451
พญาวานรกบั ผีเสื้อนา�
“รูร้ กั ษาตวั รอดเปน็ ยอดด”ี
ในอดีตกาล ณ ดนิ แดนทเี่ ป็นปา่ แห่งหนึง่ ไดม้ ตี น้ ไม้หลายชนิด แตล่ ะ
ตน้ มใี บหนาขนึ้ ปกคลมุ อยทู่ วั่ บรเิ วณปา่ ทา� ใหบ้ รรยากาศรม่ รน่ื แกส่ รรพสตั วท์ ง้ั
หลายท่อี ยบู่ ริเวณน้ัน
ณ ปา่ แหง่ นนั้ มสี ระโบกขรณี ซ่ึงเกดิ ขนึ้ ตามธรรมชาตอิ ยู่หน่งึ แห่ง มนี ้า�
ใสสะอาด มบี วั หลายชนดิ ขนึ้ อยอู่ ยา่ งหนาแนน่ และเปน็ ทอี่ าศยั อยขู่ องผเี สอื้ นา้�
โดยผเี สอื้ นา�้ จะครอบครองสระแหง่ นน้ั ไว ้ เพอื่ จบั คนหรอื สตั วท์ ล่ี งไปดม่ื หรอื อาบ
น้�ากินเป็นอาหาร ไม่เว้นแม้กระท่ังนกน้อยท่ีด่ืมน้�านั้น ท�าอยู่เช่นน้ีเป็นเวลา
หลายปีแลว้
ในกาลน้ันเอง พระโพธิสัตว์ได้มาเกิดเป็นพญาวานรตัวโตขนาดเท่าเน้ือ
ละมง่ั มฝี ูงวานร ๘๐,๐๐๐ ตัว เป็นบริวาร เท่ยี วหากนิ ไปทวั่ บรเิ วณป่ากวา้ ง
ดว้ ยความผาสุก ในเวลาที่จะเทย่ี วไปทางไหน พญาวานรจะบอกแกบ่ ริวารของ
ตนเสมอว่า “พ่อทั้งหลาย ในป่าน้ีมีต้นไม้พิษบ้าง สระโบกขรณีที่เกิดเองอัน
อมนุษย์หวงแหนบา้ ง มอี ยู่ในป่านั้นน่ันแหละ ท่านท้ังหลายเมื่อจะเคย้ี วกินผล
ไม้นอ้ ยใหญท่ ่ียังไมเ่ คยเคีย้ วกนิ หรอื เม่ือจะดื่มน้า� ท่ียงั ไมเ่ คยดืม่ ตอ้ งสอบถาม
เราก่อน” บริวารวานรเหล่าน้ันเชื่อฟัง และด�ารงอยู่ในโอวาทของพญาวานร
อยา่ งเครง่ ครดั เหตุนนั้ จงึ ไมม่ อี ันตรายใดๆ เกดิ ขึ้นแกฝ่ งู วานรเหล่านนั้
วันหนึ่ง ได้พากันไปถึงที่ท่ีไม่เคยไปมาก่อน เที่ยวหากินในที่แห่งน้ันอยู่
หลายวัน จนรู้สึกกระหายน้�า จึงพากันมาท่ีสระแห่งน้ีและนั่งคอยการมาของ
พญาวานรอยู่ พญาวานรเมื่อมาถงึ จึงถามบรวิ ารว่า “พ่อทัง้ หลาย ท�าไมจงึ ยัง
ไม่ดม่ื น้า� ”
บรวิ ารตอบวา่ “พวกขา้ พเจา้ รอคอยการมาของทา่ นเพอ่ื ถามวา่ นา�้ ในทแ่ี หง่
นด้ี ม่ื ได้หรอื ไม?่ ” พญาวานรชน่ื ชมบรวิ ารว่า “พ่อทง้ั หลาย พวกท่านทา� ดแี ล้ว
การเช่ือฟังและต้ังอยู่ในโอวาทจะท�าให้ชีวิตปลอดภัย ขอให้รักษาความดีน้ีไว้”
452
จากนนั้ จงึ เดนิ วนเวยี นสระโบกขรณนี น้ั เพอื่ สงั เกตดสู งิ่ ผดิ ปกต ิ ในทสี่ ดุ กพ็ บรอย
เท้าประหลาดทีก่ า้ วลงสระนา้� อย่างเดียว แต่ไมเ่ ห็นรอยเท้าขึ้นจากสระเลย จึง
มน่ั ใจวา่ สระโบกขรณีนี้มีอมนุษยห์ วงแหนเป็นแน่ จึงบอกแกบ่ รวิ ารวา่ “พ่อทง้ั
หลาย ทท่ี า่ นทงั้ หลายไมด่ มื่ นา้� นนั่ นะดแี ลว้ เพราะสระโบกขรณแี หง่ นมี้ อี มนษุ ย์
ครอบครองอยู่”
ฝ่ายผเี สอื้ น�้า เมอ่ื ทราบวา่ วานรเหลา่ นนั้ ไม่ลงมาด่มื นา้� ในสระ จงึ เนรมิต
ร่างให้มที อ้ งเขยี ว หน้าเหลอื ง มือเทา้ แดงเขม้ รปู ร่างน่าเกลยี ดนา่ กลัว โผลข่ ึน้
มาจากสระนา�้ แลว้ กลา่ ววา่ “เพราะเหตไุ ร พวกทา่ นจงึ นงั่ อย ู่ จงลงสระโบกขรณี
น ้ี ดม่ื นา้� เถิด”
พญาวานรตอบว่า “ทา่ นเปน็ ผีเสอื้ นา�้ เกิดอยู่ในสระน้ีหรือ?”
ผีเส้ือน้�าตอบว่า “ใช ่ เราเปน็ ผีเสอ้ื น้า� อาศัยอยใู่ นสระแห่งนี้”
พญาวานรถามว่า “ทา่ นอยู่ในสระแหง่ นี้ ท่านท�าอะไรกบั ผทู้ ่ีใช้สระหรือ
ไม?่ ”
ผเี สอ้ื นา�้ ตอบวา่ “เราอยใู่ นสระแหง่ นมี้ สี ทิ ธจ์ิ บั ใครกไ็ ด ้ ทลี่ งสระนเี้ พอ่ื ดมื่
และใชน้ า�้ แมแ้ ตน่ กทล่ี งสระ เรากจ็ บั กนิ มาแลว้ พวกทา่ นเองเรากจ็ ะกนิ ทงั้ หมด”
พญาวานรไมไ่ ดร้ สู้ กึ ตกใจตอ่ คา� ขขู่ องผเี สอ้ื นา้� แตอ่ ยา่ งใด จงึ ตอบกลบั ไป
ด้วยความม่นั ใจวา่ “พวกเราจักไม่ใหท้ า่ นจบั กนิ ง่ายๆ ดอก พวกเรามวี ิธีเอาน้�า
มาดื่มไดโ้ ดยไม่ต้องลงไปในสระนา้� ” ผเี สอื้ น�้าเรมิ่ ลงั เลกบั คา� พูดของพญาวานร
แตเ่ พ่อื ให้หายสงสัย จงึ ถามวา่ “ก็ทา่ นทง้ั หลายจักด่มื น�า้ มใิ ช่หรือ?”
พญาวานรตอบว่า “ใช่ พวกเราจักด่ืมน้�า แต่จักไม่ให้ท่านจับ” ตาม
ธรรมดาผีเสือ้ นา�้ มสี ทิ ธจิ์ ับเฉพาะผู้ท่ีลงไปดืม่ นา�้ ในสระเทา่ นน้ั สว่ นทไ่ี มล่ งสระ
ผีเส้ือน้�าจะทา� อะไรไม่ได้ ดว้ ยความอยากรู ้ จึงถามกลับไปวา่ “เมอ่ื เป็นเชน่ นัน้
พวกทา่ นจกั ด่มื น�้าอยา่ งไร?”
พญาวานรตอบวา่ “ก็ท่านคิดหรือวา่ พวกเราจกั ลงไปดมื่ ถ้าคิดอย่างนนั้
กผ็ ดิ เพราะพวกเราจะไมล่ งไปในสระ แตจ่ ะใชท้ อ่ นไมอ้ อ้ คนละทอ่ นจมุ่ ลงไปใน
นา้� และดดู นา้� ขนึ้ มา ดว้ ยวธิ นี ที้ า่ นกจ็ กั ไมม่ สี ทิ ธจิ์ บั พวกเรากนิ ได ้ เพราะพวกเรา
ไมไ่ ดล้ งไปในน�า้ ”
พญาวานรครนั้ โต้ตอบกับผเี สอื้ น�า้ อย่างน้ีแลว้ กส็ ง่ั ให้บรวิ ารไปหกั ไม้อ้อ
มาคนละหนึ่งท่อน จากนั้นจึงนั่งล้อมสระโบกขรณีน้ัน ดูดน�้ากินจากสระ
โบกขรณที ี่ผเี สอ้ื นา�้ หวงแหนอย่างสบายใจ โดยท่ผี ีเสื้อนา้� ได้แต่ยืนดเู ฉย ๆ ไม่
อาจท�าอะไรได ้ ผีเสอื้ น้า� รสู้ กึ เสียหน้า เสยี เกยี รติ ละอายใจ และเสียใจย่งิ นัก
453
ทไ่ี มอ่ าจจบั วานรตวั ใดตวั หนงึ่ กนิ ได ้ จงึ กลบั ไปยงั ทอี่ ยขู่ องตนดว้ ยความชอกชา�้ ระกา�
ใจเป็นทส่ี ดุ ฝา่ ยพญาวานรและบริวาร หลังจากด่มื นา้� จนอม่ิ หน�าส�าราญแล้ว ก็พา
กันกลับเข้าป่าไปโดยสวสั ดิภาพ
ชาดกเร่ืองนี้มีคติธรรมสอนว่า ปัญญามีไว้เพ่ือแก้ปัญหา มิใช่มีไว้เพื่อแกง
กนิ ดังนัน้ เมื่อประสบปญั หาในชวี ิต สงิ่ แรกท่ตี ้องทา� คือหาทางแกป้ ัญหานั้น
ดว้ ยปญั ญา อยา่ ใชอ้ ารมณแ์ กป้ ญั หาเพราะอาจผดิ พลาดได้ ปญั ญาคอื ความฉลาด
นั้น เกย่ี วขอ้ งกบั การแกป้ ญั หาทกุ อย่าง ไมว่ ่าจะเป็นปญั หาเลก็ หรอื ปัญหาใหญ่
แมแ้ ตป่ ญั หาการเกดิ แก่เจบ็ ตายก็แกไ้ ด้ อย่างที่พระพุทธเจา้ ทรงทา� เป็นตัวอย่าง
แลว้
ปัญญาน้นั มี ๒ ลกั ษณะ คอื ปญั ญาทางโลก กบั ปัญญาทางธรรม
ปญั ญาทางโลก หมายถงึ ความรคู้ วามสามารถในการแกป้ ญั หาของผทู้ ศ่ี กึ ษา
และประกอบกจิ การงานในทางโลกเปน็ หลกั
ปัญญาทางธรรม หมายถึงความรู้ความสามารถในการรู้สิ่งท้ังหลายตาม
ความเป็นจริง เชน่ ร้จู กั ทกุ ข์ รจู้ ักสมุทัย เหตใุ หเ้ กดิ ทุกข์ ร้จู กั นโิ รธ ความดบั
ทกุ ข์ และรจู้ กั มรรค คอื หนทางดบั ทกุ ข์ หรอื รวู้ า่ ทกุ ขเ์ ทา่ นนั้ เกดิ ขน้ึ ทกุ ขเ์ ทา่ นน้ั
ต้ังอยู่ ทุกข์เท่าน้ันดับไป ตลอดจนความรู้ความสามารถในการประพฤติปฏิบัติ
เพอื่ ชนะกิเลสตนเองเป็นตน้ สา� หรบั หนทางสร้างปญั ญามี ๓ วธิ ี คอื
๑. สตุ มยปัญญา ปญั ญาเกดิ จากการฟัง การฟังมากๆ ฟังบ่อยๆ ในเรือ่ งที่
เปน็ สาระประโยชน์ ช่วยท�าให้เปน็ คนฉลาด ร้เู ทา่ ทนั เหตกุ ารณ์ รู้เท่าทันคนอื่น
ได้ ท่านเรยี กว่าเป็นพหสู ูต
๒. จนิ ตามยปญั ญา ปญั ญาเกดิ จากคดิ พจิ ารณา หลงั จากไดย้ นิ ไดฟ้ งั สง่ิ ใด
แล้ว ไมเ่ ข้าใจชัด ก็น�ามาพนิ จิ พจิ ารณาจนเขา้ ใจได้ การขบคดิ ปัญหาตา่ งๆ ให้
เกดิ ความกระจา่ ง กเ็ ปน็ ปญั ญาในข้อน้ี
๓. ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากสมาธิวิปัสสนา ปัญญาชนิดน้ีเป็น
ปญั ญาขน้ั ละเอยี ด ใครทสี่ ามารถบา� เพญ็ ใหเ้ จรญิ ขนึ้ ได้ ยอ่ มจะรเู้ หน็ สงิ่ ทง้ั หลาย
ตามเป็นจรงิ และถ้าบา� เพ็ญให้ถงึ ทส่ี ดุ กย็ ่อมสามารถสลายกเิ ลสในใจตนเองได้
(นฬปานชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย
ชาดก เอกนิบาต เลม่ ๒๘ หน้า ๓๐๒)
454
455
ความพยายาม
“ความพยายามอยูท่ ไี่ หน ความส�าเรจ็ อยู่ทนี่ น่ั ”
ในอดีตกาล คร้ังพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณส ี
พระโพธสิ ตั ว์บังเกิดเป็นพระราชโอรสของพระราชานัน้ ทรงไดร้ ับพระนาม
วา่ สีลวกมุ าร พอมีพระชนม ์ ๑๖ พรรษา ก็ทรงศึกษาศลิ ปะสา� เร็จเสรจ็ ทุก
อย่าง ภายหลังพระราชบิดาสวรรคต ก็เสด็จขึ้นครองราชย์ ได้รับเฉลิม
พระนามวา่ มหาสลี วราช
พระเจ้ามหาสีลวราชนั้น ทรงเปน็ พระราชาผทู้ รงธรรม ทรงบรจิ าค
ทานแกค่ นกา� พรา้ และคนเดนิ ทาง ทรงถอื อโุ บสถ ทรงมพี ระขนั ต ิ พระเมตตา
และกรุณา
วันหนึ่ง มีอ�ามาตย์คนหนึ่งละลาบละล้วงเข้าไปในเขตพระราชฐาน
เมอ่ื ทรงทราบจงึ ตรสั ขบั ไลว่ า่ “แนะ่ เจา้ คนเขลา เจา้ ทา� กรรมไมด่ ี ไมค่ วรอยู่
ในแว่นแคว้นของเรา จงขนเงินทองและพาลูกเมียของตัวไปอยู่ท่ีอื่น”
อา� มาตยน์ นั้ ไปพน้ แควน้ กาสถี งึ แควน้ โกศล กเ็ ขา้ รบั ราชการกะพระเจา้ โกศล
ไดเ้ ปน็ ทไี่ ว้วางพระราชหฤทัยโดยลา� ดบั
วนั หน่งึ ได้กราบทูลพระเจา้ โกศลว่า “ขอเดชะ อนั ราชสมบัติในกรุง
พาราณสี เปรยี บเหมือนรวงผึ้งที่ปราศจากตวั ผึ้ง พระราชาก็อ่อนแอ อาจ
ยดึ เอาได้ดว้ ยพลพาหนะมีประมาณนอ้ ยเทา่ น้นั หากพระองคไ์ ม่ทรงเชอ่ื ก็
โปรดสง่ คนไปปล้นหมูบ่ ้านชายแดนดูเถดิ พระเจ้าพาราณสีจับคนเหล่าน้นั
ได้ ก็จกั พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์แกค่ นเหลา่ นั้น แลว้ ทรงปลอ่ ย”
พระเจ้าโกศลทรงด�าริว่า “อ�ามาตย์ผู้นี้พูดจาองอาจย่ิงนัก เราจัก
ทดลองดูให้รู้ความจริง” แล้วก็ทรงส่งคนของพระองค์ไปปล้นหมู่บ้าน
ชายแดนของพระเจา้ พาราณสี
ราชบุรุษของพระเจ้าพาราณสีจับคนเหล่านั้นได้ คุมตัวไปถวาย
พระเจา้ พาราณส ี พระเจา้ พาราณสที อดพระเนตรคนเหลา่ นน้ั แลว้ ตรสั ถาม
ว่า “พอ่ เอย๋ เหตไุ รจงึ พากนั ปลน้ ชาวบ้าน?”
456
โจรเหล่านั้นกราบทูลว่า “ขอเดชะ พวกข้า เฆี่ยนพระเจ้าโกศลนน้ั ท่นี อกพระนครนั่นแหละ”
พระพุทธเจา้ ไมม่ จี ะกนิ จึงปล้น” พระเจ้าพาราณสีก็ทรงห้ามไว้เหมือนครั้งก่อน
พระเจ้าพาราณสีรับส่ังว่า “เม่ือเป็นเช่นน ี้ และมพี ระกระแสรบั สงั่ ใหเ้ ปดิ ประตเู มอื งทกุ ดา้ น แลว้
เหตไุ รจงึ ไมพ่ ากนั มาหาเราเลา่ ตอ่ แตน่ ไ้ี ป พวกเจา้ พระองคก์ เ็ สดจ็ มาประทบั เหนอื พระราชบลั ลงั กใ์ นทอ้ ง
อย่ากระท�าเช่นนี้เลยนะ” จากน้ันก็พระราชทาน พระโรง พร้อมดว้ ยอ�ามาตย ์ ๑,๐๐๐ นาย
พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์แก่คนเหล่านั้น แล้ว
ปล่อยตัวไป คนเหล่านั้นพากันไปกราบทูลแด่ พระเจา้ โกศลเสดจ็ เขา้ สกู่ รงุ พาราณสพี รอ้ มดว้ ย
พระเจ้าโกศล พลพาหนะมากมาย จากน้ันมพี ระกระแสรบั สง่ั ให้จับ
พระเจ้าพาราณสีพร้อมอ�ามาตย์ท้ังหมดไว้ ด้วยพระ
พระเจ้าโกศลจึงทรงยกกองทัพออกไปเพ่ือ ด�ารัสว่า “พวกเจ้าจงมัดพระราชาน้ีกับพวกอ�ามาตย์
ยดึ ราชสมบตั ขิ องพระเจา้ พาราณส ี สา� หรบั พระเจา้ เอามือไพล่หลังมดั ให้แนน่ แล้วน�าไปสู่ปา่ ช้าผีดบิ ขดุ
พาราณสีนั้น ทรงมีอ�ามาตย์ผู้ย่ิงใหญ่อยู่ประมาณ หลมุ ใหล้ กึ เพยี งคอ เอาคนเหลา่ นฝ้ี งั ลงไปแคค่ อ กลบ
๑,๐๐๐ นาย ลว้ นแตก่ ลา้ หาญอยา่ งเยยี่ ม ใครๆ ไม่ เสียไม่ให้ยกมือข้ึนได้สักคนเดียว ในเวลากลางคืน
อาจท�าลายไดเ้ ลย แม้ชา้ งท่ซี ับมนั จะวิ่งมาตรงหน้า พวกสนุ ัขจง้ิ จอกพากันมาแลว้ จกั จดั การกนิ คนเหล่า
ทุกนายก็สูไ้ ม่ถอย แมส้ ายฟา้ จะฟาดลงมาทศี่ รี ษะ นี้เอง”
ทกุ นายกไ็ มส่ ะดงุ้ หวาดเสยี ว ลว้ นแตส่ ามารถจะยดึ
ราชสมบตั ทิ วั่ ชมพทู วปี มาถวายไดใ้ นเมอ่ื พระเจา้ พา พวกทหารฟังค�าอาญาสิทธ์ิของพระเจ้าโกศล
ราณสที รงพอพระราชหฤทยั แล้ว ก็ช่วยกันมัดพระเจ้าพาราณสีและหมู่อ�ามาตย์
ไพลห่ ลงั อยา่ งแนน่ หนาพาออกไป แมถ้ กู ทา� ถงึ เพยี งนี้
อา� มาตยเ์ หลา่ นนั้ ฟงั ขา่ ววา่ “พระเจา้ โกศลยก พระเจา้ กรงุ พาราณสกี ม็ ไิ ดท้ รงอาฆาตแมแ้ ตน่ อ้ ย รวม
ทัพมา” จึงพากันเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงพาราณสี ถึงอ�ามาตย์ทั้งหลายท่ีถูกจับมัดจูงไปท�านองเดียวกัน
กราบทลู วา่ “ขอเดชะ พระเจ้าโกศลหมายพระทัย ก็มิได้มีสักคนเดียวท่ีกล้าขัดค�าส่ังพระด�ารัสของเจ้า
วา่ จะยดึ ครองราชสมบตั ใิ นกรงุ พาราณส ี ยกกองทพั นายตน เพราะว่าอ�ามาตย์ของพระเจ้าพาราณสีนั้น
มา ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอพระราชทาน เปน็ ผู้มีวินัยดีเย่ยี มน่นั เอง
พระบรมราชานญุ าตยกทพั ไปสกดั ทพั พระเจา้ โกศล
นนั้ มิให้รกุ ลา้� ล่วงรฐั สมี า พระเจา้ ข้า” ครน้ั พาพระเจา้ พาราณส ี พรอ้ มดว้ ยอา� มาตยไ์ ป
ถึงป่าช้าผีดิบแล้ว พวกทหารของพระเจ้าโกศลก็ช่วย
พระเจ้าพาราณสีทรงห้ามไว้ พระเจ้าโกศล กนั ขดุ หลมุ ลกึ เพยี งคอ จบั พระเจา้ พาราณสลี งหลมุ อยู่
จึงกรีฑาพลล่วงรัฐสีมาเข้ามาโดยสะดวก จากนั้น ตรงกลาง จบั พวกอา� มาตยท์ เ่ี หลอื ทกุ คนใสใ่ นหลมุ สอง
สง่ พระราชสาสนไ์ ปถงึ พระเจา้ พาราณสวี า่ “จกั ยอม ขา้ ง เอาดินร่วนๆ กลบทบุ จนแน่น และพากนั กลบั
ยกราชสมบัติให ้ หรือจกั รบ”
ครั้นถงึ เวลาเทยี่ งคนื ฝูงสุนขั จงิ้ จอกกพ็ ากันมา
พระเจา้ พาราณสสี ง่ พระราชสาสนต์ อบไปวา่ พระเจ้าพาราณสีและอ�ามาตย์ทั้งหลายเห็นฝูงสุนัข
“เราไม่รบกับท่าน เชิญยึดครองราชสมบัติเถิด” จิ้งจอกน้ันแล้วก็เปล่งเสียงดังพร้อมๆ กัน ฝูงสุนัข
พวกนกั รบพรอ้ มกนั เขา้ เฝา้ พระเจา้ พาราณสอี กี ครง้ั จงิ้ จอกตกใจกลวั พากนั หนไี ป ครนั้ มนั เหลยี วกลบั มาดู
หนงึ่ กราบทลู วา่ “ขอเดชะ พวกข้าพระพทุ ธเจา้ จะ ไม่เห็นมีใครไล่ตามหลังมา ก็พากันกลับมาใหม ่
ไมย่ อมใหพ้ ระเจา้ โกศลเขา้ เมอื งได ้ จะพรอ้ มกนั จบั พระเจ้าพาราณสีและอ�ามาตย์ทั้งหลายก็ตะเพิดมัน
457
ด้วยวิธเี ดิมอกี พวกมันพากันหนไี ปถงึ ๓ ครง้ั พอรวู้ า่ เจ้าของเสยี งไม่ตามมาแมแ้ ต่
คนเดียว จงึ ย้อนกลับมาอกี ครั้ง สนุ ขั จ้ิงจอกตัวจ่าฝูงตรงรเี่ ข้าหาพระเจ้าพาราณสี
สว่ นตัวท่ีเหลอื กพ็ ากนั ไปใกลพ้ วกอา� มาตย์
ฝ่ายพระเจ้าพาราณสีทรงทราบว่า สุนัขจ้ิงจอกมาใกล้แล้ว ก็ทรงเงยพระศอ
ขนึ้ เหมอื นกบั ใหช้ อ่ งทมี่ นั จะกดั ได ้ พอมนั จะงบั พระศอเทา่ นนั้ กท็ รงกดไวด้ ว้ ยพระหนุ
อยา่ งแน่นหนาประดุจทบั ไวด้ ้วยหบี ยนต ์ สุนัขจิ้งจอกจา่ ฝูงไมส่ ามารถจะดิน้ หลุดได้
จงึ รอ้ งเสยี งดงั ดว้ ยความตกใจกลวั ทา� ใหฝ้ งู สนุ ขั จง้ิ จอกบรวิ ารพากนั หนไี ปหมด เมอ่ื
สุนัขจ้ิงจอกจ่าฝูงถูกพระเจ้าพาราณสีกดไว้แน่นหนาด้วยพระหนุ เหมือนกับกดทับ
ไว้ด้วยหีบยนตอ์ ยา่ งนัน้ มนั จึงด้ินรนไปมา จนดินร่วนทที่ บุ ไวแ้ นน่ ๆ หลวมตัวออก
ทงั้ ตวั มนั เองกก็ ลวั ตายจงึ เอาขาทง้ั ๔ ตะกยุ ดนิ ทกี่ ลบพระราชาไว ้ พระองคพ์ อทราบ
ว่าดินหลวมตัวแล้ว ก็ทรงปล่อยสุนัขจิ้งจอกนั้น จากน้ันจึงดึงพระองค์ขึ้นจากหลุม
สา� เรจ็ และใหก้ ารชว่ ยเหลอื อา� มาตยท์ งั้ หลายใหอ้ อกจากหลมุ จนหมดทกุ คน จากนนั้
พระองค์พรอ้ มอา� มาตย์ก็ประทับอย่ใู นปา่ ชา้ ผีดิบนัน่ เอง
ก่อนเช้าตรูว่ ันน้นั พระเจา้ พาราณสพี รอ้ มกบั อา� มาตย ์ ก็ได้รับการชว่ ยเหลือ
จากยกั ษผ์ ู้มีฤทธ ิ์ ๒ ตน โดยนา� สง่ ทั้งหมดถงึ ท่พี กั ซ่งึ ขณะนัน้ พระเจา้ โกศลกา� ลงั
บรรทมหลับในห้องของพระเจ้าพาราณสี เมือ่ ไปถงึ พระเจ้าพาราณสจี งึ ทรงเอาด้าม
พระขรรคต์ เี บาๆ ทพี่ ระอทุ ร ทา้ วเธอตกใจตน่ื บรรทม ทรงจา� พระเจา้ พาราณสไี ด ้ จงึ
เสด็จลุกข้ึน ทรงต้ังพระสตมิ น่ั ตรสั กบั พระเจา้ พาราณสวี ่า
“มหาราชะ ยามราตรีเชน่ น้ี ในวงั ปดิ ประต ู มีผ้รู ักษากวดขันทุกแหง่ ไมม่ วี ่าง
เว้นจากเวรยาม พระองคเ์ สดจ็ มาถงึ ที่นอนนไ้ี ด้อยา่ งไรกัน?”
พระเจา้ พาราณสตี รสั เลา่ ถงึ การเสดจ็ มาของพระองคใ์ หฟ้ งั ทง้ั หมดโดยละเอยี ด
พระเจา้ โกศลทรงสลดพระทยั ในการกระท�าของตนเองย่งิ นัก จงึ ตรัสว่า “มหาราชะ
หมอ่ มฉนั เปน็ ถงึ มนษุ ย ์ กม็ ไิ ดซ้ าบซงึ้ ในพระคณุ ของพระองคเ์ ลย แตพ่ วกยกั ษอ์ นั กนิ
เลอื ดเนอ้ื ของคนอนื่ หยาบคาย รา้ ยกาจ กลบั รถู้ งึ พระคณุ ของพระองคไ์ ด ้ ขา้ แตพ่ ระ
จอมคน ตอ่ ไปนี้ หม่อมฉันจะไมค่ ดิ ประทุษร้ายในพระองคผ์ ทู้ รงศลี ทรงธรรมเช่นน้ี
อีก”
จากนน้ั ทรงจบั พระขรรคท์ า� การสบถ กราบทลู ขอขมากบั พระเจา้ พาราณส ี เชญิ
ใหเ้ สดจ็ บรรทมเหนอื พระยภ่ี ใู่ หญ ่ สว่ นพระองคเ์ องบรรทมเหนอื พระแทน่ นอ้ ยในหอ้ ง
ของพระเจ้าพาราณสนี น้ั เอง
458
คร้ันดวงอาทิตย์อุทัยแล้ว พระเจ้าโกศลก็รับส่ังให้บรรดาเสนาทุกหมู่เหล่า
และอ�ามาตย ์ พราหมณ ์ คฤหบด ี ประชมุ กัน ตรัสสรรเสรญิ พระคณุ ของพระเจ้า
พาราณส ี เปรยี บเหมอื นทรงชดู วงจนั ทรเ์ พญ็ ในอากาศขน้ึ ขา้ งหนา้ ของคนเหลา่ นนั้
ทรงขอขมาพระเจา้ พาราณสที า่ มกลางบรษิ ทั นนั้ อกี ครง้ั หนง่ึ ทรงเวนคนื ราชสมบตั ิ
ตรัสว่า “ตั้งแต่บัดนี้ไป อุปัทวันตรายท่ีเกิดแต่โจรผู้ร้ายอันจะบังเกิดแก่พระองค์
หม่อมฉันขอรับภาระก�าจัด ขอพระองค์ทรงเสวยราชย์ โดยมีหม่อมฉันเป็นผู้
อารกั ขาเถดิ ” แลว้ ทรงลงอาญาแกอ่ า� มาตยผ์ สู้ อ่ เสยี ด รวบรวมพลพาหนะเสดจ็ ไป
ส่แู ว่นแคว้นของพระองค์
ชาดกเรื่องนี้มุ่งชี้ให้เห็นว่า คนฉลาดท่ีเรียกว่าบัณฑิตน้ัน เมื่อประสบ
อปุ สรรคในชวี ิต ยอ่ มไม่ทอ้ แทห้ มดกา� ลังใจ แล้วยอมแพ้กับอปุ สรรคนน้ั แต่
กลับตัง้ สตหิ าทางแก้ไขปัญหาดว้ ยความอดทน โดยตัง้ ใจวา่ แกไ้ มไ่ ดใ้ นวันน้ี
ก็ต้องแก้ได้ในวันหน้า ถ้ายังแก้ไม่ได้ด้วยวิธีนี้ ก็หาวิธีแก้ไขใหม่ โดยปรึกษา
ท่านผู้รู้ ดูตัวอย่างจากผู้อื่นท�าจนกว่าจะแก้ปัญหาน้ันส�าเร็จ จึงจะหยุดความ
พยายาม เพราะปัญหาทุกปัญหามีทางออกเสมอ คนฉลาดทางธรรม มอง
ปญั หาวา่ มไี วเ้ พอื่ แกไ้ ข มใิ ชม่ ไี วเ้ พอื่ สรา้ งความทกุ ข์ ฉะนน้ั เขาจงึ มคี วามสขุ ใน
การที่ได้แก้ปัญหา และถึงแม้จะแก้ไม่ส�าเร็จด้วยเหตุใดก็ตาม ก็ถือว่าได้ท�า
หน้าที่แลว้ ไมม่ ใี ครมาต�าหนติ เิ ตียนได้ ดังคา� บาลที ่วี ่า
วายเมเถว ปรุ โิ ส ยาว อตถฺ สสฺ นปิ ฺปทา
เป็นบรุ ษุ พงึ พยายามจนกวา่ จะส�าเร็จ
แต่ถ้าใครประสบปัญหาแล้ว ไม่คิดจะแก้ไข หรือแก้ไขยังไม่ส�าเร็จแล้ว
เกิดความท้อแท้เบอื่ หน่ายหยดุ การแกป้ ัญหานัน้ คนๆ นั้นก็หวงั ความเจรญิ ได้
ยากมาก ฉะนั้น เมื่อประสบปัญหาพึงสู้กับปัญหาด้วยความเพียรที่หนักแน่น
เถดิ แล้วจะข้ามปญั หาไปไดอ้ ยา่ งแน่นอน
(มหาสลี วชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย
ชาดก เอกนบิ าต เล่ม ๒๙ หนา้ ๔๖)
459
460
จนทรพั ย์แตไ่ ม่จนใจ
“อย่าดหู มิ่นบุญวา่ นอ้ ยจะไม่ใหผ้ ล”
ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ท่ีกรุงพาราณสี มีอยู่วันหนึ่ง
พระพุทธองค์ได้ตรัสอนุโมทนาความว่า “คนบางคนในโลกนี้ให้ทานคนเดียว
ไมช่ ักชวนผู้อน่ื เขาจะไดร้ บั โภคสมบตั ิ แตไ่ มไ่ ด้บรวิ ารในท่ๆี เกิดแลว้ บาง
คนชกั ชวนผู้อื่นใหบ้ ริจาค แตต่ นเองไม่ให้ เขาจะไดแ้ ต่บรวิ าร แต่ไม่ได้โภค
สมบัตใิ นทๆี่ เกดิ แล้ว บางคนตนเองกไ็ ม่ให ้ ทั้งคนอน่ื ก็ไม่ชักชวน เขาจะไม่
ไดโ้ ภคสมบัตแิ ละไม่ไดบ้ รวิ าร เป็นคนกินเดนในทีๆ่ ตนเกิดแล้ว บางคนให้
ด้วยตนเองด้วย ชักชวนผู้อ่ืนให้บริจาคด้วย เขาจะได้รับทั้งโภคสมบัติ ท้ัง
บรวิ ารสมบตั ใิ นทีๆ่ ตนเกิดแล้ว”
บัณฑิตคนหน่ึงได้ฟังอนุโมทนาน้ันแล้ว เกิดความเลื่อมใส จึงนิมนต์
พระพทุ ธเจา้ พรอ้ มดว้ ยสาวก ๒๐,๐๐๐ รปู ไปรบั ภกิ ษาในวนั รงุ่ ขน้ึ หลงั จาก
นน้ั จงึ เขา้ ไปทหี่ มบู่ า้ น แลว้ เดนิ บอกบญุ แกค่ นทง้ั หลายวา่ “แมแ่ ละพอ่ ทง้ั หลาย
พรงุ่ น ้ี ขา้ พเจา้ นมิ นตภ์ กิ ษสุ งฆม์ พี ระพทุ ธเจา้ เปน็ ประมขุ ไวเ้ พอ่ื รบั ภกิ ษา ทา่ น
ท้งั หลายจงชว่ ยกนั เป็นเจา้ ภาพตามกา� ลังศรัทธาเถิด”
จากนน้ั ไดจ้ ดรายชอ่ื คนทร่ี ว่ มกนั เปน็ เจา้ ภาพลงไวใ้ นบญั ช ี บางคนรบั ไป
๑๐ รปู ๒๐ รูป และเป็น ๑๐๐ รปู ก็ม ี
ในจ�านวนคนท่รี ับเป็นเจ้าภาพนนั้ มีบุรษุ เขญ็ ใจคนหน่ึง นามวา่ “มหา
ทคุ ตะ” เขาถกู บณั ฑติ นน้ั ชกั ชวนใหร้ ว่ มทา� บญุ ดว้ ย มหาทคุ ตะไมม่ คี วามพรอ้ ม
เลย จงึ กลา่ วกะบัณฑติ ว่า “ขา้ พเจ้าและภรรยาอย่าวา่ แตเ่ ล้ียงพระเลย แมแ้ ต่
ข้าวท่จี ะกินแต่ละมอ้ื ยังไมม่ ีเลย ข้าพเจ้ายากจนเข็ญใจขนาดนี้จะไปเล้ียงพระ
ท่ีไหนไดเ้ ลา่ ?”
บัณฑิตได้ยินอย่างนั้น จึงกล่าวว่า “คนเป็นจ�านวนมากในเมืองน ี้
รับประทานอาหารอย่างดี ใส่เส้ือผ้าราคาแพง แต่งตัวด้วยเครื่องประดับ
ต่างๆ หลับนอนบนท่ีนอนท่ีสวยงาม เสวยความสุขกันอยู่ ส่วนท่านท�างาน
รบั จ้างตลอดวนั ยังไมไ่ ดอ้ าหารแมพ้ อเตม็ ทอ้ ง ทา่ นยงั คิดไม่ออกหรือวา่ ท่ี
461
อัตคัดขดั สนเช่นนีเ้ พราะไมไ่ ด้ทา� บุญอะไรๆ ไว้แม้ใน เลย จงึ ทรงตง้ั พระทยั ทจ่ี ะสงเคราะหม์ หาทคุ ตะดว้ ย
ชาติที่แลว้ ” พระมหากรุณา
มหาทคุ ตะตอบว่า “ขอ้ นัน้ ข้าพเจ้าทราบ” เม่ือไดเ้ วลา มหาทุคตะกไ็ ปรบั พระ พอไปถงึ
บณั ฑติ กลา่ ววา่ “เม่ือเปน็ เชน่ นนั้ เหตุใดจึงไม่ กป็ รากฏวา่ ไมม่ พี ระเหลอื เลย คนอนื่ รบั ไปหมดแลว้
ท�าบุญเล่า? ท่านยังเป็นหนุ่ม มีร่างกายแข็งแรง เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะบัณฑิตผู้จัดทานลืมจัดภิกษุ
ท�างานรับจ้างสักอย่างหน่ึง แล้วให้ทานตามก�าลังจะ ส�าหรับนายมหาทุคตะไว้ มหาทุคตะพอทราบว่า
ไมด่ ีหรือ?” ไม่มีพระส�าหรับตนเอง ก็เศร้าโศกเสียใจ รู้สึก
มหาทุคตะได้ฟังค�าชักชวนที่มีเหตุผล ก็รู้สึก เหมอื นถกู แทงทที่ อ้ งดว้ ยหอกทแี่ หลมคม ไมร่ จู้ กั ทา�
คลอ้ ยตาม จงึ จองภกิ ษรุ ูปหน่งึ เพื่อท�าบญุ บณั ฑติ น้ัน อย่างไร จงึ รอ้ งไห้คร่�าครวญอยู่ตรงนั้น
คิดว่า “ภิกษุรูปเดียว ไม่จ�าเป็นต้องจดลงในบัญชี”
ดงั นีแ้ ลว้ จงึ ไมจ่ ดไว้ ประชาชนท่ีเห็นเหตุการณ์เข้ามาสอบถาม
มหาทคุ ตะกลบั ไปถงึ บา้ นแลว้ กเ็ ลา่ ใหภ้ รรยาฟงั เมอื่ ทราบเรอ่ื งราวกต็ า� หนผิ จู้ ดั การทานตา่ ง ๆ นานา
ภรรยาของเขาไม่ได้ต่อว่าสักค�า กลับเห็นดีเห็นงาม ผู้จัดการทานส�านึกผิดและละอายใจด้วยค�าพูดของ
ดว้ ย วนั รุ่งขนึ้ จงึ พากันไปรับจ้างทีบ่ า้ นนายจา้ ง โดย คนเหล่าน้ัน จึงพูดกะมหาทุคตะว่า “เพ่ือนมหา
มหาทคุ ตะรบั จา้ งผา่ ฟนื สว่ นภรรยารบั จา้ งตา� ขา้ วและ ทคุ ตะ อย่าให้ฉนั เสยี ใจมากกว่านี้เลย คนท้ังหลาย
ฝัดข้าวที่บ้านเดียวกัน ทั้งสองคนท�างานด้วยความ นมิ นตภ์ กิ ษทุ จ่ี องไวไ้ ปหมดแลว้ ใครๆ จะไปขอภกิ ษุ
ขยนั ขนั แขง็ ไมเ่ หน็ แกเ่ หนด็ แกเ่ หนอ่ื ย มใี บหนา้ ทอ่ี ม่ิ ผู้น่ังในเรือนนั้นก็หามีไม่ เวลานี้พระศาสดายัง
เอบิ ทง้ั วนั เพราะอิม่ บุญท่จี ะได้ถวายทานในวันรุ่งข้นึ ประทับอยใู่ นพระคนั ธกุฎี ธรรมดาพระพทุ ธเจา้ ท้ัง
นายจา้ งซง่ึ เปน็ เศรษฐใี จบญุ และภรรยา สงั เกตเหน็ ดงั หลายย่อมมีพระทัยอนุเคราะห์ในคนยากจน ท่าน
นั้นจึงสอบถาม ทราบความตามท่ีกล่าวแล้ว ก็เกิด รบี ไปทพี่ ระคนั ธกฎุ ี กราบทูลพระศาสดาเถดิ วา่ ข้า
ศรัทธา จึงมอบค่าจ้างแก่มหาทุคตะเป็นข้าวสาลี ๔ พระองคเ์ ปน็ คนยากจน ขอพระองคจ์ งทรงทา� ความ
ทะนาน และเพิ่มให้อีก ๔ ทะนาน (รวมเป็น ๘ สงเคราะหแ์ กข่ า้ พระองคเ์ ถดิ ถา้ บญุ ทา่ นม ี พระองค์
ทะนาน) ส่วนภรรยานายจ้างก็มอบเนยใสขวดหนึ่ง จะประทานบาตรให้”
นมสม้ และเครอื่ งเทศอยา่ งละกระปกุ และขา้ วสารสาลี
อีกทะนานหนงึ่ แกภ่ รรยานายมหาทุคตะ มหาทุคตะรีบไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระ
เช้าวันถวายทานน้ันเอง พระกัสสปะพุทธเจ้า คันธกุฎี เมอ่ื ไปถงึ กซ็ บศีรษะลงทธ่ี รณพี ระคนั ธกฎุ ี
ทรงตรวจดูสัตวโ์ ลก ทรงเหน็ มหาทุคตะเข้าไปภายใน ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ กราบทูลว่า “ผู้
ขา่ ยคอื พระญาณ เมอื่ พจิ ารณากท็ รงทราบเหตวุ า่ คน ท่ียากจนกว่าข้าพระองค์ในพระนครน้ีไม่มีพระเจ้า
ทั้งหลายจะรับภกิ ษไุ ปตามชอ่ื ท่ีจดไวใ้ นบญั ชี แลว้ พา ข้า ขอทรงเป็นท่ีพึ่งแก่ข้าพระองค์เถิด ขอทรง
ไปถวายทานที่เรือนของตน ๆ จนไม่มีภิกษุเหลือ ทา� ความสงเคราะหแ์ กข่ ้าพระองค์เถิด”
มหาทุคตะถ้าขาดเราแล้ว จะไม่ได้รับภิกษุไปท�าบุญ
พระศาสดาทรงเปิดประตูพระคันธกุฎี ทรง
น�าบาตรมาประทานในมือของเขา มหาทุคตะได้
โอกาสยง่ิ กวา่ ไดส้ มบตั ขิ องพระเจา้ จกั รพรรดเิ สยี อกี
462
เพราะบาตรของพระศาสดาที่ประทานมานั้น มีค่า พระเจ้าพาราณสีรับส่ังให้ชาวเมืองประชุมกัน
ยิ่งนักกับการท�าบุญครั้งน้ี มหาทุคตะเม่ือนิมนต์ แล้วตรัสถามว่า “ในเมืองนี้ ใครๆ มีทรัพย์ถึงเท่านี้
พระศาสดามาถงึ บา้ น กก็ ราบทลู เพอ่ื เสดจ็ เขา้ ไปใน บ้างไหม?” เมื่อได้รับค�าตอบว่า ไม่มี จึงทรง
บ้านที่เก่าแก่และประตูเข้าบ้านต่�า ต้องก้มเท่านั้น พระราชทานต�าแหน่งเศรษฐีแก่นายมหาทุคตะน้ัน
จึงจะเข้าไปได ้ ด้วยประการฉะน้ี
แตธ่ รรมดาพระพทุ ธเจา้ ทงั้ หลายนน้ั ในเวลา ขอ้ คิดจากเรือ่ งน้ีคอื คนเราจะยากดีมจี น สขุ
เสด็จเข้าสู่เรือนท่ีมีลักษณะเช่นน้ี แผ่นดินบริเวณ หรือทุกข์ ในชีวิตอย่างไรก็ตาม ส่วนหนึ่งมาจาก
ทางเข้าจะยุบลง หรือไม่ตัวเรือนก็จะสูงขึ้น วิบากกรรมทเี่ คยท�าไวใ้ นอดตี ทั้งใกลแ้ ละไกล มา
ปรากฏการณน์ เ้ี ปน็ ผลแหง่ ทานทท่ี รงถวายไวด้ แี ลว้ ดลบนั ดาลใหเ้ ปน็ ไปดว้ ยเสมอ อยา่ งไรกต็ าม กรรม
นนั้ เอง แต่ในเวลาทีพ่ ระองค์เสดจ็ ออกไปแล้ว ทกุ คือการกระท�าในปัจจุบันย่อมส�าคัญกว่ากรรมใน
สิ่งทุกอย่างก็จะเป็นปกติเหมือนเดิม ฉะน้ัน พระ อดีต ค�าสอนในพระพุทธศาสนาจึงให้ตระหนักใน
ศาสดาทงั้ ประทบั ยนื อยนู่ น่ั เอง เสดจ็ เขา้ สเู่ รอื นแลว้ การท�าดีในปัจจุบันให้มาก เพราะอดีตไม่สามารถ
ประทบั นัง่ บนอาสนะที่ปูไว้ กลับไปแก้ไขได้ จึงไม่ควรหวนคิดให้ใจเศร้าหมอง
แตถ่ า้ คดิ ถงึ เพอื่ นา� มาเปน็ อทุ าหรณส์ อนใจ กส็ มควร
หลงั จากพระศาสดาทรงทา� ภตั กจิ ทเี่ รอื นมหา อยู่ โดยที่กรรมท่ีท�าแล้วมีผลกระทบต่อชีวิตเช่นนี้
ทุคตะ ทรงทา� อนโุ มทนา เสดจ็ ลกุ และดา� เนินออก เมื่อประสบกับบุคคลที่ก�าลังเสวยกรรม ขอให้ผู้มี
ไปจากเรือนน้ันเท่านั้น ปรากฏว่ามีฝนแก้ว ๗ ธรรมะในใจมองกันดว้ ยจิตเมตตา ไมซ่ �้าเตมิ และ
ประการ ตกลงมาเต็มภาชนะท้ังหมดในเรือนและ ให้เอ้ืออาทรต่อกัน อย่าดูหม่ินคนท่ีด้อยกว่า อย่า
ยงั ลน้ ไปทวั่ เรอื นอกี ในเรอื นของนายมหาทคุ ตะไมม่ ี ยกตนข่มท่าน อย่าลืมตัว และหมั่นท�าความดีอยู่
ทว่ี ่างเลย เตม็ ไปดว้ ยรัตนะ ๗ ประการ ฝนรัตนะ เนือง ๆ มากน้อยตามโอกาสอนั ควร บญุ น้นั ไม่ควร
๗ ประการน้ีเกดิ ขึน้ แล้ว เพราะทานท่ีถวายดีแล้ว ดูหม่ินว่านอ้ ย แลว้ จะไม่ให้ผลแก่ผูท้ �า เพราะหยด
แด่พระพทุ ธเจ้าในวนั นเี้ อง น�้าที่หยดลงตุ่มทีละหยด วันหนึ่งตุ่มก็เต็มน้�าได้
การท�าบุญก็ฉันนั้นเหมือนกนั
นายมหาทคุ ตะประสบกบั ความเปลยี่ นแปลง
ที่อัศจรรย์ใจ จึงได้มุ่งหน้าไปสู่พระราชวังพระเจ้า (บณั ฑิตสามเณรวตั ถุ อรรถกถา ขุททกนิกาย
กรงุ พาราณส ี ถวายบงั คมแลว้ กราบทลู ถงึ เหตกุ ารณ์
ทเ่ี กดิ ขน้ึ พระราชาตรสั วา่ “นา่ อศั จรรยท์ านทถี่ วาย ธรรมบท บณั ฑติ วรรค เลม่ ๑๗ หนา้ ๕๙๐)
แดพ่ ระพทุ ธเจา้ ถงึ ทสี่ ดุ วนั น้เี อง”
นายมหาทุคตะกราบทูลว่า “ขอจงทรง
พระราชทานเกวียนสัก ๑,๐๐๐ เล่ม เพื่อไปขน
ทรัพย์มา พระเจา้ ข้า” เมอื่ ไดร้ ับเกวียนแล้ว จึงไป
ขนทรพั ยม์ าแสดงแกพ่ ระเจา้ กรงุ พาราณส ี โดยกอง
รวมไวเ้ ต็มพระลานหลวง
463
464
อย่าตดั สินคนทภี่ ายนอก
“อันคนดดี ดี ว้ ยการงานนานา
อีกวิชาศลี ธรรมนา� ให้ด”ี
ในอดตี กาล สมยั พระเจา้ พรหมทตั เสวยราชสมบตั อิ ยใู่ นพระนครพาราณส ี
พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในครอบครัวคนจัณฑาล อาศัยอยู่นอกพระนคร มารดา
บดิ าตง้ั ชอ่ื ใหว้ า่ มาตงั คมาณพ เมอื่ เจรญิ วยั แลว้ คนทง้ั หลายพากนั เรยี กวา่ มาตงั ค
บัณฑิต
มาตังคบัณฑิตมีภรรยาชื่อ ทิฏฐมังคลิกา และมีบุตรชายหนึ่งคนช่ือ
มณั ฑพั ยกมุ าร มัณฑพั ยกุมารพออายไุ ด ้ ๗-๘ ปีเท่านั้น กเ็ รมิ่ เรยี นไตรเพท
พออายไุ ด ้ ๑๖ ป ี กเ็ รมิ่ ตงั้ โรงทานสา� หรบั เลย้ี งดพู วกพราหมณท์ งั้ หลายดว้ ยความ
เคารพศรทั ธา ส่วนมาตงั คบัณฑติ ได้ออกบวชเป็นดาบสกอ่ นทมี่ ัณฑพั ยกุมารจะ
คลอด ท�าใหท้ ัง้ สองไม่รู้จกั สนิทสนมกนั
วันหน่ึง ขณะท่มี ัณฑัพยมาณพกา� ลังจัดเล้ียงพราหมณ ์ ๑๖,๐๐๐ คนอยู่
นนั้ มาตงั คดาบสกป็ รากฏกายขน้ึ มัณฑพั ยมาณพซึ่งไม่รจู้ ักจงึ กล่าววา่ “ท่านผู้
ใชผ้ ้านงุ่ ผา้ หม่ ทนี่ า่ รังเกยี จ อปั ลกั ษณด์ ุจปีศาจ เปรอะเปอ้ื นด้วยฝุ่นละออง ท่าน
เป็นนักพรตมาจากไหน สถานที่บริจาคทานแห่งนี้ไม่คู่ควรกับท่าน ขอเชิญท่าน
กลับไปเถิด”
มาตงั คดาบสซ่งึ ต้ังใจมาแนะนา� วิธบี ริจาคให้เกิดบญุ มาก เกดิ อานสิ งส์มาก
แกม่ ณั ฑัพยมาณพ เม่ือไดย้ ินอย่างน้ัน จึงตอบไปว่า “ข้าวน�้านที้ ่านเตรยี มไว้เพอ่ื
ทา� บญุ กับพวกพราหมณ ์ ข้าพเจ้าเองก็เป็นนักพรต เป็นผอู้ าศยั โภชนะทผ่ี ู้อ่นื ให้
เลยี้ งชวี ติ แมถ้ งึ จะเปน็ คนจณั ฑาล กม็ คี ณุ ธรรมพอทจี่ ะไดก้ อ้ นขา้ วจากทา่ นบา้ ง”
มัณฑัพยมาณพเร่ิมไม่พอใจท่ีมาตังคดาบสเข้ามาบิณฑบาตข้าวน้�าในเวลา
เช่นน้ี ต่อหน้าพราหมณท์ ้ังหลายทต่ี วั เองเคารพศรัทธา จงึ ตอบวา่ “ขา้ วนา�้ นเี้ รา
เตรียมไว้สา� หรับพราหมณ์ทง้ั หลายของเราเทา่ น้ัน ไมไ่ ดจ้ ัดเตรียมไวแ้ กบ่ คุ คลอ่นื
ขอท่านจงออกไปจากทน่ี เ่ี ถิด จงอยา่ ยืนอยทู่ น่ี ีเ่ ลย คนดๆี เขาไม่ทา� กนั แบบน ้ี คน
เลวเทา่ นน้ั ทที่ า� ขอยนื ยนั วา่ คนอยา่ งเราจะไมใ่ หอ้ ะไรแกท่ า่ น” มณั ฑพั ยมาณพได้
465
ใช้ค�าพูดที่รุนแรง และไม่เกรงใจมาตังคดาบสขึ้นทุก มาตังคดาบส จึงรีบไปหาเพื่อขออโหสิกรรมแทน
ขณะ สา� หรบั มาตงั คดาบสมไิ ดร้ สู้ กึ โกรธเคอื ง มณั ฑั มณั ฑพั ยมาณพ เมอื่ ไปถงึ จงึ กลา่ ววา่ “ศรี ษะของลกู
พยมาณพแมแ้ ตน่ อ้ ย เพราะมาหาเพยี งเพอื่ จะแนะนา� เราบดิ กลบั ไปอยูเ่ บอื้ งหลัง แขนเหยยี ดตรง ไมไ่ หว
วธิ ที า� บญุ ทไ่ี ดบ้ ญุ มากแกเ่ ขาดว้ ยเมตตาจติ เทา่ นนั้ จงึ ติง นัยน์ตาขาวเหมือนคนตาย ใครมาท�าบุตรของ
กล่าวเงื่อนไขการบริจาคที่ได้บุญว่า “กิเลสท้ังหลาย ขา้ พเจา้ ให้เป็นอยา่ งนี้”
คอื ความเมาเพราะชาต ิ ความดูหม่นิ ท่าน ความโลภ มาตังคดาบสกลา่ วตอบวา่ “ยักษท์ ง้ั หลายซึ่ง
อยากได้ของเขา ความคิดประทษุ ร้าย ความประมาท เป็นผู้มีอานุภาพมากได้พากันติดตามพระฤาษีและ
มัวเมา ความหลง ยังมีในจิตใจของผู้ใด ผู้น้ันหาใช่ ดาบสมีคุณธรรม เมื่อรู้ว่าบุตรของท่านมีจิตคิด
เปน็ เน้ือนาบญุ ไม่ แต่กิเลสดังกล่าวน้ัน ปราศไปจาก ประทุษร้ายผู้ทรงศีล จึงส่ังสอนทาบุตรของท่านให้
จิตใจของผู้ใดแล้ว ผู้น้ันแหละจัดเป็นเน้ือนาบุญของ เปน็ อยา่ งน้ี”
ชาวโลก” นางทิฏฐมังคลิกากล่าวว่า “ถ้ายักษ์ท้ังหลาย
มาตงั คดาบสไดย้ า้� คา� นอี้ ยบู่ อ่ ยๆ จนทา� ใหม้ ณั ฑั ได้ท�าบุตรของดิฉันให้เป็นอย่างนี้ ขอท่านผู้เป็น
พยมาณพไมพ่ อใจ จงึ สงั่ คนรกั ษาประตโู รงทานใหม้ า พรหมจารอี ยา่ ไดโ้ กรธบตุ รดฉิ นั เลย ขา้ แตท่ า่ นผทู้ รง
ลากตัวมาตังคดาบสออกไปจากพืน้ ท ี่ ดว้ ยค�าวา่ “เจ้า ศีล ดฉิ นั ขอถงึ ฝา่ เท้าของทา่ นเปน็ ทพ่ี งึ่ โปรดไว้ชวี ติ
คนเฝ้าประตทู ้ังหลาย ท้ังเจ้าอปุ โชติยะ เจา้ อปุ วัชฌะ ใหแ้ กบ่ ุตรชายของขา้ พเจ้าด้วยเถิด”
และเจ้าภณั ฑกุจฉ ิ บัดนเี้ จา้ ไปอยทู่ ี่ไหนเล่า ขอให้รีบ มาตงั คดาบสกลา่ วตอบวา่ “ในคราวทบ่ี ตุ รของ
มาที่น่ีเร็วๆ จงจับดาบสปากเสียคนนี้ไปลงโทษเถิด” ท่านด่าเราก็ดี และในคราวท่ีท่านมาอ้อนวอนอยู่
มิทันท่ีคนรักษาประตูจะมาลากตัวออกไป มาตังค ณ บดั น้ีก็ด ี จิตของเรากไ็ มไ่ ดค้ ิดประทุษร้ายแมแ้ ต่
ดาบสก็หายตัวไปจากที่นัน้ ด้วยฤทธิ์ นอ้ ย แต่บุตรของท่านเองเป็นคนประมาท ถอื ตวั วา่
ฝา่ ยเทพยดาทง้ั หลายผรู้ กั ษาพระนคร ไมพ่ อใจ เรยี นจบไตรเพท แตห่ ารจู้ กั ประโยชนไ์ ม ่ จงึ ทา� กรรม
การกระท�าของมัณฑัพยมาณพ ที่พูดก้าวร้าว เชน่ น้ันดว้ ยความเขลา”
เบยี ดเบยี นผทู้ รงศลี อยา่ งมาตงั คดาบส จงึ พากนั ไปจบั นางทิฏฐมังคลิกากล่าวว่า “ข้าแต่ท่านดาบส
คอมัณฑัพยะบิดกลับหลัง เทวดาที่เหลือก็พากันไป ผู้มีปัญญาเสมอด้วยแผ่นดิน ความจ�าของคน
บดิ คอของพราหมณ์ทเ่ี หลอื ทงั้ หลายใหห้ มนุ กลบั หลงั ท้งั หลายมีข้อจ�ากดั ดงั น้ันจึงหลงลมื กนั ได ้ ขอท่าน
อย่างน้ันเหมือนกัน คนท้ังหลายรีบไปบอกอาการ อยา่ ถอื สา โปรดอดโทษใหพ้ อ่ มณั ฑพั ยมาณพสกั ครงั้
ประหลาดน้ันแก่มารดาของมัณฑัพยมาณพ นางมา เถดิ อย่าถือโทษกบั ความความเขลาของเขาเลย”
ถึงแล้วถามคนที่อยู่ในโรงทาน ได้รับค�าตอบว่า “มี มาตังคดาบสจึงกล่าวว่า “ถ้าเช่นน้ัน เราจัก
ดาบสคนหนง่ึ นงุ่ หม่ ผา้ สกปรกดจุ ผา้ ทเ่ี กบ็ มาจากกอง ใหอ้ มฤตโอสถไปเพอ่ื ขบั ไลย่ กั ษท์ ง้ั หลายเหลา่ นน้ั ให้
ขยะ เน้ือตวั เปรอะเปอื้ นด้วยฝ่นุ ละออง มีกลน่ิ เหม็น หนไี ป” จากนั้นเทขา้ วสุกท่ีฉันเหลอื กับน้า� ล้างมือลง
นา่ รงั เกยี จดจุ ปศี าจ ดาบสคนนนั้ ไดม้ า ณ ทน่ี แี้ ละพดู ในขันแล้วสั่งว่า “ท่านจงหยอดน้�าน้ีครึ่งหน่ึงใส่ใน
คยุ กบั มณั ฑพั ยมาณพ เมอื่ จากไป บตุ รของทา่ นกเ็ กดิ ปากของบตุ รทา่ น สว่ นทเี่ หลือจงเอาน้�าผสมแล้วให้
อาการประหลาดเชน่ น้ี” หยอดลงในปากพราหมณท์ กุ คน คนเหลา่ นน้ั ทง้ั หมด
นางทิฏฐมังคลิกาได้ฟังดังนั้น ก็รู้ว่าเป็น กจ็ ะเป็นผหู้ ายโรคภัยไขเ้ จ็บทนั ที”
466
เมอื่ นางนา� ไปปฏบิ ตั ติ าม ทงั้ มณั ฑพั ยะผเู้ ปน็ บตุ รและพราหมณท์ งั้ หลาย
ก็ฟื้นคืนสติ ล�าคอกลับเข้าสภาพปกติ ไม่กลับหน้ากลับหลังเหมือนแต่ก่อน
จากนั้นจึงกล่าวกับมัณฑัพยะผู้รอดชีวิตว่า “พ่อมัณฑัพยะ เจ้ายังเป็นคนโง่
เขลา มปี ญั ญานอ้ ย ไมร่ จู้ กั เนอ้ื นาบญุ ทแี่ ทจ้ รงิ จงึ ใหท้ านแกช่ นผหู้ นาแนน่ ไป
ดว้ ยกิเลส ไมร่ ู้จกั ส�ารวมระวัง บางพวกเกล้าผมเปน็ เซงิ นงุ่ ห่มหนงั เสอื ปาก
รกรงุ รังไปดว้ ยหนวดเครา มรี ูปรา่ งนา่ รงั เกียจ ส่วนชนท่ีสา� รอกราคะ โทสะ
และอวชิ ชาแลว้ หรอื เปน็ พระอรหนั ตผ์ มู้ อี าสวะสนิ้ แลว้ ซง่ึ ใหอ้ านสิ งสม์ ากแก่
ผู้ใหท้ านนั้น เจ้าไมเ่ คยบรจิ าคให้เลย”
มัณฑัพยมาณพปฏิบัติตามค�าของมารดา คือเลิกการบริจาคทานแก่
พราหมณ์ผู้ทุศีล แล้วหันมาบริจาคแก่สมณพราหมณ์อ่ืนๆ ที่ต้ังอยู่ในธรรม
ได้อภิญญา ๕ และสมาบตั ิ ๘ และบรจิ าคแกพ่ ระปจั เจกพทุ ธเจ้า เม่อื สนิ้
อายขุ ัยก็ไปสูส่ ุคตติ ามสมควรแก่กรรมของตน
ชาดกเรื่องน้ีมีคติสอนใจว่า อย่าตีราคาของคนท่ีรูปลักษณ์ภายนอก
แต่ให้พิจารณารูปลักษณ์ภายในด้วย มาตังคบัณฑิตเป็นจัณฑาลมาแต่
ก�าเนิด เมื่อบวชแล้วก็ถือเพศดาบส ใช้ผ้าตามวิถีชีวิตของผู้สละทางโลก
แตใ่ นดา้ นจติ ใจนน้ั ทา่ นเตม็ ไปดว้ ยคณุ ธรรม ไมโ่ ลภ ไมโ่ กรธ ไมห่ ลง และ
ไดบ้ �าเพ็ญเพียรทางจติ จนไดฌ้ าน ๕ และสมาบัติ ๘ สามารถเหาะเหนิ
เดนิ อากาศได้ จึงเป็นเน้ือนาบญุ ของคนทบี่ รจิ าคทาน
ในขณะที่พวกพราหมณ์ ซ่ึงมัณฑัพยะมาณพอุปถัมภ์เลี้ยงดูด้วย
ความเคารพศรทั ธามานานนน้ั จิตใจไมส่ ะอาดผอ่ งใสเลย เพราะถูกกิเลส
มีประการต่างๆ ทับถมพอกพนู จนยากจะแกไ้ ขได้ จงึ ไม่อาจเปน็ เนอื้ นา
บญุ อะไรแก่ใครไดเ้ ลย เมือ่ ท�าบุญกบั บุคคลเชน่ นน้ั ย่อมไดอ้ านสิ งส์นอ้ ย
หรือไมเ่ กิดอานิสงส์เลย
ดังน้ัน ผ้ฉู ลาดไม่ควรมองแต่รูปลักษณ์ภายนอก แตจ่ งมองด้านใน
คือคณุ ธรรมท่อี ยู่ในจิตใจของคนๆ นนั้ ด้วย หากร้จู ักมองเชน่ นี้ การท�าบุญ
ย่อมจะไม่ผดิ พลาด การบรจิ าคยอ่ มได้อานิสงส์มากอย่างแน่นอน
(มาตงั คชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย
ชาดก วสี ตินบิ าต เล่ม ๓๔ หน้า ๒)
467
468
กาเทยี มหงส์
“ส�าเนยี งส่อภาษา กริ ยิ าส่อสกลุ ”
ครัง้ หนง่ึ พระเทวทตั ได้นอนแสดงทา่ ทางอย่างพระพทุ ธเจ้า ตอ่ หน้า
พระอคั รสาวกทงั้ สอง คอื พระสารบี ตุ รเถระ และพระมหาโมคคลั ลานเถระ
ณ ต�าบลคยาสีสะประเทศ พระอัครสาวกท้ังสองมองเห็นแล้วก็รู้สึกสลด
หดหู่ใจอย่างยิ่งกับกิริยาดังกล่าว แต่ก็ไม่ได้พูดว่าอะไร หลังจากได้แสดง
ธรรมโปรดลูกศิษย์ท่ีหลงผิดมาอยู่กับพระเทวทัต จนกลับใจได้แล้ว ท่าน
ท้ังสองก็พาลูกศิษย์ของตนออกจากคยาสีสะประเทศนั้น มุ่งหน้าไปเฝ้า
พระพทุ ธเจา้ ทพี่ ระวหิ ารเวฬวุ นั ทนั ทเี มอ่ื ไปถงึ ถวายบงั คมแลว้ พระศาสดา
จงึ ตรสั ถามวา่ “ดกู อ่ นสารบี ตุ รและโมคคลั ลานะ เทวทตั เหน็ เธอทงั้ สองแลว้
ได้ท�าอย่างไรบา้ ง”
พระอคั รสาวกทง้ั สองกราบทลู วา่ “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ พระเทวทตั
เห็นข้าพระองค์ท้ังสอง แล้วได้แสดงท่าทางอย่างพระองค์ต่อหน้า
ข้าพระพทุ ธเจ้า ดนู า่ เวทนายิง่ นักพระเจา้ ขา้ ”
พระศาสดาตรสั วา่ “เทวทตั ทา� ตามอยา่ งเราแลว้ ประสบกบั ความวบิ ตั ิ
อยา่ งหนกั หาใช่เฉพาะแต่ในบัดนีเ้ ทา่ นั้นก็หาไม่ แม้ในกาลก่อน เทวทัตก็
เคยทา� อยา่ งเราและประสบกบั ความวบิ ตั อิ ยา่ งหนกั มาแลว้ เชน่ กนั ” เมอื่ พระ
อคั รสาวกทงั้ สองกราบทลู ใหท้ รงเลา่ พระพทุ ธองคจ์ งึ ทรงนา� เรอื่ งในอดตี มา
ตรัสดังน้ี
ในอดตี กาล สมยั พระเจ้าวิเทหะเสวยราชสมบตั ิในกรุงมถิ ลิ า แควน้
วเิ ทหะ พระโพธสิ ตั วถ์ อื กา� เนดิ เปน็ โอรสของพระเจา้ วเิ ทหะนน้ั ครนั้ เจรญิ วยั
แลว้ พระราชบิดาจึงทรงส่งไปศกึ ษาศิลปศาสตร์ท่ีเมอื งตกั ศิลา ทรงอาศยั
ความวริ ยิ ะอตุ สาหะ ไมน่ านกศ็ กึ ษาสา� เรจ็ ศลิ ปศาสตรท์ กุ แขนง จากนนั้ เดนิ
ทางกลับกรุงมิถิลา หลังจากพระราชบิดาเสด็จสวรรคตแล้ว ก็ข้ึนครอง
ราชสมบตั ติ ่อจากพระราชบิดานั้น
469
ในครงั้ นน้ั มพี ญาหงสท์ องตวั หนงึ่ ไดผ้ กู สมคั รรกั ใครแ่ ละอยกู่ นิ กบั นาง
กาในบรเิ วณใกลท้ อี่ ยขู่ องมนษุ ย ์ ในเวลาตอ่ มา นางกานนั้ กใ็ หก้ า� เนดิ ลกู ออก
มาเปน็ ตวั ผ ู้ ลกู นน้ั มลี กั ษณะไมเ่ หมอื นพอ่ หงส ์ ไมเ่ หมอื นแมก่ า เหตนุ น้ั จงึ ได้
ตง้ั ชอื่ วา่ วนิ ลี กะ เพราะมสี คี อ่ นขา้ งคลา�้ ถงึ อยา่ งไรกต็ าม พอ่ และแมก่ ใ็ หก้ าร
ดแู ลลกู วนิ ลี กะดว้ ยความรกั และทะนถุ นอม ณ ทอี่ ยขู่ องนางกานนั้ โดยมพี ญา
หงส์ทองบนิ ไปหาลูกวินลี กะอย่บู อ่ ยๆ
อนงึ่ กอ่ นหนา้ นี้พญาหงส์ทองตัวนั้นได้มีลูกกับนางหงสอ์ ยแู่ ล้วสองตวั
ลกู หงส์นัน้ เหน็ พอ่ ของตนไปใกลถ้ ิ่นมนษุ ยบ์ ่อยๆ จงึ ถามวา่ “เหตุใด คณุ พ่อ
จงึ ไปใกล้ถิ่นมนุษย์บอ่ ยนกั ”
พญาหงสท์ องตอบวา่ “ลกู เอย๋ พอ่ อยกู่ นิ กบั นางกาตวั หนงึ่ จนใหก้ า� เนดิ
ลูกด้วยกันหน่ึงตัวชื่อว่า วินีลกะ พ่อจึงไปใกล้ถ่ินมนุษย์บ่อยๆ เพื่อเยี่ยม
วนิ ลี กะนนั้ ”
ลูกหงสถ์ ามวา่ “ก็ครอบครัวของกาน้ันอย่บู ริเวณไหนเล่า พ่อ”
พญาหงสท์ องตอบวา่ “อยบู่ นยอดตาลตน้ หนงึ่ หา่ งจากกรงุ มถิ ลิ า แควน้
วิเทหะ เลก็ นอ้ ย”
ลูกหงสก์ ล่าววา่ “พวกขา้ พเจ้าจกั ไปพาเจ้าวินีลกะมาทนี่ ี่นะ พ่อ”
พญาหงส์ห้ามลกู ว่า “ลูกเอย๋ ขน้ึ ช่ือว่าถน่ิ มนุษยไ์ มน่ ่าไว้วางใจ มภี ัย
รอบด้าน เจา้ อยา่ ไปกันเลย พ่อจกั ไปพาเขามาเอง” ลกู หงสท์ องไม่เชือ่ ฟังค�า
ของพ่อ วันหนึ่ง จึงพากันไปหากาน้ันตามแผนท่ีที่พ่อบอก เม่ือไปถึงก็เล่า
เหตุผลท่ีมาให้วินีลกะฟัง แล้วให้วินีลกะจับเหนือคอนไม้อันหนึ่ง แล้วช่วย
กันเอาจะงอยปากคาบปลายไม้เพื่อบินกลับมาสู่ที่อยู่ของตน ระหว่างทางได้
บนิ ผา่ นมาทางกรงุ มิถิลา
ขณะนน้ั พระเจา้ กรงุ วเิ ทหะประทบั บนราชรถซงึ่ เทยี มดว้ ยมา้ สนิ ธพขาว
สต่ี วั ทรงทา� ประทกั ษณิ พระนคร วนิ ลี กะเหน็ ดงั นน้ั กค็ ดิ วา่ “เรากไ็ มต่ า่ งอะไร
จากพระเจา้ วเิ ทหะ พระเจา้ วเิ ทหะประทบั นงั่ บนราชรถอนั เทยี มดว้ ยมา้ สนิ ธพ
สี่ตัว เสด็จเลยี บพระนครอย่ ู ส่วนเรากน็ ัง่ ไปบนรถอันเทียมดว้ ยหงส”์ คร้ัน
คิดอย่างนี้แล้ว ก็กล่าวออกมาว่า “ม้าอาชาไนยพาพระเจ้าวิเทหะ ผู้ครอง
เมอื งมถิ ิลา ให้เสดจ็ ไป เหมอื นหงส์สองตัวพาเราผูช้ ่อื ว่าวนิ ลี กะไปฉะนั้น”
ลกู หงสท์ งั้ สองไดย้ นิ คา� ของวนิ ลี กะแลว้ กโ็ กรธ อยากจะทงิ้ ใหต้ กลงสพู่ น้ื
ณ ท่ีตรงนั้นเสยี เลย แต่กเ็ กรงวา่ พญาหงสท์ องผพู้ ่อจะเสยี ใจ จึงฝนื ใจบินพา
470
วนิ ีลกะไปหาพญาหงส์ทองผพู้ อ่ เม่อื สบโอกาสจึงเล่ากริ ิยาทีว่ นี ลี กะแสดงให้
พญาหงส์ทองผู้พ่อฟัง
พญาหงส์ทองหลังจากได้ฟังแล้วก็ไม่พอใจ จึงกล่าวว่า “เจ้าวินีลกะ
วเิ ศษกวา่ ลกู หงสเ์ ชยี วหรอื จงึ ดหู มน่ิ ดแู คลนลกู เราวา่ เหมอื นมา้ เทยี มรถ เจา้
นไ่ี มร่ ูป้ ระมาณตน สถานทีน่ ้กี ไ็ มใ่ ช่ถน่ิ ของเจา้ เจ้าจงกลบั ไปหาแม่เจา้ เถดิ ”
จากน้ันก็กล่าวว่า “ดูก่อนเจ้าวินีลกะ เจ้ามาคบมาเสพภูเขาอันมิใช่ภูมิภาค
ทา� เลของเจา้ เจ้าจงไปเสพอาศัยสถานท่ใี กล้บา้ นเถิด นั่นเปน็ ท่ีอยอู่ าศัยของ
แม่เจ้า” พญาหงส ์ คร้นั กล่าวอยา่ งนีก้ บั วินีลกะแลว้ กส็ งั่ ลกู หงสว์ ่า “เจ้าจง
น�าวีนีลกะไปปลอ่ ยไว้ทก่ี องหยากเยือ่ แหง่ กรุงมิถลิ าเถิด”
ลูกหงส์ท้ังสองรับค�าส่ังแล้ว จึงน�าวีนีลกะไปทิ้งท่ีกองหยากเยื่อแห่ง
กรงุ มิถิลาตามคา� ส่ังพญาหงส์ทองผูพ้ อ่
พระศาสดาทรงสรุปให้ฟังในตอนท้ายว่า นกวินีลกะในครั้งนั้นได้เป็น
เทวทตั ในครงั้ น ี้ ลกู หงสส์ องตวั ไดเ้ ปน็ อคั รสาวกทงั้ สอง พอ่ หงสไ์ ดเ้ ปน็ อานนท ์
สว่ นพระเจ้าวิเทหะได้เป็นเราตถาคตน้ีแล
ชาดกเรื่องนใ้ี หข้ ้อคิดว่า คนเราน้ันควรร้จู ักประมาณตน ไมเ่ ช่นนน้ั
จะประสบกับความวิบตั เิ หมอื นเทวทตั และลกู นกวนิ ีลกะ
การรจู้ กั ประมาณตนนนั้ หมายถงึ รจู้ กั ประมาณตนในเรอ่ื งตา่ ง ๆ ไม่
ว่าจะเปน็ ฐานะทางการเงนิ ความเป็นอยู่ ฐานะหรือตา� แหน่ง หนา้ ที่การ
งาน รวมไปถึงร้จู ักสภาพความคิดและจิตใจของตน เม่อื รวู้ ่าตนมกี �าลัง มี
ความคิดอยา่ งไร มีอุปนสิ ัยอยา่ งไร เมื่อนัน้ ยอ่ มท่จี ะสามารถวางตวั หรือ
ปฏบิ ตั ติ วั ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งและเหมาะสมในสงั คมนนั้ ความรจู้ กั ประมาณตน
จงึ สา� คญั หากขาดการรจู้ กั ประมาณตนแลว้ กส็ อ่ ถงึ นสิ ยั สนั ดานตนเองไป
ด้วย ดังสุภาษิตโบราณทีว่ า่
อันวาจา ทก่ี ล่าว สอ่ ชาวชาติ
มารยาท สอ่ สกูล ประยรู ไหน
เอาดวงหนา้ เป็นกระจก ถกดวงใจ
ชลาลัย ลกึ รู้ ดูสายบวั
(วินีลกชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก ทกุ นิบาต เล่ม ๓๐ หนา้ ๕๘)
471
472
การใหค้ อื การได้
“ให้ทา่ น ทา่ นจักให้ตอบสนอง”
ในอดตี กาล ครงั้ พระเจา้ พรหมทตั เสวยราชสมบตั อิ ยใู่ นกรงุ พาราณส ี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในก�าเนิดพญาแร้ง เลี้ยงดูมารดาบิดาตนอยู่ที่
คชิ ฌบรรพต คราวหน่งึ เกดิ พายุฝนใหญ่เหนอื เขาคิชฌบรรพตนั้น พายุ
ไดพ้ ดั พาตน้ ไมน้ อ้ ยใหญล่ ม้ ระเนระนาดทว่ั บรเิ วณยอดเขา สตั วท์ งั้ หลายตา่ ง
พากันอพยพหลบหนีภัยไปสู่ท่ีปลอดภัยด้วยความโกลาหล ส�าหรับฝูงแร้ง
ทั้งหลายไม่สามารถทนอยู่ได้เช่นกัน จึงพากันบินหนีจากคิชฌบรรพตมา
จนถึงกรงุ พาราณส ี แล้วลงหลบภยั หนาว ณ ท่ใี กล้ก�าแพงและคูเมอื ง
ในเวลานน้ั เศรษฐชี าวกรุงพาราณสคี นหน่ึง กา� ลงั ออกจากเมอื งเพอื่
จะไปอาบน้�าท่ีสระนอกก�าแพงเมือง ได้เห็นฝูงแร้งเหล่าน้ันก�าลังล�าบาก
แต่ละตัวมีสภาพหมดเร่ียวแรง ยืนหนาวสั่นอยู่ จึงคิดว่า “ฝูงแร้งเหล่าน ี้
คงจะพากนั หนพี ายฝุ นมาจากทใ่ี ดทหี่ นง่ึ สภาพอยา่ งนค้ี งจะบนิ มาจากทไี่ กล
และคงจะอดอาหารมาหลายวนั แลว้ หากปลอ่ ยทง้ิ ไวไ้ มไ่ ดร้ บั ความชว่ ยเหลอื
คงจะมบี างตวั ตอ้ งตายเปน็ แน”่ เขาจงึ สง่ั บรวิ ารใหไ้ ปตอ้ นฝงู แรง้ มารวมกนั
ไว้ในที่ก�าบังลมและฝน ณ ที่แห่งหน่ึง จากนั้นก็ให้ก่อไฟให้ฝูงแร้งผิงเพ่ือ
ความอบอนุ่ คลายหนาว แลว้ นา� ซากโคทตี่ ายแลว้ มาใหฝ้ งู แรง้ เหลา่ นน้ั ไดก้ นิ
กนั จากนนั้ จดั การรกั ษาปอ้ งกนั มใิ หม้ ใี ครมารงั แกฝงู แรง้ เหลา่ นนั้ เขากระทา�
ดว้ ยจติ เมตตาตอ่ สตั ว์ทง้ั หลายเป็นทต่ี งั้ มิไดห้ วังสงิ่ ตอบแทนใดๆ นอกจาก
ความสงสารทมี่ ีต่อแร้ง
ฝูงแร้งเหล่านั้น ได้รับความสะดวกสบายในเร่ืองที่พักและอาหารอัน
อุดมสมบูรณ์ ได้กินได้พักผ่อนเต็มท่ี ไม่นานนักร่างกายก็กลับมาแข็งแรง
เหมือนเดมิ ครนั้ พายุฝนสงบลง กพ็ ากนั บินกลับสู่คิชฌบรรพตตามเดิม
ฝ่ายเศรษฐี ครั้นฝูงแร้งบินกลับไปแล้ว ก็ให้บริวารท�าความสะอาด
สถานท่ีตรงน้ันให้สวยงามเป็นปกติเหมือนเดิม มิปล่อยให้มีความสกปรก
ใดๆ เหลืออย ู่
473
วนั หนง่ึ ฝูงแรง้ จับกลุ่มปรึกษากันวา่ “เศรษฐี ตวั เดยี ว กจ็ ะไดข้ องทีแ่ รง้ โฉบเฉยี่ วคนื มาท้งั หมด”
กรุงพาราณสีมีจิตเมตตา ช่วยเหลือพวกเราให้พ้น ชาวบ้านจึงช่วยกันวางบ่วงและข่ายดักไว้ในที่
จากภยั หนาว ใหพ้ น้ จากความหวิ ใหม้ ชี วี ติ ทปี่ ลอดภยั
เป็นระยะเวลาหลายวัน บัดน้ีพวกเราควรจะหาทาง ซ่ึงฝูงแร้งชอบบินไปบ่อย ๆ ในท่ีสุดก็จับแร้งได้ตัว
ตอบแทนเศรษฐีผู้ใจบุญน้ันด้วยวิธีการอย่างไรดี หนงึ่ ซง่ึ เปน็ พญาแรง้ โพธสิ ตั วท์ เี่ ลยี้ งดมู ารดาบดิ านน้ั
หนอ” เอง พวกเขาจึงนา� แรง้ ตัวนน้ั ไปเฝ้าพระเจ้าพาราณสี
แรง้ บางตวั เสนอวา่ ควรจะพากนั ไปขจดั ซากที่ ครง้ั น้นั เศรษฐีกรงุ พาราณสีไดฟ้ งั ข่าวจึงเดิน
ตายในบรเิ วณบา้ นเศรษฐอี ยา่ ใหเ้ หลอื บางตวั กเ็ สนอ ติดตามชาวบ้านเหล่าน้ันไปด้วย เพื่อป้องกันมิให้
ว่า ควรจะพากนั ไปเฝ้าเวรยาม มิใหม้ ีใครไปหยิบเอา พญาแร้งถูกท�ารา้ ย ฝ่ายชาวบ้านไดถ้ วายแรง้ นน้ั แด่
สงิ่ ของในบา้ นเศรษฐ ี บางตวั กเ็ สนอวา่ ควรจะไปชว่ ย พระเจา้ กรุงพาราณสี พระองคจ์ ึงตรสั ถามพญาแรง้
เก็บเศษใบไมห้ รือกิง่ ไมใ้ นบรเิ วณบ้านเศรษฐี ว่า “ได้ข่าวว่า พวกเจ้าปล้นเมือง คาบเสื้อผ้าและ
เครือ่ งอาภรณ์ของชาวบ้านเปน็ ตน้ ไปหรือ”
แต่มีตัวหนงึ่ เสนอว่า “ทา่ นท้ังหลาย โปรดฟงั
ข้าพเจ้า วิธีการทั้งหมดเป็นสิ่งท่ีดี เพราะพวกเรา พญาแรง้ กราบทลู วา่ “ขา้ แตม่ หาราช เปน็ จรงิ
กระทา� เพอ่ื ตอบแทนอปุ การคณุ ของเศรษฐที งั้ นนั้ แต่ อย่างน้ัน พระเจ้าข้า” “พวกเจ้าเอาไปให้ใคร”
ขา้ พเจา้ เหน็ วา่ ยงั ดนี อ้ ยไป พวกเราควรจะชว่ ยกนั หา พระเจ้ากรุงพาราณสีตรัสถาม “ให้แก่เศรษฐีกรุง
เสื้อผ้าไปหย่อนไว้ทบี่ ริเวณบา้ นเศรษฐี เศรษฐจี ะได้ พาราณส ี พระเจ้าขา้ ” พญาแรง้ ตอบ
ใช้ผ้านั้นเพื่อคลายหนาว เหมือนที่ท่านเคยคลาย
หนาวใหพ้ วกเรา” ฝงู แรง้ ทงั้ หลายเหน็ ดว้ ยกบั วธิ หี ลงั พระเจ้าพาราณสีตรัสถามว่า “เพราะเหตุไร
คอื ชว่ ยกนั หาเสอ้ื ผา้ ไปหยอ่ นลงในบรเิ วณบา้ นเศรษฐี จงึ ทา� อยา่ งนน้ั ” พญาแรง้ กราบทลู วา่ “เพราะเศรษฐี
นน้ั ไดช้ ว่ ยชวี ติ ของพวกขา้ พระองคไ์ ว ้ ขา้ พระองคจ์ งึ
ตงั้ แตน่ นั้ มา กม็ เี สอื้ ผา้ ตกลงมาในบรเิ วณบา้ น ต้องตอบแทนอปุ การคณุ ของเศรษฐีนน้ั พระเจ้าขา้ ”
เศรษฐีวนั ละผนื สองผนื เศรษฐเี ม่ือสังเกตก็ร้วู ่า ผูท้ ่ี
ปล่อยเส้ือผ้าตกลงมาแต่ละคร้ังก็คือแร้งนั้นเอง จึง พระเจ้ากรุงพาราณสีรับส่ังกะพญาแร้งว่า
เก็บเส้ือผ้าเหล่านั้นไว้เป็นกอง ๆ และต้ังใจจะ “ข่าวว่าแร้งทั้งหลายมีสายตาด ี แม้ซากสัตว์อยู่ห่าง
ประกาศหาเจ้าของในวันหลัง ฝ่ายฝูงแร้งซึ่งมีเป็น ไกลเป็นร้อยโยชน์ ก็ยังมองเห็นมิใช่หรือ เพราะ
จา� นวนมากนนั้ บางตวั ไดบ้ นิ โฉบเฉย่ี วเอาเสอ้ื ผา้ ของ เหตไุ ร ครงั้ นเี้ จา้ จงึ มองไมเ่ หน็ บว่ งทเี่ ขาดกั จบั ตวั เจา้
ชาวบ้านท่ีตากไว้นอกบ้านไปก็มี บางตัวก็โฉบเอา เล่า?”
อย่างอ่ืนที่ไม่ใช่ผ้า เช่น เคร่ืองประดับ ภาชนะ
เป็นต้นไปก็ม ี ชาวบ้านที่ถกู แรง้ โฉบเฉย่ี วเอาส่ิงของ พญาแรง้ กราบทลู ว่า “ข้าแตม่ หาราช คราใด
ไปก็โกรธ แตไ่ ม่สามารถท�าอะไรได้ เพราะแร้งจะมา ความเสอ่ื มจะเกดิ คราใดสตั วใ์ กลจ้ ะตาย ในครานน้ั
เอาช่วงที่คนเผลอเท่านั้น จึงพากันไปเฝ้าพระเจ้า ถึงจะมาใกล้ข่ายและบ่วง ก็ไม่สามารถรู้ตัวได้
พาราณส ี กราบทูลใหท้ ราบว่า “ขา้ แตม่ หาราช เวลา พระเจ้าขา้ ”
นี้ฝงู แร้งพากนั ปลน้ เมอื งแลว้ พระเจา้ ข้า”
พระราชาจงึ ตรสั ถามเศรษฐวี า่ “ดกู อ่ นเศรษฐ ี
พระราชารับสั่งว่า “ถ้าพวกเจา้ จบั แรง้ ไดเ้ พียง แร้งท้ังหลายน�าเส้ือผ้าเป็นต้นมาทิ้งท่ีเรือนของท่าน
จริงหรอื ” เศรษฐกี ราบทลู วา่ “จริงพระเจา้ ข้า” ตรัส
ถามต่อว่า “ผา้ เปน็ ต้นเหล่านั้น ท่านนา� ไปไว้ทไ่ี หน”
เศรษฐีกราบทูลว่า “ขอเดชะ ข้าพระพุทธองค์เก็บ
474
เสอ้ื ผ้าเหล่านั้นไวเ้ ป็นกองๆ โดยตั้งใจว่าจะคนื แก่ผู้ทเ่ี ปน็ เจ้าของในวันหลงั ขอ
พระองคไ์ ดโ้ ปรดทรงปล่อยแร้งตัวนีเ้ ถิด พระเจ้าขา้ ”
เศรษฐคี รนั้ กราบทลู พระเจา้ กรงุ พาราณสใี หป้ ลอ่ ยพญาแรง้ แลว้ จากนน้ั
ก็ประกาศให้ผู้เป็นเจ้าของเส้ือผ้าและเครื่องอาภรณ์มารับของของตนกลับไป
ท่ามกลางความยินดีของผมู้ าประชมุ ทุกฝา่ ย
ชาดกเร่ืองนี้มีคติธรรมสอนว่า การให้ท่ีบางคนเข้าใจว่า เป็นการเสีย
นั้น แท้จรงิ แล้วเปน็ การได้มากกวา่ ดังตวั อย่างในเร่ืองน้ี เศรษฐีไดใ้ ห้การ
ช่วยเหลือแรง้ ท่บี นิ หนภี ัยมาจากเขาคิชฌบรรพต ด้วยการใหท้ พี่ ัก ใหค้ วาม
อบอนุ่ (กอ่ ไฟให้แรง้ ) และให้อาหาร ซ่ึงให้เพราะความเมตตาสงสาร หวงั
ให้แรง้ พน้ จากความล�าบาก ไมห่ วงั ผลตอบแทนใด ๆ ผลของการให้ ทา� ให้
แร้งพ้นจากความทุกข์ทรมานเพราะความหนาว เพราะหวิ และกระหาย ได้
มีชีวิตท่ีสุขสบายจากท่ีอยู่ใหม่ ได้อาหารที่อุดมสมบูรณ์ ท�าให้รอดพ้นจาก
ความตายในท่ีสุด เมื่อมีโอกาสแร้งเหล่าน้ันจึงตอบแทนโดยการหาผ้าและ
อาภรณ์มาให้แก่เศรษฐตี ามวิธกี ารของตน
ข้อนแ้ี สดงว่า การให้คอื การได้ เพราะถ้าเศรษฐีไมใ่ หค้ วามช่วยเหลอื
แร้งไว้ก่อน แร้งเหล่านั้นก็คงไม่ให้การตอบแทนเช่นน้ี แม้การให้ในสังคม
มนษุ ยก์ ม็ ผี ลไมต่ า่ งจากนี้ เชน่ เราชว่ ยกนั เสยี ภาษคี นละเลก็ คนละนอ้ ย เรา
กไ็ ดร้ บั ถนนหนทาง ไดไ้ ฟฟา้ ได้แสงสวา่ ง ไดโ้ รงเรียน และไดโ้ รงพยาบาล
เป็นตน้ กลบั มา การใหจ้ งึ เปน็ การได้ ไมใ่ ชก่ ารเสีย นอกจากไดต้ ามที่กล่าว
แลว้ ยังไดค้ วามรกั ไดม้ ิตรภาพ ได้ความอ่ิมใจ และไดบ้ ุญอีกด้วย ท้งั นเ้ี ว้น
แตก่ ารให้แก่คนเลวเทา่ นัน้ ท่ีจะไม่มีผลเกดิ ขึ้น ดงั โคลงโลกนิตทิ ่ีวา่
ให้ทา่ นทา่ นจักให้ ตอบสนอง
นบท่านทา่ นจักปอง นอบไหว้
รกั ทา่ นท่านควรครอง ความรัก เรานา
สามส่ิงน้เี ว้นไว้ แตผ่ ู้ทรชน
(คชิ ฌชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก ทุกนบิ าต เลม่ ๓๐ หน้า ๗๖)
475
476
คณุ ธรรมของหวั หน้า
“นา� ดี ตามด”ี
ในอดีตกาล มีวานรฝูงหน่ึงเท่ียวหากินอยู่ในถ่ินป่าหิมพานต ์
ณ ทน่ี ั้น มีต้นมะมว่ งใหญ่ตน้ หนึ่ง ยนื ตน้ อยทู่ ี่ใกล้ฝ่งั แห่งแมน่ า้� ฝูงวานรจงึ
พากนั ไปกนิ ผลมะมว่ งตน้ นั้นในฤดอู อกผลเป็นประจา�
ตอ่ มา มะมว่ งลกู หนงึ่ ตกลงในแมน่ า้� ลอยไปตดิ รา่ งแหทเี่ จา้ พนกั งาน
กั้นแม่น้�า ในคราวที่พระราชาแห่งพระนครถัดไปเสด็จไปทรงสนาน เจ้า
พนักงานได้น�ามะม่วงลูกน้ันข้ึนถวาย ทรงให้แบ่งเสวยเองด้วย และ
พระราชทานแก่ผ้อู น่ื ด้วย พระราชาโปรดรสมะม่วงมาก จึงตรสั ส่งั ให้สอบ
ถงึ ต้นวา่ มีอยู่ทไี่ หน เจ้าหนา้ ทไี่ ด้สบื ทราบจากพรานปา่ วา่ ต้นมะม่วงนน้ั อยู่
ในถน่ิ ปา่ หิมพานตท์ างต้นของแม่น้�า จงึ ตรัสสั่งให้ผกู เรอื ขนานเปน็ อันมาก
เสด็จโดยทางชลมารคทวนน�า้ ไปจนถงึ ตน้ มะม่วงนน้ั จากนั้น จงึ ตรสั สงั่ ให้
หยุดขบวนเรอื เสดจ็ ไปยงั ตน้ มะมว่ ง เสวยผลมะมว่ งแล้วประทบั แรมคนื ท่ี
บริเวณตน้ มะม่วงน้นั
คร้ันคนท้ังหลายหลับแล้ว ฝูงวานรได้พากันมากินผลมะม่วง พระ
ราชาตนื่ บรรทม ทอดพระเนตรเหน็ ฝงู วานรบนตน้ มะมว่ งมากมาย ตรสั สง่ั
ให้ปลุกพลนิกายและให้ทหารธนูรายล้อมต้นมะม่วงไว้เพ่ือมิให้ฝูงวานรหนี
ได ้ วานรเหลา่ นน้ั เหน็ หมคู่ นตนื่ ขนึ้ กบั เหน็ ทหารธนพู ากนั มาลอ้ มตน้ มะมว่ ง
ก็ตกใจกลัวความตาย จะหนีไปก็ไม่ได้ จึงพากันไปยืนตัวสั่นอยู่เบื้องหน้า
พญาวานรผูเ้ ป็นจา่ ฝูง ถามว่าจะท�าอย่างไรดี ฝ่ายพญาวานรเปน็ ผมู้ ีก�าลัง
กายมาก มปี ัญญาและกรุณา กลา่ วปลอบฝูงวานรวา่ อยา่ กลัว จะชว่ ยชวี ติ
ไว้ทั้งหมด แลว้ กระโดดขึน้ ไปบนกิ่งทพ่ี งุ่ สูงตรงข้นึ ไป แลว้ กระโดดไปยังกง่ิ
ท่ลี าดลงแม่น�า้ กระโดดขา้ มแมน่ �า้ ไปยงั ยอดพ่มุ ไมท้ ฝ่ี ่ังตรงกนั ข้าม เลือก
ตัดเถาวัลย์ที่ได้ขนาดท่ีก�าหนดกะไว้ได้เส้นหน่ึง ผูกปลายข้างหนึ่งไว้กับ
ตน้ ไมต้ น้ หนงึ่ บนฝง่ั นนั้ ผกู ปลายอกี ขา้ งหนงึ่ กบั บน้ั เอวตน แลว้ กระโดดขา้ ม
477
แม่นา้� กลับมายงั ตน้ มะม่วง แต่ไม่ถงึ ขาดอยชู่ ว่ งลา� จ�าเป็น ดังพญาวานรโพธิสัตว์ให้การช่วยเหลือ
ตัวจึงใช้มือท้ังสองคว้าจับก่ิงมะม่วงไว้ได้มั่น ก็พอดี บรวิ ารตนให้รอดตาย ฉะนั้น
สดุ เสน้ เถาวลั ย ์ ไมอ่ าจจะขน้ึ ไปนงั่ บนตน้ มะมว่ งและ
ผูกปลายเถาวัลย์อีกข้างหน่ึงกับต้นมะม่วงได้ แต่ ในทางกลับกัน แม้เป็นญาติสาโลหิตกัน
พญาวานรกไ็ ดอ้ ทุ ศิ รา่ งกายใหฝ้ งู วานรเหยยี บหลงั ไป คลอดจากทอ้ งแมเ่ ดยี วกนั มพี อ่ คนเดยี วกนั แตถ่ า้
ข้ึนเส้นเถาวลั ย์จากบนั้ เอวข้ามแม่นา�้ ไป ในฝงู วานร ไม่มีความรักและปรารถนาดีให้กันแล้ว แม้
นน้ั มวี านรโหดรา้ ยตวั หนงึ่ มงุ่ ทา� ลายชวี ติ พญาวานร สิง่ เล็กๆ นอ้ ยๆ ทคี่ ิดจะชว่ ยเหลือเอื้ออาทรตอ่ กนั
ได้กระโดดขึ้นไปยังกิ่งสูงแล้วทุ่มตัวลงบนหลังพญา กท็ �าไมไ่ ด้ เพราะใจมดื บอด ไม่มปี ัญญารูจ้ กั ดีรจู้ ัก
วานรโดยแรง ถึงกับหทัยพญาวานรแตก แต่พญา ชวั่ ดังปรากฏใหเ้ หน็ อย่เู นอื งๆ ในสังคมสมยั นี้
วานรยังไม่ตายทันทีทั้งท่ีมีทุกขเวทนาแรงกล้า เจ็บ
ปวดรวดร้าวเตม็ ท่ี ก็พยายามอดทนยดึ กงิ่ มะม่วงไว้ อนงึ่ ในหมขู่ องผปู้ กครองคนอืน่ นอกจากมี
มั่นคง ใหฝ้ งู วานรเหยียบขา้ มไปจนหมด คณุ ธรรม คือความรกั และปรารถนาดีแล้ว ยงั ต้อง
มคี วามกลา้ หาญและเสยี สละอกี ดว้ ย เนอื่ งจากการ
ฝ่ายพระราชาทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์ ทบ่ี รวิ ารของตนจะอยเู่ ยน็ เปน็ สขุ ไดน้ น้ั จา� เปน็ ตอ้ ง
ทั้งหมดต้ังแต่ต้น ทรงพอพระหฤทัยในความฉลาด อาศัยการฝ่าฟันอุปสรรคหรือการเสี่ยงภัยของผู้
กล้าหาญ และมจี ติ ใจสูงของพญาวานร ภาพของฝูง ปกครองเป็นส�าคัญ ผู้ปกครองจึงต้องมีความกล้า
วานรท่ีพากันเข้าแถวเหยียบหลังของพญาวานรไต่ หาญ เสยี สละ และอดทนเปน็ พเิ ศษ เพราะถา้ เหน็
เส้นเถาวลั ยข์ ้ามแมน่ า้� ไปเป็นแถวตลอดเวลานาน ก็ แกค่ วามสบายไม่ทา� ดงั กลา่ วแลว้ ไฉนเลยจะได้รับ
เปน็ ภาพทน่ี า่ ดยู ง่ิ นกั ตรสั หา้ มมใิ หห้ มคู่ นและทหาร การเคารพนบั ถอื จากบรวิ ารตนได้ การทพี่ ญาวานร
ธนูทา� อนั ตรายฝงู วานร ให้ดอู ยูเ่ ฉยๆ ครน้ั ฝงู วานร โพธิสัตว์ได้รับเกียรติและยอมรับนับถือจากบริวาร
ข้ามไปหมดแล้ว ตรัสสั่งให้หมู่คนไปจัดการรับเอา วานรดว้ ยกนั กด็ ี จากพระราชาและอา� มาตยท์ อ่ี ยใู่ น
พญาวานรลงมา ตรัสให้รักษาพยาบาลประคับ เหตุการณ์น้ีก็ดี เพราะความเสียสละ กล้าหาญ
ประคองอย่างดที ส่ี ดุ แตพ่ ญาวานรทนความบอบช�้า และอดทนน้ันเองเป็นเหตุ จึงควรที่ผู้ปกครองท้ัง
ทางรา่ งกายไม่ไหว กส็ ้ินใจตายในเวลาตอ่ มา หลายจะไดต้ ระหนกั ถึงคณุ ธรรมดังกลา่ วให้มาก
พระศาสดาทรงประชมุ ชาดกวา่ พระราชาใน (มหากปิชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
คร้ังน้ัน ได้แก่พระอานนท์ ในบัดนี้ ลิงวายร้าย
ไดแ้ กพ่ ระเทวทตั บรษิ ทั ทงั้ หลาย ไดแ้ กพ่ ทุ ธบรษิ ทั ชาดก สตั ตกนบิ าต เลม่ ๓๒ หน้า ๒๑๐)
ส่วนพญาวานร ไดแ้ ก่เราตถาคต ฉะนีแ้ ล
ชาดกเร่ืองน้ีให้ข้อคิดว่า ความรักและความ
ปรารถนาดตี อ่ กัน เปน็ เร่อื งจ�าเปน็ ตอ่ ชวี ิต คนใน
สงั คมน้ี ถา้ มจี ติ ใจรกั และหวงั ดตี อ่ กนั อยา่ งแทจ้ รงิ
แล้ว แม้จะไม่ใชญ่ าตสิ าโลหิตกนั เลย กส็ ามารถท่ี
จะเสียสละให้ความช่วยเหลือกันได้เม่ือมีความ
478
479
จิ้งจอกใฝส่ ูง
“ใครค่ รวญกอ่ นแล้วจึงทา� ”
ครง้ั หนงึ่ พระศาสดาประทบั อย ู่ ณ กฏู าคารศาลา ทรงปรารภถงึ บตุ รชา่ ง
กลั บกชาวเมอื งเวสาลคี นหนง่ึ แลว้ จงึ แสดงพระธรรมเทศนาน ้ี เรม่ิ ดว้ ยพระดา� รสั
วา่ อะสะเมกขิตะกัมมนั ตงั เปน็ ตน้
ไดย้ นิ วา่ ชา่ งกลั บกผเู้ ปน็ บดิ าของชายหนมุ่ คนนนั้ เปน็ คนเลอ่ื มใสในพระ
รตั นตรยั รักษาศลี ๕ อยู่เปน็ นติ ย์ ถวายพระราชกิจทุกอยา่ ง ตง้ั แตป่ ลงพระ
มสั สุ แต่งพระเกศา ตง้ั กระดานสกา แด่พระราชา พระมเหส ี พระราชกุมาร
และพระราชกุมารี และฟงั ธรรมของพระศาสดาอยู่เนอื งๆ
วนั หนงึ่ ชา่ งกลั บกนนั้ เขา้ ไปในพระราชนเิ วศนพ์ รอ้ มกบั พาบตุ รชายไปดว้ ย
บตุ รชายนนั้ ไดเ้ ห็นสาวชาววังลิจฉวนี างหนึง่ ในพระราชนิเวศนน์ นั้ ก็หลงรักใน
ความสวยสดงดงามของนาง เปน็ ความรกั คร้ังแรก
ครนั้ กลับไปถึงบ้านตนเองแล้ว กค็ ดิ วา่ “ถ้าได้สาวงามนน้ั มาเปน็ ภรรยา
เทา่ นน้ั จงึ จะมชี วี ติ อยตู่ อ่ ไป ถา้ ไมไ่ ดก้ ข็ อตายเสยี ดกี วา่ ” หลงั จากนนั้ กอ็ ดอาหาร
นอนซมเซาอยู่บนเตยี งด้วยพษิ รกั ช่างกลั บกผู้เป็นบดิ าทราบเรื่อง จึงปลอบใจ
บุตรชายวา่ “ลกู เอ๋ย เจ้าอยา่ ใฝส่ งู เกนิ ศกั ดเ์ิ ลย เราเป็นคนมีฐานะตา่� ตอ้ ย เป็น
เพียงลูกช่างกลั บก สว่ นสาวงามคนน้นั เปน็ ลกู ของเจ้าลจิ ฉว ี เป็นธดิ ากษัตรยิ ม์ ี
ชาติตระกูลสูงส่ง นางไม่สมควรแก่เจ้าดอก พ่อจักหาสาวงามคนอ่ืนท่ีมีฐานะ
ชาติ และตระกูลเหมาะสมกันมาใหเ้ จ้า”
บุตรช่างกลั บกไมเ่ ช่ือค�าของบิดา เพราะถูกความรักท่วมทับใจอยา่ งหนัก
ตอ่ มาบรรดาญาตแิ ละมติ รสหายทเ่ี คารพนบั ถอื กม็ าชว่ ยกนั ชแ้ี จง อธบิ ายอยา่ งไร
ก็ไม่สามารถจะให้เขาเปลี่ยนใจได้ เขาผอมซูบซีดเพราะอดข้าว ในที่สุดก็นอน
ตายอยบู่ นเตยี งนนั่ เอง ครนั้ ทา� ฌาปนกจิ เสรจ็ แลว้ ชา่ งกลั บกจงึ ไปเฝา้ พระศาสดา
ท่ปี า่ มหาวัน พระศาสดาตรสั ถามว่า “อบุ าสก มอี ะไรหรอื จึงได้หายหน้าหาย
ตาไปหลายวัน”
เขาไดก้ ราบทลู ถงึ เรอ่ื งทเ่ี กดิ ขนึ้ ใหพ้ ระศาสดาทราบ พระศาสดาจงึ ตรสั วา่
480
“อบุ าสก บตุ รของทา่ นถงึ ความวบิ ตั เิ พราะหลงรกั ใน พๆี่ กลบั มาก่อน จะเล่าเรือ่ งใหพ้ ีๆ่ ฟงั แลว้ ค่อยกล้นั
ส่ิงอันไม่สมควรแก่ตน หาใช่เฉพาะบัดน้ีเท่าน้ันก็ ใจตายดกี วา่ ”
หาไม ่ แมเ้ ม่อื ก่อน เขาก็ถึงความวิบตั เิ พราะหลงรกั
ในส่ิงอันไม่สมควรแก่ตนแล้วเช่นกัน” จากน้ันจึง ฝ่ายสุนัขจ้ิงจอกหนุ่ม เม่ือไม่ได้รับไมตรีตอบ
ทรงนา� เรื่องในอดตี มาตรสั วา่ จากนางราชสหี ส์ าว กค็ ดิ วา่ “นางคงไมม่ เี ยอ่ื ใยในเรา
เปน็ แน ่ รสู้ กึ ผดิ หวงั จงึ กลบั เขา้ ไปในถา้� แกว้ ผลกึ ตาม
ในอดีตกาล สมัยพระเจ้าพรหมทัตเสวย เดิม” หลังจากราชสีห์ผู้พ่ี ๖ ตัว (เว้นราชสีห์
ราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้ถือ โพธิสัตว์) กลับถึงถ�้าทองแล้ว นางราชสีห์ผู้น้องได้
ก�าเนิดเป็นราชสีห์ อาศัยอยู่ ณ ป่าหิมพานต ์ เลา่ เรอ่ื งราวทเี่ กดิ ขนึ้ ใหฟ้ งั ราชสหี ผ์ พู้ ดี่ งั กลา่ วจงึ ถาม
ราชสหี โ์ พธสิ ตั วน์ น้ั มนี อ้ งชาย ๖ ตวั และมนี อ้ งสาว ว่า “เวลานี้สนุ ัขจ้ิงจอกมนั อยู่ที่ไหน”
๑ ตวั ทงั้ หมดพากันอาศยั อยู่ ณ ถ�้าทองดว้ ยกัน
นางราชสี หี ผ์ นู้ อ้ งเขา้ ใจผดิ วา่ สนุ ขั จง้ิ จอกนอน
อน่ึง ในที่ไม่ไกลจากถ้�าทองนั้นเอง มีถ�้า อย่ทู ่ีกลางแจ้ง จงึ ตอบไปวา่ “เวลานสี้ ุนขั จิง้ จอกนัน้
แก้วผลึกอยู่ถ�้าหน่ึง เป็นที่อาศัยของสุนัขจ้ิงจอก นอนอยู่กลางแจ้ง ใกล้เขารชฏบรรพต” ราชสหี ผ์ ้พู ี่
หนุ่ม ในเวลาต่อมาพ่อแม่ของราชสีห์ทั้งหลายได้ ทัง้ ๖ ต้ังใจจกั ฆ่าสุนขั จ้ิงจอกน้ันใหต้ าย จึงวง่ิ ไปหา
ตายลง ราชสีห์ผู้พี่ทั้งหลายจึงให้นางราชสีห์ผู้น้อง สุนัขจิ้งจอกตัวนั้นด้วยความเร็วเต็มที่ แล้วร่างของ
อยู่ในถ�้าทองตามล�าพัง ส่วนพวกตนพากันออกหา ราชสีห์ท้ัง ๖ ก็ปะทะเข้ากับถ้�าแก้วผลึกอย่างแรง
อาหารน�ามาสง่ ให้น้อง ทัง้ หมดจึงตาย ณ ตรงน้นั เอง
วันหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกหนุ่มได้เห็นนางราชสีห์ ต่อมาราชสีห์โพธิสัตว์กลับมาถึงถ้�าทอง นาง
นน้ั กห็ ลงรกั ในความงาม ดงั นั้น ในเวลาท่รี าชสีห์พี่ ราชสีห์ผู้น้องจึงบอกเร่ืองราวท�านองเดียวกัน เม่ือ
นอ้ งท้ัง ๗ ตัวออกไปหาอาหาร สุนขั จิง้ จอกหนมุ่ ราชสีห์โพธิสัตว์ถามว่า “เวลาน้ีสุนัขจิ้งจอกน้ันอยู่
จึงออกจากถ้�าแก้วผลึกไปหานางราชสีห์สาวท่ีถ�้า ทีไ่ หน” นางบอกว่า “มนั นอนอยทู่ ี่กลางแจ้ง ใกลเ้ ขา
ทอง จากนน้ั กลา่ วคา� วา่ “ดกู อ่ นแมน่ างราชสหี น์ อ้ ย รชฏบรรพต”
เรามีเทา้ สเ่ี ทา้ แมเ้ จา้ กม็ เี ทา้ ส่เี ท้าเชน่ กัน ขอเราจง
มาเป็นคู่ชีวิตกันเถิด จักได้ดูแลกันให้มีความสุข ราชสีห์โพธิสัตว์คิดว่า “ธรรมดาสุนัขจิ้งจอก
ตั้งแตบ่ ดั น้ไี ป” ทัง้ หลายจะไม่อาศยั อยูก่ ลางแจ้ง มันต้องนอนอยู่ใน
ถ้�าแกว้ ผลกึ เป็นแน”่ จงึ เดินไปยงั เชงิ เขารชฏบรรพต
นางราชสหี ส์ าวไดฟ้ งั คา� ของสนุ ขั จง้ิ จอกหนมุ่ ได้เห็นราชสีห์น้องๆ นอนตายท้ังหกตัว ก็กล่าวว่า
แล้ว ก็คิดว่า “เจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวนี้ เป็นสัตว์เลว “ราชสีห์เหล่านี้คงไม่รู้ว่าสุนัขจิ้งจอกนอนอยู่ในถ�้า
ทราม น่าขยะแขยง ไม่ต่างอะไรจากตวั จัณฑาลใน แก้วผลึก เพราะขาดปัญญาตรวจสอบ และเพราะ
หมสู่ ตั วส์ เ่ี ทา้ ดว้ ยกนั พดู จากไ็ มม่ มี ารยาท ไมค่ คู่ วร ความโง่เขลา จึงวิ่งเข้าชนถ้�าตาย ข้ึนชื่อว่าการไม่
กับเรา เราได้ยินแล้วไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ เราจัก พิจารณาแล้วรบี ทา� มกั เป็นอยา่ งนแี้ หละ”
กล้ันใจตายเสียเลยดีไหม” ครั้นแล้วก็ฉุกคิดข้ึนว่า
“ถ้าเราตายในเวลาน้ีไม่สมควรแน่นอน รอให้พวก จากนน้ั สา� รวจดทู างขน้ึ ลงของสนุ ขั จงิ้ จอก เมอ่ื
แนใ่ จว่าสุนัขจ้งิ จอกขึน้ ลงทางไหนแลว้ จึงมุง่ หน้าไป
481
ทางทศิ นนั้ พอได้ระยะใกลๆ้ กบ็ นั ลือสหี นาท ๓ ครัง้ ด้วยเสียงอนั ดัง
เสียงบันลือสีหนาทของราชสีห์โพธิสัตว์น้ัน ท�าให้อากาศกับแผ่นดิน
สะทอ้ นเสยี งกกึ กอ้ งพรอ้ มกนั เสยี งนน้ั เปน็ เหตใุ หห้ วั ใจสนุ ขั จงิ้ จอกทนี่ อน
หวาดสะด้งุ อยใู่ นถา้� แก้วผลึกแตกทา� ลาย และได้ตายลง ณ ท่ตี รงน้ัน
ราชสหี โ์ พธสิ ตั วค์ รน้ั ฆา่ สนุ ขั จง้ิ จอกแลว้ กน็ า� ใบไมม้ าปกปดิ รา่ งของ
นอ้ งๆ ไว้ จากนน้ั แจง้ ข่าวการตายให้นางราชสหี ์ผู้น้องทราบ พรอ้ มกบั
ปลอบนอ้ งสาวใหท้ า� ใจ อยา่ ไดเ้ ศรา้ โศกถงึ การตายของราชสหี ท์ ง้ั ๖ จาก
น้นั ทัง้ สองก็ได้อาศยั ถา้� ทองอยจู่ นสนิ้ อายุขยั แลว้ ไปเกดิ ณ กา� เนิดใหม่
ตามบุญกรรมทท่ี �าไว้
พระศาสดา ครั้นแสดงพระธรรมเทศนานี้แล้ว จึงตรัสว่า สุนัข
จิ้งจอกในครั้งน้ัน ได้เป็นบุตรช่างกัลบกในบัดนี้ นางราชสีห์ ได้เป็น
กุมารกิ าแหง่ เจา้ ลิจฉว ี ราชสีหท์ ง้ั ๖ ตัว ไดเ้ ปน็ พระเถระรปู ใดรูปหนึง่
ส�าหรับราชสหี ์ผโู้ พธิสตั ว ์ ไดแ้ ก่พระพุทธองค ์ ณ บัดน้ ี
ชาดกเรอื่ งนใ้ี หข้ อ้ คดิ วา่ เกดิ มาเปน็ คนแลว้ ควรรจู้ กั ยอมรบั ความ
จริงในความแตกต่างระหว่างตนเองกับบุคคลอื่น โดยเฉพาะในเรื่อง
ของคชู่ วี ติ อยา่ คดิ และทา� อะไรทขี่ ดั กบั ความจรงิ และความแตกตา่ งนนั้
เพราะนอกจากจะเป็นไปไม่ได้แลว้ ยังน�าความวิบัตมิ าสูต่ นเองอีกดว้ ย
ดังบุตรชายช่างกัลบกผู้ต่�าต้อย ไปหลงรักลูกสาวเจ้าลิจฉลีผู้สูงศักดิ์
ฉะน้นั
และดังสุนัขจ้ิงจอกหนุ่มผู้ต�่าทราม ไปหลงรักนางราชสีห์สาวผู้
สูงส่ง ชาดกเร่ืองนนี้ อกจากจะใหข้ อ้ คิดในเรื่องอยา่ ใฝ่สงู เกินศกั ด์แิ ล้ว
กย็ งั ชท้ี างออกในเรอ่ื งการเลอื กคอู่ กี ดว้ ย คอื ตอ้ งเลอื กคนทไ่ี มแ่ ตกตา่ ง
กนั ในดา้ นฐานะหลกั ฐาน และยศถาบรรดาศกั ดจ์ิ นเกนิ ไป ชวี ติ คจู่ งึ จะ
ดา� เนนิ ไปด้วยความเรียบร้อย
(สิคาลชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก ทกุ นบิ าต เล่ม ๓๐ หน้า ๙)
482
483
ถอื ธรรมเปน็ ใหญ่
“พึงชนะคนโกรธดว้ ยความไม่โกรธ
ชนะคนไม่ดดี ว้ ยความดี
ชนะคนตระหนดี่ ว้ ยการให้
ชนะคนพูดเหลวไหลดว้ ยคา� จรงิ ”
ในอดตี กาล ครง้ั พระเจา้ พรหมทัตเสวยราชสมบัติอยใู่ นกรงุ พาราณส ี
พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นโอรสของพระเจ้าพรหมทัตนั้น ทรงได้รับการขนาน
นามว่า “พรหมทัตกุมาร” พรหมทัตกุมารน้ันทรงเจริญวัยข้ึนตามล�าดับ
พอพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา พระราชบิดาก็ทรงส่งไปศึกษาศิลปวิทยา
ณ เมืองตักศิลา ทรงเล่าเรียนด้วยความวิริยะอุตสาหะ ไม่นานก็ส�าเร็จ
ศลิ ปศาสตร์ทัง้ หมด จากนนั้ เสดจ็ กลบั กรงุ พาราณส ี
ต่อมา เมอื่ พระราชบดิ าเสด็จสวรรคต จึงเสด็จขึน้ ครองราชย์ต่อจาก
พระราชบิดานั้น ทรงครองราชสมบัติดว้ ยทศพิธราชธรรม วนิ จิ ฉยั คดตี ่างๆ
ด้วยความยุติธรรม ไมล่ ว่ งอคต ิ ๔ มฉี ันทาคติ ลา� เอยี งเพราะรัก เปน็ ตน้
เมอ่ื พระองคเ์ สวยราชสมบตั โิ ดยธรรมอยา่ งน ี้ ทว่ั ทงั้ พระราชอาณาจกั รจงึ ไมม่ ี
คดีโกงกนั เกิดขึ้น เมื่อไม่มีคดโี กงต่างๆ เกดิ ขน้ึ การรอ้ งทกุ ข ์ ณ พระลาน
หลวงกห็ มดไปดว้ ย
บรรดาอา� มาตยท์ ง้ั หลายทม่ี หี นา้ ทว่ี นิ จิ ฉยั อรรถคด ี เมอื่ ไมเ่ หน็ มใี ครมา
ติดต่อเพื่อให้วินิจฉัยคดีความ ก็พากันกลับบ้านของตน ปล่อยให้สถานที่
วนิ จิ ฉยั คดีถูกทอดทงิ้ ใหเ้ ป็นสถานท่ีว่างเปลา่ ปราศจากผูค้ นเฝา้ ดแู ล
พระเจ้าพรหมทัตโพธิสัตว์ทรงด�าริว่า “เมื่อเราครองราชสมบัติโดย
ธรรม วนิ จิ ฉัยคดดี ว้ ยความเทีย่ งตรง ไม่ลว่ งอคติ ๔ จงึ ทา� ใหไ้ ม่มผี คู้ นมา
รอ้ งทกุ ขใ์ หช้ ว่ ยวนิ จิ ฉยั คด ี สถานทว่ี นิ จิ ฉยั คดจี งึ ถกู ทอดทงิ้ ใหเ้ ปน็ ทว่ี า่ งเปลา่
บัดนี้ เราควรจะตรวจสอบโทษคอื ความผิดของตนเอง ถ้ารู้ว่าม ี กจ็ กั ละโทษ
คือความผดิ น้นั เสีย แลว้ ประพฤตใิ นสง่ิ ท่เี ปน็ คุณประโยชน์เท่านน้ั ”
นับต้ังแต่น้ันเป็นต้นมา พระองค์ก็ทรงส่งอ�ามาตย์ไปส�ารวจ
ข้าราชบริพารภายในพระนครดูว่า จะมีใครๆ พูดถึงโทษ คือความผิดของ
พระองค์บ้างหรอื ไม่ ข้าราชบรพิ ารภายในพระนคร ท่ีถกู สอบถามคนแล้วคน
484
เล่าพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พระเจ้าพรหมทัต บริพารภายในเปน็ ตน้ ก็มไิ ดท้ รงเหน็ ใครๆ กล่าวถงึ
โพธสิ ตั วพ์ ระองคน์ น้ั ไมเ่ คยกระทา� โทษคอื ความผดิ โทษคือความผิดของพระองค์เลยทรง สดับแต่ค�า
ใด ๆ เลย พระองคท์ รงทา� แตค่ วามดงี ามตลอดเวลา สรรเสริญคณุ ของพระองค์เหมอื นกนั จงึ เสด็จตรวจ
ขอพระองค์ทรงพระเจรญิ ยง่ิ ยนื นาน อ�ามาตย์ท่ไี ป สอบชาวชนบท และได้เสด็จถึงประเทศนั้นพร้อมๆ
ส�ารวจได้กลับมาเข้าเฝ้าพระเจ้าพรหมทัตโพธิสัตว์ กัน กษัตริย์ทั้งสองได้เสด็จมาถึงพร้อมๆ กัน ณ
กราบทูลให้ทรงทราบตามท่ีสา� รวจมา ที่ทางเกวียนอันราบลุ่มแห่งหน่ึง ที่รถไม่สามารถจะ
สวนทางกนั ได ้ เพราะเปน็ ทางแคบ สารถขี องพระเจา้
พระเจา้ พรหมทตั โพธสิ ตั วท์ รงดา� รวิ า่ “สงสยั พลั ลกิ ะจงึ พดู กะสารถขี องพระเจา้ พรหมทตั โพธสิ ตั ว์
ข้าราชบรพิ ารภายในพระนครจะกลวั ถูกลงโทษ จึง ว่า “ข้าแต่สารถี ขอทา่ นจงหลีกทางใหเ้ ราเถิด”
ไมม่ ีใครกลา้ บอกโทษคือความผิดของเรา กล่าวแต่
คุณเทา่ น้ันใหเ้ ราฟัง” จึงสง่ั ให้อ�ามาตยไ์ ปส�ารวจขา้ สารถีของพระเจ้าพรหมทัตโพธิสัตว์ก็ตอบว่า
ราชบริพารภายนอกพระนครดูบ้าง แม้ในหมู่ “พ่อมหาจ�าเริญ ขอให้ท่านหลีกทางให้เราก่อนเถิด
ขา้ ราชบรพิ ารภายนอกพระนครทงั้ หลาย ก็ตอบไม่ บนรถคนั นมี้ พี ระเจา้ พรหมทตั มหาราช ผคู้ รอบครอง
ต่างจากขา้ ราชบรพิ ารภายในพระนคร จึงทรงส่งั ให้ ราชสมบัติในกรงุ พาราณส ี ประทบั น่ังอย”ู่
ไปส�ารวจชาวเมืองภายในพระนคร และทรงสั่งให้
ส�ารวจชาวบ้านที่ประตูเข้าเมืองทั้งสี่ทิศนอก สารถีของพระเจ้าพัลลิกะก็พูดว่า “พ่อมหา
พระนครดูอีก แมใ้ นทกุ ๆ ทท่ี ไี่ ปส�ารวจมา กไ็ ม่มี จา� เริญ บนรถคันน้พี ระเจ้าพัลลกิ ะมหาราช ผ้คู รอบ
ใครๆ กล่าวถึงโทษคือความผิดของพระองค์ ทรง ครองราชสมบัติแคว้นโกศล ก็ประทับน่ังอยู่เช่นกัน
สดบั แตค่ า� สรรเสรญิ เทา่ นนั้ จงึ ทรงดา� รติ อ่ ไปวา่ จกั ขอทา่ นไดโ้ ปรดหลกี ทางแลว้ ใหโ้ อกาสแกร่ ถของพระ
ไปส�ารวจชาวชนบทดว้ ยพระองค์เอง ราชาของเราเถดิ ”
จากนน้ั จงึ ทรงมอบการบรหิ ารราชกจิ ใหเ้ หลา่ สารถีของพระเจ้าพรหมทัตโพธิสัตว์เป็นคนมี
อา� มาตยด์ แู ล สว่ นพระองคก์ เ็ สดจ็ ขน้ึ รถไปกบั สารถี ปญั ญา จงึ คดิ วา่ “แมผ้ ทู้ น่ี งั่ อยใู่ นรถคนั นน้ั กเ็ ปน็ พระ
คนหนงึ่ ทรงปลอมพระองคไ์ มใ่ หใ้ ครรจู้ กั เสดจ็ ออก ราชาเหมอื นกนั เราจะทา� อย่างไรดีหนอ” สักครูห่ น่งึ
จากพระนครไปยงั ชนบท เทย่ี วสอบถามชาวชนบท กค็ ดิ ไดว้ า่ มอี บุ ายวธิ บี างอยา่ งทจี่ ะแกป้ ญั หานไ้ี ด ้ คอื
ถึงโทษคือความผิดของพระองค์ จนเสด็จถึง เราจกั ถามถงึ พระชนมายเุ พอื่ ใหร้ ถของพระราชาหนมุ่
ภูมิประเทศชายแดน แต่กม็ ไิ ดท้ รงเหน็ ใครๆ กลา่ ว หลีกทาง แล้วให้พระราชทานหนทางแก่พระราชาผู้
โทษคือความผิดของพระองค์ ทรงสดับแต่ค�า แก่กว่า คร้ันตกลงใจแล้วจึงถามถึงพระชนมายุของ
สรรเสรญิ คณุ เท่าน้ัน จากน้ันจงึ ทรงบา่ ยพระพักตร์ พระเจ้าโกศลกะสารถีน้ัน พอทราบว่าพระราชาทั้ง
กลบั ส่พู ระนครของพระองค์ สองมีพระชนมายุเท่ากัน จึงถามจ�านวนราชสมบัต ิ
กา� ลงั พระราชทรพั ย ์ ยศ ชาต ิ โคตร ตระกลู ประเทศ
ในเวลาเสดจ็ กลบั นน้ั เอง ระหว่างทางได้สวน
ทางกบั รถของพระเจา้ โกศลพระนามวา่ พลั ลกิ ะ ซงึ่ คร้ันทราบว่า ทั้งสองฝ่ายเป็นผู้ครอบครอง
พระเจ้าพัลลิกะพระองค์นี้ ก็ทรงครอบครอง รัฐสีมาประมาณฝ่ายละสามร้อยโยชน์ มีก�าลัง
ราชสมบัติโดยธรรมเชน่ เดยี วกัน ทรงตรวจสอบหา พระราชทรพั ย์ ยศ ชาติ โคตร ตระกลู และประเทศ
โทษคือความผิดของพระองค์ในบรรดาข้าราช เทา่ กัน จึงคดิ ต่อไปว่าจกั ถามเรอ่ื งศีล พระองค์ใดมี
ศลี เหนือกว่า กค็ วรจะใหท้ างแกพ่ ระองคน์ ั้น จากน้ัน
485
จึงถามว่า “พ่อมหาจ�าเริญ ศีลและมารยาทของ กระท�าบญุ มีทานเป็นต้น ทรงเพ่มิ พูนทางสวรรค์ จน
พระราชาทา่ นเปน็ อย่างไร” ส้ินพระชนม์ชีพ แม้พระเจ้าพัลลิกะก็ทรงรับพระ
โอวาทของพระเจ้าพรหมทตั โพธิสัตว ์ แล้วเสด็จกลบั
สารถขี องพระเจา้ พลั ลกิ ะ จงึ ตอบวา่ “พระเจา้ เมอื งโกศล ทรงกระทา� บญุ มที านเปน็ ตน้ ทรงเพม่ิ พนู
พัลลิกราช ทรงชนะคนกระด้างด้วยความกระด้าง ทางสวรรคจ์ นสนิ้ พระชนม์ชีพเช่นกัน
ทรงชนะคนออ่ นโยนดว้ ยความออ่ นโยน ทรงชนะคน
ดีด้วยความดี ทรงชนะคนไมด่ ีดว้ ยความไมด่ ี พระ ชาดกเรือ่ งน้สี อนเราว่า ความโกรธ ความไม่
ราชาพระองค์น้ีเป็นเช่นนั้น ดูก่อนสารถีขอท่านจง ดี ความตระหน่ี และความไม่รักษาสัตย์ ทั้ง ๔
หลีกทางถวายพระราชาของเราเถดิ ” ประการนเี้ ปน็ สง่ิ ทไี่ มค่ วรประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ เพราะทา�
ผู้ประพฤติปฏิบัติให้ประสบกับความทุกข์ความ
เม่ือได้ฟังดังน้ัน สารถีของพระเจ้าพรหมทัต เดือดร้อนนานัปการ มีการเบียดเบียนมุ่งร้าย
โพธิสัตว์ จึงกล่าวว่า “เม่ือสักครู่ท่านได้กล่าวถึง ท�าลายกันเป็นต้น ท�าให้ไม่เป็นท่ีเช่ือถือและไว้
พระคณุ ของพระราชาของทา่ นหรอื ?” วางใจของคนอน่ื
สารถีของพระเจ้าพัลลิกะตอบว่า “ใช่แล้ว” ดังน้ัน ใครที่สามารถเอาชนะความโกรธ
สารถีของพระเจ้าพรหมทัตโพธิสัตว์จึงกล่าวว่า ชนะความไม่ดี ชนะความตระหนี่ และชนะความ
“ถา้ วา่ สง่ิ ทก่ี ลา่ วนเ้ี ปน็ พระคณุ ไซร ้ แลว้ สงิ่ ทเ่ี ปน็ โทษ ไมร่ กั ษาสตั ยไ์ ด้ จงึ จดั เปน็ ผมู้ ศี ลี และมมี ารยาททด่ี ี
จะมีเพียงไหนหนอ” งาม ควรตอ่ การเคารพยกยอ่ ง ยง่ิ ถา้ บคุ คลดงั กลา่ ว
เปน็ หวั หนา้ คนอน่ื ดว้ ยแลว้ ความมศี ลี และมารยาท
สารถีของพระเจ้าพัลลิกะจึงกล่าวว่า “ส่ิงท่ี ดงั กลา่ ว ยอ่ มจะเปน็ เครอื่ งประกนั ความสงบสขุ ใน
กล่าวมาจะเป็นโทษหรือไม่ก็ตามเถิด แต่พระราชา สงั คมได้เปน็ อย่างดี ดงั พระเจ้าพรหมทตั โพธสิ ตั ว์
ของท่านมพี ระคณุ เชน่ ไรเล่า?” กบั พระเจา้ พัลลิกะในชาดกดงั กลา่ วนี้เป็นตวั อย่าง
สารถขี องพระเจา้ พรหมทตั โพธสิ ตั วจ์ งึ ตอบวา่ (ราโชวาทชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
“พระเจ้าพรหมทัตโพธิสัตว์ทรงชนะคนโกรธด้วย
ความไม ่ โกรธ ทรงชนะคนไมด่ ดี ว้ ยความด ี ทรงชนะ ชาดก ทกุ นิบาต เลม่ ๓๐ หนา้ ๒)
คนตระหน่ีด้วยการให้ ทรงชนะคนพดู เหลาะแหละ
ดว้ ยคา� สตั ย ์ พระราชาพระองคน์ เ้ี ปน็ เชน่ นน้ั ดกู อ่ น
สารถ ี ท่านจงหลีกทางถวายพระราชาของเราเถดิ ”
เมอ่ื สารถขี องพระเจา้ พรหมทตั โพธสิ ตั วก์ ลา่ ว
อยา่ งนแี้ ลว้ พระเจา้ พลั ลกิ ะและสารถที งั้ สองกเ็ สดจ็
ลงจากรถ ปลดม้า ถอยรถถวายทางแด่พระเจ้า
พรหมทัตโพธิสตั วด์ ้วยความเคารพในทันที
พระเจ้าพรหมทัตโพธิสัตว์ได้ถวายโอวาทแด่
พระเจ้าพัลลิกะว่า “ธรรมดาพระราชาควรทรง
กระท�าอย่างนี้ๆ” แล้วเสด็จไปกรุงพาราณสี ทรง
486
487
เทวดาทตี่ น้ สะเดา
“กนั ไว้ดกี วา่ แก”้
ในอดีตกาล สมัยเม่ือพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติ อยู่ใน
พระนครพาราณส ี พระโพธสิ ตั วเ์ กิดเปน็ รุกขเทวดา สิงอยู่ทีต่ น้ สะเดาในปา่
แหง่ หน่งึ ใกลพ้ ระนครพาราณสนี ้ัน มนี ามวา่ ปุจิมนั ทเทวดา และในปา่ น้ัน
ยังมีรุกขเทวดาอีกองค์หนึ่งสิงอยู่ท่ีต้นโพธิ์ ซ่ึงเจริญเติบโตอยู่ใกล้ต้นสะเดา
นัน้ มีนามวา่ อสั สัตถเทวดา
ในสมัยน้นั ทวั่ ทั้งพระนครพาราณสมี ีธรรมเนยี มประเพณอี ย่วู ่า เมื่อ
เจา้ หนา้ ท่จี บั โจรผูร้ ้ายไดแ้ ล้ว จะตัดก่งิ ต้นสะเดามาทา� เป็นหลาวเสียบโจรน้ัน
ให้ตาย แล้วแขวนไว้บนก่ิงสะเดา และรุกขเทวดาที่ส่ิงอยู่ท่ีต้นสะเดาก็รู้
ธรรมเนียมนี้
อยมู่ าวนั หนง่ึ พวกโจรไดป้ ลน้ ชาวเมอื งแลว้ หนเี ขา้ มาในปา่ นนั้ เกบ็ ขา้ ว
ของท่ีปล้นมาได้รวมกันวางไว้ท่ีโคนต้นสะเดา แล้วนอนหลับพักผ่อน
รกุ ขเทวดาทีส่ ิงอยู่ท่ตี น้ สะเดา เหน็ โจรมานอนพักผ่อนอยู่ทโี่ คนตน้ สะเดา ก็
คดิ ระแวงอยวู่ า่ “ภยั กา� ลงั จะเกดิ ขนึ้ แกต่ น้ สะเดาอนั เปน็ วมิ านของตน เพราะ
เมอ่ื เจ้าพนักงานตามรอยเท้าโจรมาพบเขา้ ก็จะจับโจรได ้ แลว้ จะพากันตัดกิง่
สะเดาทา� เป็นหลาวเสียบโจร และแขวนศพโจรไวบ้ นกิ่งสะเดา เมื่อเปน็ เชน่ นี้
ภยั อนั ตรายก็จะพงึ เกดิ แกต่ น้ สะเดา” เพ่อื ป้องกนั ภัยอนั จะเกดิ แกต่ ้นสะเดา
อนั เปน็ วมิ านของตน จงึ ปลกุ โจรใหต้ นื่ แลว้ พดู กบั โจรวา่ “พวกเจา้ จะมวั นอน
หลบั อยไู่ ย ไมน่ านเจา้ พนกั งานจะตามรอยเทา้ พวกเจา้ มาทนั และจบั พวกเจา้
ประหารชีวติ ”
พวกโจรได้ฟังดังน้นั จึงได้สตริ ีบเกบ็ ขา้ วของและหนีไป เมือ่ โจรหนีไป
แลว้ รุกขเทวดาทีส่ งิ อยู่ทีต่ ้นโพธจิ์ งึ ปรากฏกายข้นึ แลว้ กล่าวกะรกุ ขเทวดาที่
สิงอยู่ท่ีต้นสะเดาว่า “เจ้าพนักงานจะตามจับโจรผู้กระท�าโจรกรรมมิใช่หรือ
ธุระอะไรของท่านผเู้ กิดในปา่ เล่า”
488
รกุ ขเทวดาทต่ี น้ สะเดาจงึ ตอบวา่ “ทา่ นรกุ ขเทวดาตน้ โพธ ิ์ ทา่ นไมร่ ู้
เหตทุ เ่ี รากบั โจรอยรู่ ว่ มกนั ไมไ่ ด ้ เพราะเมอ่ื เจา้ พนกั งานตามมาจบั โจรไดท้ ่ี
โคนตน้ สะเดา ก็จะตัดก่งิ สะเดาท�าเปน็ หลาวเสยี บโจร แลว้ แขวนศพโจร
ไวท้ ีก่ ิง่ ตน้ สะเดา เพราะภยั จะเกิดแก่ตน้ สะเดาอันเปน็ วมิ านของเรา ดงั น้ ี
เราจงึ บอกพวกโจรใหห้ นไี ป เพอ่ื ป้องกันอันตรายอันจะเกดิ แกต่ ้นสะเดา”
แลว้ กล่าวคาถาว่า
“บุคคลพึงระวังภัยท่ีควรระวัง พึงป้องกันภัยที่ยังมาไม่ถึง เพราะ
เกรงต่อภยั ทีย่ ังไมม่ าถึง ธรี ชนจึงพิจารณาเห็นภยั ในโลกทงั้ สอง คือ ทัง้
ในอดีต และอนาคต” ดังนี้
พระศาสดาครั้นทรงน�าพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุม
ชาดกว่า เทวดาผูบ้ ังเกดิ ณ ตน้ อัสสตั ถพฤกษ ์ (ต้นโพธิ)์ ในครง้ั นัน้ ได้
เป็นพระสารีบุตร ส่วนเทวดาผบู้ งั เกิด ณ ต้นสะเดาในครง้ั นัน้ ได้เปน็
เราตถาคต ฉะน้แี ล
ชาดกเร่ืองนี้ให้ข้อคิดว่า ภัย กล่าวคือส่ิงที่น่ากลัว เพราะท�า
อนั ตรายแกท่ รพั ยส์ มบตั ิ เกยี รตยิ ศ ชอ่ื เสยี ง สขุ ภาพ พลานามยั ความ
เปน็ อสิ ระ และชีวติ น้ัน เปน็ ส่งิ ท่ใี คร ๆ ไม่ควรประมาทหรอื ดหู ม่ินวา่
เป็นของเล็กนอ้ ย ควรรีบรสู้ ถานการณเ์ พ่ือก�าจัดใหห้ มดส้ินไป หรือตั้ง
รับให้อยู่ ไม่ต้องกอบกู้ภัยในภายหลัง ดุจดังรุกขเทวดาท่ีสิงอยู่ท่ีต้น
สะเดา เมื่อเห็นโจรมานอนพักที่โคนต้นสะเดา จะเป็นเหตุก่อภัย
อนั ตรายแก่ตน้ สะเดา กร็ ีบไลอ่ อกไปใหพ้ น้ จากตน้ สะเดาเสยี
อนงึ่ สา� หรบั ธรี ชนผฉู้ ลาด มใิ ชแ่ ตจ่ ะพจิ ารณาเหน็ สาเหตเุ ฉพาะ
หนา้ เทา่ นน้ั แตส่ ามารถพจิ ารณาเหน็ เหตกุ ารณใ์ นอดตี และเหตกุ ารณ์
ในอนาคตมาประกอบการปฏบิ ตั กิ รณยี กจิ ในปจั จบุ นั ดว้ ย เชน่ เดยี วกบั
รกุ ขเทวดาโพธสิ ตั วม์ องเหน็ เหตกุ ารณท์ ต่ี น้ สะเดาเคยถกู ตดั กงิ่ มาแลว้
ในอดตี และจะถูกตัดอีกในอนาคต จึงป้องกนั โดยการไล่โจรไปใหห้ า่ ง
ไกลจากตน้ สะเดา ฉะนัน้
(ปจุ ิมนั ทชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย
ชาดก จตกุ กนิบาต เล่ม ๓๑ หน้า ๓๒๗)
489
490
ปัญญาประเสรฐิ กวา่ ทรพั ย์
“ถงึ ส้ินทรพั ย์ ผู้มีปญั ญากเ็ ป็นอยู่ได้
แตอ่ ับปญั ญา แม้มีทรพั ย์กเ็ ป็นอยู่ไม่ได”้
ครง้ั หนงึ่ บณั ฑติ จา� นวน ๕ คน คอื เสนกะ ปกุ กสุ ะ กามนิ ทะ เทวนิ ทะ และมโหสถ
ไดเ้ ข้าเฝา้ พระเจา้ วเิ ทหราช แห่งกรุงมถิ ิลา แควน้ วิเทหะ พระเจ้าวเิ ทหราชน้นั ทรงมพี ระ
ราชปุจฉาว่า “บรรดาคน ๒ จา� พวก คือ คนสมบูรณด์ ้วยปญั ญา แตเ่ สอื่ มจากสริ ิ และคน
มียศ แต่ไร้ปญั ญา นักปราชญ์ยกย่องใครว่าประเสริฐ”
บัณฑิต ๒ คน คอื เสนกบณั ฑิตและมโหสถบัณฑิต เป็นผูก้ ราบทูลถวายวสิ ัชนา
โดยเสนกบัณฑิตกราบทลู ก่อน มีข้อความตอนหนึ่งซงึ่ ยืนยนั ว่า สิริและยศประเสริฐกวา่
ปัญญา ข้อความน้นั คือ “ข้าแต่จอมประชาราษฎร์ คนฉลาดและคนเขลา คนบริบรู ณ์
ดว้ ยศลิ ปะและหาศิลปะมิได้ แม้มชี าติสงู ก็ย่อมเป็นผรู้ บั ใชข้ องคนหาชาตมิ ิได ้ แต่มยี ศ
ข้าพระองค์เห็นความดังนี้จึงขอทูลว่า คนมีปัญญาเป็นคนต่�าต้อย คนมีสิริแลเป็นคน
ประเสริฐ”
ส่วนมโหสถบัณฑิตยืนยันว่า ปญั ญาประเสรฐิ กว่าสริ ิและยศ ดงั ขอ้ ความตอนหน่ึง
ว่า “คนเขลาถงึ จะมยี ศ ก็เป็นคนรับใชผ้ ู้มีปญั ญา เมอ่ื กจิ การตา่ งๆ เกิดข้ึน คนฉลาดย่อม
จดั แจงกจิ การอนั ละเอยี ดไดแ้ นบเนยี น สว่ นคนโงย่ อ่ มประสบความมดื มนในกจิ การนนั้ ๆ”
ครั้นสิ้นสุดการถวายค�าตอบปัญหา ซึ่งมีจ�านวนหลายข้อ พระเจ้าวิเทหราชทรง
โสมนัสด้วยปญั หาพยากรณ์ของมโหสถบณั ฑติ ดงั คา� ยกยอ่ งตอนหนึ่งว่า “พระราชาทรง
ปกปอ้ งมโหสถบณั ฑติ แมพ้ ระชนมช์ พี กท็ รงสละได ้ ปญั ญามปี ระโยชนใ์ หญห่ ลวง เปน็ สงิ่
ละเอยี ด เปน็ เหตใุ หค้ นเรามคี วามคดิ ในทางทดี่ ี ยอ่ มมเี พอื่ ประโยชนเ์ กอื้ กลู ในปจั จบุ นั และ
เพ่อื ความสขุ ในภายหน้า” จากนั้นได้พระราชทานรางวลั จา� นวนมากแกม่ โหสถบัณฑติ
อุทาหรณ์เรื่องนี้มีว่า ปัญญาเป็นเครื่องเพ่ิมพูนเกียรติคุณและชื่อเสียง เพราะ
เกียรติคุณคือคุณที่เล่ืองลือและค�าสรรเสริญนั้น คนมีปัญญาจะคิดได้ท�าได้ ในส่ิงท่ี
อ�านวยคณุ ประโยชนแ์ กค่ นเป็นอนั มาก คนขาดปญั ญาไม่มีเชน่ นัน้ สงั คมโลกท้งั อดีต
ท้งั ปัจจุบัน มคี วามสะดวกความเจริญก้าวหนา้ เพราะอาศยั คนที่มพี ลงั ปญั ญาช่วยกัน
สร้างสรรค์ วิญญูชนจะกล่าวขวัญถึงด้วยความยกย่องเทิดทูนทุกเมื่อ อนุสาวรีย์ของ
บคุ คลสา� คญั ทเี่ กดิ ขน้ึ มา ยอ่ มสอ่ งถงึ อานภุ าพแหง่ ปญั ญาคณุ ของบคุ คลนนั้ ๆ เปน็ หลกั
แสดงวา่ ปญั ญาเป็นเครอ่ื งเพิม่ พนู เกยี รติคุณและช่อื เสยี งโดยแท้จรงิ
(มโหสถชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย
ชาดก มหานบิ าต เลม่ ๓๖ หน้า ๒๙๖)
491
492
แปลงวิกฤตเิ ปน็ โอกาส
“ความไดป้ ญั ญาใหเ้ กดิ สุข”
คร้ังหน่ึง พระญาติของพระพุทธเจ้าท้ังฝ่ายศากยวงศ์และโกลิยวงศ์
ให้กั้นแม่นา้� ชอื่ โรหิณ ี ดว้ ยทา� นบเดยี วกนั ในระหวา่ งนครกบลิ พสั ดก์ุ บั นคร
โกลิยะ ถึงตน้ เดือน ๗ เม่อื ขา้ วกลา้ เหีย่ วแห้ง พวกกรรมกรของนครทงั้
สองฝ่ายประชุมกันหารือเรื่องการน�าน้�าเข้านา แต่น�้านั้น เมื่อถูกฝ่ายใด
นา� ไป อกี ฝ่ายหนึ่งก็จกั มนี า�้ ไมพ่ อ ฝา่ ยทไี่ ด้น้า� ขา้ วกล้าก็จะงอกงามเติบโต
ในขณะที่ขา้ วกลา้ ทไี่ มม่ ีน้�า ต้องเฉาตายไป ต่างก็ยกเหตจุ า� เปน็ ท่ีตอ้ งใช้น�า้
กอ่ น
ในท่สี ดุ ตกลงกันไม่ได้กลบั กลายเป็นข้อพพิ าท จนถงึ ข้ันประหารกัน
เรื่องลกุ ลามถึงอ�ามาตย์ จงึ กราบทลู แกร่ าชตระกลู ของแต่ละฝ่าย ทั้งฝ่าย
เจา้ ศากยะและเจา้ โกลยิ ะ คดิ เหน็ เปน็ เรอื่ งเสอ่ื มเสยี ตอ้ งการแสดงเรย่ี วแรง
และก�าลงั ใหป้ รากฏ จึงตระเตรยี มการรบออกไปพรอ้ มที่จะต่อสู้กนั
พระบรมศาสดาทรงทราบเรอ่ื ง จงึ เสดจ็ ไปยงั สถานท่ีน้ัน พระญาติ
ท้ังหลายเห็นพระองค์แล้วพากันทิ้งอาวุธ พระองค์ตรัสถามว่า “นี้ชื่อว่า
ทะเลาะอะไรกัน”
พระญาติกราบทูลวา่ “ทะเลาะกนั เพราะน�้า พระเจา้ ขา้ ”
พระศาสดาตรัสถามวา่ “นา้� ตีราคาเทา่ ไร มหาบพิตร”
พระญาตกิ ราบทลู วา่ “มรี าคานอ้ ย พระเจา้ ข้า”
พระศาสดาตรัสวา่ “กษตั รยิ ์ทั้งหลายมีราคาเท่าไร มหาบพติ ร”
พระญาติกราบทูลว่า “ขน้ึ ช่อื ว่ากษัตรยิ ท์ ั้งหลาย หาค่าเปรยี บมไิ ด้”
พระศาสดาตรัสว่า “ก็การที่ท่านท้ังหลาย ยังพวกกษัตริย์ซ่ึงหาค่า
เปรียบมิได้ให้ล้มตาย เพราะอาศัยน�้า ซึ่งมีประมาณราคาน้อย ควรแล้ว
หรอื ”
493
พระญาตเิ หลา่ นนั้ ตา่ งพากนั นง่ิ พระศาสดาตรสั เตอื นพระ
ญาตเิ หลา่ นนั้ แลว้ ไดท้ รงภาษติ พระคาถาวา่ “ในหมมู่ นษุ ยผ์ มู้ เี วร
กนั พวกเราไม่มีเวร เป็นอยู่สบายดหี นอ เมื่อหม่มู นุษยม์ ีเวรกนั
พวกเราจะอยู่อย่างไม่มีเวร ในหมู่มนุษย์ผู้มีความเดือดร้อนกัน
พวกเราไมม่ ีความเดือดรอ้ น เปน็ อย่สู บายดีหนอ เม่อื หมูม่ นษุ ย์
มคี วามเดือดรอ้ นกัน พวกเราจะอยอู่ ยา่ งไมม่ คี วามเดือดรอ้ น ใน
หมมู่ นุษย์ผูว้ ุ่นวายกัน พวกเราไมม่ คี วามวุน่ วาย เปน็ อยสู่ บายดี
หนอ เมอ่ื หมูม่ นษุ ยม์ ีความวุ่นวาย พวกเราจะอย่อู ย่างไมม่ คี วาม
ว่นุ วาย”
อทุ าหรณน์ ้แี สดงใหเ้ ห็นวา่ บุคคลโดยมากมกั มคี วามสขุ
ความสา� ราญ ในเมอื่ ไดร้ บั วตั ถสุ ง่ิ ของดงั ทต่ี อ้ งการ หากขาดไป
หรือไม่มีมากพอ ก็แสดงอาการไม่สบายใจ เป็นทุกข์กระสับ
กระสา่ ย หรอื เมอ่ื กระทบกบั เรอื่ งรา้ ยเรอ่ื งเศรา้ กเ็ กดิ ความทกุ ข์
โทมนัสเกนิ ไป และจะยินดปี รีดาเกินเหตุในเมอื่ ประสบความ
สมหวัง สาเหตทุ ง้ั หมดนนั้ เพราะไมพ่ ิจารณาให้เหน็ ความจรงิ
ของสรรพสิ่งตามท่ีกล่าวแล้ว ส่วนผู้มีปัญญา แม้จะประสบ
วิกฤติใดๆ ทั้งด้านวัตถุ และด้านจิตใจ ก็สามารถประคับ
ประคองตนเองและผเู้ กย่ี วขอ้ งใหอ้ ยไู่ ดต้ ามปกติ ไมเ่ ดอื ดรอ้ น
มากนกั ไมย่ ดึ ตดิ กบั อะไรๆ พยายามแปลงวกิ ฤตใิ หเ้ ปน็ โอกาส
หรอื เปลยี่ นหายนะใหเ้ ปน็ วฒั นะไดใ้ นทสี่ ดุ โดยทไ่ี มม่ ใี ครตอ้ ง
เดอื ดร้อน และอยดู่ ้วยความสงบเย็น ในทา่ มกลางแหง่ ความ
วุ่นวาย ดว้ ยประการฉะน้ี
(ญาตกานัง กลหวปู สมนวตั ถุ อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ธรรมบท สขุ วรรค เล่ม ๑๘ หน้า ๒๖๖)
494
495
รอดดว้ ยปญั ญา
“คนทเี่ ขลาและใจโลเล ถงึ จะมีลมหายใจเป็นรอ้ ยปี
กส็ ู้คนมีปัญญาทมี่ ีชีวติ อยเู่ พียงวันเดยี วไม่ได”้
ครัง้ หนงึ่ พระโพธสิ ตั วเ์ กิดในตระกูลสตั ถวาหะ นา� กองเกวยี น ๕๐๐
เล่ม ไปค้าขายในต่างแดน ทางเดินของเกวียน ๕๐๐ เล่ม ต้องผ่านแดน
อมนษุ ย์กันดาร คือสถานทมี่ ีพวกอมนุษยค์ อยดักท�าร้าย เมอ่ื กองเกวียนเดนิ
ทางไปถึง ณ แดนน้นั ได้พบเกวียนนอ้ ยคันงามสวนทางมา เกวียนนั้นเทยี ม
ด้วยโคเผือกท้ังคู่ ผู้น่ังอยู่บนเกวียนแต่งกายประหลาด ประดับด้วยสายบัว
ต่างชนิด ล้อเกวียนเปื้อนเปรอะไปด้วยโคลน มีบริวารติดตามมากลุ่มหนึ่ง
ทกุ คนตา่ งประดบั ด้วยสายบวั ขบเคยี้ วเหงา้ บวั เปน็ อาหารตลอดทาง เกวียน
น้อยได้มาหยุดเบ้ืองหนา้ พระโพธสิ ัตว์ หลังจากไดท้ ักทายกนั พอสมควรแล้ว
บรุ ษุ ทีอ่ ยูใ่ นเกวยี นนอ้ ยแนะน�าใหท้ ้งิ น�้าและเสบยี งเสยี เพ่ือใหเ้ กวียนเบา จะ
ไดเ้ ดนิ ทางไดเ้ รว็ อา้ งวา่ ทางขา้ งหนา้ มฝี นชกุ อดุ มดว้ ยนา�้ และธญั ญาหาร โดย
ชี้ให้ดโู คลนที่ติดลอ้ เกวยี นและดอกบวั เหงา้ บวั เป็นพยาน แลว้ หลีกไป
พระโพธิสัตว์ทรงพิเคราะห์ด้วยปัญญาแล้ว เห็นมีพิรุธหลายประการ
จึงสั่งให้ลูกเกวียนเข้มงวดการใช้เสบียงอาหาร โดยเฉพาะน้�าให้ใช้โดย
ประหยดั ในกรณที จี่ า� เปน็ เมอ่ื ลกู เกวยี นถามวา่ เหตใุ ดจงึ ไมเ่ ชอ่ื บรุ ษุ บนเกวยี น
น้อย ท้งั ๆ ทเี่ ห็นโคลนติดล้อเกวยี น ดอกบัวและเหง้าบัวทีพ่ วกเขาเคย้ี วกนิ
อยู่ แสดงวา่ ทางข้างหน้ามีฝนตกชกุ และเจ่ิงนองด้วยน�้าจรงิ พระโพธสิ ตั ว์จงึ
ชี้แจงขอ้ สงสัยแกล่ กู เกวยี นเปน็ ขอ้ ๆ ดงั น้ ี
๑. หนทางเคยผา่ นมาหลายครัง้ แลว้ ไม่เคยมีแหลง่ น�า้ เลย แต่เหตใุ ด
บุรุษนน้ั จึงอ้างว่ามแี หลง่ นา้� เลา่
๒. ธรรมดาว่าฝนท่ีตกชุก จะมีลมฝนแผ่กระจายกว้างประมาณ ๑
โยชน์ แตท่ ิวไมท้ ี่บุรุษน้นั อา้ งวา่ มฝี นตกชุกอยูไ่ กลไม่ถงึ โยชน์ แต่ไม่มีลมพัด
ผา่ นเลย แสดงวา่ ทวิ ไมท้ ่ีเห็นเป็นภาพลวงตา
496
๓. ถา้ มฝี นตกหนกั จรงิ จะปรากฏกอ้ นเมฆหนาใหเ้ หน็ เปน็ ระยะทาง
หลายโยชน ์ แต่ขณะนม้ี องไมเ่ ห็นเมฆแม้สกั กอ้ นเดียว
๔. ก่อนฝนตกจะปรากฏแสงฟา้ แลบและเสียงฟา้ รอ้ งใหเ้ หน็ ขณะนี้
ไม่มีใครได้เห็นแสงฟ้าแลบและเสียงฟ้าร้องเลย และจะอ้างว่ามีฝนตกชุก
ไดอ้ ยา่ งไร
๕. ขอ้ สงั เกตท่ีสา� คัญ คอื บุรษุ บนเกวียนนอ้ ยมตี าแดง ทา่ ทางกล้า
หาญ แตไ่ มย่ อมสบตาคน ทัง้ ไม่มีเงาตนเองในกลางแดด บุรษุ ผูน้ ัน้ น่าจะ
เปน็ อมนุษย์ปลอมมาลวงพวกเรา เพือ่ ให้ทง้ิ เสบยี งและน�้า จะไดอ้ อ่ นกา� ลัง
และโจมตไี ดง้ ่ายข้ึน
เหล่าลูกเกวียนได้ฟังเหตุผลดังนั้น จึงยอมเชื่อปัญญาของนายกอง
เกวยี น ออกเดนิ ทางดว้ ยความระมดั ระวัง ไม่ชา้ ก็ไดพ้ บซากกองเกวียนอนื่
ท่ลี ว่ งหนา้ มาประสบความหายนะจากอมนษุ ยพ์ วกเดียวกันนนั้ เอง
ชาดกเรอ่ื งน้ใี ห้ขอ้ คิดวา่ ในสังคมปจั จุบันถอื ว่าเปน็ ยุคของข้อมูล
ขา่ วสาร แตล่ ะคนย่อมจะไดร้ บั ขอ้ มูลข่าวสารอยู่เป็นประจา� จา� เป็นตอ้ ง
ใช้ปัญญาเป็นเคร่ืองพิจารณาแยกผิดแยกถูกให้ได้ จึงจะเกิดคุณ
ประโยชนอ์ ยา่ งแทจ้ รงิ หากใชแ้ ตเ่ พยี งศรทั ธา ความเชอ่ื โดยไมม่ ปี ญั ญา
กา� กับ ก็จะได้รับสง่ิ ทีไ่ มน่ ่าปรารถนา ข้อน้ีมีปรากฏให้เหน็ อยเู่ สมอ ๆ
(อปณั ณกชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก เอกนิบาต เล่ม ๒๘ หน้า ๑๗๙)
497
498
ฤกษง์ ามยามดี
“ประโยชนเ์ ป็นตวั ฤกษข์ องประโยชนเ์ อง
ดวงดาวทง้ั หลายจักทา� อะไรได”้
ในอดีตกาล คร้ังพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี
ครง้ั นน้ั มคี รอบครวั ชาวเมอื งครอบครวั หนงึ่ พากนั ไปสขู่ อลกู สาวครอบครวั
ชาวชนบทมาเป็นสะใภ้ เม่ือตกลงกันในเร่ืองสินสอดทองหมั้นและอื่นๆ
เรียบร้อยแล้ว จึงก�าหนดวันประกอบพิธีแต่งงาน เมื่อถึงวันก�าหนด
ครอบครวั ชาวเมอื งนัน้ จึงถามอาชวี กผคู้ นุ้ เคยวา่ “ข้าแต่ท่านอาชวี กผ้เู จรญิ
วันน้ี พวกกระผมจะประกอบพิธีแต่งงานลูกชายกับลูกสาวชาวชนบท จึง
ขอเรียนถามวา่ จกั ประกอบพิธีในวันนี้ไดห้ รือไม ่ ขอรบั ?”
อาชีวกน้ันรู้สึกไม่พอใจกับครอบครัวนั้นมาก่อน เนื่องจากพากัน
ก�าหนดวันแตง่ งานแล้ว จึงมาถามตนในภายหลัง เพราะความไม่พอใจน้นั
จึงคดิ จะแกล้ง ดังนั้นจึงตอบไปว่า “วันนฤ้ี กษไ์ มง่ ามยามไม่ดีดอก เพราะ
เปน็ วนั โลกาวนิ าศ หา้ มประกอบพธิ มี งคลใด ๆ ถา้ ขนื กระทา� กจ็ กั เกดิ ความ
พินาศยอ่ ยยบั หาความเจริญความส�าเร็จอะไรไมไ่ ด้ อย่ากระท�ากันเลย”
ครอบครวั ชาวเมอื งไดฟ้ งั อาชวี กกลา่ วเชน่ นน้ั บางคนกเ็ ชื่อ แตบ่ าง
คนกไ็ มเ่ ช่อื จึงปรึกษากนั ว่าจะทา� อย่างไร โดยคนพวกหน่ึงกลา่ วว่า “อนั
ฤกษย์ ามนัน้ เป็นสง่ิ ทม่ี มี านานแล้ว พวกเราบางคนในที่นแ้ี ม้ไมเ่ ชอ่ื แตก่ ็ไม่
ควรจะฝนื ฉะนนั้ เม่ือวนั น้ฤี กษไ์ มง่ ามยามไม่ดีดงั ทีท่ า่ นอาชีวกกลา่ วไว้ ก็
ต้องยกเลกิ การประกอบพิธไี ปก่อน แล้วค่อยหาฤกษห์ ายามกนั อกี ครงั้ ”
คนอีกพวกหนึ่งกล่าวว่า “อันฤกษ์ยามนั้นเป็นความเชื่อส่วนบุคคล
ใครจะเชอ่ื กต็ ามใจเถอะ แตจ่ ะนา� ไปใชก้ บั สว่ นรวมคงไมไ่ ด ้ พธิ แี ตง่ งานเปน็
เร่ืองของคนสองฝ่าย คอื ฝา่ ยผูช้ ายกับฝา่ ยผู้หญงิ ฉะนั้น เมือ่ ตกลงว่าจะ
จดั พิธีวันน้ี แลว้ กต็ อ้ งรกั ษาสัญญาต่อกันไว้ ไมค่ วรเล่ือนไปดว้ ยเหตเุ พียง
ฤกษ์ยามตามที่อา้ ง”
ในที่สุดคนที่เช่ือฤกษ์ยามมีจ�านวนมากกว่า ดังนั้นจึงยกเลิกพิธี
499
แตง่ งานตามทต่ี กลงกบั ฝา่ ยหญงิ ไว ้ โดยมไิ ดแ้ จง้ เหตุ อ่ืนไปแลว้ เมือ่ วานนี้ ขอพวกทา่ นพากนั กลับไปเถดิ ”
ขดั ข้องให้ฝ่ายหญงิ ทราบ ครอบครัวชาวเมืองกล่าวว่า “ท่านท้ังหลาย
ทางด้านฝ่ายหญิงเม่ือไม่ได้รับแจ้งเหตุขัดข้อง พวกเรานดั กบั ทา่ นตามทีก่ ลา่ วไวน้ ัน้ จรงิ แตพ่ วกเรา
จงึ เตรยี มงานไปตามปกต ิ โดยเชญิ ญาตพิ น่ี อ้ งและคน มาตามนดั ไมไ่ ด้ เพราะอาชวี กผูเ้ ป็นอาจารยข์ องเรา
รจู้ กั มารว่ มพธิ อี ยา่ งคบั คง่ั จดั เลย้ี งขา้ วปลาอาหารแก่ แจ้งว่า เม่ือวานน้ันเป็นวันโลกาวินาศ วันที่ฤกษ์ไม่
ผมู้ างานอยา่ งสมฐานะ เมอ่ื ถงึ กา� หนดเวลา กไ็ มเ่ หน็ งามยามไมด่ ี หา้ มประกอบพธิ มี งคลใดๆ หากผใู้ ดขนื
ฝา่ ยชายพากนั มาจดั พธิ แี ตง่ งานตามนดั หมาย พากนั กระท�าก็จกั พบกบั ความวิบัต ิ ย่อยยบั หาความเจรญิ
รอไปจนเกือบเที่ยงวันก็ไม่มา ในท่ีสุดก็หารือกันว่า ใดๆ ไม่ได้เลย พวกเราเชื่อในคา� ของอาชีวกน้ัน จึง
จะทา� อยา่ งไร ไมไ่ ดย้ กขนั หมากมาประกอบพิธี”
พวกหนง่ึ กล่าวว่า “วันน้เี ปน็ วันก�าหนดทา� พิธี ครอบครวั ชาวชนบทกลา่ ววา่ “ทา่ นเชอ่ื อาชวี ก
แต่งงานระหว่างคนในเมืองกับพวกเราที่เป็นชาว ผนู้ น้ั จนละเลยขอ้ ตกลงทมี่ ตี อ่ กนั ความเชอ่ื ของพวก
ชนบท แตบ่ ดั นเี้ ลยเวลานดั หมายไปแลว้ กไ็ มป่ รากฏ ท่านท�าให้ท่านนั่นแหละเสียประโยชน์ ฤกษ์จะงาม
ว่า ฝ่ายชายพากันมาประกอบพิธีแต่อย่างใด การ ยามจะดีอยู่ที่การท�าดีท�าชอบ อยู่ท่ีความสะดวก
กระท�าเช่นนี้แสดงว่ามีเจตนาหลอกลวง ไม่จริงใจ สบายในการปฏิบัติ ไม่ได้อยู่ที่อาชีวกหรือดวงดาว
ต่อกัน ท�าให้เกิดความเสียหาย อับอายญาติพี่น้อง ใดๆ เลย เมอ่ื ทา่ นละเลยการทา� ดที า� ชอบ และละเลย
และผมู้ ารว่ มงาน ฉะนนั้ เราอยา่ รอพวกชาวเมอื งอกี ความสะดวกสบาย ทา่ นจึงไดพ้ ลาดจากการแต่งงาน
เลย เราจะยกลูกสาวใหแ้ ตง่ งานกบั คนอ่ืนทเี่ ป็นชาว ไปแล้ว เราไม่สามารถจะพาลูกสาวมาเข้าพิธีกับคน
ชนบทด้วยกันในวันนี้เถอะ” เสียงคนเห็นด้วยกับ ของท่านได ้ เพราะนางเข้าพธิ ีกบั คนอืน่ แลว้ ”
ความคิดนมี้ ีเป็นจา� นวนมาก ท้ังสองฝ่ายถกเถียงกันไปมาอยอู่ ย่างนั้น โดย
ในท่ีสุด ครอบครัวเจ้าสาวก็ยกลูกสาวให้ ยงั ไมม่ ที ที า่ วา่ จะยอมกนั ระหวา่ งนน้ั เองมบี รุ ษุ ผเู้ ปน็
แต่งงานกับชายหนุ่มชาวชนบทด้วยกันในวันน้ันเอง บัณฑิตคนหนึ่งผ่านไปยังสถานที่ตรงนี้ด้วยกิจธุระ
พิธีต่างๆ ด�าเนินไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีใคร บางอย่าง ได้ยินท้ังสองฝ่ายถกเถียงกัน จึงพูดว่า
คดั คา้ นแมแ้ ตค่ นเดยี ว ทกุ คนทมี่ ารว่ มพธิ นี น้ั ไมม่ ใี คร “ฤกษย์ ามไม่จ�าเป็นตอ้ งมดี อก เพราะการได้เจา้ สาว
กล่าวถึงฤกษ์ยามแตอ่ ยา่ งใด มาก็เป็นฤกษ์ยามอยใู่ นตวั แลว้ ” จากนนั้ กล่าวต่อว่า
วันรุ่งข้ึน ครอบครัวชาวเมืองก็พากันยก “คนเขลามกั จะพลาดจากประโยชน ์ เพราะมวั แตค่ อย
ขนั หมากมาประกอบพธิ แี ตง่ งานกบั สาวชนบทคนนน้ั กระท�าตามฤกษ์ยาม การไดป้ ระโยชนต์ ามตอ้ งการ
ซ่ึงได้เข้าพิธีแต่งงานกับชายอ่ืนไปแล้วเม่ือวาน เม่ือ เปน็ ฤกษเ์ ปน็ ยามในตวั ดวงดาวหรอื ใครกก็ า� หนดให้
มาถึงครอบครัวชาวชนบทจึงกล่าวว่า “พวกท่านนัด ไม่ได้”
วา่ จะพาลกู ชายมาประกอบพธิ แี ตง่ งานกบั ลกู สาวของ ค�าพดู ของบุรุษผเู้ ปน็ บณั ฑิตน้นั ท�าให้ทงั้ สอง
เราเมอื่ วานน ี้ แตก่ ไ็ มไ่ ดม้ าตามทต่ี กลงกนั ไว ้ และไม่ ฝา่ ยฉกุ คดิ ไดว้ า่ ฤกษง์ ามยามดไี มไ่ ดอ้ ยทู่ ไ่ี หน แตอ่ ยู่
ไดแ้ จ้งสาเหตุขดั ขอ้ งใดๆ ให้ทราบ พวกเราคอยพวก ที่การกระทา� ดี สว่ นวนั เวลาทร่ี ะบุไว้ลว่ งหนา้ ว่า เปน็
ท่านจนเกือบจะเท่ียงวัน พวกท่านก็ไม่มา ดังน้ัน ฤกษ์งามยามดี โดยอ้างว่าเป็นอิทธิพลของดวงดาว
พวกเราจงึ ยกลกู สาวของเราใหเ้ ขา้ พธิ แี ตง่ งานกบั ชาย นน้ั ถา้ รอใหถ้ งึ ฤกษย์ ามนนั้ แลว้ จงึ คอ่ ยทา� กจิ การงาน
500