The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คติชีวิตจากชาดก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ict.sesaosp, 2022-12-17 20:53:51

คติชีวิตจากชาดก

คติชีวิตจากชาดก

แหละที่ว่ิงก่อนเพ่ือนละ โปรดถามเขาดูเถิด” ราชสีห์โพธิสัตว์จึงถามกระต่าย
ตัวนั้นว่า “นี่เจ้ากระต่ายน้อย เจ้าเห็นแผ่นดินถล่มมาจริงหรือ?” “จริงซิท่าน
ราชสหี ”์ กระตา่ ยยนื ยนั “ขา้ พเจา้ กา� ลงั นอนหลบั อย ู่ มนั ถลม่ ตรงหวั นอนพอด”ี

“ในขณะทแ่ี ผน่ ดนิ ถลม่ เจา้ นอนอยทู่ ไี่ หน?” ราชสหี ซ์ กั ตอ่ “ขา้ พเจา้ นอน
อยู่ท่ดี งตาล ใต้ตน้ มะตมู ” กระต่ายกล่าวยืนยนั อกี “ขณะนนั้ ขา้ พเจา้ จะเข้า
นอนกค็ ดิ วา่ ถ้าแผน่ ดินถล่มเราจะหนีไปไหน จึงนอนหลบั ไป พอรสู้ กึ ตัวก็เกดิ
แผน่ ดินถลม่ จริงๆ จึงไดว้ ิง่ มานแ่ี หละ” “เจ้าทั้งหลายจงอยทู่ ีน่ ีจ่ นกว่าเราจะมา
เราจะไปสอบสวนให้แน่อกี ครั้งหนึ่ง”

แลว้ กจ็ บั กระตา่ ยใหข้ นึ้ ขห่ี ลงั แลว้ วงิ่ ไปดว้ ยกา� ลงั แหง่ ราชสหี ์ สกั พกั หนง่ึ
กม็ าถึงดงตาลนน้ั วางกระต่ายลงแลว้ จงึ ถามวา่ “ไหนเจา้ กระต่าย เจา้ ช้ใี ห้ดซู ิ
ว่าตรงไหนเปน็ ท่ีแผ่นดินถล่ม” กระต่ายท�าหนา้ ตาตน่ื เดนิ ถอยหลงั กรดู พรอ้ ม
กล่าวว่า “ข้าแต่นาย ข้าพเจ้าไม่กล้าเข้าไปดอก ประเด๋ียวแผ่นดินมันจะดูด
ขา้ พเจา้ เข้า”

“ไม่ตอ้ งกลัวดอกน่า” ราชสีห์ปลอบเชงิ ข ู่ “ชม้ี าเถอะว่าตรงไหนทีไ่ ดย้ ิน
เสียงแผน่ ดนิ ถล่ม” กระตา่ ยไมก่ ลา้ เขา้ ใกล้ ชอ้ี ยู่ห่างๆ วา่ “ตรงโคนต้นมะตมู
น่นั แหละ ขา้ พเจา้ ได้ยนิ แต่เสยี งตูมใหญ่ กไ็ มไ่ ด้ดูให้เหน็ ชัดดอก เขา้ ใจว่าแผ่น
ดินไหวจงึ วิ่งหนีไปก่อน”

ราชสหี จ์ งึ เดนิ เขา้ ไปดทู โี่ คนตน้ มะตมู เหน็ ผลมะตมู สกุ ผลใหญต่ กคา้ งอยู่
บนใบตาลแห้ง เห็นขว้ั ยังใหมอ่ ย ู่ จึงแนใ่ จวา่ ผลมะตูมน้เี องท่ที า� ให้กระต่ายตนื่
จึงจับกระตา่ ยให้ข้นึ หลงั วิ่งตรงไปยงั ฝงู มฤคชาตทิ ้ังหลาย กลา่ วปลอบว่า

“เราไดไ้ ปเหน็ จนประจกั ษแ์ กต่ าแลว้ เสยี งทกี่ ระตา่ ยเขา้ ใจวา่ แผน่ ดนิ ถลม่
แท้จรงิ เปน็ เสยี งผลมะตมู ตกถูกใบตาลแห้งตา่ งหาก นเ่ี จ้าทัง้ หลายได้มาพบเรา
จึงย้ับย้งั ไวไ้ ด้ มิเชน่ น้ันคงว่ิงลงน�า้ ตายไปหมดแล้ว”

คร้ันราชสีห์โพธิสัตว์กล่าวสอนแล้ว ก็ปล่อยบรรดาสัตว์ทั้งหลายไปยังที่
อยูข่ องตน หากินไปตามประสาตน จนถึงกาลอวสานแหง่ ชีวิต

ชาดกเรอ่ื งนี้มีคติสอนว่า คนท่ีหเู บา ฟงั แต่ข่าวเล่าลอื จากคนอ่นื แล้ว
พากนั แตกตนื่ เลา่ ลอื ตอ่ ไปโดยมไิ ดพ้ นิ จิ โดยถอ่ งแทน้ น้ั เรยี กวา่ คนเขลาเบา
ปญั ญา มกั ถูกชกั พาไปในทางหายนะ เช่นเดยี วกบั สัตวท์ ัง้ หลาย เกอื บจะพา
กันตกนา�้ ตายเสียแล้ว สว่ นผ้ปู ระกอบดว้ ยปัญญา เมือ่ มีเหตุการณเ์ กิดข้นึ ก็
ไมต่ น่ื ตอ่ เหตกุ ารณ์ พนิ จิ พเิ คราะหเ์ หตผุ ลโดยถถี่ ว้ นแลว้ จงึ เชอื่ ยอ่ มทา� ความ
ปลอดภยั ใหแ้ กต่ นเองและผอู้ นื่ เชน่ ราชสหี โ์ พธสิ ตั ว์ จงึ ควรถอื เปน็ คตเิ ตอื น
ใจว่า อย่าเปน็ คนถอื มงคลตื่นข่าว หรืออย่าท�าตัวเป็นกระตา่ ยตื่นตมู ฉะน้ี

(ททุ ทุภายชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย

ชาดก จตุกกนบิ าต เลม่ ๓๑ หน้า ๓๘๙)

151


152


โคกบั ราชสีห์

“จงระวงั มือทสี่ าม”

ครง้ั หนึ่ง พระโพธสิ ัตว์เกดิ เป็นโอรสพระเจ้าพาราณส ี ครน้ั เจริญวยั
ได้เรยี นศิลปศาสตร์จบแลว้ ได้ครองราชสมบตั ิ ณ กรุงพาราณสี ปกครอง
อาณาประชาราษฎร์ด้วยความผาสุกตลอดมา

คร้งั นัน้ ยงั มโี คบาลผู้หน่งึ รับจ้างเลีย้ งโค ตกเย็นก็ตอ้ นฝูงโคไปส่ง
ใหเ้ จา้ ของทงั้ หลาย ไมท่ นั ไดน้ บั จงึ ลมื แมโ่ คทอ้ งตวั หนงึ่ ไวใ้ นปา่ นางโคทอ้ ง
แกจ่ งึ เดนิ ไปหากนิ ตามลา� พงั ไดไ้ ปพบนางราชสหี ท์ อ้ งแกต่ วั หนง่ึ โดยบงั เอญิ
นางราชสีห์เห็นนางโคท้องแก่เหมือนตัวก็สงสาร แทนท่ีจะท�าอันตรายก็
เข้าไปทกั ทายสนทนาดว้ ย นางโคกบั ราชสหี ์จึงรักใครเ่ หน็ ใจซ่ึงกนั และกนั

เมือ่ นางโคตกลกู เป็นโคผู้ นางราชสีห์ก็ตกลกู เปน็ ตวั ผเู้ ช่นกัน ท้งั
สองฝา่ ยตา่ งรกั ใครก่ นั ลกู โคกบั ราชสหี อ์ ยกู่ นั มาแตย่ งั เลก็ ยงิ่ โตกย็ งิ่ สนทิ
สนมกนั ยง่ิ ขนึ้ จะไปหากนิ ทใ่ี ดกไ็ ปดว้ ยกนั เหมอื นเงาตามตวั ไมตรที ส่ี ตั ว์
ทง้ั สองมีตอ่ กันแน่นแฟ้นยิ่งนกั

ตอ่ มามพี รานป่าผู้หน่งึ เห็นความสัมพันธ์ระหวา่ งราชสีห์กับโคเขา้
กแ็ ปลกใจวา่ สตั ว ์ ๒ ประเภทนไี้ มน่ า่ เปน็ มติ รกนั ได ้ เมอื่ นา� ของปา่ ไปถวาย
พระราชากไ็ ด้ทลู เลา่ กับพระราชาวา่ “ขอเดชะ ข้าพระพทุ ธเจ้าได้เหน็ ของ
ประหลาดอย่างหน่ึงในป่า คือราชสีห์กบั โคมีไมตรรี ักใครต่ อ่ กันเปน็ อย่าง
ด ี เดนิ หากนิ ดว้ ยกนั เปน็ นติ ย ์ ของเหลา่ นจี้ ะหาดไู มไ่ ดง้ า่ ยนกั พระเจา้ คะ่ ”

พระราชาจงึ ตรัสว่า “พราน เธอจะสังเกตตอ่ ไปเถิด เราทา� นายวา่
ถ้ามีสัตว์ตัวที่สามเกิดขึ้นเมื่อใด สัตว์ท้ังสองจะฆ่ากันตายเม่ือน้ัน ถ้า
ปรากฏมสี ัตวต์ ัวทสี่ ามมาเดินดว้ ยเมอ่ื ใด จงกลับมาบอกเราดว้ ย” พราน
รบั สนองพระราชโองการแล้วกท็ ลู ลาเขา้ ปา่ ไป

อยตู่ อ่ มาไมช่ า้ พรานกเ็ หน็ สมดงั พระราชาทา� นาย คอื มสี นุ ขั จงิ้ จอก
ตวั หนง่ึ มาเดนิ อยดู่ ว้ ย จงึ กลบั ไปกราบทลู พระราชา แลว้ จงึ กลบั ไปพระนคร
สนุ ขั จงิ้ จอกมาคิดวา่ “เนอ้ื สตั ว์อนื่ เราก็ไดล้ ม้ิ รสหมดแลว้ ยงั เหลอื แตเ่ นือ้

153


ราชสีห์ยังไม่เคยชิม มันคงอร่อยไม่น้อยเลย” คิดดังน้ันแล้ว จึงเริ่มยุสัตว์ท้ังสองให้
แหนงใจกนั กอ่ น แล้วใชน้ โยบายยโุ ดยเข้าไปหาราชสหี ์ กล่าวว่า “ข้าแต่นาย โคตวั นัน้
เคยคยุ อวดขา้ พเจา้ ว่ามีก�าลงั เหนือทา่ น ท่อี ยกู่ ันมานเี้ พราะทา่ นยอมออ่ นน้อมตอ่ เขาจงึ
อยกู่ ันได ้ มฉิ ะน้นั คงแตกกนั ไปนานแล้ว”

ครั้นแล้วสุนขั จงิ้ จอกจงึ เข้าไปหาโค แล้วยวุ า่ “ท่านโค ท่านคงอยูก่ ับราชสหี ์น้ีด้วย
ความซ่ือตามวสิ ยั ท่าน ราชสีห์เปน็ สัตว์รา้ ยแปดเหลีย่ มแปดคม เหน็ บอกกบั ข้าพเจา้ ว่า
ทคี่ บกบั ทา่ นกเ็ พอ่ื เกบ็ เนอ้ื ทา่ นไวก้ นิ ยามขดั สน อดมาเมอื่ ไรกจ็ ะอาศยั เปน็ อาหารมอื้ นน้ั
ระวังตวั ไว้บา้ งนะท่าน เมอื่ สนุ ขั จง้ิ จอกยุหนกั เข้าทกุ วัน ความอดกลัน้ กถ็ งึ ทสี่ ดุ จึงเกดิ
การตอ่ สู้กันอยา่ งรุนแรงจนถงึ บาดเจ็บสาหสั ตายไปด้วยกนั ทั้งคู่

สนุ ขั จงิ้ จอกเหน็ ดงั นนั้ กด็ ใี จ โดดเขา้ ขยา�้ ลา� คอราชสหี จ์ นสมอยาก ฝา่ ยนายพราน
เม่ือไปถึงราชสา� นกั จงึ เข้าเฝา้ พระราชาและกราบทลู วา่ “บัดน้ีเกิดสัตว์ตัวทสี่ ามแลว้
พะย่ะคะ่ ” พระราชาตรัสถามว่า “เปน็ สัตว์อะไร พอ่ พราน” “เป็นสนุ ขั จิ้งจอกพระเจา้
ขา้ ” นายพรานกราบทูล พระราชาตรัสวา่ “ถ้าเช่นนั้นเราคงไปไมท่ ันเวลาเสียแล้ว” จึง
รับส่ังให้อ�ามาตย์ราชบริพารเตรียมราชรถพร้อมด้วยขบวนเสนา เสด็จมายังป่าที่พราน
บอกทันที พอมาถึงก็เห็นสัตว์ท้ังสองนอนตายอยู่ไม่ห่างกัน เม่ือทอดพระเนตรเห็นดัง
น้ัน จงึ ประทับยนื บนราชรถ ประกาศสอนหมู่เสนาขา้ ราชบรพิ ารวา่

“ดกู รทา่ นทง้ั หลาย จงดรู าชสหี ก์ บั โคเปน็ ตวั อยา่ ง คนจะแตกกนั มกั เกดิ ประโยชน์
ขัดกัน หรือไม่ก็เพราะเพศตรงข้ามเป็นเหตุ แต่โคกับราชสีห์นี้มิได้ขัดกันด้วยผล
ประโยชนส์ ว่ นตวั ราชสหี ม์ เี นอ้ื เปน็ อาหาร แตโ่ คมหี ญา้ เปน็ อาหาร ราชสหี ต์ อ้ งการสตรี
ทีเ่ ปน็ นางราชสีห ์ โคก็ต้องการนางโค จงึ ไมม่ ที างขดั กนั ได้ แต่สัตวท์ ั้ง ๒ ต้องขดั กัน
ถึงฆา่ กนั ตายก็เพราะคา� ส่อเสียดของมือท ่ี ๓ คือสนุ ขั จ้งิ จอก ผู้เช่ือค�าส่อเสียดท�าลาย
ความไมตรีจิตมติ รภาพแลว้ ยอ่ มถึงความหายนะเช่นโคกบั ราชสหี ์ แต่ชนใดไมเ่ ช่ือฟัง
ค�าคนส่อเสยี ด มงุ่ ประโยชน์สว่ นตวั ผ้นู ั้นย่อมถึงความสงบสุขตลอดกาลนาน”

เม่อื ตรสั ดังน้นั แล้ว จงึ ส่ังให้เกบ็ ซากสตั วพ์ อที่จะนา� ไปไดก้ ลับพระนคร ตงั้ ไวเ้ ปน็
อนสุ รณ์แห่งความแตกมิตรตลอดมา

ชาดกเรอ่ื งนชี้ ใ้ี หเ้ หน็ วา่ อนั ไมตรจี ติ มติ รภาพนนั้ มอี ยู่ ณ ทใ่ี ด กอ่ ความสขุ รม่ เยน็
ให้ ณ ทีน่ ัน้ มิตรจิตทมี่ ีตอ่ กันเปน็ เสมือนสายโซท่ องค�า ซ่งึ รอ้ ยจิตของคนใหแ้ นบ
สนิทอยู่ด้วยกันได้ตลอดไป แม้ต่างวัยและเพศชั้นก็ตาม แต่ควรระวังการส่อเสียด
จากคนอืน่ ซึ่งมุ่งประโยชนจ์ ากความหายนะของเรา เรยี กว่ามือที่ ๓ จึงอย่าหลงเชือ่
ค�ายยุ งของคนอนื่ โดยเด็ดขาด

(สนั ธเิ ภทชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย
ชาดก จตกุ กนิบาต เลม่ ๓๑ หนา้ ๕๐๑)

154


155


หมูทา้ ราชสีห์

“อย่าเอาไม้สั้นไปรนั ข”ี้

สมยั หนง่ึ พระโพธสิ ตั วเ์ กดิ เปน็ ราชสหี ์ อยใู่ นหมิ วนั ตประเทศ หมู
เปน็ อนั มากหากนิ อยไู่ มไ่ กลจากถา�้ ของพญาราชสหี น์ น้ั ไดอ้ าศยั สระเกดิ
เองดมื่ กนิ น้�าอยเู่ ป็นประจา�

วันหนงึ่ พญาราชสหี ์ลงไปดมื่ น้า� ในสระ พบหมอู ้วนตวั หนงึ่ อยู่รมิ
สระคนละฟาก พญาราชสหี ค์ ดิ วา่ “วนั นเี้ ราเพงิ่ ฆา่ ววั กนิ มาหยกๆ กา� ลงั
อ่ิมอยู่ จะกินหมูตัวน้ีอีกก็ไม่ไหว เอาไว้กินวันอ่ืนดีกว่า” ว่าแล้วก็ท�าที
เปน็ มองไม่เห็นเดินหลีกไปเสียข้างหนึง่ หมเู หน็ ราชสีห์เดินหนไี ปเชน่
น้ันก็เข้าใจว่าราชสหี ์เกรงอ�านาจตัว ไม่กล้าเขา้ มาใกล้เหมอื นเหน็ หมตู ัว
อนื่ จึงแสร้งเดนิ ตามไปยืนบนโขดหนิ รอ้ งทา้ ว่า “เหวย ราชสีห์ขขี้ ลาด
เราต่างกเ็ ปน็ สตั วส์ ่เี ทา้ ดว้ ยกัน เข้ียวก็มเี หมือนกนั ไหนๆ กพ็ บกันแล้ว
ลองมาสู้กนั สกั ตง้ั เป็นไร จะรบี หนีไปไหนเล่า กลับมาส้กู ันก่อนเถิด”

ราชสีห์ได้ฟงั ค�าของหมูแลว้ จงึ กล่าววา่ “เจ้าหมูอ้วนเอ๋ย วันนี้เรา
ยังไมส่ ู้กับเจา้ หรอก อีก ๗ วันเรามาพบกนั ท่นี ีใ่ หม่ เพอ่ื จะไดส้ ู้รบกนั
เจา้ จงไปประกาศใหบ้ รรดาญาตมิ าชมกนั มากๆ เถดิ ” กลา่ วแลว้ กร็ บี หลกี
ไป

หมนู กึ กระหยม่ิ ใจวา่ ตวั เองคงมอี า� นาจเหนอื หมทู ง้ั หลาย แมพ้ ญา
ราชสหี ย์ งั ไมอ่ าจตอ่ กรได ้ จงึ รบี ไปประกาศแกห่ มญู่ าตขิ องตวั วา่ “พนี่ อ้ ง
ทง้ั หลาย ทท่ี า่ นเลา่ ลอื กนั วา่ ราชสหี เ์ ปน็ เจา้ สตั ว ์ ไมม่ ใี ครบงั อาจตอ่ กรได้
นน้ั เหน็ จะไมจ่ รงิ เสยี แลว้ เหน็ รบี หลบเปน็ พลั วนั ครนั้ ขา้ พเจา้ รอ้ งทา้ เขา้
กลับขอผลัดไปเตรียมตวั ถงึ ๗ วนั นบั แตน่ ี้ไป ๗ วัน ขอให้ท่านไปชม
การสรู บระหว่างข้าพเจา้ กบั ราชสหี เ์ ปน็ ขวัญตาเถิด”

พวกหมไู ดฟ้ งั ดงั นนั้ กต็ กตะลงึ ไปตาม ๆ กนั หมเู ฒา่ ตวั หนงึ่ กลา่ ว
ขนึ้ วา่ “เจา้ หนา้ โง ่ ชา่ งไมร่ ปู้ ระมาณตวั เสยี เลย รไู้ หมวา่ เจา้ กา� ลงั นา� ความ
พนิ าศมาสหู่ มูญ่ าตแิ ล้ว พญาราชสหี เ์ ป็นสัตวฉ์ ลาด ท่ีไม่สูร้ บกบั เจ้าใน
คราวน้ี ก็เพราะกินสตั วอ์ ื่นมาอมิ่ หนา� สา� ราญแลว้ ท่ีประวิงไวใ้ หเ้ จา้ สกู้ ัน

156


ในอกี ๗ วัน กเ็ พ่อื จะเก็บเจา้ ไวเ้ ป็นอาหารมือ้ นั้น ทเ่ี จา้ ท้าราชสหี ์มารบกนั แถวน้ีก็
เทา่ กบั นา� ความตายมาใหพ้ วกเราแทๆ้ การทา� อะไรโดยผลนุ ผลนั ขาดความรอบคอบ
อยา่ ใหม้ ีอีกโดยเดด็ ขาด”

หมหู นุ่มได้ยินดงั นั้นกต็ กใจกลวั จึงปรึกษากันว่าควรจะท�าอยา่ งไรดี หมเู ฒา่
จงึ แนะนา� ต่อไปว่า “เจา้ นน่ั แหละต้องแก้ไขปัญหาน้ี จงไปที่สว้ มของพระฤษี เอาตวั
เกลอื กอุจจาระพระฤษีใหท้ ว่ั แล้วมาผง่ึ แดดใหแ้ หง้ แลว้ กลบั ไปเกลือกซ้า� อกี ท�าอยู่
เช่นนตี้ ลอด ๗ วัน พอถึงวนั ที่ ๗ ใหเ้ อาตวั ไปเกลอื กน้�าคา้ งใหช้ ุ่ม เพอ่ื ให้เกิดกลน่ิ
รนุ แรงขนึ้ เม่ือถงึ เวลานดั หมายใหไ้ ปกอ่ นราชสหี ์ แลว้ เลอื กชยั ภมู ิอยู่ทางเหนือลม
ตามธรรมดาราชสีห์เป็นสัตว์รักสะอาด เม่ือได้กล่ินอุจจาระท่ีตัวเจ้า ก็จะไม่ยอมสู ้
หลีกหนีไปโดยเร็ว เจ้าจะต้องอยู่สู้แต่ผู้เดียว พวกเราต้องอพยพพากันไปหากินใน
ถ่ินอืน่ ต่อไป”

หมหู นมุ่ ไดฟ้ งั ดงั นนั้ กด็ ใี จ ไปยงั สา� นกั พระฤษ ี ไดท้ า� ตามคา� แนะนา� หมเู ฒา่ ทกุ
ประการ ครนั้ ชบุ ตวั ดว้ ยอุจจาระได้ท่แี ลว้ ถึงวนั ท่ี ๗ จึงไปยงั ท่นี ัดรบ เลือกชยั ภมู ิ
เหนอื ลม สะบดั ตวั แสดงทา่ ผง่ึ ผายอยู่ ราชสีหม์ าตามเวลานัด และอยู่ทางใต้ลมกไ็ ด้
กลน่ิ ตวั หมูแตไ่ กล คร้ันเขา้ ไปใกล้กลนิ่ ท่ีตัวหมูกย็ งิ่ รนุ แรง เกิดความสะอดิ สะเอยี น
ไมส่ ามารถทนต่อไปได้ จึงกลา่ วกบั หมูวา่

“เจา้ หมูเอย๋ เจา้ ช่างคดิ กลศึกไดด้ ีจริง ถา้ ไม่เกลอื กอจุ จาระอันสะอิดสะเอียน
มา เจา้ คงตายในวนั นี้แน่ แต่ในบัดนอี้ ย่าวา่ แต่จะลงเข้ียวในตวั เจา้ เลย แม้เทา้ เราก็
ไม่ปรารถนาให้แตะตัวเจ้า คราวนีเ้ รายอมใหเ้ จา้ เปน็ ผ้ชู นะ เราเปน็ ฝ่ายแพ้แลว้ จง
กลบั ไปเถิด” วา่ แล้วก็เบือนหนา้ ออก รีบเดินให้พน้ รัศมกี ล่นิ ตัวหมู หาเหยือ่ กินจน
อิ่มหน�าแลว้ กก็ ลบั ไปยงั ถ้า� ที่อยู่ดังเดมิ

ฝา่ ยหมหู นมุ่ ดใี จทไ่ี ดช้ ยั ชนะและรอดตวั ไปได ้ จงึ วง่ิ กลบั ไปแจง้ ใหบ้ รรดาญาติ
รับรู ้ พวกญาติๆ ต่างกล่าวติเตยี นความโง่แกมหยงิ่ ของหมปู ่า แลว้ พากนั อพยพไป
อยู่ถน่ิ อ่นื จนถึงกาลอวสานแหง่ ชีวิต

ชาดกเร่ืองนม้ี คี ติสอนใจว่า คนดยี ่อมรกั ษาศกั ดศ์ิ รีของตัวไว้ ไมย่ อมเอา
ตัวไปแปดเปื้อนกับคนช่ัว การทะเลาะเบาะแว้งกันนั้น ถ้าจะพึงมีกับคนพาล
สนั ดานทรามแลว้ กพ็ ึงหาทางหลีกเลี่ยง การเล่ยี งการส้รู บกบั คนประเภทน้นั จะ
ตอ้ งเสยี อะไรไปบา้ งกพ็ งึ ยอมสละ เพราะเปน็ การสละสง่ิ นอ้ ยๆ เพอ่ื รกั ษาสง่ิ ใหญๆ่
ไว้ เหมือนราชสีห์ยอมใหช้ ยั ชนะแกห่ มู เขา้ กับภาษิตโบราณท่ีว่า “อย่าเอาไม้
สั้นไปรนั ข”้ี หรือค�าที่ว่า “รวู้ ่าเป็นข้แี ล้ว อยา่ เอามอื เข้าไปแหย”่ ซึ่งควรถือเป็น
คตปิ ระจา� ใจตอ่ ไป

(สกุ รชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย

ชาดก ทกุ นบิ าต เล่ม ๓๐ หนา้ ๑๕)

157


158


แพะสิ้นเวร

“ผู้ฆ่าเขา ย่อมไดร้ บั การฆ่าตอบ”

ในอดตี กาล สมยั เม่อื พระเจ้าพรหมทัตเสวยราชย์ ณ กรุงพาราณส ี
มพี ราหมณอ์ าจารย ์ ทศิ าปาโมกขผ์ หู้ นงึ่ สา� เรจ็ วชิ าทางไตรเพท คดิ จะทา� บญุ
อุทศิ ใหผ้ ลู้ ่วงลบั ไปแล้ว จึงให้จับแพะมาตัวหนงึ่ บอกแก่อนั เตวาสกิ ว่า “เธอ
ท้ังหลาย จงน�าแพะตัวน้ีไปยังทา่ น�า้ ชว่ ยกนั ช�าระเน้ือตวั ใหส้ ะอาด ประดับ
ดว้ ยดอกไมแ้ ละของหอม เจมิ หนา้ แลว้ นา� มาคนื เรา เราจะประกอบพธิ กี รรม
สักอย่างหนง่ึ ”

นัยว่าแพะตัวน้ันมองเห็นบุพกรรมของตัวเองท้ังในอดีตและอนาคต
มันคิดว่าวันนี้ถึงวาระท่ีเราจะต้องตายและจะพ้นทุกข์ จึงเกิดความโสมนัส
ส่งเสียงหัวเราะดังออกมา ๓ ครั้ง และเงียบไป สักครู่หนึ่งก็เปล่งเสียง
ร้องไหด้ ังสนนั่ ออกมาอกี มาณพท้งั หลายเห็นดงั น้ันก็สงสัยว่า เหตุใดแพะ
นจ้ี งึ หวั เราะแลว้ รอ้ งไหใ้ นเวลาเดยี วกนั จงึ ถามแพะขน้ึ วา่ “ดกู รแพะผสู้ หาย
เจ้านกึ อยา่ งไรจงึ เกดิ อารมณข์ นั หัวเราะออกมาเฉยๆ และในเวลาตดิ ตอ่ กนั
เจ้าก็หวั เราะออกมาอีก” แพะไม่ตอบว่ากะไร เปน็ แต่บอกวา่ “พวกทา่ นจง
พาเราไปส�านกั อาจารยแ์ ล้วถามเรา ณ ทีน่ น้ั เถดิ ” ศิษย์ท้งั หลายจงึ จูงแพะ
ไปยังสา� นกั ของอาจารย ์ และเลา่ ถงึ เหตกุ ารณ์ท้งั หมดใหฟ้ ัง เมือ่ ไดท้ ราบดงั
นนั้ อาจารยจ์ งึ ถามวา่ “ดกู รสหายแพะ เจา้ เปน็ บา้ ไปหรอื ประเดย๋ี วหวั เราะ
ประเดีย๋ วรอ้ งไห้ หรือเจา้ มเี หตอุ ยา่ งไร บอกมาให้ฟังหน่อยซ”ิ

แพะจึงตอบพราหมณว์ า่ “ทา่ นพราหมณ์ เมือ่ ชาติกอ่ นข้าพเจ้าก็เกิด
เป็นพราหมณ์ผู้สาธยายมนต์เช่นเดียวกับท่านนี้แหละ ข้าพเจ้าต้องการ
ทา� บญุ อทุ ศิ ผตู้ ายจงึ ฆา่ แพะตวั หนง่ึ บชู ายญั เพราะเหตทุ ฆ่ี า่ แพะเพยี งตวั เดยี ว
เท่านัน้ ขา้ พเจา้ ต้องเสวยผลกรรม ถกู เขาฆา่ ตอบมาถงึ ๔๙๙ ชาติ ชาตินี้
เป็นชาติที่ ๕๐๐ ซ่ึงเป็นชาติสุดท้าย จึงมาดีใจว่าเวรที่ข้าพเจ้าฆ่าแพะซึ่ง
ตอ้ งทรมานมาหลาย รอ้ ยชาตจิ ะสนิ้ สดุ ในวนั น ้ี ขา้ พเจา้ จงึ หวั เราะดว้ ยความ
ดีใจที่จะได้พน้ ทกุ ข”์

พราหมณจ์ งึ ถามตอ่ ไปวา่ “แลว้ เหตใุ ดทา่ นจงึ รอ้ งไหอ้ กี เลา่ ” แพะหนา้

159


เศรา้ กลา่ วกบั พราหมณว์ า่ “ทา่ นพราหมณ ์ ขา้ พเจา้ ไหวต้ อบ ผ้เู บยี ดเบียนเขาย่อมได้รบั การเบยี ดเบยี น
รอ้ งไหก้ เ็ พราะสงสารทา่ น ถา้ ทา่ นฆา่ เราวนั นที้ า่ นก็ ตอบเชน่ กนั จงึ ไมค่ วรเบยี ดเบยี นซงึ่ กนั และกนั ” เมอ่ื
จะตอ้ งถกู เขาฆา่ ตายถงึ ๕๐๐ ชาต ิ แสนจะทรมาน กลา่ วเสรจ็ ก็อันตรธานไป
ข้าพเจา้ คดิ สงสารจงึ รอ้ งไห”้
พราหมณ์ทราบเรื่องน้ันเกิดความกลัวต่อผล
พราหมณน์ กึ หวาดตอ่ ความตายซงึ่ จะตอ้ งถกู กรรมจึงงดเว้นการฆ่าสัตวบ์ ชู ายัญตง้ั แตน่ ้นั มา ด�ารง
เขาฆ่าถึง ๕๐๐ ชาติ จึงกลา่ วกับแพะวา่ “เจา้ แพะ อยใู่ นศลี ๕ จนตลอดกาลอวสานแห่งชีวติ
ถา้ เช่นนนั้ เราจะงดเว้นไมฆ่ า่ แล้ว จงเบาใจเถิด เรา
กลัวผลกรรมจะตามสนอง” “ท่านฆ่าหรือไม่ฆ่า ชาดกเร่ืองน้คี ตสิ อนว่า การฆ่าบคุ คลอืน่ ด้วย
ข้าพเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี เพราะวันน้ีเป็นวันสิ้นเวร” เห็นแกป่ ระโยชนส์ ่วนตวั นนั้ เป็นความชั่วท่คี วรงด
“ท่านไม่ต้องวิตกดอก” พราหมณ์รับรอง “เราจะ เว้น คนเรามกั เขา้ ใจผิดวา่ การฆ่าหรอื เบียดเบียนผู้
เปน็ ผูค้ มุ้ กันชวี ิตทา่ นใหพ้ น้ ความตายจงได้” “ป่วย อ่ืนน้ัน ความทุกข์หรือความช่ัวย่อมตกแก่ผู้ถูกฆ่า
การท่านพราหมณ์ การอารักขาของท่านคงไม่มี หรือถูกเบียดเบียน ผู้ฆ่าเป็นฝ่ายได้รับความสุขใน
อ�านาจคุ้มกันเวรกรรมท่ีข้าพเจ้าได้ก่อไว้ได้ กรรม ขอ้ ทท่ี �าได้สมแคน้ แตข่ ้อเท็จจรงิ หาเปน็ เช่นน้ันไม่
ของขา้ พเจา้ ทฆ่ี า่ เขามามอี า� นาจแรงกวา่ อา� นาจทา่ น ผู้ฆา่ กลบั ได้รบั ทกุ ขห์ นักกว่าผ้ถู ูกฆ่าเสยี อกี เพราะ
มากมายนกั ” “เราจะลองพสิ จู นใ์ หเ้ หน็ จรงิ ” วา่ แลว้ ผู้ถกู ฆา่ กไ็ ดร้ บั ผลอย่างมากแค่ตาย ซ่งึ ถึงเราไม่ฆ่า
พราหมณ์ก็ปล่อยแพะไป และส่ังให้อันเตวาสิกทั้ง เขากต็ อ้ งตายไมว่ นั ใดกว็ นั หนงึ่ เทา่ กบั ไดร้ บั สงิ่ ทคี่ น
หลายช่วยกันคุ้มกันแพะให้พ้นความตายในวันน้ีจง หลกี ไม่พน้ แล้ว เมอื่ ตายแลว้ กห็ มดเรอ่ื ง
ได้
ส่วนผู้ฆ่าซิเม่ือยังไม่ตายก็ได้รับความทุกข์ใจ
ศิษย์ต่างพากันคุ้มกันดูแลแพะเป็นอย่างด ี วา่ ตวั ไดฆ้ ่าเขา ถา้ เขาจับไดก้ ็ถกู จองจ�า ได้รบั ความ
อนั แรงกรรมนน้ั เปน็ สงิ่ ยตุ ธิ รรม ยอ่ มใหผ้ ลตามกาล ทรมานไปจนกวา่ จะใชก้ รรมหมด แตแ่ ลว้ ตวั กห็ าได้
อันแน่นอน ไม่มีสิง่ ใดจะทัดทานพลังกรรมได้ แพะ พน้ ความตายทตี่ วั ไปยดั เยยี ดใหค้ นอนื่ ไม่ ครน้ั ตาย
เมื่อได้รับการปลดปล่อยก็เดินและเล็มหญ้าไปตาม ไปแล้วกย็ ังมิหมดเร่ือง ตอ้ งมีเวรกรรมมาสนองต่อ
ชายเขา ขณะนั้นมีพายุฝนโดยกระทันหัน ฟ้า ไปอกี หลายชาติ ดตู วั อยา่ งเชน่ แพะฆา่ เขาไวเ้ พยี ง
คะนองสนั่นหวั่นไหว บังเอิญเกิดสายฟ้าผ่าลงมา ครั้งเดยี วตอ้ งมารบั ใช้กรรมนบั ไม่ถ้วน ผฆู้ า่ คนอ่ืน
บริเวณนน้ั ทา� ใหก้ อ้ นหินกระเทอื นหล่นมาทับแพะ จงึ มไิ ดเ้ ปน็ ผไู้ ดเ้ ปรยี บหรอื ไดก้ า� ไรตามทคี่ ดิ กนั มอง
ถึงแก่ความตายสมกับที่ได้คาดไวท้ ุกประการ ในแง่กรรมแล้วเปน็ การสูญเสยี อยา่ งมหนั ต์ จึงควร
งดเวน้ การฆา่ ตง้ั แตส่ ตั วเ์ ลก็ จนถงึ สตั วใ์ หญต่ ลอดไป
พระโพธสิ ตั ว์เกิดเปน็ รกุ ขเทพเห็นดังน้นั จึง
ประกาศว่า “ผู้ฉลาดรู้ว่าผู้ฆ่าคนอื่นย่อมถูกฆ่า (มตกภัตตชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
เปน็ การตอบสนองเชน่ นี้ ส่งิ มชี วี ติ จงึ ไมค่ วรฆา่ สิ่ง
มีชีวิตด้วยกัน เพราะการฆ่าย่อมมีผลเป็นทุกข์ท้ัง ชาดก เอกนบิ าต เลม่ ๒๘ หน้า ๒๙๕)
แก่ผฆู้ า่ และผู้ถกู ฆ่า กฎธรรมดามีอยวู่ ่า ผบู้ ูชาคน
อนื่ ยอ่ มไดร้ บั การบชู าตอบ ผไู้ หวผ้ อู้ น่ื ยอ่ มไดร้ บั การ

160


161


เมื่อจ้ิงจอกเปน็ ราชสีห์

“อยา่ ตตี วั เสมอทา่ น”

ในอดตี กาล เมอ่ื พระโพธสิ ตั วเ์ สวยพระชาตเิ ปน็ พญาราชสหี ์ อาศยั
อย่ใู นถ้า� ณ หิมวนั ตประเทศ ตามปกตพิ ญาราชสีหเ์ ม่ือจะออกจากถา้� ไป
หาอาหารจะตอ้ งมลี ลี าแบบพญาราชสหี ์ ๓ ครง้ั แลว้ จงึ ออกหาอาหาร หาก
ฆ่าโค กระบอื หรือสัตวอ์ ืน่ กินเน้ืออ่ิมแล้วก็ลงดืม่ น้า� ใสในสระใสสะอาด
เดนิ กลับถ้�าแลว้ นอนแบบราชสีห์

ยงั มสี นุ ขั จง้ิ จอกตวั หนงึ่ ตระเวนหาเหยอื่ อยบู่ รเิ วณนน้ั เดนิ ลา้� เขา้ ไป
ในถ้�าพญาราชสหี โ์ ดยบังเอิญ ดว้ ยความหวิ จึงไมท่ นั ไดพ้ นิ ิจพิเคราะห์ ก้ม
หน้าสดู กลิน่ กระดูกสตั ว์ท่รี าชสีหน์ า� มากิน สาวเทา้ เดินตอ่ ไป มารตู้ ัวเอา
ในเม่ือหัวไปชนกับสัตว์ตัวหน่ึงเข้าอย่างจัง เข้าใจว่าเป็นสัตว์ตายท่ีพญา
ราชสีห์ลากมาเก็บไว้ นึกดีใจท่ีจะได้กินอาหารให้อ่ิมหน�าส�าราญ จึงเงย
หนา้ ขน้ึ มาด ู แตอ่ นจิ จา แทนทจ่ี ะเปน็ โคกระบอื ดงั นกึ กลบั กลายเปน็ พญา
ราชสีหน์ อนขวางถา้� อยู ่ และถลงึ ตาอยา่ งน่ากลวั คร้นั จะหนีกไ็ ม่ทนั จึงท�า
เปน็ ใจดสี เู้ สอื กระดกิ หางแลบลน้ิ เลยี จมกู พบั หหู มอบคลานเขา้ ไปหาพญา
ราชสีห ์ ท�าทอี อ่ นน้อมเสียเหลือเกนิ

พญาราชสีหเ์ หน็ ดังนนั้ จึงถามวา่ “เจ้าสุนขั จิ้งจอก เจ้าหมอบคลาน
เข้ามาหาเราด้วยประสงค์อะไรหรือ?” สุนัขจิ้งจอกกล่าวด้วยน้�าเสียง
ออ่ นน้อมวา่ “ขา้ แตน่ าย ข้าพเจา้ อยู่วา่ งๆ ไม่รจู้ ะทา� อย่างไรกใ็ ครจ่ ะมารับ
ใช้ทา่ นผสู้ ูงศักดิ์ให้เปน็ สิรมิ งคลแก่ตัว หากทา่ นไมร่ ังเกียจ ขา้ พเจา้ จะขอ
อยรู่ บั ใชต้ ลอดไป ทา่ นจะคดิ ประการใดกส็ ดุ แตจ่ ะโปรดเถดิ ” “ดลี ะ” พญา
ราชสีห์กล่าวด้วยความเมตตา “ถ้าเจา้ ตัง้ ใจเช่นนน้ั จริง กจ็ งอยปู่ ฏิบตั เิ รา
เถิด เรอื่ งอาหารการกินไมต่ ้องเดอื ดร้อน เพราะเราจะจดั หาเนอ้ื ดี ๆ มา
ให้กิน”

ต้งั แตน่ ัน้ มา สุนัขจง้ิ จอกกท็ า� การปฏิบัติดแู ลพญาราชสีหเ์ ป็นอยา่ ง
ด ี จนพญาราชสหี เ์ กดิ ความรกั เอน็ ดแู ละไวใ้ จทกุ อยา่ ง วนั หนงึ่ จงึ ชวนสนุ ขั
จงิ้ จอกไปจับสัตวด์ ว้ ยกนั และบอกวา่ “ไปดว้ ยกนั ซเิ จา้ จง้ิ จอก จงไปยนื อยู่

162


บนยอดเขา มองดฝู งู สัตว์นานาชนดิ เจ้าอยากกิน ช้างตัวหนึ่งก�าลังตกมันในที่ไม่ไกล จึงไปบอกสุนัข

เนื้อสัตว์ประเภทใด จะเป็นเก้ง ละม่ัง โค หรือ จ้ิงจอกจับช้างตัวนั้น

กระบอื กบ็ อกเรา เราจะไปจบั มากนิ แลว้ แบง่ ใหเ้ จา้ สนุ ขั จงิ้ จอกไดฟ้ งั ดงั นน้ั กแ็ สดงกริ ยิ าเชน่ ราชสหี ์

กิน อยา่ งอ่มิ หนา� ทเี ดียว” ยืนบิดกาย เหลียวดูทศิ ท้งั สแ่ี ลว้ เปล่งเสียงคา� รามแบบ

สุนัขจิ้งจอกจึงเดินตามพญาราชสีห์ เม่ือถึง ราชสีห์ แต่สัญชาตจิ ิง้ จอก คงปล่อยเสียงหอนออกมา

เนินเขาใกล้ทุง่ หญ้าที่ฝูงสตั ว์หากิน กข็ น้ึ ไปบนเนนิ ตามเดิม หาได้เป็นเสียงสีหนาทไม่ จึงมิได้ท�าให้สัตว์

เลือกสัตว์ท่ีตนชอบแล้วกลับมาบอกพญาราชสีห์ ใดหวาดสะดงุ้ แมแ้ ตน่ อ้ ย เปลง่ เสยี งแลว้ วงิ่ ออกจากถา�้

พญาราชสหี ก์ แ็ ผดเสยี งวง่ิ ไปโดยเรว็ ตะปบสตั วน์ นั้ ไปโดยเร็ว ถึงช้างตกมันก็กระโดดเต็มแรงหวังจะข้ึน

ตายคาท่ี ตัวเองกินจนอ่ิมแล้วก็แบ่งให้สุนัขจ้ิงจอก ขยา�้ ตน้ คอชา้ ง แตอ่ นจิ จา เจา้ จง้ิ จอกโดดไปปะทะงาซงึ่

กินจนอิ่มหน�า แล้วเดินกลับเข้าถ�้านอนหลับต่อไป ช้างยกขึ้นรับไว้ ตกลงมาใกล้เท้าช้าง ช้างจึงยกเท้า

ท�าอยู่เช่นนีเ้ ป็นประจา� กระทืบซ้�าแล้วซา�้ เล่า ร่างกแ็ หลกลาญ ถงึ กาลอวสาน

คร้ันนานเขา้ เจ้าสุนัขชกั กา� เริบใจ ส�าคญั ว่า แห่งชีวิต ช้างเหยียบแหลกแล้วถ่ายอุจจาระรดซ้�าอีก

อยกู่ บั พญาราชสีห์ กินแบบราชสหี แ์ ล้วจะมีอา� นาจ แล้วรอ้ งโกญจนาทเขา้ ป่าไป

เหมอื นราชสหี ไ์ ปดว้ ย จงึ คดิ วา่ “ราชสหี ก์ ส็ ตั วส์ เ่ี ทา้ ชาดกเร่อื งนีช้ ใ้ี หเ้ หน็ คติธรรมแง่หนึ่งว่า คนที่

เราก็สัตวส์ ีเ่ ท้าเช่นกัน เหตไุ รเราจงึ ตอ้ งมาอาศยั ให้ โง่เมื่อได้ไปเกลือกกลั้วกับคนมีอ�านาจมักลืมตัว นึก

เพ่ือนเล้ียงทุกวันเล่า ต่อไปนี้กูจะเปล่ียนเวรกับ ว่าคงมีอ�านาจเหมือนผู้นั้น และท�าการด้วยความโง่

ราชสีห์ ผลัดกันจับเน้ือกินบ้าง จะให้พญาราชสีห์ เขลา ย่อมถึงความหายนะในที่สุด เราจึงควรรู้จัก

ไปเลือกสัตว์ท่ีชอบแล้วมาบอกเรา เราจะจับมาให้ ประมาณตวั ไว้เสมอ เมือ่ ไปอาศัยอยกู่ ับผ้ใู ดกอ็ ย่าไป

ราชสีห์บ้างละ” คิดแล้วจึงเข้าไปหาพญาราชสีห์ ตตี วั เสมอทา่ น อยา่ เอาอยา่ งสนุ ขั จงิ้ จอก อาศัยพญา

แล้วกล่าววา่ “นายเอย๋ ข้าพเจ้ากินเนื้อสัตว์ทท่ี ่าน ราชสหี ์แล้วทา� ตวั เปน็ ราชสหี ์ จงึ ถึงความหายนะ

จับมาให้กน็ านแลว้ อยากจะฆา่ ช้างดว้ ยตนเองบ้าง ดงั คติในโคลงสภุ าษิตประจ�าภาพว่า

ขา้ พเจา้ ขอนอนในถา้� ใหท้ า่ นไปเลอื กสตั วท์ ตี่ อ้ งการ

แลว้ กลบั มาบอก ขา้ พเจา้ จะวง่ิ ไปฆา่ มาใหท้ า่ น ทา่ น

จะได้เห็นฤทธ์บิ ้างว่าเพยี งไร”

พญาราชสีห์เตือนด้วยความหวังดีว่า “เจ้า

จงิ้ จอกเอย๋ เจา้ จะฆา่ ชา้ งอยา่ งเรานน้ั ไมไ่ ดด้ อก เจา้

เปน็ หมาจงิ้ จอก ถงึ จะอยกู่ บั ราชสหี ์ กไ็ มท่ า� ใหก้ ลาย (วโิ รจนชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย
เปน็ ราชสีหไ์ ปได้ อย่าท�าตวั ใหล้ า� บากเลย คอยกนิ ชาดก เอกนิบาต เลม่ ๒๙ หนา้ ๔๓๙)
เน้อื ท่ีเราจบั มาให้ดีกวา่ ” หมาจิ้งจอกมไิ ดเ้ ชือ่ ฟงั ค�า

แตอ่ ยา่ งใด เซา้ ซใ้ี หพ้ ญาราชสหี ค์ อยกนิ ชา้ งทมี่ นั จะ

จบั ให้ พญาราชสหี ไ์ ม่อาจหา้ มต่อไปได ้ จงึ บอกว่า

“ถา้ เชน่ นนั้ เจา้ ไปนอนบนทนี่ อนเราเถดิ ” ใหจ้ งิ้ จอก

ไปนอนในถา้� ตวั เองขึน้ ไปยืนดูบนชะง่อนผา เห็น

163


164


หมีกบั ไม้ตะครอ้

“เวรยอ่ มระงับ ดว้ ยการไม่จองเวร”

ครั้งหนงึ่ ในปา่ หิมพานต ์ สมยั พระเจ้าพรหมทัตเสวยราชย ์ ณ กรุง
พาราณสี มพี ราหมณช์ ่างไมค้ นหน่ึง ตั้งบ้านเรือนอยูน่ อกเมือง มีอาชพี
ทางหาไม้ป่ามาท�าเกวียนแล้วขายให้ชาวบ้าน เล้ียงครอบครัวด้วยความ
ผาสกุ มาตลอด ณ ปา่ ทพี่ ราหมณ์ชา่ งไมอ้ าศยั ตัดไมน้ ัน้ มตี ้นตะคร้อใหญ่
อยู่ต้นหน่ึง แผ่กงิ่ ก้านสาขาสงู ตระหง่านอย่กู ลางป่า สตั วท์ ัง้ หลายชอบไป
อาศัยนอนหลบแดดภายใตต้ น้ เปน็ ประจ�า

ในบรรดาสัตว์ท่ีชอบมาอาศยั มหี มตี วั หนงึ่ มานอนพกั ผอ่ นใต้ร่มไม้
ตะคร้อเปน็ ประจ�า แดดอ่อน ลมโชยเยน็ สบายจงึ ท�าให้เจา้ หมหี ลบั ไป แต่
แลว้ เจา้ หมกี ็ตอ้ งสะดงุ้ สุดตวั ในเมอ่ื มขี องแขง็ ๆ ก้อนใหญต่ กลงมาถกู หัว
อย่างแรง อารามตกใจลุกขึ้นได้ก็ว่ิงอย่างไม่เหลียวหน้าแลหลัง คิดว่าคง
เกดิ อันตรายจากเสอื โครง่ หรือสิงโตอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ เปน็ แน ่ เม่ือวิ่งไป
ไดค้ รู่ใหญ่จึงไดส้ ติ เหลยี วดขู ้างหลังก็ไม่มีสัตวต์ วั ใดตามมา จึงคอ่ ยชะลอ
ความเร็วลง มันคิดในใจว่า “สิงโตหรือเสือโคร่งที่ว่ิงตามเรามาก็ไม่ม ี
อันตรายที่เกิดแก่เราครั้งนี้มาจากอะไรหนอ?” ด้วยความอยากรู้จึงเดิน
อ้อมกลับไปท่ีเดมิ เห็นกิง่ ไมต้ ะครอ้ ผุทอ่ นหนึ่งตกลงมาท่ีตนนอนพอดี จึง
คดิ วา่ “ไมม่ ใี ครทา� อนั ตรายเรา นอกจากเทพยดาผสู้ งิ สถติ อยบู่ นตน้ ตะครอ้
ท่านคงไมต่ อ้ งการใหเ้ รามานอนใต้ต้นกระมงั จงึ ไดโ้ ยนกิ่งไม้ใส่หัวเพ่อื ไล่
เรา ถ้าเปน็ เชน่ นัน้ เราคงได้เหน็ ดีกันละคราวน”ี้ แลว้ เจา้ หมีก็กระโดดเข้า
กัดต้นตะคร้อ พร้อมขู่ค�ารามใส่เทวดาผู้สิงสถิตอยู่บนต้นไม้นั้นว่า “เจ้า
เทวดาใจร้าย ข้าไม่ได้หักกิง่ เด็ดใบ หรือท�าอนั ตรายใดๆ แม้สักนิด ขอ
อาศัยนอนนดิ หน่อยก็โกรธ ทมี ฤคชาติอ่ืนๆ ไมเ่ ห็นทา่ นว่ากระไร ปล่อย
ให้นอนตามสบาย รอสัก ๒-๓ วนั เถดิ ข้าจะจดั การขุดรากถอนโคน แล้ว
จะกัดให้เปน็ ทอ่ นเล็กทอ่ นน้อยให้จงได้”

ต้ังแต่นนั้ มา หมีกห็ าโอกาสท่ีจะโคน่ ต้นไม้น้ใี หจ้ งได ้ คร้งั นั้น นาย
ชา่ งไม้พรอ้ มดว้ ยลกู นอ้ ง ๒-๓ คน ขับเกวียนเขา้ มาในปา่ พกั เกวยี นไว้

165


ชายเขา ถือขวานและเลอื่ ยเข้าไปในป่า เดินมองหาตน้ ไมเ้ หมาะๆ ซึ่งจะน�าไปท�า
เป็นเกวียน หมีเหลียวเหน็ ชา่ งไม้กด็ ใี จ นึกในใจวา่ “คงไดแ้ กแ้ ค้นตน้ ตะครอ้ แน่
แล้วเรา” จึงเข้าไปยนื คอยชา่ งไม้อย่ใู ตต้ ้นไมต้ ะครอ้ น้ัน

ฝา่ ยช่างไม้มองทางโนน้ ทที างนีท้ ี ผ่านมาใกลต้ ้นตะคร้อนนั้ กไ็ ด้ยินเสียง
หมรี ้องทกั ขน้ึ วา่ “ท่านบุรษุ ผู้ถือขวาน! ขา้ พเจ้าเหน็ ทา่ นดอ้ มๆ มองๆ ชะรอยว่า
ท่านตอ้ งการไมไ้ ปทา� อะไรซกั อย่าง ทา่ นต้องการไมช้ นิดไหนละ บอกข้าพเจ้าซ ิ
บางทขี า้ พเจา้ อาจชว่ ยทา่ นได”้ พราหมณช์ า่ งไมต้ กใจทเี่ หน็ หมพี ดู ภาษามนษุ ยไ์ ด้
คดิ วา่ “เจา้ หมีนคี่ งรจู้ ักไมเ้ ปน็ อยา่ งด ี เพราะอาศยั อยู่ในป่าเป็นประจ�า” จึงเอย่
ถามขึ้น “น่ีพ่อหมี เจ้าเป็นสัตว์สัญจรไปมาในป่านี้เป็นประจ�า เจ้าพอจะให้ค�า
แนะนา� เราได้ไหมวา่ ไมอ้ ะไรท่คี วรเอาไปทา� กงรถไดด้ บี ้าง”

หมีคิดว่า “คราวนี้ ความอาฆาตของเราส�าเร็จแล้ว” จึงรีบบอกไปทันท ี
“นาย! กงเกวียนนจ้ี ะท�าดว้ ยไมร้ ัง ไม้เต็ง ไม้ตะเคยี น หรอื ไมต้ ะแบก ก็ไม่ดีทง้ั
นน้ั ข้าพเจา้ เหน็ ไมว้ ิเศษอย่อู ย่างเดยี วคือไม้ตะครอ้ ท่านจงหาไมช้ นิดนัน้ มาทา�
กงเกวียนเถิด” พราหมณ์ช่างไม้นึกกระหย่ิมในใจที่จะได้ไม้ที่สัตว์บอกมาท�า
เกวยี น จงึ ถามหมีตอ่ “ไมป้ ระเภทนขี้ า้ พเจ้าไมค่ ่อยคุ้น เจ้าช่วยบอกลกั ษณะใบ
เปลือกหรอื ลา� ตน้ ใหห้ น่อยได้ไหม เราจะเข้าไปหาเอง” หมีจึงตอบว่า “ลักษณะ
ไมต้ ะคร้อมีใบหนา ก่ิงเหนียวเหนย่ี วไมห่ ัก” แลว้ ชี้ไปยังต้นตะคร้อ พร้อมกลา่ ว
วา่ “นไี่ ง ต้นนี้แหละคอื ต้นตะคร้อ ท่านไม่ตอ้ งไปหาไกลหรอก รบี โค่นเสยี ขณะ
นี้เถดิ ไม้ชนิดนี้มิใชเ่ หมาะท่ีจะท�ากงเกวียนอย่างเดยี วเทา่ นัน้ ยงั สามารถเอาไป
ทา� เป็นก�า ดุม หรืองอนรถกไ็ ด้ด้วย” ครน้ั บอกแลว้ ก็นึกกระหย่ิมในใจ เดนิ หลกี
ไปทางอน่ื ชา่ งไมจ้ งึ เตรยี มการบวงสรวงสงั เวยขอขมาตอ่ รกุ ขเทวดา เพอ่ื ตดั ตน้ ไม้
ตน้ น้นั

เมื่อเทพยดาผู้สิงสถิตอยู่บนต้นทราบ ก็ตกใจ รู้ตัวว่าวิมานก�าลังจะถูก
ท�าลายเพราะความอาฆาตพยาบาทของหมี จึงผกู อาฆาตวา่ “เจา้ หมีตวั นีถ้ กู ไม้
ตะคร้อผหุ ลน่ ลงถูกหัวโดยบังเอิญ เขา้ ใจผดิ คดิ ว่าเราแกล้ง จงึ ผกู อาฆาตและหา
ทางท�าลายเรา ต่อไปน้ีเราจะได้รับความล�าบากแสนสาหัส ไหนๆ เราก็ถูกหมี
ทา� ลายแล้ว จะตอ้ งหาทางท�าลายมันใหจ้ งได”้

เทวดาจึงจ�าแลงเพศเป็นชายพเนจรเดินเข้ามาหานายช่างไม้ ซ่ึงก�าลัง
เตรียมโค่นตน้ ไม้อยู่ เอย่ ถาม “นายชา่ งผู้เจรญิ ! ทา่ นเลือกหาไมม้ าทง้ั วันเพิง่ จะ
ได้หรือ น่ีมันต้นตะคร้อ ท่านจะตัดไปท�าอะไร?” ช่างไม้ตอบ “เราจะเอาไป

166


ประกอบเปน็ เกวยี น เขาวา่ เปน็ ไมแ้ ขง็ ทนนกั ทา� เกวยี นไดท้ กุ สว่ นทเี ดยี ว” “ใคร
บอกทา่ นวา่ ไมน้ ใ้ี ช้ประกอบเปน็ เกวียนได้ดีท่สี ดุ ” “หมีมันบอกข้าพเจ้า” ชา่ งไม้
ตอบดว้ ยเสยี งดงั ฟงั ชดั “มนั พดู ถกู แลว้ ละ ไมป้ ระเภทนใี้ ชท้ า� เกวยี นไดด้ ที เี ดยี ว”
ชายพเนจรเห็นด้วย แลว้ พดู เสรมิ ต่อวา่ “แต่หมยี ังปกปดิ ทา่ นไวอ้ กี อยา่ งหนึ่ง
คอื เมอื่ ท�าเกวียนเสรจ็ แลว้ ถ้าไดใ้ ชห้ นังหมมี าตดั เป็นเสน้ ใหญป่ ระมาณ ๔ น้วิ
หุ้มโดยรอบกงเกวียนก็จะงดงามและทนทาน เวลาว่ิงจะเรียบดีขึ้นมากทีเดียว
ทเ่ี จา้ หมไี มไ่ ดบ้ อกไวก้ เ็ พราะมนั ตอ้ งการปดั อนั ตรายใหพ้ น้ ตวั ทา่ นจงรบี ไปเอา
ตัวมันมา แลว้ ถลกหนงั เอาไปใช้เถิด”

“มนั จะยอมมากับขา้ พเจา้ หรอื ” ชา่ งไม้ยอ้ นถาม “ทา่ นเป็นมนุษย์ จะไป
โงก่ ับมนั ท�าไมเล่า” ชายพเนจรแนะนา� “ท่านไปถงึ แลว้ ก็บอกมนั วา่ เราก�าลังจะ
ตัดต้นไม้ เชญิ เจา้ ไปใหค้ �าแนะน�าในการตดั ต้นไม้ดว้ ยและจะมอบเคร่ืองสังเวย
ให ้ เมอ่ื มันหลงกลท่านยอมมาแลว้ ก็ให้มนั ยนื ชต้ี า� แหน่งทีจ่ ะฟนั หลงั จากนนั้
ทา่ นกฟ็ นั ลงทห่ี วั มนั กเ็ ปน็ อนั เสรจ็ ” ชายพเนจรครน้ั กลา่ วจบ กเ็ ดนิ เขา้ ไปในปา่
กลบั เพศเปน็ เทวดาตามเดิม ชา่ งไม้ท�าตามค�าแนะนา� ของชายพเนจร เตรียม
ขวานไว้อย่างคมกริบ เม่ือทุกสิ่งเป็นไปตามแผนท่ีวางไว้ก็จัดการฆ่าหมี ถลก
หนงั เอามาผึ่งแดดไว้ แล้วจงึ ไปตดั ตน้ ตะครอ้ มาประกอบเกวยี นตอ่ ไป

นัยว่า ตั้งแต่นั้นมา หมีกับไม้ตะคร้อก็ผูกเวรซ่ึงกันและกัน จนกระทั่ง
ปจั จบุ นั กเ็ ลา่ กนั วา่ เมอ่ื หมพี บไมต้ ะครอ้ ครง้ั ใดกจ็ ะตรงเขา้ ไปทา� รา้ ยในทนั ท ี จน
มคี า� กล่าวว่า ผกู เวรกนั เหมือนหมกี บั ไม้ตะครอ้ ฉะน้ ี

นทิ านชาดกเรื่องน้ีชใ้ี หเ้ ห็นคตธิ รรมบทหน่ึงว่า การจองเวรมงุ่ อาฆาต
มาดรา้ ยซง่ึ กันและกนั ย่อมถึงความหายนะด้วยกันท้งั สองฝา่ ย โบราณท่าน
เปรยี บเหมือนการสาดน้�ารดซึ่งกนั และกนั ย่อมจะเปียกดว้ ยกันทงั้ สองฝา่ ย
แม้ทางพระพุทธศาสนากส็ อนว่า “เวรยอ่ มไมร่ ะงบั ด้วยการจองเวร แตเ่ วร
ย่อมระงับดว้ ยการไม่จองเวร” ในภาษิตไทยทา่ นใหข้ ้อคดิ เป็นคตไิ วว้ ่า “รัก
ยาวให้บั่น รกั สัน้ ให้ต่อ” หมายความว่า ถ้าต้องการมิตรภาพยดื ยาวตอ่ ไปก็
ใหบ้ น่ั ทอนการผกู เวรกนั เสยี แตถ่ า้ ตอ้ งการใหม้ ติ รภาพสน้ั เขา้ กใ็ หต้ อ่ ความ
ยาวสาวความยืดเร่ืองผูกเวรกันต่อไป จึงควรถอื เป็นคติเตอื นใจอีกข้อหนึง่

(ผันทนชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย

ชาดก เตรสนบิ าต เลม่ ๓๓ หน้า ๑๗๐)

167


168


กอ้ นหนิ พูดได้

“ปัญญาพาตวั รอด”

คร้ังหน่ึง ในปา่ หิมพานต์ พระโพธิสัตวเ์ กดิ เปน็ ลิง มรี า่ งใหญ่ และ
มีเรี่ยวแรงมาก เท่ียวหากินอยู่ตามฝั่งแม่น�้าในป่าลึก ในที่ไม่ไกลจากฝั่ง
แม่น้า� นนั้ มเี กาะใหญ่เกาะหนึ่ง มีผลไมห้ ลายชนิด เช่น มะมว่ ง ขนุน และ
ผลไมเ้ ถา เชน่ ลกู ต�าลึงและเงาะปา่ เปน็ ต้น ระหว่างทางจากฝงั่ ถึงเกาะมี
หินดาดใหญ่ก้อนหน่ึงโผล่จากน�้าพอเป็นที่ยืนได้ เน่ืองจากพญาวานร
โพธสิ ตั วม์ กี า� ลงั แขง็ แรง จงึ กระโดดจากฝง่ั แมน่ า�้ ไปยนื ทห่ี นิ ดาดนน้ั แลว้ ก
ระโดดจากหินดาดไปสู่เกาะ เที่ยวหาผลไม้กินจนอ่ิมหน�าส�าราญแล้วก็
กระโดดจากเกาะมาพกั ทหี่ นิ ดาด กระโดดจากหนิ ดาดไปสฝู่ ง่ั แลว้ ไปยงั ที่
อย่ขู องตน ทา� อยู่อย่างนีเ้ ป็นประจา�

ในแม่น้�าสายนัน้ มีจระเขใ้ หญ่ผัวเมยี คู่หน่ึงอาศัยอยู่ คร้ังหนงึ่ นาง
จระเข้เห็นลิงใหญ่กระโดดข้ามไปมาอยู่ประจ�า นางเกิดแพ้ท้องอยากกิน
หวั ใจลิง จึงออ้ นวอนจระเข้ตัวผ้วู ่า “พ่อจา๋ ! แพท้ ้องคราวน้ี อยากกนิ หัวใจ
ลงิ ทีก่ ระโดดไปมาระหว่างฝั่งกบั เกาะนี้ พ่อช่วยจัดการใหห้ น่อยไดไ้ หม?”
“ได้ซิจ๊ะ ฉนั ก็เหน็ อย่เู ปน็ ประจ�า คดิ หาทางจะกินมนั มานานแลว้ หวั ใจลิง
เป็นของเธอแตเ่ นื้อเปน็ ของฉนั คงอร่อยไม่นอ้ ยทเี ดียว พี่จะจอ้ งจับมนั ใน
วันน้ีแหละ” แล้วเจ้าจระเข้ก็ว่ายเข้าไปใกล้หินดาด เอาหัวเกยหินดาดไว ้
กะวา่ ถา้ เจา้ ลงิ กระโดดเกาะหินกจ็ ะอ้าปากงบั ลากลงนา�้ ทันที

วันนนั้ วานรโพธิสัตวข์ ้ามไปหากนิ ทีเ่ กาะแต่เชา้ ครน้ั เวลาเกือบ
พลบค่�าก็กลับหวังว่าจะกระโดดไปเกาะที่หินดาดเหมือนเดิม เม่ือเพ่ง
สายตาไปที่หินดาด ก็เห็นว่ามีอะไรอย่างหน่ึงผิดปกติ คือหลังหินดาดที่
เคยเตีย้ ปรม่ิ ๆ นา�้ คราวน้ีสงู ขึ้นผดิ ปกต ิ ปรมิ าณน้า� ก็มไิ ด้ลดลง แต่ท�าไม
พน้ื หินจงึ สงู มากข้ึน คิดวา่ นา่ จะมจี ระเข้มาเกยหินคอยจับเราบา้ งกระมงั ”

พระโพธิสัตวย์ นื อยู่ชายฝ่ังน้นั เอง แกลง้ พดู ขึ้นดว้ ยเสียงอันดัง “นี่
เจ้าหิน....เจา้ หิน....เจา้ หิน..” เงียบไมม่ ีเสียงตอบ พระโพธิสัตวก์ เ็ รยี กซา�้

169


อกี “วา่ ไงเจา้ หนิ ทกุ วนั เคยพดู ตอบฉนั แตว่ นั นเี้ ปน็ อะไรไปหรอื จงึ เงยี บ
ไป?” เงยี บไม่มเี สียงตอบจากหิน

จระเข้นกึ เอะใจ สงสยั ว่าเจ้าหนิ ดาดนค้ี งพดู ได้ และเคยพดู ตอบ
กบั ลิงประจ�า ถ้าเราไม่ตอบอาจทา� ใหล้ งิ สงสัย จงึ ตอบไปด้วยเสียงปกต ิ
“อะไรหรอื เจา้ ลงิ ?” “เจา้ เปน็ ใคร ทา� ไมมเี สยี งอยา่ งนนั้ ” “เราเปน็ จระเข”้
เจา้ จระเขต้ อบอยา่ งลมื ตวั “เจา้ มานอนทน่ี เ่ี พอ่ื ตอ้ งการอะไร?” “ตอ้ งการ
หัวใจของเจา้ เปน็ อาหารนะซ”ิ

พระโพธสิ ตั วค์ ดิ อบุ ายไดอ้ ยา่ งหนงึ่ จงึ พดู กบั จระเข ้ “ถา้ อยา่ งนน้ั ก็
ไมเ่ ปน็ ไร เรายินดสี ละรา่ งกายใหก้ ับเจา้ อ้าปากรอทา่ ไว้ได้เลย ฉนั จะ
กระโดดเขา้ ปากเจา้ ในทันท ี คอยงบั กแ็ ลว้ กนั ” เจ้าจระเขด้ ใี จ หลบั ตาอ้า
ปากคอยเหยื่อท่ีจะเข้ามาถึงปาก พระโพธิสัตว์รู้ดีว่าเม่ือจระเข้อ้าปาก
กว้าง ตาของมันก็จะปดิ สนิท จงึ กระโดดให้สงู พน้ ปากที่อา้ อย่ ู เหยยี บ
หวั ใกลค้ อ แลว้ กระโดดต่อไป ข้ึนฝัง่ แม่น้า� ได้อยา่ งปลอดภัย

จระเขเ้ หน็ ความสามารถของพญาลงิ โพธสิ ตั วก์ อ็ ศั จรรยใ์ จ จงึ กลา่ ว
วาจาสรรเสรญิ ดว้ ยบทโศลกวา่

“ทา่ นพญาวานร (ขา้ พเจา้ ไดย้ นิ มาวา่ ) ธรรมะ ๔ ประการ คอื
ค�าสตั ย์ ๑ วิจารณปัญญา ๑ ความเพยี รไมย่ อ่ หยอ่ น ๑ ความเสีย
สละตน ๑ มแี ก่บคุ คลใด เหมือนมแี กท่ ่าน ผนู้ ัน้ ยอ่ มพ้นจากเงอื้ ม
มือศัตรไู ปไดเ้ สมอ”

(วานรนิ ทชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย
ชาดก เอกนิบาต เลม่ ๒๙ หนา้ ๗๔)

170


171


จ้ิงจอกกบั ราชสีห์

“อย่าทา� การโดยผลีผลาม”

ครง้ั หนงึ่ ในปา่ หมิ พานต ์ มรี าชสหี ฝ์ งู หนงึ่ เปน็ พน่ี อ้ งรว่ มทอ้ งเดยี วกนั
เมือ่ ราชสหี ต์ ัวพ่อตายไปแล้ว ไดพ้ ากันอาศัยอยู่ในถ้�ากาญจนคหู า ราชสีห์
ทงั้ หลายตา่ งมคี วามรกั ใครก่ นั เปน็ อยา่ งด ี ตวั สดุ ทอ้ งเปน็ ตวั เมยี จงึ ถกู แบง่
หนา้ ท่ีใหเ้ ปน็ ผูเ้ ฝา้ ถ้า� ไม่ตอ้ งออกไปหากนิ เมอื่ ราชสีห์ตัวพี่ๆ หามาได้ก็
คาบเอาเนือ้ มาฝากเสมอ ได้อยกู่ ันด้วยความผาสกุ ตลอดมา

ณ ถา�้ ใกลก้ าญจนคหู าของราชสหี น์ น้ั มถี า้� แกว้ ผลกึ อยถู่ า�้ หนงึ่ นยั วา่
ถ�้าแก้วผลึกนี้มีหินใสคล้ายกระจก สัตว์ข้างนอกอาจมองเห็นสัตว์ท่ีอยู่
ภายในไดช้ ดั เจน จงึ ไดช้ อ่ื วา่ ถา�้ แกว้ ผลกึ ในถา�้ นมี้ สี นุ ขั จง้ิ จอกตวั หนงึ่ อาศยั
เปน็ ท่ีหลับนอนตลอดมา

วันหน่ึง สุนัขจ้ิงจอกนึกคร้ึมใจใคร่จะเข้าไปเที่ยวถ�้าราชสีห์ เม่ือ
สงั เกตเหน็ วา่ ราชสหี ต์ วั ผอู้ อกจากถา้� ไปหากนิ กนั หมดแลว้ เหลอื แตร่ าชสหี ์
สาวน้อยเฝา้ ถ�้า จงึ ค่อยๆ ยอ่ งเขา้ ไปแล้วแสดงอาการลอ้ เลียน หวงั ให้เกดิ
ความพอใจแกร่ าชสหี ส์ าว นางราชสหี เ์ หน็ วา่ สนุ ขั จงิ้ จอกเปน็ สตั วช์ นั้ ตา่� จงึ
มไิ ด้สนใจในอาการกริ ิยาของมัน เจา้ สนุ ขั จ้งิ จอกจึงไดใ้ จ เข้าใจว่าราชสหี ์
สาวคงพอใจในตัวบา้ ง จึงแสดงอาการของสตั วเ์ ป็นเชงิ เก้ยี วพาราสี กลา่ ว
ถ้อยคา� ด้วยภาษาสัตว์ “แม่สาวนอ้ ย เธอกเ็ ป็นสตั ว์สีเ่ ท้า ฉนั ก็เปน็ สัตวส์ ่ี
เทา้ ชอ่ื วา่ เรามศี กั ดศ์ิ รเี สมอกนั ถา้ เราจะอยรู่ ว่ มกนั ฉนั ทส์ ามภี รรยาคงไม่
เปน็ ไร เชญิ มาอยรู่ ่วมกบั ฉันเถดิ ”

นางราชสีห์ได้ฟังดังน้ันก็โกรธมาก จึงแผดเสียงค�ารามจนสุนัข
จิง้ จอกสะดุ้งกลวั แล้วหลกี หนไี ป แตน่ างมานอ้ ยใจว่าตนเกดิ มาในตระกลู
ราชสีห์เป็นสัตว์ประเสริฐ มาถูกเจ้าสุนัขจิ้งจอกสัตว์ช้ันต่�ากล่าวเหยียด
หยามลวนลามดังน้ันก็เสยี ใจ ใครจ่ ะฆา่ ตวั ตายเสีย แตห่ วนรา� ลกึ ถึงพ่ชี าย
ทงั้ หลายซงึ่ ยงั ไมก่ ลบั จากปา่ จงึ คดิ วา่ “ควรแจง้ เรอ่ื งทงั้ หมดใหพ้ ี่ ๆ ทราบ
แลว้ จึงคอ่ ยตาย” เกบ็ เรอื่ งนนั้ ไวเ้ พอ่ื บอกแก่ราชสหี พ์ ีช่ ายตน

172


ราชสีห์ตัวน้องมาถึงถ�้าก่อน เห็นราชสีห์น้องน้อยมีหน้าไม่เบิกบาน
เหมอื นกอ่ นๆ และไมย่ อมรับชิ้นเนื้อท่คี าบมาให้ เขา้ ใจวา่ คงไม่สบายด้วยโรคอย่าง
ใดอย่างหนึ่ง จงึ ถามข้ึน “น้องเอ๋ย วนั นีด้ นู อ้ งไมม่ สี ขุ เลย เกิดเจบ็ ไขห้ รือมีใครมา
รังแกประการใด บอกพ่ีมาเถิดจะช่วยจัดการให้” ราชสีห์สาวเล่าความทั้งน�้าตาว่า
“พจ่ี า๋ เมอ่ื สกั ครนู่ เ้ี จา้ สนุ ขั จง้ิ จอกชาตชิ วั่ เขา้ มาในถา้� ของเรา มนั บงั อาจใชว้ าจาหยาบ
เกยี้ วพาราสี ชวนใหไ้ ปอยูร่ ว่ มกันกบั มนั นอ้ งฟงั แลว้ ท้งั เจบ็ ท้ังอาย อยากจะตายไป
เสยี ให้พน้ อาย จงึ ไมม่ ีความสบายใจ”

ลูกสีหะตัวพ่ีได้ฟังดังน้ันก็โกรธ จึงถามว่า “เวลาน้ีเจ้าสุนัขจ้ิงจอกตัวน้ันมัน
อยู่ที่ไหน พี่จะไปจับมันฉีกเนื้อเสียในบัดน้ี” เม่ือได้ทราบว่าสุนัขจิ้งจอกนอนอยู่ใน
ถา�้ แกว้ ผลกึ อกี ถา�้ หนง่ึ ดว้ ยอารมณโ์ กรธไมท่ นั ไดพ้ จิ ารณา เขา้ ใจวา่ สนุ ขั จง้ิ จอกนอน
อยใู่ นทโ่ี ลง่ จงึ กระโจนอยา่ งสดุ แรง พงุ่ ตวั เขา้ หาหวงั จะจบั ฉกี เนอ้ื เสยี ศรี ษะจงึ ปะทะ
เข้ากับก�าแพงผลึกอย่างถนัด ท�าให้ศีรษะแตกมันสมองไหล คอหักตายกล้ิงตกลง
มาจากเชงิ เขา

ฝ่ายลูกสีหะตัวถัดไป มาถึงถ�้าเห็นน้องสาวไม่สบายใจจึงถามเช่นคราวก่อน
เม่ือทราบว่าสุนัขจิ้งจอกมาลวนลามถึงถ้�าก็โกรธจัดเช่นกัน จึงว่ิงไปโดยเร็ว โดด
เข้าหาสนุ ขั จ้ิงจอกหวังจะตะปบ ฉีกเน้อื เสีย แต่ดว้ ยความหุนหันพลันแลน่ มไิ ด้พินจิ
พเิ คราะหใ์ หถ้ อ่ งแท ้ เอาศรี ษะไปกระแทกหนิ ใสคอหกั ตายไปในทเ่ี ดยี วกนั แมร้ าชสหี ์
พช่ี ายอกี หนงึ่ ตัว กต็ ายตามกนั ไปเพราะโกรธ

พระโพธิสตั ว์ซง่ึ เป็นราชสีหต์ ัวพี่ มาถึงถ�้าชา้ กวา่ ตัวอ่ืน เม่อื ถามนางราชสหี ์
น้องสาวได้ความว่ามีสุนัขจ้ิงจอกมาลวนลาม พ่ีๆ ต่างพากันไปแก้แค้นยังไม่กลับ
ก็สงสยั จึงตามไปยงั ทสี่ ุนขั จิง้ จอกนอนพกั อย ู่ เห็นรอยเลอื ดเปรอะไปทั่วบรเิ วณ จึง
ลงไปสา� รวจดรู อบ ๆ กพ็ บสีหะน้องๆ นอนตายทบั กนั อย่ทู ุกตัว จึงนึกปลงสังเวช
“น้องเรามแี ต่กา� ลงั แตไ่ รป้ ญั ญาความรอบคอบ จึงถึงความพนิ าศไปตามๆ กนั การ
ทา� อะไรโดยผลีผลาม มิได้พิจารณาใหร้ อบคอบ ยอ่ มถงึ ความพนิ าศ ฉะน้ี” เม่ือคดิ

173


ดังน้ันแล้ว จึงค้นหาสุนัขจ้ิงจอก เห็นนอนสงบอยู่บนแผ่นหินใสคล้าย
กระจกจงึ รวู้ า่ เจา้ สนุ ขั จิ้งจอกนีน้ อนบนหนิ เปน็ ที่กา� บัง จึงหาวธิ กี ารท�าให้
สุนขั ตายด้วยอบุ าย เดนิ ไตเ่ ลียบไปตามทางขึ้นของสุนขั จิง้ จอก แลว้ เปล่ง
สีหนาท (เสียงค�ารามของราชสีห)์ ออกเตม็ เสียง

สุนัขจ้ิงจอกก�าลังหลับ คร้ันถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงสีหะเช่นนั้นก็
ตกใจสุดขีด ทะลึ่งข้ึนเอาศีรษะชนแง่หินอย่างแรง นอนส้ินใจอยู่ ณ ท่ี
นน่ั เอง เมอื่ ได้ฆ่าสุนขั จงิ้ จอกด้วยอุบายแล้วจงึ ลงมามองศพสหี ะน้องชาย
ทตี่ ายทบั กนั อย ู่ แลว้ กลบั ไปบอกแกน่ อ้ งสาวดว้ ยความเศรา้ ปลอบประโลม
ให้หายโศก อยู่ ณ ถา้� นั้นจนถึงกาลอวสานแหง่ ชีวติ

ชาดกเรื่องน้ีมีคติธรรมสอนว่า คนเราแม้จะมีก�าลังแข็งแรง มี
อ�านาจเช่นราชสีห์ผู้เป็นเจ้าสัตว์ท้ังหลาย แต่ถ้าท�าส่ิงใดโดยผลีผลาม
ไมท่ นั ไดพ้ นิ จิ พเิ คราะหโ์ ดยถถี่ ว้ นเสยี กอ่ นแลว้ ยอ่ มถงึ ความพลาดพลงั้
ถงึ สน้ิ ชวี ติ ได้ ดตู วั อยา่ งเชน่ ราชสหี ผ์ นู้ อ้ งๆ เพยี งการจบั สนุ ขั จงิ้ จอกตวั
เล็กๆ ซึ่งนับว่างา่ ยมาก แตอ่ าศยั การท�าด้วยผลีผลามไม่รอบคอบ มิได้
ใชป้ ัญญา จงึ กลายเปน็ งานใหญ่ เอาชีวิตสีหะเข้าแลกถงึ ๓ ตวั แต่
พระโพธสิ ตั วท์ รงมปี รชี าสามารถใครค่ รวญทหี นที ไี ลโ่ ดยแท้ แลว้ ทา� ดว้ ย
ความไมป่ ระมาท เพยี งใชเ้ สยี งเทา่ นน้ั กฆ็ า่ ไดส้ า� เรจ็ จงึ ควรทเี่ ราทง้ั หลาย
จะได้ถือเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติงานด้วยความรอบคอบเสมอไป
สมดังนัยธรรมภาษติ วา่

“นสิ มมฺ กรณ� เสยโฺ ย
ใคร่ครวญเสยี กอ่ น แลว้ จึงท�าการน่นั แหละเปน็ ความด”ี

(สิคาลชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก ทุกนิบาต เลม่ ๓๐ หนา้ ๙)

174


175


ชีเปลือยปลอม

“ปลาหมอตายเพราะปาก”

นานมาแล้ว มีพ่อค้าส�าเภากลุ่มหน่ึงบรรทุกสินค้าเต็มเรือ ออก
แลน่ ใบไปในทะเลเพอื่ ขายในเมอื งอน่ื ขณะเรอื แลน่ ไปในทะเลในวนั ท ี่ ๗
เกิดมรสุมใหญ่พัดเรือส�าเภาอับปางลง ลูกเรือทั้งหลายต่างก็ว่ายน�้าเอา
ตวั รอด แตท่ ี่จมนา้� ตายเป็นภักษาแหง่ ปลาเต่าไปเป็นอนั มาก เหลอื รอด
มาไดเ้ พยี งคนเดยี ว ถกู คลนื่ ซดั ไปขนึ้ ฝง่ั ยงั ทา่ นา้� แหง่ หนง่ึ ไมม่ ผี า้ ตดิ กาย
แม้แตช่ นิ้ เดียว จงึ ถือกะลาเปลือยกายไปขอทานเขากนิ ตามหม่บู า้ น

ประชาชนเหน็ เขากเ็ ข้าใจว่าเป็นนกั บวชพวกชเี ปลือยทมี่ คี วามมัก
น้อย สันโดษมาก จึงไม่นุง่ ผา้ พากันมากราบไหวบ้ ชู า เอาของมาทา� บญุ
กันเป็นอันมาก มนุษย์ชีเปลือยเห็นดังน้ันจึงคิดว่า “เราจะต้องถือการ
เปลอื ยกายเปน็ อาชพี เพอื่ ใหค้ นเลอื่ มใสจะไดไ้ มเ่ ดอื ดรอ้ นดว้ ยความเปน็
อยู่” เม่ือมีคนน�าผ้ามาให้ก็ปฏิเสธว่า “ได้ถือบวชเป็นชีเปลือยอย่าง
เครง่ ครดั เสยี แลว้ ” ประชาชนจงึ นบั ถอื ในฐานะผทู้ รงศลี ลาภสกั การะจงึ
เกิดขึน้ แกเ่ ขาอยา่ งมากมาย

ยงั มพี ญาสตั ว ์ ๒ ตวั คอื พญาครฑุ และพญานาค ทง้ั สองไมถ่ กู กนั
พยายามหาหนทางท�าลายซ่ึงกันและกันเสมอ เผอิญมานับถือชีเปลือย
ด้วยกันท้ังคู่ พญาครุฑทราบว่าพญานาคมาคลุกคลีกราบไหว้ชีเปลือย
เป็นประจ�า ใครจ่ ะลวงถามเอาความลบั จากพญานาคใหจ้ งได้ จึงเข้าไป
หาชเี ปลอื ย ไหวแ้ ลว้ นง่ั ทคี่ วร เอย่ ขนึ้ วา่ “ทา่ นสมณะผทู้ รงศลี พวกญาติ
ของข้าพเจา้ เสยี ทพี วกพญานาค จมนา�้ ตายเสยี มากต่อมากแล้ว เพราะ
ไม่รู้วิธีจับ ไม่ทราบว่าเคล็ดลับในการจับพญานาคน้ันมีอยู่ ขอท่านได้
โปรดกรณุ าลวงถามความลบั นัน้ แล้วบอกกบั ขา้ พเจ้าดว้ ยเถิด ข้าพเจ้า
จะไมล่ มื พระคุณของท่านเลย” ชีเปลือยมสี ันดานตา�่ มาก่อน จึงมิทันคิด
หนา้ คิดหลัง รบั คา� ว่า “ไดซ้ ิ ข้าพเจา้ จะหลอกถามแลว้ นา� มาบอกเจา้ ”

ต้งั แตน่ ้นั มากก็ ระเซ้ากระซ้ถี ามพญานาคอยู่ถึง ๒ คร้ัง กไ็ ม่ได้

176


รับค�าตอบ ครัง้ ท ี่ ๓ กถ็ ามอกี พญานาคทนความรบเร้าไม่ได้ จงึ ตอบว่า “ทา่ นขอรับ
ทีไ่ มย่ อมบอกกเ็ พราะเกรงว่าท่านจะนา� ความลบั นไี้ ปบอกศัตรู ถ้าท่านปฏิญญาไดว้ า่ จะ
ไมไ่ ปบอกกบั ใครเปน็ อันขาดก็จะบอกความลับให้” ชีเปลอื ยจงึ ตอบว่า “วางใจเถอะพ่อ
นาค เราเป็นสมณะ ยอ่ มรักษาสัตยย์ งิ่ กวา่ ชวี ิตเสยี อกี ”

พญานาคได้ฟังดังนัน้ ก็ตายใจ จึงเล่าความลบั ให้ฟงั วา่ “ท่านสมณะ พวกครฑุ ไม่
ฉลาดในการจับพวกข้าพเจ้า จงึ ไม่สามารถจบั ได ้ กอ่ นท่ีจะมกี ารส้รู บกับครฑุ แตล่ ะคร้ัง
พวกญาตขิ องข้าพเจา้ กลืนกอ้ นหนิ เขา้ ไปในทอ้ ง เพอ่ื ถ่วงตวั ให้หนักไว้ เมอื่ พญาครุฑจะ
จับก็ชคู อขนึ้ รบั เมือ่ พวกพญาครฑุ จับคอแล้ว กฉ็ ดุ ไม่ขน้ึ เพราะหนิ หนัก ข้าพเจ้าก็ด้นิ
ให้ครุฑเสียหลัก ประกอบกับความหนักจึงตกลงไปในน้�า พอขนเปียกข้ึนไม่ได้ก็จม
นา้� ตาย ณ ทนี่ นั้ เอง แตถ่ า้ ครฑุ ฉลาดจบั ทข่ี นดหางแลว้ ปลอ่ ยหวั ขา้ พเจา้ ใหห้ อ้ ยตา่� หนิ
ทกี่ ลนื เขา้ ไวก้ จ็ ะหลดุ ลงมา ตวั กเ็ บาขนึ้ ครฑุ กจ็ ะนา� ไปไดโ้ ดยงา่ ย พวกครฑุ โง ่ หารเู้ คลด็
ลบั อนั นีไ้ ม ่ จงึ ไม่สามารถจับพวกข้าพเจ้าได ้ ขอท่านได้โปรดปดิ ไวเ้ ปน็ ความลบั ด้วย”

ครน้ั พญานาคหลกี ไปแล้ว พวกครุฑก็มาถงึ ถามชีเปลือยว่า “ความลบั จากพวก
พญานาคท่านได้มาหรือยัง” ชีเปลือยทุศีลจึงเล่าให้ฟังตามที่พวกพญานาคบอกทุก
ประการ ครุฑได้ฟังดังนั้น ก็ดีใจ บินไปยังส�านักนาคราช โฉบลงจับที่ขนดหางของ
พญานาค ปลอ่ ยศีรษะหอ้ ยลง ทา� ใหส้ ิ่งทอ่ี ยใู่ นทอ้ งสา� รอกออกมาหมด แลว้ บนิ ไปบน
อากาศทันท ี

พวกนาคราชถกู นา� หวั หอ้ ยลงมาบนอากาศ กท็ ราบไดท้ นั ทวี า่ ความลบั ของเราถกู
เปิดเผยแลว้ จงึ ร�าพันดว้ ยความเสยี ใจวา่ “คนไร้ปญั ญา ขาดความพนิ จิ พเิ คราะห์โดย
รอบคอบ ไมร่ ะวงั วาจา เปดิ เผยความลบั แกผ่ อู้ นื่ ยอ่ มประสบอนั ตรายเชน่ ทเี่ ราประสบ
อยนู่ ้ี”

“มติ รที่ไมค่ วรรู้ความลับม ี ๓ ประเภท คือ มติ รโง ่ ไร้ความร้ดู ีร้ชู อบ กับมติ ร
ฉลาดแต่ไม่เห็นประโยชนข์ องเพ่อื น คนนอกจากมติ รไมค่ วรให้ความลับม ี ๔ ประเภท
คือ หญิง ศตั ร ู ผูม้ งุ่ สินบน และคนมุ่งรา้ ย” “คนปากชั่ว ปากเหม็น ปากบอน ปากของ
เขายอ่ มมีพิษ ไม่ผิดกบั ปากงเู หา่ เพราะฆ่าคนได้ด้วยปากเชน่ เดียวกัน”

พญาครฑุ ได้ฟังดังนน้ั จึงเอย่ ขึ้นว่า “ทา่ นพญานาคราช ในระหว่างคนทง้ั สามน้ี
คือ ขา้ พเจา้ ท่าน และชเี ปลือย ผ้ทู ี่เป็นฝ่ายผิด ควรไดร้ ับคา� ตา� หนมิ ากท่ีสุดก็คอื ตัว
ท่านเองมิใชข่ ้าพเจ้า และชีเปลือย ความลบั นัน้ อยู่ถงึ สว่ นลึกของหัวใจ มกี �าแพงกัน้ ตง้ั
หลายชน้ั ไมม่ ใี ครลว้ งออกมาได ้ ทา่ นนนั่ แหละคายออกมาใหเ้ ขาเอง แลว้ จะไปโทษใคร
เลา่ อนั ความลบั เกย่ี วกบั ความเปน็ ความตายของหมูญ่ าติตอ้ งปกปิดอยา่ งที่สุด อย่าวา่
แต่บอกกบั ชเี ปลือยเลย แม้แตม่ ารดาบดิ า บตุ รภรรยา กไ็ ม่ควรบอก เม่อื เป็นเชน่ นีจ้ งึ
ไม่ควรติเตียนข้าพเจา้ หรือชีเปลอื ย แตค่ วรติเตียนตนเองใหจ้ งมาก”

177


พญานาคราชได้ฟังดังนั้นก็ได้ความคิด เพื่อจะร้องขอชีวิตกับพญาครุฑจึง
กล่าววา่ “มารดาบิดาเหน็ บตุ รแล้วเอ็นดูอย่างไร กข็ อให้ท่านเอ็นดแู ก่ข้าพเจ้าฉัน
นั้นดว้ ยเถดิ ” พญาครุฑจงึ กล่าวว่า “พญานาคราช เม่อื ทา่ นหมดพยศและมานะ
ยอมตวั มาเปน็ ลกู เชน่ น ี้ จงอยใู่ นฐานะลกู ศษิ ย ์ ลกู บญุ ธรรมหรอื ลกู ตวั กส็ ดุ แตท่ า่ น
เถดิ เราจะใหค้ วามคมุ้ ครองแกท่ า่ นตลอดไป” วา่ แลว้ กบ็ นิ ลงมายงั พนื้ วางนาคราช
ลงกบั ดิน เม่อื ปรับความเขา้ ใจกันดีแลว้ จึงพากันไปยงั สา� นักชีเปลอื ย พญาครุฑ
คดิ วา่ “พญานาคคงไมใ่ หช้ วี ติ แกช่ เี ปลอื ย แมเ้ รากจ็ ะไมไ่ หวม้ นั ผปู้ ราศจากศลี ” จงึ
รออยูข่ ้างนอก ปลอ่ ยใหพ้ ญานาคเขา้ ไปหาชีเปลือยแตผ่ ู้เดียว เม่ือพญานาคพบชี
เปลือย จงึ กล่าวบรภิ าษวา่ “เฮ้ย เจา้ ชเี ปลือยผู้ไร้ศลี เจ้ามนั ชอบพดู เท็จ ล�าเอียง
ดว้ ยอคต ิ เปน็ คนชาตชิ วั่ ทา� ตวั เปน็ ผปู้ ระเสรฐิ เปน็ สมณะไมม่ คี วามละอายเสยี เลย
เจ้าจะตอ้ งรับผลกรรมทันตาเห็น เราจะขอสาปแช่งเจ้าตลอดไป”

ครนั้ บรภิ าษจนพอใจแลว้ จงึ กลา่ วอธษิ ฐานวา่ “เฮย้ เจา้ คนใจทราม หากเจา้
มนั เลวจรงิ ดงั ขา้ พเจา้ กลา่ วน ้ี กข็ อใหศ้ รี ษะของเจา้ แตกแยกเปน็ ๗ เสยี่ ง ณ บดั นี้
เถิด” พอพญานาคกล่าวจบ ดว้ ยเดชะความช่ัวของชีเปลอื ยจอมปลอม บนั ดาลให้
ศรี ษะแตกแยกเปน็ ๗ เสี่ยง สมดงั ค�าสาปแช่งของพญานาค ไปเกิดในอบายภมู ิ
ตามคติของตน แตน่ ัน้ พญานาคและครฑุ ได้มคี วามสามัคคปี รองดองกนั จนถงึ
กาลอวสานแห่งชวี ิต

ชาดกเรอ่ื งนมี้ คี ตสิ อนใจวา่ อนั ความลบั โดยเฉพาะอนั เกยี่ วกบั ความเปน็
ความตายแห่งชีวิตน้นั ควรเก็บไวใ้ ห้มดิ ชดิ ไมค่ วรเปิดเผยออกแม้กบั บคุ คล
ใดๆ สว่ นมากคนเรามกั เกบ็ ความลบั ไมอ่ ยู่ ชอบระบายใหค้ นอน่ื ฟงั ครนั้ คนอน่ื
นา� ไปเปิดเผย ก็ประณามเขาวา่ เป็นคนไมด่ ี แท้ทจ่ี ริงแล้วเราเองเปน็ ผไู้ มด่ ียง่ิ
กวา่ เขาเสยี อกี เพราะความลบั ทจ่ี ะใหเ้ ขาเอาไปเปดิ ไดน้ น้ั ไปจากเรา เปดิ ใหเ้ ขา
กอ่ น

ฉะน้ัน จึงควรระมัดระวังปากของเราไว้ให้มาก แต่ส่วนใหญ่คนเรามัก
ระวงั ปากไมไ่ ด้ ตอ้ งถึงความหายนะเพราะปากตวั เองก็มาก โบราณจงึ สอนวา่
“ปลาหมอตายเพราะปาก” หรอื “ใชล้ นิ้ ไม่เปน็ มักเชือดคอตวั เอง” ฉะนั้น จงึ
เปน็ ส่งิ ท่คี วรระวัง

ดงั มภี าษติ ใช้ล้ินสอนไวว้ ่า
แม้ไตฝ้ ุ่นหมนุ พดั ปานกวาดโลก สลาตนั กรรโชกใหข้ ุกเขญ็
กไ็ มเ่ ทา่ ลมปากจากคนเป็น แม้นคิดเห็นควรตง้ั ระวังระไว

(ปัณฑรกชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย
ชาดก ติงสนบิ าต เล่ม ๓๔ หน้า ๒๘๘)

178


179


พญานโิ ครธ

“ผู้เสียสละ ยอ่ มเป็นทรี่ กั ”

ในรัชสมัยพระเจ้าพรหมทัตผู้ครองเมืองพาราณสี พระโพธิสัตว์
เกดิ เปน็ เนอื้ ทราย ชอื่ นโิ ครธ เปน็ เนอื้ มลี กั ษณะสวยงามมาก มขี นเหลอื ง
เสมอื นทอง ตา ปาก เทา้ และเขางดงามหาเนอื้ อน่ื เปรยี บมไิ ด ้ มรี า่ งกาย
สงู ใหญข่ นาดลกู มา้ มเี นอื้ ปา่ เปน็ บรวิ าร ๕๐๐ ตวั อาศยั หากนิ อยบู่ รเิ วณ
ชายป่าน้ัน ณ ท่ีไม่ไกลจากทพี่ า� นกั ของพญาเนื้อนิโครธ มพี ญาเน้อื อีก
ตัวหน่ึง ชื่อสาขะ มีบรวิ ารประมาณ ๕๐๐ ตัว แวดลอ้ ม เท่ียวหากนิ
บรเิ วณเดียวกัน อาศัยทีน่ นั้ เป็นแหลง่ หากินมคี วามสงบสุขตลอดมา ตก
มาถงึ สมยั โอรสของพรานเนอื้ ผหู้ นงึ่ ไดค้ รองราชย ์ เนอื่ งจากเคยเสวยเนอ้ื
สตั ว์อยเู่ ปน็ ประจ�า จงึ ไมส่ ามารถงดเวน้ การเสวยเน้อื สตั วป์ า่ ได้

เมอ่ื ครองราชยแ์ ลว้ จงึ นยิ มเขา้ ปา่ ลา่ เนอื้ มาเปน็ พระกระยาหารเปน็
ประจา� วนั ใดไมม่ เี นอื้ สตั วก์ จ็ ะไมย่ อมเสวย สนพระทยั ในการลา่ เนอื้ จน
กระท่ังไม่เป็นอันปฏบิ ตั พิ ระราชกรณยี กจิ บา� บัดทุกขบ์ �ารงุ สุขพสกนกิ ร
ทอดท้ิงการบ้านเมืองให้เป็นไปตามยถากรรม สนพระทัยแต่การเข้าป่า
ล่าเนือ้ ตลอดวัน

ประชาชนจงึ ปรกึ ษากนั วา่ “พระมหากษตั รยิ ข์ องเราสนพระทยั แต่
การลา่ เนอ้ื ละทง้ิ กรณยี กจิ ของบา้ นเมอื ง ทา� ใหเ้ กดิ ความเดอื ดรอ้ น พวก
เราควรหาวิธกี ารใหพ้ ระมหากษตั ริย์มพี ระกระยาหารเน้อื บรโิ ภคโดยไม่
ตอ้ งเสดจ็ ไปลา่ เสยี พระราชากจ็ ะทรงหนั มาประกอบภารกิจแกพ่ วกเรา
ได”้

เมื่อได้ปรึกษากันตกลงแล้ว จึงร่วมมือกันหาหญ้าอันเป็นอาหาร
ของฝงู เนอ้ื มาเตรยี มไวใ้ นพระราชอทุ ยาน ขดุ สระนา�้ ไวเ้ พ่ือให้ฝงู เนอื้ ได้
ดืม่ กิน ทา� พระราชอทุ ยานใหเ้ ปน็ สวนสตั ว์ เมือ่ เตรยี มการลอ้ มรว้ั อย่าง
แน่นหนาแลว้ จึงไปไลต่ อ้ นฝงู เนื้อมาจากป่า วิธีการในการตอ้ นเน้ือกค็ ือ
ใชค้ นเป็นจ�านวนหมน่ื ลอ้ มปา่ มบี รเิ วณประมาณ ๑ โยชน์ แล้วโอบลอ้ ม
ใหแ้ คบเขา้ มา จนกวาดตอ้ นเนอื้ ทงั้ หมดซงึ่ เปน็ บรวิ ารของพญาเนอ้ื นโิ ครธ

180


และเนื้อสาขะ ซึ่งนับประมาณหน่ึงพันตัว เม่ือเข้า การไปไล่ยิงเชน่ คราวก่อน ๆ

วงลอ้ มแลว้ กข็ บั ตอ้ นเขา้ มาอยใู่ นพระราชอทุ ยาน ปดิ วนั หนงึ่ วาระการไปตายไดต้ กมาถงึ นางเนอื้ มี

ประตูไว้แน่น กราบทูลแด่พระราชาว่า “ขอเดชะใต้ ครรภ์ซ่ึงเป็นบริวารของสาขะ นางเน้ือสงสารลูกใน

ฝา่ ละอองธลุ พี ระบาท พระองคไ์ ดโ้ ปรดการลา่ เนอื้ จน ครรภ์จะตายไปเสียเปลา่ จงึ เข้าไปหาพญาเน้ือสาขะ

ทรงทอดท้ิงการบ้านเมืองของพวกข้าพระองค์จนเสีย ผูเ้ ป็นหัวหนา้ แลว้ ขอผลดั วาระว่า “ท่านพญาเนอื้ ผู้

สิ้น พวกข้าพระองค์จึงชวนกันขับต้อนเน้ือมาไว้ใน มเี มตตา ฉนั กา� ลงั ตงั้ ครรภใ์ กลจ้ ะคลอด วาระการไป

พระราชอุทยานอย่างเพียงพอ ตั้งแต่น้ีต่อไปขอ ตายก็มาถึงในวันนี้ ขอผลัดวันตายไว้จนกว่าจะ

พระองค์ได้โปรดล่าเนื้อในอุทยานตามพระประสงค์ คลอดลูกเสียก่อน ขอได้โปรดเล่ือนวาระไปอีกสัก

เถิด จะได้มีเวลาบ�าเพ็ญกรณียกิจของข้าพระองค์ ระยะหนึง่ เถิด”

บา้ ง” กราบทูลแลว้ ก็พากันหลีกไป พญาเนอ้ื สาขะจงึ กลา่ ววา่ “เรอ่ื งความตายไมม่ ี

พระราชาเสดจ็ ไปในพระราชอทุ ยาน เหน็ พญา ใครปรารถนา ถงึ แมจ้ ะรตู้ วั วา่ จะตาย แตถ่ า้ มวี ธิ ที า� ให้

เนอื้ นายฝงู ทง้ั สองตวั มลี กั ษณะงดงามนา่ รกั จงึ รบั สงั่ ตายชา้ ไปเทา่ ไรกย็ งิ่ ด ี ฉะนนั้ ผทู้ จ่ี ะมายอมตายแทน

ราชบุรุษห้ามท�าอันตรายแก่พญาเนื้อท้ังสองโดยเด็ด กันให้เร็วกว่าเวลาของตนเองคงไม่มี จงก้มหน้ารับ

ขาด ตง้ั แตน่ นั้ มาพระราชากเ็ สดจ็ ไปยงิ เนอื้ ทรายดว้ ย กรรมไปตามวาระเถิด” นางเนื้อเมื่อไม่ได้ความ

พระองค์เอง บางคร้ังก็ทรงให้คนครัวและราชบุรุษ อนุเคราะห์จากส�านักของสาขะจึงเข้าไปหาพระ

หอ้ งเครอ่ื งจดั การยงิ มาประกอบอาหารเปน็ ประจา� ทกุ โพธสิ ัตว ์ เล่าความให้ทราบทุกประการ

วัน เนื้อทั้งหลายเมื่อไดเ้ หน็ ธนูก็สะดุ้งตกใจกลัว ต่าง พระโพธิสัตวไ์ ดฟ้ งั ค�านางนน้ั แลว้ ก็สงสาร จงึ

ว่ิงลนลานหาท่ีซ่อนกันไม่เป็นอันกินอันนอน ด�าริวา่ “วสิ ยั ผู้เสยี สละเยย่ี งโพธสิ ตั ว์ ยอ่ มเหน็ ทุกข์

เหตกุ ารณไ์ ดเ้ กดิ ขึ้นเช่นน้ีทกุ วนั บางครง้ั ผู้มายิงก็ยิง ผู้อ่ืนย่ิงกว่าทุกข์ของตน เห็นประโยชน์ของคนอ่ืน

ผดิ ยงิ ถกู ทา� ใหบ้ างตวั บาดเจบ็ ไป ซา�้ เกดิ โรคภยั ไขเ้ จบ็ เหนอื ประโยชนข์ องตน และมงุ่ ทา� ประโยชนแ์ กค่ นไม่

อยู่เป็นประจ�า ท�าให้หมู่เนื้อตายไปเป็นจ�านวนมาก เลอื กชน้ั วรรณะ ทรพั ย ์ อวยั วะ และชวี ติ เปน็ ของเนา่

เนอื้ ทั้งหลายจึงน�าความไปแจง้ แกพ่ ระโพธิสัตว์ เปอื่ ยสูญส้นิ ไปในทีส่ ุด ผู้ฉลาดหาไดป้ ลอ่ ยให้สญู ไป

พระโพธิสัตว์จงึ ปรึกษากบั เน้อื สาขะว่า “สาขะ เปล่าไม่ ยอ่ มใช้แลกกับความดอี นั เปน็ ของย่ังยนื ไม่

เพือ่ นรัก ฝูงเน้ือของพวกเราพากันพินาศเสยี มากต่อ สูญสิ้นได้ ลาภอันใดท่ีเราให้แก่ผู้อ่ืน ลาภนั้นย่อม

มากเพราะการยงิ ของพวกมนษุ ย ์ อยา่ งไรเสยี พวกเรา กลบั สนองแกผ่ ใู้ หใ้ นท่สี ดุ ”

กจ็ ะตายไม่วันใดก็วันหนึง่ ไหนๆ จะตาย กอ็ ยา่ ตาย ครั้นคิดดังนั้นแล้ว จึงกล่าวกับนางเนื้อว่า

ด้วยลูกธนูเลย ผลัดเวรกันไปให้เขาฆ่าเสียวันละตัว “ดูกรแมเ่ น้ือ เธอไมต่ อ้ งไปตายตามวาระดอก ผา่ น

โดยให้บริวารข้าพเจ้าไปเสียวันหนึ่ง อีกวันหน่ึงเป็น วาระไปได ้ เราจะไปแทนเจา้ เอง” วา่ แลว้ กไ็ ปนอนอยู่

บรวิ ารของท่าน สลับกนั ไป เมอื่ ท�าเชน่ นเ้ี นือ้ ท่ยี งั ไม่ ในทๆี่ พนกั งานหอ้ งเคร่ืองจะจับไปฆ่า เม่อื ถึงเวลา

ถงึ วาระกจ็ ะไดไ้ ม่ตกใจกลัว และกย็ นิ ดีสละชีวติ เม่ือ เจ้าพนักงานมาพบเนื้อโพธิสัตว์นอนรออยู่ จึงคิด

ถงึ วาระของตนเอง” สงสัยว่า “เน้ือโพธิสัตว์ได้รับพระราชทานอภัยแล้ว

พญาเนื้อสาขะก็รับค�า แล้วเริ่มส่งเน้ือไปตาม เหตุใดจงึ มานอนรอตายอยู”่ จงึ เขา้ ไปกราบทลู พระ

วาระ แต่น้ันมาพนักงานห้องเครื่องก็ไม่ล�าบากด้วย ราชา

181


พระราชาเสดจ็ มาพรอ้ มดว้ ยบรวิ าร จงึ ตรสั ถามพญาเนอื้ วา่ “ดกู รสหาย
มคิ ราช เราใหอ้ ภัยแกท่ า่ นแล้ว เหตใุ ดจงึ มานอนใหเ้ ขาฆา่ อย่างนเ้ี ล่า” พญา
เนอื้ ทลู ว่า “ขอเดชะมหาราช นางเนอ้ื มคี รรภถ์ งึ วาระจะมาตาย นางขอผลดั
ใหอ้ อกลกู เสยี กอ่ น ขอใหเ้ ปลย่ี นวาระนางกบั วาระคนอน่ื อนั ธรรมดาวา่ ความ
ตายเป็นส่ิงน่าหวาดสะดุ้งเป็นท่ีสุด ข้าพเจ้าจะย่ืนโยนเวรตายไปให้คนอ่ืนคง
ไมม่ ใี ครยอมรบั เพราะชวี ติ เปน็ สดุ ทรี่ กั สดุ พสิ มยั ของสตั วท์ ว่ั หนา้ ขา้ พระบาท
จงึ เสยี สละมาตายแทนนางไว ้ ขออยา่ ไดโ้ ปรดรงั เกยี จดว้ ยประการใดเลย โปรด
ฆา่ เสยี เถดิ พระเจา้ ข้า”

พระราชาทรงละอายพระทยั วา่ “ตวั เราเหน็ แกต่ วั อยา่ งรา้ ยกาจ แมส้ ตั ว์
หวั หน้าฝงู ยังเสียสละชีวิตเพ่อื ผู้ใต้ปกครอง เราเป็นราชา ชื่อวา่ เปน็ ทีพ่ ง่ึ ของ
สัตว์ท้ังแผ่นดิน กลับมาเห็นแก่ตัว เบียดเบียนเน้ือผู้อื่นเป็นอาหารบ�ารุงตัว
เปน็ การท�าท่ีนา่ ละอายทส่ี ุด” จงึ ตรัสกับพญาเน้อื ว่า “ท่านสหายมคิ ราช เรา
ยังไม่เคยเห็นน�้าใจใครท่ีเปี่ยมด้วยขันติและเมตตาสูงเช่นท่านเลย เราพอใจ
ทา่ นมาก จงลกุ ขึน้ เถิด ทา่ นและแมเ่ นื้อน้นั ได้รับอภัยตลอดไป”

พญาเนื้อทลู ว่า “ขา้ แต่มหาราช การทพี่ ระองคอ์ ภยั ให้ข้าพระพทุ ธเจา้
นน้ั เป็นพระมหากรณุ าธิคณุ ล้นเกลา้ แล้ว แตฝ่ ูงเนอ้ื ทเ่ี ป็นบรวิ ารหาไดพ้ ้นไป
จากความตายไม ่ คงไดร้ บั ทกุ ขเวทนาแสนสาหสั ตอ่ ไป พระองคจ์ ะมทิ รงโปรด
อภัยแกเ่ ขาดว้ ยหรอื พระเจ้าขา้ ” พระราชาทรงเหน็ ทุกข์ของสัตว์ท้งั หลาย จึง
ประทานอภยั ใหเ้ นอ้ื ทง้ั หมด ตลอดจนสตั วน์ อ้ ยใหญท่ กุ ประเภท เนอ้ื โพธสิ ตั ว์
จึงสอนธรรมแก่พระราชา พรอ้ มทง้ั แนะใหต้ ัง้ อยใู่ นศลี ตามสมควรแก่ฐานะ

เม่ือสัตว์ท้ังหลายได้รับการปลดปล่อยแล้ว ต่างก็ช่ืนชมยินดี พระ
โพธสิ ตั วจ์ งึ พาฝงู เนอื้ กลบั ไปหากนิ ยงั ถนิ่ เดมิ ตอ่ ไป ตงั้ แตน่ นั้ กม็ ไิ ดพ้ บภยั จาก
การตามฆา่ อกี นางเนอ้ื เมอื่ คลอดลกู แลว้ ลกู นน้ั ไดเ้ จรญิ เตบิ โตโดยลา� ดบั จน
กระทง่ั รนุ่ หนมุ่ จงึ ไปเลน่ อยใู่ นสา� นกั เนอื้ สาขะผเู้ ปน็ หวั หนา้ ฝงู นางเหน็ ดงั นน้ั
จึงห้ามลูกว่า “ลูกรักของแม่ ต้ังแต่น้ีต่อไป อย่าเข้าใกล้พญาเนื้อสาขะเลย
เพราะการคลกุ คลกี บั คนเหน็ แกต่ วั ไมเ่ หน็ ใจคนอนื่ ยอ่ มมแี ตท่ างเสยี ไมม่ ที าง
ได ้ ซา�้ เป็นอันตรายแก่ตวั เอง เจา้ จงพยายามใกลช้ ดิ กบั พญานโิ ครธให้จงมาก
การตายในสา� นักพญาเนื้อนโิ ครธ ยงั ประเสรฐิ กว่าการมีชีวิตอยใู่ นส�านกั เนอื้

182


สาขะ เพราะการมชี วี ติ อย่กู บั สาขะไม่มปี ระโยชน์เลย”
ตอ่ มา เมอ่ื เนอ้ื ไดร้ บั พระราชทานอภยั ไมม่ ใี ครกลา้ ทา� อนั ตรายจงึ หากนิ ได้

ตามชอบ บางคร้งั กไ็ ปกินขา้ วกลา้ ของชาวบา้ น ท�าความเดือดรอ้ นใหช้ าวนาเป็น
อนั มาก แม้กระน้นั ชาวนาก็ไม่อาจท�าอันตรายได้ เกรงพระราชอาญา จึงพากัน
ไปประชมุ ยงั พระลานหลวงกราบทลู ความใหท้ รงทราบ และขอพระราชานญุ าตขบั
ไล่ฝูงเน้อื ตามสมควร

พระราชาจึงตรสั ว่า “ท่านท้ังหลาย เราไดล้ ั่นวาจาใหอ้ ภยั แก่ฝูงสตั ว์ไปแลว้
แม้จะให้สละบัลลังก์ก็ไม่สามารถสละทิ้งค�าปฏิญญาที่ให้ไปแล้วได้ พวกท่านทั้ง
หลายจงกลบั ไปเถิด แล้วเหตกุ ารณ์ก็จะกลบั เปน็ ดเี อง” ประชาชนจงึ พากนั กลบั
ไป

ฝา่ ยพญาเนือ้ นโิ ครธ ไดท้ ราบพฤติการณ์น้ันแลว้ จึงเรยี กประชุมพวกเนือ้
ทง้ั หมด แลว้ ตกั เตอื นวา่ “ตง้ั แตน่ ไ้ี ป พวกเราอยา่ ไปเบยี ดเบยี นขา้ วกลา้ ของมนษุ ย ์
ทเ่ี ขาไมไ่ ดใ้ ห ้ เราจะใหพ้ วกมนษุ ยข์ มวดใบไมก้ นั้ เขตไวโ้ ดยไมต่ อ้ งลอ้ มรว้ั เมอ่ื เหน็
เขตใบไมข้ มวดไว ้ อยา่ ไดเ้ ขา้ ไปภายในเขตโดยเดด็ ขาด” ตงั้ แตน่ น้ั มา เนอื้ กต็ ง้ั อยู่
ในโอวาทพระโพธสิ ตั ว ์ ทง้ั ฝงู เนอ้ื และมนษุ ยต์ า่ งกใ็ หอ้ ภยั ซงึ่ กนั และกนั และรสู้ ทิ ธิ
ไมล่ ะเมิดต่อกนั และกนั จึงอยดู่ ้วยความผาสกุ ตลอดกาลอวสานแห่งชวี ติ

ชาดกเร่ืองน้ีมีคติสอนให้รู้ว่า ผู้จะเป็นใหญ่เป็นผู้ปกครองเขานั้น
คณุ ธรรมอนั ส�าคญั ข้อหนง่ึ คอื การรูจ้ ักเสียสละเพื่อม่งุ รกั ษาธรรมะไว้ในใจ จงึ
จะปกครองคนไดโ้ ดยสนั ตสิ ขุ และจะไดค้ วามเคารพยา� เกรงจากผนู้ อ้ ยมากขน้ึ
เปน็ ทวี ดตู วั อยา่ งเชน่ พญาเนอื้ ชอื่ นโิ ครธ สละแมช้ วี ติ เพอื่ ผนู้ อ้ ย จงึ ไดร้ บั ความ
ไว้วางใจ ผูกมัดจิตไว้ได้ แม้การตายในส�านักของนิโครธก็ยังถือว่าประเสริฐ
ตรงกันข้ามผู้เห็นแก่ตัว ไม่เหลียวแลความทุกข์ของผู้อื่น ย่อมไม่ได้รับความ
เคารพย�าเกรงจากผูน้ ้อย เช่นพญาเน้ือสาขะ ไมเ่ หลยี วแลความทกุ ขส์ ุขของผู้
น้อย จงึ ไม่มใี ครให้ความไวว้ างใจ ผเู้ สียสละในการอันควร ยอ่ มเป็นท่ีรักของ
คนทว่ั ไป จงึ ควรถอื เป็นคตเิ ตือนใจตลอดไป

(นิโครธมคิ ชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก เอกนบิ าต เล่ม ๒๘ หนา้ ๒๖๗)

183


184


สุนขั รบั บาป

“ของหายสะพายบาป”

ในอดตี กาล เมอื่ พระเจา้ พรหมทตั เสวยราชย ์ ณ กรงุ พาราณส ี พระ
โพธสิ ตั วเ์ กดิ เปน็ ลกู สนุ ขั อาศยั อยใู่ นปา่ ชา้ แหง่ หนงึ่ พรอ้ มดว้ ยลกู สนุ ขั เปน็
อันมาก อยู่มาวันหน่ึง พระราชาประทับราชรถประดับด้วยอาภรณ์ครบ
ถว้ น เทียมดว้ ยมา้ สนิ ธพขาว เสดจ็ ประพาสและทรงกรีฑาอยใู่ นพระราช
อทุ ยานตลอดวนั เมอื่ พระอาทติ ยอ์ สั ดงคต จงึ เสดจ็ กลบั เขา้ สพู่ ระนคร ทง้ิ
ราชรถไวใ้ นพระลานหลวงพรอ้ มดว้ ยเครอ่ื งประดบั รถ โดยนกึ วา่ จะถอดใน
วันรุ่งขึน้ คนื น้ันบังเอญิ ฝนตกทงั้ คนื น้�าฝนจึงชะหนังสายรดั และเบาะหุ้ม
ท�าใหเ้ กิดกลิน่ ความช้นื

สนุ ขั เลย้ี งในพระราชวงั ไดก้ ลนิ่ หนงั แหง้ ชมุ่ นา้� กเ็ กดิ ความอยาก จงึ
ลงมาจากปราสาท แอบแทะกินหนังเบาะและเชือกหนังตลอดคืน ท�าให้
เกดิ ความเสยี หายเป็นอันมาก วนั รุ่งขน้ึ ราชบุรษุ จึงกราบทูลพระราชาว่า
“ขอเดชะ พระอาญาไมพ่ น้ เกลา้ สายรดั และหนงั หมุ้ เบาะถกู สนุ ขั กดั กระจยุ
กระจาย ใช้การไม่ได้ เห็นจะเป็นสุนัขนอกเมืองเล็ดลอดเข้ามาทางท่อ
ระบายน�้าแล้วกัดกินเปน็ แน่ เห็นควรลงโทษพวกมันให้สาสมพระเจ้าข้า”

พระราชาทรงกรวิ้ มาก รบั สัง่ ว่า “ต่อนไ้ี ป พวกเจ้าเห็นสุนขั ณ ที่
ใด จงฆ่าเสยี ใหห้ มด อยา่ ใหไ้ ด้เห็นเพ่นพา่ นแถวนโ้ี ดยเด็ดขาด” ตงั้ แตน่ นั้
มา ราชบรุ ุษทงั้ หลายเทยี่ วไล่ฆ่าสนุ ัขทุกตวั ท่เี ห็น สุนขั ถกู ฆ่าตายเปน็ อัน
มาก ที่หนีไปได้ก็เที่ยววิ่งซุกซ่อนไม่เป็นอันกินอันนอน ได้เกิดมหันตภัย
ใหญห่ ลวง ฝูงสุนัขจึงพากันไปชุมนุมอยูใ่ นส�านักพระโพธิสตั ว ์

พระโพธสิ ตั วไ์ มท่ ราบตน้ สายปลายเหตมุ ากอ่ น จงึ สอบถามพวกสนุ ขั
นน้ั ว่า “เกดิ เรอื่ งอะไรขึ้นแกพ่ วกทา่ นหรือ จงึ พากนั ตื่นตระหนกตกใจเขา้
มาในทน่ี ”ี้ พวกสนุ ขั จงึ เลา่ วา่ “ขา้ แตน่ าย ไดย้ นิ วา่ ในพระราชวงั สนุ ขั แอบ
ไปกัดหนงั หมุ้ เบาะและสายรัดราชรถเสียหาย พระราชาทรงกริ้ว จงึ รบั สัง่

185


ใหฆ้ า่ สุนัขทกุ ตัวทเี่ หน็ ขา้ พเจา้ ตา่ งหนีซมซานมาพ่ึง “มันแอบเข้ามาทางท่อน�้าแล้วกัดหนังหุ้มราชรถและ

ทา่ นอย ู่ บดั น ี้ โปรดชว่ ยรกั ษาชวี ติ พวกขา้ พเจา้ ไวด้ ว้ ย เชือกรัดของเรา เราจึงส่ังให้ฆ่าให้หมด” “ขอเดชะ

เถิด” พระอาญาไม่พ้นเกล้า พระองค์ทรงรู้เห็นสุนัขตัว

พระโพธิสัตว์ทรงด�าริว่า “ธรรมดาสุนัข กระทา� ผดิ แนห่ รอื พระเจา้ ขา้ ” “เราไมแ่ นใ่ จวา่ เปน็ ตวั

ภายนอกคงไม่อาจเข้าไปกัดเครื่องประดับราชรถใน ไหน แต่แน่ใจว่าพวกมันมากัดของเราแน่นอน มิ

พระราชวงั ได้ เพราะมกี ารอารกั ขากันอยา่ งแข็งแรง ฉะนนั้ ของเราคงไมเ่ สยี ”

เรื่องน้ีต้องมาจากพวกสุนัขเลี้ยงในวังเป็นแน่ สุนัข “เม่ือพระองค์ไม่ทรงแน่พระทัยว่าตัวใด ก็ไม่

เหล่านั้นทั้งๆ ที่เป็นผู้ก่อเรื่อง ก็ยังมีความเป็นอยู่ ควรใหฆ้ า่ หมดทกุ ตวั และทที่ รงรบั สง่ั ใหฆ้ า่ ทกุ ตวั นน้ั

อย่างส�าราญ พวกเราไมม่ ีความผดิ กลบั ตอ้ งซมซาน ไมย่ กเว้นตัวใดเลยหรือ พระเจ้าขา้ ”

หลบซอ่ นกนั ทวั่ ไป เราจะตอ้ งหาทางใหพ้ ระราชาทรง “ยกเวน้ แตส่ ุนขั ในพระราชวัง เพราะสุนัขของ

ทราบ และปลดเปลอื้ งญาตอิ อกจากทกุ ขใ์ หจ้ งได”้ คดิ เราคงไมม่ ตี วั ใดลงไปกดั ได้ เราจึงมิได้สัง่ ใหฆ้ ่า” “ถ้า

ดังนั้นแล้ว จึงปลอบใจสุนัขว่า “ท่านท้ังหลายอย่า เชน่ น้ัน พระองค์ก็ทรงลา� เอียงด้วยอคต ิ เพราะสุนขั

ตกใจไปเลย เราจะไปเฝ้าพระราชา แล้วกลบั มาด้วย นอกวงั กดั หรอื ไม ่ พระองคก์ ไ็ มเ่ หน็ แตแ่ ลว้ พระองค์

ความปลอดภยั ของพวกท่านทุกตวั ” กลับรบั สัง่ ใหฆ้ า่ เฉพาะสนุ ขั นอกวัง ยกเวน้ สุนขั ในวัง

พระโพธสิ ตั วจ์ งึ ออกเดนิ ทางไปสพู่ ระราชสา� นกั เม่ือเป็นเชน่ นีก้ ็ต้องถือวา่ พระองคท์ รงมีอคติ พระ

รา� ลกึ ถงึ บารมที ไ่ี ดส้ ง่ั สมมาตลอดทาง อธษิ ฐานจติ วา่ ราชาผู้ตั้งอยู่ในอคติธรรมไม่สมควรเลย ผิดต่อ

“ข้าพเจา้ ตั้งอยูใ่ นความสตั ย์ตลอดมา ด้วยอ�านาจ ทศพธิ ราชธรรม ผเู้ ปน็ ใหญป่ กครองผอู้ น่ื ชอบแตจ่ ะ

สัจจวาจาน้ี ขอข้าพเจ้าได้แคล้วคลาดจากก้อนดิน พิจารณาโดยถ่ีถ้วนแล้วจึงค่อยส่ังการลงไป ควร

ทอ่ นไมข้ องผูม้ ุ่งท�าร้ายเถดิ ” แลว้ จงึ มงุ่ ตรงไปยังพระ ประพฤตติ นใหเ้ ทยี่ งตรงดจุ ตราช ู พระองคท์ รงทา� การ

ราชส�านัก ด้วยเดชะบารมีและอ�านาจการอธิษฐาน โดยเหน็ แกห่ นา้ เพราะสนุ ขั ทรี่ บั เคราะหเ์ ปน็ สนุ ขั ไมม่ ี

จิต ปรากฏว่าไม่มีใครท�าอันตรายใดๆ แก่พระ เจา้ ของ ส่วนสนุ ัขมเี จ้าของไมถ่ ูกฆ่า พระองคก์ �าลงั

โพธิสัตว์เลย เดินไปโดยปลอดภัยจนถึงส�านักพระ ได้ช่ือว่าคุ้มครองผู้ร้ายแต่ท�าลายผู้ไม่มีความผิด จะ

ราชา ซึ่งขณะนั้นพระราชาก�าลังทรงวินิจฉัยราชกิจ ว่าไม่ผดิ ราชธรรมอยา่ งไรพระเจ้าขา้ ”

อยู่ วิง่ ตรงเขา้ ไปภายใตร้ าชอาสน์ ราชบุรุษเหน็ จงึ วง่ิ พระราชาแทนท่ีจะกร้ิว ทรงพอใจในค�าของ

เขา้ ไปจบั แต่พระราชาทรงห้ามเสีย สุนขั จึงตรัสถามว่า “เจา้ พูดเหมอื นกบั จะร้วู ่าใครกดั

พระโพธิสัตว์พักอยู่ภายใต้ราชอาสน์พักหน่ึง ใครไม่ได้กัด เจ้าอาจยืนยันได้ไหมเล่าว่า สุนัขพวก

แล้วออกมาหมอบต่อพระพักตร์พระราชา แล้วทูล ไหนเข้าไปกัด?” “ได้พระเจ้าข้า ผู้ที่กัดไม่ใช่สุนัข

ถามว่า “ขอเดชะใต้ฝ่าพระบาท ได้ยินว่าพระองค์ ภายนอก แต่เป็นสนุ ขั ในพระราชวังน้ีเอง” “เจ้ารู้ได้

รับส่ังให้ฆ่าสุนัขท้ังหมด จริงหรือพระเจ้าข้า” “จริง อยา่ งไร จงหาทางพิสจู นซ์ ”ิ

เราสั่งให้ฆ่าเอง เพราะสุนัขมีความผิดสมควรจะถูก พระโพธิสัตว์ทูลว่า “ถ้าเช่นน้ันขอได้โปรดน�า

ฆ่า” “สุนัขเหล่านั้นมีความผิดอะไรหรือพระเจ้าข้า” สุนัขในพระราชวังทุกตัว น�าเปรียงและหญ้าคามา

186


อยา่ งละเลก็ นอ้ ย แลว้ ตา� ขยา� ใหก้ นิ เพอื่ ใหส้ า� รอกออกมา ตวั ใดกนิ หนงั
เขา้ ไปกจ็ ะไดเ้ หน็ กันวันน้ีพระเจา้ ขา้ ” พระราชาทรงรับสงั่ ใหร้ าชบรุ ษุ
ทา� ตามสนุ ขั บอก แลว้ ใหส้ นุ ขั ในราชวงั ดม่ื ในไมช่ า้ สนุ ขั ในวงั กส็ า� รอก
ออกมาเป็นหนงั แห้งหมดทกุ ตัว

พระราชาเห็นดังน้ันจึงสรรเสริญว่า “ค�าพยากรณ์ของพระ
โพธิสัตว์แม่นย�า เสมือนค�าพยากรณ์ของพระสัพพัญญูพุทธะ” ทรง
พระราชทานรางวลั แกพ่ ระโพธสิ ตั วเ์ ปน็ อนั มาก พระโพธสิ ตั วจ์ งึ แสดง
ข้อธรรมให้พระราชาดา� รงมน่ั อยู่ในทศพธิ ราชธรรมจรรยา และตัง้ อยู่
ในความไมป่ ระมาท พระราชาทรงเล่อื มใส จงึ ใหอ้ ภัยทานแกส่ ุนขั ทงั้
มวล บา� เพญ็ พระองค์อย่ใู นทาน ศลี ตลอดกาลอวสานแหง่ ชวี ติ ฝา่ ย
พระโพธิสัตวก์ ลับไปแจง้ ขา่ วดีแกญ่ าติ ตา่ งพากันช่ืนชมยนิ ดี อยู่ด้วย
ความผาสกุ ตลอดกาลอวสานแห่งชีวิต

ชาดกเร่ืองน้ีแสดงคตธิ รรมข้อหนึ่งวา่ คนท่ีเปน็ ผบู้ งั คับบัญชา
คนมีอ�านาจอยู่ในมือน้ัน ก่อนจะใช้อ�านาจลงโทษใครจะต้อง
ใครค่ รวญโดยรอบคอบเสียก่อน ถา้ ใชอ้ �านาจโดยผลีผลาม เข้าใน
ลกั ษณะคนหูเบา ใครพูดอยา่ งไรก็เช่ือโดยมิได้พจิ ารณาแลว้ อาจ
กอ่ ทกุ ขใ์ หแ้ กค่ นอนื่ หลงลงโทษผมู้ ไิ ดก้ ระทา� ผดิ โบราณทา่ นถอื วา่
เปน็ บาปหนกั และทา� ใหบ้ คุ คลทที่ า� ผดิ โดยแทจ้ รงิ ไดใ้ จเพราะไมไ่ ด้
รับการลงโทษให้สาสมกับความผิดหาทางซัดบาปให้คนอื่นต่อไป
เข้าภาษติ ทวี่ า่ ของหายสะพายบาป หมายความว่า ของหายแลว้
ยังมิหน�าซ�้ายังประกอบบาปในข้อที่หลงลงโทษคนท่ีไม่มีความผิด
เชน่ เดยี วกบั พระราชาหลงลงโทษพวกสนุ ขั ปา่ ทไี่ มม่ คี วามผดิ ถงึ ชวี ติ
เปน็ อันมาก จึงควรถอื เปน็ คติธรรมเตือนใจในโอกาสทเ่ี ยาวชนจะ
ไดเ้ ป็นผู้ใหญ่ในโอกาสต่อไป

(กุกกุรชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก เอกนิบาต เล่ม ๒๘ หน้า ๓๑๐)

187


188


สมันทอง

“ธรรมะยอ่ มรกั ษาผู้ประพฤตธิ รรม”

สมัยหน่ึง พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาสมันชื่อโรหนะ มีลักษณะ
งดงามมาก มีขนกายสีเหลอื ง เสมือนทองคา� มีน้องรว่ มท้องเดยี วกนั
๒ ตัว น้องถดั ไปเปน็ สมันตวั ผ้ชู ือ่ จติ ตะ และนอ้ งสุดทอ้ งเป็นนางสมนั
ชอ่ื สุตตนา ทั้ง ๓ ได้ช่วยกนั หากินเล้ยี งบิดามารดา ซงึ่ แก่ชราหากิน
ไมไ่ หว และตาบอดท้ัง ๒ ดว้ ย พญาสมนั โรหนะได้รับยกยอ่ งเป็นนาย
ฝูง ปกครองบริวารเนื้อเป็นจ�านวนมาก หากินอยู่ในบริเวณสระชื่อโร
หนะด้วยความผาสุกตลอดมา

ครัง้ นั้น พระนางเทวีมเหสีพระเจา้ กรงุ พาราณสีสบุ ินไปว่า “ได้มี
พญาสมนั ทองเขา้ มาทางพระแกลหอ้ งบรรทม ยนื อยบู่ นพระแทน่ แสดง
ธรรมดว้ ยเสยี งไพเราะจบั ใจ พระนางเสดจ็ เขา้ ไปใกลเ้ พอื่ สวมกอด พญา
สมนั กห็ ายไป พระนางจงึ รอ้ งใหส้ นมชว่ ยกนั จบั ” เสยี งรอ้ งของพระนาง
ได้ดงั ไปถึงห้องสนม จงึ พากันมาห้องพระบรรทม พระนางตกพระทยั
ตน่ื ขน้ึ จงึ เลา่ สบุ นิ ใหส้ นมฟงั แลว้ ทลู แกพ่ ระเจา้ พาราณสเี พอ่ื ขอใหร้ บั สง่ั
หาสมันทองมาใหจ้ งได ้

พระเจ้าพาราณสีเรียกประชุมมุขอ�ามาตย์ราชมนตรี แล้วรับส่ัง
ถามวา่ “มขุ มนตรที ง้ั หลาย มเหสขี องเราฝนั เหน็ สมนั ทองมาแสดงธรรม
ถึงห้องบรรทม ขณะนี้พระนางมีจิตผูกพันใคร่ได้สมันน้ันมาเลี้ยงไว ้
ธรรมดาความฝนั อาจเกิดไดเ้ พราะเหตุ ๔ อย่าง คือ ปพุ พนมิ ิต จิตต
นิวรณ์ เทพสังหรณ ์ หรืออาหารให้โทษ ความฝนั ของพระนางอาจเปน็
ดว้ ยเทพสงั หรณ์ เพือ่ ให้แสวงหาสมนั ทองก็ได ้ มีใครเคยได้ยินหรอื
พบเห็นสมันทองมาบ้างหรอื ไม่?” ราชมนตรตี ่างกราบทูลพรอ้ มกัน ให้
เรียกประชุมพรานป่าท่ัวราชอาณาจักรแล้วถามดู พระราชาจึงเรียก
ประชุมพรานป่าทุกคน และตรัสถามว่า “มีใครเคยได้เห็นหรือได้ยิน
สมนั ทองทีใ่ ดบ้างหรือ”

189


บุตรพรานป่าคนหนงึ่ กราบทูลว่า “ขอเดชะใต้ เหลียวหลังมาดูเลย พากันแตกหนีไปเป็น ๓ พวก

ฝ่าพระบาท ขา้ พระองค์เป็นบุตรเนสาทพราน บิดา จิตตมฤคผู้น้องไม่เห็นพระโพธิสัตว์อยู่ในฝูงเน้ือที่ว่ิง

เคยท่องเท่ียวไปในป่าหิมพานต์ และเล่าให้ฟังว่า ไป จงึ คดิ ว่า “สมนั ตวั ติดบ่วงนั้น อาจเป็นพ่ชี ายเรา

บริเวณสระชื่อโรหนะมีสมันทองตัวหนึ่ง มีลักษณะ กไ็ ด”้ จงึ วงิ่ ยอ้ นกลบั ไปเหน็ พ่ีชายตดิ บว่ งอยจู่ ึงเขา้ หา

ตรงกับทีพ่ ระนางตรสั ทกุ ประการพระเจ้าข้า” ทางช่วย สมันโพธิสตั วเ์ ห็น นอ้ งชายกลบั มา กลัวว่า

พระราชารบั สงั่ ว่า “ถ้าเช่นนัน้ เจา้ จงไปจบั มา อันตรายอาจเกิดแกน่ ้องอกี จึงกล่าววา่ “นอ้ งเอ๋ย ท่ีนี่

ใหเ้ ราจงได้ แล้วจะปูนบ�าเหน็จรางวัลให้ค้มุ เหนอ่ื ยที ไมใ่ ชท่ ป่ี ลอดภยั อยา่ หว่ งพเี่ ลย หนเี อาตวั รอดไปเถดิ

เดียว” บุตรเนสาทพรานรับพระบรมราชโองการว่า หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่จะได้ปกครองหมู่สมันและเล้ียง

“ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า ถ้าข้าพระองค์จะน�า พ่อแมต่ อ่ ไป”

ตวั พญาสมนั ทองมาไมไ่ ด ้ กจ็ กั นา� หนงั หรอื ไมก่ ข็ นมา “พ่ีโรหนะ” จิตตสมนั กลา่ วทงั้ น้า� ตา “แมจ้ ะมี

ถวายให้จงได้พระเจ้าข้า” ว่าแล้วถวายบังคมลากลับ ใครมาฉุดคร่าหรือแหวะเอาดวงใจไปจากน้อง ถ้ายัง

ไปเตรยี มเสบยี งอาหารทบ่ี า้ นของตน มงุ่ หนา้ ไปยงั หมิ รู้สึกตัวอยู่ก็จะไม่ยอมไปจากพี่เด็ดขาด” โรหนะจึง

วันตประเทศ ตรงไปยังสระโรหนะท่ีอยู่ของพระ เตือนว่า “น้องเอ๋ย ถงึ เจา้ จะยืนอยตู่ อ่ ไป กช็ ว่ ยให้พี่

โพธสิ ัตว์ พจิ ารณาหาท่ที เี่ หมาะสมแล้ววางบว่ งเชือก พ้นมือพรานไม่ได้ และจะต้องพลอยตายไปด้วย

ดกั ไว้แล้วกลบั ไปยังที่พักของตน เทา่ กบั ชว่ ยเพมิ่ มงั สาหารใหแ้ กพ่ ราน มารดาบดิ าเลา่

วันรุ่งข้ึน พระมหาสัตว์พร้อมบริวารหมู่ใหญ ่ กต็ าบอดทงั้ สองทา่ น ถา้ ขาดผูด้ แู ลกค็ งอดตาย อยา่

เท่ียวหาอาหารกินจนอ่ิมแล้ว ก็ลงสระเพ่ือดื่มน้�า อยเู่ ลยน้อง รบี หนไี ปเสยี โดยเรว็ เถดิ ”

เหยยี บบว่ งนายพรานเขา้ บว่ งรดั ขาไวแ้ นน่ พญาสมนั “ฉันไมย่ อมไป” จติ ตะยืนกราน “ถงึ ใครจะมา

ทองพยายามใชก้ า� ลงั กระตกุ อยา่ งแรงถงึ ๓ ครัง้ ก็ ฉดุ ครา่ ไปกไ็ ม่ยอม ฉันท้ิงพีไ่ ปไมไ่ ดด้ อก ขอทิง้ ชีวติ

ไม่หลุด เชือกยิ่งรัดฝังจมในเนื้อจดกระดูก ไม่ ไวก้ บั พท่ี ่นี ่แี หละ” ครั้นกลา่ วดงั นั้นแลว้ ไดย้ ืนเคียง

สามารถด้ินต่อไปอีก ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส ขา้ งพระโพธสิ ตั วอ์ ยไู่ มย่ อมหา่ ง สว่ นนางสตุ ตนานอ้ ง

คร้ันจะร้องก็เกรงว่าพวกญาติจะพากันตกใจและว่ิง สาวพญาสมันอีกตัวหน่ึง ว่ิงหนีรวมไปกับหมู่เน้ือได้

หนไี ปกอ่ นจะไดด้ ม่ื นา้� รอจนกวา่ พวกญาตดิ มื่ นา้� เสรจ็ พกั หนึง่ จงึ นกึ ถงึ พชี่ ายท้งั สอง ไม่เหน็ อยู่ในหม่เู นอ้ื

แล้ว จึงรอ้ งข้นึ วา่ “เราได้ตดิ บ่วงเสยี แลว้ ” โบราณ กส็ งสยั วา่ เนอ้ื ตวั ทต่ี ดิ บว่ งอาจเปน็ พชี่ ายตวั ใดตวั หนงึ่

วา่ จึงว่ิงกลับไปท่ีเดิม เห็นพ่ีทั้งสองยืนอยู่ที่บ่วงจึงว่ิง

เพื่อนกนิ สน้ิ ทรัพยแ์ ลว้ แหนง่ หนี เข้าไปใช้ศีรษะสีพระโพธิสัตว์ แสดงความรักและ

หาง่ายหลายหมนื่ มี มากได้ ห่วงใย พญาสมันจึงปลอบใจและสอนว่า “น้องเอ๋ย

เพ่อื นตายถา่ ยแทนช ี วาอาตม์ เจ้าเป็นเพศมขี วญั อ่อน ไม่ควรยอ้ นมาเลย หนีไปเรว็

หายากฝากฝไี ข้ ยากแท้จักหา เถดิ นอ้ ง อยา่ หว่ งพเี่ ลย เจา้ จงรว่ มสขุ สา� ราญตอ่ ไปกบั

ฝูงเนื้อเถิด มารดาบิดารู้ว่าเราตายกันหมดคงเศร้า

ก็สมจริงดังค�าโบราณว่า เนื้อสมันบริวารเมื่อ โศกผา่ ยผอมตายไปในที่สดุ จงเห็นแก่พอ่ แมเ่ ถิด”

ไดย้ นิ เสยี งร้อง และรู้ว่าพญาสมันตดิ บ่วง อันตราย นางสตุ ตนากลา่ ววา่ “พจี่ า๋ แมว้ า่ นอ้ งจะตายไป

ก�าลังอยู่ใกล้ตัว จึงพากันว่ิงหนีเอาตัวรอด ไม่มีใคร ในทน่ี ก้ี ม็ เิ สยี ดายชวี ติ ถา้ ปลอ่ ยใหพ้ จี่ ากไปทงั้ เปน็ นน้ั

190


นอ้ งทนไม่ได้ ขอยอมตายไปกับพีด่ ้วย” วา่ แล้วกย็ ืน พญาเนื้อก็เท่ากับได้ฆ่าครอบครัวเราท้ัง ๕ แต่ถ้า

เคียงข้างโดยไม่ยอมห่าง ฝ่ายนายพรานเห็นฝูงเน้ือ ทา่ นใหช้ ีวิตกเ็ ท่ากับให้ชีวติ เป็นทานถึง ๕ ชีวิต ได้

หนกี ระเจงิ ไป และไดย้ นิ เสยี งรอ้ งกเ็ ขา้ ใจวา่ พญาสมนั โปรดปล่อยพวกข้าพเจ้าไปเถิด”

คงติดบ่วงแล้ว จึงโจงกระเบนให้ทะมัดทะแมง คว้า พรานยิ่งสงสารและเลื่อมใสในคุณธรรม จึง

หอกแลว้ รบี ไปยงั ทด่ี กั บว่ งทนั ท ี พญาเนอื้ โพธสิ ตั วเ์ หน็ ปลอบโยนว่า “ข้าพเจ้าเองก็รักพี่น้องและพ่อแม่เช่น

พรานเดนิ มา จงึ เตอื นนอ้ งทงั้ สองวา่ “นอ้ งเอย๋ รบี หนี กัน จึงไม่สามารถท�าอันตรายแก่ท่านและพ่อแม่ได ้

ไปโดยเร็วก่อนพรานจะมาถึง โน่น พรานก�าลังถือ ถา้ ขา้ พเจา้ ทา� อนั ตรายแกท่ า่ นผมู้ คี ณุ ธรรมปานนด้ี ว้ ย

หอกมุง่ ตรงมาแลว้ ” เหน็ แกต่ วั ฟา้ ดนิ คงไมย่ กโทษให ้ ขอทา่ นจงเบาใจเถดิ

จติ ตมฤคมไิ ด้หวาดหว่ันแต่อยา่ งใด นอนแนบ ข้าพเจ้าจะปลอ่ ยท่านไป ณ บัดน ี้ ครนั้ กล่าวดังน้ัน

กายชิดกับพีช่ ายไม่ยอมหา่ ง ส่วนนางสตุ ตนามีภาวะ แล้ว ก็คอ่ ยๆ ประจงแกบ้ ่วงออกจากขาพระโพธสิ ัตว ์

เปน็ เพศขวัญออ่ น ไม่สามารถทนตอ่ เหตุการณ์ไดจ้ งึ แลว้ อมุ้ ไปชา� ระเลอื ด ณ สระนา้� หาสมนุ ไพรมาใสใ่ ห้

วิ่งหนไี ปหน่อยหน่งึ แล้วหวนคิดวา่ “เราจะปลอ่ ยให้พ่ี แผลสมานติดกนั สนิทเหมอื นดงั เดิม

ชายตายอยา่ งนไี้ มค่ วรเลย” จงึ เดนิ กลบั มายนื รวมกบั จิตตมฤคเห็นดังน้ันก็เกิดปีติโสมนัสใจ กล่าว

พ่ีชาย รอความตายอย่ดู ้วยความอกสน่ั ขวัญแขวน กับนายพรานว่า “ขา้ แต่ทา่ นพราน ขา้ พเจา้ เห็นพญา

บตุ รเนสาทพรานเหน็ สามสตั วร์ วมกนั อย ู่ กน็ กึ มฤคราชปลอดภยั แลว้ เกดิ ความชนื่ ชมโสมนสั ยง่ิ ขอ

สงสัยวา่ “พญาสมนั ทองติดบ่วงเพยี งตวั เดยี ว สมนั ความโสมนัสน้ีจงมีแก่ท่านและวงศ์ญาติด้วยเถิด”

สองตวั มิได้ตดิ บ่วงแต่กม็ ิยอมจาก คงเปน็ พีน่ อ้ งรว่ ม พญาสมนั นกึ ในใจว่า “พรานนี้ดกั เราด้วยบ่วงกวา่ จะ

ท้องเดียวกันไม่ยอมท้ิงกันเมื่อยามยาก นับว่ามี ได้ก็ทั้งยาก คร้นั ได้ทงั้ ๓ เนอ้ื ยงั ปล่อยเราไป คงมี

คณุ ธรรมนา่ บชู ายง่ิ นกั ถา้ เราทา� อนั ตรายแกพ่ ญาเนอื้ อะไรแฝงอยู่” จึงถามว่า “ท่านพราน ท่านมาจับ

ผ้ทู รงธรรม เพราะความเห็นแกต่ วั คงถูกธรรมชาติ ข้าพเจ้าคราวนีเ้ พือ่ ประโยชน์แก่ตัวเองหรอื ผู้อื่น”

ลงโทษในภายหลงั ” ครน้ั คดิ ดงั นน้ั แลว้ กม็ ใี จออ่ น เอย่ พรานตอบวา่ “ทา่ นพญาเนอ้ื ทข่ี า้ พเจา้ จบั ทา่ น

ถามพญาสมันด้วยน�้าเสียง อ่อนโยนว่า “ดูกรพญา นี้ ก็เพราะเป็นพระราชประสงค์ของพระเจ้าอยู่หัว

สมันทอง สมนั สองตัวไมไ่ ด้ติดบ่วง แตไ่ มย่ อมหนีไป พระเทวีได้สุบนิ วา่ ได้ฟังธรรมจากทา่ น คร้นั ตนื่ ขนึ้ ไม่

ยอมสละชวี ติ รว่ มกบั ท่าน สองตวั นีเ้ ปน็ อะไรกบั ทา่ น เห็นก็เกิดระทมพระทัยถึงประชวร จึงมีพระ

หรอื ?” ราชโองการให้จับท่านไปเพ่ือแสดงธรรมแก่พระเทวี

พญาเนอื้ จงึ ตอบว่า “ท่านพราน สมันท้งั สองนี้ ข้าพเจ้าจึงต้องด้ันด้นป่ามาถึงน่ี” “ถ้าเช่นนั้น ท่าน

เปน็ น้องร่วมทอ้ งเดียวกบั ข้าพเจา้ ไมย่ อมทง้ิ ขา้ พเจา้ ปล่อยข้าพเจ้าไปจะมิเป็นการท�าลายตัวเองหรือ

กเ็ พราะความรกั จากสายเลอื ด ท่านจงจับข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าจะไปกับท่านจนถงึ พระราชส�านกั เพ่อื แสดง

ทั้ง ๓ เถิด” พรานได้ฟงั ก็ย่ิงใจออ่ นลง จิตตมฤคเหน็ ธรรมแกพ่ ระเทวเี อง” “อยา่ เลย ทา่ นพญามฤค” นาย

ดังน้นั จงึ กล่าวต่อวา่ “ทา่ นพราน พ่ีชายขา้ พเจา้ มใิ ช่ พรานปฏิเสธ

เนื้อธรรมดา เป็นราชาแห่งเน้ือหมู่ใหญ่ มีอัธยาศัย “ธรรมดาถนิ่ มนษุ ยม์ อี นั ตรายรอบดา้ น ขา้ พเจา้

งามดว้ ยศลี และมรรยาท ใจเปย่ี มดว้ ยคณุ ธรรม กา� ลงั เองพอใจในความเปน็ พรานมากกวา่ ยศถาบรรดาศกั ด ์ิ

เลี้ยงบดิ ามารดาซ่ึงตาบอดทงั้ ๒ ทา่ น ถา้ ทา่ นฆา่ มีความสุขมาก เชิญท่านไปตามสบายเถิด” พระ

191


โพธสิ ตั วค์ ดิ วา่ “เราควรใหพ้ รานปลอดภยั จากพระราชา และไดย้ ศถาบรรดาศกั ดิ์
ตามสมควร” จงึ กล่าววา่ “ทา่ นพราน เอามอื ลูบหลังขา้ พเจา้ เถดิ ” พรานจึงเอา
มอื ลบู หลงั พระโพธสิ ตั ว ์ ทนั ใดนนั้ ขนซงึ่ มสี เี สมอื นทองคา� กห็ ลดุ ตดิ มอื มากา� หนงึ่
พรานจงึ ถามพญาสมันว่า “ขา้ พเจา้ ทา� อย่างไรกับขนนี้?”

พระโพธสิ ตั วจ์ งึ กลา่ ววา่ “สหายเอย๋ ทา่ นจงนา� ขนนไี้ ปถวายพระราชาและ
พระเทว ี แลว้ ทลู วา่ นเี่ ปน็ ขนพญาสมนั ทอง แลว้ กลา่ วธรรมกถาแกพ่ ระเทวแี ทน
เราเถิด พระองค์จะทรงพอพระทัย” กล่าวแล้วก็สอนธรรมในหัวข้อว่า “ควร
ประพฤตธิ รรมใหส้ จุ ริต” แกน่ ายพรานจนส้ินความแล้วใหร้ บั เบญจศลี ตลอดไป

นายพรานได้ความปล้ืมปีติใจท่ีได้ให้ชีวิตเป็นทาน จึงตั้งพระโพธิสัตว์ใน
ฐานะอาจารย ์ แลว้ นา� ใบบวั มาหอ่ ขนทองกลบั ไปยงั ราชสา� นกั ฝา่ ยพญาเนอื้ และ
พ่ีน้องทั้งสองตามไปส่งถึงชายป่า กลับมายังส�านักบิดามารดาของตน มารดา
ทราบดังน้ันจึงถามด้วยความดีใจว่า “พ่อโรหนะ ได้ข่าวว่าเจ้าติดบ่วงพรานป่า
นา่ จะถึงอันตราย เจา้ รอดพ้นมาไดอ้ ยา่ งไรเลา่ ” พญาสมันจงึ ตอบว่า “แม่จา๋ ท่ี
ลูกรอดตายมาคราวนกี้ ็ด้วยความดที ี่จติ ตะและสตุ ตนากล่าววาจาไพเราะหู ดูด
ดมื่ ใจ วาจาภาษติ น้ันไดช้ ว่ ยแก้ไขลูกจากบ่วงนายพรานได้ นบั วา่ น้องทั้งสองได้
ช่วยชวี ติ ลูกไว”้ “สาธ ุ พรานไดป้ ล่อยลกู เราให้ปลอดภัย ได้ช่ืนชมกนั ระหวา่ ง
พอ่ ลกู ฉนั ใด ขอพรานจงไปพบครอบครวั และรน่ื เรงิ บนั เทงิ กบั ลกู ๆ เชน่ เดยี วกนั
เถิด”

ฝา่ ยพรานออกจากปา่ แลว้ มงุ่ ตรงไปสรู่ าชสา� นกั ถวายบงั คมแลว้ นง่ั ณ ท่ี
ควรข้างหน่ึง พระราชาตรสั ถามวา่ “ว่าไงพ่อพราน เจ้าบอกวา่ ถา้ ไม่ไดต้ ัวกจ็ ะ
เอาเน้ือหนัง ถ้าไม่ได้เน้ือหนังจะเอาขนมา แต่เหตุไรจึงไม่ได้อะไรมาสักอย่าง
เจ้าจะว่าอยา่ งไรเลา่ ”

พรานกราบทูลว่า “ขอเดชะมหาราช เนื้อนั้นได้มาติดบ่วงถึงมือข้า
พระพทุ ธเจ้าแล้ว แตม่ เี นื้ออีกสองตวั เปน็ พนี่ อ้ งร่วมท้องกนั มไิ ดต้ ิดบ่วง มายืน
เคียงขนาบข้างพญาเน้ืออยู่ ข้าพระพุทธเจ้าเกิดความสังเวชขนพองสยองเกล้า
ว่า ถ้าจะฆ่าพญาเน้อื เสยี แล้ว ฟา้ ดินคงไมย่ กโทษให้ ขา้ พระพทุ ธเจ้าจงึ ท�าอะไร
ไมไ่ ด้ ปล่อยกลับไปดงั เดิมพระเจ้าขา้ ”

พระราชาจึงตรัสถามว่า “ดูกรพราน เธอลองเล่ารูปร่างลักษณะและ
คุณธรรมของพญาเนื้อนั้นซิ เรามีความกระหายใคร่รู้ย่ิงนัก” “เน้ือน้ันมีขนสี

192


เหลอื งเรยี บสะอาดเหมอื นสที องคา� มเี ขาขาว ยาว เทา้ สแี ดง นยั นต์ าใสหมดจด
สวยงามนกั เลยี้ งบดิ ามารดาตาบอดอยู่ ชา่ งมีคุณธรรมสูงสง่ กวา่ มนษุ ย์บางคน
เสียอีก ถา้ ข้าพระพทุ ธเจ้าฆ่าเสยี ก็เท่ากบั ฆา่ เนือ้ ถงึ ๕ เนอ้ื จงึ ทา� ไม่ลง สดุ แต่
จะทรงโปรดเถดิ พระเจา้ ขา้ ” เปดิ หอ่ ใบบวั แลว้ กราบทลู เพม่ิ เตมิ วา่ “พญาเนอื้ ยงั
มอบขนมาถวายพระองค์ พร้อมกับข้อธรรมท่ีจะน�ามาถวายพระเทวีด้วยพระ
คาถาธรรมจรรยา ๑๐ คาถา จะรับสง่ั ประการใดกส็ ดุ แตจ่ ะโปรดพระเจ้าขา้ ”

พระราชารบั สงั่ ใหจ้ ดั หาธรรมาสนว์ จิ ติ ร เชญิ พรานใหข้ นึ้ ไปบนธรรมาสน์
แลว้ แสดงธรรมถวายพระเทว ี นายพรานจงึ แสดงธรรมตามเคา้ ความทพี่ ญาสมนั
ทองแสดงไวโ้ ดยใจความว่า

“ขอเดชะ พญามคิ ราช แสดงคณุ ธรรมท่พี ระองค์ควรปฏบิ ัติ ๑๐ คาถา
ว่าพระราชาผทู้ รงธรรมควรอนเุ คราะหห์ มชู่ น ๘ จา� พวก คอื มารดาบดิ า โอรส
และชายา มิตรอ�ามาตย์ราชมนตรี เสนาและพาหนะ พสกนิกรไม่เลือกชั้น
วรรณะ แวน่ แควน้ ทว่ั อาณาเขต สมณพราหมณผ์ ทู้ รงศลี หมสู่ ตั วท์ วั่ ไป เทพยดา
ทง้ั หลาย ปฏบิ ตั ใิ นราชธรรมจรรยา เมอื่ ปฏบิ ตั อิ ยใู่ นชนเหลา่ นแี้ ลว้ ยอ่ มประสบ
ความสขุ ชว่ั กาลนาน”

เมือ่ แสดงธรรมจบลง พระราชาทรงเล่ือมใส ใหเ้ ครื่องบรรณาการแกเ่ น
สาทพรานเป็นอันมาก ประกาศให้อภัยแก่เน้ือสมันทั่วราชอาณาจักร ทรงตั้ง
พระองค์อยใู่ นราชธรรมจนถงึ กาลอวสานแหง่ ชวี ิต

ชาดกเรอื่ งน้ีมคี ตสิ อนว่า อนั การปฏิบัติตามธรรมะนน้ั ย่อมดลบนั ดาล
ให้เกิดความปลอดภัยได้อย่างอัศจรรย์ ดังค�าภาษิตที่ทางศาสนาสอนว่า
“ธรรมะยอ่ มรักษาผ้ปู ระพฤตธิ รรม” อนั แสดงวา่ ผปู้ ฏบิ ัติเคร่งอยูใ่ นหลกั ศีล
ธรรมนน้ั ธรรมะยอ่ มคมุ้ กนั รกั ษาใหค้ ลาดแคลว้ ภยั พบิ ตั อิ ปุ ทั วนั ตรายตลอด
ไป ดตู ัวอยา่ งเชน่ สมนั ๓ พ่นี อ้ ง มัน่ อยู่ในคุณธรรมคือความกตญั ญูตอ่ บิดา
มารดา รกั พนี่ อ้ งดว้ ยใจจรงิ ไมล่ ะทงิ้ เมอ่ื ยามทกุ ขย์ าก แมช้ วี ติ กย็ อมเสยี สละ
ได้ ดว้ ยเดชแห่งการประพฤติธรรมะ จึงรอดจากอนั ตรายจากนายพราน จึง
ควรถอื เปน็ คตธิ รรมประจา� ใจวา่ ผมู้ นั่ อยใู่ นกตญั ญกู ตเวทใี นบดิ ามารดา ยอ่ ม
ประสบความสวัสดีตลอดไป

(โรหนมิคชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย

ชาดก วสี ตินิบาต เล่ม ๓๔ หน้า ๕๔)

193


194


กวางทอง

“อยา่ ทา� ลายผู้เป็นมิตร”

ณ กรงุ พาราณส ี สมัยอดตี มีมหาเศรษฐีผหู้ นง่ึ มที รพั ยถ์ งึ ๘๐
โกฏิ มบี ตุ รชายคนหนง่ึ ชอ่ื มหาธนกะ เมื่อบุตรเจรญิ อยู่ในวยั ศกึ ษาก็มิได้
สง่ บตุ รเขา้ เรยี น โดยคดิ วา่ มลี กู คนเดยี วจะใหศ้ กึ ษาเลา่ เรยี นไปทา� ไม เงนิ
ทองท่ีมีไว้ก็เหลือใช้แล้ว จึงมอบทรัพย์ท้ังหมดให้ลูกบริหาร หาภรรยาผู้
เหมาะสมใหค้ นหนง่ึ เวลาล่วงไปไม่นาน มารดาบดิ ากล็ ่วงลับไป พอสิน้
มารดาบิดาแล้ว ก็หมดหลักยึดเหนี่ยวในการบริหารทรัพย์ จึงใช้จ่ายไป
ตามความพอใจของตนเอง

โบราณทา่ นสอนวา่ “ยามมเี งนิ เขาก็นบั ว่าน้อง ยามมที องเขากน็ บั
วา่ พ ่ี เมอื่ ยากจนเงนิ ทอง ญาตพิ น่ี อ้ งกไ็ มม่ ”ี มหาธนกะจงึ ถกู แวดลอ้ มดว้ ย
ญาตพิ นี่ อ้ งและมิตรสหาย ซึ่งล้วนแต่หวงั อาศัยกนิ ด้วยทั้งนั้น อกี ทัง้ พวก
นกั เลงหญงิ นกั เลงสรุ า และนกั เลงการพนนั ตา่ งกม็ ารมุ ลอ้ มผกู มติ รไมตรี
กนั มากมาย มหาธนกะก็หลงมัวเมาไปกบั การสรรเสริญเยนิ ยอของเพอ่ื น
กิน จงึ ใชเ้ งนิ ทองอย่างไม่อ้นั

เวลาลว่ งไปไมน่ านนัก เงนิ ทองก็ร่อยหรอลง จนกระทั่งหมดไปใน
ท่ีสุด บุตรเศรษฐีก็ยังมิส�านึกตัว เก็บของมีค่าขายกินไปทีละช้ินสองช้ิน
ขายจนกระทงั่ ทด่ี นิ และทรพั ยอ์ น่ื ๆ และกห็ มดไปในทส่ี ดุ เชน่ เดยี วกนั เมอื่
ไม่มีสมบัติขายกินแล้ว ก็เที่ยวกู้หน้ียืมสินเพื่อนบ้านใกล้เคียง มีหนี้สิน
ล้นพ้นตัว ไม่มีเงินส่งดอกและตน้ เจา้ หนี้ก็รุมกนั ทวงเชา้ ทวงเยน็ เพ่อื น
ฝงู ตา่ งกห็ นหี นา้ กนั ไปหมด หนั ไปพงึ่ พาอาศยั ใครกม็ ไิ ด ้ จงึ คดิ วา่ “ชว่ั ชวี ติ
น้คี งไม่มีทางใชห้ นสี้ ินเขาได้ ตายเสยี แลว้ คงหมดเรื่องเสยี ท”ี ครั้นคดิ ดงั น้ี
แล้วจึงแกล้งออกอุบายลวงเจ้าทรัพย์ว่า “ท่านที่เป็นเจ้าทรัพย์ขอให้มา
ประชมุ กัน ณ ทน่ี ี้ ข้าพเจ้าจะพาทา่ นไปขดุ ทรัพยท์ ่บี ิดาฝงั ไว้เพอ่ื ใช้หนี้
ให้ทว่ั ทุกราย จงมาชว่ ยกันขดุ เอาตามความพอใจเถดิ ”

195


เมอ่ื เจา้ ทรพั ยม์ าประชมุ พรอ้ มแลว้ จงึ พาไปยงั กลา่ วธรรมสอนพระนาง ตื่นบรรทมขึน้ มาแลว้ เกดิ

ริมฝั่งแม่น้�า ช้ีสถานที่ให้ขุดแล้วตัวเองหลบไปด้วย ความอิม่ เอบิ พระทัยใครจ่ ะเหน็ กวางทองตวั จรงิ ดา� ริ

ตง้ั ใจจะกระโดดนา�้ ตายเสยี ณ สถานทแ่ี หง่ หนงึ่ เมอ่ื ว่า “ถ้ากวางไม่มีจริง เราก็คงไม่ฝันเห็น แต่นี่คงมี

ไปถึงริมฝั่งแม่น้�าที่ปลอดคน กระโดดลงไปด้วยหวัง กวางทองตัวจริงแน่เราจึงฝันเห็น” คิดดังนั้นแล้วจึง

จะฆ่าตวั ตาย แตพ่ อจะจมนา�้ เขา้ จริง ๆ กย็ งั ไม่อยาก กราบทลู พระสวาม ี ขอใหห้ ากวางทองดงั ทเี่ หน็ ในสบุ นิ

ตาย จงึ วา่ ยกระเสอื กกระสนรอ้ งขอใหค้ นชว่ ยไปตาม ใหจ้ งได้ ถ้าไม่ไดก้ จ็ ะยอมสิ้นพระชนมเ์ สีย

สายน�า้ จนกระท่งั ถงึ กระแสน�้าวนแห่งหนึ่ง ในเวลา พระราชาทรงปลอบพระนางว่า “พระนางอย่า

พลบค�่า หวาดวติ กไปเลย ของสง่ิ ใดทม่ี ใี นมนษุ ยโ์ ลกแลว้ พจ่ี ะ

ณ ดงมะมว่ งใกลว้ งั นา�้ วนนน้ั มกี วางปา่ ตวั หนง่ึ หามาใหค้ รบทกุ ประการ” ตรสั ดงั นนั้ แลว้ จึงรับสัง่ ให้

อาศัยอยู่ กวางน้ีเป็นกวางพระโพธิสัตว์ มีขนกายสี พวกพราหมณเ์ ขา้ เฝา้ แลว้ ตรสั ถามวา่ “กวางทองเชน่

เหลอื งเรยี บ เสมอื นบไุ วด้ ว้ ยทองคา� เทา้ เสมอื นสคี รงั่ ท่ีพระนางฝันนั้นมีจริงในโลกหรือ?” เม่ือได้รับค�า

หางเสมอื นจามร ี เขาเสมอื นชอ่ เงนิ ยวง เปน็ กวางงาม ยนื ยนั วา่ มจี รงิ จงึ รบั สงั่ ใหบ้ รรจถุ งุ เงนิ ๑๐๐ กษาปณ์

มาก จงึ ไดน้ ามวา่ พญากวางทอง เม่ือนายมหาธนกะ ลงในผอบทอง ตงั้ ไว้บนคอชา้ ง แลว้ ให้ปา่ วประกาศ

ลอยมาตดิ ทว่ี งั นา้� วน เปน็ เวลาทพี่ ญากวางทองมาดม่ื ใหท้ ราบท่ัวกันว่า “ถา้ ใครรู้ท่ีอยขู่ องกวางทอง ขอให้

กนิ นา้� พอด ี เมอ่ื ไดย้ นิ เสยี งรอ้ งของมนษุ ย ์ กเ็ กดิ ความ ไปกราบทลู พระเจา้ แผน่ ดนิ จะพระราชทานทรพั ยใ์ น

สงสาร จงึ วา่ ยตดั กระแสนา้� ไป และใหน้ ายมหาธนกะ ผอบทง้ั หมดให ้ พรอ้ มดว้ ยช้าง ๑ เชอื ก บ้านสว่ ยสา

เกาะที่หลัง แล้วว่ายเข้าฝั่งด้วยความปลอดภัยทุก อากรอีกจ�านวนมาก” อ�ามาตย์จึงถือแผ่นทองเท่ียว

ประการ ป่าวประกาศไปท่วั เมือง

เวลาลว่ งไป ๒-๓ วนั กวางจงึ กลา่ วกบั นายมหา ชาวพาราณสีต่างก็กระตือรื้อร้นอยากจะได้

ธนกะว่า “ท่านบรุ ุษผเู้ จริญ ขา้ พเจ้าจะพาท่านไปสง่ รางวลั จึงเล่าลือกันไปท่ัวทุกหนทกุ แหง่ นายมหาธน

ให้พ้นป่า ถึงทางไปกรุงพาราณสี ข้าพเจ้ามิได้หวัง กะเดนิ ทางมาถงึ เมอื งพอด ี เมอ่ื ไดท้ ราบขา่ วนน้ั กด็ ใี จ

อะไรตอบแทนจากท่าน ขออย่างเดียวว่า ท่านอย่า อยากไดข้ องรางวลั ลมื คา� ปฏญิ าณทใี่ หไ้ วแ้ กก่ วางทอง

บอกทอ่ี ยขู่ องขา้ พเจา้ ใหพ้ วกมนษุ ยท์ ราบโดยเดด็ ขาด จึงเข้าไปหาอ�ามาตย์ผู้หนึ่ง ให้พาตนเข้าไปเฝ้าเพ่ือ

ทา่ นจะใหค้ า� ปฏญิ าณแกข่ า้ พเจา้ ไดห้ รอื ไม?่ ” บรุ ษุ นนั้ กราบทูลแหล่งที่อยู่ของกวางทองนั้น อ�ามาตย์ได้

ตอบวา่ “ไดซ้ ทิ า่ นพญากวางทอง ขา้ พเจา้ ขอปฏญิ าณ สอบสวนทวนคา� ดแู ลว้ เหน็ วา่ บรุ ษุ นร้ี จู้ รงิ จงึ พาขน้ึ ชา้ ง

ว่าจะปกปิดไว้เป็นความลับ ท่านจงเบาใจเถิด” “ถ้า ไปสูร่ าชส�านกั นา� เขา้ เฝ้าพระเจ้าแผ่นดนิ แลว้ กราบ

เช่นนน้ั ขา้ พเจ้าจะพาท่านไปส่งเดี๋ยวน”้ี กลา่ วแล้วก็ ทลู วา่ “ขอเดชะมหาราช ชายผ้นู อี้ า้ งว่าร้แู หลง่ อาศัย

ให้นายมหาธนกะขี่หลัง แล้วเดินลัดป่ามุ่งไปยัง ของกวางทอง ใคร่จะขอกราบทูล ขอได้ประทานแก่

หนทางไปกรงุ พาราณส ี แลว้ กลับมาอยใู่ นปา่ นัน้ ตาม เขาเถดิ ”

เดิม พระราชาทรงดีพระทัย จึงตรัสถามว่า “พ่อ

นายมหาธนกะจึงมุ่งตรงไปยังกรุงพาราณสี หนมุ่ เจ้ารูจ้ ักที่อยู่ของกวางทองจรงิ หรอื ” “ขอเดชะ

เผชิญชวี ติ เสี่ยงโชคตอ่ ไป ครง้ั นั้น เปน็ การบงั เอิญที่ ข้าพระพุทธเจ้ารู้ดีพะย่ะค่ะ ได้ยินว่า เมื่อข้า

มเหสีพระเจ้ากรุงพาราณสีสุบินไปว่า ได้เห็นกวาง พระพุทธเจ้ากราบทูลแล้ว พระองค์จะพระราชทาน

ทองตวั หน่งึ รปู รา่ งสวยสดงดงามมาก กวางทองได้ ทรพั ย์ บา้ นสว่ ย และหญิง จรงิ หรือพะย่ะค่ะ” “จริง

196


สิพอ่ หนุม่ ” พระราชาทรงยืนยัน “จงบอกมาเถิดวา่ อยทู่ ไี่ หน? เราจะให้รางวลั
แก่เจ้าทันที”

เมอื่ นายมหาธนกะบอกสถานทใ่ี หแ้ ลว้ ทรงใหน้ ายมหาธนกะเปน็ มคั คเุ ทศก ์
พระองค์พร้อมด้วยข้าราชบริพารขบวนใหญ่ มุ่งตรงไปยังป่าที่อาศัยของพระ
โพธสิ ัตว์ เมอ่ื ถงึ จึงรบั สั่งให้ทหารทกุ คนมอี าวุธประจา� ตวั โอบลอ้ มป่าน้ันไว้โดย
รอบ มใิ หก้ วางหนไี ปได ้ เมอื่ ลอ้ มไวเ้ รยี บรอ้ ยแลว้ ใหเ้ ปลง่ เสยี งโหร่ อ้ งเพอื่ ใหก้ วาง
ตกใจ จะไดว้ ิ่งออกจากละเมาะไม้ไป ณ ด้านใดด้านหนงึ่ ให้พยายามจับเป็นให้
จงได้

กวางโพธิสัตว์ได้ยินเสียงโห่ร้องก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงกองทหารหลวงมา
ลอ้ มจบั และเดาไดถ้ กู วา่ อนั ตรายครงั้ นต้ี อ้ งมาจากบรุ ษุ ทเี่ ราชว่ ยไวอ้ ยา่ งแนน่ อน
จึงไดใ้ คร่ครวญดูว่าหนทางใดจะปลอดภยั ทส่ี ุด มองไปด้านหนึ่งซ่งึ มพี ระเจา้ แผน่
ดนิ ประทับอย่ ู จงึ คิดวา่ ดา้ นพระเจ้าแผ่นดินนีเ้ ปน็ หนทางท่ีปลอดภยั ทสี่ ุด จึงเดนิ
ออกจากพ่มุ ไม ้ มุง่ ตรงไปยงั พระราชาดว้ ยอาการปกต ิ พระราชาทรงคดิ วา่ เน้อื นี้
ตรงมายังเรา อาจว่ิงชนเราด้วยก�าลังแรงแล้วหนีไปก็ได้ จึงรับส่ังทหารใกล้
พระองคโ์ กง่ ธนไู ว ้ หากพลาดพลงั้ อยา่ งไรใหย้ งิ พอบอบชา้� แลว้ คอ่ ยจบั เอาภายหลงั

กวางทองจงึ เดนิ เขา้ ไปใกลพ้ ระราชา หมอบลงตรงพระพกั ตรแ์ ลว้ กลา่ วดว้ ย
วาจาออ่ นหวานว่า “ขา้ แต่มหาราชเจ้า โปรดอย่าไดย้ ิงข้าพเจ้าเลย ขา้ พเจ้าใคร่
จะขอทราบว่า พระองค์มพี ระประสงค์ประการใด และใครเป็นผแู้ จง้ แหล่งอาศยั
อนั ลลี้ บั นใ้ี หพ้ ระองคท์ ราบพระเจา้ ขา้ ” พระราชาทรงพอพระทยั ในรปู ลกั ษณะและ
มธรุ พจน์ของกวางทอง จงึ สัง่ ให้ลดธนูลงหมดทกุ คน

ฝ่ายบุรุษผ้เู ปน็ มัคคุเทศก์ เห็นพระโพธสิ ัตว์เดินรเ่ี ข้ามาก็ถอยออกไป ทา�
หันรีหันขวางอยู่ พระราชาจงึ ตรัสตอบว่า “สหายเอย๋ บรุ ษุ ผวู้ างทา่ กะเร่อกะร่า
ยืนอยู่ห่างๆ น่ันแหละบอกแก่ฉัน ท่านต้องการทราบท�าไมรึ” พระโพธิสัตว์จึง
ตรัสว่า “ข้าแต่มหาราช โบราณท่านกล่าวว่า ไม้ลอยน้�ามา เก็บเอาไว้ยังมี
ประโยชน ์ ใชเ้ ปน็ เช้ือไฟหุงต้มได ้ แตม่ นุษย์ผ้ใู จบาปหยาบช้าเหน็ แกต่ วั ถึงเกบ็
เอาไวก้ ม็ ิได้ประโยชน์ มแี ต่โทษโดยส่วนเดียว คา� โบราณน้ีชา่ งเปน็ อมตะจรงิ ๆ”

พระราชาทรงสะดุ้งพระทยั ยอ้ นถามไปวา่ “ท่านพญามฤค ทา่ นกล่าวค�า
นม้ี งุ่ ตเิ ตยี นพวกเนอ้ื นก หรอื มนษุ ยพ์ วกเรากนั แน ่ เราฟงั ทา่ นพดู แลว้ อดสะดงุ้ ใจ

197


มไิ ดเ้ ลย” “ขา้ แตม่ หาราช ภยั ทข่ี า้ พเจา้ ไดร้ บั อยนู่ เี้ กดิ จากบคุ คลผหู้ นง่ึ ซงึ่ ขา้ พเจา้
ช่วยชีวิตไว้ เขาลอยน้�ามาในสายน�้าเชี่ยวเกือบจะจมท่ีวังน้�าวน ข้าพเจ้าสงสาร
เสี่ยงชวี ิตช่วยข้นึ มาได้ ได้ปฏญิ าณว่าจะไมบ่ อกแหลง่ ทอ่ี ยแู่ ก่ใคร แล้วข้าพเจา้ ก็
ต้องตายเพราะคนท่ีข้าพเจ้าช่วย การสมาคมกับคนใจหยาบช้าให้ทุกข์ดังน้ีเอง
พระเจา้ ข้า”

พระราชาไดฟ้ งั ดงั นน้ั ทงั้ สงสารทง้ั เลอ่ื มใสในพระโพธสิ ตั ว ์ ทรงกรวิ้ ในบรุ ษุ
ใจบาปนน้ั จงึ รบั สั่งใหร้ าชบรุ ษุ นา� ไปประหารเสยี แต่พระโพธสิ ตั ว์ทรงขอชีวติ ไว้
และให้ประทานรางวัลตามที่ทรงประทานไว้ ปล่อยให้บุรุษน้ันไป และเพื่อหยั่ง
พระทยั พระราชา จงึ กลา่ ววา่ “ขา้ แตม่ หาราช สา� เนยี งสนุ ขั นก หรอื สตั วอ์ นื่ เปน็
สา� เนยี งสอ่ ภาษาซอ่ื ตรงกบั ใจ รไู้ ดง้ า่ ย แตส่ า� หรบั มนษุ ยไ์ วใ้ จมไิ ดเ้ ลย ใจคดิ อยา่ ง
หนงึ่ แต่ปากพดู ไปอีกอย่างหนง่ึ ดูแต่บุรษุ น้นั เถดิ ปฏิญาณไว้แต่กอ่ นอยา่ งหนึ่ง
แตก่ ลับปฏบิ ัตอิ ีกอยา่ งหน่งึ ไม่คงเส้นคงวาเลย”

พระราชาสดบั คา� นนั้ แลว้ จงึ ตรสั ว่า “ทา่ นพญามฤค ท่านไม่ควรวัดมนุษย์
ท้งั หมดด้วยการกระทา� ของมนษุ ยเ์ พียงคนเดียว ฉันนะ่ แม้จะทง้ิ ราชสมบัติ ก็ไม่
ยอมทง้ิ วาจาทไี่ ดก้ ลา่ วไปแลว้ ทา่ นจงขอพรเถดิ เราจะมอบให”้ พระโพธสิ ตั วข์ อรบั
พรการใหอ้ ภยั ทานแกส่ รรพสตั ว ์ ทรงโปรดประทานพรแลว้ พาพระโพธสิ ตั วไ์ ปยงั
พระราชสา� นกั ใหแ้ สดงธรรมแกพ่ ระมเหส ี ยงั ความเลอื่ มใสอิม่ เอบิ พระทยั เป็น
อย่างย่ิง คร้ันเสร็จภารกิจแล้วก็กลับไปยังป่าเดิม พากวางอื่นเท่ียวหากินอยู่
บรเิ วณนน้ั จนถงึ กาลอวสานแห่งชีวติ

นิทานชาดกเรื่องนช้ี ้ใี หเ้ ห็นวา่ บคุ คลแม้จะมใิ ชญ่ าติสายโลหติ แตถ่ า้ มี
ความเอ้ือเฟอ้ื ขนาดเสีย่ งชวี ติ เข้าช่วยเหลอื ได้ ควรไดร้ บั การยกยอ่ งบูชาเสมอ
มารดาบิดา การทรยศต่อบุคคลเช่นนี้ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประทุษร้ายต่อบุคคลผู้
เปน็ มติ ร ยอ่ มไดร้ บั การตเิ ตยี นวา่ เปน็ คนเลว เชน่ เดยี วกบั นายมหาธนกะ เปน็
คนพาลสนั ดานหยาบ ได้รบั การชว่ ยชีวติ จากความตายแล้ว ยังเห็นแก่อามิส
รับสินบนน�าไปจับพระโพธิสัตว์ จึงถูกพระราชาส่ังประหาร และอาศัยความ
เมตตาจากพระโพธสิ ตั วจ์ งึ รอดพน้ ไปได้ จงึ ควรไดถ้ อื เปน็ ตวั อยา่ ง อยา่ ถอื การ
ประพฤตขิ องนายมหาธนกะเป็นแบบอยา่ งตอ่ ไป

(รรุ ุชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย
ชาดก เตรสนิบาต เล่ม ๓๓ หน้า ๒๔๑)

198


199


เหยีย่ วกบั พรานป่า

“ผูกไมตรดี กี ว่าพาล”

ในอดตี กาล สมยั พระเจ้าพรหมทัตเสวยราชย์ ณ กรงุ พาราณส ี
มีพรานป่าพวกหน่ึงล่าเนื้ออยู่ตามป่า หาเล้ียงลูกเมียด้วยเงินที่ขายเน้ือ
นั้น ป่าใดมเี น้อื มากกพ็ ากนั ไปต้งั ค่ายพกั แรม ณ ปา่ นนั้ แล้วตระเวนล่า
จนหมดเปน็ ปา่ ไป สร้างความหวาดกลัวแกส่ ัตวป์ ่าเปน็ อันมาก ณ ทีไ่ ม่
ไกลจากค่ายพักแรมของพวกพราน มีสระเกิดเองอยสู่ ระหน่ึงกว้างใหญ่
มีนา�้ ใสสะอาด สัตว์ท้ังหลายไดอ้ าศัยสระนั้นดมื่ กินน�้าตลอดมา

ณ บริเวณสระนั้นมีสตั ว ์ ๕ ตวั อาศยั อยู่ คอื เหย่ียวตวั ผ ู้ เหย่ยี ว
ตวั เมีย นกออก ราชสหี ์ และเต่าใหญ่ เหยีย่ วตัวผูเ้ กิดรักใครใ่ นเหยี่ยว
ตวั เมีย จงึ เข้าไปหาแล้วพดู เลา้ โลมตามภาษาสตั ว์ว่า “นางผเู้ จรญิ การ
อยู่ปา่ อยา่ งเดียวดายยอ่ มเกดิ ความว้าเหว่ เมอื่ มีภยั มาถงึ ตัวกห็ มดท่ีพง่ึ
ท่ปี รึกษา ขา้ มีความสเิ นหาในตัวนางมานานแลว้ เรามาอยู่รว่ มกนั ฉันท์
สามีภรรยาเถดิ ”

นางเหยยี่ วจงึ พดู วา่ “นน่ี าย การอยรู่ ว่ มกนั เพยี งเราสองเทา่ นนั้ ยงั
ไม่เพยี งพอทจ่ี ะต่อสู้อนั ตรายได ้ เมอ่ื ทกุ ข์ภยั บงั เกิดข้นึ ตอ้ งอาศัยมิตร
สหายใกล้เคียงช่วยเหลือแบ่งเบาจึงจะปลอดภัย ท่านได้ผูกมิตรกับใคร
ในบริเวณนไ้ี ว้บ้างเลา่ ”

“ก็ในบริเวณน้ีมีนกตระกูลเหย่ยี วอยูเ่ พยี งเราสองเทา่ นนั้ จะใหข้ ้า
ไปผูกมิตรกับใครเล่า” “การผูกมิตรน้ันไม่ควรไปจ�ากัดชาติช้ันวรรณะ
ถา้ มคี วามรกั ความเออื้ เฟอ้ื ซง่ึ กนั และกนั แลว้ กเ็ ปน็ มติ รกนั ไดท้ ง้ั นนั้ คน
ชั้นเดียวกันอยู่ใกล้ชิดกันเสียอีก ถ้าไม่มีความเอ้ือเฟื้อก็สู้ผู้อยู่ห่างกัน
ตา่ งชน้ั แตช่ ่วยเหลือกันมิได้ ดงั คา� โบราณว่า “ถึงเปน็ ญาตเิ ป็นเชื้อ ไมม่ ี
ความเอือ้ เฟ้อื กเ็ หมือนเน้ือในปา่ ไม่ใชญ่ าตไิ ม่ใชเ่ ชื้อ ถา้ มคี วามเอ้ือเฟ้อื
กเ็ หมอื นเนอื้ อาตมา” แกตอ้ งผกู มติ รกบั สตั วบ์ รเิ วณนไี้ วก้ อ่ น ขา้ จะยอม
อยดู่ ้วย”

เหยี่ยวตัวผู้จึงถามว่า “นางผู้เจริญ ก็นางจะให้ข้าผูกมิตรกับใคร

200


Click to View FlipBook Version