The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คติชีวิตจากชาดก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ict.sesaosp, 2022-12-17 20:53:51

คติชีวิตจากชาดก

คติชีวิตจากชาดก

251


ความเป็นพี่น้อง

“รม่ เงาญาตเิ ยน็ สบาย หายเงียบเหงา”

ในอดตี กาล พระโพธสิ ตั วเ์ สวยพระชาตเิ ปน็ พระเจา้ พรหมทตั เสวยราชสมบตั ิ
ในพระนครพาราณส ี สมยั นนั้ พวกโจรในดงคมุ ลกู นอ้ งออกปลน้ ชาวบา้ นแลว้ พากนั
หนีไป ชาวบ้านพากันออกติดตามสบื จบั พวกโจรแตก่ ไ็ รร้ ่องรอย จนกระท่งั ตามมา
ถึงปากทางเข้าดงแหง่ หน่ึง พบชาย ๓ คนก�าลังไถนาอยู ่ จงึ ถามว่า “พวกเจ้าเทยี่ ว
ปลน้ ชาวบา้ นแลว้ เดย๋ี วนี้แสร้งท�าเป็นไถนาอยู่อีกหรือ เจา้ พวกโจรร้าย” พูดจบกพ็ า
กนั ล้อมจบั ชายท้ัง ๓ ให้เปน็ แพะรบั บาป น�าตัวไปถวายแด่พระเจ้าพรหมทตั แลว้
พระองคก์ โ็ ปรดใหน้ า� ไปขังไวใ้ นคุก

ต่อมาไม่นาน มีหญงิ ชนบทคนหน่งึ มารดาบดิ าเสยี ชวี ิตไปนานแลว้ เดินทาง
มาร้องห่มร้องไห้คร่�าครวญต่อพระเจ้าพรหมทัต โดยได้ส่งเสียงอยู่นอกพระราชวัง
“โปรดพระราชทานเครอ่ื งน่งุ ห่มแก่หมอ่ มฉันดว้ ยเถิด พระพุทธเจา้ ขา้ ” แลว้ เดนิ วน
เวียนใกล้พระราชนิเวศน ์ ไมย่ อมจากไปทอ่ี ่นื จนพระเจ้าพรหมทตั ได้ทรงสดบั เสียง
ของนาง จงึ มรี บั ส่งั ราชบรุ ุษว่า “พวกเจ้าจงน�าผ้าหม่ ไปใหน้ าง” พวกราชบุรุษจงึ ชว่ ย
กันหยิบผ้าสาฎกไปมอบให้นาง นางเห็นเช่นน้ันจึงกล่าวว่า “แน่ะท่านราชบุรุษทั้ง
หลาย ดฉิ นั ไมไ่ ด้ต้องการผ้าหม่ อย่างนี้ ดฉิ ันต้องการผา้ ห่มคือสามตี ่างหากเลา่ ”

ราชบรุ ษุ ไดฟ้ งั ดงั นน้ั จงึ กลบั ไปกราบบงั คมทลู แดพ่ ระราชา “ขอเดชะ พระอาญา
มิพ้นเกล้า หญิงผู้นี้มิได้ต้องการผ้าห่มอย่างน้ี นางขอผ้าห่มคือสามี พ่ะย่ะค่ะ”
พระราชาจึงรับส่ังให้นางเข้าเฝ้าแล้วมีพระด�ารัสถามว่า “ได้ยินว่า เจ้าขอผ้าห่มคือ
สามหี รอื ” นางกราบทูลว่า “พระพทุ ธเจา้ ขา้ ขา้ พระพุทธเจ้าไดท้ ราบว่า พระองคไ์ ด้
จ�าขังชาย ๓ คนไวใ้ นคุก จงึ เดินทางมาขอสาม ี ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ สามชี ื่อ
ว่าเป็นผ้าห่มของสตรีโดยแท้ เพราะเม่ือไม่มีสามี แม้สตรีจะนุ่งผ้าราคาแพงตั้งพัน
กหาปณะ ก็ชื่อว่าเปน็ หญงิ เปลือยอยนู่ ัน่ เอง ประดจุ ดงั แม่นา�้ ทไี่ ม่มนี ้�า ก็ชอื่ วา่ แม่น้�า
เปลอื ย แวน่ แควน้ ทปี่ ราศจากพระราชา กช็ อ่ื วา่ แวน่ แควน้ เปลอื ย หญงิ ปราศจากสาม ี
ถึงจะมีพี่นอ้ งต้งั ๑๐ คน กช็ ่ือวา่ หญงิ เปลอื ย พระพุทธเจ้าขา้ ”

พระราชาทรงเลอื่ มใสในค�าพูดอันเฉลยี วฉลาดของนาง จึงตรัสสัง่ ถามว่า “คน
ท้ัง ๓ นั้นเป็นอะไรกับเจ้า” นางถึงกับสะดุ้ง จึงจ�าต้องกราบทูลตามความจริงว่า

252


“ขอเดชะ พระบารมปี กเกลา้ ชายทงั้ ๓ คนนั้น และช่วยลกู กลับไปยงั บา้ นของตนไดโ้ ดยปลอดภัย
คนหน่ึงเป็นสามี คนหน่ึงเป็นพี่ คนหนึ่งเป็นลูก ชาดกเรอ่ื งน้มี ีคตสิ อนวา่ เครือญาตทิ เ่ี ป็นสาย
ของข้าพระพุทธเจา้ เพคะ”
โลหิต ถ้านับตัวเราเป็นจุดศูนย์กลาง ผู้ที่ใกล้ชิด
พระราชาทรงพอพระทยั จงึ ตรสั วา่ “เพราะ ท่ีสดุ เหนือเราข้นึ ไปคอื พ่ี รองลงมาคือน้อง ความ
การทเ่ี จา้ พดู ด ี รจู้ กั ใชว้ าจาอนั ชาญฉลาดเจรจา เรา เป็นพ่ีน้องถึงจะโกรธเกลียดกันเพียงใดก็ตัดกันไม่
พอใจเจ้า ฉะนน้ั ใน ๓ คนนีเ้ ราจะยกใหเ้ จา้ คน ขาด
หนงึ่ เจา้ จะปรารถนาคนไหนเลา่ ” นางรบี กราบทลู
ทนั ทวี า่ “ขอเดชะ พระบารมปี กเกลา้ พระองคจ์ ะ ต ร ะ กู ล ใ ด ท่ี ห มู ่ ญ า ติ พี่ น ้ อ ง ไ ด ้ ร ่ ว ม กั น
ไมพ่ ระราชทานทง้ั ๓ คนเลยหรือ เพคะ” สรา้ งสรรคจ์ รรโลงวงศว์ านใหเ้ ปน็ ปกึ แผน่ แนน่ หนา
จะเป็นที่เกรงขามแก่บุคคลท้ังหลาย แม้ผู้มุ่งร้ายก็
พระราชาตรัสย้�าด้วยน�้าเสียงอันหนักแน่น ไม่กล้ามาเบยี ดเบยี น ประดจุ ความหนาทบึ แห่งกอ
วา่ “ไมไ่ ด ้ เราใหเ้ จ้าเลอื กไดค้ นเดยี ว” นางจงึ ตอ้ ง ไผท่ มี่ หี นามแวดลอ้ มอยรู่ อบขา้ ง ยอ่ มไมม่ ใี ครเขา้ ไป
ตดั สนิ ใจกราบทลู วา่ “ขอเดชะ พระบารมปี กเกลา้ ตดั ไดง้ า่ ยๆ หรอื เหมอื นดงั กอบวั ทเ่ี จรญิ งอกงามอยู่
เมื่อไมท่ รงสามารถพระราชทานทัง้ ๓ คนได้ ขอ ในสระ ย่อมเป็นที่เจริญตาเจริญใจแก่ผู้พบเห็น
พ ร ะ อ ง ค ์ โ ป ร ด พ ร ะ ร า ช ท า น พี่ ช า ย แ ก ่ ข ้ า ต้นไม้ที่เกิดรวมกันเป็นป่าดง แต่ละต้นย่อมช่วย
พระพทุ ธเจ้าเถิด พระเจ้าขา้ ” ต้านลมพายใุ หแ้ กก่ ัน จงึ ยนื ต้นอยไู่ ด้นาน ผดิ จาก
ตน้ ไมท้ เี่ กดิ อยโู่ ดดเดย่ี ว ยนื โตพ้ ายตุ ามลา� พงั ยอ่ ม
พระราชาทรงสนพระทัยในค�าขอของนาง หักโค่นลงได้โดยง่าย คนที่มีญาติพ่ีน้องอยู่พร้อม
จึงตรสั ถามนางว่า “เพราะเหตใุ ดเจา้ จึงตอ้ งการพี่ หนา้ กย็ อ่ มมผี คู้ อยชว่ ยเหลอื ตา้ นทานมรสมุ ชวี ติ ให้
ชาย” นางกราบทูลว่า “ขอเดชะ พระบารมี ผ่อนหนักเปน็ เบาได้
ปกเกลา้ ธรรมดาว่าบุตรขา้ พระพทุ ธเจ้าหาไดง้ ่าย
เหมือนเม่ียงท่ีชายพก ส่วนสามีก็เช่นเดียวกัน ดงั มีคา� กลอนสอนใจไวว้ า่
เพยี งยา่ งกรายไปตามถนน สกั ประเดย๋ี วกจ็ ะมชี าย รม่ ไม้เยน็ พักผอ่ น หายรอ้ นอาตม์
ที่พบเห็นมาเป็นสามีได้โดยไม่ยาก แต่ขณะนี้ รม่ เงาญาติ เยน็ สบาย หายเงียบเหงา
มารดาบิดาของข้าพระพุทธเจ้าได้เสียชีวิตไปแล้ว รม่ พ่อแม่ เยน็ สขุ ทุกขบ์ างเบา
ข้าพระพุทธเจ้าไม่เห็นใครอื่นเลยท่ีจะน�าญาติพี่ เกดิ เยน็ เกล้า เคลา้ คลกุ อยู่ทกุ ยาม
นอ้ งรว่ มทอ้ งเดยี วกนั มาใหไ้ ดอ้ กี เพราะฉะนนั้ ขอ ร่มอาจารย์ กันเขลา เกิดเชาวน์กลา้
พระองคโ์ ปรดพระราชทานพช่ี ายอนั เปน็ ญาตสิ าย ร่มราชา กนั ศตั รู ใหร้ ขู้ าม
โลหิตใหแ้ ก่ข้าพระพุทธเจ้าเถดิ พระพทุ ธเจ้าข้า” ร่มพระพุทธ ดับรอ้ น ผอ่ นรกุ ราม
ให้โลกสาม ร่มเย็น เปน็ นริ ันดร์
พระราชาทรงแย้มพระโอษฐ์ ด้วยด�าริใน
พระทยั วา่ “นางคนนม้ี ปี ัญญาเฉลยี วฉลาด พูดสง่ิ (อุจฉังคชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย
ท่ีเป็นสาระประโยชน์ เป็นที่น่าสรรเสริญย่ิงนัก”
ดังนนั้ พระองค์จงึ มคี วามชื่นชมยิ่งนกั ทรงโปรด ชาดก เอกนบิ าต เล่ม ๒๙ หนา้ ๑๒๓)
ใหป้ ล่อยคนท้งั ๓ จากเรอื นจา� แล้วพระราชทาน
ให้นางไป หญิงชนบทนั้นจึงช่วยพ่ีชาย ช่วยสามี

253


254


คนไม่รูจ้ ักคณุ คน

“ไม้ลอยนา� ดกี ว่าคนอกตญั ญ”ู

ในอดีตกาล สมยั ที่พระโพธสิ ัตวเ์ สวยพระชาตเิ ป็นฤษี ปลูกอาศรมอยู่
รมิ แม่นา้� ในปา่ ใหญ่แหง่ หนึ่ง ใกลเ้ มอื งพาราณส ี

ณ ราตรหี นง่ึ ขณะทที่ า่ นฤษกี า� ลงั เจรญิ ภาวนาอยนู่ น้ั กไ็ ดม้ เี สยี งเหมอื น
คนรอ้ งขอความชว่ ยเหลอื ซง่ึ ดงั มาจากแมน่ า้� นนั้ ทา่ นฤษจี งึ ควา้ คบไฟแลว้ เดนิ
ไปท่รี ิมฝ่ังแมน่ �้านนั้ สิ่งทที่ ่านเหน็ คอื มขี อนไม้ลอยน้�ามาทอ่ นหนง่ึ และขอน
ไมน้ ัน้ มสี ตั ว ์ ๔ ชีวิตลอยมาด้วย สัตว์ ๔ ชวี ติ นนั้ คอื ชายหนุ่ม นกแขกเต้า
หนู และงู ทา่ นฤษีรบี วา่ ยน้า� ไปยงั ขอนไมท้ ่อนนนั้ และผลกั เขา้ หาฝั่ง เมื่อนา�
สัตว์ ๔ ชีวิตผู้มากับกระแสน�้าในยามราตรีข้ึนมาบนฝั่งใกล้กับอาศรมแล้ว
ทา่ นจงึ กอ่ กองไฟขน้ึ ๒ กอง เพื่อให้สัตวท์ ง้ั หมดได้องั ไล่ความหนาวจากการ
แชน่ า�้ มานาน กองหนง่ึ ใหส้ ตั วท์ งั้ ๓ อกี กองหนงึ่ ใหช้ ายหนมุ่ จากนน้ั จงึ ถามไถ่
ความเป็นไปวา่ “เหตุไฉนเจา้ ทั้ง ๔ จึงพากนั เกาะขอนไม้ลอยมาถึงที่นี่”

นกแขกเตา้ ตอบในนามของตวั แทนสัตวท์ ้งั ๓ ว่า “ทา่ นผ้เู จริญ เม่ือ
วานนไี้ ดม้ พี ายฝุ นตกกระหนา่� พดั พาเอาพวกเราตกลงไปในแมน่ า�้ แตเ่ คราะห์
ยังดีท่ีพวกเรารีบคว้าขอนไม้ไว้ทัน ขอนไม้น้ันลอยตามกระแสน�้ามาจนถึงนี่
แหละเจ้าคะ่ ”

ชายหน่มุ เล่าให้ท่านฤษีฟงั ว่า “ข้าพเจา้ เปน็ ราชกมุ ารแห่งกรุงพาราณสี
ไดล้ งเลน่ นา้� กบั มหาดเลก็ แตถ่ กู กระแสนา้� พดั พรากออกมา ไดเ้ กาะขอนไมน้ ี้
พยงุ ชวี ิตมาเชน่ กนั ” ด้วยเหน็ วา่ ทง้ั ส่ชี วี ิตลอยคอมานาน ท่านฤษจี ึงจดั หาผล
ไมใ้ หก้ ิน แต่เพราะความทีท่ า่ นเห็นสตั ว์ท้งั ๓ คอื นกแขกเต้า หน ู และง ู มี
อาการหิวโหยอยา่ งเห็นไดช้ ดั และเปน็ สัตว์ตวั เล็กๆ ท่าน จงึ จัดผลไม้มาให้
กินกอ่ น แล้วจงึ คอ่ ยน�ามาให้ราชกุมารในภายหลัง

ฝา่ ยราชกมุ ารแทนทจี่ ะยนิ ดที ที่ า่ นฤษจี ดั หาผลไมม้ าใหเ้ สวย กลบั นอ้ ย
พระทัยและมีจิตใจเคืองแค้นท่านฤษีที่น�าผลไม้ไปให้สัตว์ดิรัจฉานกินก่อน

255


ตนเอง พระราชกมุ ารจงึ แสดงอาการออกมาอยา่ งเดน่ ท่านฤษไี ป
ชัด แม้ท่านฤษีจะรู้ แต่ก็มิได้เอ่ยปากออกมา เมื่อ ต่อมาไม่นาน ท่านฤษีโพธิสัตว์ใคร่อยากจะ
อาคนั ตกุ ะกนิ ผลไมจ้ นอม่ิ หนา� สา� ราญแลว้ ทา่ นฤษไี ด้
จัดหาทสี่ �าหรบั พักให ้ “พกั กันท่ีนก่ี ่อนเถดิ เมอ่ื น้�าลด ลองใจท้งั ๔ ชีวติ ทท่ี า่ นไดเ้ คยช่วยเหลือไว้ จึงเดนิ
คราวใดจึงค่อยคิดอ่านว่าจะทา� การส่ิงใดกันต่อไป ท่ี ทางไปหาหนู เม่ือหนูได้พบกับท่านฤษีก็ได้ด�าเนิน
น่ีอดุ มไปดว้ ยผลไมน้ านาชนดิ อีกท้งั สงบเงยี บ ไม่มี การตอ้ นรบั เปน็ อยา่ งด ี พรอ้ มกบั นา� ทรพั ยส์ มบตั มิ า
สัตว์ใหญม่ าพลกุ พลา่ น” มอบให้ท่านฤษีดว้ ยความยนิ ดี แต่ทา่ นฤษกี ็มิได้รบั
แต่อย่างใด และบอกกับหนูว่ายังไม่มีความจ�าเป็น
เมื่อยา่ งเข้าวนั ท ่ี ๔ ทง้ั ๔ ชวี ิตกเ็ ข้ามาลาทา่ น ต้องใช้ เมอ่ื เดินทางไปพบงแู ละนกแขกเต้ากไ็ ดร้ บั
ฤษีเพ่ือกลับถ่ินฐานของตน ราชกุมารแห่งกรุง การต้อนรับเป็นอย่างดี และทั้งคู่ก็จัดหาทรัพย์
พาราณสีก็ยังผูกใจเจ็บ เคืองเรื่องท่ีท่านฤษีให้ตน สมบัติและข้าวสาลีมาให้ตามสัญญา แต่ท่านฤษีก็
เสวยผลไมห้ ลงั สตั วด์ ริ จั ฉาน หวงั วา่ วนั หนง่ึ จะตอ้ งหา ปฏเิ สธเช่นเดียวกบั ปฏเิ สธหน ู
ทางแกแ้ คน้ ทา่ นฤษใี หไ้ ด ้ จงึ กลา่ วกบั ทา่ นวา่ “หากไม่
ได้ท่านช่วยชีวิตไว้ ป่านน้ีไม่รู้ว่าชะตาชีวิตจะเป็น ครน้ั แลว้ ทา่ นฤษกี เ็ ดนิ ทางไปยงั กรงุ พาราณสี
อย่างไร ในภายภาคหน้า หากข้าพเจ้าได้เสวยราช เพอื่ ลองใจราชกมุ ารทีท่ ่านเคยใหค้ วามชว่ ยเหลือไว้
สมบตั ิ อภิเษกเป็นพระราชาแลว้ ขา้ พเจา้ จะอุปถมั ภ์ ซงึ่ ขณะนร้ี าชกมุ ารไดเ้ สวยราชสมบตั เิ ปน็ พระราชา
ทา่ น และจะตอบแทนท่านอยา่ งแนน่ อน” แลว้ เมอื่ ทา่ นฤษเี ดนิ ทางมาถงึ เปน็ ชว่ งเวลาเดยี วกบั
ท่ีราชกุมารเสด็จออกเย่ียมราษฎร ราชกุมารทอด
จากนนั้ ราชกมุ ารกล็ าทา่ นฤษเี ดนิ ทางกลบั กรงุ พระเนตรเห็นท่านฤษีแต่ไกลก็จ�าได้ ความคิด
พาราณส ี ฝา่ ยนกแขกเตา้ หน ู และง ู แมจ้ ะเปน็ สตั ว์ เคียดแค้นได้ส�าแดงออกมาทนั ที ราชกุมารได้เรียก
ดริ ัจฉานแต่กย็ งั รคู้ ณุ ผชู้ ่วยชวี ิต นกแขกเตา้ ไดก้ ลา่ ว องครักษ์มารับส่ังว่า “เจ้าฤษีชีไพรรูปน้ันมีท่าทาง
กบั ทา่ นฤษวี ่า “เพ่ือเปน็ การตอบแทนคุณทา่ น หาก เจา้ เลห่ ์ เรากลวั ฤษจี ะมาหลอกลอ่ ทรพั ยส์ มบตั ขิ อง
เม่ือใดท่ีท่านต้องการข้าวสาลีรสเลิศ โปรดไปหา เรา พวกเจา้ จงกนั ไปใหห้ า่ งๆ เรา และชว่ ยกนั สา� เรจ็
ขา้ พเจ้า ขา้ พเจา้ จะใหพ้ รรคพวกช่วยกันคาบมามอบ โทษเฆย่ี นใหต้ ายคามอื จากนนั้ ตดั หวั เสยี บประจาน
ใหแ้ กท่ า่ น” นกแขกเตา้ ไดบ้ อกสถานทอี่ ยขู่ องตนแลว้ ไว้ที่นอกเมอื ง”
กจ็ ากไป
ฝ่ายองครักษผ์ ู้ไมร่ ู้ต้ืนลึกหนาบาง เมอื่ ไดร้ ับ
ส่วนหนูและงูน้ัน เล่าให้ท่านฤษีฟังว่า “ชาติ พระราชโองการแล้วก็รบี ปฏบิ ัตติ ามค�าส่งั ในขณะ
ก่อนน้ันเคยเปน็ เศรษฐี มีทรพั ยม์ หาศาล และได้ฝัง ท่ลี งมอื เฆ่ียนทา่ นฤษีโพธิสตั ว์อย่นู น้ั ไดม้ ชี าวเมอื ง
ทรพั ยส์ มบตั ไิ ว ้ ครน้ั เมอื่ ใกลส้ นิ้ อายุขยั ด้วยความที่ มายนื ดู และวิพากษว์ จิ ารณ์กนั ไปต่างๆ นานา ใน
ยงั หว่ งทรพั ยส์ มบตั ิ จงึ เกดิ มาเปน็ หนแู ละงเู ฝา้ สมบตั ิ ขณะทถี่ กู หวายสมั ผสั ผวิ กายอยูน่ น้ั แม้จะเจ็บปวด
ของตนต่อไป” พระคุณเจ้าผู้มอบชีวิตใหม่ให้กับ เพยี งไร ท่านฤษกี ็มิไดแ้ สดงอาการเจ็บปวดออกมา
ขา้ พเจา้ ทง้ั สอง วนั ใดทา่ นมคี วามประสงคจ์ ะใชท้ รพั ย์ แตก่ ลบั กลา่ วเปน็ คาถาทกุ ครง้ั วา่ “นกั ปราชญก์ ลา่ ว
สมบตั ิ ขอใหพ้ ระคณุ เจา้ ไปหาข้าพเจ้าตามสถานทท่ี ่ี ไว้ว่า เกบ็ ขอนไม้ที่ลอยน�้าข้ึนสูบ่ ก ยงั ดีกวา่ ชว่ ยคน
แจ้งกับทา่ นไว้ ข้าพเจ้ายินดีจะมอบทรัพย์สมบตั ทิ ี่ฝัง ตกน้�าให้พน้ จากความตาย นค้ี ือสัจธรรม”
ไวน้ น้ั แดท่ า่ นอยา่ งมากทเี ดยี ว” จากนน้ั หนแู ละงกู ล็ า
เหล่าองครักษ์รู้สึกสงสัยจึงหยุดการเฆ่ียนตี

256


แลว้ เอย่ ปากถามทา่ นฤษวี า่ “เหตไุ ฉนทา่ นจงึ กลา่ วภาษติ น”้ี ทา่ นฤษไี ดเ้ ลา่ เรอ่ื งครง้ั
ที่ท่านได้ช่วยชีวิตราชกุมารในคืนท่ีเกาะขอนไม้ลอยมา ให้องครักษ์และชาวเมือง
ทมี่ าดเู หตกุ ารณท์ ง้ั หลายฟงั ทกุ คนวพิ ากษว์ จิ ารณค์ วามประพฤตขิ องราชกมุ ารกนั
อย่างกวา้ งขวาง และเหน็ พ้องต้องกันวา่ หากมีพระราชาทมี่ นี สิ ยั อิจฉาริษยา เคือง
แคน้ พยาบาท เชน่ น ้ี บา้ นเมอื งคงไมม่ คี วามสงบสขุ เปน็ แน ่ จงึ ชว่ ยกนั จบั ราชกมุ าร
สา� เร็จโทษ แลว้ ขอใหท้ ่านฤษีลาสึกออกมาปกครองเมอื งพาราณสีแทน

เม่อื ทา่ นฤษโี พธสิ ัตวไ์ ดเ้ สวยราชสมบัต ิ ท่านก็ยังไม่ลมื สัตวท์ งั้ ๓ พระองค์
ไดไ้ ปรบั มาเลีย้ งไว้ภายในพระราชอทุ ยานเป็นอย่างดี

ชาดกเรื่องนี้มีคติสอนว่า ความกตัญญู คือความส�านึกรู้บุญคุณของคน
หรอื สง่ิ ตา่ งๆ ทเี่ คยทา� เคยใหอ้ ปุ การะแกต่ นมา หรอื ทเ่ี คยชว่ ยใหต้ นพน้ จากความ
ทุกขเ์ ดือดร้อนมาได้ จดั วา่ เปน็ คณุ ธรรมหลักของคนเรา ความกตัญญนู ีจ้ ะคอย
พยงุ อปุ ถมั ภค์ า�้ จนุ ผปู้ ฏบิ ตั ไิ ว้ พรอ้ มทง้ั คอยรองรบั ความเจรญิ กา้ วหนา้ ตา่ งๆ ของ
ผ้นู ้นั ไว้ ทา่ นเปรียบความกตญั ญไู ว้ เหมอื นกบั เสาเข็มหรอื เสาหลกั ของอาคาร
ทั้งหลาย ซ่ึงคอยพยุงและรับน้�าหนักของตัวอาคารทั้งหลังไว้ มิใช่เฉพาะคน
เทา่ น้นั ทีค่ นเราจะตอ้ งกตญั ญูตอบ แม้สัตว์ ตน้ ไม้ ภูเขา แมน่ �้า ล�าคลอง จน
กระทงั่ บา้ นเมอื งทตี่ นอาศยั อยู่ ซง่ึ เรยี กรวมๆ วา่ ธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มตา่ งๆ
ซง่ึ คนเราได้พึ่งพาอาศยั ท้งั โดยตรงและโดยออ้ ม คนเรากค็ วรต้องกตัญญูตอบ
ด้วยเหมอื นกัน ได้อาศัยบ้านแตไ่ ม่ดูแลบ้านให้ดี ปลอ่ ยให้บ้านสกปรกรกรงุ รัง
ได้อาศัยต้นไม้แต่ชอบตัดต้นไม้ท�าลายป่า ได้อาศัยแม่น้�าล�าคลอง แต่ชอบทิ้ง
ขยะมูลฝอยลงไปทา� ให้สกปรกเนา่ เหม็น ไดอ้ าศยั อากาศหายใจ แต่สร้างมลพิษ
ใหอ้ ากาศ ได้อาศยั ถนนสญั จรไปมา แตช่ อบทิ้งขยะลงบนถนน ได้อาศัยเมอื ง
อยู่ แตช่ อบก่อความเดอื ดรอ้ นวุ่นวายใหเ้ กดิ ขึ้นแกเ่ มือง ชอบทา� ให้เมอื งลม่ จม
จะไมเ่ รยี กวา่ เปน็ การเนรคณุ ไดอ้ ยา่ งไร? เมอ่ื เปน็ คนเนรคณุ คนอยา่ งน้ี ถงึ คราว
ทเี่ พ่ือนลงโทษเอาบา้ งจะไปอุทธรณ์เอากะใคร และใครจะชว่ ยได้

ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความกตัญญูกตเวทีเป็น
สญั ลกั ษณ์ของคนดี การจะเลอื กคนดนี น้ั จงเลือกดทู ค่ี วามกตัญญูกตเวที ถา้
คนใดเปน็ คนมคี วามกตญั ญกู ตเวที คนนน้ั เปน็ คนควรแกก่ ารคบคา้ สมาคม ควร
ท่ีจะเอามาเป็นเพอ่ื นได้ ส่วนคนอกตญั ญูน้นั ทา่ นว่าไมล้ อยน�้ายังดีกว่า เพราะ
ไมล้ อยนา้� ไมเ่ ปน็ ภยั แกใ่ ครๆ เกบ็ มาทา� ฟนื กย็ งั ได้ แตค่ นอกตญั ญไู มร่ คู้ ณุ คนนน้ั
ไม่ควรเอาเข้ามาในบา้ นเป็นอันขาด เขาจะท�าลายเจา้ ของบ้าน หรือเผาบา้ นเสีย
เม่ือใดกไ็ ด้

(สจั จังกิรชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย

ชาดก เอกนิบาต เลม่ ๒๙ หนา้ ๑๔๙)

257


258


มดกบั นกขนุ ทอง

“เราดไี ป เขากใ็ หด้ มี าตอบ”

เลา่ กนั มาว่า ในอดตี กาลนานมาแลว้ ณ บรเิ วณชานเมือง มปี ่าทบึ
อนั เปน็ ทเ่ี งยี บสงดั หอ้ มลอ้ มอย ู่ สตั วป์ า่ นานาชนดิ ตา่ งอาศยั อยใู่ นปา่ นน้ั ดว้ ย
ความสุขสา� ราญ

วนั หนึ่งในฤดูรอ้ น มีมดตวั เลก็ ๆ เดนิ ไต่อยทู่ ่รี มิ ขอบธารน�้า เกิดเดนิ
พลาดและพลัดตกลงไปในล�าธารนั้น “โอ้ย! ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย”
มันได้แต่รอ้ งและตะเกียกตะกายอยู่อย่างน้นั ไมส่ ามารถที่จะขนึ้ มาจากน�า้
ได้ ขณะน้ัน บังเอิญได้มนี กใจดีตวั หนง่ึ บินผ่านมาพอดี เมอ่ื มันมองเหน็ วา่
มีมดตวั หน่งึ ตกอยู่ในอนั ตรายอยา่ งน้นั

“ฉนั จะตอ้ งชว่ ยมดตวั นนั้ ” นกตวั นน้ั คดิ ทช่ี ว่ ยเหลอื ดว้ ยความสงสาร
ทันท ี “แค่เพยี งจิกเอาใบไม้สักใบแล้วทิง้ ลงไปในน้า� แค่นั้น มดตวั นนั้ ก็จะไต่
ข้ึนมาขา้ งบนได้ มันอาจเป็นเสมือนเรอื ล�าเล็กๆ ของเขา” เมือ่ นกคิดดงั นั้น
จงึ จกิ เอาใบไมใ้ บหนง่ึ แลว้ ทง้ิ ลงไปในนา�้ และกเ็ ปน็ จรงิ อยา่ งทค่ี ดิ เพราะมด
ตวั นน้ั ไดไ้ ตข่ นึ้ มาบนใบไมน้ นั้ จรงิ ๆ “ขอบคณุ มาก คณุ นก” มดกลา่ วขอบคณุ
และด้วยความส�านึกในบุญคุณที่ช่วยชีวิตมันไว้ “สักวันหนึ่งฉันคงได้ช่วย
เหลอื เปน็ การตอบแทน” มดพูดให้สญั ญาทง้ั ๆ ที่รูว้ ่าไมม่ อี ะไรทีจ่ ะพดู ใหด้ ี
ไปกวา่ นี ้

ต่อมาไม่นาน มพี รานไพรคนหน่ึงอาศยั อยกู่ ระท่อมรมิ ป่านอกเมอื ง
ทกุ ๆ เชา้ เขาจะแบกหนา้ ไมเ้ ขา้ ปา่ เพอื่ ลา่ สตั ว ์ ทง้ั เกง้ กวาง กระตา่ ย ตลอด
จนนกหนตู า่ งๆ เพอ่ื นา� ไปเปน็ อาหาร

วนั หนงึ่ หลงั จากเดนิ ทางเขา้ ปา่ มาตง้ั ไกลกย็ งั ไมไ่ ดพ้ บเกง้ กวาง หรอื
สตั วอ์ ่นื ใดพอทจ่ี ะจบั เปน็ อาหารได้สักตัวเดยี ว เขาไมล่ ดละ มุมานะเดินไป
เรอ่ื ย ๆ พอมอี าการเหนอ่ื ยลา้ กเ็ ขา้ ไปพกั ใตต้ น้ ไมต้ น้ หนง่ึ ทม่ี ใี บไมป้ กหนา
เขาแหงนมองขน้ึ ไปบนตน้ ไมน้ น้ั กเ็ หน็ นกตวั หนง่ึ กา� ลงั เกาะนงิ่ อยบู่ นกงิ่ ไม ้

259


จงึ ค่อย ๆ ยอ่ งเขา้ ไปใกล ้ ๆ แล้วงา้ งธนูขน้ึ หมายจะ เสวยสุขอยู่ท่ามกลางความรังเกียจของคนท้ังหลาย

ยงิ นกตวั น้ัน ต่อไปได้ หากเกดิ หมดบญุ หมดวาสนาหรอื ตกอบั ขึ้น

ในขณะเดยี วกนั นั้น มีมดนอ้ ยตัวหนงึ่ ซ่ึงเคย มา ก็จะถูกเมนิ หน้าหนี ไม่ได้รับความชว่ ยเหลือจาก

ตกลงไปในลา� ธาร บงั เอญิ ผา่ นมาและเหน็ เหตกุ ารณ์ ใครๆ ไดอ้ กี ใครทถี่ กู ญาตพิ น่ี อ้ งหรอื เพอ่ื นฝงู ทอดทงิ้

มนั ตกใจมาก เพราะจ�าได้ว่านกตัวท่จี ะถกู ยงิ ซงึ่ เป็น ไม่แยแส ไม่อยากให้ความช่วยเหลือ ไม่อยากจะ

เปา้ นงิ่ อยตู่ รงหนา้ นน้ั เปน็ นกตวั เดยี วกนั กบั ทไี่ ดเ้ คย คบหาสมาคมด้วยนนั้ ลองสา� รวจดตู ัวเองใหด้ ี อาจ

ชว่ ยชวี ิตมันไว ้ “คุณนก ระวัง” เจา้ มดน้อยตะโกน เหน็ ตวั เองไดช้ ดั เจนขน้ึ วา่ ตนเปน็ คนทไ่ี มค่ อ่ ยสา� นกึ

ขน้ึ ดว้ ยเสยี งอนั ดงั ลน่ั แตอ่ นจิ จา! เสยี งรอ้ งเตอื นภยั ในบญุ คณุ ของคนผูม้ อี ปุ การคณุ ก็ได้

อันแผ่วเบาของมันไม่สามารถที่จะท�าให้นกตัวนั้น ดงั คา� กลอนสอนใจทีท่ ่านผรู้ ้ไู ดก้ ล่าวไว้ว่า

รสู้ กึ ตัวอะไรได้เลยสักน้อยนิด

เม่ือเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น มดน้อยไม่มีทาง เราดไี ป เขาก็ให้ ดีมาตอบ

เลือกอ่ืน มันจึงตรงด่ิงไปกัดเท้าของนายพรานน้ัน เราไปชอบ เขากต็ อบ ชอบมาหา

ทนั ท ี ดว้ ยความเจบ็ ปวด นายพรานถงึ กบั สะดงุ้ โหยง เราร้ายไป รา้ ยก็ลอ่ ต่อร้ายมา

เป็นเหตุให้ลูกธนูท่ีเขายิงออกไปผิดเป้าหมาย พุ่ง ดีไปหา ดไี ปสู่ เป็นคู่กนั

ผ่านนกขุนทองไปอย่างเฉียดฉิว เม่ือนกตัวนั้น ถ้าไม่ดี ดไี ม่มา หาหรอกนะ

รอดพน้ จากอันตราย คอื รอดตายไปอยา่ งหวุดหวิด ถ้าดมี ี จะมดี ี ไมม่ ีอั้น

“ขอบใจมาก มดนอ้ ย” นกตัวนั้นร้องบอก “เธอชว่ ย ถา้ มันดี ดีกม็ า ตามท่ามัน

ฉนั ครง้ั น ี้ ถอื วา่ เปน็ การตอบแทนบญุ คณุ ไดแ้ ลว้ นะ” โลกทกุ วนั หมนุ เวียน ชอบเปล่ยี นดี

นกกล่าวดว้ ยความขอบคณุ หลงั จากนั้นสัตวท์ ้ังสอง ต้องการไก่ ยังตอ้ งใช้ เอาไก่ตอ่

ก็ได้พึ่งพาอาศัยซ่ึงกันและกัน อยู่ร่วมกันอย่าง เอาช้างล่อ ตอ่ ชา้ ง กลางไพรศรี

เป็นสขุ ในป่านั้นตลอดมา ไก่ตอ่ ไก่ ช้างต่อชา้ ง ตวั อยา่ งมี

นทิ านเรอ่ื งนม้ี คี ตสิ อนวา่ คนเราทกุ คนไมว่ า่ ดีต่อดี ควรจา� เปน็ ตา� รา

จะยากดมี จี นอยา่ งไร ยอ่ มตอ้ งพง่ึ พาอาศยั กนั และ

กนั ทา� นอง “นา้� พ่งึ เรือ เสือพึ่งป่า” ไมอ่ าจอยโู่ ดด (นิทานธรรมสาธก)

เด่ียวโดยล�าพังตนเองเท่าน้ันได้เลย ดังนั้น การ

ช่วยเหลือและเกื้อกูลกันจึงเป็นสิ่งจ�าเป็นส�าหรับ

มนุษย์เรา การช่วยเหลือเก้ือกูลกัน และพ่ึงพา

อาศยั กนั นแี้ หละ ทท่ี า� ใหค้ นเราอยกู่ นั อยา่ งมคี วาม

สุข มีความเห็นอกเห็นใจกัน ไม่เบียดเบียนกัน

และไมเ่ อารัดเอาเปรยี บกนั

การช่วยเหลือเก้ือกูลกันนี้จัดเป็นบุญอย่าง

หนึ่ง คนที่ไม่รู้สึกส�านึกในบุญคุณของใครน้ัน

หากว่ายังมวี าสนาค้า� จนุ อย่กู ็ยงั พอเอาตวั รอด ยงั

260


261


ไกว่ ิเศษ

“ศรหี รอื สิรเิ ป็นทไี่ หลมาแหง่ โภคทรพั ย์”

ในอดีตกาล สมัยเมือ่ พระโพธิสัตวเ์ สวยพระชาตเิ ป็นฤษี ไดเ้ ข้าไป
ยงั พระราชอุทยาน เพื่อชว่ ยเหลอื นายหตั ถาจารยไ์ ด้ครองเมืองพาราณสี

มีเร่ืองเล่าว่า ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นผู้มีสิริคือม่ิงขวัญมาก
เป็นผรู้ �่ารวยทงั้ ทรพั ย์สมบัติและคุณงามความด ี วันหน่งึ มพี ราหมณ์คน
หนง่ึ ผมู้ คี วามรเู้ รอื่ งสริ ิ ตง้ั ใจจะมาขโมยหรอื ขอสริ ขิ องทา่ นเศรษฐ ี แตข่ โมย
กไ็ มไ่ ด ้ ขอกไ็ มไ่ ด ้ จงึ บอกเศรษฐวี า่ “ทา่ นเศรษฐ ี สริ ขิ องทา่ นกค็ งเปน็ ของ
ทา่ นอยนู่ น่ั เอง ใครจะขโมยหรอื ขอกไ็ มไ่ ด ้ สริ ยิ อ่ มเกดิ แตบ่ ญุ ของทา่ น และ
เปน็ ของท่านผูเ้ ดยี ว”

วนั ต่อมา เศรษฐไี ด้เข้าเฝา้ พระศาสดาที่เชตวนาราม ทูลเลา่ เรอื่ งนี้
ใหท้ รงทราบ พระศาสดาตรสั เลา่ เรือ่ งหน่งึ ใหเ้ ศรษฐฟี งั เป็นอุทาหรณ์ คอื
เรื่องสริ แิ ละเรือ่ งผมู้ ีบญุ ความวา่

มีชายคนหนึ่ง เปน็ ชาวเมืองพาราณส ี มีอาชพี ตดั ฟืนขาย วันหนึ่ง
หลงั จากตัดฟนื แลว้ ขนใส่เกวยี นจะเขา้ ไปในเมือง แต่เขา้ ไปไม่ทัน ประตู
เมืองปิดเสียก่อน จงึ พกั เกวยี นนอน ณ เทวาลัยแหง่ หนึ่งใกล้ประตูเมอื ง
นัน้ เอง ใกลๆ้ เทวาลัยมีไก่จา� นวนมาก เนอ่ื งจากมคี นน�ามาปล่อยไวเ้ พ่ือ
ถวายเทพเจ้า ไกเ่ หล่านัน้ พากนั นอนบนต้นไม้ตน้ หน่ึง เวลาใกล้รงุ่ มไี ก่อยู ่
๒ ตวั ทะเลาะกนั เนอื่ งจากตวั ทนี่ อนอยขู่ า้ งบนขร้ี ดหวั ตวั ทน่ี อนอยขู่ า้ งลา่ ง
“ใครถา่ ยอุจจาระรดหัวขา้ ” ไกต่ ัวขา้ งล่างรอ้ งตะโกนข้ึนไป “ขอโทษดว้ ย
ไม่ทันเหน็ และก็ไม่คิดว่าจะมีใครนอนอยดู่ า้ นล่าง” ไก่ตวั ที่อย่ขู ้างบนพูด
ขอโทษพร้อมกับถา่ ยอจุ จาระลงมาอกี ไกท่ อี่ ยขู่ ้างล่างโกรธมากจนทนไม่
ไหว จงึ พูดอวดอานภุ าพของตนวา่ “เอง็ ไมร่ ้หู รอื วา่ ข้ามอี านุภาพเพียงใด
ใครไดก้ นิ เนอื้ ของขา้ จกั ไดท้ รพั ยพ์ นั กหาปณะในวนั นน้ั ” “โธ ่ ไอข้ โ้ี อเ่ อย๊ ..”
ไกต่ วั บนตะโกนลงมา “เอ็งมอี านภุ าพเพียงเทา่ น ้ี เอามาพดู โอ้อวดได ้ ข้า
นแ่ี หละ มอี านภุ าพมากกวา่ แกหลายพนั เทา่ ใครไดก้ นิ เนอ้ื ลา�่ ๆ ของขา้ จกั
ได้เปน็ พระราชา คนกินเน้อื ข้างนอก ถ้าเป็นสตรจี ะได้เป็นอคั รมเหสขี อง
พระราชา ถา้ เปน็ บรุ ษุ จะไดต้ า� แหนง่ เสนาบด ี สว่ นใครทกี่ นิ เนอ้ื ตดิ กระดกู

262


ของขา้ หากเปน็ คฤหสั จะไดเ้ ปน็ ขนุ คลงั ถา้ เปน็ บรรพชติ จะไดเ้ ปน็ ผเู้ ขา้ ถงึ
ราชสกุล คือมีพระราชาเปน็ ผูอ้ ปุ ฏั ฐาก อานุภาพของขา้ มีมากถงึ เพยี งน”้ี

คนตดั ฟนื ทน่ี อนพกั อยใู่ กลๆ้ ไดย้ นิ ไก ่ ๒ ตวั ทะเลาะกนั อวดอา้ งคณุ
วิเศษอยู่อยา่ งนนั้ มคี วามปรารถนาอยากจะเปน็ พระราชา จึงปีนต้นไมข้ ้นึ
ไป ยอ่ งจบั ไกต่ วั ทอี่ ยขู่ า้ งบนแลว้ ฆา่ เสยี นา� กลบั ไปบา้ นมอบใหภ้ รรยา พรอ้ ม
ก�าชบั ว่า “ท�าดๆี นะเธอ ไก่ตัวน้ีมีอานุภาพมาก”

ภรรยาของคนตดั ฟนื รบี จดั แจงแกงไกเ่ สรจ็ แลว้ ไดย้ กสา� รบั ไปใหส้ ามี
บรโิ ภค “อยา่ เพงิ่ กินเลยเธอ” เขากล่าวกะภรรยา “ไกต่ วั นมี้ ีอานภุ าพมาก
ฉนั กนิ แลว้ จะไดเ้ ปน็ พระราชา สว่ นเธอถ้ากนิ จะไดเ้ ปน็ อคั รมเหส ี เอาอยา่ ง
นกี้ แ็ ลว้ กนั เราทง้ั สองนา� สา� รบั นไ้ี ปทร่ี มิ ฝง่ั แมน่ า้� คงคา อาบนา้� ใหส้ บายกอ่ น
แลว้ จงึ คอ่ ยลงมอื กินกัน” สองสามีภรรยาน�าสา� รบั นน้ั ไปวางไว้รมิ ฝั่งแมน่ �้า
คงคา แลว้ ลงอาบนา้�

ขณะนน้ั เองเกดิ ลมหมนุ พดั อยา่ งรนุ แรง พดั เอาสา� รบั ของสามภี รรยา
ลอยไปตามกระแสนา้� โดยรวดเรว็ สองสามภี รรยากถ็ กู นา�้ และทรายพดั เขา้
ตา งัวเงียมองไมเ่ หน็ อะไร พอคลนื่ ลมสงบส�ารับก็หายไปเสียแลว้ เลยอด
ไมไ่ ดก้ ินแกงไก่ทงั้ สองคน

คราวนน้ั มมี หาอ�ามาตย์ซ่ึงเป็นหวั หน้าควาญชา้ ง กา� ลงั ใหช้ า้ งอาบ
นา�้ อยใู่ นแมน่ า้� ทางใต ้ ลงมาเหน็ ภาชนะใสข่ า้ วนนั้ ถกู กระแสนา�้ พดั มา จงึ ให้
คนยกขึ้นเมื่อเห็นเป็นอาหาร ก็ส่ังให้คนน�าไปมอบให้ภรรยาของตนท่ีบ้าน
ฤษผี หู้ นงึ่ ซงึ่ ใกลช้ ดิ กบั ตระกลู ของนายควาญชา้ ง ทา่ นไดท้ พิ ยจกั ษ ุ มองเหน็
เหตกุ ารณใ์ นอนาคต วนั นน้ั ทา่ นจงึ พจิ ารณาถงึ นายควาญชา้ งอยวู่ า่ “เมอ่ื ไร
หนอ อปุ ฏั ฐากของเราจะไดส้ มบตั อิ นั ยง่ิ ขนึ้ ไป” เมอื่ ทราบเหตกุ ารณน์ นั้ แลว้
จึงรีบเดินมานั่งที่เรือนของนายควาญช้าง นายควาญช้างให้คนน�าภาชนะ
อาหารนนั้ มาถวายทา่ นฤษี เมอื่ ทา่ นฤษรี บั แลว้ จงึ แจง้ เรอ่ื งท้ังปวงให้โยม
อปุ ฏั ฐากทราบ แลว้ ไดจ้ ดั แจงแบง่ เนอ้ื ลา่� ใหน้ ายควาญชา้ ง แบง่ เนอ้ื ภายนอก
ให้ภรรยาของนายควาญช้าง ส่วนตนเองฉันเนื้อติดกระดูก แล้วกล่าวว่า
“อกี ๓ วันขา้ งหน้าทา่ นจะไดเ้ ปน็ พระราชา”

ในวนั ท ่ี ๓ พระราชาแควน้ ใกลเ้ คียงพระองค์หนึ่งยกทัพมาลอ้ มกรงุ
พาราณสี พระราชาแห่งพาราณสีให้นายควาญช้างแต่งกายเป็นพระองค์
สว่ นพระองคเ์ องปลอมเพศเปน็ อยา่ งอนื่ แลว้ เสดจ็ ออกตรวจกองทพั ถกู ลกู
ศรฝ่ายข้าศึกยิงมาถูกพระองค์ส้ินพระชนม์ในสนามรบน่ันเอง นายควาญ
ช้างทราบว่าพระราชาของตนส้ินพระชนม์แล้ว จึงน�ากหาปณะเป็นจ�านวน

263


มากจากพระคลังหลวง ให้คนเท่ียวตีกลองร้องประกาศว่า ใครต้องการทรัพย์ให้
ช่วยกันออกรบ ประชาชนและทหารต้องการทรัพย์จึงพากันออกรบอย่างฮึกเหิม
จนสามารถฆา่ พระราชาผเู้ ปน็ ข้าศกึ ได้

พวกอา� มาตยแ์ ละประชาชนถวายพระเพลงิ พระราชาของตน แลว้ จงึ ปรกึ ษา
กนั ว่า สมัยเม่อื พระราชายังทรงพระชนมอ์ ย ู่ ทรงไว้วางพระราชหฤทยั นายควาญ
ช้าง จนทรงยอมใหแ้ ตง่ กายเป็นพระองค์ อนงึ่ เล่า การชนะศึกครง้ั นีเ้ ป็นเพราะสติ
ปัญญาของนายควาญช้าง จึงพร้อมใจกันยกนายควาญช้างขึ้นเป็นพระราชา
ปกครองกรุงพาราณสีต่อไป

พระศาสดาเมอ่ื ทรงนา� เรอ่ื งนม้ี าตรสั เลา่ แกอ่ นาถบณิ ฑกิ เศรษฐแี ลว้ จงึ ตรสั
วา่ “คนไมม่ ีบญุ มศี ิลปะกต็ าม ไม่มีศิลปะก็ตาม มีความขวนขวายรวบรวมทรพั ย์
ไวไ้ ดเ้ ป็นอันมากกจ็ รงิ แต่คนมบี ญุ เท่าน้นั ยอ่ มได้บริโภคใช้สอยทรพั ย์เหล่าน้นั
โภคทรพั ยเ์ ปน็ อนั มากลว่ งพน้ คนไมม่ บี ญุ เสยี ไปกองอยทู่ ค่ี นมบี ญุ เทา่ นนั้ อนงึ่ เมอ่ื
คนมีบุญอยู่ในท่ใี ด โภคทรพั ยท์ ง้ั หลายยอ่ มเกิดข้นึ ในท่ีแม้มใิ ช่บอ่ เกดิ ”

“ขุมทรัพย์คือบุญ ย่อมให้สมบัติอันน่าใคร่ทุกอย่างแก่ทวยเทพและมนุษย์
ผลใดๆ กต็ ามทเ่ี ทวดาและมนษุ ยป์ รารถนา ผลนน้ั ๆ ยอ่ มสา� เรจ็ มาจากบญุ ทง้ั สนิ้ ”

ชาดกเรอ่ื งนมี้ คี ตสิ อนวา่ อนั สริ หิ รอื ศรคี อื มง่ิ ขวญั ศภุ มงคลทงั้ ปวง เปน็ สง่ิ
ทไ่ี ม่มีตัวตน มองไม่เหน็ ด้วยตา แตเ่ ปน็ สิ่งทมี่ ีอยู่ในตวั บุคคล ไมม่ ีใครลกั ขโมย
ไปได้ ยกใหก้ ันไม่ได้ คนมีสิรถิ อื ว่ามสี ง่ิ ท่ีเป็นมงคล มสี ่งิ ค้มุ ภัย และพลังพิเศษ
อย่ใู นตวั ซง่ึ สามารถดึงดดู โภคทรัพย์ ลาภ ยศ สุข สรรเสรญิ และความเจริญ
รุ่งเรืองมาให้แก่ตนได้ สิริเกิดจากบุญบารมี เกิดจากความดี เป็นผลของบุญ
บารมีท่ีท�าสั่งสมไว้ กลายเป็นมิ่งขวัญประจ�าตัว มิ่งขวัญนั้นมีอ�านาจ มีพลัง
สามารถดึงดูดโภคทรัพย์ ลาภผลต่างๆ มาให้แก่ตนได้อย่างไม่รู้จบสิ้น
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “สิริ โภคานมาสโย” สิริเป็นที่มารวมแห่งโภคทรัพย์
ดงั นนั้ คนมีสิริอยู่ทีไ่ หนก็ท�าให้ท่นี น่ั เจริญ อยใู่ นครอบครวั ใดกท็ า� ใหค้ รอบครัว
นั้นอยู่เย็นเป็นสุข ส่วนคนขาดสิริ อยู่ในครอบครัวใด นอกจากจะท�าให้
ครอบครัวนัน้ ได้รับความเดอื ดร้อนแล้ว ยังจะพาใหย้ ากจนลงทุกวนั และยังพา
โภคทรพั ยท์ ม่ี อี ยแู่ ลว้ ใหว้ บิ ตั ยิ อ่ ยยบั ตามไปอกี ดว้ ย สริ จิ งึ เปน็ ทรพั ยอ์ นั ประเสรฐิ
และเปน็ ท่มี าแห่งโภคะทง้ั หลายท้งั ภายในและภายนอก ตรงกับค�าท่ที า่ นกลา่ ว
วา่ “ความดยี ่อมดึงดดู แตส่ ่งิ ทด่ี ี ความชว่ั ยอ่ มดงึ ดูดแต่สงิ่ ที่ชวั่ ” นน่ั เอง

(สริ ิชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย
ชาดก ติกนบิ าต เลม่ ๓๑ หน้า ๒๐๙)

264


265


ราชสีหเ์ นรคณุ

“คบคนใหด้ หู นา้ ซื้อเสื้อผ้าให้ดเู นอื้ ”

ในอดตี กาล ณ เมอื งพาราณส ี พระโพธสิ ตั วเ์ สวยพระชาตเิ ปน็ นก
หวั ขวาน อาศยั อย่บู นต้นไม้ข้างๆ ถา้� อนั เปน็ ทอ่ี ยู่ของราชสีห์ตวั หนง่ึ

อยู่มาวันหน่ึง ราชสีห์ตัวนั้นเค้ียวกินเน้ือแล้วกระดูกติดคอ
พยายามเอากระดกู ทตี่ ดิ คอนนั้ ออกเทา่ ไรกไ็ มอ่ อก ทา� ใหไ้ ดร้ บั ความเจบ็
ปวดทรมานเป็นอยา่ งยิ่ง จนเจ็บป่วยไมส่ ามารถจะจับเหยอ่ื กนิ ได ้ นอน
เจบ็ ปวดอยอู่ ยา่ งนา่ สงสาร

ขณะนั้น นกหัวขวานเท่ียวบินหาเหย่ืออยู่ เห็นราชสีห์นอนร้อง
ครวญคราง จงึ บนิ ไปเกาะทตี่ น้ ไมใ้ กล้ๆ แลว้ ถามว่า “เปน็ ไงสหาย ทา่ น
เป็นทกุ ข์เพราะอะไรหรือ” “เรากินเนอื้ เข้าไปแลว้ เกดิ พลาด กระดกู ลง
ไปตดิ อยใู่ นลา� คอ” ราชสหี ต์ อบ นกหวั ขวานแสดงความสงสาร “นา่ สงสาร
จัง เราอยากจะช่วยท่าน แต่ไมก่ ลา้ เข้าไปในปากทา่ น เพราะกลวั วา่ ท่าน
จะกนิ เราเสยี ” “อยา่ กลวั เราเลยสหาย เราไมก่ นิ ทา่ นหรอก ไดโ้ ปรดชว่ ย
เราด้วยเถดิ ” ราชสีห์ขอรอ้ ง

เมอ่ื ถกู ออ้ นวอนเชน่ นน้ั นกหวั ขวานลงั เลอยหู่ นอ่ ยหนงึ่ แตใ่ นทส่ี ดุ
ก็ตดั สินใจรบั ปากว่าจะช่วย จงึ ให้ราชสหี ์นอนตะแคง แตฉ่ กุ คิดไดว้ ่าถา้
พลาดท่าอาจเสยี ทรี าชสหี ์ อยา่ กระน้ันเลย เราเอาไมม้ าคา้� ปากราชสหี ์
ไว้ดีกว่า เม่ือนกหัวขวานเอาไม้มาค�้าปากราชสีห์ทั้งบนและล่างไว้แล้ว
ราชสหี ก์ ไ็ มส่ ามารถหบุ ปากได ้ นกหวั ขวานจงึ เขา้ ไป เอาจะงอยปากเคาะ
ปลายกระดกู กระดกู กห็ ลดุ ออก แล้วเขี่ยทงิ้ ไป พอนกหัวขวานจะออก
จากปากราชสีห ์ ก็เอาจะงอยปากเคาะทอ่ นไมใ้ ห้ตกลงไป แล้วรีบบนิ ไป
จบั ทีก่ ง่ิ ไม้ ราชสีหห์ ายเจ็บปวดทรมาน มีความสบายอกสบายใจ ออก
ลา่ เหย่ือได้ตามปกต ิ

ครน้ั วนั หน่งึ นกหัวขวานตวั น้ันบนิ ไปพบราชสีหก์ �าลังกนิ ควายป่า
อยใู่ ต้ตน้ ไม้ อยากจะทดลองดใู จราชสหี ์ จึงจบั อยทู่ ก่ี ง่ิ ไมใ้ กล ้ ๆ แลว้ เอย่

266


วา่ “ขา้ แตพ่ ญาเนอ้ื ขา้ พเจา้ ขอแสดงความนอบนอ้ มทา่ น วนั กอ่ นขา้ พเจา้ เคย
ช่วยทา่ นมาครงั้ หน่งึ ไม่ทราบวา่ ท่านจะใหอ้ ะไรตอบแทนข้าพเจา้ ไดบ้ า้ ง”

ราชสหี ไ์ ดฟ้ งั ดงั นนั้ กโ็ กรธขนึ้ มาทนั ท ี ตะคอกขนึ้ อยา่ งฉนุ เฉยี ววา่ “เจา้
เข้าไปอยูใ่ นปากของขา้ ผูก้ นิ เลือดและเนื้อเปน็ อาหาร ฆา่ สตั วต์ ดั ชีวติ เสมอ
ได้อาศัยเศษเนื้อในปากของข้ามีชีวิตอยู่จนบัดน้ี นับว่าเลือดเน้ือที่เจ้ากินใน
ระหว่างฟันของข้าน้นั เป็นคา่ ตอบแทนบุญคุณของเจา้ พออยูแ่ ลว้ ”

“แหม! ทา่ นชา่ งพดู อะไรไดไ้ พเราะเหลอื เกนิ ” นกหวั ขวานแคน่ หวั เราะ
ออกมาด้วยความขมขืน่ ใจเป็นท่ีสดุ

และพูดตอ่ ไปอกี ว่า “ผไู้ ม่รู้จักบญุ คณุ ของผอู้ ่นื ผเู้ นรคุณผูอ้ ่ืนนน้ั ไม่
ควรคบเลย คบไปก็ไมไ่ ด้ประโยชน์ ผ้ไู ม่ได้รับไมตรจี ากผทู้ ี่ตนมีอปุ การคณุ
ก็ไมต่ ้องไปวา่ อะไรเขา พงึ ตีตวั ออกห่างจากผูน้ นั้ เสีย” คร้ันแลว้ นกหวั ขวาน
กบ็ นิ หนีไป โดยไม่หนั มาสนใจใยดกี ับราชสีหเ์ นรคณุ อกี ต่อไป

ชาดกเรื่องนี้มคี ตสิ อนวา่ มบี คุ คลที่น่าต�าหนิ ไมน่ ่าเคารพยกยอ่ ง ไม่
น่าคบหา สมาคมด้วย มีอยู่ ๓ ประเภท คอื

๑. คนทไี่ มร่ สู้ า� นกึ ในบญุ คณุ ของใคร คนเชน่ นจี้ ะไมย่ อมรบั รบู้ ญุ คณุ
หรือความดีของใคร แมแ้ ต่บุญคณุ ของพอ่ ของแมต่ น

๒. คนทไ่ี มเ่ คยทา� ความดแี กใ่ คร คนเชน่ นมี้ กั เปน็ คนใจแคบ ไมน่ ยิ ม
สงเคราะห์อนเุ คราะหใ์ คร มุง่ เฉพาะเร่ืองสว่ นตัว

๓. คนทไี่ มต่ อบแทนบญุ คุณที่เขาเคยท�าไว้ คนเช่นนแี้ มจ้ ะร้วู า่ ใคร
เคยมีบุญคณุ แก่ตน กม็ ักจะเพกิ เฉยเสยี ทา� เปน็ ไมร่ ู้ หรือหลีกเลยี่ งทีจ่ ะ
ตอบแทนคุณเขา

คน ๓ ประเภทน้ี ท่านว่าเปน็ คนน่าตา� หนิและไมน่ า่ คบหาสมาคม
ดว้ ย ไมน่ ่าอยกู่ ินด้วย เพราะป่วยการเปล่า เมอื่ คบกันหรืออยกู่ ินด้วยกนั
เขายอมมาคบกบั เราเพราะหวงั ประโยชนจ์ ากเราเทา่ นนั้ เวลาเรามที กุ ขเ์ ขา
กจ็ ะหนหี นา้ ทา่ นวา่ เหมอื นนกกาทบ่ี นิ มาจบั ตน้ โพธติ์ น้ ไทรเวลาทมี่ ผี ลดก
เทา่ น้ัน เม่ือหมดผลแล้วกบ็ นิ จากไป คนเชน่ นที้ ่านว่า แมจ้ ะยกแผ่นดนิ
ให้ท้ังหมดก็ไม่อาจท�าให้เขาพอใจได้เลย เกิดมาแล้วแม้จะมีรูปช่ัวตัวด�า
ไม่มอี า� นาจ ด้อยวาสนา ดอ้ ยการศึกษามปี ญั ญานอ้ ย กไ็ มใ่ ชเ่ ปน็ เหตใุ ห้
นา่ ตา� หนอิ ะไร ขออยา่ เปน็ คนอกตญั ญู ไมร่ คู้ ณุ ใครกแ็ ลว้ กนั เพราะถา้ เปน็
เชน่ นั้น กเ็ ป็นคนทีส่ มควรจะถูกต�าหนิและเป็นคนหาดใี นตวั ไมไ่ ด้เลย

(ชวสกุณชาดก อรรถกถา ขุททกนิกาย

ชาดก จตกุ กนิบาต เล่ม ๓๑ หนา้ ๓๑๔)

267


268


ตวั อุบาทว์

“ความดอื้ รนั้ เป็นเหตใุ ห้เกดิ การแตกแยก”

ในสมยั พุทธกาล ทางเหนอื สดุ ของแมน่ �า้ คงคาขึน้ ไป มีพระนครแหง่
หนึง่ นามว่า คิรนี คร พระราชาแห่งนครนี้ทรงตง้ั อยใู่ นทศพิธราชธรรม ทรง
ปกครองไพร่ฟ้าประชาชนให้ได้รับความรม่ เยน็ เป็นสุขตลอดมา

วนั หนงึ่ พระราชาเสด็จออกจากวังอย่างเงยี บๆ เพือ่ สา� รวจตรวจตรา
ความทุกขส์ ขุ ของประชาราษฎร์อันเป็นพสกนกิ รของพระองค์ การเสดจ็ ใน
วันนนั้ มเี สนาอ�ามาตยใ์ กล้ชิดติดตามเพยี งไมก่ ีค่ น รถพระท่นี ง่ั ผา่ นไปตาม
ถนนสายต่างๆ สองฟากถนนเนืองแน่นไปด้วยบ้านเรือน ร้านค้า และ
เทวสถาน เสียงผคู้ นสรวลเสเฮฮา เสยี งขับกลอ่ มและเสียงดนตร ี ประสาน
กันอึงม่ี ท�าให้พระราชาทรงเบิกบานพระทัยยิ่งนัก พอใจในความสันติสุข
ของไพรฟ่ า้ ขา้ แผน่ ดนิ ของพระองค์

ครน้ั เสด็จผา่ นไปไม่ไกลนกั ไดท้ อดพระเนตรเห็นบ้านหลังหนงึ่ เปน็
บ้านหลังใหญ่โต แต่ไม่มคี นอย ู่ ปลอ่ ยใหร้ กรงุ รังเป็นบา้ นรา้ ง พระองคท์ รง
แปลกพระทัย จึงรับส่ังให้หยุดรถพระที่นั่ง แล้วตรัสถามคนที่อยู่บ้านใกล้
เคียงกับบ้านหลังน้ัน ชาวบ้านละแวกนั้นตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “บ้าน
หลังนตี้ วั อุบาทว์ลง” “ตัวอุบาทว์มีรูปร่างเป็นอย่างไร” พระราชาตรสั ถาม
“ไมเ่ คยเห็นพะย่ะค่ะ” ชาวบา้ นทูลตอบ

พระราชาเสด็จกลับพระราชวังด้วยความสงสัยในพระราชหฤทัยว่า
ตัวอุบาทว์มีรูปร่างเป็นอย่างไร ท�าไมจึงมีฤทธิ์เดชมากนัก พระราชาทรง
สอบถามเหลา่ เสนาอา� มาตยท์ ง้ั หลาย กไ็ มม่ ใี ครรจู้ กั ตวั อบุ าทวเ์ ลย จงึ รบั สงั่
ถามขา้ ราชการทง้ั หมด ตั้งแตผ่ ใู้ หญล่ งไปถงึ เสนาผู้นอ้ ย ก็ไมม่ ีใครเคยเหน็
มีแตเ่ คยไดย้ นิ ชื่อ ดว้ ยความมีขัตติยมานะ เม่อื มพี ระประสงค์จะทรงทราบ
ก็ต้องเคี่ยวเข็ญเอาจนได้ จึงตรัสบังคับเสนาบดีคนหนึ่งให้ไปเท่ียวจับตัว
อบุ าทวม์ าดใู หไ้ ด้ภายใน ๗ วัน ถ้าหากไม่ไดจ้ ะประหารชีวิต

269


เสนาบดีคนนั้นเที่ยวเสาะหาไปตามต�าบลต่างๆ เจอใครก็ถามว่า เคย
พบเห็นตวั อุบาทว์หรอื ไม ่ กไ็ มป่ รากฏวา่ มีผ้หู นึ่งผใู้ ดเคยพบเหน็ ใครๆ กบ็ อกว่า
เคยได้ยินแต่ช่ือ เวลาล่วงไป ๖ วัน เหลือเวลาอีกวันเดียวก็จะครบก�าหนด
เสนาบดจี งึ ฉกุ คดิ ขนึ้ มา ตวั เรานเี้ หน็ จะชะตาขาดแน ่ คงถกู ประหารแนแ่ ท ้ อบุ าทว์
นี้มันเป็นของไม่มีตัว น่ีหกวันแล้วยังไม่ได้แม้แต่ข่าวว่ามีใครเคยเห็นตัวอุบาทว์
ตัวอุบาทว์ไมม่ แี น่ แตธ่ รรมดาพระมหากษตั ริยต์ รัสแล้วไม่คืนค�า ถ้าเราขนื กลบั
ไปคงไมพ่ ้นถูกประหารแน่ อยา่ กระน้ันเลย เขา้ ไปตายในปา่ หิมพานต์ดีกวา่

คิดแล้วก็บ่ายหน้าเข้าป่าหิมพานต์ไป บังเอิญเขาได้พบฤษีรูปหน่ึงบ�าเพ็ญ
เพียรภาวนาอยูใ่ นป่าหมิ พานต์ “ทา่ นเสนาบดมี ีธรุ ะอะไรหรือ จึงไดบ้ ุกปา่ ฝา่ ดง
เขา้ มาถึงท่ีนี”่ ทา่ นฤษีเอ่ยปากถาม “ทา่ นผู้เจริญ กระผมมธี ุระสา� คญั พระราชา
มรี บั สง่ั ใหห้ าตวั อบุ าทวใ์ หไ้ ดภ้ ายใน ๗ วนั ถา้ หาไมไ่ ดจ้ ะถกู ประหารชวี ติ นกี่ ค็ รบ
๗ วนั แลว้ ยังไมพ่ บตัวอุบาทวเ์ ลยทา่ นครับ” เสนาบดีตอบท่านฤษีตามความเป็น
จรงิ “ธุระเพยี งเท่าน้ีไม่ต้องตกใจ ตัวอบุ าทว์ท่ีนี่ก็มี ทา่ นเสนาบดไี ปตัดกระบอก
ไม้ไผม่ าสจิ ะใส่ให”้ ท่านฤษีตอบด้วยความมัน่ ใจ

เสนาบดีดีใจยิ่งนกั รีบจัดการตัดกระบอกไม้ไผ่มาให้ฤษี กระบอกยาวสอง
ปลอ้ ง ทะลุข้อกลางเสยี ลกั ษณะก็คงคลา้ ยกระบอกนา้� ท่านฤษรี ับเอากระบอก
ไม้ไผ่มาแล้วเข้าไปในกระท่อม คายชันหมากใส่ในกระบอก แล้วเอาใบไม้ม้วน
ปิดปากกระบอกจนแนน่ ยืน่ ให้เสนาบดีพร้อมกับสงั่ กา� ชบั ว่า “ท่านเสนาบดี นี่
กระบอกอบุ าทว์ ในระหว่างทางท่านอยา่ ไดเ้ ปิดดเู ป็นอนั ขาด เมื่อน�าขนึ้ ทลู เกล้า
ถวายก็จงกราบทลู ด้วยวา่ ต้องคอ่ ยๆ เปดิ ด ู แลว้ ทอดพระเนตรลงไปในกระบอก
อยา่ เทออกเป็นอนั ขาด ประเดยี๋ วจะดูไมท่ นั ”

ท่ามกลางเสนาข้าราชบรพิ าร ณ ท้องพระโรงแหง่ เดิม เสนาบดผี ้ปู ระสบ
ความส�าเร็จอย่างงดงามในการล่าจับตัวอุบาทว์ ได้น�ากระบอกตัวอุบาทว์ข้ึนทูล
เกลา้ ถวายอย่างระมัดระวงั ทกุ สายตาในทอ้ งพระโรงรวมมาส่จู ดุ เดียวกนั คอื ที่
กระบอกอุบาทว์

พระราชาทรงเปิดจุกกระบอกอุบาทว์อย่างระมัดระวังด้วยความกระหาย
อยากร ู้ เสรจ็ แล้วกท็ อดพระเนตรลงไปในกระบอกอนั มดื ทอดพระเนตรเหน็ บา้ ง
ไม่เห็นบ้าง สักครู่ก็ทรงรับสัง่ วา่ “เออ อบุ าทว์นต่ี วั เหมือนกบนะ” พระราชาทรง
อุทาน แล้วกท็ รงยนื่ กระบอกอบุ าทว์ใหม้ หาเสนาบด ี ฝ่ายมหาเสนาบดีดูแลว้ ทลู
วา่ “ไมไ่ ชพ่ ะยะ่ คะ่ อบุ าทวต์ วั เหมอื นองึ่ ” แลว้ กระบอกอบุ าทวก์ ถ็ กู สง่ กนั ตอ่ ๆ ไป

270


ในมหาสนั นิบาตน้นั จนกระทง่ั ถงึ เสนานอ้ ย และต่างคนตา่ งดู แล้วกต็ ่างคน
ต่างเหน็ ฝ่ายผูใ้ หญบ่ อกว่าเหมือนจิ้งจก ฝา่ ยผูน้ ้อยวา่ เหมอื นตกุ๊ แก แลว้ ก็
เกิดประชนั ความเหน็ กัน ตา่ งเถยี งกันไปมา จนเหตกุ ารณ์ชักตงึ เครียด ใน
ท้องพระโรงเซ็งแซ่ไปด้วยเสียงถกเถียงกันโดยไม่เกรงกลัวต่อพระราชอาญา
หนกั เขา้ ถงึ ขนั้ จะวางมวยกนั ตอ่ หนา้ พระทน่ี งั่ เสยี ใหไ้ ด ้ นต่ี วั อบุ าทวแ์ ผลงฤทธิ์
แลว้ หรอื ?

พระราชาทรงเห็นทา่ ไมด่ ี จงึ รบั สง่ั ใหน้ า� กระบอกอบุ าทวม์ าคนื ตกลง
พระทยั วา่ ไมไ่ ดเ้ รอ่ื งแน ่ ขนื เกบ็ ตวั อบุ าทวไ์ วใ้ นเมอื ง คงทา� ใหย้ งุ่ กนั ใหญ ่ เพยี ง
เทา่ นกี้ เ็ อาเรอื่ งพอดอู ยแู่ ลว้ ปลอ่ ยมนั เขา้ ไปในปา่ ดกี วา่ แตไ่ หนๆ กจ็ ะปลอ่ ย
แลว้ กเ็ ทออกดหู นอ่ ย สงิ่ ทไี่ ดเ้ หน็ ทไี่ หลออกมาจากกระบอกไมไ้ ผน่ นั้ กค็ อื ชนั
หมาก น่นั เอง

นทิ านเรอ่ื งนม้ี คี ตสิ อนวา่ ตวั อบุ าทวต์ ามนทิ านทก่ี ลา่ วถงึ น้ี ดเู สมอื น
วา่ เปน็ สงิ่ มชี วี ติ เปน็ สตั วป์ ระหลาด ทรงพลงั เคลอื่ นไหวไปไหนมาไหนได้
แตค่ วามจรงิ ไม่ใชอ่ ุบาทว์ ไม่ใช่คน ไม่ใชส่ ตั ว์ ไม่ใชว่ ิญญาณ ประเภทผี
สางนางไม้ หรอื เทวดาอารกั ษ์ แตต่ วั อุบาทวท์ ีก่ ล่าวถึงน้ี ได้แก่ความถือ
รนั้ อวดดที ี่สิงอยู่ในใจของคน

ในทางศาสนาเรยี กวา่ ทฏิ ฐิ หมายถงึ ความถอื มนั่ ทจี่ ะใหเ้ ปน็ ไปตาม
ความเห็นของตน ยึดถือความเห็นของตนเป็นท่ีตั้ง อีกค�าหนึ่งเรียกว่า
มานะ ได้แกค่ วามถือตัว ความสา� คัญตนวา่ เปน็ น่นั เปน็ น่ี รวม ๒ ค�าเปน็
ทฏิ ฐมิ านะ มคี วามหมายวา่ ความถอื รนั้ อวดดี หรอื ความดงึ ดอ้ื ถอื ตวั ไม่
ยอมฟงั ความเหน็ ของคนอนื่ ถงึ ผดิ กไ็ มย่ อมรบั ผดิ ถอื รน้ั วา่ ความเหน็ ฝา่ ย
ตนเท่านน้ั ถกู ทฏิ ฐมิ านะน้เี ป็นกเิ ลส (ความชว่ั ) เปน็ ธรรมชาติฝา่ ยลบ
ซ่ึงติดตามมาต้ังแต่เกิด ครั้นเพ่ิมปริมาณมากข้ึนก็กลายเป็นความแข็ง
กระด้าง หยง่ิ ยโส ไมย่ อมอ่อนนอ้ มคอ้ มหัวเคารพใคร เวลาแสดงความ
เห็นก็ไม่ยอมฟังความคิดเห็นของคนอื่น ประเภทข้าถูกคนเดียว ท่ีท่าน
กลา่ ววา่ เปน็ ธรรมชาตฝิ า่ ยลบนน้ั กด็ ว้ ยเหตวุ า่ ทฏิ ฐมิ านะเมอ่ื เขา้ ไปสงิ อยู่
ในใจของใครแลว้ จะทา� ใหบ้ คุ คลนน้ั แสดงพฤตกิ รรมตา่ งๆ เปน็ ตน้ เหตแุ หง่
ความขัดแย้ง สงั คมปน่ั ปว่ นยงุ่ เหยงิ พงึ ทราบวา่ ทีใ่ ดมีความแตกแยก ท่ี
นน้ั มตี ัวอบุ าทว์ (ทิฏฐิมานะ) ไดเ้ กดิ ขึ้นแล้ว

(นทิ านธรรมสาธก)

271


272


พญาช้างตน้ กบั ลูกสุนขั

“โทษของการตดิ เพื่อน”

ในอดีตกาล สมัยเมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์สมบัติ ณ กรุง
พาราณสี พระโพธสิ ัตวเ์ สวยพระชาติเป็นอา� มาตย์บัณฑิต บา� เพญ็ ปัญญา
บารมชี ว่ ยเหลอื พญาชา้ งตน้ ไมก่ นิ อาหาร สว่ นพระอานนทเ์ กดิ เปน็ พระเจา้
พรหมทัต

วนั หนึ่ง ณ โรงช้างของพระเจ้าพรหมทัต มีลกู สุนัขตัวหนึ่งพลัดจาก
แมม่ าอาศยั อยใู่ นโรงเลย้ี งชา้ ง พญาชา้ งตน้ รกั และเอน็ ดลู กู สนุ ขั นนั้ มาก ได้
ร่วมกินอาหารและขนมนมเนยด้วย เม่ือกินแล้วก็เล่นกันเป็นที่สนุกสนาน
ลูกสนุ ขั มกั จะวง่ิ หลอกลอ่ ชา้ งต้นไปมา ฝ่ายช้างต้นก็ใช้งวงจับลกู สุนขั ไสไป
ไสมาตามพื้นบา้ ง ยกไวบ้ นกระพองบา้ ง สตั วท์ ั้งสองร่วมกินร่วมเลน่ และ
อาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวดว้ ยความผาสุกตลอดมา

อยู่มาวันหนึ่ง มีชาวบ้านคนหนึ่งเข้ามาในโรงช้าง เห็นลูกสุนัขมี
ลักษณะดี ขนเป็นเงางาม ทา่ ทางเฉลียวฉลาด จงึ บงั เกดิ ความเอ็นดู ถึงกับ
เอ่ยปากขอซื้อลกู สุนัขจากนายควาญช้าง เพอื่ จะน�าไปเลย้ี ง นายควาญชา้ ง
ทนการรบเร้าอ้อนวอนไม่ไหวก็เลยขายให้ไป นับแต่วันที่ลูกสุนัขถูกพราก
ไป พญาชา้ งตน้ กไ็ มเ่ ปน็ อนั กนิ อนั นอน แมเ้ วลานายควาญชา้ งพาไปอาบนา้�
ก็ไดย้ นื น่งิ เฉย ไม่ขดั สรี ่างกายอยา่ งเคย ซ�้าบางคราวยงั เหม่อลอยอยา่ งไร้
จุดหมาย น�้าตาไหลพรากลงอาบแก้ม ใครจะเรียกขานอย่างไรก็ไม่รับรู้
ราวกบั ว่าหัวใจไดส้ ลายไปแล้ว

เม่ือพญาช้างต้นมีอาการเช่นนี้ติดต่อหลายวัน นายควาญช้างรู้สึก
วติ กกังวลมาก เกรงว่าหากพญาชา้ งตน้ เป็นอะไรไปตนจะมีความผดิ จงึ ได้
น�าความข้ึนกราบทูลให้พระเจ้าพรหมทัตทรงทราบ พระองค์จึงมีรับสั่งให้
อา� มาตย์บัณฑิตไปตรวจดูอาการพญาช้างตน้ อ�ามาตยบ์ ณั ฑิตเม่อื ได้ตรวจ
ดูอาการแล้ว ไม่พบความผิดปกติใดๆ พญาช้างต้นยังมีร่างกายแข็งแรงดี

273


ไมป่ ่วยไม่ไข้ จึงสนั นิษฐานว่า อาการท่ีปรากฏนนั้ คงไมใ่ ช่เกดิ จากโรคทาง
กาย ต้องเกิดจากโรคทางใจเป็นแน่ แต่อะไรเล่าคือสาเหตุให้เป็นเช่นนี้
อา� มาตยบ์ ณั ฑติ ครนุ่ คดิ วา่ “ตามธรรมดาในหมชู่ นทว่ั ไปทมี่ อี าการเสยี ใจถงึ
เพยี งน ี้ มกั เปน็ เพราะถกู พรากจากบคุ คลผเู้ ปน็ ทร่ี กั หรอื วา่ พญาชา้ งตน้ ถกู
พรากจากผู้เป็นท่ีรักด้วย ถ้าเป็นเช่นน้ัน ใครกันหนอที่เป็นที่รักของพญา
ชา้ งตน้ จะเปน็ นายควาญชา้ งคงไมใ่ ช่ เพราะอยู่นี่ แตจ่ ะต้องมแี น่ ๆ คนท่ี
สนิทสนมและคุ้นเคยกับพญาชา้ งตน้ ย่ิงกวา่ นายควาญชา้ งตอ้ งมีแน่ๆ”

เมื่อคิดดังน้ีแล้ว อ�ามาตย์บัณฑิตจึงได้สอบถามนายควาญช้างทันที
ว่า “นี่ พอ่ ควาญช้าง มใี ครอกี บ้างไหมทพ่ี ญาชา้ งต้นสนทิ สนมเปน็ พเิ ศษ”
“ไมเ่ หน็ มใี ครเลยครบั นอกจากลกู สนุ ขั ตวั หนง่ึ ทเ่ี คยเลน่ ดว้ ยกนั ” นายควาญ
ชา้ งตอบ “ลกู สนุ ัขท่ีไหน พ่อควาญช้างเลี้ยงไวร้ ึ ฉนั ไม่เหน็ มเี ลย” “ไมไ่ ด้
เลย้ี งไว้หรอก ไม่ร้วู ่ามนั มาจากไหน เหน็ มากนิ ข้าวกนิ ขนมกับพญาชา้ งตน้
ทกุ วนั ” นายควาญช้างตอบ “แลว้ มันไปไหนเสยี ละ ไปเอามาใหด้ หู นอ่ ยซิ”
อา� มาตยบ์ ณั ฑติ รอ้ งสง่ั แตน่ ายควาญชา้ งบอกวา่ ไดข้ ายใหช้ าวบา้ นคนหนง่ึ
ไปเสยี แล้ว และไมร่ ดู้ ว้ ยว่าบ้านของเขาอย่ทู ่ไี หน

อ�ามาตย์บัณฑิตจึงกราบทูลเร่ืองนี้ให้พระเจ้าพรหมทัตทรงทราบว่า
พญาชา้ งตน้ มอี าการซมึ เศรา้ เหมอื นหมดอาลยั ในชวี ติ นน้ั เปน็ เพราะคดิ ถงึ
ลกู สนุ ัขท่เี ปน็ เพือ่ นรักกนั พระองคจ์ ึงโปรดใหป้ า่ วประกาศไปทัว่ เมอื งใหผ้ ู้
ทเ่ี ลย้ี งลกู สุนขั ตัวน้ไี ว้ปล่อยออกมาเสีย มเิ ชน่ นน้ั หากตรวจพบในเรือนผ้ใู ด
ผูน้ ้ันจะมโี ทษ”

ฝ่ายลูกสุนัขแม้จะถูกน�าไปเล้ียงก็ไม่เป็นอันกินอันนอนเช่นเดียวกัน
แม้จะได้รับการเอาอกเอาใจอย่างดีเชน่ ใดกต็ าม มันไดแ้ ต่นอนนา�้ ตาซึมอยู่
กับท่ี จนกระทงั่ คนที่น�าไปเล้ยี งได้ยินทหารป่าวประกาศข่าวจึงปล่อยมนั ไป
ทนั ทที ลี่ กู สนุ ขั หลดุ พน้ จากรว้ั บา้ นกว็ ง่ิ สดุ ฝเี ทา้ ตรงมายงั โรงเลยี้ งชา้ งตน้ ดว้ ย
ใจลงิ โลด

พญาช้างต้นเห็นลูกสุนัขว่ิงมาแต่ไกลก็เปล่งเสียงร้องด้วยความดีใจ
และใช้งวงกอดรัดไว้ทันทีก่อนท่ีลูกสุนัขจะถึงตัว น�้าตาแห่งความปีติไหล
พรากออกมาดว้ ยกนั ทงั้ ค ู่ พญาชา้ งตน้ คอ่ ยๆ วางลกู สนุ ขั ไวบ้ นกระพองดว้ ย
ความรกั อยา่ งสดุ ซง้ึ แลว้ ใหล้ กู สนุ ขั กนิ ขา้ วและขนมของตน เมอื่ ลกู สนุ ขั อมิ่
แล้วตนจึงกนิ ภายหลงั

อ�ามาตย์บัณฑิตเห็นว่าพญาช้างต้นเป็นปกติสุขด้วยดีแล้ว จึงไป

274


กราบทูลพระเจ้าพรหมทัตทรงทราบ พระองค์ตรัสชมเชยที่ท่านบัณฑิตรู้
อัธยาศัยของสัตว์ดิรัจฉาน และท�าให้พญาช้างต้นเป็นปกติสุขเช่นเดิมได้
จงึ ไดพ้ ระราชทานยศและทรัพยส์ ินให้เปน็ รางวัลเป็นอนั มาก

ชาดกเรื่องนม้ี ีคตสิ อนว่า การมีเพ่อื นเปน็ สิง่ ดี แตก่ ารตดิ เพ่อื นจะ
ให้โทษ เพราะก่อใหเ้ กดิ ทุกข์ ๒ ประการ

๑. ทุกข์เพราะความคิดถงึ
๒. ทุกข์เพราะเสียการงาน
แม้กระท่ังในครอบครัวก็เช่นเดียวกัน สามีหรือภรรยาท่ีติดฝ่าย
ใดฝ่ายหนง่ึ มากเกนิ ไป จนตอ้ งเกีย่ วก้อยห้อยตามกนั ไปทุกหนทกุ แห่ง
เหมอื นเงาตามตวั หรอื พอ่ แมท่ ต่ี ดิ ลกู จนทะนถุ นอมและหว่ งใยดงั ไขใ่ น
หิน ยอ่ มไมก่ อ่ ใหเ้ กิดประโยชนแ์ ก่ฝ่ายใด นอกจากจะสรา้ งความทกุ ข์
กังวลซ่ึงกันและกันแล้ว เมื่อพรากจากกันแล้ว ยังท�าให้ต่างฝ่ายไม่
สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ เป็นการถ่วงความเจริญก้าวหน้าของกัน
และกันอกี ด้วย เช่นเดียวกนั กบั นกั เรยี นทีต่ ิดเพ่อื น มกั จะทิง้ เร่อื งการ
ศึกษาเล่าเรียนไปเที่ยวเตร่ตามสถานที่ต่างๆ เป็นการปล่อยเวลาและ
โอกาสใหห้ มดไปโดยไมไ่ ดป้ ระโยชน์
ดงั นัน้ ใครทก่ี �าลังรักใคร่ในบุคคลใดก็ตาม พึงเตือนตนให้รักแต่
พอประมาณ สว่ นใครทยี่ งั ไมร่ กั ใครผ่ ใู้ ด กอ็ ยา่ ไดข้ วนขวายใหว้ นุ่ วายใจ
ใหค้ ิดเสมอวา่
“เมาเพอื่ นหมดราคา เมาสรุ าหมดสา� คัญ เมาพนันหมดตวั เมา
เพอื่ นชว่ั หมดด”ี

(อภิณหชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย
ชาดก เอกนบิ าต เลม่ ๒๘ หนา้ ๓๓๔)

275


276


พระราชาพระเกศาหงอก

“เทวฑตู มาเตอื นแล้ว”

ในเมอื งมถิ ลิ า แควน้ วเิ ทหะ มพี ระเจา้ มฆเทวะเปน็ พระราชา พระองค์
ทรงครองราชยด์ ้วยหลักทศพิธราชธรรม จนได้รบั ยกยอ่ งวา่ “ธรรมราชา”
พระราชาผ้ทู รงธรรม

ในชาตินั้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระเจ้ามฆเทวะนั่นเอง
ต่อมาไดอ้ อกบวชบา� เพ็ญพรตอยู่ในป่า พระเจา้ มฆเทวะด�าเนนิ ชวี ิตอยา่ งมี
ขั้นตอน ทรงก�าหนดไว้ว่าข้ันตอนไหนจะท�าอะไร การสละราชสมบัติ
ออกบวชเปน็ ข้ันตอนหน่ึงที่ทรงวางไว้ และทรงทา� ตามนน้ั เมอื่ ถึงเวลา

วนั หนง่ึ ขณะทป่ี ระทบั นง่ั ใหช้ า่ งกลั บก (ชา่ งตดั ผม) ตดั พระเกศาอย ู่
ทรงระลกึ ถงึ การออกบวช จงึ รบั สง่ั วา่ “วนั ไหนทเี่ จา้ เหน็ ศรี ษะขา้ มผี มหงอก
ขอใหบ้ อกดว้ ย” “ทา� ไมหรอื พระเจา้ ขา้ ” ชา่ งกลั บกทลู ถามอยา่ งสงสยั “เอา
เถอะนา่ ” พระราชาทรงพระสรวญนอ้ ยๆ “ใหบ้ อกกแ็ ลว้ กนั อยา่ ซกั ไซเ้ ลย”
“พะยะ่ คะ่ ” ช่างกัลบกทลู รับ

นับแต่วันนั้นมา ทุกคราวที่ได้เข้าแต่งหรือตัดพระเกศาถวาย ช่าง
กัลบกก็สังเกตดูพระเกศาเส้นท่ีหงอก บังเอิญเขาเหลือบไปเห็นพระเกศา
เสน้ หนง่ึ หงอกขาวจงึ ทลู วา่ “ขอเดชะ ขา้ พระองคพ์ บพระเกศาหงอกแลว้ พะ
ยะ่ คะ่ ” “พบแลว้ หรอื ” พระราชาทรงพระสรวญ “ไหนลองถอนมาใหข้ า้ ดซู ”ิ
ว่าแล้วพระราชาก็ทรงแบพระหัตถ์ ฝ่ายช่างกัลบกก็เอาแหนบทองค�าถอน
พระเกศาเส้นท่ีหงอกนั้นวางลงในพระหัตถ์ให้พระราชาทอดพระเนตร
“มัจจรุ าชใกลเ้ ข้ามาแล้ว” พระราชาทรงรา� พงึ “ในโลกนี้ มีใครพ้นความ
ตายไปได้บ้าง ไม่มีเลย ความตายเป็นธรรมดาของชีวิต เราเองก็ไม่พ้น
อา� นาจทยี่ ่งิ ใหญ่ ทรพั ยส์ มบตั ิท่มี ากมาย บุตร ภรรยา ขา้ ทาส บริวารทัง้
หลาย ไม่ชา้ เราก็ตอ้ งทง้ิ ไปเหมือนอย่างท่พี ระบิดาและพระเจา้ ปู่ของเราท้งิ
ไป” “ขา้ ไมเ่ ชอื่ ตวั เองวา่ แก”่ ทรงอทุ านออกมาขณะทท่ี อดพระเนตรเสน้ พระ

277


เกศาอย่างพินิจพิเคราะห์ “แต่พระองค์ เพียงพระ พระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งแล้ว พระพุทธเจ้าข้า”
เกศาหงอกเส้นเดียวเท่าน้ัน ข้าพระองค์คิดว่า ชา่ งกลั บกกม้ ลงกราบแทบพระบาทดว้ ยความซาบซง้ึ
พระองค์ยงั ไมแ่ กเ่ ลย” ช่างกัลบกทูล
เมอื่ ทรงจดั การมอบราชสมบตั ทิ กุ อยา่ งใหพ้ ระ
“เจา้ อย่าปลอบใจขา้ เลย คนเราลงว่าผมเปน็ โอรส พร้อมทั้งทรงสั่งสอนพระโอรสให้ยึดมั่นในทศ
สองสีแล้ว ถ้าไมแ่ กก่ ็ผิดไปล่ะ” ทรงรบั สั่งพลางเกิด พิธราชธรรมแล้ว พระเจา้ มฆราชก็ทรงออกบวชเปน็
ความสลดพระทยั ขน้ึ มาทนั ใด “ขา้ คดิ หาทางออกได้ ฤษีอยู่ในป่าหิมพานต์ พระองค์บ�าเพ็ญเพียรจนได้
แล้ว” พระราชาตรัสและทรงพระสรวญน้อยๆ บรรลุฌานสมาบัติ พระองค์ทรงด�ารงพระชนม์อยู่
“ทางออกอะไร พระเจา้ ขา้ ” ชา่ งกลั บกทูลถามดว้ ย ตลอดอายุขัย สวรรคตแล้วก็ไปเกดิ เป็นพรหมอยใู่ น
ความสงสยั “การออกบวช” พระราชาตรัสด้วยน�า้ พรหมโลก
เสียงหนกั แนน่ “ขอเดชะ.” ช่างกัลบกกราบทลู ด้วย
เสียงอันดัง “พระองค์จะเสด็จออกบวชจริงๆ หรือ นิทานเรื่องน้ีมีคติสอนว่า คนฉลาดย่อมไม่
พระเจา้ ขา้ ” “จรงิ ซ”ี่ พระราชาทรงพยกั พระพักตร์ ประมาทมัวเมาหลงตัวเองว่ายังไม่แก่ เห็นเส้นผม
รบั “ขา้ ตง้ั ใจไวน้ านแลว้ ยง่ิ ตอนนขี้ า้ ไดเ้ หน็ ผมหงอก บนศรี ษะหงอกเพยี งเสน้ เดยี วกฉ็ กุ คดิ ไดว้ า่ เทวทตู
บนหัวข้า ก็ยิ่งคิดหนักว่าข้าแก่ปานนี้แล้วแต่ยัง ปรากฏชัดแล้ว ด้วยเหตุเพียงเห็นเส้นผมท่ีหงอก
เอาชนะกเิ ลสไม่ได้เลย” คนทั่วไปอาจไม่มีความรู้สึก แต่พระโพธิสัตว์รู้จัก
พจิ ารณาสภาวะทปี่ รากฏ เปน็ สญั ลกั ษณเ์ ตอื นใจให้
นับต้ังแต่วันท่ีทรงทราบว่ามีพระเกศาหงอก ระลกึ ถงึ คตธิ รรมดาของชวี ติ ทไี่ มค่ วรลมุ่ หลงมวั เมา
แลว้ พระราชากท็ รงคดิ ถงึ แตก่ ารออกบวช วนั หนง่ึ ซึ่งเรียกว่า เทวทตู ซ่งึ ไดแ้ ก่ ความแก่ ความเจ็บ
เมื่อตัดสินพระทัยได้แน่นอนแล้ว จึงรับส่ังให้พระ และความตาย มองเห็นสภาพเชน่ น้ีเมือ่ ใด จะไดม้ ี
โอรสพระองค์โตเขา้ เฝา้ แล้วรบั สัง่ วา่ “ลูกรัก บัดน้ี สติ รจู้ ักใช้ปญั ญาพิจารณา จะได้เกิดความสังเวช
พ่อรู้ตัวว่าพ่อแก่แล้ว พ่อใกล้ความตายเข้าไปทุกที เรง่ ขวนขวายประกอบแตก่ ลั ยาณธรรม คอื การกระ
ควรจะออกบวชบ�าเพ็ญศีลภาวนา เร่ืองการบ้าน ท�าท่ีดีงาม ด�าเนินชีวิตด้วยความไม่มัวเมา ไม่
การเมืองควรจะเป็นเรื่องของเจ้าท่ียังหนุ่มยังแน่น” ประมาทในชวี ติ ในความเปน็ หนมุ่ สาว ในความไมม่ ี
“แต่ลูกยังเด็กเกินไป พระเจ้าข้า” พระโอรสทูล โรค ในทรพั ยส์ มบตั ิ เพยี รพยายามมงุ่ แสวงหาสงิ่ ท่ี
ทดั ทาน “ขอเวลาใหล้ กู เปน็ ผใู้ หญข่ น้ึ กวา่ นส้ี กั หนอ่ ย เปน็ แกน่ สารแกช่ ีวติ ในภายภาคหน้าตอ่ ไป
เถอะ เสดจ็ พอ่ คอ่ ยเสด็จออกบวช” “ไมไ่ ดห้ รอกลูก
พอ่ รอต่อไปไมไ่ ด้ ขณะน้ีถึงลูกยงั เลก็ อย ู่ ลูกก็ยงั มี (มฆเทวชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย
อ�ามาตย์ผู้รอบรู้กิจการงานเมืองทุกอย่างคอยช่วย
เหลือ ลูกจงท�าตามที่พ่อสั่งเถอะ อย่าให้มีอะไร ชาดก เอกนบิ าต เล่ม ๒๘ หน้า ๒๔๖)
ขัดข้องเลย”

คร้ันแล้ว ทรงหันมาทางช่างกัลบก “น่ีช่าง
กลั บก ในฐานะท่เี จา้ รับใช้ข้ามานาน ข้าขอยกบา้ น
สว่ ยให้เจ้า ๒ แห่งเป็นรางวลั เพื่อเจา้ จะไดเ้ กบ็ ราย
ไดจ้ ากบา้ นสว่ ย เลย้ี งตวั และครอบครวั ตอ่ ไป” “เปน็

278


279


ครอบครวั ชาวนา

“นกึ ถงึ ความตายสบายนกั ”

ในอดีตกาล พระโพธสิ ตั ว์เสวยพระชาติเปน็ พราหมณช์ าวเมอื งพาราณสี
มีอาชีพเปน็ ชาวนา ท่านมลี กู ๒ คน เปน็ หญงิ ๑ ชาย ๑ ตอ่ มาเม่อื ลกู ชาย
แต่งงาน เพ่ิมหญิงสะใภ้เข้ามาอีกคนเป็น ๕ และมีหญิงรับใช้คนหน่ึงชื่อ
ขชุ ชตุ ตรา รวมท้ังหมด ๖ คนด้วยกัน

พราหมณช์ าวนาใหโ้ อวาทคนในครอบครวั เสมอในเรอื่ งมรณสั สต ิ สอนให้
นึกถงึ ความตายเนืองๆ ความตายเปน็ ของไม่แน่นอน ชวี ิตไม่แนน่ อน สังขารทั้ง
หลายไม่เทีย่ ง มีความสน้ิ ความเสือ่ มไปเปน็ ธรรมดา ขอใหไ้ ม่เป็นผปู้ ระมาททง้ั
กลางวนั และกลางคืน

วันหนึง่ บิดากบั บตุ รชายออกไปไถนาดว้ ยกัน บุตรชายถกู งูเห่ากดั จนถึง
แก่ความตาย เมอื่ บดิ าเหน็ งูเหา่ กัดบุตรชายตาย ก็ไมไ่ ดแ้ สดงอาการเศรา้ โศก
เสียใจแต่อย่างใด ไดย้ กศพบุตรชายไปวางไว้ใตต้ ้นไม้ต้นหนึ่ง แลว้ ก็ไถนาต่อไป
เมือ่ เหน็ ชายคนหนงึ่ เดินผ่านมาจึงขอรอ้ งว่า “พ่อคุณ พอ่ ชว่ ยไปบอกคนที่บ้าน
ฉนั ทีเถดิ วา่ ใหจ้ ัดอาหารส่งมาให้ฉันเพยี งคนเดยี วเทา่ นัน้ ไมต่ ้องเผอื่ บตุ รชาย
ฉันดอก แล้วช่วยบอกให้ทุกคนที่บ้านมาท่ีน้ที ้งั หมดด้วย” ชายผูน้ ้ันรบั คา� แล้วก็
ไปจนถึงบ้านของชาวนาผู้นั้น แล้วก็แจ้งให้ทางบ้านทราบตามที่ชาวนาสั่งทุก
ประการ

คนทัง้ ๔ คือ ภรรยาของชาวนา บุตรสาว บุตรสะใภ้ และคนใช้ ได้เดนิ
ทางออกจากบา้ นไปยงั ทอ้ งนา มารดาเห็นบตุ รชายนอนตายอยกู่ ไ็ มร่ ้องไห้ น้อง
สาวกไ็ มเ่ ศรา้ โศก ภรรยากไ็ มเ่ สยี ใจ ทง้ั คนใชก้ ไ็ มแ่ สดงอาการโศกเศรา้ ตา่ งชว่ ย
กนั จดั การเผาศพใหเ้ สรจ็ สิ้นไป

ขณะนั้น พราหมณ์ผูห้ น่งึ เดนิ ทางมาถึงท่ซี ึง่ คนท้งั ๕ ก�าลังสนทนากันอยู่
ณ ใกลๆ้ ทีเ่ ผาศพนน้ั จงึ เข้าไปสอบถามวา่ “ศพท่เี ผานั้นเปน็ ใคร” “เขาเปน็
ลกู ชายฉันเอง นนั่ มารดาของเขา นัน่ ภรรยาของเขา น่ันนอ้ งสาวของเขา และ
นนั่ ก็คนใช”้ ชายชาวนาตอบ

280


พราหมณป์ ระหลาดใจยง่ิ นกั ทค่ี นเหลา่ นนั้ ลว้ นเกย่ี วขอ้ งใกลช้ ดิ กบั ผตู้ ายทงั้
นน้ั แต่ไม่เหน็ มีใครแสดงอาการเศรา้ โศกเสียใจเลย จึงถามข้ึนวา่ “เพราะเหตไุ ร
พวกท่านจงึ ไมเ่ ศร้าโศกเสยี ใจถึงคนตายเล่า”

ชายผู้เป็นบิดาตอบว่า “ธรรมดางูลอกคราบท้ิงไว้ก็หมดอาลัยในคราบเก่า
มไิ ด้เวียนไปเวียนมาหาคราบเดมิ ใครจะเหยยี บย�า่ ทบุ ตีแทงฟันคราบเกา่ งูนัน้ ก็
ไมโ่ กรธ ฉนั ใด บตุ รของเราทตี่ ายไปนน้ั กไ็ มเ่ วยี นมาเวยี นไป รกั ใครใ่ นซากศพ ถงึ
ใครจะทบุ ตดี า่ วา่ ฆ่าฟัน ศพนัน้ ก็ไมโ่ กรธ หรอื ใครจะบูชาสรรเสรญิ ศพนั้นกไ็ ม่มี
ความดีใจ เพราะพจิ ารณาถงึ เหตุความจริงขอ้ น้ี จึงไมเ่ ศร้าโศกถงึ บุตร”

หญงิ ผู้เป็นมารดาตอบว่า “บุตรของฉัน เม่อื เขาจะมาเป็นบุตรเขาก็มาเอง
ฉนั ไมไ่ ดไ้ ปชวนเขามา เมอื่ เขาจะไป เขากไ็ ปเองตามอธั ยาศยั ถงึ ฉนั จะรอ้ งไห ้ เขา
กไ็ มร่ สู้ กึ ยนิ ดอี ะไร ฉนั พจิ ารณาเหน็ อยา่ งน ี้ จงึ ไมเ่ ศรา้ โศกถงึ บตุ รสดุ ทร่ี กั ของฉนั ”

หญงิ ผ้เู ปน็ นอ้ งสาวของผตู้ ายตอบว่า “ทา่ นพราหมณ์ ถงึ ดิฉนั จะเศรา้ โศก
อาลยั ถงึ พชี่ าย กเ็ สยี เวลาเปลา่ ไมม่ ปี ระโยชนอ์ ะไรกบั พชี่ ายทตี่ ายไป ถงึ จะรอ้ งไห้
เขาก็ไม่ร ู้ เพราะเขาตายไปแลว้ ถึงจะรอ้ งไห้จนเลือดตาแทบกระเดน็ เขาก็ฟื้นขน้ึ
มาไม่ได้ ดฉิ ันพิจารณาเห็นอยา่ งน้จี ึงไมเ่ ศรา้ โศกถึงพ่ีชาย” หญิงผ้เู ป็นภรรยาของ
ผตู้ ายตอบวา่ “ทา่ นพราหมณเ์ จา้ ขา ทารกนอ้ ยๆ ที่ยังไม่รูเ้ ดยี งสา ร้องไหว้ ิงวอน
มารดาบดิ าจะเอาดวงจนั ทร ์ ถงึ จะรอ้ งไหร้ า่� ไรสกั เพยี งใด กไ็ มส่ า� เรจ็ ตามปรารถนา
ฉนั ใด การร้องไห้ร�า่ รกั ถึงคนตายไปแล้วก็ไมม่ โี อกาสที่จะใหเ้ ขากลบั ฟืน้ ขน้ึ มาได้
ฉนั นั้น ดิฉันพิจารณาเห็นอยา่ งน้ี จึงไมเ่ ศรา้ โศกถึงสามสี ุดทร่ี ักทีต่ ายจากไป”

หญงิ คนใชต้ อบวา่ “ทา่ นพราหมณเ์ จา้ ขา ธรรมดาหมอ้ ทแี่ ตกไปแลว้ เจา้ ของ
ย่อมมีความเสียดาย แต่ถึงจะร้องไห้ร�่าไรให้หม้อน้ันคุมติดกันเหมือนอย่างเดิม
ยอ่ มเปน็ ไปไมไ่ ด ้ ฉนั ใด การรอ้ งไหถ้ งึ ผทู้ ต่ี ายไปแลว้ เขากไ็ มก่ ลบั คนื มาได ้ ฉนั นนั้
ดิฉันพิจารณาเหน็ ดังน้ี จึงไมร่ ้องไห้เศรา้ โศกถงึ นายทตี่ ายไป” พราหมณ์ไดฟ้ งั ดัง
นนั้ ก็รูส้ กึ ชน่ื ชมโสมนสั ย่งิ นกั ไดก้ ลา่ วคา� อนโุ มทนาแล้วจากไป

281


นิทานเร่ืองน้ีมีคติสอนว่า ความตายเป็นความจริงอย่างหนึ่งท่ีมนุษย์
ทุกคนจะต้องเผชิญ เม่ือจะต้องเผชิญอยู่แล้วก็ควรจะรู้จักปฏิบัติต่อความ
ตายอย่างถูกต้อง โดยสอนให้เบนจากความร้สู กึ หดหู่และหวาดกลัวท่ีเป็น
โทษ ไปสคู่ วามรู้สกึ ที่ดงี ามและเปน็ ประโยชนว์ ่า

๑. เมื่อเกิดเหตุพลดั พราก มีผู้ตายจากไปกจ็ ะท�าใจได้ทนั เวลาหรอื
เรว็ ไววา่ ทกุ คนมกี รรมเปน็ ของตน เขาไปแลว้ ตามทางของเขา ตามทก่ี รรม
จะน�าพาไป การร้องไห้เศรา้ โศกเสยี ใจของเราช่วยอะไรเขาไม่ได้ แต่น้ันก็
จะไมเ่ กิดความโศกเศร้า หรือแมเ้ กิดกร็ ะงับดับได้

๒. เมอื่ เผชิญหนา้ กับความตายของตนเอง ระลกึ ถงึ กรรมดีท่ไี ดท้ �า
ไว้ และไม่เหน็ กรรมชวั่ ในตัวเอง ก็จะเกดิ ปีติโสมนัส เผชญิ ความตายดว้ ย
ความสงบสุขและความมีสติ แม้เมื่อยังไม่ถึงเวลาตายก็ด�าเนินชีวิตด้วย
ความมน่ั ใจ ไมห่ วาดหวน่ั กลวั ภัยและไมก่ ลวั ต่อความตาย

พร้อมกันน้ันเมื่อตัดใจจากความอาลัยในผู้ตายแล้ว ก็จะได้หันเห
ความสนใจกลบั มาเอาใจใส่ผู้ทีย่ งั อยู่ ซ่ึงถูกทิ้งอยเู่ บ้อื งหลังน้วี า่ คนเหล่านี้
ท่เี ราช่วยเหลอื ได้ มีทกุ ขโ์ ศกอันใดทีค่ วรจะไปชว่ ยขจดั ปดั เปา่ แลว้ หนั ไป
ช่วยเหลือ อย่างน้อยก็มองกันด้วยสายตา และน้�าใจแห่งความมีเมตตา
ปรานี เหน็ ซ้ึงวา่ คนทต่ี ายแล้วก็จากไปตามทางของเขา เราช่วยอะไรไมไ่ ด้
แล้ว แต่คนท่ียังเหลืออยู่นี้ อกี ไม่ชา้ ก็จะตอ้ งจากกันไปอีก ในเวลาทีเ่ หลือ
อยู่นี้ควรมาเมตตาอารีช่วยเหลือกัน อย่าให้ต้องเสียใจภายหลังอีกว่า โถ
เราตั้งใจไว้แตย่ ังไม่ทันทา� อะไรให้ เขาก็จากไปเสยี อกี แล้ว

ในทางพระทา่ นสอนว่า ถา้ ฝึกใจดแี ลว้ แมจ้ ะนกึ ถงึ ความตายตลอด
เวลาก็จะมหี น้าตายิ้มแยม้ แจม่ ใส นึกถึงความตายด้วยใจเปน็ สขุ ดังบท
ประพนั ธใ์ นอุทานธรรมกลา่ วไวว้ ่า

นึกถงึ ความตายสบายนกั
มันหกั รกั หกั หลงในสงสาร
บรรเทามดื โมหนั ต์อนั ธกาล
ทา� ให้หาญหายสะดงุ้ ไมย่ ุ่งใจ

(อุรคชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนิกาย
ชาดก ติกนบิ าต เล่ม ๓๑ หน้า ๕๒๐)

282


283


นกกระทาเจ้าปัญญา

“ตรวจตราใหร้ อบคอบกอ่ นทา� ”

เยน็ วนั หนงึ่ ขณะทชี่ ายชราคนใชข้ องทา่ นเศรษฐผี หู้ นงึ่ กา� ลงั พกั ผอ่ น
อยู่ภายใต้ซุม้ ไมใ้ หญใ่ นสวน ปรากฏมีนกกระทาตวั หน่ึงเดินเฉยี ดเข้าใกล้
ตัวเขาอย่างไมร่ ะวังตวั เขาจึงตะครบุ นกกระทาตัวนั้นเอาไวไ้ ด้ นกกระทา
ตกใจมากเมอ่ื ถกู จบั ตวั และยงิ่ กลวั หนักข้ึนเมอ่ื เหน็ ชายชราค่อยๆ ดึงมดี
ออกจากเอว คงจะเชอื ดคอตนใหต้ ายเปน็ แน ่ “อยา่ ฆา่ ฉนั เลย” นกกระทา
รอ้ งเป็นเสียงมนษุ ย์

ชายชราตาเหลือก ประหลาดใจอย่างสุดขีด เม่ือได้ยินเสียงนก
กระทาพดู เปน็ เสยี งมนษุ ย ์ แตก่ ย็ งั ไมป่ ลอ่ ยนกกระทา ทงิ้ มดี แลว้ ประคอง
นกไว้ตรงหน้า “โปรดอยา่ เพ่ิงฆ่าฉันเลย ไหนๆ ฉนั กจ็ ะตายอย่แู ลว้ ขอให้
ฉนั ไดม้ อบมรดกอนั ลา้� คา่ ๔ ชน้ิ ไวใ้ หท้ า่ นเสยี กอ่ นแลว้ จงึ คอ่ ยฆา่ ฉนั ” นก
กระทาต่อรอง “อะไรบา้ งบอกมาซ ิ อยา่ ได้ชักชา้ บางทีเราอาจจะกรณุ า
ตอ่ ชวี ติ เจ้าบ้าง เจ้ามีอะไรจะบอกข้าก็รีบว่ามา”

นกกระทาพดู วา่ “ขอใหล้ งุ ไดโ้ ปรดจา� ไวใ้ หด้ ี การทคี่ นเราจะมคี วาม
สุขในชีวติ ได้ จะตอ้ งปฏิบัตติ ามหลกั ๔ ขอ้ คอื

ขอ้ ท ี่ ๑ ตอ้ งพยายามรักษาของดีท่หี าไดไ้ วใ้ หด้ ี อย่าให้สูญหาย
ขอ้ ที่ ๒ อยา่ ได้เศร้าโศกเสยี ใจ เม่อื ของดีนนั้ ต้องสญู เสียไป
ข้อท ่ี ๓ จงฟังหไู ว้ห ู อยา่ เชือ่ ง่าย
ฉนั จะบอกลงุ เพยี ง ๓ ขอ้ เทา่ นีก้ ่อน สว่ นข้อท ่ี ๔ นนั้ สา� คัญมาก
ได้โปรดปล่อยฉันให้เป็นอิสระเสียสักครู่เถิด แล้วฉันจะบอกส่ิงที่มีค่านั้น
ให้ หากลงุ ไม่เชื่อใจฉัน ฉนั จะไม่บอกสงิ่ ท่มี ีคา่ น้นั ให้แก่ลุงเป็นอันขาด”
ชายชราตรกึ ตรองอยชู่ ว่ั คร ู่ ในทส่ี ดุ กต็ กลงใจวา่ “ขอ้ เตอื นใจ ๓ ขอ้
ที่นกบอกเราน่ันก็มีค่าเกินคุ้มแล้ว หากเราปล่อยมันไปแล้ว อย่างมากก็
อดกนิ เพยี งอม่ิ เดยี วเทา่ นน้ั เพอื่ ทราบขอ้ ๔ อนั เปน็ ขอ้ สา� คญั เราตอ้ งยอม
ปลอ่ ยเจ้านกกระทาเสยี ช่ัวคร่”ู แลว้ เขากว็ างนกกระทาลงบนพน้ื ดนิ

284


นกกระทาเมอ่ื ไดร้ ับอิสรภาพเชน่ นน้ั ก็สะบัด อย่างคนมีสติ ส่วนนัยน์ตาก็ยังคงจับจ้องอยู่ท่ีนก

ขนแล้วสาวเท้าก้าวเดินไปหยุดยืนอยู่ห่างชายชรา กระทาตัวงามผู้มีความคิดอันสูงส่ง และก่อนที่นก

พลางพดู วา่ “ทา� ไมลงุ จงึ เปน็ คนลมื เกง่ นกั ฉนั ไดบ้ อก กระทาจะบนิ จากไป คา� สอนทจี่ บั ใจจากนกกระทาวา่

ลงุ เมอ่ื กนี้ เ้ี องวา่ ใหพ้ ยายามรกั ษาสงิ่ ทห่ี ามาได ้ ทา� ไม “แม้ว่าลุงจะต้องสูญเสียตัวฉันไปก็ตาม ก็อย่าได้

จึงปล่อยฉันให้เป็นอิสระโดยไม่ปฏิบัติตามค�าเตือน เสียใจไปเลย ร่างกายของฉันไม่มีราคาอะไรหรอก

ของฉนั เลา่ ” อยา่ งไรกด็ ี ฉนั ขอฝากคา� เตอื นไวแ้ ทนตวั ฉนั เปน็ ครง้ั

ชายชรายกมือเกาศีรษะ สยิ้วหน้าโกรธแค้น สดุ ทา้ ยวา่ จงกลบั ใจเสยี ใหม ่ ตอ่ ไปน ี้ จะทา� สง่ิ ใดอยา่

ตวั เองทเี่ สยี รนู้ กกระทา แตก่ ท็ า� ใจดขี อรอ้ งนกกระทา ผลีผลามเป็นอนั ขาด จงยดึ หลกั ไวว้ ่า “คิดเสยี ก่อน

วา่ “ชา่ งเถอะ ขา้ แพเ้ จา้ แลว้ ในขอ้ นนั้ ชว่ ยบอกขอ้ ๔ จึงค่อยถาม ตรองเน้ือความก่อนตอบ ตรวจตราให้

หนอ่ ยไดไ้ หม ข้าอยากร”ู้ นกกระทาบอกว่า “ขอ้ ๔ รอบคอบก่อนทา� ” ว่าแล้วนกกระทากบ็ นิ จากไป

มิใช่เปน็ ขอ้ เตอื นใจลุงหรอก แต่มนั เปน็ ข่าวดีสา� หรบั นทิ านเรอื่ งน้ีมคี ตสิ อนวา่ ปกตคิ นเรายอ่ มได้

ลุง ภายในช่องท้องของฉันนี้มีเพชรเม็ดงามหนักถึง รบั ฟงั ค�าพูด ค�าสอน คา� ตักเตือน หรอื โอวาทตา่ งๆ

๒๐๐ กะรตั หากลงุ ไมป่ ลอ่ ยฉนั เสยี ลงุ จะกลายเปน็ จากผู้ใหญ่ เช่น พอ่ แม่ ครอู าจารย์ ผบู้ งั คับบัญชา

มหาเศรษฐีข้ึนมาทนั ที” พระสงฆอ์ งคเ์ จา้ ดว้ ยกนั ทกุ คน แตส่ ว่ นมากมกั จะ

ชายชราได้ฟังดังน้ันแล้วเสียใจมาก ล้มลงท้ัง ไม่ใส่ใจจดจ�า ไม่ให้ความส�าคัญ ส่วนค�าด่า ค�า

ยนื กล้ิงเกลอื กตัวกับพ้ืนไปมา รา� พันดว้ ยความโศก หยาบคาย หรือค�าที่เพ้อเจ้อไม่มีประโยชน์ กลับ

เศร้าท่สี ญู เสยี สงิ่ ที่มีค่าลา้� ไป จดจ�านา� ไปพูดกันโดยเหน็ วา่ โกเ๋ ก๋ทันสมยั ในชวี ิต

นกกระทาจึงพูดว่า “ลงุ ลืมอีกแลว้ หลักข้อ ๒ จึงไม่มีแก่นสารอะไรส�าหรับยึดเป็นแนวปฏิบัติ

ท่ีวา่ อย่าเศรา้ โศกเสยี ใจเม่อื ของดีน้นั ตอ้ งสูญเสียไป” อารมณก์ อ็ อ่ นไหว เตน้ ไปตามกระแส เปน็ คนหเู บา

ชายชรานอนตะแคงหูฟงั นกพูด ชักได้สติขนึ้ มาตาม เช่ือคนง่าย เม่ือประสบกับความผิดหวังก็ร�่าไห้

ค�าตักเตือนจึงหยุดร�าพัน แต่ยังออกอาการเสียดาย เสยี ใจ ตโี พยตพี าย ประชดตวั เอง เปน็ คนมองโลก

อย ู่ “ลงุ น่ใี ช่วา่ จะลมื คตขิ องฉันแค ่ ๒ ข้อเทา่ น้ันนะ ในแง่ร้าย ค�าเตือนค�าสอนของผู้ใหญ่น้ัน มีค่าย่ิง

ขอ้ สดุ ทา้ ยกล็ มื ดว้ ย คอื เปน็ คนหเู บา เชอ่ื คนงา่ ย ฉนั กว่าเพชรเม็ดงามหลายเท่า เพราะใช้ไม่มีวันหมด

พดู อะไรๆ กเ็ ชอื่ งา่ ยๆ มอี ยา่ งทไี่ หนนกกระทามเี พชร ไม่มีวันเส่ือมราคา ใครจะมาขโมยไปก็ไม่ได้

๒๐๐ กะรตั อยูใ่ นท้อง เพชรขนาดน้นั มนั ใหญเ่ กอื บ สามารถประดบั ตวั ประดบั ใจได้ทุกโอกาส ใครมีไว้

เทา่ ตวั ฉนั แล้วเมอ่ื มนั อย่ใู นทอ้ ง ฉันจะบินไปไหนมา กง็ ดงามและสขุ กายสบายใจไปตลอด คนทมี่ ผี คู้ อย

ไหนไดอ้ ยา่ งไร เพราะมนั หนกั ขนาดนนั้ มนั หนกั กวา่ เตือนคอยสอนน้ัน ถือว่าเป็นคนที่โชคดีท่ีสุดแล้ว

ตวั ฉันอีก ลงุ อยา่ เสียอกเสยี ใจไปเลย ฉนั ขอบอกลุง เม่ือไม่รับโชคไว้กับตัว ก็ต้องอับโชคตลอดไปโดย

ตามความเป็นจริง ในร่างกายของฉันนี้ไม่มีเพชร ไม่มใี ครชว่ ยได้ นอกจากชว่ ยตวั เอง

หรอก ฉนั ลองใจลงุ เลน่ เทา่ นนั้ เอง”

ชายชราได้ฟังดังน้ันกห็ ายเศร้าโศก ลุกขึ้นยนื (นิทานธรรมสาธก)

285


286


หนอนกบั เทวดา

“ทรุ ชนปรารถนาสิ่งซ่ึงเปน็ โทษ

สาธุชนปรารถนาสิ่งซ่ึงเปน็ คณุ ”

ณ หมบู่ า้ นแหง่ หนึ่งในชนบททอี่ ยหู่ ่างไกลออกไป มีชายสองคนเป็น
เพ่ือนรักกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่มีนิสัยไม่เหมือนกัน คนหน่ึงเป็นคนใจบุญ
ทา� แตบ่ ญุ กศุ ล ชอบชว่ ยเหลือคนอน่ื ส่วนอกี คนหนึ่งเปน็ คนใจบาปหยาบ
ช้า ชอบด่ืมสรุ าและด่าคนอ่ืนดว้ ยคา� หยาบคาย ท�าแต่บาปกรรมตา่ งๆ ตอ่
มาท้ังสองคนตายจากกัน คนที่เป็นคนดีได้ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้น
ฟา้ สว่ นเพื่อนอกี คนไปเกดิ เปน็ หนอนอย่ใู นถานพระริมร้ัววดั

อยมู่ าวนั หนึ่ง เพอ่ื นท่ีเปน็ เทวดาอยวู่ า่ งๆ กค็ ิดถงึ เพือ่ นเก่า อยากรู้
วา่ เพอ่ื นของตนตายไปแลว้ ไปเกดิ อยทู่ ไ่ี หน จงึ มองหาด ู เหน็ เพอ่ื นเกดิ เปน็
หนอน กนิ อจุ จาระอยถู่ านพระ จงึ เกดิ ความสงสารตอ้ งการชวนเพอื่ นมาอยู่
บนสวรรคด์ ว้ ยกนั จงึ ลงจากสวรรคไ์ ปปรากฏทป่ี ากหลมุ ถาน พอหนอนเหน็
เข้าก็จ�าได ้ และตะโกนถามเทวดาด้วยความดีใจ “เป็นไงเพ่อื น หายไปไหน
เสียนาน” “เราตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์แน่ะ เดี๋ยวน้ีฉันเป็น
เทวดาแลว้ นะ” เพ่อื นท่เี ปน็ เทวดาตอบ “แลว้ นจ่ี ะไปไหนละ่ ” หนอนถาม

เทวดาตอบว่า “เรามาชวนเพ่ือนไปอยู่บนสวรรค์ด้วยกัน เราเห็น
เพอื่ นจมอยกู่ บั อจุ จาระทสี่ กปรกโสโครกกน็ กึ สงสาร อยากจะมาชวนไปอยู่
บนสวรรคด์ ้วยกนั ” “บนสวรรคม์ ีดีอะไรหรือ ทา่ นเทวดา” หนอนชักสงสัย
“ดจี รงิ ๆ เพื่อนเอ๊ย!! งานอะไรก็ไมต่ อ้ งท�า อยากจะกินอะไรกเ็ นรมิตเอา
เปน็ สา� เร็จทุกครัง้ ”

พอหนอนได้ฟังเทวดาพูดอย่างน้ันก็ร้องไห้โฮ “ไม่ต้องร้องไห้หรอก
เพ่ือนเอย ร้องไห้ไปท�าไม” เทวดาปลอบคิดว่าหนอนร้องไห้เพ่ือขอความ
ช่วยเหลือ “โธ่เอ๋ยเพ่อื นรัก เราอดสงสารเพื่อนไม่ได้ เพ่ิงรู้วา่ เพ่ือนไปตก
ระก�าล�าบากมากมายเช่นน้ัน เอาอย่างน้ีก็แล้วกัน เพื่อนลงมาอยู่ในถาน
พระด้วยกนั ดกี ว่า ยงั พอมีทว่ี า่ งอย่บู า้ ง พอจะช่วยเหลือกันได”้ หนอนชวน

287


เทวดาบา้ ง “ในถานมีดีอะไรหรือเพ่ือน” เทวดาถามอีก “โอ!! เพ่ือนรกั ในนด้ี ี
กวา่ สวรรคห์ ลายเทา่ นัก บนสวรรค์จะกินอะไรก็ตอ้ งเนรมติ เอาเสียเวลา ทน่ี ี่ไม่
ต้องเสียเวลาเนรมิต อยู่เฉยๆ ถึงเวลาเช้าก็หลน่ ลงมาเองทกุ วนั กินเท่าไรกไ็ ม่
หมด ทา่ นกลบั ไปเถอะ เราขออยู่กับอาหารอันโอชะท่ีเหลือเฟอื ท้งั ไมต่ อ้ งทา� ไม่
ตอ้ งเนรมติ ต่อไปดีกว่า” ว่าแล้วหนอนก็มดุ หัวลงไปในกองอุจจาระทนั ท ี เทวดา
กไ็ ด้แต่ถอนใจ ไม่สามารถกลอ่ มเพอื่ นใหไ้ ปอยบู่ นสวรรคด์ ว้ ยกันได้

นทิ านเร่ืองนมี้ ีคตสิ อนว่า คนทช่ี อบสง่ิ สกปรกโสโครก ชอบคลุกคลีอยู่
กบั สง่ิ มอมเมา เสพตดิ อบายมขุ ตา่ ง ๆ มอี ยไู่ มน่ อ้ ยในโลกน้ี การทเี่ รามเี จตนา
ดี มงุ่ หวงั จะใหเ้ ขาเลกิ ละสง่ิ เหลา่ น้ี ไปชกั ชวนแนะนา� ใหเ้ ขาละเลกิ สงิ่ เหลา่ นน้ั
เป็นเรื่องที่น่ายกย่องสรรเสริญ แต่ใช่ว่าเขาจะเช่ือเราหรือท�าตามค�าแนะน�า
ของเราทุกคนไปก็หาไม่ เขายงั ปรารถนาจะจมปลกั อยู่กบั ส่ิงเหล่าน้นั ไมย่ อม
ถอนตัวออกจากหุบเหวเช่นนั้นก็มีอยู่ไม่น้อย ฉะนั้น จะต้องท�าใจหาก
ปรารถนาดตี อ่ เขา ต้องอดทนอดกล้ัน และตอ้ งรอเวลา ทง้ั ต้องท�าใจไวล้ ่วง
หนา้ ว่าอาจจะเสียเวลาเปลา่ ขนาดเทวดายงั ไมอ่ าจเปล่ยี นใจหนอนได้เลย

ในพระพทุ ธศาสนาไดแ้ บง่ บคุ คลไว้ ๔ ประเภท ทา่ นเปรยี บดว้ ยดอกบวั
๔ เหล่า

ประเภทท่ี ๑ ผู้สามารถรู้ธรรมได้ฉับพลัน (อุคฆฏิตัญญู) เหมือน
ดอกบัวทโ่ี ผล่พน้ น้า� ขึน้ มาแลว้ รอเวลาบานอยู่ พอไดร้ ับแสงอาทติ ย์อ่อนๆ ก็
บานไดท้ ันที

ประเภทท่ี ๒ ผสู้ ามารถรธู้ รรมได้เมอ่ื ขยายความเพม่ิ ขนึ้ (วิปจติ ัญญ)ู
เหมือนดอกบัวทอ่ี ย่ปู รมิ่ น้า� ยงั บานไมไ่ ด้กอ่ น ต่อเมอื่ ได้รับแสงแดดสกั สอง
สามคร้ังก็จะโผล่ขนึ้ มาเหนือนา้� และบานได้

ประเภทท่ี ๓ ผ้พู อจะแนะนา� ได้ (เนยยะ) เหมือนดอกบวั ท่ีอยู่ใตน้ �้า
ยังมีโอกาสโผลข่ น้ึ เหนือนา้� เม่อื ได้รบั แสงแดดก็จะบานในวนั ต่อๆ ไป

ประเภทท่ี ๔ ผอู้ บั ปญั ญา (ปทปรมะ) พรา�่ สอนไดย้ าก เหมอื นดอกบวั
ทเ่ี กดิ อยใู่ นตม จมอยใู่ นโคลนตม มโี อกาสทจี่ ะโผลข่ น้ึ เหนอื นา้� มาบานไดย้ าก
นอกจากจะเป็นภกั ษาของปลาและเตา่

บุคคลทจี่ มปลกั อยกู่ บั อบายมขุ สง่ิ เสพตดิ ของมึนเมาชนิดต่างๆ ชนดิ
ถอนตวั ไมข่ น้ึ แมไ้ ดร้ บั คา� แนะนา� พรา่� สอนแลว้ กจ็ ดั อยใู่ นบคุ คลประเภทที่ ๔
น้เี หมือนกัน

(นิทานธรรมสาธก)

288


289


รกั ยาวให้บ่นั รกั สั้นใหต้ อ่

“แกไ้ ข ไม่แกแ้ คน้ ใหอ้ ภยั ไม่จองเวร”

ในอดีตกาล เมื่อคร้ังพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในพระนครพาราณส ี
ทรงเปน็ กษตั รยิ ม์ งั่ คงั่ มพี ระราชทรพั ยม์ าก มรี พ้ี ลมาก มพี ระราชพาหนะมาก มพี ระ
ราชอาณาจักรใหญ ่ มีคลัง มศี ัสตราวุธยทุ ธภณั ฑ์และคลงั ธญั ญาหารบริบูรณ์

สว่ นพระเจ้าโกศล พระนามว่าทฆี ีติ ทรงเป็นกษัตรยิ ข์ ัดสน มพี ระราชทรพั ย์
นอ้ ย มรี พี้ ลนอ้ ย มรี าชอาณาจกั รเลก็ มคี ลงั ธญั ญาหารไมส่ จู้ ะบรบิ รู ณ ์ เมอ่ื ใดพระเจา้
พรหมทตั เสดจ็ กรธี าทพั ยกไปตเี มอื งใด เมอ่ื นนั้ เมอื งนน้ั เปน็ ตอ้ งพา่ ยแพย้ อมศโิ รราบ
ภายในเวลาอันรวดเร็ว ในกาลน้ัน พระโพธิสตั ว์เสวยชาตเิ ปน็ ทีฆาวกุ ุมาร

ครงั้ หนงึ่ พระเจ้าพรหมทตั เสดจ็ ยกทัพไปตเี มืองโกศล พระเจา้ ทีฆีติแห่งโกศล
ทรงรวู้ า่ พระองคไ์ มอ่ าจตา้ นการรกุ รานของพระเจา้ พรหมทตั ได ้ เพราะทรงดอ้ ยกวา่
ในทกุ ๆ ดา้ น อกี อยา่ งหน่งึ ทรงเหน็ วา่ การสูร้ บท�าให้ไพร่พลต้องล้มตาย ไมใ่ ช่สง่ิ ทด่ี ี
เลย จึงรับส่ังให้บรรดาทหารไม่ให้ใช้ก�าลังเข้าต้าน แล้วพระองค์ก็ทรงพาพระมเหสี
เสด็จหนอี อกจากพระนคร

พระเจ้าพรหมทัตเสด็จยกทัพเข้าไปในเมือง ปรากฏว่าบ้านเมืองสงบไร้ผู้
ตา้ นทาน จงึ เขา้ ยดึ ครองไดอ้ ยา่ งงา่ ยดาย ฝา่ ยพระเจา้ ทฆี ตี เิ มอ่ื เสดจ็ หนไี ป ไดป้ ลอม
พระองคก์ ับพระมเหสีเปน็ ชาวบ้านธรรมดา อาศัยอย่ทู บี่ า้ นชา่ งป้นั หม้อแห่งหนึ่ง อยู่
มาไม่นาน พระมเหสีก็มีพระครรภ์แก่ คร้ันครบก�าหนดก็คลอดพระโอรสออกมา
ตัง้ พระนามวา่ “ทฆี าวกุ มุ าร”

ทีฆาวกุ มุ ารเป็นเดก็ ฉลาด คล่องแคลว่ วอ่ งไว เมอ่ื เจรญิ วัยแลว้ พระชนกชนนี
ได้ส่งไปเรียนศิลปวิทยานอกพระนครพาราณสี เพื่อหลบหนีภัยที่อาจจะมีมาจาก
พระเจ้าพรหมทัตไปในตวั

ต่อมาวันหนง่ึ ช่างกัลบก (ช่างตัดผม) ของพระเจ้าทฆี ตี ิเกดิ แปรพักตร์เข้ากับ
พระเจ้าพรหมทัต ได้บอกที่ซ่อนตัวของเจ้านายเก่าให้พระเจ้าพรหมทัตได้ทราบ
พระเจ้าพรหมทตั จงึ สั่งใหท้ หารไปจับพระเจ้าทฆี ีตแิ ละมเหสมี าไดโ้ ดยละมอ่ ม รับสั่ง
ใหแ้ หป่ ระจานไปทวั่ เมอื ง และน�าไปประหารชวี ติ ทน่ี อกเมือง

290


ในระหว่างทาง ในขณะท่ีทหารน�าพระเจ้า แตง่ ตง้ั ใหเ้ ปน็ ทหารคนสนทิ ไดร้ บั ใชใ้ กลช้ ดิ กวา่ ใครๆ

ทฆี ตี แิ ละพระมเหสไี ปสา� เรจ็ โทษ ทฆี าวกุ มุ ารไดเ้ ดนิ ทีฆาวกุ มุ ารดีใจทโ่ี อกาสทองมาถงึ แล้ว แกลง้ ท�าดีต่อ

ทางกลับบ้านเพือ่ เย่ียมเยียนพระชนกชนนี ทา� ใหไ้ ด้ พระเจา้ พรหมทตั เฝา้ รบั ใชด้ ว้ ยความจงรกั ภกั ดอี ยา่ ง

เห็นเหตกุ ารณไ์ มค่ าดฝนั พระเจา้ ทีฆีติได้เหน็ ทฆี ท่สี ุด เพื่อให้ทรงไว้วางพระทัย

าวุกมุ ารเดนิ มาแตไ่ กล เม่อื เข้ามาใกลจ้ ึงรบี ตรัสขนึ้ ภายหลัง ทีฆาวุกุมารได้มีโอกาสขับรถพา

วา่ “ทฆี าว ุ เจา้ อย่าเห็นแก่ยาว เจา้ อย่าเหน็ แกส่ ัน้ พระเจ้าพรหมทัตเสด็จประพาสป่า เพื่อล่าเนื้อในเขต

เวรไมร่ ะงับด้วยการจองเวร จงจ�าไว้ให้ดี” ป่าแห่งหน่ึง โดยมีข้าราชบริพารและทหารหาญตาม

พระสุรเสียงของพระเจ้าทีฆีติเรียบเฉย ไม่ เสดจ็ เปน็ ขบวน แตเ่ กดิ พลดั กนั จนตามไมท่ นั มี

ดุดนั ไม่หวั่นไหว เหมือนการตรสั ขน้ึ มาลอยๆ พวก ทฆี าวกุ มุ ารอยขู่ า้ งพระวรกายแตเ่ พยี งผเู้ ดยี ว ระหวา่ ง

ทหารไม่ได้เห็นอะไรผิดสังเกต คิดกันว่าพระเจ้า พกั อยใู่ ต้ตน้ ไม ้ ทฆี าวกุ มุ ารได้นั่งขัดสมาธิให้พระเจ้า

ทีฆีติคงจะเสียสติเพ้อออกมา มีแต่ทีฆาวุกุมารผู้ พรหมทัตหนนุ พระเศยี รบรรทม

เดยี วเทา่ นน้ั ทรี่ ู้ เมอ่ื ทหารทา� การสา� เรจ็ โทษพระเจา้ ที ฆ า วุ กุ ม า ร นั่ ง เ พ ลิ น อ ยู ่ ก็ ห ว น ร ะ ลึ ก ถึ ง

ทฆี ตี แิ ละพระมเหสแี ลว้ กจ็ ดั เวรยามเฝา้ ไวร้ อจดั การ เหตกุ ารณท์ พ่ี ระเจา้ พรหมทตั สง่ั ประหารพระชนกและ

พระศพตอ่ ไป พระชนนี ช่วงชงิ เอาเมืองไป เกดิ ความแค้นรอ้ นระอุ

คนื วนั นนั้ ทฆี าวกุ มุ ารลกั ลอบมอมเหลา้ ทหาร ขนึ้ ในอก จงึ ชกั ดาบออกจากฝกั ตงั้ ทา่ จะจว้ งแทงพระ

ยามแลว้ ลักพระศพพระชนกชนนไี ปถวายพระเพลิง อรุ ะพระราชาใหห้ ายแค้น

พนมมือท�าประทักษิณเป็นการแสดงความเคารพ แต่พลันหวนไปนึกถึงค�าส่ังเสียพระชนกว่า

พระศพครบ ๓ รอบ แล้วก็รีบหลบไป ขณะนั้น “ทฆี าวุ เจา้ อยา่ เห็นแก่ยาว เจา้ อย่าเห็นแกส่ ั้น เวร

พระเจ้าพรหมทัตทรงยืนอยู่บนปราสาททอด ไมร่ ะงบั ดว้ ยการจองเวร แตจ่ ะระงบั ไดด้ ว้ ยการไมจ่ อง

พระเนตรเห็นเหตุการณ์โดยบังเอิญ ก็ทรงรู้ว่าชาย เวร จงจา� ไวใ้ หด้ ”ี คา� สง่ั เสยี พระบดิ า ทา� ใหท้ ฆี าวกุ มุ าร

คนนัน้ คงเปน็ พระญาตขิ องพระเจา้ ทีฆีติเปน็ แน่ ต้องเง้ือดาบค้างไว้ พอคลายโกรธก็เก็บดาบเข้าฝัก

ฝา่ ยทฆี าวกุ มุ ารในหวั อกอดั แนน่ ไปดว้ ยความ ทฆี าวกุ มุ ารชกั ดาบและเกบ็ ดาบอยถู่ งึ ๓ ครง้ั ๓ ครา

แค้นพยาบาท คิดแต่จะหาหนทางปลงพระชนม์ ในครงั้ ท ่ี ๓ พระเจา้ พรหมทตั ทรงสะดงุ้ ตน่ื ดว้ ย

พระเจ้าพรหมทัตให้ได้ จึงหาทางฝากตัวเป็นศิษย์ ทรงฝันไปในระหว่างบรรทม แล้วทรงเล่าความฝนั ให้

นายหตั ถาจารย ์ (ครูฝึกชา้ ง) ทีฆาวุกุมารฟงั ว่า “ทรงฝันเห็นพระโอรสของพระเจ้า

นายหัตถาจารย์ ครูฝึกช้างของพระเจ้า ทีฆีติ ช่ือทีฆาวุกุมาร เอาดาบฟันฉันเมื่อตะก้ีน้ี”

พรหมทตั มองดลู กั ษณะทา่ ทางของทฆี าวกุ มุ าร เกดิ ฉบั พลนั นั้น ทีฆาวกุ ุมารก็ใช้มือซ้ายจบั พระเศียรของ

ความพึงพอใจ รับไว้ให้ท�างานอยู่ดว้ ย ทีฆาวุกมุ าร พระเจ้าพรหมทัต จับดาบด้วยมือขวาและร้องข้ึนว่า

ฝกึ ฝนวชิ าชา้ งจนมคี วามเชย่ี วชาญ สามารถฝกึ สอน “ข้าน่ีแหละโอรสของพระเจ้าทีฆีติ ช่ือว่าทีฆาวุกุมาร

ชา้ งไดด้ เี ท่าศิษย์คนอ่ืนๆ พระองคส์ รา้ งความพนิ าศใหแ้ กพ่ วกเรามากมายเหลอื

วนั หนง่ึ ขณะท่อี ยู่โรงชา้ ง ทีฆาวุกมุ ารแกลง้ เกิน วันนีถ้ งึ เวลาต้องช�าระแคน้ เสยี ท”ี

ขับร้องเพลงให้พระเจ้าพรหมทัตได้ยิน พระเจ้า พระเจา้ พรหมทตั ตกพระทยั ทรงกลวั ตายอยา่ ง

พรหมทัตได้ยินเสียงเพลงอันไพเราะก็สนพระทัย สดุ ขีด ทรงหมอบลงแทบเทา้ ทีฆาวกุ ุมาร วิงวอนขอ

โปรดใหม้ หาดเลก็ นา� เจา้ ของเสยี งมาเขา้ เฝา้ แลว้ ทรง ชีวติ ดว้ ยพระสุรเสียงสน่ั เครือวา่ “พอ่ ทฆี าวุ พ่อจงไว้

291


ชวี ติ ฉนั เถดิ ” ทฆี าวกุ มุ ารหวนระลกึ ถงึ คา� สง่ั ของพระบดิ าอกี ครงั้ เกดิ ความสงสาร
ฆา่ ไมล่ ง เก็บดาบเขา้ ฝกั แล้วทลู วา่ “ขา้ พระองค์ไม่อาจถวายพระชนมช์ ีพให้แก่
พระองคไ์ ดห้ รอก มแี ตข่ า้ พระองคจ์ ะตอ้ งขอพระราชทานชวี ติ ของขา้ พระองคจ์ าก
พระองค์”

พระเจ้าพรหมทัตตรัสว่า “พ่อทีฆาวุ ถ้าเป็นอย่างน้ัน เธอจงไว้ชีวิตฉัน
สว่ นฉันกจ็ ะใหช้ วี ติ เธอเหมือนกัน”

ในท่ีสุดท้ังสองฝ่ายก็เกิดความปรองดอง ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจาก
ความเป็นศตั รกู ลบั มาเปน็ มติ รตอ่ กัน ให้อภัยซง่ึ กนั และกัน และท้งั สองฝ่ายไดใ้ ห้
ค�ามั่นสญั ญาต่อกันว่า จะไมท่ �าร้ายกนั และกันอกี ต่อไป แลว้ กพ็ ากันเดนิ ทางกลบั

ระหว่างทางเสด็จ ได้พบกับข้าราชบริพารและทหารหาญท่ีตามเสด็จ
พระเจา้ พรหมทตั ไดท้ รงประกาศใหร้ ทู้ ว่ั กนั วา่ คนสนทิ ของพระองคค์ อื ทฆี าวกุ มุ าร
โอรสของพระเจา้ ทฆี ตี ิ เขาเปน็ ผใู้ หช้ วี ติ แกพ่ ระองค ์ พระองคก์ ใ็ หช้ วี ติ แกเ่ ขา แลว้
พากันกลับพระนคร

ขณะเดนิ ทาง ทฆี าวกุ ุมารไดเ้ ลา่ เรื่องท่ตี นเงอื้ ดาบจะฟันพระเจา้ พรหมทตั
ถึง ๓ คร้ัง แต่ก็ฟันไม่ลง เพราะระลึกถึงคา� ส่งั เสยี พระบิดา จึงระงบั ความโกรธ
ได้

พระเจา้ พรหมทตั สงสยั จงึ ถามถงึ คา� สงั่ เสยี ของพระเจา้ ทฆี ตี วิ า่ เปน็ อยา่ งไร
ทีฆาวุกุมาร อธบิ ายว่า

“เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว หมายความว่า เจ้าอย่าได้จองเวรอาฆาตให้ยืดเยื้อ
เจ้าอยา่ เหน็ แกส่ ้นั หมายความวา่ เจ้าอยา่ แตกร้าวจากมิตรเร็วไปนัก

เวรไมร่ ะงับด้วยการจองเวร หมายความวา่ เม่อื พระองคส์ ่ังประหารชวี ติ
พระชนกชนนีของข้าพระองค์แล้ว ถ้าข้าพระองค์จะแก้แค้น ข้าราชบริพารของ
พระองค์ก็จะต้องฆ่าข้าพระองค์ให้ตายตกไปตามกัน ต่อไป พรรคพวกของ
ขา้ พระองคก์ จ็ ะลา้ งผลาญชวี ติ ของขา้ ราชบรพิ ารของพระองค ์ ไมม่ ที ส่ี น้ิ สดุ กนั เลย

แตเ่ วรระงบั ไดด้ ว้ ยการไมจ่ องเวร กห็ มายความวา่ เมอื่ พระองคท์ รงประทาน
ชีวิตให้แก่ขา้ พระองค ์ และขา้ พระองค์ก็ถวายพระชนม์ชีพแกพ่ ระองค์น่ันเอง”

พระเจา้ พรหมทตั ทรงสดบั แล้ว ก็ทรงพอพระทยั ตรสั ใหข้ ้าราชบริพารทกุ
คนถือคติธรรมตามแบบอย่างของทฆี าวุกุมาร ต่อมาไมน่ าน พระเจ้าพรหมทัต
กโ็ ปรดพระราชทานคืนเมอื งโกศล ไพล่พล สมบตั ิ และทรัพย์สินทงั้ หลายทเี่ ป็น
ของพระเจา้ ทฆี ตี ใิ ห้แกท่ ีฆาวกุ มุ าร

ใช่แต่เท่าน้ัน ยังทรงให้อภิเษกสมรสกับพระธิดาของพระองค์อีกด้วย
ทีฆาวุกมุ ารได้เป็นพระราชาปกครองประเทศโกศล ภายหลังท่ีพระเจา้ พรหมทัต

292


เสด็จสวรรคตแลว้ ก็ได้เมืองพาราณสีมาครองอกี เมืองหน่ึง
ชาดกเรื่องนี้มีคติสอนว่า เวรระงับด้วยการไม่จองเวร การผูกเวรก็

เหมือนการผูกพยาบาท เม่ือต่างฝ่ายต่างผูกใจเจ็บกันอยู่ เวรก็ไม่สามารถ
ระงับลงได้ แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงเลิกผูกเวรเสียด้วยการให้อภัยและแผ่
เมตตาให้กันเสมอๆ เวรยอ่ มระงับลงไดใ้ นเวลาไม่นาน การไมผ่ กู เวรท�าให้
จติ ใจเราสบาย เมอื่ ใดใจผูกเวร เมื่อน้นั มองไปทางไหนก็เหน็ แตศ่ ตั รู แต่
เมื่อใดใจของเราไม่มีเวรกับใคร มีแต่เมตตาปราณี เม่ือน้ันมองไปทางใดก็
เจอแตม่ ิตร เพราะฉะนัน้ พระเจา้ โกศลเม่อื ใหโ้ อวาทพระราชโอรสจึงตรสั
วา่ “ทฆี าวุ เจา้ อย่าเหน็ แก่กาลยาว เจา้ อยา่ เหน็ แก่กาลส้ัน เวรระงบั ดว้ ย
การไม่จองเวร แต่ยอ่ มระงับดว้ ยการไม่จองเวร”

เพราะฉะน้นั ผ้ฉู ลาด เพื่อความสบายใจของตนเอง จึงไม่ควรผูกเวร
ไวก้ บั ใคร ๆ จงจา� แตค่ วามดที ค่ี นอน่ื ทา� แกต่ น แตอ่ ยา่ จา� ความรา้ ยทเ่ี ขาทา� ให้
เพราะมนั ไมม่ ปี ระโยชน์แกจ่ ิตใจ

คา� วา่ “อย่าเหน็ แกย่ าว” นน้ั ท่านหมายความว่า อยา่ ผกู เวรเอาไว้
เพราะเวรยง่ิ ผกู ยิ่งยาว

คา� วา่ “อยา่ เหน็ แกส่ น้ั ” นนั้ หมายความวา่ อยา่ รบี ดว่ นแตกจากมติ ร
มีอะไรก็ค่อยๆ ผอ่ นปรนกันไป ฝ่ายใดฝ่ายหน่งึ อาจเขา้ ใจผิดกไ็ ด้ อยา่ ด่วน
ลงโทษโกรธงา่ ยเกนิ ไป และอยา่ รบี แตกจากใคร ขอใหพ้ จิ ารณาเสยี รอ้ ยครงั้
พันครง้ั

ทา่ นกลา่ วว่า “ชนะอะไรไมย่ งิ่ ใหญเ่ ทา่ กับการใหอ้ ภยั อภัยทานเปน็
ทานอนั ประเสริฐ เป็นทานท่ีใหแ้ กใ่ ครๆ กไ็ ดท้ ลี่ ่วงเกินตน การถูกนินทาว่า
ร้าย ใสร่ ้าย มุ่งทา� ลายใหถ้ งึ แกพ่ บิ ตั ติ ่างๆ กไ็ ม่โกรธ ไม่ผกู โกรธ ยนิ ดใี ห้
อภยั เพราะการโกรธ การผูกโกรธ คอื ความรอ้ นที่เผาผลาญตนเอง ให้ร้อน
รุ่มอยู่ทั้งวนั ทง้ั คนื ไม่เปน็ สุข การใหอ้ ภัยท�าใหเ้ กดิ ความเย็นเปน็ สุข เพราะ
ฉะน้ัน ทา่ นจงึ กล่าววา่ “ชนะอะไร ไมย่ ่ิงใหญ่เท่ากบั การใหอ้ ภยั ”

(ทฆี ตี ิโกสลชาดก อรรถกถา ขทุ ทกนกิ าย
ชาดก ปัญจกนบิ าต เลม่ ๓๑ หน้า ๕๙๓)

293


294


การใหด้ วงตาเป็นทาน

“การใหท้ านเหมือนทหารรบในสนาม

การบรจิ าคดวงตาเป็นกศุ ลอันยิ่งใหญ่”

ในอดตี กาลลว่ งมาแลว้ ครง้ั พระเจา้ สวี มิ หาราชไดเ้ สวยราชสมบตั อิ ยู่
ในอรฏิ ฐบรุ ี แควน้ สพี ี พระโพธสิ ตั วไ์ ดบ้ งั เกดิ เปน็ พระราชโอรสของพระเจา้
สวี ิมหาราช มนี ามว่า “สีวกิ มุ าร”

เมื่อสีวิกุมารเจริญวัยข้ึน ได้ไปศึกษายังนครตักกสิลา ศึกษา
ศลิ ปศาสตร ์ จบแลว้ กลบั มาแสดงศลิ ปศาสตรถ์ วายพระชนกทอดพระเนตร
จนได้รับพระราชทานยศเป็นมหาอุปราช ต่อมาเมื่อพระราชบิดาสวรรคต
แลว้ กไ็ ดเ้ ปน็ พระราชา ไดท้ รงมนั่ อยใู่ นทศพธิ ราชธรรม พระองคไ์ ดท้ รงสรา้ ง
โรงทานไว ้ ๖ แหง่ แลว้ ทรงบรจิ าคมหาทานสน้ิ พระราชทรพั ยว์ นั ละ ๖ แสน
กบั ทรงรักษาอโุ บสถศีลทุกวนั ๘ ค�่า ๑๔ ค่า� ๑๕ ค่า� ตลอดมา

อยมู่ าวนั หนง่ึ พระราชาประทบั อยทู่ พ่ี ระราชวงั ในวนั ปณุ ณมดี ถิ เี พญ็
ทรงนกึ ถงึ ทานทพ่ี ระองคท์ รงบรจิ าค จงึ ทรงดา� รวิ า่ ของนอกกายทเี่ รายงั ไม่
ไดใ้ หน้ นั้ ไมม่ ี การใหท้ านภายนอกกายไมท่ า� ใหเ้ ราดใี จได ้ เราใครจ่ ะใหท้ าน
ของในกาย ในเวลาเราไปทโี่ รงทาน ขออยา่ ให้มียาจกคนใดคนหน่งึ ขอทาน
ของนอกกาย ขอใหเ้ ขาขอของในกาย ถา้ มใี ครจกั ขอเนอ้ื ในกายของเรา เรา
กจ็ กั เชอื ดออกให ้ ถา้ มใี ครขอโลหติ ของเรา เรากจ็ กั เจาะให ้ มใี ครมาขอเรา
เปน็ ทาส เรากจ็ ักยอมไป มีใครมาขอดวงตาของเรา เรากจ็ กั ควักออกให้

เม่ือพระเจ้าสีวีราชทรงด�าริอย่างน้ี ท้าวสักกะในดาวดึงส์สวรรค์ก็
ทรงทราบ จงึ ทรงดา� ริว่า วนั น้พี ระเจ้าสวี ริ าชคดิ ว่า จักควกั ดวงพระเนตร
ออกใหเ้ ปน็ ทานแกย่ าจกทไี่ ปทลู ขอ พระเจา้ สวี ริ าชจกั ทา� ไดจ้ รงิ หรอื เราจกั
ไปทดลองดู

ท้าวสักกะทรงด�าริเช่นนี้แล้ว ก็ทรงจ�าแลงเป็นพราหมณ์แก่ตาบอด
ไปที่โรงทาน ในเวลาท่ีพระราชาเสด็จไปท่โี รงทาน พราหมณแ์ กป่ ระนมมือ
ขนึ้ ร้องถวายชยั มงคล พระเจ้าสีวิราช ไดท้ อดพระเนตรเหน็ จงึ ทรงไสชา้ ง

295


พระท่นี ั่งบา่ ยหนา้ ไปตรสั ถามว่า จักใหส้ งิ่ นน้ั ”

“พราหมณ์ ท่านพูดว่ากระไร?” พราหมณ์ ล�าดับน้ัน พวกอ�ามาตย์จึงกราบทูลถามว่า

แปลงกท็ ูลตอบวา่ “ข้าแตม่ หาราชเจ้า โลกสนั นิวาส “พระองคป์ รารถนาสง่ิ ใด ปรารถนาอาย ุ วรรณะ สขุ ะ

ทง้ั สน้ิ กกึ กอ้ งดว้ ยเสยี งแซซ่ อ้ งสาธกุ าร อาศยั อธั ยาศยั พละ ประการใด จงึ จักพระราชทานดวงพระเนตรให้

อันน้อมไปในทานของพระองค์ ฟุ้งขจรอยู่เป็นนิตย์ แก่พราหมณ์ พระเจา้ ข้า”

ส่วนขา้ พระองคเ์ ปน็ คนตาบอด พระองค์มพี ระเนตร พระเจ้าสีวิราชตรัสตอบว่า “เราไม่ได้ให้ทาน

สองข้าง ขอพระองค์จงโปรดประทานดวงพระเนตร เพราะเห็นแกท่ รพั ย์ ยศ หรอื บตุ รภรรยา แวน่ แควน้

สกั ข้างหนงึ่ ใหแ้ กข่ า้ พระองค์ด้วยเถดิ พระเจ้าข้า” บ้านเมอื งอันใด เราเห็นวา่ การใหท้ านเปน็ ธรรมของ

ลา� ดบั นน้ั พระมหาสัตว์เจ้าก็ทรงยินดีว่า เป็น สตั บรุ ษุ ทงั้ หลายแตโ่ บราณ เราจงึ ยนิ ดใี นการใหท้ าน

ลาภอันใหญ่ของเราแล้ว วันน้ีความประสงค์ของเรา สัตบุรุษทั้งหลายแต่เก่าก่อน เม่ือยังไม่ได้บ�าเพ็ญ

จักส�าเรจ็ แล้ว เราจะไดใ้ ห้ทานทเ่ี รายังไม่เคยให้ ครน้ั บารมีให้เต็มที่แล้ว ก็ไม่สามารถจะบ�าเพ็ญพระ

ทรงด�ารดิ งั นีแ้ ลว้ จึงได้ตรัสขึน้ ว่า “นีแ่ นะ่ วณิพก ใคร สัพพัญญูได้ เราจักบ�าเพ็ญบารมีให้เต็มท่ีเพ่ือจะได้

แนะนา� ใหเ้ จา้ มาขอดวงตาตอ่ เรา ซง่ึ เปน็ ของทนี่ า� ออก เปน็ พระสพั พญั ญู”

ให้ทานได้ยาก แต่ว่าเราจักให้แก่พราหมณ์ตาม เมื่ออ�ามาตย์ทั้งหลายได้ฟังพระราชด�ารัสดัง

ประสงค์” นั้น ก็หมดหนทางท่ีจะทูลทัดทาน จ�าต้องนิ่งเฉย

ครนั้ ตรสั ดงั นแ้ี ลว้ กท็ รงดา� รวิ า่ การทเ่ี ราจกั ควกั ฝ่ายพระเจ้าสวี ริ าชได้ตรัสส่ังนายแพทย์สีวิกะว่า “นี่

ดวงตาทั้งสองออกให้เป็นทานในท่ีนี้ เป็นการไม่ แน่ะ สวี กิ ะ เธอเป็นมติ รสหายของเรา เธอได้ศกึ ษา

สมควร จึงได้น�าพราหมณ์น้ันกลับไปยังพระราชวัง วชิ าแพทยม์ าเปน็ อนั ดแี ลว้ เธอจงทา� ตามถอ้ ยคา� ของ

ประทบั นงั่ บนราชอาสนแ์ ลว้ จงึ ตรสั สง่ั ใหแ้ พทยส์ วี กิ ะ เราใหด้ ี เมอื่ เราลมื ตาขนึ้ มองด ู เธอจงควกั ดวงตาของ

เข้าเฝา้ รบั สง่ั วา่ “เจา้ จงท�าดวงตาของเราใหส้ ะอาด เราให้หลุดออกเหมือนกับควักจาวตาล แล้ววางไว้ที่

เดย๋ี วน้”ี มอื ของพราหมณค์ นนี้ ในบัดน้เี ถิด”

ในคราวนั้น มีเสียงเล่าลือไปท่ัวพระนครว่า นายแพทยส์ วี กิ ะทลู วา่ “ขา้ แตม่ หาราชเจา้ การ

พระราชาจะควักพระเนตรทัง้ สองออกใหเ้ ป็นทานแก่ ให้ดวงพระเนตรเป็นทานนี้เป็นของส�าคัญมาก ขอ

พราหมณ์ พวกราชวัลลภ มีเสนาบดีเป็นต้น ก็ได้ พระองค์จงใคร่ครวญให้ดเี ถดิ ”

พร้อมกันเข้าเฝา้ กราบทลู คดั คา้ นว่า “เราใครค่ รวญดแี ลว้ เธอจงอยา่ ชกั ชา้ อยา่ พดู

“ขอเทวราชเจ้าอย่าได้พระราชทานดวง มากกบั เราเลย” พระเจ้าสวี ริ าชตรัสตอบ

พระเนตรเลย อย่าได้ทรงทอดทิ้งข้าพระพุทธเจา้ ทัง้ นายแพทย์สีวิกะจึงคิดว่า การที่แพทย์ผู้ได้

ปวงเลย ขอพระองคจ์ งพระราชทานแตท่ รพั ยส์ นิ เงนิ ศกึ ษามาดเี ชน่ เรานจ้ี ะเอาศสั ตราควา้ นพระเนตรของ

ทอง ชา้ ง ม้า รถ เถดิ พระเจา้ ขา้ ” พระราชา ยอ่ มไมส่ มควร เขาคดิ ดงั นแ้ี ลว้ จงึ ผสมยา

พระเจ้าสวี ิราชตรสั ว่า “ผู้ใดกลา่ วแลว้ วา่ จักให้ แล้วอบด้วยดอกบัวเขียว แลว้ ป้ายพระเนตรขา้ งขวา

แลว้ ไมใ่ ห้ ผู้นั้นชือ่ ว่าเอาบว่ งมาสวมคอของตน ผู้ ของพระราชา พระเนตรขา้ งขวาน้ันกพ็ ลกิ กลบั ทันที

ใดกล่าวว่าจักให้แล้วมากลับใจว่าไม่ให้ ผู้นั้นช่ือว่า ทุกขเวทนาเกิดข้ึนแก่พระราชา เขาจึงกราบทูลว่า

เลวกวา่ คนเลว มผี ขู้ อสงิ่ ใดควรใหส้ ง่ิ นนั้ สงิ่ ใดเขาไม่ “ขา้ แตม่ หาราชเจา้ ขอพระองคจ์ งทรงกา� หนดพระทยั

ขอ ไมค่ วรใหส้ ง่ิ นนั้ พราหมณน์ ไี้ ดข้ อสง่ิ ใดตอ่ เรา เรา ดเู ถดิ การทา� พระเนตรใหเ้ ปน็ ปกตนิ น้ั เปน็ หนา้ ทขี่ อง

296


ขา้ พระองค”์ ตรสั ตอบวา่ “เธออยา่ ไดช้ ักชา้ ” ในขณะนั้น พระเจ้าสีวิราชได้ประทับอยู่ท่ี

แล้วนายแพทย์สีวกิ ะไดท้ ายาซ้�าอกี พระเนตร ปราสาทสกั ๒-๓ วัน แล้วทรงด�าริว่า ไม่มีประโยชน์

ก็ได้หลดุ ออกจากเบา้ พระเนตรทันที ทุกขเวทนาอนั อันใดกับราชสมบัติของคนตาบอด เราจักมอบราช

เหลือประมาณก็ได้เกิดข้ึนแก่พระราชา นายแพทย์ สมบตั ใิ หแ้ กพ่ วกอา� มาตย ์ จกั ไปบรรพชาอยทู่ อ่ี ทุ ยาน

กราบทลู วา่ “ขอพระองค ์ จงทรงกา� หนดพระทยั ดเู ถดิ จักท�าสมณธรรม จึงจะเป็นการดี แล้วทรงโปรดให้

ข้าพระองคอ์ าจทา� ใหเ้ ป็นปกติได”้ ประชมุ พวกอา� มาตย ์ ทรงแจง้ ความประสงคใ์ หท้ ราบ

นายแพทยป์ ระกอบยาให้แรงขึน้ กว่าเดมิ แล้ว แลว้ ตรัสวา่

น้อมเข้าไปถวาย พระเนตรนนั้ ก็ไดห้ มุนหลุดออกมา “เราต้องการเพียงคนใช้สอยคนเดียวส�าหรับ

จากเบา้ พระเนตรด้วยกา� ลังยา แลว้ ตกลงมาห้อยอยู่ ท�ากจิ การต่างๆ มีนา�้ ลา้ งหนา้ เปน็ ตน้ เท่านั้น ทา่ น

ด้วยอ�านาจเส้นเกีย่ วไว้ ทง้ั หลายจงผกู เชอื กให้เปน็ ราวส�าหรบั สาวในเวลาท�า

นายแพทย์กราบทูลอีกว่า “ข้าพระองค์อาจ สรีระกิจ”

ท�าใหเ้ ปน็ ปกติได้” พวกอ�ามาตย์ได้อัญเชิญท้าวเธอข้ึนประทับท่ี

พระเจ้าสวี ริ าชตรัสตอบวา่ “เจ้าอยา่ ได้ชักชา้ ” สุวรรณสีวิกา แล้วหามไปประทับท่ีริมสระโบกขรณ ี

ทุกขเวทนาอันเหลือประมาณได้บังเกิดขึ้นแก่ จดั การพิทักษร์ กั ษาด้วยดี แลว้ จงึ กลับมา

ทา้ วเธอ พระโลหติ ไหลออกมาจนเปยี กพระภษู า พวก เม่ือพระเจ้าสีวิราชประทับอยู่ที่อุทยาน ทรง

อ�ามาตย์ ข้าราชบริพาร ได้พากันหมอบร้องไห้ว่า ร�าลกึ ถงึ ทานของพระองค์ด้วยความปีตยิ นิ ดี ในขณะ

“ขอพระองคอ์ ยา่ ไดท้ รงบรจิ าคพระเนตรเลย พระเจา้ นนั้ อาสนะของทา้ วสกั กะกร็ อ้ นขนึ้ เมอื่ พระองคท์ รง

ข้า” เล็งดูกท็ รงร้เู หตุนนั้ จงึ ทรงด�าริว่า เราจกั ให้พรแก่

นายแพทย์จึงรับพระเนตรด้วยมือซ้าย ถือ มหาราช แลว้ จกั ทา� พระเนตรใหเ้ ปน็ ปกต ิ จงึ ไดเ้ สดจ็

ศัสตราด้วยมือขวา ตัดเส้นที่เกี่ยวดวงพระเนตรให้ มาเดนิ จงกรมอย่ใู กล้ที่ประทบั ขณะนัน้ พระเจ้าสวี ิ

ขาด แลว้ รบั เอาดวงพระเนตรไปวางลงบนฝา่ พระหตั ถ์ ราชได้ทรงสดับเสียงฝีเท้า จึงตรัสถามว่า “น่ันเป็น

ของพระเจ้าสีวิราช พระองค์ตรัสเรียกพราหมณ์ให้ ใคร”

เข้าไปใกล ้ ตรสั สั่งวา่ “การใหด้ วงตาเป็นทานนี ้ จง “ขา้ พเจา้ เปน็ ท้าวสกั กะ ผ้เู ป็นจอมของเทวดา

เป็นปัจจยั แก่พระสพั พญั ญุตญาณนั้นเถดิ ” ได้มาหาท่านแล้ว ขอท่านจงเลือกพรตามประสงค์”

ตรสั ดงั นแ้ี ลว้ ไดพ้ ระราชทานพระเนตรขา้ งขวา พระเจา้ สวี ริ าชจงึ ตรสั วา่ “ขา้ แตท่ า้ วสกั กะ ทรพั ยข์ อง

นั้นแก่พราหมณ์ พราหมณ์ก็รับไปใส่ลงในเบ้าจักษุ ข้าพเจ้ามอี ยูม่ ากแล้ว บัดน ้ี ข้าพเจา้ เป็นคนตาบอด

ของตน บันดาลให้ดวงตาอันตดิ อยู่เป็นอนั ดี เหมือน พอใจแต่ความตายเท่านั้น ขอพระองค์จงประทาน

ดอกบวั สเี ขียวอันแยม้ บาน ฉะนั้น ความตายแก่ข้าพเจา้ เถิด”

พระมหาสัตว์ได้ทอดพระเนตรนัยน์ตาของ “นแ่ี นะ่ พระเจา้ สวี ริ าช เหตใุ ดพระองคจ์ งึ อยาก

พราหมณน์ ้นั ด้วยทรงดา� รวิ ่า การให้ดวงตาเปน็ ทาน ส้ินพระชนม์” “ข้าพเจ้าอยากส้ินพระชนม์ เพราะ

น ้ี เปน็ การดแี ท ้ ไดพ้ ระราชทานดวงตาอกี ขา้ งหนงึ่ แก่ ความเป็นคนตาบอด” “นีแ่ นะ่ มหาราช อนั ธรรมดา

พราหมณ์นั้น พราหมณ์ผู้เป็นพระอินทร์นั้นรับ การใหท้ านย่อมไมใ่ ห้ผลแตภ่ ายหนา้ เทา่ นัน้ แมใ้ น

พระเนตรขา้ งน้นั ใสใ่ นเบา้ จักษุของตน แลว้ เดินออก ปัจจุบันน้ีก็ให้ผล เขาขอพระเนตรของพระองค์ข้าง

จากพระราชวงั เหาะข้นึ สสู่ วรรคใ์ นทนั ใด เดียวพระองค์ได้พระราชทานท้ังสองข้าง เพราะ

297


ฉะนนั้ ขอพระองค์จงตั้งสัจกิริยาเถิด เมื่อพระองค์ตง้ั สจั กริ ยิ า พระเนตรกจ็ กั เกิด
ข้นึ แกพ่ ระองค์อกี ”

“ขา้ แตท่ า้ วสกั กะ ถา้ พระองคป์ ระสงคจ์ ะประทานดวงตาใหแ้ กข่ า้ พเจา้ กข็ อ
อย่าได้ทา� อบุ ายอยา่ งอื่นด้วยใชค้ �าว่า ดวงตาจงเกดิ ขึ้นด้วยผลแหง่ ทานของเรา”

“ขา้ พเจา้ เปน็ ทา้ วสกั กเทวราชกจ็ รงิ แตไ่ มอ่ าจจะใหด้ วงตาแกผ่ อู้ นื่ ได ้ ดวงตา
จักเกิดข้ึน ดว้ ยก�าลังแห่งทานทพี่ ระองคไ์ ด้พระราชทานแล้ว”

“ถา้ อยา่ งนัน้ ข้าพเจา้ กเ็ ปน็ อันได้ให้ทานดแี ลว้ ”
เมอ่ื ทรงทา� สจั กริ ยิ าจงึ ไดต้ รสั ขนึ้ วา่ “วณพิ กผมู้ นี ามและโคตรเหลา่ ใด ไดม้ า
หาเราเพื่อจะขอส่ิงของ วณพิ กเหล่านั้นก็ไดเ้ ปน็ ทพี่ อใจของเรา เมอื่ ผู้ใดขอดวงตา
ตอ่ เรา ดวงตานนั้ ก็เปน็ ทร่ี ักของเรา ดว้ ยค�าสจั กิริยานี้ ขอดวงตาจงเกดิ ข้นึ แกเ่ รา”
พอขาดค�า พระเนตรข้างที่หนึ่งก็เกิดขึ้นแก่พระเจ้าสีวิราช ในล�าดับน้ัน
พระองค์จงึ ไดต้ รัสต่อไป เพ่ือให้เกิดพระเนตรข้างที่สองขนึ้ วา่
“พราหมณผ์ ู้นั้นได้มาขอดวงตาต่อเราว่า ขอพระองค์จงพระราชทานดวงตา
แกข่ ้าพระองคเ์ ถดิ เรากใ็ หด้ วงตาทั้งสองแกพ่ ราหมณน์ น้ั แลว้ เราไดม้ ปี ีตโิ สมนัส
อยา่ งยง่ิ ด้วยสจั กิริยานี้ ดวงตาข้างท่ีสองจงเกิดมีแกเ่ รา” พอตรัสเทา่ น้ ี พระเนตร
ข้างที่สองก็ไดเ้ กิดข้ึนอกี
ในขณะนนั้ ทา้ วสกั กะเทวราชทรงบนั ดาลใหร้ าชบรุ ษุ ทงั้ ปวงมาประชมุ พรอ้ ม
กนั เมอ่ื ทา้ วสกั กะจะสรรเสรญิ พระเจา้ สวี ริ าชในทา่ มกลางมหาชน จงึ ไดต้ รสั ขน้ึ วา่
“ขา้ แตม่ หาราชเจา้ ผูท้ รงบ�ารุงแว่นแควน้ ให้เจริญ พระด�ารสั ที่พระองคท์ รง
ท�าสัจกิริยาน้ัน เป็นพระด�ารัสที่ชอบธรรม พระเนตรท้ังสองของพระองค์น้ีจัก
ปรากฏเหมอื นกบั พระเนตรทพิ ย ์ พระเนตรทงั้ สองของพระองคจ์ กั มองเหน็ ทงั้ นอก
ฝา นอกกา� แพง และภูเขา จักแลเห็นไกลได้ ๑๐๐ โยชน์ โดยไมม่ สี ่ิงกดี ขวาง”
ฝา่ ยพระเจ้าสวี ริ าชพรอ้ มด้วยเหลา่ ข้าราชบรพิ าร จงึ เสดจ็ เขา้ พระนครดว้ ย
กระบวนพยุหยาตรา เสดจ็ ขนึ้ ประทบั ทสี่ ุจันทกปราสาท
การที่พระเจ้าสีวิราชได้มีพระเนตรขึ้นอีกนั้น ได้เลื่องลือไปตลอดแคว้นสีพ ี
ชาวแคว้นสีพีได้น�าเคร่ืองบรรณาการเป็นอันมากมาถวาย พระองค์ได้ตรัสพระ
โอวาทสอนชาวสีพที ั้งหลายท่มี าประชมุ กนั ว่า
“ดกู อ่ นชาวสพี ีท้ังหลาย ขอท่านท้งั หลายจงดูตาทพิ ย์ท้ังสองของเรา จา� เดิม
แตน่ ไ้ี ป เมือ่ ทา่ นทั้งหลายยังไม่ได้ใหท้ าน จงอยา่ บรโิ ภค ไมว่ ่าใคร ๆ เวลามผี ูม้ า
ขอทาน ย่อมไม่อยากให้ของท่ีพึงใจของตน ของรักของดีของตนน้ันเราได้ให้แล้ว
เราขอเตือนท่านทัง้ หลายท่มี าประชมุ กนั ในทนี่ ้ี จงแลดตู าทิพย์ของเราในวันน้ีเถดิ
ในโลกน้ีไม่มีสงิ่ ใดประเสริฐเท่ากับการใหท้ าน เราไดใ้ หด้ วงตาของมนษุ ย์ แต่เรา

298


กไ็ ด้ดวงตาอันไม่ใช่ของมนษุ ย์ ท่านทง้ั หลายได้เห็นดวงตาทพิ ยท์ ่ีเราได้แล้วนี้ จง
พากนั ใหท้ านเสียกอ่ น แล้วจึงบริโภคภายหลัง บคุ คลที่ให้ทานและไดบ้ ริโภคตาม
ก�าลงั ของตนแล้ว ยอ่ มไมม่ ผี ู้ติเตยี นได้ ย่อมไปสู่สคุ ต”ิ

จา� เดมิ แต่นน้ั มา พอถึงวนั อโุ บสถทกุ ๑๕ ค่�า ทุกกงึ่ เดอื น พระองคโ์ ปรด
ใหป้ ระชาชนประชุมพร้อมกนั แล้วพระราชทานโอวาทอยา่ งน้ที ุกครั้งไป

ประชาชนก็ได้พากันบ�าเพ็ญกุศลมีทานเป็นต้น เวลาส้ินอายุแล้วได้ไปเกิด
ในโลกสวรรค์ เป็นอนั มาก

ชาดกเร่ืองนี้มีคติสอนว่า นิทานชาดกเร่ืองนี้ ต้องการอธิบายให้เห็นถึง
ความยงิ่ ใหญข่ องการให้ โดยเฉพาะการใหข้ องภายนอกมที รพั ยส์ มบตั ิ เปน็ ตน้
เปน็ สง่ิ ทที่ า� ไดย้ าก เพราะตอ้ งทา� สงครามกบั ความโลภ ความตระหนี่ ความเหน็
แกต่ วั อนั เปน็ ศตั รตู วั ฉกาจใหไ้ ดเ้ สยี กอ่ น เชน่ เดยี วกบั ทหารรบในสนาม จงึ จะ
สละสง่ิ ของออกบรจิ าคให้คนอื่นได้ ไม่ตอ้ งกล่าวถงึ การให้ทานภายใน คือการ
ให้อวยั วะภายในเปน็ ทาน มกี ารบริจาคดวงตา เป็นต้น เปน็ ส่ิงทที่ า� ได้ยากยิง่
กว่า

ในทางพระพุทธศาสนาทา่ นชีใ้ ห้เห็นว่า การบริจาคอวยั วะนน้ั เป็นกจิ อนั
เปน็ มหากศุ ลอยา่ งยง่ิ ดงั มรี ะบไุ วว้ า่ ผทู้ ไ่ี ดช้ อื่ วา่ เปน็ พระโพธสิ ตั วอ์ ยา่ งสมบรู ณ์
นนั้ จา� ต้องเคยบา� เพ็ญทานบารมี เคยบ�าเพญ็ ทานบารมที สี่ �าคญั มาก่อนอย่าง
น้อย ๓ ขนั้ ขนั้ แรกคือการบริจาควัตถขุ ้าวของ ขน้ั ที่ ๒ คือการบริจาคอวยั วะ
และขน้ั ที่ ๓ คือสูงสดุ ไดแ้ ก่การบรจิ าคแม้กระทัง่ ชวี ติ ของตนเพ่อื ช่วยชีวติ ผู้
อน่ื

ดังนั้น การบริจาคอวัยวะเป็นทานเพื่อเก้ือกูลแก่ชีวิตเพื่อนมนุษย์จึง
เปน็ การบา� เพญ็ บารมขี นั้ สงู ทไี่ มเ่ พยี งแตผ่ ปู้ รารถนาจะเปน็ พระโพธสิ ตั วเ์ ทา่ นนั้
ทคี่ วรกระทา� แตเ่ ราทกุ คนในฐานะทเี่ ปน็ มนษุ ยชาตนิ แี้ หละ ทคี่ วรทา� เปน็ อยา่ ง
ยง่ิ เพราะสงิ่ ทจ่ี ะไดร้ บั ไมใ่ ชเ่ พยี งกศุ ลมหาศาลเทา่ นน้ั หากแตย่ งั หมายถงึ โอกาส
ท่ีจะได้อยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุข มีชีวิตท่ีมีประโยชน์ และมีคุณค่าแก่มวล
มนุษยอ์ กี มากมาย ดังนน้ั การบริจาคอวัยวะจึงถอื ว่าเป็นผดู้ า� เนนิ อยู่ในวิถที าง
ของพระโพธสิ ัตว์ ซ่งึ ตอ่ มาคือพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายนั่นเอง

(สีวิราชชาดก อรรถกถา ขุททกนกิ าย
ชาดก วสี ตนิ ิบาต เลม่ ๓๔ หน้า ๓๙)

299


300


Click to View FlipBook Version