The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คติชีวิตจากชาดก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ict.sesaosp, 2022-12-17 20:53:51

คติชีวิตจากชาดก

คติชีวิตจากชาดก

ก็เกดิ ความเสยี หาย ตนเองก็คลาดจากประโยชน์ได ้ ทางพระพทุ ธศาสนาจงึ กลา่ ววา่ “ประโยชน์
เมื่อคิดได้อย่างน้ี ฝ่ายครอบครัวชาวเมืองจึง เปน็ ตวั ฤกษข์ องประโยชนเ์ อง ดวงดาวทง้ั หลายจกั
ท�าอะไรได”้ ดังน้นั เมื่อเหน็ ว่าจะได้ประโยชน์ใน
พากันกลับไป ส่วนครอบครัวชาวชนบทได้กล่าวกับ เวลาไหน ก็ขอให้ท�าดีในเวลานน้ั ทันที ไมต่ อ้ งรอ
บุรุษผู้เป็นบัณฑิตว่า “ข้าแต่บัณฑิต อันฤกษ์ยามท่ี ทา� ตามฤกษ์หรือรอให้ถึงฤกษก์ อ่ นค่อยท�า เพราะ
ถือกันอยู่น้ี ถ้าไม่ปฏิบัติตาม จะมีผลอย่างไร น่ันไม่ใช่หลักพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา
หรอื ไม ่ ?” หากจะถือฤกษ์บ้าง ก็คือฤกษ์สะดวกนั่นเอง คือ
ฤกษ์ทผ่ี ูป้ ฏิบตั แิ ละผ้เู กยี่ วข้องทุกฝา่ ยพรอ้ ม การ
บรุ ษุ ผเู้ ปน็ บณั ฑติ กลา่ ววา่ “อนั ฤกษง์ ามยามดี ถือฤกษ์สะดวกน้ัน เป็นการถือท่ีประกอบด้วย
ทก่ี า� หนดไวน้ นั้ พสิ จู นไ์ มไ่ ดว้ า่ ถา้ ไมท่ า� ตามจะเกดิ ผล ปญั ญา ทา� แล้วเกิดประโยชน์ได้จรงิ สว่ นการถอื
ดีหรอื รา้ ยประการใด แต่เทา่ ที่ผา่ นมา การไมเ่ ชอื่ ฤกษต์ ามดวงดาว เป็นตน้ เป็นการถอื ตาม ๆ กนั
และไม่ปฏิบัติตามฤกษ์ยาม ก็ไม่ก่อให้เกิดอันตราย ไม่ประกอบด้วยปัญญา น�าพาให้คลาดจาก
ใดๆ ส่วนที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นอันตรายแน่นอนถ้าไม่ ประโยชนไ์ ด้
ปฏิบัติตามก็คือความดี ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามความด ี
เช่น ความมีสติสัมปชัญญะ ความขยันหมั่นเพียร ดังบทประพนั ธเ์ ตอื นใจทว่ี า่
ความอดทน เปน็ ต้น ผู้นัน้ จะประสบความเส่อื ม แต่
ถา้ ปฏบิ ตั ติ าม กจ็ ะพบกบั ความเจรญิ กา้ วหนา้ ความ ฤกษ์จะงามยามจะเหมาะเพราะท�าชอบ
ดีเป็นส่ิงท่ีควรท�าตลอดเวลาและท�าทนั ที ความดนี ั้น หม่ันประกอบสุจริตประสทิ ธศิ์ รี
ท�าในเวลาไหน ฤกษ์ก็งามยามก็ดีในเวลาน้ันนั่นเอง น�้าจะขลงั ใช่พระนั่งท�าพิธี
ส่วนความช่ัวก็เป็นฤกษ์เสียยามเสียในตัวเช่นกัน หมั่นทา� ดีดอกจึงพ้นจากมลทิน
ฉะนั้น จึงไม่ควรเชื่อฤกษ์ยามว่าดีกว่าการกระท�าดี
ของตนเอง เพราะถา้ เชอื่ เชน่ นนั้ กจ็ ะทา� ใหป้ ระโยชน์ (นกั ขตั ตชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย
ทพ่ี งึ ได้ต้องเสียไป เหมือนอยา่ งชาวเมอื งท่ีพากนั มา ชาดก เอกนบิ าต เล่ม ๒๙ หนา้ ๓๙)
ในวันน้ี” บุรุษผู้เป็นบัณฑิตน้ัน ครั้นกล่าวกับคน
ชาวชนบทเชน่ นแี้ ลว้ กเ็ ดนิ ทางไปธรุ ะของตนในทอี่ นื่
ตอ่ ไป

ชาดกเรอื่ งนมี้ คี ตสิ อนวา่ วนั เดอื นปที ผ่ี า่ นเขา้
มาน้ัน ผ่านตามวิถีธรรมชาติ มิได้มีใครบังคับให้
เป็นไป วันเดือนปีดังกล่าว ไม่มีหน้าที่มาก�าหนด
ฤกษ์งามยามดีใดๆ ให้แก่มนุษย์ แม้ดวงดาวก็
ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่รับรู้ว่าอะไรดีอะไรเสียกับ
ชาวโลก เรอื่ งทเ่ี ปน็ ความดคี วามชวั่ หรอื ความเจรญิ
และความเส่ือมน้ัน เป็นส่ิงที่มนุษย์พากันก�าหนด
กันขึ้นมา

501


502


ฤษีกนิ เหยี้

“อ�านาจของความอยากทา� ให้คนลืมตวั ”

ครั้งพระศาสดาประทับอยู่ ณ วัดพระเชตวันวิหาร เมืองสาวัตถ ี
พระองค์ได้ปรารภถงึ ภิกษุผหู้ ลอกลวงรปู หน่ึง จึงตรสั ชาดกเรื่องนวี้ า่

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติ อยู่ในพระนคร
พาราณสี พระโพธิสตั ว์ได้ถือกา� เนิดเกิดเป็นเห้ยี คร้งั นน้ั มดี าบสตนหนงึ่
บา� เพ็ญเพียรจนส�าเรจ็ อภิญญา ๕ คือ อิทธิวธิ ิ แสดงฤทธไิ์ ด้ ทิพโสต
มหี ทู พิ ย ์ เจโตปรยิ ญาณ กา� หนดรใู้ จผอู้ น่ื ได ้ ปพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ ระลกึ
ชาติได้ และทิพจกั ขุ มีตาทิพย์ ดาบสน้นั อาศยั อยู่ ณ บรรณศาลาชาย
ป่า ใกลๆ้ กับหมูบ่ ้านในชนบทแห่งหนึง่ มีประชาชนชาวบา้ นชว่ ยกันบ�ารุง
ดาบสนัน้ ดว้ ยความเลื่อมใสศรัทธา

ในเวลาเดียวกัน มีเห้ียโพธิสัตว์ตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในจอมปลวกแห่ง
หนง่ึ ณ ทปี่ ลายทางเดนิ จงกรมของดาบส และไดไ้ ปหาดาบสนนั้ วนั ละ ๒-๓
ครั้งทุกวนั ฟังคา� สอนแล้วกก็ ลบั จอมปลวก เมื่อปฏิบตั ิอยูบ่ อ่ ย ๆ ก็ซมึ ซบั
ในคุณงามความดี มจี ติ ท่อี ม่ิ ดว้ ยบุญตลอดเวลา

ต่อมา ดาบสก็อ�าลาประชาชนชาวบ้านในชนบทน้ันไปท่ีอ่ืน เพ่ือ
บ�าเพ็ญตบะต่อไป เมื่อดาบสผู้สมบูรณ์ด้วยศีลและวัตรน้ันไปแล้ว ก็ได้มี
ดาบสนิสยั ไม่ดตี นอื่นเข้ามาพ�านกั อยู่ในบรรณศาลาชายปา่ นั้นแทน

เหยี้ โพธสิ ตั วค์ ดิ วา่ ดาบสผนู้ กี้ ค็ งจะมศี ลี และวตั รทด่ี งี ามเหมอื นดาบส
ทแี่ ล้ว จงึ ไดไ้ ปสทู่ ี่อยูข่ องดาบสนน้ั เพ่อื หวงั จะไดฟ้ งั คา� สง่ั สอน แตด่ าบสผู้
มาใหมก่ ไ็ ม่ไดแ้ สดงธรรมอะไรๆ ให้ฟัง

อยมู่ าวนั หนงึ่ เกดิ ฝนตกลงมาอยา่ งหนกั นอกฤดกู าล หลงั ฝนตกแลว้
ท�าให้บรรดาฝูงแมลงเม่าจ�านวนมากบินออกจากจอมปลวกเพ่ือเล่นละออง
น้า� ฝูงเห้ียทัง้ หลายทอ่ี ย่ใู นบรเิ วณนน้ั กพ็ ากันออกมากินแมลงเม่าเหล่าน้นั
พวกชาวบ้านจึงพากันออกมาจับเหี้ยท่ีกินแมลงเม่าได้เป็นอันมาก แล้วน�า
ไปทา� เปน็ เนอื้ ส้ม ปรงุ ดว้ ยเครื่องปรงุ อนั อร่อย จากนนั้ น�าไปถวายดาบสผู้
มาใหม่นั้น

503


ดาบสนั้นฉันเน้ือส้มแล้วก็ติดใจในรสจึงถามว่า ไมก่ ลับมาที่นนั้ อีกเลย

“เนอื้ นอี้ รอ่ ยยง่ิ นกั เปน็ เนอื้ ของสตั วป์ ระเภทใดหรอื ?” พระศาสดาตรสั วา่ “ดาบสโกงในครั้งน้นั ได้

“เนอ้ื เหยี้ ครบั ” ชายคนหนง่ึ ตอบ แทนทด่ี าบส มาเปน็ ภกิ ษหุ ลอกลวงนใ้ี นบดั น ี้ ดาบสผมู้ ศี ลี ในกาล

จะรงั เกยี จทเ่ี ป็นเน้ือเหย้ี กลบั คดิ ว่า “ท่ีน่มี เี หยี้ ใหญ่ นน้ั ไดม้ าเปน็ สารบี ตุ รในบดั น ้ี สว่ นโคธบณั ฑติ หรอื

ตัวหนึ่ง มาหาเราเป็นประจ�า เราจักฆ่าแล้วกินเน้ือ เห้ยี โพธิสัตวใ์ นกาลน้ัน ได้มาเป็นเราตถาคต”

มัน” จากนน้ั กใ็ หค้ นใกล้ชดิ น�าภาชนะส�าหรับตม้ แกง ชาดกเร่ืองนส้ี อนใหร้ ูว้ ่า คนเราถา้ ถูกตัณหา

และเคร่ืองปรุงมีเนยใสและเกลือเป็นต้น มาซุกซ่อน คอื ความอยากครอบงา� แลว้ หากรเู้ ทา่ ทนั กห็ กั หา้ ม

ไว้ที่บรรณศาลา ส่วนตนเองก็ถือไม้ค้อนซ่อนไว้ใต้ ใจได้ แต่หากไม่รู้เท่าทัน ก็จะถูกความอยากน้ัน

ผ้าห่ม รอคอยการมาของเหี้ยโพธิสัตว์ อยู่ที่ประตู ครอบงา� จนลมื ภาวะของตวั เองไปได้ เมอื่ ลมื แลว้ ก็

บรรณศาลาน้ัน ด้วยท่าทางของผู้ทรงศีลสงบเสง่ียม กอ่ กรรมท�าช่ัวไดต้ า่ งๆ นานา ดุจดาบสผู้ทศุ ีลใน

นา่ เล่อื มใส เร่ืองน้ี ท่ีวางแผนฆ่าเหี้ยเพื่อน�ามากินเป็นอาหาร

ในเวลาเย็น เหีย้ โพธิสัตว์มาหาดาบสเพือ่ หวัง ก็มาจากความอยาก คือตดิ ใจในรสนัน้ เอง แมว้ า่

จะได้ฟังค�าสอน แต่พอเข้าไปใกล้ก็สังเกตเห็นว่า จะฆ่าไม่ส�าเร็จเพราะเห้ียหนีรอดไปได้ แต่ดาบส

ดาบสไมไ่ ดน้ งั่ ดว้ ยทา่ ทางทเี่ คยนงั่ เหมอื นในวนั กอ่ นๆ นั้นก็ผิดศีลของตนแล้ว ศีลแปลว่าปกติ ปกติ

ในเวลามองก็ช�าเลืองมองเหมือนคิดอะไรไม่ซื่อ เหี้ย ด้ังเดิมของดาบสนั้น คือความส�ารวม ระวังกาย

โพธิสัตว์จึงคลานไปยืนใต้ทางลมของดาบส และได้ วาจาและใจตนให้สงบระงับ ไม่ประพฤติ

กล่ินเนื้อเห้ียโชยมา จึงคิดว่า “วันน้ีดาบสโกงคงกิน เบียดเบียนสัตว์อ่ืน ด�ารงตนอยู่ในความมักน้อย

เนื้อเหี้ยเป็นแน ่ คงติดใจในรสเหี้ย แลว้ ม่งุ จะตเี ราผู้ สันโดษ ยินดีในท่ีสงัด ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ

เข้าไปใกลด้ ว้ ยไม้ค้อน แล้วเอาเน้ือไปตม้ กินเปน็ แน”่ บา� เพญ็ ตบะ ไมล่ กั ขโมย ไม่เสพเมถนุ ไม่พดู เท็จ

ดงั น้ันจึงไมย่ อมเขา้ ไปใกลด้ าบส ไม่ดม่ื ของเมา เปน็ ตน้ แต่ดาบสผูต้ ดิ ใจในรสเหย้ี

ฝา่ ยดาบสคดิ วา่ “เหย้ี ตวั นค้ี งจะรวู้ า่ เรากา� ลงั จะ นน้ั กลบั ละเลยและทอดทง้ิ ปกตพิ นื้ ฐานดงั้ เดมิ ดงั

ฆา่ มนั เหตนุ น้ั จงึ ไมย่ อมเขา้ มาใกล ้ แตถ่ งึ กระนน้ั กไ็ ม่ กลา่ วนัน้ ไปทา� ในสิ่งท่ีตรงขา้ มกับปกตขิ องตน จงึ

พน้ มอื เราไปได”้ แลว้ เอาไมค้ อ้ นออกจากทซี่ อ่ น ขวา้ ง ถูกต�าหนิวา่ “ปัญญาทราม ข้างในรกรุงรงั เอาแต่

หมายหวั เหีย้ โพธสิ ตั ว ์ แต่เหยี้ โพธิสัตว์ได้ระวังตวั อยู่ ขดั สีภายนอก” ดังน้ัน ทุกๆ คนท่ีเกิดมาแล้วจึง

แล้ว จึงหลบเข้าไปที่รูจอมปลวกได้ทัน ไม้ค้อนจึง ควรระมดั ระวงั จติ มใิ หถ้ กู ความอยากครอบงา� หาก

กระทบเพยี งปลายหางเท่านัน้ เห้ยี โพธิสตั ว์ครนั้ เขา้ ระมดั ระวงั จติ ไดอ้ ยา่ งน้ี จติ ใจกเ็ ปน็ อสิ ระจากความ

จอมปลวกได้แล้ว กโ็ ผลห่ ัวออกมาทางชอ่ งแล้วกล่าว อยาก

วา่ “เหวย ชฎลิ เจา้ เลห่ ์ เมือ่ เราเข้าไปหาเจ้า กเ็ ข้าไป ดังพุทธศาสนสุภาษิตท่ีว่า “โลกถูกความ

ด้วยคิดว่า เป็นผู้มีศีล แต่เด๋ียวนี้เรารู้แล้ว เจ้าเป็น อยากผกู มัดไว้ จะหลุดได้เพราะก�าจัดความอยาก

มหาโจร ปัญญาทราม เจ้ามัวขัดสีแต่ภายนอก แต ่ เพราะละความอยากเสยี ได้ จงึ ชอ่ื วา่ ตดั เครื่องผูก

ข้างในของเจ้ารุงรัง” เหี้ยโพธิสัตว์คร้ันกล่าวต�าหนิ ท้งั ปวงได้”

ดาบสเจา้ เลห่ แ์ ลว้ กห็ ลบภยั เขา้ สจู่ อมปลวกโดยไมใ่ ห้

ดาบสเจา้ เลห่ ม์ องเหน็ (โคธชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย

ฝ่ายดาบสเจ้าเล่ห์นั้นรู้สึกอับอายขายหน้ายิ่ง ชาดก เอกนบิ าต เล่ม ๒๙ หน้า ๔๒๑)

นักที่ถูกเห้ียโพธิสัตว์ต�าหนิ ในท่ีสุดก็หลบหนีไปโดย

504


505


ศรทั ธากบั ปญั ญา

“ศรทั ธากบั ปญั ญาตอ้ งใช้คกู่ นั

จึงจะส�าเรจ็ ประโยชนไ์ ด”้

ในอดีตกาล พระโพธสิ ัตวบ์ งั เกิดเป็นโอรสของพระเจา้ กรุงพาราณส ี
ทรงได้รับการต้ังพระนามว่า “พรหมทัตกุมาร” พรหมทัตกุมารน้ันเป็นคน
ฉลาด เมอ่ื เตบิ โตมพี ระชนมาย ุ ๑๖ พรรษา ก็เสด็จไปศึกษาศลิ ปะในเมอื ง
ตกั ศลิ า ทรงเรยี นจบไตรเพทและศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ ต่อมาไดร้ บั การ
สถาปนาใหเ้ ปน็ อปุ ราช เพราะความดคี วามชอบจากทที่ รงสา� เรจ็ การศกึ ษานน้ั
ในห้วงเวลาท่ีทรงเป็นอุปราชนี้เอง พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นชาวกรุง
พาราณสีพากันบวงสรวงสังเวย และบนบานศาลกล่าวต่อเทวดาตามต้นไม้
ต่างๆ เพื่อให้ช่วยบ�าบัดทุกข์ บ�าบัดภัย บ�าบัดโรค และให้สมหวังในส่ิงที่
ปรารถนา บางรายถงึ กบั ฆ่าสัตว ์ เช่น แพะ แกะ ไก ่ และหมู เป็นต้น เพ่ือ
พลกี รรม

คร้ันเห็นดังนั้น จึงทรงด�าริว่า “ขณะน้ี ประชาชนจ�านวนมากพากัน
นบั ถอื เทวดา สตั วท์ ง้ั หลายตอ้ งถกู ฆา่ เพอ่ื เอาเลอื ดเนอื้ สงั เวยตอ่ เทวดาเหลา่
นน้ั วนั แลว้ วนั เลา่ ความเชอ่ื ถอื นเ้ี ปน็ ศรทั ธาทงี่ มงาย สรา้ งความเดอื ดรอ้ นแก่
สัตว์อ่นื ไม่สามารถทา� ผปู้ ฏิบัตใิ หพ้ น้ จากทุกข์ได ้ อีกท้งั สตั วจ์ �านวนมากกร็ อ
ถกู นา� ไปฆ่า เพ่ือพลกี รรมไมร่ ูจ้ กั จบจกั สนิ้ วนั ใดทีเ่ ราขน้ึ ครองราชย์ เราจกั
จัดการเร่ืองนี้เป็นอันดับแรก” พระองค์ทรงพยายามหากุศโลบายเพ่ือแก้
ปัญหาดงั กลา่ วอยู่ตลอดเวลา ในทส่ี ดุ ก็ทรงคดิ วิธไี ด ้

วนั หนึ่ง จึงเสด็จเขา้ ไปหาประชุมชนที่กา� ลังออ้ นวอนขอสง่ิ ตา่ ง ๆ จาก
เทวดาท่ีต้นไทรใหญ่ ซ่ึงในจา� นวนนัน้ บางคนขอลูกชาย บางคนขอลูกสาว
บางคนขอยศ บางคนขอทรัพย์ พระองค์จงึ ทรงบชู าต้นไทรใหญน่ ั้นบ้าง จาก
น้ันก็เสด็จกลับพระนคร ทรงท�าอย่างน้ีอยู่บ่อย ๆ ให้ปรากฏแก่ประชาชน
เสมือนหน่งึ เปน็ ผนู้ ับถือเทวดาดว้ ยคนหนงึ่ จนกระทงั่ กลายเป็นภาพที่ค้นุ ตา
ของประชาชนท่ีเลอ่ื มใสศรทั ธาในเทวดาเหลา่ น้ัน

506


ในเวลาต่อมา พระราชบิดาเสด็จสวรรคต จากพระราชบดิ า จักกระทา� พลกี รรมใหญแ่ ก่เทวดา

พรหมทัตกุมารจึงได้เสด็จขึ้นครองราชย์ต่อจากพระ บัดนี้ ราชสมบัติน้ันเราได้แล้วด้วยอานุภาพของ

ราชบิดานั้น ทรงประพฤติทศพิธราชธรรม ๑๐ เทวดา ฉะนนั้ เราจงึ จกั กระทา� พลกี รรมแกเ่ ทวดานนั้

ประการ คอื ทาน (การให้) ศีล (การรกั ษา กาย ขอพวกทา่ นอยา่ ชกั ชา้ เลย พากนั เตรยี มพลกี รรมแก่

วาจาใหเ้ รยี บรอ้ ย) ปรจิ าคะ (ความเสียสละ) อาช เทวดาเป็นการด่วนเถดิ ”

ชวะ (ความซอื่ ตรง) มทั ทวะ (ความออ่ นโยน) ตบะ พวกอ�ามาตย์ทูลถามว่า “ขอเดชะ พวกข้า

(การข่มกเิ ลส) อกั โกธะ (ความไมโ่ กรธ) อวหิ ิงสา พระองคจ์ ักจดั สิ่งใดเป็นพลกี รรมเลา่ พระเจา้ ข้า?”

(ความไม่เบียดเบียน) ขนั ต(ิ ความอดทน) และอ พระเจ้าพรหมทัตรับสั่งว่า “ท่านท้ังหลาย เรา

วโิ รธนะ (ความไมค่ ลาดจากธรรม) อย่างเครง่ ครดั ไดบ้ นบานกบั เทวดาไวว้ า่ ถา้ ไดข้ น้ึ ครองราชยต์ อ่ จาก

ทรงเวน้ จากอคต ิ ๔ คอื ฉนั ทาคต ิ (ลา� เอยี งเพราะ พระราชบดิ า จักฆา่ คนท่ลี ะเมดิ ศลี ๕ อยูเ่ นือง ๆ

รัก) โทสาคติ (ล�าเอียงเพราะชัง) โมหาคต ิ รวมทงั้ คนทกี่ ระทา� อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการ แลว้

(ล�าเอยี งเพราะเขลา) และ ภยาคติ (ล�าเอยี งเพราะ ท�าพลีกรรมด้วยล�าไส้และเลือดเน้ือของคนเหล่าน้ัน

กลวั ) ทรงเปน็ พระราชาทพี่ รง่ั พรอ้ มดว้ ยความรคู้ วาม เพราะฉะน้ัน พวกท่านจงไปประกาศให้ทั่วเมืองว่า

สามารถ และความประพฤตทิ ่ีดงี าม พระราชาของพวกเรา ครั้งด�ารงพระยศเป็นอุปราช

วนั หนงึ่ ทรงพระดา� รวิ า่ “บดั น ้ี เราไดข้ นึ้ ครอง ไดท้ รงบนบานตอ่ เทวดาวา่ ถา้ ไดข้ นึ้ ครองราชยจ์ กั ให้

ราชย์แล้ว และสิ่งท่ีเราตั้งใจไว้จะท�าเป็นอันดับแรก ฆ่าคนที่ทุศีลให้หมดแล้วกระท�าพลีกรรม บัดน ี้

หลังขึ้นครองราชย์ ก็คือก�าจัดความเช่ือที่งมงายให้ พระองคไ์ ดข้ นึ้ ครองราชยแ์ ลว้ ทรงมพี ระราชประสงค์

หมดไปจากจติ ใจประชาชน และใหป้ ระชาชนหันมา จะใหฆ้ า่ คนเหล่านนั้ จ�านวน ๑,๐๐๐ คน แล้วควัก

บา� เพญ็ ทาน ศลี ภาวนาแทน เวลานเ้ี ปน็ เวลาทเี่ หมาะ เอาเครอ่ื งในไปทรงกระทา� พลกี รรมแกเ่ ทวดา ขอชาว

สมในการดา� เนนิ การนนั้ ” จากนน้ั จงึ ตรสั เรยี กบรรดา เมืองท้งั หลายจงรบั ทราบตามน้โี ดยทวั่ กัน”

อ�ามาตยแ์ ละประชาชน มพี ราหมณค์ ฤหบด ี เปน็ ต้น อ�ามาตย์ทั้งหลายฟังพระด�ารัสของพระเจ้า

มาเขา้ เฝา้ ทพ่ี ระราชวงั แลว้ ตรสั ถามวา่ “ทา่ นทงั้ หลาย พรหมทัต แล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

พวกทา่ นทราบหรอื ไมว่ า่ เหตใุ ดเราจงึ ไดร้ าชสมบตั ?ิ ” ศลี ๕ ข้าพระพทุ ธเจา้ พอทราบ แตอ่ กุศลกรรมบถ

ประชาชนพากันกราบทูลว่า “ขอเดชะ ข้า ๑๐ นนั้ เปน็ อย่างไร พระเจ้าข้า”

พระองคท์ ง้ั หลายไมท่ ราบด้วยเกล้าฯ พระเจ้าข้า” พระเจ้าพรหมทัตจึงตรัสว่า “อกุศลกรรมบถ

รบั ส่งั ถามว่า “พวกท่านเคยเห็นหรอื ไม่ว่า เรา ๑๐ ประการน้ัน ได้แก่การกระท�าท่ีเป็นบาป ๑๐

ไปบูชากราบไหว้ต้นไทรใหญ่ต้นโน้นด้วยของหอม อยา่ ง คอื

และดอกไม้มีประการต่างๆ ซ่ึงเราท�ามาเป็นเวลา ๑. ฆา่ สตั ว ์ ๒. ลกั ทรพั ย ์ ๓.ประพฤตใิ นกาม

หลายครง้ั พวกทา่ นไม่เคยเหน็ บ้างหรืออย่างไร ?” ๔. พูดเท็จ ๕. พูดส่อเสยี ด ๖. พดู หยาบคาย ๗.

ประชาชนกราบทูลว่า “ขอเดชะ เคยเห็น พดู เพ้อเจอ้ ๘. โลภอยากได้ของเขา ๙. พยาบาท

พระเจา้ ขา้ ” ปองร้ายเขา ๑๐. มคี วามเห็นผดิ จากทา� นองคลอง

จงึ ทรงมดี า� รสั ตอ่ วา่ “ในการบชู าแตล่ ะครงั้ เรา ธรรม”

ได้ขอต่อเทวดาท่ีต้นไทรใหญ่ว่า ถ้าได้ราชสมบัติต่อ อา� มาตยท์ ง้ั หลายจงึ ทลู รบั พระบรมราชโองการ

507


ว่า “รบั ทราบดว้ ยเกลา้ ฯ พระเจา้ ข้า” จากน้ันก็เทยี่ ว การเชอ่ื วา่ ประทานใหไ้ ดน้ น้ั เปน็ ความเชอ่ื ที่

ป่าวประกาศไปทว่ั เมืองพาราณส ี ชาวเมอื งพาราณสี ปราศจากปัญญา ไม่มีเหตุผล ย่งิ บางรายทต่ี อ้ งฆ่า

ไดฟ้ ังประกาศนน้ั แลว้ คนทปี่ ระพฤติผิดศลี ๕ และ สัตว์เพื่อสนองความเช่ือเช่นน้ันด้วยแล้ว ก็ถือ

กระทา� อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ เปน็ ประจ�า ตา่ งก็พากัน เปน็ การทา� บาปซ้�าเขา้ ไปอกี

กลัวถูกจับไปกระท�าพลีกรรม จึงไม่มีใครเลยแม้แต่ ตามหลักพุทธศาสนานั้น เทวดาเป็นเพียง

คนเดยี วทอ่ี อกมายอมรบั ความจรงิ ทกุ คนตา่ งพากนั เพือ่ นร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในวัฏสงสาร ยังมี

ทิ้งภาชนะที่เคยใช้ในการบูชาต้นไทรใหญ่จนหมด กเิ ลสคอื โลภโกรธหลงไมต่ า่ งจากมนษุ ย์ และในภมู ิ

และไม่ยอมแม้แต่จะเดินเฉียดไปใกล้บริเวณต้นไทร ภพของเทวดานั้นก็มีความมัวเมาในชีวิตมากกว่า

ใหญ ่ ๆ เพราะกลวั ตอ่ ราชภยั พากันเก็บตวั เงยี บอยู่ มนุษย์ด้วยซ้�า อย่างไรก็ตาม ภูมิภพเทวดาก็เป็น

ในบา้ นของตน สคุ ติภมู อิ ย่างหน่งึ เปน็ ทเ่ี กดิ ของผ้มู บี ุญอนั กระท�า

เมอ่ื วนั เวลาผา่ นไป ความเชอื่ ทง่ี มงายและการ ไว้แล้ว เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ท้ังมนุษย์และ

ทา� พลกี รรมดว้ ยการฆา่ สตั วก์ ค็ อ่ ย ๆ หมดไป สา� หรบั เทวดาน้นั จงึ ควรจะละชวั่ ท�าดี และท�าจิตของตน

พระเจา้ พรหมทตั นน้ั นอกจากทรงกา� จดั ความงมงาย ให้ผอ่ งใส อันจะเปน็ ปจั จัยนา� ตนเข้าสู่พระนิพพาน

ด้วยพระราชกุศโลบายนี้แล้ว พระองค์เองยังได้ทรง ซึ่งเป็นท่ีปราศจากกิเลสทั้งหลาย จึงจะเป็นการดี

ประทานพระบรมราโชวาทอยู่เนือง ๆ ให้ชาวเมือง ท่สี ดุ ตามท่ีพระพทุ ธเจ้าทรงพร่า� สอนไว้

หันมาบ�าเพ็ญทาน รักษาศีล และเจริญจิตภาวนา

แทนความเช่ือทีง่ มงายนนั้ ดว้ ย แม้พระองค์เองกท็ รง (ทมุ เมธชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย

ปฏบิ ตั เิ ชน่ เดยี วกนั ในเวลาสนิ้ พระชนมจ์ งึ ทรงเขา้ ถงึ ชาดก เอกนบิ าต เล่ม ๒๙ หน้า ๔๑)

สคุ ติโลกสวรรค์ ด้วยประการฉะนี้

ชาดกเร่ืองนี้ชี้ให้เห็นว่า ศรัทธาคือความเช่ือ

ของคนน้ันต้องใช้คู่กับปัญญา คือรู้เท่าทันสิ่ง

ท้ังหลายตามเป็นจริง จึงจะก่อให้เกิดประโยชน์

กรณชี าวเมืองพาราณสมี ศี รัทธา คือเช่อื ตอ่ เทวดา

ว่าสามารถช่วยเหลือได้ จึงพากันอ้อนวอนด้วย

ประการต่าง ๆ นั้น เป็นความเชือ่ ทง่ี มงาย ท�าให้

เสียเวลาในการไปสักการะ เสียการเสียงานที่เคย

ปฏบิ ตั ิ เสยี ทรัพย์ในการจัดทา� พลกี รรม และทา� ให้

สัตวอ์ ืน่ ๆ ลม้ ตายในการทา� พลีกรรมน้ันด้วย แม้

จะไดค้ วามสบายใจจากการกระทา� นน้ั บา้ ง แตก่ ส็ ญู

เปลา่ เพราะเทวดาเหลา่ นนั้ ไมอ่ าจประทานอะไรได้

เลย

508


509


เหยยี่ วนกเขา

“ปราชญ์กล่าวชีวิตของผู้เป็นอยดู่ ว้ ย

ปญั ญาวา่ ประเสรฐิ สุด”

ครัง้ หนงึ่ พระศาสดาประทับอย ู่ ณ พระเชตวันมหาวหิ าร เมืองสาวตั ถี
วนั หนง่ึ พระองคต์ รสั เรยี กภกิ ษทุ ง้ั หลายมาแลว้ ตรสั วา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย พวกเธอ
จงเทย่ี วไปในทคี่ วรเทย่ี วไปเถดิ แลว้ ตรสั วา่ เมอ่ื กอ่ นน ้ี มสี ตั วเ์ ดยี รจั ฉานตวั หนงึ่
ละทงิ้ วสิ ยั ของตนแลว้ ไปเทยี่ วหากนิ ในทที่ ไี่ มค่ วรไป จงึ ตกไปสเู่ งอ้ื มมอื ของศตั ร ู
แตร่ อดชวี ิตมาได้ เพราะมอี บุ ายวธิ ีที่ฉลาด”

จากนั้นทรงน�าเร่ืองในอดีตมาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล คร้ัง
พระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอย่ใู นกรงุ พาราณส ี พระโพธิสตั วไ์ ด้มาเกดิ ใน
ก�าเนิดนกมูลไถ อาศัยอยู่ในมูลดินท่ีเขาไถนา วันหน่ึง นกมูลไถน้ันอยากจะ
ออกไปหากินที่อ่ืนบ้าง จงึ บินไปหากนิ ท่ที ้ายดงแห่งหนึง่ ตามลา� พงั ครง้ั นน้ั มี
เหย่ียวนกเขาตัวหนึ่ง ซึ่งหากินประจ�าบริเวณนั้น มองเห็นนกมูลไถก�าลังหา
อาหารจึงบนิ โฉบลงมาจับนกมลู ไถน้นั ไป เพอื่ กนิ เปน็ อาหาร

นกมูลไถเมื่อถูกเหยี่ยวนกเขาบินโฉบพาไปเช่นนั้น จึงร้องไห้คร�่าครวญ
ว่า “ตัวเรานี้เคราะห์ร้ายเหลือเกิน อาภัพบุญอาภัพวาสนา วันน้ีตั้งใจจะออก
จากทหี่ ากนิ เดิมซง่ึ จา� เจ เพอ่ื มาหากนิ ณ ทีใ่ หม ่ ซ่งึ เปน็ ทไี่ ม่ควรมา เพราะไม่
คุ้นเคยมาก่อน จึงถูกเหย่ียวนกเขาจับตัวไว้ ถ้าวันนี้เราออกไปหากินในท่ีควร
ไปไซร้ เหยี่ยวนกเขาตัวนีก้ ็คงไมม่ ีปัญญาจับเราเปน็ แน่”

เหยยี่ วนกเขาไดฟ้ งั ดงั นน้ั จงึ ถามวา่ “ดกู อ่ นเจา้ นกมลู ไถ ทห่ี ากนิ อนั เปน็
ถน่ิ พ่อแม่เจา้ เป็นเชน่ ไร ?”

นกมูลไถตอบวา่ “ทหี่ ากนิ ซง่ึ เปน็ ถน่ิ ของพอ่ แม่เรานั้น ไดแ้ ก่ทีก่ ้อนดินที่
เกิดจากการไถ ซงึ่ อยูต่ รงโนน้ ”

เหยี่ยวนกเขาได้ฟังแล้ว ก็อยากจะทดสอบความสามารถของตน และ
ทดสอบความวอ่ งไวของนกมูลไถ จงึ ได้ปล่อยนกมูลไถน้ันใหเ้ ปน็ อิสระ เพื่อให้
กลบั ไปทข่ี องมนั แลว้ จะไปจบั ใหมอ่ กี ครง้ั หนง่ึ จงึ พดู ขนึ้ วา่ “ไปเถดิ เจา้ นกมลู ไถ

510


เราจะทดสอบกนั ว่า แม้เจา้ ไปในท่ีเดมิ ของเจ้า ก็ ชาดกเร่ืองน้ีสอนให้รู้ว่า อย่าคิดท�าในส่ิงท่ี
ยงั ส้คู วามเร็วของเราไม่ได้” ตนเองไม่ถนัดและไม่มีความช�านาญ เพราะจะน�า
ความวบิ ตั มิ าให้ สงิ่ ทไี่ มถ่ นดั ไมช่ า� นาญนน้ั ยอ่ มมอี ยู่
นกมลู ไถเมอื่ ถกู ปลอ่ ย กบ็ นิ กลบั ไปสทู่ เี่ ดมิ ดว้ ยกนั ทุกคน เช่น บางคนถนัดดา้ นการเขยี น แต่
โดยมีเหย่ียวนกเขาบินตามห่างๆ เมื่อบินไปถึง ไมถ่ นดั ดา้ นการพูด บางคนถนดั ดา้ นการพดู แตไ่ ม่
ที่ของตนแล้ว ก็บินลงไปจับที่ดินก้อนใหญ่ ยืน ถนัดด้านการเขยี น บางคนไม่ถนดั ทงั้ สองอยา่ ง แต่
ทา้ ทายเหยย่ี วนกเขาวา่ “เจา้ เหยย่ี วนกเขาเอย๋ ถา้ บางคนกถ็ นดั ทงั้ สองอยา่ ง ทเ่ี ปน็ เชน่ น้ี เพราะคนเรา
ท่านแน่จรงิ ก็บินโฉบมาจบั เราเลยซ”ิ รบั การฝกึ ฝนอบรมมาไม่เหมอื นกนั จึงไดส้ ตปิ ญั ญา
มาไมเ่ ทา่ กนั จะเหน็ วา่ เหยย่ี วนกเขาถนดั ในดา้ นการ
เหยยี่ วนกเขา เมื่อถกู ท้าทายเช่นน้นั กเ็ กิด ใช้ก�าลัง แต่ไม่ถนัดหรือเชี่ยวชาญด้านการใช้สมอง
อารมณ์โกรธ จึงลู่ปีกทั้งสองโฉบไปที่นกมูลไถ หรือสตปิ ญั ญา
ทันทที ันใด เพ่อื หวงั จะจับขยีใ้ ห้หายแค้น ฝ่ายนก
มลู ไถไดร้ ะวงั ตวั อยกู่ อ่ นแลว้ เมอ่ื รวู้ า่ เหยย่ี วนน้ั จะ ฉะนั้น เมื่อประสบเหตจุ ึงใชก้ า� ลงั ตัดสนิ การ
โฉบมาถงึ ตวั กก็ ระโดดหลบเขา้ ไปในระหวา่ งกอ้ น ใชก้ า� ลงั ตดั สนิ ยอ่ มมที งั้ แพแ้ ละชนะ ผดิ จากนกมลู ไถ
ดนิ นนั้ เอง เหยย่ี วนกเขาทโี่ ฉบลงมาดว้ ยความเรว็ ซ่ึงแม้จะตัวเล็ก ไม่มีทางสู้พละก�าลังของเหยี่ยว
สูง จึงไมส่ ามารถจะหยุดความเร็วได้ทนั ในท่สี ดุ นกเขาไดเ้ ลย แตเ่ ป็นนกท่ฉี ลาด มีสตปิ ญั ญา มี
ก็กระแทกเข้ากับก้อนดินเบ้ืองล่าง และอกแตก อบุ ายวิธีเอาตวั รอด ฉะนัน้ เมอ่ื ประสบปัญหาจึงใช้
ตายคาที่ตรงน้ันนนั่ เอง อุบายวิธีเอาตัวรอดได้ การชนะด้วยสติปัญญาน้ี
ประเสรฐิ นกั เพราะชนะไดแ้ มก้ ระทง่ั ขา้ ศกึ ทใ่ี หญก่ วา่
พระศาสดาครั้นน�าเรื่องในอดีตมาแสดง และวิธีเอาชนะด้วยสติปัญญานั้น ก็ท�าได้หลายรูป
อย่างนี้แล้ว จึงตรัสว่า “ภิกษุท้ังหลาย แม้สัตว์ แบบ เชน่ ชนะโดยการท�าศัตรูใหเ้ ปน็ มติ รกไ็ ด้ ชนะ
เดรัจฉานยังตกไปในเงื้อมมือศัตรู เพราะเที่ยว โดยการท�าศัตรูให้เป็นศัตรูต่อกันก็ได้ ชนะโดยท่ีผู้
หากินในทีไ่ ม่ควรเท่ียวไป แตเ่ ม่ือเทย่ี วหากนิ ในที่ แพ้ไม่รู้สกึ เสียเกียรตกิ ไ็ ด้ สติปญั ญาจงึ สา� คัญในการ
ควรเทยี่ วไป จงึ ปลอดภยั จากศตั รไู ด ้ เพราะฉะนนั้ ด�าเนินชีวติ ดังพุทธศาสนสภุ าษิตว่า
พวกเธอก็อย่าเที่ยวไปในท่ีอื่นซ่ึงไม่ควรเที่ยวไป
ภิกษุท้ังหลาย เม่ือพวกเธอเท่ียวไปในที่อ่ืนที่ไม่ สตมิ า สขุ เมธติ
ควรเทย่ี วไป มารยอ่ มจะได้ชอ่ งได้อารมณ์ ภิกษุ แปลว่า คนมสี ติยอ่ มได้รับความสขุ
ทั้งหลาย ท่ีอ่ืนท่ีไม่ควรเท่ียวไปของพวกเธอน้ัน ปญฺญา โลกสมฺ ิ ปชฺโชโต
ได้แก่ รูปที่รไู้ ดด้ ้วยตา ๑ เสียงทรี่ ไู้ ดด้ ว้ ยห ู ๑ แปลว่า ปัญญาเป็นแสงสวา่ งในโลก
กล่ินท่ีรู้ได้ด้วยจมูก ๑ รสที่รู้ได้ด้วยล้ิน ๑
โผฏฐัพพะท่รี ไู้ ด้ด้วยกาย ๑ ภกิ ษทุ ้งั หลาย นแี้ ล (สกุณัคฆิชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
เปน็ ที่อืน่ ซึ่งภิกษุไมค่ วรเท่ียวไป
ชาดก ทกุ นิบาต เลม่ ๓๐ หน้า ๘๙)
หลังจบพระธรรมเทศนา พระศาสดาทรง
ประชมุ ชาดกวา่ เหยยี่ วนกเขาในครง้ั นนั้ ไดเ้ ป็น
เทวทตั ในบัดน ้ี ส่วนนกมลู ไถ กค็ อื เราตถาคตนี้
แล

511


512


ความสวสั ดี

“ใช้ปัญญา ตงั้ ใจจรงิ ทงิ้ ความใคร่

ทา� ใจใหส้ งบ พบทางสวัสด”ี

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนคร
พาราณสี พระโพธิสตั วบ์ งั เกดิ เป็นโอรสองค์สดุ ท้อง ในจา� นวนพระพยี่ าเธอ
ทง้ั หมด ๑๐๐ องค์ ในครงั้ นนั้ พระปจั เจกพทุ ธเจา้ หลายพระองคร์ บั นมิ นต์
มาฉันในพระราชวัง พระโพธิสัตว์นั้นทรงกระท�าหน้าท่ีไวยาวัจกรแก่พระ
ปจั เจกพทุ ธเจา้ เหลา่ นัน้

วันหน่ึง ทรงด�าริว่า “พ่ีชายของเรามีหลายคน เราจักได้ครองราช
สมบัติในพระนครน้ีหรอื ไม่หนอ?”

ในวันต่อมา จึงนมัสการถามความน้ันกับพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่าน
เหลา่ นน้ั จงึ กลา่ ววา่ “ขอเจรญิ พรพระกมุ าร พระองคจ์ กั ไมไ่ ดค้ รองราชสมบตั ิ
ในพระนครน้ี แต่จะได้ครองราชสมบัติท่ีนครตักศิลา ซ่ึงอยู่ห่างจากท่ีน่ี
๑๒๐ โยชน์ พระองคเ์ สด็จไปสูน่ ครนน้ั แล้วจกั ไดข้ ึน้ ครองราชย์ในวนั ท่ี ๗
นบั จากวันน้ี แต่ในระหวา่ งทางตอ้ งผา่ นดงใหญ่มอี นั ตรายรอบด้าน ถ้าจะ
เสดจ็ ออ้ มดงนนั้ ตอ้ งออ้ มไกลถงึ ๑๒๐ โยชน์ แตถ่ า้ เสดจ็ ไปทางตรง ระยะ
ทางกเ็ พยี ง ๕๐ โยชนเ์ ทา่ นน้ั ขอ้ สา� คญั ทางไปนน้ั มชี อ่ื วา่ “อมนสุ สกนั ดาร”

ในอมนสุ สกนั ดารน้ัน นางยกั ษิณที ้ังหลายจะพากันเนรมติ บ้านและ
ศาลาไว้ริมทาง ตระเตรียมทีห่ ลับทนี่ อนไว้ พากนั แต่งตัวอยา่ งสวยงาม นั่ง
ในศาลารมิ ทาง เพอ่ื เหนีย่ วรั้งชายทีเ่ ดนิ ทางดว้ ยค�าอ่อนหวาน เชือ้ เชิญให้
หลงใหลด้วยประการต่าง ๆ เปน็ ตน้ วา่ “ทา่ นท้งั หลายคงเหน็ดเหนอื่ ยจาก
การเดนิ ทาง เชิญน่ังพกั ทศี่ าลาหลงั นด้ี มื่ น้�าเยน็ ๆ กอ่ น แล้วคอ่ ยเดินทาง
ต่อ” จากนั้นก็พากันเย้ายวนด้วยมารยาหญิง พอเผลอก็จับชายผู้น้ันกิน
โดยพวกเธอจะคอยจับกินชายท่ีหลงใหลในรูปด้วยอาการอย่างนี้ จับผู้ท่ี
หลงใหลในเสยี งดว้ ยการขบั รอ้ งบรรเลงเพลงหวาน เจอ้ื ยแจว้ จบั ผทู้ ห่ี ลงใหล
ในกลิ่นด้วยกล่ินทิพย์อันหอมกรุ่น จับผู้หลงใหลในรสด้วยโภชนะอันมีรส

513


เลศิ ตา่ งๆ จบั ผทู้ ห่ี ลงใหลในสมั ผสั ดว้ ยทนี่ อนอนั ออ่ น สวยงาม เข้าไปหานางยกั ษณิ ีเหล่านน้ั ก็ถูกพวกมนั
นุ่มดจุ ท่ีนอนทพิ ย์ ถา้ พระกมุ ารจักสา� รวมระวังตาหู จับกินในท่ีน้ันเอง จากน้ันพากันไปดักข้างหน้า
จมกู ลน้ิ กายของตน ตงั้ สตใิ หม้ นั่ คงในการเดนิ ทางไป เนรมิตศาลาหลงั หน่งึ ไว้ นั่งถือดนตรตี า่ ง ๆ ขบั ร้อง
ก็จักปลอดภัย และได้ขึ้นครองราชย์ที่พระนครนั้น อยู่
ในวันที่ ๗ อย่างแน่นอน”
บรรดาชาย ๔ คนนั้น คนทีช่ อบเสยี งเพลงก็
พระกมุ ารโพธิสัตวต์ รัสวา่ “ข้าแตพ่ ระคุณเจา้ เดนิ ลา้ หลงั พวกมนั กพ็ ากนั กนิ คนนน้ั เสยี แลว้ พากนั
ข้าพเจ้ารับโอวาทของท่านทั้งหลายแล้ว จักส�ารวม ไปดักขา้ งหน้า จัดนา้� หอมนานาชนดิ ใสข่ วด นงั่ เปดิ
ระวงั ตา หู จมูก ลน้ิ และกาย ของตนให้ดี” จากน้นั รา้ นขายนา้� หอม ถงึ ตรงนน้ั คนทช่ี อบกลิ่นก็เดินลา้
จึงกราบลาพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระราชมารดา หลัง พวกมนั ก็พากันกินคนนั้นเสยี แลว้ พากนั ไปดัก
พระราชบิดา เสด็จไปสู่พระตา� หนัก ตรัสกะคนของ ข้างหน้า จดั โภชนะท่มี รี สเลศิ ตา่ ง ๆ น่งั เปิดร้านขาย
พระองค์ว่า “เราจักไปครองราชสมบัติในพระนคร ขา้ วแกง ถึงตรงน้ัน คนทช่ี อบรสกเ็ ดนิ ลา้ หลงั พวก
ตกั ศลิ า พวกเจ้าจงอยกู่ นั ท่นี ีเ่ ถิด” มันก็พากันกินคนน้ันเสีย แล้วไปดักข้างหน้าอีก
ตกแต่งทนี่ อนดจุ ท่นี อนทิพย์ นั่งคอยอยู่ ถงึ ตรงนั้น
ชายทัง้ ๕ คน ทูลวา่ “ขา้ แตพ่ ระกุมาร แมข้ ้า คนท่ชี อบโผฏฐพั พะคือสัมผัส กเ็ ดินล้าหลงั พวกมนั
พระองคท์ ั้งหลายก็จักตามเสด็จดว้ ย” “พวกเจา้ อย่า กพ็ ากนั กินคนน้ันเสยี อีกคน เมอ่ื ท้ัง ๕ คนถกู นาง
ตามเราไปเลย เพราะระหว่างทางมพี วกยักษิณีคอย ยักษิณีกินไปแล้ว ก็เหลือแต่พระกุมารโพธิสัตว์
ยั่วยวนให้ลุ่มหลงในรูป รส กล่ิน เสียงและสัมผัส พระองคเ์ ดียวเท่านั้นทเี่ ดินทางตอ่
แลว้ จับกินเปน็ อาหาร เราเตรียมตัวไว้แล้วจึงไปได้”
ครัง้ นน้ั นางยักษณิ ีตนหนงึ่ คิดว่า “ชายคนนมี้ ี
ชายเหลา่ นน้ั ทลู วา่ “พวกขา้ พระองคจ์ กั ไมใ่ สใ่ จ มนต์ขลังย่ิงนัก ถ้าเราจับกินไม่ได้ก็จักไม่กลับ” จึง
รปู รส กลิน่ เสยี ง และสัมผัส ทพี่ วกยกั ษิณเี นรมติ เดนิ ตามหลงั พระกมุ ารโพธสิ ตั วไ์ ปเรอ่ื ย ๆ พอจะออก
ไว้ ขอไดโ้ ปรดอนุญาตให้ข้าพระองคต์ ามเสดจ็ ด้วย จากดง คนทง้ั หลายทที่ า� งานชายปา่ จงึ ถามนางยกั ษณิ ี
เถิดพระเจ้าข้า” “ถ้าเช่นน้ันพวกเจ้าจงเป็นผู้ไม่ ว่า “ชายท่ีเดินน�าหน้าน้ันเป็นใคร?” “เป็นสามีของ
ประมาทเถิด” แล้วพาชายทั้ง ๕ เหล่านั้นเสด็จไป ข้าเอง”
นางยักษิณีทั้งหลายพากันเนรมิตศาลาเป็นต้น น่ัง
คอยอยู่ที่ริมทาง คนเหล่านั้นจึงกลา่ ววา่ “พอ่ หนุ่ม แมน่ างคนนี้
บอบบางยงิ่ นกั น่าทะนุถนอมเหมือนพวงดอกไม้ ผิว
บรรดาชายท้ัง ๕ คนนน้ั คนท่ชี อบรปู สวยๆ กง็ ามเหมอื นดงั่ ทอง นางหนอี อกจากพอ่ แมม่ าเพราะ
ไดเ้ หน็ รปู หญงิ สวยเหลา่ นนั้ แลว้ กม็ จี ติ กา� หนดั รกั ใคร่ รกั เจา้ เหตใุ ดเจา้ จงึ ปลอ่ ยใหน้ างลา� บาก ไมจ่ งู มอื นาง
จึงเดินล้าหลังคนอื่น พระกมุ ารโพธสิ ัตว์เห็นเชน่ นน้ั ไปเล่า?”
จึงตรัสว่า “เหตุใด เจ้าจึงเดินล้าหลังคนอ่ืนเล่า?”
“ข้าแต่พระกุมาร ข้าพระองค์เจ็บเท้า ขอน่ังพักท่ี พระกมุ ารโพธสิ ตั วต์ รสั วา่ “ทา่ นทง้ั หลาย นาง
ศาลาสกั ครู่ แลว้ จกั รบี ตามไป” “นน่ั มนั คอื นางยกั ษณิ ี ไมใ่ ชเ่ มียของเราดอก นางเป็นยกั ษ์ คนของเรา ๕
เจ้าอย่าไปสนใจมันเลย” “ข้าแต่พระกุมาร จะเป็น คน ถูกพวกมนั กนิ ไปหมดแลว้ ”
อยา่ งไรกช็ า่ งเถอะ ขา้ พระองคข์ อพกั สกั คร”ู่ “ถา้ เชน่
น้ัน เจา้ อย่าประมาท” ยักษิณีได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวว่า “พ่อเจ้า
ประคณุ ทงั้ หลาย ธรรมดาผชู้ าย ในเวลาโกรธกก็ ลา่ ว
จากนน้ั พาอกี ๔ คนเดนิ ทางตอ่ ชายทชี่ อบรปู หาว่าเมยี ของตนเปน็ นางยกั ษก์ ไ็ ด้ เปน็ เปรตกไ็ ด”้

514


จากน้นั กเ็ ดนิ ตามมาไปเรือ่ ยๆ จนถึงนครตักศลิ า เมื่อถึงนครตกั ศลิ า
แลว้ พระกมุ ารโพธสิ ตั วก์ เ็ สดจ็ ไปประทบั นง่ั ทศี่ าลาหลงั หนงึ่ สว่ นนางยกั ษณิ ี
นนั้ ไมส่ ามารถเขา้ ไปพกั ดว้ ยได้ เพราะเดชานภุ าพของพระกมุ ารโพธสิ ตั วน์ นั้
จึงเนรมิตตวั เป็นสาวสวยยืนเฝ้าทป่ี ระตูศาลา

ขณะนน้ั พระราชาแหง่ นครตักศิลา ก�าลงั เสด็จออกจากพระนครเพือ่
ไปสู่พระราชอทุ ยาน ทรงมจี ติ ปฏิพัทธใ์ นนางนน้ั จงึ ทรงสง่ ราชบรุ ษุ ไปสืบดู
เมือ่ ทราบวา่ นางไมม่ ีสามี จงึ ทรงสถาปนาไวใ้ นตา� แหน่งอคั รมเหสี

ฝ่ายนางยกั ษิณีนนั้ วันหน่งึ ครนั้ รว่ มหลับนอนกับพระราชาเสร็จแล้ว
กท็ า� ทเี ปน็ รอ้ งไห้ เมอื่ พระราชาตรสั ถาม จงึ กราบทลู วา่ “หมอ่ มฉนั เปน็ บคุ คล
ทพี่ ระองคท์ รงพบทห่ี นทางแลว้ นา� มา อนง่ึ ในพระราชวงั แหง่ นกี้ ม็ หี ญงิ บา� เรอ
พระองคอ์ ยเู่ ปน็ จา� นวนมาก วนั หน่งึ คนใดคนหนึง่ อาจพูดขึ้นวา่ “ใครๆ รจู้ ัก
มารดาบดิ า โคตร หรือชาติของแมห่ ญงิ คนน้นั บ้าง” หม่อมฉันเมือ่ ไดฟ้ ังแล้ว
คงต้องเก้อเขินเป็นแน่ ถ้าพระองค์มีพระทัยเมตตาพระราชทานความเป็น
ใหญ่และการบังคับบัญชาในแว่นแคว้นทั้งหมดแก่หม่อมฉัน ใครๆ ก็จะไม่
กลา้ กา� เรบิ กลา่ วแกห่ มอ่ มฉนั ไดเ้ ลย” ทรงรบั สง่ั วา่ “นอ้ งหญงิ ชาวแวน่ แควน้
มไิ ดเ้ ปน็ สมบตั ขิ องฉนั แตช่ นเหลา่ ใดในแวน่ แควน้ นล้ี ะเมดิ กฎหมาย กระทา�
สง่ิ ทไ่ี มค่ วรทา� ฉนั บงั คบั ใชก้ ฎหมายกบั คนเหลา่ นนั้ เทา่ นน้ั เพราะเหตนุ นั้ ฉนั
จงึ ไมส่ ามารถใหค้ วามเปน็ ใหญ่ และการบงั คบั บญั ชาในแวน่ แควน้ แกเ่ ธอได”้
“ถ้าพระองคไ์ ม่สามารถจะพระราชทานการบงั คับบัญชาในแว่นแคว้นหรอื ใน
พระนครได้ ก็ขอได้โปรดพระราชทานใหห้ มอ่ มฉนั มีอ�านาจเหนอื คนทัง้ ปวง
ทีร่ ับใช้ภายในพระราชวังเถิด พระเจา้ ขา้ ”

เพราะติดอกติดใจในสัมผัสประดุจทิพย์ของนาง พระราชาแห่งนคร
ตักศิลาจึงได้พระราชทานอ�านาจให้ตามค�าขอ คืนน้ัน หลังจากพระราชา
บรรทมหลบั สนทิ นางยกั ษณิ นี นั้ กก็ ลบั ไปเมอื งของตน ชวนพวกยกั ษม์ านคร
ตกั ศลิ า ปลงพระชนมพ์ ระราชา แลว้ กนิ เนอ้ื หนงั มงั สาและเลอื ดจนหมด เหลอื
ไว้แต่เพียงกระดูก ส่วนพวกยักษ์ที่เหลือก็ฆ่าคนทั้งหลายรวมถึงสัตว์เลี้ยง
ตา่ งๆ แลว้ กินจนหมดเกลี้ยงเชน่ กัน จากนนั้ ก็พากนั กลบั เมอื งยักษไ์ ป

รงุ่ เชา้ ชาวเมอื งเหน็ ประตพู ระราชวงั ปดิ อยกู่ พ็ ากนั พงั ประตเู ขา้ ไป เหน็
พระราชวงั เกลอ่ื นกลน่ ไปดว้ ยกองกระดกู จงึ กลา่ ววา่ “ชายคนนนั้ พดู ไวเ้ ปน็
ความจริงทุกอย่าง นางเป็นยักษ์มิใช่เมียของเขา แต่พระราชาไม่ทรงทราบ
ข้อนี้ จึงทรงน�ามันมาแต่งตั้งให้เป็นมเหสีของพระองค์ แล้วจึงถูกมันปลง

515


พระชนม์ น่าเวทนาจริงหนอ” จากน้ันช่วยกันท�าความสะอาดพระราชวัง
แล้วปรึกษากันว่า “เมื่อวานนี้ ชายคนน้ันไม่ไดล้ มุ่ หลงไปตามรปู ทเ่ี ห็น ซึง่ นาง
ยักษจ์ �าแลงไว้สวยงามประดจุ รูปทิพย์ แลว้ เดนิ ติดตามไปข้างหลังเลย เขาเปน็
คนท่ีประเสริฐยง่ิ นัก ถา้ ชายเชน่ น้ันปกครองแวน่ แคว้นรัฐสีมามณฑล จักมี
แต่ความสุขความเจริญ พวกเราช่วยกันอัญเชิญเขาขึ้นเป็นพระราชาในนครนี้
เถิด”

ชาวเมืองเหล่านัน้ ไดม้ ีความเหน็ เปน็ อนั หนึง่ อนั เดียวกนั จงึ เขา้ ไปหา
พระกุมารโพธิสัตว์ แล้วกล่าวอัญเชิญให้ขึ้นครองราชย์แทนพระราชาองค์เก่า
ท่ีสวรรคตไปแล้ว ฝ่ายพระกุมารโพธิสตั ว์ เมื่อขนึ้ ครองราชย์แลว้ กด็ า� รงตนอยู่
ในทศพธิ ราชธรรม ทรงงดเว้นจากอคติ ๔ ครองราชสมบัติโดยธรรม หลงั
จากส้นิ พระชนมแ์ ลว้ ก็เสด็จไปสู่สุคติตามยถากรรมที่ทรงบา� เพญ็ มา

ชาดกเร่ืองนี้มีคตสิ อนใจวา่ การดำา� เนินชวี ิต ถ้าขาดำพระธรรมน�าทาง
แลว้ โอกาสทจี่ ะประสบกบั ความหายนะกเ็ ปน็ ไปไดำต้ ลอดำเวลา ความสา� รวม
ระวงั จงึ เปน็ ธรรมทส่ี า� คญั ในการดำา� เนนิ ชวี ติ เพราะนอกจากจะชว่ ยไมใ่ หเ้ กดิ ำ
ความหายนะแลว้ ยงั ส่งเสรมิ ใหป้ ระสบกับความโชคดำมี ีสุขอีกดำ้วย

ดำงั จะเหน็ ว่าพระกมุ ารโพธสิ ตั ว์ไม่ตกเปน็ เหย่ือของนางยกั ษ์ เพราะ
อาศัยความส�ารวมระวังนน่ั เอง โดำยสา� รวมระวงั ตา ไมม่ องดำหู ญิงสาวทน่ี าง
ยักษ์จ�าแลงมายั่วยวน ส�ารวมระวังหู ขณะไดำ้ยินเสียงขับร้องที่หญิงสาว
บรรเลง สา� รวมระวงั จมกู ขณะไดำก้ ลน่ิ หอมทหี่ ญงิ สาวชโลมตวั สา� รวมระวงั
ล้ิน ขณะเห็นอาหารที่มีรสเลิศ ซ่ึงหญิงสาวเหล่าน้ันเชื้อเชิญให้ทาน และ
ส�ารวมระวงั กาย ท่ีหญงิ สาวเชื้อเชิญใหส้ ัมผสั ถูกต้อง ดำว้ ยการไมด่ ำู ไมฟ่ งั
ไมด่ ำมกลน่ิ ไม่ลิม้ รส ไม่ถกู ต้องสัมผสั และถา้ จ�าเปน็ กด็ ำู ฟงั ดำม ลม้ิ และ
สมั ผสั อย่างมีสติ ไม่ปล่อยให้ความรกั และความชังเกดิ ำขึ้น

เหตุนั้น จึงท�าให้พระกุมารโพธิสัตว์พ้นจากหายนะกลางป่า และ
ประสบความโชคดำีมีสุข และไดำข้ ้ึนครองราชยโ์ ดำยธรรมในเวลาต่อมา นยั
ตรงกนั ขา้ ม ชายทต่ี ดิ ำตามพระกมุ ารโพธสิ ัตว์ ๕ คน ตอ้ งประสบกบั ความ
หายนะถงึ กบั สน้ิ ชวี ติ นน้ั เพราะปลอ่ ยกายปลอ่ ยใจไปตามอารมณ์ ไมส่ า� รวม
ระวงั ตน ปลอ่ ยใหเ้ กดิ ำความชอบความชงั เวลาเหน็ รปู ฟงั เสยี ง ดำมกลน่ิ ลมิ้
รส และถกู ตอ้ งสมั ผสั ทางกายนนั่ เอง เพราะฉะนน้ั ความสา� รวมระวงั จงึ เปน็
ธรรมปฏิบตั ิ เพอื่ ให้พ้นเสือ่ มและประสบความเจรญิ ท่ีควรนอ้ มน�ามาปฏิบัติ
โดำยแท้

(เตลปตั ตชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
ชาดก เอกนบิ าต เล่ม ๒๙ หนา้ ๒๗๗)

516


517


แรงอธิษฐาน

“สัตบุรุษทงั้ หลายย่อมตงั้ มั่น

ในคา� สัตย์ทเี่ ปน็ อรรถเป็นธรรม”

ในอดีตกาล คร้ังพระเจ้าโกสัมพิกะครองราชย์สมบัติอยู่ในกรุงโกสัมพี
ครง้ั นน้ั มพี ราหมณส์ องคนเปน็ สหายรกั กนั มานาน คนหนงึ่ ชอื่ ทปี ายนะ อกี คน
ชอ่ื มณั ฑพั ยะ ทงั้ สองมที รพั ยส์ นิ จา� นวนมาก วนั หนงึ่ รสู้ กึ เบอื่ หนา่ ยในการครอง
เรอื น จงึ พากนั นา� ทรพั ยส์ นิ นนั้ บรจิ าคเปน็ ทาน หลงั จากนน้ั ไดอ้ อกบวชเปน็ ดาบส
อยใู่ นป่าหิมพานต์ ๕ ปี แตย่ งั ไมส่ ามารถบ�าเพ็ญฌานใด ๆ ใหเ้ กดิ ข้นึ ได้

ครัน้ ลว่ งไป ๕๐ ปี จึงพากนั เทีย่ วไปตามชนบทต่าง ๆ จนมาถงึ แคว้น
กาสี ดาบสทง้ั สองจงึ ไดไ้ ปเยย่ี มสหายของทปี ายนะดาบส ทน่ี คิ มแหง่ หนงึ่ สหาย
น้ันมคี วามยินดี จงึ สรา้ งบรรณศาลาถวาย แลว้ บ�ารงุ ดว้ ยปจั จยั ๔ สองดาบส
อาศยั อยทู่ บ่ี รรณศาลานัน้ ๓–๔ ปี แลว้ ลาสหายผ้ใู จดีน้นั เท่ียวจาริกไปจนถงึ
เมืองพาราณสี เมอ่ื ไปถงึ จึงอาศัยอยใู่ นปา่ ช้า (อธมิ ุตตกิ สสุ าน) หลังจากอาศัย
อยู่พอควรแล้ว ทีปายนะดาบสก็ลามัณฑัพยะดาบสกลับไปหาสหายของตน
ส่วนมัณฑพั ยะดาบสยงั อยู่ท่เี ดมิ

อยมู่ าวนั หนงึ่ มพี วกโจรกลมุ่ หนงึ่ เขา้ ไปขโมยของในเมอื ง เมอ่ื ถกู เจา้ ของ
และเจา้ หนา้ ทีไ่ ลต่ ดิ ตาม จึงหนมี าจนถงึ ปา่ ช้า เมอ่ื เหน็ จวนเจียนจะถกู จบั จงึ ทิ้ง
ของน้ันทีป่ ระตบู รรณศาลาของมัณฑพั ยะดาบสแล้วพากันหนไี ป พวกมนุษย์ท่ี
ตามมาเหน็ ของนนั้ จงึ กลา่ ววา่ “หนอยแน่ ไอน้ กั บวชชวั่ ตอนกลางวนั เปน็ นกั บวช
พอตกดึกกลายเป็นโจร” “น่ันสิ พวกเราปลอ่ ยเอาไวไ้ ม่ได้” จากน้นั จึงชว่ ยกนั
ทุบตีแล้วจับตัวน�าส่งพระราชา พระราชาไม่ทรงพิจารณาให้ถ่ีถ้วน ก็รับสั่งให้
ราชบุรุษนา� ตัวไปเสยี บหลาว

พวกราชบุรุษน�าตัวไปเสียบหลาวไม้ตะเคียนที่ป่าช้าแห่งนั้น แต่เสียบไม่
เข้า แม้จะเปลี่ยนเป็นหลาวไม้สะเดาและหลาวเหล็ก ก็ยังเสียบไม่เข้าอยู่ดี
มณั ฑพั ยะดาบสจึงพิจารณาดบู ุพกรรมของตน กร็ ูว้ า่ ในภพก่อนตนเคยเกิดเปน็
บุตรนายช่างไม้ วันหนึ่งไปถากไม้กับพ่อ ระหว่างนั้นได้จับแมลงวันมาตัวหน่ึง

518


แล้วเอาหนามไม้ทองหลางเสียบเข้าท่ีก้น หนามไม้ จริงหรือไม่ ถึงได้ลงพระราชอาญา” พระราชาจึง
ทองหลางนน้ั ตดิ อยทู่ ต่ี วั แตไ่ มท่ า� ใหแ้ มลงวนั นนั้ ตาย ตรสั วา่ “ความจรงิ เรากย็ งั ไมไ่ ดไ้ ตรต่ รองใหด้ ี เพราะ
คงตายไปตามปกติเม่อื สน้ิ อายุขัย บดั นี้ บาปกรรม เห็นชาวบ้านบอกว่าดาบสผู้น้ีเป็นโจร” หลังจากน้ัน
นั้นก�าลังตามให้ผล เม่ือรู้อย่างน้ีจึงได้กล่าวกะ จึงรับสั่งให้ถอนหลาวออก พวกราชบุรุษไม่สามารถ
ราชบุรุษวา่ “ถา้ ทา่ นตอ้ งการจะเสยี บเราให้เขา้ กจ็ ง จะถอนออกได้
เอาหลาวไมท้ องหลางมาเสยี บเถอะ”
มั ณ ฑั พ ย ะ ด า บ ส จึ ง ทู ล พ ร ะ ร า ช า ว ่ า
พวกราชบุรุษจึงเอาไม้ทองหลางมาเสียบ ก็ “มหาบพิตร อาตมภาพประสบความทุกข์ทรมาน
เสยี บเข้าได้ จากนั้นกจ็ ัดยามเฝ้าอารกั ขาไวเ้ พ่ือคอย อย่างน้ีกเ็ พราะกรรมที่ได้ทา� ไว้แตป่ างกอ่ น หลาวน้ี
ดผู ทู้ ่ีจะมาหามณั ฑพั ยะดาบส ฝา่ ยทีปายนะดาบส ไมม่ ใี ครถอนจากตวั อาตมภาพไดด้ อก ถา้ พระองคจ์ ะ
คดิ วา่ ตวั เองไมไ่ ดไ้ ปพบมณั ฑพั ยะดาบสนานแลว้ จงึ ทรงพระราชทานชวี ติ แกอ่ าตมภาพ ก็ขอไดโ้ ปรดส่ัง
เดนิ ทางไปเยย่ี ม ระหวา่ งทางกไ็ ดฟ้ งั ขา่ ววา่ มณั ฑพั ยะ ใ ห ้ ร า ช บุ รุ ษ เ อ า เ ลื่ อ ย ม า ตั ด ห ล า ว ทั้ ง ส อ ง ข ้ า ง
ดาบสถูกเสยี บด้วยหลาว จึงรบี ไป ณ ทนี่ น้ั เม่ือไป ให้เสมอกับหนงั ของอาตมภาพเถิด”
ถึงจึงถามว่า “ท่านท�าผิดอะไร ถึงได้ถูกเสียบด้วย
หลาวแบบน้”ี พระราชาจึงรับสั่งให้ราชบุรุษท�าตามประสงค์
ของมัณฑัพยะดาบส จากน้ันก็ก้มลงกราบขอให้
มัณฑพั ยะดาบสตอบวา่ “นเ่ี ปน็ เรื่องเขา้ ใจผิด ดาบสทง้ั สองอดโทษให้ แลว้ นมิ นตใ์ หอ้ าศยั อยใู่ นพระ
ความจริงแล้วข้าไม่ได้ท�าอะไรเลย” “แล้วท่านโกรธ ราชอทุ ยาน ทรงบ�ารงุ อย่างดี สา� หรบั ทปี ายนะดาบส
เคืองคนท่ีทา� รา้ ยทา่ นหรอื เปลา่ ?” มณั ฑพั ยะดาบส หลังจากรักษาแผลมัณฑัพยะดาบสจนหายดีแล้ว ก็
ตอบว่า “ข้าไม่โกรธดอก นี่เป็นเพราะกรรมของข้า เดนิ ทางกลบั ไปหาสหายของตน สหายนนั้ ไดฟ้ งั ขา่ ว
เอง” ก็มีความยนิ ดี จึงพาบุตรและภรรยาไปไหว้ทปี ายนะ
ดาบส จากนน้ั นงั่ ฟงั เรอื่ งราวของมณั ฑพั ยะดาบสทท่ี ี
ทีปายนะดาบสจึงกล่าวว่า “ร่มเงาของผู้มีศีล ปายนะดาบสเลา่ ให้ฟงั
เชน่ ท่าน เปน็ ความสขุ ส�าหรบั ขา้ ” จากนนั้ ได้เข้าไป
นั่งพิงหลาวไว้ หยาดโลหิตท่ีไหลออกจากตัว ครง้ั นน้ั บตุ รของสหายนน้ั เลน่ ลกู ขา่ งอยู่ ณ ที่
มัณฑัพยะดาบสได้หยดลงถูกตัวของทีปายนะดาบส ปลายทางจงกรม ลูกข่างท่ีเล่นได้กระเด็นตกไปถูก
แล้วก็แห้งด�าไปท้ังตัว ตั้งแต่น้ันท่านจึงได้นามว่า อสรพษิ ทอ่ี ยใู่ นโพรงจอมปลวก เดก็ นน้ั ไมร่ ู้ จงึ เอามอื
“กัณหทีปายนะ” ทีปายนะดาบสนั้นน่ังพิงหลาวอยู่ ล้วงเข้าไปในโพรง ถกู อสรพิษนัน้ กัดทม่ี อื พิษรา้ ยได้
อยา่ งนน้ั ตลอดคนื ยนั รุง่ ท�าให้เด็กสลบและลม้ ลง

วันรุ่งข้ึน พวกยามที่เฝ้าอารักขา จึงเข้าไป มารดาบิดารู้ว่าลูกถูกอสรพิษกัด จึงอุ้มไปหา
กราบทูลเหตกุ ารณน์ ้นั แด่พระราชา พระราชาจึงรบี ทปี ายนะดาบสแล้วกล่าวว่า “ทา่ นดาบส ช่วยลกู ของ
เสดจ็ ไปดู แลว้ ตรสั ถามทปี ายนะดาบสวา่ “ทา่ นดาบส ข้าด้วยเถิด ท่านต้องมียาหรือมีคาถาช่วยลูกของข้า
ทา� ไมทา่ นมานั่งพงิ หลาวแบบนี้” ไดแ้ นๆ่ ”

ทีปายนะดาบสทูลว่า “ข้ามานั่งเฝ้าสหาย ทปี ายนะดาบสกลา่ ววา่ “เราไมม่ ยี ารกั ษา แลว้
มหาบพติ ร ทรงทราบแลว้ หรือวา่ สหายของขา้ ท�าผิด ก็ทา� อยา่ งที่ทา่ นว่าไมไ่ ด้ดอก”

519


สองสามภี รรยานนั้ จงึ ไดข้ อรอ้ งวา่ “ถา้ เชน่ นนั้ เสยี ละ”
ขอท่านได้ตั้งเมตตาในเด็ก แล้วท�าสัจจะอธิษฐาน ทปี ายนะดาบสตอบวา่ “เพราะเราไมอ่ ยากให้
เพือ่ ชว่ ยลูกของขา้ ดว้ ยเถดิ ”
ใครวา่ เราวา่ เปน็ คนเหลวไหล กลบั กลอก แลว้ ทา่ น
ทีปายนะดาบสจึงวางมือบนศีรษะของเด็ก ละ ถ้าไมอ่ ยากตอ้ นรับแขกแล้วฝนื ใจทา� ทา� ไม ?”
จากน้ันได้ทา� สจั จะอธิษฐานวา่
สหายของทีปายนะนั้นตอบว่า “ข้าท�าตาม
“เมื่อตอนแรกที่เราบวช เรายินดีประพฤติ บรรพบรุ ุษ เพราะไมอ่ ยากให้ใครมาว่าได้วา่ ไม่ทา�
พรหมจรรย์ไดเ้ พยี ง ๗ วนั เทา่ นั้น จากนนั้ แมเ้ รา ตามธรรมเนียมของตระกูล” พูดจบก็หันไปถาม
ไมย่ นิ ดกี ท็ นประพฤตพิ รหมจรรยถ์ งึ ๕๐ กวา่ ปี ดว้ ย ภรรยา ทฝี่ นื ใจครองเรอื นมาดว้ ยกนั โดยมไิ ดม้ คี วาม
ความสัตย์อันน้ี ขอให้ลูกของท่านจงรอดชีวิตเถิด” รกั ตอ่ ตนเลยวา่ “นอ้ งหญงิ ขา้ ไมร่ มู้ ากอ่ นเลยวา่ เจา้
พรอ้ มๆ กับสจั จกิรยิ าน้ัน พิษในกายตอนบนก็หาย ไม่ได้รักขา้ ท�าไมเจ้ายงั ฝืนใชช้ วี ิตอย่กู บั ข้าดว้ ยละ”
ไป เดก็ นนั้ ลมื ตาขนึ้ ไดร้ อ้ งเรยี กมารดาบดิ าแลว้ พลกิ
ตัวนอน ทีปายนะดาบสเห็นเช่นนั้น จึงกล่าวกับ ภรรยาน้ันตอบว่า “เพราะตระกูลของขา้ ไมม่ ี
สหายซ่งึ เป็นบดิ าของเด็กว่า “สัจจกริ ยิ าของเราชว่ ย ผู้หญิงคนไหนแต่งงานมีสามีใหม่เลยนะสิ ข้าไม่
ลูกทา่ นได้เทา่ นี้ ท่านจงท�าสัจจกิริยาบ้างเถิด” อยากให้ใครว่าข้าได้ว่า ไม่ท�าตามธรรมเนียมของ
ตระกูล”
สหายผู้เป็นบิดาของเด็กน้ัน จึงวางมือลงที่
หน้าอกของลูก จากนัน้ จงึ กระทา� สจั จะอธิษฐานวา่ ครัน้ กล่าวอยา่ งนแ้ี ลว้ นางจึงกลา่ วตอ่ วา่ “ข้า
แตส่ ามี วนั นขี้ า้ ไดพ้ ดู ถอ้ ยคา� ทไ่ี มค่ วรจะพดู ขอทา่ น
“เมื่อแขกจะมาพักท่ีบ้าน บางครั้งข้าก็ไม่ จงอดโทษถ้อยค�าน้ันให้แก่ข้า เพราะเหตุแห่งบุตร
อยากใหพ้ กั แตก่ ย็ อมใหพ้ กั เรอ่ื งนไี้ มเ่ คยมใี ครรมู้ า เถดิ สง่ิ อนื่ อะไรๆ ในโลกนที้ จี่ ะรกั ยง่ิ ไปกวา่ บตุ รมไิ ด้
กอ่ น ดว้ ยความสตั ยอ์ นั นี้ ขอใหล้ กู ของขา้ จงรอดชวี ติ มี บตุ รของเราน้รี อดชวี ิตแลว้ ”
ด้วยเถิด” เมอ่ื บิดาทา� สจั จกริ ยิ าอย่างนแ้ี ล้ว พิษใน
กายตอนเหนอื สะเอวของเดก็ กห็ ายไป เดก็ นนั้ ลกุ ขนึ้ สามีกล่าวตอบว่า “ลุกข้ึนเถิดน้องหญิง เรา
นั่งได้ แต่ยังยืนไม่ได้ สามีจึงบอกให้ภรรยาท�า อดโทษใหเ้ จา้ ตง้ั แตน่ ไ้ี ป เจา้ อยา่ ไดม้ จี ติ กระดา้ ง แม้
สัจจกิริยาบา้ ง แต่ภรรยากลบั กล่าววา่ “ข้ามีคา� สัตย์ เรากจ็ ะไม่เกลียดเจา้ ”
ที่ไม่อาจบอกต่อหนา้ ท่านได้” สามีจึงกลา่ วว่า “น้อง
หญงิ เจา้ จงทา� เพอ่ื ชว่ ยลกู ของเราเถดิ ” นางจงึ กระทา� ตอ่ แตน่ น้ั ทปี ายนะดาบสกก็ ลา่ วกะสหายของ
สัจจะอธิษฐานวา่ ตนวา่ “ตอ่ ไป ทา่ นจงทา� ทานดว้ ยศรทั ธาเถดิ ” สหาย
ของทปี านยะดาบสรบั ว่าจะทา� ตามท่ีทา่ นบอก จาก
“ลกู รกั อสรพษิ ที่กัดเจา้ กบั พอ่ เจา้ นนั้ ก็เป็น นัน้ กลา่ วกบั ทปี านยะดาบสวา่ “ต้งั แตน่ ี้ต่อไป ขอให้
สง่ิ ทแ่ี มไ่ ม่รัก ไมช่ อบทัง้ คู่ ดว้ ยความสัตย์อนั นี้ ขอ ท่านมีจิตเล่ือมใสยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์
ใหล้ กู จงรอดชวี ติ เถดิ ” พรอ้ มๆ กบั สจั จกริ ยิ านนั้ พษิ เถิด” หลังจากสนทนาปราศรัยเสร็จแล้ว สองสามี
ทั้งหมดกห็ ายไป เด็กน้ันเมื่อรา่ งกายหมดพษิ แล้วก็ ภรรยากน็ มสั การลาทปี ายนะดาบสกลบั บา้ นของตน
ลุกข้ึนเล่นต่อไปได้ เม่ือบุตรลุกขึ้นได้แล้ว สหาย
ของทีปายนะดาบสจึงกล่าวว่า “ถ้าท่านไม่ยินดี ตั้งแต่นั้นมา ภรรยาก็มีความเสน่หาในสามี
ประพฤตพิ รหมจรรย์ เหตใุ ดจงึ ไมอ่ อกมาครองเรอื น อย่างจริงใจ สว่ นสามีเองกม็ จี ติ เล่อื มใสถวายทาน
ด้วยศรัทธา ขณะท่ที ปี ายนะดาบสก็บรรเทาความ
เบ่ือหน่ายเสียได้ ท�าฌานและอภิญญาให้เกิดแล้ว

520


หลงั จากส้ินชีวติ กไ็ ปบังเกิดในพรหมโลก
ชาดกเร่ืองน้ีมีคติสอนใจว่า การท�าสัจจกิริยา เป็นเรื่องที่นับถือ

ปฏิบัติกันมาต้ังแต่ก่อนพุทธศาสนาบังเกิดำ เม่ือพระพุทธศาสนาบังเกิดำ
แลว้ กร็ บั นบั ถอื กนั ตอ่ มา เปน็ เรอ่ื งทม่ี ผี ล หากปฏบิ ตั ดิ ำว้ ยความตงั้ ใจและ
ถูกตอ้ ง การท�าสจั จกริ ยิ าน้ัน นิยมกลา่ วอา้ งพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ
พระสงั ฆคณุ ซงึ่ พระพทุ ธคณุ พระธรรมคณุ พระสงั ฆคณุ ทอ่ี า้ งนน้ั ลว้ น
เป็นสัจจะคือความจริง ทั้งเป็นความจริงท่ีบริสุทธิ์ ไม่ใช่เป็นส่ิงท่ีหลอก
ลวง

เมอื่ กลา่ วพระพทุ ธคณุ พระธรรมคณุ พระสงั ฆคณุ แลว้ กส็ รปุ ตอน
ท้ายว่า “ดำ้วยกล่าวค�าสตั ยน์ ้ี ขอความสวสั ดำเี ปน็ ตน้ จงมี” แต่การที่จะ
ท�าเช่นน้ัน ก็ต้องมีเหตผุ ลหรอื ความจ�าเป็นรองรบั เช่น ไมม่ มี นต์คาถา
หรอื ยาใดำๆ มารักษาพิษงูใหห้ าย ถ้าหากวา่ มีมนตค์ าถาหรอื ยารักษา ก็
จะไดำ้ใช้มนต์คาถาหรือยานั้นๆ รักษา แต่เพราะไม่มี จึงจ�าต้องท�า
สัจจกิรยิ า สจั จกริ ยิ านน้ั แม้เปน็ เรือ่ งทีต่ ัวเองท�าไม่ดำี แตถ่ ้าเป็นเรอ่ื งจริง
กก็ ลา่ วอ้างไดำ้ ดำงั เช่นทีบ่ คุ คลทง้ั ๓ ไดำ้อา้ งแล้วในกัณหทีปายนชาดำกนี้

ดำังนนั้ ในการดำ�าเนนิ ชีวติ หากประสบความคับขัน ต้องการความ
ปลอดำภัยอย่างใดำอยา่ งหนง่ึ กพ็ ึงระลกึ ถึงคณุ ศีลคณุ ธรรม คณุ พระพทุ ธ
คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ว่าเป็นสิ่งท่ีมีอยู่จริง คุณศีลคุณธรรมน้ัน
ตนเองกไ็ ดำ้ปฏิบัติมาแลว้ น้อยหรอื มาก มาในบดั ำนี้ ตนเองนัน้ มีข้อจา� กัดำ
อยา่ งไรท่เี ป็นความจรงิ และก�าลงั ประสบความขดั ำข้องหรอื อันตรายทไ่ี ม่
สามารถจะช่วยตัวเอง เพราะอะไรที่เป็นความจริง ให้ต้ังใจอธิษฐานถึง
ความจริงดำังน้ี อา้ งความจริงดำงั นี้ สดุ ำท้าย ขอใหอ้ �านาจแหง่ สจั จวาจา
ใหบ้ งั เกดิ ำความสวสั ดำี ปฏบิ ตั อิ ยา่ งนจี้ ติ ใจยอ่ มไมเ่ ดำอื ดำรอ้ น เพราะไดำท้ า�
สิ่งท่ีควรท�าแล้ว ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็เป็นเร่ืองของผลนั้น ไม่ต้อง
ค�านงึ ถงึ ให้ทรมานใจอีกต่อไป

(กัณหทีปายนชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย
ชาดก ทสกนบิ าต เล่ม ๓๒ หน้า ๕๑๖)

521


522


ทกุ ขเ์ พราะรกั

“ทใี่ ดมีรกั ทนี่ น่ั มีโศก ทใี่ ดมีรกั ทนี่ นั่ มีภยั
เมื่อไม่มีความรกั เสียแล้ว โศกภยั กไ็ ม่มี”

ในอดตี กาล ครง้ั พระเจา้ พรหมทตั เสวยราชสมบตั อิ ยใู่ นนครพาราณสี
ครงั้ นนั้ พระโพธิสัตวบ์ ังเกดิ เป็นอากาสฏั ฐเทวดา อยู่มาวนั หนงึ่ ชาวเมืองพา
กันจดั แสดงมหรสพในคา�่ คนื แห่งวนั เพ็ญเดอื น ๑๒ ผคู้ นตา่ งพากันตกแตง่
บา้ นเรอื นดว้ ยแสงไฟและดอกไม้ สวยสดงดงามราวกับเทพนคร ส่วนผ้คู นก็
พากนั แตง่ ตัวด้วยเส้ือผา้ หลากสี สวยงามราวกบั เทพบตุ รเทพธดิ า

ขณะนั้น มีสามภี รรยาคหู่ นงึ่ เป็นคนยากจน ก�าลังถกเถยี งกันถึงผา้
ท่จี ะแต่งไปเทยี่ วชมมหรสพในคืนดงั กลา่ ว โดยภรรยาสาวอยากนงุ่ ผา้ ยอ้ ม
ด้วยดอกค�า แตม่ รี าคาแพง ผ้เู ปน็ สามีจงึ ไม่สามารถหามาให้ได้ เขาจึงบอก
กับนางวา่ “นอ้ งหญิง เจา้ ห่มผา้ สีขาวท่ีมอี ยเู่ ถอะ ขา้ เอาไปซกั ให้สะอาดแลว้
ถงึ มนั จะเกา่ ไปบา้ ง แตเ่ จา้ เปน็ คนรปู งามอยแู่ ลว้ ใสอ่ ะไรกส็ วยทง้ั นนั้ แหละ”

ภรรยากล่าววา่ “ผา้ เก่าๆ อยา่ งนี้ ขา้ ไมใ่ สใ่ หอ้ ายชาวบา้ นดอก วันนถี้ า้
ไมไ่ ดผ้ า้ ยอ้ มดว้ ยดอกคา� ขา้ กจ็ ะไมไ่ ปเทย่ี วงาน เชญิ ทา่ นไปกบั หญงิ อน่ื เถอะ”

สามกี ลา่ วว่า “นอ้ งหญงิ ข้าจะไปกับหญิงอื่นไดอ้ ยา่ งไร เจ้าก็รู้ว่าฐานะ
อย่างเราจะไปหาผ้าย้อมด้วยดอกค�าที่ไหนได้ ท�าไมเจ้าถึงต้องการใส่แต่ผ้า
ยอ้ มดว้ ยดอกค�า ชุดไหนๆ กเ็ หมอื นกันนน่ั แหละ”

ภรรยากลา่ ววา่ “ไมเ่ หมอื น ผา้ ยอ้ มดว้ ยดอกคา� สวยกวา่ ผา้ ชนดิ อน่ื เปน็
ไหนๆ หากข้าได้นุ่งผ้าย้อมด้วยดอกค�าออกไปเท่ียวงานกับท่าน ข้าจึงจะมี
ความสุข ท่านลองคดิ ดู หากได้ผ้ายอ้ มด้วยดอกคา� มา ข้ากจ็ ะนุ่งผนื หนง่ึ และ
ห่มผืนหน่ึง แลว้ เราทั้งสองกจ็ ะออกไปเทีย่ วงานด้วยกนั ชาวบา้ นชาวเมืองท่ี
เห็นก็จะตะลึงในความงาม ส่วนพวกผชู้ ายก็คงจะอจิ ฉาท่านท่ีมภี รรยาสาว
สวยอยา่ งขา้ ” ภรรยาสาวเพอ้ ฝนั ถงึ การนงุ่ หม่ ผา้ ยอ้ มดว้ ยดอกคา� แตส่ ามแี ม้
จะอยากได้ผ้าย้อมด้วยดอกค�าให้ภรรยาสาวใจแทบขาด แต่ก็ไม่สามารถไป
หาจากท่ีไหนมาได้ จึงได้แต่ปลอบภรรยาและขอร้องให้ใส่ผ้าสีขาวที่มีอยู่ไป
เท่ียวงานด้วยกนั

523


ฝา่ ยภรรยาเมอ่ื สามไี มส่ ามารถหามาได้ กไ็ ด้ เช้าวันรุ่งข้ึน ขณะท่ีสามีก�าลังวางแผนไป
แตร่ ้องไห้ตอ่ ว่าสามี “ท�าไมชวี ิตข้าถงึ ล�าบากอย่างน้ี ขโมยดอกคา� จากสวนหลวงอยนู่ น้ั เอง กม็ อี ากาสฏั ฐ
ต้งั แตอ่ อกเรอื นมาอยกู่ ับท่าน ก็ท�าแต่งานงก ๆ ทง้ั เทวดาตนหนง่ึ ทม่ี องเหน็ ภยั ในอนาคตของชายผเู้ ปน็
วัน เสอื้ ผ้าสวย ๆ กไ็ ม่เคยได้ใส่เหมือนคนอน่ื พอ สามีนั้น จึงเข้ามาห้ามไว้ว่า “เจ้าก�าลังคิดท่ีจะไป
อยากจะไดผ้ า้ สกั ผนื หน่ึง ทา่ นก็ไมย่ อมหาให้ ข้าก็ ขโมยดอกคา� ทไ่ี รข่ องพระราชาหรอื ? อย่าทา� เช่น
แค่อยากได้ผ้าสวย ๆ ไปเที่ยวกับท่านบ้างเท่าน้ัน นั้นเลย เพราะถ้าขนื ทา� เขา้ เจ้าจะได้รบั ทุกขเวทนา
เอง” สามกี ลา่ ววา่ “นอ้ งหญงิ ขา้ กอ็ ยากหามาใหเ้ จา้ อย่างแสนสาหสั ” เมอ่ื ไดย้ นิ ดงั นั้น ชายผูน้ ัน้ ก็กลา่ ว
เหมอื นกนั แตเ่ จา้ กร็ อู้ ยวู่ า่ ฐานะอยา่ งเรายากจนแค่ วา่ “ขา้ แตท่ า่ นเทวดา อนั ตวั เรานไี้ มม่ ที กุ ขอ์ นั ใดทจ่ี ะ
ไหน แลว้ อย่างน้ขี า้ จะไปหาผ้ายอ้ มดว้ ยดอกคา� ให้ ย่ิงใหญ่ไปกว่าการเห็นหญิงอันเป็นที่รักทุกข์ใจอีก
เจ้าไดอ้ ย่างไรกัน” แลว้ อันตรายใด ๆ หากจะเกดิ ขน้ึ ข้ากพ็ ร้อมที่จะ
เผชญิ กบั อนั ตรายนนั้ ๆ ขอแตเ่ พยี งใหน้ างผเู้ ปน็ ทรี่ กั
ภรรยาครุ่นคิดอยูค่ รูห่ น่ึง จากน้ันจงึ กล่าวว่า มคี วามสขุ กเ็ พยี งพอแลว้ ” เมอ่ื เหน็ วา่ ตกั เตอื นไมเ่ ปน็
“ข้าแตท่ า่ นพี่ เรายังพอมหี นทางได้ผา้ ย้อมด้วยดอก ผล อากาสฏั ฐเทวดากจ็ ากไป ทง้ิ ใหช้ ายคนนนั้ ผหู้ ลง
คา� อยู่ เพราะดอกคา� ในไรข่ องพระราชามอี ยมู่ าก ขอ เชื่อคา� พูดของภรรยา ตอ้ งเผชญิ กับชะตากรรมทจ่ี ะ
ท่านไปขโมยมาใหข้ ้าเถอะ ขา้ จะย้อมด้วยตนเอง” ได้รบั ตอ่ ไป

สามีไดย้ ินอย่างนน้ั กก็ ล่าววา่ “นอ้ งหญงิ ท�า เมอื่ ถงึ เวลาดกึ สงดั ทค่ี นทง้ั หลายนอนหลบั กนั
เช่นนัน้ ไม่ไดด้ อก เพราะทนี่ นั่ มีการป้องกันแข็งแรง หมด ผเู้ ปน็ สามกี เ็ สยี่ งชวี ติ ไปสไู่ รด่ อกคา� ของพระเจา้
มาก ประตูรั้วก็แน่นหนา อีกท้ังมีทหารเฝ้ายาม พรหมทตั เมอ่ื ไปถงึ ไร่หลวง ชายผ้เู ป็นสามกี ป็ ีนร้ัว
ตลอดเวลา ขา้ ไมส่ ามารถเฉยี ดเขา้ ไปใกลไ้ ดเ้ ลย ขอ เขา้ ไป เสยี งเทา้ กระทบพนื้ ในเวลาดกึ สงดั ทา� ใหค้ น
เจ้าจงเลิกคิดถึงผ้าย้อมด้วยดอกค�านั้น นุ่งผ้าสีขาว เฝ้าไร่ดอกค�าได้ยินเข้า พวกเขาจึงวิ่งมาดูแล้วล้อม
น้ีไปเท่ยี วกับขา้ เถดิ ” จับชายคนนน้ั ไว้ได้ ลงมือตบตีพอสมควร ครน้ั รุ่ง
สางแล้ว จึงพาตัวไปมอบให้พระเจ้าพรหมทัต
เมอ่ื ฝ่ายสามไี มอ่ าจตามใจภรรยาสาวได้ เธอ พิจารณาโทษ
จึงแสดงอาการนอ้ ยใจ รอ้ งไห้ฟูมฟาย เกบ็ ตัวอยใู่ น
ห้องนอนเพ่ือเรียกร้องความสงสาร สามีเม่ือเห็น พระเจา้ พรหมทตั ทรงพโิ รธอยา่ งยงิ่ จงึ ตรสั วา่
ภรรยาโศกเศร้าเช่นน้ันก็เสียใจ รู้สึกผิดท่ีไม่อาจ “เจ้าบังอาจมาก ท่ีเข้ามาขโมยดอกค�าในไร่ของข้า
ตามใจภรรยาได้ เขาจงึ ตดั สนิ ใจทา� ตามทภ่ี รรยาบอก ทหาร จงเอามันไปเสียบหลาวเดี๋ยวน้ี” ส้ินค�าสั่ง
“น้องหญิง เจ้าอย่าได้โศกเศร้าไปเลย หากเจ้า ทหารกม็ ดั ชายผนู้ น้ั ไพลห่ ลงั แลว้ พาออกจากเมอื งไป
ต้องการผ้าย้อมด้วยดอกคา� ข้าก็จะไปเอามาใหเ้ จา้ โดยมีคนตีกลองประกาศโทษประหารตามไปด้วย
แม้จะต้องฝ่าอันตรายถึงชีวิตก็ตาม” เม่ือสามีบอก เม่ือพาไปถงึ แดนประหาร ก็น�าเขาไปเสยี บท่หี ลาว
อย่างนัน้ ภรรยาจึงกลา่ ววา่ “ขา้ แตท่ า่ นพ่ี ข้าดใี จท่ี ทนั ที เขาได้รบั ทุกขเวทนาแสนสาหสั ฝูงกาพากัน
ทา่ นมีความกล้า ข้าเช่อื วา่ ท่านจะต้องทา� ได้ เพราะ บินไปเกาะที่ศีรษะจิกนัยน์ตาด้วยจะงอยปากอัน
เมื่อความมดื ในยามรัตติกาลมาถงึ ขน้ึ ชอื่ ว่าสถานท่ี แหลมคม ชายคนนนั้ ทงั้ ๆ ที่ได้รบั ทกุ ขเวทนาเห็น
ท่ีลูกผู้ชายจะไปไม่ได้ เปน็ อนั ไม่ม”ี

524


ปานนน้ั กไ็ มไ่ ดใ้ สใ่ จในทกุ ขข์ องตนแมแ้ ตน่ อ้ ย เฝา้ แตค่ ดิ ถงึ หญงิ นน้ั อยถู่ า่ ยเดยี ว รา� พงึ
รา� พนั วา่ “ทเ่ี ราถกู หลาวเสยี บนก้ี ไ็ มท่ กุ ข์ ทถี่ กู กาจกิ เลา่ กไ็ มท่ กุ ข์ เราเปน็ ทกุ ขอ์ ยู่ แต่
ว่านางผิวทองจักไม่ได้นุ่งห่มผ้าย้อมดอกค�า เที่ยวงานประจ�าราตรีแห่งวันเพ็ญเดือน
๑๒” เขาพรา�่ เพอ้ ดว้ ยทกุ ขเวทนาอยู่อย่างนั้น จนส้นิ ลมหายใจ

ชาดกเรอ่ื งนม้ี ีคติสอนใจวา่
เร่อื งของความรักน้นั เปน็ ไปไดำ้ทง้ั ทางดำีและทางเสีย โดำยเฉพาะรักระหว่าง
เพศ ส่วนมากจะเริ่มต้นดำ้วยความดำีใจ แต่ครั้นนานเข้าก็จืดำจางและเปล่ียนเป็น
ขมข่นื สุดำท้ายจบลงดำ้วยทุกขใ์ จ ความรักของคนทั่วไปมักเป็นเชน่ นี้
ถามวา่ เพราะอะไร ตอบวา่ เพราะรกั นนั้ ไมบ่ ริสุทธ์ิ เจอื ปนดำว้ ยกิเลสตณั หา
เหมือนน้�าผ้งึ เจือดำ้วยยาพิษ เรมิ่ ต้นดำว้ ยรสหวาน จบลงดำว้ ยความตาย
ในทางพระพทุ ธศาสนา กลา่ วถงึ ความรกั ไว้ ๒ ลกั ษณะ คอื
๑. รักแท้ ไดำ้แก่ความรักที่บริสุทธ์ิใจ รักท่ีมีแต่ให้ เสียสละ ไม่หวังผล
ตอบแทน ยอมทกุ ขแ์ ทนคนรักไดำ้ เช่น ความรกั ของพอ่ แมท่ ม่ี ีต่อลูก รกั นคี้ ือ
เมตตาและกรุณา ปรารถนาให้เปน็ สุข และคดิ ำช่วยเหลอื ให้พน้ ทุกข์
๒. รักไมแ่ ท้ ไดำแ้ กค่ วามรกั ทไี่ ม่บริสุทธิ์ใจ รกั ประเภทนี้เจอื ปนดำว้ ยกิเลส
ตณั หา มกี ามคุณ ๕ คอื รปู เสยี ง กลิ่น รส และสมั ผัส เปน็ ที่เกดิ ำ มเี สนห่ าเปน็
เยื่อใย ครั้นสงิ่ ท่ีน่ารักเปล่ยี นแปลงไป เสน่ห์ก็หมดำ ความรักกจ็ ดื ำจาง สงิ่ รา้ ย ๆ ที่
ปะปนแฝงอยกู่ แ็ สดำงออก จากรกั จงึ กลบั เปน็ ชงั สดุ ำทา้ ยกต็ อ้ งเลกิ รา้ งหมางเมนิ กนั
ไป เหลือไวแ้ ตค่ วามทุกข์โศกเสยี ใจ
รักไมแ่ ท้ คือต้นตอแหง่ ปัญหาชีวติ ถึงขนั้ บ้านแตกสาแหรกขาดำไดำ้ แต่คร้ัน
จะหารกั แทใ้ นทางโลกียก์ ็ยากนัก มที างเดำียวทีจ่ ะประคบั ประคองชีวิตค่ใู หค้ งเสน้
คงวาไปไดำต้ ลอดำรอดำฝงั คอื ตอ้ งผสมผสานรกั แทเ้ ขา้ ไวด้ ำว้ ย อยา่ งนอ้ ยสกั ครง่ึ หนงึ่
ของรักไมแ่ ทท้ ่ีเปน็ อยู่ กพ็ อจะทกุ ข์ ๆ สุข ๆ อยู่ต่อไปไดำ้ เมตตาและกรณุ าเปน็
ตวั ประสานรกั ไว้ เหมอื นกอบวั ในสระนา�้ ลา� พงั โคลนตมเพยี งอยา่ งเดำยี วยงั ไมพ่ อ
ตอ้ งอาศยั นา้� ดำว้ ย บวั จงึ จะงอกงามออกดำอกอยไู่ ดำ้ ฉนั ใดำ ความรกั ของมนษุ ยแ์ มจ้ ะ
เจอื ดำ้วยทุกข์ แตถ่ า้ มรี ักแทค้ ือเมตตาและกรณุ าผสมผสานอยดู่ ำ้วยแล้ว ก็จะงอก
งามอย่ไู ดำ้ ฉันนนั้

(บุปผรตั ตชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก เอกนบิ าต เลม่ ๒๙ หนา้ ๔๕๒)

525


526


ข้อคดิ จากการขอ

“ผู้ใหย้ ่อมเปน็ ทรี่ กั ผู้ขอยอ่ มเปน็ ทชี่ ัง”

ในอดตี กาล ครง้ั พระเจา้ ปญั จาลราชครองราชสมบตั อิ ยใู่ นอตุ ตรปญั จาลนคร
คร้ังน้ัน พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ณ หมู่บ้านพราหมณ์แห่งหน่ึง
เม่ือเจริญวัยพอสมควรแล้ว มารดาบิดาส่งไปศึกษาศิลปวิทยากับอาจารย์ทิศา
ปาโมกข์ที่เมืองตักศิลา ส�าเร็จการศึกษาแล้วเดินทางกลับบ้าน ช่วยมารดาบิดา
ประกอบอาชพี ดว้ ยความขยนั หม่ันเพยี ร ในเวลาตอ่ มา พระโพธิสตั วน์ ั้นรูส้ กึ เบอ่ื
หนา่ ยในชีวิตฆราวาส จงึ ได้ลามารดาบิดาออกบวชเปน็ ดาบส เลี้ยงชีพด้วยเผอื ก
มันและผลไม้ในปา่ หิมพานต์เปน็ เวลาชา้ นาน

วันหนึ่ง ออกจากปา่ ไปยังอุตตรปญั จาลนคร เพือ่ เสพของท่ีมรี สเค็มและรส
เปรี้ยว เมื่อไปถงึ จงึ พกั อยู่ในพระราชอุทยานของพระเจา้ ปัญจาลราช วันรุ่งข้ึน ได้
ออกแสวงหาอาหารไปถึงประตพู ระราชวงั พระเจา้ ปัญจาลราชทอดพระเนตรเห็น
ทรงเลอ่ื มใสในอริ ยิ าบถของดาบสโพธสิ ตั วน์ น้ั จงึ นมิ นตใ์ หเ้ ขา้ ไปนง่ั ในทอ้ งพระโรง
ทรงถวายโภชนะอันมีรสเลิศให้ฉัน แล้วนิมนต์ให้พักอยู่ในพระราชอุทยานน้ันต่อ
ไป

นบั ตง้ั แตน่ นั้ ดาบสโพธสิ ตั วน์ นั้ จงึ ไดเ้ ขา้ ไปฉนั ในทอ้ งพระโรงเปน็ ประจา� ครนั้
ฤดฝู นผา่ นพน้ ไปแลว้ มคี วามตอ้ งการจะกลบั ไปยงั หมิ วนั ตประเทศ จงึ คดิ จะทลู ขอ
รองเทา้ ชนั้ เดยี วหนง่ึ คู่ และร่มใบไม้หนึง่ คนั เพื่อใช้ในการเดนิ ทาง

วันหน่งึ พระเจ้าปัญจาลราชเสด็จมายงั พระราชอุทยานดว้ ยพระราชกจิ บาง
อยา่ ง ทรงไหวด้ าบสแลว้ ประทบั นง่ั อยู่ ณ ทข่ี า้ งหนง่ึ ดาบสโพธสิ ตั วน์ น้ั ตง้ั ใจจะทลู
ขอรองเทา้ และรม่ แตไ่ มก่ ลา้ ปรปิ ากขอ เพราะคดิ วา่ “คนเรา ชอ่ื วา่ ยอ่ มรอ้ งไหเ้ มอื่
ขอของผูอ้ ื่น ฝา่ ยผ้ถู กู ขอ ถ้าตอบว่าไม่มีหรอื ไมใ่ ห้ ก็ชือ่ ว่ายอ่ มรอ้ งไห้ตอบ ขอชน
ทง้ั หลายอย่าได้เหน็ เราทงั้ สองรอ้ งไห้เพราะเหตุแห่งการขอเลย เราทง้ั สองควรจัก
ร้องไห้ในท่ีลับหูลับตาคนอื่นจะดีกว่า” จึงทูลว่า “ขอถวายพระพรมหาบพิตร
อาตมภาพขอเฝา้ ในทล่ี บั เพียงสองตอ่ สอง”

527


พระเจ้าปัญจาลราชได้ยินดังน้ัน จึงรับส่ังให้ ดาบสโพธิสัตว์ทูลว่า “ขอถวายพระพร
ราชบรุ ุษท้ังหลายถอยออกไป เมื่อราชบรุ ุษถอยออก มหาบพิตร พระองค์สามารถจะประทานสิ่งที่
ไปแลว้ ดาบสโพธสิ ตั วก์ ค็ ดิ วา่ “เมอ่ื เราทลู ขอ ถา้ พระ อาตมภาพทูลขอได้จรงิ หรือ?
ราชาไม่ทรงประทานให้ ก็จะแตกไมตรีกัน เพราะ
ฉะน้นั เพอ่ื รกั ษาไมตรีไว้ เราจกั ยังไม่ทูลขอในเวลา พระเจ้าปัญจาลราชตรัสว่า “พระคุณเจ้าผู้
นี้” จึงทูลว่า “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ขอ เจรญิ ข้าพเจ้าสามารถให้ได้”
พระองค์เสด็จกลับไปก่อนเถิด อาตมภาพจักทูล
พระองค์ในวันพรงุ่ นี”้ ดาบสโพธิสัตว์ทูลว่า “ขอถวายพระพร
มหาบพติ ร ในการเดนิ ทางกลบั หิมวนั ตประเทศนน้ั
ในวันต่อมา พระเจ้าปัญจาลราชก็เสด็จมายัง อาตมภาพขอบณิ ฑบาตรองเทา้ ชน้ั เดยี วคหู่ นง่ึ กบั รม่
พระราชอทุ ยานอกี ดาบสโพธสิ ตั วน์ น้ั กท็ ลู พระราชา ใบไม้หนึง่ คนั เพอื่ สะดวกในการเดนิ ทาง”
เหมอื นเชน่ วนั กอ่ น และในวันตอ่ ๆ ไป กท็ ลู เช่นนน้ั
อยู่เร่ือย รวมความว่าดาบสโพธิสัตว์นั้นไม่สามารถ พระเจ้าปัญจาลราชตรัสว่า “พระคุณเจ้าผู้
ทูลขอรองเท้าและร่มจากพระราชาได้เลยแม้แต่ครั้ง เจรญิ ของเพยี งสองอยา่ งเทา่ นเ้ี องหรอื ทท่ี า่ นไมก่ ลา้
เดยี ว จนกระทัง่ ลว่ งเลยไปถึง ๑๒ ปี กย็ งั ไม่กล้าขอ ขอตลอดระยะเวลาถงึ ๑๒ ปี”

วนั หนงึ่ พระเจ้าปัญจาลราชทรงดา� ริวา่ “พระ ดาบสโพธิสัตว์ทูลว่า “ขอถวายพระพร ของ
ผเู้ ปน็ เจา้ ของเรากลา่ ววา่ ตอ้ งการจะเฝา้ ในทลี่ บั เพยี ง สองอย่างเทา่ นแี้ หละ มหาบพิตร”
สองตอ่ สอง แตค่ รนั้ ใหร้ าชบรุ ษุ ถอยออกไปแลว้ กไ็ ม่
เหน็ พูดอะไรๆ เลย จนบดั น้ลี ว่ งเลยไปถึง ๑๒ ปีแล้ว พระเจ้าปญั จาลราชตรัสถามวา่ “พระคณุ เจา้
อนึ่ง พระผู้เป็นเจ้านั้นประพฤติพรหมจรรย์มานาน ผู้เจรญิ เพราะเหตุไร ทา่ นจึงไมก่ ล้าขอ”
สงสยั ทา่ นจะตอ้ งการราชสมบตั กิ ระมงั ? เมอ่ื ไมก่ ลา้
ขอจึงได้แต่น่ิงเงียบ วันน้ีเราจักต้องรู้ความจริงให้ได้ ดาบสโพธิสัตว์ทูลว่า “ขอถวายพระพร
ถา้ ทา่ นปรารถนาสง่ิ ใดทไี่ มเ่ หลอื วสิ ยั เรากจ็ กั มอบสง่ิ มหาบพติ ร ถา้ อาตมภาพทลู ขอสงิ่ ใดแลว้ พระองคไ์ ม่
นั้นให”้ พระราชทานให้ อาตมภาพผู้ขอช่ือว่าย่อมร้องไห้
สว่ นพระองคท์ ไ่ี มพ่ ระราชทานให้ กช็ อื่ วา่ ยอ่ มรอ้ งไห้
พระเจา้ ปญั จาลราชครน้ั ทรงดา� รเิ ชน่ นแ้ี ลว้ จงึ ตอบ มหาบพิตร ธรรมดาผู้ขอยอ่ มประสบเหตุ ๒
เสด็จไปยังพระราชอุทยาน ทรงนมัสการดาบส อยา่ ง อย่างใดอยา่ งหนง่ึ เสมอ คอื ได้ทรัพยก์ ับไม่ได้
โพธิสัตว์แล้วประทับน่ัง ณ ที่ควรข้างหน่ึง เมื่อ ทรัพย์ เหตุนั้น ชาวปัญจาละผู้มาประชุมกันแล้ว
ราชบรุ ษุ ถอยออกไปแลว้ จงึ ตรสั กะดาบสโพธสิ ตั วน์ นั้ อย่าได้เห็นอาตมภาพร้องไห้ หรืออย่าได้เห็น
วา่ “พระคณุ เจา้ เคยกลา่ ววา่ ตอ้ งการเฝา้ ในทลี่ บั เพยี ง พระองค์ทรงร้องไห้ตอบเลย อาตมภาพเห็นเหตุน้ี
สองตอ่ สอง แตค่ รนั้ อยกู่ นั ตามลา� พงั สองคนแลว้ กไ็ ม่ จงึ ต้องการเฝ้าในที่ลับเพียงสองต่อสอง”
เหน็ พดู อะไร เวลานลี้ ว่ งเลยไปถงึ ๑๒ ปแี ลว้ ขา้ พเจา้
ขอปวารณากับพระคุณเจ้า หากพระคณุ เจ้าตอ้ งการ พระเจา้ ปัญจาลราช ทรงเลอื่ มใสในคุณธรรม
ราชสมบตั แิ ลว้ กจ็ งบอกแกข่ า้ พเจา้ เถดิ อย่าไดเ้ กรง ของดาบสโพธสิ ัตว์ ผสู้ มบรู ณ์ด้วยมารยาท จงึ ทรง
กลวั ต่อราชภยั เลย” ประทานพรว่า “ข้าแตท่ า่ นดาบส ข้าพเจ้าขอถวาย
วัวแดงหน่งึ พันตวั พรอ้ มด้วยโคจ่าฝูงแก่ท่าน”

ดาบสโพธิสตั ว์ทลู วา่ “มหาบพติ ร อาตมภาพ
ไม่ต้องการวัตถุกาม ขอพระองค์จงประทานสิ่งท่ี
อาตมภาพทลู ขอเถดิ ” จากนน้ั จงึ รบั แตเ่ พยี งรองเทา้

528


ช้ันเดียวกับร่มใบไม้ไว้ และโอวาทพระเจ้าปัญจาลราชว่า “ขอถวายพระพร
มหาบพิตร ขอพระองค์อยา่ ทรงประมาท จงรักษาศลี กระท�าอุโบสถกรรมเถดิ ”
จากน้ันได้กลับไปยังหิมวันตประเทศ บ�าเพ็ญเพียรจนได้อภิญญาและสมาบัติ
แลว้ เมือ่ ส้นิ ชพี จงึ ไปบังเกิดในพรหมโลกดว้ ยบุญน้นั

ชาดกเร่ืองน้ีมีคติสอนใจว่า ธรรมชาติของคนเรามีคล้ายกันอยู่อย่าง
หนง่ึ คอื ไม่ชอบให้ใครมาขอและไม่ชอบขอของใคร โดำยปกติ หากไม่เหลอื
บ่ากว่าแรงหรือจ�าเป็นจริงๆ แล้ว ก็จะไม่ขอใครเลย นั่นเป็นเพราะความ
ละอาย กลวั ผูถ้ ูกขอจะนกึ ต�าหนติ า่ งๆ นานา จึงมคี า� สอนเตอื นใจเกย่ี วกับ
การขอไว้วา่

“จะยากจนเพียงใดำก็ไม่ขอใครกิน อดำอย่างเสือดำีกว่าอ่ิมอย่างสุนัข
ผ้ขู อย่อมไมเ่ ป็นทพ่ี อใจของผู้ถูกขอ และบัณฑิตยอ่ มไม่ขอใครเลย” เป็นตน้

อยา่ งไรกต็ าม มกี ารขอชนดิ ำหนงึ่ ทค่ี วรขอกนั เพราะไมน่ า่ ละอาย และ
ไมเ่ ป็นเคริอื่ งหมายของความยากจน นน่ั คอื การขออภัย การขออภัยเป็น
การส�านึกในความผิดำพลาดำของตนท่ไี ดำพ้ ลาดำพลง้ั ไปแล้ว สว่ นการให้อภัย
เป็นการรับรู้ความผิดำของผู้อ่ืนแล้วไม่ถือโทษ ผู้ที่อยู่ร่วมกันก็ต้องมีความ
พลาดำพลง้ั ล่วงเกนิ กนั บ้างเปน็ ธรรมดำา แต่เมื่อพลาดำพลง้ั ไปแล้ว กไ็ มค่ วร
จะละเลยหรือถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ควรรีบขออภัยหรือขอโทษทันที
สว่ นผถู้ กู ลว่ งเกนิ กเ็ ชน่ เดำยี วกนั เมอื่ รบั การขออภยั หรอื ขอโทษแลว้ กไ็ มค่ วร
จะผูกโกรธ การให้อภัยในความผิดำพลาดำของกันและกัน แสดำงถึงความ
เปน็ ผูม้ จี ติ ใจสูง ประกอบดำ้วยเมตตา เป็นสภุ าพชน ฉะนนั้ การขออภัยและ
ใหอภยั นี้ จงึ เปน็ คุณธรรมท่คี วรปฏบิ ัติต่อกนั โดำยแท้

(พรหมทตั ตชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
ชาดก จตกุ กนบิ าต เล่ม ๓๑ หน้า ๓๙๕)

529


530


ผีเสื้อนา�

“ทา่ นเรยี กสัตบุรุษผู้สงบระงับ
สมบรู ณด์ ว้ ยหริ แิ ละโอตตปั ปะ
ตง้ั ม่ันอยใู่ นธรรมอันขาวว่า เปน็ ผู้มีเทวธรรม”

ในอดีตกาล ครั้งพระเจา้ พรหมทตั ครองราชสมบตั ิอยู่ในนครพาราณสี
ครง้ั นน้ั พระโพธสิ ตั วบ์ งั เกดิ เปน็ โอรสของพระเจา้ พรหมทตั นนั้ ทรงพระนาม
วา่ มหิสสาสกุมาร พระองคม์ พี ระอนชุ าคนหนึ่ง ทรงพระนามวา่ จันทกุมาร

ต่อมา พระมารดาสวรรคต พระเจา้ พรหมทตั จงึ ทรงยกพระสนมนาง
หนึ่งข้ึนเป็นพระอัครมเหสี พระอัครมเหสีน้ันเป็นที่รักท่ีโปรดปรานของพระ
ราชาอยา่ งย่งิ พระนางมีโอรสกบั พระเจ้าพรหมทตั คนหนง่ึ ทรงพระนามวา่
สุริยกุมาร พระองคท์ รงพอพระหฤทยั กับสุรยิ กมุ ารนน้ั อย่างยิง่ จงึ ตรัสใหพ้ ร
แกพ่ ระอคั รมเหสี เม่ือสุรยิ กมุ ารเจรญิ วัยแลว้

พระนางจึงกราบทูลขอพรว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ในตอนที่สุริยกุมาร
ประสตู ิ พระองคไ์ ด้ทรงประทานพรแก่หม่อมฉัน บัดน้ี หมอ่ มฉนั ขอพรน้นั
ขอพระองคจ์ งประทานราชสมบัติแก่พระโอรสของหมอ่ มฉันเถดิ ”

พระเจา้ พรหมทตั ทรงปฏเิ สธหลายคร้งั แต่พระมเหสีนั้นก็ยังออ้ นวอน
อยเู่ นือง ๆ ทรงพระปริวิตกวา่ พระมเหสอี าจคดิ ร้ายแก่พระโอรสท้งั สองได้
จงึ รับสัง่ ให้พระโอรสท้งั สองเขา้ เฝ้าแล้วตรัสว่า

“พ่อทั้งสอง เมือ่ ตอนทีส่ รุ ยิ กมุ ารประสูติ พอ่ ไดใ้ ห้พรแกม่ ารดาเขาไว้
บดั นี้ มารดานน้ั กา� ลงั ทลู ขอราชสมบตั ิ พอ่ ไมต่ อ้ งการใหร้ าชสมบตั นิ น้ั แกส่ รุ ยิ
กมุ าร เพราะฉะนน้ั เพอื่ ความปลอดภยั เจา้ ทงั้ สองจงึ ตอ้ งเขา้ ไปอยใู่ นปา่ ระยะ
หนงึ่ เมอ่ื พอ่ สวรรคตแล้ว จงกลับมาครองราชสมบตั ิในนครน”้ี

จากนนั้ ทรงสง่ เขา้ ไปอยใู่ นป่า ขณะนนั้ สรุ ยิ กมุ ารก�าลงั เล่นอยู่ที่พระ
ลานหลวง เห็นพระเชษฐาทงั้ สองก�าลงั เดนิ ทางไปป่า จงึ ขอตามเสดจ็ ไปดว้ ย
พระโอรสทงั้ สามเดนิ ทางในปา่ จนกระทงั่ เหนอื่ ย จงึ พากนั นง่ั พกั ใตต้ น้ ไมใ้ หญ่
ต้นหน่งึ ใกลส้ ระนา้� จากนน้ั มหสิ สาสกุมารจงึ สงั่ ให้สุริยกุมารไปด่ืมน้า� และ
อาบน�้าในสระใหญ่นั้น แล้วให้ใช้ใบบัวตักน้�ามาให้พระเชษฐาทั้งสองเพ่ือด่ืม
ดว้ ย

531


สา� หรบั สระนา้� แหง่ นน้ั เปน็ สระทผี่ เี สอื้ นา�้ ตน เหง้าบัว และประดับดอกไม้ให้สบายตัวเสียเล่า”
หน่ึงอาศัยอยู่ ผีเสื้อน้�าตนนั้นอยู่ในความปกครอง มหิสสาสกุมารรู้ว่าชายท่ีกล่าวน้ันเป็นผีเสื้อน้�า จึง
ของทา้ วเวสสุวรรณ และได้รบั เทวบญั ชาวา่ ใหจ้ ับ กลา่ ววา่ “ท่านจับน้องชายของเราไปหรือ?”
กินคนท่ีลงมาใช้สระน้�าได้ ยกเว้นคนที่รู้เทวธรรม
และคนที่ไม่ได้ลงสระน�้าเท่านั้น ต้ังแต่ได้รับเทว ผีเสอ้ื น�้าตอบวา่ “ใช่ เราจับไป”
บญั ชานน้ั มา ผเี สอ้ื นา�้ นนั้ กถ็ ามเทวธรรมกะคนทลี่ ง “เพราะเหตไุ ร จึงทา� เชน่ นน้ั ”
สระน้�าทุกคน ใครตอบไดก้ ป็ ลอ่ ยไป ใครตอบไมไ่ ด้ “เรามีสิทธ์จิ บั คนทลี่ งสระน�า้ แหง่ นกี้ ิน ยกเวน้
ก็จบั กินเป็นอาหาร คนทีร่ จู้ ักเทวธรรม”
“ท่านตอ้ งการร้เู ทวธรรมหรือ ?”
สรุ ยิ กมุ ารไมท่ ราบความน้ี จงึ เสดจ็ ไปยงั สระ “ใช่ เราต้องการรู”้
น�้านั้น ถูกผีเส้ือน�้าจับไว้แล้วถามว่า “ท่านรู้จัก มหสิ สาสกมุ ารกลา่ ววา่ “ถา้ เชน่ นนั้ เราจกั บอก
เทวธรรมหรือไม่?” เทวธรรมกบั ทา่ น” จากนนั้ นง่ั บนทสี่ งู กวา่ ผเี สอ้ื นา�้ แลว้
กล่าววา่ “สัตบรุ ษุ ผ้สู งบระงับ ประกอบดว้ ยหริ แิ ละ
สรุ ยิ กมุ ารตอบวา่ “พระจนั ทรแ์ ละพระอาทติ ย์ โอตตัปปะ ต้ังม่ันอยู่ในธรรมอันขาว ท่านเรียกว่า
ชือ่ ว่า เทวธรรม” เป็นผมู้ ธี รรมของเทวดา”
ผีเสือ้ นา�้ ได้ฟงั แล้วมีความเล่ือมใส จึงกล่าววา่
ผีเสื้อน�้าจึงกล่าวว่า “ท่านไม่รู้จักเทวธรรม” “ดูก่อนบัณฑิต เราเลื่อมใสท่าน จะคืนน้องชายแก่
จากนน้ั จงึ จบั สรุ ิยกมุ ารไปขังไวใ้ นท่อี ยู่ของตน ท่านคนหนึ่ง จะเอาคนไหน?”
มหสิ สาสกมุ ารตรสั วา่ “ทา่ นจงนา� นอ้ งชายคน
ฝา่ ยมหสิ สาสกมุ ารเหน็ สรุ ยิ กมุ ารนน้ั หายตวั เลก็ มาเถดิ ”
ไป จงึ สง่ จนั ทกมุ ารไปตามหาทสี่ ระนา้� แหง่ นนั้ ผเี สอ้ื ผีเส้ือน�้ากล่าวว่า “ดูก่อนบัณฑิต ท่านรู้แต่
น้�าก็จับจันทกุมารนั้นไว้แล้วถามค�าถามเดิม จันท เทวธรรมอยา่ งเดียวเท่านั้น แต่หาไดป้ ระพฤติปฏบิ ตั ิ
กุมารตอบวา่ “ทศิ ทั้ง ๔ ชอื่ ว่าเทวธรรม” ในเทวธรรมเหลา่ นน้ั ไม่”
มหิสสาสกมุ ารถามว่า “เพราะเหตุไร จึงกลา่ ว
ผีเส้ือน้�าจึงกล่าวว่า “ท่านไม่รู้จักเทวธรรม” เชน่ นั้น”
จากนนั้ กจ็ บั จนั ทกมุ ารไปขงั รวมกบั สรุ ยิ กมุ ารอกี คน ผีเส้ือน�้ากล่าวว่า “เพราะการที่ท่านให้น�าน้อง
หน่ึง เมื่อจันทกุมารไม่กลับมา มหิสสาสกุมารก็ ชายคนเล็กมาแทนน้องชายคนกลางนั้น ชื่อว่า
สงั หรณใ์ จวา่ จะเกดิ อนั ตรายแกพ่ ระอนชุ าทง้ั สอง จงึ ไม่ทา� ความออ่ นนอ้ มตอ่ ผเู้ จรญิ ที่สดุ ”
เสดจ็ ไปทส่ี ระนา้� นน้ั ทอดพระเนตรเหน็ รอยเทา้ ของ มหสิ สาสกมุ ารตรสั วา่ “ดกู อ่ นผเี สอื้ นา้� เรานนั้
พระอนุชาทั้งสองเดนิ ลงสระน�า้ ก็คิดว่า รจู้ ักเทวธรรมดี และกป็ ระพฤติในเทวธรรมเหลา่ นน้ั
ด้วย การท่ีเราต้องเอาน้องคนเล็กกลับไป ก็เพราะ
“สระน้�านี้คงมีผีเสื้อน�้าสิงสถิตอยู่” จึงทรง นอ้ งคนเลก็ ไมไ่ ดเ้ กดิ รว่ มมารดาเดยี วกบั เรา และการ
กระชับพระขรรค์และถือธนเู ตรียมไว้ เดนิ สา� รวจดู ที่เราต้องมาอยู่ในป่าน้ี ก็เพราะมารดาของน้องคนน้ี
รอบๆ สระอย่างระมดั ระวัง โดยไมก่ า้ วเทา้ ลงไปใน ทูลขอราชสมบัติให้แกเ่ ขา ถ้าเราไม่ได้ตัวเขากลบั ไป
สระน้�า ผีเส้ือน้�าคอยสังเกตอยู่ในสระ เม่ือเห็น
มหสิ สาสกมุ ารไมย่ อมลงไปในสระ จงึ แปลงกายเปน็
มนุษย์ เดนิ เข้าไปหาแล้วแสรง้ ถามว่า

“ผู้เจริญ ท่านเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง
เหตุไรจึงไม่ลงสระน้�า เพื่ออาบน้�า ดื่มน�้า กิน

532


ถึงเราจะพูดความจริงว่าน้องชายคนเล็กถูกยักษ์ใน ถา้ ละเลยการปฏบิ ตั เิ สยี แลว้ โลกกจ็ ะเดำอื ดำรอ้ น เชน่
ป่าจบั กินเสียแล้ว กค็ งไม่มใี ครเชอ่ื เขาย่อมครหา พอ่ แมก่ จ็ ะทอดำทง้ิ ไมเ่ ลยี้ งดำลู กู ผใู้ หญก่ จ็ ะรงั แกและ
วา่ เราสองคนพนี่ อ้ งรว่ มมอื กนั ฆา่ นอ้ งคนเลก็ เพราะ เบยี ดำเบยี นผนู้ อ้ ย คนทม่ี อี า� นาจกวา่ กจ็ ะขม่ เหงรงั แก
เห็นแก่ราชสมบัติ เราพิจารณาดีแล้วจึงขอให้คืน คนที่ไมม่ ีอา� นาจ เป็นตน้
นอ้ งคนเลก็ ”
การท่ีผู้คนมีความรักความเมตตาต่อกัน
ผีเสื้อน�้าได้ฟังดังน้ัน ก็มีจิตเล่ือมใส ให้ เอื้อเฟื้อช่วยเหลือกัน ท�าให้โลกมีความสงบร่มเย็น
สาธุการแก่มหิสสาสกุมารว่า “สาธุ สาธุ ท่าน เป็นสุขก็ดำี หรือแม้แต่ในยามท่ีตัวเราเองเกิดำความ
บัณฑิต ท่านเป็นผู้รู้จักเทวธรรม และประพฤติ โลภ อยากไดำท้ รพั ย์ของผู้อ่ืน เกดิ ำความโกรธ อยาก
ปฏบิ ตั ติ ามเทวธรรมเหลา่ นนั้ ดว้ ย เราจกั คนื นอ้ งของ ทา� รา้ ยผ้อู ื่น หรือเกดิ ำความหลงไม่ร้อู ะไรแจ่มแจง้ กด็ ำี
ท่านให้ทัง้ สองคน” กย็ งั คงมสี ตขิ ม่ ใจ อดำทนอดำกลน้ั ไวไ้ ดำ้ ไมย่ อมทา� ตาม
อา� นาจของความโลภ โกรธ หลง น้นั กเ็ พราะมีหิริ
เมื่อได้น้องชายคืนแล้ว มหิสสาสกุมารก็สั่ง และโอตตัปปะน่ันเอง
สอนผเี สอ้ื นา้� ดว้ ยความกรณุ าวา่ “ตวั ทา่ นเกดิ มากนิ
เลอื ดกนิ เนอ้ื ของผอู้ นื่ กเ็ พราะบาปทส่ี รา้ งไวแ้ ตช่ าติ หิริและโอตตัปปะ จงึ เรยี กว่า “เทวธรรม” คอื
ปางกอ่ น เดยี๋ วนท้ี า่ นกย็ งั ทา� บาปอกี จงเลกิ เสยี เถดิ ธรรมของเทวดำา เพราะชว่ ยใหผ้ ู้ประพฤตปิ ฏบิ ัตเิ กดิ ำ
มิฉะน้ันท่านจะไม่พ้นจากนรกเป็นแน่” มหิสสาส เป็นเทวดำา และเพราะจิตท่ีดำีงามท้ังหลายล้วนมีหิริ
กุมาร คร้นั แนะนา� ผเี สื้อน�า้ ใหเ้ ลื่อมใสแล้ว ก็อาศัย และโอตตัปปะเกดิ ำร่วมดำ้วยท้ังส้ิน นอกจากจะเรียก
อยู่ในป่าแห่งน้ันอย่างสะดวกสบาย โดยมีผีเส้ือน้�า วา่ เทวธรรมแลว้ ยงั เรยี กวา่ โลกปาลธรรม คอื ธรรม
ใหก้ ารคุ้มครองรกั ษาอย่างดี คมุ้ ครองโลกอกี ดำว้ ย เพราะชว่ ยเกอ้ื กลู ใหส้ ตั วโ์ ลกอยู่
ร่วมกันอย่างมีความสุข สงบร่มเย็น ปราศจากการ
ในกาลตอ่ มา เมอ่ื พระราชบดิ าเสดจ็ สวรรคต เบียดำเบียนซ่ึงกนั และกนั ไม่กระทา� ในสิง่ ท่ีไม่ดำี ทั้ง
แล้ว จึงพาน้องทั้งสองกลับเข้าเมือง และพาผีเส้ือ ในทแ่ี จ้งและในทล่ี บั
นา้� ไปดว้ ย จดั แจงทอ่ี ยแู่ ละใหอ้ าหารรบั ประทานเชน่
เดยี วกับมนุษย์ ให้ประพฤติธรรมไปจนตลอดชวี ติ (เทวธรรมชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย

ส่วนมหิสสาสกุมารก็เสด็จขึ้นครองราชย์ ชาดก เอกนบิ าต เลม่ ๒๘ หน้า ๒๒๘)
ทรงประทานตา� แหนง่ อปุ ราชแกพ่ ระจนั ทกมุ าร และ
ประทานต�าแหน่งเสนาบดีแก่สุริยกุมาร ท้ังสาม
พระองค์ตั้งใจสร้างบารมี ปกครองบ้านเมืองโดย
ธรรม ตง้ั อยใู่ นทศพธิ ราชธรรมไปจนสนิ้ อายขุ ยั เมอ่ื
สวรรคตแล้วกไ็ ปบงั เกิดในสุคตโิ ลกสวรรค์

ชาดกเรื่องนี้มีคติสอนใจว่า หิริ คือความ
ละอายแก่ใจ และโอตตัปปะ คือความเกรงกลัว
ต่อบาป เปน็ คุณธรรมสา� คัญส�าหรบั ชาวโลก นัก
ปราชญ์จึงแนะน�าพร่�าสอนมาแต่โบราณ เพื่อ
เตือนสตชิ าวโลกอย่าไดำ้ละเลยการปฏบิ ัติ เพราะ

533


534


ดว้ งขคี้ วาย

“ทใี่ ดมีรกั ทนี่ น่ั มีทกุ ข”์

ณ แควน้ กาสี พระเจา้ อัสสกะผคู้ รองนครปาฏลิ มีพระอคั รมเหสรี ูป
งามกวา่ มเหสใี ด ๆ พระองค์หน่ึง นามวา่ อพุ พรี พระนางเปน็ ท่ีรักใคร่
เปน็ ทโี่ ปรดปรานของพระราชาอย่างย่ิง พระนางอุพพรนี น้ั พยายามบ�ารุง
รปู โฉมและรกั ษาพระฉวีวรรณให้สดใสเปลง่ ปลง่ั อยู่เสมอ ยิ่งกวา่ มเหสีคน
อนื่ ๆ เพอื่ ผกู พระทยั พระราชาใหห้ ลงใหลพระนางแตเ่ พยี งผเู้ ดยี ว ดว้ ยการ
ขัดผิวให้เนียน ลูบไล้ด้วยของหอมชนิดต่างๆ พระนางทูลขอเครื่องบ�ารุง
บ�าเรอความงามอย่างไร พระเจ้าอัสสกะก็ทรงประทานให้ทุกครั้งตาม
ปรารถนา

วันหนง่ึ พระนางอุพพรไี ด้ส้ินพระชนมล์ งอยา่ งกะทันหัน พระราชา
ทรงเศร้าโศกเสียพระทยั เสวยทุกขโ์ ทมนสั อยา่ งใหญห่ ลวง มอิ าจตดั อาลัย
รักในพระนางได้ จึงรับสั่งให้สร้างโลงแก้วใส่พระศพของพระนาง ซึ่งหล่อ
นา้� มนั ไว้ แล้วยกไปตงั้ ข้างแทน่ บรรทม ทรงเสวยพระกระยาหารไม่ได้ ครา�่
ครวญกรรแสงถงึ พระนางดว้ ยปรเิ วทนาการ ไมเ่ ปน็ อนั ทา� สงิ่ ใด แมพ้ ระราช
บดิ า พระราชมารดา พระญาติ พร้อมด้วยอา� มาตย์และขา้ ราชบรพิ ารทงั้
หลายจะปลอบอย่างไร ก็ไม่สามารถให้พระองค์ทรงสร่างจากทุกข์โศกได้
“เจา้ อย่าโศกเศรา้ เสียใจไปเลย ยังไงๆ นางกจ็ ากไปแล้ว หักหา้ มใจไว้บ้าง
เถอะ เจา้ ควรจะหว่ งงานบ้าน งานเมืองบ้างนะ” พระราชมารดาและพระ
ราชบดิ าตรสั ดว้ ยความเป็นห่วง

พระเจ้าอัสสกะกราบทูลว่า “ขา้ แตพ่ ระราชมารดาและพระราชบิดา
หม่อมฉันยังท�าใจไม่ได้ หม่อมฉันจึงไม่มีจิตใจท่ีจะท�าอะไรได้ในตอนน้ี”
พระเจ้าอสั สกะทรงเศรา้ โศกถึงพระนางอพุ พรีอยู่เชน่ นัน้ ล่วงไปถงึ ๗ วนั

ในกาลครั้งนั้น มีดาบสโพธิสัตว์ตนหน่ึง ส�าเร็จอภิญญา ๕ และ
สมาบัติ ๘ อยู่ในหิมวันตประเทศ เจริญอาโลกสิณตรวจดูชมพูทวีปด้วย

535


ทพิ ยจกั ษุ เหน็ พระราชาทรงทกุ ขโ์ ศกอยอู่ ยา่ งนน้ั จงึ อสั สกะไดป้ ฏบิ ัติต่อเจ้าเชน่ ไรบ้าง”
คดิ จะชว่ ยเหลอื จงึ เดนิ ทางไปหาพระเจา้ อสั สกะ เมอ่ื “พระเจ้าอัสสกะทรงดูแลข้าพเจ้าเป็นอย่างดี
ไปถึงจึงเข้าพักท่ีพระราชอุทยาน จากน้ันขอร้องให้
มาณพคนหนง่ึ ไปทลู พระเจา้ อสั สกะใหท้ รงทราบ ดว้ ย ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการส่ิงใด เพ่ือบ�ารุงความงาม
ความเคารพและเกรงใจดาบส พระเจ้าอัสสกะจึง ไมว่ ่าจะตอ้ งไปหาท่ีไหน ดว้ ยวธิ ีใด พระองคก์ ็จะหา
เสด็จมาพบดาบสท่ีพระราชอุทยาน เมือ่ มาถงึ ดาบส มาใหจ้ นได้”
จงึ ทูลวา่ “ดูกอ่ นมหาบพิตร พระองคจ์ ะมัวเศรา้ โศก
ถงึ พระนางท�าไม บัดนี้ พระนางได้ไปเกดิ ใหมแ่ ล้ว” พระเจ้าอัสสกะ เมื่อได้ยินค�าพูดของด้วงข้ี
ควายเช่นน้นั กป็ ักใจเชือ่ วา่ เปน็ พระมเหสอี ุพพรีของ
พระเจ้าอัสสกะทรงดีพระทัย ตรัสถามดาบส พระองค์ เพราะเรอ่ื งน้ีเปน็ เรอ่ื งทร่ี ู้กันเพียงสองพระ
ด้วยความต่ืนเต้นว่า “พระนางอุพพรีมเหสีของ องคเ์ ทา่ น้นั คนอ่นื ไมม่ ีใครทราบ ดาบสกล่าวกบั ด้วง
ขา้ พเจ้าไปเกดิ ใหมแ่ ล้วหรอื ท่ไี หนพระคุณเจ้า” ขค้ี วายตอ่ ไปว่า “บัดนี้ พระเจา้ อัสสกะได้มาอยตู่ รง
หนา้ เจา้ แลว้ เจา้ จะกลบั ไปเปน็ มเหสขี องพระองคอ์ กี
ดาบสทูลว่า “เน่ืองจากสมัยท่ีเป็นมนุษย์ หรอื ไม่?”
พระนางทรงมวั เมาในรปู โฉม ไมส่ นพระทยั สรา้ งคณุ
งามความดี มีให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา “ไมเ่ จา้ คะ่ ในครง้ั นน้ั พระราชาเปน็ พระสวามี
เปน็ ตน้ เหตนุ นั้ เมอ่ื สน้ิ พระชนมช์ พี จงึ ไปบงั เกดิ เปน็ ของขา้ พเจา้ จรงิ แตบ่ ดั น้ี ขา้ พเจา้ มสี ามใี หมเ่ ปน็ ทร่ี กั
ด้วงข้คี วาย” ย่ิงแลว้ แม้จะใหส้ ังหารพระเจา้ อสั สกะเอาโลหติ จาก
พระศอมาล้างเท้าสามีใหม่ ข้าพเจา้ ก็ท�าได”้
พระเจา้ อสั สกะทรงฉงนพระทัยอยา่ งย่ิง และ
ไม่เช่ือว่าเป็นเร่ืองจริง ดาบสเห็นเช่นน้ันจึงทูลว่า พระเจ้าอัสสกะทรงได้ยินเช่นน้ันจึงตรัสว่า
“เมื่อพระองค์ไม่ทรงเช่ือ อาตมภาพจะให้เห็นความ “เจ้าพูดเช่นน้ีได้อย่างไร เจ้าลืมไปแล้วหรือ ครั้งยัง
จรงิ ” จากน้นั พาพระเจ้าอัสสกะไป ณ ทตี่ ง้ั มูลควาย เปน็ สามีภรรยากนั ข้าดตี ่อเจ้าเพยี งใด ทผ่ี ่านมาขา้
แหง่ หน่งึ แลว้ บนั ดาลด้วยฤทธใ์ิ ห้ดว้ งขค้ี วายโผลข่ ้นึ อุตส่าห์เฝ้าคิดถึงเจ้า หวังให้เจ้ากลับมาอยู่กับข้าดัง
มาจากมูลควาย จากนั้นจึงเริ่มสนทนากับพระนาง เดิม แต่เจ้ากลับเห็นด้วงข้ีควายคู่ชีวิตใหม่ของเจ้า
อุพพรีทีเ่ กดิ เป็นดว้ งขค้ี วายวา่ “ดูกอ่ นแม่นาง ชาติที่ ดีกวา่ ข้า”
แล้วเจา้ เกิดเป็นอะไร?”
เมอ่ื ทรงทราบวา่ ดว้ งขคี้ วายไมไ่ ดร้ กั และเยอ่ื ใย
“ขา้ พเจา้ เกดิ เปน็ มเหสขี องพระเจา้ อสั สกะ ชอ่ื ในพระองค์อกี แลว้ พระเจา้ อัสสกะทัง้ ๆ ที่ยงั ประทับ
อพุ พรี เจา้ คะ่ ” อยกู่ บั ดาบสน่นั เอง กร็ ับสงั่ ให้ย้ายศพพระมเหสีออก
จากห้องบรรทมทันที ทรงสรงสนานพระเศียรแล้ว
“เมื่อคร้ังเจ้าเป็นมเหสีนั้น ทรงเป็นที่ ไหวด้ าบส เสดจ็ เขา้ สพู่ ระนคร ตอ่ จากนน้ั ทรงอภเิ ษก
โปรดปรานอยา่ งย่ิงของพระราชาใชไ่ หม ?” หญิงอื่นเป็นอัครมเหสี ทรงครองราชสมบัติโดย
ทศพิธราชธรรม มหาชนมีแต่ความสุขจนตลอด
“ใช่ เจา้ ค่ะ” พระชนมช์ ีพของพระองค์ สา� หรับดาบส คร้นั ถวาย
พระเจา้ อสั สกะไดฟ้ งั เชน่ นนั้ กย็ งั ไมท่ รงเชอื่ วา่ โอวาทพระราชาให้ทรงหายโศกแล้ว ก็ได้กลับไปยัง
พระนางอุพพรีเกิดเป็นด้วงข้ีควาย ดาบสจึงถาม ป่าหมิ พานตต์ ามเดมิ
ค�าถามท่ีมีแต่พระองค์กับพระมเหสีเพียงสององค์
เทา่ นน้ั ทรี่ ู้ “ดกู อ่ นแมน่ าง เมอ่ื สมยั เปน็ มเหสี พระเจา้ ชาดกเร่อื งนม้ี คี ติสอนใจว่า ข้ึนชื่อวา่ ความรกั

536


น้ัน ส�าหรับปถุ ชุ นแล้วมโี อกาสเปล่ียนเปน็ อ่ืนไดำต้ ลอดำเวลา เพราะความรัก
เปน็ เพยี งอารมณอ์ ยา่ งหนง่ึ ของมนษุ ย์ ดำจุ เดำยี วกบั ความโกรธเกลยี ดำทเ่ี กดิ ำขนึ้
ต้งั อยู่ และดำับไป ตามกาลเวลาไดำ้ ดำ้วยเหตุนัน้ จงึ ทา� ใหส้ ตั ว์ท่ีเคยรกั กัน
และเปน็ สามภี รรยากนั ในชาติหน่งึ กลับกลายเปน็ ไมร่ กั และเปลย่ี นไปเป็น
สามีภรรยาของคนอ่ืนไดำ้ในชาติต่อไป เว้นแต่จะปรารถนาเป็นคู่ชีวิตกันอีก
และปฏบิ ัติตอ่ กันตามที่พระบรมศาสดำาตรัสไว้ ธรรมสา� หรับปฏบิ ัตติ อ่ กันที่
พระบรมศาสดำาตรัสไวม้ ี ๔ ประการ คือ

๑. สมสทั ธา มีความเชื่อ ความศรทั ธาหรือทัศนคติที่ลงกนั ไม่ขดั ำแย้ง
กนั จนอยรู่ ่วมกันไมไ่ ดำ้

๒. สมสลี า มคี วามประพฤตหิ รอื การปฏบิ ัตติ นท่ีสม�า่ เสมอกนั ไมด่ ำชี ่วั
เกินกว่ากนั จนเกนิ ไป

๓. สมจาคา มคี วามเกอื้ กูล อนเุ คราะห์ สงเคราะห์ทสี่ มกนั ไม่ตระหนี่
ถ่ีเหนียวท้ังสองฝ่าย

๔. สมปญั ญา มคี วามรู้ ความฉลาดำ และมเี หตมุ ผี ลทเ่ี ขา้ กนั ไดำ้ ไมแ่ ตก
ตา่ งกันจนพดู ำกนั ไม่รู้เรอื่ ง

เมอ่ื ตา่ งฝา่ ยตา่ งปฏบิ ตั ธิ รรม ๔ ประการน้ี ความรกั ยอ่ มดำา� รงอยยู่ งั่ ยนื
บุคคลในครอบครัวย่อมสมัครสมานสามัคคีกัน ปราศจากการทะเลาะเบาะ
แว้ง แต่ถา้ ละเลยไม่ปฏบิ ตั ติ ามธรรมทั้ง ๔ นเี้ ม่ือใดำ ปัญหาต่าง ๆ กจ็ ะเกดิ ำ
ขน้ึ ในครอบครวั นนั้ จะอยู่ดำว้ ยกันไม่ไดำ้ มีเหตใุ หท้ ะเลาะกันบอ่ ย ๆ สดุ ำท้าย
ก็บ้านแตกสาแหรกขาดำ ความรักโดำยเฉพาะรักระหว่างเพศ เป็นความรักท่ี
เจอื ดำ้วยตณั หาราคะ จึงก่อใหเ้ กดิ ำความทกุ ขค์ วามโศกตามมา ดำงั พทุ ธศาสน
สุภาษิตทีว่ ่า

เปมโต ชายเต โสโก
แปลวา่ ความโศกย่อมเกิดำจากสิ่งอันเป็นที่รัก

เพราะฉะนนั้ คสู่ ามภี รรยาทปี่ รารถนาจะครองรกั ใหย้ นื นาน ปราศจาก
ความทุกข์โศกในการใช้ชีวิตคู่ และประสบความสุขที่ย่ังยืน จึงควรน้อมน�า
สมสทั ธา สมสลี า สมจาคา และสมปญั ญา มาเปน็ แนวทางในการปฏบิ ตั ดิ ำตี อ่
กนั เถดิ ำ

(อัสสกชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย
ชาดก ทุกนิบาต เลม่ ๓๐ หน้า ๒๔๒)

537


538


สตเิ ตลิดเกดิ ปญั หา

“สตมิ าปัญญาเกดิ สตเิ ตลิดเกดิ ปัญหา”

ในอดีตกาล สมัยพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนคร
พาราณสี พระโพธสิ ตั วเ์ กดิ เปน็ บตุ รของนางพราหมณี ผเู้ ปน็ ภรรยาปโุ รหติ
ของพระเจ้าพรหมทัตน้นั

ในวนั ทพ่ี ระโพธสิ ตั วเ์ กดิ บรรดาสรรพาวธุ ทม่ี อี ยใู่ นพระนคร ไดแ้ สดง
อาการลุกโพลงขึ้น ญาติท้ังหลายจึงตั้งชื่อพระโพธิสัตว์ว่า “โชติปาละ”
โชตปิ าลกมุ ารนนั้ เตบิ โตแลว้ ไดเ้ ขา้ ศกึ ษาศลิ ปะทกุ อยา่ งในเมอื งตกั ศลิ า จบ
แลว้ กลบั มาแสดงศลิ ปะนนั้ แด่พระราชา ได้รบั ลาภสกั การะใหญ่

ตอ่ มารสู้ กึ เบอ่ื หนา่ ยในเพศฆราวาส จงึ ไดส้ ละอสิ รยิ ยศ แลว้ บวชเปน็
ฤษี อาศัยอยู่ในอาศรม ณ ปา่ แหง่ ไม้มะขวิด ปฏบิ ัติสมาธไิ ม่นานนกั ก็ได้
ส�าเรจ็ ฌานและอภญิ ญา มฤี ษีหลายรอ้ ยตนเปน็ บริวาร อาศัยอย่ทู อ่ี าศรม
แห่งน้ันด้วยความผาสกุ

โชตปิ าลฤษนี น้ั มลี กู ศษิ ยท์ สี่ า� คญั ๗ ตน คอื สาลสิ สรฤษี เมณฑสิ สร
ฤษี บรรพตฤษี กาฬเทวิลฤษี กิสวัจฉฤษี อนสุ ิสสะฤษี และนารทฤษี
นารทฤษีนั้นเป็นน้องชายของกาฬเทวิลฤษี อาศัยอยู่ตามล�าพังในถ้�าแห่ง
หนง่ึ ของภูเขาอญั ชนคิรี และ ณ ทีเ่ ชิงเขาอัญชนคิรแี หง่ นน้ั มหี มบู่ ้านใหญ่
ท่ีมนุษย์อาศัยอยูห่ ลายครอบครัว มแี ม่น�า้ กว้างใหญ่ไหลผ่านระหวา่ งภูเขา
อัญชนคีรีกับหมู่บ้านนั้น พวกมนุษย์ชอบพากันไปประชุมที่ริมแม่น�้านั้น
บรรดานางวรรณทาสีผู้มีรูปงามทั้งหลาย ก็พากันไปน่ังท่ีริมฝั่งแมน่ �้าด้วย
เพอ่ื อวดโฉมแกช่ ายหนุม่ ทั้งหลาย

นารทฤษเี หน็ นางวรรณทาสคี นหนึง่ ก็หลงใหลในความงามของนาง
พอหลงใหลก็เสื่อมจากฌาน นอนอดอาหารอยู่ในถ�้า ๗ วัน ด้วยพิษรัก
ร่างกายซบู ผอม ไม่มเี รี่ยวแรงแม้แตจ่ ะพยุงตวั ลุกขึน้ กาฬเทวิลฤษผี ู้เปน็ พี่
ชายทราบเร่อื ง จงึ ไปเย่ียมและกล่าววา่ “เจ้าไม่สบาย เราจกั รกั ษาเจ้า”

539


นารทฤษกี ลา่ ววา่ “ทา่ นพดู เพอ้ เจอ้ ไรส้ าระ ภายในป่าหมิ พานต์ เขาฆ่าสัตวเ์ ล้ียงชพี อยู่ ณ ทน่ี ั้น
ข้าพเจ้าไม่ไดเ้ ปน็ อะไร?” ต่อมาได้เกิดความคิดว่า “เราจักมีเร่ียวแรงอยู่เช่นน้ี
ตลอดไปหาไม่ ในเวลาเร่ียวแรงถดถอยหรือ
กาฬเทวิลฤษีจึงไปชวนฤษีอีก ๓ ตน คือ ทพุ พลภาพ เราจักไม่สามารถเทีย่ วป่าล่าสัตว์ได้ เรา
สาลิสสรฤษี เมณฑสิ สรฤษี และบรรพตฤษี มา จักต้อนสัตว์นานาชนิดเข้ามาที่เวิ้งภูเขาแล้วท�าประตู
เย่ียมเยียนเพ่ือเตือนสติ แต่นารทฤษีก็ไม่เชื่อฟัง ปิดไว้ เวลาใดท่เี ขา้ ป่าไม่ได้ เราจกั ไดฆ้ า่ สตั วเ์ หล่าน้นั
จึงไปชวนสรภังคฤษีมาให้ตักเตือนบ้าง ท่าน กินตามชอบใจ”
สรภงั คฤษี พอเหน็ นารทฤษเี ทา่ นน้ั กร็ วู้ า่ กา� ลงั ตก
อยใู่ นอ�านาจของความรกั จงึ ถามว่า “ดูก่อนนาร จากนน้ั เขากเ็ รมิ่ ทา� อยา่ งทคี่ ดิ ครน้ั เวลาผา่ นไป
ทะ เธอก�าลงั ตกอย่ใู นอา� นาจของความรกั ใช่หรอื วิบากกรรมท่ีเขาฆ่าสัตว์มาโดยตลอด ไดส้ ง่ ผลทา� ให้
เปลา่ ?” นารทฤษไี ดค้ กุ เขา่ ประนมมอื ตอบวา่ “ถกู มอื และเทา้ ของเขาไม่มีเรีย่ วแรง ใช้การไมไ่ ด้เหมือน
ต้องขอรับ ท่านอาจารย”์ ดังแตก่ ่อน เขาไมอ่ าจเดนิ และพลิกไปไหนมาไหนได้
กินอาหารก็ไม่ได้ ด่ืมน้�าใดๆ ก็ไม่ได้ ร่างกายจึง
สรภังคฤษีจึงกล่าวว่า “ดูก่อนนารทะ เหยี่ วแหง้ กลายเปน็ มนษุ ยเ์ ปรต รา่ งกายแตกปรเิ ปน็
ธรรมดาผู้ท่ีตกอยู่ในอ�านาจของความรัก ย่อมจะ ร่องริ้ว เหมอื นแผ่นดินแตกระแหงในหน้ารอ้ น เขามี
ซูบซีด เสวยทุกข์ในปจั จุบัน และยอ่ มจะไปเกิดใน รูปร่างทรวดทรงน่าเกลียดน่ากลัว เสวยทุกข์ใหญ่
นรกในอนาคตต่อไป” หลวงย่งิ นกั

นารทฤษถี ามวา่ “ขา้ แตท่ า่ นอาจารย์ ขนึ้ ชอื่ วันหนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินพระองค์หน่ึงนามว่า
ว่าการเสพกาม ย่อมเป็นสุข แต่ท่านมากล่าวว่า สวี ริ าช ทรงพระดา� รวิ า่ จกั เสวยเนอ้ื ยา่ งในปา่ จงึ มอบ
เป็นทกุ ขด์ งั น้ี หมายความวา่ อยา่ งไร?” ราชสมบตั ใิ หอ้ า� มาตยท์ ไ่ี วว้ างพระทยั ไดด้ แู ล พระองค์
เหนบ็ อาวธุ หา้ อยา่ งเสดจ็ เขา้ ปา่ ฆา่ เนอื้ เสวยเนอ้ื เรอ่ื ย
สรภงั คฤษกี ลา่ ววา่ “ทกุ ข์เกดิ ในล�าดบั แห่ง มา จนลุถึงสถานท่ีแห่งน้ัน ทอดพระเนตรเห็นบุรุษ
สขุ สุขเกิดในลา� ดบั แหง่ ทุกข์ สว่ นเธอนัน้ ประสบ น้ันก็ตกพระทยั คร้ันดา� รงพระสตไิ ด้ จึงตรัสถามว่า
ทกุ ขม์ ากกวา่ สขุ ขอใหเ้ ธอจงปรารถนาความสขุ อนั “พอ่ มหาจ�าเริญ ทา่ นเป็นใครหรอื ?”
ประเสรฐิ เถดิ ”
เขาตอบวา่ “ขา้ แตน่ าย ขา้ พเจา้ เปน็ มนษุ ยเ์ ปรต
หลังจากที่สรภงั คฤษกี ลา่ วจบแลว้ กาฬเท- กา� ลงั เสวยวิบากทท่ี �าไว้ กท็ ่านเล่าเปน็ ใครกนั ?”
วลิ ฤษผี พู้ ่ีชาย จึงเล่าให้นารทฤษีฟงั ว่า
“เราคือพระเจ้าสีวริ าช”
ในอดตี กาล มมี าณพคนหนง่ึ เปน็ คนรปู งาม “พระองค์เสดจ็ มาทน่ี ีด้ ว้ ยเหตใุ ดหรือ?”
มพี ละกา� ลงั ประดจุ ชา้ งสาร อยมู่ าวนั หนง่ึ เขาคดิ วา่ “เรามาเพอ่ื เสวยเน้อื มฤค”
“ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะท�างานเพ่ือเล้ียงมารดา บุรุษน้ันจึงกราบทูลวา่ “ขา้ แต่มหาราชเจ้า แม้
บิดา เพื่อเลี้ยงบุตรภรรยา เพ่ือท�าบุญสุนทาน ข้าพระองค์มาเพราะเหตุนี้แหละ ฆ่าเนื้อกินเป็น
ต้ังแต่นี้ไป เราจักไม่เลี้ยงดูใครๆ จักไม่ท�าบุญ จา� นวนมาก สดุ ทา้ ยจงึ ประสบวบิ าก กลายเปน็ มนษุ ย์
อะไรๆ เราจกั เข้าปา่ ลา่ สัตวเ์ พือ่ เลีย้ งชีวิตเทา่ นัน้ ” เปรตอย่างที่เห็น”
จากนัน้ จึงผูกสอดอาวุธ บา่ ยหนา้ เขา้ ป่าหมิ พานต์ จากนน้ั ทลู เลา่ เรอ่ื งทง้ั หมดใหท้ รงทราบ สดุ ทา้ ย
ฆา่ สตั วต์ า่ งๆ เลยี้ งชวี ติ วนั หนงึ่ เขาไปถงึ เวง้ิ ภเู ขา
ใหญ่ มีภูเขาห้อมลอ้ มโดยรอบ ใกล้ฝัง่ แม่นา�้ วธิ ินี

540


กราบทูลวา่ “ข้าแตพ่ ระเจา้ สีวิราช พระองค์เกือบจะถึงความพินาศอย่ใู นเง้อื มมอื
ของศตั รทู งั้ หลาย เหมอื นขา้ พระองคท์ ไ่ี มก่ ระทา� สง่ิ ทค่ี วรกระทา� ไมศ่ กึ ษาศลิ ปวทิ ยา
ไม่ทา� ความขวนขวาย เพ่อื ให้เกิดโภคทรพั ย์ ไมท่ า� อาวาหววิ าหมงคล ไมร่ ักษาศลี
ไม่กล่าววาจาอ่อนหวาน ท�ายศเหล่าน้ีให้เส่ือมไป จึงมาบังเกิดเป็นเปรต เพราะ
กรรมของตน”

“ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ข้าพระองค์ประสงค์ความสุข แต่ท�าผู้อื่นให้ได้รับ
ความทกุ ข์ จงึ เปน็ มนษุ ยเ์ ปรตในปจั จบุ นั ทนั ตาเหน็ เพราะฉะนน้ั ขอพระองคอ์ ยา่
ทรงท�ากรรมช่ัวเลย จงเสด็จไปพระนครของพระองค์ ทรงบ�าเพ็ญบุญ มีให้ทาน
เปน็ ต้นเถิด”

พระเจา้ สวี ริ าชไดท้ รงกระทา� ตามคา� บอกนนั้ เพราะกลวั วบิ ากกรรม หลงั จาก
ไดฟ้ ังอทุ าหรณเ์ รื่องน้ีแลว้ นารทฤษนี ้นั ร้สู ึกสลดใจ จึงไหวข้ อขมาโทษตอ่ สรภังค
ฤษี จากน้นั เริ่มทา� กสณิ บริกรรม ด้วยความมุ่งมน่ั ตัง้ ใจ จนทา� ให้ฌานท่ีเส่อื มไป
แล้วกลับเกิดขึ้นมาอีกครง้ั จากนัน้ สรภงั คฤษีได้นา� นารทฤษีออกจากถ�้า แลว้ พา
ไปอาศัยอย่ใู นอาศรมของตนทีป่ ราศจากอารมณ์เช่นนั้น ใหด้ า� รงอยู่ในวัตรปฏิบัติ
ทีด่ ขี องฤษีจนตลอดชีวิต

ชาดกเร่ืองนม้ี ีคติสอนใจว่า สติ คอื ความระลกึ รู้ เปน็ สง่ิ ทจ่ี า� เปน็ ในการ
ดำา� เนนิ ชีวติ สตนิ เี้ มอื่ มอี ยูใ่ นบคุ คลใดำแล้ว กจ็ ะท�าให้บุคคลนน้ั สามารถควบคมุ
การกระท�า การพูดำ และการคิดำของตนให้ดำ�าเนนิ ไปในทางที่ถกู ตอ้ ง ทา� ให้ชีวิต
พ้นความเส่ือม และประสบความเจริญก้าวหน้าตามที่ปรารถนาไดำ้ สติจึงมี
อปุ การะมาก

ดำังพุทธศาสนสุภาษิตว่า “สติเป็นธรรมเคร่ืองต่ืนอยู่ในโลก สติจ�า
ปรารถนาในทีท่ ั้งปวง คนมีสติ มคี วามเจรญิ ทุกเม่ือ” เป็นตน้

สตนิ นั้ มคี ุณค่าและความสา� คัญเทา่ ๆ กบั ความไมป่ ระมาท เพราะความ
ไม่ประมาทก็คอื การไม่อยู่ปราศจากสตนิ ั่นเอง ฉะน้นั สตจิ ึงจดั ำเป็นธรรมใหญ่
กวา่ ธรรมอื่น ๆ เพราะธรรมอื่น ๆ ลว้ นรวมลงทคี่ วามไมป่ ระมาท คือการไม่อยู่
ปราศจากสตทิ งั้ สนิ้ และเมอ่ื มีสตหิ รือความไม่ประมาทแลว้ ชวี ิตย่อมปลอดำภัย

ดำงั พทุ ธศาสนสภุ าษติ วา่ “ความไมป่ ระมาท เปน็ ทางไมต่ าย ผไู้ มป่ ระมาท
ยอ่ มไมต่ าย ผไู้ มป่ ระมาทพนิ ิจอยู่ ย่อมถึงสขุ อันไพบลู ย”์ ดำงั น้ี

(อินทริยชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย

ชาดก อฏั ฐกนิบาต เล่ม ๓๒ หน้า ๓๔๙)

541


542


ลูกสกาอาบยาพิษ

“คนไดเ้ กยี รติ เพราะความซื่อสัตย์”

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี
พระโพธสิ ตั วไ์ ดถ้ อื กา� เนดิ ในตระกลู ผมู้ อี นั จะกนิ ตระกลู หนงึ่ มารดาบดิ าบา� รงุ
เลย้ี งดูดว้ ยความรกั จนเจรญิ วัย แลว้ ไดร้ ับการศึกษาศิลปวิทยาพอสมควรแก่
ฐานะ จากน้ันช่วยมารดาบิดารักษาวงศ์สกุลให้เจริญก้าวหน้า ประกอบ
สัมมาชีพสร้างตน เพื่อมิให้ทรัพย์ที่มีอยู่ลดน้อยถอยลง และให้ทรัพย์ใหม่
เพ่ิมพูนขึ้น เป็นครอบครัวท่ีสงบสุข คนท้ังหลายให้ความนับถือ ไม่มีความ
ล�าบากในการเปน็ อยู่

พระโพธิสัตว์น้ัน นอกจากมีความรู้ความสามารถและความประพฤติ
ดแี ลว้ ยงั มคี วามสามารถพเิ ศษอกี ประการหนง่ึ คอื เลน่ สกาเกง่ จดั ไดว้ า่ เปน็
ระดับนักเลงสกาเลยทีเดียว แต่เล่นเพื่อความผ่อนคลาย หลังจากท�างาน
ต่างๆ เสร็จแลว้ มิไดเ้ ลน่ เปน็ อาชีพ หรือเลน่ เพ่ือการพนันขนั ต่อแต่อยา่ งใด

ครั้นเวลาต่อมา ได้มีนักเลงสกาคนหนึ่ง ทมี่ ีฝีมอื การเล่นเทยี บเทา่ กับ
พระโพธสิ ตั วน์ น้ั แตน่ กั เลงสกาคนนนั้ มนี สิ ยั ขโ้ี กง คอื เวลาชนะ กอ็ ยากจะให้
คนอนื่ เลน่ ตอ่ เพราะตวั เองไดป้ ระโยชน์ แตเ่ วลาแพ้ กห็ าเรอื่ งเลกิ เลน่ เพราะ
ตนเองเสียประโยชน์ วิธีการเลิกเลน่ ของเขาก็คือเอาลกู สกาไปซ่อนไวใ้ นปาก
โดยแอบท�า เวลาค่แู ขง่ เผลอไม่ใหใ้ ครสงั เกตเห็น หลงั จากนนั้ กบ็ อกวา่ ลูก
สกาหาย แลว้ กเ็ ลิกเล่น พระโพธสิ ัตวถ์ ูกนกั เลงสกานน้ั โกงอยบู่ อ่ ย ๆ เมอ่ื
เฝา้ สงั เกตดู กจ็ บั วธิ โี กงได้ จงึ คดิ ทจ่ี ะแกเ้ ผด็ นกั เลงสกาขโ้ี กงนนั้ เมอื่ ไดโ้ อกาส
จึงแอบเอาลกู สกาไปอาบยาพิษ แล้วตากให้แห้ง มิให้ใครสงั เกตเหน็ จากนัน้
คอยหาโอกาสท่จี ะเลน่ สกากบั นกั เลงสกาโกงนั้น

วนั หนึ่ง จงึ น�าเอาลูกสกาทอี่ าบยาพิษนนั้ ไปหานักเลงสกาข้โี กง เม่อื ไป
ถงึ จงึ กลา่ ววา่ “สหาย เรามาเลน่ สกากนั เถดิ ” “ได้ส”ิ นักเลงสกาขีโ้ กงรับคา�
ทันที จากนนั้ ช่วยกนั จัดแจงสนามเล่น แลว้ ลงมอื เล่นกนั ไปเร่ือยๆ เมอ่ื เวลา

543


ทีต่ นชนะ นกั เลงสกาข้ีโกงก็ดีใจจนออกหน้าออก และความสขุ แกต่ นเอง และบคุ คลในครอบครวั ตอ่ ไป”
ตา แต่เวลาทต่ี นแพ้ ก็แสดงความเสียใจออกทาง นักเลงสกาข้ีโกงนั้นส�านึกผิดในส่ิงที่ตัวกระท�า
สหี น้า และเมอ่ื เล่นนานเขา้ นกั เลงสกาขี้โกงก็แพ้
ตลอด เขาจึงลงมือโกงด้วยวิธีเดิม ๆ คือเอาลูก จึงขอโทษพระโพธิสัตว์และขอบคุณท่ีช่วยเหลือชีวิต
สกาอมในปาก และบอกวา่ ลกู สกาหาย ตนให้พ้นมรณภัย และรับปากว่าจะละชั่วท�าดีตามที่
แนะนา� ดว้ ยความตงั้ ใจตลอดไป ฝา่ ยพระโพธสิ ตั วน์ นั้
พระโพธสิ ัตวเ์ หน็ ดงั นัน้ จึงกลา่ ววา่ “สหาย ด�ารงตนอยู่ในความดีมีให้ทาน รักษาศีล และเจริญ
ลกู สกาหายไปได้อย่างไร เม่ือตะกี้ยงั เห็นอยูเ่ ลย” ภาวนา เป็นต้น ตามก�าลังความสามารถ เมื่อสิ้น
นกั เลงสกาขโ้ี กงนนั้ ทา� ทเี ปน็ กม้ หาทต่ี วั บา้ ง ทพ่ี น้ื อายุขัยกไ็ ปเกดิ ในสุคติภพตามบญุ กรรมที่ทา� ไว้
บา้ ง เมื่อไมเ่ หน็ ก็ถามคนอื่นว่า “ใครเห็นสกาของ
เราบา้ ง” คนท้ังหลายตอบพร้อมกนั วา่ “พวกเรา ชาดกเรื่องน้ีมีคติสอนใจว่า ความซื่อสัตย์
ไมเ่ หน็ ” เขาจงึ หนั มาทางพระโพธสิ ตั วแ์ ลว้ กลา่ ววา่ สจุ รติ เปน็ สงิ่ ทข่ี าดำไมไ่ ดำใ้ นทกุ ๆ เรอ่ื ง เพราะชว่ ยให้
“สกาหายไปแลว้ ไมส่ ามารถจะเลน่ ตอ่ ได้ วนั นเี้ รา ผู้ปฏิบัติเป็นคนน่าเชื่อถือไว้ใจไดำ้ ไม่เป็นที่รังเกียจ
เลกิ เลน่ กนั เถดิ ” พดู เสรจ็ เขากเ็ ดนิ ออกจากสนาม หรือหวาดำระแวงแก่ใครๆ แต่หากเป็นคนท่ีมีนิสัย
พอลกุ เทา่ นนั้ กม็ อี าการโซเซเพราะฤทธข์ิ องยาพษิ คดำโกง ไม่ซ่ือสัตย์สุจริต ไม่ว่าจะต่อตนเอง ต่อ
ครอบครวั ตอ่ หนา้ ท่ี ตอ่ มติ รสหาย และตอ่ ประเทศ
พระโพธสิ ตั วเ์ หน็ ดังน้ัน จึงกลา่ วว่า “ท่าน ชาติ เปน็ ต้นแล้ว แม้การกระท�าดำงั กลา่ ว ตนเองจะ
กลืนลูกสกาที่เคลือบด้วยยาพิษอย่างแรง ยังไม่รู้ ไดำ้ประโยชน์ตอบแทนบ้าง แต่เมื่อเขาจับไดำ้ ก็จะ
ตัวอีกหรือเจ้าคนช่ัว เจ้านักเลงขี้โกง จงกลืนกิน เกิดำความทกุ ข์ยากทันที ต้ังแต่ไมม่ ใี ครคดิ ำจะคบค้า
เข้าไปเถิด ผลร้ายจักเกิดขึ้นแก่เจ้า” ขณะท่ีพระ สมาคมดำ้วย จนท่ีสุดำก็จะถูกจับกุมคุมขัง หรือถูก
โพธสิ ตั วก์ า� ลงั กลา่ วอยนู่ นั่ เอง นกั เลงสกาขโี้ กงนนั้ ประหารชวี ติ ไดำ้
กล็ ม้ ลงหมดสตนิ ยั นต์ ากลอกกลง้ิ นา้� ลายฟมู ปาก
ชกั ดน้ิ ชกั งออยกู่ บั พน้ื กลงิ้ เกลอื กไปมาดว้ ยความ ความซอ่ื สตั ยน์ ส้ี า� คญั แมใ้ นการทา� ทจุ รติ ของ
ทุกขท์ รมาน คนไมด่ ำบี างพวก พวกเขากย็ งั จา� เปน็ ตอ้ งซอ่ื สตั ยต์ อ่
พวกเดำยี วกนั จงึ จะทา� งานดำว้ ยกนั ไดำ้ ความซอื่ สตั ย์
พระโพธสิ ตั ว์ จงึ คดิ วา่ “บดั นี้ เราไดส้ ง่ั สอน นอกจากจะมผี ลดำงั กล่าวแลว้ ยังเป็นเหมอื นเกราะ
คนข้ีโกงพอสมควรแล้ว เขาได้รับกรรมที่สมควร ป้องกันตนให้พ้นจากความเส่ือมดำ้วย เช่น ถ้าถูก
กับกรรมที่ท�าแล้ว เราควรจะให้ชีวิตเป็นทานแก่ กล่าวหาว่าเป็นคนทุจริตคดำโกงต่าง ๆ ผู้น้ันก็
เขา จงึ จะเปน็ การด”ี จากนน้ั จงึ ปรงุ ยาแกพ้ ษิ กรอก สามารถแก้ข้อกล่าวหาน้ันไดำ้ดำ้วยความซื่อสัตย์
ใสป่ ากนกั เลงสกาขโี้ กงนนั้ จนกระทง่ั พษิ รา้ ยออก สุจริตของตน ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า “สุจริตคือ
มาหมด แล้วใหเ้ ขากนิ เนยใส น้�าอ้อย นา�้ ผึง้ และ เกราะบงั ศาสตรพ์ อ้ ง” หมายความวา่ ความซอ่ื สตั ย์
น้�าตาลกรวด เป็นตน้ ชว่ ยให้เขารอดตายจากยา จะเป็นเหมือนเกราะก�าบังอันตรายจากผู้อืน่ นั่นเอง
พิษนั้น เมื่อทุกอย่างเป็นปกติแล้ว จึงส่ังสอนว่า
“เจ้าอย่าได้กระท�ากรรมเห็นปานน้ีกับคนอ่ืนอีก (ลิตตชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
เพราะกรรมชวั่ ทา� ใหผ้ กู้ ระทา� และคนอนื่ เดอื ดรอ้ น
เจ้าควรหันมาประกอบแตก่ รรมดี เพ่อื ประโยชน์ ชาดก เอกนิบาต เล่ม ๒๙ หน้า ๒๕๐)

544


545


นางโจร

“ชนะตนนนั่ แหละ เปน็ ด”ี

ในอดีตกาล คร้ังพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี
พระโพธสิ ตั วบ์ งั เกดิ ในสกลุ พราหมณ์ มที รพั ยส์ มบตั มิ าก เมอ่ื ศกึ ษาศลิ ปวทิ ยา
จนสา� เร็จแล้ว จงึ สร้างครอบครัวท่ีกรุงพาราณสนี ัน้

ต่อมา ภรรยาของพระโพธสิ ัตวไ์ ด้ถงึ แกก่ รรม พระโพธิสัตว์เกิดความ
เบอื่ หนา่ ยการใชช้ วี ติ ฆราวาส จงึ ปรกึ ษาบตุ รชายวา่ “ลกู เอย๋ ชวี ติ ของคนเรา
นไี้ ม่เที่ยงแท้แน่นอน เราออกบวช แลว้ ไปอยปู่ ่ากนั เถอะ” “ข้าแตบ่ ิดา ทา่ น
ไปไหน ขา้ ก็ขอตามไปด้วย” จากน้นั สองพอ่ ลูกจึงพากันออกบวชเป็นดาบส
ด�ารงชพี ดว้ ยเผอื กมันและผลไม้ในป่าหมิ พานต์

คร้ังน้ัน มีพวกโจรชาวปัจจันตคาม เที่ยวปล้นทรัพย์สินของชาวบ้าน
โจรเหล่านั้นจับเจา้ ทรพั ยเ์ ปน็ ตัวประกนั แลว้ ประกาศว่า “พวกเราจงขนของ
ทีม่ ีค่าไปให้หมด และจบั เจ้าของทรัพยไ์ ปด้วย”

“อยา่ น�าตวั ขา้ ไปเลย เอาแตท่ รพั ย์สนิ ไปอยา่ งเดียวเถอะ”
“พวกเราจะเอาทง้ั สอง ทัง้ ทรพั ย์และคน ฉะนนั้ อยา่ ขัดขืน”
จากน้ัน ก็ขนข้าวของพร้อมเจ้าทรัพย์เดินทางไปยังชายแดน ในกลุ่ม
เจา้ ทรพั ยท์ พี่ วกโจรกวาดตอ้ นไปนนั้ มหี ญงิ คนหนงึ่ ซงึ่ ชา� นาญในการหลอก
ลวงคนอน่ื นางแกล้งท�าทีคล้อยตามโจรโดยไมข่ ดั ขนื เพอ่ื หาโอกาสหลบหนี
จงึ แกล้งเดินช้า ๆ อยูท่ ้ายขบวน โจรคนหนึง่ เห็น จึงกล่าวว่า “แนะนางหญงิ
เจา้ เดนิ ชักช้าแบบน้ีเมื่อไรจะถงึ ”
“ขา้ แตโ่ จร ข้ามีอะไรจะแสดงแก่ท่าน”
“เชญิ เจา้ แสดงมาเถอะ”
“ขา้ แตโ่ จร ขา้ ไมอ่ าจแสดงตรงนไ้ี ด้ ไปในทลี่ บั ตาคนอน่ื แลว้ จงึ จะแสดง
ให้ท่านดู” นางล่อลวงโจรจนหลงกลเข้าป่าไปกับนางเพียง ๒ คน เมื่อสบ
โอกาสตอนทโี่ จรเผลอ นางกต็ โี จรนนั้ จนสลบแลว้ กร็ บี หนไี ปทนั ที เมอ่ื หนจี าก

546


พวกโจรมาได้ นางกเ็ ดนิ หลงทางอยใู่ นปา่ คนเดยี ว จน ทา� ไมวนั นเ้ี จา้ ไมห่ กั ฟนื ตกั นา�้ กอ่ ไฟเหมอื นเชน่ วนั
มาถึงอาศรมของโพธิสัตว์ดาบส ในเวลาเช้าวันหน่ึง อืน่ ๆ และเหตุใดจึงมานัง่ ทา� หน้าเศร้าอยตู่ รงน้”ี
เมอ่ื เหน็ อาศรม นางกค็ ิดว่า “นั่น อาศรมของดาบส
คงจะมใี ครชว่ ยเหลอื เราไดบ้ า้ ง” จากนนั้ กร็ อ้ งเรยี กให้ “ข้าแต่ท่านพ่อ วันนี้ตอนท่ีท่านไปหาผลไม้
คนชว่ ยเหลือ ในปา่ มหี ญงิ คนหนง่ึ มาชวนขา้ ไปอยดู่ ว้ ยกนั ทเี่ มอื ง
ขา้ รบั ปากแมน่ างแลว้ จงึ อยรู่ อเพอื่ บอกทา่ นในเรอ่ื ง
ขณะน้ัน โพธิสัตว์ดาบสออกไปหาผลไม้ในป่า น้ี ส่วนนางไปรอขา้ อยขู่ ้างหนา้ แลว้ ”
มีเพียงดาบสลูกชายเท่าน้ันเฝ้าอาศรมอยู่ตามล�าพัง
เม่ือได้ยินคนร้องขอความช่วยเหลือ จึงรีบออกมาดู โพธิสัตว์ดาบสรู้ดีว่า ไม่อาจเหน่ียวร้ังลูกที่
และถามว่า กา� ลงั ลมุ่ หลงในหญงิ นน้ั ได้ จงึ อนญุ าตและใหโ้ อวาท
วา่ “เอาเถอะลกู หากเจา้ ตอ้ งการไปอยกู่ บั นาง เจา้
“เจ้ามาจากไหน มีอะไรใหข้ ้าชว่ ยหรอื ?” ก็ไปเถิด แต่เมื่อไปอยู่กับนางแล้ว หากวันใดนาง
“ข้าถูกโจรปา่ จับตัวมา เพ่งิ หนมี าได้ ตอนน้ีข้า เคี่ยวเข็ญเจ้าให้ท�างานรับใช้อย่างกับทาสและ
เหนอ่ื ย ขอพักที่นีส่ กั ครูห่ น่งึ ” ระหว่างพักเหนอ่ื ยนน้ั กรรมกร เม่อื นัน้ จงนกึ ถึงคา� ของพอ่ และรบี กลับ
นางก็คิดว่า “ดาบสหนุ่มคนนี้หน้าตาดี เราจะใช้ มาหาพอ่ ตามเดมิ ”
มารยาและความสวยทม่ี อี ยทู่ า� ใหเ้ ขาหลงใหไ้ ด”้ หญงิ
นั้นล่อลวงดาบสหนุ่มให้หลงในอ�านาจของตน ด้วย ดาบสหนุ่มมาอยู่กับนางผู้ล่อลวงน้ันไม่นาน
การพูดว่า “ข้าแต่ดาบส ทา่ นยังอยู่ในวัยหนมุ่ เหตุใด นางก็ท�าให้เขาตกอยู่ในอ�านาจ และใช้งานเขา
จึงท้ิงบ้านมาอยู่ในป่าเช่นนี้เล่า ถ้าไม่รังเกียจขอเชิญ สารพดั เป็นตน้ วา่ “วันน้ีขา้ อยากกินเน้อื เจา้ จงไป
ไปอย่ดู ้วยกนั ในเมืองเถดิ ” หามาใหข้ า้ กินนะ แลว้ พรงุ่ นี้ ข้าอยากกนิ ปลา เจา้
“ถ้าเราไปแล้ว ท่านพ่อจะอยู่กับใครละ” ดาบส ก็จงไปหามาให้ข้าด้วย” ดาบสหนุ่มได้แต่รับค�าว่า
หนุ่มถาม หญิงน้ันพยายามออดอ้อนด้วยค�าพูด “ได้จ้ะๆ”
ตา่ งๆ จนกระทัง่ ดาบสหนมุ่ ใจออ่ น “เราไปอยู่กับเจ้า
ก็ได้ แตข่ อรอบอกกับท่านพ่อเสียก่อน” หลงั จากนนั้ เมอื่ ถกู ใชง้ านหนกั เขา้ กท็ นไมไ่ หว นกึ ถงึ คา�
กร็ อพบบดิ าเพอ่ื บอกลา แตห่ ญงิ ผมู้ ากดว้ ยมารยานน้ั ของบดิ าทโ่ี อวาทไว้ เขาจงึ หนกี ลบั มายงั อาศรม ใน
เกรงดาบสผู้พ่อจะรู้ทันและขับไล่ตน นางจึงขอเดิน ปา่ หมิ พานต์ เมอ่ื กลบั มาถงึ อาศรมแลว้ ดาบสหนมุ่
ทางลว่ งหน้าไปก่อน และใหด้ าบสหนุ่มตามไปทีหลงั ก็กล่าวกับโพธิสัตว์ดาบสผู้เป็นบิดาว่า “หญิงโฉด
โดยกล่าวว่า “ข้าแต่ดาบส ข้าล่วงหน้าไปก่อนดีกว่า ผนู้ า� ของไปดว้ ยหมอ้ นา�้ เบยี ดเบยี นขา้ พเจา้ ผมู้ ชี วี ติ
จักไดเ้ ตรียมการต้อนรบั ทา่ นด้วย” อยู่อย่างสขุ สบาย จะขอน�้ามันหรอื เกลอื กต็ ้องขอ
“เชิญเถอะ ถ้าได้บอกท่านพ่อแล้ว เราจะรีบ ด้วยการกล่าวค�าอ่อนหวาน ในฐานะภรรยา”
ตามเจ้าไปนะ” ตัง้ แตห่ ญิงผูน้ น้ั จากไป ดาบสหนมุ่ ก็
เฝา้ แตค่ ดิ ถงึ นาง ไมเ่ ปน็ อนั ทา� งานของตนเหมอื นเชน่ จากนั้นจึงขอโทษโพธิสัตว์ดาบสผู้บิดาว่า
ทกุ วัน “ขา้ แตบ่ ดิ า ขา้ ขอโทษทไี่ มเ่ ชอื่ ฟงั คา� ของทา่ น” แลว้
จนกระทง่ั โพธสิ ตั วด์ าบสกลบั มาถงึ อาศรม เหน็ จึงเล่าเรื่องราวท้ังหมดให้ผู้เป็นบิดาฟัง โพธิสัตว์
ดาบสหนุ่มนั่งท�าหน้าเศร้าอยู่ จึงถามว่า “ลูกเอ๋ย ดาบสจึงปลอบใจดาบสผู้เป็นลูกว่า “ลูกเอ๋ย ช่าง
เถิด ต่อแต่น้ี เจ้าจงเจริญเมตตากรุณาไวใ้ หม้ าก”
หลงั จากปลอบใจดาบสผเู้ ปน็ ลกู แลว้ โพธสิ ตั วด์ าบส
จึงบอกกสิณบริกรรมให้ดาบสผู้เป็นลูกน้ันฝึก

547


ปฏิบัติ ไมน่ านนกั ดาบสหนุ่มก็ได้อภิญญาและสมาบตั ิ เจริญพรหมวิหาร ๔
จนสนิ้ อายุขยั แลว้ ไปบังเกิดในพรหมโลกพรอ้ มกบั โพธิสัตว์ดาบสผู้เป็นบดิ านน้ั

ชาดกเร่อื งนีม้ คี ตสิ อนใจว่า ศตั รใู นชีวิตของคนน้ันมี ๒ อย่าง คอื ศัตรู
ภายนอก ๑ ศตั รูภายใน ๑ ศัตรูภายนอก หมายถึงคนหรอื สัตว์ทีป่ ระสงค์
ร้ายต่อเรา ท�าให้เราเดำือดำร้อนและเสียชีวิต ซึ่งเราสามารถมองเห็นดำ้วยตา
และไดำย้ ินเสยี งดำ้วยหู ศตั รชู นดิ ำน้ี มักจะเข้าหาเราดำ้วยวธิ กี าร ๒ อย่าง คือ
เขา้ มาในฐานะเปน็ ศตั รู ทง้ั ตอนตน้ และตอนปลาย นปี้ ระการหนง่ึ อกี ประการ
หน่ึง เขา้ มาในลกั ษณะเปน็ มิตรในตอนต้น แต่เป็นศตั รใู นตอนปลาย ท่ีเป็น
ศัตรูท้ังในตอนต้นและตอนปลายนั้น แม้จะน่ากลัว แต่เราก็สามารถหาวิธี
ป้องกันตวั เองไดำ้ ทน่ี า่ กลวั กวา่ นี้ คือศัตรูท่เี ขา้ มาในลกั ษณะเปน็ มิตรในตอน
ต้น แต่เปน็ ศัตรใู นตอนปลาย ดำังเช่น หญงิ ผู้ลอ่ ลวงดำาบสหนมุ่ จนกระทั่งตก
ไปอย่ใู นอา� นาจ จากน้ันกเ็ คีย่ วเขญ็ ให้ทา� งานรบั ใชด้ ำจุ ทาสและกรรมกร ศตั รู
ชนดิ ำนน้ี า่ กลวั กวา่ ศตั รชู นดิ ำแรก เพราะเราไมร่ ตู้ วั มากอ่ น กวา่ จะรตู้ วั กต็ อ่ เมอื่
ตกเป็นเหยื่อของมันเสียแลว้

สว่ นศัตรภู ายใน หมายถงึ ศัตรูที่อยใู่ นตวั เราเอง ไดำแ้ กจ่ ติ ใจที่ออ่ นแอ
ไม่มีความอดำทนอดำกลั้น ตลอดำจนความโลภ ความโกรธ และความหลง
เพราะสงิ่ เหลา่ นเ้ี ปน็ ตน้ เหตขุ องการกอ่ กรรมทา� ชวั่ ทกุ ชนดิ ำ นา� ไปสคู่ วามเสอ่ื ม
ต่าง ๆ ดำังจะเหน็ วา่ ถา้ ถกู หญิงนนั้ ชักชวนใหไ้ ปอยดู่ ำว้ ยแลว้ ดำาบสหนมุ่ ขม่
ความอยากไดำ้ ไม่ทา� ตามความอยากของตนเอง เอาชนะใจตนเอง ไมย่ อมไป
ตามหญงิ นนั้ ตนเองกไ็ มต่ อ้ งประสบกบั ความเดำอื ดำรอ้ น แตเ่ พราะแพใ้ จตนเอง
จึงท�าให้มองเห็นกงจักรเป็นดำอกบัว ท�าให้ต้องทิ้งดำาบสผู้เป็นบิดำาไปอยู่กับ
หญิงผูม้ ากดำ้วยมารยาน้นั

ฉะนัน้ ความอ่อนแอ ตลอดำจนความโลภ ความโกรธ และความหลง
จงึ เปน็ ศตั รภู ายในทรี่ า้ ยกาจ ยงิ่ เมอื่ ถกู ศตั รภู ายนอกชกั นา� ดำว้ ยแลว้ กย็ งิ่ ทา� ให้
บคุ คลประสบกบั หายนะเรว็ ขน้ึ ดำงั นนั้ ผหู้ วงั ความสขุ ความเจรญิ จงึ ควรรจู้ กั
ขม่ ใจตนเอง ฝกึ ใจตนเอง ไมย่ อมพา่ ยแพต้ อ่ ศตั รคู อื กเิ ลสทเ่ี กดิ ำขน้ึ ปฏบิ ตั ไิ ดำ้
อยา่ งนี้ ชวี ติ จึงจะพ้นจากความเส่อื ม และเข้าถึงความสุขท่แี ท้จริงไดำ้

(อุทัญจนชี าดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก เอกนิบาต เล่ม ๒๙ หน้า ๓๑๑)

548


549


กรรมเป็นเหตุ

“เมื่อไม่ทา� ตามผู้หวังดี กต็ อ้ งเสียคน”

ครง้ั หนึ่ง พระบรมศาสดาประทับอย่ใู นพระเชตวนั มหาวหิ าร เมอื งสาวตั ถี
ทรงปรารภพระโลสกตสิ สเถระ ซงึ่ เปน็ ผมู้ บี ญุ นอ้ ย มลี าภนอ้ ย อนาถาไรท้ พี่ ง่ึ ตงั้ แต่
เด็ก แต่เดชะบุญท่ีเคยทา� กรรมดีไวท้ �าให้ได้บวชในพระพทุ ธศาสนา บ�าเพ็ญเพยี ร
จนสา� เรจ็ เป็นพระอรหันต์ แตถ่ ึงกระน้ัน ก็ยังเป็นผมู้ บี ุญน้อย มลี าภนอ้ ย ไมม่ ี
ใครถวายบณิ ฑบาตให้ฉนั เนอ่ื งจากความชั่วท่ีทา� ไว้ในคร้ังอดตี

ภกิ ษทุ ง้ั หลายนงั่ สนทนาดว้ ยเรอ่ื งพระโลสกตสิ สเถระวา่ “นา่ อศั จรรยห์ นอ
พระโลสกติสสเถระมีบุญนอ้ ย มีลาภนอ้ ย อนั ผ้มู บี ญุ นอ้ ย มีลาภนอ้ ย เห็น
ปานนี้ บรรลุอริยธรรมไดำอ้ ย่างไร”

พระบรมศาสดาเสดจ็ ผ่านมาไดย้ ิน จงึ ตรัสว่า “ภิกษุทัง้ หลาย โลสกติสสะ
ผู้น้ีได้ประกอบกรรม คือความเปน็ ผ้มู ลี าภน้อย และความเปน็ ผูไ้ ดอ้ รยิ ธรรมของ
ตน ดว้ ยตนเอง เนอ่ื งด้วยคร้ังก่อน เธอกระท�าอนั ตรายลาภของผ้อู ืน่ จึงเปน็ ผู้มี
ลาภน้อย แต่เป็นผู้บรรลุอริยธรรมได้ด้วยผลท่ีบ�าเพ็ญวิปัสสนา คือ อนิจจัง
ทกุ ขัง อนตั ตา” ดังน้ี แล้วทรงน�าเรอื่ งในอดตี มาสาธกวา่

ในอดตี กาล สมยั พระพทุ ธเจา้ พระนามวา่ กสั สปะ มภี กิ ษรุ ปู หนง่ึ เปน็ ผทู้ รง
ศลี เจริญสมาธิ และบ�าเพ็ญวิปัสสนาเป็นกจิ วตั ร ภิกษุรปู น้นั เปน็ เจ้าอาวาสในวดั
แห่งหน่งึ เวลาต่อมา ได้มพี ระอรหันต์รปู หนึ่ง ธุดงค์ผ่านไปท่ีบรเิ วณหม่บู า้ นใกล้
วัดแหง่ นัน้ ไดพ้ บอุบาสกคนหนงึ่ ที่อปุ ฏั ฐากเจา้ อาวาสรปู นั้น อบุ าสกนน้ั จึงนิมนต์
ใหฉ้ นั ท่ีบ้าน ได้ฟังเทศน์แลว้ กเ็ ล่อื มใส จงึ อาราธนาว่า

“ขอนมิ นต์พระคุณเจ้าไปพกั ในวัดก่อน ตอนเยน็ กระผมจะเข้าไปเยีย่ ม”
พระอรหนั ตจ์ งึ เขา้ ไปพกั ท่ีวดั แห่งน้นั หลงั จากนมัสการเจา้ อาวาสแลว้ ก็นั่ง
ส�ารวมอยู่
เจ้าอาวาสถามวา่ “ผมู้ อี ายุ คุณได้ฉันอาหารแลว้ หรอื ?”
“ไดแ้ ล้วครบั ”
“คณุ ไดฉ้ นั ท่ีไหนหรือ?”
“ไดจ้ ากบา้ นของโยมทอ่ี ุปัฏฐากทา่ น”

550


Click to View FlipBook Version