The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คติชีวิตจากชาดก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ict.sesaosp, 2022-12-17 20:53:51

คติชีวิตจากชาดก

คติชีวิตจากชาดก

บญุ ทใี่ ห้ทานแกป่ ลา

“เงินรบั ใช้คนมีปญั ญา แตบ่ ังคบั บัญชาคนโง่

การเนรคณุ คน อับจนตลอดชีวติ ”

คร้ันสมัยที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นกุฎุมพี ตระกูลพ่อค้า
ตระกลู หนง่ึ ในเมอื งพาราณสี พระโพธิสัตวม์ นี อ้ งชายรว่ มบิดามารดาอยู่
คนหนงึ่ ครนั้ บดิ ามารดาเสยี ชวี ติ ลงดว้ ยโรคชรา บดิ าสง่ั ความไวก้ อ่ นสนิ้ ลม
ว่า ให้ไปทวงถามหนี้สินกับเพอ่ื นท่ยี ืมไปนานแล้วกลบั คืนมา

พ่อค้าสองพน่ี ้องจงึ เดินทางดว้ ยเรือไปทวงหน ้ี เมอื่ ไปถงึ บ้าน ลูกหน้ี
ไดใ้ หก้ ารตอ้ นรบั อยา่ งดยี ง่ิ พรอ้ มสง่ หนค้ี นื แตโ่ ดยด ี ทา� ใหส้ องพนี่ อ้ งไมต่ อ้ ง
เหนอ่ื ยใจในการทวงถาม ครัน้ เมอ่ื เสรจ็ ธุระแล้ว จึงนงั่ เรอื พายกลับมายังที่
อยู่ ระหว่างทางไดแ้ วะจอดพกั เพื่อบริโภคอาหาร

พอ่ คา้ ผพู้ จี่ งึ ไปหงุ หาอาหาร โดยมนี อ้ งชายคอยชว่ ย เมอื่ อาหารเสรจ็
แล้วจึงได้บริโภคกันอย่างอิ่มหน�าส�าราญ เมื่ออิ่มท้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พอ่ คา้ พจ่ี งึ นา� เศษอาหารไปโปรยใหแ้ กฝ่ งู ปลาในแมน่ า้� พรอ้ มสวดคาถาอทุ ศิ
ส่วนบุญกุศลให้สรรพสัตว ์ พรอ้ มท้ังเทวดาทแ่ี ม่น้�านัน้ ด้วย

ระหวา่ งทพ่ี อ่ คา้ ผพู้ ก่ี า� ลงั โปรยอาหารใหแ้ กฝ่ งู ปลาอยนู่ น้ั พอ่ คา้ ผนู้ อ้ ง
ซงึ่ มสี นั ดานโจรมาตง้ั แตเ่ ดก็ จงึ คดิ คดโกง เพราะไมอ่ ยากใหเ้ งนิ ในถงุ นต้ี อ้ ง
ถูกแบ่งออกเปน็ สองสว่ น อยากไดไ้ วเ้ สยี แตผ่ เู้ ดยี ว พ่อคา้ นอ้ งจงึ น�าหอ่ ผา้
มาใสก่ ้อนดนิ ใหห้ นักเหมอื นถงุ เงนิ แลว้ ซ่อนไวก้ ับตวั ในท่ลี ับตา

จากน้ัน สองพ่ีนอ้ งจึงพายเรือกลบั ระหวา่ งทางทย่ี งั ต้องพายเรอื อีก
ยาวไกลน้นั พ่อคา้ น้องจงึ เสแสรง้ กล่าวว่า

“ท่านพน่ี อนพักเสียกอ่ น ฉนั จะพายเรือเองไปเรื่อยๆ เหน่อื ยเมอื่ ไร
จะปลุกให้พมี่ าเปน็ คนพายดีไหม?” พอ่ ค้าน้องวางแผนการในทันใด “อืม!
ก็ดีเหมือนกัน พ่ีว่าให้น้องพักก่อนจะดีกว่า พ่ีจะพายให้เอง” พ่อค้าพ ี่
เสียสละ เพราะฐานะตวั เองเป็นพี่ตอ้ งเสยี สละเพื่อน้องเสมอ

301


“ไมเ่ ปน็ ไรหรอก ฉนั ยงั อยากพายอย ู่ พพี่ กั กอ่ น ไปหาครอบครัว ฝ่ายพ่อค้าน้องน้ันต้องรีบเข้าห้อง

เถอะ” พ่อคา้ น้องแกล้งกะตอื รอื รน้ เปดิ ถงุ เงนิ ในทนั ที หลงั จากเปิดถุงเงินออกมาดูแลว้

เม่ือตกลงกนั วา่ พ่อคา้ พีไ่ ดพ้ ักกอ่ น พอ่ คา้ นอ้ ง ถงึ กบั ตกใจแทบเปน็ บา้ เพราะถงุ เงนิ ทเี่ ขาหวงั ไวน้ น้ั

จึงรอจนพี่หลับสนิทแล้ว รีบไปหยิบถุงเงินมาเปล่ียน กลายเป็นก้อนดนิ ทง้ั ถงุ แสดงว่าเขาทิ้งถุงเงินท้ังถุง

กบั ถงุ ดิน จากนัน้ ก็ซอ่ นไว้ใกลต้ วั ท้งั สองถุง แผนการ ลงแม่น้า� พ่อค้าน้องถึงกับเขา่ ออ่ น จงึ ทรดุ ตวั ลงกบั

ท่ีเตรียมไว้ข้ันต่อไปคือเมื่อพายเรือมาได้ครึ่งทางแล้ว พ้นื บ้านอย่างหมดอาลัยตายอยาก

จึงแกล้งท�าให้เรือโคลงเคลงเหมือนจะล่ม พ่อค้าพี่ ตั้งแต่น้ันมา พ่อค้าน้องจึงเหมือนเป็นคนบ้า

ตกใจตน่ื โดยทนั ท ี เปน็ จงั หวะใหพ้ อ่ คา้ นอ้ งไดแ้ สรง้ ทา� ไม่ยอมออกจากห้องเก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่ยอมออก

เปน็ วนุ่ วายตนื่ กลวั ประคองถงุ เงนิ แลว้ แกลง้ ทา� ถงุ เงนิ ไปไหน เพราะความตรอมใจในการกระท�าของตน

หล่นลงไปในน้�า เพื่อให้พี่ชายได้เห็นอย่างชัดเจนว่า ฝา่ ยพช่ี ายอยอู่ ยา่ งเปน็ สขุ ตลอดมา จนถงึ กาล

เงินไดต้ กน้า� ไปแล้ว จะได้เงินคืน เทวาสมุทรจึงดลให้คนต่างถิ่นจับปลา

“ท่านพี่ ฉันขอโทษที่ท�าถุงเงินหล่นไปแล้ว” ตัวใหญ่ท่ีมีถุงเงินอยู่ในท้องได้ และเมื่อชาวประมง

พอ่ คา้ นอ้ งแกลง้ ทา� หนา้ เศรา้ สา� นกึ ผดิ ทงั้ ทถ่ี งุ เงนิ ซอ่ น น�าปลาไปขายที่ตลาด จึงตั้งราคาขายในราคาแพง

อยอู่ กี หน่งึ ถุงอย่างระมดั ระวัง มาก ไมม่ ชี าวบ้านคนไหนซ้อื เลย เทวาสมทุ รจงึ ให้

“ไมเ่ ปน็ ไร เจา้ อยา่ เสยี ใจไปเลย เงนิ ทองหาใหม่ ชาวประมงนา� ปลาไปขายตามหมูบ่ ้านอนื่ แทน

ไดเ้ สมอ แตช่ วี ติ หาใหมไ่ มไ่ ดเ้ อาชวี ติ ใหร้ อดกอ่ นเถอะ ด้วยอานุภาพของท่านเทวาสมุทรน้ันจึงท�าให้

น้องพ่”ี พอ่ คา้ พเ่ี สียดายเงินจ�านวนมากกจ็ ริงอยู่ แต่ ชาวประมงร้องเร่ขายปลามาถึงหมู่บ้านพ่อค้าพ่ี

แม่น�้าที่กว้างใหญ่ขนาดน้ัน ถ้าลงไปงมคงหาไม่เจอ เทวาสมทุ รดลใจใหพ้ อ่ คา้ พไ่ี ปซอื้ ปลาในหมบู่ า้ น แม้

อย่ดู ี จงึ คดิ ปลง ชาวประมงจะต้ังราคาแพงมาก แต่พ่อค้าพี่ก็อยาก

ครั้นแผนการเสร็จได้สมประสงค์ ท�าให้พ่อค้า ได้ปลาไปปรงุ อาหารให้ภรรยาที่ก�าลังตัง้ ครรภ์ได้รับ

นอ้ งยนิ ดนี กั ทจ่ี ะไดเ้ งนิ จา� นวนมากแตเ่ พยี งผเู้ ดยี ว จงึ ประทาน

รบี พายเรอื กลบั อยา่ งรวดเร็ว เพอ่ื ใหถ้ ึงท่พี ักในเรว็ ไว “ท่านชว่ ยลดราคาใหห้ น่อยมิไดห้ รอื ” พอ่ ค้า

กรรมหนอ พอ่ คา้ นอ้ งไมร่ เู้ ลยวา่ ไดห้ ยบิ ถงุ ผดิ พต่ี ่อรองราคาปลา

โยนลงน้�า ถุงเงินที่พ่อค้าน้องหยิบน้ันเป็นถุงดินต่าง “เราตั้งราคาขาย ๑,๐๐๐ บาท แต่ไมม่ ใี คร

หาก เมื่อถุงเงินได้ตกน�้าไปแล้ว ท่านเทวาสมุทรได้ ซื้อเลย เอาอย่างน้ี ท่านไม่ต้องต่อรองราคาหรอก

เห็นถึงความเป็นผู้มีใจบุญ ใจกุศลของพ่อค้าพ่ี จึง เราจะขายให้ท่านเพียงหน่ึงบาทเท่านั้น ท่านเอาไป

บนั ดาลใหป้ ลาตวั ใหญต่ วั หนง่ึ มากลนื กนิ ถงุ เงนิ นน้ั ไป เถอะ เราจะกลบั บ้านเมอื งของเราแล้ว” ชาวประมง

ถงุ เงนิ จา� นวนมากอยใู่ นทอ้ งปลาใหญอ่ ยา่ งครบ พดู กอ่ นจากไป

ถ้วน ทา่ นเทวาสมุทรจงึ สงั่ ให้ปลาตวั ใหญ ่ รกั ษาไว้ให้ ฝา่ ยพอ่ คา้ พเี่ มอื่ ไดป้ ลามาแลว้ จงึ เขา้ ครวั เพอ่ื

ด ี และให้ระลกึ ถงึ ผลบุญทีพ่ อ่ ค้าพ่ีได้ทา� ให้แก่ฝงู ปลา ประกอบอาหาร พอผา่ ทอ้ งปลาออกเทา่ นน้ั เขากพ็ บ

จงึ จะนา� เงนิ น้ีไปคนื ในภายหลงั ถุงเงินถุงใหญ่อยู่ในท้องปลา เขาประหลาดใจมาก

สองพนี่ อ้ งเมอื่ พายเรอื ถงึ ทพี่ กั แลว้ ตา่ งแยกกนั เมื่อเปิดถุงเงินออกมาดู ได้เห็นตราสัญลักษณ์ของ

302


เพ่ือนพ่อท่ีเขียนไว้จึงจ�าได้ และดีใจมากที่ได้เงินหน้ี อีกอย่างหนึ่งที่เห็นกันบ่อยก็คือ ทรัพย์

คืนมา พร้อมคิดทบทวนไปมา ก็ไม่รู้ว่าเงินมาอยู่ใน สมบัติท่ีบุคคลได้มาเป็นของตนจะได้โดยวิธีใด

ทอ้ งปลาได้อยา่ งไร กต็ าม หากบคุ คลนนั้ เปน็ คนไมม่ บี ญุ ทรพั ยส์ มบตั ิ

ขณะนั้น เทวาสมุทรได้ปรากฏร่างให้เขาเห็น น้ันก็อยู่กับเขาได้ไม่นาน ย่อมจะมีเหตุให้สมบัติ

พรอ้ มกบั กลา่ วใหห้ ายสงสยั วา่ “เราเปน็ เทวดาประจา� เหล่านั้น ไปตกอยใู่ นมือของผูม้ ีบุญ ทา่ นเปรียบ

แมน่ ้�าน้ี ทา่ นได้ให้อาหารปลาวันนนั้ แล้วไดอ้ ุทศิ ส่วน คนมีบุญเหมือนกับแอง่ นา้� ใหญ่ น้�าฝนซ่งึ ตกบนท่ี

กุศลแก่เรา เราจึงขอมอบคืนแก่ท่าน ที่เป็นเช่นน้ี ดอนย่อมไหลลงมาสู่แอ่งน�้าน้ันท้ังหมด ฉันใด

เพราะแผนการชั่วของน้องชายของท่านเอง ช่ือว่า ทรพั ย์สมบตั ขิ องผูไ้ ม่มบี ุญก็ย่อมไหลมาสแู่ อ่ง คือ

ความเจริญ ย่อมไม่เกิดแก่คนผู้มีจิตคิดร้ายผู้อ่ืน” ผู้มีบุญทั้งหมด ฉันนน้ั

เสรจ็ แลว้ เทวาสมทุ รไดก้ ลา่ วคาถาวา่ “ผใู้ ดทา� กรรม ๒. การโกหกหลอกลวงคนอื่น จัดว่าเป็น

ชวั่ ลอ่ ลวงเอาทรพั ยส์ มบตั พิ น่ี อ้ งและของพอ่ แม่ ผู้ ความช่ัวร้ายอยู่แล้ว โกหกหลอกลวงพ่ีน้องร่วม

นนั้ จดั วา่ เปน็ ผมู้ จี ติ ชว่ั รา้ ย ยอ่ มไมม่ คี วามเจรญิ แม้ มารดาบิดากัน ยิ่งจัดว่าเป็นความชั่วร้ายหนักข้ึน

เทวดากไ็ มน่ บั ถอื ” ยิ่งโกหกหลอกลวงพ่อแม่ด้วยแล้ว ถือได้ว่าเป็น

เม่ือเทวาสมุทรกล่าวจบ ก็หายร่างไปทันท ี ยอดแห่งความชั่วร้ายท่ีสุด คนเช่นน้ีแม้เทวดาก็

พ่อค้าพี่ได้ฟังดังน้ัน รู้ว่าน้องชายเป็นคนทุจริต จึง รังเกียจ ไม่ยกย่องนับถือ คือเป็นคนท่ีเทวดาไม่

เสียใจมาก และไม่ยุ่งเกี่ยวสงสารอกี ตอ่ ไป คมุ้ ครองนั้นเอง คนเชน่ นีย้ อ่ มไมม่ คี วามปลอดภยั

ชาดกเรอ่ื งน้ีมคี ตสิ อนว่า ในชีวิตและทรัพย์สิน มีเหตุต้องให้เสียทรัพย์อยู่

๑. เร่อื งผลของบญุ เปน็ เรอื่ งอศั จรรย์ ยากที่ เสมอ เดนิ ทางไกลกป็ ระสบเหตรุ ้ายเปน็ ประจา�

จะหยง่ั รแู้ ละหยงั่ ถงึ ดว้ ยสตปิ ญั ญาธรรมดาได้ พอๆ คนท่ีไม่ส�านึกในบุญคุณของคน มีเหตุให้

กับเร่อื งผลของบาป ท่เี รยี กกันว่า เวรกรรม เพราะ ต้องไม่ประสบความส�าเร็จสมหวังและความเจริญ

เปน็ เรอ่ื งทเ่ี กดิ และเปน็ ขน้ึ ไดโ้ ดยไมค่ าดคดิ เมอ่ื ถงึ กา้ วหนา้ ในชวี ติ บางรายอาจโกงพอ่ แมห่ รอื ญาตพิ ่ี

คราวทบ่ี ญุ ซงึ่ ทา� ไวใ้ หผ้ ล กจ็ ะทา� ใหผ้ นู้ น้ั ไดร้ บั ความ น้อง ได้รับสมบัติมาแล้วสามารถเชิดหน้าชูตาอยู่

สุขความเจริญ หรือได้รับความส�าเร็จในชีวิตทันที ในสงั คมได้ แตเ่ มอื่ ใดทรพั ยส์ มบตั ทิ ไ่ี ดม้ าหมดแลว้

บุญบางอย่างท�าให้ชีวิตของผู้น้ันเปลี่ยนแปลงไปใน หน้ากากแห่งความเนรคุณก็เผยออกมา เม่ือน้ัน

ทางท่ีดีข้ึนอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ซ่ึงเรามักจะ แหละ ผู้น้ันอาจกลายเป็นคนที่ตกต่�าและอับจน

เรยี กคนเชน่ นวี้ า่ “บญุ หลน่ ทบั ” หรอื “บญุ บนั ดาล” ถงึ ทีส่ ุด

แม้บาปกเ็ ชน่ เดยี วกนั เมอ่ื ถึงคราวใหผ้ ล ก็ท�าให้ผู้

ท�าบาปไว้ได้รับความเสื่อมความหายนะทันตาเห็น (มจั ฉาทานชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย

ทา� ใหช้ วี ติ ตกอบั คบั แคน้ ลงเรอ่ื ยๆ เชน่ ทา� ใหป้ ระสบ ชาดก ติกนิบาต เล่ม ๓๑ หน้า ๒๓๑)

ความวิบัติทางอาชีพการงาน ถูกถอดยศ ถูก ลด

ต�าแหน่ง ถูกพิพากษาโทษ บางรายถึงกับติดคุก

ติดตารางก็มเี ปน็ จา� นวนมาก

303


304


ไม่ควรพูดให้เกนิ ความจรงิ

“การพูดวาจางาม ยงั ประโยชนใ์ หส้ �าเรจ็ ”

ในอดตี กาล เมอ่ื พระเจา้ พรหมทตั ครองราชสมบตั ิอยู่ในนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นบุตรเศรษฐี ครัง้ น้ัน พระเจา้ พรหมทตั รับสัง่
ให้ขุดสระขนาดใหญ่แห่งหน่ึงภายนอกพระนคร เสร็จแล้วทรงรับสั่งให้ปลูก
บวั ขาว บวั แดง จนเตม็ สระ พรอ้ มทงั้ ทรงตงั้ ชายจมกู แหวง่ คนหนง่ึ เปน็ คนเฝา้
ดูแลสระแหง่ น้ัน

ครั้นตอ่ มา ถึงวนั งานนักขตั ฤกษป์ ระจา� ป ี ลูกชายเศรษฐี ๓ คน มี
ความประสงคจ์ ะประดบั ดอกไมเ้ ลน่ มหรสพ จงึ คดิ กนั วา่ พวกเราจกั พรรณนา
คณุ ของชายจมกู แหวง่ โดยไมเ่ ปน็ ความจรงิ แลว้ จกั ไดด้ อกไมจ้ ากเขา ครน้ั คดิ
กันแล้ว ในเวลาที่ชายจมูกแหว่งนั้นเก็บดอกบัวจึงเข้าไปหา พอไปถึงสระ
ดอกบัวแลว้ ลกู ชายเศรษฐีคนท่ ี ๑ ไดพ้ ูดขอดอกบวั กบั ชายจมูกแหว่งวา่

“พ่ชี าย! ผมและหนวดที่ตดั แล้วโกนแล้ว ยงั งอกขึ้นใหม่ได ้ ฉนั ใด ขอ
จมูกของทา่ นจงงอกข้นึ ใหม ่ ฉันนนั้ ผมขอดอกบัวด้วยครับ”

พอไดย้ นิ เชน่ นนั้ คนเฝา้ สระจมกู แหวง่ กต็ ะเพดิ ขนึ้ ทนั ท ี “ไป..ไปใหพ้ น้
เราไมใ่ ห้เจ้าหรอก”

ลูกชายเศรษฐคี นท ี่ ๑ กลา่ วอ้อนวอนต่อไป “ท่านครับ นึกวา่ กรุณา
พวกเราเถอะ”

“ไปใหพ้ น้ อย่ามาอ้อนวอนเราเลย” ชายจมกู แหว่งพดู ตดั บท แล้วหนั
หลังให ้ ไมย่ อมพูดดว้ ย

ลูกชายเศรษฐีคนที่ ๑ จ�าต้องกลับออกไปด้วยความส้ินหวังท่ีจะได้
ดอกบวั เพียงเท่าน้ี

ต่อจากนั้น ลกู ชายเศรษฐคี นท ่ี ๒ ได้พดู ขอดอกบวั ว่า “พชี่ าย พืชผล
ทเี่ กบ็ ในหน้าแลง้ แล้วน�าไปหวา่ นในนาย่อมงอกงามขน้ึ ฉันใด ขอจมกู ของ

305


ท่านจงงอกงาม ฉันนั้น”
“ออ๋ เจา้ น่ี คงอยากไดด้ อกบวั อีกละซิ” ชายจมูกแหว่ง หันขวบั มา

ตวาดวา่ “ไป...ไปใหพ้ น้ ขา้ ไมใ่ ห้หรอก”
ลูกชายเศรษฐคี นท่ ี ๒ ตอ้ งเดนิ คอตกกลบั ออกไป คราวนถ้ี งึ วาระ

ของพระโพธสิ ตั ว ์ ลกู ชายเศรษฐคี นท ี่ ๓ เดนิ เขา้ ไปหาพลางกลา่ วขน้ึ อยา่ ง
เรยี บๆ วา่

“พี่ชายคนท้ังสองพูดกับท่านเกินความเป็นจริง แต่เอาเถอะ ถึง
อยา่ งไรจมูกของท่านก็ไมม่ ีวันงอกขน้ึ มาไดอ้ กี ผมขอดอกบวั ดว้ ยครับ”

ชายจมกู แหวง่ พอใจจงึ พดู วา่ “สองคนนนั้ พดู มสุ า แตท่ า่ นพดู ความ
จรงิ ดอกบัวท้ังหลายสมควรแกท่ า่ น”

ครน้ั แลว้ จดั แจงเกบ็ ดอกบวั ใหพ้ ระโพธสิ ตั วไ์ ปกา� ใหญ ่ พรอ้ มกลา่ ว
สรรเสรญิ พระโพธสิ ตั วอ์ ยา่ งมากมาย ในฐานะทพี่ ดู ตรงตามความเปน็ จรงิ

ชาดกเรื่องนี้มีคติสอนว่า การพูดเป็นการสื่อสารที่ส�าคัญท่ีจะ
ทา� ใหม้ นษุ ยเ์ รารเู้ รอื่ งทปี่ ระสงคไ์ ด้ แตก่ ารพดู มากไปกไ็ มด่ ี ไมพ่ ดู กไ็ มร่ ู้
เรอ่ื ง การพดู เกนิ ความจรงิ ไปก็ไม่ดี เพราะจะสร้างความร้สู กึ ท่ีไมด่ ีแก่
ผู้ฟัง เร่อื งการพดู ทา่ นจงึ วา่ ต้องพูดให้ถูกกาล พูดค�าสัตย์ ค�าจริง คา�
อิงประโยชน์ พูดค�าอ่อนหวานและมีเมตตา

ทางพระพุทธศาสนาสอนว่า “การเปล่งวาจางามยงั ประโยชน์ให้
สา� เร็จ” การเปล่งวาจางามนั้นคือพดู ความจรงิ พูดสมัครสมานสามคั คี
พดู ไพเราะออ่ นหวาน และพดู ประกอบดว้ ยประโยชน์ พดู ถกู กาลเวลา
ถกู สถานที่ เหมาะกบั บคุ คลหรอื ชมุ นมุ ชน และถกู กบั เรอื่ งราวทพี่ ดู ถา้
จะใหง้ ามจรงิ ๆ กต็ ้องประกอบดว้ ยถ้อยค�า สา� นวน และส�าเนียงทีใ่ ช้
นัน้ ด้วย แมพ้ ดู ความจริงก็ตอ้ งเลอื กพูดเหมือนกนั เชน่ งดเวน้ ไมน่ �า
ค�าดา่ ของฝา่ ยนี้ไปบอกแก่ฝ่ายโน้น เป็นตน้ การเปล่งวาจางามย่อมยัง
ประโยชนต์ นและประโยชน์ผู้อ่นื ใหส้ า� เรจ็ ถือเปน็ ผลดที ง้ั แก่ตนเองทงั้
แกผ่ อู้ น่ื และยงั ประโยชนป์ จั จบุ นั และประโยชนภ์ ายภาคหนา้ ใหส้ า� เรจ็
ด้วย

(ปทุมชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย
ชาดก ตกิ นบิ าต เลม่ ๓๑ หน้า ๗๗)

306


307


ธรรมพิพากษา

“จงใช้ธรรมเป็นอ�านาจ

อยา่ ใช้อ�านาจเปน็ ธรรม”

ในอดีตกาล เม่ือพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในพระนคร
พาราณสี กใ็ นคร้ังนนั้ พระโพธิสัตวเ์ สวยพระชาตเิ ป็นอา� มาตยค์ นสนทิ ผู้
ทา� หนา้ ท่ีในการวินจิ ฉยั อรรถคดตี ่างๆ แทนองค์พระราชา

วันหนึ่ง มีปุโรหิตคนหนึ่งของพระราชาน่ังรถไปบ้านส่วยเพ่ือเก็บ
ภาษอี นั เปน็ รายไดป้ ระจา� ของตน ขณะทร่ี ถของเขาวง่ิ ไปสทู่ างทคี่ บั แคบ ได้
พบหม่เู กวยี นสวนทางมาจงึ สั่งว่า “พวกเจ้าจงหลกี ทางใหเ้ ราเด๋ยี วน”้ี

เมื่อคนพวกนั้นยังชักช้าไม่ทันจะหลีกทางให้ก็โกรธ เพราะความที่
ตนเองเปน็ คนใจรอ้ น จงึ ลงจากรถของตนเดนิ ตรงไปยงั หวั หนา้ เกวยี น เอา
ด้ามปฏักตีไปที่แอกรถของนายเกวียนเล่มแรก แต่ด้ามปฏักนั้นกระทบ
แอกรถแล้วกระดอนกลับมาฟาดหน้าผากของปุโรหิตจนหน้าผากมี
บาดแผล ปโุ รหติ นั้นโกรธมาก รีบไปกราบทลู แดพ่ ระราชาทนั ทวี า่

“ขอเดชะพระอาญามพิ น้ เกลา้ ขา้ พระองคถ์ กู พอ่ คา้ ทา� รา้ ยรา่ งกาย
พระเจา้ ขา้ ”

พระราชาจงึ มรี บั สง่ั ใหต้ า� รวจวงั ไปจบั ตวั หวั หนา้ เกวยี นมาทนั ท ี และ
ทรงกรว้ิ มากท่พี วกพอ่ คา้ ไดท้ า� ร้ายข้าราชการชน้ั ผู้ใหญ่ จึงออกประทับน่ัง
ทา� การวนิ จิ ฉยั คดดี ว้ ยพระองคเ์ อง มไิ ดพ้ จิ ารณาคดใี หร้ อบคอบ แตไ่ ดท้ รง
ตัดสินคดีดังน้ีว่า “พวกเจ้าตีปุโรหิตของเราท�าให้บาดเจ็บ จนเป็นแผลท่ี
หน้าผาก ดงั นน้ั เราจึงขอปรับพวกเจ้าคนละพนั ”

ล�าดับน้ัน อ�ามาตย์คนสนิทคู่พระทัยจึงได้กราบทูลเตือนสติพระ
ราชาพระองคน์ ัน้ ว่า

“ข้าแตม่ หาราชเจ้า พระองค์ยังมิทนั ได้ช�าระคดีความใหช้ ัดแจง้ เลย
แต่ทรงให้ปรับคู่คดีความคนละพันเสียแล้ว ทั้งน้ีก็เพราะว่าในโลกน้ีมีคน
บางจา� พวก แมท้ �าร้ายตนเองก็กลา่ วหาวา่ ถูกคนอืน่ ทา� ร้าย เพราะฉะนน้ั

308


การไมว่ ินจิ ฉยั คดคี วามแลว้ ส่ังการให้ลงโทษไม่สมควรยิง่ ธรรมดาว่าพระ
ราชาผู้ครองราชสมบัติ ต้องใคร่ครวญก่อนแล้วจึงสั่งการจึงจะถูกต้อง
พระเจ้าขา้ ”

จากนั้นพระโพธิสัตว์ผู้เป็นอ�ามาตย์คนสนิทได้กราบทูลด้วยคาถา
เหล่าน้ีวา่

“ขา้ แตพ่ ระราชา บคุ คลทา� รา้ ยตนเองกลบั กลา่ วหาคนอน่ื วา่ ทา� รา้ ย
ตนเองก็ม ี ไปโกงเขาแล้วกลบั หาว่าเขาโกงตนเองก็ม ี จึงไม่สมควรอย่าง
ยงิ่ ทจี่ ะเชื่อคา� ของโจทย์แตเ่ พียงฝา่ ยเดยี ว เพราะฉะนน้ั บุคคลผูเ้ ปน็ เชือ้
ชาติบัณฑิตควรฟังค�าให้การแม้ของฝ่ายจ�าเลยด้วย เม่ือฟังค�าของโจทย์
และจ�าเลยทง้ั สองฝา่ ยแล้ว พงึ ปฏบิ ัติตามธรรม”

“คฤหัสถ์ผู้ครองเรือนเกียจคร้านไม่ดี บรรพชิตผู้ไม่ส�ารวมไม่งาม
พระเจ้าแผ่นดินไม่ทรงใคร่ครวญก่อนแล้วตัดสินคดีความ ก็ไม่เหมาะสม
บัณฑิตมีความโกรธเปน็ ลักษณะประจา� ตวั กไ็ ม่งาม”

“ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ ปน็ เจา้ แหง่ ทศิ พระมหากษตั รยิ ท์ รงใครค่ รวญเสยี
ก่อนแล้วจงึ ควรตดั สนิ ไมท่ รงใคร่ครวญ อยา่ พงึ ตดั สินคดเี ลย อสิ รยิ ยศ
บรวิ ารยศ และเกยี รตคิ ณุ ของพระราชาผทู้ รง ใครค่ รวญแลว้ จงึ ทรงปฏบิ ตั ิ
ย่อมมีแตค่ วามเจริญ”

พระราชาไดส้ ดับคา� ของพระโพธิสตั ว์แลว้ ทรงวินิจฉัยคดีความเสยี
ใหม่ได้ตัดสนิ โดยความเป็นธรรม เม่ือทรงวนิ ิจฉยั คดีโดยปราศจากอคติ
จึงทรงพบวา่ ปุโรหติ ของพระองคน์ นั้ เองท่ีเป็นฝ่ายผดิ เพราะขาดหลักการ
พิจารณาโดยความเป็นธรรม มีทฏิ ฐิมานะถือตนวา่ เปน็ ใหญ่ จงึ พพิ ากษา
ลงโทษปโุ รหิตฐานใช้อ�านาจกบั ประชาชนโดยไมเ่ ป็นธรรม

ชาดกเรอื่ งนี้มีคติสอนวา่
๑. สังคมมนุษย์ทุกระดับช้ัน จะด�าเนินไปด้วยความสงบสุขข้ึน
อยู่กับผู้น�าในสังคมใช้อ�านาจถูกต้องชอบธรรม ถ้าผู้น�าทุกระดับชั้นใช้
อา� นาจใหถ้ กู ตอ้ งชอบธรรมแลว้ ทกุ คนในสงั คมจะไดร้ บั ความเปน็ ธรรม
ความยตุ ิธรรม และความเสมอภาคโดยทั่วกัน ผู้นา� หรือผูบ้ รหิ าร หาก
บริหารตามอ�าเภอใจ อาจก่อให้เกิดความหายนะแก่ประเทศชาติและ
ประชาชนไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวาง ดงั นนั้ แทนทผ่ี นู้ า� จะบรหิ ารตามอา� เภอใจ

309


ก็เปลี่ยนมา บริหารตามธรรม โดยการถือธรรมเป็นอา� นาจ ไมใ่ ช่ถอื อา� นาจ
เปน็ ธรรม

๒. หน้าที่ส�าคัญของผู้พิพากษา คือการประสิทธิประสาทความ
ยุติธรรมแก่ผู้มีอรรถคดี ซึ่งจักต้องปฏิบัติด้วยความซ่ือสัตย์ สุจริต เที่ยง
ธรรม ถูกต้องตามกฎหมาย และนิติประเพณี ต้องอยู่ในฐานะคนกลาง ไม่
ล�าเอยี งเข้าฝา่ ยใดฝ่ายหนึง่ ดว้ ยอา� นาจ “อคติ” อยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง คือ

- ลา� เอยี งเพราะรักใคร่กนั (ฉันทาคต)ิ
- ล�าเอียงเพราะไมช่ อบกัน (โทสาคติ)
- ลา� เอยี งเพราะกลวั หรอื เกรงใจ (ภยาคต)ิ
- ล�าเอยี งเพราะไมร่ ู้ (โมหาคติ)

อคตทิ ง้ั ๔ ประการนเ้ี ปน็ อาการของความโลภ ความโกรธ ความหลง
นั้นเอง จะแสดงออกมาในรูปของการวินิจฉัยตัดสิน การกระท�าของผู้อ่ืน
แทนทจ่ี ะมองไปทกี่ ารกระทา� เนอื่ งจากใจประกอบดว้ ยอคตขิ อ้ ใดขอ้ หนง่ึ อยู่
กจ็ ะมองไปทผ่ี กู้ ระทา� ซง่ึ ธรรมดาบคุ คลผกู้ ระทา� นนั้ ตนจะตอ้ งมคี วามรสู้ กึ
รัก รสู้ ึกกลวั หรอื ไมร่ ู้ไม่เข้าใจในเหตุผลกไ็ ด้

หลักในการวินิจฉัยตัดสินคน พระพุทธศาสนาจึงวางเป็นหลักไว้ว่า
“ใชป้ ญั ญาพจิ ารณาเทยี บเคยี งโดยรอบคอบ แลว้ ใหค้ วามเคารพนับถอื แก่
บคุ คลทคี่ วรเคารพนบั ถอื เมอื่ เขามกี ารกระทา� ทคี่ วรแกก่ ารเคารพนบั ถอื ใช้
ปัญญาพิจารณาเทยี บเคียงโดยรอบคอบ แลว้ ยกยอ่ งคนท่ีควรยกย่อง เมอื่
เขามีการกระทา� ท่คี วรยกย่อง ใช้ปัญญาพิจารณาโดยรอบคอบแล้ว ต�าหนิ
คนท่ีควรต�าหนิ เมอ่ื เขามกี ารกระทา� ที่น่าต�าหนิ” ดังคา� ที่พระโพธิสัตว์ ได้
กล่าวสอนไว้ว่า

“ผนู้ า� หรอื ผปู้ กครองเพยี งสงสยั วา่ ผนู้ อ้ ยกระทา� ความผดิ จะมากหรอื
นอ้ ยก็ตาม ถา้ ยงั ไม่ได้สอบสวนเทยี บเคียงให้ร้ชู ดั แนแ่ ลว้ ไม่ควรลงโทษ”

(รถลัฏฐชิ าดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
ชาดก จตุกกนบิ าต เลม่ ๓๑ หนา้ ๔๓๓)

310


311


หญิงเกบ็ ฟืน

“ควรทา� บุญอันนา� สุขมาให้

คนไดร้ บั เกยี รตเิ พราะความซี่อสัตย์”

วันหนึ่งพระเจา้ พรหมทัต กษตั ริย์แห่งกรงุ พาราณสี ได้เสด็จประพาส
พระราชอทุ ยาน พรอ้ มดว้ ยหมขู่ า้ ราชบรพิ าร ขณะทพ่ี ระองคท์ รงเพลดิ เพลนิ
ชมความงามของมวลไม ้ ดอกไมผ้ ลนานาพนั ธอ์ุ ยนู่ น้ั พลนั ไดย้ นิ เสยี งสตรขี บั
รอ้ งเพลงไพเราะจบั ใจดงั มาจากปา่ ใกลๆ้ เขตพระราชอทุ ยาน แม้ทรงได้ยิน
แตเ่ สยี ง กท็ รงมจี ิตปฏิพัทธ์รกั ใคร ่ และไดเ้ สด็จไปอยูร่ ่วมดว้ ย

ในขณะน้ัน พระโพธิสัตว์ได้ถือปฏิสนธิในครรภ์ของนาง ด้วยอ�านาจ
บุญญาบารมีแห่งทารก และบุญกุศลท่ีนางสร้างสมมาหลายภพหลายชาติ
ท�าให้นางรู้สึกว่าภายในท้องสว่างไสว ราวกับมีเพชรนับร้อยนับพันส่องแสง
เรอื งรองกนั อยู่ นางก็ทราบว่าต้ังครรภแ์ ลว้ จึงกราบทลู ใหพ้ ระเจ้าพรหมทตั
ทรงทราบ พระองค์จงึ ได้พระราชทานพระธา� มรงคว์ งหนึ่งแกน่ าง แล้วตรัสวา่
หากบุตรในครรภ์เป็นหญิง ใหน้ า� พระธ�ามรงค์ไปขายเลีย้ งชีวติ แตห่ ากบตุ ร
เป็นชายใหพ้ าไปหาพระองค์

หลังจากพระเจา้ พรหมทตั เสด็จไปแล้ว หญงิ เกบ็ ฟนื เฝ้าถนอมครรภท์ ่ี
เตบิ โตขนึ้ จนครบกา� หนดเวลา กค็ ลอดบตุ รเปน็ ชาย นางไดเ้ ลย้ี งดกู มุ ารนอ้ ย
ด้วยความรัก จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่กุมารน้อยก�าลังเล่นอยู่กับบุตรชาว
บ้านด้วยกนั เกดิ ทะเลาะเบาะแวง้ กนั ขึ้น เด็กโตคนหนึง่ ได้ตะโกนข้ึนวา่ “ไอ้
ลูกไมม่ พี ่อ มันมารงั แกเรา”

กุมารน้อยได้ฟ้งดังนั้น เสยี ใจและอับอายยิ่งนกั รบี วง่ิ มาหามารดาเล่า
เร่อื งใหฟ้ ้ง แล้วซกั ไซ้มารดาถงึ พอ่ ของตน ในทสี่ ุดนางจงึ กล่าววา่ “พระเจา้
กรุงพาราณสนี ี่แหละ คือพอ่ ของลูก”

กุมารน้อยซักไซไ้ ต่ถามเร่ืองราวแตห่ นหลงั พร้อมทัง้ ถามหาหลักฐาน
ท่จี ะใช้ยืนยันว่าตน เป็นโอรสของพระราชาจรงิ เมอื่ มารดาเล่าเรือ่ งท้ังหมด
ให้ฟัง กมุ ารจึงออ้ นวอนใหพ้ าเข้าวงั นางทนค�ารบเร้าออ้ นวอนของกุมารไม่

312


ไหว ท้ังรู้อัธยาศัยของบุตรว่าเป็นผู้มีจิตม่ันคงแน่วแน่ยิ่งนัก จึงพากันเข้าไปเจรจา
กบั นายประตขู อเขา้ เฝา้ พระเจา้ พาราณส ี นายประตเู หน็ กมุ ารนอ้ ยมรี ปู รา่ งลกั ษณะ
สงา่ งาม ก็มจี ิตเมตตายอมให้ทั้งสองแมล่ กู เขา้ เฝ้า

นางไดก้ ราบทลู พระเจา้ พรหมทัตว่า กุมารน้อยคอื โอรสของพระองค์พระเจา้
พรหมทตั แมจ้ ะทรงจา� นางได้ แต่รสู้ กึ ละอายหมอู่ �ามาตย์ข้าราชบริพารทง้ั หลาย ที่
พระองค์ได้มีความสัมพันธ์เก่ียวข้องกับหญิงชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่ง จึงตรัส
ปฏเิ สธ แมก้ ระทงั่ นางนา� พระธา� มรงคม์ าถวายใหท้ อดพระเนตร พระองคก์ ย็ งั ไมท่ รง
ยอมรับ นางรู้สึกเสียใจยิ่งนัก จึงต้ังจิตม่ันยกมือประนมเหนือศีรษะ กล่าว
สัตยาธิษฐานตอ่ หนา้ พระเจา้ พรหมทตั ว่า

“หมอ่ มฉนั ไมม่ พี ยานอนื่ ใดอกี แลว้ ทจี่ ะมากลา่ วอา้ งแกพ่ ระองคว์ า่ กมุ ารนค้ี อื
พระราชโอรส จงึ ขอตงั้ สจั จวาจาและบญุ กศุ ลทห่ี มอ่ มฉนั ไดบ้ า� เพญ็ มาทกุ ภพทกุ ชาติ
เปน็ ทีพ่ ่ึง หากกมุ ารน้ีเปน็ โอรสของพระองค์ กจ็ งลอยอยใู่ นอากาศ แต่หากวา่ มใิ ช่
ก็ขอให้ตกลงมาตายเสยี เถิด”

กลา่ วจบนางจบั กมุ ารนอ้ ยโยนขนึ้ ไปบนอากาศทนั ท ี ทา่ มกลางความตกตะลงึ
ของพระเจ้าพรหมทตั และหมอู่ า� มาตย์ ข้าราชบริพารท้ังหลาย

ดว้ ยอา� นาจแหง่ สตั ยาธษิ ฐาน รา่ งของกมุ ารนอ้ ยเมอ่ื ถกู โยนขนึ้ ไป กม็ ไิ ดต้ กลง
มา กลับนั่งสมาธิลอยอยู่เป็นที่อัศจรรย์ย่ิงนัก พระกุมารกล่าวธรรมะแก่บิดาด้วย
เสียงอนั ไพเราะว่า

“ขา้ แตพ่ ระราชาผเู้ ปน็ ใหญ ่ ขา้ พระองคเ์ ปน็ โอรสของพระองค ์ ขา้ แตพ่ ระองค์
ผเู้ ปน็ จอมแหง่ หมชู่ น ขอพระองคไ์ ดโ้ ปรดทรงชบุ เลย้ี งขา้ พระองคไ์ ว ้ แมค้ นเหลา่ อนื่
พระองคย์ งั ทรงชบุ เลย้ี งได ้ ไฉนจะไมท่ รงชบุ เลย้ี งโอรสของพระองคเ์ องเลา่ พระเจา้
ขา้ ”

พระกมุ ารตรสั เรยี กพระชนกวา่ เปน็ จอมแหง่ หมชู่ น โดยหมายยกยอ่ งวา่ พระ
ราชาน้ันทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อผู้อ่ืนอย่างย่ิงใหญ่ ทรงเลี้ยงประชาชนท้ัง
ประเทศโดยสงเคราะหด์ ว้ ย สังคหวตั ถุ ๔ ประการ คือ

๑. ทาน การให้ปนั
๒. ปิยวาจา การเจรจาท่ไี พเราะอ่อนหวาน
๓. อัตถจรยิ า ประพฤตติ นให้เปน็ ประโยชน์ตอ่ ผู้อ่นื
๔. สมานัตตตา ความเป็นผู้มีตนสม่า� เสมอ

เมอ่ื เปน็ ดงั นแ้ี ล้ว ท�าไมพระองคไ์ ม่ทรงชุบเลย้ี งลูกของตนเอง

313


พระเจ้าพรหมทัตทอดพระเนตรปาฏิหาริย์ พร้อมด้วยสดับค�าของ
กุมารน้อย ทรงตื้นตันพระทัย ยื่นพระกรรับกุมารน้อยพร้อมกับตรัสว่า
“ลงมาเถดิ ลกู เอย๋ พอ่ จะเลีย้ งเจ้าเอง ลงมาเถอะ”

เหลา่ อ�ามาตย์ขา้ ราชบริพารท้ังหลาย เมื่อเห็นพระเจ้าพรหมทตั ย่นื
พระกรรบั กมุ ารนอ้ ย จงึ ตา่ งยน่ื มอื รบั กนั สลอนเตม็ ทอ้ งพระโรงนบั รอ้ ยนบั
พนั มือ แล้วประทบั บนพระเพลา

พระเจ้าพรหมทัตได้พระราชทานต�าแหน่งมหาอุปราชแก่พระ
ราชโอรส และทรงแต่งต้ังหญิงเก็บฟืนมารดาของพระราชโอรส เป็น
อัครมเหสี

ตอ่ มา พระเจา้ พรหมทตั ไดเ้ สดจ็ สวรรคต พระราชโอรสไดค้ รองราช
สมบัตสิ ืบแทน ทรงพระนามวา่ “พระเจ้ากัฏฐวาหนะ”

ชาดกเรือ่ งนมี้ คี ตสิ อนว่า
๑. ทุกคนควรหมั่นท�าบุญให้ทาน ประพฤติปฏิบัติธรรมโดย
สมา�่ เสมอ เมอ่ื ถงึ คราวบญุ ใหผ้ ล จะไดร้ งุ่ เรอื งตอ่ เนอ่ื งกนั ตลอดไป ชวี ติ
จะไดไ้ ม่ข้นึ ๆ ลงๆ เหมอื นหญิงเก็บฟืน
๒. เกิดเป็นคนต้องรักษาความสัตย์ไว้ให้ได้ ความสัตย์นั้น
หมายความรวมหมด ทั้งพดู จรงิ ทา� จรงิ และไม่โกหกหลอกลวงตนเอง
คนท่ีมีความจริงใจครบท้ัง ๓ ประการน้ี เมื่อปรารถนาส่ิงใด เพียง
กา� หนดจติ อธษิ ฐาน กย็ อ่ มไดส้ ง่ิ นนั้ สมความตอ้ งการโดยงา่ ย เพราะทกุ
สง่ิ สา� เรจ็ ด้วยอา� นาจใจ แตจ่ ะสา� เรจ็ ชา้ หรอื เรว็ เพียงใดน้นั ขึ้นอยู่กบั ใจ
ว่ามคี วามซอ่ื สัตยม์ ั่นคงจรงิ ใจเพียงใด
๓. เมอื่ ตอ้ งผจญกบั ความตระบดั สตั ย์ ตอ้ งปฏบิ ตั ดิ งั น้ี แผเ่ มตตา
พดู จาไพเราะ รอกาลเทศะ รกั ษาความสัตย์
๔. ขอ้ ปฏบิ ัติเพ่ือให้ได้บังเกิดในชาตติ ระกูลสูง ต้องประพฤตติ น
เป็นผู้มากด้วยความเคารพ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เช่นเม่ือพบผู้มี
คุณธรรมสูง ก็ให้แสดงความเคารพกราบไหว้ ยกย่องบูชาอย่างดี
อานสิ งสน์ จี้ ะทา� ใหเ้ กดิ ในชาตติ ระกลู สงู เพราะผไู้ หวย้ อ่ มไดร้ บั การไหว้
ตอบ

(กฏั ฐหาริชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
ชาดก เอกนิบาต เลม่ ๒๘ หน้า ๒๔๑)

314


315


ศลี ธรรมดี ชีวมี ีสุข

“เมืองใดไรศ้ ลี โสภณ

เมีองนน้ั ไม่พ้นเสื่อมทราม”

ในอดีตกาล พระเจ้ามคธราชพระองค์หนึ่ง ครองราชสมบตั ิอยูท่ ี่เมือง
ราชคฤห ์ แควน้ มคธ ในกาลนน้ั พระโพธสิ ตั วเ์ สวยพระชาตเิ ปน็ บตุ รพราหมณ์
คนหน่งึ อยใู่ นตระกลู ใหญ่ ญาตทิ ้ังหลายตัง้ ชื่อว่า “มฆะ” คร้นั เจรญิ เติบโต
มีวัยอันสมควรแล้ว มารดาบิดาจึงให้แต่งงานกับหญิงนางหนึ่ง ซ่ึงมีชาติ
ตระกลู เสมอกนั พวกเขาอยู่กนั อย่างมคี วามสุข และมบี ุตรดว้ ยกนั หลายคน
มฆมาณพไดเ้ ป็นผู้น�าครอบครัว สอนให้ทา� บญุ ท�าทาน และรกั ษาศลี ๕ ให้
บริสุทธ์ิบริบูรณ์ เพอ่ื ความผาสกุ ของครอบครวั

ในหมบู่ ้านนนั้ เอง มีคนอาศยั อยถู่ งึ ๓๐ ตระกูล มอี ยู่คราวหนงึ่
มฆมาณพเดนิ ชมหมูบ่ ้าน เหน็ สถานท่แี ห่งหน่ึงแลว้ เกิดความพอใจมาก จึง
จัดการเก็บกวาดท�าความสะอาด จนกระทง่ั เป็น สถานท่ีนา่ รน่ื รมย์ น่าพัก
ผ่อนหย่อนใจ แต่พอร่งุ ข้ึน ก็ปรากฏว่ามีตระกลู อ่นื มาใชเ้ ป็นทพี่ กั อาศยั เสีย
แลว้ มฆมาณพจงึ จดั หาสถานทใ่ี หม ่ กระทา� ใหเ้ ปน็ ทพ่ี กั อนั นา่ รน่ื รมยเ์ ชน่ เดมิ
แตพ่ อรงุ่ ขน้ึ กม็ ตี ระกลู อนื่ อกี มาใชป้ ระโยชนจ์ ากสถานทน่ี น้ั เปน็ อยใู่ นทา� นอง
นท้ี กุ วนั กระท่ังมฆมาณพ ไดส้ ร้างสถานท่อี ันน่ารนื่ รมย์ไดถ้ ึง ๓๐ แหง่ ให้
แกต่ ระกลู ตา่ งๆ ในหมบู่ ้านน้นั ทัง้ หมด

ดว้ ยเหตทุ ท่ี กุ ตระกลู ไดใ้ ชป้ ระโยชนใ์ นสถานทเ่ี หลา่ นน้ั ทา� ใหม้ ฆมาณพ
ยง่ิ ปตี ยิ ินดี ตอ่ มา จึงได้สรา้ งศาลาไวใ้ นท่เี หลา่ นัน้ ตงั้ ต่มุ นา�้ ดืม่ นา้� ใชใ้ ห้อกี
ด้วย สรา้ งศรทั ธาใหเ้ กิดขน้ึ แก่ ๓๐ ตระกูล ในทสี่ ดุ ทกุ ตระกลู ในหมูบ่ า้ นก็
พากันมีใจใฝ่ในการทา� บุญ ทา� ทาน รักษาศีล ๕ ตามมฆมาณพท้ังหมด

ต้ังแต่นั้นมา ตระกูลของมฆมาณพได้ท�าบุญกุศลท้ังหลายพร้อมกับ
ตระกลู อนื่ ๆ เสมอมา เมอ่ื ทกุ คนในหมบู่ า้ นตงั้ อยใู่ นศลี ๕ มใี จใฝใ่ นการทา� บญุ
สนุ ทาน จงึ มักตืน่ กันแต่เชา้ มืด ถอื ขวาน ถอื จอบ และเครื่องใชท้ ี่จ�าเปน็ พา
กนั ปรบั พนื้ ทที่ า� เปน็ ถนนหนทางสา� หรบั การสญั จรไปมา สรา้ งสะพาน ขดุ สระ
นา้� ช่วยกันพัฒนาหมู่บา้ นให้น่าอย่นู า่ อาศยั ยิง่ ขน้ึ ชาวบา้ นทงั้ หมดตัง้ อย่ใู น

316


ค�ากล่าวสอนของมฆมาณพอย่างศรัทธาย่ิง เป็นน�้าหน่ึงใจเดียวกัน พร้อมใจกันลด
ละเลิก อบายมุขทุกอยา่ ง เมือ่ ชาวบ้านพรอ้ มใจกันเป็นคนดมี ีศลี ธรรมเชน่ น้ี ท�าให้
ผู้ใหญ่บ้านไม่พอใจ เน่ืองจากไปขัดผลประโยชน์เข้า ผู้ใหญ่บ้านนั้นเกิดความโลภ
โมโหโทสนั ในจติ ว่า

“เมื่อกอ่ น คนในหมูบ่ า้ นนฆ้ี ่าสัตวต์ ัดชีวติ และด่มื สรุ ามนึ เมา ทา� ให้เราไดเ้ งิน
จากการขายสุราและคา่ ปรับต่างๆ เปน็ อันมาก แตบ่ ัดนี้ มฆมาณพน�าชาวบา้ นรกั ษา
ศีล ๕ งดเว้นจากบาปเสียแล้ว เราจึงขาดรายได้เป็นจ�านวนมาก” จึงคิดแผนท่ีจะ
กา� จัดชายท้ัง ๓๐ ตระกูลทเ่ี ป็นต้นเหตุ

ตอ่ มา เมอ่ื มโี จรปลน้ ชาวบา้ นอ่ืนทหี่ ่างไกลออกไป ผใู้ หญบ่ ้านเดนิ ทางเขา้ เฝ้า
พระราชา และกราบทูลเทจ็ กบั พระราชาว่า

“ข้าแตส่ มมติเทพ บดั นไี้ ด้มีโจรผู้ร้ายประมาณ ๓๐ คน เท่ียวปล้นชาวบา้ นจน
ไดร้ บั ความเดือดร้อนกนั ทว่ั ขอพระองค์ไดโ้ ปรดช่วยพวกหมอ่ มฉันดว้ ย พระเจ้าข้า”

พระราชาตรัสวา่ “เจ้าจงไปจับพวกโจรผู้สรา้ งความเดอื ดรอ้ นมาใหเ้ ราลงโทษ
เดย๋ี วนี”้

ผู้ใหญบ่ ้านได้โอกาสทจ่ี ะก�าจดั ชายทั้ง ๓๐ ตระกลู จึงน�าเจ้าหนา้ ทีไ่ ปจบั กุม
มฆมาณพ และคนในหม่บู ้านจา� นวน ๓๐ คน แล้วทูลเทจ็ กับพระราชาอกี ว่า “ขา้ แต่
สมมติเทพ คนพวกนี้ล้วนแตเ่ ป็นโจรผ้รู ้าย พระเจ้าข้า”

พระราชาทรงหลงเชอื่ ในคา� พดู ของผใู้ หญบ่ า้ น ไมไ่ ดส้ อบสวนกอ่ น กท็ รงตดั สนิ
โทษ รับสงั่ ว่า “เจา้ จงประหารชวี ิตชายทัง้ ๓๐ คน โดยวธิ ีให้ช้างเหยียบเด๋ยี วน้”ี

ชายท้งั ๓๐ คนถูกบงั คบั ใหน้ อนกลางพระลานหลวงเพอื่ รอการประหาร ขณะ
นน้ั เองชา้ งกถ็ กู นา� เขา้ มาเพอื่ เตรยี มพรอ้ ม ชายทงั้ ๓๐ คนทราบโดยสญั ชาตญิ าณวา่
จะตอ้ งตาย หวั ใจกส็ น่ั ระรกิ ดว้ ยความกลวั มฆมาณพผเู้ ปน็ หวั หนา้ จงึ กลา่ วกบั พรรค
พวกว่า “สหายทง้ั หลาย จงระลึกถึงศีล ถึงความดที ีพ่ วกเราไดส้ ่งั สมมา จงแผ่เมตตา
แกค่ นทปี่ องรา้ ยเรา แกพ่ ระราชา แกช่ า้ งและแกต่ วั เองดว้ ย” ทกุ คนพรอ้ มใจกนั ปฏบิ ตั ิ
ตามโอวาทของมฆมาณพ

เม่อื นาทอี นั นา่ สะพรงึ กลวั คบื คลานเขา้ มาถงึ พวกทหารได้ไสช้างดาหน้าไปยัง
คนทนี่ อนอยเู่ หลา่ นนั้ กแ็ ทบไมเ่ ชอื่ สายตาตวั เอง เมอ่ื ชา้ งไมก่ ลา้ เขา้ ไปหาคนเหลา่ นน้ั
แมค้ วาญชา้ งจะพยายาม อย่างไรกไ็ ร้ผล ในทีส่ ุดช้างได้ร้องเสียงแปรน๋ ๆ แลว้ ว่งิ หนี
ไป

พระราชาทอดพระเนตรเห็นดังน้ัน จึงตรัสว่า “คนเหล่าน้ันคงมียาอะไรซ่อน
อย่ใู นมอื จึงท�าใหช้ ้างตกใจวิง่ หนีไป จงช่วยกันตรวจคน้ ดซู ”ิ

พวกทหารเข้าตรวจค้น แตก่ ็ไมพ่ บอะไร จงึ กราบทลู พระราชาว่า “ได้ตรวจดู

317


แล้ว ไม่มสี งิ่ ใด พระเจ้าขา้ ” ขณะนนั้ ท่ีปรึกษาของพระราชากลา่ ววา่ “คนพวกนน้ี ่า
จะเปน็ นกั มายากล สามารถร่ายมนต์สะกดช้างได้”

พวกทหารจึงถามมฆมาณพว่า “ทา่ นมีมนต์อะไรหรือเปลา่ ?”
มฆมาณพตอบว่า “เรามีมนต์ร่าย”
พระราชาทรงสงสยั จงึ ตรสั ถามมฆมาณพดว้ ยพระองคเ์ องวา่ “มนตอ์ ะไรหรอื
และมวี ธิ ใี ชอ้ ยา่ งไร?”
มฆมาณพกราบทูลว่า “ขอเดชะ พวกข้าพระองค์ไม่ร่ายมนต์เหมือนอย่างท่ี
คนอนื่ เขาทา� กนั แตพ่ วกขา้ พระองคร์ า่ ยมนตค์ อื ความเมตตากรณุ า ดว้ ยใจอนั บรสิ ทุ ธิ์
โดยปฏบิ ัติตามเบญจศลี ๕ อยา่ ง พระเจา้ ข้า” พระราชาตรสั ถามวา่ “เบญจศีล คอื
อะไร ?”
มฆมาณพจงึ กราบทลู วา่ “ขอเดชะ พวกขา้ พระองคท์ งั้ หมดเลกิ ทา� ความชวั่ ๕
อย่าง คือ ไม่ฆ่าสตั ว ์ ไม่ลักทรัพย ์ ไม่ประพฤติผดิ ในกาม ไมก่ ล่าวค�าเท็จ ไม่เสพ
ของมึนเมาให้โทษ แล้วตง้ั จิตเจรญิ เมตตา ทา� บุญท�าทานสม่า� เสมอ นี้เปน็ มนตส์ ร้าง
ความเจริญ และเปน็ เครือ่ งป้องกนั ภัยของพวกข้าพระองคท์ ัง้ หมด พระเจ้าขา้ ”
พระราชาทรงสดับถ้อยค�าของมฆมาณพ ทรงมีปีติโสมนัส ตรัสว่า “พ่อทั้ง
หลาย สัตว์ดิรัจฉานทงั้ หลายยังรจู้ กั คุณของพวกเจา้ เราเปน็ มนษุ ยแ์ ท้ๆ ยังไมร่ ้จู กั
คุณ จงยกโทษให้เราเถิด”
ครน้ั ตรสั อยา่ งนแี้ ลว้ จงึ ทรงตดั สนิ ใหย้ กสมบตั ขิ องผใู้ หญบ่ า้ น หมบู่ า้ นทงั้ หมด
แก่ชาวบ้านเหล่านั้น และปลดผู้ใหญ่บ้านให้เป็นทาสคอยรับใช้ชาวบ้าน พร้อมท้ัง
พระราชทานชา้ งกบั สรา้ งบ้านเรือนแกช่ าวบ้านอจลคามท้ังหมดอกี ดว้ ย
เมอ่ื ชายเหลา่ นน้ั ไดร้ บั อสิ รภาพ กพ็ ากนั ทา� งานหนกั ยง่ิ ขน้ึ ทง้ั นก้ี เ็ พอ่ื ประโยชน์
ของชาวบา้ นนน้ั เอง ในไม่ชา้ พวกเขากไ็ ด้สรา้ งศาลาเป็นที่พกั ของมหาชนใหถ้ าวรใน
หนทางใหญ ่ ๔ แยก เพื่อบรกิ ารแก่ชนที่สญั จรไปมา
นับแตน่ ้ันมา หมูบ่ า้ นอจลคามจงึ สงบสุข รม่ เยน็ ทกุ คนอย่กู นั อยา่ งสามัคคี
ปรองดอง รว่ มกนั ท�ากศุ ลทัง้ หลายอย่างเบกิ บานในธรรม รกั ษาศีล ๕ ให้บรสิ ทุ ธ์ิ
บริบรู ณก์ นั ตลอดชวี ิต
สว่ นมฆมาณพนัน้ นอกจากดา� รงตนอยู่ในศลี ๕ อย่าง มั่นคงแล้ว ยังบา� เพญ็
วตั รบทอีก ๗ ขอ้ คือ
๑. บา� รุงมารดาบดิ า
๒. ประพฤตอิ อ่ นนอ้ มตอ่ คนผเู้ จริญในตระกูล
๓. พดู ค�าสตั ย์
๔. ไมพ่ ดู คา� หยาบ

318


๕. ไมพ่ ูดส่อเสียด
๖. กา� จัดความตระหนี่
๗. มีวาจาสตั ย ์ ข่มความโกรธได้
มฆมาณพเมื่อสิ้นอายุขัยแล้ว ได้ไปเกิดเป็นท้าวสักกเทวราช ในภพดาวดึงส ์
แม้พวกสหายของมฆมาณพเหล่านัน้ กไ็ ดไ้ ปเกดิ เป็นเทวดาชัน้ ดาวดงึ ส์เชน่ กนั
ชาดกเรอ่ื งน้ีมคี ติสอนวา่
๑.ชาดกเร่ืองน้ีต้องการเล่าประวัติของท้าวสักกะให้ฟังว่า ได้ท�าบุญอะไรไว้
บา้ งในโลกมนษุ ย์ จงึ ไดไ้ ปเกดิ เปน็ เทพผยู้ ง่ิ ใหญใ่ นภพดาวดงึ ส์ คณุ สมบตั ทิ สี่ า� คญั
คือการมีจิตอาสากระท�าสาธารณะ สงเคราะห์แก่ผู้คนยากไร้ในโลกน้ี รวม
คณุ สมบตั พิ เิ ศษประจา� ตวั คอื วตั รบท ๗ ความเปน็ ทา้ วสกั กะมใิ ชต่ า� แหนง่ ทผ่ี กู ขาด
ถา้ องค์เก่าหมดบญุ องคใ์ หมก่ ็ขึน้ มาแทน ทา� ใหเ้ หน็ ความไม่เท่ียงแทแ้ หง่ อ�านาจ
เราไม่ควรยึดติดแต่ประการใด แต่ควรอาศัยบุญกุศลไปสู่ความหมดทุกข์จะ
ประเสรฐิ กวา่
๒. แสดงใหเ้ หน็ วา่ ศลี ธรรรมเปน็ รากฐานสา� คญั ทจี่ ะทา� ใหเ้ กดิ สนั ตสิ ขุ และ
สันติภาพในโลก เพราะถ้ามนุษย์ต่างก็ประพฤติตามหลักธรรม ก็ประกันได้ว่า
มนุษย์จะไม่เดือดร้อน จะไม่เบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบกัน จะต้องไม่ทุกข์ยาก
ลา� เค็ญ และจะไม่อยู่กนั อยา่ งหวาดระแวง
แต่โลกมนุษย์ไม่ได้เป็นเช่นน้ัน เพราะเหตุว่ามนุษย์ยังขาดศีลธรรมกันอยู่
ยงั ปลอ่ ยปละละเลยศลี ธรรมกนั อยู่ ทส่ี า� คญั คอื ยงั ไมเ่ หน็ ความสา� คญั ของศลี ธรรม
จึงปล่อยให้ความไร้ศีลธรรม เข้ามามีอิทธิพลเหนือตน ประพฤติล่วงละเมิดคีล
ธรรมกันอย่างไม่ละอาย เช่น ไร้เมตตาธรรม ชอบแต่ข่มเหงรังแกกัน ไร้ความ
พยายามในการทา� มาหากนิ โดยสจุ รติ คดิ แตจ่ ะฉอ้ โกง ลกั ขโมย เอารดั เอาเปรยี บ
กนั เปน็ ตน้ ผมู้ พี ฤตกิ รรมเชน่ นชี้ อ่ื วา่ เปน็ ผไู้ รค้ ลี ธรรม ผไู้ รศ้ ลี ธรรมอยใู่ นหมคู่ ณะ
ใด สังคมใด กจ็ ะท�าใหห้ มคู่ ณะน้นั สงั คมนนั้ ปนั่ ปว่ นวุ่นวาย หาความสงบมิได้
โลกมนุษยจ์ ะสงบรม่ เยน็ ได้ก็เพราะอาศัยศีลธรรม ขาดศีลธรรมแล้วกร็ ้อน
ระอุ การแก้ปญั หาความเดือดร้อนตา่ งๆ ในโลก ตอ้ งเริม่ ท่กี ารท�าให้คนเรามีศีล
ธรรมประพฤตติ ามหลกั ศลี ธรรมกนั ใหม้ ากๆ เมอ่ื ศลี ธรรมถกู นา� มาเปน็ หลกั ปฏบิ ตั ิ
ในการดา� เนนิ ชวี ติ ในการครองตน ครองคน ครองงานแลว้ ประกันได้วา่ ความ
สงบสุขในหมูค่ ณะและสงั คมยอ่ มจะมีได้อยา่ งแน่นอน

(กุลาวกชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
ชาดก เอกนบิ าต เล่ม ๒๘ หน้า ๓๕๐)

319


320


วิชาหลอกคน

“ความงมงายทา� ให้เสียรูค้ นและเสียประโยชน์

ใช้ปญั ญาไตรต่ รองให้รอบคอบกอ่ นเชื่อ”

ในสมยั หนง่ึ พระพุทธเจา้ ประทับอย ู่ ณ วดั พระเชตวัน เมอื งสาวตั ถ ี
ทรงปรารภภกิ ษลุ กู ศษิ ยข์ องพระสารบี ตุ ร ผถู้ ามถงึ วธิ กี ารไดล้ าภสกั การะดว้ ย
การหลอกลวง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์สมบัติอยู่ในกรุงสาวัตถ ี
พระโพธิสตั ว์เสวยพระชาติเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ครน้ั เจริญวยั ได้ ๑๖ ป ี
ไดศ้ กึ ษาจนจบไตรเพท และศิลปศาสตร์ อกี ๑๘ วชิ า ดว้ ยความสามารถน ี้
จึงไดเ้ ปน็ อาจารยท์ ศิ าปาโมกข์ สั่งสอนศลิ ปวิทยาแกม่ าณพ ๕๐๐ คน

ในจา� นวนศษิ ยเ์ หลา่ นน้ั มมี าณพคนหนงึ่ เปน็ ผเู้ พยี บพรอ้ มดว้ ยศลี และ
ความประพฤตดิ งี าม วนั หนงึ่ เขาไดเ้ ขา้ พบอาจารย ์ แลว้ ถามวา่ “ขา้ แตอ่ าจารย ์
ขอไดโ้ ปรดชว่ ยบอกขอ้ ปฏบิ ตั อิ นั จะเปน็ เหตทุ า� ใหเ้ กดิ ลาภแกผ่ ปู้ ระพฤตธิ รรม
ด้วยเถิด”

อาจารยม์ องดูเขาดว้ ยความเมตตา แล้วกลา่ วตอบวา่ “พอ่ มหาจา� เรญิ
ลาภมากมายจะเกดิ กับนักปฏบิ ัตธิ รรมด้วยเหตุ ๔ อยา่ ง คือ

๑. ไมเ่ ป็นคนบา้ กท็ �าเป็นเหมือนคนบ้า คอื ให้ประพฤตลิ ะทิ้งหริ แิ ละ
โอตตปั ปะ ไมเ่ ออ้ื เฟอื ตอ่ กศุ ลธรรม ไมก่ ลวั ภยั ในนรก ยา่� ยสี กิ ขาบททบ่ี ญั ญตั ิ
ไวด้ ีแลว้ ปลอ่ ยใหค้ วามโลภ ครอบงา� มวั เมาในกามทงั้ หลาย ประมาทละทงิ้
ความเปน็ สมณะของตนไปเสยี ท�าเช่นน้ยี ่อมไดล้ าภจากหมู่ชนผู้หลงงมงาย
ไดโ้ ดยง่าย เพราะฉะนน้ั ผู้ตอ้ งการได้ลาภพึงทา� เป็นเหมือนคนบา้

๒. ไม่เป็นคนส่อเสียด ก็ท�าเป็นเหมือนคนส่อเสียด คือน�าความส่อ
เสยี ดเขา้ ไปในราชสกลุ โดยยยุ งกลา่ วรา้ ยวา่ คนโนน้ กระทา� กรรมอยา่ งน ี้ คน
น้ีแย่งชิงยศและต�าแหน่งของคนอ่ืนอย่างโน้น ท�าให้ฝ่ายพระราชาคิดว่า ผู้
บอกน้นั มคี วามภกั ดีต่อเรา จึงแต่งต้ังคนน้ันไว้ในตา� แหนง่ สงู ลาภยอ่ มเกดิ
แกผ่ สู้ อ่ เสยี ดในทนั ท ี สว่ นคนผ้ไู มส่ อ่ เสยี ดยอ่ มไมไ่ ดล้ าภในหมชู่ นผู้งมงาย

321


๓. ไมเ่ ป็นนกั ฟ้อนรา� กท็ า� เปน็ เหมอื นนักฟ้อนรา� คอื กระท�าการละเลน่
ขบั รอ้ ง ประโคมดนตรตี า่ งๆ เพอ่ื ใหไ้ ดท้ รพั ยม์ า เหมอื นนกั แสดงทง้ั หลายเทย่ี ว
แสดงการเล่นหาทรพั ย์อยู่ ลาภเปน็ อันมากจงึ เกิดข้ึนจากหมูช่ นผงู้ มงาย

๔. ไมเ่ ปน็ คนตนื่ ขา่ ว กท็ า� เปน็ เหมอื นคนตนื่ ขา่ ว คอื มกั ตน่ื ขา่ วพดู พลอ่ ย
แจ้งกับพระราชาวา่ ไดฟ้ ังมาวา่ ในท่ีโน้น คนถูกฆ่า ถกู ปลน้ เรอื น ลูกเมยี ถูก
ข่มขนื นค้ี งเปน็ การกระทา� ของคนน้นั คนน้ี ทา� ใหพ้ ระราชาตอ้ งส่งราชบรุ ุษไป
สบื สวนตามคา� ของอา� มาตยผ์ นู้ นั้ แลว้ พระราชากพ็ ระราชทานยศใหญโ่ ตใหแ้ ก่
อา� มาตยผ์ นู้ นั้ ดว้ ยทรงดา� รวิ า่ อา� มาตยผ์ นู้ ม้ี คี วามขวนขวายแจง้ ขา่ วแกเ่ รา บา้ น
เมืองคงปราศจากโจรผู้ร้าย สว่ นอ�ามาตย์อน่ื ๆ และประชาชนกย็ กทรัพยใ์ ห้แก่
อ�ามาตย์ผู้นั้น ด้วยเกรงกลัวว่า ผู้นี้จะพูดพล่อยถึงเรา จะท�าให้เราต้องถูก
ราชบุรษุ สอบสวน ดว้ ยการท�าอย่างน้เี อง ลาภจึงเกดิ ข้นึ มากมายแกค่ นตน่ื ข่าว
สว่ นผไู้ มป่ ระพฤตติ นเปน็ ผพู้ ดู พลอ่ ยตน่ื ขา่ ว ยอ่ มจะไมไ่ ดล้ าภในหมชู่ นทงี่ มงาย
เลย

ทัง้ ๔ อย่างน้ี หากประพฤตแิ ลว้ ยอ่ มจะได้ลาภจากคนผู้หลงงมงายท้ัง
หลาย นี้เป็นการปฏบิ ตั ขิ องผูป้ ระพฤติธรรมทต่ี อ้ งการแสวงหาลาภ

มาณพผเู้ ปน็ ศษิ ยไ์ ดฟ้ งั คา� สอนของอาจารยท์ งั้ หมดนน้ั แลว้ อดไมไ่ ดท้ จ่ี ะ
กลา่ วติเตยี นข้ึนว่า

“ขา้ แตอ่ าจารย์ นา่ ตเิ ตยี นความประพฤตอิ นั เปน็ เสมอื นการฆา่ ตวั ตาย
ทเ่ี ปน็ การประพฤตอิ ธรรมแลว้ ไดม้ าซงึ่ ลาภ ยศ และทรพั ย์ ดงั นนั้ ผอู้ อกบวช
แล้วมีความเปน็ อยู่โดยธรรม ย่อมประเสริฐกวา่ การแสวงหาโดยอธรรม”

มาณพตา� หนลิ าภทไ่ี ดม้ าโดยอธรรม แลว้ สรรเสรญิ คณุ ของการบรรพชา
โดยธรรมแลว้ จงึ ออกบวชเปน็ ฤๅษ ี บ�าเพญ็ เพยี รภาวนา ท�าสมาบัตทิ ัง้ หลาย
ให้เกดิ ขน้ึ ไดไ้ ปบังเกิดพรหมโลก

ชาดกเรอ่ื งนม้ี คี ตสิ อนวา่ วธิ กี ารหลอกคนใหม้ านบั ถอื หรอื นา� ทรพั ยส์ นิ
มาบา� รงุ บา� เรอตวั นนั้ คนทท่ี า� นน้ั ไมต่ อ้ งคดิ กลอบุ ายอะไรมาก เพยี งใชค้ วาม
กลา้ ทา� เพยี งอยา่ งเดยี วกส็ า� เรจ็ เพราะรอู้ ยวู่ า่ คนโลภกบั คนหลงสองประเภท
นี้หลอกง่าย โดยแสร้งท�าตัวให้ประหลาดๆ ผิดคนผิดพระทั่วไปนิดหน่อย
เท่านน้ั คนก็แห่มาหาแลว้ คอื ท�าเปน็ เหมอื นคนบ้า พูดจาเลอะๆ เทอะๆ
บ้าง คนเขาก็เอาไปตเี ป็นหวยกนั เอง ท�าเป็นคนเคร่งบา้ ง ทา� เป็นคนไมส่ น

322


ใครบา้ ง ท�าเปน็ คนใหญค่ นโต จะไปไหนมาไหนต้องมบี ริวารแวดลอ้ มมาก
บา้ ง คนงมงายกเ็ หมอื นกบั คนตาบอดนน้ั แหละ เหน็ กเ็ หมือนไมเ่ ห็น จึงถูก
เขาหลอกเอาอยา่ งงา่ ยดาย

โรคตน่ื ผวู้ เิ ศษยอ่ มหมดไปไมไ่ ดถ้ า้ คนงมงายยงั มอี ยู่ ความงมงายทา� ให้
คนเสียรู้และเสียประโยชน์ ถ้ายอมเสียเวลามาใช้สติปัญญาไตร่ตรองให้
รอบคอบ นึกถงึ หลักความจริงต่าง ๆ ย่อมจะรไู้ ดใ้ นไม่ช้าว่า อะไรของจริง
อะไรของปลอม เพียงอย่าใจเรว็ ด่วนตัดสนิ ใจเชอ่ื เทา่ นนั้

ในทางพระพทุ ธศาสนา เมอ่ื พระพทุ ธองคต์ รสั ถงึ ศรทั ธาไวใ้ นหมวดใด
พระองค์ก็มักจะตรัสเร่ืองปัญญาให้เข้าคู่กับศรัทธาด้วยเสมอไป การท่ีทรง
กา� กบั ศรทั ธาดว้ ยปญั ญาเปน็ การแสดงใหเ้ หน็ วา่ ศรทั ธาความเชอื่ ทปี่ ราศจาก
ปญั ญานน้ั เปน็ อันตราย และปัญญาทีข่ าดศรัทธากน็ า่ กลัว จะนา� ไปสู่ความ
แข็งกร้าวจนไม่ยอมลงให้กับใครหรอื อะไรทั้งส้ิน

ดงั นนั้ ศรทั ธาและปญั ญาจงึ ตอ้ งองิ อาศยั กนั เชน่ ในเบอื้ งแรก ศรทั ธา
อาจน�าไปสู่ปัญญา ในท่ามกลางปัญญาท�าหน้าที่ตรวจสอบศรัทธา และใน
ทสี่ ดุ ปญั ญานา� ไปสภู่ าวะเปน็ อสิ ระจากศรทั ธา ศรทั ธามคี วามสา� คญั ตอ่ การ
ดา� เนนิ ชวี ติ ของปจั เจกบคุ คลแตล่ ะคนเปน็ อนั มาก เพราะคนเรามศี รทั ธาเชอ่ื
อย่างไร ชีวิตก็จะด�าเนินไปในทิศทางน้ัน จนเราอาจกล่าวได้ว่า “เราเป็น
อยา่ งทเี่ ราเชื่อ”

เมอ่ื ศรทั ธามคี วามสา� คญั ตอ่ ชวี ติ ถงึ เพยี งนี้ เราแตล่ ะคนจงึ ควรทบทวน
ตนเองวา่ ระบบความเชอื่ ทตี่ วั เราปกั ใจอยนู่ นั้ เปน็ ระบบความเชอ่ื ทมี่ เี หตผุ ล
รองรบั หรอื ไม่ หากเราเอาแตเ่ ชอ่ื โดยทไี่ มเ่ คยตงั้ คา� ถามตวั เองวา่ มเี หตมุ ผี ล
พอจะปลงใจเชอ่ื หรอื ไม่ วนั หนง่ึ เราอาจสงั เวยชวี ติ ใหก้ บั ความเชอื่ ทผี่ ดิ ๆ กไ็ ด้

(ลาภครหกิ ชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก ติกนบิ าต เล่ม ๓๑ หนา้ ๒๒๗)

323


324


หมู่บ้านทคี่ วามตายไปไม่ถงึ

“ความตายเป็นของเทยี่ ง

ชีวติ ความเป็นอยู่เป็นของไม่เทยี่ ง”

มเี รอื่ งประหลาดเรอื่ งหนงึ่ เกดิ ขนึ้ ในเมอื งสาวตั ถ ี คอื เงนิ ทองประมาณ
๘๐ โกฏ ิ ในเรอื นของเศรษฐคี นหนง่ึ ไดก้ ลายเปน็ ถา่ นไปหมด เศรษฐเี สยี ใจ
มากถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ วันหน่ึงเพ่ือนคนหนึ่งมาเย่ียม และออก
อุบายให้วา่ ใหเ้ อาเสอ่ื ล�าแพนไปปูเข้าท่ตี ลาด เอาเงินทองท่กี ลายเปน็ ถา่ น
น้ันไปกองไว้แล้วนั่งขาย ใครทกั วา่ คนอืน่ เขาขายผ้า นา�้ มนั น�า้ ผ้งึ นา้� ออ้ ย
สว่ นทา่ นนงั่ ขายถา่ น ดงั น ี้ จงตอบคนทง้ั หลายเหลา่ นนั้ วา่ “เราไมข่ ายของๆ
ตนแลว้ จะทา� อะไร?”

หากมคี นใดทกั วา่ “ท่านนง่ั ขายเงนิ และทอง ผดิ กว่าคนท้งั หลายอ่นื ”
ท่านจงตอบว่า “เงนิ ทองทีไ่ หนกนั ถา่ นตา่ งหาก ถา้ เขายงั ยืนยนั วา่
เปน็ เงนิ ทองอย ู่ กจ็ งบอกใหเ้ ขาหยบิ ใหด้ ู เมอ่ื เขาหยบิ สง่ ใหท้ า่ น ถา้ ถา่ นนน้ั
กลายเป็นเงนิ และทองไซร้ ผนู้ น้ั เปน็ คนมีบญุ สมควรมอบทรพั ยม์ รดกทั้ง
ปวงให ้ ถา้ เปน็ หญงิ สาวพงึ ใหแ้ ตง่ งานกบั บตุ รชายของทา่ น ถา้ เปน็ ชายหนมุ่
พงึ ใหแ้ ตง่ งานกับบุตรขี องท่าน ทา่ นด�ารงชวี ติ อยู่ด้วยเงินทองที่เขาให้เลี้ยง
ชพี
เศรษฐีได้ทา� ตามค�าแนะน�าของเพอื่ น ขณะนนั้ มหี ญงิ รุน่ สาวคนหนง่ึ
ชือ่ โคตมี แตเ่ นื่องจากเป็นคนผอม คนทง้ั หลายจึงเรียกเธอวา่ กสี าโคตม ี
เปน็ ธิดาของผู้เก่าแก่ในเมอื งสาวตั ถ ี นางไปตลาดเหน็ เศรษฐีนง่ั ขายของอยู่
จึงทักว่า “คนอนื่ ๆ เขาขายเสอื้ ผา้ น้�ามนั น�า้ ผึง้ และน�้าอ้อยเป็นต้น เหตุ
ไฉนทา่ นจึงขายเงนิ ทอง”
เศรษฐีว่า “เงนิ ทองท่ีไหนกัน แมค่ ณุ ถา่ นทั้งน้นั ”
“นแ่ี หละ เงนิ ทองทั้งน้นั ” นางยืนยัน
“แม่นางลองหยบิ ให้ดซู ”ิ เศรษฐีพดู ดว้ ยอาการลงิ โลด
กีสาโคตมีกอบจนเต็มมือแล้วส่งให้เศรษฐี ถ่านนั้นได้กลายเป็นเงิน

325


ทองไปหมด เศรษฐจี งึ สขู่ อนางมาเปน็ สะใภข้ องตน มอบทรพั ยท์ ง้ั หมดให ้ เงนิ ทอง
ที่กลายเป็นถา่ นนน้ั ไดก้ ลายเปน็ เงนิ และทองดังเดิมอกี

เมอ่ื นางไดแ้ ตง่ งานอยกู่ นิ กบั สามลี ูกเศรษฐี นางมบี ตุ รคนหนึง่ แตต่ ายเสยี
ในขณะท่ีพอเดินได้ นางเสียใจมากเพราะเป็นบุตรคนแรก คนทั้งหลายจะน�าไป
เผาแต่นางไม่ยอม อุม้ บตุ รเทยี่ วไปในที่ตา่ งๆ เพอื่ หาหมอหายารกั ษาบตุ รทีต่ าย
แล้ว คนทงั้ หลายเห็นนางแลว้ เขา้ ใจว่าเปน็ บา้ เพราะไม่เคยมีใครท�าอยา่ งนัน้

ทนี น้ั มชี ายผเู้ ปน็ บณั ฑติ คนหนง่ึ แนะนา� ใหน้ างไปเขา้ เฝา้ พระพทุ ธเจา้ เพราะ
พระองค์ทรงรู้จักยาที่นางต้องการ นางรีบไปเฝ้าพระศาสดาทันที ทูลถามว่า
“พระองค์ทรงรูจ้ กั ยาเพื่อรกั ษา คนทต่ี ายแล้วหรือ?”

พระศาสดาตรัสวา่ “เราพอรู้โคตมี”
“จะใหท้ า� อยา่ งไร พระเจ้าขา้ ” นางทลู ถาม
พระศาสดาตรสั วา่ “เธอจงลองไปเทยี่ วถามหาเมลด็ ผกั กาดสกั หยบิ มอื หนงึ่
แตต่ ้องได้จากหมู่บ้านที่คนไม่เคยตาย”
นางอ้มุ บุตรรีบเข้าไปสหู่ มบู่ า้ น เทยี่ วถามหาเมล็ดผกั กาด บา้ นทม่ี กี เ็ ต็มใจ
ให ้ แตพ่ อนางถามวา่ ในหมบู่ า้ นนมี้ คี นเคยตายหรอื ไม ่ ทกุ หมบู่ า้ นทนี่ างถามกบ็ อก
ว่ามีคนตายแล้วคน ๑ บา้ ง ๒-๓ คนบา้ ง
นางจึงคืนเมล็ดผักกาดเสีย บอกว่าท�ายาไม่ได้ นางเท่ียวไปโดยท�านองน้ี
ตลอดหวั บ้านท้ายบา้ น หาเมล็ดผักกาดในหมู่บา้ นท่ไี ม่มใี ครเคยตายไมไ่ ด้เลย ถึง
ความสงั เวชสลดใจวา่
“โอหนอ เป็นกรรมหนักเสียแล้ว เราเขา้ ใจวา่ บตุ รของเราเท่านนั้ ตาย แต่
ความจรงิ แล้วคนตายกันมาก บตุ รของใครๆ ก็ตาย ทุกเรือนเคยมีคนตายแลว้ ทั้ง
นนั้ ” นางไดท้ งิ้ บตุ รไวใ้ นปา่ แลว้ รบี เขา้ ไปเฝา้ พระพทุ ธองค ์ ทลู ความทง้ั ปวงใหท้ รง
ทราบ
พระพทุ ธองค์ตรัสวา่ “ดูก่อนโคตม ี ความตายเปน็ สงิ่ ยงั่ ยืน ตง้ั อยูช่ วั่ กาล
นาน ทุกคนเกดิ มาแล้วต้องตาย และความตายน้ันยอ่ มครา่ เอาบุคคลผู้มัวเมาอยู่
ในบตุ รและสตั วเ์ ลย้ี งผมู้ ใี จฟงุ้ ซา่ นในอารมณต์ า่ งๆ ไป ประดจุ หว้ งนา�้ ใหญไ่ หลเชย่ี ว
พดั พาเอาชาวบ้านไป ฉะนั้น”
พระศาสดาทรงแสดงธรรมเปน็ อเนกปรยิ ายให้นางกีสาโคตมฟี ัง นางดา� รง
อยใู่ นโสดาปตั ติผลแล้ว เทศนาเปน็ ประโยชนแ์ กช่ นเหลา่ อืน่ อกี เป็นอนั มาก
กสี าโคตมขี อบวชในพทุ ธศาสนา วนั หนงึ่ เขา้ เวรอยใู่ นโรงอุโบสถ นางตาม

326


ประทีป นงั่ มองดวงประทปี อยู่ เหน็ เปลวประทีปลุกโพลงข้ึนแลว้ หรี่ลง นางได้
ถอื เอาเปลวประทีปนน้ั เป็น อารมณ ์ แล้วคดิ ตอ่ ไปวา่ “สัตว์ทง้ั หลายกเ็ หมือน
กัน เกดิ ขนึ้ และดบั ไปดังเปลวประทปี ผู้ถงึ พระนิพพานแล้ว อาการอยา่ งนี้ย่อม
ไม่ม ี ไมป่ รากฏ”

พระศาสดาประทบั นง่ั ทพี่ ระคนั ธกฎุ ี ทรงแผพ่ ระรศั มไี ป ประหนง่ึ ประทบั
อยู่เบื้องหน้านาง พลางตรัสว่า “ถูกแล้วโคตมี สัตว์ท้ังหลายย่อมเกิดและดับ
เหมือนดวงประทีป ผู้ถึงพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่เป็นอย่างน้ัน ความเป็นอยู่
ขณะเดียวของผู้เหน็ อมตบทคือพระนิพพาน ประเสริฐกว่าความเปน็ อยู่ ๑๐๐
ปี ของผูไ้ มเ่ หน็ อมตบท คือพระนพิ พาน”

ในทส่ี ดุ พระธรรมเทศนา กสี าโคตรมภี กิ ษณุ ไี ดบ้ รรลพุ ระอรหตั ไดร้ บั การ
ยกยอ่ งวา่ เปน็ เอตทัคคะในทางทรงจวี รเศร้าหมอง

ธรรมบทเรอ่ื งนมี้ คี ตสิ อนวา่ การเกดิ มาเปน็ มนษุ ยน์ น้ั เปน็ ของยาก เมอื่
เกิดมาแล้วยังมีอายุน้อย ไม่ถึงร้อยปีก็ต้องตาย ส่วนมากตายเสียแต่ยังไม่
หนมุ่ ไมส่ าวกม็ ี ไมม่ ใี ครรวู้ นั ตายของตน บางคนเกดิ มาวนั เดยี วตายกม็ ี เดอื น
เดียวตายกม็ ี ปีเดยี วตายกม็ ี สิบปตี ายกม็ ี นางกสี าโคตมไี มเ่ ขา้ ใจในเรือ่ งน้ี
คิดวา่ คนเกดิ มาแลว้ ไม่มวี ันตาย จงึ รอ้ งไห้คร�่าครวญเพราะการตายของลูก

พระพทุ ธเจา้ จงึ ตรสั สอนว่า “จะอย่ใู นอากาศ อย่กู ลางสมทุ ร เขา้ ไปสู่
หลบื เขากห็ นไี มพ่ น้ ความตายไปได้ ประเทศหรอื หมบู่ า้ นทคี่ วามตายไปไมถ่ งึ
ไมม่ ”ี ซง่ึ หมายความวา่ สถานทกี่ า� หนดหมายวา่ สตั วจ์ ะตอ้ งตายทไ่ี หน เมอื่ ไร
ยอ่ มไม่มี เพราะอาจจะประสบความตายท่ีไหน เมอื่ ไรกไ็ ด้ ท้ังนั้น เช่น นก
บนิ ไปในอากาศอาจจะถกู คนยงิ ตาย คนโดยสารเคร่ืองบนิ อาจจะตายเพราะ
เครอ่ื งบนิ นนั้ ระเบดิ หรอื ถกู ฟา้ ผา่ ตายในอากาศ อาจตายในทะเล เพราะเรอื
โดยสารผา่ นมหาสมทุ รลม่ กไ็ ด้ สถานทคี่ วามตายจะไปไมถ่ งึ นนั้ เปน็ อนั ไมม่ ี
เหตุนีจ้ ึงไมค่ วรประมาทในทที่ ้ังปวง

(กีสาโคตมีวตั ถุ อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย
ธรรมบท สหัสสวรรค เล่ม ๑๗ หนา้ ๗๒๗)

327


328


ปากเปน็ เอก

“พูดดเี ปน็ ศรแี กต่ วั พูดดเี ป็นเงินเป็นทอง”

ในอดตี กาลนานมาแลว้ มชี ายศรี ษะลา้ นคนหนง่ึ เปน็ คนทถ่ี อื วา่ ตน
มีปมด้อยใครพูดพาดพิงถึงศีรษะเป็นไม่ได้เลย เขาจะโกรธแบบไม่ต้องมา
พูดกันอกี ต่อไป แตเ่ ขาเป็นคนมปี กตอิ ยูอ่ ย่างหนง่ึ คอื เป็นคนบ้ายอ และ
ชอบคนปากหวาน ใครมาพดู ถึงเร่อื งศีรษะในทางดแี ม้จะรวู้ ่าเขาพดู ไม่จริง
แต่ก็ชอบ ชายศีรษะลา้ นคนนมี้ ีของดีอย ู่ ๒ อยา่ ง คอื มีววั งาม ๑ คู่ และ
ลูกสาวสวยอกี ๑ คน

จะเป็นเพราะชายคนนี้มีของดีอยู่ในบ้านนี่เอง จึงมีคนมากหน้า
หลายตา ท้งั หนมุ่ นอ้ ยหนุ่มใหญ่แวะเวียนมาทบ่ี ้านเขาเสมอ เพื่อขอซ้อื วัว
บา้ ง ขอลกู สาวไปแตง่ งานบา้ ง แตก่ โ็ ดนตะเพดิ ไปทกุ ราย เพราะไปพดู สะกดิ
ปมดอ้ ยของเขาเขา้ คือพูดค�าว่า เล่ยี น เตียน โล่ง ใส แสน ล้าน เปน็ ตน้
อยู่ดว้ ย

ในขณะน้ัน มีชายหนุ่มต่างถ่ินคนหน่ึง พอได้ยินกิตติศัพท์เรื่องนี้
เขา้ กอ็ ยากจะลองด ู จงึ เดนิ ทางมงุ่ หนา้ มาทห่ี มบู่ า้ นน ้ี ถามหาชายศรี ษะลา้ น
เมื่อทราบแน่ชัดแล้วก็ตรงไปที่บ้าน พร้อมกับเจรจาขอซ้ือวัวทันทีว่า “พ่อ
ผมดกปกเกษ ี ววั คูน่ ้ีราคาเท่าไรจา้ ”

เจ้าของววั ได้ยินดงั นั้นกแ็ สนยินดนี ัก ไม่ไดย้ ินคนพดู ไพเราะอย่าง
นมี้ านานแล้ว แถมเปน็ หนมุ่ หน้าตาดีและเจา้ บทเจ้ากลอนเสียด้วย จึงตอบ
ไปด้วยความเสน่หาวา่ “หลานเอย พอ่ หลานยา ไม่ต้องซื้อตอ้ งหา พอ่ ลุง
ยกให”้

เปน็ อนั วา่ ชายหนมุ่ ไดว้ วั ฟรๆี มาคหู่ นง่ึ เพราะพดู จาด ี ถกู ใจเจา้ ของ
เมือ่ ไดแ้ ลว้ เขาก็เดนิ จงู วัวผ่านไปกลางหมู่บ้าน หนุ่มคนหน่งึ เข้าไปถามว่า
ซอื้ มาเทา่ ไร “คนอยา่ งขา้ จะซอ้ื หาทา� ไม ไอห้ วั ลา้ นจญั ไรมนั ใหม้ า” ชายหนมุ่
ตอบแสดงธาตุแท้ของตนออกมา เพราะรู้ว่าเจ้าของวัวไม่ได้ยินแน่ แล้วก็
เดนิ จงู วัวผ่านไป

329


หนุ่มคนนั้นรีบไปที่บ้านเจ้าของวัว พบลูกสาวเจ้าของวัวจึงเล่าเร่ืองที่
ไดย้ นิ ให้ฟงั ลกู สาวเสียดายววั และไมพ่ อใจชายคนนัน้ มาก จงึ รีบไปเลา่ ให้พอ่
ฟัง พ่อไดย้ ินเขา้ ก็ว่ิงตามไปหวังจะฉะกบาลให้แตกไปเลย หนอยแน ่ มนั ดา่ ลบั
หลงั ได้

ชายหนุ่มเห็นเจ้าของวัวเงื้อปฏักมาแต่ไกล รู้ทันทีว่าเกิดอะไรข้ึน จึง
หยดุ รอ พอแกเขา้ มาใกลจ้ งึ ยกมอื ไหวแ้ ลว้ ถามวา่ “พอ่ ลงุ ใจดวี ง่ิ มาทา� ไม หนทาง
หรอื กไ็ กล ดูเหนด็ เหนอ่ื ยนัก” เขาหยอดค�าชมเข้าให้อีกอยา่ งหน้าตาเฉย

เจ้าของววั ไดย้ นิ ค�าชมเชน่ น้ัน ก็หายโกรธเปน็ ปลดิ ทง้ิ ลดปฏักทเี่ ง้อื ง่า
ลง แล้วบอกวา่ “หลานเอย พ่อหลานรัก เจา้ ลมื ปฏักเลยเอามาให้”

ชายหนุ่มเลยไดป้ ฏักแถมอกี ด้ามหนึ่ง เพราะเขา้ ใจพดู
ฝา่ ยลกู สาวรออยูท่ บี่ า้ นเห็นพ่อเดนิ กลับมามือเปล่า จึงตอ่ วา่ พ่อ พ่อก็
ยอมรับว่าเผลอใจยกให้เขาไปแล้ว ลกู สาวจงึ บอกพอ่ ให้ไปตามเอาววั และปฏกั
กลบั คนื มา คราวน้ีลูกสาวขอตามไปด้วย เพอ่ื จะไดเ้ ตือนสตพิ ่อมิใหเ้ ผลออกี
พ่อก็เห็นด้วย จึงรีบตามไปจนถึงบ้านของชายหนุ่มคนนั้น ชายหนุ่มเมื่อเห็น
เจา้ ของววั กับลูกสาวก็ใหส้ งสยั จงึ ออกมาต้อนรบั แล้วถามวา่
“พอ่ ผมดกปกเกล้า พอ่ จูงมือลูกสาว พ่อจะพาไปไหน”
โดนคาถาคารมหวานของชายหนมุ่ เข้าอกี รอบ แกถึงกับเคลม้ิ ลมื เรื่อง
ทจ่ี ะมาทวงวัวและปฏักคืนไปสนทิ แล้วก็ตอบชายหนุ่มไปวา่
“ลูกเอยพอ่ ลูกแก้ว พ่อหรอื กแ็ กแ่ ลว้
ไม่ได้เร่ืองไม่ได้ราว เลยพาลูกสาวของพอ่ มาให”้
เป็นอนั วา่ ชายหนุ่มได้ลาภลอยเพม่ิ ข้นึ ไดท้ ้งั ววั ๑ คู่ กบั ลูกสาวอกี ๑
คน ดว้ ยคารมคา� พดู เพยี งสองสามประโยคเทา่ นนั้ นแี่ หละทา่ นจงึ เรยี กวา่ ปาก
เปน็ เอก
นทิ านเรอื่ งนม้ี คี ตสิ อนวา่ แสดงใหเ้ หน็ วา่ ความเปน็ เอกของปากอยทู่ ี่
การพูด การพูดเป็นเร่ืองส�าคัญที่ท�าให้คนเป็นคนดีก็ได้ เป็นคนชั่วก็ได้
ลมปากทพี่ ดั เพยี งแผว่ เบานเี้ องทา� ใหค้ นรกั กนั กไ็ ด้ เกลยี ดกนั กไ็ ด้ พดั คนที่
หมดหวงั ใหก้ ลบั สดชนื่ และมหี วงั กไ็ ด้ ดงั มสี ภุ าษติ อยบู่ ทหนง่ึ วา่ “พดู ดเี ปน็
เงินเป็นทอง” ค�าพูดจะมีค่าเป็นเงินเป็นทองได้ จะเป็นค�าพูดท่ีไพเราะ
น่ิมนวล ชวนฟัง พูดไปแล้วท�าให้คนฟังร�าลึกถึงตัวคนพูดอยู่เสมอ
จะโฆษณาคา้ ขายกไ็ ดก้ า� ไร ดงั สุภาษติ สอนหญงิ ของสุนทรภวู่ า่

330


แม้จะเรียนวชิ าทางค้าขาย อยา่ ปากร้ายพดู จาอัชฌาสัย

จะซอ้ื งา่ ยขายดีมกี �าไร ด้วยเขาไมเ่ คอื งจิตระอดิ ระอา

เปน็ มนษุ ย์สดุ นิยมเพียงลมปาก จะไดย้ ากหวิ โหยเพราะชิวหา

แมพ้ ดู ดมี ีคนเขาเมตตา จะพดู จาจงพเิ คราะหใ์ หเ้ หมาะความ

พดู ถงึ สว่ นทร่ี า้ ยของคา� พดู กม็ โี ทษมากเหมอื นกนั เพราะลมปากนเี้ ปน็
ทรี่ บั รองกนั วา่ มคี วามรนุ แรงยง่ิ กวา่ ลมพายทุ พี่ ดั อยใู่ นโลกเปน็ ไหนๆ ดงั สภุ าษติ
ค�ากลอนวา่

แม้ใต้ฝ่นุ หมนุ พัดปานกวาดโลก สลาดันกรรโซกใหค้ กุ เข็ญ
ก็ไมเ่ ท่าลมปากจากคนเปน็ แมน้ คิดเหน็ ควรตั้งระวงั ระไว

การพูดจาไพเราะออ่ นหวานนั้น ย่อมเปน็ ทช่ี อบใจของผูฟ้ ังเสมอ แม้
จะไม่ได้พูดจากใจจริง ก็ยังมคี นชอบอยดู่ ี โบราณทา่ นวา่ “ปากเปน็ เอกเสก
มนต์ให้คนเชื่อ” ความจริงเป็นดังนี้ จึงมีคนประเภทหน่ึงชอบใช้คารมหวาน
หว่านไปทั่วเพื่อหาผลประโยชน์จากคนท่ีชอบและหลงไหลกับค�าหวานอย่าง
นน้ั ถงึ กบั เชอื่ และตายใจงา่ ยดาย จนยอมเสยี ทรพั ยส์ นิ ยอมเสยี คนแมก้ ระทงั่
ยอมเสยี ตวั ให้เขาไป กว่าจะรสู้ กึ ตวั กส็ ายไปแลว้ ค�าหวานจงึ เป็นสิ่งท่พี ึงระวัง
อยา่ เพิ่งเทใจเชื่อสนิท เพยี งแค่ได้ฟงั เท่าน้ัน แตค่ วรตรองให้ดี ฟงั หไู วห้ ู คน
บ้ายอหูเบาชอบฟังแต่เรื่องไม่จริง ซง่ึ ปกปดิ ปมด้อยของตัว มักตกเป็นเหยอ่ื
ของคนปากหวาน แตก่ น้ เปรยี้ วไดโ้ ดยง่าย ดงั ชายในเร่อื งน้ี

(นิทานธรรมสาธก)

331


332


สภานกอลเวง

“เวรไม่ระงับดว้ ยเวร

หน้าตาไม่ดี ไม่ควรเปน็ ใหญ”่

สมยั หนงึ่ พระพทุ ธเจา้ ประทบั อยทู่ พี่ ระเชตวนั กรงุ สาวตั ถ ี เมอื งหลวง
ของแควน้ โกศล ทรงปรารภเรอ่ื งพระภกิ ษสุ งฆน์ า� มาสนทนากนั ในธรรมสภา
เร่อื งน้นั คอื ที่ลานวดั พระเชตวันน้นั พอเช้าขน้ึ มาจะเหน็ ซากนกเคา้ และกา
ตกเกล่ือนอยู่เต็มลานวัด ทั้งนี้ด้วยเวลากลางวัน ฝูงกาได้ไล่จิกตีนกเค้าจน
บาดเจบ็ ลม้ ตายเปน็ จา� นวนมาก แตค่ รนั้ เวลาพระอาทติ ยอ์ สั ดง ซง่ึ เปน็ เวลา
ทน่ี กเคา้ ออกหากนิ และตาแจม่ ใส ฝงู นกเคา้ กย็ กพวกออกแกแ้ คน้ ไลจ่ กิ หวั กา
จนบาดเจบ็ ล้มตายลงเกลอื่ นลานวัดพอๆ กนั เม่อื พระสงฆ์ทง้ั ปวงทา� ความ
สะอาดกวาดลานวดั ไดก้ วาดซากสตั วท์ งั้ สองจา� พวกไปใสเ่ ขง่ เปน็ ทน่ี า่ เวทนา
ยิง่

ครน้ั ตกเยน็ จงึ สนทนากนั วา่ สตั วป์ กี ทง้ั สองจา� พวกนจ้ี องกรรม จองเวร
มาแต่คร้งั ใด เม่อื พบกนั จึงชอบราวีจกิ ตีกนั เปน็ พลั วัน

พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาในท่ีประชุม ได้ทรงทราบเรื่องที่พระสงฆ์
สนทนากนั แลว้ ตรสั ตอบปญั หาขา้ งตน้ วา่ นกทง้ั สองฝา่ ยนไ้ี ดก้ อ่ กรรมทา� เวร
กันมาตง้ั แต่ปฐมกัปแล้ว พระพุทธเจา้ จึงตรัสอุลูกชาดก มเี รอ่ื งดงั ต่อไปนี้

ในอดตี กาล เมอื่ ครง้ั พระโพธสิ ตั วเ์ สวยพระชาตเิ ปน็ พญาหงสท์ อง ครง้ั
นั้น มีมนุษย์และสัตว์เกิดข้ึนในโลก หมู่มนุษย์ได้ประชุมกันเพื่อเลือกตั้งผู้
หน่งึ ผใู้ ด ซึ่งมคี วามร้คู วามสามารถข้นึ เป็นหวั หนา้

ฝา่ ยสตั วส์ เี่ ทา้ กเ็ ลอื กตงั้ ใหพ้ ญาราชสหี เ์ ปน็ พญาแหง่ ฝงู พวกมจั ฉาชาติ
คอื ปลาในน้�ากเ็ ลือกใหป้ ลาอานนท์ขึ้นเปน็ หวั หนา้

นกทัง้ หลายทั้งปวงกอ็ ยากมีหวั หนา้ คอื ผู้น�าแห่งนกบ้าง จึงจัดประชมุ
สมาชกิ นกทุกชนิด ใหม้ าออกเสียงเลอื กตัง้ ผนู้ า� นก

เมื่อนกมาพร้อมกันในสภาท่ีประชุมนกแล้ว นกซ่ึงได้รับเลือกให้เป็น
ประธานสภานกกถ็ ามความเหน็ สมาชกิ นกในทปี่ ระชมุ วา่ ผใู้ ดเหน็ วา่ นกสกลุ

333


ใดสมควรไดร้ บั เลือกตง้ั เป็นผู้น�าของนก จงึ ขอให้เสนอความเห็นขนึ้ มา นกตวั หน่ึงก็
สง่ สัญญาณขอพูดเสนอ เมือ่ ได้รบั อนญุ าตก็เสนอว่า

“ข้าพเจ้าเหน็ ว่านกเค้าเหมาะสมทส่ี ดุ ทีจ่ ะเป็นผู้นา� หรอื หวั หน้าของพวกเรา”
ประธานทป่ี ระชมุ นกประกาศขนึ้ ถงึ ๒ ครง้ั วา่ มผี ใู้ ดเหน็ ดว้ ยหรอื คดั คา้ นหรอื
ไม?่
นกหลายตวั ออกเสยี งเหน็ ดว้ ย แตก่ อ่ นทปี่ ระธานจะประกาศเปน็ ครง้ั ท ่ี ๓ กา
ตวั หนึ่งกข็ ออนุญาตประธานสภานก กล่าวว่า
“ท่านประธานท่ีเคารพ พวกเราทีม่ าประชมุ กันอยนู่ ี้ ส่วนมากออกเสียงเลอื ก
นกเคา้ ตวั นใี้ หเ้ ปน็ หวั หนา้ ของพวกเรา ถา้ ประธานจะอนญุ าตใหฉ้ นั ไดแ้ สดงความเหน็
ในสภานีจ้ ะได้ไหม?”
ประธานสภานกกลา่ ววา่ “ดกู อ่ นสหาย ประธานอนญุ าตใหท้ า่ นพดู ได ้ แตท่ า่ น
จงกล่าวแต่ถอ้ ยคา� ทีเ่ ป็นประโยชน ์ เปน็ ธรรม และถกู ต้องเท่านัน้ เพราะว่าพวกนก
หนุม่ ๆ ผู้มีปัญญาและฉลาดหลักแหลมอยู่ท่ีน ี่ ยังมีอย่”ู
กาจึงกลา่ วข้ึนวา่
“ขา้ แตน่ กทงั้ หลาย ขา้ พเจา้ ไมเ่ หน็ ดว้ ยเลยทจี่ ะใหน้ กเคา้ เปน็ หวั หนา้ ของพวก
เรา ทง้ั นีเ้ พราะขา้ พเจา้ เห็นวา่ นกเคา้ น้ันรปู รา่ งไมส่ งา่ หนา� ซ�้ายังมีหน้าตาถมึงทึง
นา่ กลัว เหมือนกบั โกรธแค้นอยูเ่ ป็นนติ ย์ ถา้ ไดเ้ ป็นนายของพวกเราแลว้ เวลาโกรธ
ข้นึ มากจ็ ะดพุ วกเราดว้ ยหน้าตาอนั นา่ กลวั ” กาเว้นระยะการพูดนิดหน่ึง แล้วกลา่ ว
ต่อไปวา่
“ท่านทั้งหลาย ขอทา่ นไดโ้ ปรดดหู น้าอนั น่ากลวั ของนกเค้าท่ีพวกท่านจะแตง่
ตงั้ ใหเ้ ปน็ ผนู้ า� เสยี ใหเ้ ตม็ ตาเถดิ เวลาไมโ่ กรธมหี นา้ อยา่ งน ี้ ถา้ โกรธขนึ้ มาจะมหี นา้
ตาอยา่ งไร?”
ฝ่ายนกทั้งหลายเม่ือได้ยินเสียงคัดค้านอย่างชาญฉลาดของกาเช่นนั้น ก็มี
ความเช่ือและเห็นด้วยเปน็ อยา่ งมาก จึงลงความเหน็ กนั วา่ กามสี ติปญั ญา มีความ
สามารถเป็นผู้น�าได ้ พวกเราควรจะแต่งตั้งกาใหเ้ ปน็ หัวหนา้ จะดกี ว่า
“ขา้ พเจา้ ขอคดั คา้ น” นกเคา้ ซงึ่ จะไดเ้ ปน็ ผนู้ า� อยแู่ ลว้ แตถ่ กู กาคดั คา้ นซงึ่ ๆ หนา้
ต่อทีป่ ระชุมเช่นนน้ั จึงกล่าวโจมตีด้วยอารมณโ์ กรธเคอื งว่า
“เจา้ กาเปน็ สตั วฉ์ ลาดแกมโกง มหิ นา� ซา�้ ยงั เปน็ จอมขโมยอกี ดว้ ย ทา่ นทง้ั หลาย
ลองคิดดซู ิ เมอ่ื ตอนมนั ยงั ไมไ่ ด้เปน็ นายของพวกเรา ยังเทย่ี วขโมยไขน่ กและลกู นก
กนิ เมอื่ ไดเ้ ป็นนายแล้ว พวกเรามติ ้องไปหาไขน่ กและลูกนกสง่ สว่ ยมันหรอื เราขอ
บอกด้วยว่าหากท่านขืนจะแต่งตั้งกาเป็นนายอยู่แล้ว พวกท่านจะต้องเสียใจในภาย
หลงั แน่ๆ”

334


ฝงู นกสง่ เลยี งออ้ื องึ เพราะเหน็ ดว้ ยกบั นกเคา้ ฝา่ ยกาเลา่ กป็ ระทว้ งดว้ ยการ
บนิ ถลาออกจากที่ประชุม พลางส่งเลยี งร้องคดั ค้านวา่ “ข้าพเจ้าขอค้าน ขา้ พเจ้า
ไม่เหน็ ดว้ ย”

ฝา่ ยนกเคา้ กท็ นไมไ่ หวเช่นกนั ไดบ้ นิ ไล่จกิ ตกี า สตั ว์ทั้งสองไดบ้ ินไลจ่ กิ ตี
กันเปน็ พลั วัน ในที่สดุ สงครามย่อยๆ ระหวา่ งกากับนกเคา้ ก็เกดิ ข้นึ

ฝา่ ยพวกนกนอกนน้ั เมอ่ื เหน็ กากบั นกเคา้ หา้� หนั่ กนั อยา่ งไมย่ อมเลกิ ราเชน่
นั้น ก็ลงมติให้ตัดสิทธิสัตว์ทั้งสอง และเลือกหงส์ทองข้ึนเป็นพญาของพวกนก
เรียกว่า “พญาหงส”์ ทัง้ นโ้ี ดย เหน็ วา่ หงสไ์ มเ่ บียดเบยี นทา� ร้ายนกด้วยกัน กนิ แต่
ปลาเปน็ อาหาร ทงั้ รปู รา่ งกง็ ดงาม กริ ิยาท่าทางกส็ ง่าน่าดยู ง่ิ นัก

จึงเปน็ อันว่าหงส์ทองไดเ้ ปน็ พญาของพวกนกหรือสตั วป์ กี ทง้ั หลาย สว่ นกา
กบั นกเคา้ ก็ไดจ้ องเวรเป็นศตั รกู ันจนทกุ วันน ้ี พวกมันเห็นกนั ทีไ่ หนเป็นต้องตรง
เขา้ จิกตีกนั ทนั ท ี ไมม่ ีวนั เลิกรา

ชาดกเร่อื งน้มี คี ติสอนวา่
๑. เวรย่อมไมร่ ะงบั ดว้ ยการจองเวร คนเราถา้ มวั เคียดแคน้ ชิงชงั กนั
อยู่ อย่างไม่มีการเลิกรา ย่อมพลาดจากต�าแหน่งหน้าท่ี การงาน และย่อม
พลาดจากลาภยศท้ังหมด เหมอื นกับกาและนกเคา้ ฉะนั้น
๒. การจะแต่งตง้ั บุคคลใดหรือใครๆ กต็ ามใหด้ า� รงต�าแหน่งหรอื หน้าที่
ทส่ี �าคัญ ควรคา� นึงถึงวฒุ ภิ าวะ ความรู้ความสามารถ ภาพลกั ษณ์ และความ
เหมาะสมกบั ตา� แหนง่ นน้ั ๆ เปน็ สา� คญั เพราะวา่ หากตงั้ คนทไี่ มม่ คี วามรคู้ วาม
สามารถ หรอื ไมเ่ หมาะสมกบั ตา� แหน่งแลว้ ก็จะทา� ให้เกิดความเสียหายใหก้ บั
องค์กรหรือประเทศชาติได้
ในทางพระพทุ ธศาสนากลา่ วว่า การท�างานให้ส�าเรจ็ ประโยชนไ์ ด้ดว้ ยดี
นั้น ไม่ไดค้ �านึงถึงลกั ษณะรูปรา่ งภายนอก แตค่ �านงึ ถึงคณุ ธรรม ๔ ประการ
คอื
๑. เป็นผูม้ คี วามสามารถในการงานดี
๒. เป็นผ้มู คี วามรดู้ ี
๓. เปน็ ผมู้ คี ุณธรรมเป็นเคร่ืองดา� เนินดี
๔. เป็นผ้มู ีความประพฤตดิ ี มีความซื่อสตั ย์สุจริต
บคุ คลเมอื่ พรอ้ มดว้ ยคณุ ธรรม ๔ ประการน้ี เปน็ ผสู้ ามารถนา� พาพลเมอื ง
และประเทศชาติ ไปส่คู วามเจรญิ รุง่ เรอื งไดอ้ ย่างยง่ั ยืน

(อลุ ูกชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย

ชาดก ติกนิบาต เลม่ ๓๑ หนา้ ๑๒๑)

335


336


ชาวนาขอโค

“คนโง่ย่อมคดิ วา่ ตนเองเป็นคนฉลาด

คนฉลาดยอ่ มคดิ วา่ ตนเองโง่”

ในอดีตกาล เมือ่ พระเจา้ พรหมหัตเสวยราชสมบตั อิ ยใู่ น กรุงพาราณส ี
พระโพธิสัตวเ์ สวยพระชาตเิ ปน็ พราหมณ์ ชอื่ โสมทตั เมอื่ เจริญวัยได้ไปเรยี น
วชิ าความรู้ทเี่ มืองตักกสิลา ครัน้ เรยี นจบ กลบั มาคดิ จะเชิดชวู งศต์ ระกลู ของ
ตน จึงกราบลาบิดามารดาไปรับราชการอยู่ในเมืองพาราณสี และเป็นที่
โปรดปรานของพระราชาอยา่ งยง่ิ ครง้ั นน้ั วัวของบิดาซ่งึ มีอย่ ู ๒ ตัว ได้ตาย
ลงตัวหนงึ่ บิดาจงึ ได้ไปหาบตุ รชายแล้วกลา่ ววา่

“ลูกเอ๋ย วัวของพวกเรามันตายไปตัวหนึ่ง ลูกจงไปทูลขอวัวกับพระ
ราชาใหพ้ อ่ ตวั หนง่ึ เถดิ ”

บตุ รชายไดบ้ อกบิดาว่า “คณุ พ่อครับ ลกู เพิง่ จะเข้ารับราชการไมน่ าน
นัก คร้ันจะกราบบงั คมทูลเพอื่ ให้พระราชทานววั ตัวหนงึ่ ดจู ะไม่คอ่ ยเหมาะ
สม ขอให้คุณพอ่ กราบทลู ขอเอาเอง เถอะครบั ”

พราหมณ์ผู้เป็นบิดาได้ฟังเช่นน้ัน จึงพูดกับลูกด้วยความหนักใจว่า
“ลกู เอย๋ ลกู กร็ วู้ า่ พอ่ เปน็ คนบา้ นนอกบา้ นนา ขนาดอยตู่ อ่ หนา้ คนแกส่ องสาม
คน พอ่ ยงั เสยี งสนั่ พดู ผดิ พดู ถกู หากลกู ใหพ้ อ่ ขอเอง พอ่ เกรงวา่ มนั จะกลาย
เปน็ ไปทลู เกลา้ ถวายววั ทเี่ หลือเสยี กระมังลกู ”

บตุ รชายจงึ ปลอบใจบดิ าวา่ “ไมว่ า่ จะอยา่ งไรกต็ าม ลกู กค็ งไมส่ ามารถ
ทจี่ ะขอวัวใหค้ ณุ พอ่ ได้ เอาอย่างนี้กแ็ ลว้ กนั คุณพ่อ ลกู จะซักซอ้ มค�ากราบ
บงั คมทูลให้คณุ พอ่ เอง”

พรามหณ์ได้ฟังก็ดีใจ รบี บอกบตุ รชายทันทีว่า “ถ้าอย่างนน้ั ขอให้เจ้า
จงรบี ซักซ้อมใหพ้ ่อ แลว้ พาพ่อเขา้ เฝา้ พระราชาเถดิ ลกู รัก”

บุตรชายจึงพาบดิ าไปยงั ป่านอกเมอื ง มดั ฟอ่ นหญา้ ไว้แล้วอธิบายให้
บิดาพงิ ว่า “คุณพอ่ ครับ ผูท้ ่นี ัง่ อยูต่ รงนี้คือพระราชา ผู้นค้ี ืออปุ ราช ผูน้ คี้ อื
เสนาบดี เป็นต้น”

จากนน้ั ไดก้ ลา่ วตอ่ ไปวา่ “คณุ พอ่ ครบั เมอ่ื คณุ พอ่ เขา้ เฝา้ พระราชาแลว้

337


ขอใหค้ ณุ พอ่ จงกราบถวายพระพรวา่ ขอใหพ้ ระองคจ์ งทรงพระเจรญิ แลว้ จงกลา่ ว
คาถาคา� ทลู ขอวัวเถดิ ”

จากน้ันจึงให้บิดาเรียนคาถา พราหมณไ์ ด้เรียนคาถานี้ ใชเ้ วลายาวนานถึง
๑ ป ี จึงจะสามารถจดจ�าเร่อื งราวทุกอย่างได้อยา่ งคลอ่ งแคลว่ เขาจึงไดบ้ อกบุตร
ชายว่า

“โสมทัตลูกรกั บดั นี้พอ่ สามารถจ�าคาถาทีล่ ูกสอนพอ่ ไดแ้ ล้ว นับจากนไ้ี ป
ไม่ว่าลูกจะพาพ่อไปเข้าเฝ้าพระราชาที่วังไหน พ่อก็สามารถทูลได้อย่างไม่ต้อง
กลวั ผดิ พลาดอกี แล้ว จงพาพ่อไปเขา้ เฝา้ เถดิ ”

บุตรชายได้ฟังพ่อพูดก็ดีใจ จึงเตรียมเคร่ืองบรรณาการน�าบิดาไปเข้าเฝ้า
พระราชา เมื่ออยู่เบื้องพระพักตร์ของพระราชาในท้องพระโรง พราหมณ์จึง
กราบทูลทนั ทีว่า “ขอพระมหาราชเจา้ จงทรงพระเจริญเถิดพระเจา้ ขา้ ” จากนั้น
ได้น�าเครอ่ื งบรรณาการเข้าถวายทันที

พระราชาจงึ หนั พระพักตรไ์ ปตรัสถามโสมทตั วา่
“โสมทตั พราหมณ์ผู้นเ้ี ป็นอะไรกบั เจา้ หรอื ?”
โสมทัตจึงกราบทูลว่า “ข้าแต่พระมหาราชเจ้า บุรุษคนนี้คือบิดาของข้า
พระพทุ ธเจ้า พระเจา้ ขา้ ”
พระราชาทรงแยม้ พระโอษฐต์ รสั ถามวา่ “พราหมณเ์ อย๋ ทา่ นมาเขา้ เฝา้ เรา
มีธรุ ะอะไรหรือ”
ขณะนนั้ ดว้ ยความประหมา่ ทอ่ี ยตู่ อ่ หนา้ บคุ คลมากมาย เขาจงึ กราบทลู เปน็
คาถาถวายววั วา่
“ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ข้าพระพทุ ธเจา้ มโี คส�าหรบั ไถนาอย ู่ ๒ ตวั ใน
บรรดาโค ๒ ตวั นัน้ ตัวหน่งึ ได้เกดิ ตายลงไปเสยี แล้ว ขอพระองค์ได้โปรดทรง
รบั โคตวั ที่ ๒ ไปเถดิ พระเจา้ ขา้ ”
พระราชาทรงทราบวา่ พราหมณก์ ราบทูลผิด จงึ ทรงพระสรวล หนั ไปตรสั
หยอกเยา้ มหาดเลก็ คนสนทิ วา่ “โสมทตั เอย๋ ในบา้ นเจา้ คงจะมโี คหลายตวั ซนิ ะ”
โสมหัตจึงกราบทูลว่า “ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ถ้าพระองค์พระราชทาน
คงจะมีมากแน่ๆ พระเจา้ ขา้ ”
พระราชาทรงโปรดปรานเป็นอยา่ งมาก ทรงพระราชทานโคให้ถงึ ๑๖ ตัว
พร้อมเครอ่ื งประดับและบา้ นเป็นรางวลั
ในขณะที่นง่ั รถเทยี มด้วยม้ากลับบา้ น บุตรชายจงึ ได้ กลา่ วหยอกเยา้ กับ

338


บิดาว่า
“คุณพ่อครับ ลูกท�าการซักซ้อมให้คุณพ่อมาเป็นเวลาแรมปี แต่พอเอาเข้า

จรงิ ๆ คุณพอ่ กลับทูลถวายโคแด่พระราชาเสยี น”ี่ จากนัน้ จึงได้กล่าวคาถาท่ี ๑ ว่า
“ทา่ นเปน็ ผไู้ ม่ประมาทเปน็ นิจ ไดก้ ระท�าความเพยี ร ฝึกซ้อมอยู่ในปา่ หนงึ่ ป ี

ครั้นเข้าประชุมบริษัทกลับกล่าวให้ผิดพลาดไป ความเพียรไม่สามารถท่ีจะท�าการ
ปอ้ งกนั คนไม่มปี ัญญาได้เลย”

พราหมณไ์ ดฟ้ ังลูกชายกล่าวเช่นน้นั จึงได้กลา่ วคาถาที่ ๒ วา่ “ดกู อ่ นลูก
โสมทตั บคุ คลผูข้ อยอ่ มไดร้ ับสิ่ง ๒ อยา่ ง คอื ได้ทรพั ย ์ และไม่ไดท้ รัพย์ นเ้ี ปน็
เร่อื งธรรมดาสา� หรบั การขอ”

บตุ รชายกลา่ วคาถาเพอ่ื จะอธบิ ายใหเ้ หน็ วา่ ขยนั แคไ่ หนกไ็ มม่ ปี ระโยชน ์ หาก
ไม่มปี ัญญา นคี้ ือความหมายของคาถาท่ี ๑ ฝ่ายพราหมณไ์ ด้โต้ตอบลูกวา่ อยา่ ไป
คิดอะไรมาก ถึงอยา่ งไรเราก็ได้ทรัพยส์ มบัตมิ ากมาย จึงไดก้ ลา่ วคาถาท่ี ๒

ชาดกเร่ืองนี้มีคติสอนว่า ชาดกเร่ืองนี้ต้องการอธิบายให้เห็นถึงความโง่
ของพ่อและความฉลาดของลกู บางครั้งแม้จะใชค้ วามเพียรแคไ่ หน ความขยนั
ก็ไมม่ คี ุณค่าอะไร ความดขี องคนฉลาดอยทู่ ี่รู้วา่ ตนเองโง่ จะต้องศึกษาหาความ
รใู้ หม้ าก สว่ นคนโงม่ ักจะคดิ วา่ ตนเองฉลาดแลว้

คนมปี ญั ญายอ่ มรจู้ กั เหตแุ ละรจู้ กั ผล เมอ่ื จะแนะนา� สงิ่ ใดแกผ่ ใู้ ด กค็ ดิ เสยี
กอ่ นว่าเมือ่ แนะน�าแลว้ จะเกิดผลดรี ้ายอยา่ งไร มบี างอยา่ งทีไ่ ม่ควรแนะน�าแก่
บุคคลบางคน เพราะผู้ฟงั บางคน ไม่มีปัญญาพอจะวนิ ิจฉัย หรือปฏิบัติตามค�า
แนะน�าน้นั เมอื่ ไดฟ้ งั ค�าแนะน�าแล้วอาจละเว้นสง่ิ ทีค่ วรปฏิบัติ หรอื ปฏบิ ัตสิ ิ่งที่
ควรเว้น อาจเกิดความเสียหายแกผ่ ูป้ ฏบิ ัตไิ ด้

เพราะฉะนน้ั ผมู้ ปี ญั ญาจงึ พจิ ารณาโดยรอบคอบกอ่ น จงึ แนะนา� สง่ิ ทค่ี วร
แนะน�าเท่าน้นั ไมแ่ นะน�าสิง่ ที่ไม่ควรแนะนา� แกผ่ ทู้ ไี่ ม่ควรแนะน�า เพือ่ ปอ้ งกนั
ไมใ่ หผ้ ูฟ้ งั นา� ไปปฏบิ ัติผดิ และความผิดนัน้ อาจจะยอ้ นกลับมาถงึ ผแู้ นะน�าดว้ ย

(โสมทตั ตชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
ชาดก ทุกนิบาต เลม่ ๓๐ หนา้ ๒๕๖)

339


340


ทดิ คง

“ชีวิตเหมือนความฝนั ใครโง่กวา่ ใคร”

ทิดคงเปน็ คนคงแกเ่ รียน บวชเรียนมานาน มคี วามรแู้ ตกฉาน สึก
ออกมาประกอบอาชีพเหมือนคนท่ัวๆ ไป อยู่ต่อมา ได้แต่งงานมีภรรยา
มลี กู สาว ๑ คน ทกุ วนั ทิดคงออกไปท�านา ซง่ึ อยู่หา่ งออกไป ๒๐ เสน้ ถึง
เวลาเท่ียงภรรยาจะให้ลกู สาวหิ้วสา� รบั กับขา้ วออกไปสง่ พอ่

เทยี่ งวนั นน้ั แดดรอ้ นจดั มาก ลกู สาวทดิ คงพกั รมิ ตน้ ไมก้ ลางทาง วาง
ส�ารับกับข้าวไว้ข้างตัว ลมเย็นพัดมาก็เผลอหลับฝันไปไกลว่า ได้แต่งงาน
กบั ลกู ชายเศรษฐ ี จนไดล้ กู ชายอว้ นนา่ รกั แตเ่ กดิ ปว่ ยไขต้ าย เสยี ใจรอ้ งไห้
เหมือนคนบ้า ขณะตีอกชกตัวอยู่นั้น มือก็ปัดหม้อแกงหกคว�่า ต่ืนตกใจ
เดินร้องไห้ไปบอกแม่ท่ีบ้าน เล่าความฝันให้แม่ฟัง แม่ฟังดังนั้นก็พลอย
ร้องไหไ้ ปกบั ลูกสาวดว้ ย พร้อมกบั พิไรรา� พนั ว่า “โธ ่ หลานเอย๋ ! ท�าไมมา
ด่วนตายจากยาย ยายยงั ไม่ได้ทา� ขวญั อะไรให้หลานเลย”

ขณะแม่ลูกกอดกันร้องไห้คร�่าครวญอยู่นั้น ทิดคงทนหิวไม่ไหวเดิน
กลับบ้านมาพบเหตกุ ารณ์พอด ี พอรู้เรือ่ งเข้าถงึ กบั สลดสงั เวชใจ ความผิด
หวังเกิดขน้ึ มาท่วมทับใจ เอือมระอาท่ตี ้องมาทนอยกู่ บั เมียและลูกสาวผ้โู ง่
เขลาอยา่ งน ้ี ทิดคงตดั สินใจในทนั ท ี ควา้ เงินยดั ใสพ่ ก ผลนุ ผลันออกจาก
บ้านไป ซื้อเรือล�าหน่ึงออกเดินทางไปหัวเมือง จากเมืองนั้นไปเมืองโน้น
รอนแรมคา้ งคนื ไปเรอ่ื ยๆ

วันหนึ่ง เห็นชายคนหน่ึงร้องไห้อยู่ริมฝั่ง วาดหัวเรือเข้าไปถามได้
ความวา่ เกดิ ปญั หาเอามอื ซกุ ไหแลว้ เอาออกไมไ่ ด ้ ทดิ คงคนฉลาดมองปรา๊ ด
เดยี วกร็ ู้ มือชายคนนั้นกา� เกลอื ในไหไว้ จงึ บอกให้แบมือ เขาก็เอามือออก
จากไหได้โดยงา่ ย ทิดคงไดเ้ ป็ดตวั หนึ่งเป็นสนิ น้า� ใจ

พายเรือตอ่ ไปอีกเมอื ง เห็นคนหลายคนแบง่ เปน็ สองพวก เอาเชอื ก
ผูกหัวเสาช่วยกันฉุดไปคนละทาง ถามได้ความว่า ต้องการดึงเสาให้ยาว
“เสาน่ะ จะดึงใหย้ ืดใหย้ าวไมไ่ ดห้ รอก” ทิดคงบอก “ถ้าตอ้ งการให้เสายาว

341


กไ็ ปหาเสาอกี ตน้ มาตอ่ ” คนกลมุ่ นนั้ ไดท้ า� ตามคา� ทั้งท่นี บั ว่าดแี ละนับวา่ ไมด่ ที ั้งหลายท้ังปวง ก็เทา่ กบั
แนะน�า ก็ได้เสายาวสมใจ ทิดคงได้รับไก่เป็น ความฝนั ทง้ั หมด เพราะวา่ สงิ่ ทผี่ า่ นมาทง้ั หมดในชวี ติ
รางวลั นั้น ภายหลังเม่ือตายไปแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นของตน
มยี ศ มอี า� นาจ มตี า� แหนง่ สงู มที รพั ยส์ มบตั มิ าก เมอื่
ทิดคงพายเรือผ่านไปอีกหลายเมือง ใช้ ตายไปแลว้ ไมม่ อี ะไรเปน็ ความจรงิ ลว้ นแตเ่ ปน็ ความ
ปัญญาช่วยแก้ปัญหาเล็กใหญ่ให้ชาวบ้านเร่ือยไป ฝันท้ังส้ิน เหมือนลูกเมียของทิดคงพากันเศร้าโศก
จนกระท่ังถึงเมอื งๆ หน่ึง สรา้ งตึกประหลาด ก่อ เสยี ใจเพราะหลงผดิ คดิ วา่ ความฝนั นน้ั เปน็ ความจรงิ
อิฐถือปูนแต่ไม่มีหน้าต่าง ภายในตึกจึงมืดมาก
พอเวลาสาย พระอาทติ ยข์ น้ึ แดดสอ่ งจา้ คนในตกึ ๒. ถา้ เรายงั วงิ่ ไลเ่ งา จะไมม่ วี นั ทนั เงา ถา้ อยาก
กข็ นตะกร้า กระบุง หบี และถงั ออกมาผง่ึ แดด ให้ทันเงาต้องหยุดว่ิง ทิดคงวิ่งไล่ตามความสุข
ไว้ คร่หู นง่ึ กช็ ว่ ยกันขนกลับเข้าไปในตึก วนเวียน เหมอื นบุรุษว่ิงไล่จับเงา ตามความเปน็ จริงนน้ั ความ
อยูอ่ ยา่ งนไ้ี ม่รจู้ บ สขุ มไิ ด้อยูท่ ี่คนรกั ท่เี พอื่ นฝงู ท่ีบ้าน ทีเ่ งิน ทเ่ี กียรติ
แตค่ วามสขุ อยทู่ ค่ี วามพอใจในสง่ิ ทต่ี นมี และในสงิ่ ท่ี
“พวกท่านท�าอะไร” ทิดคงถาม “พวกเรา ตนเป็นอยู่ในปัจจุบัน คนเราส่วนมากว่ิงไล่หาความ
ขนเอาแดดไปเทไว้ในหอ้ ง เพอ่ื ให้มนั สวา่ ง” ชาว สขุ แบบบรุ ษุ วง่ิ ไลจ่ บั เงา คอื พากนั คดิ วา่ ถา้ มเี งนิ หมนื่
บ้านคนหนึง่ ตอบ ทดิ คงส่ายหน้าแล้วกแ็ นะน�าว่า คงจะมีความสขุ แต่พอมเี งนิ หมน่ื ความสุขจะว่ิงไป
ถ้าต้องการให้ตึกมีแสงสว่างก็ต้องช่วยกันเจาะ อยู่ที่เงินแสน พอมีเงินแสนความสุขก็จะว่ิงไปอยู่ที่
หนา้ ตา่ ง แสงแดดจะสอ่ งเข้าไปในตึกไดเ้ อง เมื่อ เงินล้าน เงิน ๑๐ ล้าน เงิน ๑๐๐ ลา้ น เงนิ ๑,๐๐๐
ชาวบา้ นทา� ตาม ภายในหอ้ งกส็ วา่ งขน้ึ มาทนั ท ี สง่ ลา้ น ตามล�าดบั ไม่มีท่สี ิ้นสดุ ผลสดุ ท้ายก็จะวงิ่ ไล่
เสียงไชโยโหร่ อ้ ง เสียงนีท้ งั้ ดีใจและชนื่ ชมปัญญา ตามความสขุ เรือ่ ยไปโดยไม่พบความสขุ
ของทดิ คงท่ีชว่ ยแกป้ ญั หาให้
“อย่าน�าตนไปเปรียบกับใคร จงพอใจในส่ิงท่ี
ถึงเวลานั้น ทิดคงคิดว่า ได้ออกจากบ้าน ตนมีตนเป็นในปจั จบุ นั แล้วจะพบความสขุ ”
ท้ิงเมียท้ิงลูกมานานหลายปี เพราะเห็นเมียและ
ลูกสาวรอ้ งไหฟ้ ูมฟายกบั เร่ืองในฝนั ไมใ่ ช่เรื่องโง่ (นิทานธรรมสาธก)
จนเกินไป ทิดคงเนรเทศตนเองท่องเที่ยวไปในท่ี
ตา่ งๆ กเ็ จอแตค่ นโงๆ่ ทงั้ นนั้ โงก่ วา่ ลกู เมยี ตวั เอง
ก็มีไม่น้อย คิดได้ดังนั้น ทิดคงจึงบ่ายหัวเรือมุ่ง
หน้ากลับบ้านไปอย่กู บั ลกู เมียเหมือนเดมิ

นทิ านเรอื่ งนี้มีคตสิ อนวา่
๑. ชีวิตของคนเราตั้งแต่เกิดจนตาย
เปรียบเหมือนกับความฝัน เรายังมีชีวิตอยู่
เหมอื นเรากา� ลงั ฝนั เมอื่ เราตายกเ็ หมอื นเราตนื่
ขน้ึ เราตนื่ ขนึ้ กเ็ ลกิ ฝนั ฉนั ใด เราตายกเ็ ลกิ ฝนั
ฉันน้นั เหมือนกัน ชวี ิตที่เราผา่ นมาทงั้ หมดน้ี

342


343


ทดิ ดี ทดิ รา้ ย

“ใฝ่รอ้ นจะนอนเยน็ ใฝเ่ ย็นจะเขญ็ ใจ”

ความเพียรเป็นของดี สามารถฟันฝ่าอุปสรรคที่ร้ายให้กลายเป็นดีได ้
คนที่ขาดความเพียรเสียอีกแม้จะได้รับทายว่า จะร�่ารวยเป็นเศรษฐีและได้
สมหวัง ไม่ตั้งตนให้ดีมัวทะนงตนในค�าท�านายโชคชะตาอยู่ มัวเมาใส่ใจใน
อบายมุข กต็ ้องเขา้ เกณฑย์ ากจนได ้ ดงั ทิดสองคนนเ้ี ปน็ ตัวอยา่ ง

ดงั ได้สดบั มาว่า มอี าจารย์ผหู้ น่งึ ช�านาญในการท�านายโชคชะตาอยา่ ง
แม่นยา� จนมีคนเลา่ ลือกนั ท่ัวไป มีทิดสองคนเป็นศษิ ย์อาจารยน์ เ้ี หมอื นกนั
คนหนึ่งเปน็ คนมีฐานะดีสักหน่อย ก่อนจะสึกไดร้ บั คา� ท�านายจากอาจารยม์ า
ว่า “ต่อไปจะเปน็ คนร่�ารวยขนั้ เศรษฐี” อีกคนหน่งึ เปน็ คนที่ยากจนสักหน่อย
ไดร้ บั คา� ทา� นายจากอาจารยม์ าเหมอื นกนั แตท่ า� นายผดิ กนั ตรงกนั ขา้ มทเี ดยี ว
ว่า “จะกลายเป็นคนยากจน ท�าอะไรมักจะตกชะตารา้ ย”

ทงั้ สองทดิ น ้ี กอ่ นสกึ ไดเ้ คยปรกึ ษากนั วา่ เราจะบวชไปคงไมต่ ลอด อยู่
ไปหากจะสึกลาเพศเอาตอนแกก่ ็จะทา� ความลา� บาก ทา� มาหากนิ ไมท่ ันเพอ่ื น
จะทนบวชไปก็จะกลายเป็นคนไมแ่ นน่ อน จะกลายเป็นอาศยั ศาสนา โบราณ
ทา่ นยอ่ มวา่ “ตนื่ แต่ดกึ สึกแต่หน่มุ ”

ท้ังสองคนเม่ือลาสิกขามาแลว้ ผิดกันไกลทเี ดยี ว ทิดดนี ่ัน ตอ่ มาพอ่
แม่ก็ไปขอภรรยาทีม่ ีฐานะดีคนหนง่ึ ตงั้ แต่ได้ภรรยาแลว้ กไ็ ม่ได้ท�าอะไร ได้
แตค่ บเพอ่ื นมากมาย ไมท่ า� มาหากนิ ทจ่ี ะใหท้ รพั ยท์ ม่ี อี ยอู่ อกผล นกึ อยแู่ ตค่ า�
ท�านายของอาจารย์และทะนงว่าตนมีทรัพย์ พูดจาโวหารจัดจ้าน คบคนไม่
เลอื กหน้า ตอ่ มาก็ประพฤติอบายมุข คบเพือ่ นเสเพลไมท่ า� มาหากิน พ่อแม่
หรอื ใครจะตักเตือนก็ไม่ยอมเชอื่ พูดอยูแ่ ต่ว่า “เอาเถอะนา่ ไม่ช้าจะไดเ้ ป็น
เศรษฐ”ี ภรรยากเ็ ป็นคนตามใจผัว ในทส่ี ดุ กย็ ากจนลงเพราะมแี ต่ใช้ออกไป
หาเขา้ ไม่มี กเ็ ลยยากจนลงทุกทีๆ ใครทักทว้ งกพ็ ดู ว่า “ตอ่ ไปคอยดูขา้ จะได้
เป็นเศรษฐี เพราะอาจารยข์ องข้าทายไว้” และกเ็ กียจครา้ นประพฤติผดิ ทาง

344


อยู่ตลอดมา จนถึงกับต้องขายของท่ีมีอยู่ ยากจน “เจ้าเป็นอยู่อย่างไร” เขาเล่าให้อาจารย์ฟัง
ขนาดไม่มจี ะกิน เพอ่ื นก็หลกี ทาง ต้ังแต่ต้นจนที่สุดตามความเป็นจริง อาจารย์ถึงกับ
สะด้งุ พรอ้ มกบั นกึ ว่าเราทายแม่นไมเ่ คยผิด แต่ต้อง
ฝ่ายทิดที่อาจารย์ทายว่าร้ายจะยากจนน้ัน มาผิดเพราะศิษย์ที่มีท้ังความขยัน เสงี่ยมเจียมตน
เมอ่ื รอู้ ยา่ งนน้ั พอสกึ แลว้ ก็ไปเปน็ ลกู จา้ งอยูใ่ นบ้าน กตัญญูรคู้ ุณ
ผมู้ ีอนั จะกินครอบครัวหนงึ่ ซ่ึงมีลูกสาวคนเดยี ว มี
ทรพั ยส์ มบตั มิ ากมาย พอเรมิ่ ทา� งานกท็ า� โดยไมเ่ หน็ ส่วนอีกคนหนึ่ง ที่ทายว่าดีกลับล่มจมกลาย
แก่ความเหนอื่ ยยาก ขยนั หม่นั เพยี ร ไมเ่ คยปริปาก เปน็ คนส้ินเนอื้ ประดาตัว จึงพดู ขนึ้ ลอยๆ ว่า “คนท่ี
ไมค่ า� นงึ วา่ นายจะใชอ้ ะไร โดยนกึ อยวู่ า่ “เราเปน็ คน ทะนงตน ดูหมิ่นทรัพย์สมบัติ รอคอยแต่โชค
ฐานะยากจน อาจารย์ทายไว้” ไดเ้ งินกไ็ มค่ ่อยไดใ้ ช้ วาสนา แตไ่ มท่ า� จะมที างกา้ วหนา้ ไมไ่ ด้ ซา้� รา้ ยยงั
เพราะกลัวยากจน และฝากเงินไว้กับเจ้านายเสมอ พาสมบัติเก่าให้ล่มจมอีก ผู้ที่กลัวยากจน เพียร
จะใช้สอยบ้างก็พอประมาณ เพราะความขยนั หมนั่ มานะอดทนเจียมตวั ย่อมเอาชนะโชคร้าย ชะตา
เพยี รทง้ั กลางวนั กลางคนื งานหนกั เอางานเบาส ู้ รบั อับได้ กลายเป็นคนทีผ่ ูอ้ ื่นจะลืมเสียมไิ ด้”
ใช้ทกุ เวลาที่นายใช ้ จงึ ทา� ใหพ้ ่อแม่ของหญงิ สาวเกดิ
ความเมตตา มองเห็นว่า นายคนนีส้ มควรปกครอง ความขยันมุ่งมานะเท่านั้นที่สามารถฟันฝ่า
ทรัพย์สมบัติได้ เพราะเป็นคนเจียมตัว ขยัน จึง อุปสรรคได้ เหนอื ส่งิ ตา่ งๆ ทัง้ หลายซึ่งไม่เหลอื วิสัย
ปรึกษากันแล้วยกลูกสาวให้แต่งงานกับทิดร้ายคน คนทโี่ ชควาสนาดแี ตท่ า� สงิ่ ทม่ี าทา� ลายตวั เองและของ
นนั้ ท่มี อี ยใู่ ห้พินาศ จักไดส้ มหวังอย่างไร

ทิดร้ายหาได้เป็นคนทะนงตนไม่ ถึงแม้ว่าจะ นิทานเรื่องน้ีมีคติสอนว่า การงานอย่างใด
วางตนเป็นสามี แต่ก็ยังเรียกภรรยาว่า “เจ้านาย” อยา่ งหนึ่งหรอื หน้าทอี่ ยา่ งใดอย่างหนึ่งของตน ถ้า
อยนู่ น่ั เอง แมจ้ ะถกู ภรรยาหา้ มกไ็ มฟ่ งั จงึ ทา� ใหเ้ พม่ิ ต้องการผลส�าเร็จท่ีดีงาม ต้องท�าอย่างเข็มงวด
ความเคารพเกดิ แกภ่ รรยาอกี มใิ ชน่ อ้ ย ถงึ ขนาดนาง กวดขัน ท�าอย่างขยันหมั่นเพียร จึงจะมีผลมาก
คิดว่า “ไมน่ กึ วา่ วาสนาอะไรทน่ี างท�าไว้จึงมาพบคน ถา้ ทา� ย่อหยอ่ น ผลกห็ ย่อน
เช่นนี้ รู้สึกเป็นบุญใจอยู่” นายทิดร้ายแม้จะอยู่ใน
บา้ นนน้ั ในฐานะลกู เขยกต็ าม ตนเคยทา� อะไรอยเู่ ชน่ จงึ มสี ภุ าษิตวา่ “ถ้าหวงั ส�าเร็จ จงทา� งานให้
ไรกไ็ มเ่ วน้ ทงั้ นน้ั หมน่ั ตรวจตรารกั ษาเปน็ อนั ด ี เจยี ม หนกั ” เมอ่ื สา� เรจ็ ผลทมี่ งุ่ หมายแลว้ เรากจ็ ะมคี วาม
ตัวอยู่เสมอ หาได้ท้ิงความขยันหมั่นเพียรเสียไม ่ สุขกายสบายใจ “ใฝ่ร้อนจะนอนเย็น ใฝ่เย็นจะ
ดูแลทรัพย์สมบัติเป็นอย่างดี กลายเป็นท่ีรักของ เขญ็ ใจ” สุภาษติ ไทยอนั คมคายน้กี พ็ ูดส่ังสอนกนั
พ่อตาแม่ยายไปอีก อยู่ดว้ ยความเปน็ สขุ ตลอดมา มานานแลว้

ต่อมาวันหนึ่ง นึกถึงอาจารย์ จึงพร้อมด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าต้องการผลมากก็ต้อง
ภรรยานา� สงิ่ ของตา่ งๆ เปน็ อนั มากไปใหอ้ าจารยแ์ ละ ทา� งานใหห้ นกั ผลดที เี่ กดิ จากการทา� งานหนกั เปน็
พูดว่า “ผมมีของเล็กน้อยมาฝากอาจารย์ครับ” ผลท่นี า่ ทง่ึ เปน็ อย่างยิ่ง ไม่มโี ทษ ไมต่ อ้ งระแวงว่า
อาจารย์เห็นสีสันของเขาพร้อมกับดูหญิงที่มาด้วย อะไรแอบแฝงอยใู่ นความสา� เรจ็ นนั้ ดงั นทิ านธรรม
ท่าทางเป็นผ้ดู มี สี กลุ อยู่ก็สงสัย จงึ พดู ว่า สาธกเร่อื งน้เี ป็นตวั อย่าง

(นิทานธรรมสาธก)

345


346


นกเจ้าปัญญา

“โง่แล้วยังอวดฉลาด

พินาศเพราะการหวั ดอื้ ถอื รน้ั ”

ในอดตี กาลนานมาแลว้ พระโพธสิ ตั วเ์ สวยพระชาตเิ ปน็ นกนายฝงู มี
บริวารเป็นอันมาก อาศัยอยู่ท่ีต้นไม้ใหญ่ในราวป่าแห่งหน่ึง ซ่ึงมีก่ิงก้าน
สาขาสมบรู ณด์ ว้ ยความสขุ สบายเสมอมา ตอ่ มาตน้ ไมใ้ หญต่ น้ นน้ั ถกู ลมพดั
กระหนา�่ อยา่ งแรงจนคาคบเสยี ดสกี นั สง่ เสยี งสนน่ั หวน่ั ไหวเกดิ เปน็ ควนั ไฟ
ขึ้นตลบไปท่ัวบริเวณน้ัน นกนายฝูงคาดการณ์เห็นเหตุอันตรายอันจะเกิด
แตอ่ ัคคภี ัยในไมช่ ้า จึงคดิ วา่ “กงิ่ ไม้ทง้ั สองเสยี ดสกี นั อยู่อย่างน ี้ จักเกดิ ไฟ
ลุกลามข้ึน ไฟนั้นจะติดลุกลามไปติดขุยไม้แห้ง ต่อแต่นั้นก็จักติดไฟไหม้
ต้นไมน้ ้ี อันเป็นทอ่ี ยูข่ องเราและบริวาร พวกเราเหน็ จะอยู่อยา่ งนไ้ี ม่ได้ต่อ
ไป ควรยา้ ยไปอยู่เสยี ทต่ี น้ ไมอ้ ่นื อนั เป็นท่ีปลอดภัย”

ครั้นคิดเช่นน้ีแล้ว จึงบอกกล่าวกับฝูงนกท้ังหลายว่า “บัดนี้ภัย
อันตรายจักเกิดแก่พวกเราแล้ว โน่นแน่ ไฟก�าลังจะติดลุกลามไหม้ต้นไม้
อันเป็นท่ีอยู่ของเราแล้ว ให้พวกเราทั้งหลายจงพากันอพยพหนีไปอยู่ในที่
ต่างๆ กันเถิด” ฝูงนกบริวารกม็ คี วามคดิ เปน็ ๒ ฝา่ ย ฝา่ ยหนึ่งมปี ัญญาก็
เชือ่ ตามค�าเตอื นของนกนายฝูง

ฝา่ ยหนงึ่ ไมม่ ปี ญั ญามวั หว่ งอาลยั ในทเ่ี ดมิ ไมแ่ นใ่ จกย็ งั ไมไ่ ป นกใหญ่
นายฝงู จงึ กล่าวเป็นคาถาวา่ “ฝงู นกทั้งหลาย ผสู้ ญั จรไปในอากาศ อาศัย
ต้นไม้งอกงาม อย่บู นแผ่นดนิ ฉนั ใด บดั นี ้ ตน้ ไมน้ ้ันจะเกิดเป็นไฟขนึ้ แล้ว
ดกู อ่ นนกทง้ั หลาย ทา่ นทงั้ หลายจงพากนั ไปเสยี เถดิ ภยั เกดิ แกท่ พ่ี งึ่ ทอี่ าศยั
ของพวกเราแลว้ ” ฝงู นกทม่ี ปี ัญญากระทา� ตามคา� ชกั ชวนของนกนายฝงู ก็
บินไปจบั ในตน้ ไม้อื่นพรอ้ มกบั นกนายฝงู

สว่ นฝูงนกทไี่ มม่ ีปญั ญาพากนั กลา่ ววา่ “นกนายฝูงตัวนี้ พอเหน็ น�า้
เพียงหยดเดียวก็เพ้อไปว่าจะมีจระเข้เสียแล้ว” ต่างก็ไม่เชื่อฟังค�าแนะน�า
ของนกนายฝงู ยงั พากนั อาศยั อยใู่ นตน้ ไมน้ นั้ ดงั เดมิ ตงั้ อยใู่ นความประมาท
ว่า “นแี่ นะ่ พวกเรา เวลาไฟติดลุกไหม้มาถงึ พวกเราจึงบินหนี พวกเราเอา

347


อยา่ งนี้นะ” จึงตกลงอยูท่ ี่เดิม
ต่อมาไมช่ า้ ไมน่ าน ไฟก็ลุกขึน้ ไหม้ทนั ทีพายโุ หมกระหน�่า ดงั คา� แนะนา�

ของนกนายฝูงทุกประการ ควันและเปลวไฟก็พวยพุ่งลุกโพลงโชติช่วงอย่าง
รนุ แรง บรรดาฝูงนกผ้ปู ระมาทต่อถอ้ ยค�าของนกนายฝงู น้ันมอิ าจหนไี ฟไปได้
ถูกไฟคลอกร่วงหล่นลงสูเ่ ปลวไฟ ถึงซ่ึงความตายเป็นจ�านวนมาก

เหตุแห่งชาดกน้ ี คือพระภิกษบุ วชแล้วออกไปปฏบิ ัติธรรมในป่า บรรณ
ศาลาของภกิ ษุน้นั ถกู ไฟไหม ้ ขอชาวบ้านสรา้ งให้ใหม ่ ต่างก็อา้ งวา่ มีภาระต้อง
ทา� นา ระบายน้�าเขา้ นาแล้วหว่านพืช ตอ่ ไปตอ้ งท�ารั้วแลว้ เก็บเกีย่ วนวด เวลา
ลว่ งเลยไป ภกิ ษุน้นั ต้องอยกู่ ลางแจง้ ตลอด ๓ เดอื น จงึ ไมอ่ าจเจรญิ กรรมฐาน
ได้ เมื่อไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงทราบเร่ืองแล้วตรัสว่า “แม้สัตว์
ดริ ัจฉาน ยงั รทู้ ี่อนั สมควรอยูส่ บายหรืออยไู่ ม่สบาย ไฉนเธอจึงไม่รู้ ”

ชาดกเร่ืองนีม้ คี ติสอนวา่ คนท่ีไมม่ ีปัญญา หวั ดอ้ื ถอื รั้น อวดดี ไมร่ ู้
แมแ้ ตภ่ ยั อนั ตรายอนั ปรากฏชดั แมก้ า� ลงั มาถงึ ตวั กไ็ มย่ อมหนี เพราะมคี วาม
ถือดี ต้ังอยู่ในความประมาทอันเป็นทางแห่งความตาย ความด้ือร้ันก็คือ
ความเปน็ ผวู้ า่ ยากสอนยาก ซงึ่ เปน็ ความไมเ่ ชอื่ ถอื ถอ้ ยคา� ของบคุ คลทเี่ ตอื น

การเป็นผูว้ ่ายาก จะท�าใหเ้ ป็นผหู้ า่ งไกลจากคุณธรรมต่างๆ เพราะไม่
เชื่อถือค�าท่ีเป็นประโยชน์ท่ีเตือน เม่ือไม่เช่ือก็ไม่ใส่ใจน�ามาปฏิบัติเพราะ
ความด้ือร้ัน เม่ือไม่ปฏิบัติก็ห่างไกลจากประโยชน์ที่จะได้รับ และห่างไกล
จากคุณความดยี ิง่ ขนึ้ ดงั นน้ั เราไม่สามารถจะเหน็ ภัยพิบัติท่ีอาจมาถงึ ตัว
ไดท้ ง้ั หมด เมอ่ื คนอนื่ เหน็ กย็ อ่ มเตอื น ดว้ ยการรบั โอวาทและประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
ตาม เหมอื นคนชข้ี มุ ทรพั ยใ์ ห้ ถงึ แมค้ นชข้ี มุ ทรพั ยจ์ ะดา่ วา่ อยา่ งไร กเ็ พอื่ ให้
คนน้นั ได้ทรัพย์ ฉนั ใด

แมก้ ารเตอื นจะเปน็ ถอ้ ยคา� รนุ แรงไมน่ า่ พอใจหรอื อยา่ งไรกต็ าม กเ็ พอ่ื
ความเจริญของคนท่ีถูกเตือนนั้นเอง “คนเป็นอัมพาต แม้จะมีของวางอยู่
รอบตวั กไ็ มอ่ าจหยบิ ฉวยนา� มาใชใ้ หเ้ ปน็ ประโยชนไ์ ด้ ฉนั ใด คนหวั ดอ้ื วา่ ยาก
แมจ้ ะมคี รอู าจารยด์ วี เิ ศษแคไ่ หนกไ็ มส่ ามารถถา่ ยทอดวชิ าความรู้ คณุ ความ
ดี มาใส่ตัวได้ ฉันนัน้ ” ดังนกหัวดือ้ ถอื รั้น ในนิทานชาดกเรอื่ งนี้

(สกุณชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
ชาดก เอกนิบาต เลม่ ๒๘ หนา้ ๓๗๙)

348


349


พุทธานภุ าพ

“พญาปลาช่อนขอฝน

พระพุทธรูปปางขอฝน”

สมยั หนง่ึ พระพทุ ธเจา้ ประทบั อยใู่ นวดั พระเชตวนั ในกรงุ สาวตั ถ ี เมอื ง
หลวงของแควน้ โกศล ทรงปรารภฝนทพ่ี ระองคท์ รงบนั ดาลใหต้ กลงมาทว่ั เมอื ง
ความของเรื่องมดี งั ต่อไปน้ี

ในสมัยดังกล่าว แคว้นโกศลฝนไมต่ กเลยตลอดท้ังแควน้ เป็นเหตใุ ห้
ข้าวกล้าพืชผล ทั้งในไร่และในนาของชาวบ้านแห้งเหี่ยวตายได้รับความเสีย
หาย สระเลก็ สระน้อย สระใหญๆ่ เชน่ สระโบกขรณที ี่อยใู่ กล้ซุม้ ประตวู ดั
พระเชตวนั ซงึ่ พระพทุ ธเจา้ และพระสงฆไ์ ดอ้ าศยั เปน็ ทล่ี งสรงกแ็ หง้ ขอดขาด
น้�า ฝูงกาและนกกินปลาก็รุมกันลงสระน�้า ใช้จะงอยปากที่แข็งเหมือนคีม
เหลก็ จิกท้งึ ฝูงปลาท่หี ลบมดุ หวั ลงไปในเปือกตม ปลาก็ดิน้ เรา่ ๆ แม้แต่เตา่
ทอ่ี าศัยอย่ใู นสระกย็ งั ถูกฝูงกาและนกรมุ จิก จนไมก่ ล้าโผล่หวั ออกมา

พระพทุ ธเจา้ ไดท้ อดพระเนตรเหน็ ความวบิ ตั อิ นั เกดิ จากฝนแลง้ จงึ ทรง
พระดา� ริว่า วันน้ีควรจะบนั ดาลใหฝ้ นตก เม่ือราตรีสว่างไดอ้ รณุ วนั ใหม ่ ทรง
ปฏิบตั กิ ิจสว่ นพระองคแ์ ล้ว ทรงครองจีวร แลว้ เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในกรงุ
สาวตั ถ ี พรอ้ มดว้ ยพระสงฆส์ าวกหมใู่ หญต่ ามปกต ิ เสดจ็ กลบั จากบณิ ฑบาต
แลว้ ประทบั ยนื ท่ีบนั ไดสระโบกขรณใี นวดั พระเชตวัน ตรัสเรยี กพระอานนท์
ให้น�าผ้าอุทกสาฎก (ผ้าอาบน�้า) มาถวายพระองค์ ด้วยมีพระประสงค์จะ
ลงสรงนา้� ในสระ

พระอานนทก์ ราบทลู วา่ “ข้าแตพ่ ระองค์ผู้เจริญ น�้าในสระไม่ม ี มแี ต่
เปือกตม พระพทุ ธเจ้าขา้ ” พระพุทธองคต์ รัสว่า “อานนท์ ธรรมดากา� ลงั ของ
พระพุทธเจ้าใหญ่หลวงนัก เธอจงน�าผ้าอาบน�้ามาเถิด เราจะสรงน้�า” พระ
อานนทจ์ งึ จดั ผา้ อาบนา้� มาถวายพระพทุ ธเจา้ แลว้ พระพทุ ธองคท์ รงนงุ่ ผา้ ดว้ ย
ชายข้างหน่ึง ทรงคลุมพระสรีระด้วยชายอีกข้างหน่ึง ประทับยืนท่ีบันไดตั้ง
พระทยั วา่ เราจะสรงนา้� ในสระโบกขรณ ี

350


Click to View FlipBook Version