ัตถปุ ระ งคข์ องกำร กึ ำ
1. เพอ่ื กึ าชอ่ื พชื มนุ ไพรในคมั ภรี จ์ รก มั ติ า ร มถงึ ธิ กี ารใชแ้ ละ รรพคณุ ของพชื มนุ ไพรนนั้
2. เพ่ือเปรียบเทียบการใช้พืช มุนไพรชนิดเดีย กันท่ีปรากฏในใช้ในคัมภีร์จรก ัม ิตากับ
ตา� ราแพทย์แผนไทย
3. เพื่อเป็นการ ร้างองค์ค ามรู้เกี่ย กับอายุรเ ทของอินเดียท่ีเชื่อมโยงกับการแพทย์แผนไทย
ตลอดจนใช้องคค์ ามรทู้ ี่พบไปพฒั นา า ตรด์ งั กลา่ ในอนาคต
กรอบแน คดิ ในกำร จิ ยั
การ จิ ยั นเี้ ปน็ การ จิ ยั เชงิ คณุ ภาพ (Qualitative Research) โดยการ กึ า จิ ยั จากเอก ารและ
แ ล่งขอ้ มลู ปฐมภูมิ (Primary Sources) คือ “คมั ภีรจ์ รก มั ิตา” ด้ ยกระบ นการ ิเคราะ ์ งั เคราะ ์
ภายใต้กรอบแน คดิ ดงั นี้
ิธดี ำ� เนินกำร ิจัย
1. คัดเลอื กตน้ ฉบับ
แม้ า่ คมั ภรี จ์ รก มั ติ าจะเปน็ ทน่ี ยิ ม กึ ากนั อยา่ งแพร่ ลายทงั้ ในประเท อนิ เดยี และประเท อนื่
ตั คมั ภรี ม์ กี ารตพี มิ พม์ ากมาย ลายครงั้ แต่ ่ นใ ญเ่ ปน็ การตพี มิ พแ์ ตเ่ พยี งบาง ่ น เนอื่ งด้ ยเพราะเปน็
คัมภรี ์ทม่ี ีเนื้อ ามากคอื มจี �าน นถงึ 12,000 โ ลก ตามเนอ้ื ค ามใน ทิ ธฺ ิ ฺถาน บทที่ 12 โ ลกที่ 52 า่
“ าก า่ มั ติ าอนั มจี า� น น 12,000 โ ลกตัง้ อยูใ่ นผ้ใู ด
ผ้นู ้ันจงึ ไดช้ ือ่ า่ ผูร้ อู้ รรถ ผู้รู้ จิ าร และ เปน็ ผฉู้ ลาดในการรัก าโรค”
ผู้ จิ ยั ไดเ้ ลอื กใชต้ ั บท นั กฤตฉบบั Vedic Literature Collection ของ Maharishi University
of Management เป็น ลัก เพราะเป็นฉบับท่ีมีเนื้อค ามครบถ้ นท่ี ุด ตีพิมพ์เป็นชุด 8 เล่ม เรียงตาม
บรรพ รอื ฺถานท้งั 8 จ�าน น นา้ ร ม 1,115 นา้
2. ืบคน้ รำยชื่อ มุนไพรและจ�ำน น มุนไพรในคมั ภรี ์จรก มั ติ ำ
ผู้ ิจัย ืบค้นรายช่ือ มุนไพรและจ�าน น มุนไพรในตั บทคัมภีร์จรก ัม ิตาโดยอา ัยดัชนีใน
นัง อื Caraka Samhita (A Scientific Synopsis) ของ Priyadaranjan Ray and Hirendra Nath
Gupta ทีต่ พี มิ พใ์ นปี 1965 ประกอบกับพจนานกุ รมภา า นั กฤตฉบบั ตา่ ง ๆ
539
นัง อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
3. แปล รปุ จำกตัวบท นั กฤตเพ่ือ ำวิธกี ำรใช้และ รรพคณุ ยำที่ใชร้ ัก ำโรค
เนื่องจากคัมภีร์จรก ัม ิตาของ Maharishi University of Management มีเฉพาะตั บท
ัน กฤตเท่าน้ันไม่มีค�าแปล รือดัชนีค้นค�าใด ๆ ผู้ ิจัยต้องอา ัยค�าแปลภา าอังกฤ จาก นัง ือคัมภีร์
จรก ัม ิตาทีไ่ ด้รับการตีพมิ พ์เป็นชดุ ใ ญ่อกี ชดุ คอื Carakasamhita [text with English translation &
critical exposition based on Carakapani Datta’s Ayurveda Dipika] ซ่ึงเป็นการตีพิมพ์ซ�้าใ ม่
(reprinted) ในปี ค. . 2014 จากต้นฉบับเดิมปี ค. . 1972 เป็นชุด 7 เล่มเปน็ ผลงานแปลของ Dr. Ram
Karan Sharma และ Vaidya Bhagwan Dash ซึ่งเป็นฉบบั แปลภา าอังกฤ ทดี่ ที ี่ ดุ ที่ าไดใ้ นปัจจบุ ัน
เพราะ นงั อื ชดุ นไี้ ดอ้ งิ อา ยั คมั ภรี อ์ ธบิ าย รอื ทปี กิ าของจกั รปาณทิ ตั ตะด้ ย แตเ่ นอื่ งจากค ามผดิ พลาด
ในการเรียงพิมพ์ท�าใ ้ �านักพิมพ์ตีพิมพ์โ ลกจากคัมภีร์ทีปิกาของจักรปาณิทัตตะเข้ามาใน นัง ือโดยไม่
ไดแ้ ดงค ามแตกตา่ งไ ด้ ้ ย ทา� ใ ใ้ ชอ้ ้างอิงตั บท ัน กฤตไดล้ �าบากมาก อกี ประการ น่งึ โ ลกทต่ี ีพิมพ์
ใน นงั ือชดุ น้ีมีทง้ั มดเพียง 8,418 โ ลก กบั อกี ครงึ่ โ ลก รอื 8,419 โ ลก (Sharma and Dash,
2014: xxvii) ซงึ่ เม่อื เทยี บกบั จ�าน นโ ลกท่ีแจง้ ไ ้ในคัมภีรเ์ องข้างต้น จะเ ็น ่าตั บท ัน กฤต ายไปถึง
3,581 โ ลก
4. วเิ ครำะ ์ ำชือ่ ภำ ำไทย
ผู้ จิ ยั ได้ เิ คราะ ์ าชอื่ มนุ ไพรภา าไทยโดยใชช้ อ่ื ภา าองั กฤ และชอ่ื ทิ ยา า ตรต์ ร จ อบ
กับ นงั อื Medicinal Plants of India ของ Jain, S. K. and Robert A. De Filipps
5. วเิ ครำะ ์เปรียบเทยี บกับ มุนไพรในตำ� รำแพทยแ์ ผนไทย
ผู้ ิจัย ิเคราะ ์เปรียบเทียบการใช้พืช มุนไพรในคัมภีร์จรก ัม ิตากับแพทย์แผนไทย
โดยใช้ต�าราการแพทย์ไทยเดิม (แพทย า ตร์ งเคราะ ์ ฉบับอนุรัก ์) เล่มท่ี 1 ฉบับช�าระ พ. . 2550
เป็น ลักในการเปรียบเทียบ เพราะเป็นต�ารา ลักท่ีใช้ในการเรียนการ อนใน ลัก ูตรแพทย์แผนไทย
ประยกุ ต์ ของคณะแพทย า ตร์ ริ ริ าชพยาบาล ม า ทิ ยาลยั ม ดิ ล ซงึ่ ไดต้ ร จชา� ระคมั ภรี โ์ บราณตา่ ง ๆ
ถึง 13 คมั ภีรป์ ระกอบด้ ย
1. คมั ภีร์ มฎุ ฐาน นิ ิจฉัย กลา่ ถึงการค้น าต้นเ ตุแ ่งการเกิดของโรค
2. คมั ภีรโ์ รคนทิ าน กล่า ถึงกองธาตทุ ั้ง 4 มเี กดิ – ย่อน รือ พกิ าร
3. คมั ภรี ์ธาตุ ิภงั ค์ กล่า ถึงกองธาตพุ ิการตามฤดู
4. คมั ภรี ์ธาตุ ิ รณ์ กล่า ถงึ กองธาตทุ งั้ 4 และโรคโล ติ ระดู ตรี
5. คัมภีร์ประถมจินดา มี ลายบท เชน่ กล่า ถึงพร มปโุ ร ติ แรกปถมกาล
การปฏิ นธิแ ่งทารก กา� เนิดโล ติ ระดู ตรี
6. คมั ภรี ฉ์ ันท า ตร์ ครรภท์ ารก�าเนิด โรคกมุ าร และยารกั า
กล่า ถงึ จรรยาของแพทยท์ ้ัง 8 ประการ โรคทราง
7. คัมภรี ์ม าโชตรตั มุฎฐานแ ่งไข้ อติ าร และมรณญาณ ตู ร
8. คัมภรี จ์ ลน งั ค ะ กลา่ ถึงโรคระดู ตรี
9. คมั ภีรม์ จุ ฉาปักขนั ทิกา คัมภีร์ธาตบุ รรจบ กลา่ ถึงอุจจาระธาตุ
กล่า ถึงโรคปั า ะ มตุ กิตมุตฆาฏ
540
10. คัมภีรช์ ดาร กล่า ถงึ พิ อา ารท�าใ ้โล ิตก�าเริบ
11. คมั ภีรต์ ักกะ ิลา กล่า ถงึ บรรดาไข้พิ ทง้ั ป ง
12. คมั ภีรก์ ยั กล่า ถึงโรคก ัย 26 ประการ
13. คมั ภีร์ รรพคณุ ยา กล่า ถงึ รรพคุณของ มุนไพรทม่ี ีคุณคา่ ทางยา
6. ตรวจสอบข้อมูล
เม่อื ไดข้ อ้ มูลดงั กล่า แล้ ผู้ จิ ยั จงึ อบข้อมลู ท่ไี ดก้ ับแพทย์แผนไทยประยกุ ต์ คอื นาง า รดี
ารผี ล และเภ ัชกร คอื คณุ กรรณิการ์ อาจฤทธ์ิ
7. น�ำเสนอผลกำรศึกษำ
ผู้ จิ ยั นา� เ นอผลการ กึ า มนุ ไพรทพี่ บในคมั ภรี จ์ รก มั ติ ากบั ทน่ี ยิ มใชใ้ นประเท ไทย 200 ชนดิ
และ มุนไพรปรากฏค ามถ่ีในการพบในต�าราแพทย์แผนไทยมากที่ ุดจ�าน น 5 ล�าดับด้ ย ิธีพรรณนา
ิเคราะ ์
ผลกำรศกึ ษำ
การ กึ า ิเคราะ พ์ บพชื มุนไพรในคัมภรี จ์ รก มั ติ าท้งั มดมี 336 ชนิด มพี ืช มุนไพรทีม่ ี
ชือ่ ภา าไทยมีจา� น น 232 ชนดิ ยังไม่พบชื่อในภา าไทยจ�าน น 104 ชนิด การที่ มุนไพรจ�าน นมากไม่
พบช่ือภา าไทยและ มุนไพร ลายชนิดมีชื่อท่ีเป็นการทับ ัพท์ เช่น ไ ท์แดมเมอร์, มอร์นิ่ง กลอร่ี,
อลนทั , คาเปอร,์ แมนเดรก, คาเมล ธอรน์ รอื ชอ่ื ทรี่ ะบแุ ลง่ ทมี่ าเชน่ ขน้ึ ฉา่ ยอนิ เดยี , เถา้ อนิ เดยี , มะเดอื่
ฝรงั่ , พรุนอินเดยี แ ดงใ ้เ ็นถงึ ภาพทางภมู ิ า ตร์ (Geography) ท่ีแตกตา่ งกันของทัง้ องประเท ซงึ่
อดคลอ้ งกับงาน ึก าของ K.R. Bhavana and Shreevathsa (2014) ที่ระบุ ่า คมั ภีร์จรก มั ติ าน่า
จะแต่งขนึ้ ในบริเ ณอินเดียตอนเ นือท่ีมอี ากา นา ซง่ึ แตกต่างจากประเท ไทยท่อี ยู่ในเขตรอ้ นชน้ื
ชื่อภา าไทยของพืช มุนไพรจ�าน น นึ่งท่ีซ�้ากันเช่น “ฟักข้า ” ซึ่งภา า ัน กฤตใช้ต่างกัน
คอื “กรกฺ ฏก” กับ “กรโฺ กฏก” ซ่ึงมชี ื่อ ทิ ยา า ตร์ก็ตา่ งกัน คือ Momordica cochinelinesis Spreng.
และ Momardica dioica Roxb. ตามลา� ดบั ที่เปน็ เชน่ นีเ้ พราะภา าไทยไมไ่ ดจ้ �าแนกค ามแตกตา่ งกนั
ของพชื ทง้ั องชนดิ คงใช้เรียกชอ่ื เดีย เทา่ น้ัน อีกตั อยา่ ง นง่ึ คือ “ดปี ล”ี ภา า ัน กฤตใช้ “จ ิกา” กบั
“ปปิ ปฺ ลี” แตใ่ ชร้ ัก าโรคใกล้เคียงกนั คอื อา ารไม่ยอ่ ย
ช่อื จา� น น นึง่ บง่ ชี้ใ เ้ ็น ่าเปน็ คา� ยืมจาก นั กฤต ได้แก่
อรฺก > รัก อโ ก > อโ ก พกุล > พิกุล
พฺรา มฺ ี > พรมมิ
เภารฺช > โภชพัตร พภิ ีตก > มอพเิ ภก เท ทารุ > เทพธาโร
ปิปฺปลี > ดปี ลี
จนทฺ น > จนั ทน์ ทาฑิม > ทับทิม
งิ คฺ ุ > ม า งิ คุ์ กปิตถฺ > มะข ิด
ม�า ี > โก ชฎามงั ี อทุ ุมฺพร > มะเด่ืออุทมุ พร
541
นัง ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนอื่ งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
พืช มุนไพรในคัมภีร์จรก ัม ิตามีชื่อภา าไทยจ�าน น 207 ชนิดน้ันเม่ือได้น�ามาเปรียบเทียบ
การใช้ มนุ ไพรในต�าราการแพทย์ไทยเดมิ (แพทย า ตร์ งเคราะ ์ ฉบบั อนรุ ัก )์ เล่มที่ 1 ฉบบั ชา� ระ
พ. . 2550 พบการใช้จ�าน น 82 ชนิด โดยเรียงล�าดบั ตามตั อัก รในชื่อภา า นั กฤต ดงั นี้คอื
1. กกฺโกล - พรกิ าง 2. กฏภี – ท้ิงถอ่ น 3. กฏฺผล - ชะมดต้น 4. กฏโุ ร ณิ ี - โกกา้ น 5. กทลี - กล้ ย
6. กปติ ถฺ - มะข ิด 7. กมปฺ ิลลฺ ก -คา� แ ด 8. กรมรทฺ - 9. กรฺกนฺธุ / พทริ - 10. กรฺจุร - ขมิ้นออ้ ย
นามแดง พุทราจีน
11. กาโกทมุ พฺ ริกา 12. การเ ลลฺ ิกา 13. การปฺ า - ฝา้ ย 14. กา มรฺท - 15 กงุ ฺกุม - ญ้าฝรน่ั
- มะเดือ่ ปลอ้ ง - มะระขีน้ ก ข้เี ล็ก
16. กมุ ารชี 17. กมุ ภี - ฝรั่งป่า 18. กุ ล - พุทราปา่ 19. กุ ฐฺ - 20. กุ ฺมาณฑฺ -
- ประค�าไก่ โกฐ อเท ฟักเขยี
21. กุ มุ ฺภ - ค�าฝอย 22. กุ ฺตุมฺพุรุก - 23. กรฺ มกุ - มาก 24. กฺฤ ฺณ ณ - 25. กฤฺ ฺณไ เรยก
ผกั ชี ่งิ าย - ญ้า ั นาค
26. ขทิร - เี ยี ด 27. ชมพฺ ุ - ้า 28. ชยา - แค 29. ชาติผล - 30. ชิงฺคนิ ี - อ้อยชา้ ง
จันทนเ์ ท
31. ชมิ ตู - มะระ 32. ชรี ก - ยี่ รา่ 33. ชรู ณฺ า ฺ า - 34. ชฺโยติ ฺมตี - 35. ทนฺตนิ ฺ -
ข้า ฟา่ ง โคกกระออม ตองแตก
36. ทาฑิม - ทบั ทิม 37. ทูรฺ า - 38. ธานฺยก - ผกั ชลี า 39. นนทฺ ตี ก - 40. น มาลกิ า -
ญ้าแพรก
ไทรยอ้ ยใบทู่ มะลิลา
41. นาครงฺค - 42. นาฑี - ผักบ้งุ 43. นจิ ุล - จกิ นา 44. นมิ ฺพ - ะเดา 45. นริ ฺคณุ ฺฑิ -
้มเกลย้ี ง คนทีเขมา
46. นิ ฺปา - 47. นลี กิ า - คราม 48. นี าร - 49. ปตฺร - อบเชยต้น 50. ปย ฺยา -
ถั่ แปบ ปูเ่ จา้ ลอยทา่ ผกั บงุ้ ทะเล
51. ปราจีนามลก - 52. ปลาณฑฺ ุ - 53. ปลา - 54. ปปิ ฺปล,ี จ กิ า - 55. ปุค - มาก ง
ตน้ ทองก า ดปี ลี
พรุนอนิ เดีย อมแดง
56. ปฤฺ ฺณีปรณฺ ี - 57. ผลฺคุ - 58. เผนิล - 59. มคฺฑกู ปรณฺ ี 60. มตฺ ยฺ าขฺยก -
ผักเปด็ แดง
างกระรอก มะเด่ือฝร่งั ปะคา� ดีค าย - บั บก
61. มธกุ - 62. มริจ - 63. ม าเมทา - 64. มาตุลงคฺ - ้มโอ 65. ม�า ี –
ชะเอมเท พริกไทย ราก าม ิบ โก ชฎามงั ี
66. มทุ ฺค - ถั่ เขีย 67. มุ ตฺ - 68. มฺฤคลิณฺฑกิ า - 69. เมทา - มีเ มน็ 70. เม ฺฤงคฺ ี -
ญา้ แ ้ มู มะเฟือง ปอบดิ
71. รกตฺ จนทฺ น - 72. ราชาทน - เกด 73. โร ติ ก - ตาเ ือ 74. ล งฺค - กานพลู 75. โลณกิ า -
จนั ทนแ์ ดง ผกั เบย้ี ใ ญ่
76. ไ เรย - 77. รทิ รฺ า - ขมิ้นชัน 78. รีตกี - มอไทย 79. ิงคฺ ุ - ม า ิงค์ุ 80. อิกฺ ุ - อ้อย
อังกาบ นู
81. เอรณฑฺ - ละ งุ่ 82. เอล -
กระ านเท
542
จากพชื มนุ ไพรทีพ่ บในคัมภีร์จรก มั ติ าและในต�าราแพทยแ์ ผนไทยทงั้ มด 82 ชนดิ นน้ั พืช
มนุ ไพรทีพ่ บมากท่ี ดุ ในต�ารบั ยาแพทยแ์ ผนไทย 5 ลา� ดับ มดี ังน้ี
1. พริกไทย
2. แ ้ มู
3. ชะเอมเท
4. อบเชยต้น
5. ะเดา
เนอ่ื งจากแพทยแ์ ผนไทยมี ธิ กี ารใชพ้ ชื มนุ ไพรแตกตา่ งจากคมั ภรี จ์ รก มั ติ าคอื คมั ภรี จ์ รก มั ติ า
พบการใช้พืช มุนไพรเด่ีย จ�าน นมาก ะท้อนค ามเป็นคัมภีร์ในยุคต้นท่ีเป็นการร บร มค ามรู้ของ
พืช มนุ ไพรแตล่ ะชนิด เนน้ ฤทธ์ยิ า รอื รรพคุณ มนุ ไพรแต่ละตั ๆ ่ นแพทย์แผนไทยนิยมใช้ยาต�ารับ
คอื ใช้ มนุ ไพรตงั้ แต่ 2 ชนดิ ขนึ้ ไปมาร มกนั เปน็ ตั ยา ประกอบไปด้ ย มนุ ไพรทใี่ ชเ้ ปน็ ยาตรง และ มนุ ไพร
ท่ีใช้เป็นยาช่ ยซ่ึงอาจช่ ยเ ริมฤทธ์ิ, ทุเลาฤทธิ์ของยาตรง รือใช้เป็นตั ชูร ชูกลิ่นยาน้ัน ๆ ก็ได้
เป็น ิ ัฒนาการของคัมภีรก์ ารแพทยใ์ นยคุ ลงั ท่ีเพ่มิ ทัก ะการปรงุ ยาใ ้ละเมยี ดข้ึน ข้อมูล มุนไพรเดยี่
มีปรากฏในคัมภีร์แพทย์แผนไทยเพียงคัมภีร์เดีย คือ คัมภีร์ รรพคุณยา แต่ก็มีงานค�าอธิบายต�ารา
พระโอ ถพระนารายณ์ ของชยนั ต์ พเิ ชยี ร ุนทร, แมน้ มา ช ลิต และ เิ ชยี ร จรี ง ์ (2558) ที่ได้เ นอ
ข้อมูล รรพคุณของ มุนไพรเด่ีย จากต�าราแพทย์แผนไทย ดังน้ันใน ่ นของ รรพคุณ มุนไพรจะขอน�า
เ นอขอ้ มลู จาก นงั อื เลม่ ดงั กลา่ เปน็ ลกั แล้ แ ดงตา� รบั ยาตา่ ง ๆ ทป่ี รากฏในตา� ราแพทยแ์ ผนไทยอนื่ ๆ
543
นัง ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนือ่ งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
1. พรกิ ไทย
ชื่อทพี่ บในคมั ภรี จ์ รก มั ิตำ มรจิ
ตวั อย่ำงโศลก
( ูตรฺ ฺถาน, บทที่ 2, โ ลกท่ี 3)
วธิ ใี ช้ เมลด็ แ ้งใชเ้ ปน็ เคร่อื งเท รอื ใชใ้ นตา� รับยา เป็นยารกั าภายใน
รรพคณุ ทำงยำ รกั าโรคไซนั , โรคโล ติ จาง, น้ามดื เป็นลม, ณั โรค, อาการไอ, อน่ื ๆ
ชอ่ื ในคมั ภรี แ์ พทยแ์ ผนไทย พรกิ ไทย, พรกิ ไท, พรกิ ลอ่ น, พริกไทยลอ่ น
ชอ่ื ำมญั Black pepper plant
ชื่อวิทยำศำ ตร์ Piper nigrum Linn.
รรพคุณและต�ำรำทำงกำร โบราณ ่าพริกไทยมีร เผด็ รอ้ น เปน็ ยาขับลม แกอ้ าการท้องอดื เฟอ้ เป็นยาบ�ารงุ
แ พ ท ย ์ แ ผ น ไ ท ย ท่ี พ บ ช่ื อ ธาตุ ท�าใ เ้ จรญิ อา าร เป็นยาขบั เ งือ่ ขับปั า ะ และเปน็ ยากระตนุ้ ธาตุ (ชยันต์
มนุ ไพร พเิ ชยี ร ุนทร, แม้นมา ช ลติ และ เิ ชยี ร จีร ง ,์ 2558: 489)
ตา� ราการแพทย์ไทยเดมิ (แพทย า ตร์ งเคราะ ์ ฉบบั อนุรัก )์ กล่า ถงึ การใช้
พรกิ ไทยใน 12 คมั ภรี ไ์ ดแ้ ก่ คมั ภรี โ์ รคนทิ าน, คมั ภรี ธ์ าตุ ภิ งั ค์ , คมั ภรี ธ์ าตุ ิ รณ,์ คมั ภรี ์
ประถมจินดา, คัมภีร์ฉันท า ตร์, คัมภีร์ม าโชตรัต, คัมภีร์จลน ังค ะ–คัมภีร์ธาตุ
บรรจบ, คมั ภรี ม์ จุ ฉาปกั ขนั ทกิ า, คมั ภรี ช์ ดาร, คมั ภรี ต์ กั กะ ลิ า, คมั ภรี ก์ ยั และคมั ภรี ์
รรพคุณยา ร มท้ัง ิ้น 365 ต�ารับ มีเพียงคัมภีร์ มุฏฐาน ินิจฉัยคัมภีร์เดีย ที่ไม่ได้
กล่า ถึง
ตวั อย่ำงต�ำรับยำ คมั ภรี ป์ ระถมจนิ ดำ
ยาตม้ ชอื่ ม า มพะเคราะ ์ ทา่ นใ ้เอาเถาย่านางท้ังตน้ ท้ังราก ทบั ทมิ ท้งั ต้นท้ังราก
มะเกลือทั้งต้นท้ังราก ะแกท้ังใบท้ังราก พุงดอทั้งใบทั้งราก ผลจันทน์ ดอกจันทน์
กระ าน กานพลู พริกไทย ขิงแ ้ง ดีปลี ขมิ้นอ้อย น�้าประ านทอง ฝักราชพฤก ์
บอระเพด็ รอบ ีร ะคนไข้ เถาชงิ ช้าชาลีรอบ รี ะคนไข้ มูลกาท้งั อง ร มยา 24 ิ่งนี้
เอาเ มอภาค เอาเ ลา้ ครงุ่ เอานา้� ครง่ึ เปน็ กระ าย ตม้ ด้ ยไฟแกลบ ใ ต้ งั้ ข ญั ขา้ 1 บาท
จงึ ประ ิทธ์ินกั (มูลนธิ พิ ้ืนฟู ง่ เ รมิ การแพทยไ์ ทยเดมิ , 2555: 221)
คมั ภีรม์ ำโชตรตั
ขนาน นง่ึ ชอ่ื โอ ถทพิ คณุ ทา่ นใ เ้ อาโกฐทงั้ 5 เทยี นทง้ั 5 ผลจนั ทน์ ดอกจนั ทน์
จนั ทนท์ ง้ั 3 มอทงั้ 3 มะขามปอ้ ม พรกิ ไทย ง่ิ ละ ่ น อบเชย มลุ แ ง้ ชะเอมเท
กฤ ณา กระลา� พกั ชะลดู ขอนดอก แกน่ น กั ขี บอระเพด็ งิ่ ละ 2 ่ น แ ้ มู มะตมู
ออ่ น จกุ โร นิ ี งั กรณี เนระพู ี ง่ิ ละ 3 ่ น กระ าน กานพลู เทพธาโร แ ม่ า้ ทะลาย
โลดทะนง งิ่ ละ 4 ่ น เลอื ดแรด ฝางเ น ง่ิ ละ 5 ่ น ดอกคา� ฝอย 6 ่ น เบญจกลู
ตามพกิ ดั บดทา� แทง่ ไ ล้ ะลายนา�้ กระ ายอนั ค รแกโ่ รค แทรกพมิ เ นใ ก้ นิ แกโ้ ล ติ ปกติ
โท อนั บงั เกดิ แตข่ ้ั ดนี น้ั าย เิ นกั (มลู นธิ พิ นื้ ฟู ง่ เ รมิ การแพทยไ์ ทยเดมิ , 2555: 294)
คมั ภรี ์ รรพคุณยำ
พรกิ ไทยจดั อยใู่ นพกิ ดั ยาทเ่ี รยี ก า่ ตรกี ฏกุ คอื มนุ ไพรมรี รอ้ น 3 ชนดิ คอื พรกิ ไทย
ขิงแ ้ง และดีปลี มี รรพคุณระงับโรคลม แก้ดีและเ ม ะในกอง มุฏฐานตามธาตุ
ฤดู และอายุ มฏุ ฐาน (มลู นิธพิ ื้นฟู ่งเ ริมการแพทยไ์ ทยเดิม, 2555: 389)
544
2. แ ้ มู
ชอ่ื ท่ีพบในคัมภีร์จรก ัม ิตำ มุ ฺต
ตั อยำ่ งโ ลก
( ตู รฺ ถฺ าน, บทที่ 3, โ ลกท่ี 5)
ธิ ีใช้ น�ามาท�าใ ้แ ้งแล้ ท�าผงน�ามาแช่ในน้�าดี ั ใช้ตามแพทย์ ั่ง ใช้เป็นยาภายในและ
ภายนอก
รรพคณุ ทำงยำ ใชก้ บั โรคผิ นังที่รกั ายาก, แผล, อัมพาต, โรคเกี่ย กับระบบทางเดินปั า ะ
ช่อื ในคัมภีร์แพทยแ์ ผนไทย ญา้ แ ้ มู, แ ้ มู, ญา้ ขน มู
ชือ่ ำมัญ Nut grass
ช่ือ ทิ ยำ ำ ตร์ Cyperus rotundus Linn.
รรพคุณและต�ำรำ ทำงกำร รรพคุณยาโบราณ ่า ั แ ้ มมู ีกลน่ิ อม ร เผ็ดปร่า เปน็ ยาบา� รุง ั ใจบา� รุง
แ พ ท ย ์ แ ผ น ไ ท ย ท่ี พ บ ชื่ อ ั ใจ ขับเ ง่อื ขบั ระดู ขบั ปั า ะ แกไ้ ข้ ขบั ลมในลา� ไ ้ แก้ป ดท้อง ท้องอดื เปน็ ยา
มุนไพร บา� รุงก�าลัง บา� รุงธาตุ บา� รุงทารกในครรภ์ เป็นยาฝาด มาน งบประ าท เปน็ ยาอายุ
ัฒนะ (ชยันต์ พิเชยี ร ุนทร, แมน้ มา ช ลิต และ ิเชียร จรี ง ,์ 2558: 673)
ตา� ราการแพทยไ์ ทยเดมิ (แพทย า ตร์ งเคราะ ์ ฉบับอนุรัก ์) มกี ล่า ถึงการใช้
ญ้าแ ้ มูใน 12 คมั ภรี ์ไดแ้ ก่ คัมภีร์โรคนิทาน, คัมภรี ์ธาตุ ภิ งั ค์ , คมั ภีร์ธาตุ ิ รณ์,
คมั ภรี ป์ ระถมจินดา, คัมภีรฉ์ นั ท า ตร,์ คัมภีร์ม าโชตรตั , คัมภรี ์จลน งั ค ะ–คัมภรี ์
ธาตบุ รรจบ, คมั ภีร์มุจฉาปักขันทกิ า, คัมภรี ช์ ดาร, คัมภีรต์ ักกะ ิลา, คัมภรี ์ก ยั และ
คมั ภรี ์ รรพคณุ ยา ร มทง้ั น้ิ 250 ตา� รบั ยกเ น้ แตค่ มั ภรี ์ มฏุ ฐาน นิ จิ ฉยั ทไ่ี มไ่ ดก้ ลา่ ถงึ
ตั อยำ่ งต�ำรบั ยำ คัมภรี ธ์ ำตุ ภิ งั ค์
ตะโจ คือ นังพิการใ ้ นังชา ากทั่ ทงั้ ตั ถึง ่าแมลง นั จะจบั จะไตอ่ ย่ไู มร่ ตู้ ั ใ ้
แ บใ ร้ อ้ น เปน็ กา� ลงั เรยี ก า่ กระมโิ ท …ยากนิ เอาขงิ แ ง้ 1 รากมะแ ง้ ทง้ั 2 กระดอม
ทง้ั 5 รากขก้ี าแดง 1 มอเท 1 ( มอ พิเภกก็ ่า) มอไทย 1 มะขามปอ้ ม 1 แ ้ มู
1 บอระเพด็ 1 ญา้ ตนี นก 1 โกฐ อ โกฐกา้ นพร้า 1 จันทน์ทัง้ 2 เอาเ มอภาค ตม้ 3
เอา 1 ปรงุ ขณั ฑ กรแลนา�้ ผงึ้ ใ ล่ งกนิ แกไ้ ขก้ ระมโิ ท อนั เกดิ แตผ่ ิ นงั ายแล (มลู นธิ ิ
พืน้ ฟู ง่ เ ริมการแพทยไ์ ทยเดิม, 2555: 53)
คมั ภรี ฉ์ นั ท ำ ตร์
เจตมลู ดีปลี ขิง ชา้ พลู ั แ ้ มู เถา ะค้าน เรง่ คิดอ่านเอามะตมู อ่อน ทั้งเก ร
ประทมุ า ขมิน้ อ้อย า บอระเพด็ ผลกระดอม ดอกพกิ ุล อมมาประ ม แล้ จงึ ต้มกนิ
เถิด อา ารเกดิ ไมผ่ า่ ยผอม ขนานนามตามคา� รบนบประนอม ชื่อ า่ จอมจตั ตธุ าตโุ อ ถ
เอย (มลู นธิ พิ ้นื ฟู ง่ เ รมิ การแพทย์ไทยเดมิ , 2555: 260)
คัมภรี ์ก ยั
ยาก ัยท้นนั้น เอาโก ทั้ง 5 ผลจันทน์ กระ าน กานพลู พริก อม พริก าง
บอระเพด็ เปลา้ ท้งั 2 งิ่ ละ ่ น กญั ชา 2 ่ น ขมิน้ อ้อย แ ้ มู ผลพลิ ังกา า ไคร้
เครือ ง่ิ ละ 4 ่ น ดีปลี ั คณุ ง่ิ ละ 16 ่ น ใบกะเพราแ ้ง 32 ่ น ท�าเป็นจณุ
บดละลายน้�าร้อนกินแก้ก ัยท้น ซ่ึงกระท�าใ ้เ ียดนั้น าย (มูลนิธิพื้นฟู ่งเ ริมการ
แพทย์ไทยเดิม, 2555: 366)
545
นัง ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
3. ชะเอมเทศ
ช่ือที่พบในคมั ภรี ์จรก ัม ติ ำ มธกุ
ตวั อยำ่ งโศลก
( ตู รฺ ฺถาน, บทที่ 2, โ ลกที่ 7)
วธิ ีใช้ ล�าตน้ ใชเ้ ป็น มนุ ไพรเชงิ เดีย่ และในการรัก าตา่ ง ๆ ใชภ้ ายใน
รรพคณุ ทำงยำ าการไ , ะ ึก, เป็นไข,้ โรคมา้ ม; เป็นยาฟื้นฟูค าม ่ นเยา ์
ชื่อในคัมภีรแ์ พทยแ์ ผนไทย ชะเ มเท , ชเ มเท
ชื่อ ำมัญ Liquorice plant
ชื่อวิทยำศำ ตร์ Glycyrrhiza glabra Linn.
รรพคุณและต�ำรำทำงกำร รากชะเ มมรี าน ชมุ่ ค มี รรพคณุ แกไ้ ขบั เ ม ะ แกโ้ ล ติ นั เนา่ ใน ทุ รแล
แ พ ท ย ์ แ ผ น ไ ท ย ที่ พ บ ช่ื อ เจรญิ ซงึ่ ทยั าตใ ้ ดชน่ื แกก้ า� เดาใ เ้ ปน็ ปกติ (ชยนั ต์ พเิ ชยี ร นุ ทร, แมน้ มา ช ลติ
มุนไพร และ เิ ชยี ร จรี ง ,์ 2558: 341)
ตา� ราการแพทยไ์ ทยเดมิ (แพทย า ตร์ งเคราะ ์ ฉบบั นรุ กั )์ กลา่ ถงึ การใชช้ ะเ ม
เท ใน 12 คมั ภรี ไ์ ดแ้ ก่ คมั ภรี โ์ รคนทิ าน, คมั ภรี ธ์ าตุ ภิ งั ค์ , คมั ภรี ธ์ าตุ ิ รณ,์ คมั ภรี ป์ ระถม
จนิ ดา, คมั ภรี ฉ์ นั ท า ตร,์ คมั ภรี ม์ าโชตรตั , คมั ภรี จ์ ลน งั ค ะ–คมั ภรี ธ์ าตบุ รรจบ, คมั ภรี ์
มุจฉาปกั ขนั ทิกา, คัมภีร์ช ดาร, คมั ภีร์ตกั กะ ิลา, คมั ภีรก์ ยั และคมั ภีร์ รรพคณุ ยา
ร มทง้ั น้ิ 90 ตา� รบั ยกเ น้ แตค่ มั ภรี ์ มฏุ ฐาน นิ จิ ฉยั ทไี่ มไ่ ดก้ ลา่ ถงึ
ตวั อย่ำงต�ำรับยำ คมั ภรี ์ประถมจินดำ
ยาชื่ ินทจรขนานน้ที า่ นใ ้เ า จันทน์แดง 1 เบญกานี 1 เนระพู ี 1 เขาก าง 1
กรามแรด 1 กรามชา้ ง 1 รากกะเพรา 1 ตะไคร้ 1 น้า� ประ านท ง 1 เปราะ ด 1 ผกั
เ ี้ยนผี 1 ชะเ มเท 1 ายตะค้า 1 ยาขา้ เย็น 1 ดีงูเ ลื ม 1 ร มยา 15 ง่ิ น้ี เ า
เ ม ภาค ทา� เป็นจณุ เ านา้� มาก งเปน็ กระ าย บดทา� แท่งไ ้ ละลายน�้าจันทน์ กิน
แก้ลง ตานซางดีนกั ไดเ้ ช่ื มาแล้ ยา่ นเท่ ์เลย (มูลนธิ ิพืน้ ฟู ่งเ ริมการแพทย์ไทย
เดมิ , 2555: 145)
คมั ภีร์ชวดำร
ขนาน นึง่ ช่ื ง ์ท ง เ า ังข์ 1 เบีย้ ผเู้ ผา 1 กฤ ณา 1 กระล�าพกั 1 ข นด ก 1
ผิ มะกรดู 1 ม้ กงุ้ 1 กระเทียม 1 ไพล 1 เทียนทง้ั 5 เก ร ารภี 1 พิกุล 1 บนุ นาค 1
บั ล ง 1 จนั ทนท์ ง้ั 2 กานพลู 1 ั ม 1 บเชยเท 1 โกฐพุงปลา 1 โกฐกา้ น
พรา้ 1 เ า ง่ิ ละ 1 เฟ้ื ง โกฐ ั บั 2 ลงึ โกฐกระดกู ลึงเฟื้ ง โกฐน้�าเต้า 3 ลงึ
โกฐเชยี ง 2 ลึงเฟ้ื ง โกฐกกั กรา 3 ลงึ โกฐจุ าล�าพา ลงึ เฟ้ื ง โกฐ 7 ลึง ชะเ ม
เท 5 บาท ลึงเฟ้ื ง ท งค�าเปล 5 แผ่น ท�าผงนัตถุแ์ กล้ ม 100 จ�าพ ก (มลู นธิ ิพ้ืน
ฟู ่งเ รมิ การแพทยไ์ ทยเดิม, 2555: 337)
คัมภรี ์ รรพคุณยำ
ชะเ มเท มรี ันขมแล านย่ิง แกร้ ะ ายนา�้ แก้ค แ ง้ แกไ้ ขท้ ั้งป ง แก้จัก ุ
โรคแล ฯ (มลู นิธิพน้ื ฟู ง่ เ ริมการแพทยไ์ ทยเดิม, 2555: 403)
546
4. อบเชยต้น
ชอ่ื ที่พบในคมั ภรี ์จรก ัม ติ ำ ปตรฺ
ตวั อยำ่ งโศลก
( ูตรฺ ฺถาน, บทที่ 3, โ ลกท่ี 29)
วิธใี ช้ ใบและเปลือกแ ้งใชเ้ ป็นยาทง้ั ภายนอกและภายใน
รรพคณุ ทำงยำ กล่นิ ตั , เป็นไข,้ โล ติ จาง, ค ามผิดปกตขิ อง ั ใจ; เปน็ ยาฟื้นฟูค ามออ่ นเยา ์
ช่ือในคมั ภรี ์แพทย์แผนไทย อบเชย
ชือ่ ำมญั Cinnamon tree
ชอื่ วทิ ยำศำ ตร์ Cinnamonum tamala Fr. Nees. / Cinnamonum chelonoides De.
รรพคุณและต�ำรำทำงกำร อบเชยมกี ลน่ิ อม ร ขุ มุ มี รรพคณุ บา� รงุ ด งจติ แกอ้ อ่ นเพลยี ชกู า� ลงั ขบั ผายลม
แ พ ท ย ์ แ ผ น ไ ท ย ท่ี พ บ ชื่ อ บ�ารุงธาตุ แก้ไข้ ันนิบาต ใช้เป็นยานัตถุ์แก้ป ด ั รากและใบมีกล่ิน อม ร ุขุม
มนุ ไพร ตม้ นา�้ ดมื่ แกไ้ ขจ้ ากการอกั เ บ ลงั คลอด เปน็ ยาขบั ลม บา� รงุ ธาตุ แกท้ อ้ งอดื เฟอ้ (ชยนั ต์
พิเชียร นุ ทร, แมน้ มา ช ลติ และ เิ ชยี ร จรี ง ,์ 2558: 683)
ตา� ราการแพทย์ไทยเดิม (แพทย า ตร์ งเคราะ ์ ฉบับอนุรกั )์ กลา่ ถงึ การใช้ใน
10 คมั ภรี ์ ได้แก่ คัมภีร์โรคนทิ าน, คมั ภีรธ์ าตุ ภิ ังค์ , คมั ภีร์ธาตุ ิ รณ์, คัมภรี ์ประถม
จนิ ดา, คมั ภรี ม์ าโชตรตั , คมั ภรี จ์ ลน งั ค ะ – คมั ภรี ธ์ าตบุ รรจบ, คมั ภรี ม์ จุ ฉาปกั ขนั ทกิ า,
คัมภรี ์ช ดาร, คมั ภรี ์ก ยั และคมั ภรี ์ รรพคณุ ยา
ตวั อยำ่ งตำ� รับยำ คมั ภรี ์ม ำโชตรตั
ยาชอ่ื ประทมุ เก รา ขนานนี้ ทา่ นใ เ้ อา จนั ทนท์ ง้ั 2 อบเชยทงั้ 2 กระดอม บอระเพด็
แ ้ มู ่ิงละ 2 ่ น โกฐทัง้ 5 บั นา้� ทั้ง 5 ิง่ ละ 4 ่ น เบญจกูลตามพกิ ดั ต้มตาม
ิธีใ ้กินแก้โล ิตปกติโท อันบังเกิดแต่ข้ั ดีน้ันกระท�าใ ้ ิง าย าย ิเ นักแล
(มูลนธิ พิ ืน้ ฟู ่งเ ริมการแพทยไ์ ทยเดมิ , 2555: 293)
คัมภรี ์จลน งั ค ะ – คมั ภรี ์ธำตบุ รรจบ
ยาชือ่ อภญิ ญาณเบญจกลู เอาแฝก อม เถา ลั ยเ์ ปรียงแดง แ ้ มู บอระเพ็ด แก่น
ขเี้ ลก็ แก่นกนั เกรา ผลมะตมู อ่อน กกลังกา เปลือกโมก ล ง ง่ิ ละ 4 ่ น ขา่ พริก
ล่อน ผกั แพ แดง เปราะ อม อบเชย มุลแ ้ง ชะเอมเท ง่ิ ละ 8 ่ น เบญจกลู ตาม
พิกัด ต้มตาม ิธี ใ ้กินแก้ธาตุอภิญญาณ ซ่ึงเป็นชาติจลนโท ใน มุฏฐานพิกัด
แลอุจจาระ ันนิบาตนั้น จ�าเริญอัคนีผลใ ้ ุคติธาตุบังเกิด ัฒนะ แลบ�าบัดชินธาตุนั้น
ยงิ่ ใ ป้ กติ (มลู นิธพิ น้ื ฟู ่งเ รมิ การแพทยไ์ ทยเดมิ , 2555: 307)
คัมภีร์ รรพคณุ ยำ
คุณอบเชย แก้พิ รอ้ น แกล้ มอัมพาต แก้ไข้จบั (มลู นธิ พิ น้ื ฟู ่งเ รมิ การแพทย์ไทยเดมิ ,
2555: 404)
547
นัง อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
5. ะเดำ
ชื่อท่ีพบในคมั ภรี จ์ รก มั ติ ำ นิมพฺ
ตัวอยำ่ งโศลก
( ูตฺร ถฺ าน, บทท่ี 3, โ ลกท่ี 3)
วิธใี ช้ เคยี่ รอื ต้มทงั้ ต้นใชใ้ นการรกั าทงั้ ภายนอกและภายใน
รรพคณุ ทำงยำ โรคผิ นงั จากการตดิ เชอ้ื , โรคทางเดนิ ปั า ะ, เปน็ ไข,้ และเปน็ อา ารเ รมิ อยา่ ง นงึ่
ช่อื ในคมั ภรี ์แพทย์แผนไทย ะเดา, เดา, ะเดาอินเดีย
ชอื่ ำมัญ Margosa tree
ชื่อวิทยำศำ ตร์ Azadirachia indica Juss.
รรพคุณและต�ำรำทำงกำร เปลือก ะเดามรี ขมฝาดเยน็ มี รรพคุณแก้บดิ มกู เลือด แกท้ ้องร่ ง แกก้ ระ ัย ใช้
แ พ ท ย ์ แ ผ น ไ ท ย ท่ี พ บ ช่ื อ เปน็ ่ นผ มยาแกไ้ ขต้ า่ ง ๆ (ชยนั ต์ พเิ ชยี ร นุ ทร, แมน้ มา ช ลติ และ เิ ชยี ร จรี ง ,์
มุนไพร 2558: 610)
ตา� ราการแพทยไ์ ทยเดิม (แพทย า ตร์ งเคราะ ์ ฉบบั อนุรกั ์) กล่า ถึงการใช้ใน
9 คมั ภีร์ ไดแ้ ก่ คัมภีรธ์ าตุ ภิ ังค,์ คัมภรี ธ์ าตุ ิ รณ์, คัมภีร์ประถมจินดา, คมั ภรี ์ม าโชต
รตั , คมั ภรี จ์ ลน งั ค ะ–คมั ภรี ธ์ าตบุ รรจบ, คมั ภรี ม์ จุ ฉาปกั ขนั ทกิ า, คมั ภรี ช์ ดาร, คมั ภรี ์
ก ัย และคมั ภรี ์ รรพคุณยา
ตวั อยำ่ งตำ� รบั ยำ คมั ภรี ธ์ ำตุวภิ ังค์
ยาช่ือเขียวม ำพร ม �า รับแก้โล ิตพิการ ท�าพิ ใ ้ร้อนท่ั กายดังเปล ไฟ
ใ ท้ ุรนทรุ าย า ติ มปฤดมี ิได้กด็ ี ยานีแ้ กไ้ ด้ น้ิ ทุกอนั ท่านใ เ้ อา ใบข้ี นอน 1 ใบ มี
1 ใบชงิ ชา้ ชาลี 1 ใบขเ้ี ลก็ 1 ใบผกั เคด็ 1 ใบแคแดง 1 ใบทอง ลางใบมน 1 ใบมะเฟอื ง
1 ใบพมุ เรยี งทงั้ 2 ใบนมพจิ ติ ร 1 ใบแทงท ย 1 ใบพรกิ ไทย 1 ใบนา�้ เตา้ ขม 1 ใบปีบ 1
ใบมะระ 1 ใบยา่ นาง 1 ใบเท้ายายม่อม 1 ใบพุงดอ 1 ใบ ญ้านา้� ดบั ไฟ 1 ใบระงบั 1
ใบต�าลึงตั ผู้ 1 ใบพรมมิ 1 ใบฟักข้า 1 ใบ มากผู้ 1 ใบ มากเมยี 1 ใบพิมเ น 1 ใบ
ันพรา้ อม 1 ใบ ะเดา 1 ใบถั่ แระ 1 ใบบอระเพ็ด 1 เถา ัลยด์ ้ น 1 ขม้ินออ้ ย 1
จันทนข์ า 1 เอาเ มอภาค บดปนั้ แทง่ ไ ้ นา�้ กระ ายยักใช้ค รแก่โรคทงั้ กินท้ังพน่
แก้โล ิตกา� เรบิ แล (มลู นธิ ิพืน้ ฟู ง่ เ รมิ การแพทยไ์ ทยเดิม, 2555: 47)
คมั ภีร์ประถมจนิ ดำ
ยำชอื่ นำ้� ดบั ไฟขนานนี้ ทา่ นใ เ้ อา ใบมะม่ งกะลอ่ น 1 ใบมะลิ 1 ใบ มี 1 ใบตา� ลงึ ตั ผู้
1 ผกั ข ง 1 ใบ ะเดา 1 ใบนา้� เตา้ 1 ใบโคกกระออม 1 ขมน้ิ ออ้ ย 1 บดทา� แทง่ ไ ้ ละลาย
น้�ามะลิ ด ชโลมดับพิ ดนี ัก (มูลนธิ ิพนื้ ฟู ง่ เ ริมการแพทยไ์ ทยเดิม, 2555: 149)
คัมภีร์ รรพคณุ ยำ
ะเดานนั้ มรี อนั ขมฝาดเยน็ ใบกระทา� ใ ร้ ะมดั ในทอ้ ง บา� รงุ เพลงิ ธาตุ กระทา� ใ อ้ า าร
ง ด ดอกแกพ้ ิ โล ิต อนั บงั เกิดแตก่ �าเดา แก้รดิ ดี งในลา� คอ ใ ้คันดจุ ตั พยาธไิ ต่อยู่
ผลแกล้ ม ทยั าตะ แลลม ตั ถก าตะ แลลมอนั บงั เกดิ แตก่ องปติ ต มฏุ ฐาน เปลอื กแก้
บดิ แลมกู เลอื ด กระพแ้ี กด้ แี กบ้ า้ อนั เพอ้ คลง่ั แกน่ แกล้ มอนั กระทา� ใ ค้ ลนื่ เ ยี นอาเจยี น
แลลมอนั ผูกกลัดท าร รากแกเ้ ม ะ อนั เปน็ นับอยภู่ ายในทอ้ ง แลแกเ้ ม ะอันตดิ
อยใู่ นล�าคอใ ต้ ก (มูลนธิ พิ ืน้ ฟู ง่ เ ริมการแพทย์ไทยเดิม, 2555: 394)
548
สรุปผลกำรวิจยั
จากการ ึก าเปรียบเทียบจะพบท้ังประเด็นค ามเ มือนและค ามต่างในการใช้พืช มุนไพร
ท่ีพบในคัมภีร์จรก ัม ิตากับต�าราแพทย์แผนไทย มุนไพรที่ใช้ ่ นใ ญ่มี รรพคุณเป็นไปในแน ทาง
เดีย กัน ต่างกันบ้างในการพรรณนาค ามละเอียดเพราะคัมภีร์จรก ัม ิตาแต่งเป็นโ ลกร้อยกรอง
จึงใ ้รายละเอียดในทาง รรพคุณได้น้อยก ่าต�าราแพทย์แผนไทยท่ี ่ นใ ญ่แต่งเป็นร้อยแก้ (ยกเ ้น
คมั ภีร์ฉนั ท า ตร์) จงึ เ มาะแก่การพรรณนามากก ่า ในด้านการประกอบยาจะพบ ่าคมั ภรี ์จรก มั ิตา
มีการใช้เป็นยาเด่ีย เป็น ่ นใ ญ่ แต่ต�าราแพทย์แผนไทยนิยมใช้เป็นยาต�ารับ ่ นการใช้ ่ นต่าง ๆ
ของพชื มนุ ไพรนั้นพบ า่ แพทยแ์ ผนไทยมีการใช้ ่ นตา่ ง ๆ ที่ ลาก ลายมากก ่าในคมั ภีร์จรก มั ติ า
อาจเปน็ เพราะยคุ มัยท่ีตา่ งกนั นับพนั ปี
549
นงั อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บรรณำนุกรม
ภำ ำไทย
กอ่ งกานดา ชยามฤต และ รดลต์ แจม่ จ�ารญู . (2559). คู่มือจ�ำแนกพรรณไม.้ กรุงเทพฯ: า� นกั งาน
อพรรณไม้ า� นกั จิ ยั การอนรุ กั ป์ า่ ไมแ้ ละพนั ธพ์ุ ชื . กรมอทุ ยานแ ง่ ชาติ ตั ป์ า่ และพนั ธพ์ุ ชื .
เคน็ เนธ็ จี ซิ ค.์ (2551). ลทั ธนิ กั พรตและกำรเยยี ยำในอนิ เดยี โบรำณ: ระบบกำรแพทยใ์ นพทุ ธอำรำม.
แปลโดย ิชัย โชค ิ ัฒน และคณะ. กรุงเทพฯ: กลุ่มงานพัฒนา ิชาการแพทย์แผนไทย
ถาบนั แพทยแ์ ผนไทย กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทร ง าธารณ ขุ .
ชยนั ต์ พเิ ชยี ร นุ ทร, แมน้ มา ช ลติ และ เิ ชยี ร จรี ง .์ (2558). คำ� อธบิ ำยตำ� รำพระโอ ถพระนำรำยณ.์
พิมพ์ครั้งท่ี 3. กรุงเทพฯ: อมรนิ ทร์พร้นิ ตง้ิ .
บุ บา ประภา พง ์ และคณะ. (2554). แพทย์ ำ ตร์ งเครำะ :์ ภูมปิ ญั ญำทำงกำรแพทย์และมรดก
ทำง รรณกรรมของชำติ. พิมพ์คร้ังที่ 4. กรุงเทพฯ: ถาบันภา าไทย �านัก ิชาการและ
มาตรฐานการ กึ า า� นักงานคณะกรรมการการ กึ าขัน้ พ้นื ฐานกระทร ง กึ าธกิ าร.
ประทีป ชุมพล. (2540). รำยงำนกำร ิจัย เร่ือง เ ช ำ ตร์ฉบับ ล งกับกำรบูรณำกำรแพทย์
แผนไทย : กรณี กึ ำในเขตกรุงเทพม ำนคร. กรงุ เทพฯ: ม า ทิ ยาลัย ิลปากร.
พรทิพย์ เติม ิเ , บรรณาธิการ. (2552). 200 ปี พระเจ้ำบรม ง ์เธอ กรม ล ง ง ำธิรำช นิท
พระกรณียกิจด้ำนกำรแพทย์แผนไทย. กรุงเทพฯ: กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและ
แพทยท์ างเลอื ก กระทร ง ัฒนธรรม.
มูลนิธิฟื้นฟู ่งเ ริมการแพทย์แผนไทยเดิม. (2555). ต�ำรำแพทย์ไทยเดิม (แพทย ำ ตร์ งเครำะ ์
ฉบับอนุรักข์) เลม่ 1. พมิ พ์ครงั้ ท่ี 3. กรงุ เทพฯ: ภุ นิชการพมิ พ.์
ราชบัณฑติ ย ถาน. (2527). พจนำนกุ รม ัพทแ์ พทย์อังกฤ -ไทย ฉบับรำชบัณฑติ ย ถำน. กรงุ เทพฯ:
บพธิ การพิมพ์.
. (2550). ัพท์แพทย์และเภ ัชกรรมแผนไทย ฉบับรำชบัณฑิตย ถำน. กรุงเทพฯ:
กรมพฒั นาการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก.
ราชันย์ ภู่มา. (2559). ำรำนุกรมพืชในประเท ไทย (ฉบับย่อ) เฉลิมพระเกียรติ มเด็จพระเทพ
รัตนรำช ุดำฯ ยำมบรมรำชกุมำรี ทรงเจริญพระชนมำยุ 60 พรร ำ. กรุงเทพฯ:
�านกั งาน อพรรณไม้ า� นัก ิจยั การอนรุ กั ป์ ่าไม้และพันธุพ์ ชื กรมอุทยานแ ่งชาติ ตั ป์ า่
และพนั ธ์ุพชื กระทร งทรพั ยากรธรรมชาติและ ิง่ แ ดลอ้ ม.
550
ราชันย์ ภู่มา. (2559). สำรำนุกรมพืชในประเทศไทย (ฉบับย่อ) เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพ
รัตนรำชสุดำฯ สยำมบรมรำชกุมำรี ทรงเจริญพระชนมำยุ 60 พรรษำ. กรุงเทพฯ:
า� นกั งาน อพรรณไม้ า� นัก จิ ัยการอนุรกั ์ปา่ ไม้และพันธพ์ุ ืช กรมอทุ ยานแ ่งชาติ ตั ์ป่า
และพันธุ์พืช กระทร งทรัพยากรธรรมชาติและ ิง่ แ ดลอ้ ม.
ทิ ย์ เทยี่ งบรู ณธรรม. (2539). พจนำนกุ รมสตั วแ์ ละพชื ในเมอื งไทย. พมิ พค์ รง้ั ที่ 2. กรงุ เทพฯ: ร ม า น์ .
_______. (2546). พจนำนกุ รมโรคและสมนุ ไพรไทย. พิมพค์ รง้ั ที่ 3. กรงุ เทพฯ: ร ม า ์น.
า� นกั คมุ้ ครองภมู ปิ ญั ญาการแพทยแ์ ผนไทย. (2555). คมั ภรี ธ์ ำตพุ ระนำรำยณ์ ฉบบั ใบลำน (ตำ� รำโอสถ
พระนำรำยณ์). กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์องค์การ งเคราะ ท์ ารผ่าน ึก.
า� นักพมิ พแ์ พร่พทิ ยา. (2505). พจนำนกุ รมศัพท์แพทยอ์ งั กฤษเปน็ ไทย พรอ้ มดว้ ยค�ำอ่ำน. พระนคร:
า� นักพมิ พ์แพรพ่ ทิ ยา.
ุภาภรณ์ ปิติพร. (2558). บันทึกของแผ่นดิน 8 สมุนไพร ชะลอวัย ไกลโรค. ปราจีนบุรี: มูลนิธิ
โรงพยาบาลเจา้ พระยาอภยั ภเู บ ร ในพระอปุ ถมั ภ์ มเดจ็ พระเจา้ ภคนิ เี ธอ เจา้ ฟา้ เพชรรตั นราช ดุ า
ริ โิ ภาพัณณ ดี.
นุ ทรี งิ บุตรา. (2535). สรรพคุณสมนุ ไพร 200 ชนิด. กรงุ เทพฯ: บริ ัท คณุ 39.
ภำษำต่ำงประเทศ
Bhavana, K.R. and Shreevahsa. (2014). “Medical geography in Charaka Samhita” in AYU
(An International Quarterly Journal of Research in Ayurveda) 35, 4 (Oct-Dec):
371–377.
Bhishagratna, Kaviraj Kunjalal. (2012). Susruta Samhita (text with English translation).
3 Vol. Varanasi: Chowkhamba Sanskrit Series Office.
Caraka. (2004). Caraka Samhita. Maharishi University of Management Vedic Literature
Collection. Iowa: Maharishi University of Management.
Chinthala Rajkumar, Bhagavathi Nnl, and Vidyanath Ratnakaram. (2017). “Charaka’s
perspective of mono-herbal therapy: A critical review.” International Journal
of Research in Ayurveda and Pharmacy 8, 3 (August): 25-32. DOI: 10.7897/2277-
4343.083164
551
นัง ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
Chinthala Rajkumar, Bhagavathi Nnl, and Vidyanath Ratnakaram. (2017). “Charaka’s
perspective of mono-herbal therapy: A critical review.” International Journal
of Research in Ayurveda and Pharmacy 8, 3 (August): 25-32. DOI: 10.7897/2277-
4343.083164
Jain, S. K. and Robert A. De Filipps. (1991). Medicinal Plants of India. 2 volumes.
Algonac, Mich.: Reference Pub.
Lad, Vasant. (2005). Ayurveda: The Science of Self-Healing. Delhi: Motilal Banarsidass.
Lochan, Amarjiva and Srichamp, Sophana, ed. (2557). Ayurveda: Ancient Heritage in
the Age of Globalisation. Nakorn Prathom: Centre for Bharat Studies, Research
Institute for Languages and Cultures of Asia (RILCA), Mahidol University.
Majupuria and Joshi. (1997). Religious & Useful Plants of Nepal and India. Bangkok:
Craftsman Press.
Monier, Monier-Williams. (1970). A Sanskrit-English Dictionary: Etymologically and
Philologically Arranged with Special Reference to Cognate Indo-European
Languages. Delhi: Motilal Banarsidass.
Ray, Priyadaranjan and Gupta, Hirendra Nath. (1965). Caraka Samhita (A Scientific
Synopsis). Calcutta: Sree Saraswaty Press.
Sharma, Priya Vrat. (1993). Sodasangahrdayam: Essentials of Ayurveda. Delhi: Motilal
Banarsidass.
Sharma, R.K. and Vaidya Bhagwan Dash. (2014). Carakasamhita [text with English
translation & critical exposition based on Carakapani Datta’s Ayurveda
Dipika]. 7 Vol. Varanasi: Chowkhamba Sanskrit Series Office.
Sharma, Ram Karan. (1995). Carakasamhita: A Simple Survey. Delhi: Nag Publishers.
Verma, Vinod. (2001). Ayurveda: A Way of Life. Delhi: Motilal Banarsidass.
552
กรยิ าผันรูปเดีย ในภา าฝรัง่ เ :
โครง ร้างและค าม มาย*
The Impersonal Verbs in French :
Constructions and Meanings
ดร.สุดารัตน์ พุทธพงษ*์ *
Sudarat Buddhapong
* บทค ามนเ้ี ปน็ ่ น นง่ึ ของงาน จิ ยั เรอ่ื ง “การ กึ าโครง รา้ งกรยิ าผนั รปู เดยี ในภา าฝรง่ั เ เพอื่ การเรยี น
การ อนใ ก้ บั ผเู้ รยี นชา ไทย” ซง่ึ ไดร้ บั ทนุ อดุ นนุ จิ ยั จากกองทนุ จิ ยั และ รา้ ง รรคค์ ณะโบราณคดี ม า ทิ ยาลยั ลิ ปากร
ประจา� ปี 2562
** ผชู้ ่ ย า ตราจารย์ ประจา� าขา ชิ าภา าฝรงั่ เ ภาค ชิ าภา าตะ นั ตก คณะโบราณคดี ม า ทิ ยาลยั ลิ ปากร
([email protected])
553
นัง ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เนอื่ งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทคดั ยอ่
ภา าฝร่ังเ มีกริยาจ�าพ ก นึ่ง เรียก ่า กริยาผันรูปเดีย (les verbes impersonnels)
มายถงึ กริยาทีใ่ ชก้ บั ประธาน il เอกพจน์บุรุ ที่ 3 เพียงรปู เดยี ซง่ึ il นีไ้ ม่ได้อ้างองิ ถึงบคุ คลใด กริยานี้
แบง่ เปน็ 2 กลมุ่ ได้แก่ (1) กลุม่ ทจ่ี า� กัดการใช้เฉพาะกบั ประธาน il ทไี่ ม่อ้างอิงบคุ คลเท่าน้ัน ซง่ึ จะพบใน
ค�ากริยาและ �าน นกริยาบางตั (2) กลุ่มท่ี ามารถใช้ได้ทั้งกับประธาน il ท่ีอ้างอิงบุคคลและไม่อ้างอิง
บุคคล ซึ่งจะพบในค�ากริยาบางตั และโครง ร้างบางชนิด ผู้ใช้กริยา 2 กลุ่มน้ีจ�าเป็นต้องจดจ�ารูปและ
ค าม มายเฉพาะทกี่ า� นดไ เ้ ทา่ นน้ั เพอ่ื จะ อื่ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ่ นการนา� กรยิ าผนั รปู เดยี มาใชร้ ่ มกบั
รูปกรรตุ าจก รปู กรรม าจก และ/ รอื รูปกริยาทปี่ รากฏร่ มกับรูป รรพนามในลกั ณะท่ีประธานเป็น
ผถู้ กู กระทา� นน้ั แมจ้ ะเปน็ โครง รา้ งทใ่ี ค้ าม มายเดยี กนั กบั รปู อน่ื แตร่ ะดบั ภา า งู ก า่ ผใู้ ช้ ามารถ
เลือกใช้ได้ตามการ างองค์ประกอบที่ต้องการใ ้ค าม �าคัญ และโอกา ท่ีเ มาะ มกับระดับภา า
นอกจากน้คี รค�านึงถงึ การแปลประโยคทมี่ ปี ระธาน il ที่ไม่อา้ งองิ บคุ คลเป็นภา าไทยด้ ย
คา� ส�าคัญ : ภา าฝรง่ั เ , กริยาผนั รปู เดยี , ไ ยากรณ์, โครง รา้ ง, ค าม มาย
554
Abstract
French has a type of verb called impersonal verbs (les verbes impersonnels):
verbs used only with third person singular subject “il” that does not refer to anyone.
This kind of verb can be divided into two categories: (1) verbs strictly used with “il”
impersonal, found in some verbs and verbal expressions and (2) verbs used with both
“il” personal and impersonal, found in some verbs and constructions. To communicate
correctly, the user needs to memorise the form and particular meanings of these verbs.
Although the impersonal verb in active form, passive form, and/or pronominal verb with
passive meaning shares the same meaning with other forms, it is a higher standard
construction. To use impersonal verbs, the selection can be based on the element that
is considered important and the occasion that relates to the language level. Also, the
translation of “il” impersonal from French to Thai should be taken into consideration.
Keywords: French, Impersonal Verbs, Grammar, Constructions, Meanings
555
นงั ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทนา�
จากการ ังเกตการใช้ภา าฝรั่งเ ของผู้ที่มีภา าแม่เป็นภา าไทยร มถึงตั ผู้เขียนเองแล้
พบ ่า ผู้ท่ีมีภา าแม่เป็นภา าไทยและใช้ภา าฝรั่งเ มักมีปัญ าในการท�าค ามเข้าใจกริยารูป นึ่ง
ซง่ึ ในภา าฝรง่ั เ เรยี ก า่ les verbes impersonnels แมก้ รยิ ารปู นจี้ ะไมป่ รากฏใชบ้ อ่ ยเทา่ กรยิ ารปู อนื่
ในภา าฝร่ังเ แต่การ ื่อค ามบางอย่างถูกก�า นดใ ้ใช้เฉพาะกับกริยารูปน้ีเท่าน้ัน ผู้เขียนจึงเ ็น
ค ามจา� เปน็ ทผี่ เู้ รยี น ผใู้ ช้ ตลอดจนผู้ นใจภา าฝรงั่ เ ค รตอ้ งทา� ค ามเขา้ ใจกรยิ าและโครง รา้ งประโยค
ท่ปี ระกอบกบั กรยิ านด้ี ้ ย ในบทค ามนีผ้ ู้เขยี นมงุ่ เพ่ิมพูนค ามรู้ ร้างค ามเข้าใจ และเปดิ ประเด็นการ
ึก า กริยาและโครง ร้างทีป่ ระกอบด้ ยกรยิ าดงั กล่า โดยใชก้ ารบรรยาย (Description) ตามแน คดิ
ภา า า ตร์ (Linguistique) และอภิปรายเกีย่ กับการใชก้ ริยาน้ีตาม ลักไ ยากรณฝ์ ร่ังเ ร มถงึ การ
ใ ค้ าม มายประโยคท่ีมี รรพนาม il ท่ใี ชก้ ับกรยิ านจ้ี ากภา าฝร่ังเ เปน็ ภา าไทยด้ ย
กรยิ าผนั รปู เดยี ว (les verbes impersonnels)
ในภา าฝร่ังเ นอกจากจะมีกริยารูปกรรตุ าจก รือกริยาที่ประธานเป็นผู้กระท�า (l’actif)
กริยารูปกรรม าจก รือกริยาที่ประธานถูกกระท�า (le passif) และรูปกริยาท่ีปรากฏร่ มกับ รรพนาม
(les verbes pronominaux) ซึ่งล้ นแต่ผันกับบุรุ รรพนามประธานที่แตกต่าง ลาก ลายได้ทุกตั
(les verbes personnels) แล้ กย็ งั มกี ริยาอกี รปู ทไ่ี ม่ ามารถผันกับบรุ ุ รรพนามประธานตั ใดได้เลย
นอกจากบรุ ุ รรพนาม il ตั เดยี ซงึ่ ในงานน้ี ผเู้ ขยี นไดร้ บร ม เรยี บเรยี ง และ รปุ จาก นงั อื ไ ยากรณ์
ภา าฝรั่งเ (ดูบรรณานุกรม) โดยผู้เขียนจะเรียกกริยาที่มีลัก ณะที่ไม่ ามารถผันกับบุรุ รรพนาม
ประธานตั อืน่ ได้น้ีเป็นภา าไทย า่ “กรยิ าผนั รปู เดีย ” (les verbes impersonnels)
กริยาผันรูปเดีย รือในภา าฝรั่งเ เรียก ่า les verbes impersonnels ซ่ึงแปล ่า กริยา
ท่ไี มผ่ ันตามบรุ ุ รรพนาม คือกรยิ าท่ีใชก้ ับประธานเอกพจน์บุรุ ที่ 3 il เพียงรปู เดีย เท่าน้ัน ด้ ยเ ตนุ ้ี
จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อ น่ึง ่า les verbes unipersonnels ซึ่ง มายถึงกริยาท่ีผันกับบุรุ รรพนามเพียง
ตั เดยี นอกจากน้ียังเรียก รรพนาม il ท่ีใช้ในกริยาผนั รปู เดีย ่า le pronom impersonnel รือ il
impersonnel ด้ ย รรพนาม il นี้ไมไ่ ดอ้ า้ งอิงถึงบคุ คลใดทั้ง นิ้ จึงไม่มีคา่ อ้างอิงใด ๆ ทางอรรถ า ตร์
(sémantiquement vide) แตกตา่ งจากการใชท้ ่ั ไปที่ รรพนาม il อา้ งองิ บคุ คล (les verbes personnels)
รรพนาม il ในโครง รา้ ง impersonnel นที้ า� นา้ ทเ่ี ปน็ เพยี งประธานในตา� แ นง่ ทาง ากย มั พนั ธเ์ ทา่ นน้ั
ถอื เปน็ ประธานทป่ี รากฏในตา� แ นง่ ซงึ่ ในภา าฝรงั่ เ เรยี ก า่ sujet apparent รอื sujet grammatical
ไม่ถือเป็นประธานท่ีแท้จริงของประโยค ซ่ึงเรียกในภา าฝรั่งเ ่า sujet réel รือ sujet logique
กริยาผันรปู เดยี แบง่ เปน็ 2 กลมุ่ ใ ญ่ ไดแ้ ก่
1. กลมุ่ ทจี่ า� กดั การใชเ้ ฉพาะกบั ประธาน il ทไ่ี มอ่ า้ งองิ บคุ คลเทา่ นนั้ (les verbes essentiellement/
strictement impersonnels รือ les verbes impersonnels proprement dits) กริยาในกลุ่มนี้
ไม่ ามารถน�าไป ือ่ ค ามโดยผันกบั บุรุ รรพนามประธานตั อืน่ ได้ ตอ้ งผันกับ รรพนามประธานบุรุ
ที่ 3 เอกพจน์ il เทา่ นัน้ จึงจะถือ า่ ถูกตอ้ งตามไ ยากรณ์และ ื่อค าม มายได้ ซ่งึ มีดงั ตอ่ ไปนี้
556
1.1 กริยาทีบ่ อก ภาพภมู อิ ากา (les verbes météorologiques) ซง่ึ เปน็ ค�ากริยาทไ่ี มม่ ี ่ น
ขยาย (les verbes sans complément) (Denis and Sancier-Chateau, 2017: 228) เช่น Il pleut.
ฝนตก Il neige. ิมะตก Il grêle. ลกู เ บ็ ตก Il tonne. ฟ้าร้อง
1.2 กรยิ าและ า� น นกริยาทต่ี ้องมี ่ นขยายตามมา (verbes et locutions à complément
obligatoire) (Denis and Sancier-Chateau, 2017: 229) เช่นกรยิ า falloir (ต้อง จ�าเป็น) เช่น
Il faudra partir tôt.
(มัน) จา� เปน็ ทจี่ ะต้องออกเดินทางแตเ่ น่นิ ๆ
กรยิ า s’agir de (เกี่ย กบั คือ) เชน่
Il s’agit d’une histoire de l’art.
มนั เกี่ย กบั /คอื /เป็น เรอ่ื งทางประ ัติ า ตร์ ลิ ปะ
กรยิ า avoir (มี ครอบครอง) ใน า� น นกริยา il y a (ม)ี เช่น
Il y a deux chaises dans cette salle.
มีเก้าอ้ี องตั ใน อ้ งนี้
า� น นกรยิ า être question de (เปน็ เรื่อง/ประเด็น ของ/เกี่ย กับ) เช่น
Il était question de l’amour.
ในตอนนน้ั (มนั ) เป็นเรอ่ื งของค ามรกั
2. กลุ่มท่ี ามารถใช้ได้ท้ังกับประธาน il ท่ีอ้างอิงบุคคลและไม่อ้างอิงบุคคล (les verbes
accidentellement/occasionnellement impersonnels รือ les verbes personnels peuvent
être construits impersonnellement) มายถึง ามารถน�าไปใช้ผันกบั บรุ ุ รรพนามประธานตั ใด
ก็ได้ (อ้างอิงบุคคล) เพ่ือ ่ือค าม มาย น่ึง ซ่ึงค าม มายท่ีได้จากกรณีน้ีจะเป็นค าม มายทั่ ไป
ของกริยานั้น ๆ และ ามารถน�าไปใช้เฉพาะกับ รรพนามประธานบุรุ ท่ี 3 เอกพจน์ il เพียงตั เดีย
(ไม่อา้ งอิงบุคคล) เพ่อื ่ืออกี ค าม มาย นง่ึ ทีเ่ ฉพาะเจาะจงได้ด้ ย มีดังตอ่ ไปนี้
2.1 คา� กรยิ าทใี่ ชก้ บั il impersonnel เพอ่ื อ่ื ค าม มายเฉพาะ ไดแ้ ก่ กรยิ า être (เปน็ /อย/ู่ คอื )
โดยท่ั ไปจะใชบ้ อกคณุ ลกั ณะของประธานทีก่ รยิ า être ขยายอยู่ โดยน�ามาผันกับบุรุ รรพนามต่าง ๆ
แล้ ตามด้ ยคา� นาม รอื คา� คณุ พั ท์ เชน่ Elle est infirmière/jolie. เธอเปน็ นางพยาบาล/เธอ ย Il est
professeur/élégant. เขาเป็นครู/เขา ง่า แต่ ากต้องการนา� กริยา être มาใช้บอกเ ลา (indication
temporelle) กริยา être จะใชก้ ับบรุ ุ รรพนาม il ไดเ้ พยี งตั เดยี เท่านนั้ เช่น Il est cinq heures.
(ขณะน)ี้ เปน็ เ ลา า้ โมง Il est midi.(ขณะน)ี้ เปน็ เ ลาเทยี่ ง นั Il est tard. (ขณะน)ี้ เปน็ ช่ ง ายของ นั
เพราะ ากใช้กับ รรพนามตั อ่ืนเพือ่ บอกเ ลาจะถอื ่าผดิ ลกั ไ ยากรณ์ เช่น *Elle est cinq heures.
*Nous sommes midi.***
*** เครอ่ื ง มายดอกจนั (*) รอื astérisque ในภา าฝรง่ั เ เมอ่ื ใชใ้ นงานภา า า ตรจ์ ะ างไ ้ นา้ ประโยค
เพอ่ื ระบุ ่าประโยคน้นั ผิด ลักไ ยากรณ์
557
นัง อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เนอ่ื งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
กริยา faire (ท�า) เช่น Il fait les devoirs de maths. เขาทา� การบา้ นเลข แต่ ากตอ้ งการใช้
กรยิ า faire เพอ่ื บอก ภาพอากา ทั่ ไปจะตอ้ งใชก้ บั il impersonnel เทา่ นน้ั เชน่ Il fait beau. (ขณะน)ี้
อากา ดี Il fait froid. (ขณะนี)้ อากา นา Il fait jour. (ขณะน้)ี เปน็ เ ลากลาง ัน/ฟ้า ่าง Il fait nuit.
(ขณะน)้ี เปน็ เ ลากลางคืน/ฟา้ มืด และเชน่ เดีย กันกบั กรณีการใชก้ รยิ า être เพ่อื บอกเ ลา กริยา faire
ก็ไม่ ามารถใช้กบั รรพนามตั อนื่ เพื่อบอก ภาพอากา ทั่ ไปได้ มฉิ ะน้นั จะถอื ่าผิด ลักไ ยากรณ์ เชน่
*Elle fait froid. *Vous êtes nuit.
2.2 ค�ากริยาที่ใช้กับ il impersonnel ในโครง ร้างประโยค Il + V ตามด้ ย nom รือ
que + ประโยค เช่น rester (อย)ู่ arriver (มาถงึ ) manquer (ขาด) contenir (บรรจ)ุ naître (เกิด)
paraître (ปรากฏ) sembler (ดูเ มือน ่า) se passer (เกิดข้ึน) suffire (เพียงพอ) valoir (mieux)
(มีคา่ (มากก ่า) ในโครง ร้าง Il + V (ดงั กล่า ) ตามด้ ย nom รือ que + ประโยค เมอ่ื ใชก้ ริยาเ ลา่ น้ี
กับบรุ ุ รรพนามตั ใดก็ตามจะ อ่ื ค าม มาย น่ึง แตเ่ ม่ือนา� มาใช้กับ il impersonnel ซึ่งอาจตามด้ ย
ค�านาม รือประโยค (โดยมี que น�า น้าประโยค) กริยาบางตั ก็คงเค้าค าม มายเดิม บางตั ก็อาจ
ใ อ้ ีกค าม มาย นง่ึ ได้ เช่น
กริยา rester (อยู)่ Je/Il reste à Paris. ฉนั /เขาพกั อยู่ที่ปารี 2 ัน
Il reste deux jours. เ ลอื เ ลา 2 นั
กริยา arriver (มาถงึ ) Nous sommes arrivés/ เรา/เขามาถึงปารี แล้
Il est arrivé à Paris.
Il arrive deux voitures. มีรถมา 2 คนั
Il arrive que des colis
se perdent พั ดุนา่ จะ ญู าย
(Delaveau and Kerleroux, 1985: 27)
กริยา manquer (ขาด) Elle/Il manque de force. เธอ/เขา มดแรง (ขาดพลงั )
Il manque deux chaises. ขาดเกา้ อี้ 2 ตั
กรยิ า sembler (ดูเ มอื น) Ils/Il semblent/ พ กเขา/เขาดูเ นอื่ ย
semble fatigués/fatigué. บ่ายนดี้ ูเ มือน ่าอากา จะดี
Il semble qu’il fera beau
cet après-midi.
กริยาผันรูปเดีย ทั้ง 2 กลุ่มน้ีมีไ ้เพื่อการ ่ือค าม มายเฉพาะ ผู้ใช้ภา าฝรั่งเ จ�าเป็น
ตอ้ งจดจา� รูปและค าม มายทกี่ า� นดไ โ้ ดยเฉพาะนี้เพือ่ ใช้ ื่อ ารได้อย่างถกู ต้อง
558
โครงสรา้ งประโยคที่ประกอบดว้ ยกริยาผนั รปู เดียวร่วมกบั กริยารูปอ่นื
(la double construction: personnelle et impersonnelle)
กริยารูป impersonnel ามารถน�าไปใช้ร่ มกับกริยารูปอ่ืนในโครง ร้างประโยคเดีย กันได้
กล่า คือ กรยิ าตั นงึ่ ามารถใช้ในรปู ทอ่ี า้ งองิ บุคคล (personnel) คือ actif passif รือ pronominal
ร่ มกับรูปที่ไม่อ้างอิงบุคคล (impersonnel) ในประโยคเดีย กันได้ ซึ่งในภา าฝรั่งเ เรียกประโยค
ลกั ณะน้ี า่ la double construction: personnelle et impersonnelle (Riegel, Pellat, and Rioul,
1994: 447) กรณนี ตี้ า่ งจากกรณอี นื่ ๆ ขา้ งตน้ ทคี่ าม มายจะเปลย่ี นไปเมอื่ ใชก้ บั il impersonnel กลา่ คอื
ในกรณนี ไ้ี ม่ า่ จะใชก้ รยิ านน้ั ในรปู ทอี่ า้ งองิ บคุ คล (personnel) รปู ใดรปู นงึ่ เพยี งรปู เดยี รอื ใชร้ ปู อา้ งองิ
บุคคลดังกล่า ร่ มกับรูปท่ีไม่อ้างอิง (impersonnel) ด้ ยก็ตาม (เป็น double construction)
ค าม มายของประโยคกย็ งั คงเคา้ ค ามเดมิ ซง่ึ กลา่ อกี นยั นงึ่ ได้ า่ ค าม มายเดยี กนั ามารถแ ดงออก
ด้ ยโครง ร้างกริยาท่ีต่างรปู กันได้ ตั อย่างเช่น
(a1) De drôles de bruits courent en ville.
(Riegel, Pellat, and Rioul, 1994: 447)
เ ยี งดงั แปลก ๆ ( ่งิ ) อยตู่ ามถนนในเมอื ง
(a2) Il court de drôles de bruits en ville.
(Riegel, Pellat, and Rioul, 1994: 447)
มีเ ียงดังแปลก ๆ ( ิ่ง) อยตู่ ามถนนในเมอื ง
จากตั อย่างประโยค (a1) และ (a2) จะเ ็น า่ มีการนา� il impersonnel ไปใช้ร่ มกับรปู อื่นใน
ประโยคเรมิ่ จากการยา้ ยประธานในประโยค actif (a1) ไป างไ ้ ลงั คา� กรยิ า courir แล้ แทนทใี่ นตา� แ นง่
ประธานด้ ย il impersonnel ใน (a2) ซ่ึงกริยา courir กจ็ ะผนั ตาม รรพนาม il ด้ ย และ (a2) กเ็ ปน็
ประโยคทมี่ กี รยิ าผนั รปู เดยี (impersonnel) ร่ มกบั รปู actif (personnel) ในขณะทปี่ ระโยค (a1) กรยิ า
ใชใ้ นรปู actif เพียงรูปเดีย
(b1) Le même éditeur a publié plus de dix grammaires françaises !
(Riegel, Pellat, and Rioul, 1994: 449)
�านกั พมิ พเ์ ดิมตีพิมพ์ นัง ือไ ยากรณฝ์ รง่ั เ ก า่ 10 เล่ม
(b2) Plus de dix grammaires françaises ont été publiées par le même éditeur !
(Riegel, Pellat, and Rioul, 1994: 449)
นงั ือไ ยากรณ์ฝรง่ั เ ก ่า 10 เล่มได้รับการตีพมิ พจ์ าก า� นักพมิ พเ์ ดมิ
(b3) Il a été publié plus de dix grammaires françaises par le même éditeur !
มีการตพี มิ พ์ นัง ือไ ยากรณ์ฝรงั่ เ ก ่า 10 เลม่ จาก �านักพมิ พเ์ ดมิ
559
นงั ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ประโยค actif (b1) ผ่านกระบ นการทาง ากย ัมพันธ์เปล่ียนเป็นประโยค passif ใน (b2)
และประโยค (b2) ก็ใช้กระบ นการทาง ากย ัมพันธ์เดีย กันกับท่ีประโยค (a1) เปล่ียนเป็น (a2) คือ
ย้ายประธานไป างไ ้ ลังกริยาแล้ แทนด้ ย il impersonnel ในต�าแ น่งประธานเดิม จึงได้ประโยค
รูป impersonnel ร่ มกับรูป passif และใ ้ค าม มายเชิงกรรม าจก (impersonnel du passif)
ใน (b3) ทง้ั 3 ประโยค (b1) actif (b2) passif และ (b3) impersonnel du passif ท่ีมรี ูป passif และ
รปู impersonnel ในประโยคเดีย กันกใ็ ้ค าม มายไมต่ ่างกัน
(c1) On a vendu beaucoup de disques.
(Riegel, Pellat, and Rioul, 1994: 450)
เขาขายแผ่นเ ยี งไปไดเ้ ป็นจ�าน นมาก
(c2) Beaucoup de disques se sont vendus.
(Riegel, Pellat, and Rioul, 1994: 450)
แผ่นเ ียงขายได้เป็นจ�าน นมาก
(c3) Il s’est vendu beaucoup de disques.
(Riegel, Pellat, and Rioul, 1994: 450)
มีการขายแผน่ เ ยี งได้เป็นจ�าน นมาก
ประโยค (c1) กริยาอยู่ในรูป actif ประโยค (c2) เป็นกริยาที่ปรากฏร่ มกับ รรพนาม
ท่ีใ ้ค าม มายเชิงกรรม าจก pronominal de sens passif และในประโยค (c3) เป็นโครง ร้าง
pronominal de sens passif à la forme impersonnelle ท่ไี ดม้ าจากกระบ นการย้ายประธานจาก
(c2) ไป างไ ้ ลงั กรยิ าแล้ แทนด้ ย il impersonnel ในตา� แ นง่ ประธานเดิม เช่นเดยี กันกบั ประโยค
(a2) และ (b3) ทั้ง 3 ประโยค (c1) (c2) และ (c3) อื่ ค าม มาย ลักไปในทิ ทางเดยี กัน
อย่างไรก็ตามการทก่ี ริยา น่ึง ามารถใช้ ือ่ ค ามเดยี กนั ได้ ลายรปู น้ัน มิได้ มายค าม ่าผู้ใช้
ภา า ามารถใช้กริยาน้ันในรูปใดและเมื่อใดก็ได้ นั่นเป็นเพราะกริยาแต่ละรูปมีข้อจ�ากัดแตกต่างกันไป
กล่า คือกริยาแต่ละรูปใ ้ค าม �าคัญและใ ้บทบาทกับองค์ประกอบในประโยคแตกต่างกันไปตาม
ตา� แ นง่ ทอี่ งคป์ ระกอบนน้ั ปรากฏ ซงึ่ ตา� แ นง่ ขององคป์ ระกอบที่ า� คญั ท่ี ดุ ในประโยคจะอยใู่ นตา� แ นง่
ประธาน น่ัน มายถึง น้ากริยา รือทางซ้ายของค�ากริยา ดังน้ันกริยารูป actif จึงใ ้ค าม �าคัญกับ
ผกู้ ระทา� กรยิ าเพราะผกู้ ระทา� กรยิ า างอยใู่ นตา� แ นง่ ประธาน ่ นรปู passif ใ ค้ าม า� คญั กบั ผถู้ กู กระทา�
จึง างผู้ถกู กระทา� ไ ้ในต�าแ น่งประธาน ซง่ึ รูป pronominal ใ ้บทบาทกับ ่งิ ที่อยใู่ นต�าแ นง่ ประธาน
และลกั ณะการกระท�าของกริยา า่ ะทอ้ นกลับ าตั ประธาน (réfléchi) รอื กระทา� ต่อกนั /ซึ่งกันและ
กัน (réciproque) รอื ประธานทีเ่ ป็น ิ่งไมม่ ีชี ติ นนั้ ถกู กระท�า (passif) ่ นรปู impersonnel นน้ั ใ ้
ค าม า� คญั กบั กรยิ าจงึ ยา้ ยประธานทแ่ี ทจ้ รงิ (sujet réel/sujet logique) ไป างไ ้ ลงั กรยิ า แตโ่ ครง รา้ ง
ภา าฝร่ังเ ไม่เอ้ือใ ้ างค�ากริยาไ ้ในต�าแ น่งประธานได้ จึงต้องมีประธาน างไ ้ น้าค�ากริยาเพ่ือใ ้
ประโยคถูกต้องตาม ลักโครง ร้างภา า โดยที่ประธานตั นั้นต้องไม่ลดบทบาท รือค าม �าคัญของค�า
560
กรยิ านนั้ ด้ ย จงึ เปน็ เ ตใุ ้ รรพนามประธาน il ในโครง รา้ งประโยค impersonnel นไี้ มม่ คี า่ อา้ งองิ ใด ๆ
และถอื เปน็ เพยี งประธานทป่ี รากฏตามตา� แ นง่ ไ ยากรณ์ sujet apparent/sujet grammatical เทา่ นนั้
ดังน้ัน ากพิจารณาการใช้โครง ร้างกริยารูปต่าง ๆ ในภา าฝร่ังเ แล้ จะพบ ่า ผู้ใช้ภา ามี ลาย
โครง รา้ งประโยคใ เ้ ลอื กใชต้ ามค าม มายทต่ี อ้ งการจะ อื่ รอื ตามองคป์ ระกอบทต่ี อ้ งการใ ค้ าม า� คญั
โดย ามารถเลือกใชใ้ ้ อดคล้องกับ ลักการจัด างองค์ประกอบของกริยาในแต่ละรปู
ในทน่ี ้ผี เู้ ขียนขอยกตั อย่าง (b1) ถงึ (b3) และ (c1) ถึง (c3) มาอภิปรายอกี คร้งั เพือ่ ใ เ้ ็น า่
โครง ร้างกริยาแต่ละรูปใ ้บทบาทกับองค์ประกอบในต�าแ น่งประธาน รือต�าแ น่งต้นประโยค รือ
ตา� แ นง่ ทางซา้ ยของกรยิ า ตา่ งกนั กลา่ คอื ในรปู actif (b1) le même éditeur อยใู่ นตา� แ นง่ ประธาน
ประโยค actif น้ี จึงเน้นที่ le même éditeur ใ ค้ าม �าคัญ ่าเปน็ า� นักพิมพ์เดิม ในประโยค passif
(b2) เน้นที่ plus de dix grammaires françaises ใ ้ค าม �าคัญกับ นัง ือก ่า 10 เล่ม ่ นรูป
impersonnel ใน (b3) เนน้ ทกี่ รยิ าคอื ตพี มิ พ์ เชน่ เดยี กนั กบั ตั อยา่ ง (c1) ถงึ (c3) ากผใู้ ชภ้ า าตอ้ งการ
เน้นที่คนขายก็ใช้โครง ร้าง actif ใน (c1) ากต้องการเนน้ ่งิ ทีถ่ ูกขายก็เลอื กใช้ pronominal de sens
passif ได้ อยา่ งใน (c2) และ ากเนน้ ทกี่ รยิ าคอื ขาย กเ็ ลอื กใชร้ ปู impersonnel ร่ มกบั รปู pronominal
de sens passif ได้อย่างใน (c3)
นอกจากนโ้ี ครง รา้ งประโยคทป่ี ระกอบด้ ยกรยิ าผนั รปู เดยี ร่ มกบั กรยิ ารปู อน่ื มกั จะ รา้ งจาก
ประโยคทไี่ มม่ กี รรมตาม ลงั กรยิ า คอื ประโยคกรรตุ าจก (actif) ทม่ี อี กรรมกรยิ า (les verbes intransitifs)
ประโยคกรรม าจก (passif) รอื ประโยคทม่ี กี รยิ าทปี่ รากฏร่ มกบั รปู รรพนามทใี่ ค้ าม มายเชงิ กรรม
าจก (les verbes pronominaux de sens passif) เพราะใน 3 โครง รา้ งดงั กลา่ ไมม่ กี รรมในตา� แ นง่
ลังกริยา จึง ามารถย้ายประธานจากประโยคเดิมไป างไ ้ ลังกริยาในโครง ร้าง impersonnel ได้
ในขณะท่ีโครง ร้างประโยคอื่นที่ประกอบด้ ย กรรมกริยา (les verbes transitifs directs) รือกริยา
ทต่ี อ้ งการกรรมตรงนนั้ ไดก้ า� นดตา� แ นง่ ลงั กรยิ าไ ใ้ ก้ บั กรรมตรงโดยเฉพาะแล้ จงึ ไม่ ามารถเปลยี่ น
โครง ร้างประโยคนี้ใ ้เป็น impersonnel ได้ นอกจากข้อ ังเกตเชิง ากย ัมพันธ์แล้ ากพิจารณา
ในเชงิ จี ภิ าคจะพบ า่ โครง รา้ งประโยค impersonnel มกั ใชก้ บั คา� นา� นา้ นามทไ่ี มช่ เ้ี ฉพาะ (les indéfinis)
เพราะโครง รา้ งนี้มี รรพนาม il ที่ไม่อ้างอิงบุคคล จึงไม่ ามารถเชอ่ื มโยง รืออา้ งอิงกับบริบทกอ่ น นา้
ได้ ท�าใ ้ไม่ อดคลอ้ ง ากใชก้ ับรปู ช้เี ฉพาะ (les définis) (Pellat and Fonvielle, 2017: 268) นน่ั เอง
นอกจากน้ีการใช้โครง ร้างประโยคที่มีกริยาผันรูปเดีย ร่ มกับกริยารูปอ่ืนจะบ่งบอกถึงระดับ
ภา าท่ี ูงก ่าประโยคที่ประกอบด้ ยกริยารูปอื่นเพียงรูปเดีย เพราะจัดเป็นภา าทางการมากก ่า
(une marque distinctive du français soutenu) (Pellat and Fonvielle, 2017: 451) โดยเฉพาะ
การใชโ้ ครง รา้ งประโยคทป่ี ระกอบด้ ยกรยิ าผนั รปู เดยี ร่ มกบั กรยิ ารปู กรรม าจก verbe passif จะพบ
ไดบ้ อ่ ยในภา าเขยี นราชการ (les écrits administratifs) (Pellat and Fonvielle, 2017: 450)
561
นัง ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เนอื่ งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ความหมายของกริยาผันรปู เดยี ว
ใน ั ข้อน้ี ผู้เขียนมุ่งเน้นประเด็นการใ ้ค าม มายของ รรพนาม il ในโครง ร้างกริยาผัน
รูปเดีย ซึง่ รปุ โดยย่อจากการ งั เกตประ บการณ์ในการใชภ้ า าฝรงั่ เ ของผูเ้ ขยี นเอง
กริยาผันรูปเดีย ในภา าฝรั่งเ เป็นอีกโครง ร้าง น่ึงท่ีจ�าเป็นต้องท�าค ามเข้าใจใ ้ถูกต้อง
กอ่ นทจี่ ะถา่ ยทอด เพราะเปน็ โครง รา้ งทใ่ี ค้ าม มายเฉพาะและซบั ซอ้ น ดงั นน้ั การใ ค้ าม มาย รอื
การแปลกรยิ าผนั รปู เดยี ในภา าฝรงั่ เ เปน็ ภา าไทยจงึ เปน็ ปญั าที่ า� คญั โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การแปล
รรพนาม il ในประโยค impersonnel จากภา าฝร่ังเ เป็นภา าไทย เนื่องจาก รรพนามเอกพจน์
บรุ ุ ท่ี 3 il นี้ พบได้ในประโยคทมี่ ีรปู กริยาอื่น ๆ ที่อ้างองิ บุคคล (la forme personnelle) ได้ด้ ย ดังนัน้
ากไม่ ามารถแยกแยะโครง รา้ งประโยค โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ไม่ ามารถแยก รรพนาม il ทอ่ี า้ งองิ บคุ คล
(il personnel) ออกจาก il ทีไ่ มอ่ า้ งองิ บคุ คล (il impersonnel) ได้แล้ อาจทา� ใ แ้ ปลค าม มายผิด
เพ้ียนจากรูปท่ีไม่อ้างอิงบุคคลเป็นอ้างอิงบุคคลได้ ซ่ึงก็จะไม่ตรงตามเนื้อค ามที่ภา าต้นทางต้องการ
จะ อ่ื กรณนี ้ี ามารถทด อบได้ ่าประโยคเปน็ โครง ร้าง personnel รอื impersonnel โดย ังเกตได้
ดังนี้
1. ใช้กระบ นการแทนท่ีทางภา า า ตร์ (la substitution) โดยแทนท่ี il ด้ ย รรพนาม
ตั อ่ืนแล้ ค าม มายทไี่ ด้เป็นธรรมชาตถิ กู ตอ้ งตาม ลกั ภา า รือไม่
2. ตร จ อบ ่าค�านาม รือกลุ่มค�านามที่ตาม ลังกริยาในประโยคที่มี il เป็นประธานน้ันเป็น
กรรมตรง รอื ไม่
ผู้เขยี นขอยกตั อย่างประโยค personnel (a1) และประโยค impersonnel (a2) มาอภปิ ราย
อกี ครั้งใน ่ นนี้ โดยเรยี กใ มเ่ ปน็ ประโยค (d1) และ (d2) ตามลา� ดบั
(d1) De drôles de bruits courent en ville.
(Pellat and Fonvielle, 2017: 447)
เ ยี งดังแปลก ๆ ( ง่ิ ) อยตู่ ามถนนในเมอื ง
(d2) Il court de drôles de bruits en ville.
(Pellat and Fonvielle, 2017: 447)
มีเ ยี งดังแปลก ๆ ( ิ่ง) อยตู่ ามถนนในเมือง
(d3) Il/Elle court (vite).
เขา/ ลอ่ น ง่ิ (เร็ )
(d4) *Elle court de drôles de bruits en ville.
562
ประโยค (d2) เป็นโครง ร้างประโยคที่ประกอบด้ ยกริยาผันรูปเดีย ท่ีผ่านกระบ นการ
ทาง ากย มั พนั ธย์ า้ ยตา� แ นง่ ประธานในรปู actif ใน (d1) เปน็ รปู impersonnel ใน (d2) ดงั นนั้ รรพนาม
il ในประโยค impersonnel (d2) น้จี งึ ไมอ่ ้างองิ บคุ คล ซ่งึ จะตา่ งจาก il ใน (d3) ที่อา้ งอิงบุคคลไดต้ าม
ประโยคกอ่ น นา้ ในบรบิ ทซง่ึ ไมป่ รากฏ ณ ทน่ี ้ี ทงั้ นอ้ี กรรมกรยิ า courir ( ง่ิ ) ใน (d3) ามารถมคี า� เิ ณ์
vite (เร็ ) มาขยายไดด้ ้ ย และ าก (d2) ไม่ไดเ้ ปน็ โครง ร้าง impersonnel จรงิ รรพนาม il ใน (d2)
จะตอ้ ง ามารถแทนทไ่ี ดด้ ้ ย รรพนามตั อนื่ โดยทยี่ งั อื่ ค าม มายไดถ้ กู ตอ้ งตามเดมิ แตผ่ ลการทด อบ
ใน (d4) แ ดงใ เ้ น็ ่าไม่ ามารถใช้ รรพนาม elle แทน il ในโครง รา้ ง (d2) ได้เ มอื นกบั ทเี่ ลือกใช้ il
รอื elle ไดใ้ น (d3) นน่ั เปน็ เพราะกริยา courir ไม่ตอ้ งการกรรมตาม ลงั และ ากมอี งคป์ ระกอบใน
ตา� แ นง่ ลงั กรยิ ากเ็ ปน็ ไดเ้ พยี ง ่ นขยายอยา่ ง vite ใน (d3) เทา่ นนั้ ไม่ ามารถมกี ลมุ่ คา� นาม de drôles
de bruits ตาม ลงั มาอย่างใน (d4) ได้ ดังน้นั ประโยค (d4) จงึ ผดิ ท้ังไ ยากรณแ์ ละค าม มายในภา า
ฝรัง่ เ
ข้อค รจ�าในการแยกรูปโครง ร้างกริยาผันรูปเดีย ออกจากโครง ร้างรูปอ่ืน คือ ากประโยค
น่ึงประกอบด้ ยอกรรมกริยา และอกรรมกริยาตั นั้นมีนาม รือกลุ่มค�านามตามมาข้าง ลัง (ซึ่งผิด
ลกั ณะโครง รา้ งของอกรรมกรยิ า) ใ ้ ังเกตประธานของประโยคน้นั า่ เปน็ รรพนามเพ ชายเอกพจน์
บุรุ ท่ี 3 il ด้ ย รือไม่ ากประโยคน้ันมีทั้ง องลัก ณะดังกล่า ใ ้พิจารณา ่าเป็นโครง ร้างประโยค
ท่ีประกอบด้ ยกรยิ าผันรปู เดยี
การแปล รรพนาม il ทไ่ี ม่อา้ งอิงเป็นภา าไทยนัน้ มี ลายรปู แบบ เช่น il ในกรยิ าผันรปู เดีย
กลมุ่ 1 และกลมุ่ 2 เปน็ การถอดค ามร มจากภา าฝรง่ั เ แล้ แ ดงค าม มายทตี่ รงกนั ตาม ลกั ภา า
ไทยมากก ่าการแปล รรพนาม il ออกมาโดยตรง ในท่ีนผ้ี เู้ ขยี นขอยกบางตั อยา่ งจาก ั ข้อกรยิ าผนั รปู
เดยี ข้างตน้ มาแ ดงใน ั ขอ้ นใี้ มอ่ ีกคร้ัง โดยใ ้ชื่อใ ม่เป็นตั อย่าง (e1) ถึง (e7) ตามล�าดบั
(e1) Il pleut. ฝนตก
(e2) Il est cinq heures. (ขณะน้ี) เป็นเ ลา ้าโมง
(e3) Il fait froid. (ขณะน้ี) อากา นา
ประโยคตั อย่าง (e1) มาจากกลุ่ม 1.1 ตั อยา่ ง (e2) และ (e3) มาจากกล่มุ 2.1 ทง้ั 3 ตั อย่าง
นี้แ ดงใ ้เ ็น ่าไม่มีการแปลค�า รรพนาม il impersonnel ทีไ่ มอ่ ้างอิงเปน็ ภา าไทยโดยตรง แตใ่ ช้ ิธี
การถอดค าม มายแล้ ใช้กริยา รูปค�า รือโครง ร้างประโยคท่ีมีในภา าไทยท่ี ื่อค าม มายเดีย กัน
อยา่ งในตั อยา่ ง (e1) ทแ่ี ปลเปน็ ภา าไทยโดยใชร้ ปู ประโยคเรยี งประธาน – กรยิ า ในลกั ณะผทู้ า� – กรยิ า
(น รรณ พันธุเมธา, 2558: 208) ในบทแปลภา าไทยของตั อย่าง (e2) ใช้ค�ากริยาขึ้นต้นประโยค
ในการบอกเ ลา ่ นบทแปลใน (e3) เรียงประโยคในลกั ณะประธาน – กริยาบอก ภาพ
563
นัง อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เน่อื งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
(e4) Il faudra partir tôt.
(มัน) จ�าเป็นที่จะต้องออกเดินทางแต่เน่นิ ๆ
(e5) Il arrive deux voitures.
(มี) รถมา 2 คัน
(e6) Il a été publié plus de dix grammaires françaises par le même éditeur !
มีการตีพมิ พ์ นัง อื ไ ยากรณ์ฝรง่ั เ ก า่ 10 เลม่ จาก า� นักพิมพ์เดิม
(e7) Il s’est vendu beaucoup de disques.
(Pellat and Fonvielle, 2017: 450)
มกี ารขายแผ่นเ ยี งได้เปน็ จ�าน นมาก
ในขณะท่ีตั อยา่ ง (e4) ท่ีมาจากกลมุ่ 1.2 ถอดค ามประโยคท่ีมี il impersonnel โดยใชค้ �า ่า
มันซง่ึ เปน็ รรพนาม รือคา� แทน (น รรณ พนั ธุเมธา, 2558: 24, 27) ในต�าแ น่งตน้ ประโยคซงึ่ เปน็
ต�าแ น่งเดีย กันกับ il impersonnel และในตั อย่าง (e5) ที่มาจากกลุ่ม 2.2 ถอดค ามประโยคท่ีมี
il impersonnel โดยใช้คา� กรยิ า มี ่ นตั อยา่ ง (e6) และ (e7) มาจากกลมุ่ โครง รา้ งประโยคที่ประกอบ
ด้ ยกรยิ าผันรปู เดยี ร่ มกับกริยารูปอ่นื (la double construction) ซง่ึ ตามท่ีได้อธิบายไ ข้ ้างต้นแล้ ่า
โครง รา้ งประโยคทมี่ กี รยิ าผนั รปู เดยี ในลกั ณะนจ้ี ะใ ค้ าม า� คญั กบั กรยิ า รอื การกระทา� ในประโยค
ผ้เู ขยี นจงึ เลือกกริยา มใี นภา าไทยมาใชใ้ นบทแปลของตั อยา่ ง (e6) และ (e7) โดย างไ ต้ ้นประโยคใน
่ นของภาคประธาน โดยไมม่ ปี ระธานขา้ ง นา้ (เพราะโครง รา้ งประโยคทลี่ ะประธานนใี้ ชใ้ นภา าไทยได)้
เพื่อใ ้ ่ นที่ �าคัญท่ี ุดท่ีเป็นค�ากริยาอยู่ใน ่ นภาคประธานเ มือนกันกับในภา าฝร่ังเ ทั้งนี้การ
ใช้กริยา มีในบทแปลภา าไทยของตั อย่าง (e6) และ (e7) ต่างจาก มี ในตั อย่าง (e5) ที่มาจากกลุ่ม
2.2 เพราะกลมุ่ โครง รา้ งประโยคแบบร่ ม องรปู (la double construction) เปน็ โครง รา้ งทเี่ นน้ กรยิ า
ผู้เขียนจึง างกริยาไ ้ น้าประโยค โดยที่ไม่ ามารถละ มี ได้เ มือนในตั อย่าง (e5) มิฉะน้ันบทแปล
จะกลายเป็นกล่มุ ค�านามท่ไี มเ่ ทียบเท่าประโยคทเี่ นน้ กริยา รอื การกระทา� ตามต้นฉบบั
โดย รปุ แล้ จากการท่ี รรพนาม il ในโครง ร้าง impersonnel ไม่ได้อา้ งองิ ใคร รอื ิ่งใดเลย
ท�าใ ้ไม่มีการแปล รรพนาม il ในโครง ร้าง impersonnel ออกมาเป็นรูปค�าโดยตรง แม้จะมีการใช้
รรพนาม มนั กรยิ า มี รอื เปน็ บา้ ง กล็ ้ นมาจากการถอดค าม มายโดยร มแล้ เลอื กคา� รอื โครง รา้ ง
ท่ีเ มาะ มและใ ้ค าม มายเทียบเท่าในภา าไทยมาใช้ในบทแปล ไม่ได้มีการแปลตั ค�า รรพนาม
il impersonnel เปน็ ค�าใดคา� นงึ่ โดยเฉพาะ นั่นเป็นเพราะ il impersonnel ไม่มีค่าใด ๆ ทางอรรถ
า ตร์ (sémantiquement vide) ดังที่ได้กล่า มาแล้ ข้างตน้
564
อย่างไรก็ดีการแปลประโยคตั อย่างจาก นัง ือไ ยากรณ์ฝรั่งเ ในงานช้ินน้ีเป็นการแปลของ
ผเู้ ขยี นในฐานะผใู้ ชภ้ า าฝรงั่ เ ทม่ี ภี า าแมเ่ ปน็ ภา าไทย ซง่ึ ผใู้ ชภ้ า าฝรงั่ เ ทมี่ ภี า าแมเ่ ปน็ ภา าไทย
คนอื่น ๆ อาจมีค ามเ ็นใน ่ิงท่ีผู้เขียนแปลไ ้แตกต่างกันออกไปได้ และต้องไม่ลืม ่าประเด็นการแปล
โครง รา้ งกรยิ านคี้ รไดร้ บั การ กึ าในเชงิ ลกึ จากผเู้ ชย่ี ชาญการแปลภา าฝรงั่ เ ทมี่ ภี า าแมเ่ ปน็ ภา า
ไทยตอ่ ไป
565
นงั อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เน่ืองในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทสรุป
การท�าค ามเข้าใจกริยาผันรูปเดีย ในภา าฝร่ังเ ถือเป็น ่ิงจ�าเป็นอย่างย่ิง �า รับผู้ที่มีภา า
แม่เป็นภา าไทยและต้องใช้ภา าฝรั่งเ เนื่องจากรูปนี้มีท้ังกรณีท่ีใ ้ค าม มายเฉพาะซ่ึงผู้ใช้ภา า
จะเลี่ยงไปใช้รูปอื่นไม่ได้ และกรณีท่ีใช้ร่ มกับรูปอื่น ซ่ึงกรณีน้ีผู้ใช้ภา าต้องแยกแยะกริยารูปต่าง ๆ
ในภา าฝร่ังเ ใ ้ได้อย่างชัดเจน เพราะแต่ละรูปล้ นเกี่ย ข้องกับบทบาทขององค์ประกอบในประโยค
แตกตา่ งกันไป อกี ทั้งยังมี ัตถปุ ระ งคเ์ พ่ือระดบั ภา าที่เฉพาะด้ ย
่ นการใ ้ค าม มายกริยาผันรูปเดีย ในภา าฝรั่งเ เป็นภา าไทยนั้น ไม่ ่าจะเป็นผู้แปล
ผู้เรียน ตลอดจนผู้ใช้ภา าฝรั่งเ ที่มีภา าแม่เป็นภา าไทยล้ นจ�าเป็นต้องรู้และเข้าใจกริยารูปน้ี
ตลอดจนโครง ร้างท่ีมีกริยานี้ด้ ย เพราะมีข้อค รระ ังท่ี �าคัญอยู่มากโดยเฉพาะการเลือกใช้รูปค�าที่ใ ้
ค าม มาย อดคล้องกับโครง ร้างประโยค ที่ประกอบด้ ย รรพนาม il impersonnel ที่ไม่มีค่าใด ๆ
ทางอรรถ า ตร์ นอกจากนี้ า� รบั ผมู้ ภี า าแมเ่ ปน็ ภา าไทยและกา� ลงั เรยี นรแู้ ละทา� ค ามเขา้ ใจกรยิ าผนั
รูปเดีย ในภา าฝรั่งเ อยู่อาจเกิดอุป รรคในการเรียนรู้ รือการท�าค ามเข้าใจกริยารูปน้ีไม่มากก็น้อย
และอาจไดร้ บั อทิ ธิพลเชงิ ลบ (le transfert négatif) (Sörés, 2008: 18) จากภา าแม่ในการเรียนรู้ได้
ดังนั้นการจัดการกับอุป รรคในการเรียนรู้และการท�าค ามเข้าใจดังกล่า ของผู้เรียน ก็เป็นอีกประเด็นท่ี
น่า นใจทค่ี รไดร้ บั การ ึก าในเชิงลึกต่อไปด้ ยเชน่ กัน
566
บรรณานุกรม
น รรณ พันธเุ มธา. (2558). ไ ยากรณ์ไทย. พมิ พ์ครงั้ ท่ี 7. กรุงเทพฯ: โครงการเผยแพร่ผลงาน ิชาการ
คณะ ัก ร า ตร์ จุ าลงกรณม์ า ิทยาลัย.
ุดารัตน์ พุทธพง ์. (2558ก). “กริยาที่ปรากฏร่ มกับรูป รรพนามในภา าฝรั่งเ .” Veridian
E-Journal Silpakorn University ฉบับภา าไทย าขามนุ ย า ตร์ ังคม า ตร์
และ ลิ ปะ 8, 1 (มกราคม-เม ายน): 679-689.
__________. (2558ข). การ กึ ากรยิ าที่ปรากฏร่ มกับรปู รรพนามในภา าฝรง่ั เ กบั การแ ดง
ค าม มายทเี่ ทยี บเทา่ กนั ในภา าไทย. รายงานการ จิ ยั ไดร้ บั ทนุ ดุ นนุ การ จิ ยั จากเงนิ รายได้
น กงบประมาณเพ่ื พัฒนานัก ิจัยรุ่นใ ม่ ประจ�าปี พ. . 2555 ถาบัน ิจัยและพัฒนา
ม า ิทยาลยั ิลปากร. กรงุ เทพฯ: ม า ิทยาลัย ิลปากร.
Delaveau, A., and Kerleroux, F. (1985). Problème et exercices de syntaxe française.
Paris: Armand Colin.
Denis, D., and Sancier-Chateau, A. (2017). Grammaire du français. Paris: Librairie
Générale Française.
Dubois, J., et al. (2007). Grand dictionnaire linguistique & sciences du langage. Paris:
Larousse.
Eluerd, R. (2012). Grammaire descriptive de la langue française. Paris: Armand Colin.
Gardes Tamine, J. (2008). La grammaire 2. Syntaxe. Paris: Armand Colin.
Maingueneau, D. (2009). Aborder la linguistique. Paris: Éditions du Seuil.
Pellat, J.-C., and Fonvielle, S. (2017). Le Grevisse de l’enseignant. Paris: Éditions Magnard.
Riegel, M., Pellat, J.-C., and Rioul, R. (1994). Grammaire méthodique du français.
Paris: Presses Universitaires de France.
Sörés, A. (2008). Typologie et linguistique contrastive: théories et applications
dans la comparaison des langues. Berlin/Bruxelles: Peter Lang.
567
นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
568