The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คติชีวิตจากชาดก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ict.sesaosp, 2022-12-17 20:53:51

คติชีวิตจากชาดก

คติชีวิตจากชาดก

ข้าว ๑ หม้อ อยใู่ นกระทอ่ มนน้ั นัยว่าอาหารนัน้ เปน็ อาหารที่คนเฝ้านาเหลือทง้ิ
ไว ้ จงึ ประกาศขนึ้ ๓ ครง้ั วา่ “เจา้ ของอาหารเหลา่ นม้ี หี รอื ไม”่ เมอื่ ไมเ่ หน็ ใครแสดง
ความเปน็ เจา้ ของ จงึ คาบเอาสง่ิ เหลา่ นนั้ ไปเกบ็ ไว ้ ณ พมุ่ ไมข้ องตนเพอื่ รอเวลากนิ
นอนรา� ลึกถึง ศีลของตนอยเู่ ช่นกัน

เจา้ ลิงว่ิงเข้าไปปา่ แต่เช้าตรู่ รวบรวมผลไมม้ าจากปา่ เก็บไว้ในละเมาะ นอน
รา� ลกึ ถึงศลี ของตนเชน่ กนั ซ่งึ ขณะนัน้ กระต่ายโพธสิ ัตวเ์ ที่ยวและเล็มหญ้าอยู่แถว
บริเวณนน้ั

ด้วยเดชานุภาพแห่งศีลของสัตว์ท้ัง ๔ อาสนะของท้าวสักกเทวราชเกิด
อาการร้อนขึ้น นัยว่าอาสนะของท้าวสักกะจะแสดงอาการ ร้อนกด็ ว้ ยสาเหตุ ๔
ประการ คือ

๑. ท้าวสักกะสน้ิ อายุ
๒. ทา้ วสักกะส้นิ บุญ
๓. ผ้มู อี านุภาพอยู่บรเิ วณนั้น และ
๔. ด้วยเดชแหง่ ศลี ของสมณชีพราหมณ ์
แต่ที่แสดงอาการร้อนคร้ังน้ีเป็นเพราะเดชแห่งศีลของพระโพธิสัตว์ เมื่อ
ท้าวสกั กะใครค่ รวญดรู ูว้ ่าเป็นเดชแหง่ ศลี แลว้ ทรงดา� ริว่า “เราควรทดลองศลี ของ
สตั ว์เหลา่ น้ดี ู” จึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์เฒ่า เสดจ็ ลงมาพนื้ พภิ พ ยืนอยู่ใกล้พ่มุ
ไม้ที่อาศัยของนาก แล้วตรสั ปราศรัย “พอ่ นาก วันนี้ท�าไมนอนแต่เชา้ ไมอ่ อกไป
หาอาหาร หรือว่าหาไวพ้ อแก่ความตอ้ งการแล้วจงึ ไม่ออกหากนิ ”
“วันน้ีเป็นวันอุโบสถ ข้าพเจ้าออกหาอาหารแต่เช้ามืด ได้พอสมควรแล้ว
สมาทานศีลอโุ บสถจึงไม่ออกหากิน ทา่ นเป็นใครมาทนี่ ีเ่ พอื่ ต้องการสง่ิ ใดหรอื ?”
“ข้าพเจา้ เป็นพราหมณ์ ออกภกิ ขาจารตามวตั รปฏบิ ตั ขิ องพราหมณ์ หาก
จะไดส้ ว่ นแบง่ จากอาหารของทา่ นบา้ ง ขา้ พเจา้ กจ็ ะไดอ้ ยรู่ กั ษาอโุ บสถเชน่ ทา่ นบา้ ง”
“ไดซ้ ทิ า่ นพราหมณ์ ข้าพเจา้ ไดป้ ลามา ๗ ตวั นายพรานเบ็ดตกได้แลว้
ทงิ้ ไวท้ ช่ี ายหาด ทา่ นจงบรโิ ภคตามความตอ้ งการเถดิ ” แลว้ กห็ นั หลงั เขา้ ปา่ ละเมาะ
คาบปลามาวางไว้ตอ่ หน้าพราหมณ์
ท้าวสักกะเห็นดังน้ัน นึกเลื่อมใสในศีลและทานของนาก แสดงกิริยาขอบ
อกขอบใจ แลว้ กลา่ ววา่ “ท่านมคี ุณธรรมกวา้ งขวางดุจมหาสมุทร ท่านจงเกบ็ ไว้
กอ่ นเถดิ แลว้ ข้าพเจ้าจะมาขอแบง่ ภายหลัง” แลว้ ลากลบั ไป
ท้าวสักกะอยู่ในพราหมณ์น่ันเอง เดินต่อไปยังละเมาะไม้ของสุนัขจิ้งจอก
แล้วยนื นง่ิ อยู่เบ้อื งหนา้ สนุ ขั จ้ิงจอกเหน็ เข้าจึง กล่าวทกั ทาย “ทา่ นพราหมณ ์ มี
ธุระอะไรกับขา้ พเจา้ หรอื บอกมาเถิด ถา้ ชว่ ยไดก้ ็จะชว่ ยตามความสามารถ”

101


“ขา้ พเจา้ ใครจ่ ะรกั ษาศีล บา� เพ็ญสมณธรรม ปฏบิ ตั ธิ รรมเช่นทา่ นบ้าง”

บา้ ง แต่ยงั ไมม่ ีอาหารอะไรตกถงึ ท้องเลย ถ้าได้ พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังน้ันก็เกิดความช่ืนชม

อาหารดบั ความหวิ ไดก้ จ็ ะไดร้ กั ษา ศลี บา� เพญ็ สมณ โสมนัสเป็นอย่างยิ่ง จึงกล่าวด้วยความช่ืนชม “ท่าน

ธรรมบ้าง” พราหมณ์ การที่ท่านมาสู่ส�านักของข้าพเจ้า เพื่อ

สุนัขจ้ิงจอกจึงกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า ตอ้ งการอาหารนน้ั ไมผ่ ดิ หรอก ถา้ ขา้ พเจา้ จะมหี ญา้ เปน็

“ขา้ พเจา้ ไดน้ า� อาหารมาจากระทอ่ มชาวนาเกบ็ ไวใ้ น อาหาร ซึ่งท่านจะบริโภคด้วยไม่ได้ก็จะจัดหาอาหาร

พมุ่ ไมน้ ้ี มีเนอื้ ยา่ ง ๒ ไม้ สตั ว์ยา่ ง ๑ ตวั ขา้ ว ๑ โอชารสใหก้ บั ท่านจงได ้ โปรดรวบรวมเชือ้ แลว้ จดุ ไฟ

หมอ้ ขอทา่ นจงบรโิ ภคอาหารเหลา่ นเ้ี ถดิ ” “ขอบใจ ใหเ้ ปน็ เปลวขน้ึ เถดิ ขา้ พเจา้ จะจดั การอาหารอรอ่ ยของ

ทที่ า่ นมีไมตรจี ิต” พราหมณก์ ลา่ ว “ข้าพเจา้ ไปธุระ มนุษย์ให้ท่านจงได้”

ทโ่ี นน่ กอ่ นแลว้ จะกลบั มาภายหลงั ” แลว้ เดนิ เลยไป พราหมณ์นึกสงสัยว่า กระต่ายจะหาอาหาร

ถงึ สา� นักของลงิ ซ่งึ กา� ลงั นอนรอเวลาอาหารอยู่ จงึ มนษุ ยม์ าไดอ้ ยา่ งไร เพอ่ื จะทดลองใจพระโพธสิ ตั ว ์ จึง

เอ่ยทักข้ึนว่า “ท่านวานร ท่านขนผลไม้มาเก็บไว้ รวบรวมใบไม้แห้งมากองแล้วจุดไฟให้เป็นเปลวไฟลุก

มากมาย ชะรอยวา่ จะมีแขกมาพกั กระมงั ” โชตชิ ่วง แลว้ บอกกระต่ายว่า “ไฟเสร็จแล้ว”

“มิได้ท่านพราหมณ์ วันน้ีเป็นวันอุโบสถ กระต่ายลุกข้ึนจากที่ สะบัดขนตัวโดยแรงเพ่ือ

ขา้ พเจา้ จงึ นา� อาหารมาเกบ็ ไว ้ เพอื่ มติ อ้ งลา� บากตอ้ ง สตั วท์ อ่ี าศยั อยใู่ นตวั จะไดห้ ลดุ รว่ งลงมา แลว้ กลา่ วดว้ ย

แสวงหาไปตลอดวนั หากทา่ นประสงคจ์ ะบรโิ ภค ก็ สีหนา้ ยมิ้ แยม้

ขอเชิญตามสบายเถดิ ” “ท่านพราหมณ ์ ข้าพเจ้าเปน็ กระตา่ ย มหี ญ้า

พราหมณ์นึกเลื่อมใสในความเอื้อเฟื้อและ เปน็ อาหาร คร้นั จะใหห้ ญา้ เป็นทานกค็ งไม่มีประโยชน์

คุณธรรม แตเ่ พือ่ จะทดลองน้�าใจกระตา่ ยบ้าง จงึ กับท่าน เพราะมนุษย์ไม่บริโภคหญ้า แต่บริโภคเน้ือ

กลา่ วขอบคณุ และขอตวั เพอื่ ไปหา กระตา่ ยโพธสิ ตั ว ์ สัตว ์ ขา้ พเจา้ ขออุทศิ เน้ือทง้ั หมดน้ใี ห้เป็นทาน เมอ่ื เนอ้ื

เมอ่ื ไดท้ กั ทายปราศรยั ตามสมควรแลว้ กระตา่ ยจงึ ของข้าพเจ้าถูกเผาจนสุกแล้วก็จงฉีกกินให้อิ่มหน�า

ถามขึ้น ส�าราญเถิด”

“ทา่ นพราหมณ ์ ทา่ นเดนิ ทางอยใู่ นปา่ เปลยี่ ว ยงั มทิ นั ทพ่ี ราหมณจ์ ะกลา่ วประการใด กระตา่ ย

แตผ่ เู้ ดยี ว คงจะมคี วามตอ้ งการสง่ิ ใดสง่ิ หนงึ่ จากปา่ ก็กระโดดเข้าไปในกองเพลิง ด้วยอาการเสมือนหนึ่ง

น้ี ถา้ ข้าพเจ้าพอจะช่วยท่านได ้ กข็ อได้โปรดบอก พญาหงสร์ ่อนลงในกอประทมุ

มาเถดิ ขา้ พเจ้ายนิ ดชี ่วยด้วยความเต็มใจ” ดว้ ยเดชศลี บารมขี องพระโพธสิ ตั ว์ประกอบดว้ ย

พราหมณ์นึกเลื่อมใสในการต้อนรับของ พละอ�านาจของท้าวสกั กะ ไฟมิได้แสดงอาการรอ้ นให้

กระตา่ ย จงึ บอกความประสงค์ ระคายขุมขนของกระต่ายแม้แต่น้อยเลย กลับกลาย

“ข้าพเจ้าบ�าเพ็ญสมณธรรมอยู่ในป่าน้ีเป็น เป็นของเยน็ เสมอื นยืนอยใู่ นน้�าเย็น พระโพธสิ ัตว์รสู้ กึ

ประจ�า วันนี้เป็นวันอุโบสถ พยายามเสาะหา แปลกใจ จึงเรียกพราหมณม์ าใกล้ แลว้ ถามว่า

ผลาหารกไ็ มพ่ บอะไรเลย หากไดอ้ าหาร พอประทงั “ทา่ นพราหมณ ์ ไฟทที่ า่ นกอ่ ขน้ึ มไิ ดแ้ สดงอาการ

ความหวิ ไดส้ กั มอื้ หนงึ่ ขา้ พเจา้ กจ็ ะบา� เพญ็ ศลี และ ร้อนแม้แต่น้อย กลับรู้สึกเย็นเสมือนยืนอยู่ในน้�า นี่

102


หมายความวา่ กระไรกัน” พ้องบริวาร จะอยู่ในโลกด้วยความสุขส�าราญมิได้

ท้าวสักกะจึงกล่าวด้วยอาการย้ิม “ท่าน คุณธรรมข้อหน่ึงคือศีล หมายถึงการรักษาปกติของ

กระต่ายผู้บัณฑิต ข้าพเจ้ามิใช่พราหมณ์ในเมือง กายวาจา ให้เรียบร้อย เป็นคุณธรรมประจ�าสังคม

มนุษย์ แต่เป็นท้าวสักกเทวราช ข้าพเจ้ามาเพ่ือ มนษุ ย์ แต่คุณธรรมนน้ั แม้จะดีสักเพียงใด ถา้ คนเรา

ทดลองก�าลังใจในการปฏิบัติทานและศีลของท่าน มิได้น�าเข้ามาไวใ้ นตวั ใหก้ ลมกลนื กับชีวิตประจ�าวัน

บัดนี้ได้เห็นแจ่มชัดแล้วว่า ท่านท้ังหลายมีจิตใจ แล้ว ก็จะไม่เกิดคุณประโยชน์ในทางสร้างเกียรติ

ม่นั คงในหลักธรรมอยา่ งย่งิ หากไม่เปน็ ท่พี อใจ ก็ สรา้ งความอบอนุ่ แกช่ วี ติ อยา่ งใด ประเดน็ สา� คญั ของ

ขอไดโ้ ปรดอภัยดว้ ยเถิด” คนดีจึงอยูท่ ่ีรจู้ ักว่าอะไรเปน็ ของดี และพยายามน�า

พระโพธสิ ตั วจ์ งึ ตรัสประกาศวา่ “ท่านท้าว เอาของดมี าปลกู ฝงั ไวใ้ นตวั ใหจ้ งได้ พงึ เหน็ ตวั อยา่ ง

สักกเทวราช ทานเปน็ คณุ ธรรมอนั ประเสรฐิ ควร เช่นสตั วท์ งั้ ๔ โดยเฉพาะกระต่ายโพธสิ ตั ว์ เห็น

คา่ แกช่ วี ติ ทกุ ชวี ติ ขา้ พเจา้ ตระหนกั ในคณุ ธรรมคอื คุณธรรมมคี ่า ยิง่ กวา่ ชีวติ จึงยอมเสยี สละชีวติ เพอ่ื

ทานอย่างย่ิง แม้โลกทั้งโลกจะร่วมมือกันทดลอง แลกกับคุณธรรม คือทานการให้ ด้วยการสละชีวิต

ทานในตัวขา้ พเจ้าทกุ แง่ทุกมุม กไ็ ม่อาจเหน็ ความ ตัวเองใหเ้ ปน็ ทานแก่พราหมณ์ และดว้ ยอา� นาจทาน

บกพร่องในทานของข้าพเจ้าได้ โปรดได้ไว้วางใจ น้นั จึงบันดาลให้เกดิ เกียรติคณุ และความสขุ เป็น

เถิด” เครอื่ งตอบสนอง ควรจะไดถ้ อื เปน็ คตใิ นการประพฤติ

ท้าวสักกะจึงกล่าวสรรเสริญกระต่ายด้วย ธรรมะต่อไป

ประการตา่ งๆ แลว้ กลา่ ววา่ “ทา่ นกระตา่ ยผบู้ ณั ฑติ

เกยี รตคิ ณุ ของทา่ นควรคา่ แกก่ ารปรากฏตอ่ สายตา (สสปัณฑติ ชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย

คนทวั่ ไปช่วั กปั ช่วั กลั ป์” ชาดก จตุกกนิบาต เลม่ ๓๑ หนา้ ๓๕๓)

ครน้ั เสรจ็ ทา้ วสกั กะจงึ เนรมติ ใหเ้ กดิ ทงุ่ หญา้

อันอุดมสมบูรณ์ สัตว์ท้ัง ๔ ได้อาศัยทุ่งหญ้านั้น

เป็นที่แสวงหาอาหารตลอดมา มีความรักความ

สามัคคีกันโดยคุณธรรม อยู่ร่วมกันจนถึงกาล

อวสานแหง่ ชวี ติ

ความในชาดกเร่อื งน้ี มุ่งช้ีใหเ้ ห็นคุณธรรม

คอื ทานและศลี วา่ เปน็ คณุ ธรรมอนั ประเสรฐิ อาจ

บนั ดาลผลดใี หเ้ กดิ ขน้ึ แกช่ วี ติ ไดห้ ลายประการ ท่ี

เหน็ กนั ในปัจจุบนั กค็ อื เกยี รตคิ ณุ หรอื ความเช่ือ

ถอื จากผอู้ น่ื เพราะคนมที านคอื ความเออ้ื เฟอ้ื เผอ่ื

แผ่ ยอ่ มมพี วกพอ้ ง ญาติมิตร และบริวารอย่บู น

โลกด้วยความอบอุ่น ไมว่ า้ เหว่ใจ ตรงกันข้ามกบั

คนท่ีขาดคุณธรรมขอ้ นี้ เป็นคนใจแคบ ไม่มพี วก

103


104


โคนนั ทวศิ าล

“พูดดี เปน็ เงินเปน็ ทอง”

ครงั้ หนง่ึ ในปา่ หมิ พานต ์ เมอื่ พระเจา้ คนั ธาระเสวยราชย ์ ณ กรงุ ตกั กศลิ า
พระโพธสิ ัตวเ์ กิดเปน็ โคในบา้ นพราหมณ์ผหู้ น่ึง เป็นโคอศุ ุภ (โคตวั ผ)ู้ มกี �าลัง
มากดจุ พญาช้างสาร สามารถลากเกวียนซึง่ ผูกติดกนั เป็นรอ้ ยๆ เลม่

ครั้งน้ัน มีพราหมณ์ผู้หนึ่งได้โคตัวนั้นมาจากส�านักพราหมณ์เจ้าของเดิม
มคี วามรกั ใครเ่ อน็ ดโู คตวั นเี้ ปน็ อยา่ งมาก จงึ ทะนบุ า� รงุ ดว้ ยหญา้ และอาหารอยา่ ง
น้ี ตั้งช่ือใหว้ า่ “นนั ทวิศาล” และเลยี้ งดูโคน้ัน โดยให้ความสุขสา� ราญตลอดมา

เมอื่ โคนันทวศิ าลเจรญิ วยั เป็นโคหน่มุ เต็มตวั แล้ว จึงร�าพึงว่า
“พราหมณน์ เี้ ลยี้ งดเู ราดว้ ยความเหนอ่ื ยยาก ทะนถุ นอมเราเสมอดว้ ยบตุ ร
บณั ฑติ แต่โบราณยอ่ มหาโอกาสสนองคุณทา่ นผู้มีคุณ เราเองก็มีกา� ลงั มหาศาล
ทว่ั ชมพูทวปี หาผใู้ ดเปรียบมิได ้ เราต้องหาทางสนองคณุ พราหมณ์ให้จงได”้
วันหน่ึง เม่ือสบโอกาสเหมาะ โคนันทวิศาลจึงกล่าวกับพราหมณ์ “พ่อ
พราหมณ์ ท่านเล้ียงดูข้าพเจ้ามาแต่เล็กจนเติบใหญ่ ข้าพเจ้ายังมิได้สนองคุณ
ทา่ นเลย จงึ อยากจะสนองคณุ ท่านบ้าง ทา่ นจงเข้าไปหาโควนิ ทกเศรษฐี แลว้
ทา้ พนันลากเกวยี น ๑๐๐ เลม่ ซ่ึงผกู ติดกันด้วยโคตัวเดยี ว โดยวางเงินเดิมพัน
๑,๐๐๐ กหาปณะ ข้าพเจ้าจะลากเกวียนให้ชนะ เพ่ือท่านจะได้เงินเดิมพัน
เป็นการตอบแทนคณุ ทา่ นสักครั้ง”
พราหมณไ์ ดฟ้ ังดงั นน้ั กด็ ใี จ เข้าไปหาโควินทกเศรษฐี แลว้ ปรารภเป็นเชงิ
อวดตวั “ทา่ นเศรษฐ ี ทา่ นเคยไดย้ นิ โคของใครในละแวกน ี้ ทม่ี กี า� ลงั มหาศาลบา้ ง
หรือไม?่ ”
“เคยไดย้ นิ บา้ งเหมอื นกนั ” เศรษฐตี อบตามซอ่ื “เขาวา่ โคบา้ นโนน้ เกง่ กวา่
โคท้ังหมด ท่านถามท�าไมหรอื ?”
“คงเก่งไม่ได้คร่ึงโคของข้าพเจ้าดอก ข้าพเจ้ามีโคตัวหนึ่ง มีก�าลังย่ิงกว่า
ช้างสาร สามารถลากเกวียนท่ีผูกติดกันได้ต้ัง ๑๐๐ เล่ม” “จริงหรือท่าน
พราหมณ ์ โคตวั นนั้ เวลานยี้ งั อยไู่ หม ขา้ พเจา้ ไมอ่ ยากจะเชอื่ วา่ โคตวั เดยี วสามารถ

105


ลากเกวยี นได้ตั้ง ๑๐๐ เล่ม”
“ถ้าเช่นนั้น เรามาพนันกันดีไหม ถ้าใครชนะจะได้เงินเดิมพัน ๑,๐๐๐

กหาปณะ แต่ถา้ แพก้ ็ตอ้ งเสยี ๑,๐๐๐ กหาปณะเช่นกนั ”
“ไดซ้ ิท่านพราหมณ”์ เศรษฐีรับทา้ พนนั ดว้ ยความมัน่ ใจ “เราจะเหน็ กนั ในวัน

พรงุ่ นเ้ี ลยทเี ดยี ว”
เศรษฐใี หห้ าเกวยี นมา ๑๐๐ เลม่ บรรจทุ รายและหนิ จนเตม็ แทบทกุ เลม่ แลว้

ใหผ้ กู เชือกขนั ชะเนาะ (ไม้กับเชือกท่ผี ูกแล้ว ขนั บิดไดแ้ นน่ ) ติดกนั เรียงแถวไว้รอ
พราหมณ์เพอ่ื นา� โคมาลาก

ฝา่ ยพราหมณก์ เ็ ตรยี มอาบนา�้ ใหโ้ คนนั ทวศิ าล เจมิ (ใชแ้ ปง้ หอมแตม้ เปน็ จดุ )
และประพรมด้วยกระแจะจันทน์ น�าพวงมาลัยมาคล้องคอ จูงไปยังหมู่เกวียนที่
เตรยี มไว ้ เทยี มโคเขา้ ทแี่ อก เมอ่ื ทกุ อยา่ งพรอ้ มแลว้ จงึ ออกคา� สงั่ โคนนั ทวศิ าลดว้ ย
ความคะนองทจ่ี ะได้เงนิ เดมิ พนั วา่ “เฮย้ เจา้ โคโกง จงลากเกวียนไปเด๋ยี วน้ี อย่าให ้
พอ่ เสยี เงนิ เสียชือ่ เนอ้ ”

โคนันทวิศาลได้ฟังค�าของพราหมณ์ก็หมดก�าลังใจ คิดว่าพราหมณ์ผู้น้ีชอบ
วาจาหยาบ และไม่ตรงต่อความจริง เราไม่เคยคดิ คดโกงก็มาเรียกเราวา่ โคโกง เรา
จะไมย่ อมลากเกวยี นละ แลว้ โคนนั ทวศิ าลกย็ นื เฉยเสมอื นเสาหนิ ทปี่ กั ไวอ้ ยา่ งมน่ั คง
แม้พราหมณ์ จะพยายามอย่างไรก็ไม่ยอมเคลื่อนที่ เศรษฐีเห็นได้ทีจึงเข้าไปหา
พราหมณ ์ แล้วพูดเป็นเชิงเย้ย

“ทา่ นพราหมณ์! โคตัวน้หี รอื ท่ีลากเกวยี นได้ ๑๐๐ เล่มกท็ ่าทางจะจรงิ แต่
เสียทดี่ ้อื ไปนิดหนอ่ ย ยังมอี ีกก่ตี วั กจ็ ะขอพนันทัง้ หมด คราวนี้เอาเงิน ๑,๐๐๐ มา
กอ่ นเถิด”

พราหมณห์ น้าม่อย สง่ เงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะให้ทา่ นเศรษฐี แล้วจูงวัวเดนิ
คอตกกลับไปยังบ้านของตน เมอ่ื มาถึงก็นอนเสียใจอย่ตู ลอดท้งั วัน โคนันทวศิ าล
เห็นพราหมณ์เศร้าโศกเช่นน้ันก็เกิดความสงสาร จึงเดินเข้าไปหาแล้วกล่าวขึ้นว่า
“ท่านพราหมณ ์ ทา่ นนอนหลบั ไปหรอื ”

พราหมณต์ อบด้วยเสียงส้ันๆ แต่เพียงว่า “แพพ้ นันตั้ง ๑,๐๐๐ จะนอนหลบั
ไดอ้ ยา่ งไร ลากไม่ไหวกไ็ มน่ า่ มายใุ ห้ไปพนนั ให้เสียเงนิ เลย”

“ท่านพราหมณ์” โคนันทวิศาลกล่าว “ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าอยู่บ้านท่าน
ขา้ พเจา้ เคยได้ท�าลายของ ฉ้อโกงหรอื ท�าสกปรก บ้านเรือนของทา่ นบา้ งหรือไม?่ ”
“ไม่เคยเลย เจ้าเป็นโคท่ดี ขี องเราตลอดมา”

“ถา้ เชน่ นน้ั เหตไุ รทา่ นจงึ เรยี กเราวา่ โคโกง การทท่ี า่ นเสยี พนนั ครง้ั นก้ี เ็ พราะ
ท่านพดู จาไม่ดีตอ่ ขา้ พเจา้ เป็นความผิดของท่านเอง ถ้าท่านจะพูดค�าดีๆ ต่อไป
ข้าพเจา้ จะท�าให้ทา่ นได้เงนิ เป็นทวคี ณู ”

“เจา้ จะเอาทไ่ี หนมาใหเ้ ราอกี ” พราหมณย์ อ้ นถาม “ทา่ นพราหมณ ์ ทา่ นจงไป

106


หาโควนิ ทกเศรษฐีอกี ครงั้ แลว้ ทา้ พนันกนั ใหม ่ คราวนี้ท่านวางเงนิ เดมิ พนั เป็น ๒
เทา่ จากเม่ือคราวที่แลว้ ถา้ ท่านรับรองจะไมพ่ ดู คา� หยาบอกี ข้าพเจ้าจะทา� ให้ท่าน
ไดท้ รพั ย์จงได”้

พราหมณ์จึงเข้าไปหาโควินทกเศรษฐี แล้วขอท้าพนันกันใหม่ด้วยเงินเดิม
พนั เพิม่ เป็น ๒ เทา่ โควินทกเศรษฐรี บั พนัน และเตรยี มการเหมือนคราวกอ่ น
ฝ่ายพราหมณ์ก็ตกแต่งโคนันทวิศาลเหมือนเดิม น�าเทียมเกวียนแล้วพราหมณ์ก็
ขึ้นไปนัง่ บนเกวียน เอามอื ลูบหลงั โคนันทวศิ าลแต่เบา ๆ พลางกลา่ วดว้ ยส�าเนยี ง
น่มุ นวลวา่ “พ่อนนั ทวิศาล พ่อมหาจา� เริญ พอ่ จงลากเกวียนไปตามท่สี ัญญาไว้
เถิด”

พอขาดค�าพดู ของพราหมณ ์ โคนันทวิศาลก็ใช้กา� ลงั อย่างแรงลากเกวียนให้
เคลื่อนท่ีไปข้างหน้า จนกระทั่งเกวียนเล่มสุดท้ายมาตั้งอยู่ตรงท่ีเกวียนเล่มแรก
จอด โควนิ ทกเศรษฐแี พ้พนันต้องจ่ายเงนิ ให้พราหมณ ์ ๒,๐๐๐ กหาปณะ ผู้ชม
การแขง่ ขันในครงั้ น้นั ตา่ งพอใจในตวั พราหมณ์ จงึ เพมิ่ ทรัพยใ์ หเ้ ปน็ จ�านวนมาก
พราหมณ ์ ได้อาศัยโคนันทวศิ าลเปน็ แรงงาน ส�าเร็จชีวติ อยจู่ นถงึ กาลอวสานแห่ง
ชวี ิต โดยไม่ยอมพูดคา� หยาบกับโคอกี

ชาดกเรอ่ื งนมี้ คี ตธิ รรมสอนวา่ ในการตดิ ตอ่ กบั คนอน่ื นนั้ วาจานบั วา่ เปน็
สิ่งสา� คญั มาก โบราณจึงสอนเปน็ คติว่า “ปากเปน็ เอก เลขเปน็ โท” บางแห่ง
กส็ อนวา่ คนเราทเี่ กดิ มามอี าวธุ คอื ขวานตดิ มาคนละเลม่ ถา้ ใชเ้ ปน็ กม็ คี ณุ อนนั ต์
ถา้ ใช้ไมเ่ ปน็ กเ็ ปน็ โทษมหนั ต์ อาวุธน้นั กค็ ือปาก ถ้าใชใ้ นทางพดู ท�าประโยชน์
คือพดู เพ่อื ไมตรี ผกู มติ รกันกก็ ่อประโยชน์ให้เกดิ ทรัพย์อยา่ งมากมาย แต่ถ้า
ใช้ในทางพูดจาถากถาง กระทบกระทง่ั คนอน่ื หรือยุยงใหเ้ ขาแตกกนั ก็กอ่ โทษ
มหาศาล ดพู ราหมณเ์ ปน็ ตวั อยา่ ง พดู จาหยาบกบั โคจึงต้องแพพ้ นัน แตเ่ มอ่ื
พูดดีก็ได้เงิน จึงควรพูดแต่วาจาที่จะท�าใจให้อิ่มเอิบเป็นที่พอใจของคนทั่วไป
ยอ่ มเกดิ ประโยชน์อยา่ งมหาศาล ดงั ภาษติ โบราณกลา่ ววา่

ถึงบางพดู พูดดเี ป็นศรีศักดิ์
มคี นรักรสถอ้ ยอร่อยจิต
ถงึ พดู ชัว่ ตวั ตายทา� ลายมติ ร
อันถกู ผิดในมนุษย์เพราะพดู จา

(นันทิวิสาลชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย
ชาดก เอกนิบาต เลม่ ๒๘ หนา้ ๓๓๗)

107


108


นกยางเจ้าเล่ห์

“อย่าใช้ปัญญาฆ่าตวั เอง”

ในอดตี กาล พระโพธสิ ตั วเ์ กดิ เปน็ รกุ ขเทวดา สงิ อยบู่ นตน้ ไมใ้ กล้
สระบัวในป่าใหญ่ ขณะนั้นเป็นฤดูแล้งน�้าในสระบัวเริ่มแห้งลงไปทุกท ี
ปลาจึงอยู่กันด้วยการเบียดเสียด อาหารก็น้อย ได้รับความล�าบากท่ัว
กัน

ครง้ั นนั้ มนี กยางตัวหนง่ึ เห็นฝงู ปลาในสระน้ันนกึ อยากกิน จงึ ไป
เกาะอยู่ที่โขดดินแห่งหนึ่ง คิดว่าจะหาอุบายหลอกลวงปลากินให้จงได้
จงึ ทา� เปน็ ยนื เศรา้ นา�้ ตาไหลอย ู่ ปลาทงั้ หลายเหน็ นกยางยนื จบั เจา่ นา้� ตา
ไหล จึงพากันเขา้ ใกลแ้ ลว้ เอย่ ถามข้นึ วา่

“ท่านนกยางท่านมายืนร้องไห้ด้วยเร่ืองอะไร หากส่ิงใดท่ีพอจะ
ช่วยไดก้ ็บอกมาเถดิ บางทพี วกขา้ พเจา้ อาจจะช่วยท่านไดบ้ า้ ง” นกยาง
ทา� เปน็ คอ่ ยๆ เงยหนา้ ขน้ึ แลว้ กลา่ วทงั้ นา้� ตาวา่ “เรากา� ลงั นกึ สงสารพวก
ทา่ นอยวู่ า่ นา�้ ในสระกแ็ หง้ เหอื ดลงไปทกุ วนั อาหารกน็ อ้ ยลง สระอนื่ แหง้
ไปมากตอ่ มากแลว้ ทา่ นทง้ั หลายคงพากนั ตายอยา่ งเวทนาแบบเดยี วกบั
ปลาในสระอืน่ อกี ข้าพเจ้านกึ ถงึ ข้อน้จี ึงรอ้ งไหด้ ้วยความสงสาร”

ปลาท้ังหลายต่างมองหน้าซ่ึงกันและกัน แสดงความแปลก
ประหลาดใจ จึงกล่าวกับนกยางว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านจะมีอุบายช่วย
ขา้ พเจ้าให้พ้นตายไดอ้ ยา่ งไรบ้าง โปรดแนะนา� พวกข้าพเจา้ ด้วยเถดิ ”

นกยางแสรง้ ท�าเปน็ นง่ั คดิ แล้วกลา่ วขนึ้ ว่า “ข้าพเจา้ ไมเ่ หน็ ทาง
อนื่ นอกจากจะใชก้ า� ลงั ตวั คาบตวั พวกทา่ นไปสง่ ยงั สระใหญอ่ กี สระหนง่ึ
ในสระน้ันมีบัวแน่นหนาร่มเย็น มีน�้าใสสะอาด ไม่มีวันแห้งจนถึงหน้า
ฝน ทา่ นจะไปกับขา้ พเจา้ หรอื ไม่ก็ตามใจเถดิ ”

ฝงู ปลาปรกึ ษากนั แลว้ จงึ กลา่ วดว้ ยความไมไ่ วใ้ จนกยางวา่ “ทา่ น
นกยาง ตง้ั แตป่ ฐมกปั มา ขนึ้ ชอื่ วา่ นกยางคดิ ชว่ ยปลานน้ั ไมม่ ี ทา่ นกา� ลงั
จะลอ่ พวกเราไปกินทลี ะตัวแหละว่าไมถ่ กู ”

109


นกยางดดั เสียงใหอ้ อ่ นย่ิงขึ้น แล้วกลา่ ววา่ “เราเป็นนกยาง ถอื ศลี กนิ วัตร
ไม่ฆา่ สตั วห์ ลายปแี ล้ว ปจั จุบนั หากนิ แต่ปลาตาย ถา้ ท่านไมแ่ น่ใจกใ็ ห้ปลาตัวใด
ตวั หนึง่ ไปกบั ข้าพเจา้ แล้วใหป้ ลานน้ั เปน็ ผู้พสิ ูจนเ์ ถิด”

ฝงู ปลาปรกึ ษากนั วา่ ควรใหใ้ ครไปพสิ จู นด์ ี เมอื่ ไดต้ กลงกนั แลว้ จงึ ลงมตใิ ห้
ปลาหมอเปน็ ผไู้ ปพสิ จู น ์ เพราะปลาหมอเปน็ ปลาทรหดอดทนทง้ั ในนา้� และบนบก
ปลาหมอจงึ ยอมใหน้ กยางคาบไป นกยางคาบปลาหมอไปแล้วปล่อยในสระใหญ่
แห่งหนึง่ น้า� ใส มบี วั เตม็ สมจรงิ ดงั นกยางบอก เมื่อได้แหวกวา่ ยส�ารวจท่วั แล้ว
กลับมาหานกยางให้คาบกลับไปท่ีเดิม เมื่อกลับมาถึงก็ถูกพวกปลารุมล้อมถาม
ถงึ สระนน้ั ปลาหมอกเ็ ล่าให้ฟังตามทไี่ ด้พบเหน็ ทุกประการ ปลาเหล่านั้นกเ็ ชอื่
ในคา� ของนกยาง อ้อนวอนใหน้ กยางคาบไปทีละตัว

ฝ่ายนกยางคาบปลาหมอตัวใหญ่น้ันไปก่อน แต่แทนที่จะเอาไปปล่อยใน
สระก็บนิ ไปเกาะบนต้นกุม่ ใหญใ่ กล้สระนัน้ จิกกินปลาหมอตายแล้วกฉ็ กี เนือ้ กิน
เป็นอาหารเสีย ทิง้ กระดูกไวท้ ่ีโคนตน้ กุ่มนัน้ แล้วกลับไปบอกแก่ฝูงปลาท่เี หลือ
วา่ ไดน้ า� ปลาหมอไปปลอ่ ยในสระ แลว้ คาบปลาตวั อนื่ ไปกนิ อกี ทา� อยเู่ ชน่ นท้ี กุ วนั
จนกระทง่ั หมดปลาในสระนน้ั กา้ งปลากองเรยี งรายอยโู่ คนตน้ ไมเ้ ปน็ อนั มาก เมอื่
กนิ ปลาตวั สดุ ทา้ ยไปแลว้ กลบั มายงั สระนน้ั อกี โดยเขา้ ใจวา่ อาจมปี ลาตวั โตเหลอื
อยู่ เม่อื ไมพ่ บปลากเ็ ทยี่ วเดนิ หารอบๆ ได้พบปูตวั ใหญ่ตวั หนึง่ ท่รี ิมสระ นกยาง
คดิ วา่ “เมือ่ ไม่มีปลาไดก้ ินปกู ย็ ังด”ี จึงเดนิ เข้าไปใกล้พูดขน้ึ ว่า

“ทา่ นผเู้ จรญิ ฝงู ปลาทงั้ หมดขา้ พเจา้ พาไปอยสู่ ระใหญ ่ ไดร้ บั ความสา� ราญ
ท่ัวหน้ากัน ด้วยความสงสารข้าพเจ้าจึงมาส�ารวจดูให้แน่ใจว่าไปกันหมดหรือยัง
ไม่เห็นมีกค็ งหมดแล้ว ถ้าท่านประสงคจ์ ะไปทีน่ ่นั ขา้ พเจ้าจะพาทา่ นไป จะตกลง
อย่างไรก็สดุ แต่ทา่ นเถิด”

ปสู งสยั ในพฤตกิ รรมของนกยางมานานแลว้ อยากจะพสิ จู นใ์ หแ้ นน่ อน จงึ
แสรง้ พดู กบั นกยางวา่ “ขอบใจทที่ า่ นมคี วามเออื้ เฟอ้ื แตส่ งสยั วา่ ทา่ นจะพาขา้ พเจา้
ไปไดอ้ ยา่ งไร?”

“ข้าพเจา้ จะคาบทา่ นไปเหมือนคาบปลาน่นั แหละ”
“ไมไ่ ด้ดอก” ปปู ฏเิ สธ “ตัวข้าพเจา้ ใหญ่ มนี �้าหนักและกระดองแข็งลืน่ งา่ ย
พอดีพอรา้ ยจะตกตายเสยี เปล่า ขอใหข้ า้ พเจ้าเอากา้ มเหนย่ี วท่านไวอ้ กี แรงหนึง่
จึงจะค่อยมนั่ ใจ”
นกยางเข้าใจว่าตัวเองฉลาดล่อลวงแต่ผู้เดียว มิได้สงสัยว่าจะถูกซ้อนกล
จงึ ยอมใหป้ เู อากา้ มหนบี คอไป เมอื่ บนิ ไปถงึ สระใหญ ่ แทนทจ่ี ะปลอ่ ยปลู งไปในนา้�
กลับพาไปบนตน้ ก่มุ ตน้ เดิม ปูเหน็ ดงั น้นั จงึ ถามวา่ “ลงุ ไหนว่าจะพาไปปล่อยใน
สระ เหตุใดจึงพามาทตี่ น้ ก่มุ น่เี ล่า”

110


นกยางหวั เราะ แลว้ ตอบวา่ “เจา้ ปโู ง ่ เราไมใ่ ชข่ ข้ี า้ เจา้ จงึ จะพามาสง่ ทสี่ ระ เจา้
มองดใู ตต้ น้ ไมซ้ ิ ลว้ นแตก่ ระดกู ปลานายเราทงั้ นน้ั กระดองของเจา้ กจ็ ะหลน่ กองรวม
กับกระดูกปลาเหลา่ นัน้ แลว้ ”

ปูจงึ ตอบวา่ “ชา้ กอ่ นนกยาง เจ้าหลอกกินได้กแ็ ต่ฝูงปลา จะมาหลอกเรานน้ั
ไมไ่ ดแ้ น ่ ปลาโงก่ วา่ เรา แตเ่ จา้ ซยิ ง่ิ โงก่ วา่ ปลาเสยี อกี อยา่ ลมื วา่ เวลานชี้ วี ติ ของเจา้ อยู่
ในก�ามอื ของเรา คอเจา้ อยู่ในระหว่างก้ามเรามใิ ช่หรอื เราจะคีบคอเจา้ ให้ขาดตกตาย
ไปตามกนั เดย๋ี วนลี้ ะ” วา่ แลว้ กเ็ กรง็ กา้ มแรงเขา้ จนนกยางรสู้ กึ เสมอื นคออยใู่ นระหวา่ ง
คมี เหลก็ อา้ ปากกว้างหายใจฝืด นา�้ ตาไหลลงมาในทนั ที เหน็ ทตี นเสียทปี ูแลว้ จึง
รอ้ งขอชวี ิตวา่ “เจา้ นาย เราไมค่ ิดจะกินท่านแล้ว จงไว้ชีวติ ขา้ พเจา้ ใหร้ อดไปสักครง้ั
เถดิ ”

ปูจึงกลา่ วบังคบั ว่า “ถ้าจะให้เราปล่อย ตอ้ งพาเราไปไวใ้ นสระ เราจงึ จะให้ชีวิต
ท่าน”

นกยางจงึ บินพาปไู ปวางลงบนเลนริมสระ เพ่ือปลอ่ ยปไู ป ปูคดิ วา่ “เจา้ นกยาง
เจา้ เล่หน์ ้ี ถา้ ปลอ่ ยไว้ก็จะไปทา� อนั ตรายต่อฝูงปลาและฝูงปอู กี เปน็ อันมาก เราตอ้ ง
ฆา่ เสยี ใหต้ ายเพอื่ จะไดไ้ มม่ โี อกาสหลอกลวงใครตอ่ ไปอกี ” คดิ แลว้ จงึ บบี กา้ มหนกั ลง
จนคมกา้ มฝังจมในเน้อื คอนกยาง นกยางดิ้นเร่าๆ อยู่พกั หนงึ่ คอกระเดน็ ออกจาก
ตวั เลอื ดไหลโกรกนอนแน่นง่ิ อยู่ ณ ทีน่ ั้นเอง เสร็จแล้วปูก็เดนิ ลงนา�้ ไป อาศยั สระ
เย็นสบายอยตู่ ลอดไป

รุกขเทวดาโพธิสัตว์สิงสถิตอยู่บนต้นกุ่ม เห็นเหตุการณ์โดยตลอด จึงกู่ก้อง
สาธุการแกป่ ูว่า

“คนมีปัญญาแล้ว ใช้ปญั ญาในทางหลอกลวงผู้อนื่ นนั้ ย่อมหลอกไปได้ไมน่ าน
ย่อมถูกท�าลายเป็นการตอบแทน ปัญญาของเขากลับกลายเป็นข้าศึกท�าลายตัวเอง
เหมอื นนกยางถูกปูหนบี ตาย เพราะใชป้ ัญญาทางหลอก ฉะนน้ั ”

นิทานเร่อื งนมี้ ีคติธรรมสอนวา่ ปัญญานับวา่ เป็นส่งิ ประเสรฐิ มอี ย่กู ับบุคคล
ใด กบ็ นั ดาล ลาภ ยศ สรรเสรญิ สุข แก่ผู้นั้น อยา่ งหาสงิ่ อน่ื ใดเปรียบมไิ ด้ คน
ประเสริฐกว่าสัตว์ และสามารถเอาชนะสัตว์ได้ก็เพราะคนมีปัญญาความเฉลียว
ฉลาด แตค่ วามฉลาดดงั กลา่ วนตี้ อ้ งเปน็ ไปในทางสจุ รติ เปน็ ไปในทางสรา้ งสรรค์
ความดี ถ้าเป็นความฉลาดในทางทุจริตหลอกลวงผู้อ่ืนแล้ว ถึงแม้จะได้ผลดีใน
ภายแรก แต่ตอนปลาย ยอ่ มประสบผลร้าย เหมอื นนกยางมคี วามฉลาดในการ
ออกอุบาย แต่เพราะเหตทุ ใ่ี ช้ในทางฉอ้ โกงทา� ลายคนอ่ืน จึงถกู ปซู ้อนกลให้ตก
ตายไปตามกัน จงึ ควรทเี่ ยาวชนจะถือเป็นคติธรรมประจ�าใจต่อไป

(พกชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย

ชาดก เอกนบิ าต เล่ม ๒๘ หนา้ ๓๘๙)

111


112


หงส์ทอง

“โลภนกั มักลาภหาย”

คร้ังหนึ่งในป่าหิมพานต์ เม่ือพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชย์ ณ
เมืองพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์ เม่ือเจริญวัย
มารดาบดิ าไดไ้ ปสขู่ อนางพราหมณีมตี ระกูลเสมอกันให้เป็นภรรยา ต่อ
มาไดม้ ธี ดิ าถงึ ๓ คน ชอื่ นนั ทา นนั ทวดแี ละสนุ นั ทา ไดจ้ ดั ใหธ้ ดิ ามเี รอื น
ไปแล้วทุกคน พระโพธิสัตว์ได้ด�ารงชีวิตอยู่จนถึงวัยชราก็ท�ากาลกิริยา
(ตาย) ไปเกดิ ในกา� เนดิ หงสด์ ว้ ยบญุ ญาบารมที ่สี ัง่ สมมา จงึ บนั ดาลให้
ขนของหงส์เปน็ ทองค�าท้งั ตัว จงึ ไดน้ ามวา่ พญาหงส์ทอง

พญาหงสโ์ พธสิ ตั วร์ า� ลกึ ชาตไิ ดว้ า่ ในชาตกิ อ่ น ไดเ้ กดิ เปน็ มนษุ ย์
มีธิดาถึง ๓ คน บัดนีธ้ ดิ าทงั้ ๓ คนและครอบครวั ยังมชี วี ิตอยู่ แต่มี
ความเปน็ อยอู่ ยา่ งลา� บากยากจนมาก ตอ้ งอาศยั เลย้ี งชวี ติ ดว้ ยการรบั จา้ ง
อดม้อื กนิ มือ้ จงึ คดิ ว่า

“ขนของเรากเ็ ปน็ ทองค�า ถ้าเราใหข้ นเหล่าน้ีครง้ั ๑ ขน ภรรยา
และธิดาก็จะเปน็ อย่อู ยา่ งสบาย โดยไมต่ ้องไปรับจ้างเขากิน”

เมื่อคิดดังน้ัน จึงบินไปหาภรรยาและลูกสาว เกาะอยู่ท้าย
กระเดื่อง (ครกต�าแบบเหยยี บกระดก) นางพราหมณีและลกู เห็น ดงั
นน้ั กแ็ ปลกใจจงึ ถามขนึ้ “พอ่ หงสท์ อง! เจา้ จะไปไหนจงึ บนิ มาเกาะทท่ี า้ ย
กระเด่ือง มีธุระอันใดก็ขอให้บอกมาเถิด พวกเรายินดีสนองความ
ต้องการโดยเตม็ ใจ”

“ขา้ ฯ คอื บิดาของเจ้า” พญาหงสต์ อบ “ข้าฯ ตายไปแลว้ เกดิ เป็น
หงส ์ ทม่ี าวนั นก้ี เ็ พอ่ื ชว่ ยพวกเจา้ ตงั้ แตน่ ไ้ี ปไมต่ อ้ งทา� งานหนกั กนั แลว้
พอ่ จะใหข้ นแกพ่ วกเจา้ คนละขน จงนา� ไปขายตามรา้ นทอง แลว้ เลยี้ งชพี
ตามสบายเถิด” พญาหงสส์ ลดั ขนแจกให้คนละขนแล้วบินกลบั ไป

ต้ังแตน่ น้ั นางพราหมณแี ละลูกทงั้ ๓ ก็หยุดทา� มาหากิน เล้ยี ง
ชพี ดว้ ยการขายขนทอง เมือ่ เงนิ จะหมดพญาหงสก์ บ็ นิ มาสลัดขนให้อกี

113


ครอบครัวนีจ้ ึงมฐี านะความเปน็ อยดู่ ขี ้นึ โดยล�าดับ พอขนขนึ้ เตม็ ทแ่ี ลว้ พระโพธสิ ตั วจ์ งึ บนิ มาเกาะ

โบราณวา่ ความโลภของมนษุ ยน์ น้ั เปน็ เหมอื น ปากตมุ่ แลว้ บนิ ออกไปยงั ปา่ หมิ พานต ์ ตงั้ แตน่ ัน้ มา

กองไฟ ยง่ิ ใสเ่ ชอื้ เขา้ ไปมากเพยี งไร กองไฟยงิ่ ลกุ เปน็ กไ็ มไ่ ด้กลบั มาให้เหน็ อกี เลย นางพราหมณแี ละลูกๆ

ดวงโตมากข้ึนเท่าน้ัน เปรียบเหมือนความต้องการ เลี้ยงชีวิตด้วยเงินที่เหลือจากการขายขนทองครั้ง

ของมนุษย ์ ยิ่งไดม้ ากเพยี งไร ความโลภกย็ ่งิ โตมาก สดุ ทา้ ย ในไมช่ า้ กห็ มดไป กลายเปน็ คนยากจน เทยี่ ว

ขน้ึ เท่าน้นั ไปรบั จา้ งกนิ ไปวนั ๆ ดว้ ยความยากลา� บาก เลยี้ งชวี ติ

นางพราหมณีเม่ือได้ทองจากพญาหงส์จน ไปตามยถากรรม จนถงึ กาลอวสานแหง่ ชวี ิต

ฐานะดีขึ้นแล้ว ก็ไม่พอ อยากได้มาก และอยาก ชาดกเรื่องน้ีมุ่งชี้คติสอนใจบทหน่ึงว่า ความ

ร่�ารวยมากไปกว่าน้ันอีก วันหน่ึง จึงเรียกลูกมา โลภของคนเรามักไม่มขี อบเขต ย่งิ ได้มากความ

ประชมุ กนั แล้วเอย่ ปรกึ ษาขึน้ โลภก็ยิ่งเพิ่มปรมิ าณขึ้น ความโลภท่ีไมม่ ขี อบเขต

“ลูกเอ๋ย! พญาหงส์ถึงจะเป็นนกวิเศษก็ยังคง ไม่มีปริมาณนั้น มักน�าไปสู่ความหายนะเสมอ

เปน็ เดรจั ฉาน ธรรมดาวา่ สตั วเ์ ดรจั ฉาน เรารจู้ ติ ใจได้ เปรยี บเสมือนกองไฟ ท่จี ริงกองไฟเกดิ ข้ึนในบ้าน

ยาก หากพญาหงส์กลับใจไม่มาหาเรา เรากค็ งอด เราแล้ว ถา้ เราสามารถบงั คับใหม้ ีกองใหญ่กองเล็ก

ไดท้ องคา� กอ้ นใหญเ่ ปน็ แน ่ คราวหนา้ ถา้ พอ่ ของเจา้ หรือดับได้ตามที่เราต้องการ ไฟจะกลายเป็นสิ่งมี

มา จงช่วยกันจับถอนขนเกบ็ ไว้เสียให้หมด จะไดไ้ ม่ ประโยชน์ แตถ่ า้ เราบงั คบั ไมไ่ ด้ ปลอ่ ยใหโ้ ตไปตาม

ตอ้ งห่วง เราจะมที องขายกินไปตลอดชีพทีเดียว” ธรรมชาตขิ องมนั ไฟนน้ั จะมแี ตท่ างทา� ลายมากกวา่

ลูกๆ ต่างห้ามว่า “แม่อย่าท�าอย่างน้ันเลย ใหค้ ณุ เราอาจเผาเรอื นใหพ้ นิ าศไป ความโลภอยาก

สงสารพ่อ ท่านคงเจ็บและทรมานไม่นอ้ ยเลย” ไดก้ เ็ ชน่ กนั ถา้ เราควบคมุ ใหอ้ ยใู่ นขอบเขตจา� กดั ได้

นางพราหมณีเห็นลูกๆ พากันคัดค้านเช่นน้ัน กจ็ ะเปน็ ประโยชนใ์ นทางสรา้ งตวั เอง แตถ่ า้ ปลอ่ ย

ครั้นจะคะย้ันคะยอลูกๆ ต่อไปก็เกรงลูกจะน�าความ ใหม้ ากจนไมส่ ามารถบงั คบั ได้ จะทา� ลายแผดเผาใจ

ไปบอกพญาหงส ์ จงึ นงิ่ เสยี ในใจนกึ วางแผนจบั พญา ตวั เองให้เดอื ดร้อน

หงสถ์ อนขนเก็บไวแ้ ตผ่ เู้ ดียว จงึ มภี าษิตสอนเตือนใจวา่ “โลภนกั มกั ลาภ

วนั หนงึ่ เมอื่ พญาหงสม์ าหาเพอื่ สลดั ขนทองให้ หาย” เชน่ นางพราหมณไี ดเ้ พยี งพอเลยี้ งชพี แลว้ ยงั

อีก จึงออกอุบายแสดงความรัก เรียกพญาหงส์เข้า ไม่พอใจอีก อยากได้เสียให้หมด จึงพากันอดทั้ง

มาใกล้แล้วลูบไล้ด้วยความรัก เม่ือได้โอกาสจึงจับ ตนเองและลกู ๆ ควรถือเป็นคตเิ ตือนใจตอ่ ไป

พญาหงส์มัดด้วยเชือก แล้วรีบถอนขนจนหมดตัว ดงั คา� ภาษิตในโคลงโลกนิตกิ ล่าวไวว้ า่
แต่อนิจจาขนที่ถอนออกมาน้ันแทนที่จะเป็นทองก็

กลายเป็นขนนกธรรมดา มีสีขาวคล้ายขนนกยาง ไดส้ ินทรพั ยเ์ พอื่ คา้ ขนหงส์

ทง้ั นเี้ พราะ พระโพธสิ ตั วม์ ไิ ดเ้ ตม็ ใจให ้ นางพราหมณี ชพี ชกั ยืนยง อยแู่ ล้ว

เหน็ ดงั นนั้ กต็ กใจ ครนั้ จะปลอ่ ยนกไปกไ็ มไ่ ด ้ เพราะ ภายหลงั โลภบ่ตรง ใจตอ่

ไมม่ ขี นปกี จะบิน จะฆา่ เสยี ก็เสยี ดาย คดิ วา่ ขนทจ่ี ะ ถอนท่วั ตัวหงส์แคลว้ คลาดส้นิ เสอื่ มทอง

งอกขนึ้ มาใหมอ่ าจเปน็ ทองดงั เดมิ อกี จงึ แอบนา� พญา

หงส์ไปซอ่ นไวใ้ นตมุ่ ใหญ่เลี้ยงดว้ ยอาหารอย่างดี ไม่ (สวุ ัณณหังสชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย

ช้าขนกง็ อกขึ้นมาโดยล�าดับ แต่แทนที่จะเปน็ ขนทอง ชาดก เอกนิบาต เลม่ ๒๙ หน้า ๔๑๒)

กลบั เปน็ ขนขาวเหมอื นนกธรรมดา

114


115


นกแขกเตา้ กตญั ญู

“ความรูค้ ณุ คน เปน็ เครอื่ งหมายของคนด”ี

ครั้งหนึ่งในปา่ หมิ พานต์ สมยั พระเจา้ มคธราชครองกรุงราชคฤห ์
มหี มูบ่ า้ นหนง่ึ ช่อื วา่ สาลินทิยะ อยทู่ างทศิ เหนือของตัวเมอื ง ในหมู่บ้าน
น้ัน มพี ราหมณ์ผ้มู ีอันจะกินผหู้ นึง่ ชื่อ โกสยิ ะ มีนาขา้ วสาลี หลายรอ้ ย
กรสี (๑ กรสี = ๑๒๕ ศอก) พราหมณไ์ มส่ ามารถทา� นาเองได ้ ทงั้ หมด
จงึ แบง่ ใหค้ นเช่า และมอบหมายให้คนเช่าเปน็ ผเู้ ฝ้านาให้ตนด้วย

ณ ทใี่ กลน้ าข้าวสาลีของพราหมณน์ ้นั มนี กแขกเตา้ ฝูงใหญ่อาศยั
อยใู่ นดงไมง้ วิ้ พระโพธสิ ตั วเ์ กดิ เปน็ ลกู พญานกแขกเตา้ ผเู้ ปน็ นายฝงู ดว้ ย
บารมที ีไ่ ด้สรา้ งมาแตใ่ นอดีต กายของนกแขกเต้าโพธิสัตว์จึงงดงามเป็น
ที่ต้องตาต้องใจผู้ได้พบเห็นย่ิงนัก เมื่อพ่อแม่ชรามากแล้ว พญานกจึง
มอบหนา้ ที่ปกครองทัง้ หมดให้พระโพธสิ ตั ว ์ ตัวเองตอ้ งอาศยั ข้าวท่ีพระ
โพธิสัตว์น�ามาให้เป็นประจ�า พระโพธิสัตว์มีใจเปี่ยมด้วยกตัญญู เม่ือ
หากินด้วยตนเองอ่มิ แล้ว กค็ าบรวงขา้ วสาลตี ดิ มาใหพ้ ่อแม่เปน็ ประจ�า
คนเฝ้านาไม่สามารถไล่ได้ท่ัวถึง เพราะฝูงนกได้แผ่ขยายกินทั่วบริเวณ
กว้างมาก เมอ่ื ไมส่ ามารถชนะนกได้ จงึ นา� ความไปแจง้ ตอ่ พราหมณ์

“ท่านพราหมณ์! ข้าวปีน้สี มบรู ณด์ มี าก แต่ยงั มิทันเกบ็ เกยี่ ว นก
แขกเตา้ ฝูงใหญ่ลงมากิน ๒-๓ วนั แลว้ ขา้ พเจ้าพยายามไล่เทา่ ไรก็ไม่
สามารถเอาชนะได้ ขืนปลอ่ ยใหล้ งกนิ อีก ๒-๓ ม้ือ ข้าวคงหมดนา ไม่
ตอ้ งเกบ็ เกย่ี วกนั แลว้ จงึ มาแจง้ ใหท้ ราบและคนื ไรใ่ หแ้ กท่ า่ น ตอ่ ไปโปรด
จดั การของท่านเองเถดิ ”

พราหมณ์พูดเอาใจว่า “พ่อเอ๋ย ถ้าบอกคืนเสียขณะนี้แล้วจะหา
ใครท�าแทนไดเ้ ลา่ อีกไม่ชา้ ก็จะถงึ เวลาเกบ็ เก่ยี วแล้ว ชว่ ยด�าเนินการต่อ
ไปจนถงึ เวลาเก็บเก่ียวมิได้หรอื เราจะสง่ คนไปชว่ ย”

ลูกจา้ งไดฟ้ ังดังน้นั คอ่ ยเบาใจ จึงเลา่ พฤตกิ ารณข์ องนกว่า “ทา่ น
พราหมณ์ นกแขกเต้าฝงู นน้ี ับวา่ ร้ายกวา่ ฝงู อ่นื มนั มพี ญานกอยตู่ วั หน่ึง
มีสีสันวรรณะสวยงามมาก ตัวโตประมาณลูกนกยูง ยิ่งกว่าน้ันเมื่อกิน
ขา้ วสาลอี มิ่ แลว้ ยงั คาบตดิ ตวั ไปอกี มากๆ ดว้ ย พญานกตวั นเี้ ปน็ นายฝงู

116


ถ้าปราบได้กค็ งท�าใหน้ กอ่ืนไม่กล้ามาอกี ” พญานกแขกเต้าจึงกล่าวว่า “ท่านพราหมณ ์

พราหมณไ์ ดฟ้ งั ลกู จา้ งพรรณนาความงดงามของ ยุ้งฉางของข้าพเจ้าก็ไม่มี เวรภัยระหว่างท่านกับ

พญานก กน็ กึ อยากจับเอามาเลีย้ ง จึงบอกลกู จา้ งวา่ ข้าพเจา้ กไ็ มม่ ี แตท่ ข่ี า้ พเจ้าตอ้ งคาบรวงข้าวไปใน

“พ่อเอ๋ย ข้าวสาลีจะเสียหายไปบ้างเราไม่ เวลากลับก็เพราะข้าพเจ้ามีภาระอยู่ ๓ อย่าง คือ

เสยี ดายหรอก แตอ่ ยากไดน้ กตวั ทเี่ จา้ เลา่ ใหฟ้ งั มาเลยี้ ง เปลื้องหนเี้ ก่า ใหเ้ ขากหู้ น้ีใหม ่ และฝงั ไวบ้ นยอดงวิ้

ไว้ดูเลน่ เจ้าพอจะรวู้ ธิ ีดักและจบั มาให้ไดไ้ หม?” ท่านโกสิยะ ขอท่านได้โปรดรับทราบภาระของ

“ไดซ้ คิ รบั ” ลกู จา้ งรบี รบั คา� และดใี จทนี่ ายไมเ่ อา ขา้ พเจ้า และโปรดอภัยในความผิดครง้ั นด้ี ว้ ยเถิด”

โทษ “ผมถนดั นกั เรอื่ งวธิ ดี กั นก ผมจะนา� นกมาใหท้ า่ น พราหมณ์เกิดความสงสัยว่า เหตุใดนกแขก

ในไม่ชา้ นีแ้ หละ” เต้าจึงพูดดังน้ี จึงซักถาม “เจ้านกแขกเต้าผู้ฉลาด

เม่ือกลับมาถึงบ้าน ลูกจ้างจึงรีบขวั้นเชือกบ่วง พดู เปน็ คา� ปรศิ นายากทจี่ ะเขา้ ใจ ชว่ ยอธบิ ายใหแ้ จม่

ดว้ ยหางมา้ แลว้ คอยกา� หนดสถานทที่ พ่ี ระโพธสิ ตั วเ์ คย แจง้ กวา่ นีห้ น่อยเถดิ ”

ลงกินขา้ วสาล ี เอาบว่ งไปดักไว้ตรงนั้น โดยนกึ ภาวนา นกแขกเตา้ จึงอธิบายตอ่

วา่ ขอให้ตดิ ตวั ที่ต้องการเถดิ “ทา่ นโกสยิ ะ พ่อแม่ของขา้ พเจา้ อาศัยอยบู่ น

วนั รงุ่ ขน้ึ พระโพธสิ ตั วม์ ไิ ดเ้ ฉลยี วใจวา่ ภยั จะมา ยอดงิ้ว ท่านแก่ชราหากินไม่ได้แล้ว ข้าพเจ้าจึงให้

ถึง จึงลงกินขา้ วสาล ี ณ ทเี่ ดิม เหยียบบ่วงที่เขาดกั ไว ้ ทา่ นหยดุ หากนิ เสยี และได้นา� ขา้ วสาลีไปให้ท่านทัง้

บ่วงรัดติดขาแนน่ ดิน้ เท่าไรก็ไมห่ ลุด คร้ันจะร้องออก สอง ข้าพเจ้าเป็นหนี้บุญคุณท่านทั้งสองมาต้ังแต่

มาขณะนนั้ กเ็ กรงจะเปน็ การทา� ลายขวญั นกตวั อนื่ จะไม่ แรก การเลีย้ งท่านคราวน้ีเทา่ กบั การเปลอ้ื งหนีบ้ ญุ

เป็นอันกิน จึงอดทนดิ้นแต่ล�าพัง พอเห็นว่านกลูกฝูง คุณพ่อแม่ ข้าพเจ้าจึงบอกท่านว่ามีภาระในการ

กนิ กนั อม่ิ หนา� แลว้ จงึ รอ้ งขนึ้ เพอ่ื ใหน้ กลกู ฝงู ร ู้ นกเหลา่ เปล้อื งหน ี้ ประการหนึง่ ”

น้ันเมื่อเห็นพระโพธิสัตว์ติดบ่วงก็ตกใจ พากันบินหนี “ลูกนกแขกเต้าปีกยังไม่งอก อ้าปากรอรับ

เอาตัวรอดปล่อยให้พระโพธิสัตว์นอนติดบ่วงอยู่เพียง อาหารทข่ี า้ พเจา้ นา� ไปใหอ้ ยแู่ ลว้ การเลยี้ งลกู เทา่ กบั

ลา� พงั พอตกสาย ลกู จา้ งเหน็ นกแขกเตา้ บนิ ลงกนิ แลว้ การลงทนุ ใหล้ กู กกู้ อ่ น เมอื่ ลกู เตบิ ใหญห่ ากนิ ไดก้ จ็ ะ

บินหนีไปด้วยความแตกตื่น สังเกตไม่เห็นพญานกใน สนองคณุ พอ่ แม ่ การใหล้ กู จงึ เปน็ การใหก้ หู้ นบี้ ญุ คณุ

ฝูง จึงรีบไปยังท่ีดกั บว่ ง ก็พบพญานกนอนส้นิ แรงอย่ ู ไว้ น้ปี ระการหน่งึ ”

จงึ คอ่ ยๆ จบั ปลดและเอาเชอื กมดั เทา้ ทง้ั สองขา้ ง หว้ิ ไป “อนง่ึ ฝูงนกอื่นๆ บางตวั ทุรพล ปีกหัก แก่

ใหน้ ายของตนทันที ชราลงหากนิ ไมไ่ ด้ ข้าพเจ้ากใ็ ห้ทานแกน่ กเหลา่ นั้น

พราหมณ์เมอ่ื ได้เห็นสสี ันและรปู รา่ งพญานก ก็ เป็นการสร้างบุญบารมีไว้ในภายภาคหน้า เท่ากับ

เกิดความรัก ประคองนกจากมือลูกจ้าง แล้วให้เกาะ เป็นการฝังขุมทรัพย์ไว้เพื่อเก็บกินผลในอนาคต

บนตกั กลา่ วทกั ด้วยน�้าเสยี งอนั นมุ่ นวล ขา้ พเจา้ มคี วามคดิ เชน่ น ี้ จงึ ตอ้ งนา� รวงขา้ วสาลตี ดิ ตวั

“พอ่ นกแขกเตา้ ! ปากทอ้ งของเจา้ กแ็ คน่ ี้ เมอ่ื กนิ ไป จะมีเวรมีภยั กับทา่ นก็หามไิ ด”้

ข้าวของ เราอิม่ แลว้ ยงั คาบไปอกี ชะรอยวา่ จะสรา้ งยงุ้ พราหมณ์ได้ฟังดังน้ันก็มีจิตเล่ือมใส คิดว่า

ฉางกักตุนไว้กินฤดูอ่ืน หรือแกล้งท�าลายข้าวของเรา “นกแขกเตา้ เปน็ สตั ว ์ ยงั มคี วามคดิ ดมี คี ณุ ธรรมเปน็

ด้วยความเกลียดชัง บอกเหตุผลมาให้ฟังสักหนอ่ ยซิ” ยอด มนุษย์บางคนยังไม่มี ความคิดเช่นนี้เลย นก

117


แขกเตา้ ตวั นี้มีคุณธรรมประเสริฐจรงิ ” จงึ พดู กับนกแขกเต้า
“ทา่ นพญานกผทู้ รงธรรม การพบเหน็ ทา่ นคราวน ้ี ขา้ พเจา้ รสู้ กึ ปตี ยิ นิ ดี

และดม่ื ดา่� ในคณุ ธรรมยง่ิ นกั ตงั้ แตน่ ไ้ี ป ขา้ พเจา้ ขอมอบไรข่ า้ วสาลใี หท้ า่ นพรอ้ ม
ดว้ ยญาตลิ งกนิ ได้ตามประสงค์ หวังวา่ ขา้ พเจา้ จะได้พบกบั ท่านอกี ”

ครน้ั กลา่ วดงั นน้ั แลว้ พราหมณ์เอามอื ลูบหลังอย่างปราน ี เสมอื นบดิ ามี
ความเมตตาตอ่ บุตร แก้เชอื กมัดออกจากเท้า เอานา้� มันทานวดให้สบาย ให้
เกาะบนตง่ั อนั งดงาม คลกุ ขา้ วตอกกบั นา้� ผงึ้ ใสจ่ านทองใหบ้ รโิ ภค จดั นา้� จดื เจอื
น้า� ตาลกรวดให้ดม่ื กนิ อยา่ ง อมิ่ หน�าสา� ราญ พระโพธิสตั ว์ดื่มกนิ แล้วจึงกล่าว
เตือนพราหมณว์ า่

“ทา่ นพราหมณ ์ ขา้ พเจา้ ไดด้ ม่ื รสแหง่ ความเออ้ื เฟอ้ื ของทา่ นอม่ิ เอมแลว้
เชญิ ท่านบา� เพ็ญทานเล้ยี งบิดามารดาด้วยเถดิ ความเจริญจะมาสู่ทา่ นชวั่ กาล
นาน”

พราหมณเ์ กิดความเลอ่ื มใสในปฏปิ ทาของพระโพธิสัตว ์ จงึ มอบนาข้าว
สาลีให้หมดทั้งพนั กรสี พระโพธิสัตวท์ รงปฏเิ สธ ขอรบั ไว้เพียง ๘ กรีส เพอ่ื
ให้ญาติไดบ้ ริโภค แล้วบนิ กลับไปยงั ทอี่ ยขู่ องตน วางรวงขา้ วสาลีไว้เบอ้ื งหน้า
บดิ ามารดา พลางกล่าวว่า “เชิญลกุ ขึน้ บรโิ ภคขา้ วสาลีเถิด”

นกแขกเต้าผู้เฒ่าท้ังสองก�าลังคร่�าครวญถึงลูกอยู่ เมื่อได้ยินเสียงลูกก็
ดีใจ ลูกเล่าความเป็นไปทกุ ประการ ต่างกอ็ นโุ มทนาในความดขี องพราหมณ์
และพระโพธิสตั ว์ไดอ้ าศยั ดงไมง้ ิว้ นั้นหากนิ ต่อไป จนถงึ กาลอวสานแหง่ ชวี ติ

ชาดกเรื่องน้ี มุ่งช้ีใหเ้ ห็นคตธิ รรมคือความกตญั ญูวา่ เปน็ คณุ ธรรม
อนั ประเสรฐิ เมอื่ มีแกผ่ ูใ้ ดแมเ้ ปน็ สัตว์ ผูน้ ั้นยอ่ มได้รบั ความปลอดภัยในที่
ทุกสถาน พอ่ แมถ่ ือวา่ เปน็ ผมู้ ีพระคุณ เปน็ เจ้าหนีใ้ นฐานะเป็นผใู้ หท้ งั้ ชีวิต
และทรพั ย์ เลย้ี งดูโดยไม่เห็นแกค่ วามเหนด็ เหนอื่ ย ก็โดยหวังจะได้พึ่งบุตร
บา้ งเมอื่ เวลาทา่ นแกช่ รา ฉะนนั้ เมอื่ ถงึ คราวทจ่ี ะเลย้ี งทา่ นได้ กค็ วรกระทา�
ให้เตม็ ความสามารถ อย่าประมาทในคณุ ของบิดามารดา นกแขกเตา้ เปน็
สัตว์เดรัจฉาน ยังรู้จกั ท�าความดขี ้อน้ี เราเปน็ มนษุ ยจ์ งึ ควรสา� นกึ ในความ
กตัญญู

ดงั ภาษติ ในทางศาสนาสอนวา่ “ความกตญั ญรู คู้ ณุ ผอู้ น่ื แลว้ ตอบแทน
เป็นเครือ่ งหมายของคนดี” ฉะนี้

(สาลเิ กทารชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
ชาดก ปกณิ ณกนิบาต เล่ม ๓๓ หนา้ ๒๗๑)

118


119


ชื่อไม่ส�าคญั

“คนจะดมี ิใช่ทชี่ ื่อหรอื นามสกลุ

แตด่ ที คี่ วามประพฤต”ิ

ในอดตี กาล พระโพธิสตั ว์เสวยพระชาตเิ ป็นอาจารยท์ ศิ าปาโมกข์
ตง้ั สา� นักสอนศษิ ยอ์ ย ู่ ณ เมืองตักกสิลา มีมาณพ (หนุ่มนอ้ ย) มาสมัคร
เขา้ ศกึ ษาประมาณ ๕๐๐ คน ตา่ งกไ็ ด้ศึกษาส�าเรจ็ ศลิ ปวทิ ยาไปโดย
ลา� ดับ

มมี าณพนอ้ ยคนหนง่ึ ชอี่ ปาปกะ แปลวา่ นายบาป ชอื่ ของมาณพ
นอ้ี อกจะไม่เปน็ มงคล เพราะเพื่อนบ้านพากนั ลอ้ เลยี นวา่

“มาน่ีหน่อยเจา้ บาป” “ออกไปนะเจ้าบาป” เป็นต้น นึกเบือ่ หนา่ ย
ใคร่จะเปล่ียนชื่อเสียใหม่ให้เป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง จึงเข้าไปหาอาจารย์
และกราบเรยี นวา่ “ทา่ นอาจารย์ครบั ชอ่ื ของผมทีพ่ ่อแม่ต้ังมา เดิมมี
ความหมายในทางอปั มงคล เพ่อื นๆ พากนั เรยี กเชิงล้อเลียนตลอดเวลา
วา่ “เจา้ บาปๆ” กระผมอยากจะขอเปลยี่ นชอื่ เสยี ใหมเ่ พอื่ ใหเ้ ปน็ สริ มิ งคล
ท่านอาจารย์โปรดเลอื กและต้ังให้ผมใหม่ด้วยเถดิ ขอรบั ”

อาจารย์ต้องการใหศ้ ิษย์ไดข้ อ้ คิดด้วยตนเอง จงึ บอกศษิ ย์ว่า “เจา้
บาป! ถ้าจะให้อาจารย์เลือกชื่อให้ก็เกรงจะไม่ถูกใจเจ้าอีก เอาอย่างนี้
เถอะ เจ้าจงเทย่ี วไปตามชมุ ชน ถ้าเหน็ วา่ ใครเขามชี ื่อดๆี ฟงั เพราะๆ
ละก็จงมาบอกอาจารยจ์ ะทา� พิธีตัง้ ช่อื ให้”

เจ้าบาปกร็ บั วา่ “ดีครบั ทา่ นอาจารย์ ผมจะพยายามไปหาช่อื
เพราะๆ และเป็นสิริมงคลมาใหอ้ าจารย์เดย๋ี วนคี้ รับ”

แลว้ เจ้าบาปก็ออกเดนิ ทางไปจากสา� นักอาจารย์ เทย่ี วสืบเสาะหา
ช่อื ทีต่ นเองชอบ วันหนง่ึ เจา้ บาปเดินเขา้ ไปในเมอื ง สวนทางกับคนหมู่
หนงึ่ กา� ลงั หามศพคนตายสวนทางออกมา จงึ เอย่ ถามวา่ “พอ่ แมท่ งั้ หลาย
ท่านหามอะไรกันออกมา ดูท่าทางหนักเตม็ ที”

บรุ ุษผู้หนึง่ ตอบว่า “กห็ ามศพคนตายนะซ ิ เขาเพิง่ ตายมาเม่อื สัก
ครนู่ เี่ อง จะไปร่วมการกศุ ลดว้ ยกเ็ ชิญซ”ิ

เจา้ บาปนกึ ดีใจ นึกว่าอาจจะได้ช่ือทเ่ี ป็นมงคลจากท่านผ้นู ้ีแน่ จึง
ถามวา่ “ผตู้ ายคนนี้เขาชอื่ อะไรล่ะ”

120


“ชอ่ื ชวี กะ (แปลวา่ นายเปน็ ) พวกญาตติ อบ อยากจะได้ชื่อไปตั้งเป็นช่ือของตัวเอง “ผมช่ือนาย

นายบาปตกใจ แลว้ ถามวา่ “เอา้ ! ก็ช่ือวา่ นายเปน็ ปนั กถะ (แปลวา่ ผเู้ จนทาง) คณุ ถามทา� ไมร ึ ?” “ชอื่

แล้ว ท�าไมถงึ ตายล่ะ” เจนทาง แล้วท�าไมถึงหลงทางล่ะ” นายบาปถาม

พวกญาติจงึ ตอบวา่ “จะชื่อเป็นหรือชอ่ื นาย อย่างเอาจริงเอาจัง

ตาย มนั กต็ อ้ งตายดว้ ยกนั ท้งั นนั้ แหละ ช่ือเปน็ บรุ ุษผู้นัน้ ตอบว่า “ท่านนี่โงจ่ รงิ ๆ คนจะชอ่ื

เพียงสมมติขึ้นเท่านั้น แกนี่ช่างโง่เสียจริง ไม่น่า เจนทางหรอื ไมเ่ จนทาง มนั กอ็ าจหลงทางดว้ ยกนั ทงั้

ถามแลย” นั้น ช่ือไม่ส�าคัญ เป็นเพียงค�าสมมติเรียกกันต่าง

นายบาปมไิ ด้โต้ตอบประการใด นึกในใจว่า หาก”

คนชือ่ เปน็ ยงั ไม่ดเี พราะยังต้องตาย เดนิ หาชื่อต่อ นายบาปไดค้ วามคิด จึงเลิกเสาะหาชอ่ื ต่อไป

ไปอีก เดินไปพักหน่ึงก็ได้พบกับพวกเจ้าหนี้นาย กลบั ไปยังส�านักของอาจารย์ ยังมิทันได้เล่าความให้

เงนิ กา� ลงั จบั นางทาสคนหนง่ึ ซงึ่ ไมไ่ ดช้ า� ระดอกเบย้ี อาจารยฟ์ ัง อาจารย์กก็ ลา่ วทกั ขึ้น “วา่ ไงเจ้าบาป ไป

ตามสัญญา จึงถูกจบั มาเป็นทาส เมือ่ จับได้แลว้ ก็ หาชื่อจากที่ไกลคงได้ช่ือท่ีเหมาะใจมาแล้วซิ” นาย

ใช้งานอย่างหนัก โบยด้วยเชือก แล้วให้นั่งเฝ้า บาปจึงกราบเรยี นวา่

ประตอู ย ู่ เมอื่ นายบาปเหน็ ดงั นน้ั เกดิ ความสงสาร “ทา่ นอาจารยค์ รบั ผมไปไดช้ อื่ หลายชอื่ มาไม่

จึงเขา้ ไปถามวา่ “ท่านทัง้ หลาย เหตุใดจงึ จับหญงิ ชอบเลยสกั ชอื่ คนชอื่ เปน็ กย็ งั ตอ้ งตาย คนชอ่ื รวยก็

ผนู้ มี้ าโบยตอี ยา่ งทารณุ นางทา� ผดิ คดิ รา้ ยประการ ยงั เปน็ คนยากจน คนชอ่ื นายเจนทางกย็ งั เปน็ คนหลง

ใดหรือ” ทางได ้ ชื่อเปน็ เพียงบญั ญตั สิ มมตเิ รียกกันเท่านน้ั

พวกนายเงินทั้งหลายจึงตอบว่า “นางคนนี้ ชอ่ื ไมส่ ามารถบนั ดาลความสา� เรจ็ อะไรไดเ้ ลย ความ

ชื่อ ธรปาลี (แปลว่านางรวย) กู้เงินไปแล้วไม่มี ส�าเร็จจะมีได้ก็เพราะกรรมคือการกระท�า พอกันที

ดอกเบยี้ จะให ้ เราจงึ นา� มาใชง้ านหนกั โดยทดแทน สา� หรบั การตง้ั ชอ่ื ผม ผมขอชอื่ นายบาปอยา่ งเดมิ ตอ่

ค่าดอกเบี้ย” “เอ๊ะ ก็ช่ือนางรวย แล้วท�าไมไม่มี ไปดแี ลว้ ครบั ”

ดอกเบ้ยี ใหเ้ ล่า” นายบาปถามด้วยความสงสยั ผลสุดท้าย ศิษย์ผู้น้ีก็ช่ือนายบาปต่อไป จน

เจ้าหนี้จึงตอบว่า “เพียงชื่อว่ารวยไม่ท�าให้ อวสานแหง่ ชีวติ

คนรวยมาได้หรอก เจ้านี่โง่มาก นึกว่าช่ือรวยจะ ชาดกเรอ่ื งนี้ชี้ใหเ้ ห็นคตธิ รรมข้อหน่งึ เร่อื ง

ท�าให้คนรวยกระนัน้ หรอื ?” การต้ังชื่อให้ ประเสริฐเลิศลอยน้ันก็ควรเอาดีแค่

นายบาปส่ายหัวแลว้ จึงเดินตอ่ ไป พลางคดิ เปน็ สริ มิ งคลแกห่ ู อยา่ ไปเขา้ ใจผดิ วา่ เมอื่ ชอ่ื ดแี ลว้

สงสยั เร่อื งชอื่ ไปตลอดทาง เมือ่ เดนิ ไปสักหนอ่ ยก็ กด็ โี ดยมิตอ้ งทา� อะไร ช่ือดีแตถ่ า้ ตวั เองไปท�าช่ัวก็

พบบรุ ษุ ผหู้ นง่ึ เดนิ สวนทางมา ดทู า่ ทางเงอะๆ เงนิ่ ๆ พาตัวไปส่คู วามหายนะ ถึงช่ือจะไมด่ แี ต่กระทา� ดี

จึงถามว่า “ท่านผู้เจริญ! ท่านจะไปไหนหรือ ดู ยอ่ มพาตวั ไปสคู่ วามเจรญิ รงุ่ เรอื งได้ จงึ ควรเปน็ คติ

ท่าทางไมค่ ่อยสบายใจเลย?” เตือนใจสาธุชนให้มุ่งประกอบความดีตามสมควร

บรุ ษุ ผนู้ ัน้ ตอบวา่ “คณุ เอย๋ ผมหลงทางมา ตอ่ ไป

เสียแล้ว ชว่ ยบอกทางไปบ้านโนน้ ใหห้ นอ่ ยเถอะ” (นามสทิ ธิชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
“แล้วคุณชื่ออะไรล่ะ” นายบาปถามเพื่อ ชาดก เอกนบิ าต เลม่ ๒๙ หน้า ๒๘๘)

121


122


พญาช้างเผือก

“อยา่ ทา� ตวั เป็นไกไ่ ดพ้ ลอย”

สมัยหนึ่ง พระเจ้ากรุงมคธเสวยราชย์ ณ กรุงราชคฤห์ พระ
โพธสิ ตั ว์เกดิ เปน็ ช้างเผอื ก มรี ูปสมบัติงดงาม ต้องดว้ ยลกั ษณะของชา้ ง
มงคลทุกประการ เป็นที่เชอ่ื กันว่าชา้ งเผือกเกิด ณ ประเทศใด ถอื เป็น
บุญบารมีของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์น้ัน พระเจ้ากรุงมคธจึงรับส่ังให้
คลอ้ งชา้ งเขา้ มาในพระราชวงั แลว้ ใหข้ น้ึ ระวางเปน็ ชา้ งมงคลหตั ถคี ู่ พระ
บารมสี บื ตอ่ มา วนั นนั้ เปน็ วนั มหรสพ พระราชาโปรดใหต้ กแตง่ พระนคร
ให้งดงาม ให้ประดับช้างด้วยเครื่องอลังการครบถ้วน เสด็จขึ้นสู่มงคล
หตั ถ(ี ชา้ งมงคล) พรอ้ มดว้ ยกระบวนพยหุ ตามพระราชประเพณ ี กระทา�
การประทักษณิ (การท�าความเคารพโดยเวียนทางเบ้อื งขวา) พระนคร
ดว้ ยราชานภุ าพอนั ยงิ่ ใหญ ่ ในทา่ มกลางฝงู ชนซง่ึ เฝา้ ชมพระบารมกี นั อยู่
อยา่ งแน่นขนดั

ประชาชนท่ีเฝ้าชมกระบวนทุกถนน ต่างพากันแตกตื่นในความ
งามของพญาชา้ งเผอื ก ซงึ่ มีรปู สมบัตงิ ามเลศิ พากันสรรเสริญวา่ “มี
ลกั ษณะครบถว้ นตามมงคลตา� รา การเยอ้ื งกรายชา่ งงดงาม สมเปน็ พญา
ช้างบ้าง ผิวพรรณผุดผ่องดงั เงนิ ยวง สมเป็นช้างคูบ่ ารมบี ้าง” จะหาผู้
สนใจกล่าวสรรเสรญิ คุณพระราชาไม่มีเลย

พระราชาสดับค�าสรรเสริญพญาช้างเช่นนั้น ไม่สามารถถอด
พระทยั ในขตั ตยิ มานะ เกดิ รษิ ยาตอ่ พญาชา้ งทค่ี นสนใจมากกวา่ พระองค ์
จงึ ทรงด�าริวา่ “ถา้ ช้างตัวนีย้ ังอย ู่ บารมขี องเราจะอับเสมือนแสงหิง่ ห้อย
ในเวลากลางวัน เราจะหาอบุ ายก�าจดั พญาช้างนีใ้ ห้จงได้” แล้วจงึ เรยี ก
นายหัตถาจารย์มารบั สั่งถามว่า “หัตถาจารย์! ท่านฝกึ ช้างนใี้ หท้ �าอะไร
ไดท้ กุ อยา่ งแลว้ หรอื ?” นายหตั ถาจารยก์ ราบทลู วา่ “ขอเดชะ! ชา้ งเผอื ก
นมี้ เี ชาวน์ไวเป็นเลิศ ข้าพระพทุ ธเจ้าให้ศกึ ษาหมดทกุ ท่าแลว้ ดว้ ยเวลา
เพียงเล็กน้อยเท่าน้ัน ท่ัวชมพูทวีปจะหาช้างฝึกได้อย่างนี้ไม่มีแล้ว
พระเจา้ ขา้ ”

123


“ยังไม่ดนี ะ่ ” พระราชาทรงท้วง “ถา้ ฝึกดแี ลว้ จรงิ เจา้ จะบังคบั ให้ชา้ ง
เชอื กนีไ้ ตข่ ึน้ ส่ยู อดเขาเวปุลละไดห้ รือไม่?” นายหัตถาจารย์กราบทูลวา่ “ได้
พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ประสงค์จะทอดพระเนตร ข้าพระองค์ก็จักแสดงให้
ทอดพระเนตร”

พระราชาทรงนึกกระหย่ิมในพระทัย ตรสั วา่ “ดีละ ถ้าเช่นนัน้ ทา่ นจง
แสดงให้เราดู ณ บัดน้ี” ตรัสแล้วก็เสด็จลงจากหลังพญาช้าง ส่ังให้นาย
หัตถาจารย์ขึ้นนั่ง แล้วไสให้ข้ึนไปบนยอดเขาเวปุลละ ส่วนพระราชาพร้อม
ด้วยข้าราชบริพารก็เสด็จตามข้ึนไปบนยอดเขาด้วย เมื่อนายหัตถาจารย์ไส
ช้างขน้ึ ไปบนยอดเขาแล้ว ให้บ่ายหนา้ ไปทางเหว แลว้ รับส่งั “เจา้ บอกวา่ ฝึก
ช้างเชือกนีด้ แี ล้ว ลองใหช้ ้างยืน ๓ ขาทป่ี ากเหวใหด้ ทู ซี วิ ่าจะท�าไดห้ รอื ไม่?”
นายหตั ถาจารย์ให้สัญญาณแกช่ ้าง พญาชา้ งก็ยืน ๓ ขาให้ดู พระราชาบังคบั
ใหย้ นื ๒ ขา และขาเดยี วโดยล�าดับ พญาชา้ งก็ท�าไดโ้ ดยไม่พลดั ตกลงไปใน
เหว

พระราชาหมดหนทางท่ีจะท�าให้พญาช้างตายโดยอุบัติเหตุ จึงบังคับ
นายหตั ถาจารย์เอาด้ือๆ วา่ “ถ้าชา้ งเชอื กนมี้ คี วามสามารถจรงิ กจ็ งให้ยนื ใน
อากาศให้ด”ู นายหัตถาจารย์คดิ วา่ “ทวั่ ชมพทู วีปจะหาช้างท่ีฝึกไดเ้ รว็ และดี
ถึงขนาดน้หี ามไิ ดแ้ ลว้ ท้ังรปู ลักษณะกค็ รบ เป็นช้างมงคล มีค่าควรเมืองโดย
แท ้ ทพี่ ระราชาออกอบุ ายเชน่ นเี้ หน็ ทจี ะลวงใหพ้ ญาชา้ งตกเหวตาย เปน็ เพราะ
อ�านาจริษยา จึงก้มไปกระซิบแทบหูของพญาช้าง “พ่อเอ๋ย! พระราชานี้
ประสงคจ์ ะใหท้ ่านตกเหวตายด้วยริษยาในตวั ท่าน ทา่ นไมค่ คู่ วรแกพ่ ระองค์
จงเตรียมตัวหนีใหพ้ น้ จากพระราชาองค์นีโ้ ดยเรว็ เถดิ ”

เมอ่ื เตรยี มตวั พรอ้ มแลว้ นายหตั ถาจารยน์ ง่ั อยบู่ นคอพญาชา้ ง ประกาศ
วา่ “ขา้ แตม่ หาราช ชา้ งนเ้ี ปน็ ชา้ งถงึ พรอ้ มดว้ ยบญุ ฤทธ ์ิ ไมค่ คู่ วรแกผ่ มู้ ปี ญั ญา
นอ้ ยเชน่ พระองค ์ คคู่ วรแกพ่ ระราชาผฉู้ ลาด มบี ญุ หนกั ศกั ดใิ์ หญก่ วา่ พระองค์
คนบญุ นอ้ ยเชน่ พระองคถ์ งึ ไดพ้ าหนะเชน่ นเี้ ปน็ ราชพาหนะ กร็ งั แตจ่ ะกอ่ ความ
ล�าบากทง้ั แกพ่ าหนะ ยศ ทรพั ยแ์ ละราชสมบัติ เพราะคนโงไ่ ด้ยศและบรวิ าร
สมบตั แิ ลว้ กม็ วั เมาในยศ มไิ ดร้ สู้ งิ่ ควรทา� ไมค่ วรทา� ยอ่ มปฏบิ ตั เิ พอื่ เบยี ดเบยี น
ต่อญาติมติ รและคนอืน่ พระองคจ์ งมีชวี ิตอย่อู ยา่ งคนโงเ่ ถดิ ” แลว้ กห็ นีไปตอ่
หนา้ พระพกั ตรข์ องพระราชา มุง่ หน้าไปยังพระนครพาราณสี เมอ่ื ไปถงึ ท้อง
พระลานหลวงกห็ ยุดยนื อย ู่ ณ ท่นี ้นั

124


ชาวพระนครเมอื่ ไดเ้ หน็ พญาชา้ งเผอื กมลี กั ษณะสวยสงา่ งามเชน่ นนั้ กพ็ า
กันชมและสรรเสริญกันเกรียวกราว น�าความไปกราบทูลพระราชา เมื่อพระ
ราชาเสดจ็ มา นายหตั ถาจารย์กล็ งจากคอพญาชา้ ง ถวายบังคม เมื่อพระราชา
ตรสั ถามความเปน็ มา กท็ ลู เล่าใหพ้ ระองค์ทรงทราบทุกประการ พระราชาทรง
ดพี ระทัย ตรสั สัง่ ใหเ้ ตรยี มการตกแต่งพระนคร ตงั้ พญาชา้ งในตา� แหน่งมงคล
หัตถ ี จดั การเฉลิมฉลองตอ้ นรับอยา่ งสมเกยี รต ิ แบ่งพระราชทรพั ย์ออกเปน็ ๓
ส่วน ส่วนหนึ่งพระราชทานแกช่ ้างพระโพธสิ ตั ว ์ สว่ นหนึ่งพระราชทานแก่นาย
หตั ถาจารย ์ และอีกสว่ นหนึง่ เพอ่ื พระองคเ์ อง ตัง้ แต่น้นั มา เมืองพาราณสีก็
เจริญร่งุ เรืองขึ้นเป็นลา� ดบั พระโพธสิ ตั ว์สัง่ สมบุญญาบารมที านเป็นต้น จนจวบ
กาลอวสานแห่งชวี ิต

ชาดกเรื่องนี้มุง่ ใหเ้ กิดคตสิ อนใจเรอ่ื งหนง่ึ วา่ ของดที นี่ ับวา่ เปน็ ศรสี ง่า
หรือสริ ิมงคลน้นั จะอยไู่ ดก้ แ็ ต่กบั บุคคลผู้มวี าสนาอันค่คู วรกนั จึงจะก่อสริ ิ
มงคลสืบไป ถ้าไปอยู่กับคนเลวมีปัญญาต่�า ไม่รู้คุณค่าแล้ว ก็ไม่ก่อให้เกิด
ประโยชน์อันใด กลับซ�้าร้าย ย่อมก่อความพินาศหายนะกับสิ่งน้ันและของ
ตนเอง เชน่ พระเจา้ กรงุ ราชคฤหไ์ ดม้ งคลหตั ถมี าแลว้ ไมร่ คู้ ณุ คา่ ไมม่ วี าสนา
ปกครอง จึงเป็นไปในทางไม่ดี ส่วนพระเจ้าพาราณสีมีบุญใหญ่ แม้ไม่ได้
ขวนขวายสง่ิ ใด ชา้ งก็มาหาเอง จงึ ควรทเี่ ราท้งั หลายเรง่ ส่ังสมบารมีไว้ แม้จะ
ยงั ไมเ่ หน็ ผลในปจั จบุ นั แตค่ วามดนี น้ั จะเปน็ แรงดงึ ดดู ของดเี ขา้ มาสตู่ นตลอด
ไป สมดงั ภาษติ ไทยทเ่ี คยสอนกนั วา่ “อยา่ ทา� ตวั เปน็ ไกไ่ ดพ้ ลอย” คอื ไดข้ องดี
แลว้ ไม่รูค้ ณุ คา่

(ทุมเมธชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย
ชาดก เอกนบิ าต เล่ม ๒๙ หน้า ๓๖๐)

125


126


กาลืมตวั

“เหน็ ช้างขี้ อย่าขตี้ ามช้าง”

ครงั้ หนง่ึ ในปา่ หมิ พานต ์ พระโพธสิ ตั วเ์ กดิ เปน็ นกกานา้� ชอ่ื วรี กะ อาศยั
หากินอยูใ่ นสระแหง่ หนง่ึ ในหมิ วันตประเทศ สมยั นนั้ เมืองกาส ี ซ่ึงมอี าณาเขต
ตดิ ตอ่ กบั เมอื งพาราณส ี เกดิ ขา้ วยากหมากแพง ประชาชนมคี วามเปน็ อยอู่ ยา่ ง
แรน้ แคน้ ตา่ งงดการบวงสรวงสงั เวยเทพารกั ษ์ตามปกติ กาทั้งหลายซึ่งเคย
อาศยั เครอื่ งบวงสรวงสงั เวยเลย้ี งชพี กพ็ ากนั อดอยากไปตามๆ กนั จะไปขโมย
อาหารทช่ี าวบา้ นตากเผอเรอไวก้ ไ็ มไ่ ด ้ เพราะประชาชนตา่ งกร็ ะมดั ระวงั เครอ่ื ง
บรโิ ภคอยา่ งกวดขนั เมอ่ื ไดร้ บั ความอดอยากเชน่ นน้ั กาบกตา่ งกพ็ ากนั ไปหากนิ
ตามประเทศอ่ืนท่ียงั สมบรู ณ์อยู่

มีกาบกตัวหนงึ่ ชือ่ สวิฐกะ เร่รอ่ นหากินไปพรอ้ มนางกา ไปถงึ เมอื งพา
ราณสี เกาะอยูบ่ นต้นไมต้ ้นหนงึ่ และเทยี่ วเรห่ ากนิ อยู่แถวบรเิ วณสระน�้า ตอ่
มาได้รจู้ ักคุ้นเคยกบั กาน้า� วีรกะ เห็นวา่ กาวีรกะหากินง่าย เพียงลงไปในน�้าดา�
ผดุ ดา� วา่ ยอยพู่ กั เดยี วกม็ อี าหารกนิ อม่ิ หนา� สา� ราญ คดิ จะอาศยั เศษอาหารทก่ี า
วรี กะจะสงเคราะหใ์ ห ้ จงึ เขา้ ไปหากาวรี กะ แลว้ กลา่ วเยนิ ยอ “นนี่ าย ขา้ พเจา้
เห็นลักษณะท่าทางของท่านแล้ว เกิดความเล่ือมใส ใคร่จะอยู่ใกล้ชิดและ
ปรนนิบัตทิ ่าน ถ้าท่านไมร่ ังเกยี จ ขอไดโ้ ปรดอนุญาตใหข้ า้ พเจ้าและภรรยาอยู่
รับใชท้ า่ นตลอดไป ส่วนอาหารการกินก็สุดแต่ทา่ นจะกรณุ าเถดิ ” “ดแี ลว้ ถา้
เป็นความประสงค์ของทา่ นกต็ ามใจ ส่วนอาหารการกินไมต่ อ้ งหว่ ง เราจะนา�
มาให้เอง” กาวีรกะตอบ

ตง้ั แตน่ นั้ มา กาวรี กะกร็ บั กาสวฐิ กะไวอ้ ยดู่ ว้ ย เมอื่ ถงึ คราวหากนิ ตนเอง
หากนิ จนอม่ิ แลว้ กค็ าบอาหารมาฝากกาสวฐิ กะอยา่ งเพยี งพอ กาสวฐิ กะกนิ จน
อิ่มหน�าแล้วก็แบ่งส่วนที่เหลือให้นางกาได้รับความผาสุกเสมอ คร้ันอยู่ต่อมา
กาสวิฐกะเกิดความทะนงตนขึน้ ว่า “กาวีรกะ ก็ช่อื ว่าเป็นกามีขนดา� มีตาดา�
มจี งอยปากดา� เชน่ เดียวกบั เรา ไมแ่ ตกต่างกนั ไฉนเราจึงยอมตนเป็นคนรับ
ใชอ้ ยไู่ ด ้ เมอื่ กาวรี กะดา� นา�้ ไปจบั ปลาในสระกนิ ได ้ เรากค็ วรจะทา� ไดเ้ หมอื นกนั
แต่นี้ไปเราจะไม่อาศัยกาวีรกะต่อไปแล้ว จะลงจับปลากินด้วยตัวเองบ้างละ”

127


เมือ่ คิดดังน้นั จงึ เข้าไปหากาวีรกะ แลว้ กลา่ วดว้ ยความทะนง
“น่สี หายรกั ! ท่านก็เปน็ กา เรากเ็ ป็นกา มีฐานะเสมอกัน เมอ่ื ท่านลงไปจบั ปลา

ในสระกินได้ ข้าพเจ้าก็ควรท�าได้เช่นเดียวกัน ตั้งแต่น้ีไปท่านไม่ต้องน�าปลามาเผื่อ
ข้าพเจ้าและภรรยาแล้ว ข้าพเจ้าจะหาเล้ียงตัวด้วยล�าแข้งเอง” กาวีรกะจึงกล่าวด้วย
ความสงสาร “สหายเอย๋ ! ท่านเป็นนกตัวด�าก็จรงิ แต่มิได้เกดิ ในตระกูลกาน�า้ เป็นกา
หากินบนบก จะลงไปจบั ปลาในน�้าน้ันเห็นจะไม่พ้นอันตรายเปน็ แนแ่ ท้ อยา่ ทา� เชน่ น้ัน
เลยสหายรัก” “กาน�้าหรือกาบกก็กาเหมือนกัน” กาสวิฐกะไม่ยอมลดมานะของตัว
“ท่านเป็นกานา้� ก็ไม่เห็นมอี วยั วะอะไรเปน็ พเิ ศษกว่ากาบก ทา่ นกอ็ าศัย ตนี ปีก จงอย
ปาก เช่นเดยี วกับขา้ พเจ้าเหมอื นกัน ทา� ไมขา้ พเจา้ จะท�าเหมอื นท่านไม่ได”้ กลา่ วจบก็
บนิ ลงไปในสระแลว้ พยายามด�ามุดลงไปเพือ่ จับปลา อนจิ จา! กาสวฐิ กะหารไู้ มว่ ่า ใน
น�า้ เต็มไปด้วยกอสาหรา่ ยและใบบวั ทงั้ ไมร่ ู้จักวิธีหลีกเลยี่ งได้อย่างไร สาหรา่ ยและใบ
บัวพนั ตวั กาสวฐิ กะไวแ้ นน่ ยิง่ ด้นิ ก็ยงิ่ พนั มากเขา้ ผลท่ีสุดก็หมดแรง พยายามชูจมูก
ใหพ้ ้นน�้ากไ็ มส่ ามารถให้พน้ ได ้ จึงจมนา�้ ตาย ณ ทนี่ ้นั เอง

ฝา่ ยนางกา เมอื่ ไมเ่ หน็ กาสวฐิ กะนา� อาหารมาตามเวลา กไ็ ปหากาวรี กะ ถามถงึ
กาสวิฐกะก็ได้รบั คา� ตอบว่า ถกู สาหรา่ ยพนั ตวั ตายเสยี แลว้ ดว้ ยความทะนงตวั นางจงึ
ไดแ้ ต่โศกเศรา้ รา� พัน หมดท่พี ึ่งทีอ่ าศัย จึงกลับไปยงั เมืองกาสีหากินตามเดิมต่อไป

ชาดกเรอ่ื งนช้ี ใ้ี หเ้ หน็ คตธิ รรมบทหนงึ่ วา่ จงอยา่ มคี วามทะนงตนอยา่ งไรเ้ หตผุ ล
ถอื ว่าคนอื่นทา� อะไรไดเ้ ราก็ต้องท�าได้เสมอไป ตอ้ งพยายามร้ขู ีดความสามารถของ
ตนเสมอว่ามีเพียงไร แล้วท�าเท่าที่ขีดความสามารถจะอ�านวย ถ้าขืนทะนงตนท�า
เกนิ ไป โดยนกึ วา่ เมอื่ คนอนื่ ทา� อะไรไดแ้ ลว้ กค็ วรทา� ไดเ้ หมอื นกนั คนเรานน้ั ถา้ ทา�
อะไรได้เหมือนกนั หมด กค็ งไมม่ ีครู ไมม่ ีศิษย์ ไมม่ ีพอ่ ไม่มแี ม่ ไมม่ ีผใู้ หญ่ ไมม่ ผี ู้
นอ้ ย คงเทา่ กนั ไปหมด แตน่ โ่ี ลกแบง่ คนไวเ้ ปน็ ขนั้ ๆ ไมเ่ ทา่ กนั ฉะนนั้ ถา้ หลงทะนง
ตวั เข้าใจว่าตัวดีเท่าคนอ่ืนหมด เขา้ ทา� นองวา่ “เห็นชา้ งข้ี ขีต้ ามชา้ ง” แลว้ ย่อม
ถงึ ความหายนะ เชน่ เดยี วกบั กาสวฐิ กะ นา� ความหายนะมาสตู่ นและนางกาดงั กลา่ ว
แลว้

(วรี กชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย
ชาดก ทกุ นบิ าต เลม่ ๓ หน้า ๒๓๒)

128


129


นกกระทา

“บาปอยู่ทเี่ จตนา”

ครง้ั หนง่ึ ในปา่ หมิ พานต ์ พระโพธสิ ตั วเ์ กดิ ในตระกลู พราหมณ ์ ครน้ั
เจรญิ วัย ไดไ้ ปเรียนศิลปวิทยา ณ เมอื งตกั กศิลา สา� เรจ็ แล้วไดอ้ อกบวช
เป็นฤษบี �าเพ็ญพรตอยู ่ ณ หิมวนั ตประเทศ สา� เรจ็ ฌานสมาบัตแิ ลว้ ก็
เพลดิ เพลนิ อยูก่ ับการเลน่ ฌานในปา่ เปน็ เวลาชา้ นาน เมอ่ื ต้องการจะเสพ
อาหารอนั มรี สเปรยี้ วและเคม็ บา้ ง จงึ ไดเ้ ดนิ ทางมาตามหมบู่ า้ น เมอื่ มนษุ ย์
ไดเ้ หน็ ฤษกี เ็ กดิ ความเลอ่ื มใสศรทั ธา ชว่ ยกนั สรา้ งบรรณศาลา ณ ชายปา่
แหง่ หนง่ึ บา� รงุ ดว้ ยปัจจยั สี่อย่างสมบูรณ์ตลอดมา

ณ กาลครงั้ หน่ึง มนี ายพรานนกผหู้ นึ่งหากนิ ทางตอ่ นก (เอานกตวั
เมียไปตอ่ นกตวั ผ้ใู หเ้ ข้ากรง) เอามาขาย ครนั้ ดกั ได้นกกระทาตัวหนึง่ จงึ
เอาไปฝกึ ใหข้ นั จนเกง่ แลว้ ใชเ้ ปน็ นกตอ่ ลอ่ นกตวั อน่ื มาตดิ กรงเปน็ จา� นวน
มาก นา� นกเหลา่ นนั้ ไปขาย เลย้ี งชวี ติ ดว้ ยทรพั ยน์ นั้ ตลอดมา วนั หนง่ึ นก
กระทาต่อคิดว่า “นกกระทาญาติของเราพากันมาติดกรงนายพรานเป็น
จา� นวนมาก ความพนิ าศแหง่ หมญู่ าตคิ รงั้ นเ้ี ปน็ เพราะเราคนเดยี วทขี่ นั เรยี ก
ให้ญาติลงมาติดกรงดัก เราก�าลังสร้างบาปกรรมอันใหญ่หลวงเสียแล้ว
ต่อไปนเ้ี ราจะเลกิ ขนั ไมย่ อมลอ่ ญาตมิ าตดิ กรงดกั อกี ตอ่ ไปแล้ว”

ตง้ั แตน่ นั้ มา เมอื่ นายพรานนา� ไปตอ่ กไ็ มย่ อมขนั นายพรานนกเหน็
ดังน้ันจึงเอาแขนงไผ่เคาะศีรษะบังคับให้ขันอีก นกต่อไม่สามารถทนเจ็บ
ได้จึงขนั ตอ่ ไปอีก นกกระทาจงึ ถูกจับเป็นจ�านวนมาก ตอ่ มานกกระทา
นกึ อกี วา่ “เราไมม่ เี จตนาต้ังใจให้นกญาตเิ ราตายก็จรงิ แต่ความตายของ
นกกข็ น้ึ อยกู่ บั เรา ถ้าเราไม่ขันนกอ่นื กไ็ ม่ถกู จับ แตท่ ีถ่ ูกจบั เพราะเราขนั
ในขอ้ นจี้ ะเปน็ บาปแกเ่ ราหรอื ไมห่ นอ” จงึ พยายามคดิ หาผชู้ ว่ ยตอบปญั หา
ให้ได้ กไ็ ม่เหน็ ใครควรจะถามได้ คราวหน่งึ พรานนกจับนกกระทาได้
เป็นจา� นวนมาก จงึ จับใสก่ รงขังเดยี วจนเต็ม ต้งั ใจจะน�าไปขาย ณ ท้อง
ตลาด จึงนา� กรงไปตัง้ พักไวใ้ นส�านกั พระดาบสโพธสิ ัตวเ์ พ่ือไปด่มื น้า� เมื่อ

130


ดม่ื น�า้ เสรจ็ แลว้ ก็รสู้ ึกอ่อนเพลีย คดิ ว่าจะพักสกั ครหู่ นึง่ จงึ เอนลงกบั พน้ื แล้วกห็ ลับไป
นกกระทาจบั ทซี่ กี่ รงขัง คดิ ว่า “เราจะถอื โอกาสถามดาบสในวันนี้” จงึ เอย่ ถาม

“ขา้ แตท่ า่ นดาบส! ส�าหรับตัวข้าพเจา้ เองไม่มปี ัญหาอนั ใด ข้าพเจ้ามีความเปน็ อยูส่ บาย
และอดุ มสมบูรณ์ แตญ่ าตขิ องขา้ พเจ้าซิ ตอ้ งมาล้มตายเพราะการกระทา� ของข้าพเจา้
ทัง้ ๆ ที่ข้าพเจา้ กม็ ิได้จงใจทา� เวรกรรมจะมาถงึ ตวั ข้าพเจา้ หรือไมห่ นอ?”

พระโพธสิ ตั วจ์ งึ ตอบวา่ “พอ่ ปกั ษ!ี ถา้ ใจของเจา้ ไมน่ อ้ มไปเพอื่ ทา� บาป คอื มไิ ดค้ ดิ
จงใจใหเ้ ขาล้มตายกันแล้ว บาปกรรมย่อมไมต่ กถงึ เจ้า เปรยี บเหมอื นน้า� แมจ้ ะทว่ มใบ
บัวก็ไม่ซมึ ซาบเขา้ ไปได้ ฉนั นนั้ แตถ่ ้าเจ้ามใี จไม่บรสิ ทุ ธ ์ิ ม่งุ ท�าลายเขาก็คงไมพ่ ้นบาป
ด้วย” นกกระทาไดฟ้ ังดงั นัน้ จงึ ถามตอ่ “นกกระทาตายเพราะขา้ พเจา้ ขัน แตใ่ จของ
ข้าพเจ้าคิดรังเกียจอยู่เสมอ เช่นนี้ถือว่าข้าพเจ้ามีส่วนในเวรกรรมด้วยหรือไม่?” พระ
ดาบสตอบวา่ “เมอ่ื ใจของเจา้ ไมป่ ระทษุ รา้ ย การกระทา� กไ็ มเ่ ปน็ บาป กรรมไมต่ กถงึ เจา้
บาปยอ่ มไมม่ าเกย่ี วขอ้ งกบั คนพยายามจะทา� ตวั ใหบ้ รสิ ทุ ธไิ์ ดเ้ ลย” พระโพธสิ ตั วไ์ ดป้ ลอบ
นกกระทาให้เบาใจ จนกระทง่ั หมดความรังเกียจแล้ว เผอิญพรานนกก็ตืน่ ข้ึน เหน็ พระ
ดาบสจึงยกมอื ไหว้ แล้วควา้ ตะกรา้ นกเดินออกจากอาศรมไป

ชาดกเรอ่ื งน้มี ุ่งสอนให้เราเห็นวา่ ในการประกอบกรรมท้ังดีและชั่วนัน้ เจตนา
คอื ความจงใจเป็นสงิ่ ส�าคญั ถ้าใจดีมีแตค่ ิดถงึ บุญกุศลเป็นทีต่ ้งั แล้ว การกระทา�
แม้จะเป็นการไม่ดีก็ไม่ถือเป็นความช่ัว แต่ถ้าจิตใจของเรามีความชั่วเข้าไปปนแล้ว
การกระทา� แมเ้ ปน็ ไปในทางดี กเ็ ปน็ การกระทา� ทม่ี ใิ ชค่ วามดบี รสิ ทุ ธ์ิ แตเ่ ปน็ การแสรง้
ท�า ฉะนัน้ จงึ ควรรกั ษาใจใหด้ ไี วเ้ สมอ

(ติตติรชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย

ชาดก จตกุ กนิบาต เล่ม ๓๑ หน้า ๓๗๒)

131


132


นกยงู ทอง

“จงบชู าผู้ควรบูชา”

คร้งั หนง่ึ ในปา่ หิมพานต ์ พระโพธสิ ัตวเ์ กดิ เปน็ นกยงู ณ เมอื งพาราณส ี
ดว้ ยบารมถี อื ศลี ทเ่ี คยอบรมมา บนั ดาลใหก้ ายของนกยงู มสี เี หลอื งอรา่ มเหมอื น
ทอง สร้อยคอและแววหางสอดสลับอย่างวิจิตร เป็นท่ีรักและช่ืนชมแก่ผู้ได้
พบเห็น พรานมือดีท้ังหลายพยายามจะเอาไปเล้ียง แต่ก็ไม่สามารถจับได ้
เพราะนกยูงทองมวี ตั รปฏบิ ตั เิ ป็นประจา� อย ู่ อย่างหนึง่ คือกอ่ นออกจากรัง ได้
สวดคาถาบทหนึ่ง ถือเปน็ มนต์ประจ�าตัว ความในมนต์บทน้นั คือ “กราบไหว้
บูชาท่านผู้มีคุณ เร่ิมแต่พระอาทิตย์ที่ให้แสงสว่างแก่สัตว์ สมณชีพราหมณ์
ผู้ทรงศลี พระพุทธเจา้ ผู้ตรสั ร ู้ ตลอดจนพระธรรมคา� สอน ซ่งึ ทา� ใหค้ นพ้นจาก
ทุกข์” นกยูงทองสวดพระคาถาเหล่าน้ีก่อนออกไปหากินทุกวัน จึงให้
แคล้วคลาดภยันตรายจากนายพรานตลอดมา

ครงั้ นนั้ พระเทวขี องพระเจา้ พาราณส ี ทรงพระนามวา่ เขมา สบุ นิ (ฝนั )
วา่ “ไดเ้ หน็ พญานกยงู ทองรอ่ นมาหาทางอากาศจบั ทสี่ หี บญั ชร (หนา้ ตา่ ง) แลว้
แสดงความใหฟ้ งั อยา่ งไพเราะจบั ใจ” ตน่ื จากบรรทมแลว้ ทรงตดิ ใจในพญานก
ยูงทองท่ีเห็นในพระสุบิน จึงทูลอ้อนวอนพระเจ้าพาราณสีให้เสาะหาพญานก
ยงู ทองมาใหจ้ งได ้ พระเจา้ พาราณสกี ม็ ไิ ดท้ รงขดั พระทยั ประกาศใหเ้ รยี กพราน
ปา่ มาประชมุ พรอ้ มกนั แล้วตรสั ถาม “ใครเคยเหน็ นกยงู ทองท่ีไหนบ้าง ผู้ใด
สามารถบอกแหล่งทอ่ี ยไู่ ด้จะให้รางวัลอย่างงาม”

พรานป่าผหู้ น่ึงทลู วา่ “ข้าพระพุทธเจ้าเคยไดร้ ับการบอกเลา่ จากบดิ าวา่
มนี กยงู ทองอยทู่ ภ่ี เู ขาทณั ทกหริ ญั บรรพตตวั หนงึ่ ปา่ นน้ั เปน็ ปา่ ทบึ เตม็ ไปดว้ ย
ภยนั ตราย พรานป่าทไี่ ดพ้ บพยายามไปจบั ตายเสยี มามากตอ่ มากแลว้ ” “ถา้
เชน่ นน้ั พยายามจับตวั มาใหจ้ งได้ และให้จับเป็น” พระราชารบั สงั่ ในทนั ที

นายพรานต่างพากันเตรียมเสบียง พร้อมเครื่องมือดักสัตว์นานาชนิด
มงุ่ ตรงไปยงั เทอื กเขาทณั ทกหริ ญั บรรพต การเดนิ ทางตอ้ งขา้ มทวิ เขาลกึ เขา้ ไป
ลกู ทส่ี ่ี เมอ่ื ถงึ กด็ กั บว่ งในทท่ี นี่ กยงู ทองเคยมาหากนิ นกยงู ทองกอ่ นออกหากนิ

133


กส็ วดคาถานมสั การทา่ นผมู้ พี ระคณุ ทกุ ครงั้ ปรากฏ ไว้ แร้วรดั ตดิ ขาของพญานกยงู ทอง ดิน้ เท่าไหรก่ ็ไม่

วา่ มนตน์ น้ั ขลงั อยา่ งมหศั จรรย ์ แมเ้ ขา้ ไปเหยยี บบว่ ง หลุด นายพรานจงึ รบี วิง่ ไปจบั ตัวไว้ แล้วใสก่ รงน�าไป

เข้าอย่างจงั ๆ บว่ งกย็ ังไมร่ ูด พรานไดพ้ ยายามด้วย ถวายพระราชาทนั ที

วธิ ตี ่างๆ ถึง ๗ ป ี กย็ งั ไม่สามารถจบั นกยงู ได้ ส่วน พระราชาเม่ือได้ทอดพระเนตรเห็นนกยูงมีสี

ท่ีตายในป่าก็มีเป็นจ�านวนไม่น้อย เม่ือไม่สามารถ สวย งดงาม เสมอื นทองค�าก็นึกรกั จึงรบั สงั่ ให้หาตง่ั

จบั ได้ พระเทวีก็ระทมพระทยั จนสน้ิ พระชนมไ์ ปใน (โต๊ะสี่ขา) มาตงั้ ต้อนรบั เป็นพเิ ศษ เมอื่ นกยูงจบั ตั่ง

ท่สี ุด น้ันแล้ว จึงทูลถามพระราชา “ข้าแต่มหาราช ท่ี

พระเจา้ พาราณสที รงแคน้ ในนกยงู ทองยง่ิ นกั พระองคใ์ ห้พรานหลายพวกไปจบั ขา้ พระองค์ และได้

จึงจารึกไว้ในแผ่นทองว่า “มีภูเขาหนึ่งช่ือทัณทก พยายามอย่เู ปน็ ปีๆ นั้น เพราะอะไร ?”

หริ ญั บรรพต อยใู่ นปา่ หมิ พานต ์ ณ เขาลกู นมี้ นี กยงู “ไดย้ นิ วา่ เนอื้ ของทา่ นเปน็ เนอ้ื วเิ ศษ ถา้ ใครได้

ทองตัวหนึ่ง เปน็ พญานกยูงทองวิเศษ ผ้ใู ดกินเนอื้ กินแลว้ จะไมแ่ ก่ ไมต่ าย ด้วยเหตุนี้เราจึงพยายามไป

แลว้ ผนู้ น้ั จะไมแ่ กไ่ มต่ าย มอี ายยุ นื นาน” ทงั้ นก้ี เ็ พอ่ื จับมาจนได้” “ใครกราบทูลพระองค์ว่ากินเนื้อข้า

จะใหพ้ ระราชาองคใ์ ดองคห์ นงึ่ ฆา่ นกยงู ตวั นใ้ี หจ้ งได้ พระองคแ์ ลว้ จะไมแ่ ก่ ไม่ตาย?” “เราอ่านพบในแผ่น

เมอื่ พระราชาพระองคน์ นั้ สวรรคต องคต์ อ่ มาไดอ้ า่ น ทองซึ่งบรรพบุรุษจารึกไว้แต่โบราณ” “เมื่อพระองค์

แผ่นทองแล้วอยากเป็นผู้ไม่แก่ไม่ตาย จึงให้พราน จะเสวยเน้ือของข้าพระองค์ ก็แปลว่าข้าพระองค์จะ

ไปล่าเป็นอันมาก พรานนั้นเม่ือไปถึงก็วางบ่วงดัก ตอ้ งตายใชห่ รอื ไม?่ ” นกยงู ทลู ถาม “แนน่ อน” พระ

เช่นเดียวกับคนก่อนแล้วซุ่มดู เห็นว่าบ่วงนั้นไม่รูด ราชาทรงยนื ยัน “จะตอ้ งชา� แหละเนื้อเปน็ ชิ้นๆ แล้ว

ในขณะพญานกยงู เหยยี บ จงึ คดิ วา่ คงมอี ะไรดใี นตวั เอาประกอบเปน็ อาหารจึงจะกินได”้ “ข้าแต่มหาราช

นกยูงอย่างหนง่ึ จึงตามไปสังเกตถงึ รงั ของพญานก กเ็ มอื่ ขา้ พระองคซ์ งึ่ เปน็ เจา้ ของเนอ้ื หนงั นย้ี งั ตอ้ งตาย

ยูง ได้เห็นนกยูงโพธิสัตว์ร่ายมนต์บทนอบน้อมผู้มี ยงั ตอ้ งถกู พระองคฆ์ า่ เพอ่ื กนิ เนอ้ื แลว้ เหตใุ ดคนทกี่ นิ

พระคุณก่อนไปหากินเสมอ จึงได้แคล้วคลาดจาก เนอื้ ขา้ พระองคจ์ งึ จะไมต่ ายเลา่ ” พระโพธสิ ตั วท์ รงให้

บ่วงของพราน คิดหาอุบายจะให้นกยูงหลงลืมการ เหตผุ ลและสอนตอ่ “ธรรมดาผเู้ ปน็ ราชาปกครองคน

ทอ่ งมนต ์ จงึ ไปจบั นกยงู ตวั หนง่ึ สอนใหร้ า� แพนเมอ่ื จะต้องมีวิจารณญาณให้ถ่ีถ้วน จะเชื่อส่ิงใดจะต้อง

ปรบมือ และสอนให้ร้องเม่ือดีดนิ้ว ฝึกหัดจน พจิ ารณาโดยรอบคอบเสียกอ่ น มิฉะนน้ั จะถกู ต�าหนิ

คลอ่ งแคล่วแลว้ จงึ นา� ไปปล่อย เพื่อล่อใหน้ กยูงทอง ภายหลงั ”

หลงและลมื มนต ์ อา� นาจหญงิ มกั มอี ทิ ธพิ ลเหนอื บรุ ษุ พระราชายงั ไมห่ มดสงสยั จงึ ถามตอ่ “เมอื่ ทา่ น

เสมอ ท่านกล่าวว่าเสียงน้ันคมกว่าศาสตราวุธ ไมม่ อี ะไรวิเศษแล้ว เหตใุ ดจงึ มสี ีขนเหมอื นทอง งาม

ประเภทใดๆ สามารถตดั ขวั้ หวั ใจของบรุ ษุ ไดโ้ ดยไมร่ ู้ กว่านกยูงฝูงอื่นๆ เล่า” นกยูงทองกราบทูลว่า

สกึ ตัว “มหาราช สกี ายของข้าพระองค์ปรากฏเปน็ สีทอง ก็

แมน้ กยงู โพธสิ ตั วบ์ า� เพญ็ ศลี าจารวตั รมานาน ด้วยบารมขี องศลี ทีเ่ คยบา� เพ็ญมาแตอ่ ดีตชาติ คอื ใน

ก็ไมส่ ามารถทนรูปและเสยี งของนกยงู ได้ พอไดย้ นิ อดตี ชาต ิ ขา้ พระองคเ์ กดิ เปน็ พระเจา้ จกั รพรรด ิ เสวย

เสยี งของนางนกแตเ่ ชา้ ตร ู่ จงึ ลมื สวดคาถาคมุ้ กนั ตวั ราชยโ์ ดยธรรม บา� เพญ็ ทาน รักษาศีลประจา� ดว้ ย

บนิ ไปตามเสยี งนนั้ โดยเรว็ จงึ ตดิ แรว้ ทนี่ ายพรานดกั ความดขี องศลี ทา� ใหไ้ ดไ้ ปเสวยสขุ ชวั่ กาลนาน แตก่ าร

134


เป็นพระราชาน้ัน ต้องประกอบทั้งบุญและบาปไปพร้อมๆ กัน ด้วย
บาปกรรมทเี่ หลือ จงึ บันดาลให้เกดิ เป็นนกยงู

พระราชายงั ไมท่ รงเช่อื จงึ ถามตอ่ “ทีว่ ่าเคยเปน็ พระเจ้าจกั รพรรดิ
และรกั ษาศลี จงึ เกดิ เปน็ นกยงู ทองนน้ั ทา่ นจะมอี ะไรยนื ยนั ใหข้ า้ พเจา้ แนใ่ จ
ได้” นกยูงทองจึงตอบว่า “ขอเดชะมหาราช เม่ือข้าพระองค์เกิดเป็น
พระเจ้าจักรพรรดิน้ัน มีราชรถล้วนด้วยแก้วเป็นราชพาหนะ รถน้ันยัง
เหลอื ซากจมอย ู่ ณ สระโบกขรณมี งคลโนน้ ขอพระองคใ์ หร้ าชบรุ ษุ ไปขดุ
คน้ ดูเถดิ ”

พระราชาจงึ รับสงั่ ใหว้ ดิ น้า� ในสระนัน้ ออก แล้วโกยเลนขึ้น ก็ไดพ้ บ
ซากรถสมดังคา� นกยงู บอก จึงเลื่อมใสพระโพธิสตั ว ์ ใครจ่ ะบา� เพญ็ ตนอยู่
ในศีลธรรม จึงใหพ้ ระโพธิสตั ว์แนะน�าทกุ ประการ ปล่อยนกยงู ทองกลับ
ไป พระโพธิสัตว์ตรัสสอนพระราชาให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ครอง
ราชย์โดยยุติธรรม แล้วบินกลับไปยังทัณทกหิรัญบรรพตตามเดิม ฝ่าย
พระราชาดา� รงอยใู่ นโอวาท ทา� บญุ ทา� ทานตามสมควร จนสวรรคตไปตาม
กรรม

ชาดกเร่ืองนีม้ คี ติสอนใจวา่ ผตู้ ง้ั อยู่ในคณุ ธรรม เคารพบูชาใน
ส่ิงที่ควรบูชา เริ่มแต่บิดามารดาและส่ิงให้คุณแก่เรา ครูบาอาจารย์
สมณชพี ราหมณ์ผูท้ รงศลี ตลอดจนผมู้ พี ระคณุ ไม่หมน่ิ ประมาท ไม่
ดูแคลน ย่อมแคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวงได้ เหมือนนกยูงสวด
ภาวนาคาถานอบน้อมผู้มีพระคุณ จึงแคล้วคลาดจากบ่วงนายพราน
ตลอดมา แต่ต้องเสียที่นายพรานก็เพราะอ�านาจกิเลส ลืมบูชาผู้มี
พระคุณ และประสบอนั ตราย จึงควรเปน็ เครอ่ื งสงั วรใจของเรา อย่า
เอาอา� นาจกามกเิ ลสหรอื อสิ ตรมี าทา� ลายจนลมื ผมู้ พี ระคณุ จะถงึ ความ
หายนะในทีส่ ุด

(โมรชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก ทุกนบิ าต เล่ม ๓๐ หนา้ ๕๐)

135


136


พญานาคราช

“อย่าถอื ยศ เมื่อยามยาก”

ครงั้ หนงึ่ ในปา่ หิมพานต ์ สมยั พระเจ้าพรหมทัตครองกรุงพาราณสี
พระโพธสิ ตั วเ์ สวยพระชาตเิ ปน็ พญานาคราช ชอื่ มหาททั ระ มนี อ้ งตนหนงึ่
ชือ่ จลุ ลททั ระ อยรู่ ว่ มกับฝูงนาคซึง่ อยู่ใตก้ ารปกครองของพอ่ ณ บรเิ วณ
เชงิ เขาทัทรบรรพต ในหิมวนั ตประเทศ มหาทัทรนาคราชมอี ปุ นสิ ยั ตรง
ข้ามกับจุลลทัทระตวั น้อง มเี มตตาอารตี ่อนาคทกุ ตัว นาคตัวใดตกทุกข์
ไดย้ ากเขา้ มาขอความชว่ ยเหลอื กพ็ ยายามชว่ ยจนสดุ ความสามารถ เปน็
ท่ีเคารพรักของบรรดานาคทั่วไป ส่วนจุลลทัทระตัวน้อง มีนิสัยข้ีโกรธ
หยาบคาย ชอบดา่ เบียดเบยี นเพื่อนนาคด้วยกนั ด้วยกา� ลัง เป็นท่เี กลียด
ชงั ของฝงู นาคตลอดจนพอ่ ตนเอง

วันหน่งึ จุลลนาคราชเกเรท�าทารุณตอ่ นาคหนมุ่ ตวั หนงึ่ พอ่ โกรธ
มากจึงสัง่ ขับออกไปจากนาคพิภพ มิให้อยรู่ ว่ มกบั ฝงู นาคต่อไปอีก มหา
ทัทระพี่ชายมีนิสัยเมตตาอารีอยู่แล้ว ได้ทราบข่าวก็สงสาร จึงเข้าไป
ทดั ทานพ่อ “คุณพ่อครบั จลุ ลนาคราชแม้จะหยาบชา้ ทารณุ อย่างไรก็ยงั
เปน็ นอ้ งโดยสายเลือด หากถกู ขบั ไล่ออกไปกค็ งถงึ อนั ตรายแก่ชวี ิต อาจ
ถกู มนษุ ยแ์ ละสตั วอ์ นื่ รบกวนได ้ ชอื่ วา่ ไดฆ้ า่ เขาทางออ้ ม โปรดใหอ้ ภยั สกั
ครงั้ เถดิ ให้เขาไดป้ ระพฤติดแี กต้ ัวต่อไป”

พญานาคราชจงึ ยอมใหอ้ ภยั และงดการขบั ไลไ่ วค้ ราวหนงึ่ ตอ่ มาไม่
ช้า จุลลนาคราชกท็ �าผิดอย่างมหนั ต์อกี พ่อโกรธมาก จึงสั่งขบั ไลใ่ ห้ออก
ไปจากนาคพภิ พ พ่ีชายกเ็ ขา้ ไปทัดทานดงั เดิม และรับรองว่าจะอบรมส่งั
สอนให้กลับมีความประพฤติดีให้ได้ เม่ืออ้อนวอนอยู่นาน พ่อก็ใจอ่อน
จึงยอมใหอ้ ยตู่ อ่ ไป โดยได้คาดโทษไว้ว่า ถา้ ขืนทา� ความผิดดงั เดิมอกี ก็
จะขบั ไลโ่ ดยไมฟ่ งั คา� ทดั ทานใดๆ เขาวา่ ผทู้ ม่ี นี สิ ยั กระดา้ ง ไมร่ จู้ กั กลบั ตวั
น้นั ยากนักท่ีจะแกไ้ ขได ้ จุลลนาคราชสงบความชว่ั ได้ไม่นาน นสิ ยั พาล
กส็ า� แดงฤทธอ์ิ อกมา คราวนไ้ี ดท้ า� อนาจารหยาบชา้ ตอ่ นาคอน่ื ไมส่ ามารถ

137


ยกโทษได้ พญานาคราชจึงขับไล่ให้ไปอยู่ ไปยังนาคพิภพ ปรากฏว่าจุลลนาคราชหลงั จากได้
ดดั สนั ดาน ณ อกุ การภูม ิ ใกลก้ รงุ พาราณส ี มี ทนการทรมานดว้ ยความอดกลนั้ อยา่ งยงิ่ แลว้ หมด
ก�าหนด ๓ ป ี แลว้ ให้ชว่ ยกันฉุดครา่ ออกจากนาค ความกระด้างความทะนงตัว แล้วกลับเป็นนาคท่ี
พิภพทันที และห้ามกลับมาในนาคพิภพก่อน นิสยั ดี โอบออ้ มเออ้ื อารีคนอน่ื เป็นที่รักของเพอ่ื น
กา� หนด ฝา่ ยมหาททั ระ ดว้ ยความเปน็ หว่ งนอ้ งชาย ตลอดมาจนถงึ กาลอวสานแห่งชีวติ
ว่าจะได้รับอันตราย จงึ อตุ ส่าหต์ ดิ ตามน้องชายไป
ด้วย ทง้ั สองไดไ้ ปอาศยั ณ อกุ การภูม ิ กม้ หน้าสู้ ชาดกเรอื่ งนม้ี คี ตธิ รรมนา่ คดิ ขอ้ หนง่ึ วา่ คน
กรรมไปจนกว่าจะถึงเวลาก�าหนด เด็กชาวบ้านท่ี เราเมอ่ื อยใู่ นประเทศถนิ่ ของตน แมจ้ ะไดร้ บั การ
เคยออกมาว่ิงเล่นบริเวณนั้น ได้พบสองนาคราช ยกย่องให้เกียรตเิ พียงใดกต็ าม เมื่อพลัดถิ่นไป
หากนิ อย ู่ จึงรอ้ งตะโกนบอกพวกพ้องใหม้ าด ู อาศยั ทอี่ นื่ อยแู่ ลว้ จะไปภมู ใิ จในการยกยอ่ งหรอื
เกียรติเหมือนดังเดิมนั้นหาได้ไม่ เพราะคนต่าง
เดก็ ทงั้ หลายตา่ งพากนั รมุ ลอ้ มอยรู่ อบๆ แต่ ถนิ่ ยอ่ มไมร่ จู้ กั หรอื เขา้ ใจในตวั เราเหมอื นถน่ิ เดมิ
ไมม่ ใี ครกลา้ เขา้ ใกล ้ กลวั อนั ตราย หยบิ ทอ่ นไมบ้ า้ ง ถา้ มวั แตถ่ อื ยศถอื อยา่ งดงั เดมิ กจ็ ะประสบความ
ก้อนหินบ้าง ก้อนดินบ้าง ขว้างปา ทุบตีเล่น ลา� บากใจตลอดมา
เป็นการสนุกสนาน บ้างกล่าวค�าหยาบช้า ด่าว่า
ด้วยค�าหยาบนานาประการ จุลลนาคราชมีนิสัย นาคราชพชี่ ายจงึ สอนนอ้ งวา่ “บคุ คลผจู้ าก
มุทะลุดุดันอยู่แล้ว จึงบอกกับพ่ีชายว่า “เจ้าเด็ก แว่นแคว้นของตนไปพ่ึงคนอื่นนั้น พึงสร้างฉาง
ชาวบ้านพวกนี้พากันเล่นเหยียดหยาม หมิ่น ใหญเ่ ตรยี มไวส้ า� หรบั เกบ็ ความหยาบคายจากคน
ประมาทเราดว้ ยประการตา่ งๆ หารจู้ กั ฤทธข์ิ องเรา อนื่ เถิด” หมายความวา่ คนทต่ี อ้ งไปพ่งึ พาอาศยั
ไม่ น้องไม่สามารถอดทนต่อไปได้แล้ว จะขอฆ่า คนอ่ืนน้ัน จ�าต้องยอมรับค�าหยาบ หรือหม่ิน
เดก็ พวกน้ีด้วยพษิ ของ พญานาค จะได้เขด็ หลาบ ประมาทจากคนอื่นด้วยหน้าตาแช่มช่ืน ต้องมี
เสียบ้าง” ความอดทนต่อค�าหยาบอย่างอุกฤษฏ์ จึงจะอยู่
ไดอ้ ยา่ งสบาย ถา้ เป็นคนไว้ยศไว้อย่างในตา่ งถ่นิ
มหาทัทรนาคราชผู้พ่ีจึงห้ามปรามด้วยการ ยอ่ มกอ่ ความลา� บากกายและใจใหต้ ลอดเวลา จงึ
เตอื นสตวิ า่ “นอ้ งเอย๋ คนทถ่ี กู เนรเทศออกจากดนิ ควรถอื เป็นคตเิ ตือนใจต่อไป
แดนของตัวเอง ต้องซมซานไปอาศัยอยู่ในต่างถ่นิ
น้ัน พึงสร้างฉางใหญ่เก็บความหมิ่นประมาทเถิด (ททั ทรชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
เพราะในประเทศใดท่ีไม่มีคนรู้จักเรา โดย
ธรรมชาติ วินัยหรือคุณสมบัติในประเทศนั้น ชาดก จตุกกนบิ าต เลม่ ๓๑ หน้า ๒๙๗)
เราอยา่ ถอื ตัวอยูเ่ ลย จงอยู่ ณ ทน่ี นั้ อย่างคนต่าง
ถน่ิ ด้วยความอดกลน้ั เถิด”

นาคราชผู้น้องได้สติ จึงพยายามอดทนต่อ
ค�าด่าว่าข่มเหงของพวกเด็กอยู่ ณ ที่น้ันจนครบ
กา� หนด ๓ ป ี ดว้ ยความทรมาน บดิ าใหม้ ารบั กลบั

138


139


ฤษีเลี้ยงงู

“ทา� คณุ แกส่ ัตวร์ า้ ย มักใหโ้ ทษ”

ในอดตี กาล พระโพธสิ ตั วเ์ กดิ ในตระกลู เศรษฐผี มู้ ง่ั คง่ั ในแควน้ กาส ี
เม่ือเป็นหนุ่มรู้เดียงสาแล้วแทนท่ีจะภูมิใจในทรัพย์สมบัติท่ีเป็นมรดก
กลับเห็นส่ิงเหล่าน้ันล้วนมีโทษ จึงสละทรัพย์สมบัติออกบวชเป็นฤษ ี
เพยี รบ�าเพ็ญตบะอย่างแรงกลา้ ไมช่ ้าไดบ้ รรลุอภิญญา ๕ และสมาบตั ิ
๘ อยใู่ นปา่ หมิ พานตด์ ว้ ยความสขุ ในฌาน ตอ่ มามดี าบสมาอยรู่ ว่ มสา� นกั
ดว้ ยเป็นจ�านวนมาก

คร้ังนั้น มีลูกงูพิษตัวหน่ึงเล้ือยมาทางอาศรมของดาบสรูปหนึ่ง
ดาบสเหน็ ลกู งตู วั เลก็ ๆ เลอื้ ยมากส็ งสาร จงึ คอ่ ยๆ จบั ลกู งขู นึ้ มาประคอง
ลูบหลังไปมา ปากกพ็ รา่� วา่ “ลกู เอย่ ! มาอย่กู ับพอ่ เถดิ พอ่ จะเลยี้ งดเู จ้า
ใหม้ คี วามสขุ ตลอดไป” จงึ ไปตดั ไมไ้ ผม่ าลา� หนง่ึ ตดั ขอ้ ดา้ นหนง่ึ ออกแลว้
เหลอื ขอ้ ไว้ขอ้ หนง่ึ เอาลูกงูใสไ่ วใ้ นกระบอกใหอ้ าหารเลี้ยงดตู ลอดมา จึง
ใหช้ อื่ งนู น้ั วา่ “เวฬกุ ะ”(เจา้ ไมไ้ ผ)่ ฤษผี เู้ ลยี้ งงกู ไ็ ดช้ อื่ ใหมว่ า่ “เวฬกุ บดิ า”
(พอ่ เจ้าเวฬกุ ะ) และเล้ียงงูน้นั เสมอื นลูกตลอดมา

คราวหนงึ่ พระโพธสิ ตั วไ์ ดข้ า่ ววา่ ฤษตี นนน้ั เลย้ี งงไู วเ้ ปน็ ลกู จงึ เรยี ก
มาถาม “พระคณุ เจา้ ! ไดท้ ราบวา่ ทา่ นเกบ็ อสรพษิ มาเลย้ี งเปน็ ลกู หรอื ?”
“ครบั ทา่ นอาจารย์” ฤษนี ัน้ ตอบ “ผมเหน็ มันนา่ รักก็สงสาร จึงเกบ็ มา
เลี้ยงไวเ้ หมือนลกู ” “ขึ้นชอื่ ว่าอสรพษิ แลว้ ไวใ้ จไม่ไดเ้ ลย ปลอ่ ยไปเถอะ
อย่าเลี้ยงเลย” ฤษีพระโพธิสัตว์เตือน “ท่านอาจารย์ครับ” ดาบสตอบ
“มันเหมือนลูกผม ท้ิงมันไม่ได้ดอกครับ” “ถ้าเช่นน้ัน คุณคงต้องตาย
เพราะใกลช้ ดิ กบั มนั แนน่ อน” ดาบสไมย่ อมเชอ่ื พระโพธสิ ตั ว ์ และไมย่ อม
ปลอ่ ยอสรพษิ หลงั จากนน้ั ไมก่ วี่ นั มดี าบสมาสง่ ขา่ ววา่ ไดพ้ บแหลง่ ผลไม้
ใหม่ไกลจากทเ่ี ดิม ถา้ จะไปเก็บผลไมก้ ็ตอ้ งไปคา้ ง ๒-๓ คืน ดาบสเหลา่
นน้ั จงึ พากนั ไปหาเกบ็ ผลไมม้ าเกบ็ ตนุ ไวเ้ ปน็ อาหาร ดาบสเวฬกุ บดิ ากไ็ ป
ด้วย แต่ก่อนจะไปได้น�างูเวฬุกะใส่ไว้ในกระบอกไม้ไผ่พิงไว้ในอาศรม

140


แล้วออกเดินทางไปพร้อมกับหมู่ฤษ ี
หลังจากพกั อย ู่ ณ ท่นี ั้น ๓ คืน จึงเดินทางกลบั เมอื่ ถงึ อาศรมก็

เขา้ ไปหาเจา้ เวฬกุ ะ เปดิ กระบอกไมไ้ ผพ่ ลางพดู วา่ “มาเถดิ ลกู เอย๋ ! เจา้ คงจะ
หิวซินะ” แล้วเปดิ กระบอก เอามอื ลว้ งเข้าไปหวังจะลากเวฬกุ ะออกมากิน
อาหาร เจ้างูร้ายเวฬุกะก�าลังโกรธเพราะอดอาหารมาหลายวัน จึงฉกมือ
ดาบสเขา้ อยา่ งจงั ดาบสชกั มอื ออกจากกระบอกโดยมเี จา้ เวฬกุ ะกดั ตดิ ออก
มาดว้ ย พรอ้ มชคู อแผพ่ งั พานขดู่ ว้ ยความโกรธ ฤษผี มู้ เี มตตาตอ่ อสรพษิ รา้ ย
กต็ อ้ งลม้ ลง นอนนา�้ ลายฟมู ปาก แลว้ แนน่ งิ่ หมดลมหายใจไปเพราะพษิ รา้ ย
ของเจา้ เวฬุกะ

ดาบสทงั้ หลายเหน็ ดงั นน้ั จงึ บอกกบั พระโพธสิ ตั ว ์ พระโพธสิ ตั วส์ งั่ ให้
ทา� สรรี กจิ ของดาบสผเู้ สยี ชวี ติ แลว้ นงั่ ในทา่ มกลางหมฤู่ ษกี ลา่ วสอนเปน็ บท
โศลกวา่ “ผใู้ ด เมอ่ื ผหู้ วงั ดมี คี วามเอน็ ดกู ลา่ วสอนอยู่ มไิ ดท้ า� ตามคา� สอน
ของผนู้ น้ั มกั ถกู พบิ ตั กิ า� จดั เสยี เหมอื นฤษบี ดิ าของงเู วฬกุ ะ ฉะนนั้ ” เมอื่
กลา่ วอบรมฤษีทงั้ หลายแลว้ พระโพธสิ ัตวต์ ง้ั ใจบา� เพญ็ พรหมวหิ ารธรรม
๔ เม่ือสิน้ ชวี ติ จงึ ไปเกิดในพรหมโลก

ชาดกเรอ่ื งนใ้ี หข้ อ้ คดิ วา่ บณั ฑติ ทง้ั หลาย เมอื่ มใี ครแนะนา� ตกั เตอื น
ก็จะน้อมรับไว้เพ่ือปรับปรุงแก้ไข มองผู้แนะน�าตักเตือน ว่าประดุจผู้ช้ี
ขมุ ทรพั ยใ์ ห้ ตา่ งจากคนพาลทไ่ี มป่ ฏบิ ตั เิ ชน่ นน้ั เหตนุ นั้ บณั ฑติ จงึ ประสบ
ความสขุ ความเจรญิ สว่ นคนพาล ยอ่ มประสบความกับความเดอื ดร้อน
เพราะการประพฤติของตนเอง

(เวฬกุ ชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย
ชาดก เอกนบิ าต เลม่ ๒๙ หนา้ ๑๘)

141


142


พญาเนอื้ ทราย

“เชื่อคนเขลา มักเศรา้ ใจ”

ครง้ั หนง่ึ ในปา่ หมิ พานต ์ สมยั พระเจา้ แผน่ ดนิ พระองคห์ นง่ึ เสวยราชย์
ณ นครราชคฤห ์ พระโพธิสตั วเ์ กิดเป็นเน้ือทราย (ชอ่ื กวางชนดิ หนึ่ง) ครั้น
เจรญิ วัยโดยล�าดับได้รับยกย่องให้เป็นราชาแห่งเน้อื มีบรวิ ารประมาณหน่งึ
พันตัว อาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง พญาเนื้อทรายมีลูก ๒ ตัว ตัวหน่ึงชื่อ
ลกั ขณะ อกี ตวั หนง่ึ ชอ่ื กาฬะ เมอื่ พระโพธสิ ตั วร์ ตู้ วั วา่ ชรามาก จะปกครอง
ฝูงเนอ้ื ใหไ้ ด้รับความร่มเยน็ มไิ ด้แลว้

วนั หนึ่ง จงึ เรยี กลูกท้ัง ๒ มา แล้วส่งั วา่ “ลกู เอย๋ พ่อแก่มากแลว้ ไม่
สามารถปกครองฝงู เน้ือใหม้ คี วามสขุ สืบไป พ่อจึงจะขอมอบภาระใหเ้ จ้าทั้ง
๒ แบ่งกันปกครองหมเู่ นอ้ื ฝา่ ยละครึง่ ใหพ้ ่อลักขณะปกครอง ๕๐๐ ตัว ให้
กาฬะปกครอง ๕๐๐ ตวั และจงหาวธิ ีการปกครองบรวิ ารใหไ้ ด้รบั ความสุข
ท่วั ถึงกันดว้ ยความฉลาดรอบคอบเถิด” แล้วทง้ั ๒ จงึ ตกลงแบง่ บรวิ ารฝา่ ย
ละคร่ึง บริเวณท่ีเนื้อทรายพาบริวารหากินกันอยู่เป็นที่มีข้าวกล้าอุดม
สมบรู ณ ์ สถานทเ่ี ชน่ นมี้ กั เปน็ อนั ตรายตอ่ พวกเนอ้ื เพราะเมอ่ื ถงึ ฤดขู า้ วกลา้
งาม ประชาชนตา่ งพากนั หาวธิ กี า� จดั พวกเนอื้ เพอื่ มใิ หม้ าขโมยขา้ วกลา้ ดว้ ย
วิธีการต่างๆ บางรายขุดหลุมขวาก บางรายใช้ฟ้าทับเหว (เคร่ืองดักสัตว์
ชนดิ หนง่ึ ) บางรายใชบ้ ว่ งซมุ่ บว่ งซอ้ นไวใ้ นทน่ี นั้ ๆ ทา� ใหฝ้ งู เนอื้ ตอ้ งตายเปน็
จา� นวนมาก

วนั หนง่ึ ในฤดขู า้ วกลา้ ผลิตผลเตม็ ท่ี พระโพธิสตั วเ์ รียกลูกทงั้ ๒ มา
แลว้ สงั่ วา่ “ลูกเอย๋ ขณะน้เี ปน็ เวลาข้าวกล้าสุก มนษุ ยก์ �าลงั พากนั เตรียม
เครอื่ งมอื เพอื่ ดกั ฆา่ พวกเรา หนา้ นแี้ หละทญี่ าตขิ องเราพากนั ตายปลี ะมากๆ
เจา้ ทงั้ สองจงพากนั อพยพฝงู เนอื้ บรวิ ารของเจา้ ไปอยเู่ สยี ในปา่ ลกึ เพอ่ื ใหพ้ น้
อนั ตราย เมอ่ื หมดหน้าข้าวกลา้ สุกแลว้ จงึ ค่อยลงมาใหม่ เจา้ ทงั้ สองตอ้ งใช้
ปญั ญาพาฝงู เนอ้ื หลบหลกี อนั ตรายไปใหถ้ งึ ปา่ เถดิ พอ่ เองกจ็ ะหาทางไปดว้ ย
ตนเองเช่นกนั ”

143


ลูกทั้งสองรับค�าพ่อแล้ว ก็พาเน้ือบริวารของ ชาดกเร่ืองนีช้ ใ้ี หเ้ ห็นคติธรรมข้อหน่ึงว่า คน

ตนไป มนษุ ยร์ เู้ ชน่ นนั้ ตา่ งพากนั เตรยี มเครอื่ งมอื เพอ่ื เราเกดิ มาในเรอื นรา่ งเชน่ เดยี วกนั บางทกี เ็ กดิ รว่ ม

ดักฆ่าฝูงเน้ือตามจุดต่างๆ รู้ว่าฝูงเน้ือเคยข้ึนลงผ่าน พี่น้องกันด้วยซ้�าไป แต่เราจะไปยึดหลักว่า เมื่อ

ทางใดเวลาใด กว็ างบว่ งและดกั ซมุ่ ทา� รา้ ยในทางนนั้ ๆ เกิดมาด้วยกันก็ควรเหมือนๆ กันนั้นหาได้ไม่

ทา� ใหเ้ นือ้ ลม้ ตายเปน็ อันมาก เพราะระดับสติปัญญาความสามารถเป็นมูลเหตุ

ลูกเน้ือกาฬะมีปัญญาเขลา ไม่รู้ว่าทางใดควร อนั สา� คญั ทที่ า� ใหค้ นแตกตา่ งกนั ไป คนมสี ตปิ ญั ญา

ไมค่ วรไป และเวลาใดควรไมค่ วรไป นกึ จะพาฝงู เน้ือ ดี ขีดความสามารถสูง ย่อมท�าตัวเองและพี่น้อง

ไปในเวลาใดก็พาไปโดยมิได้คิด ท�าให้เน้ือบริวารถูก ให้ประสบความสุขความเจริญ ส่วนคนเขลาเบา

ฆา่ เหลอื บางตามาก กวา่ จะถงึ ปา่ กเ็ หลอื เนอ้ื บรวิ ารไม่ ปญั ญามกั พาตวั เองและพวกพอ้ งใหถ้ งึ ความพนิ าศ

กีต่ วั เสมอ

ฝ่ายลกู เนือ้ ลกั ขณะเปน็ สัตวฉ์ ลาด มีไหวพรบิ ฉะน้ัน เมื่อมีความจ�าเป็นที่ต้องอยู่ภายใต้

ดี รู้ว่าในเวลากลางวัน หัวค่�าและย่�ารุ่ง เป็นเวลาที่ การปกครองใคร หรอื จะนบั ถอื ใคร กค็ วรเลอื กอยู่

มนุษย์คอยดักท�าร้าย ก็ไม่พาบริวารออกไป พอถึง กับผู้มีสติปัญญาความสามารถดี เพราะจะพาเรา

เวลาดกึ สงดั จงึ พาออกไปทลี ะพวก ลกั ขณะจงึ ไมท่ า� ให้ ใหป้ ลอดภัยในทุกสถาน เชน่ เดยี วกับเน้ือที่อยู่ใน

ฝูงเน้อื ถึงอนั ตรายแมแ้ ตต่ วั เดยี ว พาฝูงญาตไิ ปอาศัย ความรับผิดชอบของลักขณะ ส่วนผู้โง่เขลาเบา

อย ู่ ณ ป่าลึกอย่างปลอดภัย คร้ันอย่ ู ณ ที่นนั้ ได้สี่ ปัญญาพึงหลีกเล่ียงให้ห่างไกล เพราะรอบตัวเขา

เดือน หมดอันตรายแลว้ กพ็ ากนั อพยพกลับมาอยู่ถนิ่ เต็มไปด้วยอันตราย เช่นเน้ือท่ีอาศัยกาฬะเป็น

เดมิ มเี นอ้ื ๕๐๐ ห้อมลอ้ มเปน็ บริวารเท่าเดมิ สว่ น ตัวอย่าง จงระลึกเสมอว่าการอยู่ร่วมกับคนเขลา

ลกู เนื้อกาฬะเหลอื บริวารไม่ก่ีตัว เมือ่ พากลับมากม็ า มักตอ้ งเศร้าใจเสมอ

ตายเสียอีก คงเหลอื กาฬะเพยี งตัวเดียว

พระโพธสิ ตั วเ์ มอื่ เหน็ ลกู กลบั มาในลกั ษณะตา่ ง (ลกั ขณชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย

กนั เช่นน้นั จงึ พดู กับแม่เนื้อวา่ “ผู้ฉลาดท�าอะไรดว้ ย ชาดก เอกนบิ าต เล่ม ๒๘ หน้า ๒๕๖)

ความรอบคอบ มรี ะเบียบ ยอ่ มถึงความเจริญรุ่งเรือง

ทั้งอาจรักษาบริวารให้ถึงความเจริญและปลอดภัยได้

ทกุ เม่ือ จงดูลูกลักขณะเถดิ เธอปกครองหมู่เนือ้ ด้วย

สติปัญญา จงึ พากันประสบความส�าราญ ส่วนกาฬะ

เปน็ ลกู โงเ่ ขลาเบาปัญญา จงึ พาบรวิ ารถึงความพนิ าศ

ตัวเองก็ถึงความซบเซาอยู่จนปัจจุบันน้ี” เม่ือพระ

โพธิสัตว์ช่ืนชมต่อลักขณะ จึงมอบความเป็นใหญ่ให้

ทัง้ หมด ตวั เองจึงเขา้ ป่าหาความสขุ ไปตามยถากรรม

จนถงึ กาลอวสานแหง่ ชีวิต

144


145


ลูกนกแขกเตา้

“คบคนพาลๆ พาไปหาผิด

คบบณั ฑติ ๆ พาไปหาผล”

ครั้งหนง่ึ ในปา่ หิมพานต ์ พระราชาพระองคห์ น่ึงทรงพระนามวา่
ปญั จาละ เสวยราชย ์ ณ ปัญจาลนคร พระองค์ทรงมพี ระอธั ยาศัยชอบ
ผจญภัย เทีย่ วล่าสัตว์ในปา่ เป็นประจา� ณ ปา่ เปน็ ท่ีลา่ สัตว์นนั้ มีนก
แขกเตา้ ตวั หนึง่ ท�ารงั อยู่บนต้นไม้ ได้ตกฟองแลว้ ออกลกู มา ๒ ตัว พอ
ลูกนกมีขนปีกพอจะบินได้จึงหัดให้บินออกจากรัง เพ่ือให้มีก�าลังแข็ง
แรงขน้ึ ขณะฝกึ บินอยูน่ น้ั เผอญิ เกิดลมพายใุ หญ่ พดั เอาลูกนกสองตัว
แยกออกเป็น ๒ ทาง นกตัวพไ่ี ปตกอยรู่ ะหวา่ งกองอาวุธของพวกโจร
ซงึ่ ตงั้ ชมรมอยดู่ า้ นเหนอื ใกลภ้ เู ขา โจรจงึ จบั ลกู นกตวั นน้ั ไปเลย้ี งไว ้ ตง้ั
ชือ่ วา่ “สตั ติคมุ พะ” แปลว่า กองหอกดาบ

ส่วนตัวน้องถูกลมหอบไปตกในท่ามกลางกองดอกไม้ในหมู่
อาศรมของฤษี ฤษีจึงน�ามาเล้ียงไว้ ตั้งชื่อให้ว่า “ปุปผกะ” แปลว่า
ดอกไม ้ สตั ตคิ มุ พะเตบิ โตมาในหมโู่ จร ปปุ ผกะเตบิ โตในทา่ มกลางพระ
ฤษ ี กาลเวลาลว่ งมาโดยล�าดับ

วันหน่ึง พระเจ้าปัญจาละเสด็จประพาสป่าเพ่ือทรงล่าสัตว ์
ประทบั บนราชรถอนั งามสงา่ พรอ้ มดว้ ยอา� มาตยร์ าชบรพิ ารเปน็ จา� นวน
มากออกไปจากพระนคร เมอื่ ถึงที่ล่าสตั วร์ บั สง่ั ว่า “เราจะทา� การลอ้ ม
เน้อื ไวโ้ ดยรอบแล้ว ล่าเอาเนอ้ื ตัวหนึง่ หากผูใ้ ดประมาทปลอ่ ยให้เนือ้
เลด็ ลอดไปได้ ผู้นนั้ จะถูกลงอาญาอยา่ งหนกั ” ตรสั ดงั น้นั แลว้ เสด็จลง
จากราชรถ รับส่ังให้ข้าราชบริพารล้อมละเมาะแห่งน้ันไว้ ให้ตีเกราะ
เคาะไมเ้ พื่อไลเ่ นื้อให้ออกมา กวางตัวหนงึ่ ซ่ึงอาศัยอย ู่ ณ ละเมาะนัน้
ได้ยินเสยี งตีเกราะ เคาะไมก้ เ็ ผ่นออกมาจากละเมาะ เห็นมนุษย์ล้อม
อยโู่ ดยรอบก็ตกใจวง่ิ เผ่นหนไี ปทางพระราชา

พระราชาไม่ได้นึกไว้ก่อนว่าเน้ือจะเข้ามาทางพระองค์จึงมิได้
เตรียมธนูไว้ เน้ือจึงวิ่งแหวกวงล้อมออกไปได้ พวกราชบุรุษทั้งหลาย

146


ต่างซุบซิบกันเป็นเชิงเย้ยหยันพระราชา “วันนี้พวก อา� นาจดนี กั แตพ่ อพบเขา้ กลบั ขขี้ ลาดตาขาว ทา� เปน็

เราคงได้เห็นผู้ปล่อยให้เน้ือหลุดออกไปถูกลงอาญา คนดี เจา้ หนไี ปคนเดียวเถิด เราจะจดั การให้จงได้”

กนั ละ จะเปน็ ใครเดยี๋ วกร็ เู้ อง” แลว้ หวั เราะพรอ้ มกนั พระราชาบรรทมคร่ึงหลับครึ่งตื่น คล้ายทรง

พระราชาได้สดับดังนั้น ทรงทราบว่าเป็นการ ได้ยินค�าพูดว่า ฆ่ามันแล้วแย่งเคร่ืองประดับไป จึง

กลา่ วเชงิ เยาะ จงึ เกดิ ขตั ตยิ มานะขนึ้ มา เสดจ็ ขนึ้ ราช หวั่นพระทัยว่าภัยจะมาถึง จึงปลุกนายสารถีให้รีบ

รถประกาศวา่ “เราจะจับเนื้อน้นั ใหไ้ ด้เดยี๋ วน้แี หละ” เทียมรถ แล้วให้ขับหนีไปจากท่ีน้ันโดยเร็ว

ตรัสให้นายสารถีขับรถมุ่งไปทางทิศที่เน้ือหนีไปโดย นกสตั ตคิ มุ พะเหน็ พระราชากา� ลงั หนไี ป กน็ กึ แคน้ ใจ

เรว็ จนพวกราชบุรษุ ไมส่ ามารถตามไปทัน จงึ เสด็จ ย่งิ นัก จึงบนิ ร่อนตามรถไป แลว้ กลา่ ววา่ “เรว็ ! รีบ

ไปโดยลา� พงั กบั นายสารถ ี ทรงคน้ หาจนตะวนั เทยี่ งก็ หยบิ ธนแู ละอาวธุ ใหค้ รบมอื จบั พระราชาแลว้ ฆา่ เสยี

ไม่พบเน้ือตัวนั้น เห็นล�าธารน้�าใสใกล้กระท่อมแห่ง อย่าปล่อยให้หลดุ รอดไปได”้

หนง่ึ จงึ เสดจ็ ตรงไปยงั กระทอ่ มนนั้ ใหน้ ายสารถปี ลด ขณะทน่ี กบนิ ไปรอ้ งไปนน้ั พระราชากเ็ สดจ็ ถงึ

ม้าพักเสียก่อน แล้วน�าเครื่องปูลาดบนรถมาปูใกล้ อาศรมฤษ ี ซงึ่ ขณะนน้ั พระฤษพี ากนั ออกไปหาผลไม ้

กระท่อมร้าง ทั้งพระราชาและนายสารถีก็บรรทม เหลอื อยแู่ ตน่ กปปุ ผกะตวั เดยี ว นกปปุ ผกะอยกู่ บั พระ

และหลับไปด้วยความเหนอื่ ยอ่อน ฤษถี กู อบรมในทางด ี มใี จเออ้ื เฟอ้ื มไี มตรตี อ่ คนทวั่ ไป

กระทอ่ มทพ่ี ระราชาเขา้ ไปพกั นน้ั เปน็ กระทอ่ ม ตามวิสัยพระฤษี เม่ือเห็นพระราชาเสด็จมาจึงบิน

พักช่ัวคราวชายน้�าของพวกโจร แต่ขณะที่พระราชา ออกไปตอ้ นรับด้วยวาจาอันนุ่มนวล

เสด็จมาถงึ พวกโจรก�าลังออกไปนอกบ้านหมด คง “ขา้ แต่พระราชา การเสดจ็ มาของพระองคน์ ับ

เหลือแต่นกแขกเต้าสัตติคุมพะที่โจรจับมาเล้ียงไว้ วา่ เปน็ สริ มิ งคลอนั ประเสรฐิ ของสงิ่ ใดมอี ยใู่ นอาศรม

ขณะท่ีพระราชาครึ่งหลับครึ่งต่ืนอยู่ นกสัตติคุมพะ น ้ี เปน็ ตน้ ว่าผลมะปราง มะมว่ ง มะพลบั มรี สหวาน

บินไปเกาะท่ีกระท่อม เห็นพระราชาจึงรีบบอกคน มากบ้างน้อยบ้าง ขอพระองค์เลือกเสวยตามพระ

ครวั “พอ่ ครวั ทกี่ ระทอ่ มรมิ ธารของเรามพี ระเจา้ แผน่ อธั ยาศยั เถดิ ขณะนพี้ ระฤษกี า� ลงั เขา้ ปา่ หาผลไม ้ ขอ

ดนิ ทา่ ทางเหน่ือยมากมานอนพักอย ู่ กา� ลงั หลบั สนทิ จงเสด็จไปหยิบเองเถิดพระเจ้าคะ่ ”

เราไปแยง่ อาภรณเ์ ครอื่ งประดบั ไวใ้ หห้ มดแลว้ จบั ฆา่ พระราชาทรงพอพระทัยในการต้อนรับด้วย

เอาใบไมก้ ลบไวเ้ สีย ลาภมาหาเราถึงบา้ น ทา่ นอยา่ ไมตรขี องนกปุปผกะ จึงตรสั สรรเสริญ “พ่อนกแขก

มวั ชา้ เลย รบี ไปเถอะ” คนครวั เชอ่ื ครง่ึ ไมเ่ ชอื่ ครงึ่ แต่ เตา้ เอย๋ เจา้ มธี รรมะยอดเยย่ี มจรงิ ผดิ กบั นกแขกเตา้

เพื่อให้หมดสงสัยจึงแอบไปดูที่กระท่อม เห็นพระ ตระกลู โน้น ใจโหดเหีย้ ม หยาบคายเหลือเกิน รอ้ ง

ราชาบรรทมอยู่ ก็ตกใจกลัว รีบไปซ่อนตัวอยู่แห่ง เรียกพวกโจรให้จับมัดและฆ่าเรา ไล่ตามมาจนถึง

หน่ึง กล่าวกบั สตั ติคุมพะวา่ “เจา้ นกบา้ พูดไมร่ ผู้ ดิ อาศรมนท้ี เี ดยี ว” นกปปุ ผกะจงึ กราบทลู วา่ “มหาราช

รูถ้ กู ธรรมดาพระราชาเสดจ็ มาไกลขนาดนี้ มีอยา่ ง นกแขกเต้าส�านักโน้นกับข้าพระพุทธเจ้าเป็นพ่ีน้อง

รจึ ะมาแตพ่ ระองคเ์ ดยี ว คงซมุ่ ทหารไวท้ ใ่ี ดทหี่ นงึ่ เพอ่ื รว่ มพอ่ แมเ่ ดยี วกนั เจรญิ เตบิ โตบนตน้ ไมต้ น้ เดยี วกนั

จบั เรา รบี หนไี ปจะดกี ว่า” นกสตั ติคุมพะจงึ เถียงวา่ แตพ่ ลดั ไปอยคู่ นละสา� นกั สตั ตคิ มุ พะไปอยสู่ า� นกั โจร

“เจ้าคนขลาด เมื่อก่อนน้ีเมาเข้าไปแล้วอวดเก่งเบ่ง ใจบาป จึงถูกอบรมใหม้ โี จรธรรม คือมีใจเหย้ี มโหด

147


ไปด้วย ส่วนข้าพระพุทธเจา้ ตกมาอยู่กับพระฤษีผู้มีธรรม จึงถกู อบรม
ใหม้ ีธรรมจรรยา ขา้ พระพทุ ธเจา้ กับนกส�านกั โน้นจึงแตกต่างกนั ”

พระราชาตรัสถามว่า “เม่ืออยกู่ ับพระฤษี ทา่ นสอนใหท้ า� อะไร
บ้าง?” นกแขกเต้าปุปผกะจึงเล่าธรรมะท่ีตนได้จากพระฤษีถวาย
ในขณะทนี่ กแขกเตา้ ปปุ ผกะกา� ลงั สนทนากบั พระราชาอยนู่ น้ั พระฤษี
กก็ ลบั มาจากปา่ ถงึ อาศรม พระราชาเหน็ กน็ มสั การแลว้ ตรสั เลา่ ความ
ดีของนกแขกเต้าปปุ ผกะ จงึ ตรัสอาราธนาพระฤษีวา่ “พระคุณเจ้าผู้
เจรญิ ! ถา้ พระคณุ เจา้ จะสงเคราะหโ์ ยมละกอ้ โปรดไปพา� นกั อยใู่ นราช
อุทยานของโยมเถิด” แล้วให้ค�าปฏิญาณกับพระฤษี และให้อภัยนก
แขกเต้าท้ังหลาย ให้เบี้ยเลี้ยงดูนกแขกเต้าและพระฤษี จนถึงกาล
อวสานแหง่ ชวี ติ

ชาดกเรอ่ื งนมี้ คี ติสอนใจว่า การคบคนเป็นสง่ิ มอี ทิ ธพิ ลเหนอื
ส่ิงอ่ืนใดๆ ดีกับชั่วจะอยู่ในตัวคนพร้อมกันในขณะเดียวกันไม่ได้
คราวใดใจของเรามดี ปี ระกอบ ขณะนน้ั ความช่วั ย่อมหายไป แต่
ขณะใดมคี วามชัว่ ครอบงา� ความดีย่อมอยู่ไม่ไดเ้ ช่นกนั คนชว่ั ยอ่ ม
มีแตช่ ่ัวภายใน เมอ่ื คบด้วยกม็ ีแต่ความชั่วแจกจา่ ยให้เทา่ นัน้ เช่น
นกสตั ตคิ มุ พะไปอยกู่ บั โจรกไ็ ดแ้ ตใ่ จโหดเหยี้ มมา เพราะโจรมใี หแ้ ค่
นน้ั สว่ นคนดกี ม็ ดี บี รรจอุ ยภู่ ายใน จงึ แจกจา่ ยใหแ้ ตข่ องดี ดตู วั อยา่ ง
นกปุปผกะอย่กู บั พระฤษจี งึ มคี ุณธรรม

ฉะนน้ั จึงควรหลกี การอย่กู บั คนชวั่ คบแต่คนดี ซง่ึ จะพาให้
เกดิ สริ มิ งคล ดงั ภาษติ ไทยกลา่ วไวว้ า่ “คบคนพาล พาลพาไปหาผดิ
คบบณั ฑติ บณั ฑติ พาไปหาผล” ควรที่เยาวชนจะถอื เป็นคติต่อไป

(สตั ติคุมพชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย
ชาดก วีสตินบิ าต เล่ม ๓๔ หนา้ ๗๙)

148


149


กระตา่ ยตนื่ ตมู

“อย่าเชื่อมงคลตนื่ ขา่ ว”

คร้ังหนึ่งในป่าหิมพานต์ พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นราชสีห์
อาศยั อยใู่ นปา่ แหง่ หน่ึง ทชี่ ายปา่ นน้ั มีหญ้าน้า� บริบรู ณ ์ มตี ้นตาลและ
ต้นมะตมู ขนึ้ แทรกกนั อยู่ ใตต้ น้ ตาลมกี ระต่ายป่าตัวหนึง่ หากนิ อยู่ ครน้ั
กนิ อมิ่ แลว้ ก็อาศัยบริเวณนั้นเป็นทน่ี อน มีความสุขมาชา้ นาน

วันหน่ึง ขณะท่ีกระต่ายนอนหลับอย่างส�าราญอยู่ภายใต้ต้นตาล
มะตูมสุกผลใหญ่ตกลงถูกใบตาลแห้งเสียงดังสนั่น กระต่ายตกใจต่ืน
เข้าใจว่าแผ่นดินถลม่ ดว้ ยความตกใจกลวั อย่างสดุ ขีด จึงวิ่งหนอี ย่างไม่
คิดชีวิต กระต่ายอีกตัวหนึ่งเห็นเพ่ือนว่ิงไปเช่นน้ันก็ตกใจวิ่งควบไปทาง
เดียวกัน กระตา่ ยอีกหลายตวั เห็นก็รอ้ งถามกนั วา่ “เฮย้ อ้ายสองตวั นนั้
มันวงิ่ ไปทา� ไมกันวะ” กระตา่ ยอีกตวั ตอบ “เฮ้ย! อย่ามวั ถามอยู่เลย คง
เกดิ เรอื่ งใหญ่แล้ว ว่งิ ตามมนั ไปเถอะ”

แล้วก็พากันวิ่งตามกันไปเป็นแถว วิ่งผ่านพวกหมู หมูก็ตกใจว่ิง
ตามไปดว้ ย ว่ิงผา่ นพวกละมาด เกง้ กวาง โคปา่ กระบอื ชา้ ง ตลอด
จนราชสหี ์ ตา่ งกว็ ง่ิ ตามกนั ไปเปน็ พรวน เหยยี บปา่ ราบเปน็ แถบไปทเี ดยี ว
ครั้นวิ่งไปได้ไม่ไกลนักก็ไปปะทะกับราชสีห์โพธิสัตว์ ราชสีห์ใคร่จะรู้
สาเหตุของการวงิ่ หม ู่ จึงเปลง่ เสยี งคา� รามขึ้น ๓ คร้งั สัตวท์ ง้ั หลายตา่ ง
สะดงุ้ กลัว หยดุ จับกลุ่มกนั เป็นหม่ๆู ไมก่ ลา้ วิง่ ต่อไปอกี ถามกันวา่ เกดิ
อะไรขึน้ กไ็ มม่ ีใครสามารถใหค้ า� ตอบแก่กันและกนั ได ้

ราชสหี ์จึงรอ้ งถามไปว่า “พวกเจา้ ว่งิ หนอี ะไรกัน?” สัตว์เหลา่ น้นั
ตอบว่า “เกดิ แผน่ ดินถลม่ ขึ้นจึงวง่ิ หนมี า” ราชสีหจ์ ึงซกั ว่า “ทวี่ า่ แผ่นดนิ
ถล่มน้นั ใครเปน็ คนเหน็ ?” ไมม่ ีใครตอบเลย ราชสหี จ์ ึงไล่เลยี งตั้งแตผ่ ู้
ว่ิงหลังสุดข้ึนไปหาตัวว่ิงก่อน เร่ิมแต่ราชสีห์ไปหาช้าง เสือ แรด โค
กระบอื ละมาด สกุ ร จนถงึ กระตา่ ยเป็นทสี่ ุด

เมอื่ ถึงพวกกระตา่ ยจงึ พากนั ชตี้ ัวกระต่ายตวั วง่ิ กอ่ นวา่ “อ้ายตัวนี้

150


Click to View FlipBook Version