ทนั ใดนนั้ เองกเ็ กดิ เหตุมหศั จรรย ์ ด้วยทางเบือ้ งฟ้า ด้านทศิ ตะวนั ออก
มกี ลมุ่ เมฆปรากฏขน้ึ ครง้ั แรกกลมุ่ เมฆนม้ี ขี นาดเทา่ ลานนวดขา้ ว แลว้ ตอ่ มา
ไมช่ า้ ไดแ้ ผว่ งกวา้ งออกไปอยา่ งรวดเรว็ ตง้ั ซอ้ นกนั หนาเปน็ ชนั้ ๆ เกดิ ฟา้ แลบ
แปลบปลาบ และฟา้ รอ้ งส่งเสยี งครืนๆ มาแตไ่ กล ไม่นานนักพายุใหญ่ก็หอบ
เมฆและสายฝนเทลงมา ท�าให้แคว้นโกศลทั้งสิ้นเจิ่งนองไปด้วยน�้า น้�าไหล
เอบิ อาบบา่ ทว่ มเตม็ หนองคลองบงึ และสระทกุ แหง่ รวมทง้ั สระโบกขรณใี นวดั
พระเชตวนั น้ันด้วย บรรดาปลา ป ู เตา่ และสตั ว์น�า้ ท้ังหลายก็รอดจากวบิ ตั ิ
พระพทุ ธเจา้ ไดเ้ สดจ็ ลงสรงนา้� ในสระโบกขรณเี สรจ็ แลว้ ทรงครองจวี ร
เสด็จพทุ ธด�าเนินไปประทบั อยู่ในพระคนั ธกุฎี ภายในวัดพระเชตวัน ในเวลา
เย็น พระสงฆ์ท้ังปวงก็สนทนากันด้วยเรื่องมหัศจรรย์ที่พระพุทธเจ้าทรง
บันดาลให้ฝนตก
พระพทุ ธเจ้าทรงทราบเรือ่ ง ได้เสดจ็ มายังท่ีประชมุ แล้วตรัสบอกพระ
สงฆท์ ัง้ ปวงว่า มิใช่แตใ่ นบดั น้ีเทา่ นนั้ ทพี่ ระองคท์ รงอธษิ ฐานให้ฝนตก แมใ้ น
สมัยพระองค์ทรงอุปบัติเป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็เคยบันดาลให้ฝนตกลงมาแล้ว
พระสงฆท์ ง้ั ปวงใครท่ ราบเรอื่ งราวในอดตี จงึ ไดก้ ราบทลู อาราธนาใหท้ รงแสดง
พระพทุ ธเจ้าจงึ ทรงแสดงชาดกเร่อื ง พญาปลาช่อนขอฝน เร่อื งมดี ังต่อไปน้ี
กาลครงั้ หนง่ึ นานมาแล้ว มลี �าห้วยกลางป่าลึก ป่านั้นรกด้วยเถาวลั ย์
ลา� หว้ ยกา� ลังแหง้ ขอดน�้า เพราะฝนไม่ตก ฝงู ปลาในลา� ห้วยกา� ลงั วิบัติล้มตาย
ขา้ วกลา้ ในนาชาวบา้ นกก็ า� ลงั เหย่ี วแหง้ ฝงู ปลาและเตา่ ทย่ี งั ไมต่ ายตอ้ งมดุ ซกุ
หวั ซ่อนลงในเปอื กตม เพ่ือหลบหนภี ยั จากฝงู กาและนกท้งั หลาย
พญาปลาชอ่ นไดเ้ หน็ ความวบิ ตั ซิ งึ่ กา� ลงั เกดิ แกฝ่ งู ปลาบรวิ ารเชน่ นนั้ จงึ
คิดว่า “ผู้อื่นนอกจากเราแล้วไม่มีใครสามารถ ปลดเปลื้องความทุกข์ใหญ่
หลวงคร้ังนี้ได้” คิดเช่นนั้นแล้ว พญาปลาช่อนใหญ่ที่มีสีกายเหมือนปุ่มของ
ต้นดอกอัญชัน มีตาทั้งคู่สีแดง ก็แหวกเปือกตมสีด�าออกมา มองดูอากาศ
แลว้ บันลือเสียงดงั เปน็ ค�าอธิษฐานแกเ่ ทพยดาผูจ้ ะยังฝนฟา้ ให้ตก กล่าวค�า
สัตยาธิษฐานน้ันวา่ “ข้าแตเ่ ทพเจา้ เวลานีข้ า้ พเจ้าก�าลังเดอื ดร้อน เพราะหมู่
ญาตทิ ก่ี า� ลงั ประสบทกุ ขเ์ ปน็ เหต ุ ขา้ พเจา้ เปน็ ผมู้ ศี ลี ถงึ จะเกดิ ในโลกของสตั ว์
เดรัจฉานซง่ึ จะกัดกินพวกเดยี วกัน และมจั ฉาชาติ คือปลาอ่ืนๆ เปน็ อาหาร
แต่ขา้ พเจ้าไม่เคยทา� ลายศลี กดั กนิ ปลาเลก็ ปลานอ้ ยแมต้ วั เท่าเมลด็ ข้าวสาร
แมส้ ตั วม์ ชี วี ติ อน่ื ๆ ขา้ พเจา้ กไ็ มเ่ คยแตะตอ้ ง ถา้ สง่ิ ทข่ี า้ พเจา้ กลา่ วนเ้ี ปน็ ความ
จริง กข็ อใหท้ า่ นไดบ้ ันดาลให้ฝนตกลงมา”
351
ทันใดนน้ั ฝนหา่ ใหญก่ เ็ ทลงมายงั ล�าหว้ ย และหนอง คลอง บึง ทั่วไป
ให้เจ่ิงนองไปด้วยน�้า ฝูงปลาและข้าวกล้าท้ังปวงรอดจากความวิบัติ
พระพทุ ธเจา้ ตรสั ชาดกเรอื่ งนจี้ บลงแลว้ ทรงประกาศอริยสจั ๔ จบแลว้ ทรง
อธบิ ายการกลบั ชาตวิ า่ ฝงู ปลาในครง้ั นน้ั คอื พทุ ธบรษิ ทั ในกาลบดั น ี้ เทพผยู้ งั
ฝนให้ตกในคร้ังนั้นคือพระอานนท์ ส่วนพญาปลาช่อน คือพระพุทธองค์ใน
บัดนี้
ชาดกเรอ่ื งนม้ี คี ตสิ อนวา่ วฒั นธรรมไทยเราไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากชาดก
เรื่องน้ี ในฐานะเป็นดินแดนที่อยู่ภายใต้อิทธิพลลมมรสุม ประชาชนท�า
เกษตรกรรมเปน็ หลกั พธิ กี รรมต่าง ๆ ทคี่ นในดินแดนนีค้ ิดสรา้ งขึน้ จึงมี
ความเก่ียวข้องกับธรรมชาติดินฟ้าอากาศ โดยผูกอิงอยู่กับส่ิงเหนือ
ธรรมชาตหิ รอื เทวดาฟา้ ดนิ เพอ่ื ความเจรญิ งอกงามของพชื พนั ธธุ์ ญั ญาหาร
ท่มี ตี ั้งแตด่ ้ังเดิม
พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซ่ึงจัดขึ้นในเดือน
๖ ราวเดือนพฤษภาคม แตเ่ ดิมเปน็ พธิ พี ราหมณ์ ต่อมา พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั รัชกาลท่ี ๔ ไดท้ รงเพมิ่ พธิ ีทางพระพทุ ธศาสนา
เข้าไปด้วย พิธีน้ีจะน�าพระพุทธรูปท่ีเช่ือว่ามีอ�านาจศักดิ์สิทธ์ิในการเรียก
ฟ้าเรียกฝนมาประกอบพิธี โดยเป็นพระพุทธรูปปางคันธารราษฎร์ หรือ
ปางขอฝน ซง่ึ เปน็ พระพทุ ธรปู ในอริ ยิ าบถประทบั นงั่ หรอื ยนื กไ็ ด้ พระหตั ถ์
ขวายกขน้ึ แสดงกริ ยิ าอาการกวกั พระหตั ถซ์ า้ ยหงายออกประหนงึ่ วา่ รองรบั
น�้าฝน ซ่ึงได้รับอิทธิพลมาจากครั้งพระพุทธเจ้าทรงอธิษฐานขอฝน ดังมี
ความปรากฏอยใู่ นมัจฉชาดกนี้
พระพุทธคันธารราษฎร์ หรือพระพุทธรูปขอฝน ท่ีสร้างข้ึนเพ่ือ
ประดิษฐานร่วมในพระราชพิธเี พอ่ื ความอุดมสมบูรณเ์ หลา่ นี้ เปน็ ผลจาก
การส่ังสมทัศนคติที่สืบทอดในเร่ืองวิถีชีวิตที่อยู่ ภายใต้อ�านาจธรรมชาติ
ของบรรพชนด้ังเดิม ท่เี คยเช่ือถือและเช่ือพธิ ีกรรมเพื่อความอุดมสมบูรณ์
แกพ่ ชื พนั ธ์ุนา�้ ท่ามากอ่ น
ดงั นั้น พระมหากษตั ริยจ์ ึงได้สรา้ งพระพทุ ธรูปศกั ดิส์ ิทธแ์ิ ละรอ้ื ฟืน้
พระราชพธิ เี พอื่ ความอดุ มสมบูรณ์ เพ่อื เปน็ ขวัญและกา� ลงั ใจแก่เกษตรกร
และความเป็นสิริมงคลแก่พืชพันธุ์ธัญญาหารที่หล่อเล้ียงราษฎรและ
เศรษฐกิจของประเทศ
(มจั ฉชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก เอกนบิ าต เล่ม ๒๙ หน้า ๑๖๐)
352
353
ช้างเกเรกลับใจ
“อย่าเกยี่ วข้องกบั คนพาล
จงสมาคมกบั คนด”ี
ในรัชกาลของพระเจ้าพรหมทัตพระองค์หนึ่ง ช้างมงคลประจ�ารัชกาลเกดิ
บา้ คลงั่ ฆ่านายควาญช้างและผูท้ ม่ี ันพบเห็น ชาติน้นั พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติ
เปน็ อา� มาตยข์ องพระเจ้าพรหมทัต ได้หาวิธแี ก้ไขจนพญาช้างมหฬิ ามขุ กลับใจมา
ประพฤตติ ัวดไี ด้ส�าเรจ็
พญาชา้ งมหิฬามุขเปน็ ชา้ งมงคล มลี ักษณะดี สง่างาม ทส่ี �าคัญคอื เป็นช้าง
มศี ลี ไมท่ า� รา้ ยใคร พระเจา้ พรหมทตั เองกท็ รงโปรดปรานชา้ งมงคลตวั นมี้ าก ทรง
มอบหมายให้เจ้าหน้าท่ีที่เกี่ยวข้องและนายควาญช้างเลี้ยงดูอย่างดี โรงที่อยู่ของ
พญาชา้ ง พระเจา้ พรหมทตั กท็ รงรบั สง่ั ใหต้ กแตง่ สวยงาม มกี ลน่ิ หอมอบอวลดว้ ย
ของหอมชนิดเลศิ พญาช้างเองก็เปน็ สัตวแ์ สนร ู้ วางตวั ไดเ้ หมาะสม ละเว้นการ
ประพฤติต่างๆ ทไ่ี มด่ ี อนั จะนา� ให้พระเจ้าพรหมทัตไม่โปรดปราน
บริเวณโรงช้างเงียบสงบ ตกกลางคืนก็มืดมิด แม้จะมีเจ้าหน้าท่ีคอยดูแล
รกั ษาความปลอดภยั กไ็ มส่ จู้ ะเขม้ งวดนกั เลย เปน็ โอกาสใหพ้ วกโจรมาอาศยั เปน็
ทม่ี ว่ั สมุ กนั นอกจากจะใชเ้ ปน็ ทม่ี วั่ สมุ แลว้ พวกโจรยงั ใชบ้ รเิ วณนนั้ เปน็ ทวี่ างแผน
ปล้น รวมทง้ั สอนวิชาโจรดว้ ย พวกโจรรุ่นใหมจ่ ะถกู นา� มาอบรมกนั ท่ีน ่ี ซงึ่ เร่ือง
การอบรมนน้ั มที งั้ เรอื่ งการปลน้ ฆา่ การทา� รา้ ย และวธิ ปี ลน้ ใหไ้ ดผ้ ล “เฮย้ ..ไอน้ อ้ ง
เป็นโจรนม่ี นั ตอ้ งเหย้ี ม โหดร้าย ตดั สินใจเรว็ ชักช้าไมไ่ ด”้ หัวหน้าโจรจะเริม่ ต้น
อบรมดว้ ยนา�้ เสยี งดดุ นั “การจะเข้าปล้นบ้านไหน ต้องศึกษาลู่ทางใหด้ กี ่อน ให้
รจู้ ักทางเขา้ ไปและทางหนที ีไล่”
รองหวั หนา้ โจรเสรมิ ตอ่ “บา้ นพวกเศรษฐมี นั เขา้ ยาก คมุ้ กนั แขง็ แรง มที าง
หนึ่งคืออุโมงค์ลงไปใต้ดินให้ไปทะลุกลางบ้านเลย” โจรพี่เล้ียงแนะน�าเป็นอันดับ
ต่อมา เม่อื สอนวิชาปล้นพอสมควรแล้ว หัวหน้าโจรกก็ ลา่ วสับทับอีกครงั้ ว่า “จา�
ไว้นะไอ้น้อง เป็นโจรมันต้องเหย้ี ม ฆา่ ได้เป็นฆา่ ความเมตตาสงสารไมม่ ีในหมู่
โจร” หวั หนา้ โจรกล่าวเอาจริงเอาจงั
354
ฝา่ ยพญาชา้ งมหฬิ ามขุ ไดย้ นิ คา� พดู ทกุ คา� ของพวกมนั และเขา้ ใจความหมาย
ไดด้ ี คร้งั แรกกไ็ ม่คดิ อะไร แตค่ รนั้ ไดย้ ินค�าพดู บอ่ ยๆ เข้า ก็เกดิ คล้อยตาม “โจร
พวกนี้สอนกนั ให้เหยี้ มโหด หยาบคาย ฆ่าได้เปน็ ฆ่า เราก็นา่ จะเปน็ เช่นนั้นบ้าง”
นบั แตน่ น้ั มา พญาชา้ งกเ็ ปลย่ี นนสิ ยั กลายเปน็ สตั วด์ รุ า้ ย กระทบื โรงดงั โครมคราม
รงุ่ เชา้ พอนายควาญช้างมาถงึ ก็อาละวาด เอางวงจบั เขาฟาดทีพ่ น้ื จนขาดใจ
ตาย พญาช้างฆ่าคนทุกคนที่เข้ามาใกล้อย่างท่ีไม่เคยเป็นมาก่อน ความทราบถึง
พระเจา้ พรหมทตั พระองค์จงึ รบั สง่ั พวกอ�ามาตย์เข้าเฝา้ “ชา้ งมหิฬามุขบ้าคลงั่ ฆา่
ควาญชา้ งตายเม่ือเช้าน้ี ท่านทราบไหม” พระองค์ตรัสถามอ�ามาตยอ์ ยา่ งร้อนรน
พระทยั “ทราบ พะยะ่ ค่ะ” อ�ามาตย์กราบทลู “ถ้าอย่างนนั้ ก็ดีแลว้ อาจารย์ช่วยไป
ดทู วี า่ มนั บา้ คลง่ั อยา่ งนนั้ ไดเ้ พราะอะไร” ทรงรบั สงั่ อยา่ งแขง็ ขนั อา� มาตยร์ บั กระแส
รบั สั่งแลว้ ก็กราบถวายบงั คมลาไปยงั โรงช้าง
พอดเี วลานน้ั พญาชา้ งเพง่ิ จะสงบ อา� มาตยไ์ ดถ้ ามหมอหลวงถงึ สาเหตทุ พี่ ญา
ช้างเกิดบ้าคล่ัง “ตรวจดูแล้วก็ไม่พบโรคอะไรท่ีจะท�าให้บ้าคล่ังถึงขนาดนั้นไปได้”
หมอหลวงรายงานพร้อมทั้งสันนิษฐานวา่ “นา่ จะเปน็ อาการแปรปรวนทางจิตใจ”
อา� มาตยร์ ับทราบรายงานจากหมอหลวงอย่างน้นั แลว้ ก็คดิ หาสาเหตตุ ่อไป
เขาสนั นษิ ฐานลกึ ตอ่ ไปวา่ อาการแปรปรวนทางจติ น ้ี นา่ จะเกดิ มาจากทไี่ ดเ้ หน็ หรอื
ไดย้ ินเรอ่ื งที่ยั่วยุให้เกิดบ้าคลัง่ “เรื่องเหน็ นไี่ มน่ า่ เปน็ ไปได”้ นายควาญชา้ งอกี คน
หนงึ่ ชแ้ี จง “สงิ่ แวดลอ้ มทนี่ กี่ ม็ แี ตส่ วยงามทงั้ นนั้ ” “แลว้ เรอ่ื งไดย้ นิ ละ่ ” อา� มาตยซ์ กั
ถามต่อ “ไมแ่ น่ใจ” นายควาญชา้ งตอบ “แตก่ ค็ ิดวา่ ไม่น่ามีปัญหา เพราะพวกเรา
ไม่ได้ใช้ค�าพูดหยาบคายอะไรกัน” “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน” อ�ามาตย์สรุป “ขอให้
สังเกตดวู า่ มีเสยี งอะไรมาทา� ใหช้ า้ งเปลี่ยนไปบา้ ง” นบั แต่นนั้ มา นายควาญชา้ งก็
คอยสังเกตดูพฤติกรรมของชา้ ง
จนกระท่ังคืนหนึ่ง เขาสังเกตเห็นช้างยืนหูผึ่งเหมือนกับต้ังใจฟังเสียงอะไร
เขาคอ่ ยๆ หลบตวั อยใู่ นความมดื และคอยตงั้ ใจฟงั วา่ จะมเี สยี งอะไรดงั ขนึ้ “เฮย้ เปน็
โจรมนั ตอ้ งเหย้ี ม หยาบคาย ฆา่ ไดเ้ ปน็ ฆา่ ” เขาไดย้ นิ พวกโจรพดู อบรมชดั เจน นาย
ควาญช้างสังเกตดูช้างและฟังเสียงโจรไปด้วย จนท่ีสุดก็แน่ใจว่า เสียงโจรน่ีเองท่ี
ทา� ให้ชา้ งมนี สิ ัยเปลีย่ นไป จงึ ไดไ้ ปแจ้งใหอ้ �ามาตยท์ ราบ อา� มาตย์กไ็ ดไ้ ปกราบทลู
พระเจา้ พรหมทัต
พระเจ้าพรหมทตั ตบพระหตั ถฉ์ าดใหญ่พร้อมกบั ตรัสวา่ “อย่างน้นี ่ีเล่า ชา้ ง
ดีๆ จึงมาเป็นช้างเกเรไปได้ แลว้ อาจารย์จะหาทางแกไ้ ขอยา่ งไร” “เมอ่ื ได้ทราบถงึ
สาเหตอุ ยา่ งนแี้ ลว้ กแ็ กไ้ ขไมย่ ากหรอก พะยะ่ คะ่ ” อา� มาตยก์ ราบทลู ดว้ ยความเชอ่ื
ม่นั “อาจารยแ์ ก้ไขอยา่ งไร” “ขอเดชะ นบั แตน่ ขี้ ้าพระองคใ์ หเ้ จ้าหนา้ ที่กวดขนั ไม่
355
ให้พวกโจรหลบมามั่วสุมใกล้โรงช้าง แล้วจะให้นิมนต์สมณะพราหมณ์ ผู้มีศีลมา
นง่ั สนทนากนั เรอื่ งศลี เรอ่ื งเมตตากรณุ า ชา้ งไดฟ้ งั เรอ่ื งทดี่ มี าก ๆ เขา้ ขา้ พระองค์
เชื่อว่าจะท�าให้นิสยั ชา้ งกลบั มาดไี ด้พะยะ่ ค่ะ” “เอา้ ...ลองด ู เผ่อื วา่ จะไดผ้ ล”
ครั้นได้รับพระราชานุญาตแล้ว อ�ามาตย์ก็ให้เจ้าหน้าท่ีที่เก่ียวข้องไปนิมนต์
สมณะพราหมณ์มานงั่ ใกลโ้ รงช้าง แลว้ ขอใหส้ นทนากันดว้ ยเร่ืองศีล เรอ่ื งเมตตา
กรุณา วันแรกๆ พญาชา้ ง ยงั มที า่ ทีเฉย แตต่ อ่ เมือ่ ได้ฟังทุกวนั จิตใจทห่ี ยาบคาย
ร้ายกาจ และแข็งกระด้าง ก็เริ่มอ่อนโยน แล้วในที่สุดก็กลายมามีเมตตากรุณา
และสงบเยือกเยน็ ดุจเดมิ
ชาดกเรือ่ งน้มี คี ติสอนว่า
๑. ส่ิงแวดล้อมมีส่วนส�าคัญท�าให้คนดีหรือคนเลวได้ เหมือนพญาช้าง
มหฬิ ามขุ ไดย้ นิ เสยี งโจรพดู คุยบ่อยคร้ัง จนทา� ใหม้ นี สิ ยั ดรุ า้ ยไปได้ ฉะน้ัน
๒. การคลุกคลใี กลช้ ิดกบั คนพาลเป็นโทษอยา่ งย่งิ ฉะน้ัน ควรหลีกคน
พาลใหห้ า่ งไกล และไมค่ บคนพาลโดยเด็ดขาด ค�าว่า “คบ” นน้ั หมายความ
ว่าไปมาหาสกู่ ัน หม่นั เข้าไปอยใู่ กล้ มคี วามติดใจ เล่อื มใสนบั ถือเขา เปน็ เพอ่ื น
รว่ มคดิ เห็น รว่ มกินร่วมอยู่ ร่วมถา่ ยทอดความประพฤติ
๓. โทษของการคบคนพาล
๓.๑ ท�าให้พลอยแปดเปอื้ นเปน็ มลทนิ และจะตดิ ความเปน็ พาล
มีนิสยั เสียตามไปดว้ ย
๓.๒ ท�าให้ถกู ตเิ ตยี น ถูกมองในแงร่ า้ ย และไม่ไดร้ ับความไวว้ างใจ
๓.๓ ทา� ลายประโยชนข์ องตน เกิดความหายนะ การงานล้มเหลว
เพราะคนพาลชอบก้าวก่ายงานคนอื่น
๓.๔ ภยั ท้งั หลายจะไหลมาหาเรา เพราะคนพาลเปน็ อปั มงคล อยู่
ทไ่ี หนกม็ แี ต่เร่ืองเดือดร้อน เราจงึ พลอยเดอื ดร้อนไปดว้ ย
๔. ลักษณะของคนพาล ได้แก่ชอบคิดเรื่องชั่วต�า่ เปน็ ประจ�า ชอบพูดชั่ว
ทา� ชวั่ เปน็ ประจา� เพราะฉะนน้ั เมอ่ื พบคนมลี กั ษณะดงั กลา่ วนี้ ควรอธษิ ฐานจติ
วา่ “ขออยา่ ใหข้ ้าพเจ้าพบคนพาล คนพาลอยทู่ ใ่ี ด ขอใหข้ ้าพเจา้ ห่างไกลอย่าได้
อยรู่ ว่ มสนทนาปราศรัย หรือทา� กจิ การกับคนพาลโดยเดด็ ขาด”
(มหฬิ ามุขชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
ชาดก เอกนิบาต เลม่ ๒๘ หน้า ๓๓๐)
356
357
มัฏฐกณุ ฑลี
“เมื่อยงั อยไู่ ม่ดแู ล
ครนั้ เปลี่ยนแปรมานงั่ เสียใจ”
มัฏฐกุณฑลีเป็นเด็กหนุ่มชาวเมืองสาวัตถี เกิดในตระกูลพราหมณ์
พ่อแม่เป็นคนมั่งคั่ง แต่ตระหนี่เหนียวแน่น จนคนท้ังหลายให้สมัญญานามว่า
“อทนิ นปพุ พกะ” แปลวา่ ไมเ่ คยใหอ้ ะไรแกใ่ คร ถงึ กระนนั้ กย็ งั มแี กใ่ จเอาทองตแี ผ่
ทา� เปน็ ตมุ้ หเู กลยี้ งๆ ใหล้ กู ชายหนง่ึ ค ู่ คนทง้ั หลายจงึ เรยี กเดก็ คนนวี้ า่ มฏั ฐกณุ ฑล ี
แปลว่า “มตี ุ้มหเู กลย้ี ง”
ตุ้มหูนั้นพ่อเป็นคนท�าให้เอง ไม่ได้จ้างช่างทอง เพราะเกรงจะเสียค่าจ้าง
เมอื่ อาย ุ ๑๖ ป ี มัฏฐกุณฑลีปว่ ยหนกั มารดามองดูบตุ รแล้วเกิดความสงสาร จึง
ขอร้องให้สามีไปหาหมอ แต่ฝ่ายพราหมณ์ผู้เป็นสามีกลัวเสียเงิน จึงไม่ยอมหา
หมอมารักษาลกู เขาเพยี งแตไ่ ปถามหมอวา่ คนป่วยอาการอย่างนัน้ ๆ ท่านใชย้ า
อะไร หมอกบ็ อกวา่ ให้ใชย้ าทปี่ ระกอบนน้ั ๆ
พราหมณ์จึงไปหารากไม้ใบไม้ตามที่หมอบอกมาต้มให้ลูกกิน อาการของ
มัฏฐกุณฑลีไม่ดีข้ึนมีแต่ทรุดจนไม่อาจเยียวยาได้ พราหมณ์จึงไปหาหมอมาคน
หนง่ึ หมอมาเห็นอาการของมัฏฐกณุ ฑลีเขา้ รู้ทันทีว่าเหลอื แรงทจ่ี ะรักษาจงึ บอก
ปฏเิ สธ ไมย่ อมรักษา บอกให้พราหมณไ์ ปหาหมอคนอน่ื
ตอ่ มาลกู ปว่ ยหนกั ขน้ึ เขากค็ ดิ ขนึ้ มาไดว้ า่ ถา้ คนมาเยยี่ มลกู ชายกต็ อ้ งเหน็
วา่ บา้ นเรามที รพั ยส์ มบตั ิมากมาย พอมาเหน็ วา่ มที รัพยส์ มบตั มิ าก เด๋ยี วญาตกิ ็
แหม่ าขอ จะท�าอยา่ งไรดีหนอ ลกู กอ็ าการหนกั นอนซมบนเตยี ง จะปิดข่าวก็ไม่
ได้ จึงอุ้มลูกไปนอนนอกชาน ญาติมาเย่ียมจะได้ไม่ต้องเข้าไปในห้อง เยี่ยมที่
นอกชานโน่นนน่ั แหละ ดว้ ยความตระหนีถ่ ี่เหนียวของพราหมณผ์ พู้ ่อ ถึงแม้จะมี
หมอเทวดาอยกู่ ช็ ว่ ยไมไ่ ด ้ แตเ่ พราะกลวั วา่ จะตอ้ งเสยี คา่ ยาหมอ สดุ ทา้ ยกเ็ ลยไม่
ตามหมอ
ในท่ีสุดลูกก็มีอาการข้ันตรีทูต คือไม่สามารถเยียวยาได้อีกต่อไป แม้จะ
ขยบั มอื ขยบั เทา้ กไ็ ม่ได้ อาการอยใู่ นข้นั โคมา่
358
วันนั้น พระพุทธเจ้าทรงตื่นบรรทมแต่เช้า พราหมณ ์
ทรงตรวจดูอุปนิสัยของคนที่พระองค์ควรจะโปรด พราหมณไ์ ดย้ นิ เสยี งคนรอ้ งไห ้ เหลยี วไปกเ็ หน็
ทรงเห็นอุปนิสัยของมัฏฐกุลฑลีมีบารมีพอที่จะ
บรรลุธรรม จึงเสด็จมาโปรด ขณะที่พระศาสดา มาณพคล้ายมฏั ฐกุลฑลบี ตุ รของตน จงึ เดินเข้าไปหา
เสดจ็ มาถงึ นนั้ มฏั ฐกลุ ฑลกี า� ลงั นอนผนิ หนา้ เขา้ ฝา และถามว่า “พ่อหนมุ่ ทา่ นแต่งกายคล้ายมัฏฐกลุ ฑลี
เรอื น พระศาสดาทราบวา่ มาณพไมเ่ หน็ พระองคจ์ ึง บตุ รของขา้ พเจา้ ทา่ นมายนื รอ้ งไหอ้ ยใู่ นปา่ ชา้ นเี้ พราะ
ทรงเปล่งพระรศั มไี ปวาบหนึ่ง มาณพคดิ วา่ “นีแ่ สง มีทุกขป์ ระการใดหรอื ?” “กท็ ่านเล่ามีทุกข์อะไร ?”
อะไรกันหนอ?” แล้วผินหน้าออกมาภายนอก ได้ มาณพถาม “ข้าพเจ้าเศร้าโศกถึงบุตรคนเดียวท่ีตาย
เห็นพระศาสดา คิดขึ้นมาได้ว่า “บิดาของเราเป็น ไปแล้ว” “ขา้ พเจา้ มรี ถอยู่คันหนง่ึ ” มาณพตอบ “ตัว
อันธพาล เราจึงมิได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ผู้ทรง รถเปน็ ทองคา� ลว้ น ผดุ ผอ่ งสวยงาม แตข่ า้ พเจา้ หาลอ้
พระคณุ อนั ประเสรฐิ เหน็ ปานน ้ี มไิ ดข้ วนขวายในกจิ ไมไ่ ด ้ ขา้ พเจา้ คงจกั ตอ้ งตรอมใจตายเพราะเหตนุ เี้ ปน็
ทช่ี อบ มไิ ดถ้ วายทาน มไิ ดฟ้ งั ธรรมแตอ่ ยา่ งใดอยา่ ง แนแ่ ท”้
หนงึ่ เลย บัดนี้ แม้แตม่ อื ของตวั เองเรากย็ กไม่ไหว
เสียแล้ว จะทา� อยา่ งอืน่ ได้อยา่ งไร ?” ดงั นแ้ี ลว้ ได้ พราหมณ์ตกตะลึงสักครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า
ทา� จิตใหเ้ ล่ือมใสในพระศาสดา “มาณพผู้เจริญ ท่านต้องการล้อทองค�า หรือล้อเงิน
หรอื ลอ้ แกว้ มณ ี จงบอกมาเถิด ข้าพเจ้ารับปากว่าจะ
พระองค์ทรงทราบว่า มฏั ฐกลุ ฑลไี ด้ท�าจิตใจ จัดหามาให้ท่านได้” มาณพคดิ วา่ “ดู๊ดู พราหมณน์ ี้
ให้เลื่อมใสในพระองค์แล้วก็เสด็จออกไป พอ ช่างเป็นไปได้ ตอนบุตรของตนป่วยหนักไม่ยอมเสีย
พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ลบั ตาเทา่ นั้น เขากส็ ิ้นใจ ทา� ให้ เงนิ รกั ษาแมแ้ ตเ่ ลก็ นอ้ ย ตอนนเ้ี หน็ วา่ เรามรี ถทองคา�
เขาไปเกิดในสุคติภพกล่าวคือเกิดเป็นเทวดา แล้ว จะยอมจ่ายค่าล้อให ้ ไม่ว่าล้อทองค�าหรือลอ้ เงิน อา!
พระพทุ ธองคก์ เ็ สดจ็ กลบั บรรลวุ ตั ถปุ ระสงคช์ ว่ ยสง่ พราหมณ์นเ้ี ป็นคนอนั ธพาลจริงๆ แตก่ ็ช่างเถอะ เรา
เขาสา� เรจ็ แลว้ ฝา่ ยพราหมณผ์ เู้ ปน็ บดิ าทา� ฌาปนกจิ จะล้อแกเลน่ หนอ่ ย” จงึ กล่าวว่า “พราหมณ์เอย๋ สง่ิ
ศพลูกชายแลว้ กไ็ ดแ้ ตร่ อ้ งไห้ ไปยืนร้องไห้ที่ปา่ ช้า อน่ื ใดอนั จะควรเปน็ ลอ้ รถของขา้ พเจา้ หามไี ม ่ นอกจาก
ทกุ วนั ครา�่ ครวญวา่ “ลกู ชายคนเดยี วของพอ่ อยไู่ หน ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เท่านั้น หากได้ดวงจันทร์
มาหาพอ่ หนอ่ ยเถิด” และดวงอาทิตย์มาประกอบเป็นล้อ รถของข้าพเจ้า
คงจะงามเย่ียม ไม่มีอะไรเสมอเหมือน”
เทพบุตรมัฏฐกุลฑลีรู้สึกตัวอย่างสมบูรณ์ใน
เทวโลก แลว้ พิจารณาถึงทิพยสมบัตขิ องตนกร็ เู้ ห็น พราหมณค์ ดิ วา่ เดก็ หนมุ่ คนนคี้ งเปน็ บา้ แนน่ อน
โดยตลอดวา่ ไดม้ าเพราะทา� จติ ใจใหเ้ ลอ่ื มใสในพระ จึงกล่าววา่ “ท่านตอ้ งการส่งิ ท่ไี มอ่ าจเปน็ ไปได้ ทา่ น
ศาสดา ได้มองเห็นพราหมณ์บิดายืนร้องไห้อยู่ท่ี โงเ่ ขลาเหลอื เกนิ ทา่ นตายแลว้ เกดิ อกี สกั รอ้ ยพนั ชาติ
ป่าช้า จึงส�าแดงเพศคล้ายมัฏฐกุลฑลีมายืนกอด กไ็ มอ่ าจดึงเอาดวงจนั ทรด์ วงอาทิตยม์ าเปน็ ล้อรถได”้
แขนรอ้ งไห้ อยู่ ณ อกี มุมหน่งึ ของปา่ ช้า เทพบตุ ร
มีความประสงค์จะเอาหนามมาบ่งหนามในใจของ มาณพตอบว่า “พราหมณ!์ ดวงจนั ทร์และดวง
อาทติ ยย์ งั ปรากฏใหเ้ หน็ อย ู่ ขา้ พเจา้ ตอ้ งการสง่ิ ทม่ี อง
เห็นได้ ส่วนท่านร้องไห้คร�่าครวญ ต้องการสิ่งอัน
359
ใครๆ กม็ องไมเ่ หน็ ในระหวา่ งเราทงั้ สอง ใครเปน็ พาล จากคนรักและของรักอยู่ตลอดเวลา แต่น้อยคน
กนั แน่ ใครโงก่ ว่าใครกนั แน”่ นกั จะตระหนกั รู้ เราไมเ่ คยมองความพลดั พรากใน
ชีวติ ประจ�าวนั เรามักคดิ เอาว่าเราจะพบกับความ
พราหมณ์ได้ฟังดังน้ันกลับได้สติ ยอมรับว่า พลดั พรากกต็ อ่ เมอ่ื ใครคนหนง่ึ เดนิ ออกไปจากชวี ติ
มาณพน้อยพูดถกู ตนเปน็ ผเู้ ขลากว่า เพราะตอ้ งการ ของเรา ใครคนหนึ่งล่วงลับดับขันธ์ออกไปจาก
ส่งิ ทม่ี องไม่เห็น และไมเ่ คยมใี ครเรยี กคืนมาได ้ วงศาคณาญาตขิ องเรา
พราหมณไ์ ดก้ ลา่ วชมเชยมาณพนนั้ วา่ “ขา้ พเจา้ แท้ที่จริงน่ันคือความพลัดพรากอย่างหน่ึง
เป็นผู้เร่าร้อนนักหนา ท่านน�าความเห็นถูกมาให้ เป็นความพลัดพรากอย่างเปิดเผย แต่ยังมีการ
ข้าพเจ้ากลับกลายเป็นผู้เย็น ประหนึ่งท่านน�าน้�ามา พลดั พรากแบบปกปดิ คอื การพรากจากคนรกั ของ
ดบั ไฟ ความกระวนกระวายทง้ั ปวงของข้าพเจา้ ไดด้ บั รัก ตลอดเวลาในชีวิตประจ�าวันของเราน่ันเอง
ลงแลว้ ความเศร้าโศกถึงบตุ รก็บรรเทาลงแล้ว ทา่ น แมแ้ ตล่ มหายใจ เมอ่ื เราหายใจเขา้ หายใจออก เรา
ได้ถอนลูกศรคือความโศกออกจากหทัยของข้าพเจ้า ก็หายใจท้ิงทุกครั้ง เราก็ได้พลัดพรากจากลม
เสียได้ ค�าของท่านประเสริฐนัก ช่วยดับความร้อน หายใจของเราแล้ว ลืมตาตืน่ เรากม็ คี วามสขุ พอ
และความโศกในใจของขา้ พเจ้าได้” เราหลับความสุขก็ถูกลืม เราก็ได้พลัดพรากจาก
ความสขุ ตอนย่างเขา้ สูก่ ารหลบั
และแล้วพราหมณ์ก็ได้ถามว่ามาณพน้ันเป็น
ใคร มาณพก็บอกว่า เขาคือมัฏฐกุลฑลี บุตรของ ฉะนั้น ก่อนท่ีเราจะพลัดพรากจากคนอัน
พราหมณ์นั่นเอง ได้ท�ากุศลกรรมไว้ก่อนตาย จึงได้ เป็นที่รัก ทา� ไมเราไม่เรียนรูท้ จ่ี ะอยู่กับคนอนั เปน็
ไปเกดิ เป็นเทพ พราหมณก์ ลา่ วว่า ต้ังแต่ขา้ พเจา้ อยู่ ทร่ี กั อย่างมีความสขุ เผ่ือวันหน่ึงข้างหน้าเกดิ การ
ดว้ ยกนั มายงั ไมเ่ คยเหน็ บตุ รของตนใหท้ านหรอื รกั ษา พลดั พรากขนึ้ มาจรงิ ๆ เราจะไดน้ งั่ ลงยอมรบั ความ
ศลี แตอ่ ยา่ งใดเลย มาณพไปสเู่ ทวโลกไดด้ ว้ ยกรรมอนั พลัดพรากด้วยความสงบ ด้วยความรู้เท่าทัน
ใด สัจธรรมของชีวิตสอนเราว่า ก่อนพลัดพรากควร
อยกู่ นั ให้คุ้ม จะอยู่อยา่ งไรใหค้ ุ้มล่ะ กท็ �าดีเหมอื น
มาณพได้เล่าเร่ืองที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรด หนงึ่ ว่า “ทุกวนั เวลาเปน็ วันสุดท้ายของเรา” หาก
ใหพ้ ราหมณฟ์ งั พราหมณเ์ กดิ ปตี ปิ ราโมทยเ์ ปน็ อยา่ ง ระลึกได้อย่างนี้เมื่อไร นั่นละเราได้กลับไปหา
มาก และกลา่ ววา่ “นา่ อศั จรรยจ์ รงิ หนอ นา่ ประหลาด บคุ คลทเ่ี รารกั แล้ว ควรดแู ลเขาให้ดีทส่ี ดุ ดว้ ย
จริงหนอ การท�าอญั ชลกี รรมแด่พระพทุ ธเจา้ มผี ลถึง
ปานน ี้ ขา้ พเจา้ จกั ทา� ใจใหเ้ ลอ่ื มใส นบั ถอื พระพทุ ธเจา้ (มฏั ฐกณุ ฑลีวัตถุ อรรถกถา ขุททกนิกาย
ในวันน้ีทีเดียว” เทพบุตรได้โปรดพ่อของตัวเองเสร็จ
แล้วก็เหาะกลบั ส่สู วรรค์ ผู้เป็นพ่อได้ปล่อยวางความ ธรรมบท ยมกวรรค เลม่ ๑๗ หนา้ ๒๖)
เศร้าโศกเพราะพลดั พรากจากลูกเป็นผลส�าเร็จ
ชาดกเรื่องนี้มีคติสอนว่า การพลัดพรากนั้น
เป็นเรื่องส�าคญั เราทกุ คนแทท้ ีจ่ ริงก�าลงั พลัดพราก
360
361
ไฟสุมอก
“รษิ ยาพาให้ทกุ ข์
อยา่ ทา� ลายตวั เองเพราะแรงรษิ ยา”
ในทางพระพุทธศาสนา ความริษยาเปรียบเหมือนโรคร้ายที่คอย
ทา� ลายชีวิต ใครกต็ ามท่ีปล่อยใหค้ วามริษยาครอบงา� ก็เท่ากับวา่ เขาเรม่ิ
ป่วยดว้ ยโรคภัยที่เปน็ อนั ตรายต่อชวี ติ เข้าแล้ว ส่วนใครจะป่วยหนกั หรอื
ปว่ ยน้อย ก็ขึน้ กับระดบั ความรุนแรงของความรษิ ยา ถ้าเปน็ ความรษิ ยา
ระดบั สงู กม็ น่ั ใจไดว้ า่ ความรนุ แรงอาจถงึ ขน้ั วบิ ตั จิ ากคณุ งามความด ี และ
ความสุขในชวี ติ อยา่ งรวดเรว็
ดงั ตวั อยา่ งในนทิ านธรรมสาธกดงั ตอ่ ไปน ้ี ในเมอื งพาราณส ี แควน้
โกศล มีพระมหากษัตริยพ์ ระองค์หนึ่ง มีพระโอรสสองพระองค ์ องคโ์ ต
นั้นเป็นที่โปรดปรานของพระราชบิดาเป็นอย่างมาก เพราะมีอุปนิสัย
อ่อนน้อมถ่อมตน เฉลยี วฉลาด ใจกวา้ ง สว่ นโอรสองค์เล็กนัน้ พระราช
บดิ ามสิ ูโ้ ปรดนกั ด้วยมนี ิสัยริษยาและใจแคบเปน็ เจา้ เรอื น
อยู่มาวนั หนึ่ง พระราชบิดาทรงเรยี กโอรสองคเ์ ล็กเขา้ เฝ้า แล้วมี
รับสง่ั ว่า “พอ่ จะใหพ้ รเจ้า นน่ั คือเจา้ อยากไดส้ งิ่ ใด กข็ อจากพอ่ ได ้ พอ่
ยนิ ดหี าใหเ้ จา้ ไดท้ กุ อยา่ ง ไมว่ า่ จะเปน็ ของหนกั เทา่ ตวั เจา้ มา้ ฝเี ทา้ ด ี หรอื
อยากมีปราสาทสักหลังหนึ่ง พ่อก็ยินดีจัดให้” “เย่ียมมากเลยเสด็จพ่อ
ขอเวลาหมอ่ มฉนั คดิ สกั วนั หนงึ่ กอ่ นไดไ้ หม” “ไดส้ ลิ กู แตล่ กู จงจา� ไวอ้ ยา่ ง
หน่ึงนะว่า พอ่ ไมไ่ ด้มลี กู ชายคนเดียว ดงั นนั้ สง่ิ ใดท่ีพ่อใหเ้ จ้า พอ่ จะมอบ
สิ่งน้ันให้พ่ีของเจ้าเป็นสองเท่าเลยทีเดียว” โอรสพระองค์เล็กได้ฟังเช่น
น้นั แล้ว กรว้ิ จดั ขน้ึ มาทันที มีพระดา� ริในพระทยั วา่ “เม่ือโลกให้ฉันเกดิ
มาแล้ว ทา� ไมต้องใหพ้ ชี่ ายเกดิ มาด้วย”
คนื นนั้ ทง้ั คนื พระโอรสองคเ์ ลก็ บรรทมไมห่ ลบั เพราะทรงครนุ่ คดิ
อยู่ตลอดเวลาว่า ทา� อยา่ งไรจงึ จะไม่ให้พช่ี ายได้อะไรดไี ปกว่าตนเอง ยิง่
คดิ กย็ งิ่ ฟงุ้ ซา่ น เพราะหากตนขอสง่ิ ใดพช่ี ายกจ็ ะไดส้ ง่ิ นนั้ เปน็ สองเทา่ ไฟ
362
รษิ ยาคกุ รนุ่ อยเู่ ตม็ พระทยั ในทส่ี ดุ เจา้ ชายกต็ ดั สนิ ใจไดว้ า่ จะทรงขอพร
อะไรที่มีผลให้พี่ชายได้รับเป็นสองเท่า แต่สิ่งท่ีพี่ชายได้รับนั้นต้องเป็น
ความทกุ ขห์ นกั หนาสาหสั เปน็ ทวคี ณู เพราะเหตทุ ที่ รงคดิ ดว้ ยความรษิ ยา
เจ้าชายน้อยจงึ มองไมเ่ ห็นวา่ สิ่งท่ีพระองค์จะทรงขอน้นั หาได้มีผลเสีย
ตอ่ พ่ชี ายเทา่ น้ัน ทวา่ ยังมีผลเสยี ตอ่ ตนเองด้วย
วันรุ่งข้ึน เมื่อพระราชบิดาโปรดให้เข้าเฝ้าและตรัสถามว่าจะทรง
ขอพรอะไร โอรสองคเ์ ลก็ จงึ ทูลตอบวา่ “ลูกรแู้ ลว้ ว่าจะขออะไร” “ขอมา
ได้เลยลูกพ่อ” “ลูกขอให้เสด็จพ่อควักลูกนัยน์ตาของหม่อมฉันเสียข้าง
หน่ึงเถดิ ” นค่ี อื อา� นาจของไฟริษยาที่คอยกดั กนิ ใจยิง่ กว่าไฟสมุ อก
นิทานธรรมเรื่องนี้มีคติสอนว่า เราจะเห็นได้ว่าความริษยาคือ
เมล็ดพันธุ์ของความรุนแรง ซ่ึงแฝงฝังอยู่แล้วในจิตใจของเราทุกคน
อาการของความริษยา คอื เหน็ คนอ่ืนได้ดีแล้วทนอยูไ่ ม่ได้ หรอื รับไม่
ได้ หากเห็นใครก็ตามท่ีอยู่ตรงข้ามกับเรา “ได้ดีมีสุข” ความริษยา
เปรียบเหมือนเปลวไฟที่เผาผลาญตนพร้อมกับท่ีเผาผลาญคนอื่น
ความรษิ ยาสงิ สอู่ ยใู่ นหวั ใจของผใู้ ดแลว้ ชวี ติ ของผนู้ น้ั กจ็ ะหา่ งไกลจาก
ความสุข ในขณะทคี่ นซึง่ ตกเป็นทาสของความรษิ ยา คดิ หาวิธที ี่จะ
ท�าร้ายคนอ่ืนอย่างสาหัสสากรรจ์ที่สุดน้ัน ที่แท้จริงแล้ว เขาก�าลัง
ทา� ลายตวั เองไปดว้ ยพร้อม ๆ กนั ทา่ นจงึ กลา่ วว่า รษิ ยาคอื ไฟสุมอก
ให้ร้อนรนอยตู่ ลอดเวลา เป็นสนิมใจทก่ี ัดกร่อนสุมใจ ไม่มีวนั ดับ ดัง
นิทานธรรมคตเิ ร่อื งนี้
(นทิ านธรรมสาธก)
363
364
ราคาของอ�านาจ
“มีอ�านาจแล้วอยา่ เหลิง
เพราะอ�านาจไม่จีรงั ยั่งยนื ”
ความอยากใหญ ่ ไดน้ า� ชวี ติ มนษุ ยไ์ ปตดิ กบั ดกั อยใู่ นโลกน ้ี ทา� ใหส้ ลดั
ตนไมพ่ น้ ไปจากความทกุ ขน์ านปั การได้ ดงั นิทานพุทธปรัชญาเร่ืองหนึง่ ว่า
ดว้ ยความอยากใหญ่ มีเรือ่ งเลา่ วา่
มสี ิงโตปา่ ตัวหน่ึง ครอบครองตา� แหน่งเจ้าปา่ มานานมาก จนมันแก่
ง่ัก ฟันกรามแทบไม่เหลือ ไม่มีแรงท่ีจะไปจับเสือจับช้างกิน สิงโตตัวน้ีมี
บริวารอยู่ตวั หนง่ึ คอื สนุ ขั จิ้งจอก เจา้ สงิ โตตัวน ้ี ในวนั ทหี่ วิ ท่ีสุด มันจงึ เรียก
สุนขั จ้ิงจอก บริวารเข้ามาแล้วส่ังการว่า “เจ้าสนุ ขั แกไปหากวางมาให้ฉนั
กินสกั ตวั ซิ” สุนขั จง้ิ จอกกอ็ อกเดนิ ทางไปลา่ หากวางตามค�าสั่ง
ระหว่างทางมนั ไดเ้ จอกวางหนมุ่ ตัวหนงึ่ จึงแสร้งเจรจาด้วยลีลาแบบ
ลิ้นการทตู ทันที “เออน่เี จ้ากวาง ตอนนนี้ ะท่านราชสีห์เจ้าปา่ จะปล่อยวาง
อ�านาจแล้ว เพราะครองต�าแหน่งมานานเต็มที ท่านราชสีห์พิจารณาแล้ว
ไม่มีสตั ว์ชนิดไหนจะเป็นเจา้ ปา่ ไดเ้ หมาะกบั เจ้า เจา้ นะมีรปู ร่างท่ีสูงใหญ่ มี
ขาที่สวยงาม มีดวงตาท่ีทอประกายสุกสว่าง เหมาะอย่างย่ิงท่ีจะครอง
ตา� แหน่งแทนทา่ นราชสหี ์”
เมื่อกวางได้ยินค�ายอก็หูผึ่ง มันยืดอกข้ึนมา นึกคร้ึมอกคร้ึมใจใน
ความเลศิ เลอของตนเอง มนุษยเ์ รามธี รรมชาติอยู่อย่างหนึง่ ไมว่ า่ จะรูปชวั่
ตวั ด�าอยา่ งไรก็ตาม ถ้าใครมายอกช็ อบกนั ท้ังนนั้ กวางตัวนกี้ เ็ ชน่ เดียวกัน
พอสุนขั จ้ิงจอกมาบอกว่า “เจา้ เหมาะที่สดุ กบั ต�าแหน่งเจ้าปา่ รบี ไป
หาราชสีหเ์ ถอะ เพราะทา่ นจะยกตา� แหนง่ ให”้ ดว้ ยลีลาล้นิ การทูตของสุนขั
จิ้งจอกเพียงเท่าน้ี เจ้ากวางผู้อยากเป็นใหญ่ รีบวิ่งตาลีตาเหลือกไปหา
ราชสหี ์ พอไปถงึ ถา้� ไปยนื อยเู่ บอื้ งหนา้ ราชสหี ์ ราชสหี ช์ รากล็ กุ ขน้ึ มา และ
กระโดดงับกวางทันที กวางกระโดดออกมาด้วยความตกใจสุดชวี ติ ว่งิ ออก
จากถา้� แต่หูขาดไปขา้ งหน่งึ ว่งิ ไปรอ้ งโอดโอยไป ไปหลบเลยี แผลอยปู่ า่ ลึก
หลบเลยี แผลอย ู่ ๓ เดอื น จนหหู ายอกั เสบ จงึ เรม่ิ ออกจากปา่ ไปหากนิ ตาม
365
ปกติ แตใ่ นใจกย็ ังหวน่ั ๆ กบั ประสบการณเ์ ฉยี ดตาย โอกาสตะครบุ หทู า่ นนนั้ มนั คอื การทดสอบบางอยา่ ง
คราวน้ันอยู่ไม่หาย ท่านลองคิดดู ถา้ หากราชสีหจ์ ะกนิ ทา่ นจรงิ ๆ อยา่
ว่าแต่หูเลย ท่านตะครุบได้ทั้งตัวอยู่แล้ว เพราะ
สว่ นสงิ โตเจา้ ปา่ หลงั จากผดิ หวงั คราวนน้ั กย็ งั ศักยภาพของท่านราชสีห์นั้น กวางอย่างท่านจะไป
ไม่ละความพยายาม มนั เรยี กสนุ ัขจ้งิ จอกซ่ึงเป็นนกั เหลอื อะไร”
ประชาสัมพันธ์ส่วนตัวมาหารืออีกครั้งหน่ึง “เจ้า
จงิ้ จอก แกชว่ ยไปหลอกกวางมาอีกทซี ิ ฉนั ยงั เปร้ียว กวางหนุ่มเร่ิมคิด เพราะถูกตะล่อม “เออ!
ปากไม่หายเลย คราวท่ีแล้วฉันได้กินแค่หูกวาง จริง ถ้าท่านจะกินเราทั้งตัว ท่านคงเขมือบเราไป
แหม! แตแ่ ค่หนู ะ อร้อย อร่อย ถ้าไดก้ ินทัง้ ตวั และ แลว้ ” พอเปา้ หมายเรมิ่ ตายใจ สนุ ขั จง้ิ จอกเรม่ิ รกุ ตอ่
หัวใจของมันด้วยจะวิเศษขนาดไหน” เน่อื งจากสุนัข เลย “ทา่ นคงรนู้ ะ วา่ ถา้ ทา่ นราชสหี จ์ ะกนิ จรงิ ๆ ทา่ น
จิ้งจอกปราดเปรื่องด้านประชาสัมพันธ์จึงออกแผน ไม่เหลอื หรอก แตท่ า่ นท�าไมกินแค่หขู า้ งเดยี วรไู้ หม
โครงการใหม ่ คือโครงการ “ล่าหวั ใจกวาง” ดว้ ยสาย เพราะน่ันคอื การทดสอบ” “ทดสอบอะไร หขู องฉนั
สมั พันธท์ ่ีวางไว้อย่างแน่นหนาในป่าใหญ่ หายไปข้างหนึ่งเน่ียนะ” กวางถาม “ท่านราชสีห์
อยากจะทดสอบความเป็นผู้น�าของท่านว่า เม่ือเจอ
ใช้เวลาไม่นาน สุนัขจิ้งจอกก็พอจะสืบรู้ว่า กับภัยคุกคามแล้วจะรับมือไหวหรือไม่ ท่านน่ีถูก
กวางกลุ่มเป้าหมายไปหลบอยู่ที่ไหน มันจึงตามไป ตะครบุ หขู า้ งเดยี ว ทา่ นกย็ งั ฝอ่ วงิ่ หน ี นหี่ รอื ผนู้ า� ถา้
จนถึงท่ีลี้ภัยของเจ้ากวางหนุ่ม พอไปถึง เจ้ากวาง เปน็ อย่างน้ันจะไปจดั ระเบียบสตั วป์ า่ ได้อยา่ งไร”
หนุ่มท�าทา่ จะวิง่ หน ี แตส่ ุนัขจ้งิ จอกยม้ิ ให้กอ่ น กวาง
จงึ ใจออ่ นยอมคยุ ดว้ ย “เรายงั ขนลกุ ไมห่ าย แลว้ นเ่ี จา้ กวางฟงั แลว้ กร็ า� พงึ “เออ. นน่ั นะ่ ซนิ ะ ถา้ ทา่ น
มาทา� ไมอีก” กวางนกึ ในใจ แน่ละ ทา� ไมจะไม่คิดถึง จะกินเราท้ังตัว ท่านก็กินได้ แสดงว่าท่านราชสีห์
ฉันล่ะ ก็กินหูฉันไปข้างหน่ึงแล้วน่ี สุนัขจิ้งจอกซึ่ง ตอ้ งการจะทดสอบภาวะผนู้ า� ของเราจรงิ ๆ” “ทา่ นคดิ
ฉลาดเฉยี บแหลมดา้ นประชาสัมพนั ธ์ เริ่มคยุ ด้วย ถูกแลว้ การทดสอบที่ผา่ นมานั้น เป็นการทดสอบ
ทว่ งทลี ลี ามาดมน่ั แถมคราวนม้ี นั ใหเ้ กยี รตกิ วางหนมุ่ ภาวะผู้น�าในแง่ของการบริหารจัดการความเสี่ยง
ดว้ ยการเรยี กวา่ “ท่าน” อีกตา่ งหาก วกิ ฤต และผลกค็ อื ทา่ นสอบผา่ น คราวนถี้ า้ ทา่ นยอม
ไปพบราชสีห์ละก็จงวางใจเถิด ต�าแหน่งเจ้าป่าต้อง
“ท่านกวาง ทา่ นลองคิดดใู หด้ ีนะ ท่านราชสีห์ ตกเป็นของทา่ นอยา่ งแนน่ อน เออ! อย่าว่าอยา่ งนน้ั
คดิ ถงึ ทา่ น” กวางบอก “กแ็ หงอยแู่ ลว้ กนิ หฉู นั ไปขา้ ง อย่างนี้เลยนะ พอท่านได้เป็นเจ้าป่าแล้วอย่าลืมข้า
หน่ึง ท�าไมจะไม่คิดถึงฉันล่ะ” สุนัขจ้ิงจอกยังคง เสียละ่ ” สุนขั จิง้ จอกโปรยยาหอม
โอ้โลมดว้ ยลลี านิ่มๆ “ท่านอยา่ ไปมองโลกในแงล่ บซ ิ
ท่านน่ีทัศนคติไม่ดีเลยนะ” สุนัขจิ้งจอกร่ายมนต์ต่อ กวางหนุ่มฟังแล้วก็รู้สึกดีจนลืมตาย เพราะ
ไป “ท่านนี่มีทัศนคติเชิงลบต่อท่านราชสีห์อยู่มาก มันได้ยินแต่คา� เขอื่ งๆ ท้งั น้นั ทงั้ “เจ้าป่า” เอ่ย ทง้ั
ฉันขอแนะน�าให้คิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง ทุกอย่างมันไม่ “ภาวะผู้น�า” เอย่ ล้วนแต่เป็นศัพท์แสงหรูๆ ทั้งน้นั
ได้เป็นอย่างที่ท่านคิดหรอก” “ท�าไมล่ะ” กวางเริ่ม มาถึงตรงนี้กวางหนุ่มก็สนิทใจ เพราะมองเห็น
ตกหลมุ พราง “ฉันจะบอกอะไรใหเ้ อาบญุ นะ ความ ต�าแหน่งเจ้าป่าซ่ึงวางล่ออยู่ข้างหน้า กวางเดินตาม
จริงมันเป็นอย่างน้ี วันนั้น การที่ท่านราชสีห์ได้ถือ สุนขั จ้งิ จอกไปจนถงึ ถา�้ ของราชสหี ์
366
คราวนรี้ าชสหี ไ์ มร่ อ พอกวางหนมุ่ เดนิ เขา้ ไปไดส้ องสามกา้ ว ราชสหี ์
จึงออกมาดักรอจนปากถ�้า โดดตะครุบงับคอแล้วกัดกินกร้ามๆ อย่าง
เอร็ดอรอ่ ย
ในขณะท่ีก�าลังกัดกินอยู่กร้ามๆ นั้นเอง ส่ิงหนึ่งท่ีราชสีห์อยากกิน
ทสี่ ดุ เพอ่ื ต่ออายกุ ค็ อื หัวใจ มนั อยากจะกนิ หวั ใจกวางหนุ่ม กดั กร้ามๆ อยู่
สักพักหน่ึง หัวใจกวางกระเด็นออกมา สุนัขจิ้งจอกกระโดดเข้างับและ
เคยี้ วกรา้ มๆ สามคา� แลว้ กระเดอื กกลนื ลงทอ้ งไป นน่ั คอื รางวลั ของสดุ ยอด
นกั เจรจา คอื ได้กินหัวใจกวางหนุ่ม
พอราชสีห์กินเนื้อหมดแล้วก็เอะใจ ไม่พบหัวใจกวาง จึงถามสุนัข
จง้ิ จอก “หวั ใจอยไู่ หน” “ขา้ แตร่ าชสหี ์ กวางมนั ไมม่ หี วั ใจ” สนุ ขั จง้ิ จอกตอบ
“ทา� ไมไมม่ ีหวั ใจ” กเ็ พราะวา่ ถ้ามีหวั ใจ เจ้ากวางจะยอมใหข้ ้าหลอกถงึ สอง
ครงั้ สามครงั้ หรอื ” แลว้ นิทานเรื่องนก้ี ็จบตรงนี้
นิทานเร่ืองนี้มีคติสอนว่า ในชีวิตจริงเราอาจจะไม่ถูกหลอกด้วย
ลาภ ดว้ ยยศ ดว้ ยสรรเสรญิ ซง่ึ เปน็ กเิ ลสระดบั ธรรมดา แตพ่ อมาหลอก
ดว้ ยอา� นาจ มใี ครบา้ งทไี่ มอ่ ยากได้ ทกุ คนลว้ นอยากไดอ้ า� นาจ นนั่ แหละ
กวางหนมุ่ ตกเปน็ ทาสของมานะ คอื อยากใหญ่ อยากไดอ้ า� นาจ ในท่ีสุด
กถ็ ูกสุนัขจ้ิงจอกหลอกไปใหร้ าชสีหก์ นิ
ความหมายของมานะ ในแง่นี้ก็คืออ�านาจ ความอยากเป็นใหญ่
อยากเป็นนาย อยากเปน็ คนสา� คัญ อยากบรหิ ารจัดการ ลว้ นเป็นอาการ
ของคนใฝอ่ า� นาจทงั้ นน้ั ดว้ ยเหตนุ ้ี เราควรเตอื นตนไวเ้ สมอวา่ “บา้ อะไร
กบ็ า้ ได้ แต่อย่าบ้าอ�านาจ” เพราะถา้ บ้าอา� นาจ พวกเราอาจจะไม่ได้เสยี
เพยี งหขู า้ งหนง่ึ แตอ่ าจเสยี ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งไป และเสยี สงู สดุ คอื ความสญู
เสยี ทางจิตวิญญาณ ฉะนั้น อยา่ บ้าอ�านาจ แต่ถ้ามอี า� นาจขึ้นมาแลว้ ก็
ให้ใชอ้ า� นาจอย่างระมัดระวงั รจู้ ักส�ารวมในอ�านาจ รเู้ ทา่ ทนั ขอ้ ดขี อ้ เสีย
ของอา� นาจ เพราะอา� นาจกต็ กอยใู่ นกฎไตรลักษณ์ คือไมเ่ ทยี่ ง เปน็ ทกุ ข์
และเป็นอนตั ตา เกดิ ข้นึ มาแลว้ กแ็ ตกดบั อา� นาจใดๆ ลว้ นไม่จีรังทงั้ ส้นิ
(นิทานธรรมสาธก)
367
368
กา� แพงคกุ
“ทฏิ ฐเิ ป็นอุปสรรคทา� ลายชีวติ และมิตรภาพ”
นานมาแลว้ มพี ่อลูกคู่หนง่ึ อาศยั อยูใ่ นปา่ พ่อยึดอาชีพตดั ฟนื เผา
ถ่าน แล้วน�าไปขายในเมอื ง อยู่มาวันหน่ึง พ่อขนถา่ นไปขายในเมอื ง กลบั
ออกมาไมท่ ันเวลาประตเู มอื งปดิ จึงกลับบ้านไม่ได้ตอ้ งค้างในตัวเมือง
คืนน้ัน ลูกนอนอยู่บ้านป่าคนเดียว พอดีมีโจรป่าบุกมาปล้นบ้าน
รวบรวมเอาสง่ิ ของทกุ อยา่ งในบา้ นไปหมด อกี ทงั้ จบั ตวั ลกู ชายไปดว้ ย กอ่ น
จะกลับพวกโจรป่าได้เผาบ้านทิ้ง หมาของพวกมันตัวหนึ่งหนีไม่ทันถูกไฟ
คลอกตายอยู่ในบา้ น เหลือแตเ่ ถ้ากระดกู
วันรุ่งข้ึน ผู้เป็นพ่อก็ได้กลับบ้านป่า พอมาถึงก็ไม่เห็นบ้านเสียแล้ว
เหน็ แตต่ อไมท้ เี่ คยเปน็ เสาบา้ นดา� เปน็ ตอตะโก เขารอ้ งหม่ รอ้ งไหห้ าลกู ชาย
ก็ไม่พบเขาโกยกองกระดูกขึ้นมาแนบอก พลางร้องไห้คร่�าครวญปิ่มว่าจะ
ขาดใจตาย “โอ!้ ลกู พอ่ ตอนยงั มชี วี ติ อย ู่ ลกู ตวั สงู ใหญ ่ แตพ่ อตายไปเหลอื
แต่กระดูกกองนิดเดียว” เขาร้องห่มร้องไห้ท้ังคืนท้ังวัน แล้วจึงค่อยๆ
รวบรวมกระดูกกองนนั้ ซงึ่ ความเป็นจรงิ เป็นกระดูกของสุนัขตวั หน่งึ ใสใ่ น
ถงุ ผา้
หลังจากนั้นเขาก็ไปสร้างบ้านใหม่อยู่ในป่าแห่งหนึ่งซ่ึงไกลออกไป
เพือ่ จะได้ลมื ความหลงั อนั แสนจะเจบ็ ปวด เวลาผ่านไปสามส่ปี ี เขามีชีวติ ที่
ยาก อยใู่ นความเศรา้ ทงั้ คนื ทงั้ วนั พรอ้ มมที ฏิ ฐคิ อื มคี วามเชอื่ มน่ั ทฝี่ งั อยใู่ น
จิตในใจว่า “ลกู ของฉนั ตายแลว้ สงิ่ ท่เี หลอื อยกู่ ม็ ีเพียงกองกระดกู กองหนึ่ง
นเ้ี ทา่ นนั้ ” ทกุ คนื เขาจะนง่ั คยุ กบั กระดกู ของสนุ ขั ทเี่ ขาเชอื่ อยา่ งฝงั ใจวา่ เปน็
ชนิ้ สว่ นกระดกู ของลูกชาย
อยตู่ ่อมาเข้าปที ีห่ า้ ลูกชายทีถ่ ูกโจรจับไปกห็ นีออกมาได ้ ตามหาพ่อ
ไปที่บ้านเดิมก็ไมพ่ บ เลยเที่ยวถามชาวบา้ น ชาวบ้านก็บอกว่าตอนนเ้ี ขาได้
ยา้ ยไปสรา้ งบา้ นใหมแ่ ลว้ ลกู ชายตามหาจนพบบา้ นใหมข่ องพอ่ ในเวลาคอ่ น
369
คนื แล้ว พอมาถึงกเ็ คาะประตเู รียกพ่อ “พ่อครับผมเอง ผมลกู พ่อไงครบั
พอ่ อยู่ในบ้าน จ�าเสยี งลูกชายได ้ แตใ่ จหนง่ึ กน็ ึกขึน้ มาไดว้ ่า ลกู ของตัวเอง
ได้ตายไปแลว้ ในกองไฟ นี่ไงเถา้ กระดกู ของลกู เพราะฉะนั้น เด็กท่ีมาเรยี กอยู่
ขา้ งนอกตอ้ งเปน็ คนไมป่ ระสงคด์ เี ปน็ แน ่ พอ่ จงึ เงยี บไมส่ นใจ ลกู ชายกเ็ คาะประตู
อกี เคาะอยูน่ าน วนเวยี นอยู่หน้าบา้ น จนถึงเทีย่ งคืน พอ่ กไ็ มย่ อมเปิดประตูให้
เพราะดึกแลว้ อีกอยา่ งกร็ ู้อยแู่ ก่ใจว่าลูกของตนน้ันได้ตายไปแล้ว
ฝา่ ยลกู กเ็ คาะประตอู ยอู่ ยา่ งนน้ั จนเกดิ อาการเหนอื่ ยลา้ เมอื่ ไมไ่ ดย้ นิ เสยี ง
ตอบรับจากพ่อ ลกู ก็เกดิ ทฏิ ฐขิ นึ้ วา่ “สงสัยคนข้างในไม่ใชพ่ อ่ ของตัวเอง” พ่อก็
เกิดทฏิ ฐอิ ีกชดุ หนง่ึ วา่ “สงสัยคนด้านนอกไม่ใชล่ ูกของตัวเอง เพราะลูกตายไป
แล้วเหลือแต่กระดูกอยู่ในถุงผ้านั่นไง” เป็นอันว่าท้ังพ่อทั้งลูกต่างก็ป่วยเป็นโรค
ใจแคบ
ใจของคนท้ังคู่เต็มไปด้วยทิฏฐทิ ่ีตัวเองสมาทานเอาไว ้ จึงไมม่ ที วี่ ่างพอจะ
รองรับความจริงชดุ ใดๆ ได้อกี เวลาตหี นึ่ง ลกู ท้ังๆ ทีเ่ ดินทางมาถึงบ้านพ่อแล้ว
พอ่ ท้งั ๆ ท่ลี ูกยืนอยู่ตรงหน้า หา่ งแค่ฝาบา้ นกั้นเทา่ นนั้ ก็กลายเปน็ กา� แพงคุกท่ี
ไม่สามารถมองทะลุเห็นกนั ได้ ในทสี่ ุด พอ่ ลกู กไ็ มไ่ ดพ้ บกัน เพราะต่างคนตา่ ง
อยูก่ บั ‘ทิฏฐ’ิ คอื ‘โรคใจแคบ’ ของตวั เอง
นทิ านเรอื่ งนมี้ คี ตสิ อนวา่ คนทนี่ อนกอดทฏิ ฐิ ตอ่ ใหค้ วามจรงิ มาปรากฏ
อย่ตู รงหน้า กม็ องไมเ่ ห็น บางคร้งั คนทีร่ ักกนั มาก เช่น สามีภรรยา พอ่ กบั ลกู
พก่ี ับนอ้ ง เพอื่ นกบั เพื่อน ญาติกับญาติ บ่อยครั้งต้องเลิกรา้ ง หา่ งเหนิ จากกนั
ไปในสภาพไมเ่ หลอื ความทรงจา� อนั งดงามระหวา่ งกนั เพราะตา่ งคนตา่ งกป็ ว่ ย
ดว้ ยโรค “ใจแคบ” ปัญหาต่าง ๆ ในชีวติ ของเรานัน้ บางครง้ั กแ็ ก้ได้ง่ายนดิ
เดยี ว แต่ทีม่ นั ยืดเยื้อเรอ้ื รังกลายเป็นปัญหา เพราะต่างคนตา่ งถอื ทิฏฐิ ไมม่ ี
ใครยอมให้ใคร เพราะเชอื่ มั่นว่าตนเปน็ ฝ่ายถกู ในเม่อื เป็นฝ่ายถูกจะใหย้ อม
คนอ่ืนก่อนนั้นเป็นไปไม่ได้ ความจริงคนที่มีท่าทีอย่างน้ี แม้เขาจะถือว่าตน
เป็นฝ่ายถูก แต่ก็นับว่าเป็นฝ่ายถูกที่ผิด เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาท่ียืดเย้ือ
เรอ้ื รงั ออกไป เป็นการหมักความทุกขเ์ อาไว้ ทา� ให้ไมไ่ ด้รับการแกไ้ ขอย่างถกู
ตอ้ ง เปน็ การปดิ กัน้ ตัวเองกับความจริงออกไป เหมอื นขงั ตัวเองใหอ้ ยู่ในคุกท่ี
มืดมิด ไมม่ ีวันได้ออกมาสู่โลกแหง่ ความจรงิ ได้
(นทิ านธรรมสาธก)
370
371
โคตวั ที่ ๑๘
“การใหค้ อื การได้
อยา่ ทา� ตวั เป็นผู้รบั ฝ่ายเดยี ว”
ณ ทา่ มกลางท้องทุ่งอนั แหง้ แลง้ มีพ่อค้าคนหนง่ึ พร้อมด้วยสินคา้
อันหนักอึ้ง บรรทุกมาเต็มเกวียน ขณะท่ีเดินทางฝ่าลมแดดที่ร้อนระอ ุ
พร้อมกบั โคคู่ใจ กไ็ ด้มาถึงท่ีแห่งหนงึ่ ซ่งึ อดุ มไปด้วยหญ้าและต้นไม้ เม่ือ
มาถึง พ่อค้าคนน้ันก็ประหลาดใจ ที่พบพี่น้องสามคนก�าลังคร่�าครวญ
ร้องไห ้
หลงั จากไดถ้ ามไถเ่ รอื่ งราวจากสามพน่ี อ้ งทก่ี า� ลงั ทกุ ขโ์ ศก กท็ ราบ
ว่าบิดาของพวกเขาเพิ่งจะเสียชีวิตไป ส่วนสาเหตุที่คร�่าครวญร้องไห้ก็
เพราะวา่ พวกเขาไมส่ ามารถท่จี ะปฏิบัตติ ามคา� สง่ั เสียของบิดากอ่ นตาย
ซ่ึงส่ังไว้อย่างเข้มงวดว่า ทรัพย์สมบัติท้ังหมดท่ีมีอยู่ ให้แบ่งแก่บุตรคน
หัวปคี ร่ึงหน่งึ ใหบ้ ตุ รคนท่ีสองเศษหน่งึ สว่ นสาม และให้บุตรคนสุดท้อง
เศษหนึ่งส่วนเก้า พ่ีน้องทั้งสามได้จัดสรรแบ่งปันในส่วนที่เป็นทรัพย์สิน
ตา่ งๆ ของบดิ าอยา่ งเรยี บรอ้ ยลงตวั แตไ่ มส่ ามารถจะจดั สรรกบั ฝงู โค ๑๗
ตวั ได ้ พวกเขาพยายามที่จะแบ่งตามคา� สง่ั ของบิดา แต่แบง่ อย่างไรกไ็ ม่
ลงตัว จึงพากนั อับจนปัญญา
พอ่ ค้าครนุ่ คิดถึงปัญหาของพวกเขาอย่คู รูห่ นง่ึ แล้วเสนอทางออก
ให ้ “ฉันจะยกโคของฉันให้ ๑ ตวั พวกเธอกจ็ ะมีโค ๑๘ ตัว พวกเธอก็
จะแบง่ ปนั กนั อยา่ งลงตวั ” “ไมไ่ ดห้ รอกครบั ! ทา่ นทา� อยา่ งนนั้ ไมไ่ ด ้ ทา่ น
กา� ลงั ใชโ้ คลากเกวียนบรรทกุ สินค้าไปขายในเมอื ง”
พ่อคา้ พูดขึ้นวา่ “ลกู ๆ จงเอาโคไปเถดิ เอาไปเลย” แต่ก็ได้รับการ
ปฏเิ สธ หลังจากพยายามเกลีย้ กลอ่ ม คะยนั้ คะยอ ในทสี่ ดุ พี่น้องท้งั สาม
คนกโ็ อนออ่ นผอ่ นตามความปรารถนาของพอ่ คา้ และยอมรบั ความกรณุ า
จากเขา ดว้ ยการรบั โคตวั นนั้ เป็นของขวัญดว้ ยโคจ�านวน ๑๘ ตัว
372
พนี่ อ้ งทงั้ สามคนจงึ สามารถแบง่ โคอยา่ งลงตวั สุดกับการให้ และการให้ของเราคงจะได้ความสุข
ตามคา� สั่งของบดิ า ลูกชายคนโตได้ครึ่งหนึง่ ของฝงู แก่เราคืนมาอย่างประมาณค่ามิได้ รอยย้ิม ความ
พวกเขาจึงเอา ๒ หาร ๑๘ ได้รับสว่ นแบง่ ไป ๙ ตัว อม่ิ สขุ ความอม่ิ ใจ คงจะตามมาใหเ้ ราไมม่ วี นั สนิ้ สดุ
ลูกชายคนกลางไดเ้ ศษหนง่ึ สว่ นสามของฝูง เอา ๓
หาร ๑๘ ได้รับส่วนแบง่ ไป ๖ ตวั ลูกชายคนเล็ก หากวันน้เี ราคดิ วา่ จะใหอ้ ะไรแก่ชวี ติ เรา จะ
ได้เศษหนง่ึ สว่ นเกา้ ของฝูง เอา ๙ หาร ๑๘ ได้รบั ใหอ้ ะไรแก่คนรอบข้าง จะให้อะไรแกเ่ พ่ือนรว่ มงาน
ส่วนแบ่งไป ๒ ตัว และเราจะใหอ้ ะไรกระท่ังคนท่เี ราเกลยี ดชัง ถา้ คดิ
เชน่ นนั้ เราคงจะไดอ้ ะไรจากชวี ติ บา้ ง คงจะไดอ้ ะไร
แตน่ า่ ประหลาดใจมากเมอื่ นา� จา� นวนโคทแี่ บง่ จากคนรอบข้างบ้าง คงได้อะไรจากเพื่อนร่วมงาน
กนั มาบวกกนั คอื ๙+๖+๒ เทา่ กบั ๑๗ ซงึ่ เทา่ กบั บา้ ง ไมม่ ากกน็ อ้ ย กระทงั่ ไดค้ วามรกั คืนจากคนท่ี
จ�านวนโคของสามพน่ี อ้ งทม่ี อี ยู่เดิมนั่นเอง เม่ือแบง่ เราเคยเกลียดชัง มาตงั้ ค�าถามกนั เถอะวา่ เราจะ
กนั แลว้ จงึ ยงั คงเหลอื โคอยอู่ กี ๑ ตวั ซงึ่ เปน็ โคของ ไดอ้ ะไรตอ่ ความรู้ ต่อการเรียน ตอ่ งานทเี่ ราทา� ตอ่
พอ่ คา้ นนั่ เอง พอ่ คา้ จงึ ขอรับเอาโคของเขาคนื ชีวติ ทเ่ี ราอยากได้ การใหส้ ขุ ใจทงั้ ผู้ให้และผรู้ ับ
เม่ือมรดกได้รับการจัดสรรแบ่งปันกันอย่าง ความสุขของผู้รับ คือความยินดีท่ีได้รับส่ิงท่ี
ลงตวั เหมาะสม ถกู ตอ้ ง เปน็ ทพ่ี อใจของทง้ั ๒ ฝา่ ย มอบให้ ในขณะทผ่ี ใู้ หน้ นั้ สขุ ใจทไ่ี ด้ ชว่ ยเหลอื และ
ทั้งพ่อค้าและสามพี่น้องจึงแยกทางจากกันไปอย่าง แบ่งเบาความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
มีความสุข การใหท้ ป่ี ราศจากเงอ่ื นไข เปน็ การใหท้ ท่ี า� ใหท้ ง้ั ผใู้ ห้
และผ้รู ับมีความสขุ ให้โดยไม่หวงั ส่ิงตอบแทน ให้
นิทานเรอ่ื งนี้มคี ตสิ อนวา่ การชว่ ยเหลอื คน ด้วยความเต็มใจ และ เปีย่ มไปดว้ ยเมตตาจติ ไมร่ ู้
อน่ื ใหไ้ ดร้ บั ในสง่ิ ทตี่ อ้ งการ มไิ ดห้ มายความวา่ เรา สึกเสียดายหรืออาลัยอาวรณ์ในสิ่งท่ีให้น้ัน เป็น
เองจะตอ้ งเปน็ ผสู้ ญู เสยี เพราะวา่ การใหห้ มายถงึ เพียงผลพลอยได้จากการให้ เช่นเดียวกับนิทาน
การได้ การได้หมายถึงการให้ ถา้ คนเราคดิ อย่าง เร่ืองนี้ พ่อค้าได้สละโคของตนแก่สามพี่น้อง ผล
นี้ แสดงถงึ วถิ ชี วี ติ ทง่ี ดงามยงิ่ นกั ไมม่ กี ารแขง่ ขนั ตอบแทนคอื ไดร้ บั โคของตนคนื มาดว้ ยเชน่ กนั และ
ริษยา แยง่ ชงิ อาฆาต พยาบาทกันจากการอยาก ยงั ไดอ้ ะไรอนื่ ๆ อกี มากนอกจากไดโ้ คคืน
ได้ อยากมี อยากเปน็ แทนท่อี ยากจะ “ได”้ เรา
มา “ให้” กนั ดกี ว่าไหม เพราะว่า “ให”้ หมายถึง (นิทานธรรมสาธก)
การ “ได้” และการ “ได้” หมายถึงการ “ให”้
หากเราคิดว่าจะให้ เราคงมีความสขุ เกดิ ขึ้นทนั ที
ทใี่ ห้ แตเ่ พยี งคดิ ทจี่ ะได้ ความทกุ ขก์ เ็ รม่ิ ตน้ และ
ไม่แน่ใจว่าเราได้มันมาหรือยัง ตราบเท่าท่ีมันยัง
ไมพ่ อใจ หากวา่ การไดค้ อื การให้ เราคงไดไ้ มม่ สี น้ิ
373
374
กาหลงซาก
“ตามใจตวั จะล�าบาก ตามใจปากจะเสียชีวติ ”
สมัยหนง่ึ พระผมู้ พี ระภาคเจ้าประทบั น่งั ในทา่ มกลางภกิ ษทุ ั้งหลาย
ผู้ก�าลงั พรรณนาถึงเนกขัมมบารมี ณ โรงธรรมสภา ตรสั วา่ ภิกษทุ งั้ หลาย
ตถาคตออกมหาภิเนษกรมณ์แต่ในกาลน ้ี เทา่ นั้นกห็ าไม ่ แม้ในกาลก่อน
ตถาคตก็ไดอ้ อกมหาภิเนษกรมณ์แลว้ เหมอื นกัน จงึ ทรงนา� โสณกชาดกมา
ตรสั เลา่ ดงั น้ี
หในอดตี กาล พระเจา้ แผน่ ดนิ แหง่ แควน้ มคธ ทรงครองราชสมบตั ิ
อย่ใู นกรงุ ราชคฤห์ พระราชาแหง่ มคธรัฐ มีพระโอรสอย ู่ ๑ พระองค ์ ทรง
พระนามวา่ อรนิ ทมกมุ าร อรนิ ทมกุมารมโี สณกกมุ าร ซึ่งเปน็ บตุ รชาย
ของปโุ รหิตเป็นเพอ่ื นเล่นกันมาตง้ั แต่เลก็ จนโต
ต่อมา เม่ืออรินทมกุมารได้ข้ึนครองราชสมบัติสืบต่อจากพระบิดา
โสณกกุมารก็ได้หนีไปบวชเป็นพระฤษีอยู่ในป่าหิมพานต์ เพราะมีนิสัยรัก
สันโดษ ไมช่ อบยศถาบรรดาศกั ด์ ิ กระทั่งเวลาผา่ นไป ๔๐ ป ี พระราชา
อรนิ ทมกมุ ารทรงนกึ ขน้ึ ไดว้ า่ มเี พอ่ื นรกั อยคู่ นหนง่ึ ชอื่ โสณกะ อยากจะพบ
หนา้ เหลอื เกนิ จากกนั ไปตงั้ ๔๐ ปไี มไ่ ดข้ า่ วคราวเลย ทรงบน่ หาทกุ วนั จน
ตอ้ งแต่งเพลงสืบหา เพลงทรี่ าชาทรงแตง่ ประชาชนรอ้ งกนั ไดท้ ัง้ เมอื ง แต่
กไ็ มม่ ีใครได้ข่าวของโสณกะเลย
ทางฝา่ ยพระฤษโี สณกะไดฟ้ งั เพลงทเ่ี ดก็ ชาวบา้ นรอ้ ง กร็ คู้ วามหมาย
ทันที จงึ สอนให้เด็กร้องเพลงตอบพระราชา แล้วให้ไปรอ้ งใหพ้ ระราชาฟงั
เมื่อพระราชาได้ฟังแลว้ ทรงดพี ระทยั มาก และพระราชทานทรัพยถ์ งึ พัน
กหาปณะ และตรัสถามเด็กวา่ พระฤษีอยทู่ ่ีไหน เมื่อทรงทราบว่าพระฤษี
อยใู่ นอทุ ยาน จงึ รบี เสดจ็ ไป พอเจอหนา้ กนั ทง้ั สองกไ็ ตถ่ ามถงึ สาระทกุ ขข์ อง
กนั และกนั
ฝา่ ยพระฤษโี สณกะกช็ กั ชวนใหพ้ ระราชาออกบวช เพราะตนไดส้ มั ผสั
375
แลว้ วา่ ชวี ติ นกั บวชมคี วามสขุ กวา่ การเปน็ พระราชา ปา่ หมิ พานต ์ ไม่หวนกลบั มาอกี เลย พอพระฤษีไป
แตพ่ ระราชาไม่ทรงเห็นด้วย เพราะทรงเห็นวา่ ชวี ิต แลว้ พระราชาทรงพจิ ารณาตรกึ ตรองตามคา� สอนของ
นกั บวชแหง้ แลง้ จืดชดื พระฤษี ก็มองเห็นสัจธรรมของชีวิต นึกอยากบวช
ข้ึนมา จึงสละราชสมบัติท้ังหมดมอบให้พระโอรส
พระฤษโี สณกะฟงั แลว้ เหน็ วา่ พระราชายงั ยดึ แล้วออกบวชอยใู่ นปา่ หิมพานตต์ ลอดชีวิต
มน่ั อยใู่ นกามคณุ จงึ ทลู วา่ “คนทห่ี มกมนุ่ อยใู่ นกาม
ยงิ่ ทา� ใหช้ วี ติ ตกตา�่ ลง คนทหี่ ลงมวั เมาอยใู่ นกามคณุ ชาดกเร่ืองนี้มีคติสอนว่า สิ่งล่อใจที่ท�าให้คน
เหมือนกับกาซึ่งเป็นสัตว์มีปัญญาน้อย หลงติดอยู่ เราหลงติดแล้วเกิดอันตรายน้ัน ท่านว่ามีท่ีเห็น
ในซากศพ” จงึ ยกธรรมสาธกมาเลา่ เพอื่ อบุ ายเตอื น ง่ายๆ อยู่ ๕ ชนิด คอื รปู สวย ลอ่ ใหต้ ดิ ในทางตา
สตพิ ระราชาว่า เสยี งไพเราะ ล่อใหต้ ิดทางหู กลน่ิ หอม ลอ่ ให้ติด
ทางดมกลนิ่ รสอรอ่ ย ลอ่ ใหต้ ดิ ทางลมิ้ รส สมั ผสั
คร้งั หนึ่งนานมาแลว้ มีชา้ งเชอื กหนึ่งหากิน ออ่ นนมุ่ ลอ่ ใหต้ ดิ ทางกาย แตล่ ะสง่ิ เหลา่ น้ี ถา้ ใคร
อยใู่ นราวปา่ วันหนึ่งไปพบหนองนา�้ ชา้ งหลงเพลนิ ไมม่ ีสติ คอื การยบั ยัง้ ชง่ั ใจใหด้ ีแลว้ มักตดิ จนหลง
กนิ หญา้ เดนิ ลกึ ลงไปเรอ่ื ยๆ จนไกลจากตลง่ิ ออกไป ไหลไดท้ ุกอย่าง และมักเสยี คนได้ เช่น คนที่ชอบ
มาก น�้าลึกจนช้างว่ายไม่ไหว จมน้�าตาย อยู่ใน ไฝ่ฝันถึงคนรูปสวย จนไม่เป็นอันศึกษาเล่าเรียน
หนองน�า้ นนั้ เอง น่ันคือการติดในรูป หรือคนที่ชอบดูละครจนหาม
รุง่ หามค�่า กเ็ พราะติดในรปู นัน่ เอง คนทหี่ ลงใหล
มกี าตวั หน่งึ ไปพบชา้ งตายในน�้า กด็ ใี จคดิ ว่า ไปกับพวกนักร้อง ยอมอุทิศกายถวายตัวให้ ก็
“ตนเป็นผู้โชคดี เพราะจะได้กินอาหารโดยไม่ต้อง เพราะติดในเสียง คนท่ีชอบกลิ่นหอม จนต้อง
ออกแรงไปอกี นาน” จงึ โผลงจบั ทซ่ี ากชา้ งนน้ั จกิ กนิ เปลอื งคา่ ใชจ้ า่ ยในการแสวงหานา�้ หอมราคาแพง ก็
เนอื้ ชา้ งทเ่ี นา่ เปอ่ื ย อม่ิ แลว้ กห็ ลบั อยบู่ นซากชา้ งนน้ั เพราะตดิ ในกลนิ่ คนทเ่ี หน็ แกก่ นิ ไมร่ จู้ กั ประมาณ
เอง ต่นื ข้นึ มากก็ ินอกี กินๆ นอนๆ อยู่กบั ซากช้าง โดยที่สดุ แมก้ นิ เหล้าเมายาจนเสียคน กเ็ พราะติด
นั้นอย่างมคี วามสขุ ในรส คนทง่ี าน “หนกั ไมเ่ อา เบาไมส่ ”ู้ เกยี จครา้ น
ไม่ยอมท�างานให้ล�าบากกาย กลายเป็นคนเจ้า
นานวนั เขา้ กระแสนา้� กไ็ หลออกสทู่ ะเล จนไป สา� ราญ กเ็ ขา้ ลกั ษณะคนตดิ ในสขุ ซงึ่ แตล่ ะสง่ิ เปน็
ถึงเกาะแห่งหนงึ่ บรรดานกทอ่ี ยู่บนเกาะจงึ ชวนให้ ของน�าไปสู่ความหายนะไดถ้ ้าไร้สติ
ไปอยู่บนเกาะดว้ ยกัน กาไม่ยอม เพราะยงั ติดใจ
ในเน้ือชา้ ง เน้อื ชา้ งยังมเี หลืออีกมากมาย ถา้ ไปอยู่ พระพทุ ธองคจ์ งึ ตรสั สอน โดยยกชาดกมาให้
บนเกาะตอ้ งหากินล�าบาก แตแ่ ลว้ ซากชา้ งก็ลอย เหน็ เปน็ ตวั อยา่ ง คนเหน็ แกก่ นิ โดยไมร่ จู้ กั ขอบเขต
ไกลฝง่ั ออกไปเรอ่ื ยๆ จนถงึ กลางมหาสมทุ ร พอซาก ย่อมถงึ ความพินาศได้ เช่น กาท่ตี ดิ ในซากศพของ
ช้างเปื่อยเน่าแตกสลายไป กาก็มองไม่เห็นฝั่งเสีย ช้าง สมดังภาษิตไทยโบราณว่า “ตามใจตัวจะ
แลว้ บินกลับไม่ได ้ ถงึ จะพยายามบินกลบั อย่างไร ล�าบาก ตามใจปากจะเสียชีวิต” ควรถือเป็นคติ
ก็ไม่สามารถบินพ้นจากมหาสมุทรได้ จึงหมดแรง เตอื นใจตอ่ ไป
จมนา้� ตายในทส่ี ดุ กาก็ถกู ปลาใหญฮ่ ุบกิน สิน้ ชวี ติ
กลางมหาสมุทรน่ันเอง ฉนั ใด (โสณกชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
คนที่ยงั ติดอยู่ในกามคุณก็ ฉนั นั้น เมอื่ พระ ชาดก สัฏฐินบิ าต เล่ม ๓๕ หนา้ ๘๓)
ฤษกี ล่าวสอนพระราชาเสร็จแลว้ ก็เหาะขนึ้ ฟ้ากลบั
376
377
สามัคคคี อื พลัง
“นว้ิ ชวนคดิ นว้ิ สะกดิ ใจ”
ความสมคั รสมานสามคั ค ี เป็นนา้� หนงึ่ ใจเดียวกนั เป็นส่ิงปรารถนาใน
สงั คมทกุ ยคุ ทกุ สมยั ความสามคั คตี อ้ งเรมิ่ จากจติ ใจ ถา้ ทกุ คนมคี วามสามคั คี
เปน็ นา้� หนง่ึ ใจเดยี วกนั แลว้ จะเปน็ การสรา้ งความเปน็ ปกึ แผน่ มน่ั คงใหป้ ระเทศ
ชาติ ความสามัคคีเป็นพลังในการสร้างชาติ ชาติใดไร้รักสมัครสมาน จะ
ท�าการสงิ่ ใดก็ไรผ้ ล ชาติใดไร้พลงั ความรู้ จะต่อสกู้ ับใครกพ็ า่ ยแพ้
ดงั เรอ่ื งปรมั ปราเลา่ กนั มาวา่ ครงั้ หนง่ึ นวิ้ มอื ทงั้ ๕ ของคนเกดิ โตเ้ ถยี ง
กนั โดยแตล่ ะนว้ิ ตา่ งกถ็ อื วา่ ตนมคี วามส�าคัญกวา่ นว้ิ อนื่ ๆ “ฉันส�าคญั กวา่
ทุกนว้ิ เพราะเป็นน้ิวแห่งความมอี า� นาจ สามารถชี้สงั่ การให้ใครทา� อะไรก็ได ้
และสามารถชแ้ี นะสง่ั สอนใหค้ นอน่ื ทา� ตาม” นว้ิ ชเี้ รม่ิ คยุ อวดความยง่ิ ใหญข่ อง
ตนกอ่ นนว้ิ อนื่ ท�าให้อกี ๔ นิว้ ไมพ่ อใจที่ถกู คยุ ทับถม จงึ ตอบโต้ไป
นวิ้ กลางอวดทับว่า “ฉันยาวและสงู กว่าพวกทา่ นทกุ น้ิว จงึ ต้องสา� คญั
กวา่ นิ้วอนื่ ไมเ่ ชน่ น้ันพวกท่านคงไมม่ าหอ้ มลอ้ ม คอยปกป้องดูแลฉันหรอก”
นิ้วนางไมย่ อมน้อยหนา้ อวดอา้ งว่า “ฉันเป็นน้ิวของผู้ดี มสี งา่ ราศรี มี
เกียรติกว่านิว้ อน่ื เวลาคนจะสวมแหวนเพชร แหวนทอง เขากจ็ ะสวมทีฉ่ ัน”
นิ้วก้อยน้องนอ้ ยสุด คยุ อวดว่า “ฉนั แม้จะเลก็ หรือเรยี วกว่านิ้วอน่ื ๆ
แต่มนั เป็นนว้ิ นา� ทาง ใครจะกราบพระหรือไหว้พระ หรือไหว้ผใู้ หญ่ ฉนั ก็จะ
ถึงกอ่ น และอยใู่ กล้ชิดกว่านิ้วไหนๆ ถอื ว่าเปน็ น้ิวท่ีมบี ญุ หรอื เวลาใครจะ
คนื ดีกัน หรือหนุ่มสาวจะควงคกู่ ันใหห้ วานชนื่ เขาจะเก่ยี วกอ้ ยกัน”
นิ้วหวั แม่มอื ไดฟ้ ัง กบ็ อกวา่ “ใครจะส�าคญั อย่างไรก็แล้วแต่ หากไมม่ ี
น้ิวหัวแม่มือ เวลาจะหยิบจับของอะไร จะหยิบถนัดได้อย่างไร เวลาใครลง
คะแนนเสยี งเลอื กตงั้ แมแ้ ตเ่ ขา้ โรงจา� นา� หรอื การแสดงหลกั ฐานแทนการลง
ลายมือช่ือ เขาต้องใชฉ้ ันพมิ พ์ลายนิ้วมอื ”
เมอื่ เกดิ การขดั แยง้ ไมล่ งรอยกนั นว้ิ ทงั้ ๕ กบ็ ดิ พลวิ้ เกย่ี งงอน ไมย่ อม
378
ร่วมมอื กนั ปากจะกนิ อาหาร นิว้ กไ็ ม่ช่วยกนั หยบิ จับอาหารใส่ปากให ้ เม่ือ
รา่ งกายเกิดอาการคัน ก็เก่ียงกัน ไม่มนี ิ้วไหนยอมเกาให้หายคัน สุดท้ายแม้
จะเขยี นหนงั สอื หรอื ทา� งานตา่ งๆ กไ็ มส่ ามารถทา� ไดท้ งั้ นน้ั จนชวี ติ ตอ้ งพบกบั
ความเสอ่ื มโทรม เพราะเหตทุ นี่ ้วิ มอื แตกความสามัคคีกัน
นิทานเร่ืองนี้มีคติสอนว่า ความสามัคคีจัดเป็นธรรมส�าคัญส�าหรับผู้
ทอ่ี ยรู่ ว่ มกนั เปน็ หมเู่ ปน็ คณะ ความเจรญิ ความเสอ่ื มของหมคู่ ณะอยทู่ ค่ี วาม
สามคั คีเป็นหลกั ใหญ่ ความสามคั คนี ้ัน คอื ความพร้อมเพรียงกันทางกาย
วาจา และใจ ของคนในหมู่คณะ คอื เม่อื ทา� อะไรกท็ า� ร่วมกัน การท�าร่วม
กนั นนั้ จะทา� พรอ้ มกนั หรอื แยกกนั จะทา� เหมอื นกนั หรอื ทา� ตา่ งกนั ไมส่ า� คญั
ความส�าคัญอยู่ท่ีท�าอย่างประสานสัมพันธ์กัน ไม่ขัดกัน ย่อมส�าเร็จ
ประโยชน์ได้ทั้งสิ้น เหมือนรถท่ีแล่นไปได้เพราะช้ินส่วนต่างๆ ท�างาน
ประสานสัมพันธก์ ันท้ังหมด โดยแตล่ ะอย่างกท็ �าหน้าทีข่ องตนต่างๆ กัน
ไป การพดู การคดิ กท็ า� นองนี้ แมจ้ ะพดู จะคดิ กนั ไปคนละทางสองทาง แต่
หากเป็นไปแบบประสานสมั พันธ์กัน ไมข่ ดั แย้งกันจนต่อกนั ไม่ตดิ กช็ ่ือว่า
เป็นความสามคั คที ้ังส้ิน
หัวใจของความสามัคคี คือการประสานสัมพันธ์กันได้อย่างเหมาะ
เจาะ มิใช่ว่าต้องท�าพูดหรือคิดเหมือนกันจึงจะเรียกว่า สามัคคี ความ
สามคั คเี ชน่ นจ้ี ะทา� ใหส้ งิ่ ทที่ า� รว่ มกนั สา� เรจ็ ลลุ ว่ งไปดว้ ยดี นา� ประโยชนแ์ ละ
ความสุขมาใหแ้ กห่ มคู่ ณะนน้ั เอง ตรงกนั ขา้ ม ถ้าขัดแย้งกัน ไมป่ ระสาน
กนั ทา� อะไรกไ็ มส่ า� เรจ็ และผลสดุ ทา้ ยจะนา� ความวบิ ตั มิ าใหแ้ กต่ นเองและ
หมูค่ ณะ ดงั นิทานธรรมคตใิ นเรอ่ื งนี้เป็นตัวอย่าง
(นิทานธรรมสาธก)
379
380
ปูทองผู้ฉลาด
“เพื่อนกนิ หาง่าย เพื่อนตายหายาก”
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจา้ ประทับอย ู่ ณ เชตวันมหาวิหาร กรงุ สาวัตถี
ทรงปรารภการเสียสละชพี ของพระอานันทเถระเพือ่ พระพทุ ธองค ์ ไดท้ รงนา�
สวุ ณั ณกกั กฏกชาดกมาตรสั เลา่ ดังนี้
กาลครั้งหน่ึงนานมาแล้ว พระโพธสิ ัตว์เสวยพระชาติเป็นพราหมณ์ ใน
หมบู่ ้านแหง่ หนงึ่ มีอาชีพทางกสกิ รรม วนั หนงึ่ เขาไปนาพร้อมบรวิ าร สั่งลกู
น้องให้ทา� งาน ส่วนตนเองไปล้างหนา้ ล้างตาท่หี นองน�้าปลายนา ในหนองน�้า
นัน้ มีปูตัวหนงึ่ อาศยั อย ู่ ตัวปสู ีเหลืองเหมือนสที อง พอถงึ หนองนา้� เขาแปรง
ฟันกอ่ นแล้วลงไปลา้ งหน้า
ขณะน้นั ปูทองอยใู่ กล้ๆ เขา เขามองเหน็ ปแู ล้วเกดิ ความเอน็ ดู จงึ จับ
ขึ้นมาวางไว้ทผี่ า้ ห่มของเขา เมื่อจะกลบั ไปท�านาต่อกป็ ลอ่ ยมันลงน�้าไป
วนั ตอ่ มา ถา้ เขามาถงึ นากจ็ ะแวะไปทหี่ นองนา้� จบั ปขู น้ึ มานอนทผ่ี า้ หม่
กอ่ นแล้วไปท�านาทง้ั วัน ตกเย็นไปปลอ่ ยลงน้า� แลว้ คอ่ ยกลบั บา้ น เขาท�าเชน่ น้ี
เป็นประจา� ทกุ วนั เขากบั ปทู องจงึ เกดิ ความคุ้นเคยกนั เป็นอย่างดี
ดวงตาของพราหมณม์ ลี กั ษณะแปลกอยอู่ ยา่ งหนง่ึ คอื จะเปน็ วงกลม ๓
ช้ัน ใสแจ๋ว ทป่ี ลายนานน้ั มกี าผัวเมียค่หู นึง่ อาศยั อยู่ท่ีต้นตาลตน้ หนงึ่ นางกา
เกิดอาการแพ้ทอ้ ง อยากกนิ ดวงตาของพราหมณเ์ จา้ ของนา จึงพูดอ้อนวอน
สามีว่า “ถ้าไม่ได้กิน ฉันคงตายแน่ๆ” สามีเอ่ยปากตอบด้วยความระอาว่า
“นอ้ งจะบา้ เหรอ ใครจะไปบงั อาจเอาดวงตาของคนมาได้ อย่าคดิ มากไปเลย
น้อง”
นางกาจึงเสนออุบายอย่างหนึ่งว่า “ท่ีใต้ต้นตาลนี้มีงูเห่าตัวหน่ึงอาศัย
อย ู่ ถา้ เราใชง้ เู หา่ กดั เขาตายแลว้ คอ่ ยเจาะดวงตาของเขา ความหวงั ฉนั กเ็ ปน็
จรงิ นะซ”ิ กาสามเี หน็ ดดี ว้ ย นบั แตว่ นั นน้ั เปน็ ตน้ มา กาทงั้ สองกเ็ รม่ิ ปรนนบิ ตั ิ
งูเห่าด้วยการน�าอาหารมาให้เป็นประจ�า พอข้าวในนาเริ่มตั้งท้อง ปูทองก็
เติบโตเต็มท ่ี
381
วันหนงึ่ เวลาเชา้ ตรู่ พราหมณ์ก็ออกมาดูนา สนมคนุ้ เคยกนั มากยง่ิ ขน้ึ กวา่ แตก่ อ่ น ตา่ งชว่ ยเหลอื
ตามปกต ิ เขาแวะไปทหี่ นองนา�้ จบั ปมู าวางไวท้ ผ่ี า้ หม่ เกื้อกลู กนั จนตราบสนิ้ ชวี ิต
แลว้ กา� ลงั จะเดนิ ขน้ึ คนั นาเลาะดขู า้ วเทา่ นน้ั กถ็ กู งเู หา่
กดั เขา้ ทีน่ อ่ ง ลม้ ฟุบลงอยตู่ รงนน้ั งูเห่ากดั เขาแล้วก็ ชาดกเรื่องนี้มีคติสอนว่า ผู้ใหญ่มักจะมีค�า
เลี้ยวเขา้ จอมปลวกไป เตอื นเดก็ ๆ และเยาวชนทง้ั หลายถงึ การคบเพอื่ น
โดยมคี า� กลา่ วว่า “เพื่อนกินหางา่ ย เพื่อนตายหา
พอพราหมณ์ล้มลง ปูทองได้ไต่ขึ้นไปเกาะท่ี ยาก” ซึ่งเป็นค�าแนะน�าการคบเพ่ือนในลักษณะ
ยอดอกของเขา กาตวั ผกู้ บ็ นิ มาจบั บนรา่ งของเขาเชน่ หนง่ึ เพราะในยามทเี่ ปน็ ปกติ ในยามทเี่ รามฐี านะ
กนั ขณะทก่ี ากา� ลงั จะจกิ ดวงตาของเขานนั่ เอง ปทู อง มเี งนิ ทอง สามารถเลย้ี งดู อา� นวยประโยชนใ์ ห้กับ
ก็ใชก้ ้ามปหู นีบคอกาเอาไว้แน่น แลว้ ขวู่ า่ “เจา้ กาชวั่ ผู้ตกทุกข์ได้ยาก เรามีทรัพยากรชว่ ยเหลอื เขา ก็
เจ้าเรยี กงมู าเดีย๋ วนน้ี ะ มฉิ ะน้นั เจา้ คอขาดแน่ ๆ ” จะมีคนมาคอยแวดลอ้ มคบคา้ สมาคมด้วย
กากลวั ตาย จึงร้องเรียกงูวา่ “เฮย้ งเู หา่ เพอื่ น แตใ่ นยามทเ่ี ราตกยาก คนเหลา่ นน้ั กอ็ าจจะ
รกั กลบั มากอ่ น ขา้ ถกู ปตู าโปนหนบี คอแลว้ กลบั มา หลบหน้าหนีหาย เพราะเราไม่สามารถอ�านวย
ชว่ ยกนั กอ่ น” งเู หา่ พอไดย้ นิ เสยี งเรยี กกเ็ ลอื้ ยกลบั มา ประโยชนใ์ หก้ บั เขาไดเ้ หมอื นเดมิ แตใ่ นความเปน็
แผพ่ งั พานหนั จะฉกป ู ปจู งึ ใชก้ า้ มอกี ขา้ งหนงึ่ หนบี คอ เพอ่ื นนนั้ จะพสิ จู นก์ นั ไดด้ ว้ ยในยามทเี่ ราทกุ ขย์ าก
งเู อาไว้อีก งเู หา่ ด้ินไมห่ ลดุ จึงร้องถามปทู องวา่ “เจา้ เรามีปัญหา เพ่ือนที่ยังอยู่ใกล้เราและคอยช่วย
ปตู าโปน ปลอ่ ยพวกขา้ เดย๋ี วนน้ี ะ เจา้ หนบี คอพวกขา้ เหลอื เราโดยไม่หวงั อะไรจากเรา ยามเราเจบ็ ปว่ ย
ท้งั สองไว้ท�าไม?” เพื่อนจะคอยดูแลรักษา คอยเปน็ ห่วงเป็นใย ยาม
เราถกู ลบหลศู่ กั ดศ์ิ รหี รอื อยู่ ในอนั ตราย เขาจะหา
ปทู องตอบว่า “เจา้ งชู ว่ั ชายคนนเ้ี ปน็ ท่พี ึง่ ของ ทางชว่ ยเราเทา่ ทจ่ี ะเปน็ ไปได้ นน่ั แหละ นบั วา่ เปน็
ข้า ถ้าเขาตายไป ข้าก็ต้องตายด้วย เพราะไม่มีผู้ เพอ่ื นตาย มนั อาจจะเปน็ การยากทจี่ ะหาเพอื่ นตาย
คมุ้ ครอง เจา้ มาท�าใหเ้ ขาตายเสยี แล้ว พวกเจ้าตอ้ ง เหมือนตัวอย่างในชาดกเรื่องน้ี เพราะเราไม่
ตาย” งฟู งั แลว้ คดิ จะลอ่ ลวงป ู จงึ พดู วา่ “เจา้ ปตู าโปน สามารถจะคาดหวงั อะไรได้ นอกจากจะรจู้ กั คบคน
ถา้ เช่นนัน้ ข้าจะดูดพษิ กลับคนื ให้เขา ฟน้ื คืนชีพมา และต้องเร่ิมเป็นฝา่ ยให้
เจา้ ปลอ่ ยพวกขา้ กอ่ นซ ิ กอ่ นทพี่ ษิ รา้ ยแรงจะทา� ใหเ้ ขา
ตาย” การจะมีเพ่ือน ก็ต้องเริ่มจากการที่เราต้อง
ให้ความเปน็ เพ่ือนแก่ผูค้ น ตอ้ งมีการแผ่ เมตตา
ปรู ทู้ ันเล่หเ์ หล่ยี มของงูเหา่ จึงพดู ว่า “เจ้างชู ั่ว น�าพาเพื่อนไปในทางท่ีถูกต้อง คอยให้ค�าแนะน�า
ข้าจะปล่อยเจ้าก็ต่อเม่ือเห็นชายคนน้ีฟื้นและลุกขึ้น แก่เขา แมจ้ ะทา� ให้เขาโกรธบา้ ง ไมพ่ อใจบ้าง แต่
ได้เสียก่อน ข้าถึงจะปล่อยกาไป” ว่าแล้วปูก็คลาย ถา้ มนั เปน็ สงิ่ ทดี่ ี ถา้ เพอื่ นหลงผดิ มนั อาจจะทา� ให้
กา้ มให้งูได้ดูดพษิ ในร่างพราหมณค์ ืน เมอ่ื พราหมณ์ เขาไม่พอใจ เกลียด หรอื เข้าใจผดิ เรา สกั วนั หนงึ่
ฟื้นลุกข้ึนยืนเป็นปกติแล้ว ปูคิดว่า ถ้าขืนปล่อยให้ เขาจะเห็นความตั้งใจดีของเรา และเข้าใจคุณค่า
สตั วท์ ง้ั สองนไี้ ป กจ็ ะกลบั มาทา� รา้ ยพราหมณเ์ จา้ ของ ความเปน็ เพอื่ นแท้ เปน็ เพอื่ นตายของเรา และนนั่
นาอีกจนได้ จึงใช้ก้ามหนีบคอสัตว์ทั้งสองเสียชีวิต ก็เป็นโอกาสที่เขาจะสามารถตอบกลับความเป็น
ทันท ี เพื่อนทด่ี ีในภายภาคหนา้
ฝ่ายนางกาท่ีจบั อยูบ่ นต้นตาล เหน็ เหตกุ ารณ์ (สุวณั ณกักกฏกชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
กลบั ตาลปตั รเชน่ นนั้ กร็ บี บนิ หนไี ปอยทู่ อี่ นื่ พราหมณ์
เจ้าของนาโยนร่างของงูและกาทิ้งเข้าไปในป่า นับ ชาดก ฉักกนบิ าต เลม่ ๓๒ หนา้ ๙๖)
ตง้ั แตว่ นั นน้ั เปน็ ตน้ มา พราหมณแ์ ละปทู องกย็ งิ่ สนทิ
382
383
ลุงดา�
“พูดดเี ป็นศรแี กป่ าก พูดมากอัปราชัย”
นานมาแลว้ ณ ตา� บลหนง่ึ ในเขตภาคเหนอื ของประเทศไทย มชี ายคนหนง่ึ
ช่ือ ลุงด�า ลุงด�ามีความสามารถในการต้มเหล้าเถื่อน รสชาติท่ีแกท�า เป็นที่
ถกู อกถกู ใจของชาวบ้านในละแวกน้ัน เจา้ หน้าท่ีตา� รวจและผ้ใู หญ่บา้ นต่างจ้องที่
จะจบั แก แตย่ งั ไมม่ หี ลกั ฐานทเี่ พยี งพอทจี่ ะจบั แกไดเ้ พราะแกหาทางซอ่ นหลกั ฐาน
หลบหลีกได้ทุกครัง้ ไป ด้วยเหตุน ้ี ลุงด�าจงึ ดา� รงชีพด้วยการต้มเหล้าเถอ่ื นเรอ่ื ยมา
ไม่ว่าจะเป็นงานศพหรืองานมงคล ลงุ ด�าจะเข้าไปรว่ มด้วยทุกครั้ง
ครง้ั หน่งึ เปน็ งานบวชของหลานเพอ่ื นบ้าน ลงุ ดา� เมามาชว่ ยงานแต่เชา้ แต่
แปลกถงึ แมล้ ุงด�าจะเมามากขนาดไหน แกก็ไม่เคยปริปากเอย่ ถงึ เหล้าท่ีแกตม้ สกั
ครั้ง ไม่มีใครรู้วา่ แกซ่ อ่ นเหล้าไว้ท่ไี หน แม้เจา้ หน้าท่ีตา� รวจคอยสะกดรอยตามไป
ถงึ บา้ น กย็ ังไม่รู้
ผใู้ หญบ่ า้ นแนะนา� ใหล้ งุ ดา� รจู้ กั กบั หลานชายแก ซงึ่ มาจากกรงุ เทพฯ ทง้ั สอง
คุยถกู คอกัน เนอื่ งจากลุงดา� พดู อะไร หลานชายคนนี้ไมเ่ คยขดั คอ ชายหนมุ่ เอย่
ถามวา่
“เขาลอื กันวา่ ลุงต้มเหล้าเกง่ แถมรสชาติยังดีอกี ดว้ ย”
“ไมใ่ ช่ข่าวลือหรอกพอ่ หนมุ่ ” ลุงด�า ตอบอย่างภาคภูมใิ จ
“ฉันมคี า� ถามอยากจะถามลุงหน่อย” ชายหนมุ่ เอย่ ปาก
“ได้ซหิ ลานชาย ถามหลายอยา่ งกไ็ ด้”
“ลงุ ตม้ เหลา้ เถอื่ นอย่างน ้ี ไม่กลัวต�ารวจจับบ้างหรือ”
“ลุงไมก่ ลวั หรอก ลงุ ท�ามานานแล้ว ไม่มใี ครจับได้หรอก”
“ลุงเก่งมากเลย ซ่อนเหลา้ ได้อยา่ งมดิ ชดิ ไมม่ ใี ครหาเจอ”
“การหากนิ แบบนม้ี ันตอ้ งมีไหวพริบ หาทางหนีทีไล ่ ไมง่ ้นั ติดคกุ หวั โตแน่”
“ฉันอยากเห็นกบั ตาว่าลงุ ท�าอยา่ งไร ไดย้ ินแตข่ ่าวทชี่ าวบา้ นเขาลือกัน”
384
“หลานชาย เร่ืองแบบนี้อย่าไปเชื่อใครง่ายๆ ชวนมากนิ เหลา้ เถือ่ นเม่ือวานนี้เอง
ถ้าไมเ่ ห็นกบั ตาตัวเอง” แลว้ แกก็โอ้อวดเสยี งอ้อแอ้ นทิ านเร่อื งนม้ี คี ตสิ อนว่า
วา่ “หลานชายพดู ถกู ใจลงุ มาก งานบวชเสรจ็ แลว้ ไป ๑. โบราณทา่ นสอนวา่ “พดู ดเี ปน็ ศรแี กป่ าก
ดูท่บี า้ นลุงว่าเหล้าทลี่ ุงท�า เหมอื นท่ีพ่อหนมุ่ เคยกิน
มาหรือเปลา่ ” พดู มากอปั ราชยั ” หวั ใจสา� คญั ของคา� กลา่ วน้ี กค็ อื
การพดู ให้ดี ถ้าพูดไม่ดี อาจนา� โทษทุกข์ภัยมาให้
“จะดีหรอื ถา้ ตา� รวจร้เู ขา้ จะเดือดร้อนถงึ ลงุ ” แก่ผู้พูดได้ สุนทรภู่กวีเอกของไทย ได้ให้ความ
“โธ ่ เรอื่ งเลก็ นอ้ ย พ่อหลานชาย นอกจากลุง สา� คญั ของการพูดดงั ในบทประพันธว์ ่า
กบั พอ่ หนมุ่ แลว้ ไมม่ ใี ครรอู้ กี ” หลงั งานบวชเสรจ็ ลงุ
ดา� กพ็ าชายหนมุ่ ไปทบี่ า้ น มพี วกชาวบา้ นเดนิ ตามไป เป็นมนษุ ย์สดุ นยิ มที่ลมปาก
ดว้ ย แตถ่ กู ลุงดา� ไล่ให้กลบั หมด เม่อื ถงึ บ้านแลว้ แก จะได้ยากโหยหวิ เพราะชวิ หา
ใหช้ ายหนมุ่ นงั่ รอทห่ี อ้ ง ลงุ ดา� หายไปสกั พกั กลบั มา แม้พดู ดีมีคนเขาเมตตา
พร้อมเหล้าเถื่อนฝีมือแกต้ม ย่ืนให้ชายหนุ่มพลาง จะพดู จาจงพิเคราะหใ์ ห้เหมาะความ
บอกวา่ “ลองชมิ ดู พ่อหน่มุ ” ๒. คา� พูดกเ็ หมอื นการสาดน�า้ นา้� ทถ่ี ูกสาด
ชายหนมุ่ รบั มาดม่ื พรอ้ มกบั ชมวา่ “รสชาตดิ ี ออกไปแล้ว ไม่สามารถเอาคืนอกี เลย คา� ทีเ่ ราพดู
อยา่ งทช่ี าวบา้ นเขารา่� ลอื จรงิ ๆ เลยลงุ ” ลงุ ดา� ยม้ิ หนา้ ออกจากปากน้ัน ก็ไม่สามารถเอาคืนได้เช่นกัน
บานที่ชายหนุ่มพูดถูกใจ “ลุงจะพาพ่อหนุ่มไปยังที่ กอ่ นทจี่ ะพดู อะไรควรคดิ ใหด้ ๆี แลว้ จงึ คอ่ ยพดู คา�
เกบ็ เหลา้ เถอื่ น แตพ่ อ่ หนมุ่ อยา่ ไปบอกใครเดด็ ขาด” พดู ทดี่ จี ะทา� ใหค้ นฟงั รสู้ กึ ชอบและสบายหู แตถ่ า้
“เชื่อฉนั เถอะลงุ ฉนั ไมบ่ อกใครหรอก” ชาย คา� พดู ทไี่ มด่ ี คา� พดู นนั้ จะนา� โทษทกุ ขภ์ ยั มาสผู่ พู้ ดู
หนมุ่ รับคา� ในวนั ใดวนั หน่งึ ข้างหนา้
ลงุ ดา� พาชายหนมุ่ ไปหลงั บา้ นทเ่ี กบ็ เหลา้ เถอื่ น มีค�าสภุ าษติ โบราณวา่ ปลาหมอตายเพราะ
ชายหนมุ่ ตกใจทลี่ งุ ดา� เกบ็ เหลา้ เถอ่ื นไวม้ ากกวา่ ทเ่ี ขา ปาก หมายถึงคนท่ีชอบพูดพล่อยๆ รู้เท่าไม่ถึง
คดิ ไว้ และกล่าวชมลงุ ว่า “ลุงเก่งจรงิ ๆ หาทซี่ อ่ นได้ การณ์ หรือแสดงความอวดดี จนตนเองต้องรับ
อยา่ งมดิ ชดิ ไม่มีใครหาเจอ” เคราะห์ ก็เพราะปากของตนเอง ดังนิทานเรื่อง
ลุงดา� บอกว่า “ของแบบนีม้ ันต้องมวี ธิ ี ถา้ ไม่ ลุงดา� นีเ้ ปน็ ตวั อยา่ ง
แนจ่ ริงไมร่ อดพน้ เจ้าหนา้ ทีม่ าได้ปานนี้หรอก”
ชายหนุ่มอยู่ต่อสักพักจึงลากลับ พอรุ่งเช้า (นทิ านธรรมสาธก)
เจ้าหน้าที่ต�ารวจและผู้ใหญ่บ้านมาเคาะประตูเรียก
ลงุ ด�าแต่เชา้ พอแกเห็นเจา้ หนา้ ท่ีตา� รวจถงึ กับตกใจ
เพราะหน่ึงในเจ้าหน้าที่ตา� รวจนัน้ คอื ชายหนมุ่ ทแี่ ก
385
386
ความลับไม่มีในโลก
“ไม่ทา� ช่ัวทง้ั ในทลี่ ับและในทแี่ จ้ง”
ในสมยั หนง่ึ พระพทุ ธเจ้าประทบั อย ู่ ณ พระเชตวนั มหาวหิ าร กรุง
สาวตั ถี ทรงปรารภอบุ ายเครือ่ งขม่ กเิ ลสท่ีเกดิ ข้นึ ภายในพวกภกิ ษุ ในยาม
รงุ่ แจ้ง ได้ทรงนา� สีลมงั สชาดกมาตรัสเล่า ดังนี้
กาลคร้ังหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติในตระกูล
พราหมณ์ ในเมืองพาราณสี เมอื่ เติบโตขน้ึ เปน็ หนุม่ ไดไ้ ปเรียนศิลปวทิ ยา
ในสา� นกั อาจารยค์ นหนึง่ ในเมืองนนั้ เอง ทส่ี �านกั เรยี น อาจารย์มลี ูกสาว
สวยคนหน่ึง ต้องการอยากจะได้ลูกเขยท่ีเป็นคนดีมีศีลธรรมเป็นคู่ชีวิตให้
กับลูกสาว คิดแผนการได้อย่างหนึ่ง แล้วเรียกประชุมลูกศิษย์ท้ังหมด
ประกาศให้ทราบโดยทว่ั กันว่า
“น่ีเธอทั้งหลาย ลูกสาวเราเติบโตเป็นสาวแล้ว เราจักให้ลูกสาว
แตง่ งาน แต่ยงั ขาดผา้ ประดับอยู่อกี มาก ขอให้พวกเธอจงลกั เอาผา้ ประดบั
พวกญาติๆ แต่มีข้อแม้ว่า จะต้องไม่มีใครเห็นนะ ผ้าท่ีมีคนเห็นเราจะไม่
รับ” พวกลูกศิษยต์ ่างกร็ บั คา�
ตงั้ แตน่ นั้ มา ลกู ศษิ ยค์ นอ่ืนๆ กพ็ ากนั นา� ผา้ ประดบั ทแ่ี อบลกั ไดน้ า�
มามอบใหอ้ าจารย์ ท่านก็เก็บรวบรวมไว้ที่หนึ่ง มีเพยี งพระโพธิสตั ว์เท่านนั้
ทไี่ ม่มผี ้าอะไรมามอบให้ อาจารยจ์ ึงถามว่า “ทา� ไมเธอถึงไม่ลักผา้ ประดับ
มาใหอ้ าจารยล์ ่ะ”
พระโพธสิ ตั วต์ รัสตอบว่า “ทา่ นอาจารยค์ รับ เหตทุ ี่ผมไม่กลา้ ขโมย
ของ เพราะกระผมเช่ือว่า ความลับในการทา� ความชัว่ ไม่มใี นโลก ไมว่ ่าใน
บ้านหรือในป่า แม้ผู้อ่ืนจะไม่เห็น แต่ตัวเองก็ยังมองเห็น และตัวเองน่ัน
แหละย่อมรูว้ ่า ทา� ดหี รือท�าช่ัว”
อาจารย์ได้เห็นความมีคุณธรรมของศิษย์ผู้น้ันแล้ว จึงยกลูกสาวให้
แก่เขา ทั้งยังยกย่องเขาให้เป็นแบบอย่างของการเป็นคนดีมีคุณธรรมแก่
ศษิ ย์คนอนื่ อกี ด้วย และใหน้ �าผ้าที่ทกุ คนน�ามาให้ กลับคนื บ้านไป
387
นิทานชาดกเรื่องนม้ี คี ติสอนว่า คนท�าความช่ัวในทล่ี บั ดว้ ยคิดว่า
ไมม่ ีใครรู้ ไม่มีใครเหน็ โดยเฉพาะความช่ัวร้าย เชน่ ฆาตกรรม หรอื
การลกั ขโมย เปน็ ตน้ ในทส่ี ดุ ความชว่ั นน้ั กจ็ ะเปดิ เผยออกมาจนได้ คน
ท่ีทุจริตคิดไมซ่ อื่ ตรงนั้น แมเ้ บ้อื งตน้ จะไม่มีใครพบเหน็ หรอื จบั ไม่ได้
ไล่ไม่ทัน เพราะคนท่ีท�าความชั่ว ทุกคนย่อมจะพยายามท�าอย่าง
รอบคอบ ถ่ถี ้วน เปน็ ทส่ี ุด แตส่ ดุ ท้าย ความลบั ในการท�าความชั่วก็ถกู
เปิดเผยออกมาจนได้ ไม่ชา้ กเ็ รว็
จากนิทานชาดกเร่ือง ความลับไม่มีในโลก เกี่ยวข้องกับหลัก
ธรรมะ ๒ ประการ ได้แก่
๑. ความรสู้ กึ ผิดชอบชั่วดี คอื หิริ
๒. ความละอายแก่ใจ ไม่กล้าท�าความชั่ว ทั้งในท่ีลับและในที่
แจง้ ความเกรงกลวั ตอ่ ผลจากการท�าช่วั จะตามสนอง คอื โอตตัปปะ
หริ แิ ละโอตตปั ปะ จงึ มคี วามจา� เปน็ ในการดา� รงชวี ติ ในทกุ โอกาส
ดังนน้ั ก่อนจะท�าอะไรลงไป จึงควรระลกึ ถึงพระพุทธภาษติ ว่า
นตฺถิ โลเก รโห นาม
ความลบั ไมม่ ใี นโลก
แล้วชีวิตจะปลอดภัย ทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง ในชาติน้ีและ
ชาติหน้า
(สลี วีมังสชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก จตกุ กนบิ าต เล่ม ๓๑ หนา้ ๓๐๑)
388
389
กาเจ้าเล่ห์
“ตอ่ หน้าอยา่ งหน่งึ
ลับหลังอย่างหน่งึ ”
สมัยหน่ึง เม่ือคราวที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
กรงุ สาวตั ถ ี ภกิ ษทุ งั้ หลายกา� ลงั นงั่ สนทนาธรรมถงึ เรอ่ื งภกิ ษรุ ปู หนงึ่ ทมี่ กั พดู โกหก
เสมอ ทงั้ ที่พดู ไปดว้ ยความต้งั ใจบ้าง บางครัง้ พดู ออกไปดว้ ยความไมต่ ้งั ใจบา้ ง
พระศาสดาเสด็จผ่านมาทรงได้ยินเข้า ทรงย้อนอดีตของภิกษุน้ัน เพื่อ
ตรวจดวู า่ ทเ่ี ปน็ เชน่ นน้ั เพราะเหตใุ ด ทรงพบวา่ อดตี ชาตภิ กิ ษนุ น้ั กเ็ คยเปน็ เชน่
น ้ี ทรงปรารถนาทจี่ ะยกเรอื่ งราว ใหเ้ ปน็ อทุ าหรณส์ อนใจภกิ ษสุ งฆ ์ และตระหนกั
ถงึ ผลของการโกหก พดู อยา่ งทา� อยา่ งวา่ มแี ตผ่ ลเสยี เทา่ นน้ั พรอ้ มทงั้ จะไดแ้ สดง
พระธรรมเทศนาเป็นการประทานโอวาทใหญ่ด้วย จึงตรัสว่า “ภิกษุท้ังหลาย
ภิกษรุ ปู น ้ี เธอไม่ใชเ่ พ่ิงมาพดู โกหกในบัดนเ้ี ท่าน้นั แม้ในกาลกอ่ น เธอกม็ ีนสิ ัย
พูดโกหก จนเป็นท่ีติเตียนของผู้รู้มาแล้ว ในที่สุดชีวิตในบ้ันปลายของเธอก็
ประสบกบั ความวบิ ัต”ิ พระพทุ ธเจา้ จึงจงึ ทรงนา� ธัมมทั ธชชาดก มาตรัสเล่าดังนี้
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นพญานก ครั้นเติบโตข้ึน ท่านมี
เหลา่ ฝงู นกทงั้ หลายแวดลอ้ มเปน็ บรวิ าร อาศยั อยทู่ เ่ี กาะแหง่ หนง่ึ กลางมหาสมทุ ร
คร้งั นน้ั พ่อคา้ ชาวกาลกิ รฐั กล่มุ หนึ่ง พากนั แลน่ เรือไปยังกลางมหาสมทุ ร และ
ได้น�ากาแสนรู้บอกทศิ ทางไปดว้ ย
สมัยน้ัน ยังไม่มีเข็มทิศน�าทางเช่นในสมัยนี้ จึงต้องเลี้ยงกาให้ท�าหน้าที่
น�าทางแทนเข็มทศิ การเดนิ ทางคร้ังนนั้ ไม่สะดวกราบรน่ื ดงั เช่นทุกครงั้ ท่ีผา่ น
มา เน่อื งจากพายุใหญพ่ ัดโหมกระหน�่า จนเรืออัปปางกลางมหาสมทุ ร ทกุ คน
ต่างประสบกับภัยพิบัติ กาตัวน้ันรีบบินหนีจนไปถึงเกาะแห่งน้ัน เมื่อกาไปถึง
เกาะ จงึ บนิ ตรวจดทู า� เล พบวา่ เกาะกลางมหาสมทุ รนเ้ี ปน็ ทอ่ี าศยั ของนกหมใู่ หญ ่
คิดว่าตนไม่อดตายแน่ มันพยายามนึกหาวิธีที่จะท�าให้ตนเองอยู่รอด ได้
ใคร่ครวญดวู ่า นกฝงู น้เี ป็นนกฝงู ใหญม่ าก เอาเถิด เราควรโกหกเพ่ือกินไข่และ
ลูกอ่อนของมันให้ได้ คิดดังนี้แล้ว มันรีบบินลงไปในท่ามกลางฝูงนกทั้งหลาย
390
และทา� เปน็ ยนื ขาเดียว อ้าปากคา้ งอยู่ทพ่ี นื้ ดนิ
เนื่องจากฝูงนกยังไม่เคยเห็นอาการอย่างน้ีมาก่อนในชีวิต จึงพากัน
ประหลาดใจวา่ นกตวั นคี้ งมขี อ้ วตั รปฏบิ ตั ทิ ไี่ มเ่ หมอื นนกตวั ใดในโลก จงึ สง่ ตวั แทน
เข้าไปถามวา่ “ท่านเป็นใคร มาจากไหน ท�าไมถึงท�าท่าประหลาด ยนื ขาเดยี วอยู่
เช่นน”้ี
กาเจ้าเล่หว์ างท่าสงบนิง่ อยา่ งน่าเชอ่ื ถือ พลางกลา่ ววา่ “ฉันเป็นผู้ประพฤติ
ธรรม ท�าเช่นนี้มานานทีเดียว หากฉันเหยียบแผ่นดินท้ังสองขา แผ่นดินจะไม่
สามารถตา้ นทานไวไ้ ด้ จะทรดุ ลงไป”
นกท้ังหลายฟงั ดงั น้ันยังไม่สิ้นสงสัย จงึ ถามต่อไปวา่ “แล้วทา� ไมท่านยืนอา้
ปาก” กาเจ้าเลห่ ์รีบตอบทนั ทวี ่า “ทฉ่ี ันท�าแบบน ี้ เพราะตวั ฉนั เองไม่สนอาหารอ่ืน
นอกจากลมเท่านัน้ ” จากน้ันมนั ยังเรียกนกทั้งหลายมาให้โอวาทดว้ ยว่า “ทา่ นทง้ั
หลายก็เชน่ กัน ควรตัง้ ใจประพฤตธิ รรมด้วยดีความสุขความเจรญิ จะได้มแี กท่ ่าน
เพราะผู้ประพฤติธรรมเท่าน้ันจึงจะมีความสุขทุกเม่ือ” พลางแสดงอากัปกิริยาว่า
ตนเองเปน็ ผมู้ คี วามสขุ ไมว่ า่ จะอยใู่ นอริ ยิ าบถใด ทงั้ ยนื เดนิ นง่ั นอน ทา� ทเี หมอื น
มคี วามสุขเหลือเกิน ค�าพดู ของกาตัวนนั้ เปน็ ความจริง เพียงแต่มันทา� ไม่ไดต้ ามท่ี
พดู เทา่ น้นั เอง มนั จึงต้องพบกบั ความหายนะในที่สุด
เมอ่ื นกเหลา่ นนั้ สงั เกตอริ ยิ าบถทด่ี แู ลว้ เหมอื นมคี วามสขุ เชน่ นน้ั ตา่ งพากนั
หลงเชอื่ และสรรเสรญิ วา่ “นา่ สรรเสรญิ กาตวั นจ้ี รงิ หนอ นอกจากจะประพฤตธิ รรม
แลว้ ยังสัง่ สอนธรรมอกี ด้วย” เมื่อพวกนกหลงเชอ่ื เวลาจะออกหากินจงึ ฝากฝงั ว่า
“ท่านครบั ตัวท่านเองกก็ นิ แตล่ มอย่างเดยี ว ถ้ากระน้ันขอใหท้ ่านช่วยอนุเคราะห์
พวกกระผมดว้ ย ช่วยดแู ลไข่และลกู ออ่ นของพวกเราดว้ ยเถิด” จากนน้ั ฝูงนกต่าง
พากนั ออกไปหาเหยอ่ื ตามปกต ิ เมอื่ ไมม่ ใี ครอย ู่ กาเจา้ เลห่ ก์ จ็ กิ กนิ ไขแ่ ละลกู ออ่ น
จนอิม่ แลว้ ยนื หลบั ตานง่ิ อยู่ในอิริยาบถเดิม
ครน้ั นกท้งั หลายกลับมาไมพ่ บไข่กบั ลกู อ่อน ต่างพากันส่งเสยี งลน่ั วา่ “ลูก
และไข่ของเราหายไปไหน” แต่ไม่มีใครสงสัยกาเลย เพราะต่างคิดว่าเป็นกา
ประพฤติธรรม เมือ่ เกิดเหตบุ ่อยขึน้ พญานกโพธสิ ัตว์จงึ ฉุกใจคิดว่า “ต้ังแต่กาตวั
นี้มา ก็เกดิ เหตรุ ้ายขน้ึ เราจะจับพิรธุ กาตัวน้เี อง” จงึ ท�าทีเหมือนออกไปหาเหย่ือ
พร้อมกับนกบริวาร แลว้ แอบบินกลบั มา ซมุ่ ดูอยเู่ งยี บๆ เหน็ กิริยาอาการทง้ั หมด
ของกาน้นั
นกพระโพธสิ ตั วจ์ งึ เรยี กประชมุ ฝงู นกทงั้ หมด เลา่ เรอ่ื งราวทง้ั หมดวา่ “สหาย
ทง้ั หลาย กาตวั นนั้ ไมม่ ศี ลี เลย พดู อกี อยา่ งหนงึ่ ทา� อกี อยา่ งหนงึ่ ไมต่ งั้ อยใู่ นธรรม
391
ทีต่ นเองสงั่ สอนผ้อู ื่น วาจาออ่ นหวาน แตจ่ ิตใจรา้ ยกาจนัก ได้แอบกินไขแ่ ละ
ลูกน้อยของพวกเรา กาตัวนี้ไม่ควรอยู่ร่วมด้วย เพราะมันอยู่ท่ีใด ย่อมจะ
ทา� ความวบิ ัตทิ ี่น่นั ”
นกพระโพธิสัตว์ได้บินขึ้นไปจิกกัดกาตัวนั้น ส่วนนกที่เหลือพากันรุม
จิกกัดเชน่ กัน จนกาสิน้ ชีวิต เมอื่ พระองคท์ รงแสดงพระธรรมเทศนาจบ จงึ
ประชมุ ชาดกวา่ กาในครงั้ นน้ั ไดม้ าเกดิ เปน็ ภกิ ษทุ มี่ กั โกหก พญานกผจู้ บั เทจ็
ได้ คือพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าน้ันเอง
ชาดกเร่อื งนี้มคี ติสอนว่า การพดู อีกอย่างหนง่ึ และทา� อีกอย่างหนง่ึ
นน้ั ไมใ่ ชว่ สิ ยั ของบณั ฑติ โดยเนอ้ื แทข้ องตนเองไมต่ งั้ อยใู่ นธรรม นอกจาก
หลอกลวงตนเองแล้วมีแต่จะก่อให้เกิดผลเสียหายตามมาอีก ท้ังท�าให้ไม่
เป็นท่ีรักของผู้คนท้ังหลาย ค�าพูดเท็จน้ีมีแต่โทษ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์
อันใด แม้เพียงน้อยนิด
โดยปกติวิสัยของผู้ประพฤติธรรมจนเข้าไปในจิตส�านึกแล้ว ท่าน
เป็นคนตรง พดู อยา่ งไร ทา� อยา่ งนัน้ ไม่ใช่พดู อยา่ ง แตไ่ ปทา� อีกอยา่ ง ซึง่
เปน็ นสิ ยั ของคนธรรมดา คนท่ีมีนิสยั ไม่ประพฤติธรรม ไม่ตั้งอย่ใู นธรรม
อปุ นิสยั เนอื้ แท้แล้ว จะเปน็ คนทเ่ี หลาะแหละ พดู คา� ไม่จริง พดู อกี อยา่ ง
หนงึ่ แต่ไปทา� อกี อยา่ งหนงึ่ เชือ่ ถอื ไม่ได้ คนท่ีมกั โกหกหลอกลวง ทง้ั ชีวติ
จะเตม็ ไปดว้ ยความหวาดระแวง เพราะตอ้ งเสกสรรปน้ั แตง่ คา� พดู อยตู่ ลอด
เวลา ในบน้ั ปลายชวี ติ ย่อมไมพ่ น้ ความทกุ ข์ทรมาน แม้ละโลกนีไ้ ปแล้ว
ยังต้องทุกข์ทรมานอยู่ในอบายภูมิ ผู้ท่ีท�าผิดเช่นน้ี หากได้ครูอาจารย์ท่ี
เป่ยี มด้วยมหากรณุ าช่วยแก้ไข ก็จะสามารถเอาตวั รอดได้
(ธมั มัทธชชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
ชาดก ฉักกนบิ าต เลม่ ๓๒ หนา้ ๕๙)
392
393
ตายเพราะปาก
“พูดดเี ป็นศรแี กต่ วั พูดชั่วตวั เดอื ดรอ้ น”
ในสมัยหน่งึ พระพทุ ธเจ้าประทับอย ู่ ณ พระเชตวนั มหาวิหาร กรุงสาวตั ถี
ทรงปรารภพระโกกาลกิ ะ ผูเ้ ดอื ดรอ้ นเพราะปากไมด่ ี ได้ทรงน�าตกั การิยชาดกมา
ตรัสเล่า ดังนี้
กาลครั้งหน่ึงนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นชายหนุ่มชื่อ
ตักการิยะ ไปศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาอยู่ในส�านักของพราหมณ์ปุโรหิตคนหน่ึง
ในเมืองพาราณสี
พราหมณป์ โุ รหติ ทา่ นนเี้ ปน็ คนตาเหลอื ง มเี ขย้ี วงอกออกมา ภรรยาของทา่ น
ไดค้ บชกู้ บั คนตาเหลอื ง มเี ขยี้ วงอกออกมาเหมอื นกนั ทา่ นพราหมณป์ โุ รหติ ไดห้ า้ ม
ภรรยาให้เลิกพฤติกรรมนั้นเสีย แต่ก็ไม่เป็นผล จึงคิดหาวิธีฆ่าชายชู้นั้นได้อย่าง
หนึ่ง
อย่มู าวันหน่ึง พราหมณ์ปุโรหติ เขา้ เฝ้าพระราชากราบทลู วา่ “ขอเดชะพระ
มหาราชเจา้ เมอื งนเ้ี ปน็ เมอื งชนั้ เลศิ ในชมพทู วปี พระองคก์ เ็ ปน็ อคั รราชา แตป่ ระตู
เมืองด้านทิศใต้สร้างไว้ไม่ม่ันคง ต้องรื้อประตูเก่าออก แล้วสร้างประตูใหม่ตาม
มงคลฤกษ ์ พระเจ้าขา้ ” พระราชาทรงรบั ส่งั ใหส้ รา้ งประตใู หม่ตามน้นั
เมื่อร้ือประตูเก่าสร้างใหม่แล้ว ท่านพราหมณ์ปุโรหิตได้เข้าเฝ้ากราบทูลอีก
ว่า “ขอเดชะพระมหาราชเจา้ ประตูสร้างเสร็จแลว้ พระเจา้ ขา้ ” แล้วกราบทูลต่อ
ไปวา่ “พรงุ่ นเี้ ปน็ วนั ฤกษด์ ี จะมพี ธิ ที า� พลกี รรม บวงสรวงสงั เวยเทพดาผมู้ ศี กั ดใิ์ หญ่
มาสถติ ดว้ ยการฆา่ พราหมณ์บรสิ ุทธ์คิ นหนง่ึ ผู้มีตาเหลือง มีเขย้ี วงอก นา� เลอื ด
เนื้อมาบวงสรวง แล้วใส่อ่างฝังไว้ใต้ประตู จึงจักเกิดสวัสดิมงคลแก่พระองค์และ
ชาวเมือง พระเจา้ ขา้ ”
พระราชาทรงรบั สัง่ ใหท้ �าตามนั้น ท�าให้ท่านพราหมณป์ ุโรหติ ดใี จว่า “พรงุ่ น้ี
ละ จะเปน็ วันตายของศัตรเู รา” เม่อื กลับไปถงึ บ้านแลว้ ก็อดจะพูดโมไ้ ม่ได ้ จงึ บอก
ภรรยาวา่ “แนะ ! นางกาลี ตั้งแตน่ ไี้ ป เจ้าจะชืน่ ชมกับใครเล่า พรุ่งนีช้ ้ขู องเจ้าจะ
394
ถงึ ทต่ี ายแลว้ ” ภรรยาเถยี งวา่ “เขาไมม่ คี วามผดิ จะ ราชารบั สงั่ เรยี กใหเ้ ขาเขา้ เฝา้ และประทานตา� แหนง่
ฆา่ เขาเพราะเหตุอะไรเล่า” ปุโรหิตให้แก่เขา แล้วส่ังให้ท�าตามอ�ามาตย์เสนอ
ทหารจับมดั พราหมณป์ ุโรหติ นั้น ขดุ หลมุ ทีใ่ ตป้ ระตู
พราหมณป์ โุ รหิตตอบวา่ “พระราชารบั ส่งั ให้ ก้ันม่านล้อมรอบพราหมณ์ไว ้ พราหมณ์มองดูหลุม
ขา้ ทา� พลกี รรม บวงสรวงสงั เวยประตเู มอื งดว้ ยเลอื ด พลางถอนหายใจพมึ พรา� วา่ “เราเปน็ คนจดั แจงความ
ของพราหมณผ์ มู้ เี ขยี้ วและตาเหลอื ง ชขู้ องเจา้ มเี ขย้ี ว พนิ าศแกต่ นเอง เพราะพดู มากแทๆ้ พลางพดู กบั ลกู
และตาเหลืองมิใช่หรอื ” นางจงึ รบี สง่ ขา่ วไปให้ชายชู้ ศษิ ยป์ โุ รหติ คนใหมว่ า่ “ตกั การยิ ะ ฉนั เปน็ คนโงเ่ ขลา
ทราบทนั ทแี ละกา� ชบั ใหร้ บี หนไี ปทอี่ นื่ โดยเรว็ พรอ้ ม เหมือนกบปา่ เรยี กงูมากนิ ตนเอง สดุ ท้ายฉนั จะตอ้ ง
ท้ังชวนผู้มีลักษณะเดียวกันไปด้วย ชายชู้ได้รีบหนี ลงหลุมน้ี คนทพี่ ดู ไมม่ ขี อบเขตไมด่ เี ลยนะ”
และส่งข่าวเลอื่ งลือไปทัว่ เมอื ง เป็นเหตใุ ห้พราหมณ์
ท่ีมเี ข้ียวและตาเหลืองพากันหนีไปที่อืน่ หมด ตักการิยะได้น�าเร่ืองในอดีตมาเล่าสู่อาจารย์
ฟงั วา่ “มนี ายพรานคนหนงึ่ จบั กนิ นรผวั เมยี คหู่ นง่ึ ได้
วันรุ่งขึ้น ปุโรหิตที่ไม่รู้ว่าศัตรูน้ันหนีไปแล้ว แล้ว น�าไปถวายพระราชา พร้อมทูลว่า “ขอเดชะ
จึงรีบเข้าเฝ้าพระราชาแต่เช้าตรู่ กราบทูลว่า พวกนรี้ อ้ งเพลงไพเราะ ฟอ้ นรา� สวยงาม พวกมนษุ ย์
“ขอเดชะพระมหาราชเจ้า ที่โน่น มีพราหมณ์ผู้มี ท�าได้ไม่เหมือนเลย พระเจ้าข้า” พระราชาทรงพอ
เข้ียวและตาเหลืองอยู่คนหนึ่ง โปรดรับสั่งให้จับมา พระทัยประทานรางวัลเป็นอันมากแก่ นายพราน
เถดิ พระเจ้าข้า” พระราชาสง่ อา� มาตย์ไปให้จบั เขา พรอ้ มตรสั กบั กนิ นรทงั้ ควู่ า่ “พวกเจา้ จงรอ้ งรา� ใหด้ ซู ”ิ
มาท�าพลีกรรม ไมน่ านพวกอ�ามาตยก์ ก็ ลบั มาทูลวา่
“ขอเดชะพระมหาราชเจ้า คนพวกน้ันเขาหนีไป กินนรผัวเมียเกรงจะร้องเพลงไม่ถูกต้อง จะ
ตงั้ แตเ่ มอื่ เชา้ แลว้ พระเจา้ ขา้ ” เมอ่ื รบั สงั่ วา่ “คนอนื่ ๆ เป็นคา� มุสาวาท จงึ ไมร่ ้องร�า พระราชาตรัสซา�้ แล้ว
ละ” ก็ทูลให้ทราบว่า “คนอื่นๆ ก็หนีไปหมดแล้ว ซา้� เลา่ ทรงกรวิ้ ตวาดวา่ “ทหาร นา� สตั วพ์ วกนไี้ ปยา่ ง
นอกจากทา่ นพราหมณ์ปุโรหิตทา่ นนี ้ ผ้มู ลี ักษณะน ี้ เป็นอาหารมื้อเย็น อีกตัวหนึ่งเป็นอาหารมื้อเช้า
ไม่มีอีกเลย พระเจ้าขา้ ” เลี้ยงไว้ไม่มีประโยชนอ์ ะไร?
พระราชารับส่ังว่า “เราไม่อาจฆ่าปุโรหิตได้” นางกนิ นรที ราบวา่ พระราชากรวิ้ แลว้ จงึ ทลู วา่
พวกอา� มาตยท์ ลู วา่ “ขอเดชะ พระองคต์ รสั อะไรเชน่ “กนิ นรรังเกียจคา� ท่ไี มด่ ี จึงไม่พูด ที่นิ่งเฉยนั้นมิใช่
นนั้ กท็ า่ นอาจารยบ์ อกอยวู่ า่ เวน้ วนั นไี้ ปแลว้ ตอ้ งรอ เพราะโง่เขลาดอก”
อกี ๑ ปี จงึ จะได้ฤกษด์ ี เมอ่ื ไม่ดา� เนนิ การจกั เปิด
โอกาสแก่พวกข้าศึกได้ พวกเราจ�าเป็นจะต้องฆ่า พระราชาตรสั วา่ “กนิ นรตี วั นพี้ ดู ไดแ้ ลว้ ทหาร
พราหมณ์ปโุ รหิต เพอ่ื ความปลอดภยั ของบา้ นเมอื ง จงนา� ไปปลอ่ ยใหถ้ งึ ปา่ ทอี่ ยเู่ ดมิ สว่ นกนิ นรตวั นน้ั นา�
พระเจา้ ข้า” ไปส่งโรงครัว ย่างมันเป็นอาหารเช้าในวันพรุ่งนี้”
ฝ่ายกินนรเห็นว่าตัวเองต้องตายแน่จึงพูดข้ึนว่า
พระราชาทรงรับส่ังว่า “มีพราหมณ์ผู้ฉลาด “มหาราชเจา้ ฝงู ปศสุ ตั วพ์ งึ่ ฝน ประชาชนพงึ่ ปศสุ ตั ว ์
เหมือนปุโรหิตบ้างไหมล่ะ” พวกอ�ามาตย์กราบทูล พระองค์เป็นท่ีพ่ึงของข้าพระบาท ภรรยาเป็นท่ีพึ่ง
วา่ “มอี ย่พู ระเจา้ ข้า เขาชอื่ ตักการิยะ เปน็ ลูกศิษย์ ของข้าพระองค์ ภรรยาเม่ือทราบว่า สามีตายแล้ว
ของทา่ นพราหมณป์ โุ รหติ นน่ั แหละ พระเจา้ ขา้ ” พระ ค่อยไปภูเขาที่ข้าพระบาทไม่พูด มิใช่เพราะขัดพระ
395
ด�ารัส แต่เพราะเห็นโทษของการพูดมาก จงึ มิได้พูด พระเจ้าข้า”
พระราชาทรงโสมนัสวา่ กนิ นรตวั น้เี ป็นบณั ฑติ กลา่ วถูกต้อง จึงรับส่งั ให้
นายพรานนา� พวกมันกลับไปปล่อยยงั ทีอ่ ย่ตู ามเดมิ ปุโรหิตตกั การยิ ะเมอ่ื นา� เรอ่ื ง
ราวมาเปรยี บเทยี บ แล้วพดู ปลอบอาจารยว์ ่า “อาจารยค์ รบั กนิ นรทั้งค่รู ักษาค�า
พดู ของตนไว ้ และรอดชวี ติ ไดเ้ พราะคา� พดู สว่ นทา่ นมคี วามทกุ ขเ์ พราะคา� พดู ทา่ น
อยา่ กลวั ไปเลย ผมจะให้ชีวติ ทา่ นเอง” แลว้ ก็บอกพวกอ�ามาตย์ว่า ยังไมไ่ ด้ฤกษ์
รอใหถ้ ึง ๓ ทุม่ กอ่ น ฤกษ์ถึงจะดี จงึ ให้คนนา� แพะตายตัวหนง่ึ แทนท่พี ราหมณ์
แล้วประกอบพิธบี วงสรวง สร้างประตูในวันนนั้ และขอใหป้ ล่อยพราหมณป์ ุโรหติ
ให้หนีไปท่ีอืน่
ชาดกเรื่องนมี้ ีคตสิ อนว่า
๑. เมอ่ื ไมต่ อ้ งการไดร้ บั ทกุ ขโ์ ทษตา่ ง ๆ และไมต่ อ้ งการมเี วรภยั อะไรกบั
ใคร กอ็ ยา่ ไปทา� รา้ ยใคร อยา่ ไปใสร่ า้ ยหรอื พดู ใหร้ า้ ยใคร รวมทง้ั อยา่ ไปคดิ รา้ ย
ใคร เพราะถ้าหากวา่ คนทต่ี นคดิ ประทุษรา้ ยนน้ั เขาเปน็ คนดี เปน็ คนบริสุทธิ์
หากไมค่ ดิ โต้ตอบใหร้ ้ายตอบ บาปกรรมและเวรกรรมนั้น จะต้องย้อนกลบั มา
หาตัว ท�าให้ตัวได้รับผลต่างๆ นานาโดยไม่รู้ตัว ท่านเปรียบเหมือนกับฝุ่น
ละอองท่ีถูกเป่าทวนลมไป ฝุ่นละอองน้ันก็จะถูกลมพัดย้อนกลับมาหาผู้เป่า
เท่าน้ันเอง
๒. คดิ อยู่เสมอว่า วาจาเป็นเหตุใหเ้ กดิ ศัตรูและสร้างศัตรู ผรู้ ู้พึงกลา่ ว
วาจาด้วยความตริตรองเสียก่อน เพื่อยังประโยชน์ให้แก่ตนเอง แต่ผู้ไร้สติ
สัมปชัญญะ ขาดปัญญา จักกล่าววาจาให้เกิดโทษแก่ตนเองและผู้อื่นอยู่
เนืองๆ
เพราะฉะนั้น จึงควรส�ารวมวาจาให้มากๆ โดยการพิจารณาเสียก่อน
จงึ พดู แมพ้ ระพทุ ธองคต์ รสั สอนวา่ “ไมค่ วรคา� นงึ ถงึ ถอ้ ยคา� ของผอู้ น่ื วา่ ดหี รอื
ไมด่ ี และการงานของคนอนื่ วา่ ทา� สา� เรจ็ หรอื ยงั ไมไ่ ดท้ า� แตค่ วรคา� นงึ ถงึ ถอ้ ยคา�
ของตนเอง และการงานของตัวเองดกี ว่า”
โดยใจความน้ีมีพุทธประสงค์ว่า ให้ถือเอาเรื่องของตนเองเป็นประการ
ส�าคัญ คือแทนที่จะคอยต�าหนิติเตียนคนอ่ืน ให้คอยส�ารวจตรวจตราความ
ประพฤติของตนเอง ตา� หนคิ วามบกพร่อง ความผดิ พลาดของตัวเองอยู่เสมอ
(ตักการิยชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย
ชาดก เตรสนิบาต เลม่ ๓๓ หน้า ๒๒๖)
396
397
ตายเพราะไม่เรยี น
“ดอื้ รน้ั จะพลันวิบัติ เชื่อฟงั นา� มาซ่ึงพร”
ความอนั เปน็ ท่ีมาของชาดกเร่ืองน้ี มีดังต่อไปนี้
สมัยหนึง่ พระพุทธเจ้าประทบั อย่ใู น ณ พระเชตวันมหาวิหาร ในกรุง
สาวัตถี เมอื งหลวงของแคว้นโกศล ทรงปรารภภกิ ษวุ ่ายากสอนยากรปู หน่งึ
มีเร่ืองเล่าว่า ภิกษุนั้นเป็นผู้ว่ายาก ไม่ยอมรับฟังค�าสอนจากใครเลย
เมอื่ มใี ครตา� หน ิ เธอกจ็ ะเถยี งอยตู่ ลอดเวลา ไมท่ า� ตนใหเ้ ปน็ ผวู้ า่ งา่ ยสอนงา่ ย
ต่อมาเม่ือพระศาสดาได้ทรงทราบเร่ือง จึงตรัสเรียกภิกษุนั้นมาสอบถามว่า
“ดูก่อนภิกษุ ได้ทราบมาวา่ ตัวเธอเป็นคนหัวด้อื จรงิ หรอื ”
เมือ่ ภิกษนุ ้นั ยอมรับตามความจริง จึงตรสั สอนว่า “ดูกอ่ นภิกษุ แมใ้ น
ชาติก่อนเธอก็ไม่เช่ือฟัง ไม่รับฟังค�าสอนจากบัณฑิตท้ังหลาย เพราะความ
เป็นผู้ว่ายาก จงึ ตอ้ งติดบ่วงถึงแกค่ วามตายมาแลว้ ” จากนนั้ พระพุทธองค์ได้
ทรงน�าเร่ืองขราทิยชาดกมาตรัสเลา่ ดังนี้
ในอดตี กาล พระโพธสิ ตั วเ์ สวยพระชาตเิ ปน็ พญากวาง มบี รวิ ารเปน็ อนั
มาก ลว้ นแตม่ รี ะเบยี บวนิ ยั และอยใู่ นโอวาทของพญากวาง ผเู้ ขม้ แขง็ เดด็ เดย่ี ว
และเมตตาปรานตี อ่ บรวิ าร โดยสง่ั สอนวธิ หี ากนิ และเอาตวั รอดจากภยนั ตราย
ของกวางอยา่ งไมเ่ หน็ แกเ่ หนด็ เหนื่อยตลอดมา
วนั หนง่ึ นางกวางซง่ึ เปน็ นอ้ งสาวผหู้ นงึ่ ของพญากวาง ไดพ้ าลกู ชายมา
ฝากให้ช่วยสอนวิชามฤคมายาแก่ลูกกวางของตนด้วย พญากวางก็ยินดีรับ
สอน และนดั เวลาให้มาเรียน แต่เม่ือถึงก�าหนดนัดเวลาเรียน ลกู กวางนั้นไม่
เคยมาเรยี น บน่ กบั เพอื่ นลกู กวางดว้ ยกนั วา่ “ไมอ่ ยากไปเรยี นวชิ ามฤคมายา
อะไรน่นั หรอก เพราะไมเ่ ห็นจะมีประโยชนอ์ ะไรเลย เรอ่ื งตะกยุ ดิน เบ่งท้อง
พองลม ท�าเปน็ แกล้งตายนะ่ ถงึ ไม่เรยี นก็ท�าได้ ไม่เหน็ ยากเลย”
ฝา่ ยเพอื่ น ๆ กค็ า้ นวา่ “นเี่ ธอ มนั อาจจะไมง่ า่ ยอยา่ งทค่ี ดิ กไ็ ดน้ ะ พญา
กวางท่านอุตส่าห์สละเวลาสอนให้ มีโอกาสแล้วรีบเรียนเถอะ” แต่ลูกกวาง
398
นน้ั ก็ยังคงดื้อดงึ ไม่สนใจคา� ตักเตอื นของเพ่ือน ๆ ๗ วันเชน่ น”้ี
หนเี ท่ียวเล่น ไมไ่ ปเรยี นทกุ ครง้ั ซ้า� ยงั พดู วา่ “พวก พระบรมศาสดาตรัสเล่าชาดกจบแล้ว ทรง
เธอไปเรียนเถอะ ไม่ต้องมาห่วงฉันหรอก ฉันโต
พอแล้ว เอาตัวรอดได้นะ” แล้วลูกกวางน้ันก็ไม่ ประชมุ ชาดกว่า กวางผ้เู ปน็ หลานดื้อในคร้ังน้นั ไดม้ า
สนใจไปเรียนกับพญากวางผเู้ ปน็ ลงุ ของตน เลยไป เป็นภิกษุหัวด้ือว่ายากไม่ต้ังใจเรียนรูปนี้ ส่วนนาง
เที่ยวเล่นในป่าอย่างสบายใจ ดว้ ยความเพลดิ เพลิน กวางไดม้ าเป็นพระอุบลวรรณาเถรี พญากวางได้มา
และประมาท จึงไปติดบว่ งของนายพรานเข้าในวนั เปน็ พระพทุ ธองค์เอง
หน่งึ
ชาดกเร่อื งนี้มคี ติสอนวา่ ลกู ดือ้ มักจะทา� ให้
ฝ่ายนางกวางไม่เห็นลูกกลับมาจนเวลาล่วง พอ่ แมเ่ สยี ใจอยเู่ สมอ ความดอ้ื รนั้ อาจเปน็ เหตใุ หล้ กู
ไปถงึ ๗ วนั กเ็ อะใจและกงั วลมาก จงึ รบี ไปหาพญา ประสบหายนะหรืออาจถึงกบั เสียชวี ติ ลกู ถึงจะดื้อ
กวาง ถามถึงลูกของตนว่า “พ่ีสอนหลานให้เรียน รน้ั อยา่ งไรกต็ าม พอ่ แม่ก็ยงั รักลกู ดังดวงใจ คนทม่ี ี
วิชามฤคมายาแล้วหรอื ไม”่ นิสยั ดื้อรนั้ ควรรบี แกไ้ ขเสีย มิฉะน้ัน จะไมม่ ใี คร
อยากแนะนา� ตกั เตอื น คนหวั ดอื้ จดั วา่ เปน็ คนอาภพั
พญากวางตอบว่า “น้องเอ๋ย ต้ังแต่วันที่เจ้า มาก เพราะไมม่ ใี ครอยากขอ้ งแวะหรอื เกยี่ วขอ้ งดว้ ย
เอาลูกมาฝากใหพ้ ่สี อน นัดวนั และเวลาเรยี นแลว้ ก็
ไมเ่ คยเห็นหนา้ เจา้ หลานชายนีอ้ กี เลย ตลอดทงั้ ๗ ประโยชน์ของการเชือ่ ฟัง
วันจนถึงวันนี”้ ๑. น�ามาซง่ึ คณุ ธรรมกตญั ญรู ูค้ ุณ
๒. ร้จู กั ตอบแทนให้ผ้มู พี ระคณุ
นางกวางไดฟ้ งั ดงั น้นั ก็ตกใจมาก เทยี่ วว่งิ ไป ๓. ชวี ิตและการงานเจรญิ กา้ วหน้า
สอบถามบรรดาเพ่ือนๆ ของลูกชาย จึงร้วู า่ ลูกของ ๔. ชวี ติ มีความสุข และเปน็ ท่ีรกั ของคนอืน่
นางวงิ่ เลน่ ไปจนตดิ บว่ งของนายพรานและถกู ฆา่ เสยี โทษของการไมเ่ คารพเช่ือฟงั
แล้ว ๑. กลายเป็นคนอกตญั ญู ไม่ร้คู ณุ คน
๒. น�ามาซ่งึ ความเสยี หายต่อชีวิต และ
นางเศร้าโศกเสียใจมาก รอ้ งไห้คร่�าครวญว่า ทรัพย์สิน
“ลูกเอ๋ย ท�าไมลูกไม่เช่ือฟังแม่ ลูกของแม่ต้องมา ๓. ชีวติ และการงานไม่ประสบความสา� เร็จ
ตายเสียต้งั แต่อายุยงั น้อย เพราะความด้อื รน้ั แท้ ๆ ๔. ชีวติ ไม่มีความสขุ ไม่เป็นท่ีเชอ่ื ถือของ
เทยี ว ถา้ ลูกตัง้ ใจเรียน ไม่หนไี ปเทย่ี วเล่น กค็ งไม่ คนอ่นื
ต้องตายจากแม่ไปเช่นนี้” นางกวางร้องไห้สะอึก
สะอ้นื ปานจะขาดใจ (ขราทิยชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
พญากวางผพู้ ช่ี ายจงึ กลา่ วใหส้ ตวิ า่ “นอ้ งเอย๋ ชาดก เอกนบิ าต เลม่ ๒๘ หน้า ๒๘๔)
เจา้ อยา่ ไดเ้ ศรา้ โศกเสยี ใจกบั ลกู หวั ดอ้ื ไมย่ อมอยใู่ น
โอวาทนั้นเลย พี่ไม่อาจสั่งสอนเจ้าลูกกวางผู้มีเขา
คดตง้ั แตโ่ คนถงึ ปลาย และดอื้ ดา้ นไมม่ าเรยี นจนถงึ
399
400