The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คติชีวิตจากชาดก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ict.sesaosp, 2022-12-17 20:53:51

คติชีวิตจากชาดก

คติชีวิตจากชาดก

มิตรทโี่ ง่เขลา

“มีศตั รูทเี่ ปน็ บณั ฑติ ดกี ว่ามีมิตรเป็นพาล”

ในสมยั พทุ ธกาล ทา่ นอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐ ี มหี ญงิ รบั ใชค้ นหนงึ่ ชอื่ โรหณิ ี
นางได้ฆา่ มารดาตายด้วยสากตา� ขา้ ว เพราะความตง้ั ใจทีจ่ ะตแี มลงวนั ท่ีมารมุ
ตอมมารดา เมอ่ื มารดาตาย นางเศรา้ โศกเสยี ใจมาก บรรดาคนรบั ใชท้ งั้ หลาย
จึงน�าความทเี่ กิดข้ึนมาแจ้งแกท่ า่ นอนาถบณิ ฑิกเศรษฐี เมอ่ื ท่านอนาถบิณฑิ
กเศรษฐจี ดั การเรอื่ งศพมารดาของนางโรหณิ แี ลว้ จงึ ไปทเ่ี ชตวนั มหาวหิ าร และ
กราบทูลเรอ่ื งทีเ่ กดิ ขึ้นใหพ้ ระบรมศาสดาทรงทราบ ทา่ นอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี
กราบทูลอาราธนาให้พระองค์ทรงเล่าเร่ืองในอดีต พระพุทธองค์จึงทรงน�า
โรหิณีชาดกมาตรัสเลา่ ดังนี ้

ในอดีตกาล ครั้งพระเจา้ พรหมทตั ครองราชยส์ มบัต ิ ณ กรงุ พาราณาส ี
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นเศรษฐีในเมืองนั้น เศรษฐีมีสาวใช้ชื่อ นาง
โรหณิ ี

วันหน่งึ ในฤดูรอ้ น มีแมลงวันชุกชมุ มาก มารดาของนางโรหิณซี ึ่งชรา
มากแล้ว หูตาฝ้าฟาง งกๆ เงิ่นๆ ท�าอะไรไม่ค่อยได้ จึงหลบแมลงวนั เข้าไป
นอนอยู่โรงตา� ข้าว แต่บังเอิญแมลงวันฝูงหน่ึงบินตามเข้าไปด้วย มันรุมตอม
แขนขาหนา้ ตาและเนอ้ื ตวั ของนาง เมอ่ื ปดั ทห่ี นงึ่ มนั กบ็ นิ ไปตอมอกี ทหี่ นงึ่ ไล่
ไม่ไป นางร�าคาญมากจึงร้องเรียกนางโรหิณีลูกสาวให้มาช่วยปัดแมลงวันให้
นางโรหิณรี บั คา� แลว้ รีบไปหาแมท่ นั ที

ครน้ั เหน็ แมลงวนั ทงั้ ฝงู กา� ลงั รมุ กดั รมุ ตอมแมพ่ บ่ึ พบั อยอู่ ยา่ งนน้ั จงึ โกรธ
จัด คิดจะฟาดแมลงวันให้แหลกลาน จึงฉวยเอาสากต�าข้าวท่ีอยู่ใกล้มือหวด
โครมลงไป ปรากฏว่าแมลงวันส่วนหน่ึงตายคาที แต่แม่ของนางก็ถึงกับชัก
ตาตั้งไปเช่นกัน

นางโรหณิ ตี กใจมาก รอ้ งตะโกนเสยี งลนั่ คนรบั ใชท้ งั้ หลายตา่ งวงิ่ มา แต่
ชว่ ยเหลอื อะไรไมไ่ ดเ้ สยี แลว้ จงึ พากนั ซกั ถามนางโรหณิ ี พดู พลางรอ้ งไหส้ ะอกึ
สะอน้ื เสยี ใจในความโงเ่ ขลาของตน เมอ่ื เศรษฐที ราบเรอื่ งทเี่ กดิ จงึ ใหจ้ ดั การ

401


ท�าศพมารดาของนางโรหิณี แล้วกล่าวว่า “ศัตรูที่มีปัญญายังดีกว่ามีคน
ช่วยเหลือท่ีโง่เขลา ดูซิ นางโรหิณีฆ่ามารดาตายแล้ว ได้แต่ร้องไห้
ครา่� ครวญอยู่”

ชาดกเร่อื งนี้ มีคติสอนว่า
๑. ศัตรูที่น่ากลัวมาก คือศัตรูท่ีฉลาด มีความรู้ความสามารถ
เพราะอาจจะทา� รา้ ยเราไดห้ ลายๆ วธิ ี ท�าให้เราตอ้ งระมดั ระวงั มาก แต่
ผทู้ ่นี า่ กลัวกวา่ น้ัน คือผทู้ ่ีโงเ่ ขลา ขาดเหตุผล หรือวกิ ลจริต แมจ้ ะเป็น
มติ รแตน่ ่ากลัวกวา่ ศตั รู เพราะอาจกอ่ เหตุร้ายทเ่ี หนอื การคาดเดาขึ้นได้
อย่าไวใ้ จใช้งานคนโงๆ่ บา้ ๆ บอๆ เด็ดขาด เพราะจะทา� ใหเ้ กิดความ
วิบัตโิ ดยไม่คาดคดิ
๒. คนเรานน้ั แมจ้ ะมีความซอื่ สตั ย์ มคี วามกตญั ญูกตเวทกี ็ยังไม่
พอ จะตอ้ งมสี ตสิ มั ปชญั ญะประกอบอยดู่ ว้ ยเสมอ ทา� ใหไ้ มเ่ ลนิ เลอ่ พลงั้
เผลอ สตเิ ปน็ ธรรมมอี ปุ การะมาก คอื ทา� ใหต้ น่ื ตวั อยเู่ สมอ ใหไ้ มเ่ ลนิ เลอ่
พลง้ั เผลอ ปอ้ งกันความเสยี หายเบ้ืองต้น เปน็ เหตุให้ฉกุ คดิ ยับย้ังช่งั ใจ
ไมบ่ มุ่ บา่ ม แตห่ ากขาดสตแิ ลว้ จะเปน็ เหตใุ หพ้ ลง้ั เผลอ ทา� อะไรผดิ พลาด
และ เสียหายไป สัมปชัญญะเป็นธรรมมีอุปการะมากเช่นเดียวกับสติ
เพราะคนทมี่ ีสัมปชัญญะ จะสามารถควบคุมการท�า การพูด การคดิ ให้
อยู่ในกรอบ ให้คิดไตร่ตรองถ้วนถี่ขณะท�า พูด คิด ท�าให้เกิดความ
รอบคอบ ไม่ผดิ พลาดเสยี หาย และสามารถละการทา� พูด คิด ทไี่ ม่ถูก
ต้องไดด้ ้วยตนเอง

(โรหณิ ชี าดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
ชาดก เอกนบิ าต เล่ม ๒๙ หน้า ๒๔)

402


403


กงิ้ กา่ จอมหยิ่ง

“ผู้รอบรูม้ ักถอ่ มตน ผู้โง่เขลามักหยิ่งยโส”

ในอดตี กาล มพี ระราชาพระนามวา่ วเิ ทหะ เสวยราชสมบตั ใิ นกรงุ มถิ ลิ า
แห่งแคว้นวิเทหะ ในกาลน้ัน พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นมโหสถบัณฑิต
พระเจ้าวิเทหราชทรงโปรดปราน จึงแต่งต้ังเขาให้เป็นปุโรหิต มีหน้าที่ให้ค�า
ปรกึ ษาในหนา้ ที่ราชการประจ�าราชสา� นัก

มอี ยวู่ นั หนงึ่ พระเจา้ วเิ ทหราชเสดจ็ ไปพระราชอทุ ยานกบั มโหสถบณั ฑติ
พร้อมดว้ ยบริวารติดตาม ขณะเสดจ็ ชมพระราชอทุ ยานอยู่น้ัน พลนั มีก้งิ ก่าตวั
หนึ่ง พอมันเห็นพระราชาเสด็จมากร็ ีบคลานลงจากเสาคา่ ย มาก้มหัวหมอบท่ี
พื้นดนิ ข้างทางเสดจ็

พระราชาทอดพระเนตรเห็นกิรยิ าของกิ้งก่าเชน่ นน้ั จงึ ตรัสถามมโหสถ
บณั ฑิตวา่ “แน่! กิง้ ก่าตวั น้ีทา� อะไรของมนั ละ่ ”

มโหสถบัณฑิตกราบทูลว่า “ก้ิงก่าตัวนี้มาหมอบถวายตัวแก่พระองค์
พระเจ้าขา้ ” พระเจา้ วเิ ทหราชทรงพอพระทยั นัก ถงึ กับตรสั ว่า “เม่ือมันถวาย
ตัว กจ็ งใหท้ รัพย์แก่มันเถิด”

มโหสถจึงกราบทูลใหท้ รงทราบว่า “ขอเดชะ กิ้งกา่ ไม่ตอ้ งการทรัพย ์ ขอ
เพียงพระราชทานแค่เน้ือก็เพียงพอแล้ว” จึงมีรับส่ังโปรดให้ราชบุรุษผู้เฝ้า
อุทยานซื้อเนอื้ ให้แกม่ นั วนั ละก่ึงมาสก

ต่อมาวันหน่ึง เป็นวันอุโบสถ ซึ่งในวันนี้จะไม่มีการฆ่าสัตว์ บุรุษผู้เฝ้า
อุทยานหาซื้อเน้ือไม่ได้ จึงเอาเหรียญกึ่งมาสกนั้นเจาะรู แล้วเอาด้ายร้อยผูก
เป็นเครื่องประดบั ท่ีคอมนั

ตั้งแต่นั้นมา มนั กเ็ กิดมานะความถอื ตัวจดั เพราะอาศัยทรพั ย์ท่ีห้อยคอ
นนั่ เอง ถดั มาอกี วนั หนง่ึ เมอื่ มนั ไดพ้ บพระราชาอกี ครงั้ ในพระราชอทุ ยาน มนั
ก็ท�าตนเสมอพระราชาด้วยเข้าใจว่า ตนเองมีทรัพย์เสมอกับพระราชา จึงไม่
ยอมลงมาจากเสาคา่ ย ไดแ้ ต่หมอบยกหัวโยกไปมาบนปลายเสาค่าย

404


พระเจ้าวิเทหราชได้ทอดพระเนตรเห็นกิริยา ชาดกเร่อื งนม้ี ีคตสิ อนว่า

ของมนั ทรงแปลกพระทยั ในกริ ยิ าทแ่ี ปลกของมนั จงึ การแสดงอาการความทะนงตนว่า ดีกว่าผู้

ตรสั ถามถงึ สาเหตกุ ะมโหสถวา่ “เอ!้ วนั นที้ า� ไมกงิ้ กา่ อนื่ ไมร่ จู้ กั ทส่ี งู ทตี่ า่� มคี วามแขง็ กระดา้ ง ขาดความ

ไม่ลงมาหมอบอ่อนน้อมเหมือนครั้งก่อนๆ มโหสถ ละมุนละไม อ่อนโยนในกิริยาวาจาและอัธยาศัย

บณั ฑิตรหู้ รอื ไม่ ทา� ไมมนั ถึงมีอาการกระดา้ ง ถือตวั เปน็ อาการทน่ี า่ เกลยี ด ไมน่ า่ รกั ไมน่ า่ เอน็ ดขู องคน

อยา่ งน”ี้ ทั้งหลาย ความเย่อหย่งิ น้ี เกิดเพราะชาตกิ า� เนิด

ลา� ดับนนั้ มโหสถบณั ฑติ เมอ่ื ตรวจพิจารณา สงู บา้ ง เพราะความมงั่ มที รพั ยบ์ า้ ง เพราะทะนงใน

ดว้ ยปัญญาจึงร้วู า่ วนั นเ้ี ปน็ วันอโุ บสถ โดยปกติแล้ว รปู โฉมตา่ ง ๆ เป็นพเิ ศษบ้าง รวมความแลว้ กค็ ือ

วนั นจี้ ะไมม่ กี ารฆา่ สตั ว ์ ราชบรุ ษุ เมอื่ หาเนอื้ ไมไ่ ด ้ จงึ การยกตวั ถอื ตนวา่ ดกี วา่ สงู กวา่ ผอู้ นื่ นน่ั เอง จะเหน็

เอาทรัพย์ก่ึงมาสกซ่ึงเป็นค่าอาหารมาผูกคอให้มัน ได้ว่าความเย่อหย่ิงเป็นสิ่งที่ไม่ก่อประโยชน์แต่

แทน เพราะอาศยั เหตนุ เี่ อง จงึ ท�าใหก้ ง้ิ กา่ เกดิ ความ ประการใดเลย หน�าซา�้ ท�าใหเ้ สียประโยชน์อกี ดว้ ย

ถือตัว จงึ กราบทลู ให้ทราบว่า “ขอเดชะ กิ้งกา่ ตวั นม้ี ี แมว้ า่ บคุ คลนน้ั จะเปน็ ผสู้ งู ดว้ ยชาตวิ ฒุ ิ หรอื วา่ เปน็

ทรัพยก์ งึ่ มาสกห้อยคอ ลุม่ หลงในทรพั ย์ทไี่ ด้มา ซ่งึ ผมู้ งั่ มเี งนิ ทอง พรง่ั พรอ้ มไปดว้ ยโภคทรพั ย์ แตถ่ า้

มนั ไมเ่ คยได ้ จงึ ทา� การดหู มนิ่ พระเจา้ วเิ ทหราชผทู้ รง บุคคลนั้นร�าลึกอยู่ว่า ที่ตนได้เป็นหรือมีอยู่น้ัน ก็

การสงเคราะหช์ าวกรุงมถิ ลิ า พระเจา้ ขา้ ” เพราะบุญเก่าท่ีตนได้สร้างสมไว้ และไม่เย่อหย่ิง

พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับค�าตอบเช่นนั้น จึง ถอื ตวั มีความออ่ นนอ้ มถ่อมตน ไมด่ หู ม่ินคนอืน่

เรียกราชบุรุษมาซักถาม กไ็ ดร้ ับความจรงิ ตรงดังคา� ผู้นั้นก็จะยิ่งได้ความสุข ความสวัสดี และความ

ของมโหสถ ทา� ใหเ้ ลอ่ื มใสในสตปิ ญั ญาของมโหสถยง่ิ สา� เรจ็ ในชวี ติ ยง่ิ ขนึ้ เพราะไดก้ ระทา� ตนใหเ้ ปน็ ทร่ี กั

นกั ท่ีรู้แม้กระทงั่ นิสัยของสัตว์เดรจั ฉาน จงึ ทรงคดิ ใคร่เอ็นดู หรือได้รับความเคารพนับถือจากผู้อ่ืน

วา่ “มโหสถ ไมไ่ ดถ้ ามอะไรกบั ใครๆ เลย แตส่ ามารถ อนั เปน็ ทางนา� ไปสคู่ วามสา� เรจ็ ดว้ ยประการ ทง้ั ปวง

รูน้ สิ ยั และจิตใจของก้ิงก่าได้อยา่ งถกู ต้อง” และน่ีเองทีท่ ่านตรสั สอนว่า

ดังนั้น พระเจ้าวิเทหราชจึงทรงพระราชทาน ความไมเ่ ยอ่ หย่ิงนน้ั เป็นมงคลอนั อดุ มของ

สว่ ย (เงนิ ภาษ)ี ทเี่ รยี กเกบ็ คา่ ผา่ นประตเู มอื งประตู ชีวติ

ท ี่ ๔ แกม่ โหสถ แต่ทรงพระพโิ รธ จึงทรงรับส่งั ให้

ผู้รักษาอุทยานให้เอาเหรียญทองท่ีแขวนคอก้ิงก่าไว้ (มโหสถชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย

ออกเสยี และตรสั หา้ มวา่ “ตง้ั แตว่ นั นเ้ี ปน็ ตน้ ไป อยา่ ชาดก มหานิบาต เลม่ ๓๖ หนา้ ๒๘๐)

ซือ้ เน้ือมาให้ก้ิงกา่ กนิ เปน็ อันขาด” กงิ้ กา่ ตวั น้ันก็อด

ไดก้ นิ เนอ้ื พระราชทานตงั้ แตว่ นั นน้ั เปน็ ตน้ มา เพราะ

ความเย่อหย่งิ ของตน

405


406


ช้างกตญั ญู

“กตญั ญรู ูค้ ณุ เปน็ ทนุ หนนุ ชีวิต”

ในสมยั หนึง่ พระพทุ ธเจา้ ประทบั อย ู่ ณ เชตวันมหาวหิ าร กรงุ สาวัตถี
ทรงปรารภภิกษผุ เู้ ลย้ี งมารดารูปหนง่ึ ได้ทรงนา� มาตุโปสกชาดกมาตรสั เล่า
วา่ กาลครง้ั หนง่ึ นานมาแลว้ พระโพธสิ ตั วเ์ สวยพระชาตเิ ปน็ พญาชา้ งเผอื กขาว
ปลอด มรี ูปรา่ งสวยงาม มฝี งู ชา้ งเป็นบรวิ าร เลี้ยงดมู ารดาตาบอดอยู่ เม่ือพา
บริวารออกหากิน ได้อาหารอนั มรี สอรอ่ ยแลว้ ก็จะส่งกลบั มาให้มารดากนิ แต่
กถ็ กู ชา้ งเชอื กทน่ี า� อาหารมากนิ เสยี ระหวา่ งทาง เมอื่ กลบั มาทราบวา่ มารดาไม่
ไดอ้ าหาร กค็ ิดจะละจากโขลงเพ่อื เล้ียงดมู ารดาเท่านนั้ ครัน้ ถงึ เวลาเทยี่ งคืน
กแ็ อบนา� มารดาหนอี อกจากโขลงไปอยทู่ เี่ ชงิ เขา แลว้ พกั มารดาไวท้ ถี่ า�้ แหง่ หนงึ่
สว่ นตนเองออกไปเท่ยี วหาอาหารมาเลยี้ งมารดา

ต่อมาวนั หนงึ่ มพี รานป่าชาวเมอื งพาราณสคี นหนง่ึ เขา้ ป่ามาแล้วหลง
ทาง ออกจากปา่ ไมไ่ ด ้ จงึ นัง่ ร้องไหอ้ ยู ่ พญาช้างพอได้ยนิ เสยี งคนรอ้ งไห้ ด้วย
ความเมตตากรุณาในตัวเขา จึงพาเขาออกจากป่าไปสง่ ท่ชี ายแดนมนษุ ย์

ฝ่ายนายพราน เมื่อพบช้างท่ีมีลักษณะสวยงามเช่นนั้นก็คิดชั่วร้ายว่า
“ถา้ เรานา� ความกราบทลู พระราชา เราจกั ไดท้ รพั ยเ์ ปน็ จา� นวนมากเปน็ แนแ่ ท”้
ขณะอยบู่ นหลังชา้ งได้หักกิ่งไมก้ า� หนดไวเ้ ปน็ สัญลกั ษณ์

ในสมัยน้ัน ช้างมงคลของพระราชาได้ล้มลง พระราชาจึงมีรับสั่งให้ตี
กลองรอ้ งประกาศวา่ ใครมชี า้ งทเี่ ข้าลักษณะสวยงาม ขอให้บอก นายพราน
คนนน้ั ไดโ้ อกาสจงึ เขา้ ถวายบงั คม และกราบทลู ใหท้ รงทราบ พระราชาจงึ รบั สง่ั
ใหน้ ายควาญชา้ งพรอ้ มดว้ ยบรวิ ารตดิ ตามนายพรานนน้ั เขา้ ปา่ เพอื่ นา� พญาชา้ ง
นนั้ มาถวายพระราชา

ขณะนนั้ พญาชา้ งนนั้ กา� ลงั ดม่ื นา้� อยใู่ นสระ เมอื่ เหน็ นายพรานนนั้ กลบั
มาพรอ้ มกบั ผคู้ นอีกจ�านวนมาก กท็ ราบวา่ ภัยมาถึงตัวแล้ว จึงกา� หนดสติขม่
ความโกรธไวใ้ นใจ ยนื น่ิงอยู ่ หลงั จากนั้น นายควาญชา้ งได้นา� พญาชา้ งเข้าไป
ในเมอื งพาราณสี

407


ฝา่ ยชา้ งมารดาของพญาช้าง เมอื่ ไมเ่ ห็นลูกมาจงึ คร�า่ ครวญ คิดถงึ ลกู วา่
“ลกู เราสงสยั ถกู พระราชาหรอื มหาอา� มาตยจ์ บั ไปแลว้ กระมงั เมอื่ ไมม่ มี พี ญาชา้ ง
อย ู่ ไม้ออ้ ยช้าง ไม้มกู มัน ไมช้ า้ งน้าว หญ้างวงชา้ ง ข้าวฟ่าง และลกู เดือย คง
เจรญิ งอกงาม”

ฝ่ายนายควาญช้าง ระหว่างทางกลับเข้าเมืองได้ส่งสาส์นไปถึงพระราชา
เพอื่ เตรยี มตกแตง่ เมอื งใหส้ วยงาม เมอ่ื ขบวนมาถงึ เมอื งแลว้ กป็ ระพรมนา้� หอม
พญาชา้ ง ประดับเคร่ืองทรงแล้ว นา� ไปไว้ท่ีโรงช้าง ข้ึนกราบทูลพระราชา พระ
ราชาทรงนา� อาหารอันมีรสเลิศตา่ ง ๆ มาให้พญาชา้ งด้วยพระองคเ์ อง

พญาช้างคดิ ถึงมารดา จึงไมก่ ินอาหารนั้น พระองค์จึงอ้อนวอนวา่ “พญา
ชา้ งตวั ประเสริฐเอย๋ เชญิ พ่อรบั อาหารเถิด เจา้ มภี ารกิจมากมายทจี่ ะตอ้ งท�า”

พญาชา้ งพูดลอยๆ ข้ึนว่า “นางช้างผกู้ �าพรา้ ตาบอด ไมม่ ผี นู้ �าทาง คงจะ
สะดุดตอไม้ ลม้ ลงตรงภูเขาเปน็ แน่”

พระราชาตรสั ถามว่า “พญาชา้ ง! นางชา้ งนน้ั เป็นอะไรกบั เจา้ หรือ”
พญาชา้ ง “นางเป็นมารดาของขา้ พระองค”์
พระราชาเมือ่ สดบั อย่างนั้นแล้ว เกิดความสลดใจ มีรับส่งั ใหป้ ลอ่ ยพญา
ช้างว่า “พญาช้างน้ีเลี้ยงดูมารดาผู้ตาบอดในป่า ท่านท้ังหลายปล่อยพญาช้าง
กลบั ไปเถิด”
พญาชา้ งเมอื่ ถกู ปลอ่ ยใหเ้ ปน็ อสิ ระ พกั อยหู่ นอ่ ยหนง่ึ แลว้ แสดงธรรมถวาย
พระราชาวา่ “มหาราชเจ้า ขอพระองคจ์ งอยา่ เป็นผปู้ ระมาทเถดิ ” แลว้ ได้กลับ
ไปยงั ทอ่ี ยขู่ องตน ไดน้ า� นา้� ในสระไปรดตวั มารดาทนี่ อนรา่ งกายผา่ ยผอมเพราะ
ไมไ่ ดอ้ าหารมาแลว้ ๗ วนั เป็นอันดับแรก
ฝา่ ยชา้ งมารดาเมอื่ ถูกน้า� สาดแลว้ เข้าใจวา่ ฝนตก จงึ พดู ข้นึ วา่ “ฝนอะไร
น่ตี กไมเ่ ปน็ ฤดู ลูกเราไมอ่ ยเู่ สยี แล้ว”
พญาชา้ งจึงพดู ปลอบใจมารดาว่า “แม่ เชญิ ลุกขึ้นเถิด ลูกของแมม่ าแลว้
พระราชาผู้ทรงธรรมใหป้ ล่อยลกู มาแลว้ ละ”
นางชา้ งดใี จมาก ไดอ้ นโุ มทนาแกพ่ ระราชาวา่ “ขอใหพ้ ระองคท์ รงพระชนม์
ยนื นาน เจริญรุง่ เรืองเถิด ทีป่ ลอ่ ยลกู ของข้าพระองคค์ ืนมา”
ฝ่ายพระราชาทรงเล่ือมใสในพญาชา้ ง จึงมรี ับสั่งใหต้ ง้ั อาหารไว้เพ่อื พญา
ชา้ งและมารดาเปน็ ประจา� ตงั้ แตว่ นั ทปี่ ลอ่ ยพญาชา้ งไป และสงั่ ใหส้ รา้ งรปู เหมอื น

408


พญาช้าง จดั งานฉลองช้างข้นึ เปน็ ประจ�าทกุ ปี พญาชา้ งเมอ่ื มารดาเสยี ชีวติ
แล้ว กไ็ ด้อุปัฏฐากคณะฤษ ี ๕๐๐ ตน จนตราบเท่าชีวิต

ชาดกเรอื่ งนม้ี ีคติสอนว่า
การท่ีเราทุกคนเกิดมามีพ่อแม่ผู้ให้ก�าเนิดเรามา ถือว่าท่านทั้งสอง
เปน็ ผู้มีพระคุณท่ีสุดในชวี ิต และเมอ่ื เราเติบโตขน้ึ มา ทา่ นกค็ อยดูแลส่งั
สอนใหเ้ ราเปน็ คนดขี องสงั คม สิ่งทผ่ี ้เู ปน็ ลกู จะต้องพงึ กระท�า เม่อื เติบโต
จนเปน็ ผใู้ หญ่ นนั่ คอื การตอบแทนบญุ คณุ ของพอ่ แมแ่ ละผทู้ เ่ี ลย้ี งดเู รามา
รวมถึงส�าหรับบางคนทม่ี ีผู้ใหญ่ ญาติพน่ี อ้ ง คนอนื่ ๆ ดแู ลแทนพ่อแม่ ซึ่ง
การตอบแทนบุญคุณของทา่ นน้ัน สามารถเลอื กท�าไดแ้ ตกต่างกันออกไป
บางคนมกี า� ลงั ทรพั ยก์ เ็ ลย้ี งดเู ปน็ อยา่ งดี สรา้ งบา้ นใหม่ พาไปเทย่ี วพกั ผอ่ น
ซอ้ื ข้าวของเครือ่ งใช้ที่จ�าเปน็ ให้ วิธีตอบแทนบุญคณุ พอ่ แม่
๑. เล้ยี งดูทา่ นยามชรา เอาใจใสก่ ารกนิ อยหู่ ลับนอนของทา่ นไม่ให้
เดือดรอ้ น เราจะร้ไู ดอ้ ย่างไรวา่ ท่านแก่ เช้าวันใหม่ ทา่ นแก่ไปอีกวนั แล้ว
เราต้องรู้วา่ ทา่ นแก่ทุกวันก็แลว้ กัน จะได้ ตอบแทนได้ทุกวนั ไม่ต้องดู
อายุ
๒. ช่วยเหลือกจิ การงานของทา่ น ชว่ ยแบง่ เบาภาระของท่าน เพอ่ื
ให้ทา่ นมีโอกาสพักผ่อน เพราะท่านเหน่ือยมามากแล้ว หรือเปิดโอกาส
ให้ทา่ นไดเ้ ขา้ วดั ฟังธรรม
๓. ไม่ทา� ตวั ใหเ้ สือ่ มเสยี ชือ่ เสียงวงศ์ตระกลู ของท่าน รกั ษาวงศ์
ตระกูลทท่ี า่ นใหม้ าดา� รงอย่ไู ด้นานๆ คือทา� ความดีนั่นเอง
๔. ประพฤติตนดี ควรแก่การรับมรดก ไมใ่ ช่อยเู่ พือ่ หวงั มรดก
ไมเ่ กะกะเหลวไหล ไม่สรุ ุ่ยสุร่าย ผลาญทรพั ย์สมบตั ทิ ี่ท่านมอบให้
๕. เมือ่ ทา่ นลว่ งลับไปแล้ว ทา� บุญอุทิศสว่ นกศุ ลไปให้ ท่าน
สม่า� เสมอ การระลกึ และการแผ่เมตตาจติ ให้แก่พอ่ แมเ่ ป็นมงคลอัน
ประเสริฐ

(มาตุโปสกชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย
ชาดก เอกาทสนิบาต เล่ม ๓๓ หนา้ ๑)

409


410


ทางกนั ดาร

“อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง”

ในอดีตกาล สมัยพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนคร
พาราณสี แควน้ กาสกิ รัฐนนั้ พระโพธสิ ัตว์ได้ถอื ก�าเนดิ ในตระกลู พ่อคา้
เกวยี น เมอื่ เตบิ โตกไ็ ดย้ ดึ อาชพี เปน็ พอ่ คา้ เกวยี น บรรทกุ สนิ คา้ ดว้ ยเกวยี น
๕๐๐ เลม่ ไปค้าขายยังทีต่ ่าง ๆ

ตอ่ มา มพี อ่ คา้ อกี คนหนง่ึ ยดึ อาชพี เดยี วกนั เขาควบคมุ เกวยี น ๕๐๐
เลม่ เช่นกับพอ่ คา้ โพธิสัตว์ แตเ่ ป็นคนเขลา ไมค่ ่อยมปี ญั ญา ไม่ฉลาดใน
อบุ ายการจดั การทดี่ ี แตท่ ง้ั คกู่ ไ็ มไ่ ดข้ ดั แยง้ ในการประกอบอาชพี ตา่ งฝา่ ย
ตา่ งท�าหน้าทข่ี องตน ไมเ่ บียดเบียนกนั

วนั หนง่ึ มคี วามจา� เปน็ ตอ้ งออกเดนิ ทางไปคา้ ขายพรอ้ ม ๆ กนั พอ่ คา้
โพธิสัตวจ์ ึงคดิ วา่ “ถา้ ออกเดนิ ทางพร้อมกัน ทางก็จะไมพ่ อเดนิ ฟนื และ
น�า้ เป็นตน้ ก็ดี หญา้ ของฝูงโคก็ด ี จะหาไดย้ าก พ่อคา้ เกวยี นคนโน้นหรอื
เรา ใครควรจะไปกอ่ นหนอ”

หลังคิดแล้วจึงไปหารือกับพ่อค้าเกวียนคนน้ัน พ่อค้าเกวียนคนดัง
กลา่ วจงึ คดิ วา่ “การออกเดนิ ทางกอ่ นจะไดร้ บั ประโยชนม์ ากกวา่ คอื จะเดนิ
ทางไปโดยทห่ี นทางยังไมแ่ ตก ฝงู โคก็จะไดก้ ินหญา้ ท่ียังไมม่ สี ัตว์ใดกินมา
กอ่ น นา�้ ก็ยงั ใสสะอาด เราเองกจ็ ะตัง้ ราคาสนิ คา้ ได้ตามใจชอบ” หลงั เห็น
ว่าจะได้รับประโยชนอ์ ย่างน้แี ล้ว จึงตอบพ่อค้าโพธิสัตวว์ ่า “สหาย เราจัก
ไปก่อนก็แล้วกนั ”

พอ่ คา้ โพธสิ ตั วไ์ มข่ ดั ขอ้ งทพี่ อ่ คา้ เหลา่ นน้ั จะออกเดนิ ทางกอ่ น เพราะ
มองคนละมุมกัน คือมองว่าไปทีหลังได้ประโยชน์มากกว่าพวกท่ีไปก่อน
เพราะคนเหลา่ นน้ั เมอื่ ไปกอ่ นจะทา� ใหท้ างทขี่ รขุ ระกลายเปน็ ทางทร่ี าบเรยี บ
เราจะเดนิ ทางไปตามทางทคี่ นเหลา่ นน้ั ไปแลว้ เมอื่ ฝงู โคซง่ึ ไปกอ่ นเคย้ี วกนิ
หญ้าแก่และเหนียว ฝูงโคของเราซึ่งตามหลังจะเค้ียวกินหญ้าอ่อนซ่ึงงอก
ข้ึนใหม่ ผักซ่ึงใช้ท�าแกงของพวกมนุษย์ซ่ึงงอกข้ึนจากท่ีที่ถูกเด็ดออกไป

411


กอ่ นหนา้ นจี้ ะมรี สชาตนิ มุ่ อรอ่ ย ในจดุ ทไี่ มม่ นี า้� พวก ยกั ษจ์ า� แลงถามวา่ “เกวยี นทมี่ าตามหลงั เปน็
ทไี่ ปกอ่ นกจ็ ะขดุ บอ่ ทา� ใหม้ นี า้� เกดิ ขนึ้ เราจะดม่ื นา�้ ใน เกวยี นหนักมาก ในเกวียนนั้นมีสนิ ค้าอะไร?
บอ่ ทคี่ นเหลา่ นน้ั ขดุ ไว ้ สา� หรบั การตงั้ ราคาสนิ คา้ เปน็
เหมือนกับการปลงชวี ติ มนษุ ย์ เราไปทหี ลงั จะขาย พวกพ่อคา้ ตอบว่า “ในเกวยี นเหล่านั้นมีนา�้ ”
สนิ คา้ ตามราคาทค่ี นเหล่าน้ันก�าหนดไว้ ยกั ษ์จา� แลงกล่าวว่า “ท่านทงั้ หลายน�าน�า้ มา
ข้างหลังดว้ ย ทา� ให้เกวยี นเดนิ ทางไดช้ า้ ตั้งแตน่ ี้ไป
หนทางที่พวกพ่อค้าต้องผ่านไปน้ัน มีความ ข้างหน้ามีน้�ามาก ท่านท้ังหลายจงทุบตุ่มเทน้�าทิ้ง
ยากล�าบากท่ีเรยี กวา่ กนั ดาร ขวางอยู่ ๕ ประการ เสยี เกวยี นจะไดเ้ บา และพวกทา่ นจะเดนิ ทางไดเ้ รว็
คือ กันดารเพราะพวกโจร กันดารเพราะพวกสัตว์ ขน้ึ ”
รา้ ย กนั ดารเพราะขาดแคลนนา�้ กนั ดารเพราะพวก หัวหน้าพ่อค้าเกวียนชุดแรก ซ่ึงเป็นคนโง่
อมนุษย ์ และกันดารเพราะขาดแคลนอาหาร โดย เขลา ขาดวิจารณญาณ จงึ ส่งั ให้ทุบตุม่ น้�าทงั้ หลาย
กนั ดารเหลา่ นก้ี นิ ระยะทางถงึ ๖๐ โยชน์ จึงจะผ่าน ทงิ้ ทั้งหมด ไมเ่ หลือน้�าแม้แตห่ ยดเดยี ว แล้วพากนั
ไปได้ ขบั เกวยี นไปจนอาทติ ยต์ กดนิ กไ็ มพ่ บนา้� ตามทย่ี กั ษ์
จา� แลงบอก จึงพกั ผอ่ นระหวา่ งทาง เม่ือไม่มนี ้�ากิน
เมอ่ื ได้เวลา พวกพอ่ คา้ ชุดแรกก็ออกเดนิ ทาง ท้ังคนและฝูงโคก็พากันหมดแรง นอนหลับไหลไร้
ไปกอ่ น และรอนแรมมาถงึ กลางป่าซ่งึ เป็นดินแดนท่ี สติด้วยความอ่อนเพลยี
พวกยกั ษส์ งิ อย ู่ พวกยกั ษค์ อยเวลาการมาของมนษุ ย์ กลางคนื ดกึ สงัดของคืนนั้นเอง พวกยักษ์ก็
นานแล้ว จึงวางแผนว่า “จะให้พวกมนุษย์ทิ้งน�้าท่ี พากนั มาฆา่ พวกมนษุ ยแ์ ละฝงู โคกนิ จนหมดเกลยี้ ง
บรรทกุ มากับเกวียน เม่ือไมม่ นี า้� ดื่ม ทงั้ คนและสตั ว์ ทุกชีวิตท้ังคนและสัตว์ถึงจุดจบของชีวิตในคร้ังน ้ี
ก็จะหมดแรง หลังจากน้ันกจ็ ะกินท้งั หมด” เพราะความโง่เขลาเบาปัญญาของหัวหน้าพ่อค้า
เกวยี นเปน็ เหตุโดยแท ้
จากน้ันได้เนรมิตยานพร้อมพลขับและคนนั่ง ฝ่ายพวกเกวียน ๕๐๐ เล่ม ท่ีมีพ่อค้า
๑๒ คน แตล่ ะคนมเี นอ้ื ตวั ชมุ่ ดว้ ยนา�้ และเปรอะเปอ้ื น โพธิสัตวเ์ ป็นหวั หนา้ ยบั ยัง้ คอยอยูใ่ นทต่ี งั้ จนลว่ ง
ดว้ ยโคลน มผี มและผา้ เปยี กนา้� ถอื อาวธุ พรอ้ มทงั้ โล่ ไปประมาณ ๑๕ วนั จงึ พากันออกเดินทางลถุ ึงป่า
เหมือนนักรบผยู้ ่งิ ใหญข่ ับยานสวนทางมา เมอื่ มาถงึ ลกึ เขา้ โดยล�าดบั และกอ่ นทจี่ ะเขา้ ไปในเขตกนั ดาร
ถามพวกพอ่ ค้าวา่ “ทา่ นทง้ั หลายจะไปไหน?” พ่อค้าโพธิสัตว์ได้เรียกบริวารทั้งหมดมาช้ีแจงว่า
“ทา่ นผเู้ จริญทงั้ หลาย นับแตน่ ้ีไปพวกทา่ นยังไมข่ อ
พวกพ่อค้าตอบว่า “ท่านผู้เจริญ พวกเรามา อนุญาตข้าพเจ้า อย่าได้เทน�้าแม้สักหยดหนึ่ง
จากเมอื งพาราณส ี สว่ นพวกทา่ นพากนั มาในหนทาง ธรรมดาว่าต้นไม้มีพิษย่อมมีในทางกันดาร ใบไม้
ที่มีฝนตกหรือหนอ มีสระดารดาษด้วยดอกอุบล ดอกไม้หรือผลไม้ที่ท่านท้ังหลายไม่เคยกินมาก่อน
เปน็ ตน้ หรอื ?” พวกท่านยังไม่ได้ไต่ถามข้าพเจ้าก่อน อย่าได้เค้ียว
กนิ ”
ยกั ษจ์ า� แลงตอบวา่ “ทา่ นพดู อะไร ทนี่ น่ั ราวปา่ ฝ่ายพวกยักษ์ พอเห็นคาราวานเกวียนของ
เขยี วเหน็ ไหม ตัง้ แตท่ ่ีนั้นไปปา่ ทัง้ ส้ิน มีนา้� อย่ทู ว่ั ไป พ่อค้าโพธิสัตว์เคลื่อนใกล้เข้ามา ก็ได้ด�าเนินการ
ฝนตกเปน็ ประจา� แมแ้ ต่ซอกเขากเ็ ตม็ ด้วยน�า้ ในที่
นั้น ๆ มีสระนา้� ดารดาษดว้ ยดอกปทมุ พวกทา่ นพา
เกวยี นเหลา่ นีม้ าจะไปไหนกนั ?”

พวกพอ่ คา้ ตอบว่า “จะไปยังชนบทชอื่ โนน้ ”

412


ตามแผนดุจเดียวกับที่ท�ากับพวกพ่อค้าเกวียนชุด พ่อค้าโพธิสัตว์ได้จัดการอารักขาอย่างแข็งแรง โดย
แรก แต่พ่อค้าโพธิสัตว์มีวิจารณญาณ พอได้เห็น ใหท้ ง้ั บรวิ ารและฝงู โคทง้ั หลายกนิ อาหารและนา้� ตงั้ แต่
ยักษ์จ�าแลงนั้นเท่าน้ันก็รู้ได้ว่า “ในทางกันดารน้ี หัวค่�า จากนั้นสั่งให้จอดเกวียนเป็นก�าแพงอยู่รอบ
แหละไมม่ นี �า้ นี้ชื่อว่า กนั ดารเพราะนา�้ อนงึ่ คน นอก ใหน้ า� ฝงู โคมานอนขา้ งใน ใหบ้ รวิ ารพกั รอบนอก
พวกน้ีไม่มีทา่ ทางเกรงกลัว มนี ัยนต์ าแดง แมเ้ งาก็ ของฝงู โคเหลา่ นนั้ จากนัน้ ก็จดั ชายฉกรรจ์ท่ีแขง็ แรง
ไมป่ รากฏ พอ่ คา้ เกวียนชุดแรก ซ่งึ เดนิ ทางไปกอ่ น เดินตรวจตราท้ังคืน ท�าให้พวกยักษ์ไม่สามารถเข้า
หน้าตามทางน้ี คงให้พรรคพวกท้ิงน้�าท้ังหมดเป็น โจมตีได้
แน่ ท้ังหมดคงจะถูกพวกยักษ์นี้กินเสียแล้วโดยไม่
ต้องสงสัย” จึงไม่หลงกลเทน้�าทิ้งตามท่ีพวกยักษ์ พอวันรุ่งข้ึน หลังจากให้ฝูงโคและบริวารกิน
จ�าแลงแนะน�า พวกยักษ์จ�าแลง เม่ือท�าตามแผน อาหารและน�้าเสร็จแล้ว กใ็ ห้ท้ิงเกวียนทช่ี า� รุด ณ ที่
แรกไม่ส�าเร็จ ก็พากันเดินจากไป เพื่อรอคอยเข้า น้ัน น�าไปเฉพาะเกวียนท่ีแข็งแรงรวมท้ังสินค้าที่มี
โจมตใี นเวลากลางคนื ราคาแพงไปขายได้ก�าไร ๒-๓ เท่า ส่วนสินค้าที่มี
ราคาน้อยก็ตัดใจท้ิง พร้อมกับเกวียนที่ช�ารุดในดิน
ฝ่ายบริวารพ่อค้าโพธิสัตว์ได้กล่าวกับพ่อค้า แดนของยกั ษ์นัน่ เอง
โพธิสัตว์ว่า “ท่านเจ้านาย คนพวกน้ันบอกว่านั่น
แนวปา่ เขยี วปรากฏอยู่ จ�าเดมิ แต่น้นั ไป ฝนจกั ตก ชาดกเรอ่ื งน้มี คี ติธรรมสอนว่า ความอยูร่ อด
เป็นนิตย์ พวกเขาเป็นผู้สวมมาลัยดอกอุบลและ ปลอดภัยของชีวิต ท้ังของตนเองและคนอื่นน้ัน
โกมทุ ถอื กา� ดอกปทมุ และบณุ ฑรกิ เคย้ี วกนิ เหง้า เป็นสิ่งที่หัวหน้าจะต้องค�านึงถึงเป็นล�าดับแรก
บวั มีผ้าเปยี กและมผี มเปยี ก มีหยาดน�า้ และโคลน เพราะบรวิ ารคอื คนทรี่ ว่ มการรว่ มงาน เหลา่ นนั้ เปน็
ไหลหยดพากันมา พวกเราควรทิง้ นา้� มีเกวียนเบา ปัจจัยส�าคัญในการช่วยให้งานส�าเร็จได้ด้วยดี ถ้า
จะไปไดเ้ ร็วจะมดิ ีกวา่ หรือ?” ดูแลพวกเขาด้วยความเอื้ออาทร มีปัจจัยส่ี มี
สวัสดิการที่เหมาะสมแล้ว พวกเขาก็จะให้ความ
พ่อคา้ โพธิสัตวถ์ ามวา่ “ทา่ นทั้งหลายร้จู ักคน ร่วมมือ ช่วยหัวหน้าให้ประสบความส�าเร็จในงาน
เหลา่ นัน้ หรือ?” ด้วย แต่ถ้าไม่เอาใจใส่ ปล่อยให้พวกเขาเผชิญ
ปัญหาไปตามลา� พัง ไมห่ าทางชว่ ยเหลอื พวกเขาก็
บริวารตอบว่า “ไม่ร้จู ักขอรับ” ยากที่จะให้ความร่วมมือกับหัวหน้าตนเอง ความ
พ่อค้าโพธิสัตว์กล่าวว่า “คนเหล่านั้นไม่ใช่ ส�าเร็จของงานก็เกิดขึ้นไม่ได้ ด้วยเหตุที่หัวหน้า
มนุษย์ แต่เป็นยกั ษ ์ พวกมนั มาเพอ่ื ยุใหพ้ วกเราทิ้ง และบริวารมีความส�าคัญต่อกันอย่างนี้ ผู้เป็น
น้�า พวกเราเม่ือไม่มีน�้าดื่มก็จะหมดแรง และถูก หวั หนา้ และบริวารจึงตอ้ งหนั หน้าเข้าหากัน สมัคร
ยักษ์จับกินดุจเดียวกับพวกพ่อค้าเกวียนชุดแรก สมานสามัคคกี ัน ความสุขสวสั ดีจงึ จะเกดิ ขึ้น ดงั
ซ่ึงไปก่อนหน้าเราที่ถูกยักษ์จับกินจนหมดแล้ว คา� พระทีว่ ่า
วนั นพ้ี วกเราจะเหน็ แตเ่ ฉพาะเกวยี นของพวกพอ่ คา้
เหลา่ นนั้ เทา่ นน้ั จอดอย ู่ จะไมเ่ หน็ ใครรอดชวี ติ แมแ้ ต่ สขุ า สงฆฺ สฺส สามคฺคี
คนเดยี ว ทา่ นทง้ั หลายอยา่ ไดท้ งิ้ นา้� แมส้ กั หยดเดยี ว ความพรอ้ มเพรยี งของหมูใ่ ห้เกดิ สขุ
จงรีบขบั เกวยี นไปเร็วๆ เถดิ ”
เมื่อถึงเวลาพักเกวียนในดินแดนของยักษ์ (อปณั ณกชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย

ชาดก เอกนบิ าต เลม่ ๒๘ หน้า ๑๗๙)

413


414


พ่อคา้ เร่

“ซื่อกนิ ไม่หมด คดกนิ ไม่นาน”

ในอดตี กาลนานมาแล้ว พระโพธิสตั วเ์ กดิ เป็นพอ่ ค้าเร่ช่อื วา่ เสรวี ะ ใน
แคว้นเสริวรฐั เสรีวะพอ่ คา้ นนั้ มีเพอื่ นอยู่คนหนงึ่ ซง่ึ เปน็ พ่อค้าเหมอื นกัน แต่
เป็นพ่อค้าเร่ทจ่ี ิตใจโลเล ไม่อยกู่ บั รอ่ งกบั รอย ท้งั สองพากันขา้ มแมน่ า้� ช่ือนีล
พาหะเขา้ ไปยงั อกี เมอื งหนงึ่ ชอื่ วา่ อรฏิ ฐปรุ ะ จากนนั้ แยกกนั เดนิ ขายของ โดย
พ่อคา้ เร่ทีโ่ ลเล ยึดถนนท่ปี ระชาชนพลุกพลา่ น เพือ่ เป็นทา� เลค้าขาย เขาเดิน
ไปขายไป และโฆษณาส้ินค้าไปเรือ่ ยๆ โดยไม่มีเหตุการณ์อะไร จนกระทัง่ ไป
ถงึ บา้ นยายหลานคูห่ น่งึ ซง่ึ เป็นอดีตผดู้ ีเกา่ แตม่ าตกอบั ในบ้ันปลาย ท้ังสอง
คนรับจา้ งคนอ่ืนเพือ่ เลี้ยงชีพไปวนั ๆ

ในอดตี ตระกลู ยายหลานคนู่ เ้ี คยมฐี านะรา�่ รวยระดบั เศรษฐ ี ทเ่ี มอื งแหง่
น้ัน และรา่� รวยมาหลายชัว่ อายุคน ต่อมาทรัพยส์ มบัติ บุตรพนี่ ้องได้หมดสิน้
ไป คงเหลอื อยแู่ ตย่ ายกบั หลานเท่าน้นั ในเรือนของยายหลานคนู่ ้นั ไดม้ ีถาด
ทองคา� ที่เศรษฐซี ง่ึ เปน็ ญาตขิ องยายกบั หลานเคยใช้สอย ถกู เก็บไวร้ วมกับภา
ชนะอนื่ ๆ เม่ือไม่ได้ใชส้ อยเป็นเวลานาน เขม่าก็จบั ถาดทองค�านั้น ยายและ
หลานกไ็ ม่ทราบวา่ ถาดดังกล่าวเปน็ ถาดทองคา� ซ่งึ เป็นของประมาณคา่ มิได้

พ่อค้าผู้โลเลน้ัน ได้เดินขายของพร้อมประกาศว่า จงซ้ือเอาเคร่ือง
ประดบั จงซอื้ เอาเครอ่ื งประดบั จนไปถงึ ประตบู า้ นหลงั นนั้ หลานสาวนน้ั เหน็
พ่อค้าเร่คนน้ันจึงบอกยายว่า “ยาย ขอยายจงซื้อเคร่ืองประดับอย่างหนึ่งให้
หนูเถิด”

ยายตอบวา่ “หนเู อย๋ เราเปน็ คนจน จกั เอาอะไรไปซอื้ เครอ่ื งประดบั เลา่ ”
หลานกล่าวว่า “พวกเรามีถาดใบน้ีอยู่ และถาดใบน้ีไม่จ�าเป็นส�าหรับ
พวกเรา จงแลกถาดใบนี้กับเคร่ืองประดบั เถดิ ” ดว้ ยความสงสาร ยายจึงให้
เรยี กพอ่ คา้ เรค่ นนนั้ พรอ้ มกบั แจง้ ความประสงคข์ อแลกถาดกบั เครอื่ งประดบั
ท่ีน�ามาเร่ขาย

415


พ่อคา้ เร่คนน้ันหยิบถาดมาพิจารณาพรอ้ มกับน�าเข็มขดี ลงทีห่ ลังถาดนน้ั ก็ร้วู ่า
เป็นถาดทองคา� ที่มีราคาแพง จงึ คิดทจ่ี ะหาทางเอาถาดไปเปลา่ ๆ โดยไม่ต้องแลกกบั
เครอื่ งประดบั ใดๆ คดิ ดงั นนั้ แลว้ จงึ กลา่ ววา่ “ถาดใบนจ้ี ะมรี าคาอะไร ราคาของถาดใบ
นี้แมก้ ึ่งมาสกก็ยังไม่ถงึ เลย” พูดจบกโ็ ยนถาดทิ้งลงที่พ้ืน แลว้ ลกุ เดนิ จากไป

ในเวลาตอ่ มา เสรวี ะโพธสิ ตั วก์ เ็ ขา้ มาขายของทถ่ี นนดงั กลา่ วนนั้ บา้ ง เดนิ โฆษณา
ขายสนิ้ ค้าด้วยความสภุ าพเรยี บร้อยว่า “ขอทา่ นจงซอื้ เอาเครอื่ งประดบั ขอท่านจงซ้อื
เอาเครอ่ื งประดบั เถดิ ” เดนิ มาจนถงึ ประตบู า้ นยายหลานนน้ั หลานจงึ บอกยายเพอ่ื นา�
ถาดไปแลกสน้ิ คา้ อีก

ยายจึงกลา่ วกบั หลานว่า “หลานเอ๋ย เมือ่ สกั ครนู่ ายพอ่ ค้าเรค่ นที่แลว้ เพิง่ โยน
ถาดนน้ั ลงบนพน้ื ดนิ แลว้ เดนิ จากไปอยา่ งไมไ่ ยด ี บดั นเี้ ราจะเอาอะไรไปแลกกบั เครอื่ ง
ประดับเลา่ ?”

หลานกลา่ ววา่ “ยาย พอ่ ค้าเร่คนกอ่ นพดู ไมด่ ี สว่ นพ่อค้าคนใหม่นนี้ า่ รัก พดู จา
ออ่ นโยน คงจะรบั แลกเป็นแน่”

ยายกลา่ ววา่ “ถา้ อยา่ งนน้ั จงเรยี กเขาเขา้ มา” เดก็ หญงิ ผเู้ ปน็ หลานเรยี กเสรวี ะ
โพธิสัตว์มาหาแล้ว ท้ังยายและหลานจึงน�าถาดใบน้ันมาแลกเคร่ืองประดับ เสรีวะ
โพธสิ ัตว์พอเห็น กร็ ู้วา่ ถาดน้ันเป็นถาดทองค�า มรี าคาแพง จึงบอกยายและหลานนัน้
ว่า “ถาดใบนม้ี คี า่ เป็นแสน สินค้าทีม่ รี าคาเท่ากบั ถาดใบนไี้ ม่มใี นมอื ของเราเลย”

ยายและหลานจงึ กลา่ ววา่ “พอ่ คา้ เรผ่ เู้ ขา้ มาขายสนิ คา้ กอ่ นทา่ น บอกเราวา่ ถาด
ใบนมี้ คี า่ ไมถ่ งึ แมก้ ง่ึ มาสก แลว้ เหวยี่ งถาดลงพน้ื กอ่ นเดนิ จากไป แตถ่ าดใบนกี้ ลบั เปน็
ถาดทองค�าขนึ้ มาเพราะบุญของท่าน พวกเราขอมอบถาดใบนีแ้ ก่ทา่ น ท่านให้อะไรๆ
กไ็ ด้แกพ่ วกเรา แล้วรับเอาถาดใบนี้ไปเถิด”

เสรวี ะโพธสิ ตั วจ์ งึ ใหก้ หาปณะ ๕๐๐ ทม่ี อี ยใู่ นมอื และสนิ คา้ ซง่ึ มรี าคาอกี ๕๐๐
กหาปณะท้ังหมดแก่ยายหลาน จากนั้นรับเอาถาดทองค�านั้น เสรีวะโพธิสัตว์เมื่อได้
รับถาดทองค�ามาโดยสุจริตแล้ว ก็รีบไปยังฝั่งแม่น�้า จ่ายค่าจ้างแก่คนขับเรือ ๘
กหาปณะ แล้วกใ็ ห้รีบขบั เรอื พาข้ามฝั่งไป

ฝา่ ยพ่อคา้ เรผ่ ู้โลเล เมือ่ เห็นวา่ สบโอกาสเหมาะจึงหวนกลบั ไปเรอื นยายหลาน
นัน้ อกี ครงั้ เม่ือไปถงึ จงึ พูดวา่ “ทา่ นจงน�าถาดใบนนั้ มาให้เรา เราจกั ใหอ้ ะไรๆ บาง
อยา่ งแกท่ า่ น”

ยายหลานกลา่ ววา่ “ท่านได้ท�าถาดทองค�าของพวกเราซ่งึ มคี ่าตง้ั แสน ให้มคี า่
เพยี งกง่ึ มาสก ทงิ้ ลงพนื้ แลว้ กเ็ ดนิ จากไปอยา่ งไมไ่ ยด ี แตพ่ อ่ คา้ เรท่ มี่ าหลงั ทา่ นคนหนงึ่
ซึ่งเปน็ ผู้มีคุณธรรม พูดจาสภุ าพเรยี บรอ้ ย กลบั ให้ทรัพยพ์ นั หน่ึงแกพ่ วกเรา พวกเรา

416


รับทรัพย ์ แลว้ กม็ อบถาดทองคา� นน้ั แกเ่ ขาไปแล้ว”
พอ่ คา้ เร่ผู้โลเลเสยี ใจวา่ ตวั เองเป็นผู้พลาดจากการเปน็ เจา้ ของถาดทองคา�

อนั มคี า่ เปน็ แสน ถาดทองคา� นนั้ ถกู พอ่ คา้ เรท่ ม่ี าดว้ ยกนั เอาไปแลว้ ไมน่ า่ เกดิ เหตุ
เชน่ น้ีเลย เขาเกดิ ความโศกและความผดิ หวงั อย่างแรง ไมอ่ าจควบคมุ สตไิ ด้ จึง
สลบไปกบั พน้ื พอฟ้ืนขนึ้ มาก็โปรยกหาปณะและทิ้งสิง่ ของ ตลอดจนผา้ นุ่งผ้าหม่
ไว้ท่ีประตูเรือนของยายหลานน้ันเอง จากนั้นถือคันช่ังท�าเป็นไม้ค้อน วิ่งไปตาม
ทางที่เสรวี ะโพธิสัตวเ์ ดินไป

เมื่อไปถึงฝั่งแม่น้�าน้ัน เห็นเสรีวะโพธิสัตว์ก�าลังนั่งเรือข้ามน�้าไป จึงร้อง
ตะโกนวา่ “นายเรอื ผเู้ จรญิ ทา่ นจงกลบั เรอื ๆ” นายเรอื นน้ั หาไดก้ ลบั เรอื ไม ่ เพราะ
เสรวี ะโพธิสตั วห์ ้ามไว้

พ่อค้าเร่ผู้โลเลนนั้ ไดแ้ ตย่ นื ดูเสรวี ะโพธิสตั วน์ ่งั เรือออกไป เกิดความเศรา้
โศกเปน็ ทวคี ณู เลอื ดจงึ พงุ่ ออกจากปาก หวั ใจหยดุ เตน้ และเสยี ชวี ติ ลง ณ ทตี่ รง
น้นั นนั่ เอง

ชาดกเรอื่ งนมี้ ่งุ ชใ้ี ห้เหน็ ว่า พฤตกิ รรมท่ีแตกตา่ งกนั คือสาเหตทุ นี่ า� ไปสู่
ความส�าเร็จท่ีไม่เท่ากันของแต่ละคน แม้จะมีโอกาสเท่ากันก็ตาม เสรีวะ
โพธิสัตว์มีอาชีพเป็นพ่อค้าเร่ดุจเดียวกับพ่อค้าเร่อีกคนหนึ่ง ความรู้ความ
สามารถคงไม่แตกต่างกัน แต่เสรีวะโพธิสัตว์กลับประสบความส�าเร็จในการ
ติดตอ่ คา้ ขายมากกวา่ พอ่ ค้าเร่คนน้นั ที่มาด้วยกนั เพราะอาศัยคุณธรรม กล่าว
คอื ความเปน็ คนออ่ นโยนสภุ าพเรยี บรอ้ ย พดู จาเปน็ ทร่ี กั มจี ติ ใจสะอาด ซอื่ ตรง
ไม่คดโกงผูอ้ น่ื

คณุ ธรรมเหลา่ น้ี เมอื่ มใี นใจของผใู้ ดแลว้ กท็ า� ใหผ้ นู้ นั้ มเี สนห่ ์ นา่ เชอ่ื ถอื
เป็นที่ไว้วางใจแก่ผู้พบเห็น ในขณะเดียวกันพ่อค้าเร่อีกคนหนึ่งนั้น ขาด
คุณธรรมเหล่าน้ี ทา� ใหพ้ ดู จาไมด่ ี มีจติ โลภ อยากจะไดท้ รัพยข์ องคนอ่นื เมอื่
เขารทู้ นั ก็เปน็ ท่รี งั เกียจ ไมม่ ใี ครอยากจะคบคา้ สมาคมด้วย ในที่สุดก็ประสบ
กับความวิบัติของชีวิต จึงเห็นได้ว่าคนเราเพียงมีความรู้ดี ความสามารถดี
เทา่ นั้นยงั ไมพ่ อ แตจ่ ะตอ้ งมคี วามประพฤติที่ดดี ว้ ย จงึ จะน�าพาชวี ติ ไปสคู่ วาม
ส�าเร็จทย่ี ่ังยนื ได้ด้วยประการฉะน้ี

(เสรวี าณชิ ชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก เอกนบิ าต เล่ม ๒๘ หน้า ๒๐๑)

417


418


อ�านาจหญิง

“ทใี่ ดมีรกั ทนี่ น่ั มีทกุ ข”์

ในอดตี กาล สมยั พระเจา้ มคธครองราชสมบตั อิ ยใู่ นพระนครราชคฤห ์
ครั้งนั้น ชาวมคธจ�านวนมากประกอบอาชีพท�านา ช่วงฤดูกาลท�านานั้น
บรรดาสตั วท์ ง้ั หลายทกี่ นิ พชื และหญา้ เปน็ อาหาร ตา่ งประสบความอดอยาก
ไปตามๆ กนั เพราะพชื และหญ้ามีปริมาณน้อย เน่อื งจากต้องใช้พนื้ ที่ใน
การเพาะปลกู สตั วใ์ นฤดกู าลทา� นาจงึ ซบู ผอมมากกวา่ ฤดอู น่ื ๆ เพราะความ
ท่ีพืชและหญ้ามีไม่เพียงพอในฤดทู �านานี้เอง ท�าให้เนื้อท้ังหลายที่อาศัยอยู่
ในพนื้ ทรี่ าบ ตอ้ งพากนั อพยพขน้ึ ไปหากนิ บนเขาทมี่ หี ญา้ อดุ มสมบรู ณ ์ โดย
อพยพข้นึ ไปหากินตอนเช้า พอตกเย็นกอ็ พยพกลับมานอนท่ีเดิม

คร้ังนั้น มีเนื้อพ้ืนที่ราบกับเนื้อภูเขาคู่หนึ่ง อาศัยที่ต้องอพยพไป
หากินบนเขาดังกล่าว จึงท�าให้ท้ังคู่ได้พบกัน โดยเนื้อภูเขาเป็นเนื้อตัวผู ้
กา� ลงั แตกหนมุ่ ทา่ ทางสงา่ งาม แขง็ แรงปราดเปรยี ว สว่ นเนอ้ื พนื้ ทร่ี าบเปน็
เน้ือตัวเมีย ก�าลังแตกสาวสวยงาม เมื่อพบกันบ่อยๆ ก็เร่ิมสนิทสนมกัน
และกลายเปน็ ความรักกันในทีส่ ดุ แตเ่ ปน็ ความรักบนภเู ขา ชวี ิตของทั้งคู่
จงึ ดา� เนินไปดว้ ยความสะดวกและปลอดภัย ไม่มีปัญหาอะไรเกดิ ขนึ้

กาลเวลาผา่ นไป จากทเ่ี คยพบและอยดู่ ว้ ยกนั เฉพาะเวลากลางวนั บน
ยอดเขา เน้ือภูเขากเ็ ร่มิ หาทางติดตามเนอื้ พืน้ ท่รี าบลงไปข้างลา่ ง เริ่มจาก
ไปสง่ ระยะทางสั้นๆ ก่อน ตอ่ มาก็ไปสง่ ถึงท ่ี และตอ่ มาเมือ่ ส่งถึงทีแ่ ลว้ ก็ไม่
กลบั ที่อยู่ของตนบนเขาเลยกม็ ี

พฤตกิ ารณน์ เ้ี ปน็ ทป่ี รากฏแกช่ าวมคธทอ่ี าศยั อยบู่ รเิ วณนน้ั จงึ พดู กนั
วา่ “ทา่ นผเู้ จรญิ มเี นอื้ ภเู ขาตวั หนงึ่ ลกั ษณะแปลกจากเนอื้ ทว่ั ไป เขา้ มาอยู่
รวมกบั เนื้อพ้ืนทร่ี าบด้วย ท่าทางจะตดิ เนอ้ื ตัวเมยี นะ”

บางคนกก็ ลา่ วว่า “เราปลอ่ ยมนั ไปตามธรรมชาต ิ อยา่ รังแกมนั เลย
อยากมากป็ ลอ่ ยใหม้ า อยากไปก็ปลอ่ ยใหไ้ ป ถา้ มนั อยู่ด้วยกนั ไดก้ ด็ ี จะได้
เน้ือพนั ธุใ์ หมเ่ กดิ ข้ึนมา”

419


เน้ือภูเขาตัวน้ัน ในระยะแรก ๆ ไดอ้ ยู่รว่ มกบั พลงั ดงั น้ัน แมจ้ ะล�าบากยากเข็ญหรือเสีย่ งภยั ปาน

เนอ้ื พนื้ ราบดว้ ยด ี เพราะชาวมคธบรเิ วณนนั้ ไมม่ ใี คร ใด ข้าพเจา้ ก็จะไม่ประหวัน่ พรนั่ พรงึ จะฝา่ ฟันอุป

เบียดเบียนสัตว์ มองเห็นสัตว์เป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่ สรรคทุกๆ อย่าง เพ่ือความรักท่ีส�าคัญนั้น แต่

เจ็บตายบนโลกเดียวกัน อยากปล่อยให้มันมีความ ขา้ พเจา้ จะระวังในสง่ิ ทเี่ จา้ เตอื น”

สมั พนั ธท์ ดี่ ตี อ่ กนั ใหม้ ลี กู ทผี่ สมกนั ระหวา่ งเนอื้ ภเู ขา ฝา่ ยนายพรานทเ่ี ฝา้ ตดิ ตามจบั เนอื้ ภเู ขาตวั นนั้

กับเนื้อพื้นท่ีราบ แต่คนเราคิดไม่เหมือนกัน ที่ใดมี วันหน่ึงในเวลาพลบค่�า ได้ไปยืนซุ่มอยู่ในทางที่เน้ือ

คนด ี ทน่ี ัน่ ยอ่ มมีคนไม่ดีปะปนอยู่ดว้ ย ท้ังหลายเดินลงจากเขามายังพื้นที่ราบ เขาซุ่มอยู่

ไมน่ านขา่ วท่ีเนือ้ ภูเขามาอย่กู บั เนื้อพื้นทร่ี าบก็ พรอ้ มกบั ธนทู เ่ี ตรยี มยงิ เนอื้ ดว้ ยความอดทน จากนน้ั

ดังเขา้ หนู ายพรานเข้า นายพรานนน้ั เมือ่ ไดข้ า่ วกด็ ีใจ ไม่นานนักฝูงเน้ือก็ปรากฏตัวข้ึน เป้าหมายคือเนื้อ

เพราะถอื เปน็ ขา่ วด ี เปน็ ลาภปากของตน นานๆ สตั ว์ ภเู ขาซง่ึ ตวั โต สงา่ งามกวา่ ตวั อน่ื ๆ เมอื่ เนอื้ เดนิ ใกล้

จะมาใหล้ า่ ถงึ ท ี่ จงึ ไปสา� รวจพบเนอื้ ภเู ขาดงั กลา่ วจรงิ เข้ามาเกือบจะถึงพ้ืนที่สังหาร ปรากฏว่าลมได้พัด

และวางแผนจะจับในวนั ทเ่ี น้อื ภเู ขาประมาทเผอเรอ จากตวั นายพรานเข้าไปทางฝูงเน้อื เนอ้ื พ้นื ท่รี าบซงึ่

ฝ่ายเนื้อพ้ืนที่ราบซึ่งเป็นคู่ของเนื้อภูเขา ก็ไม่ ไวต่อกล่ินมนุษย์ ก็รีบกระโจนหนีออกไปข้างทาง

สบายใจนักท่ีเนื้อภูเขาติดพันจนถึงกับตามมาอยู่ใน อยา่ งรวดเรว็ ไมท่ นั ทจี่ ะบอกเนอื้ ภเู ขาดว้ ยซา�้ ปลอ่ ย

พน้ื ทรี่ าบ เพราะนางทราบดวี า่ ในพนื้ ทขี่ องมนษุ ยน์ นั้ ใหเ้ นื้อภเู ขาเปน็ เปา้ อย่ตู ัวเดียว

มีอันตรายรอบด้าน มนุษย์เป็นสัตว์กินเนื้อสัตว์อ่ืน ในทส่ี ดุ เนอ้ื ภเู ขาตวั นนั้ กถ็ กู นายพรานสงั หาร

เป็นอาหาร นางไดเ้ คยเหน็ มนษุ ย์ล่าเนอื้ ชนิดต่างๆ ดว้ ยลกู ธนตู ายตรงนนั้ นน่ั เอง เนอื้ ภเู ขาโดยธรรมชาติ

ใหเ้ หน็ อยูเ่ สมอ แลว้ เปน็ สตั วท์ ช่ี า� นาญในทส่ี งู มพี ละกา� ลงั ในการปนี

วนั หนงึ่ จงึ กลา่ วกบั เนอื้ ภเู ขาวา่ “นาย ทา่ นแล ปา่ ยดีกวา่ เนือ้ พื้นที่ราบ มีความอดทนตอ่ สภาพดิน

เปน็ เนอ้ื ภเู ขา ถนดั แตก่ ารดา� รงชวี ติ อยบู่ นทส่ี งู ไมค่ นุ้ ฟา้ อากาศด ี แตม่ ปี ระสบการณน์ อ้ ยในอนั ตรายทม่ี า

เคยกับดินแดนอนั เป็นของมนษุ ยท์ อี่ ยใู่ นพืน้ ท่รี าบ ก็ จากพวกมนษุ ย ์ มีประสบการณน์ อ้ ยในสถานท่ีราบ

ธรรมดาดนิ แดนของมนุษยน์ ั้น เป็นทนี่ า่ หวาดระแวง ประกอบกับเนื้อภูเขาตัวนั้นก�าลังถูกความรัก

มภี ัยอยู่รอบดา้ น ท่านอยา่ ลงมากบั พวกเราเลย อาจ ครอบง�าอยู่ จึงท�าให้เป็นจุดอ่อนในการระวังตนเอง

เกดิ อันตรายถึงแกช่ ีวติ ได้” และน�าไปสหู่ ายนะในท่ีสุด

เนอื้ ภเู ขานน้ั แมจ้ ะไดร้ บั คา� ตกั เตอื นอยา่ งไร ก็ สา� หรบั นายพราน หลงั จากฆา่ เนอื้ ภเู ขาสา� เรจ็

หักห้ามใจล�าบาก เพราะความรักที่มีต่อเน้ือตัวเมีย แล้ว เขาก็ออกจากที่ซุ่มด้วยความดีใจ ปลดย่ามที่

นัน้ จรงิ ใจและหนักแน่น จรงิ ๆ เป็นรักครั้งแรกของ พกเสบียงไว้กับพื้นแล้วไปตัดใบไม้มารองพื้น จาก

เนอ้ื วยั ก�าลังแตกหนุม่ ตัวน้นั ดว้ ย ดังนน้ั มันจงึ ยงั คง นั้นก็ลากเน้ือภูเขามาช�าแหละด้วยความช�านาญ

เดนิ ตดิ ตามมากบั เน้ือตัวเมยี นั้นอยเู่ นอื ง ๆ แตเ่ พอ่ื ชา� แหละเสรจ็ กก็ อ่ ไฟ หยบิ ชนิ้ เนอื้ ด ี ๆ ปง้ิ ใหส้ กุ แลว้

ให้เนอ้ื ตวั เมยี สบายใจจงึ กล่าวว่า “แม่นาง ความรัก กินตรงนน้ั นั่นเอง ด้วยความเอร็ดอรอ่ ย พออม่ิ หน�า

เป็นเร่ืองท่ีส�าคัญส�าหรับชีวิต ความรักท�าให้ชีวิตมี ส�าราญแล้วก็หาบเอาเน้ือที่เหลือท้ังหมดกลับบ้าน

420


ของตน ทง้ิ ป่าตรงน้ันใหเ้ งยี บสงดั ตามเดมิ หลังจากนายพรานหาบเน้อื
ภูเขากลับบ้านตนไปแลว้

พระโพธิสัตว์ซึ่งบังเกิดเป็นเทวดาสิงสถิตอยู่ในบริเวณป่าน้ัน
ก็รา� พึงว่า “เน้ือโง่ตัวนี้ตาย เพราะมารดาบิดาเปน็ เหตกุ ห็ าไม ่ โดยทแ่ี ท้
ตายเพราะกาม คอื ความใครข่ องตนเองเป็นเหตุ”

ชาดกเรอื่ งนม้ี คี ตสิ อนใจวา่ การเขา้ ไปพวั พนั กบั ความรกั เปน็ สงิ่
ที่ต้องส�ารวมระวัง อย่าปล่อยใจให้รักจนหลง เพราะหากรักจนหลง
และถอนตัวไม่ข้ึนแล้ว เมื่อไม่สมหวังในรักนั้นความ ทุกข์เศร้าโศก
เสียใจก็เกิดข้ึน บางรายอาจต้องทะเลาะเบาะแว้งกัน หรือท�าลาย
ทรพั ย์ ทา� ลายชวี ิตของกนั และกนั กเ็ ป็นไปได้ท้งั นั้น การทร่ี กั แลว้ ไม่
ตดิ ไมห่ ลงในรกั นนั้ ตอ้ งมสี ตแิ ละปญั ญากา� กบั ตง้ั แตเ่ รมิ่ ตน้ โดยรเู้ ทา่
ทันอารมณ์ตนเอง และรู้เท่าทนั ความจริงว่า “ความรักมกี ารเกิดขึน้
ตงั้ อยู่ ดบั ไป ไมม่ สี ง่ิ ใดจรี งั ยง่ั ยนื ” จงึ จะชว่ ยไดบ้ า้ ง นอกจากนน้ั ตอ้ ง
อาศัยการเคารพในวัฒนธรรมประเพณีด้วย กล่าวคือเมื่อจะผูกพัน
ความรักกับใคร กจ็ ัดใหม้ ีการสูข่ อหมน้ั หมาย และแต่งใหเ้ ป็นท่ีรบั รู้
ของบดิ ามารดาและญาตพิ น่ี อ้ งท้ังสองฝ่าย ในอนาคตหากเกิดปญั หา
ความไมเ่ ขา้ ใจกนั กจ็ ะไดม้ ที า่ นเหลา่ นนั้ เปน็ ทป่ี รกึ ษาหาทางแกป้ ญั หา
กระทง่ั หากมที ายาทสบื สกลุ กจ็ ะรบั รวู้ า่ เปน็ ทายาทของใคร เปน็ หลาน
ของปูย่ ่าตายายคนไหน เปน็ ตน้

หากเขา้ ไปผกู พนั กบั ความรกั โดยปราศจากสตแิ ละปญั ญา หรอื
เขา้ ไปผกู พนั ดว้ ยอา� นาจกเิ ลส ไมค่ า� นงึ ถงึ วฒั นธรรมประเพณดี งั กลา่ ว
โอกาสทจี่ ะเกดิ ปญั หากเ็ ปน็ ไปไดส้ งู อกี ทง้ั เมอ่ื เกดิ ปญั หาแลว้ โอกาส
ที่จะแก้ปัญหาน้ันให้ลุล่วง ก็เป็นไปได้ยาก ดังน้ัน สติปัญญาและ
วัฒนธรรมประเพณี จงึ จา� เปน็ ในการรกั ษาความรักของคนทกุ คน

(กัณฑินชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
ชาดก เอกนบิ าต เลม่ ๒๘ หนา้ ๒๗๕)

421


422


ความขยัน

“คนขยันยอ่ มหาทรพั ย์ได”้

ในอดีตกาล สมยั พระเจ้าพรหมทตั ครองราชย์สมบัติอยใู่ นนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในก�าเนิดโค อาศัยอยู่กับเจ้าของซ่ึงเป็นคนยากไร้ ไม่มี
แมแ้ ตท่ ซี่ กุ หวั นอน ตอ้ งไปเชา่ บา้ นของคนอนื่ อย ู่ ตอ่ มาเมอ่ื ไมม่ ที รพั ยเ์ ปน็ คา่ เชา่
บ้าน จึงไดใ้ หล้ ูกโคโพธสิ ตั วน์ ้ันเปน็ คา่ เช่าบา้ นแทน

ฝ่ายเจา้ ของบ้านเช่านัน้ เปน็ หญิงชราใจดี มีเมตตา จงึ ดูแลปรนนบิ ตั โิ ค
โพธสิ ตั วน์ น้ั เป็นอย่างดี เมือ่ ลูกโคโพธิสตั ว์เติบโตขึ้นแลว้ หญิงชราน้นั ได้ตัง้ ชื่อ
ให้ว่า อยั ยกิ ากาฬกะ อยั ยิกากาฬกะเป็นโคลักษณะดี รปู ร่างสง่างาม ร่างกาย
แขง็ แรงสมสว่ น มขี นเหมอื นดอกอญั ชนั ความทเ่ี ปน็ โคลกั ษณะดดี งั กลา่ ว ทา� ให้
บรรดาเด็กๆ ชอบท่ีจะไปเล่นกับโคโพธิสัตว์นั้น เมื่อไปถึงก็พากันจับที่เขาสอง
ขา้ งบา้ ง จบั ทหี่ บู า้ ง จบั ทค่ี อบา้ ง บางคนกข็ น้ึ ไปขหี่ ลงั เลน่ เปน็ ทสี่ นกุ สนาน โดยที่
โคโพธิสัตวน์ น้ั ไมไ่ ดแ้ สดงความรา� คาญ หรอื โกรธเคืองแตอ่ ยา่ งใด

วนั หนงึ่ โคโพธสิ ัตวค์ ดิ วา่ “เจา้ ของของเราแกช่ ราและยากจนขน้ แค้น ถึง
กระนน้ั ก็เลยี้ งดูเราเปน็ อยา่ งดี มใิ ห้ล�าบาก ใหค้ วามรักเสมือนเปน็ ลูกในไส้ ถา้
กระไร เราไปรบั จา้ งทา� งานอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง เพอ่ื ช่วยแบง่ เบาภาระของเจ้าของ
นเ้ี ถดิ ”

นับแตน่ ้ันมา โคโพธสิ ตั วต์ ัวน้นั จงึ เท่ยี วไปท�าการรับจา้ งให้แก่คนทัง้ หลาย
สดุ แทแ้ ตเ่ ขาจะใชใ้ หท้ �าอะไร จนเปน็ ทชี่ ่ืนชมแกค่ นทพ่ี บเหน็ ยง่ิ นกั

กระทง่ั อยูม่ าวนั หน่งึ ลูกชายพอ่ ค้าเกวยี นท่ีรับผิดชอบเกวียน ๕๐๐ เลม่
พากันเดินทางไปถึงท่ีซึ่งไม่ราบเรียบ เป็นหลุมเป็นโคลน ท�าให้เกวียนติดหล่ม
ขยับไปทางไหนไม่ได้ แม้โคทั้งหลายของพ่อค้าเกวียนน้ันจะพยายามลากฉุด
เกวยี นอย่างไร ก็ไมส่ ามารถเอาเกวยี นขนึ้ จากหล่มไดเ้ ลย

ขณะนั้น โคโพธสิ ัตวก์ �าลงั หากินกับพวกโคชาวบ้าน ณ ทใี่ กล้บริเวณน้ัน
ลกู ชายพอ่ คา้ เกวยี นเหน็ ฝงู โคทหี่ ากนิ ใกลเ้ กวยี นของพวกตน จงึ พจิ ารณาวา่ “ใน
บรรดาโคเหล่านี้ โคอุสภอาชาไนยที่สามารถจะฉุดเกวียนให้ข้ามพ้นจากทาง

423


ขรุขระเปน็ หลมุ โคลน มอี ยู่หรอื ไม่หนอ?” ลากเกวียนด้วยการขยับก้าวไปข้างหน้าเพียง ๒-๓

เขาเปน็ คนฉลาดในเรอ่ื งโค เมอื่ เหน็ โคโพธสิ ตั ว์ ก้าวเท่านัน้ กฉ็ ดุ เกวียน ๕๐๐ เล่มขึ้นไปอยู่บนบก

ก็ม่ันใจว่า “โคนแ่ี หละ เป็นโคอสุ ภอาชาไนย โคอุสภ ได้ส�าเร็จ ลูกชายพ่อค้าเกวียนพร้อมบริวาร ได้ส่ง

อาชาไนยนนั้ มพี ละก�าลงั และความแขง็ แรงเหนอื โค เสยี งโหร่ ้องดว้ ยความดีใจ จากนั้นจงึ รวบรวมทรัพย์

ทง้ั หลาย เราจกั ใชโ้ คอสุ ภอาชาไนยตวั นฉ้ี ดุ เกวยี นให้ เพียง ๕๐๐ กหาปณะใส่ถุง แล้วผูกไว้ที่คอของโค

พ้นจากทางขรุขระเป็นหลุมโคลนน้ีได้ ว่าแต่ว่าใคร โพธิสตั ว ์

หนอเปน็ เจ้าของโคตวั น้?ี ” โคโพธิสัตว์น้ันรู้ทันว่า ลูกชายพ่อค้าเกวียน

ลูกชายพ่อค้าเกวียนจึงถามพวกคนเล้ียงโคว่า และบรวิ ารไมท่ า� ตามทตี่ กลงกนั ไว ้ จงึ ไปยนื ขวางทาง

“ทา่ นผเู้ จรญิ ใครหนอเปน็ เจา้ ของโคตวั น ี้ เราตอ้ งการ ไมย่ อมใหข้ บั เกวยี นออกไป ลกู ชายพอ่ คา้ เกวยี นและ

ใช้โคตัวน้ีลากเกวียนทั้งหลายข้ามทางตรงน้ี ถ้าท�า บรวิ ารทงั้ หลายแมจ้ ะพยายามไลโ่ คโพธสิ ตั วใ์ หห้ นไี ป

ส�าเรจ็ จกั ให้คา่ จ้างอย่างงามแกเ่ จา้ ของ” ด้วยวิธีใดก็ท�าไม่ส�าเร็จ จะขู่จะตีอย่างไรโคโพธิสัตว์

พวกคนเลย้ี งโคตอบวา่ “ทา่ นทง้ั หลายจงจบั มนั ก็ไม่ยอมหลีกทางให ้ จึงคิดวา่ “สงสัยโคนจ้ี ะรู้ว่าได้

เทยี มเกวียนไดเ้ ลย เพราะเจา้ ของโคตวั น้ีไม่ไดอ้ ยู่ใน รับค่าจ้างไม่ครบ ไม่ตรงกับที่ตกลงไว้ จึงไม่ยอม

ท่ีน้ี” ลูกชายพ่อค้าเกวียนนั้น จึงเอาเชือกผูกโค หลีกทางให้ เห็นทีจะต้องให้ค่าจ้างเพ่ิมอีก ๕๐๐

โพธิสัตว์ท่ีจมูกแล้วจูงไป แต่โคโพธิสัตว์ไม่ยอมเดิน กหาปณะเป็นแน”่

ตาม คงยนื นง่ิ อยู่กับที่ ที่เปน็ อยา่ งน้นั เพราะลกู ชาย จากนั้นจึงรวบรวมค่าจ้างจากบริวารท้ังหลาย

พ่อค้าเกวียนไม่ได้บอกว่าจะให้ค่าจ้างแก่โคโพธิสัตว์ เมื่อไดค้ รบ ๕๐๐ กหาปณะแล้ว จึงใส่ลงในถงุ และ

นั้น โคโพธสิ ัตวจ์ ึงไม่ยอมเดิน นา� ไปผูกท่ีคอของโคโพธิสตั ว ์ แลว้ กล่าวว่า “นาย นี่

ลูกชายพ่อค้าเกวียนน้ันเป็นคนฉลาด อ่านใจ เปน็ คา่ จา้ งในการฉดุ เกวยี นใหข้ า้ มขนึ้ จากทางขรขุ ระ

โคออก จึงไดก้ ล่าวกับโคโพธิสัตว์ว่า “นาย ถ้าทา่ น เป็นหลมุ เปน็ โคลนของทา่ น” โคโพธิสตั วพ์ อทราบว่า

ลากเกวยี น ๕๐๐ เลม่ ข้ามขนึ้ จากทางขรขุ ระ เป็น ไดค้ า่ จา้ งครบถว้ นคอื ๑,๐๐๐ กหาปณะแลว้ จงึ หลกี

หลุมโคลนนี้ได้ เราจักให้ค่าจ้างแก่ท่าน ๑,๐๐๐ ทางใหล้ กู ชายพอ่ คา้ เกวยี นและบรวิ ารออกเดนิ ทางได้

กหาปณะ” จากนน้ั นา� หอ่ ทรพั ย ์ ๑,๐๐๐ กหาปณะไปยงั บา้ นของ

โคโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงเดินตามลูกชาย เจ้าของ

พอ่ คา้ เกวยี นแตโ่ ดยด ี เมอ่ื ไปถงึ ลกู ชายพอ่ คา้ เกวยี น ฝา่ ยหญงิ ชราเหน็ หอ่ ทรพั ย ์ ๑,๐๐๐ กหาปณะ

และบรวิ าร จงึ เทยี มโคโพธสิ ตั วท์ เี่ กวยี นทงั้ หลาย จาก ทคี่ อของโคโพธสิ ตั ว ์ แลว้ กก็ ลา่ ววา่ “พอ่ นเ้ี ปน็ ทรพั ย ์

น้ันให้สัญญาณเพื่อลากเกวียนด้วยค�าว่า “นาย ขอ เจ้าได้มาอย่างไร?” พวกเด็กเล้ียงโค จึงบอกความ

ท่านจงใช้ความเป็นโคอสุ ภอาชาไนย และพละก�าลงั จริงให้หญิงชราทราบ หญิงชราน้ันจึงกล่าวว่า “พ่อ

อนั มหาศาลของทา่ น ลากเกวยี นทง้ั หลายขน้ึ จากหลมุ เราแม้จะล�าบากอย่างไร ก็ไม่คิดท่ีจะเล้ียงชีวิตด้วย

โคลนน้เี ถิด หากทา� สา� เร็จขา้ พเจ้าจะให้ทรพั ยต์ ามท่ี ทรัพย์ท่ีแลกมาอย่างยากล�าบากเช่นน้ี เจ้าไป

ตกลงไว”้ ประกอบกิจท่ียากล�าบากเห็นปานน้ันเพราะเหตุไร”

โคโพธสิ ัตวร์ วบรวมพละกา� ลงั ทมี่ ีอย ู่ ออกแรง หญิงชรานั้น หลังจากที่กล่าวกับโคโพธิสัตว์เช่นนั้น

424


แล้ว กต็ ม้ น�า้ อนุ่ ๆ มาอาบให้โคโพธสิ ัตว ์ เช็ดตัวใหแ้ ห้งแล้วเอาน�า้ มันทา
ทว่ั รา่ งกาย ใหด้ ม่ื นา�้ ใหก้ นิ อาหารทโี่ คชอบ ทง้ั สองมจี ติ เออ้ื อาทรตอ่ กนั รกั
และหวังดีตอ่ กัน จงึ อยดู่ ้วยกนั อย่างมคี วามสขุ และเมื่อส้นิ อายขุ ัยก็ตาย
จากกันไปตามยถากรรมของตน

ขอ้ คิดจากชาดกเรอ่ื งน้ีคอื ความสา� เร็จในกิจทกุ อยา่ งตอ้ งอาศยั
ความขยัน ความขยนั คือความมานะบากบนั่ ความพยายาม ความรบั
ผิดชอบในกิจทท่ี �า ความขยันดงั กลา่ วนีเ้ ม่ือมีในบุคคลใดแล้ว จะทา� ให้
บคุ คลนัน้ สู้งานด้วยความอดทน ไมป่ ระหวัน่ พร่ันพรงึ กับความรอ้ น หวิ
กระหาย หรอื ความเจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ยท่เี กดิ ขน้ึ ส้งู านทร่ี ับผดิ ชอบจนสา� เร็จ
ลลุ ว่ งดว้ ยดี ท่ามกลางอปุ สรรคเหล่านัน้ ท่รี บกวนขัดขวาง

ความขยันท่ีดีนั้นต้องคู่กับวางแผนและท�าตามแผนท่ีก�าหนดไว้
เชน่ วางแผนจะทา� วนั ละกชี่ วั่ โมง วางแผนวา่ จะทา� ใหส้ า� เรจ็ โดยใชเ้ วลา
กวี่ นั กเ่ี ดือน หรือก่ีปี ระหวา่ งที่ทา� อยนู่ ้นั ถ้าอุปสรรคเกดิ ขึน้ จะแก้ไข
อุปสรรคนัน้ อย่างไร วางแผนและทา� ตามแผนอยา่ งนี้ งานจงึ จะสา� เรจ็
ด้วยดี นอกจากน้ันตอ้ งอาศัยแรงจูงใจสองอยา่ ง คอื แรงจงู ใจภายนอก
เชน่ คา่ ตอบแทน คา� ชมเชย การเลอ่ื นยศเลอ่ื นชนั้ เปน็ ตน้ อกี ประการ
หนึง่ แรงจงู ใจภายใน ไดแ้ ก่ความสา� นกึ ทด่ี ี ความรู้จกั ท�าตวั ใหม้ ีคณุ คา่
การอยากชนะตนเอง การไม่ยอมแพอ้ �านาจฝา่ ยต�่า เป็นตน้

ในแรงจูงใจสองอย่างนี้ แรงจูงใจภายในนับว่าส�าคัญ เพราะถ้า
อยากท�าดเี พือ่ ดแี ล้ว แมค้ า่ ตอบแทนจะไมส่ งู คนก็พรอ้ มจะทา� งานนั้น
ให้ส�าเร็จลุล่วงไปได้ อย่างไรก็ตาม แรงจูงใจทั้งสองต่างก็ช่วยให้คน
ประสบความสา� เรจ็ ดว้ ยกนั ท้งั นั้น ขาดอยา่ งใดอย่างหนึ่งคงไมไ่ ด้

(กณั หชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
ชาดก เอกนิบาต เลม่ ๒๘ หนา้ ๓๔๒)

425


426


กลลวงนายพราน

“คนโง่ยอ่ มเปน็ เหยอื่ ของคนฉลาด
แตค่ นฉลาดยอ่ มเปน็ เหยอื่ ของคนฉลาดทแี่ กล้งโง่”

ในอดตี กาล สมยั พระเจา้ มคธครองราชสมบตั อิ ยใู่ นพระนครราชคฤห ์
ครงั้ นนั้ พระโพธสิ ตั วบ์ งั เกดิ ในกา� เนดิ มฤคคอื เนอื้ อาศยั อยใู่ นปา่ กบั บรวิ าร
ดว้ ยความสขุ ส�าราญตลอดมา

อยมู่ าวนั หนงึ่ แมเ่ นอื้ ผเู้ ปน็ นอ้ งสาวของเนอื้ โพธสิ ตั วน์ น้ั ไดใ้ หก้ า� เนดิ
ลูกน้อย เมื่อเจริญวัยพอสมควรแล้ว จึงพาลูกน้อยเข้าไปหาเน้ือโพธิสัตว์
แล้วกล่าวว่า “ข้าแต่ท่านพ่ี ขอท่านจงให้หลานน้อยตัวน้ีฝึกหัดวิชามารยา
ของเนอื้ ให้คลอ่ งแคล่วเถดิ เพ่ือจะไดร้ ักษาชีวติ ให้อยูร่ อดปลอดภัย ในภาย
ภาคหนา้ ”

เน้อื โพธสิ ัตวก์ ลา่ วตอบวา่ “ดูกอ่ นนอ้ งหญิง เรายนิ ดสี อนวิชามารยา
เน้ือให้เจ้าหลานน้อย ขอให้ส่งเจ้าหลานน้อยมาฝึกวิชามารยาเนื้อ ในวัน
เวลาชื่อโน้นเถิด” เมื่อถึงวันเวลานัดหมาย แม่เนื้อก็ส่งเจ้าเน้ือน้อยมาฝึก
วิชามารยาเนื้อจากพระโพธิสัตว์จนจบ และสามารถปฏิบัติได้อย่าง
คล่องแคล่วและแนบเนยี น

วนั หนง่ึ ขณะทเ่ี นอ้ื นอ้ ยตวั นนั้ เทยี่ วหากนิ ในปา่ อยา่ งเพลดิ เพลนิ โดย
ไม่ทันระวังตัว จึงติดบ่วงของนายพรานที่วางไว้ เนื้อท้ังหลายต่างส่งเสียง
บอกตวั อนื่ ใหร้ แู้ ละพากนั วง่ิ หนภี ยั จากนายพราน สว่ นเนอื้ นอ้ ยยงั คงตดิ บว่ ง
ไม่สามารถดิ้นหลุดได้ ฝ่ายเน้ือท้ังหลายที่หนีรอดมาได้น้ัน ได้บอก
เหตุการณ์ท่เี นือ้ น้อยติดบ่วงแก่เนือ้ ผู้เปน็ แม่ แม่เนื้อจึงถามเนอ้ื โพธิสตั วว์ ่า
“ขา้ แต่ทา่ นพี่ ทา่ นได้ใหห้ ลานฝกึ วชิ ามารยาเนอ้ื แล้วหรือ”

เน้ือโพธิสตั วต์ อบวา่ “ดกู อ่ นนอ้ งหญงิ เจ้าอยา่ กังวลใจเลย ลกู ของ
เจา้ ไดฝ้ กึ วชิ ามารยาเนอื้ อยา่ งดแี ลว้ จากนไ้ี มน่ านนกั เขาจะหลดุ จากบว่ งนาย
พรานแล้วหนกี ลบั มาที่น้ี”

บรรดาเนอ้ื ทั้งหลายเมือ่ ทราบข่าวลกู เนือ้ ติดบว่ งนายพราน ก็พากัน
มาประชุมท่ีส�านักเน้ือโพธิสัตว์เพ่ือรอคอยการกลับมาของเน้ือน้อยตัวน้ัน

427


ด้วยความห่วงใย ระหว่างน้ันได้ถามเนื้อโพธิสัตว์ว่า เปลย่ี นใจไมส่ หู้ รอื หลกี หนไี ป การทา� ลน้ิ หอ้ ยออกจาก

“ข้าแต่นาย มารยาเน้อื คอื อะไร” ปากเป็นการลวงว่า ก�าลังหมดแรงหรือเป็นลมหมด

เน้ือโพธิสัตว์ตอบว่า “มารยาเนื้อ เป็นวิชา ทางสู้ พอศัตรูเผลอก็เข้าโจมตีหรือหนีไปโดยเร็ว

แสดงกลลวง เสแสรง้ หลอกล่อให้ศตั รตู ายใจ พอ การกระทา� ทอ้ งใหพ้ องขน้ึ เพอ่ื แสดงวา่ ตนเองตวั ใหญ่

ศัตรูเผลอ ก็โจมตีศัตรูหรือหนีออกมาจากศัตรูน้ัน มีพละก�าลังมาก ศัตรูจะได้ลังเลไม่คิดมาต่อกรด้วย

เป็นวชิ าเอาตวั รอด ชว่ ยแกป้ ญั หาไดใ้ นยามคับขนั ” การปล่อยอุจจาระปัสสาวะออกมา หลังจากปล่อย

บริวารถามต่อว่า“ข้าแต่นาย ขอท่านโปรด ออกมาแล้วก็นอนเกลือกกล้ัวให้อุจจาระปัสสาวะ

ขยายความให้เข้าใจด้วยเถิด” เน้ือโพธิสัตว์เห็นเป็น ติดตัว กระทา� เพ่ือให้ศตั รูรสู้ กึ ขยะแขยงในกล่ิน และ

โอกาสดที ่ีจะแสดงวชิ ามารยาเนื้อให้บรวิ ารทราบ จงึ ความนา่ รงั เกยี จของอจุ จาระปสั สาวะ จะไดไ้ มเ่ ขา้ ใกล้

กล่าววา่ “ดกู อ่ นบริวาร มารยาเนื้อมี ๖ ประการ คือ สว่ นการกลนั้ ลมหายใจ เปน็ การลวงวา่ ตวั เองมคี วาม

การเหยียด ๔ เทา้ นอนตะแคง ๑ การใชก้ ีบทั้ง ตั้งใจท่ีแรงกล้า พร้อมท่ีจะต่อสู้กับศัตรูอย่างเต็มท่ี

หลายตะกยุ หญา้ และดนิ รว่ น ๑ การทา� ลน้ิ หอ้ ยออก ไมป่ ระหวน่ั พรนั่ พรงึ แมศ้ ตั รจู ะเปน็ ใครกต็ าม” บรวิ าร

จากปาก ๑ การกระทา� ทอ้ งใหพ้ องขน้ึ ๑ การปลอ่ ย ถามตอ่ ว่า “ขา้ แต่นาย ผฝู้ กึ วชิ ามารยาเนอ้ื ตอ้ งฝึก

อุจจาระปสั สาวะออกมา ๑ การกล้นั ลมหายใจ ๑” อะไรอกี บ้าง”

บรวิ ารถามอีกว่า “ข้าแตน่ าย การกระท�าแตล่ ะอยา่ ง เน้ือโพธิสัตว์ตอบว่า “ต้องฝึกการหายใจด้วย

มจี ดุ มุ่งหมายอยา่ งไรบา้ ง” รูจมกู ขา้ งเดียว คือกลั้นลมมใิ ห้เขา้ ออกทางชอ่ งจมูก

เน้ือโพธิสัตว์กล่าวตอบว่า “การกระท�าแต่ละ ขวา แล้วหายใจเข้าออกทางช่องจมูกซ้ายที่แนบติด

อย่างมีจุดประสงค์เพ่ือให้ศัตรูเข้าใจผิดว่า ตายแล้ว พื้นดนิ หรือกล้นั ลมหายใจมใิ ห้เขา้ ออกทางชอ่ งจมูก

ศัตรูจะได้ไม่ระมัดระวัง และอาศัยช่วงไม่ระวังของ ซ้าย แล้วหายใจเข้าออกทางช่องจมูกขวาที่แนบติด

ศัตรูน้ันหนีไปสู่ท่ีปลอดภัย แต่กลลวงดังกล่าวก็ กบั พน้ื ดนิ จงึ จะลวงนายพรานดว้ ยวธิ ี ๖ ประการได”้

สามารถใชไ้ ดห้ ลายสถานการณ์ ใชเ้ พือ่ ต่อสูก้ บั ศัตรู ระหวา่ งทถ่ี ามตอบกนั ยงั ไมท่ นั จบนนั้ ลกู เนอ้ื ที่

กไ็ ด ้ ใชเ้ พยี งเพอ่ื ขม่ ขวญั ศตั รกู ไ็ ด ้ และใชเ้ พอื่ ใหศ้ ตั รู ติดบ่วงก็ว่ิงหนีนายพรานเข้ามาในฝูงอย่างรวดเร็ว

หนไี ปกไ็ ด ้ เชน่ การเหยยี ด ๔ เทา้ นอนตะแคง ทา� ให้ เมอ่ื ถกู ถามจงึ ไดบ้ อกแกฝ่ งู วา่ “ขา้ แตบ่ รวิ าร หลงั จาก

ศัตรเู ข้าใจว่ากา� ลังจะตาย ศัตรูจะได้ไม่รีบมาจบั หรือ ติดบ่วงนายพรานแล้ว ข้าพเจ้าก็ปล่อยให้ติดอยู่เช่น

ท�าร้าย หรือในกรณีติดบ่วงจะได้ไม่ระวังขณะแก้ นั้น ไม่ดน้ิ รนใหเ้ หนอื่ ยแตอ่ ย่างใด นกึ ถึงมารยาเนอื้

เหย่ือออกจากบ่วง เมื่อไม่ระวังก็จะอาศัยโอกาสน้ัน ทเี่ รยี น จงึ นอนเหยยี ดเท้าทง้ั ๔ ไปทางด้านข้าง เอา

โจมตหี รอื ว่ิงหนโี ดยเรว็ ” กีบทั้งหลายน่ันแหละ คุ้ยท�าดินร่วนและหญ้าให้

บริวารถามต่อว่า “ข้าแต่นาย ข้ออื่นๆ มี กระจุยข้นึ ปล่อยอุจจาระปัสสาวะออกมา ท�าให้หัว

เหตผุ ลและจดุ มุ่งหมายอย่างไร” ตกลนิ้ หอ้ ย ทา� สรรี ะใหเ้ ปรอะเปอ้ื นดว้ ยนา้� ลาย ทา� ให้

เนื้อโพธิสัตว์ชแ้ี จงวา่ “ข้ออ่นื ๆ มเี หตุผลดงั น ้ี ตัวพองข้ึนด้วยการกลั้นลม ท�านัยน์ตาท้ังสองให้

การใชก้ บี ตะคยุ หญา้ และดนิ รว่ น เปน็ การแสดงความ เหลือก ท�าลมให้เดินทางช่องจมูกล่าง กล้ันลมทาง

แข็งแรงให้ศัตรูเห็น ศัตรูจะได้รู้สึกหวาดหว่ัน และ ชอ่ งจมกู บน ทา� หวั ใหแ้ ขง็ แสดงอาการของสตั วท์ ตี่ าย

428


แลว้ เพอ่ื ลวงนายพราน ในขณะนนั้ บรรดาแมลงวนั หวั เขยี วกบ็ นิ มาตอมตามเนอื้
ตวั ขา้ พเจา้ สว่ นนกกาทงั้ หลายกบ็ นิ มาจบั ทก่ี ง่ิ ไมใ้ กลๆ้ สอดสายตามองดขู า้ พเจา้
อยู่ เม่ือนายพรานมาถงึ พอเห็นข้าพเจา้ เท่านนั้ ก็เอามอื ดดี ท้องตนเอง พร้อม
กับพูดว่า “เน้อื ตัวนี้คงจะตดิ บว่ งแตเ่ ชา้ จงึ ไดต้ ายดว้ ยอาการอยา่ งน้ี” จากนน้ั
จงึ แกเ้ ชือกทร่ี ัดข้าพเจ้าออก เพ่ือจะลากขา้ พเจา้ ไปแล่เอาแตเ่ นือ้ ระหว่างท่นี าย
พรานเดนิ ไปหาก่ิงไมแ้ ละใบไม้มาปกู ับพนื้ เพอื่ จดั การแล่เน้ือนัน้ เอง ขา้ พเจา้ ก็
ลุกขึน้ ยนื ดว้ ยเทา้ ทัง้ ๔ สลดั กายเหยยี ดคอ แล้วกระโจนหนอี อกจากทตี่ รงนนั้
อยา่ งรวดเรว็ และว่ิงหนมี าถงึ ทแ่ี ห่งนี้โดยสวัสดิภาพ” ฝูงเนอื้ ได้ฟังดงั นน้ั แลว้ ก็
พรอ้ มใจกนั ฝกึ หดั วชิ ามารยาเนอื้ ไว ้ และดา� เนนิ ชวี ติ ดว้ ยความไมป่ ระมาทตง้ั แต่
บัดนนั้ เป็นต้นมา

ชาดกเรอ่ื งนีใ้ หข้ ้อคิดวา่ การฝกึ หดั ศกึ ษาวิทยาการตา่ งๆ ล้วนแต่เปน็
ประโยชน์ทง้ั แกต่ นเองและสังคมสว่ นรวมทงั้ สิน้ กลา่ วคอื ในทางสว่ นตัว คน
ที่มีการศึกษาย่อมจะรู้วิธีแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจ�าวันได้ดี ช่วยให้มี
ล่ทู างในการทา� มาหากิน ย่ิงรูม้ ากร้จู ริงด้วยแลว้ โอกาสแห่งการท�ามาหากินก็
เปิดกวา้ งขึน้ ชว่ ยให้หาทรัพยส์ ินและสรา้ งเนอื้ สร้างตัวไดอ้ ยา่ งยงั่ ยืน ในทาง
สว่ นรวม การศกึ ษาหาความรู้ ทา� ใหป้ ระเทศชาตพิ ฒั นา รวมทง้ั ชว่ ยแกป้ ญั หา
ในสังคมได้อีกมาก ประเทศที่พัฒนาจึงให้ความส�าคัญกับการศึกษา มีการ
ก�าหนดการศึกษาภาคบังคับท่ีสูงข้ึน ก�าหนดการศึกษาระดับสูงๆ ให้แพร่
หลายมากขนึ้ รวมความวา่ การศกึ ษานด้ี ี ทา� ใหค้ นและประเทศชาตเิ จรญิ ขนึ้
ดงั คา� ประพนั ธข์ องพระยาศรสี นุ ทรโวหาร (นอ้ ย อาจารยางกรู ) ท่ีวา่

อย่าเกยี จคร้านการเรียนเร่งอตุ ส่าห์
มีวชิ าเหมือนมีทรพั ยอ์ ยนู่ บั แสน
จะตกถน่ิ ฐานใดคงไม่แคลน
ถึงยากแคน้ กพ็ อยงั ประทังตน
อนั ความรูร้ ู้กระจ่างแต่อยา่ งเดียว
แตใ่ ห้เช่ยี วชาญเถดิ จะเกดิ ผล
อาจจะชกั เชิดชูฟสู กนธ์
ถงึ คนจนพงศ์ไพร่คงได้ดี

(ติปัลลตั ถมคิ ชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย
ชาดก เอกนิบาต เลม่ ๒๘ หนา้ ๒๘๙)

429


430


หงส์ผู้ภกั ดี

“เพื่อนแท้ คอื เพื่อนในยามยาก”

ในอดีตกาล มีพระราชาพระองคห์ นงึ่ ทรงพระนามวา่ พหปุ ตุ ตกะ
เสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี กาลครั้งน้ัน พระมเหสีของ
พระองค์ทรงพระนามว่า เขมา ทรงพระสบุ นิ ว่า มพี ญาหงส์ทองสองตวั
อาศัยอยู่ ณ จิตตกูฏบรรพต มาแสดงธรรมให้ฟังด้วยเสียงอันไพเราะ
จบั ใจ พระนางหลงใหลในพญาหงสต์ วั นน้ั จงึ กราบทลู สบุ นิ นนั้ ใหพ้ ระราชา
ทราบ และขอใหท้ รงจับพญาหงสน์ นั้ มาให ้

พระราชาจึงตรัสถามอ�ามาตย์ทั้งหลายว่า “ชื่อว่าหงส์ทองมีอยู่
ท่ไี หน?”

อ�ามาตยท์ ง้ั หลายกราบทลู ว่า “มีอยู่ทจี่ ติ ตกฏู บรรพต พระเจ้าขา้ ”
จงึ มพี ระบรมราชโองการใหข้ ดุ สระขน้ึ ทางทศิ เหนอื พระนคร ขนาน
นามสระนัน้ ว่า เขมาโบกขรณี แลว้ เพาะพนั ธ์ธุ ัญชาตติ ่างๆ ไว ้ สา� หรบั
เปน็ อาหารของพญาหงส ์ ใหป้ ระกาศโฆษณาบรเิ วณสระโบกขรณเี ปน็ เขต
อภยั ทานแกน่ กทงั้ หลายทมี่ าจากทตี่ า่ งๆ จากนนั้ รบั สงั่ ใหน้ ายพรานซมุ่ อยู่
ทม่ี ุมสระ ๔ ด้าน เพ่ือคอยจบั พญาหงส์ให้พระนางเขมา
ในวันหน่ึง พญาหงส์ก็ติดบ่วงนายพรานที่ดักไว้ พญาหงส์ตัวนั้น
เปน็ พญาหงสโ์ พธสิ ตั ว ์ ครน้ั ตดิ บว่ งคนั แรว้ ของนายพรานแลว้ จงึ ทอดตวั
ลงกบั หลกั บ่วงน่นั เอง ชูคอแลดทู างทีห่ มหู่ งสบ์ รวิ ารบนิ หนไี ป
ระหว่างนั้น ได้มองเหน็ หงส์ตวั หน่งึ ชื่อสุมุขหงส์เสนาบดี บนิ กลบั
มา จงึ คดิ วา่ “ในเวลาทสี่ มุ ขุ หงสบ์ นิ ลงมาหา เราจกั ทดสอบความรกั ความ
จรงิ ใจดู” เมอื่ สมุ ุขหงส์เสนาบดบี ินลงมาถึง พญาหงสโ์ พธสิ ัตวจ์ ึงกล่าวว่า
“ดูก่อนสุมขุ ะ ฝูงหงสท์ ้งั หลายผูม้ ีผวิ กายเรืองอร่ามงามดังทองคา� ไดพ้ า
กนั บินหนีภยั ไปส่ทู ีป่ ลอดภยั แล้ว แต่ทา่ นกลับบนิ มาทีเ่ ดมิ ซึง่ มีภัยเฉพาะ
หนา้ ขอทา่ นจงบนิ กลบั ไปสทู่ ป่ี ลอดภยั ตามใจปรารถนาเถดิ จะมวั หว่ งใย
ทา� ไมกับผ้ทู ี่หมดทางสูเ้ ชน่ เรา อยา่ ได้พยายามชว่ ยเหลอื อะไรเราเลย จะ

431


ลา� บากเสียเปลา่ ๆ” ขึ้น ขอท่านจงแผ่เมตตา อย่ามีจิตพยาบาทต่อนาย

หงส์สุมุขเสนาบดีได้ยินเช่นนั้น จึงกล่าวตอบ พรานเลย”

วา่ “ขา้ แต่พญาหงส์ ถึงพระองค์จะตดิ บว่ งนายพราน นายพรานได้ยินหงส์สุมุขเสนาบดีปลอบใจ

ไม่มีหนทางสลดั หลุดออกไปได้ ข้าพระพทุ ธเจ้าก็จัก พญาหงส์เช่นน้ัน จึงเข้าไปหาพญาหงส์แล้วกล่าวว่า

ไมท่ งิ้ พระองคไ์ ปไหน จกั เปน็ หรอื ตาย ขา้ พระพทุ ธเจา้ “ดูก่อนพญาหงส์ ธรรมดาว่าวิสัยปักษีทิชากร ผู้

กจ็ กั อยู่รว่ มกับพระองค์ ณ ที่ตรงน้”ี เมื่อหงส์สมุ ุข สัญจรไปในอากาศน้ัน ย่อมบินไปสู่ทางได้ทุกที่ด้วย

เสนาบดกี ล่าวอยา่ งนแ้ี ล้ว ความปลอดภัย พระองค์ไม่ทรงทราบดอกหรือว่าท่ี

พญาหงสจ์ ึงกล่าววา่ “ดกู ่อนสุมุขะ ทา่ นกลา่ ว สระโบกขรณีแห่งน้ีมีการดกั บ่วงไว”้

วาจาดีงามอันใดไว้ วาจานั้นแลเป็นค�าของท่านผู้ พญาหงส์โพธิสัตว์ตอบว่า “ข้าแต่นายพราน

ประเสรฐิ ทรงศลี ทรงธรรม อนงึ่ การทเี่ ราใหท้ า่ นบนิ คราวใดทช่ี วี ติ จะถงึ ฆาต คราวนน้ั แมจ้ ะเหน็ บว่ งทด่ี กั

หนีไปนัน้ กลา่ วเพ่ือลองใจท่านดู ทา� ให้ทราบความ ไว้แต่ที่ไกลๆ สัตว์ก็คงบินไปติดจนได้ด้วยความ

เปน็ มติ รแท้ ผ้ซู อ่ื สตั ย์ของท่าน” ประมาท แต่คราวใดทชี่ ีวิตยงั ไม่ถงึ ฆาต คราวน้นั แม้

ขณะที่หงส์ท้ังสองก�าลังสนทนากันอยู่ นาย จะไม่เห็นบ่วงที่ดักไว้ ชีวิตก็ยังปลอดภัยอยู่น่ันเอง

พรานก็ถือไม้วิ่งมาหาอย่างเร็วเพ่ือจับพญาหงส์นั้น คราวน้ีข้าพเจ้าได้ติดบ่วงของท่านแล้ว ชีวิตจะเป็น

หงส์สุมุขเสนาบดีหันไปเห็น จึงได้พูดปลอบใจพญา อยา่ งไรกส็ ุดแตก่ รรมท่ที �ามา”

หงส์ให้คลายความวิตก แล้วบินไปท�าความเคารพ นายพรานได้ฟังแล้วก็ชื่นชมยินดีถ้อยค�าของ

นายพรานนั้น พร้อมกับกล่าวว่า “ข้าแต่นายพราน พญาหงส ์ จงึ หนั ไปทางหงสส์ มุ ขุ เสนาบดแี ลว้ กลา่ ววา่

ขา้ พเจา้ หงสส์ มุ ขุ เสนาบดแี ละพญาหงสผ์ เู้ ปน็ นาย ขอ “ดูก่อนหงส์สุมุขเสนาบดี ฝูงหงส์ทั้งหลายถูกภัย

แสดงความเคารพท่านด้วยปีกท้ังสอง ขอท่านจงรับ คุกคาม แล้วพากันบินหนีไปหมด มีท่านตัวเดียว

ไวด้ ว้ ยเถิด” เท่าน้ันท่ีพ้นภัยแล้วก็ยังมัวพะวงอยู่กับพญาหงส์ตัว

นายพรานได้เห็นอากัปกิริยาและได้ยินเสียง อ่นื ๆ ไม่เห็นมีใครห่วงใยเช่นทา่ นเลย พญาหงสต์ วั นี้

เชน่ นน้ั กม็ จี ติ ออ่ นโยนตอ่ หงสท์ ง้ั สอง จงึ คดิ วา่ “หงส์ เป็นอะไรกบั ท่านหนอ ทา่ นจงึ ไดห้ ว่ งใยเชน่ น้”ี

ทง้ั สองนม้ี ิใชง่ ามแตเ่ พียงตัวเทา่ น้นั ทแ่ี ทจ้ ติ ใจก็งาม หงส์สุมุขเสนาบดีกล่าวตอบนายพรานว่า

ไปดว้ ย รจู้ กั แสดงความออ่ นนอ้ มตอ่ คนอน่ื ผทู้ ห่ี มาย “ข้าแต่นายพราน หงส์ตวั อื่น ๆ เปน็ เพียงสหายของ

จะจับตวั ด้วยซา้� ” เราเท่านั้น แต่พญาหงส์ตัวน้ีเป็นราชาของเรา เป็น

ฝ่ายหงส์สุมุขเสนาบดีพอรู้ว่านายพรานมีจิต กัลยาณมิตรท่ียิ่งใหญ่ เสมอด้วยชีวิตของเรา เป็น

ออ่ นลง ไมม่ ุ่งอาฆาตมาดร้ายอะไรแลว้ จึงบนิ กลบั ผทู้ รงศลี ทรงธรรม นา� พาเราใหม้ สี ขุ ดว้ ยเมตตากรณุ า

ไปยนื ปลอบใจพญาหงส์ตอ่ วา่ “ข้าแต่พญาหงส์ ชวี ติ เป็นท่ีตั้ง เราจักไม่ทอดท้ิงพญาหงส์ผู้เป็นราชาของ

มีกรรมเป็นของตนเอง ท่านได้ท�าความดีมาตลอด เรานีไ้ ปจนตราบเทา่ วนั ตาย”

ปกครองหงสด์ ้วยจติ เมตตา ไม่เคยรงั แกและมุ่งรา้ ย นายพรานได้ฟงั ดังน้ันแล้ว จึงคดิ ว่า “เราเม่ือ

ใครมาตลอดเวลาถงึ เพยี งน ี้ หากบญุ ทา่ นม ี พระยอ่ ม รู้อย่างนี้แล้ว ถ้ายังคิดจักจับหงส์ทองผู้ทรงศีล

คุ้มครอง เทวดาย่อมรักษา แม้หากท่านมีกรรมมา ทรงธรรมอีก ชะรอยแผ่นดินจะไม่ยอมให้เราเดิน

ตัดรอนให้ต้องจากโลกนี้ไป ท่านก็ไม่เสียทีท่ีได้เกิด เหยยี บ คงจะสูบเราลงไปใตเ้ บือ้ งลา่ งเปน็ แน่ การจบั

มาเพราะท�าความดีมาตลอดแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิด หงส์คร้ังน้ีเราท�าก็เพ่ือยศศักด์ิ ทรัพย์สมบัติท่ีจักได้

432


จากสา� นกั พระราชา แตบ่ ดั นชี้ วี ติ ของพญาหงสส์ า� คญั กวา่ สง่ิ ใด ๆ ดงั นนั้ เราจกั ปลอ่ ย
พญาหงส์นัน้ ไปตามวถิ ีทางของหงส์”

จากนั้นจึงกล่าวกับหงส์สุขุมเสนาบดีต่อหน้าพญาหงส์ว่า “ข้าแต่หงส์สุมุข
เสนาบด ี ตัวทา่ นตง้ั ใจจะช่วยเหลอื พญาหงส์ โดยไม่เห็นแก่ชีวิตตนเองเลย ขา้ พเจ้า
นับถอื น้า� ใจทา่ น ดังนน้ั ขา้ พเจา้ กจ็ ักปล่อยพญาหงส์ผเู้ ป็นราชาของทา่ น ขอท่านท้งั
สองจงบนิ ไปตามความประสงคเ์ ถดิ ” กลา่ วจบนายพรานนน้ั กป็ ลอ่ ยหงสใ์ หเ้ ปน็ อสิ ระ
ฝา่ ยหงส์หลงั จากไดร้ บั อสิ รภาพ กบ็ นิ ไปสู่ท่ีตนปรารถนาในทนั ที

ชาดกเรือ่ งนใ้ี หข้ อ้ คดิ ว่า คนทไ่ี ปมาหาสเู่ ราในยามทเ่ี รามอี า� นาจวาสนานัน้
ยงั ไมส่ ามารถช้ชี ัดได้วา่ ใครคือเพอ่ื นจรงิ หรอื เพอ่ื นแท้ของเรา แต่ในยามประสบ
เคราะห์กรรม เชน่ ในยามจน ยามเจบ็ และยามจากเปน็ ต้น เราจึงจะรไู้ ด้ เพราะ
ในยามนั้น คนท่ีไม่ใช่เพื่อนจริงหรือเพ่ือนแท้จะค่อยๆ หายไป เหตุน้ัน ท่านจึง
กลา่ ววา่ เพอื่ นแทค้ อื เพอื่ นยามยาก ไดแ้ กเ่ พอื่ นทอี่ ยกู่ บั เราหรอื ญาตขิ องเราได้ แม้
ในยามทเี่ ราจน เราเจบ็ และเราจาก ท่านใหข้ อ้ คิดอีกว่า เพ่อื นแท้หรอื เพื่อนยาม
ยากนน้ั แมม้ ีเพียงคนเดียว แต่กย็ ังดีกว่าเพ่ือนไมแ่ ท้ทม่ี ีเปน็ หมืน่

เพื่อนแท้นั้นท่านเรียกว่า กัลยาณมิตร มีคุณสมบัติที่ส�าคัญ ๗ ประการ
ได้แก่

๑. ปโิ ย นา่ รัก
๒. ครุ น่าเคารพ
๓. ภาวนีโย นา่ ยกย่อง
๔. วตฺตา จ รจู้ ักวิธพี ดู ใหไ้ ดผ้ ล
๕. วจนกขฺ โม อดทนตอ่ ถ้อยค�าคนอื่นได้
๖. คมฺภรี ญจฺ กถ� กตตฺ า สามารถอธิบายเรือ่ งยากใหเ้ ขา้ ใจได้งา่ ย
๗. โน จฏฺาเน นิโยชเย ไมช่ กั จงู ไปในทางเสอ่ื มเสีย
ทางพระพทุ ธศาสนาไดย้ กยอ่ งกลั ยาณมติ รไวว้ า่ เปน็ ทง้ั หมดของพรหมจรรย์
ทเี ดยี ว ดงั พระพทุ ธพจนว์ า่ “ดกู อ่ นอานนท์ เธออยา่ ไดก้ ลา่ วอยา่ งนน้ั กค็ วามเปน็
กลั ยาณมติ รน้ี เปน็ ท้งั หมดของพรหมจรรย์ ดูกอ่ นอานนท์ ภิกษผุ ู้มีกัลยาณมิตร
จักเจริญด้วยอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘” ดังนี้ เรื่องนี้ท่านพุทธทาสภิกขุ
กป็ ระพนั ธ์ไวว้ ่า

อันเพ่ือนดีมหี นึ่งถึงจะน้อย
ดีกวา่ รอ้ ยเพ่ือนคดิ รษิ ยา
เหมือนเกลือดีมีนอ้ ยดอ้ ยราคา
ยงั ดีกวา่ น้า� เคม็ เต็มทะเล

(หังสชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย

ชาดก วีสตนิ บิ าต เล่ม ๓๔ หนา้ ๖๙)

433


434


หงส์เลือกคู่

“งามภายในส�าคญั กวา่ งามภายนอก”

มีเร่ืองเล่าว่า ในคร้ังปฐมกัปท่ีผ่านไปแล้วก่อนกัปทั้งหลายน้ัน
บรรดาสัตวท์ กุ ประเภทในพืน้ พิภพ ยังไม่มกี ารเลือกหัวหน้า เพอื่ น�าเผา่
พันธุ์ของตน

วันหน่งึ จึงมาประชมุ กันเพ่ือเลอื กหวั หนา้ ครัง้ นั้น สตั ว ์ ๔ เท้าได้
พากนั เลอื กราชสหี ์เป็นหวั หน้า สตั ว์น�า้ เลอื กปลาอานนเปน็ หัวหน้า สว่ น
สัตวป์ กี เลือกพญาสวุ รรณหงส์เป็นหวั หน้า ท�าหนา้ ที่ปกครองดแู ล บา� บัด
ทกุ ขบ์ �ารุงสขุ สตั วใ์ นสายพนั ธุข์ องตนตง้ั แต่นั้นมา

ในจา� นวนหวั หน้าสตั ว ์ ๓ ประเภทน้ัน พญาสวุ รรณหงส ์ ซงึ่ เปน็
หวั หนา้ ของสัตวป์ กี จัดเป็นหัวหนา้ สัตว์ทส่ี วยงาม เย้อื งกรายไปทศิ ทาง
ใดก็เชิดหน้าชูตาแก่สัตว์ปีกยิ่งกว่าหัวหน้าสัตว์ประเภทอ่ืน นอกจากตัว
เองจะสง่างาม มีเสน่ห์ดงึ ดดู ใหส้ ัตว์ท้ังหลายหันมามองแลว้ ลกู สาวของ
พญาสุวรรณหงส์นั้น ก็รูปงามยิ่งกว่าผู้เป็นบิดามารดาตนเสียอีก ด้วย
ความท่ีตัวเองและลูกสาวงามนัน้ เอง จึงท�าใหพ้ ญาสวุ รรณหงสม์ ชี ือ่ เสยี ง
และได้รับเกียรติจากสัตว์ท้ังหลายเพ่ิมเป็นทวีคูณ ใครๆ ก็อยากมาผูก
มิตร มีสัตว์ใหญ่น้อยแวะเวียนไปมาหาสู่มิได้ขาด พญาสุวรรณหงส์น้ัน
เลยี้ งดลู กู ดว้ ยความรกั และทะนถุ นอมตง้ั แตเ่ ลก็ จนโตเปน็ สาว โดยไมเ่ คย
ทุบตีหรอื พดู จาให้ระก�าช้า� ใจแมแ้ ต่นอ้ ย

วนั หนึง่ ได้กลา่ วกับลกู ว่า “ดกู ่อนแม่หน ู พอ่ ใหพ้ รแก่เจ้า ต่อแต่น้ี
เจ้าปรารถนาสิ่งใด จงขอส่ิงนัน้ ถ้าไมเ่ หลอื บา่ กวา่ แรงเจ้าจะได้ในส่ิงทีข่ อ
ทกุ ประการ”

ลูกสาวกล่าวว่า “ข้าแต่ท่านพ่อ ข้าขอบพระคุณในความเมตตาท่ี
ท่านให้ ข้าพเจา้ รับพรจากทา่ นแล้ว และจะขอเมื่อถงึ โอกาสอนั ควร”

พญาสวุ รรณหงสไ์ มไ่ ดว้ ติ กวา่ ลกู จะขอพรและรบั พรเมอื่ ใดดอก แต่
อยากทราบเพยี งวา่ ลูกจะขออะไร อยา่ งน้อยจะไดเ้ ตรยี มจดั การให้ หรอื

435


ถ้าเกินวสิ ัยทจี่ ะไดเ้ ตรยี มให้สง่ิ อน่ื ๆ แทน แตค่ รั้นจะ พญาสวุ รรณหงสจ์ งึ ตอบลกู สาววา่ “พอ่ รกั ษา
ถามลูกสาวตรงๆ ก็ไม่กล้า จึงได้แต่น่ิงเก็บความ สญั ญาทีใ่ ห้ไว ้ เจ้าได้รับพร คอื เลือกสามตี ามที่เจ้า
อยากรนู้ ไี้ ว ้ ทพี่ อจะสอบถามไดบ้ า้ งกค็ อื ภรรยาตนเอง ชอบตั้งแตบ่ ัดนีเ้ ปน็ ตน้ ไป ว่าแต่เจา้ จะให้พอ่ ชว่ ยท�า
อะไรบ้าง มไี หม?”
วันหน่งึ จึงถามวา่ “นอ้ งหญิง เธอคงทราบแล้ว
ว่าฉันให้พรแก่ลูกสาว แต่ไม่ทราบว่าเขาจะขออะไร ลูกสาวกล่าวว่า “ข้าแต่ท่านพ่อ เพ่ือให้ข้า
ตอนนจี้ งึ ยงั ไมส่ ามารถดา� เนนิ ได ้ เธอพอจะทราบไหม สามารถเลือกสามีได้ดีๆ เป็นที่ยอมรับของบิดา
ว่าลูกสาวจะขออะไรจากฉนั ” มารดาและญาติพ่นี อ้ ง ขอท่านจงให้ปา่ วประกาศทว่ั
ปา่ หมิ พานตว์ า่ ลกู สาวพญาสวุ รรณหงสจ์ ะเลอื กคใู่ น
นางหงส์ตอบว่า “ขา้ แตท่ า่ นพี่ ขา้ พเจา้ แมจ้ ะ วนั พรงุ่ น ี้ ขอใหบ้ รรดานกทง้ั หลายทสี่ นใจมาประชมุ
เปน็ มารดา แตเ่ รอ่ื งบางเรอื่ งของลกู กไ็ มท่ ราบเชน่ กนั กันที่ลานหินใหญ่ข้างหน้าต้นไม้ท่ีเราอาศัยอยู่ เมื่อ
และไมก่ ลา้ ทจี่ ะเขา้ ไปยงุ่ เกย่ี วกบั การตดั สนิ ใจของลกู บรรดานกทงั้ หลายมาพรอ้ มแลว้ ขา้ จะไดเ้ ลอื กคตู่ าม
ดว้ ย เหตนุ ั้น จึงไมร่ ูเ้ ช่นกันวา่ ลูกจะขอสงิ่ ใด” ท่ตี งั้ ใจไว”้

พญาสวุ รรณหงส ์ เมอื่ ไมท่ ราบวา่ ลกู จะขออะไร พญาสุวรรณหงส์ได้ยินลูกสาวบอก ก็โล่งใจ
ก็ได้แต่เก็บความอยากรู้นั้นต่อไปเรื่อยๆ ส�าหรับ ขน้ึ มาบา้ ง เพราะผทู้ ลี่ กู สาวจะเลอื กมาเปน็ สามหี รอื
ลูกสาวยังคงปฏบิ ตั ิตัวกบั บิดามารดาและบริวารตาม เป็นลูกเขยตนน้ัน เป็นสัตว์ในตระกูลสัตว์ปีกดุจ
ปกติ โดยไมม่ อี ะไรผิดสงั เกต เดยี วกนั ไมใ่ ชส่ ตั ว์บก สตั วน์ ้า� หรือครง่ึ บกคร่ึงนา�้
อย่างทีว่ ติ กไวแ้ ต่แรก จึงพอจะสบายใจขน้ึ มาหน่อย
จนกระทงั่ อยมู่ าวนั หนง่ึ ลกู สาวจงึ ไดก้ ลา่ วขน้ึ หนงึ่ แตก่ ย็ งั ไมค่ ลายวติ กกงั วลไปเสยี ทงั้ หมด เพราะ
ว่า “ข้าแต่ท่านพ่อ ตามที่ท่านให้พรแก่ข้าพเจ้านั้น ยังมสี ตั ว์ปกี บางประเภท ทน่ี กทง้ั หลายรังเกยี จ ไม่
บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ข้าพเจ้าขอรับพรจากท่าน พรนั้น อยากจะคบค้าสมาคมด้วย เชน่ นกกา ซึ่งมีขนสดี �า
คือขอท่านได้อนุญาตให้ข้าพเจ้าเป็นผู้เลือกสามีด้วย นิสัยไมด่ ี ชอบขโมยของผอู้ นื่ หรือนกเคา้ แมว ซึ่งมี
ตนเองตามใจชอบเถดิ ” ลูกนยั นต์ าโต น่ากลัว และหากนิ ไมเ่ หมอื นสัตวป์ ีก
อน่ื คอื หากนิ ในเวลากลางคนื ถา้ ลกู สาวเลอื กนก ๒
พญาสุวรรณหงสไ์ ด้ยนิ เชน่ น้ันก็ตกใจ เพราะ ชนดิ น ้ี ชนดิ ใดชนดิ หนงึ่ มาเปน็ สาม ี กโ็ ชครา้ ยอย ู่ จงึ
การท่ีลูกขอเลือกสามีตามใจชอบนั้น เป็นการเส่ียง ขออย่าใหล้ กู เลือกนกกาหรอื นกเคา้ แมวเลย
ต่อชื่อเสียงและสถานะของหัวหน้าสัตว์ปีกอย่างย่ิง
เนื่องจากลกู สาวอาจจะเลอื กใครมาเป็นสาม ี คอื อาจ เย็นวันน้ันเอง พญาสุวรรณหงส์ก็ให้ป่าว
เลือกสัตว์ปีกด้วยกันก็ได้ สัตว์บกก็ได้ สัตว์น�้าก็ได ้ ประกาศทวั่ ปา่ หมิ พานตว์ า่ “บรรดาสตั วป์ กี ทงั้ หลาย
หรือคร่ึงบกครึ่งน้�าก็ได้ท้ังนั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งวิตกกังวล บัดนี้ลูกสาวพญาสุวรรณหงส์ท่ีมีรูปงาม กิริยา
ใชแ่ ตเ่ ทา่ นนั้ ยงั วติ กถงึ นสิ ยั ใจคอของวา่ ทล่ี กู เขยดว้ ย มารยาทเรยี บรอ้ ย เปน็ ทหี่ มายปองของสตั วห์ นมุ่ ทงั้
เกรงจะเป็นสัตว์โหดร้าย เป็นพาลนิสัยเกเร หรือ หลายในป่าแห่งน ี้ ถงึ เวลาจะมีคคู่ รองแลว้ สัตวใ์ ดท่ี
สกปรกเปน็ ทเี่ กลยี ดชงั ของสตั วอ์ นื่ ๆ แตเ่ มอื่ รบั ปาก มีความสนใจในตัวลูกสาวของพญาสุวรรณหงส ์
จะให้พรไปแลว้ กต็ ้องยอมรับในสง่ิ ที่จะเกิดขน้ึ ไมว่ า่
จะดหี รอื ร้าย

436


ผสู้ วยงาม ขอใหม้ าประชมุ กนั ณ ลานหิน หน้าตน้ ไมท้ ่ีอย่ขู องพญาสุวรรณหงส ์
ในวนั พรงุ่ น้เี ถดิ ลูกสาวพญาสุวรรณหงส์จะเปน็ ผ้เู ลอื กสามดี ้วยตนเอง”

บรรดานกทงั้ หลายทวั่ ปา่ หมิ พานต ์ ตา่ งรบั ทราบประกาศนอ้ี ยา่ งรวดเรว็ และ
เตรียมพรอ้ มท่จี ะมาประชมุ ในวนั พรุง่ น ี้ ตามประกาศดงั กลา่ ว เวน้ นกเล็กนกนอ้ ย
และนกทมี่ คี รอบครวั แลว้ ซง่ึ ถอื วา่ ขาดคณุ สมบตั ิ นกนอกนน้ั ทเี่ ปน็ โสดทกุ ประเภท
ไม่ว่าแกห่ รือหนุม่ ตา่ งรอคอยทีจ่ ะมาในวนั พรงุ่ นี้ทงั้ ส้นิ

เช้าวันรุ่งขนึ้ ณ ลานหนิ ดังกล่าว นกท้งั หลายต่างมาประชุมแต่เชา้ แต่ละตวั
ไดท้ า� ความสะอาดรา่ งกาย ทา� ความสะอาดขนใหด้ ดู เี ปน็ พเิ ศษ อกี ทงั้ วางมาดใหเ้ ปน็
ทตี่ อ้ งใจลกู สาวพญาสุวรรณหงสน์ ้นั อยา่ งเตม็ ความสามารถ และรอคอยการเลอื ก
คดู่ ้วยความต่ืนเต้นท่ีสดุ เม่ือไดเ้ วลา ลูกสาวพญาสวุ รรณหงสก์ ป็ รากฏกายขึน้ เธอ
สอดสายตาเลอื กคชู่ วี ติ ดว้ ยความใจเยน็ ใชเ้ วลาไมน่ านนกั กเ็ ลอื กคไู่ ดส้ ตั วป์ กี ทโ่ี ชค
ดีท่ีสุดในวันนี้ก็คือนกยูง ซ่ึงก็เหมาะสมกันดี นกยูงตัวนั้นเป็นนกยูงหนุ่มท่ีมีคอ
สวยงามดงั แก้วมณี มีหางยาวเปน็ ช่อช้นั วจิ ิตรตระการตา เมือ่ เลือกได้แล้วจงึ บอก
แก่พญาสวุ รรณหงสว์ า่ “ขา้ แต่ท่านพ่อ ข้าเลือกนกยูงตวั นั้น นกยูงตวั นน้ั จะเปน็ คู่
ชวี ติ ของข้า”

พญาสวุ รรณหงสเ์ หน็ หนว่ ยกา้ นของนกยงู หนมุ่ นน้ั แลว้ กส็ บายใจ จงึ ประกาศ
แก่นกทัง้ หลายวา่ “ดูก่อนนกทงั้ หลาย บดั น้ีลกู สาวของขา้ พเจา้ ได้เลือกคู่ครองแลว้
เขาคอื นกยงู ตวั นน้ั ทม่ี คี อสวยงามดงั แกว้ มณ ี มหี างยาวเปน็ ชอ่ ชนั้ วจิ ติ รตระการตา
ขอนกอนื่ ๆ ทงั้ หมดรบั ทราบและยนิ ดโี ดยทวั่ กนั เถดิ ” จากนนั้ ไดห้ นั มากลา่ วกบั นก
ยูงหนุ่มผู้โชคดีน้ันว่า “ดูก่อนนกยูงผู้สหาย ลูกสาวของเราเมื่อจะเลือกสามีใน
ทา่ มกลางทป่ี ระชมุ นกน ้ี ไดเ้ ลอื กทา่ นเปน็ สามดี ว้ ยความรกั ความชอบในตวั ทา่ น นบั
เป็นโชควาสนาของท่านโดยแท้ ต่อแต่น้ีขอท่านจงดูแลและให้เกียรติลูกสาวเราให้
มาก หรือให้เทา่ กบั ท่เี ราปฏบิ ตั ิดูแลนางมา”

นกยงู หนมุ่ ผ้โู ชคดนี ั้นรบั ค�าพญาสุวรรณหงสด์ ว้ ยความปล้ืมใจ จากนั้นกม็ อง
ดูนกท้ังหลายที่ก�าลังจ้องมาทางตัวอยู่ ก็รู้สึกว่าบรรดานกเหล่าน้ัน มีบางตัวไม่
ยอมรับกับการเลือกคู่คร้ังนี้ บางตัวคงจะรู้สึกว่าไม่เหมาะสม ไม่คู่ควรกันเป็นต้น
มันเลยคดิ ว่า “นกทัง้ หลายนนั้ ไม่รูจ้ กั ตนเองดพี อ เห็นทีจะตอ้ งแสดงความสามารถ
ใหป้ รากฏ” พอคดิ ดงั นน้ั นกยงู หนมุ่ กเ็ รมิ่ เหยยี ดปกี ทงั้ สองขา้ งออก แลว้ รา� แพนให้
นกทั้งหลายดคู วามยงิ่ ใหญข่ องตัวเอง เปน็ การเหยียดปกี ออกอย่างเตม็ ท ่ี ออกแรง
รา� แพนจนสดุ กา� ลงั จนทา� ใหอ้ วยั วะบางอยา่ งทค่ี วรปกปดิ มดิ ชดิ เกดิ โผลอ่ อกมา เชน่
รทู วารหนัก และบรเิ วณเน้ือที่ไม่มขี นปกปดิ กป็ รากฏชัดเจนเปน็ ต้น โดยท่ีนกยูง

437


หนมุ่ มไิ ดส้ งั หรณใ์ จเลยวา่ การทา� เชน่ นน้ั เปน็ ทล่ี ะอายใจแกพ่ ญาสวุ รรณหงสแ์ ละ
ลกู สาวอย่างยง่ิ เพราะเปน็ มารยาททไ่ี มง่ าม อกี ทงั้ เปน็ ตวั ตลกในสายตาของนก
ท้งั หลายดว้ ย

พญาสุวรรณหงส์เมื่อเห็นเช่นน้ันก็คิดว่า “นกยูงตัวน้ีไม่มีหิริ คือความ
ละอายแกใ่ จ อนั มีสมุฏฐานตงั้ ขึน้ ภายในเลย โอตตปั ปะ คอื ความเกรงกลัวตอ่
บาป อนั มีสมุฏฐานต้งั ข้นึ ในภายนอกจะมีได้อยา่ งไร เราจักไมย่ อมยกลูกสาวไป
เป็นภรรยาแกน่ กยูงน้ี ผปู้ ราศจากหิริและโอตตปั ปะเป็นอันขาด”

จากนั้นจึงกล่าวกับนกยูงหนุ่มว่า “ดูก่อนนกยูงผู้สหาย เสียงของท่านก็
ไพเราะเพราะพร้ิง หลังของทา่ นกส็ วยสดงดงาม สรอ้ ยคอของท่านก็เปรียบดงั สี
แก้วไพฑูรย ์ และหางของท่านก็ยาวต้ังวา แตเ่ ราคงจะยกลูกสาวของเราแกท่ ่าน
ไม่ได้ เพราะการเหยียดปกี รา� แพนหางเต็มความสามารถในท่ปี ระชุมเชน่ น้ี จน
อวยั วะน่ารังเกยี จปรากฏออกมาน้นั เปน็ มารยาททไี่ ม่งามเลย”

นกยูงหนุ่มเม่ือได้ยินค�าพูดของพญาสุวรรณหงส์ ก็รู้ว่าตัวเองท�าพลาดท่ี
เหยยี ดปีกและร�าแพนหางในที่ประชมุ ร้สู กึ ละอายใจอย่างท่ีสุด จึงบนิ หนจี ากท่ี
น้ันไปโดยไม่เหลียวหลังเลย ส่วนพญาสุวรรณหงส์ก็พาลูกสาวกลับรังของตน
ส�าหรับนกอ่ืนๆ ท่ีมาประชุมกันท่ัวบริเวณนั้นก็พากันบินกลับไปสู่ท่ีที่ตนบินมา
แลว้ เชน่ กัน บรรยากาศทอี่ ึกทึกครกึ โครมกส็ งบลงเข้าส่สู ภาวะปกตทิ นั ที

ชาดกเรอื่ งนม้ี คี ตสิ อนใจวา่ ความละอายแกใ่ จซง่ึ เรยี กวา่ หริ ิ และความ
เกรงกลวั ตอ่ บาปซง่ึ เรยี กวา่ โอตตปั ปะนนั้ เปน็ ธรรมะประกนั ความสงบรม่ เยน็
ของสังคมได้ ทา่ นจึงเรียกว่า โลกปาลธรรม คือ ธรรมค้มุ ครองโลก ไดแ้ ก่ปก
ปักรักษาให้สัตว์โลกใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างปกติสุข ไม่รังแกและเบียดเบียน
กัน บางครง้ั บางคราวแมม้ ีโอกาสจะรงั แกและท�าร้ายได้ ก็ไมท่ า� มีโอกาสจะ
หยิบฉวยของคนอ่นื ได้ ก็ไมห่ ยบิ ฉวย มโี อกาสจะล่วงเกินคู่ของคนอนื่ ได้ กไ็ ม่
ละเมดิ มีโอกาสจะไดป้ ระโยชนจ์ ากการพดู เทจ็ กไ็ มท่ �า และมีโอกาสจะเสพ
ของมนึ เมาหรอื ค้าขายไดก้ �าไรสูง ก็ไม่ประพฤติ เปน็ ตน้

สถานการณ์เดียวกันนี้ หากเกิดกับคนที่ขาดหิริและโอตตัปปะแล้ว ก็
จะทา� ให้เขาลว่ งละเมิดชวี ิต และทรพั ยส์ ินของผูอ้ ่ืนเป็นต้นได้โดยงา่ ย เพราะ
ไม่มอี ะไรเป็นพืน้ ฐานช่วยยับยง้ั ชัง่ ใจใหเ้ ขาเลย ดังนั้น หากหวังความสงบสุข
ที่ย่ังยืนถาวร ทุกคนจึงควรช่วยกันปลูกฝังโลกปาลธรรมดังกล่าว ให้เกิดข้ึน
ในใจอย่างตอ่ เนอ่ื งและตลอดไปเถดิ

(นัจจชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก เอกนบิ าต เล่ม ๒๘ หนา้ ๓๖๓)

438


439


ยุงเป็นเหตุ

“ศตั รูทมี่ ีปญั ญา ยังดกี วา่ มิตรทไี่ รป้ ญั ญา”

ในอดตี กาล คร้ังพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบตั ิอย่ใู นกรุงพาราณส ี
คร้ังน้ัน ที่หมู่บ้านชายแดนแห่งหน่ึงในแคว้นกาสี ชาวบ้านจ�านวนมากได้
ประกอบอาชีพชา่ งไม้ ทา� เตยี ง ตงั่ ประตู ฝาเรือน และงานฝมี ือทกุ ชนดิ

วนั หนึง่ ขณะทีช่ ่างไม้หัวล้านคนหนง่ึ กา� ลงั ตากไม้ใหแ้ ห้ง เพอ่ื จะนา� ไป
ท�างานช่างให้ได้คุณภาพดีเป็นท่ีต้องการของลูกค้าตามท่ีตกลงกันไว้ ยุงตัว
หนึ่งก็บินมาจับท่ีศีรษะของเขาแล้วกัดศีรษะด้วยจะงอยปากเพ่ือจะดูดเลือด
กิน ชา่ งไมร้ ูส้ ึกเจ็บปวดและรา� คาญยงุ ตัวน้ันอยา่ งยงิ่ จึงบอกลกู ชายทีน่ งั่ อยู่
ใกล้ ๆ ว่า “ไอห้ น ู ยุงมันกดั ศรี ษะพอ่ เจบ็ เหมอื นถูกแทงดว้ ยหอก จงฆา่ มัน
เสีย”

ลูกตอบว่า “พอ่ จงอย่นู ง่ิ ๆ ฉนั จะฆ่ามันดว้ ยการตบครง้ั เดียวเท่านนั้ ”
พูดเสรจ็ ลูกชายชา่ งไมก้ ห็ าอปุ กรณ์ท่ีจะฆา่ ยุงตวั นั้น เหลอื บไปเห็นขวานเลม่
ใหญท่ พ่ี อ่ วางไวใ้ กล ้ ๆ จงึ หยบิ ขวานเลม่ นน้ั ขน้ึ แลว้ ยนื อยขู่ า้ งหลงั พอ่ เงอื้ ขวาน
ขึ้นสุดแขนทั้งสองแล้วก็ฟันลงไปเต็มที่บนศีรษะพ่อ ด้วยต้ังใจว่าจักฆ่ายุงให้
ตาย แตย่ งุ ไดบ้ นิ หนไี ปแลว้ ขวานจงึ กระทบกลางศรี ษะพอ่ ตนเองอยา่ งจงั จน
ศรี ษะแยกออกเปน็ สองซีก ทา� ใหช้ า่ งไม้ถึงแกค่ วามตายในทีน่ ้นั เอง

บตุ รของชา่ งไมเ้ มอ่ื เหน็ เหตกุ ารณเ์ ชน่ นนั้ กต็ กใจกลวั ตวั สนั่ จงึ สง่ เสยี ง
ร้องออกมาด้วยความเสียใจท่เี ป็นเหตใุ หพ้ อ่ ตาย สว่ นบรรดาช่างไม้ท้งั หลาย
ที่ทราบเร่ือง ก็พากันมาแสดงความเสียใจกับครอบครัวช่างไม้นั้น บางคน
กล่าววา่ “ช่างไมต้ ายด้วยเหตุอนั ไมส่ มควร บุตรช่างไมไ้ มม่ ปี ญั ญาในการฆ่า
ยุง จึงท�าเหตเุ ชน่ นข้ี ึ้น”

บางคนก็กล่าวว่า “บุตรช่างไม้ท�ากรรมน้ีหามีเจตนาไม่ การตายของ
ช่างไมเ้ ปน็ กรรมของเขาเอง”

ในเวลานนั้ พระโพธสิ ตั วซ์ ง่ึ มอี าชพี เปน็ พอ่ คา้ ไดผ้ า่ นมาเหน็ เหตกุ ารณ์

440


น้ัน จงึ คิดวา่ “คนท่ีเปน็ ปจั จามติ รคือศตั รกู ัน แต่ พอ่ คา้ โพธิสตั ว์กล่าววา่ “ชือ่ วา่ การฆา่ ทกุ ชนิด
เป็นบัณฑิตคือรู้จักดีชั่วยังดีกว่า เพราะคนเป็น ล้วนผดิ ศลี ท้ังน้ัน ไม่ว่าจะเปน็ สตั ว์เลก็ สัตว์น้อย หรอื
ปจั จามติ รนนั้ ยงั เกรงกลวั อาญาแผน่ ดนิ ไมถ่ งึ กบั ฆา่ สัตว์ใหญ่โตเพียงใด ไม่ว่าจะฆ่าด้วยเหตุใด ล้วนผิด
มนษุ ย์ได”้ จากน้ันไดก้ ลา่ วกะคนเหล่านั้นว่า “ท่าน ทง้ั หมด ไมม่ กี ารยกเวน้ สว่ นจะบาปนอ้ ยบาปมากนนั้
ท้ังหลาย การตายเป็นธรรมดาของชีวิต ไม่มีใคร เป็นอีกกรณีหนึ่ง ถ้าฆา่ สัตว์น้อยทไ่ี มม่ ีคุณ เชน่ ยุง
อยากประสบพบเจอ แตต่ อ้ งเจอด้วยกันทกุ คน จะ มด เปน็ ตน้ ก็บาปนอ้ ย แต่ถา้ ฆ่าสัตว์ใหญ่ ๆ ท่ีมคี ณุ
เรว็ หรือชา้ เทา่ น้นั ช่างไมไ้ ด้ตายไปแล้ว ขอท่านทัง้ กบ็ าปมาก สว่ นการฆา่ ที่เปน็ บุญมีอยา่ งเดยี วเท่านั้น
หลายจงตั้งสติ อย่าเศร้าโศกเสียใจกับสิ่งท่ีเกิดขึ้น คือฆ่าความโกรธของตนเอง ขอท่านทั้งหลายจงอย่า
แตจ่ งใชส้ ง่ิ ทเ่ี กดิ ขนึ้ นเ้ี ตอื นตนใหด้ า� รงอยดู่ ว้ ยความ ประมาท”
ไม่ประมาทเถดิ ”
เมื่อพอ่ ค้าโพธสิ ัตวก์ ล่าวอย่างนี้ บุตรชา่ งไม้จึง
หลงั จากพธิ ศี พของชา่ งไมผ้ า่ นไปแลว้ ชา่ งไม้ กลา่ ววา่ “ขา้ แตท่ า่ นบณั ฑติ ขา้ พเจา้ เปน็ เดก็ มปี ญั ญา
ทั้งหลายก็ปรึกษาหารือกันถึงวิธีการก�าจัดยุงท่ีถูก น้อย คิดกระท�าสิ่งใดไม่รอบคอบ รู้เท่าไม่ถึงการณ์
ต้อง แล้วอบรมส่ังสอนบุตรธิดาให้ปฏิบัติตามนั้น ขอท่านจงบอกวธิ ดี า� เนินชีวติ แกข่ า้ พเจา้ ด้วยเถดิ ”
เพ่ือมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นน้ีข้ึนอีก โดยมิได้มีการ
ลงโทษบุตรของช่างไม้ เพราะการกระท�าโดยรู้เท่า พ่อค้าโพธิสัตว์กล่าวว่า “ดูก่อนเด็กน้อย
ไมถ่ งึ การณ์ ธรรมดาเด็กมีปกติเป็นกันอย่างนั้น เด็กจึงต้องมี
ผู้ใหญ่ปกครอง แนะน�าพร่�าสอนให้รู้จักการด�าเนิน
วนั หนงึ่ ชา่ งไมค้ นหนงึ่ ไดถ้ ามพอ่ คา้ โพธสิ ตั ว์ ชวี ิต เมอ่ื ใครหวงั ดีแนะนา� แล้ว ควรรบั ฟังและนา� ไป
โดยปรารภเหตทุ เี่ กดิ ขนึ้ วา่ “ขา้ แตบ่ ณั ฑติ การตาย ปฏิบตั ิตาม จงึ จะเจริญรุง่ เรืองอยา่ งแท้จรงิ เดก็ ควรรู้
ของชา่ งไมเ้ ปน็ การตายทไ่ี มส่ มควร จะเปน็ กรรมแก่ ดี สามารถดี และประพฤตดิ ี เพราะทง้ั ๓ ประการ
ผกู้ ระท�าหรอื ไม่หนอ?” น ี้ เปน็ สงิ่ สา� คญั ตอ่ การดา� เนนิ ชวี ติ กรณที เ่ี กดิ ขนึ้ ขอ
ใหเ้ ปน็ อทุ าหรณส์ อนใจตนเอง อยา่ ทา� อะไรดว้ ยความ
พ่อค้าโพธิสัตว์กล่าวว่า “บุตรของช่างไม้ยัง ประมาท และขอให้ระลึกเสมอว่า “ศัตรูผู้มีความรู้
เป็นเด็ก ไม่มีปัญญาแก้ปัญหาเหมือนผู้ใหญ่ เขา ประเสริฐกว่า มิตรผู้ปราศจากความรู้ไม่ประเสริฐ
ตั้งใจจะฆ่ายุงท่ีจับบนศีรษะบิดา จึงใช้ขวานจาม เลย”
ลงไป เปน็ เหตุใหบ้ ิดาตาย การกระท�าของเขาหามี
เจตนาฆ่าบิดาแต่อย่างใดไม่ ฉะนั้น จึงไม่เป็น บุตรชายช่างไม้ถามต่อว่า “ข้าแต่ท่านบัณฑิต
บาปกรรมในข้อน้ี แต่ถึงไม่เป็นบาปกรรม เพราะ คา� ว่า “ศัตรูผมู้ ีความรูป้ ระเสรฐิ กวา่ มติ รผปู้ ราศจาก
ไม่มีเจตนา การกระทา� ของเขากไ็ ม่ถูกต้อง บัณฑิต ความรไู้ มป่ ระเสรฐิ เลย” นั้น ขา้ พเจา้ ไมท่ ราบความ
ทง้ั หลายไมส่ รรเสรญิ เพราะเปน็ การกระทา� ของคน หมาย ขอท่านจงขยายความด้วยเถดิ ”
เขลา ไมม่ ีวิจารณญาณ ท�าให้เกิดความเดอื ดรอ้ น
เสียหายแก่คนอน่ื ได”้ พอ่ คา้ โพธิสตั วก์ ลา่ วว่า “ดกู ่อนเดก็ น้อย ค�าวา่
ศตั รผู มู้ คี วามรปู้ ระเสรฐิ กวา่ หมายความวา่ คนทเี่ ปน็
ช่างไม้ถามอีกวา่ “ขา้ แตบ่ ัณฑิต การฆ่าสตั ว์ ศตั รตู อ่ กนั นนั้ เวลาจะประกอบพฤตกิ รรมทา� ชวั่ อะไร
เลก็ ๆ นอ้ ยๆ เชน่ ฆา่ ยุง ฆา่ มด เปน็ ต้น จะเปน็ เขาก็ยงั กลัวอาญาแผ่นดนิ อยูบ่ ้าง เพราะเขามีความรู้
บาปหรอื ไม่ประการใด” วา่ อะไรผิดอะไรถูก สว่ นมิตรผปู้ ราศจากความรไู้ ม่

441


ประเสริฐเลยน้นั หมายความว่า คนที่รักใครช่ อบพอกัน ประกอบกิจการงาน
ด้วยกัน แต่ไม่มีความรู้ในกิจที่ท�า ค�าท่ีพูด ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดน้ัน คน
ประเภทนี้อันตราย เพราะอาจท�าอะไรเสียหายได้มากกว่าคนประเภทแรก
เนือ่ งจากความไม่รู้ หรือรู้เทา่ ไมถ่ ึงการณแ์ ลว้ ขนื ทา� นัน่ เอง”

พ่อคา้ โพธสิ ัตวค์ รั้นตอบค�าถามเสร็จแล้ว กข็ อตัวไปแสวงหาสนิ คา้ ทีย่ งั
ขาดอย ู่ คร้นั ไดส้ นิ ค้าตามต้องการแล้วก็ออกเดนิ ทางไปที่อ่นื ตอ่ ไป

ข้อคิดจากชาดกเรื่องนี้คือ คนที่ท�าอะไรไม่ผิดหรือผิดน้อย หรือท�า
อะไรประสบความส�าเร็จน้นั เป็นเพราะเขามคี ณุ สมบตั ิหลายประการ หนึ่ง
ในน้ัน คือมีความรู้ความเข้าใจในส่ิงทที่ �านั้นเป็นส�าคัญ แต่ถ้าเร่ืองน้ันเขา
ไม่ร้มู าก่อนเขาก็ตอ้ งสอบถามผทู้ ีร่ ู้ เมื่อแนใ่ จแล้วจงึ ลงมือปฏบิ ัติ ความผดิ
พลาดจึงจะไม่เกิดข้ึน

ในทางศาสนา ท่านสรรเสริญปัญญาคือความรู้ไว้หลายอย่าง เช่น
กลา่ วว่า ปญั ญาเป็นแสงสวา่ งในโลก (ปญญฺ า โลกสมฺ ิ ปชฺโชโต) ความได้
ปัญญาให้เกิดสุข (สุโข ปญฺญาปฏิลาโภ) ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน
(ปญญฺ า นราน� รตน�) เปน็ ตน้ ในขณะเดยี วกนั กต็ �าหนิคนทท่ี �าอะไรโดย
ขาดปญั ญาไวห้ ลายประการเชน่ กัน ดงั เช่นในชาดกเร่อื งนี้ กต็ �าหนคิ นไมม่ ี
ปญั ญาอยา่ งชัดเจน ดงั ในข้อความน้วี า่ “มีศตั รผู ปู้ ระกอบด้วยปญั ญายงั ดี
กวา่ มิตรผูไ้ มม่ ปี ัญญาจะดอี ะไร” เพราะปญั ญายังท�าใหศ้ ัตรูรู้ได้วา่ อะไร
ผดิ อะไรถกู อะไรมโี ทษ อะไรไมม่ โี ทษ สว่ นคนไมม่ ปี ญั ญา จะไมร่ ไู้ มเ่ ขา้ ใจ
อะไรเลย จึงท�าอะไรเหมือนคนตาบอด ฉะนั้น จึงหาทางเจริญได้ยาก
อยา่ งไรกต็ ามการทท่ี า่ นแสดงอยา่ งน้ี กห็ าใชท่ า่ นตอ้ งการใหค้ นเปน็ ศตั รตู อ่
กันไม่ กลา่ วไวเ้ พื่อยกยอ่ งปญั ญาเทา่ นน้ั สว่ นมติ รกม็ สี ว่ นดีในด้านอน่ื ๆ
อีกมาก โดยเฉพาะกัลยาณมิตรแล้วดีกับชีวิตของคนทกุ คน ถงึ ไม่มีปัญญา
กต็ าม ดงั นนั้ ผูฉ้ ลาดจึงควรใช้ปญั ญาท่ีธรรมชาตใิ หม้ านน้ั แหละพิจารณา
ใหเ้ ขา้ ใจรอบดา้ นถอ่ งแท้ จงึ จะด�าเนนิ ชวี ิตท่ีถกู ต้องได้

(มกสชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย
ชาดก เอกนบิ าต เลม่ ๒๙ หน้า ๒๒)

442


443


เพลงขบั พระราชา

“กรรมย่อมจ�าแนกสัตว์ใหท้ รามและประณตี ”

ในอดตี กาล พระเจา้ อวนั ตมี หาราช เสวยราชสมบตั ใิ นกรงุ อชุ เชน ี แควน้
อวนั ตี ในกาลน้นั พระโพธสิ ัตว์บงั เกิดในตระกูลคนจัณฑาล นอกกรงุ อุชเชน ี
มเี ดก็ จณั ฑาลซงึ่ เปน็ ญาตขิ องจณั ฑาลโพธสิ ตั วเ์ กดิ ดว้ ยอกี คนหนง่ึ ในเวลาไลเ่ ลยี่
กัน จัณฑาลโพธิสัตวน์ ้ันมชี ือ่ ว่า จติ ตกมุ าร สว่ นญาติมีช่อื วา่ สมั ภตู กมุ าร ทงั้
สองคนเตบิ โตมาด้วยกัน พอเข้าสวู่ ยั เรียนก็เขา้ เรยี นศลิ ปศาสตรช์ ่ือ จณั ฑาล
วงั สโธวนะ ด้วยกัน

วันหน่ึง ชักชวนกันไปแสดงศิลปศาสตร์ที่ใกล้ประตูพระนครอุชเชน ี
ระหวา่ งนนั้ มหี ญงิ วรรณะสงู ๒ คน คนหนง่ึ เปน็ ธดิ าเศรษฐ ี อกี คนเปน็ ธดิ าของ
ปุโรหิตาจารย์ นางทั้งสองได้ให้บริวารน�าของขบเคี้ยวและของบริโภคเป็นต้น
จะไปเที่ยวเล่นกันในอุทยาน พอเดินมาพบจัณฑาลสองคนก็ไม่พอใจ รีบเอา
นา�้ หอมลา้ งตา จากนน้ั กก็ ลบั บา้ น เปน็ เหตใุ หบ้ รวิ ารโกรธแคน้ ทที่ า� ใหไ้ มไ่ ดก้ นิ
ของฟร ี ไมไ่ ดด้ มื่ สุรา จึงพากนั ทา� ร้ายจณั ฑาลท้งั สองจนสลบ

จัณฑาลทงั้ สอง เมอื่ ฟื้นสติแลว้ ก็หารือกันว่า “พวกเราถูกกระทา� เช่นน้ี
เพราะชาตกิ า� เนดิ แทๆ้ ตอ่ ไปนจ้ี กั ทา� อยา่ งไรกนั ดหี นอ” จงึ ตกลงกนั วา่ จกั ปกปดิ
ชาติก�าเนิดตนเอง แล้วปลอมตัวเป็นมาณพไปสู่เมืองตักกศิลา เล่าเรียน
ศิลปวทิ ยากัน เมื่อทุกอยา่ งพรอ้ มจึงเดนิ ทางไปสู่พระนครตักกศลิ านัน้ สมคั ร
เปน็ ธมั มันเตวาสกิ เรม่ิ เรยี นศิลปศาสตรจ์ ากอาจารยท์ ศิ าปาโมกข ์

อยมู่ าวนั หนงึ่ พราหมณช์ าวบา้ นคนหนงึ่ มาเชญิ อาจารยท์ ศิ าปาโมกขไ์ ป
สวดในพธิ ีมงคล อาจารยท์ ศิ าปาโมกข์รับปากแลว้ แต่เกิดฝนตกเออ่ ล้นซอก
มุมในหนทาง ไม่สามารถไปได ้ จงึ เรยี ก จิตตกมุ ารมาบอกว่า “พ่อมหาจ�าเรญิ
เราไมส่ ามารถจะไปสวดได้ เธอจงไปสวดมงคลกถาพรอ้ มดว้ ยมาณพทงั้ หลาย
บริโภคอาหารสว่ นท่ีพวกเธอไดร้ ับ แลว้ น�าอาหารสว่ นทีเ่ ราไดม้ าให้ด้วย”

จติ ตกมุ ารรบั คา� อาจารย ์ แลว้ พาศษิ ยร์ ว่ มสา� นกั ทงั้ หลายไปสวด ระหวา่ ง

444


นน้ั แมค่ รวั ไดค้ ดขา้ วปายาสทรี่ อ้ นๆ แลว้ ตงั้ ไว ้ กะวา่ ผลเป็นไม่ม ี เราไดเ้ ห็นตัวของเราผู้ชอื่ ว่า สัมภูตะ มี

พอสวดเสร็จ ขา้ วกจ็ ะเยน็ พอดี แตว่ า่ เมอื่ ข้าวปายาส อานุภาพมาก อนั บังเกดิ ขึ้นดว้ ยผลบญุ เพราะกรรม

ยังไม่ทันเย็น มาณพท้ังหลายก็สวดจบแล้ว คนทั้ง ของตนเอง กรรมทกุ อยา่ งท่ีนรชนสงั่ สมไว้แลว้ ยอ่ ม

หลายจงึ ยกสา� รบั มาตง้ั ไวข้ า้ งหนา้ ของมาณพเหลา่ นนั้ มผี ลเสมอไป ขึ้นช่ือวา่ กรรม แมจ้ ะเล็กนอ้ ย ทจ่ี ะไม่

ในบรรดามาณพเหลา่ นนั้ สมั ภตู กมุ ารนบั เปน็ ใหผ้ ล เปน็ ไมม่ ี มโนรถของเราสา� เร็จแล้ว แม้ฉนั ใด

คนที่ค่อนข้างจะละโมบในอาหาร พอเห็นเขาวาง มโนรถแมข้ องจติ ตกมุ ารพระเชษฐาของเรา กค็ งสา� เรจ็

อาหารข้างหน้าเท่านั้น ก็รีบตักข้าวปายาสใส่ปาก แลว้ ฉนั น้นั กระมงั หนอ”

ทนั ท ี กอ้ นขา้ วปายาสซง่ึ รอ้ นระอเุ หมอื นเหลก็ แดงจงึ เพลงขับดังกล่าวนี้เป็นเพลงที่ประชาชนน�าไป

ลวกปากของเขา เขาสะบัดหนา้ สัน่ ไปทง้ั ร่าง คุมสติ รอ้ งตอ่ ๆ กนั จนรอ้ งกนั ไดเ้ กอื บทกุ คน ฝา่ ยจติ ตกมุ าร

ไม่อยู่ มองดูหน้าจิตตกุมาร เผลอกล่าวเป็นภาษา ดาบสไดใ้ ครค่ รวญดชู วี ติ ของสมั ภตู ราชา กท็ ราบวา่ ได้

จัณฑาลไปวา่ “ขลุ ขล”ุ ข้ึนครองราชย์แล้ว จึงมาที่อุทยานของสัมภูตราชนั้น

ฝา่ ยจติ ตกมุ ารก็คุมสตไิ มไ่ ดเ้ หมือนกนั จึงสง่ ได้ยินเสียงเด็กร้องเพลงขับดังกล่าว จึงเรียกเด็กนั้น

ภาษาจัณฑาลตอบไปวา่ “นคิ คละ นิคคละ” มาณพ มาถามว่า “ตั้งแต่เช้ามา เจ้าขับเพลงขับบทเดียวนี้

ทง้ั หลายหนั มามองหนา้ กนั แลว้ กลา่ วเกอื บจะพรอ้ ม เทา่ น้ัน ไมร่ จู้ ักเพลงอยา่ งอ่นื บา้ งเลยหรือ?”

กันวา่ “นี้ภาษาอะไรกนั ?” หลังจากจิตตกุมารกลา่ ว เด็กตอบว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้ารู้

มงคลกถาอนุโมทนาแล้ว มาณพทั้งหลายก็ออกไป บทเพลงแมอ้ ยา่ งอนื่ เปน็ อนั มาก แตบ่ ทเพลงนเ้ี ปน็ บท

ภายนอก นง่ั วพิ ากษ์วิจารณ์ถงึ เรอ่ื งที่เกดิ ข้นึ พอรูว้ ่า ที่พระราชาทรงโปรดปราน เพราะฉะน้นั ข้าพเจ้าจงึ

เปน็ ภาษาจณั ฑาล จึงดา่ มาณพทั้งสองวา่ “เฮ้ย! ไอ้ ขับร้องเฉพาะเพลงบทนเี้ ท่าน้ัน”

คนจัณฑาลชาติชั่ว พวกเจ้าหลอกว่าเป็นพราหมณ์ จติ ตกมุ ารดาบสถามตอ่ ไปวา่ “กม็ ใี ครๆ ขบั รอ้ ง

ตลอดเวลาถึงเพียงน้ีเชียวหรือ?” จากน้ันก็พาชกตี เพลงขบั ตอบบทพระราชนพิ นธบ์ ้างหรือไม่?

จณั ฑาลสองคนดว้ ยความโกรธแคน้ และกลบั มาแจง้ เดก็ ตอบว่า “ไม่มีเลย ขอรับ”

เรื่องที่มาณพทั้งสองเป็นจัณฑาลให้อาจารย์ทิศา จิตตกุมารดาบสจึงกล่าวว่า “ก็เจ้าเล่า จัก

ปาโมกข์ทราบ เพ่ือขบั ไม่ใหอ้ ยใู่ นสา� นักต่อไป สามารถเพื่อจะขับบทเพลงตอบอยหู่ รือ?”

ฝา่ ยมาณพจณั ฑาลทง้ั สอง หลงั จากเกดิ เหตกุ ็ เดก็ ตอบวา่ “เมอื่ กระผมร ู้ กจ็ กั สามารถขอรบั ”

พากันหนีเข้าป่าบวชเป็นฤาษีตลอดชีวิต พวกเขา จิตตกุมารดาบสจึงกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น เมื่อ

ผูกพันเกิดตายร่วมกันต่อมาอีกสองสามชาติ มาใน พระราชาทรงขบั บทเพลงพระราชนพิ นธแ์ ลว้ เจา้ จงขบั

ชาตนิ ้ี จติ ตกมุ ารเกดิ เปน็ บตุ รของปโุ รหติ ในพระนคร บทเพลงตอ่ ไปนี้ตอบเถิด”

โกสัมพ ี ส่วนสมั ภตู กุมารไปเกิดเปน็ โอรสของพระ จากน้ันก็สอนเพลงขับให้เด็ก พร้อมกับส่ังว่า

เจ้าอตุ ตรปญั จาลราช ในเวลาทีม่ อี ายุได้ ๑๖ ป ี จิตต “เจ้าไปขับร้องในส�านักของพระราชา พระราชาทรง

กุมารได้ออกบวชเป็นฤาษี อาศัยอยู่ท่ีป่าหิมพานต์ ชอบ จกั พระราชทานยศยงิ่ ใหญแ่ ก่เจา้ ”

ฝา่ ยสัมภตู ราชกุมารเมื่อพระชนก สวรรคตแลว้ ได้ เดก็ นน้ั ไปถงึ สา� นกั พระราชาแลว้ เมอื่ พระราชา

ข้ึนครองราชแทน ในวันฉัตรมงคลได้ตรัสเพลงขับ ทรงขบั เพลงพระราชนิพนธข์ องพระองค์แลว้ จงึ ขอ

ความวา่ “กรรมทกุ อยา่ งทนี่ รชนส่ังสมไว้แล้ว ยอ่ มมี พระราชานญุ าตขบั เพลงตอบ ความวา่ “ขา้ แตพ่ ระองค์

ผลเสมอไป ข้นึ ชอ่ื ว่ากรรม แมจ้ ะเล็กน้อยท่ีจะไมใ่ ห้ ผสู้ มมตเิ ทพ กรรมทกุ อยา่ งทน่ี รชนสง่ั สมไวแ้ ลว้ ยอ่ ม

445


มผี ลเสมอไป ขึ้นชือ่ วา่ กรรม แมจ้ ะเล็กน้อย ที่จะไม่ใหผ้ ลเป็นอันไมม่ ี มโนรถ
ของพระองค์ส�าเรจ็ แลว้ แม้ฉนั ใด ขอพระองค์โปรดทราบเถิดวา่ มโนรถของจิตต
กมุ ารกส็ �าเรจ็ แล้ว ฉันน้นั เหมอื นกัน”

พระเจา้ สมั ภตู ะกบั เดก็ นนั้ ไดข้ บั เพลงตอบกนั อกี สองสามบท จนกระทง่ั มน่ั
พระทัยว่า ผู้ที่แต่งเพลงขับตอบกับพระองค์น้ัน คือจิตตกุมารแน่แล้ว ก็เสด็จ
ไปพบ ได้ฟังธรรมเทศนาของจิตตกุมารดาบส แล้วทรงเลื่อมใส ทรงสละ
ราชสมบัติออกผนวช และบ�าเพ็ญสมณธรรมจนได้ฌานและอภิญญา เม่ือส้ิน
อายุขัยดาบสท้ังสองก็ไปบังเกิดในพรหมโลก เสวยสุขในพรหมโลกนั้นสิ้นกาล
นานด้วย ประการฉะนี้

ชาดกเรื่องนี้ให้ข้อคิดว่า กรรมย่อมจ�าแนกสัตว์ให้ทรามและประณีต
หมายความวา่ การทค่ี นเราเปน็ ต่างๆ กัน เช่น เป็นคนโรคน้อยหรือโรคมาก
เป็นคนอายุส้นั หรอื อายยุ นื เปน็ คนผิวพรรณดีหรอื ผวิ พรรณทราม และเปน็
คนเกิดตระกูลต�่าหรือตระกูลสูง เป็นต้นนั้น มาจากการที่กรรมจ�าแนกให้
กล่าวคือคนมีโรคน้อยเพราะไม่เบียดเบียนสัตว์ คนมีโรคมากเพราะชอบ
เบยี ดเบียนสัตว์ คนอายุสนั้ เพราะฆ่าสตั ว์ คนอายยุ นื เพราะไม่ฆ่าสัตว์ คนมี
ผวิ พรรณดีเพราะไมโ่ กรธใคร คนมีผิวพรรณไม่ดเี พราะชอบโกรธคนอน่ื คน
เกิดในตระกูลต�่าเพราะไม่เคารพกราบไหว้บุคคลที่ควรเคารพกราบไหว้ คน
เกิดในตระกูลสูงเพราะรู้จักเคารพกราบไหว้บุคคลที่ควรเคารพกราบไหว้
เปน็ ตน้

กรรม คือความดีความชั่วท่ีแต่ละคนท�า จึงส�าคัญส�าหรับคนทุกคน
เพราะคอยแตง่ คนให้เปน็ ไปต่างๆ นานา แม้แตก่ ารไดเ้ กิดได้ใช้ชวี ติ ด้วยกนั
หรอื โดยทสี่ ดุ ไดต้ ายดว้ ยกนั เหมอื นอยา่ งจติ ตกมุ ารและสมั ภตู กมุ ารน้ี กล็ ว้ น
มาจากกรรมท้ังส้ิน เมอื่ กรรมเปน็ ใหญเ่ หนือชวี ติ เช่นนี้ ทกุ คนกค็ วรเลอื กทา�
แต่กรรมดี ลดละเลิกการท�ากรรมที่ชั่ว แล้วชีวิตก็ประสบแต่สิ่งดีๆ ทั้งใน
ชาตนิ ้แี ละชาติหนา้ อยา่ งแนน่ อน

(จิตตสัมภูตชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก วีสตนิ ิบาต เล่ม ๓๔ หน้า ๒๒)

446


447


ขาดประสบการณ์

“ใครค่ รวญกอ่ นแล้วจึงทา� ดกี วา่ ”

ในอดตี กาล สมัยพระเจา้ พรหมทตั เสวยราชสมบตั ิอยใู่ นกรุงพาราณส ี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลเศรษฐี ในต�าบลหน่ึง คร้ันเจริญวัยแล้วได้
แต่งงานกับหญิงท่ีมีความเหมาะสมกันและมีบุตรธิดาสืบสกุลหลายคน
วนั หน่ึง จึงไปสขู่ อธิดาของเศรษฐใี นกรุงพาราณสีให้แก่บตุ รชายของตน จาก
นน้ั จงึ กา� หนดพิธมี งคลสมรสในเดือนถัดไป

สา� หรบั ธดิ าเศรษฐนี นั้ บดิ ามารดาเลยี้ งดมู าอยา่ งด ี มกั ใหอ้ ยแู่ ตใ่ นบา้ น
มากกว่าจะใหอ้ อกไปพบปะผู้คนภายนอก เป็นเหตใุ หน้ างขาดประสบการณ์
ในชีวติ รู้ไม่เทา่ ทนั เหตกุ ารณเ์ หมอื นคนทว่ั ไป

วันหน่ึง ก่อนเข้าพิธีสมรสไม่กี่วัน ธิดาเศรษฐีได้เห็นเครื่องประดับ
ตบแต่งวัวทอ่ี ลังการสวยงามท่ไี ม่เคยเห็นมากอ่ น จงึ ถามพ่เี ล้ยี งว่า “แม่นาง
สัตว์ท่ีประดับดว้ ยเคร่อื งประดบั ชนิดนี้ ชื่ออะไร?”

พี่เล้ียงไม่ได้แปลกใจกับค�าถามน้ี เพราะทราบดีว่าธิดาเศรษฐีไม่รู้จัก
โลกภายนอก และนางเพิ่งเหน็ ววั ตวั นเี้ ป็นคร้ังแรกในชีวติ จงึ ตอบวา่ “สัตวท์ ี่
ประดบั เคร่อื งประดับอลังการนี ้ ชื่อว่าโคอสุ ภราช เจา้ คะ”

ธดิ าเศรษฐพี อไดร้ บั คา� ตอบวา่ โคอสุ ภราช กค็ ดิ ไปวา่ “โคทม่ี เี นอ้ื โหนก
นนู บนหลงั น ี้ ตอ้ งเปน็ สตั วม์ บี ญุ บารมเี หนอื โคอนื่ ๆ ผคู้ นถงึ ไดย้ กยอ่ งใหเ้ กยี รติ
ดว้ ยสรา้ งเครอื่ งประดบั อยา่ งอลงั การเชน่ นใ้ี ห ้ สว่ นโคทไี่ มม่ โี หนกนนู หาเปน็
โคมีบญุ บารมีไม”่ ความคิดของธดิ าเศรษฐีนี้ นางคิดขึน้ ไปเองคนเดียว มไิ ด้
สอบถามใครอ่ืนวา่ ถูกต้องหรอื ไม ่ แมแ้ ตพ่ ่ีเลีย้ งซง่ึ เป็นคนใกลช้ ดิ ทีส่ ุด นางก็
ไม่ได้เอย่ ปากสอบถามแตอ่ ยา่ งใด

ในวนั ตอ่ มา ระหวา่ งทย่ี นื สดู ลมทางชอ่ งหนา้ ตา่ งบนบา้ น นางไดเ้ หลอื บ
ไปเห็นชายค่อมทม่ี ีโหนกนูนขึ้นกลางหลัง จงึ คดิ ว่า “ชายคนนนั้ ตอ้ งเป็นผู้มี
บญุ บารมเี หนอื ชายอนื่ เปน็ แนจ่ งึ มโี หนกนนู ขนึ้ กลางหลงั เหมอื นกบั โคอสุ ภราช

448


ถ้าได้ใช้ชีวิตร่วมกับชายคนนั้นจะต้องสุขสบายไป ใดในชีวิต ธดิ าเศรษฐีจะขอมาใช้ชวี ติ อยู่กับทา่ น ขอ

ตลอดชวี ติ วา่ แตว่ า่ ชายคนนนั้ มภี รรยาหรอื ยงั หนอ?” ทา่ นจงรอขา้ พเจา้ สกั คร ู่ ขา้ พเจา้ จกั พาธดิ าเศรษฐมี า

หลังเกิดความคิดดังว่าน้ี ธิดาเศรษฐีผู้ขาด มอบให้ทา่ น” ชายหลังคอ่ มได้ยินคา� พูดอย่างชดั เจน

ประสบการณ์ในชีวิต จึงสั่งให้พี่เล้ียงวิ่งไปสอบถาม จากพเ่ี ล้ียงธดิ าเศรษฐแี ล้ว กเ็ ชอื่ ครง่ึ ไมเ่ ช่อื คร่ึง แต่

ชายหลังค่อมดังกล่าวทันที เมื่อไปถึงพ่ีเลี้ยงจึงกล่าว กร็ บั ปากวา่ จะรอคอยอย ู่ เพราะถา้ เปน็ เรอ่ื งจรงิ กถ็ อื

วา่ “ขา้ แตท่ า่ น บ้านท่านอยู่ ณ ทแี่ ห่งใดหรือ?” เป็นวาสนาสูงท่ีสดุ สา� หรับคนหลังค่อมอยา่ งเขา แต่

ชายหลังค่อมหันมามองคนท่ีถามด้วยความ ถ้าหากไม่เป็นจริงก็ไม่มีอะไรเสียหาย เสียเวลารอ

ประหลาดใจ เพราะปกติไม่เคยมีใครสนใจคนอย่าง นดิ หน่ึงกไ็ ม่เหน็ จะเปน็ ไร

เขา มีแต่คนเมินหน้าหนีหมด การที่มีคนถามแสดง ฝา่ ยพเ่ี ลยี้ งธดิ าเศรษฐ ี หลงั จากเจรจากบั ชาย

วา่ ตอ้ งสนใจในตวั เอง จงึ ตอบพเ่ี ลย้ี งวา่ “ดกู อ่ นแมน่ าง หลังค่อมเป็นที่เข้าใจแล้ว ก็รีบกลับไปบอกแก่ธิดา

ท่านถามข้าพเจ้าด้วยประสงค์สิ่งใดหรือ แต่ไม่ว่า เศรษฐี ธิดาเศรษฐีจึงสั่งให้พ่ีเล้ียงรวบรวมทรัพย์

ประสงคส์ งิ่ ใดกต็ าม ขา้ พเจา้ ไมส่ นใจดอก สา� หรบั บา้ น สมบัติท่ีมีอยู่และพอจะน�าไปได้ใส่ถุง จากนั้นให้พา

ของข้าพเจ้าอยู่นอกเมือง ท่านถามเร่ืองนี้ท�าไม ไปพบชายหลงั คอ่ ม ณ จดุ นดั พบ เพอ่ื จะไดไ้ ปใชช้ วี ติ

หรอื ?” คูด่ ้วยกนั ทนั ที ทนั ทที ่ไี ด้พบธิดาเศรษฐี ชายหลัง

พเี่ ลยี้ งพอไดท้ กั ทายเบอ้ื งตน้ กร็ วู้ า่ คนทส่ี นทนา คอ่ มหวั ใจแทบหยดุ เตน้ เพราะความงามของนางนน้ั

ดว้ ยเปน็ คนสภุ าพเรยี บรอ้ ยพอสมควร จงึ ถามคา� ถาม เกนิ บรรยาย นางผมยาวประบา่ รูปร่างสมส่วน ไม่

สา� คญั วา่ “ขา้ แตท่ า่ น ปจั จบุ นั นที้ า่ นใชช้ วี ติ อยคู่ นเดยี ว อ้วนไม่ผอม ไม่สูงไม่ต�่า ผิวพรรณผุดผ่องดังทอง

หรอื อย่กู ับหญิงใดหรอื ?” ทว่ งทกี ารเดนิ เยอื้ งกรายกอ็ อ่ นชอ้ ยชวนมอง เสอ้ื ผา้

ชายหลังค่อม เมื่อเจอค�าถามนี้ก็ต่ืนเต้นใจส่ัน ที่สวมใส่ก็มีราคาแพง ในขณะท่ีตัวเขาตรงกันข้าม

เพราะในชีวิตของเขาไม่เคยอยู่ในสายตาของหญิงใด กับนางแทบท้ังหมด เขาน้ันรูปร่างก็หลังค่อม ผิว

เลย แตม่ าบัดนมี้ ีหญิงคนหน่ึงมาถามเรอ่ื งคู่ชีวิต เขา พรรณเศรา้ หมอง เสอื้ ผา้ กเ็ กา่ ฐานะกไ็ มม่ อี ะไรเลย

พยายามสะกดความตนื่ เตน้ ใหส้ งบนงิ่ จากนน้ั จงึ ตอบ เขาคิดดังนี้ไม่นานก็ต้องหยุดคิด เพราะธิดาเศรษฐี

พ่ีเล้ียงธิดาเศรษฐีไปว่า “ดูก่อนแม่นาง คนอย่าง มาถงึ ตวั เขาเสยี กอ่ น พลางนางกก็ ลา่ วกบั เขาวา่ “ขา้

ข้าพเจ้านัน้ ไม่มีหญิงใดเขามองดอก อย่าวา่ แต่หญงิ ที่ แตน่ าย เราเปน็ เนอื้ คกู่ นั วนั นส้ี ง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธจ์ิ งึ บนั ดาล

มอี วยั วะครบถว้ นเชน่ ทา่ น แมแ้ ตห่ ญงิ พกิ ลพกิ าร หรอื ใหเ้ ราไดพ้ บกนั ถา้ ทา่ นไมร่ งั เกยี จ ขา้ พเจา้ จะไปเปน็

อวัยวะไม่ครบ ๓๒ ก็หามีผู้ใดสนใจข้าพเจ้าไม่ ภรรยาทา่ นดแู ลทา่ นจนกว่าชีวิตจะหาไม”่

ข้าพเจา้ ทราบเหตนุ ้ดี ี ฉะนนั้ จึงใช้ชวี ิตเปน็ โสดอยู่ ชายหลังคอ่ มได้ยนิ เช่นน้นั ก็สะกดความตืน่

คนเดียว ว่าแต่ท่านถามข้าพเจ้าเร่ืองน้ีเพราะเหตุใด เตน้ ทที่ วคี วามรนุ แรงขนึ้ ตามลา� ดบั แลว้ กลา่ วกบั ธดิ า

หรอื ?” เศรษฐีว่า “แม่นางคนงาม ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่า

พี่เลีย้ งธดิ าเศรษฐี จึงบอกชายหลังคอ่ มวา่ “ข้า ข้าพเจ้าเป็นคนมคี า่ ในสายตาของใครมากอ่ น มาใน

แต่ท่านผู้โชคดี บัดน้ีวาสนาของท่านมาถึงแล้ว วนั นแ้ี มน่ างทา� ใหข้ า้ พเจา้ รสู้ กึ วา่ ตนมคี า่ ขน้ึ มาได ้ ใน

ข้าพเจ้าเป็นพี่เล้ียงของธิดาเศรษฐีในเมืองน้ี ธิดา ชีวิตน้ีมีแม่นางเพียงคนเดียวท่ีเห็นค่าในตัวข้าพเจ้า

เศรษฐสี ง่ั ใหข้ า้ พเจา้ มาถามทา่ น หากทา่ นยงั ไมม่ หี ญงิ กเ็ พยี งพอแลว้ ใครอน่ื จะวา่ อยา่ งไรขา้ พเจา้ กไ็ มส่ นใจ

449


ต่อแต่นี้ ข้าพเจ้าจะดูแลแม่นางอย่างดีที่สุดเท่าท่ี พระโพธิสัตว์ทราบว่านางหลงผิดไปชั่วขณะ
ความสามารถของข้าพเจ้าท้ังหมดจะพึงกระท�าได้ บดั นก้ี ลบั ไดส้ ตแิ ลว้ จงึ พานางกลบั บา้ นและจดั พธิ มี งคล
ขอแมน่ างจงโปรดมนั่ ใจเถดิ ” สมรสกบั บุตรของตนในเวลาต่อมา

หลังจากพดู คุยพอสมควรแลว้ คนท้งั สองก็ ชาดกเร่อื งน้ีให้ขอ้ คดิ ว่า การตัดสนิ ใจเป็นเรอ่ื ง
พากันเดินทางเพ่ือไปใช้ชีวิตด้วยกันในภูมิล�าเนา สา� คญั เพราะหากตดั สนิ ใจถกู ตอ้ ง การดา� เนนิ ชวี ติ ก็
ของชายหลังค่อม ซึ่งอยู่ในชนบทท่ีห่างไกล ประสบความสุขความเจริญ หากตัดสินใจผิด การ
ระหว่างเดินทางฝ่าอากาศร้อนในเวลากลางวัน ดา� เนนิ ชวี ติ กล็ ม้ เหลวเปน็ ทกุ ข์ ดงั นน้ั เมอื่ จา� เปน็ ตอ้ ง
และฝ่าความหนาวเหน็บในเวลากลางคืน เพื่อให้ ตัดสินใจท�าเรื่องใด จึงต้องศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วน
ถึงปลายทางโดยเร็วน้ัน ท�าให้ชายหลังค่อมมี สอบถามคนที่มีประสบการณ์ และฟังความคิดเห็น
อาการป่วยเปน็ ลมกา� เริบในท้อง เขาเดนิ ต่อไปไม่ ให้รอบด้าน อย่างน้อยก็กับคนใกล้ชิด แล้วค่อย
ไหว จงึ แวะพักข้างทาง โดยมีธดิ าเศรษฐีดูแลอยู่ ตัดสินใจท�าส่ิงนั้น อย่าได้ตัดสินใจท�าสิ่งใดโดย
ใกล้ๆ แตก่ ็ไม่สามารถจะชว่ ยอะไรได้ ในท่ีสุดชาย พลการ โดยเฉพาะถ้าตนเองไม่เคยมีประสบการณ์
หลงั คอ่ มคนนัน้ กเ็ สยี ชีวติ ลง ณ ทีแ่ วะพักน่ันเอง ในสง่ิ นน้ั ดว้ ยแลว้ กไ็ มค่ วรอยา่ งยงิ่ เพราะโอกาสทจี่ ะ
ทา� ใหน้ างเสียใจเป็นท่ีสุด เพราะคาดไม่ถึงกับส่ิงที่ เกดิ ความผดิ พลาดนน้ั มมี าก และความผดิ พลาดนน้ั
เกิดขึ้น เมอื่ เกดิ ขน้ึ แลว้ กส็ ง่ ผลกระทบถงึ บคุ คลอนื่ ดว้ ย ไมใ่ ช่
ตนคนเดยี วเท่าน้ัน
ระหวา่ งทค่ี นทงั้ สองหนีไปดว้ ยกนั นน้ั พระ
โพธิสัตว์ก็ได้ทราบเรื่องราวจากพี่เลี้ยง จึงพา การท่ีต้องศึกษาข้อมูลหรือปรึกษาคนอื่นก่อน
บรวิ ารตดิ ตามไป และไปพบธดิ าเศรษฐตี อนทนี่ าง ตดั สนิ ใจนน้ั นอกจากชว่ ยปอ้ งกนั ความผดิ พลาดแลว้
กา� ลงั เศรา้ โศกกบั การจากไปของชายคอ่ มพอด ี จงึ ยังเปน็ การผกู มิตรในเวลาเดียวกนั ดว้ ย เพราะคนที่
ได้กล่าวกะนางว่า “แน่ะแม่นาง เหตุใดเจ้าจึงได้ เราไปปรกึ ษานนั้ ทกุ คนจะรสู้ กึ วา่ ไดร้ บั เกยี รตจิ ากเรา
หนีไปกับชายค่อมน้ี ชายค่อมนี้นอกจากจะค่อม รสู้ กึ วา่ เราเคารพและใหค้ วามส�าคัญต่อเขา และมอง
แล้วก็ไม่มีปัญญาอันใดท่ีพอจะพาเจ้าไปเลี้ยงดูได้ วา่ เราเป็นคนรู้จักคดิ มีหลักการตดั สนิ ใจทร่ี อบคอบ
เลย เจ้าเป็นคนท่ีเกิดในตระกูลใหญ่ มีรูปร่างท่ี สามารถไว้วางใจในเร่ืองอื่นๆ ได้ ในอนาคตถ้ามี
สวยงาม น่ารักน่าเอ็นดู ไม่ควรไปกับชายค่อมผู้ อาชีพหรือการงานใดท่ีจะเจริญก้าวหน้า ท่านเหล่า
ตา่� ตอ้ ยน้ีเลย” นนั้ กย็ นิ ดใี หก้ ารสนบั สนนุ แตถ่ า้ ตดั สนิ ใจโดยพลการ
ไม่ปรึกษาหารอื ผ้ใู ด นอกจากจะเกิดความผดิ พลาด
ธิดาเศรษฐีเงยหน้ามองพระโพธิสัตว์ด้วย ได้ง่ายแล้ว โอกาสท่ีจะได้มิตรภาพจากผู้รู้ผู้มี
น�้าตานองหน้า จากนั้นจึงกล่าวว่า “ข้าแต่นาย ประสบการณ์ รวมถึงได้รับการสนับสนุนให้เจริญ
ข้าพเจ้าเห็นโคอุสภราชตัวหนึ่ง ก็คิดว่าโคที่เป็น กา้ วหนา้ ในอนาคต ก็เป็นอนั หมดไปดว้ ย
ใหญก่ วา่ โคทง้ั หลายตอ้ งมโี หนกขน้ึ ทห่ี ลงั แมค้ นก็
เหมอื นกนั ชายใดมโี หนกขน้ึ ทหี่ ลงั ชายนน้ั กย็ อ่ ม (วีณาถณู ชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย
เปน็ บรุ ษุ อสุ ภราช เปน็ ใหญเ่ หนอื ชายทง้ั หลาย เหตุ
นน้ั จึงได้ผูกใจสมัครรักใครก่ ับเขา บัดน้ี ข้าพเจา้ ชาดก ทกุ นิบาต เลม่ ๓๐ หน้า ๓๕๑)
ไดท้ ราบความจริง จึงไม่หลงผิดตอ่ ไป”

450


Click to View FlipBook Version