“นาย! ขา้ พเจา้ ยงั จ�าคา� โบราณได้วา่ งานหนัก ทง้ิ จนแตกกระจาย กาทั้งหลายที่คุมเชิงอยู่กล็ งมือ
มักพ่ายแก่คนพยายาม เสมือนยอดเขาสูงเพียงไร ปฏบิ ตั กิ ารตามแผน บนิ ลงคาบอาหาร ไวจ้ นเตม็ ปาก
ก็ตาม ย่อมอยู่ใต้ฝ่าเท้าของผู้พยายามปีนจนส�าเร็จ ทกุ ตวั ฝา่ ยกาสมุ ขุ ะกจ็ กิ ตบี รุ ษุ นน้ั เพอื่ มใิ หม้ าขดั ขวาง
ได ้ งานของทา่ นแมจ้ ะยากเพยี งใดกค็ งไมพ่ น้ วสิ ยั ถา้ การขนอาหารของพวกตนเองได ้ จนกาทงั้ หลายขน
เราพยายาม ขอไดโ้ ปรดบอกขา้ พเจา้ เถิด” อาหารไปไดพ้ อความตอ้ งการแลว้ บรุ ษุ นนั้ จงึ จบั กาสุ
กาสปุ ัตตะจึงเล่าให้ฟงั ว่า “สขุ ุมะ! ภรรยาของ มุขะไว้ได้ ต้ังใจจะจับฉีกเนื้อเสียให้สมแค้น ก็พอดี
ข้าพเจ้าเกิดอาการแพ้ท้อง อยากกินอาหารเครื่อง ไดย้ นิ เสยี งจากพระตา� หนกั “อยา่ เพงิ่ ฆา่ นา� มาใหเ้ รา
เสวยของพระราชา ถ้าไม่ได้กินในวันน้ี นางจะสละ กอ่ น”
ชวี ติ ตนเองเสยี เรามองไมเ่ หน็ ทางเลยวา่ จะไดม้ าโดย เสยี งน้นั คอื พระดา� รัสของพระเจ้าแผน่ ดิน ซงึ่
วธิ ีใด มนั เปน็ สิง่ ทเี่ หลอื วสิ ยั ” ทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์ทางช่องพระแกลโดย
“เรอ่ื งนข้ี อใหเ้ ปน็ ภาระของขา้ พเจา้ เอง ขอทา่ น ตลอด บรุ ษุ นนั้ ไดน้ า� ตวั กาสมุ ขุ ะขนึ้ พระตา� หนกั ถวาย
ได้โปรดวางใจ ข้าพเจา้ มั่นใจว่าจะไดอ้ าหารมาในวนั แด่พระราชา
น้ ี ขอทา่ นไดป้ ลอบใจภรรยาของท่านไวก้ ่อนเถิด” ฝา่ ยกาทง้ั ๘ ตวั ไดน้ า� อาหารไปใหเ้ จา้ นายของ
กาสมุ ขุ ะกลบั ไป ไดเ้ รยี กกาทง้ั หลายมาประชมุ ตนสมความตงั้ ใจ กาทเี่ หลอื นอกนน้ั ตา่ งกบ็ นิ มาคาบ
กนั แลว้ ปรารภเรอื่ งใหก้ าทงั้ หมดไดฟ้ งั จดั แบง่ หนา้ ท่ี อาหารท่ียงั เหลืออยจู่ นหมด
เป็นชุดๆ แนะแผนการให้ฟังโดยตลอด เสร็จ พระราชาจบั กาไวด้ ว้ ยพระหตั ถ์ แล้วตรสั ถาม
เรียบร้อยแล้วพากันบินไปยังพระราชวัง สั่งให้กาท้ัง “นเ่ี จา้ กา! เจา้ ไมร่ หู้ รอื วา่ การกระทา� ของเจา้ นนั้
หลายแยกยา้ ยไปประจา� ตามหนา้ ทท่ี ไ่ี ดร้ บั มอบหมาย มโี ทษหนกั เพยี งใด การทา� รา้ ยรา่ งกายคนของเราถงึ
แลว้ รอเวลาลงมือปฏบิ ตั ิการอย่างระทกึ ใจ ขั้นเสยี โฉม ทา� ลายของหลวงให้เสยี หาย โทษครง้ั นี้
เมอ่ื ไดเ้ วลาเชญิ เครอ่ื งพระกระยาหารไปถวาย ถงึ ชวี ติ เจา้ มเี หตผุ ลอะไรถงึ กบั สละชวี ติ มาทา� กรรม
พระราชา เจ้าพนักงานเชิญส�ารับออกจากโรงครัว ถงึ ปานนี”้
เพ่ือขึ้นไปยังพระต�าหนัก กาสุมุขะเห็นดังน้ันจึง “มหาราช” กาสมุ ขุ ะกราบทูลด้วยกิริยาทเ่ี ป็น
กระซบิ เตอื นสหายกาวา่ “ในขณะทเี่ ราเกาะ จกิ ตบี รุ ษุ ปกติ “ขา้ พระพทุ ธเจ้ามีเจ้านายผหู้ นึ่ง เปรยี บได้กบั
ผู้น�าเครอื่ งน ้ี ส�ารับจะตกจากบา่ อาหารจะกระเดน็ ราชาเช่นพระองค์ ขา้ ฯ เป็นบรวิ ารผรู้ ับใช้ นางสุปสั
ออกจากภาชนะ พวกเจ้าจงรีบคาบอาหารไว้ให้เต็ม สาภรรยาของเจ้านายเกิดแพท้ อ้ ง อยากกินอาหารท่ี
ปาก แลว้ รบี บินกลับไปยังสา� นกั เจา้ นายเรา ให้ทา่ น พอ่ ครัวจดั ถวายพระองค์ ข้าฯ จงึ อาสานา� อาหารไป
ทงั้ สองไดบ้ รโิ ภคตามความประสงค ์ ไมต่ อ้ งหว่ งเรา” ให้ ทง้ั ที่ข้าฯ รู้ดีว่าโทษครงั้ น้ีถงึ ตาย แตก่ ็ยนิ ดีสละ
เมื่อกาสุมุขะส่ังการเสร็จก็พอดีพนักงานเชิญ ชีวิตเพ่ือสนองพระคุณเจ้านาย บัดนี้ได้ปฏิบัติการ
เครอื่ งมาถงึ หนา้ พระลาน กาสมุ ขุ ะโฉบลงเกาะบนบา่ ส�าเร็จสมต้ังใจแลว้ ทุกประการ โทษทัณฑม์ ีประการ
ของบุรุษน้ันอย่างรวดเร็ว จิกที่ปลายจมูก กระชาก ใดกข็ อไดโ้ ปรดให้เป็นไปตามโทษานุโทษเถิด”
พร้อมตีด้วยปีกและเท้าจนจมูกของบุรุษน้ันขาด พระเจา้ พาราณสสี ดบั คา� ของกาสมุ ขุ ะแลว้ ทรง
กระเด็นเลอื ดไหลโชก บรุ ุษน้ันถูกจูโ่ จมโดยไม่รตู้ ัวก็ ดา� รวิ ่า “เราเป็นมนุษย์ผ้ยู ิ่งใหญใ่ นกรุงพาราณสี แม้
ตกใจสดุ ขดี ประกอบกบั ความเจบ็ ปวดจงึ ปลอ่ ยสา� รบั จะสละราชสมบตั ทิ งั้ ปวงใหแ้ กผ่ ใู้ ด กไ็ มอ่ าจหาผภู้ กั ดี
51
ต่อเราจนถงึ ข้ันสละชีวิตแทนเราได้ ผู้มีน�า้ ใจภกั ดีต่อเจ้านายเช่นน้ี
หาไมง่ า่ ยนกั สตั วน์ เี้ กดิ มาเปน็ กา เปน็ เดรจั ฉานยงั มจี ติ ใจสงู มคี วาม
ภกั ดีต่อเจา้ นายขนาดยอมสละชวี ติ อทุ ศิ ได้ นับว่ามคี ณุ ธรรมสูง ถา้
เราท�าอันตรายจะบาปหนกั เราจะขอบชู าคณุ ธรรมในตวั กาดว้ ยราช
สมบัติของเรา” จึงทรงประกาศมอบราชสมบัติให้กาปกครองตาม
ประเพณี
กาสมุ ขุ ะจงึ ถวายคนื ราชสมบตั ิ แลว้ กลา่ วสรรเสรญิ คณุ แหง่ เจา้
นาย เป็นการสอนพระราชาไปในตัว พระเจ้าพาราณสีทรงเล่ือมใส
หนักขึน้ จงึ ประกาศใหอ้ ภัยทานต่อกาท้ังฝูง ห้ามใครๆ ทา� อนั ตราย
และใหร้ าชบรุ ษุ หงุ ขา้ วเลยี้ งกาวนั ละ ๑ ทะนานทกุ วนั กานน้ั ไดอ้ าศยั
กรุงพาราณสีอยดู่ ว้ ยความสขุ จนถึงกาลอวสานแหง่ ชวี ิต
คติจากเร่อื งน ้ี มงุ่ ชไี้ ปยงั การปฏบิ ตั ติ วั ต่อสังคมอยา่ งหนึ่ง คอื
การอยู่ภายใต้บังคับบัญชาผู้อื่น ผู้ใหญ่มีหน้าท่ีแสดงความเมตตา
ปรานีต่อผู้น้อย ตงั้ อย่ใู นฐานะรม่ โพธ์ริ ม่ ไทร สว่ นผู้น้อยก็แสดง
ความจงรักภักดีดว้ ยใจจริง สังคมจงึ จะเป็นอยไู่ ด้ ถ้าตา่ งคนตา่ งมี
นา้� ใจตอ่ กนั ปฏบิ ตั ติ อ่ กนั ไมเ่ พยี งแตส่ กั วา่ ทา� ยอ่ มบงั เกดิ ผลดที ง้ั ๒
ฝา่ ย
ชาดกเร่ืองนีจ้ งึ สอนวา่ ผนู้ อ้ ยควรแสดงความจงรกั ภกั ดตี ่อ
ผู้ใหญ่ ในฐานะผู้เหนือตน ซึ่งบางคราวแม้จะเสียสละสิ่งใดเพ่ือ
ความผาสกุ ของกันและกนั กค็ วรทา� ความเสียสละ เปน็ สายเชอื่ ม
กระชบั ไมตรจี ติ มติ รภาพใหแ้ นน่ แฟน้ ยง่ิ ขน้ึ อยา่ งนอ้ ยทส่ี ดุ แมจ้ ะ
ไมถ่ งึ ขน้ั สละชีวติ เชน่ กาสมุ ขุ ะ เพยี งแตย่ อมเสียสละความเห็นแก่
ตวั บ้าง ก็จะก่อประโยชนอ์ ยา่ งใหญ่หลวง จึงควรถอื ชาดกเรื่องน้ี
เป็นแบบอยา่ งแหง่ การดา� เนนิ ชวี ติ ดังโคลงในโลกนติ ิ กลา่ วว่า
ดขู ้าดเู ม่อื ใช้ งานหนัก
ดมู ิตรพงศารกั เมือ่ ไร้
ดเู มยี เมอ่ื ไขจ้ กั จวนชีพ
อาจจะร้จู ติ ได้ วา่ ร้ายฤาดี
(สุปตั ตชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
ชาดก ติกนิบาต เลม่ ๓๑ หน้า ๒๔๕)
52
53
สุนขั ทะนง
“อย่าใฝส่ ูง ให้เกนิ ศกั ด”์ิ
ครั้งหน่ึงในป่าหิมพานต์ สมัยพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชย์ในกรุง
พาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นปุโรหิต เป็นผู้ปราดเปรื่องใน
เรอ่ื งวชิ าความร ู้ สามารถศกึ ษาจบไตรเพทและศลิ ปศาสตร ์ ๑๘ ประการ
และความรู้ “ปฐววี ิชัยมนต”์ คอื คาถากลับใจคนใหห้ ลงใหลได้ เรยี กอกี
อย่างหนึ่งว่า “มนตม์ หาเสน่ห”์
วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์คิดว่า “อันมนต์ท้ังหลาย มีการไม่ท่องบ่น
เป็นมลทิน” จึงคิดจะท่องปฐวีวิชัยมนต์ให้ข้ึนใจ คร้ันจะท่องในท่ีมีคน
ไดย้ นิ กเ็ กรงจะเกดิ โทษในขอ้ ทที่ า� ใหผ้ ทู้ ไี่ ดย้ นิ เกดิ หลงใหลในตวั จงึ ไปหา
ทสี่ งดั เงยี บ นงั่ บนหนิ ดาดทอ่ งมนตน์ น้ั กลบั ไปกลบั มาหลายเทย่ี ว จนขนึ้ ใจ
แล้ว จึงพดู กบั ตัวเองวา่ “มนต์นี้เราทอ่ งขึน้ ใจแล้วคงไม่ลมื ไปอกี นาน”
ณ โพรงไมใ้ กล้หินดาดน้ัน มสี ุนัขจ้ิงจอกตัวหนงึ่ นอนอยู่ นยั ว่า
สุนัขจิ้งจอกตัวนี้เมื่อชาติก่อนเกิดเป็นคน ได้เรียนปฐวีวิชัยมนต์จน
คล่องแคล่ว เมอื่ ตายแลว้ เกิดมาเปน็ สุนขั จ้ิงจอก อาศยั ท่ีเคยเรยี นมาแต่
ชาตกิ อ่ น เมอื่ ไดย้ นิ พระโพธสิ ตั วท์ อ่ งมนตอ์ ยหู่ ลายเทย่ี วจงึ สามารถระลกึ
ความจา� แต่ชาติกอ่ นได้ จงึ จ�ามนต์บทนั้นจนคล่องแคล่ว เมอื่ ได้ยินพระ
โพธสิ ัตวก์ ล่าวว่า ตวั เองคล่องมนตเ์ ช่นนนั้ กต็ อ้ งการอวดความเก่งกาจ
ของตัวเองบา้ ง จงึ ว่ิงออกจากโพรงไม ้ กลา่ วอวดตัววา่
“ทา่ นพราหมณ!์ อยา่ นกึ วา่ มที า่ นคนเดยี วทท่ี อ่ งมนตบ์ ทนไี้ ดค้ ลอ่ ง
ข้าฯ จา� ไดค้ ล่องยิง่ กว่าทา่ นเสยี อีก” กล่าวแล้วกว็ ่ิงหนเี ขา้ ปา่ ไป
พระโพธิสตั วไ์ ด้ยนิ สนุ ัขจิง้ จอกกล่าวดงั น้นั กต็ กใจ คดิ ว่า “มนตรา
อันวเิ ศษถา้ อย่ใู นมอื ของคนเลวยอ่ มก่อทกุ ขใ์ ห้อยา่ งมากมาย” จงึ วงิ่ ตาม
ไปหวงั จะทา� ลายสนุ ขั เสยี แตต่ ามไมท่ นั จงึ กลบั ไปยงั สา� นกั ของตน นกึ อยู่
เสมอว่า “เจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวน้ีจะต้องก่อภัยอยา่ งใหญห่ ลวงให้แกฝ่ ูงสตั ว์
เป็นแน่”
สนุ ัขจงิ้ จอกนึกภมู ิใจทตี่ นได้มนต์วเิ ศษ คดิ สรา้ งความยิ่งใหญ่ให้
แกต่ วั เอง เมอื่ พบนางสนุ ขั ตวั หนง่ึ จงึ เดนิ เขา้ ไปใกล ้ แลว้ งบั หางเชงิ ลอ้ เมอื่
นางสนุ ขั จง้ิ จอกหนั มาทา� ตาเขยี วให ้ จงึ เปา่ ปฐววี ชิ ยั มนต ์ นางสนุ ขั จงิ้ จอก
54
เกดิ หลงใหลยอมเปน็ ภรรยา ตงั้ แตน่ ัน้ มา กม็ ใี จก�าเรบิ เมอื่ กราบทลู พระราชาใหเ้ บาพระทยั ไดแ้ ลว้ จงึ
เท่ียวร่ายมนต์เอาสุนัขจ้ิงจอกมาเป็นบริวาร นับด้วย ขน้ึ ไปบนเชงิ เทนิ มองหาสนุ ขั จงิ้ จอกตวั การ เมอ่ื เหน็
จา� นวนรอ้ ย ตง้ั ตวั เปน็ ราชาแหง่ จง้ิ จอก เทา่ นนั้ ยงั ไมพ่ อ ตวั แลว้ จึงตะโกนถามว่า
คิดว่าสัตว์ในป่าทั้งหมดควรอยู่ใต้อ�านาจของเรา จึง “สหายสัพพทาฐ! เจา้ เป็นสตั ว์ช้ันต�า่ ได้มนต์
เท่ยี วร่ายมนตเ์ กณฑส์ ัตว์นอ้ ยใหญ่ทัง้ หลาย เชน่ ชา้ ง ไปจากเรา แล้วไปเที่ยวบังคับสัตว์ใหญ่ให้อยู่ใน
ราชสหี ์ กระบอื ปา่ และโค มาเป็นบรวิ าร ตงั้ ตวั เป็น อ�านาจยังไม่พอ ก�าเริบใจใคร่จะข่มเหงพวกมนุษย ์
ราชาสตั วป์ า่ ตงั้ ชอื่ ตนเองวา่ “สพั พทาฐ” แปลว่า “จอม เรายังมองไม่เห็นทางเลยว่าเจ้าจะมีวิธีการใดจึงจะ
เขยี้ วงา” จะเยอื้ งกรายไปในท่ีใดก็เยื้องกรายแบบพญา เอาชนะมนุษย์ได้ ลองแย้มมาสักหน่อยสิ”
สัตว์ มีราชสีห์เป็นพาหนะ แวดล้อมด้วยสัตว์เป็น สุนัขจิ้งจอกสัพพทาฐได้ฟังดังน้ันก็โกรธ จึง
จา� นวนมาก รอ้ งตอบ “พราหมณ์! การเอาชนะพวกมนษุ ยไ์ มใ่ ช่
วนั หนึ่ง สนุ ัขสพั พทาฐหลงตัวเอง รา� พึงในใจวา่ เป็นเร่ืองยาก เพียงเราบังคับราชสีห์เปล่งเสียง
“ความเป็นใหญ่ในหมู่สัตว์เราก็ได้แล้ว เพราะสัตว์ท้ัง คา� รามพรอ้ มกนั เปน็ รอ้ ยๆ ตัว ชาวเมืองก็จะหวาด
หลายยอมเปน็ ทาสเราส้นิ ยงั เหลอื แตพ่ วกมนษุ ยท์ ่ยี งั สะดุ้ง หแู แตกตายไปตามๆ กนั ท่านจะยอมให้
แข็งข้ออย ู่ ถ้าเรายกทัพสัตวเ์ ขา้ ประชิดกรุงพาราณส ี สมบัติหรือจะยอมเสี่ยงตายด้วยเสียงพญาสัตว์ทั้ง
มนษุ ยก์ จ็ ะยอมแพแ้ ตโ่ ดยด”ี จงึ เกณฑส์ ตั วท์ พี่ วกมนษุ ย์ หลายเล่า”
หวาดกลวั เชน่ เสอื ชา้ ง ราชสหี ์ และอน่ื ๆ เปน็ จา� นวน เม่ือพระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นก็มิได้ตอบ
มาก ตัวเองและนางสุนัขคู่ใจใช้ราชสีห์เป็นพาหนะไล่ ประการใด จงึ ตกี ลองรอ้ งปา่ วใหป้ ระชาชนปดิ หดู ว้ ย
ต้อนฝงู สตั วล์ อ้ มกรงุ พาราณสที นั ที แป้งและถ่ัวราชมาสท่ัวทุกคน แล้วให้เตรียมมีดไว้
ชาวเมืองเห็นสัตว์ร้ายแห่กันมามืดฟ้ามัวดินเช่น เถือเน้ือสัตว์เป็นอาหาร เมื่อพระโพธิสัตว์ส่ังการ
นั้นก็ตกใจ พากันว่ิงเข้าประตูเมืองแล้วปิดประตูเมือง เสรจ็ จงึ ขนึ้ ไปยืนบนเชงิ เทนิ อกี ครงั้ หนงึ่ แลว้ ตะโกน
ทุกด้าน ต่างคว้าอาวุธประจ�าตัวขึ้นรักษาก�าแพงเมือง เยย้ สนุ ัขจิง้ จอก
ไวอ้ ยา่ งม่นั คง ปรึกษากันวา่ จะต่อสกู้ บั สตั วร์ ้ายเหลา่ “เจ้าสัพพทาฐผู้โง่เขลา! ตัวเจ้าเล็กนิดเดียว
นไ้ี ดอ้ ยา่ งไร วา่ โดยศกั ดศ์ิ รกี ต็ า�่ ตอ้ ยกวา่ ราชสหี ม์ ากนกั เจา้ ยงั ไม่
พระโพธิสัตว์ทราบความนั้น ก็รู้ทันทีว่าการ เจียมตัว บังอาจพูดออกมาว่าจะบังคับราชสีห์ให้
กระท�าคราวน้ีเป็นเรื่องของสุนัขจ้ิงจอกสัพพทาฐ จึง เปลง่ เสยี งคา� รามได ้ ถา้ เกง่ จรงิ ลองบงั คบั ราชสหี ต์ วั
เข้าไปกราบทลู พระราชา ท่ีเจ้ายืนอยู่นั่นให้เปล่งเสียงดูก่อนซิ ว่าจะยอมท�า
“ขอเดชะ การที่ฝูงสตั ว์แหม่ าล้อมกรุงครงั้ น้เี ปน็ ตามหรือไม่ ถ้าราชสหี ์ตัวน้นั ยอมท�าตามเจ้า ขา้
เรื่องของสุนัขจ้ิงจอกโง่ได้มนต์จากข้าพระพุทธเจ้าไป ก็จะยอมยกราชสมบตั ิใหเ้ จา้ ”
แลว้ เทย่ี วบงั คบั สตั วใ์ หเ้ ปน็ ทาสและพามาลอ้ มกรงุ ดว้ ย สุนัขจิ้งจอกสัพพทาฐได้รับค�าหมิ่นเช่นนั้นก็
ความกา� เรบิ ใจ การแก้ไขเหตกุ ารณน์ ้ี ขอให้เปน็ ภาระ โกรธ จึงกล่าวว่า “ดลี ะ เราจะบงั คับราชสีห์ใหท้ า่ น
ของขา้ พระพทุ ธเจา้ ขอพระองคจ์ งเบาพระทยั ได ้ ชอื่ วา่ ดู ณ บดั น้ี” แลว้ กระทบื เท้าบังคับให้ราชสหี ท์ ่ตี นขี่
สัตว์จะเอาชนะมนษุ ยไ์ ดน้ ้นั ไมเ่ คยม”ี ค�ารามโดยสดุ เสยี ง
55
ราชสีห์เม่ือถูกบังคับก็เน้นปากเปล่งเสียงค�ารามโดยสุดแรง อย่าง
ไมเ่ คยเปล่งมาก่อน เสียงนัน้ ท�าให้แก้วหสู ุนัขจิ้งจอกสัพพทาฐ ซ่งึ อยู่ใกล้
ทส่ี ดุ แตกทนั ท ี สตั วท์ ง้ั หลาย ทงั้ เสอื ทงั้ ชา้ งและทง้ั ราชสหี ์ เมอ่ื ไดย้ นิ เสยี ง
ราชสหี ค์ �ารามเชน่ นัน้ ก็ตกใจกลวั ต่างวง่ิ กนั เอาตวั รอดจนสับสนอลหมา่ น
ฟดั แทงและเหยียบกนั ตายเป็นจ�านวนมาก
สว่ นสนุ ขั จง้ิ จอกสพั พทาฐถกู สลดั จนตกจากหลงั ราชสหี ์ และถกู สตั ว์
อ่ืนเหยยี บตาย ณ ท่ีนนั้ เอง สตั ว์ทร่ี อดตายไปได้ก็หนีเข้าป่า ไปตามเดมิ
ชาวเมอื งเม่ือเห็นดงั นั้นต่างกด็ ีใจ เปิดประตูเมอื งออกมา แล่เอาเน้อื สัตว์
ทง้ั หมดไปประกอบอาหารกนิ กนั อยา่ งอมิ่ หนา� สา� ราญ พากนั สรรเสรญิ พระ
โพธสิ ัตว์เป็นอนั มาก
นิทานชาดกเร่ืองนี้ มีคตคิ วรคิดบทหนึง่ วา่ อ�านาจอาจทา� ใหค้ น
เปน็ ใหญ่ได้ แต่ก็ควรใหญ่ในขอบเขตแห่งศกั ดศิ์ รขี องตน ถา้ เกดิ เมา
ในความเป็นใหญ่ จนกระทง่ั สา� คญั ตัวผิด คิดใฝ่สงู จนเกินศกั ดิ์ของตวั
เองแล้ว ย่อมประสบความหายนะในท่ีสุด เปรียบเสมือนรถท่ีมีความ
สามารถว่งิ ไดเ้ พียง ๑๒๐ ไมลต์ ่อชว่ั โมง แต่ถ้าจะวิ่งในระดับน้ันไม่
พอใจ ตอ้ งการจะวงิ่ ใหไ้ ดม้ ากกวา่ นน้ั กย็ อ่ มประสบความพนิ าศเชน่ เดยี ว
กบั สุนขั จ้ิงจอกประสบความพินาศ เพราะใฝ่สงู เกินไป ดังสุภาษิตไทย
ว่า “อยา่ ใฝ่สูงจนเกินศกั ด์”ิ จึงควรสังวรไว้เปน็ คติเตอื นใจ ดังภาษติ
ไทยโบราณสอนใหร้ ู้จกั ความพอดขี องตัวเองว่า
แคบนักมกั ขยับขยายยาก
กวา้ งนักมักไมม่ อี ะไรจะใส่สม
สงู นักมกั ลอยไปตามลม
ต�่านกั มกั จะจมลงบาดาล
(สพั พทาฐชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก ทุกนิบาต เล่ม ๓๐ หนา้ ๓๗๘)
56
57
สมันตดิ รส
“ตามใจตวั จะล�าบาก ตามใจปากจะเสียท”ี
ครง้ั หนง่ึ ในปา่ หิมพานต์ เมอื่ พระเจ้าพรหมทัตเสวยราชย์ ณ กรุง
พาราณสี มีคนเฝ้าพระราชอุทยานของพระเจ้าพาราณสีคนหน่ึง ชื่อว่า
สญั ชยั ตามปกตพิ อถงึ หนา้ ผลไมช้ นดิ ใดๆ สญั ชยั จะไปทลู เกลา้ ถวายผลไม้
แด่พระราชาแต่เช้าเป็นประจ�าทุกวัน พระราชาก็ทรงไต่ถามความเป็นไป
เสมอ
วนั หนง่ึ ขณะที่สัญชยั น�าผลไม้ไปถวายพระราชาตามปกติ พระองค์
ตรสั ถาม “พ่อสญั ชยั เธอเฝา้ สวนมากเ็ ปน็ เวลานาน มีอะไรผิดปกติในสวน
ของเราบ้างไหม เลา่ ให้ข้าฟงั หนอ่ ยซิ”
“ขอเดชะ ข้าพระบาทไม่เห็นอะไรผิดปกติอย่างอื่น นอกจากมีเน้ือ
สมนั ปา่ ตวั หนึง่ เข้ามาอาศยั หากนิ ในราชอทุ ยาน พระเจ้าขา้ ”
“ดแี ลว้ ถา้ เปน็ เช่นนน้ั เธอจับสมันตัวนั้นมาใหเ้ ราได้ไหม?”
“ไดพ้ ระเจา้ ขา้ ” นายสญั ชยั กราบทลู “แตข่ า้ พระองคข์ อพระราชทาน
เคร่อื งมืออย่างหนึง่ คือนา�้ ผึง้ ข้าพระองค์ก็จะสามารถจบั สมันตวั น้นั และ
นา� มาถึงพระราชวังได้พระเจา้ ข้า”
พระราชาทรงรับส่ังให้ราชบุรุษเบิกน�้าผ้ึงมอบให้สัญชัยตามต้องการ
สัญชยั แอบนา� น้า� ผ้ึงไปทาใบหญา้ แถวบรเิ วณท่สี มันหากนิ โดยทไ่ี มใ่ หส้ มัน
ร ู้ เม่ือสมันเลม็ หญา้ ที่เคลอื บน้า� ผง้ึ เข้าไปก็เกดิ ติดใจในรสชาด หลงั จาก
นั้นก็มาเล็มหญ้าบริเวณน้ันเป็นประจ�า สัญชัยน�าน้�าผ้ึงไปทาหญ้าทุกวัน
บางครงั้ กพ็ บตวั สมนั แตก่ ไ็ มไ่ ดแ้ สดงอาการตกใจใหเ้ หน็ จนกระทงั่ สมนั เกดิ
ความคุน้ เคย กล้ากนิ หญา้ ในมือของสญั ชัยที่ยืน่ ให้
นายสัญชัยพอรู้ว่าสมันมีความคุ้นเคยกับตัวเองแล้ว คร้ันจะจับโดย
วิธีจู่โจมโดยใช้ก�าลังหักหาญ ก็เกรงว่าจะเกิดการพลาดพล้ัง สมันอาจจะ
หลุดไปไดแ้ ละไมก่ ลา้ เขา้ ใกล้ตัวเองอีก จงึ ใหท้ า� รว้ั ขนาบเป็นทาง ต้ังแตร่ าช
อุทยานถึงประตูวัง บรรจุน้�าผึ้งใส่กระบอกให้เต็ม น�าหญ้าแห้งมามัดหน่ึง
โดยหนบี ไวท้ ่รี ักแร ้ น�าหญา้ จมุ่ น�้าผงึ้ แลว้ ล่อใหส้ มนั กิน ขณะที่สมนั กา� ลัง
กนิ นั้นกเ็ ดนิ ตามไปตามแนวขนาบ ๒ ขา้ งจนล้�าเขา้ ประตูวงั นายสัญชยั
สงั่ ให้คนปิดประตทู ันท ี เมือ่ สมนั รตู้ ัวก็ตกใจวง่ิ เผน่ ไปรอบๆ ก�าแพง แต่ก็
ไม่สามารถลอดออกมาได้
ขณะนั้น พระราชาเสด็จลงจากปราสาทเห็นสมันตกใจกลัวเช่นนั้น
58
จงึ รับส่งั กบั ขา้ ราชบริพาร
“ท่านท้ังหลายจงดูสมันน้ีเป็นตัวอย่าง สมันเกิดในป่าห่างไกลจากถ่ินอันตราย
จากมนษุ ย ์ ธรรมดาสมนั จะอยใู่ นทตี่ นพบมนษุ ยไ์ ดไ้ มเ่ กนิ ๗ วนั และถา้ ยงิ่ ถกู มนษุ ย์
คกุ คามดว้ ยแลว้ กเ็ ผน่ หนีไป ไมย่ อมให้มนษุ ย์เห็นตลอดชีวิต แตท่ ี่สมนั ตวั นี้ด้นป่ามา
หาอันตรายของตัวก็เพราะ “การติดในรส” อย่างเดียว
เม่อื พูดถึงความตดิ ต่างๆ แล้วคงไม่มีอะไรชวั่ รา้ ยเทา่ ความติดในรส นายสัญชัย
คนนี้เฝา้ สวนของเราสามารถลอ่ สมันตวั น้ีออกจากปา่ มาได ้ กด็ ้วยรสนา้� ผ้ึงเพียงอย่าง
เดยี วเทา่ นนั้ ”
เม่อื พระราชาทรงชใี้ ห้ขา้ ราชบรพิ ารเห็นโทษในการติดรสแลว้ เตอื นใหท้ กุ คน
สังวรระวงั แลว้ รบั ส่ังให้ปล่อยสมนั ตัวนั้นไป สมนั นัน้ จึงเข้าปา่ ไมไ่ ด้ย่างกรายเขา้ มา
ในถิ่นมนษุ ย ์ จนกระท่ังถึงกาลอวสานแห่งชีวิต
ชาดกเรอ่ื งนมี้ งุ่ ชใี้ หเ้ หน็ วา่ สง่ิ ลอ่ ใจทจี่ ะทา� ใหค้ นเราหลงตดิ แลว้ กเ็ กดิ อนั ตราย
นน้ั ท่านว่ามีท่เี ห็นง่ายๆ อยู่ ๕ ชนดิ คอื
รูปสวย ลอ่ ให้ตดิ ในทางตา
เสียงเพราะ ลอ่ ใหต้ ิดทางหู
กล่ินหอม ล่อให้ติดทางดมกล่ิน
รสอรอ่ ย ลอ่ ใหต้ ดิ ทางชมิ รส
สัมผัสออ่ นนมุ่ ลอ่ ใหต้ ดิ ทางถูกเนอื้ ตอ้ งตวั
แตล่ ะสง่ิ เหลา่ นี้ ถา้ ใครไมม่ สี ตคิ อื การยบั ยง้ั ชงั่ ใจใหด้ แี ลว้ มกั ตดิ จนหลงใหล
ได้ทุกอยา่ ง และมักเสียคนได้ เชน่ ทชี่ อบใฝฝ่ นั ถงึ คนรูปสวยจนไมเ่ ปน็ อันเลา่ เรียน
นั่นก็คือการติดรูป หรือชอบดูละครหามรุ่งหามค่�า ก็คือติดในรูปน่ันเอง คนที่
หลงใหลไปกับพวกนักรอ้ ง ยอมอทุ ศิ กายถวายตวั ให้ กเ็ พราะตดิ ในเสียง
คนทช่ี อบกลน่ิ หอมจนตอ้ งเปลอื งคา่ ใชจ้ า่ ยในการนโี้ ดยไมจ่ า� เปน็ กเ็ พราะตดิ
ในกล่นิ คนเห็นแกก่ ิน ไม่รู้จกั ประมาณ โดยท่ีสดุ แม้กนิ เหลา้ เมายาจนเสียคน ก็
เพราะตดิ ในรส คนทงี่ าน“หนกั ไมเ่ อา เบาไมส่ ”ู้ เกยี จครา้ นไมย่ อมทา� งานใหล้ า� บาก
กาย กลายเปน็ คนเจา้ ส�าราญ กเ็ ข้าลกั ษณะคนตดิ สุข ซง่ึ แตล่ ะส่ิงเป็นของน�าไปสู่
ความหายนะได้ ถ้าไรส้ ติ
พระพทุ ธองคจ์ งึ ตรสั สอนโดยยกชาดกมาใหเ้ หน็ เปน็ ตวั อยา่ ง คนเหน็ แกก่ นิ
โดยไม่รู้จักขอบเขตย่อมถึงความพินาศได้ เช่น สมันที่อาศัยอยู่ในป่า ซ่ึงเป็นที่
ปลอดภยั จากมนษุ ยแ์ ล้ว กเ็ พราะเหน็ แก่ความอยาก จึงเสยี ทีมนษุ ยใ์ นที่สดุ
สมดงั ภาษิตไทยโบราณวา่ “ตามใจตัวจะลา� บาก ตามใจปากจะเสียที” ควร
ถอื เปน็ คติเตอื นใจตอ่ ไป
(วาตมคิ ชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย
ชาดก เอกนิบาต เล่ม ๒๘ หน้า ๒๘๐)
59
60
นกนอ้ ยฆ่าช้าง
“อยา่ หมิ่นศตั รู ว่ามีกา� ลังน้อย”
คร้งั หนงึ่ ในป่าหมิ พานต์ สมยั พระเจา้ พรหมทัตครองราชสมบตั ิ
ณ กรงุ พาราณส ี พระโพธสิ ัตวเ์ กดิ ในก�าเนดิ ช้าง มีรปู ร่างใหญ่เปน็ นาย
โขลง มชี า้ งเปน็ บริวารจ�านวนมาก เที่ยวหากินอยู่ ณ หมิ วันตประเทศ
ชา้ งทงั้ หลายตา่ งแสดงความเคารพ เชอื่ ฟงั ตอ่ หวั หนา้ โขลงพระโพธสิ ตั ว์
เปน็ อยา่ งดตี ลอดมา ครง้ั นนั้ มนี างนกไสต้ วั หนง่ึ อาศยั อยบู่ รเิ วณเดยี วกนั
เผอิญตกฟองกกไข่อยู่ในทางสัญจรไปมาของช้าง เวลาล่วงไปลูกนกก็
เจาะฟองออกมาแต่ปีกยังงอกไม่เตม็ ท ่ี จึงไมส่ ามารถบินไปไหนได้ นาง
นกไส้จึงเฝา้ รอจนกวา่ ลูกจะปีกกล้าแขง็ บินไปหากนิ เองได้
วันหนึ่ง โขลงช้างหากินอยใู่ นหมิ วันตประเทศ เดินผา่ นมาทางรงั
นางนกไส้ นางนกเห็นอันตรายจะตกมาถึงลกู กต็ กใจ ครั้นจะบินหนี
กเ็ ปน็ หว่ งลกู จงึ บนิ เขา้ ไปหาชา้ งโพธสิ ตั ว ์ ประคองปกี แสดงความเคารพ
กลา่ วออ้ นวอนขอความอารกั ขาจากพญาชา้ งวา่ “ทา่ นผเู้ ปน็ จา่ โขลง! ลกู
ของข้าพเจ้าก�าลังอยู่ระหว่างทางเดินของพวกท่าน ปีกยังอ่อน ไม่
สามารถบนิ หลีกทางทา่ นได้ ขอไดโ้ ปรดชว่ ยป้องกนั ชวี ิตลกู ของขา้ พเจา้
ให้ปลอดภัยจากโขลงช้างด้วยเถิด”
พญาช้างได้ยินดังนั้นเกิดความสงสาร จึงปลอบให้นางนกไส ้
เบาใจวา่ “อยา่ วิตกไปเลยแมน่ กน้อย! เราจะช่วยปอ้ งกนั อันตรายจาก
ชา้ งของเราไวใ้ ห”้
พญาชา้ งจงึ เดนิ รดุ ขน้ึ หนา้ โขลงชา้ งยนื ครอ่ มรงั นกไว ้ ปลอ่ ยใหฝ้ งู
ชา้ งเดนิ ผา่ นไปหมดแลว้ จงึ กลา่ วกบั นางนกวา่ “ลกู ของเธอ พน้ อนั ตราย
แล้ว แต่จะตอ้ งระวงั ชา้ งโทนอีกตวั หน่ึงดุร้าย ไม่ยอมเชือ่ ฟังใคร ขณะ
นมี้ นั กา� ลงั ตามหลงั มา เมอ่ื มนั มาถงึ จงออ้ นวอนขอความปลอดภยั ใหแ้ ก่
ลกู น้อยของเจา้ เถดิ ” คร้ันสง่ั ดังนน้ั พญาช้างกเ็ ดินเลยไป
ช้างโทนตัวดุร้ายก็เดินตามมาถึง นางนกเห็นดังนั้นจึงบินเข้าไป
ใกล้ ประคองปกี เพื่อแสดงความเคารพ กลา่ วดว้ ยนา้� เสยี งแสดงความ
หวาดกลัวว่า “ข้าแต่พญาช้างผู้เป็นใหญ่ ผู้มีความกล้าหาญเดินหากิน
61
แตผ่ เู้ ดยี ว ขา้ พเจา้ ขอนอบนอ้ ม ขอไดโ้ ปรดไวช้ วี ติ แก่ นางนกไสไ้ ดโ้ อกาสจงึ กลา่ วกบั กาวา่ “ถา้ ทา่ น
ลกู นอ้ ยของขา้ พเจา้ ดว้ ยเถดิ อยา่ ไดเ้ หยยี บยา่� ทา� ลาย ไม่รงั เกียจ ขา้ พเจา้ จะขอร้องท่านสกั อย่างหน่งึ คอื
เลย” ช้างโทนได้ฟังดังน้นั แทนท่จี ะเกดิ ความสงสาร มชี า้ งโทนเชอื กหนง่ึ เปน็ ชา้ งอนั ธพาล แกลง้ เหยยี บ
กลบั ขู่ส�าทบั ว่า ลกู ของขา้ พเจา้ ตายทงั้ ๆ ทขี่ า้ พเจา้ ขอรอ้ งแลว้ ขอรอ้ ง
อกี ข้าพเจ้าก�าลังแค้นอยากจะแก้เผ็ดชา้ งเชอื กน้นั
“เจา้ นางนกไส!้ เจา้ มาวางไขใ่ นทางเดนิ ของชา้ ง ให้ได้ จึงใคร่ขอร้องให้ท่านใช้จงอยปากอันคมจิก
นั้นมนั เปน็ ความผดิ อย่แู ล้ว ยงั มีหนา้ มาหา้ มช้างผู้ยง่ิ ตาช้างเชือกนนั้ ใหบ้ อดท้งั สองข้าง เมื่อทา่ นจิกตา
ใหญ่อย่างข้าให้หลีกทางให้ลูกเจ้าอีก ดูจะเป็นการ จนบอดแล้ว ต่อไปเป็นหน้าทข่ี องขา้ พเจา้ จะจัดการ
โอหงั เกนิ ไปแล้ว คิดวา่ ตวั เองเป็นใหญ่คิดจะทา� อะไร กบั ชา้ งเชือกน้ันตอ่ ไปเอง”
กท็ า� ไดก้ ระนน้ั หรอื เจา้ เปน็ นกมกี า� ลงั นอ้ ยกค็ วรเจยี ม
ตวั ข้าเป็นช้างมพี ลงั มาก จะให้หลีกทางเจ้าน้ันเป็น กาตกลงรับค�า เม่ือได้โอกาสเหมาะจึงได้ใช้
ไปไมไ่ ด”้ เมอื่ กลา่ วจบ ชา้ งโทนกย็ กเทา้ เหยยี บรงั นก จงอยปากจกิ ตาของชา้ งทง้ั สองขา้ งจนบอด เสรจ็ แลว้
ขยล้ี กู นอ้ ยของนางนกไสจ้ นรา่ งแบนตดิ ดนิ เทา่ นนั้ ยงั กบ็ นิ หนไี ป นางนกไสเ้ หน็ ชา้ งตาบอดเดนิ ชนตน้ ไม้
มิหนา� ใจ ยังถา่ ยอุจจาระรดอกี แล้วกเ็ ดินหลีกไป อยู่ ก็ดีใจบินไปหาแมลงวันตัวหน่ึง ครั้นท�าความ
สนทิ สนมกนั ดแี ลว้ จงึ ขอรอ้ งแมลงวนั ใหช้ ว่ ยหยอด
ฝา่ ยนางนกร้องขอชีวติ อยา่ งไร ก็มิได้รบั ความ ไข่ ขังทแ่ี ผลในตาของชา้ งท้งั สองขา้ ง เพอ่ื ใหเ้ กิดตวั
เหน็ ใจจากชา้ งโทน พอช้างโทนเดินไปแลว้ กเ็ ห็นกอง หนอนไชตา จะสร้างความทรมานใหแ้ กช่ ้างมากย่งิ
เลอื ด เนือ้ กระดูก ของลกู เรีย่ ราดกระจดั กระจาย ก็ ข้ึน แมลงวนั ก็ได้ท�าตามความประสงค์ของนางนก
รอ้ งไหค้ รา�่ ครวญ ใจหนงึ่ นกึ แคน้ ผกู ใจเจบ็ ในชา้ งโทน ไส้
ตวั นนั้ จงึ บนิ ไปดกั ทางชา้ ง เกาะอยบู่ นตน้ ไม ้ กลา่ วกบั
ชา้ งโทนดว้ ยความเคยี ดแคน้ วา่ “เจา้ ชา้ งเอย๋ ! คราวน้ี เมื่อตาทงั้ สองขา้ งของช้างบอด แถมมหี นอน
เปน็ ทขี องเจา้ จงหวั เราะไปกอ่ นเถดิ ถา้ ถงึ โอกาสของ มาชอนไชอีก กเ็ กิดอาการทุกขท์ รมานยิง่ ขึน้ เดิน
ข้า ข้าจะต้องแกแ้ คน้ ใหส้ าสม” ทรุ นทุรายไปตามป่า แล้วแต่เท้าจะพาไป หญ้าและ
อาหารก็ไม่เป็นอันกิน เกิดความกระหายน�้าเป็น
ชา้ งโทนตอบวา่ “เจา้ นกทะนง! ตวั เจา้ เลก็ เพยี ง กา� ลัง
นิดเดียว หาญมาสู้กับเราผู้ย่ิงใหญ่เท้าข้างเดียวของ
ข้าอาจเหยียบพวกเจ้าให้ตายเป็นร้อยก็ได้ ยังจะมา นางนกไส้จึงเขา้ ไปตสี นิทกับกบตัวหน่ึง เมอ่ื
กล่าวโอหงั อีก” แลว้ ก็เดนิ ผ่านไป เกิดความรักใคร่สนิทสนมกันดีแล้ว จึงขอร้องกบ
ว่า
นางนกไสผ้ กู ใจเจบ็ ในชา้ งโทนนนั้ ตลอดมา วนั
หนงึ่ นางไดไ้ ปพบกาปา่ ตวั หนงึ่ จงึ ทา� ความสนทิ สนม “สหายเอย๋ ! ขา้ พเจา้ มเี รอื่ งทกุ ขอ์ ยใู่ นใจอยา่ ง
เอาอกเอาใจเปน็ อย่างด ี จนกาปา่ เกิดความรกั ใคร่ใน หนึ่ง คือเกิดความแค้นช้างเชือกหน่ึง มันแกล้ง
ฐานมติ ร ใครจ่ ะหาโอกาสทา� คณุ แกน่ างนกไสบ้ า้ ง จงึ เหยยี บลกู นอ้ ยของขา้ พเจา้ ตายทง้ั รงั ความแคน้ นนั้
กล่าวว่า “สหายเอย๋ ! ท่านปฏิบตั ดิ ตี อ่ ข้าพเจ้าตลอด ยงั คกุ รนุ่ อยใู่ นใจของขา้ พเจา้ มาตลอด ถา้ ตราบใด
มา ถ้ามีธุระอันใดให้ข้าพเจ้าช่วยเหลือ ก็จงบอกมา ยงั ทา� ลายชา้ งเชอื กนน้ั ไมไ่ ด ้ กค็ งหาความสขุ มไิ ดไ้ ป
เถดิ ถา้ ไมเ่ หลอื วิสัยแลว้ จะช่วยทา� ใหท้ กุ อย่าง” ตลอดทั้งชาติ ขา้ พเจ้าแก้แค้นไดบ้ า้ งแล้ว โดยขอ
62
ให้กาจิกตาช้างจนบอด ให้แมลงวันหยอดไข่ขังไว้ บัดน้ี ช้างได้รับความ
ทุรนทุรายแสนสาหัสมากอยู่แล้ว ก�าลังเดินเซซังบ่ายหน้ามาทางน้ีเพื่อหาน�้า
ดื่ม ขอให้สหายไปอยฟู่ ากโน้น แลว้ สง่ เสยี งร้อง เพอ่ื ใหช้ า้ งหลงผิดว่ามบี ่อน้า�
อยู่ เดินไปไมเ่ ห็นกจ็ ะตกเหวตายทันที”
กบได้ฟงั ดงั นั้นก็รับคา� ไต่ไปยงั ขอบปากเหวฟากโน้น เมื่อเหน็ ชา้ งเดนิ
เข้าใกลจ้ งึ รอ้ งขึ้นเพ่อื ใหช้ า้ งได้ยิน ด้วยความกระหายน้�าจนลมื ตัว ชา้ งเขา้ ใจ
วา่ มบี อ่ น้�าอยู่ไมไ่ กล จึงเดินไปตามเสยี งกบ เมื่อถึงขอบปากเหวกพ็ ลัดตกลง
ไปถงึ ความตาย ณ ก้นเหวนนั้ เอง
นางนกไสเ้ หน็ เหตกุ ารณ์ ก็มคี วามชื่นชมยนิ ดีว่าตวั เองมีความสามารถ
แกแ้ คน้ ได ้ จึงบินไปเกาะบนตวั ช้าง กระโดดโลดเต้นแสดงความยินดอี ยู่เปน็
เวลานาน แต่ด้วยการทรมานสังขารคิดแก้แค้นโดยไม่เป็นอันกินอันนอน
ประกอบกับความเศร้าโศกถงึ ลูกนอ้ ย กส็ ้ินใจในเวลาอนั ใกลก้ ันน้นั เอง
ชาดกเรื่องน้มี ีคตสิ อนว่า คนเราเม่อื ถงึ คราวมีอ�านาจบาตรใหญ่ ควร
ใชอ้ า� นาจนนั้ ในทางสรา้ งความดี ใหค้ วามปลอดภยั แกค่ นอนื่ ไวจ้ งมาก เชน่
ชา้ งพระโพธสิ ตั ว์ มยี ศศกั ดเ์ิ ปน็ จา่ โขลงกม็ ไิ ดด้ ถู กู เหน็ สตั วเ์ ลก็ เปน็ ผกั หญา้
กลบั เหน็ ความสา� คัญ นึกถงึ อกเขาอกเรา ช่วยปอ้ งกนั อนั ตรายไว้ให้ สว่ น
บางคนเม่อื มีอ�านาจบาตรใหญ่แล้วก็ลมื ตวั เหน็ สตั ว์เลก็ ๆ เปน็ ส่งิ ไมส่ �าคัญ
ยง่ิ กวา่ นน้ั ยงั หาทางขม่ ขรู่ งั แกดว้ ยกา� ลงั โดยถอื วา่ ตวั ใหญก่ วา่ จะทา� อะไร
กไ็ ด้ ผคู้ ดิ เชน่ นนั้ มกั ถงึ ความหายนะในทสี่ ดุ ตวั อยา่ งเชน่ ชา้ งอนั ธพาล ซงึ่
ไม่อยู่ในโอวาทของใคร เหน็ นางนกไส้เปน็ สัตวเ์ ลก็ จึงแกล้งเหยียบย่�าเสยี
ด้วยความทะนง นางนกไส้จงึ ไปคบกบั กา แมลงวัน และกบ ซง่ึ ลว้ นแลว้
เปน็ สัตวเ์ ล็ก แต่อาศยั ความร่วมมอื กนั กส็ ามารถฆา่ ชา้ งตัวใหญไ่ ด้ จึงควร
ทเี่ ยาวชนจะถอื เป็นคตเิ ตือนใจไว้ขอ้ หนึ่ง ดงั ค�าโคลงภาษิตใตถ้ นุ กุฏขิ อง
พระพรหมมนุ ี (ผนิ สวุ โจ) วัดบวรนเิ วศวิหาร เขยี นไว้ว่า
ฮะเฮย้ ใครอยา่ เย้ย หยามเด็ก
พริกเม็ดเลก็ เล็ก เผด็ ล้�า
ใครฤาจักกนิ เหลก็ แตเ่ กิด นะพ่อ
โคแก่จนคองา้� เด็กข้ึนข่ีคอ
(ลฏุกิกชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย
ชาดก ปัญจกนิบาต เลม่ ๓๑ หน้า ๕๓๗)
63
64
ม้าอาชาไนย
“แม้ปลีแขง้ หกั กจ็ ักคลาน”
เมื่อพระเจา้ พรหมทตั เสวยราชย ์ ณ กรุงพาราณส ี พระโพธสิ ัตว์
เกดิ เปน็ มา้ สนิ ธพ มลี กั ษณะงดงามครบตามตา� รามา้ สนิ ธพทกุ ประการ
พระเจ้ากรุงพาราณสีจึงขึ้นระวางให้เป็นอัศวมงคล (ม้ามงคล)
คู่บ้านคู่เมือง ให้การประคบประหงมตามแบบฉบับของอัศวมงคลทุก
ประการ
มา้ สนิ ธพโพธสิ ตั วไ์ ดร้ บั การปฏบิ ตั อิ ยา่ งดตี ลอดมา ดว้ ยอา� นาจมา้
มงคลและความสามารถของพระเจา้ แผน่ ดนิ จงึ ทา� ใหเ้ มอื งพาราณสเี ปน็
เมืองมัง่ คงั่ สมบรู ณ ์ เป็นทปี่ รารถนาของพระราชาท้งั หลาย ผใู้ ครจ่ ะได้
กรุงพาราณสีไว้เป็นเมอื งข้นึ คร้งั หนึง่ กษตั ริย ์ ๗ นครโดยรอบเมอื ง
พาราณสียกกองทัพมาล้อมกรุงเพ่ือจะแย่งชิงตีไว้เป็นเมืองข้ึนของตนๆ
คร้นั ลอ้ มเมอื งไวแ้ ลว้ ต่างมสี าสนย์ ่ืนค�าขาดไปยงั พระเจ้ากรุงพาราณสี
ว่า จะยอมใหร้ าชสมบตั ิแต่โดยดีหรือจะรบ ศึกครงั้ น้ยี งั ความหนกั ใจ
ให้แก่พระเจ้าพาราณสีเป็นอย่างยิ่ง จึงโปรดให้ประชุมบรรดามุข
อ�ามาตย์ราชมนตรีโดยด่วน ทรงปรกึ ษาวา่
“ศึกกรงุ พาราณสีคร้งั นีห้ นักนัก เพยี งศึก ๒ - ๓ นครเรากพ็ อจะ
รบั มือไว้ได้ แต่ศึกครง้ั น้ีมถี งึ ๗ ทัพ ๗ นคร เหน็ จะสุดกา� ลงั ท่ีจะต่อ
ตา้ นได้ หรือใครจะมีอุบายคดิ เหน็ ประการใด จงช่วยกันใช้กา� ลังสติ
ปัญญาแก้ไขให้สุดความสามารถเถิด”
อ�ามาตยท์ ั้งหลายต่างปรกึ ษาหารือกัน แลว้ พรอ้ มใจกราบทูลว่า
“ขอเดชะ! ศึกแม้หนกั เพยี งไรต้องสรู้ บจนสดุ ความสามารถ กรงุ
พาราณสมี มี า้ สนิ ธพอาชาไนย มา้ สนิ ธพยอ่ มมคี วามฉลาดชา� นชิ า� นาญ
ในการศึกหาม้าอน่ื เปรยี บมไิ ด ้ ข้าพระพทุ ธเจา้ ท้ังหลายเหน็ วา่ ในการ
รับศกึ ครั้งนค้ี วรใหอ้ ัสสาจารย ์ (ครูฝกึ ม้า) เปน็ แมท่ ัพนา� มา้ สนิ ธพออก
สศู้ ึกก่อน หากเพลีย่ งพล�า้ ประการใด จงึ คอ่ ยคิดแก้ไข” พระราชาทรง
เหน็ ดว้ ยกบั คา� กราบทลู จงึ รบั สงั่ ใหเ้ รยี กตวั นายอสั สาจารยม์ า แลว้ ตรสั
ถามวา่
65
“ทา่ นอัสสาจารย!์ คณะมุขมนตรีมคี วามเหน็ ไม่สามารถท�าการรบตอ่ ไปได้
ตอ้ งกนั วา่ การสู้ศึกครัง้ น้ใี หไ้ ดช้ ยั ชนะนัน้ จะต้องใช้ นายอัสสาจารย์สงสารม้าอาชาไนย ขืนรบตอ่
กา� ลงั ความสามารถจากทา่ น ทา่ นจะคมุ ทพั ออกสรู้ บ
กบั เจา้ ท้ัง ๗ นครได้หรอื ไม่?” ไปก็จะถึงอันตรายแก่ชีวิต จึงถอยทัพกลับเข้าเมือง
บา� รงุ รพ้ี ลใหม้ กี า� ลงั หวงั จะตที พั คา่ ยท ี่ ๗ ใหเ้ สรจ็ สนิ้
“ขอเดชะ หากข้าพระพุทธเจ้าได้สินธพ ไปทีเดยี ว
อาชาไนยเป็นพาหนะคู่ใจแลว้ อยา่ วา่ แตเ่ จ้าทั้ง ๗
นครเลย ถงึ จะสรู้ บกับเจา้ ทุกเมอื งในชมพูทวีปท้งั ม้าสินธพปวดร้าวท่ัวสรรพางค์กาย นอนให้
ส้ินกไ็ ม่หนกั ใจเลย พระเจ้าข้า” แพทย์หลวงท�าบาดแผลใส่ยาให้ ฝ่ายแม่ทัพนึก
เสยี ดายวา่ “เราตที พั ขา้ ศกึ แตกพา่ ยไป ไมเ่ ปน็ ขบวน
“ดีละ ท่านอัสสาจารย์ อย่าว่าแต่ม้าสินธพ ถึง ๖ ค่าย ยงั เหลอื อยู่อีกคา่ ยเดียว หากปล่อยไว้
อาชาไนยเลย แม้จะตอ้ งการส่งิ มคี า่ ทงั้ พระนคร เรา ทหารทแี่ ตกพา่ ยไปอาจคมุ กนั ตดิ หรอื ไมก่ จ็ ะเขา้ รว่ ม
จะจดั หาให้ หากท่านสู้รบศกึ ครงั้ น้มี ชี ัยแลว้ เราจะ กบั ทัพนครท่ี ๗ จะทา� ใหก้ ารรบลา� บากข้ึน จะตอ้ ง
ปูนความดีความชอบใหถ้ งึ ขนาด” ชงิ โจมตเี สยี แตบ่ ดั น”้ี จงึ ประกาศใหแ้ มท่ พั นายกอง
รตู้ วั และเตรยี มจดั ทพั ตามเดมิ ตนเองเตรยี มตวั เขา้
นายอสั สาจารยร์ บั พระราชโองการแลว้ ลงจาก รบ และเลอื กหามา้ คใู่ จใหม ่ หวังเผด็จศกึ นีใ้ หเ้ สร็จ
พระตา� หนกั สง่ั เตรยี มขบวนทพั ตามตา� รบั สงคราม สน้ิ
ทุกประการ สวมเกราะ สอดดาบครบครัน ขนึ้ มา้
สนิ ธพนา� ขบวนทพั ออกจากประตเู มอื ง ปะทะทพั เจา้ มา้ สินธพอาชาไนยนอนอยู่ข้างประตวู ัง เมอื่
เมืองแรก กข็ ับร้ีพลเข้าโจมตฆี า่ ฟันฝ่ายศัตรูลม้ ตาย หมอหลวงเยียวยาให้ก็พอจะทุเลาความเจ็บปวดลง
เปน็ อนั มาก นา� ทพั บกุ ทะลวงจนถงึ ตวั แมท่ พั ฝา่ ยศตั รู ได้ยินนายอัสสาจารย์ประกาศรบ และก�าลังเตรียม
ตอ่ สกู้ นั ชวั่ คร ู่ ดว้ ยความฉลาดกลา้ หาญของมา้ สนิ ธพ ม้าอื่นเป็นพาหนะ จึงนึกในใจว่า “การศึกซึ่งเราได้
จึงทา� ให้ชนะศึก จับแม่ทพั คนแรกได ้ สัง่ ใหท้ หารมัด ฝ่าฟันมาใกล้จะส�าเร็จแล้ว ก็มาบาดเจ็บเสียก่อน
เขา้ ไปส่งให้พระราชาในเมือง นายอัสสาจารย์ยอดนักรบนี้ก�าลังจะหาม้าอ่ืนไป
ทา� การรบ ไหนจะเอาชนะแกข่ า้ ศกึ ได ้ เรารดู้ วี า่ กา� ลงั
เมื่อจัดขบวนทัพใหม่เรียบร้อยแล้ว ก็โจมตี ม้าอน่ื น้ันมเี พียงใด หากพลาดพล้ังเสียทีแตกหนมี า
ค่ายที่ ๒ ต่อไปอีก ด้วยก�าลังและขวัญของทหาร ขา้ ศกึ จะเขา้ ถงึ พระนคร อนั ตรายจะเกดิ แกพ่ ระราชา
ทที่ า� การชนะศึกเปน็ ปฐมฤกษ ์ ประกอบกับความ และบา้ นเมอื งอยา่ งแนน่ อน งานทที่ า� คา้ งไวก้ จ็ ะไรผ้ ล
สามารถและความฉลาดของมา้ และจอมทพั จงึ ตคี า่ ย ยอดนักรบของเราผู้น้ีก็จะถึงอันตราย” จึงให้นาย
ศึกทั้ง ๕ ค่ายแตกยบั เยนิ และจับแมท่ ัพไปขงั ไว้ใน อสั สาจารย์มาใกล ้ แลว้ กลา่ ว
เมืองทกุ คน เม่ือถงึ ค่ายท่ี ๖ รีพ้ ลชักอ่อนก�าลังลง
มา้ สนิ ธพกช็ กั ออ่ นกา� ลงั หลบหนศี าสตราวธุ ไดเ้ ชอื่ ง “ท่านอัสสาจารย์ ใช่ข้าพเจ้าจะหม่ินก�าลังม้า
ช้าลงโดยลา� ดบั อื่น ส�าคัญตัวว่าวิเศษก็หาไม่ การศึกครั้งนี้มิใช่ใช้
กา� ลงั ทมุ่ เท จะตอ้ งใชค้ วามเฉลยี่ วฉลาดในกลศกึ เปน็
ม้าอาชาไนยเสยี ทีต่อขา้ ศกึ ถกู อาวุธศตั รเู ป็น ส�าคัญ ข้าพเจา้ ไมเ่ ห็นมา้ ตวั ใดจะสามารถในกลศกึ
แผลฉกรรจ์ บาดเจ็บสาหัส แม้กระนั้นก็หาหมด ขอท่านได้โปรดช่วยพยุงข้าพเจ้าให้ลุกขึ้นแล้วสวม
ก�าลงั ใจไม่ พยายามสสู้ ดุ กา� ลงั จนสามารถ ตีคา่ ยที ่ เกราะออกรบอีกครั้งเถิด ชัยชนะก�าลังรออยู่เบื้อง
๖ แตกและจบั แมท่ พั ค่ายท ี่ ๖ ได้ โลหติ ไหลมาก
66
หน้าแลว้ ”
นายอสั สาจารย์จงึ ทดั ทานว่า “มา้ สนิ ธพชาตอิ าชาไนย ขา้ พเจ้าเห็น
ท่านได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว ควรจะได้พักผ่อนรักษาให้หายเสียก่อน
ศกึ ครงั้ นไี้ วเ้ ปน็ งานขา้ พเจา้ เอง เหลอื อยเู่ พยี งดา้ นเดยี วคงไมเ่ หนอื กา� ลงั ขอ
ทา่ นพกั ผ่อนตามสบายเถดิ ”
“ทา่ นอสั สาจารยผ์ สู้ หาย” มา้ สนิ ธพกลา่ ว “ความบาดเจบ็ ของขา้ พเจา้
เพยี งแคน่ ี้ จะเทียบกันมไิ ด้กบั บาดแผลทางใจทชี่ าวเมอื งจะพึงได้รบั ในเมื่อ
แพส้ งคราม แม้ข้าพเจ้าจะทรมานถึงตายกเ็ ปรยี บมไิ ด้ อนงึ่ การไดร้ บั บาด
เจ็บจากการสู้รบก็เป็นเหตุการณ์ธรรมดาของการสงคราม การบาดเจ็บไม่
อาจยบั ยง้ั เลอื ดสขู้ องนกั รบผกู้ ลา้ หาญได ้ ความตายเทา่ นนั้ ทจ่ี ะยบั ยง้ั ฉะนน้ั
ขอได้โปรดให้ข้าพเจ้าเข้าสงครามเถิด เพื่อท�างานที่ยังค้างของข้าพเจ้าให้
เสร็จสน้ิ ไป”
นายอัสสาจารย์เมือ่ ไม่สามารถทัดทานม้าสนิ ธพได้ จงึ ประคองใหล้ ุก
ข้ึน พันบาดแผลให้แนน่ กระชับ แล้วสวมเกราะให้แกม่ ้า ข้นึ หลงั แลว้ นา� ทัพ
ออกจากพระนครไป
มา้ สนิ ธพโพธสิ ตั วแ์ มจ้ ะมบี าดแผล แตเ่ มอ่ื เผชญิ กบั ขา้ ศกึ กล็ มื ความ
เจ็บปวดทั้งมวล พานายอัสสาจารย์แม่ทัพทะลวงไล่ฟันข้าศึกแตกกระจาย
เปน็ ดา้ นๆ ไป ทา� ใหก้ องทพั ฝา่ ยตนไดเ้ ปรยี บขา้ ศกึ ตตี อ้ นแตกพา่ ยไปในทสี่ ดุ
บกุ ทะลวงถงึ ทพั หลวง จบั พระราชาฝา่ ยศตั รไู ด ้ มดั เขา้ สพู่ ระนคร ทหารฝา่ ย
ขา้ ศึกแตกพา่ ยไมเ่ ปน็ ขบวน ที่ถกู ฆ่าตายก็มเี ปน็ จา� นวนมาก
ครน้ั เสรจ็ ทพั แลว้ ประชาชนตา่ งชนื่ ชมยนิ ด ี พากนั หอ้ มลอ้ มทงั้ แมท่ พั
และมา้ สินธพ พาไปยังส�านกั พระราชา กลา่ วสรรเสริญโดยประการ ตา่ ง ๆ
พระราชาแสดงความชน่ื ชมโสมนัสเปน็ ล้นพ้น พระมหาสตั ว์จงึ กราบทลู วา่
“ขอเดชะ เจ้าเมืองท้ัง ๗ ทีท่ ่านแมท่ พั จบั มาได้นัน้ ขา้ พระพทุ ธเจา้
ขอพระราชทานอภัยโทษ อย่าประหารเสียเลย จะเป็นเวรกรรมสบื ไป ขอ
ได้โปรดให้ถวายสัตยานุสัตย์แล้วปล่อยไปเถิด บ�าเหน็จความชอบใดที่จะ
โปรดพระราชทานแกข่ า้ พระพทุ ธเจ้า ขอได้โปรดประทานใหแ้ กน่ ายอสั สา
จารย์ และแม่ทัพนายกองเถิด นายอัสสาจารย์ผู้นี้มีความสามารถในการ
สงครามหาตัวจบั มิได้ พระเจา้ ข้า”
เม่อื ได้กราบทลู ดงั นั้นแล้ว รู้สกึ เจบ็ ปวดรวดร้าวบาดแผล ที่ถูกอาวธุ
แทบจะทรงตัวมไิ ด้ แข็งใจกราบทูลพระราชา
67
“ขอพระองคจ์ งบ�าเพ็ญทาน ปฏบิ ตั ิอยู่ในศลี ครองราชสมบตั โิ ดยชอบ
ธรรมเถิด” กล่าวได้เพียงน้ันก็ซวนเซล้มลง ราชบุรุษช่วยกันแก้เกราะออก
จากกาย ในไม่ชา้ มา้ สนิ ธพกส็ น้ิ ชวี ิต ณ ท่ีน้นั เอง พระราชาและประชาชน
ตา่ งเศรา้ เสยี ใจทเี่ สยี มา้ สนิ ธพกบู้ า้ นกเู้ มอื งไป ตา่ งพากนั ไปเคารพศพ จดั การ
ใหส้ มเกยี รต ิ พระราชทานยศใหญใ่ ห้นายอัสสาจารย์ ใหพ้ ระราชาทั้งหลาย
ท่ีจับได้ดื่มน้�าพระพิพัฒน์สัตยาแล้วปล่อยกลับไป พระองค์เองต้ังอยู่ในศีล
และทศพธิ ราชธรรม ปกครองอาณาประชาราษฎรด์ ้วยความร่มเย็น จนถงึ
กาลอวสานแหง่ ชวี ิต
ชาดกเรือ่ งน ี้ ช้ีใหเ้ หน็ คติธรรมข้อหน่งึ วา่ ชาติอาชาไนย หมายถึง
มา้ ช้ันยอดน้ัน ย่อมมีน�้าใจเขม้ แข็งเหนอื กว่าม้าธรรมดา มเี ชาวน์เฉลียว
ฉลาด มคี วามสามารถเปน็ เยย่ี ม หากมไี วเ้ ปน็ มา้ คบู่ า้ นคเู่ มอื งแลว้ กส็ รา้ ง
สุขสา� ราญใหแ้ ก่เมอื งนัน้ ท่านนา� มาเปรียบบุรษุ บางคนว่า มีลกั ษณะเปน็
ชายชาติอาชาไนย มีความชาญฉลาด มนี �้าใจเข้มแข็งกวา่ มนษุ ย์ธรรมดา
เม่ือตกลงจะท�าการส่ิงใดแล้ว หากยังไม่ส�าเร็จลุล่วงไปด้วยเร่ียวแรงและ
ความพยายามของตนแล้ว กม็ ่งุ มั่นฟันฝา่ จนลถุ งึ ความส�าเร็จจนได้ ม้า
สนิ ธพอาชาไนยแมถ้ กู ศาสตราวธุ จนบาดเจบ็ สาหสั แทบไมร่ อดกห็ ายอ่ ทอ้
ไม่ เหน็ งานใหญ่ย่งิ กวา่ ชีวติ ขอออกรบทง้ั ๆ ทก่ี า� ลังบาดเจบ็ เพ่อื ทา� งาน
ใหส้ า� เร็จ และกไ็ ดใ้ ช้ความพยายามจนตัวตาย ยงั ความชื่นชมโสมนสั
มาสพู่ ่ีน้องเปน็ อย่างยิง่
มนุษย์เราถือกันว่ามีมันสมองและความสามารถเหนือสัตว์ทุก
ประเภท มสี ทิ ธแิ ละโอกาสไดเ้ ปน็ บรุ ษุ ชาตอิ าชาไนยดว้ ยกนั ทกุ คน ถา้ เรา
สวมวิญญาณแหง่ ชาติอาชาไนย คือมเี ชาวน์ไวไหวพริบมีน�้าใจเขม้ แขง็ ไม่
ยอมยอ่ ทอ้ ตอ่ อุปสรรค ถือว่าอปุ สรรคเปน็ เสมือนทตู สวรรค์มาเตอื นใหร้ ู้
วา่ เราใกลป้ ระตชู ยั แหง่ ความสา� เรจ็ แลว้ กส็ ามารถทา� งานใหญไ่ ดส้ มั ฤทธ์ิ
ผลกวา่ มา้ อาชาไนย ตวั อยา่ งเชน่ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดช้ อื่ วา่ บรุ ษุ ชาติ
อาชาไนย ก็เพราะมพี ระทัยเข้มแขง็ ไมย่ อมแพ้ตอ่ อปุ สรรคใดๆ เช่นสมยั
ทพี่ ระองค์เรมิ่ ความเพียรทางจิต ทรงตัง้ ปณิธานวา่ “แม้เน้ือ หนัง เอน็
กระดูก ของเราจะเหือดแห้งกองอยู่ ณ ที่น้ีก็ตาม ถ้าไม่บรรลุพระ
โพธญิ าณแลว้ จะไมย่ อมลกุ จากบลั ลงั กโ์ ดยเดด็ ขาด” เราจงึ ควรถอื เปน็ คติ
ประจ�าใจวา่ “แมป้ ลแี ขง้ หกั ก็จกั คลาน”
(โภชาชานยี ชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
ชาดก เอกนบิ าต เลม่ ๒๘ หน้า ๓๑๕)
68
69
จ้ิงจอกเจ้าเล่ห์
“อยา่ ไว้ใจทาง อยา่ วางใจคน จะจนใจเอง”
ครง้ั หนงึ่ ในปา่ หมิ พานต ์ พระโพธสิ ตั วเ์ กดิ ในกา� เนดิ หน ู มรี า่ งกายอว้ นพี
มีกา� ลังมาก เทีย่ วหากินอยตู่ ามชายป่าพรอ้ มด้วยหนบู ริวารหลายพันตัว พระ
โพธสิ ตั วม์ ใี จโอบเอ้ืออารตี ่อหนทู ั่วไป อยู่กันด้วยความผาสุกตลอดมา
มีสนุ ขั จงิ้ จอกตวั หน่ึงไปหากนิ บริเวณนน้ั มันคดิ วา่ “เราจะไปหากินในท่ี
ไกลใหล้ า� บากทา� ไม จับหนูในท่นี ก้ี ินทีละตวั สองตวั กพ็ อแล้ว เราต้องวางแผน
หลอกจบั กนิ เปน็ อาหารใหไ้ ด”้ ตง้ั แตน่ น้ั มามนั กไ็ ปดกั อยใู่ กลๆ้ หนทางทห่ี นเู ดนิ
ผ่าน ยนื ด้วยเท้าข้างเดยี ว สดู ลมยาวๆ ท�าประหนงึ่ กา� ลังบา� เพญ็ ตบะอนั แรง
กล้าอยู่ พระโพธิสัตว์เห็นก็เข้าใจว่า “หมาตัวนี้คงถือศีลบ�าเพ็ญตบะอยู่เป็น
ประจ�า ถ้าคบไว้เปน็ ที่สกั การะของพวกเรา คงกอ่ ให้เกดิ สริ มิ งคลเป็นแน”่ จงึ
เข้าไปใกลแ้ ลว้ ถามว่า “ท่านจิ้งจอกผู้เจรญิ ถา้ พวกข้าพเจา้ จะเอย่ นามของท่าน
ควรจะเอ่ยว่าอยา่ งไรดี”
สนุ ขั จงิ้ จอกแกลง้ ดดั เสยี งใหอ้ อ่ นโยน แลว้ กลา่ วตอบวา่ “เราชอ่ื ธรรมกิ ะ
พวกทา่ นจงเรียกข้าพเจา้ ว่า ธรรมิกะ ผ้ปู ระกอบดว้ ยธรรมเถดิ ” ว่าแลว้ ก็เพ่ง
พระอาทติ ย์ตอ่ ไป
หนูจึงถามต่อไปวา่ “แล้วเหตใุ ด ทา่ นจึงยืนบนแผน่ ดินดว้ ยเทา้ ข้างเดยี ว
อกี สามเทา้ ทเ่ี หลอื ไมย่ อมเหยยี บเล่า”
“ถ้าเราเหยียบแผ่นดินทั้งส่ีเท้าละก็ แผ่นดินจะไหว ไฟจะลุกขึ้นผลาญ
ชวี ติ สตั วน์ อ้ ยใหญใ่ หต้ าย เราเกรงบาปจงึ พยายามยกเทา้ ทง้ั สามขน้ึ ไวเ้ สยี เพอื่
อันตรายจะได้ไม่มาถึงสรรพสัตว์ รวมถึงพวกท่านด้วย” พูดแล้วก็เพ่ง
พระอาทติ ยต์ ่อไปอกี
“แลว้ เหตใุ ด ทา่ นตอ้ งอา้ ปากดว้ ยเลา่ ” หนซู กั ตอ่ ไป “เราอา้ ปากกเ็ พอื่ สดู
กนิ อาหารทพิ ย์ เรางดเว้นอาหารอน่ื อนั จะกอ่ ใหเ้ กดิ บาป จงึ กนิ ลมเป็นอาหาร
มาหลายปีแล้ว” สนุ ัขจิง้ จอกตอบ แลว้ สูดลมกลนื กนิ ตอ่ ไป
“แล้วเหตุใดจงึ ต้องยนื จ้องมองพระอาทิตยด์ ว้ ยเล่า”
“ก็เราเป็นผู้ถือเคร่งในการเคารพต่อพระเจ้า จึงเพ่งดวงอาทิตย์เพ่ือ
70
เป็นการนอบน้อมซิ” ว่าด้วยก็เพ่งดวงอาทิตย์ต่อไป “เหวยเจ้าหมาจิ้งจอกชาติช่ัว! เจ้าประพฤติตัวใช้
อีก ธรรมะบงั หนา้ หากนิ กบั ชวี ติ ผหู้ วงั ดที า� ใหผ้ อู้ น่ื ตายใจ
หนโู พธสิ ตั วไ์ ดย้ นิ คา� อธบิ ายดงั นนั้ กเ็ กดิ ความ ซ่อนตัวไว้ท�าความชั่วอย่างเดียว การปฏิบัติศีลพรต
เลื่อมใส เข้าใจว่าสุนัขจ้ิงจอกเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในศีล ของท่านเป็นไปเพื่อหลอกลวงเขา เจ้าจะต้องพบกับ
ธรรม จงึ พาฝงู หนูไปนมสั การและปฏิบตั ิดูแลทุกเชา้ ความหายนะในท่ีสดุ ”
เย็น หลังจากบา� รุงดูแลสุนขั จิ้งจอกแล้ว จงึ เดินทาง ครน้ั พระโพธสิ ตั วก์ ลา่ วดงั นนั้ แลว้ กก็ ระโดดขน้ึ
กลับ สุนัขจิ้งจอกก็จะตะครุบหนูตัวสุดท้ายไว้ แล้ว เกาะคอสุนัขจิ้งจอก ใช้ฟันอันคมกัดคอสุนัขจิ้งจอก
กนิ เปน็ อาหารทุกเย็น เมื่อกนิ เสร็จแลว้ ก็รบี เช็ดปาก เปน็ แผลใหญ ่ แลว้ กดั ซา�้ แลว้ ซา�้ อกี ไมย่ อมหยดุ สนุ ขั
เพ่อื มใิ ห้เกดิ ขอ้ สงสยั แล้วยนื อยตู่ ามเดมิ ทา� อยเู่ ชน่ จ้ิงจอกว่ิงร้องและสะบัดเท่าไรก็ไม่หลุด จึงล้มลง
นีเ้ ปน็ เวลาหลายเดือน ขาดใจตาย ณ ท่ีไม่ไกลนน้ั เอง ฝงู หนูทัง้ หลายจึงพา
ฝงู หนเู มอ่ื ถกู จบั กนิ ไปทลี ะตวั สองตวั กร็ อ่ ยหรอ กันมารุมกินเน้ือสุนัขจ้ิงจอกอย่างอ่ิมหน�าส�าราญ
บางตาลงไปทุกทีจนผิดสังเกต หนูท้ังหลายจึงมา อาศัยอยูใ่ นปา่ นน้ั จนถงึ กาลอวสานแหง่ ชวี ติ
ปรกึ ษากนั ว่า “เมือ่ ก่อนที่อาศยั ของพวกเราไม่พออยู ่ ชาดกเรื่องน้ีมีคติสอนใจบทหน่ึงว่า ในการ
ต้องยัดเยียดเบยี ดกนั แตม่ าเวลาน้ีรู้สึกโหรงเหรงไป คบค้าสมาคมกับคนนัน้ อยา่ ดกู นั เพยี งผิวเผินแค่
มาก คงมีภยั จากอะไรสักอยา่ งหน่ึงเปน็ แน่” จงึ น�า เคร่ืองแต่งกายหรือกิรยิ าทา่ ทาง ควรดูกันให้ลึกถงึ
ความแจ้งพระโพธสิ ัตว์ น�า้ ใจและความประพฤติอันแท้จรงิ การดนู า้� ใจกนั
พระโพธิสัตว์ระแวงในพฤติกรรมของสุนัข น้นั ก็เปน็ ของยาก ตอ้ งดูกนั นานๆ จึงจะรู้ และถา้
จ้ิงจอก เพราะเหตกุ ารณเ์ ชน่ น้ีเกิดขน้ึ หลังจากที่พวก จะดูกันให้ลึกซ้ึง ต้องดูกันให้ถึงเทือกเถาเหล่ากอ
หนูไปคลุกคลีกับสุนัขจิ้งจอก จึงคิดจะสอบสวน ดว้ ย ดงั คา� ภาษติ ไทยสอนวา่ “จะดชู า้ งใหด้ หู าง จะ
หาความจริง จึงประกาศให้หนูทั้งหลายคอย ดูนางใหด้ แู ม่ จะดใู ห้แนต่ อ้ งดถู ึงปู ย่า ตา ยาย”
ระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ ให้ไปบ�ารุงสุนัขจิ้งจอก ฉะนน้ั ถา้ จะดมู ติ รสหายตอ้ งดกู นั นานๆ มิ
เหมือนอย่างเคย แต่ขากลับแทนท่ีพระโพธิสัตว์จะ เชน่ นั้นอาจถูกลวงแบบหนใู นชาดกน้ี จึงมภี าษติ
ออกเดินน�าหน้า แต่กลับเดินท้ายแถว เพ่ือหวังจะ ไทยสอนว่า
จับตาดูพฤตกิ รรมของสุนขั จิ้งจอก
พอแถวหนูเดนิ คล้อยไปนิดหน่ึง สุนัขจ้งิ จอก “อย่าไวใ้ จทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง”
จึงย่องมาข้างหลังแถว เตรียมตะครุบพระโพธิสัตว ์
พระโพธสิ ตั วซ์ ง่ึ ระวงั ตวั อย ู่ แลว้ จงึ เบยี่ งตวั โดดแลว้ วง่ิ (มสุ กิ ชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย
หนไี ป สนุ ขั จงิ้ จอกวง่ิ กวดตามแตไ่ มท่ นั มนั จงึ นงั่ หอบ ชาดก เอกนบิ าต เล่ม ๒๙ หน้า ๓๔๖)
อย ู่ ณ ทแ่ี หง่ หน่ึง
พระโพธิสัตว์หันกลับมาตวาดสุนัขจ้ิงจอกว่า
71
72
หมูป่าฆ่าเสือ
“รวมกนั อยู่ แยกหมู่ตาย”
ครง้ั หนึง่ ในปา่ หมิ พานต์ มีชา่ งไม้ผู้หนงึ่ ต้ังรา้ นประกอบหตั ถกรรม
เลีย้ งชวี ติ อยู่ใกลป้ ระตเู มืองพาราณสี เมอ่ื หมดไม้ใช้ ประกอบเครือ่ งเรอื น
จึงเขา้ ป่าเพ่อื หาไม้แกน่ มาเกบ็ ไว้
คราวนน้ั ชา่ งไมไ้ ดพ้ บลกู หมปู า่ อ่อนตวั หนึ่ง ตกอยู่ในหลมุ ขน้ึ ไมไ่ ด ้
จึงจับเอาไปเล้ยี งไวท้ ่บี ้านของตน บ�ารุงดว้ ยรา� ขา้ ว น�้าข้าว อย่างอมิ่ หน�า
สา� ราญ ลูกหมูป่านน้ั ไดเ้ จรญิ เติบโตโดยลา� ดับ มีกา� ลังวงั ชามาก เม่ือโต
ขึ้น ชา่ งไม้ฝึกใหช้ ว่ ยท�างานบางอยา่ ง เชน่ หัดใหใ้ ชป้ ากคาบสิว่ ขวานบ้าง
ใชจ้ มูก และเขี้ยวผลกั ท่อนไม้ใหญบ่ า้ ง บางคร้ังเอาเชือกคล้องคอ แลว้ ผูก
ตดิ ทอ่ นไมใ้ หช้ กั ลากบา้ ง นบั วา่ ไดช้ ว่ ยแบง่ เบางานของชา่ งไมไ้ ดพ้ อสมควร
ช่างไม้จึงมีความรักในตัวหมูนั้นเสมือนลูกของตัวเอง คราวหนึ่ง
ช่างไมค้ ิดวา่ “ขืนปลอ่ ยให้หมอู ย่ใู นหม่บู า้ นนตี้ อ่ ไป คงมใี ครนกึ อยากกนิ
เนอื้ หม ู และทา� อนั ตรายมนั สกั วนั หนง่ึ ถา้ เลยี้ งไวจ้ นแกม่ ากแลว้ ปลอ่ ยเขา้
ป่าหากนิ ไม่ได้ เพราะไม่ช�านาญปา่ ก�าลังวงั ชาก็นอ้ ย หลกี อนั ตรายไม่พ้น
ทางที่ดคี วรเอาไปปล่อยปา่ เสียตัง้ แต่วันน้”ี เมอ่ื คดิ แล้วจงึ น�าไปปล่อยให้
ไปหากนิ ตามวิสยั ของหมูป่า
ตัจฉกสุกรเมือ่ ถูกปลอ่ ยให้อย่ผู เู้ ดยี ว ก็เกิดความวา้ เหว่คิดว่า “การ
อยโู่ ดดเดย่ี วไมป่ ลอดภยั เราตอ้ งคน้ หาฝงู หมปู า่ ใหพ้ บจงได”้ จงึ ตระเวน
ไปเสาะหาฝงู ญาตใิ นปา่ เปน็ เวลาหลายวนั เมอ่ื ไดพ้ บหมฝู งู ใหญก่ ด็ ใี จ จงึ
เข้าไปขอสมัครเป็นญาติด้วย และได้กล่าวกับหมูท้ังหลายว่า “สหาย!
ขา้ พเจ้าคน้ หาพวกท่านตามป่าเขาเป็นเวลานาน ก็ได้มาพบจนได ้ สถานท่ี
แหง่ นช้ี า่ งรน่ื รมยส์ มบรู ณด์ ว้ ยพชื พนั ธธ์ุ ญั ญาหาร ขา้ พเจา้ ขอสมคั รอยกู่ บั
พวกทา่ นด้วยจะไดห้ มดความระแวง ไม่วา้ เหว ่ ไม่มีภยั โปรดรบั ขา้ พเจา้
ไวด้ ้วยเถดิ ”
พวกหมูป่าฟังแล้ว เห็นตัจฉกะอ้วนพี มีผิวพรรณผ่องใส และยัง
หนมุ่ แนน่ กส็ งสาร จงึ กลา่ วดว้ ยความหวงั ดวี า่ “สหายเอย๋ ! จงไปหาทซี่ อ่ น
ตัวซ่ึงปลอดภัยกว่าท่ีอ่ืนเถิด ท่ีน่ีมีศัตรูร้ายคอยเบียดเบียนอยู่เป็นนิตย ์
มันแอบมาเลือกจับหมูตัวอ้วนๆ ไปเป็นอาหารทุกวัน ร่างกายอ้วนอย่าง
ทา่ นในไมช่ า้ ดอก”
“ศตั รขู องพวกทา่ นเปน็ ใคร ชา่ งอาจหาญกลา้ มาทา� ลายพวกญาตเิ รา
ซงึ่ อย่กู ันเปน็ กลุม่ ก้อนถึงเพียงน ี้ บอกข้าพเจา้ หนอ่ ยไดไ้ หม?”
73
“กเ็ จา้ เสอื โครง่ ลายพาดกลอนตวั มหมึ านะ่ ซ ิ มี หมูท้ังหลายให้จัดท�าค่ายและรักษาหน้าท่ีโดย
กา� ลงั ดง่ั ชา้ งสาร เขยี้ วเลบ็ ยาวนา่ กลวั มนั มาจบั พวก เคร่งครัด
เราไปกนิ วนั ละตวั ทกุ วนั ” พอรงุ่ สาง เสือโคร่งตวั นัน้ นยั วา่ เปน็ เสอื ท่ีฤษี
“มันคงมากันหลายตัวซิ” ตัจฉกะถามด้วย เลยี้ งไวล้ า่ สตั วใ์ หต้ วั เองกนิ ออกจากกระทอ่ มของฤษ ี
ความสงสยั “อะไรไดท้ า่ นเอย๋ ” พวกหมรู บี ตอบ “มนั มุ่งตรงไปยังทีอ่ ยู่ของพวกหม ู ยืนอยู่บนชะงอ่ นหิน
มาแคต่ วั เดยี วมนั กจ็ บั พวกเราไดท้ ง้ั ฝงู อยแู่ ลว้ ถา้ มา มองดเู หยอื่ ตวั อว้ นอย ู่ พวกหมเู มอื่ เหน็ ดงั นนั้ จงึ เขา้ ไป
หลายๆ ตัวกค็ งหมดฝูงไปนานแลว้ ” บอกตจั ฉกะวา่ “ศตั รูของเรามาแลว้ ”
“ถา้ มนั มาแคต่ วั เดยี ว ทา� ไมพวกเราจงึ ไมส่ มู้ นั ตจั ฉกะจงึ ออกคา� สง่ั พวกหมวู า่ “พวกทา่ นอยา่
เขยี้ วของพวกทา่ นกม็ ี กา� ลงั วงั ชากม็ มี าก เรามารว่ ม ทา� ตกใจกลวั ไป มนั แสดงอาการอยา่ งไรให้ท�าอาการ
กา� ลงั กนั เปน็ กลมุ่ กอ้ นรมุ จบั เสอื แคต่ วั เดยี วไมไ่ ดเ้ ชยี ว ล้อเลียนมันทุกอย่าง”
หรอื พวกเราจะไมใ่ ชเ้ ขยี้ วและกา� ลงั ใหเ้ ปน็ ประโยชน์ เสอื โคร่งย่อตวั ลงหนอ่ ยหน่ึง แสดงอาการยดื
แกต่ วั เองกนั บา้ งเลยหรอื ?” หลังแล้วหันซ้ายขวา ถ่ายปัสสาวะลง พวกหมูท้ัง
พวกหมปู า่ ไดฟ้ งั ดงั นนั้ กค็ ดิ ได ้ จงึ พรอ้ มใจกนั หลายกท็ า� ทา่ ลอ้ เลยี นทกุ อยา่ ง เสอื โครง่ เหน็ หมแู สดง
กลา่ ววา่ “ทา่ นตจั ฉกะผเู้ จรญิ ! วาจาของทา่ นชา่ งจบั ใจ อาการเชน่ นน้ั กค็ า� รามขน้ึ พวกหมกู ค็ า� รามขน้ึ พรอ้ ม
ยิ่งนัก ต่อไปนี้ถ้าพวกเราตัวใดตัวหน่ึงหนีจาก กันบ้าง เสือโคร่งเห็นดังนั้นจึงคิดแปลกใจว่า “เม่ือ
สนามรบ เราจะรุมฆ่าเสยี ทุกตวั ถงึ เวลาแล้วท่ีพวก ก่อนหม ู พวกน้เี หน็ เราก็มพิ กั รอช้าวิง่ หนเี อาตัวรอด
เราจะพรอ้ มใจกันฆ่าเสอื บ้างละ” วนั น้ีทา� ทา่ ลอ้ เลยี นเรา และต้งั กนั เปน็ พวก ๆ คงมี
ตัจฉกะเกลี้ยกล่อมพวกหมูให้ร่วมเป็นน้�าหน่ึง หมูดีมาบงการแล้วเป็นแน่” พอเสือโคร่งจะเข้าไปก็
ใจเดยี วกนั เมอื่ ไดร้ บั การเหน็ ชอบทว่ั กนั แลว้ จงึ ถาม เกรงจะมีอันตราย จึงกลบั ไปบอกฤษี
วา่ “เสือโคร่งมันมาเวลาใด?” ฤษีโกงแกล้งพูดถากถางเสือโคร่งขึ้นว่า “พ่อ
“มันมาเวลาเชา้ วนั นพี้ วกเราถกู จบั ไปตวั หนึ่ง เสือโคร่งผู้เก่งกล้ากว่ามฤคชาติทั้งมวล วันนี้เจ้า
แลว้ พรุ่งน้ีมนั คงมาเชา้ ตรู่อกี ” ถือศลี ไม่ฆ่าสตั ว ์ หรือให้อภยั แก่สตั วไ์ ม่ยอมฆา่ หรือ
ตัจฉกสกุ รเปน็ สัตว์ฉลาด รชู้ ัยภมู ใิ นการสรู้ บ เขย้ี วเลบ็ หกั กดุ สนิ้ แลว้ จงึ ไมไ่ ดอ้ ะไรเปน็ เหยอ่ื มาเลย
ตรวจภมู ปิ ระเทศแลว้ เหน็ วา่ ไมเ่ หมาะทจ่ี ะตงั้ คา่ ยสรู้ บ มิหน�าซ้�ายงั แสดงอาการหวาดกลวั หมูเสยี อกี ”
กบั เสอื โครง่ จงึ ไปตรวจภมู ปิ ระเทศในทไี่ มไ่ กลกนั นกั “มิได้ท่านฤษี เขย้ี วเลบ็ และกา� ลังของขา้ พเจา้
เห็นเป็นท่ีเหมาะ จึงส่ังให้หมูท้ังหลายกินให้อ่ิมแต่ ยังมพี ร้อม แต่ขา้ พเจ้าสังเกตเหน็ อาการผิดปกติใน
ยามดกึ พอรงุ่ อรณุ ใกลส้ วา่ ง จงึ ใหต้ งั้ ชยั ภมู ิ “ปทมุ - ฝงู หม ู มนั ไมเ่ หมอื นแตก่ อ่ น จบั กนั เปน็ กลมุ่ เปน็ กอ้ น
พยุหะ” วางลูกหมูที่ก�าลังด่ืมนมไว้ตรงกลาง ให้แม่ คลา้ ยจะรมุ เลน่ งาน ขา้ พเจา้ จงึ มกิ ลา้ ผลผี ลามเขา้ ไป”
หมูลูกอ่อนล้อมไว้ช้ันหนึ่ง คัดหมูตัวเมียรุ่นๆ วาง ชฎลิ โกงฟังดังนนั้ จงึ กล่าวเพื่อปลุกใจวา่ “ผู้
ก�าลงั หมูวัยรุ่น เขยี้ วยงั ไมย่ าวไวแ้ ทรกระหวา่ งกลาง เอาชนะหมู่อสูรได้ก็มีแต่พระอินทร์องค์เดียว ผู้
เปน็ ระยะ ใหห้ มเู ขย้ี วยาวซง่ึ พรอ้ มทจี่ ะรบลอ้ มไวอ้ กี เอาชนะนกได้ก็มีแต่เหย่ียว แต่ผู้เอาชนะสัตว์ป่าได้
ชน้ั หนงึ่ ต้ังกองกา� ลังโจมตีเป็นพวกๆ ๑๐ ตวั บ้าง น้นั ก็คือเสือโครง่ ทา� ไมเจ้าจึงกลัวหมซู ึง่ เป็นอาหาร
๒๐ ตัวบ้างไว้หลายแห่ง ให้ขุดหลุมไว้หลุมหนึ่ง โดยตรงของเจ้าเลา่ ”
สา� หรับตน และขุดหลมุ พรางใหล้ กึ ไวด้ ักเสอื อีกหลุม “ไม่ว่าพระอนิ ทร์หรอื เหย่ยี ว หรอื เสือโคร่งตวั
หนงึ่ ทา� ใหเ้ ปน็ แอง่ เหมอื นขอบกะดง้ ในระหวา่ งหลมุ ใด ถ้าหมู่ญาติเขาพร้อมเพรียงกันอย่างแน่นแฟ้น
ทงั้ สองพนู เปน็ ขอบดนิ ไวเ้ พอื่ ตน ตจั ฉกะเดนิ ควบคมุ แลว้ กท็ า� อะไรเขามไิ ด้ท้ังน้ันแหละ”
74
“เจา้ เสอื โครง่ เอย๋ !” ชฎลิ โกงปลกุ ใจเสือตอ่ ไป ตัจฉกะบงการให้หมูหนุ่มท่ีมีก�าลังมากและมี
“เจ้าชา่ งไมร่ ู้กา� ลงั ของตวั เองเสยี บ้างเลย อยา่ ไปกลัว เขย้ี วคมช่วยกันขดุ โคน กัดรากตน้ ไม้ให้ขาดให้หมด
เลยนะ่ เมื่อไปถึงก็สง่ เสียงค�ารามใหล้ ่นั ป่า วงิ่ ปรีเ่ ขา้ แล้วให้หมูอีกพวกหนึ่งใช้ก�าลังดันต้นไม้ ไม่ช้าต้น
ใส ่ กลมุ่ หมมู นั กจ็ ะตกใจแตกฮอื ออกจากกนั แลว้ เจา้ มะเดื่อกโ็ ค่นลง ฤษโี กงจึงตกลงมาทพ่ี ื้นดิน
ก็เลือกจับมันได้ตามสบาย ไปเถิด อย่ากลัวลมๆ พวกหมูทั้งหลายจึงพากันขวิดขยี้และกัดกิน
แล้งๆ ไปหน่อยเลย” เนอ้ื จนหมด แลว้ ตา่ งแสดงความรน่ื เรงิ บนั เทงิ ใจอยา่ ง
เสือโคร่งได้ฟังดังน้ันก็ชักใจกล้าขึ้น ไปเดิน เกรียวกราว เปน็ อันส้ินศตั รู ทั้งฤษแี ละเสือโครง่ จึง
กรดี กรายอยบู่ นหนิ ดาดอกี ครง้ั หนง่ึ พวกหมเู หน็ ดงั พากันยกย่องอภิเษกตัจฉกะให้เป็นเจ้าฝูง อยู่ในป่า
นน้ั จงึ บอกใหต้ จั ฉกะทราบ ตจั ฉกสกุ รจงึ ปลอบใจพวก น้นั ดว้ ยความสามคั คี จนถึงกาลอวสานแห่งชวี ิต
หมูมใิ ห้หวาดกลวั พากนั ขนึ้ ไปเดนิ ล่ออยูบ่ นมลู ดิน เทพารกั ษซ์ ึ่งสงิ ณ ปา่ นนั้ เห็นเหตกุ ารณโ์ ดย
สงู บ้าง เสือเหน็ ดงั น้ันจงึ รวบรวมก�าลงั ใจกระโจนใส่ ตลอด จงึ กลา่ วสรรเสริญของความสามคั ควี า่
ตัจฉกสุกรทันที ตัจฉกะหลบลงใต้ขอบมูลดิน เสือ “หมู่ญาติที่ร่วมใจกันด้วยแรงสามัคคี ย่อม
โคร่งว่ิงเลยไปจึงตกหลุมพรางทันที หัวชนขอบดิน ท�าทุกสิ่งได้ส�าเร็จ เปรียบเหมือนต้นไม้เกิดในป่า
อยา่ งแรงถงึ ขน้ั สลบ ตจั ฉกะจงึ กระโดดขน้ึ จากทหี่ ลบ ต่างอาศัยซึ่งกันและกันจึง เป็นป่าอยู่ได้ พวกหมู
วง่ิ เขา้ ขวดิ ดว้ ยเขย้ี วอนั คม ถกู ทอ้ งอยา่ งแรง ไสเ้ สอื พรอ้ มใจกนั เปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั จงึ ฆา่ เสอื โครง่
โคร่งทะลกั ออกมาทันท ี พวกหมูเหน็ ดังนั้น จึงพากนั ได้ส�าเร็จ ฉะนี”้
ว่ิงกรูกันเข้ามารุมล้อมกัดกินเน้ือเสือโคร่งตัวละค�า จากชาดกเรอื่ งน้ชี ใ้ี ห้เห็นวา่ ความสามัคคใี น
สองค�า ครู่เดียวก็เหลือแต่กระดูก ต่างก็พูดกันว่า หมู่ญาติ ถ้ากระชับไว้ให้แน่นแฟ้นมันคงไม่
“เนื้อเสือนีอ่ ร่อยไมน่ อ้ ยเลย” แตก่ ็ยงั ไม่มหี มตู ัวไหน แตกแยกกนั แลว้ ยอ่ มสรา้ งความเปน็ ปกึ แผน่ และ
แสดงความยินดอี อกมา สรา้ งความสขุ สา� ราญแกว่ งศต์ ระกลู ความสามคั คี
ตัจฉกะจึงถามว่า “บัดนี้ศัตรูของเราก็สิ้นแล้ว ในหมญู่ าตเิ ปน็ ของงา่ ย เพราะเปน็ ไปโดยธรรมชาติ
เหตุใดพวก ท่านจึงไม่แสดงความยินดีฉลองกันให้ อยู่แล้ว ข้อส�าคัญว่าอย่าไปท�าลายเสียเพราะ
สมใจกันเล่า ?” เหตกุ ารณแ์ กง่ แยง่ กนั เพยี งเลก็ นอ้ ย ความสามคั คี
พวกหมูตอบว่า “ท่านตัจฉกะ! เสือโคร่งนะ สร้างของเลก็ ให้เปน็ ของใหญ่ สร้างส่งิ มกี า� ลงั น้อย
ตายแลว้ แตค่ นท่ีเล้ยี งเสอื โคร่งซยิ งั มชี ีวติ อย ู่ ไมช่ า้ ใหม้ กี า� ลงั มาก เหมอื นเชอื กเสน้ เดยี วจะผกู สตั วแ์ ม้
คงนา� อันตรายมาสู่เราอีก พวกขา้ พเจา้ จงึ ยังไม่ดีใจ” เลก็ ๆ กย็ อ่ มขาดงา่ ย แตถ่ า้ ดา้ ยหลายๆ เสน้ ทบกนั
“ผนู้ น้ั เปน็ ใคร อยทู่ ไ่ี หน บอกมาเถดิ จะไดช้ ว่ ย อาจผกู พญาชา้ งสารได้ ดังตัวอย่างหมูซง่ึ เปน็ สัตว์
กนั ก�าจดั ใหส้ ิ้นซาก” เล็ก แต่อาศัยก�าลังใจที่รวบรวมเป็นน�้าหน่ึงใจ
“เป็นฤษี อยู่ในอาศรมใกล้เขาลูกโน้น” พวก เดียวกัน จึงฆ่าศัตรูท้ังเสือโคร่งและฤษีลามกได้
หมชู ใ้ี หด้ อู าศรมแลว้ กลา่ ววา่ “ฤษผี นู้ ค้ี อยกนิ เนอ้ื ของ ดงั นัยภาษติ ว่า
พวกเราท่ีเสอื นา� ไปให้” “อันความกลมเกลียวเป็นใจเดียวแหละ
“ถา้ เชน่ นน้ั พวกเราพากนั ไปเดยี๋ วนเ้ี ลย จะได้ ประเสริฐ” ดังนี้
สนิ้ ศตั รเู สยี ท”ี แลว้ ตจั ฉกะกน็ า� หนา้ พวกหมวู งิ่ ตรงไป
ยงั อาศรมของฤษ ี เมอื่ ฤษโี กงเหน็ พวกหมกู รกู นั เขา้ (ตจั ฉกสุกรชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย
มา กเ็ ดาออกวา่ เสอื โครง่ ตายเสยี แลว้ จงึ วงิ่ หนขี น้ึ ตน้ ชาดก ปกิณณกนิบาต เลม่ ๓๓ หน้า ๓๗๑)
มะเดื่อเพ่ือเอาตัวรอด
75
76
นกกระจาบ
“ความพรอ้ มเพรยี งหมู่ ให้เกดิ สุข”
ครั้งหน่ึง ในป่าหิมพานต์ เม่ือพระเจ้าพรหมทัตครองเมือง
พาราณส ี มพี รานนกผหู้ นง่ึ หากนิ ทางจบั นกขายตามตลาด เทย่ี วลา่ นก
ไปจนถงึ ราวปา่ อนั เปน็ ทอ่ี าศยั แหง่ นกกระจาบฝงู หนงึ่ ซง่ึ มพี ระโพธสิ ตั ว์
เปน็ หัวหน้าฝงู มีนกกระจาบหลายพันตวั เปน็ บรวิ าร
นายพรานเมอื่ ไปถงึ ทอ่ี ยขู่ องนกกระจาบ จงึ ทา� เสยี งและออ่ ยเหยอ่ื
ลอ่ เมอ่ื นกมารวมกนั มากพอสมควรกเ็ หวย่ี งแหคลมุ แลว้ รวบตนี แหเขา้
ดว้ ยกนั หอ่ เอานกเขา้ กรงขงั แลว้ กลบั บา้ น นา� ไปขายตามรา้ นตลาด นาย
พรานนกจับนกกระจาบฝูงนน้ั ไดเ้ ป็นจา� นวนมาก
วันหนง่ึ พระโพธสิ ตั ว์เรียกประชุมบริวารแลว้ สอนว่า “พรานนกผู้
นี้ทา� ใหเ้ ราพินาศไปมากตอ่ มากแลว้ เรามอี บุ ายแกก้ ารจับของพรานผนู้ ี้
ได ้ แตต่ อ้ งอาศยั ความสามคั คขี องพวกเรา พอพรานเหวยี่ งแหลงมาคลมุ
พวกเราจงพรอ้ มใจกนั บนิ พาเอาแหขน้ึ คลมุ ตน้ ไม ้ แลว้ คอ่ ยบนิ หนลี งทาง
ใตต้ น้ พรานนกก็ไมส่ ามารถจบั เราใส่กรงได”้
นกกระจาบเหล่าน้นั รบั ค�าพระโพธิสตั ว ์ วนั รงุ่ ขึ้น ถกู นายพราน
เหว่ียงแหติดอีก นกทุกตัวออกก�าลังบินพร้อมกัน น�าแหไปคลุมไว้บน
ยอดไม้ แลว้ บินหนลี งมาทางใต้ต้นไม้ กว่านายพราน จะปนี ขึ้นไปบน
ตน้ ไม ้ และแกะแหออกมาไดก้ เ็ สยี เวลาไปจนถงึ คา�่ วนั นน้ั นายพรานไม่
ได้นกกลบั ไปเลย เดินคอตกกลับบ้าน
วนั รงุ่ ขนึ้ นายพรานกลบั มาแตเ่ ชา้ ดกั รออยทู่ พ่ี วกนกกระจาบมา
หากนิ ครนั้ ไดจ้ งั หวะจงึ เหวย่ี งแหคลมุ นกกระจาบอกี นกกระจาบนกึ ถงึ
คา� ของพระโพธสิ ตั ว ์ จงึ พรอ้ มใจกนั บนิ พาเอาแหไปตดิ บนยอดไผ ่ คราว
นย้ี ่ิงสรา้ งความลา� บากใหแ้ ก่นายพราน กว่าจะร้ือแหลงมาได้กพ็ ลบค่า�
เสียแลว้ ไม่มเี วลาไปหานกทอ่ี ่ืน เดนิ คอตกกลบั บา้ นตามเคย
ฝ่ายภรรยาเฝ้ารอคอยสามี หวังว่าจะได้นกมาแกง รอจนค�่าจึง
เห็นพรานเดินมามือเปล่ากลับมา นางจึงโกรธและตะคอกสามี ว่า
“พ่อเจา้ ประคณุ ออกล่านกแตเ่ ชา้ ยนั คา่� ไมไ่ ด้นกมาสกั ตัว เห็นจะมัว
77
ไปหลงเมยี นอ้ ยท่ไี หนละกระมัง เอานกไปบ�าเรอมันหมดแล้วซ ิ ถ้าแม่รู้
เข้าเมือ่ ไรเปน็ ตายกันไปขา้ งหนงึ่ เป็นแน”่
สามีชักหัวเสยี ตอบภรรยาไปว่า “แมม่ หาจา� เรญิ ชา่ งพูดพล่อยไม่
ย้งั คิด ในปา่ ดงอยา่ งนจ้ี ะเอาสตรีทไี่ หนมาบา� เรอเล่า นกกระจาบพวกนี้
มนั มคี วามสามคั คผี ดิ ธรรมดา เวลาตดิ แหมนั พรอ้ มใจกนั บนิ พาแหไปตดิ
บนยอดไม้ กว่าจะแกม้ าไดก้ ย็ นั คา่� ดซู ิ แหมีรอยขาดพรุนไปหมด เถอะ
นา่ ! รอใหม้ นั ววิ าทแตกสามคั คกี นั เมอื่ ไร จะจบั มาใหเ้ ธอเปน็ รอ้ ยทเี ดยี ว”
ต่อมาอีกไม่นาน นกกระจาบตัวหน่ึงบินลงมาหากินในกลุ่ม
เดยี วกัน เผอิญไปเหยยี บหวั อกี ตัวหน่ึงเข้า นกตัวถูกเหยยี บโกรธจดั จึง
กล่าวว่า “เฮ้ย เจ้านกถ่อย! อวดดีอย่างไรจึงมาเหยียบหัวเรา จะต้อง
จัดการกบั เจา้ ใหส้ าสมทีเดยี ว”
“ขอโทษเถอะพอ่ คณุ ” นกอกี ตวั หนงึ่ กลา่ วขอโทษ “ขา้ พเจา้ ซมุ่ ซา่ ม
ไปหน่อยจงึ เหยียบถกู ศีรษะทา่ น โปรดอภยั ใหด้ ว้ ยเถดิ ข้าพเจา้ จะระวงั
ไมใ่ หแ้ ตะตอ้ งตัวท่านอีกตอ่ ไป”
“ขอโทษแล้วหายเจ็บรึ” นกตัวถูกเหยียบไม่ลดละ “ต่อไปเท่ียว
เหยยี บหัวเขาแลว้ ขอโทษเสยี กห็ มดเร่อื งซิ เราอภยั ให้เจา้ ไมไ่ ดแ้ น”่
เมอ่ื ฝา่ ยหนง่ึ ไมย่ อมใหอ้ ภยั อกี ฝา่ ยหนง่ึ ชกั อวดดขี น้ึ มา ตา่ งอวด
ฤทธกิ์ นั วา่ ใครจะเกง่ กวา่ ใคร การววิ าทกอ่ จดุ ขน้ึ เพยี งอาศยั นก ๒ ตวั กอ่ น
เม่ือไมร่ ะงบั ก็ลามไปยงั เพอ่ื นฝูงใกล้เคียง เกดิ แบ่งพวกกันข้ึน ผลท่สี ดุ ก็
เลยแตกแยกกนั ทง้ั ฝงู
พระโพธสิ ตั ว์เมอ่ื ไมส่ ามารถหา้ มปรามได ้ จึงคิดว่า “การทะเลาะ
ววิ าทเป็นบอ่ เกดิ แหง่ ความหายนะ หาความเจริญมไิ ด้ ถา้ ติดตาขา่ ยขึน้
มาอีก คงไมม่ ีใครยอมยกตาข่ายไปคลมุ บนตน้ ไม ้ การอยู่ในกลุ่มท่ีไม่
สามคั คีกนั เปน็ ภยั อย่างมหาศาล” จึงพาผูเ้ ปน็ บริวารท่ีเชอ่ื ฟังบินไปจาก
ท่ีนน้ั เสีย
พรานนกสงั เกตเหน็ ฝงู นกไมเ่ กาะกนั เปน็ กลมุ่ เหมอื นเดมิ ซา้� จกิ ตี
กันเปน็ ประจา� แสดงว่านกแตกสามคั คีกนั แล้ว จงึ แอบไปดกั ดังเดมิ เมอ่ื
ไดจ้ งั หวะจงึ เหวย่ี งแหคลมุ นกกระจาบฝงู นน้ั อกี นกแตล่ ะตวั ตา่ งถอื ดกี นั
78
วา่ ตวั มกี า� ลงั ตา่ งกไ็ มย่ อมบนิ เพราะตอ้ งการ จะดกู า� ลงั ตวั ทอ่ี วดเกง่ วา่ จะบนิ
ไปไดไ้ หม ตัวอ่นื ๆ กค็ ดิ ท�านองเดยี วกนั ผลทีส่ ดุ ไมม่ ีนกตัวใดออกก�าลังบนิ
กพ็ อดนี ายพรานวง่ิ มาถงึ ตวั แลว้ รวบตนี แหได ้ จบั เอานกกระจาบไปทง้ั ฝงู มอบ
ใหภ้ รรยาจดั การตม้ แกง และแบง่ ขายตามความตอ้ งการต่อไป นกฝงู น้ันจงึ
สูญไปในทส่ี ุด
ชาดกเรอื่ งนสี้ อนคตธิ รรมข้อหน่ึงว่า สามคั คยี อ่ มเปน็ พลงั มหาศาล
สามารถบันดาลใหป้ ลอดจากภยั ทัง้ ปวงได้ ท่านให้ดูตวั อย่าง เช่นกอไผ่
ว่าเหตุใดมันจงึ ไมส่ ญู พันธไุ์ ปงา่ ยๆ ก็เพราะ กอไผ่เกิด ณ ที่ใด มันมิได้
เกดิ แตล่ า� เดยี วเดย่ี วโดด มันเกดิ เป็นกอ ๆ แตล่ ะกอมีกงิ่ ก้านสาขา และ
หนามแนน่ กอไปหมด แตล่ ะกงิ่ สาขามนั ยงั สง่ หนามอนั เปน็ อาวธุ ประจา� ตวั
ไปปอ้ งกนั ภยั ดว้ ยกนั ทงั้ นน้ั และพรอ้ มเพรยี งกนั กอไผจ่ งึ ดา� รงอยไู่ ด้ ยาก
ที่ใครจะเขา้ ไปทา� อนั ตรายได้ ไม่เหมือนต้นไม้บางต้น ต้นเต็งรังขนึ้ โดด
เดย่ี ว คนจงึ เข้าถงึ ตวั ท�าอันตรายได้ง่าย คนเรากเ็ ชน่ กัน ตราบใดที่ยงั ไม่
ทา� ลายความสามัคคี ยังเกาะกลมุ่ กันเปน็ ปึกแผ่นแนน่ หนา กย็ ากที่ศตั รู
จะทา� ลายได้ แตเ่ มอ่ื ใดแตกสามคั คแี กง่ แยง่ กนั ยอ่ มประสบความหายนะ
เมื่อนัน้ ตัวอยา่ ง เชน่ นกกระจาบ เมื่อสามคั คีกนั กย็ งั เป็นอยไู่ ด้ เม่อื แตก
สามัคคีก็ถูกท�าลายจนหมดฝูง จึงควรถือเป็นคติประจ�าใจว่า “ความ
สามคั คีของหมูใ่ ห้เกดิ สขุ ” ฉะน้ี
(สมั โมทมานชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก เอกนบิ าต เล่ม ๒๘ หน้า ๓๖๕)
79
80
สัตว์สามสหาย
“อ่อนน้อมตอ่ ผู้ใหญ่ เป็นผู้เจรญิ ”
ครัง้ หนง่ึ ในปา่ หมิ พานต์มสี ัตวส์ ามสหาย คอื ลงิ ช้าง และนก
กระทา อาศยั รม่ ไทรเปน็ ทอ่ี ยรู่ ว่ มกนั ตา่ งกไ็ มย่ อมออ่ นนอ้ มตอ่ กนั และ
กนั เพราะต่างเผา่ พันธ์ตุ ่างวรรณะ วันหนึ่งจึงปรกึ ษากันว่า
“เราอยรู่ วมกนั แบบตา่ งคนต่างดีเชน่ น้ีจะสนทิ สนมกนั ยาก และ
ไม่สามารถปฏิบตั ธิ รรม คอื ความอ่อนนอ้ มต่อกนั และกนั ได ้ ถ้ากระไร
เรามาสบื สาวกนั วา่ ใครเกดิ กอ่ นเกดิ หลงั จะไดเ้ คารพกนั โดยลา� ดบั เพอ่ื
ความเปน็ สริ มิ งคลแกพ่ วกเรา โบราณทา่ นสอนไวว้ า่ “ผมู้ ปี กตอิ อ่ นนอ้ ม
ตอ่ ผู้ใหญ่ ยอ่ มถึงความเจรญิ อยเู่ ป็นนติ ย”์
วันหน่ึง สัตว์สามสหายคิดอุบายข้ึนมาได้ จึงประชุมกันที่โคน
ต้นไทร นกกระทาและลงิ ถามชา้ งวา่ “ท่านชา้ งสหายรกั ท่านมีร่างกาย
ใหญ่โต อาศัยอยู่แถวนี้มานาน ท่านรู้ไหมว่าไทรต้นน้ีมีอายุประมาณ
เท่าไร?”
ช้างตอบด้วยความมั่นใจว่า “สหายเอย๋ ข้าพเจา้ ค�านวณไมไ่ ด้ว่า
ต้นไทรนี้อายุเท่าไร แต่จ�าได้แน่นอนว่า เม่ือข้าพเจ้ายังหนุ่ม เดินมา
หากินบรเิ วณน้ี ตน้ ไทรนม้ี ยี อดเร่ยี ทอ้ งพอดี ข้าพเจ้าเดินขา้ มไดอ้ ย่าง
สบาย ท่านค�านวณกันเองเถิดวา่ ขา้ พเจา้ มีอายนุ านเพยี งไร”
นกกระทากับช้างหันไปถามลิงบ้างว่า “สหาย ท่านเล่าเคยเห็น
ตน้ ไทรต้นน้ตี ั้งแต่เมือ่ ไร ก่อนหรอื หลังท่านชา้ ง”
“สหายรัก ขา้ พเจา้ จ�าได้แม่นว่า สมัยเมอื่ ขา้ พเจ้าเปน็ ลูกลงิ นอ้ ย
นงั่ อยบู่ นแผน่ ดนิ ไมต่ อ้ งชะเงอ้ คอกส็ ามารถกนิ ยอดไทรตน้ นไ้ี ด ้ จะนาน
สักเท่าใดกส็ ุดแต่คดิ เอาเถิด” แลว้ หันไปถามนกกระทาบา้ งว่า
“ท่านนกกระทาเลา่ ทา่ นเห็นต้นไทรต้นน้ีมาตัง้ แตเ่ ม่ือไร ?” นก
กระทาหวั เราะแลว้ ตอบวา่ “ถา้ เปน็ เชน่ นน้ั ทา่ นทงั้ สองเกดิ ทหี ลงั ขา้ พเจา้
แน่นอน เพราะเม่ือข้าพเจ้าเล็กๆ บินมาหากินแถบน้ีไม่มีต้นไทรต้นน้ี
81
เลย มีตน้ ไทรต้นใหญ่ในทีไ่ มไ่ กลจากนีต้ ้นหนึง่ ข้าพเจา้ เองผู้บินไปจกิ
กนิ เมลด็ ไทรแล้วมาถ่ายไวท้ ตี่ รงน้ี เมลด็ ไทรจึงงอกเจริญเติบโตมาถึง
เพียงนี้ ขา้ พเจ้าเหน็ จะเกดิ กอ่ นพวกเจา้ ท้งั สองเปน็ แน”่
เมอ่ื นกกระทากล่าวจบ ช้างและลงิ กย็ อมจา� นน กล่าววา่ “ทา่ น
นกกระทาผ้บู ัณฑิต ทา่ นมอี ายแุ ก่กว่าขา้ พเจา้ ท้งั สอง ตง้ั แต่นีไ้ ป ทา่ น
จงตงั้ อยใู่ นฐานะผใู้ หญ ่ ขา้ พเจา้ ทงั้ สองจะทา� การสกั การะบชู า ใหเ้ กยี รติ
และปฏบิ ตั ทิ า่ นตลอดไป จะเชอ่ื ฟงั โอวาทของทา่ นทกุ ประการ ขอทา่ น
ได้โปรดตักเตอื นในเม่อื ข้าพเจ้ามีความผิดพลาดดว้ ยเถดิ ”
ต้ังแต่น้ันมา นกกระทาก็ให้โอวาทแก่สัตว์ทั้งสองให้ต้ังอยู่ในศีล
๕ สว่ นตัวเองกส็ มาทานศลี ตามสมควร ด้วยเดชะบารมี ศีล ๕ และ
ความเคารพยา� เกรงผมู้ ีอาวุโส จงึ บันดาลให้ประสบความรม่ เย็นตลอด
ไป ไม่มใี ครบาดหมางกัน จนถึงกาลอวสานแห่งชวี ิต ครน้ั ตายแล้วกไ็ ป
บงั เกดิ ในสคุ ติ
ชาดกเรื่องน้ีมีคติธรรมสอนว่า ในกลุ่มท่ีอยู่ร่วมกัน ถ้ามีแต่
คอยชิงดีชิงเด่น แก่งแย่งกันเป็นใหญ่ ย่อมจะหาความสงบสุขมิได้
แตถ่ า้ ทกุ คนตา่ งมคี วามเคารพนอบนอ้ มกนั ตามฐานะ เคารพผทู้ คี่ วร
เคารพ นอบน้อมผทู้ ่ีควรนอบน้อม หมู่คณะย่อมประสบแต่ความ
สุขความร่มเย็นตลอดไป ดังที่พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า “ผู้มีปกติ
อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ ย่อมมีความเจริญไม่หยุดย้ัง” คนท่ีมีความ
อ่อนน้อม ย่อมสอ่ ถงึ ความเป็นคนมีความดีภายใน ตรงกนั ขา้ ม ถ้า
เป็นคนแข็งกระด้าง ไม่อ่อนน้อมต่อผู้ท่ีควรอ่อนน้อม ย่อมประสบ
ความหายนะ ท่านใหด้ ูตัวอย่าง เช่น รวงข้าวในนา ตามธรรมดา
ข้าวรวงใดมเี มลด็ เตม็ ภายใน มักออ่ นรวงลงเสมอ ส่วนรวงใดเมล็ด
ลีบไม่มีเน้ือภายใน มักชูรวงแข็งกระด้าง ไม่อ่อนเหมือนคน
อ่อนน้อม ซงึ่ แสดงวา่ มคี วามดภี ายใน ส่วนคนแข็งกระดา้ ง แสดง
วา่ ภายในลบี ไมม่ อี ะไรดเี ลย แมแ้ ตส่ ตั วส์ ามประเภทยงั ตอ้ งพยายาม
หาทางอ่อนน้อมต่อกันจนได้ มนุษย์จึงควรส�านึกในข้อน้ี และ
ประพฤติตนอ่อนนอ้ มเสมอ จะถึงความเจรญิ ในกาลทกุ เมอื่
(ตติ ติรชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
ชาดก เอกนิบาต เล่ม ๒๘ หนา้ ๓๘๓)
82
83
เพื่อนแท้
“เพื่อนกนิ หาง่าย เพื่อนตายหายาก”
ครง้ั หนง่ึ ในปา่ หมิ พานต ์ พระโพธสิ ตั วเ์ กดิ เปน็ กวางอาศยั อยใู่ นปา่
ลกึ ใกล้สระนา�้ ในสระนัน้ มเี ต่าใหญ่ตัวหนง่ึ อาศัยอย่ ู เม่อื กวางโพธิสตั ว์
กลบั มาจากหากินในยามเย็น มกั ลงไปดมื่ น�า้ ในสระเป็นประจา� และพบ
กบั เต่าบอ่ ยคร้ัง จึงเกิดความรกั ใครก่ ัน คบกันเปน็ เพื่อนสนทิ ตลอดมา
ณ ตน้ ไม้ใหญใ่ กลส้ ระน�า้ ซึ่งกวางอาศยั พักผ่อนประจา� มีนกตวั
หนง่ึ ชอ่ื สตปตั ตะทา� รงั อยบู่ นตน้ ไมก้ บั นางนก และมลี กู ออ่ นอยใู่ นรงั นก
สตปัตตะเห็นกวางโพธสิ ัตว์มีลกั ษณะนา่ คบค้าสมาคม จึงเขา้ ไปสนทนา
ดว้ ยจนเกดิ เป็นเพื่อนสนทิ กัน สัตวท์ งั้ ๓ คือ กวาง เต่า และนก แม้
จะอย่ใู นฐานะตา่ งกัน คือเต่าอย่ใู นน�้า กวางอยบู่ นบก นกอยบู่ นอากาศ
แตอ่ าศยั ไมตรจี ติ มติ รภาพ เปน็ สอ่ื กลาง จงึ เกดิ ความรกั ฉนั ทเ์ พอ่ื นอยา่ ง
แนน่ แฟ้น
มีพรานผู้หนึ่งท่องเท่ียวล่าสัตว์อยู่ในป่า วันหน่ึง หลังจากท่ีนาย
พรานเทยี่ วลา่ สตั ว์ต้งั แต่เช้าจนพลบค�่าไมพ่ บสัตว์แมแ้ ต่ตัวเดยี ว จงึ เดิน
พลดั มาทางปา่ นน้ั เหน็ สระมนี า้� ใสสะอาดกด็ ใี จ ลงไปดม่ื นา�้ และใชน้ า้� ลบู
เน้ือลูบตัวเพ่ือให้เกิดความสบาย เผอิญมองไปท่ีขอบสระ เห็นรอยเท้า
กวางทเ่ี พง่ิ ขน้ึ ลงใหมๆ่ ดว้ ยวสิ ยั ของพรานจงึ รทู้ นั ทวี า่ สระนม้ี กี วางมาดม่ื
น้�าเป็นประจ�า จึงวางบ่วงควน่ั ด้วยเชือกเหนียว หลายเสน้ ดกั ไว้ทท่ี างขนึ้
ลง แล้วกลับไปพักยังกระท่อมกลางป่า นึกว่ารุ่งเช้าคงจะได้กวางสกั ตวั
หนง่ึ เปน็ แน่
ตกเวลาพลบคา�่ กวางโพธสิ ตั วก์ ลบั มาจากหากนิ ตงั้ ใจจะลงไปดม่ื
นา�้ ในสระตามปกต ิ มทิ นั ไดพ้ นิ จิ พเิ คราะห ์ และมไิ ดร้ ะแวงวา่ จะมอี นั ตราย
มาถึง โบราณว่า “เม่ือถึงคราวเคราะห์แล้วเหมือนมีอะไรมาบังตาให้
มืดมน นกแรง้ แมม้ สี ายตายาว บินอยู่บนอากาศแม้ตั้งโยชน ์ กย็ งั มอง
เหน็ ซากสตั วต์ ายบนพน้ื ดนิ ได ้ แตเ่ มอ่ื ถงึ คราวเคราะห ์ แรว้ ของนายพราน
อันใหญ่แมอ้ ยูใ่ กลต้ ดิ ตวั กม็ องไม่เหน็ ยังตดิ แร้วนายพรานจนได”้
84
คราวน้ีเหน็ จะเป็นคราวเคราะห์ของกวางโพธสิ ตั ว์ จึงเดินไปเหยียบบ่วงของ
นายพราน บว่ งรดั ตัวไว้แน่น กวางโพธสิ ัตวพ์ ยายาม ดน้ิ จนสดุ ความสามารถกไ็ ม่
อาจหลุดจากบว่ งได้ ย่ิงดิ้นกย็ งิ่ แนน่ จนหมดแรง จึงรอ้ งเรยี กสหายเต่าและนก เพอื่
ขอความช่วยเหลือ เต่ารีบคลานขึ้นมาจากสระ นกบินลงจากต้นไม้รีบมาหากวาง
เห็นกวางตดิ บ่วงกต็ กใจ จึงปรกึ ษากนั ว่าจะท�าอยา่ งไรดีจึงจะชว่ ยสหายของเราให้
เปน็ อิสระได้ นกสตปตั ตะได้ความคิด จึงบอกเตา่ วา่
“สหายรัก ทา่ นมปี ากคมและแข็งพอท่ีจะกัดเชอื กใหข้ าดได้ จงใช้ปากของ
ท่านแทะเชือกทีละน้อยจนกว่าจะขาด ส่วนข้าพเจ้าจะไปยับยั้งนายพรานไว้ไม่ให้
มาเรว็ ไป จงลงมือแทะเถดิ ข้าพเจา้ จะไปยับยงั้ นายพราน ณ บดั น”ี้ นกรบี บนิ มุ่ง
หนา้ ไปยงั กระทอ่ มของนายพราน เกาะอยบู่ นกง่ิ ไมใ้ หญเ่ พอ่ื คอยทนี ายพรานจะออก
จากกระทอ่ ม
เต่าพยายามรวบรวมกา� ลังทงั้ หมด กัดแทะเชือกอย่างไมค่ ิดชีวติ แทะเทา่ ไร
ก็ไม่ขาด เพราะบ่วงของนายพรานควั่นด้วยเชือกเหนียวและทบกันหลายเส้น แม้
กระน้ันเตา่ กม็ ไิ ดท้ อ้ ถอย พยายามกดั แทะจนสดุ แรง ตัง้ แต่หวั ค�า่ จนเกือบรุง่ อรณุ ก็
ยงั ไมข่ าด คงเหลอื เสน้ เชอื กเพียงเกลียวเดียว เลอื ดออกมากลบปาก ไมส่ ามารถ
แทะต่อไปได ้ หมดแรงนอนสลบอยู่กบั บ่วงนัน้ เอง
เกือบได้เวลารงุ่ อรณุ พรานต่นื จากท่ีนอนนกึ ถงึ บว่ งท่ีดกั ไว้ ก็รีบลุกขนึ้ ควา้
หอกและกระสอบใส่เน้ือเดินออกจากกระท่อม มุ่งหน้าไปยังสระน�้าที่ตนดักบ่วงไว ้
นกสตปัตตะซ่ึงเฝ้าคอยทีอยู่แล้ว เห็นนายพรานเดินออกจากประตูกระท่อม จึง
เตรียมคอยทอี ยกู่ ็ ทงิ้ ตวั โฉบจกิ ตีที่ศีรษะนายพรานอย่างแรง แล้วบินข้นึ ไปเกาะก่งิ
ไมต้ ามเดมิ
นายพรานมทิ นั ไดร้ ตู้ วั เมอ่ื ถกู ซมุ่ โจมตแี บบกองโจรเชน่ นนั้ กต็ กใจ แหงนหนา้
ขึน้ ดู เหน็ นกตัวดา� ๆ บนิ หายไปในความมืด เกดิ ความหวาดกลัว เข้าใจว่าเป็นนก
ปศี าจ บ่นพมึ พา� กับตัวเอง
“วันน้เี ป็นวันซวยของเรา เจ้านกกาลกรรณตี วั น้มี าจิกเรา ชะรอยจะเปน็ ลาง
รา้ ย ถ้าขืนเดินทางไปในเวลานคี้ งประสบอนั ตรายเปน็ แน่ ตอ้ งกลับไปนอนแลว้ ตน่ื
เอาฤกษ์ใหมถ่ ึงจะด”ี จึงเดินกลบั เข้ากระทอ่ ม เอนตัวลงนอนตอ่ ไป
เวลาลว่ งไปสกั ครู่ใหญ ่ พรานทา� ทลี กุ ขึ้นมาใหม่ได้ควา้ เครื่องมอื แล้วคิดว่า
“คราวก่อนเราเดนิ ออกทางหน้าบา้ น ถกู นกอปั รยี ์จกิ เอาจนเสยี ฤกษ์ คราวน้ี
ตอ้ งเปลย่ี นทศิ ทางเปน็ ออกทางหลงั บา้ นบา้ ง” คดิ แลว้ คอ่ ย ๆ ออกทางหลงั บา้ น และ
ม่งุ ไปยงั ทดี่ ักเนอื้
85
นกสตปัตตะรู้ดีว่า ตามธรรมดานายพรานมักถือโชคลาง เม่ือคราวก่อนออก
ทางหนา้ บ้านถกู เราจิก คราวนค้ี งไม่กลา้ ออกทางหนา้ บา้ น คงออกทางหลังบ้านเป็น
แน่ จึงไปเกาะอยบู่ นตน้ ไม้คอยเวลานายพรานออกมา พอนายพรานเดนิ มาถงึ ต้นไม้
นั้น นกสตปัตตะจึงโฉบลงและจกิ ตนี ายพรานอีกโดยแรง แลว้ บินไปซ่อนตัว คอยที
อยู่บนต้นไมอ้ กี ต้นหน่ึง
เมอื่ นายพรานถูกจิกอีกคร้ังกเ็ สียฤกษ์อกี คดิ วา่ “นกนี้อาจเปน็ นกเจา้ ปา่ ไม่
ต้องการให้เราออกไปจึงคอยห้ามไว้ ถ้าขืนออกไปคงเกิดอันตรายเป็นแน่” จึงกลับ
เข้าไปในกระทอ่ ม นอนรอเวลาจนกระท่ังสว่าง จงึ เดนิ ออกจากกระทอ่ ม ม่งุ ตรงไปยัง
ที่ดกั บว่ งทนั ที
นกสตปัตตะเห็นนายพรานเดินออกมาในเวลาสว่างแล้ว ในมือถือหอกและ
กระสอบเดินมาด้วยความระมัดระวัง เหน็ ว่าไมส่ ามารถยับยงั้ นายพรานได้ต่อไป จึง
รบี บนิ ไปทๆ่ี พระโพธสิ ตั วต์ ดิ บว่ งอยอู่ ยา่ งรวดเรว็ เหน็ เตา่ เลอื ดออกเตม็ ปากนอนสลบ
อยู่ และ สหายกวางกน็ อนหมดอาลัยในชวี ิต กต็ กใจรบี บินไปกระต้นุ กวาง “สหาย
รกั นายพรานกา� ลงั ถอื หอกเดนิ มงุ่ หนา้ มาแลว้ อกี ไมช่ า้ คงมาถงึ สหายเตา่ ไดก้ ดั เชอื ก
จวนจะขาด แต่เหลอื เสน้ เดยี ว สหายจงรวบรวมก�าลังทง้ั หมดกระชากบ่วงโดยแรงอกี
ครง้ั เถิด”
กวางไดย้ นิ ดงั นนั้ ประกอบกบั เหน็ นายพรานกา� ลงั ออกมาจากรมิ ปา่ จงึ รวบรวม
กา� ลงั กระชากบว่ งโดยแรงจนบว่ งขาดสะบนั้ กวางโพธสิ ตั วห์ ลดุ ออกจากบว่ งเปน็ อสิ ระ
ได้ จงึ วิง่ หนไี ปโดยเร็วเขา้ ไปแอบที่ละเมาะไมแ้ หง่ หนง่ึ
นายพรานเหน็ กวางกระตกุ เชอื กจนขาดเชน่ นนั้ กน็ กึ เสยี ดายเปน็ อยา่ งยง่ิ นกึ
สงสยั ว่าบ่วงของเราควนั่ ดว้ ยเชือกเหนียวถงึ ปานนี้ เหตใุ ดจงึ ขาดไปได ้ จึงเดนิ เขา้ ไป
ทใี่ กล้บว่ ง เหน็ เต่านอนสลบเลือดกลบปากอยู่กเ็ ดาออกวา่
“เตา่ ตวั น้ีเองทก่ี ัดบ่วงขาดปล่อยให้กวางหนีไปได้ จะปลอ่ ยมันไว้ทา� ไม ถึงไมไ่ ด้
กวางไดเ้ ตา่ กย็ ังด”ี จึงจับเต่าใสก่ ระสอบหวังจะเอาไปประกอบอาหารมือ้ เช้า
นกสตปตั ตะคอยสงั เกตการณอ์ ยบู่ นตน้ ไม ้ เหน็ พรานจบั เตา่ ใสก่ ระสอบกต็ กใจ
รบี บนิ ไปแจง้ ใหก้ วางทราบ กวางคิดอุบายไดอ้ ย่างหน่ึง จึงแสรง้ เดนิ กะปลกกะเปลยี้
ออกมาจากพุ่มไม้ ปรากฏตัวให้นายพรานเห็น ท�าทีว่าหมดแรงไปไม่ไหวแล้ว นาย
พรานเหน็ ดงั นนั้ กด็ ใี จคดิ วา่ กวางตวั นอี้ อ่ นเพลยี มาก หากเราวง่ิ ไลค่ งจะทนั จงึ เหวย่ี ง
กระสอบทีใ่ ส่เต่าไวใ้ กล้สระ ควา้ หอกได้กว็ ่งิ ไล่ล่ากวางสดุ กา� ลงั
กวางเหน็ นายพรานวงิ่ ไลม่ า กท็ า� ทเี ปน็ วงิ่ หนอี ยา่ งลม้ ลกุ คลกุ คลาน คอยกา� หนด
ระยะไม่ให้ใกล้และไกลจนเกินไป เพ่ือล่อให้พรานมีก�าลังไล่ตาม สังเกตเห็นว่านาย
พรานวิง่ ไลม่ าห่างสระน�า้ มากแลว้ จึงว่งิ หลบเขา้ ละเมาะแห่งหนึง่ ทา� รอยลวงไวแ้ ล้ว
86
แอบวง่ิ ออ้ มไปอกี ดา้ นหนงึ่ วง่ิ วกกลบั มาทางสระนา้� ดว้ ยความรวดเรว็ ราวลมพดั ครน้ั
ถึงสระกเ็ หน็ เตา่ คลานดุบดิบอยู่ในกระสอบ จงึ ใชเ้ ขาสอดเขา้ ทีเ่ ชอื กรัดปากกระสอบ
เฝอื กับดินจนขาด แลว้ เอาเต่าออกจากกระสอบได ้ เขย่ี เตา่ ให้ลงสระไป ส่วนนาย
พรานมวั แตค่ ้นหากวางตามละเมาะไม้ เมอื่ ไม่พบกเ็ ดนิ คอตกกลับ หวงั จะนา� เตา่ ไป
ปรุงเป็นอาหาร คร้นั มาเห็นกระสอบขาดเตา่ ก็หายไป จงึ เขา้ ใจวา่ เป็น ลูกไม้ของกวาง
จงึ เกดิ ความเคยี ดแคน้ เปน็ อนั มาก แตไ่ มท่ ราบจะทา� อยา่ งไร จงึ เดนิ ทางกลบั กระทอ่ ม
ดว้ ยความเศร้า
ฝา่ ยสัตว์ท้งั ๓ เมื่อนายพรานกลบั ไปแล้ว มาประชมุ พร้อมกัน แล้วกล่าวค�า
สรรเสรญิ ความดขี องกนั และกนั จงึ ปรกึ ษากนั วา่ “การอย ู่ ณ ทน่ี ไี้ มป่ ลอดภยั เสยี แลว้
นายพรานอาจหวนกลบั มาทา� อันตรายอกี จึงขอใหต้ า่ งอพยพเปลย่ี นท่ีอยใู่ หม”่
สัตว์ทั้ง ๓ ต่างก็ร่�าลาแยกย้ายกันไปเลี้ยงชีวิตไปตามยถากรรม จนถึงกาล
อวสานแห่งชวี ิต
ชาดกเรือ่ งนี้ชีใ้ หเ้ หน็ คตธิ รรมข้อหน่ึงว่า ความสามคั คีของหมูค่ ณะทา� ให้เกิด
ความสุข ความรกั กันดว้ ยใจจรงิ ในหมู่มิตรสหายเป็นพลงั มหาศาล สามารถช่วย
กนั และกนั ใหร้ อดพน้ จากอันตรายใหญๆ่ ได้ และผูท้ ีจ่ ะคบกันเปน็ มติ รสหายน้ัน
ไมจ่ า� เปน็ ตอ้ งมขี อบเขตจา� กดั วา่ ตอ้ งเปน็ ญาตมิ ติ รสายโลหติ หรอื พวกพอ้ งเดยี วกนั
แม้จะต่างชาติ ต่างวรรณะ หรอื เพศวยั อยา่ งไรกต็ าม ถา้ ได้มีความรกั และคุ้นเคย
คบกันดว้ ยใจจรงิ แล้ว กถ็ ือว่าเป็นญาติมติ รสนิทและมติ รรักใครก่ นั ได้ ดตู วั อยา่ ง
จากสตั วท์ ัง้ ๓ ประเภท แมจ้ ะเป็นสัตวเ์ ลก็ และอยู่กันคนละฐานะ คอื กวางอยู่
บนบก นกอยู่บนอากาศ และเต่าอยู่ในน้�า แต่มีความรักสามัคคีกันอย่างมั่นคง
สามารถช่วยกันและกันให้รอดพ้นอันตรายจากมนุษย์ได้ จะป่วยกล่าวไปใย ถึง
มนษุ ย์ซ่งึ มสี ตปิ ญั ญาความสามารถสูงกว่าสตั ว์ จะไม่สามารถท�างานใหญ่ให้ลลุ ว่ ง
ไปด้วยสามัคคีธรรม แต่การจะคบหาเพื่อนแท้ ชนิดถ่ายแทนชีวิตกันได้ในสังคม
มนษุ ยน์ ี้ เปน็ ของยาก ดงั โคลงโลกนิติบทหน่ึงกล่าววา่
เพอ่ื นกนิ สน้ิ ทรัพยแ์ ล้ว แหนงหนี
หางา่ ยหลายหม่นื มี มากได้
เพื่อนตายถา่ ยแทนชี วาวาตม์
ยากนักฝากผีไข้ ยากแทจ้ ักหา
(กรุ งุ คมิคชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก ทุกนิบาต เล่ม ๓๐ หน้า ๒๓๘)
87
88
พญาหงส์กบั เทพารกั ษ์
“จงตดั ไฟเสียแตต่ น้ ลม”
ครงั้ หนงึ่ ในปา่ หมิ พานต ์ สมยั พระเจา้ พรหมทตั เสวยราชย ์ ณ กรงุ
พาราณสี พระโพธสิ ตั ว์เกิดเปน็ หงส์ อาศัยอย่ ู ณ สวุ รรณคูหา ท่ีเขา
จิตตกฏู ในหมิ วันตประเทศ
หงสโ์ พธสิ ตั วห์ ากนิ ขา้ วสาลเี กดิ เอง ณ ชายทะเลสาบแหง่ หนง่ึ ซงึ่
อยู่ไกลจากเขาจิตตกูฏ ระหว่างทางท่ีพญาหงส์บินไปสู่เขาจิตตกูฏนั้น
มีต้นทองกวาวใหญ่ต้นหน่ึง หงส์ได้อาศัยต้นไม้นี้พักเหน่ือยในเวลาบิน
ไปและกลับเสมอ จึงร้จู ักมกั คนุ้ กบั เทพารกั ษ์ซง่ึ สถติ อย ู่ ณ ต้นไมน้ ั้น
เปน็ อย่างด ี ได้สนทนาปราศรยั กนั ฉันท์มิตรเปน็ ประจา� ตลอดมา
มนี างนกตัวหนงึ่ กินเมลด็ ไทรแล้วถา่ ยมูลไวบ้ นต้นทองกวาว ตอ่
มาเมลด็ ไทรงอกรากและลา� ตน้ โตขนึ้ ทลี ะนอ้ ยๆ จนตน้ ยาวขน้ึ ประมาณ
๔ นว้ิ หงสเ์ หน็ เหตกุ ารณ์ไกล จงึ เรียกเทพารักษม์ าแล้วช้ีแจงให้ฟงั
“สหายรกั ! ธรรมดาต้นไทรแทงหน่อแทรกตน้ ไมใ้ ด ถ้าไมร่ ีบตดั
เสียแต่ต้นแล้วจะปกคลุมท�าอันตรายแก่ต้นไม้นั้นในที่สุด ท่านจงถอน
หนอ่ ไทรนอ้ี อกเสียแตแ่ รกเถิด”
เทพารักษ์ได้ฟังดังน้ันก็หัวเราะแล้ว “ขอบใจสหายรักที่เตือนเรา
ตน้ ไทรทเี่ กดิ ใหมน่ เี้ สมอื นลกู นอ้ ยกว็ า่ ได ้ เราจะทะนบุ า� รงุ ใหใ้ หญไ่ วก้ อ่ น
เม่ือกิ่งก้านสาขามากแล้ว ก็จะกลับเป็นที่พ่ึงของเราอีก เสมือนบิดา
มารดาทะนบุ า� รงุ บตุ รผยู้ งั เยาวไ์ ว ้ เมอ่ื เตบิ ใหญก่ จ็ ะไดเ้ ปน็ ทพ่ี งึ่ พา� นกั ของ
บิดามารดา ฉะนั้น ท่านไมต่ ้องเปน็ หว่ งดอก ข้าพเจา้ จะจดั การเอง”
พญาหงส์กลา่ วชีแ้ จงด้วยความหวงั ด ี “ธรรมดาต้นไทรเมอ่ื เกิด
แทรกในต้นไมใ้ ด ไมเ่ คยให้คุณ มีแต่ใหโ้ ทษอยา่ งเดยี ว ที่เราบอกสหาย
คร้ังนี้กด็ ว้ ยเจตนาดี เม่ือสหายมีความเหน็ เชน่ นัน้ กต็ ามใจเถิด” กลา่ ว
แล้วก็บินไปยังเขาจิตตกูฏ นับแต่นั้นมาก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันอีกเลย
89
กาลลว่ งไป ตน้ ไทรกเ็ จรญิ งอกงามใหญโ่ ตขนึ้ ตามล�าดับ เกดิ
มเี ทพารกั ษอ์ กี องคห์ นึ่งสิงสถติ ประจา� ตน้ ไทรนัน้ ครน้ั ต้นไทรเจรญิ
ข้ึนก็ปกคลุมแย่งอาหารจากต้นทองกวาวจนหมดหนทางเจริญ
งอกงาม ยืนต้นแห้ง กิ่งผุ ร่วงลงมาทีละก่ิงสองกิ่งจนหมดต้น
เทพารกั ษไ์ มม่ ที อ่ี ยอู่ าศยั เพราะวมิ านของตนไดท้ ลายลงหมดสน้ิ จงึ
ระลึกถึงค�าของพญาหงส์ได้ เกิดความเสียใจที่ไม่ได้ท�าลายต้นไทร
น้ันเสียต้งั แตแ่ รกตามทห่ี งส์บอก ครา�่ ครวญว่า
“โธเ่ อย๋ เราอตุ สา่ หท์ ะนบุ า� รงุ ไทรตน้ นไี้ วแ้ ตย่ งั เลก็ ครนั้ เตบิ โต
ขึ้นแทนที่จะเป็นที่อาศัยของเรา กลับท�าลายวิมานของเราเสียสิ้น
เปน็ เพราะเราไม่เชื่อฟงั คา� ของพญาหงส์ จงึ ถงึ ความพินาศเช่นนี”้
ชาดกเรอื่ งนช้ี ใี้ หเ้ หน็ คตธิ รรมขอ้ หนงึ่ วา่ อนั ความชว่ั นนั้ เกดิ
ขึ้นแล้วมีแต่ท�าลายอย่างเดียว ยิ่งปล่อยไว้ให้ใหญ่มาก ย่ิงมี
อา� นาจ ทา� ลายตวั เองสูงมากเพยี งนั้น เปรียบเหมอื นหน่อต้นไทร
เกิดที่คาคบของต้นไม้ใด ก็จะท�าลายต้นไม้น้ันทีละน้อยๆ ยิ่ง
เติบโตมากก็ย่ิงปกคลุมท�าลายไดร้ นุ แรง ผูฉ้ ลาดจึงไมย่ อมปลอ่ ย
ให้ความช่ัวแม้แต่น้อยเกิดข้ึนภายในตัว เร่งท�าลายเสียก่อนท่ีจะ
เตบิ ใหญ่ เปรียบเหมือนกองไฟท่ลี ุกลามไหมเ้ ป็นเมืองๆ ได้ กม็ า
จากกองไฟกองเล็กๆ ที่ไม่พยายามดับเสียก่อน ดงั มีภาษติ ไทย
สอนวา่ “จงตดั ไฟเสยี แตต่ น้ ลม” หมายความวา่ สงิ่ ใดทม่ี อี า� นาจ
ทา� ลายตวั เอง พงึ เรม่ิ ทา� ลายสง่ิ นน้ั เสยี แตต่ น้ มอื อยา่ ปลอ่ ยใหเ้ ตบิ
ใหญ่ จะท�าใหเ้ สียใจในภายหลัง
(ปลาสชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
ชาดก ปัญจกนิบาต เล่ม ๓๑ หนา้ ๕๘๙)
90
91
กาลามก
“จงฟงั หู ไว้ห”ู
คร้ังหนึ่งในป่าหิมพานต์ พระโพธิสัตว์เกิดในก�าเนิดกา หากินร่วม
กับฝูงกาท้ังหลายในเมืองพาราณส ี วนั หนง่ึ ปุโรหิตของพระเจ้าพาราณส ี
มีความประสงค์จะออกไปในงานพระราชพิธีในพระนคร จึงอาบน้�าช�าระ
กาย แตง่ ตัวดว้ ยเครอ่ื งประดบั เต็มยศ เดินออกจากบา้ นเพอื่ ไปยังพระราช
ส�านกั ดว้ ยความภาคภมู ิใจ
ที่เสาประตูเมือง มีกาสองตัวก�าลงั จับค่สู นทนากันอย่ ู กาตวั หน่งึ
เหน็ ปโุ รหิตเดนิ แต่งตัวเต็มยศมา ก็นกึ สนุกจงึ ปรกึ ษากับเพื่อน “เพ่อื นเอ๋ย
วนั นเี้ รามาเลน่ สนกุ กนั สกั วนั เถอะ ทา่ นปโุ รหติ กา� ลงั เดนิ มาดว้ ยความภาค
ภมู ิ ขา้ จะขร้ี ดหวั ทา่ นปโุ รหติ เอง ปโุ รหติ คงจะโกรธแคน้ โวยวายไมน่ อ้ ยเลย”
“อย่านะเพ่ือน” กาอีกตัวหน่ึงคัดค้าน “อย่าไปเล่นสนุกอย่างนั้น
พราหมณ์ผู้เป็นปุโรหิตเป็นคนใหญ่คนโต ข้ึนชื่อว่าการก่อเวรกับผู้ใหญ่
อนั ตรายรา้ ยแรงนกั อาจมีอนั ไปถงึ หมูญ่ าตขิ องเราด้วย”
“แกมันขี้ขลาด คิดมากไปเอง” กาเกเรพูดค้านอีกว่า “ถ้าแกไม่มี
ฝมี ือในการหยอดข้ลี งหวั คน กข็ อให้เป็นหนา้ ท่ขี องข้าเอง” ว่าแล้วก็บนิ ไป
เกาะทีต่ รงกบั ท่พี ราหมณ์ปโุ รหิตผา่ น แลว้ หยอดข้ีลงบนหัวของปโุ รหิตพอ
ดิบพอด ี ขี้ราดต้ังแตห่ วั ไหลล่ งจรดเทา้ พราหมณป์ โุ รหิตแหงนหนา้ ข้นึ ดู
เห็นกาบนิ ไปก็โกรธ จึงคดิ ผกู อาฆาตว่า เราตอ้ งหาวิธีกา� จดั กาให้หมดไป
จากพระนครใหจ้ งได้
ครง้ั นน้ั มีหญงิ นางทาสคี นหนึ่ง รับจ้างซ้อมขา้ วของชาวบ้าน เม่ือ
ซอ้ มข้าวเสรจ็ แล้วก็นา� มาผึ่งแดด เฝา้ ดทู ีป่ ระตบู ้านด้วยความเหน่ือยอ่อน
จงึ เผลอหลบั ไป แพะซง่ึ หากนิ อยบู่ รเิ วณนนั้ แอบเขา้ มากนิ ขา้ วทนี่ างผงึ่ เสยี
เกือบครึง่ นางทาสโี กรธมากจึงนา� ไฟ มาจดุ ไตแ้ ล้วคอยทีใหแ้ พะเข้ามากิน
อีก พอแพะเข้ามากินอีกคร้ัง นางจึงเอาไต้ที่จุดไฟลุกโพลงจ้ีเข้าท่ีบริเวณ
ขนแพะ ไฟลกุ ไหมข้ นแพะไปทงั้ ตวั ดว้ ยความรอ้ นและตกใจ แพะจงึ วงิ่ เอา
ตัวไปเฝือกับกองหญ้าแห้งซึ่งเป็นอาหารของช้าง ไฟลุกกองหญ้าอย่าง
92
รวดเร็ว ลามไปติดโรงช้าง ไฟลุกท่วมไปหมด กว่าจะน�าช้างออกจากโรงได ้
เศษไฟตกลงถูกตัวช้างพองไปแทบทั้งตัว พระราชาส่ังให้สัตวแพทย์ท�าการ
รักษาอย่างดีก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้ทันท่วงที จึงรับส่ังถามพราหมณ์
ปุโรหิต
“ทา่ นพราหมณ ์ ทา่ นรจู้ กั ยารกั ษาแผลไฟไหมช้ ้างบ้างไหม?” ปุโรหิต
เหน็ ไดโ้ อกาสทจี่ ะแกแ้ คน้ กาได ้ จงึ กราบทลู “ขา้ พระพทุ ธเจา้ รพู้ ระเจา้ คะ่ แต่
ยานั้นเข้าสมุนไพรท่ีหาได้ยากอย่างหนึ่ง คือมันเหลวจากสมองของกา ตาม
ธรรมดากาเป็นสัตว์ที่มีความหวาดระแวง มันเหลวจึงได้เป็นบางตัว หาก
พระองค์จะส่ังให้ฆ่ากาจนพบมันเหลวท่ีตัวใดตัวหน่ึงได้น่ันแหละจึงจะน�ามา
รักษาช้างเหลา่ นีไ้ ด้”
พระราชาสั่งให้เกณฑ์ราชบุรุษผู้แม่นธนูท้ังหลายออกเที่ยวล่ากาท่ัว
พระนคร ฆ่าแล้วให้ผา่ ดูมนั เหลวใหจ้ งได้ นกั แมน่ ธนูทงั้ หลายจงึ ออกล่ากากนั
ทั่วเมือง ก็ไม่อาจพบมันเหลวได้ กาจึงถูกฆ่าท้ิงเสียเป็นจ�านวนมากด้วย
ประการฉะน้ี
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เกิดเป็นกาหัวหน้าฝูง มีกาเป็นจ�านวนมากเป็น
บริวาร อาศยั อยใู่ นปา่ ช้าใหญ่แหง่ หนง่ึ เม่ือได้ทราบขา่ วอันตรายแก่ฝงู กาเช่น
นน้ั ก็คดิ ว่า คนอืน่ นอกจากเราคงไมม่ ีใครชว่ ยยบั ยัง้ อนั ตรายจากมนษุ ยค์ รง้ั น้ี
ได้ จงึ ร�าลึกเอาบารมเี ปน็ ท่พี งึ่ บนิ มุง่ ตรงไปยังพระนคร คร้นั ถงึ ตวั เมอื งจงึ บนิ
เขา้ ไปทางช่องพระแกล (หน้าต่าง) ซ่อนอยูภ่ ายใต้พระราชอาสน์ เมือ่ พระ
ราชาออกประทับวา่ ราชการเหนือพระแท่น จงึ แสดงตัวใหพ้ ระราชาเห็น พวก
ราชบรุ ษุ ตา่ งจะจับกาน้ันฆา่ ท้งิ เสยี แต่พระราชาทรงห้ามไว้
กาโพธสิ ตั วจ์ งึ รา� ลกึ เอาบารมเี ปน็ ทพ่ี งึ่ แลว้ เขา้ ไปใกลพ้ ระราชา กราบทลู
วา่ “ขา้ แต่มหาราช ธรรมดาพระราชาต้องไม่ลแุ กอ่ �านาจความรกั โกรธ และ
ความหลง จงึ จะชอบ จะกระทา� การสง่ิ ใดควรพนิ จิ โดยรอบคอบวา่ สง่ิ นน้ั จะเปน็
ผลสา� เรจ็ หรอื ไมเ่ พยี งใด ถา้ ทา� ไปดว้ ยความหลงใหล มวั เมาแลว้ ยอ่ มเกดิ โทษ
แก่คนอื่นโดยไรเ้ หตุผล”
“พระราชาทรงสงสยั ว่า เหตใุ ดกาจงึ กลา่ วเช่นนัน้ จงึ ตรสั ถาม “เจ้ากา
เอ๋ย เราทา� ผิดอะไรหรอื เจา้ จึงมาตัดพ้อตอ่ วา่ เราถึงท่นี ่ี จงบอกมาเถดิ เราจะ
รบั ฟงั โดยด”ี
กาจึงกราบทลู “ขอเดชะมหาราช ปุโรหิตของพระองค ์ ตกอยใู่ นอา� นาจ
93
เวร เคียดแค้นฝงู กาเพราะเหตทุ ี่กาเกเรตัวหน่งึ ถา่ ยอุจจาระลงรดศีรษะ จงึ
กลา่ วมสุ าวาทใหพ้ ระองคเ์ อามนั เหลวจากกาเพอ่ื แกแ้ คน้ มนั เหลวของกานนั้
จะหาทีไ่ หนได้ เพราะโดยธรรมชาติกาไม่มมี ันเหลว
พระราชาจึงตรสั ถามว่า “เหตใุ ดกาจึงไมม่ ีมนั เหลว” “ก็กาท้ังหลายมี
ความหวาดระแวงภัยอยู่เปน็ นติ ย์ จงึ ไมม่ ีมันเหลวในตัว พระเจา้ ค่ะ” แลว้
กาก็ทูลเตือนพระราชาต่อไป “ข้าแต่มหาราช ธรรมดาพระราชามิได้
ใครค่ รวญโดยรอบคอบแล้ว ไม่ควรประกอบราชกจิ ใดๆ เพราะจะกอ่ ความ
เดือดรอ้ นให้แกผ่ อู้ นื่ อย่างใหญห่ ลวง เช่นทพี่ ระองค์ให้กระท�าแก่พวกกาอยู่
ในขณะนี้” พระราชาทรงเล่อื มใสในคา� สอนของกาโพธสิ ตั ว ์ จงึ ใหร้ าชสมบัติ
เปน็ การบชู า แตพ่ ระโพธสิ ตั วก์ ถ็ วายคนื และขอใหพ้ ระราชาตง้ั อยใู่ นศลี และ
ให้อภยั แก่สัตว์ท้ังปวง ต้งั แตน่ ั้นมา พระราชาทรงต้งั อยใู่ นศีล และรบั สง่ั ให้
หุงข้าวให้ทานแก่ฝงู กาวนั ละถงั ทกุ วนั จนถึงกาลอวสานแห่งชวี ิต
ชาดกเรอื่ งนมี้ งุ่ ชใี้ หเ้ หน็ วา่ คนทเี่ ปน็ ใหญม่ อี า� นาจนน้ั ใชอ้ า� นาจทต่ี วั
มบี งั คบั ใหผ้ อู้ น่ื เปน็ เครอ่ื งมอื ของตวั ไดก้ ต็ อ่ เมอ่ื ตวั เองมคี วามฉลาด พนิ จิ
พเิ คราะหแ์ ลว้ จงึ สงั่ การ ถา้ ทา� ดว้ ยความเขลา เบาปญั ญา บางทกี ลบั ทา� ตวั
เป็นเคร่ืองมือของคนอื่นโดยไม่รู้สึกตัว เช่น พระราชามีอ�านาจ เหนือ
ปุโรหิต แต่ถูกปุโรหิตลวงใช้เป็นเคร่ืองมือท�าการแก้แค้นฝูงกาท้ังหลาย
จงึ ควรใช้ความระมัดระวังโดยรอบคอบ เม่ือมผี เู้ สนอสิ่งใด อย่าเปน็ คน
หเู บา คอื เชอื่ โดยสว่ นเดียว การรับฟงั ความคดิ เห็นของผ้อู ่นื เป็นความดี
แตฟ่ งั แลว้ อยา่ หลงเชอ่ื ตอ้ งพจิ ารณาดว้ ยปญั ญาของตวั เองอกี ชน้ั หนงึ่ ดงั
ทีโ่ บราณสอนว่า “ฟังหูไวห้ ”ู มฉิ ะนัน้ กจ็ ะตอ้ งเสยี ใจ เช่น พระราชาได้
ทรงทา� แก่กามาแล้ว ดังคา� โคลงภาษิต ประจ�าภาพกล่าวไว้วา่
ความสิ่งใดเลา่ ลน้ เหลือครู
ควรตริตรองช่งั ชู เที่ยงแท้
ฟงั หูหนึ่งไวห้ ู หน่ึงชอบ
หไู มเ่ บาความแม้ แมน่ แล้วเลศิ คณุ
(กากชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก เอกนบิ าต เลม่ ๒๙ หน้า ๔๒๗)
94
95
จ้ิงจอกหลอกกนิ ปลา
“เสียนอ้ ยเสียยาก เสียมากเสียงา่ ย”
ครั้งหนึ่งในป่าหิมพานต์ สมัยพระเจ้าพรหมทัตครองเมืองพาราณสี
พระโพธสิ ตั วเ์ กดิ เปน็ เทวดา สงิ บนตน้ ไมใ้ กลฝ้ ง่ั แมน่ า�้ ครง้ั นนั้ มสี นุ ขั จง้ิ จอก
ตวั หนงึ่ พานางสนุ ขั เทย่ี วหากนิ อยบู่ รเิ วณนน้ั วนั หนง่ึ นางจง้ิ จอกเกดิ แพท้ อ้ ง
อยากกินปลาตะเพยี นสด มีอาการทุรนทรุ ายมาก จงึ ออ้ นวอนจ้งิ จอก
“พจ่ี า๋ ! แพท้ อ้ งคราวนนี้ อ้ งรสู้ กึ อยากจะกนิ ปลาตะเพยี นเปน็ กา� ลงั ถา้
ไมไ่ ด้กนิ ให้สมอยาก คงตายแน่ ถา้ พไ่ี มอ่ ยากให้น้องตาย โปรดช่วยหาปลา
ตะเพียนมาใหก้ ินด้วยเถิด”
สนุ ัขจ้งิ จอกปลอบวา่ “น้องเอ๋ย สงบใจไว้ก่อนเถดิ พจ่ี ะพยายามหา
ปลาตะเพียนมาให้น้องกินจนได้” ว่าแล้วก็ออกจากโพรงไม้เที่ยวเดินเลียบ
ตามฝั่งแม่น้�าเพ่ือหาปลาตะเพียนมาให้ ขณะน้ัน มีนากสองตัวมาหากิน
รว่ มกนั อย ู่ ตวั หนง่ึ มปี กตชิ อบหากนิ ในนา้� ลกึ อกี ตวั หนงึ่ หากนิ ในนา�้ ตน้ื ผล
ประโยชน์ไมข่ ดั กนั จงึ หากินดว้ ยกันมาด้วยความปกตสิ ุข
วนั น้นั นากตัวที่หากนิ ในน�้าลกึ จบั ปลาตะเพียนใหญ่ได้ ตัวหนง่ึ จงึ
ลากขึ้นมาสฝู่ ่งั แต่ไมส่ ามารถยกข้ึนฝ่งั ได ้ เพราะปลาตะเพียนตัวใหญ่ อ้วน
มาก มกี �าลังแรง พอจะยกขึน้ ฝ่ังก็ดนิ้ หลดุ ไปทุกท ี นากตวั ที่หากนิ ในนา้� ลึก
จงึ เรียกใหเ้ พือ่ นทหี่ ากนิ ในน้�าตน้ื มาช่วย และตกลงกนั ว่าจะแบง่ กนั กนิ ท้ัง
สองจงึ ลงไปช่วยกนั ลากปลาตะเพียนข้นึ ฝง่ั ไดอ้ ยา่ งง่ายดาย ครั้งถงึ คราวจะ
แบ่งกันเข้าจรงิ ๆ ก็เกิดปัญหาว่า ใครควรจะได้ท่อนใด
ฝา่ ยนากตัวทพ่ี บกอ่ นก็บอกวา่ “สหาย! เราเป็นผพู้ บปลาใหญ่ และ
ลากมาจนถงึ รมิ ฝง่ั แลว้ บอกใหท้ า่ นชว่ ยใหเ้ ราไดท้ อ่ นหวั ซงึ่ ตดิ เนอื้ มากกแ็ ลว้
กนั สว่ นท่านเอาท่อนหางและตดิ เน้ือน้อยหน่อย เพราะเป็นผู้มาทีหลงั ”
“ไมถ่ ูกสหายเอ๋ย” นากนา�้ ตืน้ แย้ง “ถึงทา่ นลากมาได้ แตถ่ า้ ไม่อาศัย
เราช่วยยกขึ้นฝ่งั ปา่ นนค้ี งลงน�้าลกึ ไปแลว้ ขา้ พเจ้าออกก�าลังมากกวา่ ทา่ น
จึงควรได้ทอ่ นหวั ติดเน้อื มากๆ ท่านควรได้ทอ่ นหางมากกวา่ ”
นากทง้ั สองเมอื่ ไมอ่ าจตกลงกนั ได ้ จงึ นงั่ เฝา้ ปลาตะเพยี นอย ู่ ขณะนน้ั
96
สนุ ขั จง้ิ จอกเดนิ มาถึงพอด ี เม่ือเห็นนากทง้ั สองน่งั เฝา้ ปลาตะเพยี นใหญ่อยู่
ก็ดใี จ จงึ เดินเกรเ่ ขา้ ไปหวังจะออกอบุ ายลวงเอาปลาตะเพยี นให้จงได ้ พอ
เขา้ ไปใกล ้ นากทง้ั สองจึงลกุ ข้นึ ต้อนรับ แล้วกล่าววา่
“ท่านจงิ้ จอกผสู้ หาย ท่านมาเวลาน้กี ็เหมาะแล้ว ขา้ พเจ้าทงั้ สองจบั
ปลาตะเพยี นมาไดต้ วั หน่ึง แต่ไม่อาจตกลงแบง่ กันได้ เกิดเกย่ี งกนั ขา้ พเจ้า
จึงขออาศัยบารมีท่านช่วยระงับความบาดหมางคร้ังนี้ด้วยเถิด ข้าพเจ้าทั้ง
สองจะถอื วา่ การตดั สนิ ของทา่ นเปน็ ประกาศติ และจะยอมทา� ตามทกุ อยา่ ง”
จ้ิงจอกได้ฟังดังน้ันก็ท�าเป็นอิดเอื้อน อ้างว่ามีธุระต้องท�ามาก คร้ัน
นากอ้อนวอนก็ท�าเป็นยอมตัดสินให้ด้วยความจ�าใจ แต่เพื่อให้นากทั้งสอง
เล่ือมใสมากเข้า จึงคุยอวดตัวว่า
“นบั วา่ เปน็ บญุ ตวั ทที่ า่ นทง้ั สองมาพบผพู้ พิ ากษาเกา่ เชน่ เรา มฉิ ะนน้ั
ทา่ นทงั้ สองคงต้องทะเลาะกันเป็นแน่ เอาเถอะ ไหนๆ ข้าพเจ้ากเ็ คยตดั สนิ
ความมามากแล้ว จะขอตดั สินอย่างไม่เข้าใครออกใคร” แล้วถามตอ่ ไปวา่
“ใครเปน็ ผพู้ บปลาตะเพยี นตัวน้กี ่อน” “ข้าพเจา้ เปน็ ผพู้ บก่อน” นาก
ตวั ท่เี ทยี่ วหากนิ ในน้�าลกึ ตอบโดยเรว็
“ถ้าเช่นนน้ั ท่านควรไดท้ อ่ นหัว สว่ นสหายผพู้ บทีหลังควรไดท้ อ่ นหาง
สว่ นกลางเปน็ ของเราผตู้ ดั สนิ ” วา่ แลว้ กจ็ ดั การแบง่ ทอ่ นหวั และทอ่ นหางวาง
ไว ้ ตัวเองคาบทอ่ นกลางไดก้ ร็ ีบเดินไปจากท่นี ัน้ ทันที นากท้งั สองตา่ งก็
มองสุนขั จ้ิงจอกไปจนลับสายตา ครนั้ มอง ไม่เหน็ แล้วจงึ หันมามองหน้าซึ่ง
กนั และกนั นง่ั หนา้ มอ่ ยคอตก เหมอื นแพพ้ นนั มาตง้ั พนั ครงั้ จงึ ไดแ้ ตป่ รบั
ทกุ ขต์ อ่ กนั และกนั วา่ “ทอ่ นกลางทส่ี นุ ขั จง้ิ จอกคาบไปตอ่ หนา้ ตอ่ ตานน้ั ควร
เป็นอาหารของเราได้ต้ังสองสามวัน ถ้าเราไม่มัวเกี่ยงกันก็คงได้กินท้ังสาม
ท่อน แต่ที่ทา่ นตอ้ งกนิ หาง เราได้กินหัว ก็เพราะมัวทะเลาะกันเอง เรอ่ื งนี้
จะเตอื นสติเราไปไดช้ วั่ กาลนาน” ว่าแลว้ ต่างก็แทะกระดูกทอ่ นหวั และหาง
ไปตามแกน
ฝา่ ยสุนขั จง้ิ จอกดใี จว่า ได้ปลาตะเพียนมาใหเ้ มยี อย่างงา่ ยดาย จึงรีบ
คาบปลาไปวางไวเ้ บ้ืองหนา้ นางสนุ ัขจ้งิ จอกเหน็ ดงั น้นั กด็ ใี จ กลา่ วว่า “พ่จี ๋า!
ความยินดีของฉันในครัง้ น้ี แมไ้ ด้ตา� แหน่งอัครมเหสกี ็มิปาน พ่เี ปน็ สัตว์บก
เหตใุ ดจึงสามารถจบั ปลาตะเพียนตวั ใหญถ่ ึงเพยี งนีม้ าได้เลา่ ”
สนุ ัขจ้ิงจอกจึงเลา่ อบุ ายใหฟ้ ังวา่ “สัตวท์ ัง้ หลายมักมรี ่างกายซบู ผอม
97
ก็เพราะการทะเลาะวิวาทแก่งแย่งกันและกัน ฉันไปพบนากสองตัว
จับปลาตะเพยี นใหญม่ าได้ แล้วมวั ทะเลาะกัน ฉนั จงึ เป็นผตู้ ดั สนิ ให้
และไดส้ ว่ นกลางมา อยา่ ถามเรอื่ งปลาตอ่ ไปอกี เลย กนิ เสยี กแ็ ลว้ กนั ”
นางสุนขั จิ้งจอกไดฟ้ งั ดังนั้น กช็ ่ืนชมยินดี ตรงเขา้ กดั กินปลา
อยา่ งเอรด็ อรอ่ ย อาการแพท้ อ้ งกห็ ายไป เทยี่ วหากนิ บรเิ วณนนั้ จนถงึ
กาลอวสานแห่งชีวิต ส่วนนากสองตัวก็ซบเซาไปเพราะความ
บาดหมางกนั
ชาดกเรอ่ื งนมี้ คี ตสิ อนวา่ อนั การทะเลาะววิ าทเพราะแกง่ แยง่
กันนั้น ความจริงไม่ได้อยู่ที่วัตถุมากหรือน้อย แต่อยู่ที่ความ
ตอ้ งการของเราวา่ มากหรอื นอ้ ยตา่ งหาก ถา้ เราไมต่ อ้ งทะเลาะกนั
ก็ควรมาลดความต้องการของเราเอง การทะเลาะกันก็จะหมดไป
สิ่งใดทพี่ อจะตกลงกนั ไดใ้ นระหว่างพวกเราเอง ถึงจะเสียเปรยี บ
ได้เปรยี บกนั บา้ งก็ยังดี เพราะเปน็ การเสยี เปรียบกันระหวา่ งหมู่
ญาติ ดีกวา่ จะไปยอมเสียแกค่ นอน่ื ซึ่งมิใชญ่ าติ เชน่ เดยี วกนั กับ
นากสองตวั ทตี่ อ้ งเสยี สว่ นกลางของปลาตะเพยี นใหแ้ กส่ นุ ขั จงิ้ จอก
ทั้งน้ีก็เพราะไม่ยอมเสียน้อย จึงต้องเสียส่วนใหญ่ให้สุนัข เข้า
ภาษิตที่ว่า “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย” หมายความว่า
การเสียเปรียบกันนั้น แม้จะมีเสียให้กันบ้างก็เป็นการเสียท่ีน้อย
ถา้ พดู ในแงธ่ รรมะกลบั เปน็ การได้ คอื ไดเ้ สยี สละใหเ้ พอ่ื นฝงู ถอื วา่
เปน็ ความดี แตค่ นเราไมค่ อ่ ยยอมเสยี แตพ่ อถงึ คราวเสยี เงนิ ทอง
ทรัพย์สนิ ซึ่งเป็นการเสียจริงๆ มากเท่าไร เรากย็ อมเพอื่ แลกกับ
ความเสียเปรยี บ จึงควรถอื คตเิ รือ่ งนากสองตวั เป็นข้อเตือนใจต่อ
ไป
(ทัพพปปุ ผชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก สัตตกนิบาต เลม่ ๓๒ หน้า ๑๕๔)
98
99
กระตา่ ยจ�าศลี
“คนจะมีสุข กเ็ พราะศลี ”
คร้ังหนึ่งในป่าหิมพานต์ เม่ือพระเจ้าพรหมทัต ครองเมืองพาราณสี
พระโพธสิ ตั วเ์ กดิ เปน็ กระตา่ ยอาศยั อยใู่ นละเมาะแหง่ หนง่ึ ทเ่ี ชงิ เขาใกลแ้ มน่ า้�
ปัจจันตคาม อรญั ประเทศ ณ บรเิ วณนั้นมีสตั ว์ ๓ ตัว คอื สุนขั จง้ิ จอก ลงิ
และนาก อาศัยอย่ดู ้วย สัตวท์ ง้ั ๔ หากนิ อยูใ่ นทเี่ ดยี วกัน จึงรู้จักมักคนุ้ กัน
ฉนั ทม์ ติ ร เมอ่ื คราวหากนิ กไ็ ปดว้ ยกนั พอตกเยน็ ตา่ งกเ็ ขา้ ไปยงั ละเมาะของ
ตนๆ มคี วามรกั ใคร่กนั ตลอดมา
เนื่องจากกระต่ายโพธิสัตว์มีใจฝักใฝ่ในเรื่องทาน ศีล เม่ือถึงคราว
ประชมุ สนทนากนั ก็พยายามสอนสตั วท์ งั้ ๓ ให้รู้จักมใี จเอื้อเฟ้ือเผื่อแผ่ด้วย
การใหท้ าน รกั ษาศลี สัตว์ทงั้ ๔ จงึ ตง้ั อยูใ่ นทาน การบรจิ าคและรกั ษาศลี
อุโบสถทุกวันมไิ ดข้ าด
วันหน่ึง กระต่ายแหงนหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า เห็นพระจันทร์จะเต็ม
ดวงกร็ ูว้ ่าจะเปน็ วันอุโบสถ จึงเรียกเพื่อนทง้ั ๓ มา ประชมุ กันแลว้ ใหโ้ อวาท
“สหายเอย๋ พรุ่งนีจ้ ะเปน็ วนั อโุ บสถ ๑ ตามที่เคยปฏิบัติกนั มา ทานคือการ
ใหข้ องผรู้ กั ษาศลี ยอ่ มมผี ลมาก ฉะนนั้ หากมยี าจกมาขอถงึ ทอ่ี ย ู่ กจ็ งบา� เพญ็
ทานดว้ ยอาหารตามสมควรก่อนแลว้ จงึ คอ่ ยบริโภคด้วยตนเองเถิด”
สัตวท์ ้งั ๓ รบั โอวาทแล้วตา่ งก็แยกย้ายกันไปอย่ทู พ่ี า� นกั ของตนคิดว่า
จะออกหาอาหารแต่เชา้ ตร ู่ เพ่ือเตรยี มไว้กินกนั กอ่ นเทยี่ งวัน
รุ่งเช้า นากซึ่งเป็นสัตว์กินปลาออกหาอาหารก่อนเพื่อน เพราะต้อง
พยายามหาปลาตายมาบรโิ ภค เดนิ เลยี บไปตามรมิ ฝง่ั แมน่ า�้ เผอญิ ไดก้ ลนิ่
คาวปลา จงึ สดู สาวตามกลนิ่ นนั้ ไป พบเสน้ เชอื กโผลอ่ อกมาจากทราย จงึ เอา
ปากคาบเชอื กดงึ ออกมา ปรากฏวา่ ทเี่ ชอื กนนั้ มปี ลาตายอยพู่ วงหนงึ่ หนั ซา้ ย
แลขวาไมเ่ หน็ ใครเปน็ เจา้ ของ จงึ ประกาศขน้ึ ๓ ครง้ั วา่ “ใครเปน็ เจา้ ของปลา
น”้ี เมอ่ื ไมม่ ใี ครแสดงความเปน็ เจา้ ของ จงึ คาบปลาไปเกบ็ ไว ้ ณ ทพี่ มุ่ ไมข้ อง
ตน รอเวลาท่จี ะกนิ นอนรา� พงึ ถึงศีลของตนอยู่
ฝ่ายสุนัขจิ้งจอกก็ออกแสวงหาอาหารแต่เช้าเหมือนกัน เผอิญเดิน
เขา้ ไปในกระทอ่ มชาวนาผู้หน่งึ เห็นเนอ้ื ย่าง ๒ ไม้ สตั วย์ ่าง ๑ ตวั และหม้อ
100