายพราน พระโพธสิ ตั วย์ งั เปน็ เดก็ หนมุ่ นกึ สนกุ กบั การ
พระเถระจึงหักก่ิงไม้แห้งปาลงไป สุนัขแหงนดูเห็น จับนกมาเล่น มทิ นั ได้ใครค่ รวญจึงค่อยๆ ปีนขึ้นไป
พระเถระยงั อยู่บนตน้ ไม ้ จงึ ไดค้ วามคิดว่า “คนทีเ่ รา ใกลค้ าคบนนั้ เมอื่ ไดร้ ะยะจงึ ไดต้ ะปบทงี่ นู นั้ บงั เอญิ
กินไม่ใช่พระ แทจ้ รงิ เปน็ เจ้านายของเราเอง” ก็เกดิ ตะปบจบั ทคี่ อ งูจงึ ไมอ่ าจกดั ได ้ ด้วยอารามตกใจจงึ
ความกลวั ขนึ้ มาจงึ วงิ่ เข้าปา่ โดยเร็ว เหว่ียงลงไปข้างล่าง งูตกลงไปถูกคอหมอเฒ่า มัน
รัดคอหมอเฒ่าไว้แนน่ แล้วกัดหมอเฒา่ จนจมเขีย้ ว
ฝา่ ยพระเถระก็เกดิ ความเดอื ดรอ้ นใจวา่ “นาย หมอลม้ ลงขาดใจตายกบั พนื้ นน่ั เอง สว่ นงกู เ็ ลอ้ื ยหนี
พรานคนน้ี ตายเพราะถูกจีวรเราคลุม จะว่าตาย ไป
เพราะเราก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น ศีลของเรายังบริสุทธ์ิ
หรอื ไมห่ นอ?” จงึ ลงจากตน้ ไม ้ เขา้ ไปเฝา้ พระพทุ ธเจา้ พระโพธสิ ตั วเ์ มอื่ ลงจากตน้ ไทร เหน็ หมอเฒา่
ทูลเล่าเร่ืองทั้งหมดให้ทรงทราบ แล้วทูลถามว่า“ศีล นอนตายอยู่ในกลุ่มชน จงึ ประกาศวา่
ของขา้ พระองคจ์ ะขาดหรอื ไม ่ ขา้ พระองคย์ งั เปน็ พระ
อยหู่ รอื พระเจา้ ขา้ ” “พี่นอ้ งท้งั หลาย หมอเฒ่านหี้ ลอกใหเ้ ราปนี
ไปจบั ง ู โดยบอกวา่ เปน็ นกสารกิ า เราเหวย่ี งงลู งมา
พระศาสดาตรัสว่า “ดูกรภกิ ษุ! ศีลของเธอยัง ดว้ ยความตกใจมไิ ดเ้ จตนา งนู น้ั ตกลงมาถกู เขาพอดี
บริสุทธ ์ิ เธอยังคงเป็นพระอยา่ งสมบูรณ ์ นายพราน นีแ่ หละท่านทัง้ หลาย บคุ คลใดคิดทา� ลาย บคุ คลท่ี
โกกะประทุษร้ายต่อเธอ ผู้มิได้คิดประทุษร้ายจึงถึง ไม่คิดท�าลายตัว คิดฆ่าคนท่ีเขาไม่คิดฆ่าตัว ย่อม
ความพินาศ มใิ ชแ่ ต่ในบดั นีเ้ ท่าน้นั ทเ่ี ขาท�าเชน่ น้ี แม้ ประสบกรรมตามทันตาเหน็ เชน่ กบั หมอเฒ่าทีถ่ ูกงู
ในชาตกิ ่อนก็เคยท�า และถงึ ความพนิ าศมาแลว้ ” กัดตายอยู่ในขณะน้ี คนท�าลายคนอ่ืนซ่ึงไม่ได้คิด
ทา� ลายตน ทา่ นเปรยี บเหมือนคนกา� ฝนุ่ เต็มมือแล้ว
จึงทรงเล่าเร่ืองของนายพรานในอดตี ชาติวา่ ซัดไปเหนือลม ฝุ่นย่อมกลับมากลบหน้าตัวเอง
“นานมาแลว้ เมอื่ พระเจา้ พรหมทตั ครองเมอื ง ฉะน้ัน ท่านท้ังหลายอย่าได้คิดประทุษร้ายผู้ไม่
พาราณส ี พระโพธิสตั วเ์ กิดในตระกูลผูม้ ั่งคัง่ ผู้หนงึ่ ประทษุ รา้ ยเลยเดด็ ขาด”
ในต�าบลนั้น วันหน่ึง พระโพธิสัตว์ก�าลังเล่นอยู่กับ
ขณะสอนเพ่ือนอยู่นั้น ชาวบ้านต่างวิ่งมาดู
40
เหน็ หมอนอนตายอย ู่ จงึ ถามไดค้ วามวา่ ตายเพราะ โพธสิ ตั ว ์ สอบสวนทบทวนตามเหตผุ ลและพยาน ได้
งทู พ่ี ระโพธสิ ตั วเ์ หวย่ี งลงมาจากตน้ ไทร กพ็ ากนั โจษ ความวา่ พระโพธสิ ตั วม์ ใิ ชฝ่ า่ ยผดิ หมอเฒา่ นนั่ แหละ
ว่า “พระโพธิสัตว์และพวกเพ่ือนสมคบกันจับงูกัด มคี วามผดิ และไดร้ บั โทษสาสมแลว้ ทรงเห็นความ
หมอเฒ่าตาย” จึงช่วยกันจับไปเพื่อรับอาญาตาม เฉลียวฉลาดในเชิงโต้ตอบและสติปัญญาของพระ
กระบิลเมือง โพธิสัตว์ จึงพระราชทานยศ แต่งตั้งให้เป็นรัตน
อา� มาตยผ์ สู้ อนธรรม และพระราชทานยศแกเ่ พอื่ น ๆ
พระโพธิสัตว์เมื่อไม่สามารถท�าความเข้าใจ ตามสมควรแก่ฐานะ พระโพธิสัตว์ได้รับราชการอยู่
กับชาวบา้ นได ้ จึงยอมให้จับไปพร้อมเพอ่ื น ขณะ ในราชสา� นัก จนถงึ กาลอวสานแห่งชวี ติ
เดนิ ทางกป็ ลอบใจเพ่อื น “สหายเอ๋ย! เม่ือเราไม่ผดิ
จงอยา่ กลวั เลย ทา� จติ ใจใหร้ า่ เรงิ แจม่ ใสไวเ้ สมอ เมอ่ื ชาดกเร่อื งนชี้ ใ้ี หเ้ ห็นคติธรรมข้อหน่งึ ว่า คน
ถงึ พระทีน่ ง่ั เราจะกราบทลู ใหพ้ ระราชาทรงทราบ” ที่มีเจตนากล่ันแกล้ง ปองร้ายคนอ่ืน โดยท่ีผู้นั้น
มิไดก้ ลัน่ แกลง้ ปองรา้ ยดว้ ย มกั แพภ้ ยั ตัวเอง ต้อง
แตล่ ะคนจงึ แสดงความรน่ื เรงิ ยนิ ดที ว่ั กนั ไมม่ ี ประสบความหายนะในท่สี ดุ มีตวั อย่างซ่ึงเหน็ กัน
ใครแสดงอาการเศรา้ ออกมาแม้สกั คน อยู่ในชีวิตประจ�าวันมากมาย ย่ิงท�าต่อผู้มพี ระคุณ
เช่น บิดามารดา หรือครู อาจารย์ หรือสมณะชี
พระราชาทอดพระเนตรเหน็ เดก็ ๆ ถกู จบั แต่ พราหมณ์ผู้ทรงศีลด้วยแล้ว ผลย่ิงปรากฏรวดเร็ว
ไม่มีใครแสดงอาการเสียใจแม้แต่คนเดียว ก็สน ขน้ึ โบราณจงึ พดู เปน็ คา� ภาษติ จา� งา่ ยๆ วา่ “ทกุ ขฺ โต
พระทัย จงึ ตรสั ถามว่า “นเ่ี ธอทุกคน เม่ือพวกเธอ ทกุ ขฺ ฏฺฐาน�” แปลต่อๆ กันมาว่า “ให้ทุกข์แกท่ ่าน
ถกู จบั ในขอ้ หาฆา่ คนตาย มโี ทษหนกั นา่ จะเศรา้ โศก ทกุ ขน์ ัน้ ถึงตัว” ตวั อยา่ งเชน่ หมอเฒา่ อยากได้
กนั บา้ ง แตน่ ย่ี มิ้ แยม้ แจม่ ใสทกุ คน เหตใุ ดจงึ เปน็ เชน่ เงนิ โดยการหลอกใหง้ กู ดั พระโพธสิ ตั ว์ งจู งึ กลบั มา
น้ัน” กดั ตวั เองโดยบงั เอญิ พรานสนุ ขั ประทษุ รา้ ยตอ่ พระ
ผู้ทรงศลี โดยทที่ า่ นมไิ ดม้ คี วามผิด จงึ ถกู สุนัขของ
พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราช! ตัวเองกัดตาย จึงควรถือเป็นข้อเตือนใจว่า ถ้าไม่
ความเศรา้ โศก ไมเ่ คยชว่ ยอะไรใหใ้ ครดขี น้ึ เลย ตรง อยากให้ทุกข์เกิดแก่ตัว ก็อย่าไปก่อทุกข์ให้แก่คน
ข้าม กลับท�าศัตรูให้ได้ใจยิ่งข้ึน คนฉลาดย่อมไม่ อ่ืนเด็ดขาด
ปล่อยโอกาสให้ศัตรูดีใจได้ด้วยความโศกเศร้าของ
ตน การแสดงออกซง่ึ ความอาจหาญ รา่ เรงิ เปน็ วธิ ี (โกกสนุ ขลทุ ทกวตั ถ ุ อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
การข่มขวญั ศัตรไู ปในตวั โบราณสอนวา่ ปจั จามติ ร
จะเอาชนะเราได้กด็ ้วยเหตุ ๕ อยา่ ง อย่างใดอย่าง ธรรมบท ปาปวรรค เล่ม ๑๘ หน้า ๓๔)
หนึ่ง คือ
๑. ปดิ ปากฝา่ ยตรงขา้ มดว้ ยวธิ ใี ดวธิ หี นงึ่ ๒.
ด้วยเลห่ ์กล ๓. ด้วยปากหวาน ๔. ดว้ ยใหส้ นิ บน
ฝา่ ยตลุ าการ ๕. อทิ ธพิ ลทางพวกพอ้ ง เขาพยายาม
ขวนขวายไมท่ างใดกท็ างหนงึ่ ถา้ ไมส่ ามารถปอ้ งกนั
ทางเหล่านี้ได้ ก็พึงท�าใจให้ร่ืนเริง นึกถึงกรรมแต่
อดตี ก็แลว้ กนั ดว้ ยเหตุนขี้ ้าพระพทุ ธเจ้าทง้ั หลายจงึ
ไม่เสียใจด้วยการถูกจับกมุ ครง้ั น้ี”
พระราชาทรงเล่ือมใสในค�าตอบของพระ
41
42
นกพิราบกบั กาโกง
“กนิ บนเรอื น ขบี้ นหลังคา”
ครงั้ หนง่ึ ในปา่ หมิ พานต ์ สมยั พระเจา้ พรหมทตั ครองเมอื งพาราณสี
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นนกพิราบ อาศัยอยู่ในบ้านเศรษฐี ผู้หนึ่ง
สมยั นน้ั ชาวเมอื งพาราณสมี จี ติ ใจเปน็ บญุ เปน็ กศุ ล มเี มตตาอารตี อ่ สตั วโ์ ดย
ทั่วไป บา้ นแต่ละหลงั นิยมแขวนกระเชา้ ไวท้ ช่ี ายคา เพอื่ ใหน้ กไดอ้ าศัยเปน็
รงั ทห่ี ลบั นอนกนั ทวั่ ไป นกพริ าบโพธสิ ตั วไ์ ดอ้ าศยั อยใู่ นกระเชา้ ชายคาบา้ น
เศรษฐ ี เมอื่ ถงึ เวลาไดอ้ รณุ กบ็ นิ ออกไปหากนิ ตามทต่ี นปรารถนา ตกเยน็
ก็บนิ กลับมาและพกั หลบั นอนในรงั ของตน มคี วามสุขชว่ั กาลนาน
ยังมีกาเกเรตัวหน่ึง บินผ่านมาทางนั้น ได้กล่ินเน้ือย่างจากบ้าน
เศรษฐี นึกอยากกินเนอ้ื จนน้า� ลายไหล ไม่สามารถบินตอ่ ไปได ้ จึงแวะลง
เกาะบนหลังคาโรงครัว ในใจคดิ ว่า “ทา� อย่างไรเราจึงจะได้กนิ อาหารจาก
บ้านหลงั น้ีหนอ” สอดสา่ ยสายตาเพือ่ หาชอ่ งทางขโมยอาหารในโรงครวั ให้
จงได้
ในขณะน้ัน กาเหลือบไปเห็นนกพิราบโพธิสัตว์บินออกไป จาก
กระเช้าท่ีชายคาโรงครัวของเศรษฐี จึงได้ความคิดว่า “เราต้องอาศัยนก
พิราบตัวนเี้ ปน็ ทางเขา้ ไปขโมยอาหารอรอ่ ยๆ ในครัวนีใ้ หจ้ งได”้ จงึ บนิ ตาม
นกพริ าบไปข้างหลงั พระโพธสิ ตั วเ์ หน็ ดังน้นั จงึ ชะลอความเรว็ ลง แลว้ ถาม
ว่า
“ทา่ นกา เราเหน็ ว่าทา่ นบินตามเรามาต้ังแต่ออกจากรงั แล้ว ทา่ นมี
ความประสงค์สงิ่ ใดหรอื จึงตามขา้ พเจา้ มาถึงท่ีน้ี”
“ขา้ แตน่ าย!” การบี ตอบ “ขา้ พเจา้ เหน็ กริ ยิ าและลกั ษณะทา่ ทางของ
ทา่ นแลว้ รสู้ กึ ชอบใจ ใครจ่ ะขอรว่ มสา� นกั กบั ทา่ นเพอ่ื รบั ใชอ้ ยา่ งใกลช้ ดิ หาก
ทา่ นไม่รังเกียจ ก็ขอไดโ้ ปรดรับขา้ พเจ้าไวใ้ นส�านักดว้ ยเถดิ ”
“ทา่ นกา” พระโพธสิ ัตว์ทว้ ง “ท่านกบั ขา้ พเจา้ กินอาหารคนละชนิด
ทา่ นชอบอาหารสดคาว เชน่ ปลา เนอ้ื ส่วนขา้ พเจา้ ชอบเมล็ดพชื เชน่ ถว่ั
งา ขา้ วสาลี ทา่ นจะอยปู่ รนนิบัติขา้ พเจ้าได้อย่างไร ทา่ นจะมิอดอาหารแย่
หรอื “ไมด่ อกนาย” กากล่าวตอ่ “ขา้ พเจ้าจะมใิ ห้ท่านตอ้ งเดอื ดร้อนเรื่อง
43
อาหารเลย หากินเองได้ ขอแตใ่ ห้ได้อยู่และบนิ ตาม นกพริ าบรทู้ ันเลห่ เ์ หลย่ี มกาวา่ กาตอ้ งการกนิ
ท่านหากินด้วยก็แล้วกัน เรื่องอาหาร ไม่ต้องห่วง อาหารของเศรษฐ ี จงึ ออกอบุ ายบา่ ยเบยี่ งวา่ ปวดทอ้ ง
ข้าพเจา้ ดอก” จึงแกลง้ พูดแทงใจกา
“ถ้าเช่นนั้นก็ตกลง ท่านจะไปอยู่กับข้าพเจ้า “สหายรัก ธรรมดากามธี าตไุ ฟแรง แมจ้ ะกนิ
ด้วยก็ได้ แต่อย่าเห็นแก่ความละโมบโลภมากก็แล้ว ไส้ประทีปเข้าไป ก็สามารถย่อยได้ในเวลาไม่นาน
กัน” พระโพธิสัตว์สอนกา ดังน้ัน ก็พาบินไปเที่ยว โรคปวดท้องไม่เคยปรากฏขึ้นกับกาตัวใดแต่ดึกด�า
หากนิ ตามทตี่ า่ งๆ นกพริ าบเทยี่ วหากนิ พชื นานาชนดิ บรรพม์ าแลว้ ทที่ า่ นอา้ งวา่ ปวดทอ้ งกเ็ หน็ จะเปน็ ดว้ ย
จนอม่ิ หน�าสา� ราญแลว้ จึงพากากลับที่อยู่ ความอยากจะกินอาหารท่ีพ่อครัวน�ามามากกว่า
ในระหวา่ งทาง กาเหลอื บเหน็ กองขคี้ วายกเ็ ดา กระมัง สหายเอ๋ย! อยา่ เห็นแกก่ ารกนิ นกั เลย เรา
ไดว้ า่ ขา้ งในคงมหี นอนอย ู่ จงึ แวะลงไปคยุ้ กองขคี้ วาย ไปหากนิ ตามธรรมดาของสตั วเ์ ถดิ อาหารมนษุ ยย์ อ่ ม
เลือกกินหนอนจนอิ่ม แล้วบินตามหลังนกพิราบไป ไมส่ มควรแก่สตั วอ์ ยา่ งพวกเรา”
กวา่ จะถงึ ทพี่ กั กพ็ ลบคา่� แลว้ พระโพธสิ ตั วเ์ หน็ ดงั นน้ั กาหายอมละความพยายามไม ่ จึงยนื กรานวา่
จงึ กล่าวเตอื นว่า “ข้าพเจ้าท้องเสียจริงๆ ถ้าขืนไปอาจเกิดอันตรายได้
“ทา่ นกา เวลานเี้ ปน็ เวลาเขา้ พกั ในรงั แลว้ ทา่ น ท่านไปผเู้ ดียวเถดิ ” ว่าแล้วก็นอนน่ิงไมย่ อมลุกขนึ้ มา
มาไมต่ รงเวลาเพราะความโลภอาหาร การทา� ตนเปน็ อกี “ถา้ เชน่ นนั้ ทา่ นกจ็ กั รกู้ รรมของตวั เอง” นกพริ าบ
คนไมร่ ้จู ักเวลาและละโมบมาก เพราะเหน็ แกก่ นิ นัน้ กล่าวแล้วกบ็ ินไปหากินตามปกติ
เป็นสิ่งท่ีน่าต�าหนิอย่างย่ิง” เมื่อกล่าวจบก็บินพากา ฝ่ายกาพยายามเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของพ่อ
ไปสู่รงั ของตน ครัวอยู่ พ่อครัวตื่นแต่เช้า จัดแจงท�าอาหารส�าหรับ
พ่อครัวเม่ือเห็นนกพิราบพากามาด้วยก็เพิ่ม ทา่ นเศรษฐีหลายชนดิ เมอื่ เสรจ็ แล้วก็ตักใสภ่ าชนะ
กระเช้าหญ้าขึ้นอีกใบหนึ่งในที่ใกล้เคียงกัน กาก็ได้ เอาฝาปดิ ไวพ้ อกนั สงิ่ สกปรกลงไป ตวั เองจงึ เดนิ ออก
อาศัยกระเชา้ น้ันอยู่ตลอดมา ไปข้างนอกเพอื่ รอรบั ลม ผึ่งเหง่ือให้แหง้
วันหน่ึง พ่อครัวของเศรษฐีเตรียมของสดมา ทันทีท่ีพ่อครัวออกไปข้างนอก กาซ่ึงเฝ้า
ประกอบเป็นอาหารมากมาย มีทั้งเน้ือปลาและอน่ื ๆ สังเกตการณ์อยตู่ ลอดเวลาเห็นไดจ้ ังหวะ จงึ รีบออก
กาเหน็ เข้าก็เกดิ ความอยาก จงึ คิดในใจวา่ “วนั พรงุ่ น้ี จากกระเชา้ เขา้ ทางชอ่ งหนา้ ตา่ งเกาะขา้ งสา� รบั คดิ วา่
เราจะไมไ่ ปหากนิ ละ จะพยายามหาอบุ ายกนิ ปลาและ “เราจะกนิ อาหารชามไหนด”ี เหลอื บเหน็ เนอ้ื ชน้ิ ใหญ่
เน้ีอที่พอ่ ครัวทา� ให้จงได้” คดิ อุบายได้อยา่ งหนง่ึ พอ จึงคาบเอาไปเพอื่ กนิ ได้หลายๆ ม้ือ ขณะทกี่ �าลังคาบ
รงุ่ เชา้ ถงึ เวลาออกหากนิ ตามปกต ิ กาทา� เปน็ นอนแซว่ เนอื้ จากจาน ฝาทป่ี ดิ ไวพ้ ลดั ตกจากสา� รบั เกดิ เสยี งดงั
อยู่ในรังไม่ยอมต่ืนขึ้นมา พระโพธิสัตว์เห็นกาล่าช้า ขน้ึ
จงึ ตะโกนเรยี ก “สหายรกั ไดเ้ วลาออกหากนิ แลว้ เรา พอ่ ครวั ไดย้ นิ ดงั นน้ั กเ็ ดาไดว้ า่ ตอ้ งมสี ตั วอ์ ะไร
ไปกนั เถอะ” แอบมาลักของกินในส�ารับแน่ จึงค่อยย่องเข้าทาง
กาแสรง้ ตอบดว้ ยเสียงอันแผ่วเบา “สหายเอย๋ ประตเู หน็ กากา� ลงั คาบเนอ้ื ออกจากสา� รบั กโ็ กรธ นกึ
วันนี้ข้าพเจ้าเห็นจะออกไปไม่ได้เสียแล้ว รู้สึกปวด ด่าในใจว่า “โธ่เอ๋ย เจ้าการะย�า อุตส่าห์เลี้ยงไว้ที่
ท้องมาตงั้ แต่เมือ่ คนื ยงั ไมห่ ายเลย สหายไปผ้เู ดียว ชายคา ยงั แอบมาขโมยกนิ เนอื้ ได ้ ขา้ ตอ้ งลงโทษเจา้
เถดิ ” ใหส้ าสมกบั ความผิด” แล้ววิง่ ไปปดิ หนา้ ต่างทง้ั หมด
44
ทกุ ด้าน แลว้ ไลจ่ บั กาเปน็ พลั วนั ในไม่ชา้ กส็ ามารถจับได้ เมอื่ พอ่ ครวั จบั กา
ได้แล้วก็ถอนขนจนเกลี้ยงตัว น�าขิงสดมาโขลกเข้ากับเกลือป่นและคลุกเนย
เปรี้ยว เสร็จแล้วทาไปจนทั่วตวั ของกา หลังจากนัน้ จบั กายัดใส่ในกระเชา้
หญ้าตามเดิม
กาได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส นอนหายใจระทวยๆ อยู่ในกระเช้า
แทบจะสน้ิ ใจ ตกเวลาเย็น พระโพธิสตั ว์กลบั จากหากินตามปกตเิ ห็นกานอน
หายใจแขมว่ ๆ อยใู่ นกระเชา้ โดยไมม่ ขี นตดิ ตวั แมแ้ ตเ่ สน้ เดยี ว จงึ เดาเหตกุ ารณ์
ไดโ้ ดยตลอด แลว้ กล่าวสอนกาวา่
“เจ้ากาโลเล ไม่ยอมเชื่อฟังค�าของเราผู้กล่าวตักเตือนด้วยความหวังด ี
ถือเอาความละโมบอยากได้ของตัวเป็นเกณฑ์ จึงถึงความหายนะอย่างใหญ่
หลวง บุคคลผ้ไู ม่เชือ่ ค�าของผูก้ ลา่ วสอนดว้ ยความหวังด ี มกั ประสบอันตราย
เชน่ นีต้ ลอดไป”
ครน้ั กลา่ วสอนอยา่ งนน้ั แลว้ จงึ คดิ วา่ “เรากเ็ หน็ จะอยตู่ อ่ ไปไมไ่ ด ้ เพราะ
อาจจะเกดิ อนั ตรายไดท้ กุ เม่ือ ไมว่ ันใดกว็ นั หนง่ึ ” จงึ ออกบนิ ไปอาศยั ทีอ่ ่ืนอยู่
ตอ่ ไป
ฝา่ ยกาซึง่ ถูกถอนขนจนเกลย้ี ง ก็ไม่สามารถทนความเจ็บปวด จึงตาย
ไปในวนั นนั้ เอง
ชาดกเรอ่ื งนมี้ ีคติธรรมสอนว่า ผูไ้ ด้รบั ความเมตตาปรานี จากบคุ คล
ใด จะเป็นญาตหิ รอื มใิ ชญ่ าตกิ ต็ าม ควรนับถอื บุคคลน้ัน เสมือนเป็นญาติ
มพี ระคณุ อยา่ งสงู เคารพนบนอบตอ่ บคุ คลนัน้ เปน็ นติ ย์ อย่าพึงท�าสิ่งใด
เปน็ การทา� ลายประโยชนข์ องผมู้ คี ณุ ไมท่ า� ตนเสมอื นแมวเลย้ี งนสิ ยั ไมด่ ี คอื
เจ้าของเลี้ยงไว้ในเรือน กลับไปถ่ายอุจจาระรดไว้บนหลังคา กิริยาเช่นนี้
โบราณนา� มาสอนบุคคลผู้ชอบเนรคณุ วา่ กนิ บนเรอื น อย่าไปข้รี ดหลงั คา
หมายความวา่ เมือ่ อยู่กับผูใ้ ด ได้อาศัยรม่ ไม้ชายคาของท่านแลว้ กอ็ ย่าไป
ท�าอันตรายอย่างใดอย่างหน่ึงต่อท่าน ผู้ประพฤติเช่นนั้นย่อมถึงความ
หายนะ เชน่ เดียวกับกาอาศยั บา้ นเศรษฐี กลับไปขโมยของกนิ จึงถึงความ
ตายด้วยความทรมาน จึงควรเป็นคตเิ ตือนใจตอ่ ไป
(กโปตชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
ชาดก เอกนบิ าต เลม่ ๒๙ หน้า ๑๔)
45
46
เสือเหลืองอันธพาล
“จงหลีกไปให้พ้น จากคนพาล”
ครั้งหนึ่งในป่าหิมพานต์ มีกระทาชายนายหน่ึงมีอาชีพในทาง
รับจา้ งเล้ียงแพะ เวลาเช้า ก็ไปรบั แพะจากชาวบา้ นมาหลายๆ เจ้าแล้ว
เล้ียงดูตลอดวัน พอตกเย็น ก็น�าแพะไปส่ง อาศัยค่าจ้างที่ได้จากการ
เลย้ี งแพะนนั้ เลย้ี งชีพตลอดมา
วนั หนง่ึ ชายผู้น้ันต้อนแพะกลับบา้ นในเวลาเยน็ มทิ ันไดน้ บั โดย
ถถ่ี ้วน จึงลมื แพะตัวหนึ่งไวใ้ นปา่ แพะนัน้ เม่อื หลงฝูงกไ็ มส่ ามารถกลบั
ดว้ ยตนเองได้ จึงเข้าไปอาศยั นอนพักในถา้� แห่งหนง่ึ คดิ ว่า “รุ่งเช้าจะ
พยายามเดนิ หาฝงู แพะที่ถูกตอ้ นมาเลี้ยงบริเวณน้นั อีก”
มีเสือเหลืองตัวหนึ่งอาศัยประจ�าอยู่ในถ�้าน้ัน หลังจากได้ออกไป
หากินตลอดวัน ก็จะเข้าไปในถ้�าท่ีพักของตัว พอเข้าปากถ้�าก็พบแพะ
นอนอย ู่ แพะเห็นเสอื เหลอื ง ก็ตกใจ ครน้ั จะหนกี ไ็ ม่ทนั จึงคดิ ว่า “วนั น้ี
เราเห็นจะไม่รอดเป็นแน่ แต่ถ้าจะยอมตายโดยมิหาทางแก้ไขก็ไม่ควร
เราจะใช้ปัญญาเท่าที่มี แก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าไปตามก�าลัง” จึง
แสรง้ ทา� เปน็ ใจดสี เู้ สอื เดนิ เขา้ ไปหาเสอื เหลอื ง แลว้ กลา่ ววาจาออ่ นหวาน
วา่
“สวัสดจี ้ะลงุ สบายดหี รอื พ่อเคยสอนว่าเสือเหลอื งเปน็ สัตว์ท่มี ี
เมตตา ชอบหาความสุขให้คนอ่ืน ขา้ พเจ้าคงมีส่วนไดร้ ับความสขุ จาก
ท่าน ข้าพเจ้าเองกป็ รารถนาใหท้ ่านมีความสุขอยู่เสมอ”
เสอื เหลอื งไดฟ้ งั ดงั น้นั ก็ร้ทู นั วา่ “เจ้าแพะกา� ลงั ประจบเพ่ือเอาตวั
รอด” จงึ กลา่ วขนึ้ วา่ “เจา้ มาเหยียบหางเรา แลว้ ยงั จะมหี น้ามาเรยี กวา่
ลุงเพือ่ หวงั เอาตวั รอด เราจะไม่ยกโทษให้เจา้ แนน่ อน”
แพะจงึ ตอบวา่ “ลงุ จา๋ ลงุ ยนื หนั หนา้ มาหาฉนั ฉนั กห็ นั หนา้ ไปหา
ลงุ เราไม่เคยเดินเฉียดกันเลย เหตุใดลงุ จงึ หาวา่ ฉนั เหยียบหางลงุ เล่า”
เสือเหลืองตอบว่า “เอ้า! เจา้ ไม่ทราบหรือ หางเสอื นั้นยาว พาด
ไปในที่ทุกหนทุกแห่ง ผู้ที่เดินอยู่บนดินแล้วช่ือว่าไม่เหยียบหางข้าน้ัน
ไมม่ ี นอกจากผอู้ ยบู่ นอากาศเทา่ นน้ั ทไี่ มเ่ หยยี บหางขา้ วนั น ี้ เจา้ ไมพ่ น้
ผดิ เป็นแน่”
47
แพะจงึ หาทางหลกี วา่ “พอ่ เสอื ผหู้ างยาว ขา้ พเจา้ ไดร้ บั สงั่ สอนจากพอ่
แมญ่ าตพิ น่ี ้องมาแต่เล็กว่า ธรรมดาเสือใจโหดหางยาวมาก เท่ยี วกวาดหาง
เปะปะไปทั่ว ข้าพเจ้ามีความเคารพในเสือตลอดมา เวลาไปไหนมาไหนก็
เกรงจะเหยียบหางเสอื จงึ มักเหาะไปทางอากาศเสมอ แม้มาวันน้ี ข้าพเจา้
กเ็ หาะมาทางอากาศ ทา่ นจะวา่ ข้าพเจา้ เหยียบหางท่านได้อยา่ งไร?”
เสอื เหลอื งอนั ธพาลหาเรอ่ื งตอ่ “ถงึ จะมาทางอากาศ ไมไ่ ดเ้ หยยี บหาง
ข้าก็ยงั ไม่พ้นผิด เพราะขณะทเ่ี จา้ เหาะมานน้ั บรรดาสตั ว์ที่เป็นอาหารของ
ขา้ เชน่ เกง้ กวาง เนอื้ เหน็ เขา้ กต็ กใจ วง่ิ แตกตนื่ เขา้ ปา่ หมดทา� ใหห้ าอาหาร
ไดย้ าก เจ้าจงึ สมควรตาย” วา่ แล้วกค็ �ารามเดนิ ตรงเขา้ หาแพะทันที
แพะเหน็ หมดหนทางหลีกเล่ียงกต็ กใจกลัว จงึ รอ้ งวิงวอนว่า “โธ ่ พ่อ
เสอื ! อยา่ ทา� อนั ตรายฉันเลย ลกู อย่ขู า้ งหลังไม่มีใครดแู ลจะตายเสยี เปลา่
ขอชีวิตไว้สักคร้งั เถดิ ”
ขณะท่ีแพะก�าลังวิงวอนอยู่น้ัน เสือเหลืองก็เข้าประชิดถึงตัว ตะปบ
แพะลม้ ลงแลว้ ขยา้� คอฟดั ไปมา เลอื ดสดพงุ่ ออกจากลา� คอของแพะ ดน้ิ ขาดใจ
ตายในทนี่ ้ันเอง เสอื จงึ ได้กินแพะเปน็ อาหารอนั โอชะในมอ้ื น้นั
ชาดกเร่อื งนี้มีคติสอนว่า คนชวั่ ร้ายใจเหีย้ มโหดน้นั จะเอาความดี
เขา้ ไปลอ่ เพยี งไร กไ็ มส่ ามารถทา� ใหใ้ จเขาออ่ นลงได้ เราเรยี กวา่ คนใจดา�
หรือคนใจกระด้าง ธรรมดาผา้ สีด�าเปน็ สีมืด จะเอาสีขาว แดง เหลือง
ไปยอ้ มสดี า� นนั้ ยอ่ มทา� ไมไ่ ด้ ฉนั ใด คนใจดา� อา� มหติ ยอ่ มไมส่ ามารถกลบั
เป็นคนใจดีดว้ ยคา� สรรเสริญ เหตุผลหรือข้อความใดๆ ทัง้ สน้ิ
ฉะนัน้ เมอ่ื เผชญิ หนา้ กบั คนพาล ก็อย่ามัวไปเสียเวลาปลกุ ปั้นเอา
ด้วยวาทะใดๆ พงึ หลีกหา่ งให้ไกลแสนไกล จงึ จะปลอดภัยได้ ถ้าท�าใจ
ดสี เู้ สอื เผชิญหน้าอยแู่ ล้ว ย่อมไดร้ บั อนั ตราย เหมือนแพะท�าใจดีส้เู สือ
เหลอื ง จึงถึงความตาย ดงั โคลงคตใิ นโลกนิติกล่าววา่
อา้ พ่อจงแวะเวน้ นรพาล
จงรักสมคั รสมาน ปราชญเ์ จ้า
เพ็ญเพ่ิมกศุ ลสาร คืนมัน่ วนั พ่อ
เรง่ ระลกึ ไตรรตั นเ์ ท้า ชพี สน้ิ สรวงเสวย
(ทีปชิ าดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก อฏั ฐกนบิ าต เล่ม ๓๒ หน้า ๓๗๕)
48
49
กาสุปัตตะ
“ผูกใจเจ้านาย ดว้ ยถวายชีวติ ”
ครง้ั หน่ึงในป่าหมิ พานต์ เม่อื พระเจ้าพรหมทตั เสวยราชย์ ณ กรุง
พาราณส ี พระโพธิสัตวเ์ กิดเปน็ กาชื่อสุปตั ตะ เปน็ หวั หน้าปกครองฝงู กา
เปน็ จา� นวนมาก สปุ ตั ตะมนี างกาชอื่ สปุ สั สาเปน็ คคู่ รอง มกี าหนมุ่ ชอ่ื สมุ ขุ ะ
เป็นสมุนรับใช้ใกล้ชิดเสมือนหน่ึงเสนาบดี กาสุปัตตะพาพวกพ้องบริวาร
หากินอยู่บรเิ วณตัวเมอื งพาราณสี
วันหน่ึง พญาสุปัตตะพานางกาสุปัสสาไปหากินแถวบริเวณ
พระราชวงั ไปเกาะทโ่ี รงครวั หลวงของพระเจ้าพาราณสี ซง่ึ ขณะน้ัน พอ่
ครัวก�าลังหุงอาหารเสร็จใหม่ๆ และก�าลังจะตักใส่ภาชนะเพื่อน�าไปถวาย
พระราชา นางกาสปุ สั สาไดก้ ลนิ่ อาหารจากโรงครวั หอมชวนกนิ เกดิ ความ
อยากในอาหารเปน็ กา� ลงั แตค่ รน้ั จะเขา้ ไปแยง่ เอาขณะนนั้ กเ็ กรงอนั ตราย
จึงสอู้ ดกล้ัน มไิ ดพ้ ดู ส่ิงใด ได้แต่ซบเซาอยู่
ร่งุ ข้ึนวนั ที่ ๒ สุปตั ตะเหน็ นางกาซบเซา ไม่กระปร้ีกระเปร่าเหมือน
ทกุ วนั อยากจะใหน้ างไปหากนิ เพอ่ื จะไดร้ บั ความสบายใจบา้ ง จงึ ออกปาก
ชวนว่า “แม่นางผู้เจริญ บัดนี้ถึงเวลาออกหากินแล้ว เราไปด้วยกันเถิด
บางทีจะทา� ใหเ้ ธอสบายใจข้ึน”
“วนั นเี้ หน็ จะไปไมไ่ ดเ้ สยี แลว้ พี่ไปคนเดยี วเถิด รสู้ ึกมีอาการคลา้ ย
กบั จะแพท้ อ้ ง ฉนั อยากกนิ อาหารอนั โอชะของพระราชา ถา้ ไมไ่ ดก้ นิ ในวนั
นี ้ คงเอาชวี ิตไม่รอดแน่ ขอได้โปรดจดั หามาใหด้ ้วยเถดิ ”
กาสปุ ตั ตะทราบดงั นน้ั กต็ รองหาวธิ ที จ่ี ะไดอ้ าหารมาใหน้ างกาวา่ จะ
ได้มาโดยวิธีใด ขณะก�าลังตรองหาวิธีการอยู่ กาสุมุขะสังเกตเห็นนาย
เคร่งขรึม คล้ายกับมีเรื่องหนักใจอะไรสักอย่าง ด้วยความจงรักภักดีต่อ
นายตามประสาผ้ซู ื่อสตั ย์ จงึ เขา้ ไปหานาย แลว้ ถามว่า “ขา้ พเจ้าสังเกต
เห็นท่านมีอาการเคร่งขรึม คล้ายจะมีอะไรหนักใจอยู่ ขอได้โปรดบอก
ข้าพเจา้ เถิด ข้าพเจ้าสละไดท้ งั้ กา� ลงั กาย สต ิ ปัญญา และแม้ชวี ติ เพ่อื ชว่ ย
เปล้อื งภาระหนกั ใจได้ ขอไดโ้ ปรดบอกมาเถิด”
“ขอบใจ สุมุขะ เจา้ เปน็ ผ้รู บั ใช้เราด้วยความภกั ดี เคยชว่ ยแบง่ เบา
ภาระให้มากม็ าก แตง่ านครัง้ น้เี หน็ จะเหลือวิสัยที่เจ้าจะช่วยได้”
50