บาท ล งชา ฝรงั่ เ คณะมิ ซงั ตา่ งประเท แ ง่ กรงุ ปารี เปน็ กลมุ่ คนทม่ี บี ทบาท า� คญั ตอ่ การ
พยายามพฒั นาทอ้ งถนิ่ ในกรงุ เทพฯ ่ นใ ญแ่ ล้ กลมุ่ คนเ ลา่ นใี้ ชเ้ งนิ ่ นตั รอื เงนิ มรดกจากครอบครั
มาด�าเนินงานบุกเบิกชุมชนคาทอลิก ใ ้เกิดข้ึนโดยมีค ามเชื่อค าม รัทธาเป็นแรงผลักดันท่ี �าคัญ
ค ามตั้งใจของบาท ล งแด ์ซาล ์ในการตั้งโรง ดและ มู่บ้านคริ ตชนข้ึนที่บาง ะแกนี้ จึงเป็น ่ น
น่ึงท่ีช่ ยท�าใ ้ชุมชนในย่านฝั่งธนบุรีขยายตั ออกมาทางฝั่งตะ ันตกมากขึ้น ไล่เลี่ยไปกับการด�าเนิน
โครงการการบกุ เบิกเ น้ ทางรถไฟ ายคลอง าน-ม าชัย ทม่ี งุ่ น้าจากกรงุ เทพฯ ลงไปทางใต้
ทางรถไฟ ายคลอง าน-ม าชยั เป็นระบบคมนาคมที่ รา้ งขึ้นเพือ่ รองรบั การเดนิ ทางของผู้คน
ทงั้ ฝง่ั พระนครและฝัง่ ธนบรุ ี ตลอดจนรายทางไปถงึ มุทร าคร โดยมบี ริ ัททา่ จนี เรลเ กมั ปนีลมิ ิเต็ตทุน
จา� กดั ไดร้ บั พระราชทานพระบรมราชานญุ าตประกอบกจิ การเดนิ รถไฟจากตา� บลคลอง าน จงั ดั ธนบรุ ี
ในเ ลาน้ันไปถึงต�าบลม าชัย จัง ัด มุทร าคร เป็นระยะทางประมาณ 33 กิโลเมตร มานับตั้งแต่
17 พฤ ภาคม 2444 (ณัฐ ทิ ย์ พิมพท์ อง, 2560: 111) แน คิดในการกอ่ รา้ งทางรถไฟ ายคลอง าน-
ม าชยั โดยขนุ ภา าปริ ตั ร และ พระยาพพิ ฒั โก า มขี น้ึ กอ่ น นา้ ทบ่ี าท ล งแด ซ์ าล จ์ ะเขา้ มาบกุ เบกิ
ที่ดินท่ีบาง ะแก โดยขุนภา าปริ ัตรได้รับพระบรมราชานุญาต ร้างทางรถไฟใน พ. . 2444
(“พระบรมราชโองการ ประกา พระราชทานอา� นาจพเิ แกบ่ ริ ทั ทา่ จนี เรลเ กา� ปนที นุ จา� กดั ,” 2444: 823)
อนั เปน็ ปเี ดยี กนั กบั การบกุ เบกิ มบู่ า้ น ดั บาง ะแกขน้ึ ทงั้ นขี้ นุ นางทงั้ องมธี รุ กจิ เกย่ี กบั ทด่ี นิ
อยมู่ ากในบรเิ ณถนนเจรญิ กรงุ ในยา่ นตลาดนอ้ ยและ ั ลา� โพง ( ทิ ยา เ ชชาชี ะ, 2554: 111-121, 157,
162-163, 165-166, 174-181, 216, 240-241, 248-249) และเปน็ กลุ่มคริ ตชนที่มี ่ น า� คัญในการ
อปุ ถมั ภ์ ดั แมพ่ ระลกู ประคา� กาล า่ ร์ โดยเฉพาะการ รา้ งโบ ถก์ าล า่ ร์ ลงั ท่ี าม (โบ ถ์ ลงั ปจั จบุ นั )
ทเี่ รม่ิ ตน้ ใน พ. . 2434 ( ดั แมพ่ ระลกู ประคา� (กาล า่ ร)์ , 2529: 14) ภายใตก้ ารนา� โดยบาท ล งแด ซ์ าล ์
นอกจากนีใ้ นอีกดา้ น น่ึงก็ได้รับการ นบั นุนจากกลุ่มบริ ัทเทรดด้ิง องบริ ทั ที่มชี ือ่ ่า “เคียมฮ่ั เฮง”
(พ. . 2422) และ “บ้ นฮั่ เ ง็ ” (พ. . 2426) ( ขุ งู า่ ง, 2500: 84) ซ่ึงเปน็ กลุ่มพ่อค้านกั ธรุ กจิ คริ ต
ชนจีนแ ่ง ัดกาล ่าร์ท่ีเติบโตขึ้นจากการขยายตั ของเ ร ฐกิจการค้าใน มัยรัชกาลท่ี 5 กลุ่มบุคคล
เ ลา่ นตี้ า่ งมชี อื่ จารกึ อยใู่ นบานกระจก ที ป่ี ระดบั อยบู่ น นา้ ตา่ งของ ดั ลงั ใ มน่ ้ี (อภชิ าต กติ ตเิ มธา นี นั ท,์
ผเู้ รยี บเรยี ง, 2560: 9-11) จากบทบาทและค าม มั พนั ธข์ องบคุ คลทงั้ ามฝา่ ยขา้ งตน้ อนั ไดแ้ ก่ บาท ล ง
ชา ฝรงั่ เ ขนุ นางเชื้อ ายโปรตเุ ก และกลมุ่ พอ่ ค้าคริ ตชนจีน กน็ ่าจะเปน็ ฐาน �าคัญของค ามร่ มมือ
ในการบุกเบิก มูบ่ า้ น ดั บาง ะแกขึ้น
ากการก่อต้ัง มู่บ้าน ัดบาง ะแกประ บผล �าเร็จในท รร 2440 มู่บ้านแ ่งนี้ก็น่าจะ
เติบโตกลายเป็น ูนย์กลางของคริ ตชนในย่านฝั่งธนบุรีตอนใน โดยมี ถานีรถไฟคลองต้นไทรต้ังอยู่ น้า
มบู่ า้ น เชอ่ื มโยงเ น้ ทางคมนาคมทางรถไฟ ายใ มน่ ี้ ทร่ี องรบั การเดนิ ทางของผคู้ นเขา้ ไปยงั ทง้ั พระนคร
และมุ่ง น้าออกไปยังเมอื ง มุทร าครอย่าง ะด ก บาย นอกเ นอื ไปจากการ ญั จรทางน้�าตามเ ้นทาง
ที่เชื่อมกับคลองต้นไทรและการ ัญจรทางบกด้ ยถนน อย่างไรก็ดี ค าม ังต่อเร่ืองการ ร้าง มู่บ้าน
คริ ตชนขนึ้ ทบ่ี าง ะแก ร มถงึ โรงเรยี นกต็ อ้ ง ะดดุ ลงจากอปุ รรคดา้ นงบประมาณ นบั นนุ และปญั า
ุขภาพของผู้นา� ในการบุกเบิกอย่างบาท ล งแด ซ์ าล ์ ( ิกตอร์ ลารเ์ ก, 2530: 5)
389
นัง อื รวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
การอพยพเขา้ มายงั ยามของกลมุ่ ชา จนี จา� น นมากอยา่ งตอ่ เนอื่ งในท รร 2460 มคี าม า� คญั
อย่างยิ่งต่อการขยายตั ของการเผยแพร่ า นาคริ ตใ์ น ยาม ัดคริ ตังทีเ่ ปน็ แ ล่งชมุ นุมของคริ ตงั จีน
เติบโตขึ้นอย่างชัดเจนโดยเฉพาะ ัดแม่พระลูกประค�า กาล ่าร์ ซ่ึงเป็น ูนย์กลางของกลุ่มคริ ตังจีนใน
กรุงเทพฯ นอกจากน้ี ัด าขาของ ดั กาล า่ ร์อีกแ ง่ นงึ่ ท่กี �าลงั เติบโตขนึ้ เปน็ แ ลง่ ชุมชนคริ ตงั จีนท่ี
ประกอบอาชพี ทา� นเปน็ ลกั คอื ดั บางเชอื ก นงั (ปจั จบุ นั คอื ดั ธรรมา นน์ กั บญุ เปโตร บางเชอื ก นงั )
ในขณะที่ ดั บาง ะแก ซงึ่ ถกู ก�า นดใ เ้ ป็น ัด าขายา่ นฝง่ั ธนบรุ ตี อนใน ในเ ลาไลเ่ ล่ยี กนั กบั ดั บางเชอื ก
นังน้ัน ( ิกตอร์ ลาร์เก, ผแู้ ปล, เล่ม 2: 224/3-224/4) กลับถูกทิง้ รา้ งเปน็ เ ลา 35 ปี (พ. . 2450-2485)
แม้จะมเี ้นทางคมนาคม มัยใ มอ่ ย่างทางรถไฟตดั ผา่ นและมี ถานรี ถไฟต้ังอยู่ น้า ดั กต็ าม
แ ล่งลภ้ี ยั ใน งครามม าเอเชียบรู พา
ค าม าดกลั จากการทงิ้ ระเบิดใน งครามม าเอเชียบรู พา (พ. . 2484-2488) ไดก้ ่อใ ้เกดิ
การเปลยี่ นแปลงครง้ั า� คญั ของพนื้ ที่ ดั บาง ะแกทถ่ี กู ทง้ิ รา้ งมาเปน็ เ ลา 35 ปี นน่ั คอื การอพยพลภ้ี ยั ของ
คริ ตงั จนี กลมุ่ ใ ญจ่ า� น น ลายรอ้ ยคนจาก ดั กาล า่ ร์ ฝง่ั พระนคร มายงั อกี ฝง่ั ฟาก นงึ่ ท่ี ดั บาง ะแก
( อจด มายเ ตุอคั ร งั ฆมณฑลกรงุ เทพฯ, ม.ป.ป.: 25 ; ไพบูลย์ มะกรครรภ์, 2520: 1-2) การตัด นิ ใจ
เลือกอพยพมาล้ภี ยั งครามทบ่ี าง ะแกของเถ้าแก่ ูน ผนู้ า� บริ ทั เทรดดิง้ เคียมฮ่ั เฮงและบ้ นฮ่ั เ ็ง ซ่งึ มี
ถานะเปน็ ผนู้ า� กลมุ่ คริ ตชนจนี ทอี่ า ยั ในบรเิ ณ ดั กาล า่ รด์ ้ ยนนั้ นา่ จะเกดิ จากการพจิ ารณาแล้ า่
ัด าขาแ ่งนี้ต้ังอยู่ในบริเ ณที่ปลอดภัยจากการทิ้งระเบิดมากก ่าในตั พระนคร และท่ีดินของ ัด ่ น
ใ ญเ่ ปน็ ทดี่ นิ รกรา้ ง า่ งเปลา่ ไมม่ ผี คู้ รอบครองและอา ยั อยมู่ ากอ่ น จงึ ไมต่ อ้ งกงั ลปญั าการแยง่ ชงิ พน้ื ที่
อยอู่ า ยั กบั ครอบครั คริ ตชนทอ้ งถนิ่ ทน่ี ี่ อยา่ งไรกด็ เี มอื่ มจี า� น นผอู้ พยพทยอยมามากขนึ้ กท็ า� ใ บ้ รเิ ณ
ัดบาง ะแกมี ภาพ นาแน่นแออัด จนผู้อพยพบาง ่ นต้องโยกย้ายออกไปอา ัยยังพื้นท่ีแ ่งอ่ืน
กลา่ ได้ า่ การอพยพเขา้ มาของกลมุ่ คริ ตชน ดั กาล า่ รค์ รงั้ น้ี นบั เปน็ การกลบั มาฟน้ื ฟู รา้ งค ามคกึ คกั
ใ ก้ ับพ้ืนท่ี ัดบาง ะแกขึ้นอีกครง้ั แมเ้ ป็นระยะเ ลาช่ั ครา เพยี ง 3 ปี
ในระ ่างที่ ัดบาง ะแกถูกใช้เป็นแ ล่งลี้ภัยน้ี ได้มีการ ร้างโบ ถ์ ลังใ ม่ที่มั่นคงข้ึนมาเป็น
โบ ถ์ ลังท่ี อง แทนโบ ถ์ที่บาท ล งแด ์ซาล ์ได้ ร้างไ ้ ซึ่งมี ภาพช�ารุดมากเน่ืองจากขาดการดูแล
ซ่อมแซมเปน็ เ ลานานและมีขนาดเลก็ ( กิ ตอร์ ลารเ์ ก, 2530: 5) ลกั ณะเปน็ าลายกจากพน้ื งู ข้ึนมา
เลก็ นอ้ ยเพอื่ ป้องกันไม่ใ น้ า�้ ท่ มถงึ โดยตั้งอยู่ในบรเิ ณ าลาแม่พระเมืองลรู ด์ ในปัจจบุ นั นอกจากนยี้ ังมี
ิ่งของ �าคัญที่มีคุณค่าทางประ ัติ า ตร์ 2 ชิ้น ได้แก่ ระฆังและรูปเคารพแม่พระประจัก ์เมืองลูร์ด
ซึ่งเป็นองค์นามชอ่ื ัด ท่ีได้รับการจัด ามาใ เ้ คียงคู่กบั โบ ถ์ ลังท่ี อง (ไพบลู ย์ มะกรครรภ์, 2520: 3-4)
เมื่อ ร้างโบ ถ์ ลังใ ม่ข้ึน มีบาท ล งบุญไทย ิง ์ เน่ ์ (พ. . 2447-2529) และบาท ล งเ ียง
รุ ะ รางค์ (พ. . 2470-2536) บาท ล งชา ไทยจาก ัดกาล ่าร์แ ะมาโปรด ีล และดูแลเยีย่ มเยียน
ครอบครั คริ ตชนท่บี าง ะแกอยูเ่ มอ (พรชัย ตั้งถา ร, มั ภา ณ์, 16 กรกฎาคม 2560)
390
เร่ืองรา เ ตุการณ์ของ ัด าขาที่บาง ะแกในช่ ง งครามม าเอเชียบูรพา นับเป็นช่ งเ ลาที่
น่า นใจ ึก าเนื่องจากยังมีบุคคลร่ ม มัยกับเ ตุการณ์ งครามม าเอเชียบูรพา ามารถถ่ายทอด
ประ บการณ์และค ามทรงจ�าในช่ งเ ลาดังกล่า ได้อยู่ แม้เ ลาจะล่ งเลยผ่านมาแล้ ก ่า 70 ปีก็ตาม
นายพรชยั ตง้ั ถา ร รือ “ลงุ จ บ” อายุ 83 ปี เปน็ คริ ตชนเช้อื ายจีนแต้จ๋ิ ท่ีเกดิ ใน นย่านบาง ะแก
เมอ่ื พ. . 2478 ใน ัยเด็กเขา้ รบั ลี ล้างบาปจากบาท ล งโอลเิ อร์ (พ. . 2445-2521) ณ ดั กาล า่ ร์
โดยเตบิ โตและอยอู่ า ยั ในบรเิ ณบาง ะแกมาอยา่ งตอ่ เนอ่ื งพรอ้ มกบั พน่ี อ้ ง 12 คน ลงุ จ บไดเ้ ลา่ ถงึ ภาพ
บรรยากา ของบริเ ณ ัดบาง ะแกในช่ งก่อน งครามม าเอเชียบูรพา พ้ืนท่ีจากริมคลองต้นไทรไปถึง
ซอยแมพ่ ระ 10 เป็น นพลู เกือบท้งั มด นอกจากนัน้ กป็ ลูกพชื จ�าพ ก มาก มะพร้า น้�า อม มะพรา้
กะทิ ม้ โอ และมะกอก บดิ ามารดาและครอบครั ของตนไดร้ บั ค ามไ ้ างใจจาก ดั ใ ท้ า� นา้ ทดี่ แู ล น
มาก นพลแู ละ นมะพรา้ ทป่ี ลกู อยบู่ นทด่ี นิ ของ ดั ทงั้ ปลกู เกบ็ เกยี่ ผลผลติ ตลอดจนนา� ไปจา� นา่ ย
ในตลาดเพื่อน�ารายได้มา ่งใ ้ ัด ลุงจ บเคยช่ ยครอบครั ท�า น้าท่ีเป็นคนข้ึนมะพร้า ปีนต้น มาก
ลอกเลน ขดุ แทงราก มากตามร่อง นอยเู่ มอในช่ ง ัยรนุ่ ชี ิตชา น มยั ก่อน เ ลา า่ งก็จะเอาดนิ
มาปั้นเป็นลูกกระ ุน รือท�าลูกดอกจากไม้ระก�า เดินเลาะ นเข้าไปยิงนก ยิงกระรอก ตกปลา จับเต่า
เป่าปลาชอ่ นปลาดุกในทอ้ งร่อง
ลงุ จ บเลา่ า่ กอ่ น นา้ การอพยพเขา้ มาของกลมุ่ คริ ตชนจนี จาก ดั กาล า่ ร์ คนทอ้ งถนิ่ ดง้ั เดมิ
นิยมเรียกและรู้จักที่ต้ังของ ัดในบริเ ณ ่า “คลองต้นไทร” ทั้งน้ีคลองต้นไทรในอดีตเป็นแ ล่งอา ารท่ี
อดุ ม มบูรณ์ของผ้คู นที่อา ัยอยใู่ นบริเ ณ ดั นา�้ ในคลองใ น�ามาใชด้ ่ืมและประกอบอา ารได้ ลุงจ บใน
ัยเด็กชอบใช้ ิธีพุ่ง ลา ลงไปในคลองต้นไทรตรง ะพานทางรถไฟ น้า ัดเพ่ือด�าน้�าลงไปงมเอากุ้ง และ
มกั งมได้กุ้งกา้ มกรามตั ใ ญ่ ๆ เ มอ ในคลองยงั มีปลาใ จ้ ับเปน็ จา� น นมาก ทง้ั ปลาฉลาด ปลาตะเพยี น
และปลากระบอก ที่ า� คญั คลองตน้ ไทรยงั เปน็ เ น้ ทาง ญั จรไปมาทางนา�้ ที่ ะด กโดยใชเ้ รอื แจ ในแตล่ ะ
ันมีเรือมาขายกาแฟและข้า ปลาอา ารผ่านข้าง ัดเป็นประจ�า จาก ัดมีคลองเชื่อมใ ้เดินทางไปได้ถึง
ทา่ มากั แถบ ดั กาล า่ รแ์ ละถนนตก นอกจากนลี้ งุ จ บยงั มกั ใชบ้ รกิ ารรถรางไฟฟา้ ทจี่ ดั เดนิ บนทางรถไฟ
จาก ถานีรถไฟคลอง าน- ัด ิง ์ (เปิดใ ้บริการระ ่าง พ. . 2468-2502) โดย ารจาก ถานีคลอง
ตน้ ไทรไปยงั คลอง าน และขา้ มฟากแมน่ า้� เจา้ พระยาเพอ่ื ไปยงั ดั กาล า่ รไ์ ดอ้ ยา่ ง ะด กอกี ด้ ย (พรชยั
ตั้งถา ร, มั ภา ณ์, 16 กรกฎาคม 2560)
จากประ ัติ ัดแม่พระประจัก ์เมืองลูร์ด บาง ะแก ได้แ ดงใ ้เ ็น ่า ัด าขาที่บาง ะแก
ได้กลายเป็นแ ลง่ ลบภัย งครามแ ่ง �าคญั ของกลมุ่ คริ ตชนจนี ัดแมพ่ ระลูกประค�า กาล ่าร์ ในช่ ง
งครามม าเอเชยี บรู พาเปน็ ระยะเ ลาก า่ ามปี จนกลายเปน็ ชมุ ชนท่ี นาแนน่ ขนึ้ เมอ่ื มคี รอบครั คริ ตชน
อนื่ ๆ อพยพตามมากพ็ บ า่ มผี อู้ า ยั ในชมุ ชนจา� น นมากแล้ จงึ จา� ตอ้ งไป าแ ลง่ ลภี้ ยั ของคริ ตชนแ ง่
ใ มใ่ นบริเ ณบางแ กและบางเชอื ก นงั แม้ ่าเมอ่ื งครามยุติลงกลมุ่ คริ ตชนจีนตา่ งทยอยเดนิ ทางกลับ
ถ่นิ ทอ่ี ยอู่ า ยั ของตนในเมืองบริเ ณรอบ ดั แม่พระลกู ประคา� กาล ่าร์ ่ น ดั บาง ะแกก็ถูกท้งิ ใ ้กลับ
เปน็ นชานเมืองท่เี งียบเ งาดงั เดมิ แตอ่ ยา่ งไรก็ดีการอพยพมายงั บาง ะแกชั่ ครา ในคร้งั นี้ ท�าใ ้กลมุ่
คริ ตชนจนี ดั แมพ่ ระลกู ประค�า กาล า่ ร์ รู้ กึ ค้นุ เคยกับชุมชนชานเมืองแ ง่ น้ีมากยงิ่ ขน้ึ และทา� ใ เ้ กดิ
ิ ยั ทั นใ์ นการเปลยี่ นแปลงทอี่ ยอู่ า ยั และขยายชมุ ชนจาก ดั แมพ่ ระลกู ประคา� กาล า่ ร์ มาทบ่ี าง ะแก
ในอีกในเ ลาเกอื บ องท รร ถัดมา
391
นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
หมู่บา้ นแหง่ ความหวงั
ทา่ มกลางการขยายตั ของ งั คมเมอื ง มยั ใ มใ่ นท รร 2500 การเพมิ่ จา� น นขนึ้ อยา่ งร ดเร็
ของ มาชิกครอบครั คริ ตชน จนก่อใ ้เกิดค าม นาแน่นและ ภาพแออัดในชุมชนคริ ตชนบนท่ีดิน
ของ ัดกาล ่าร์ ่งผลใ ้บาท ล งราแปง (Rapin, พ. .2472-2525) ชา ฝร่ังเ เจา้ อา า ดั กาล า่
รใ์ นขณะนนั้ พยายาม ง่ เ รมิ ใ ช้ มุ ชนคริ ตชนบนทดี่ นิ ของ ดั กาล า่ รข์ ยบั ขยายอพยพโยกยา้ ยออกไป
ตง้ั รกรากใ มย่ ัง ดั าขา ซ่งึ อยู่ภายใตก้ ารดแู ลของ ัดกาล า่ ร์ โดยจัดใ ้มกี ารฟนื้ ฟู ดั าขาทีบ่ าง ะแก
และใ ้พ กคริ ตชนซ้ือที่ดินได้ในราคาถูก ( ิกตอร์ ลาร์เก, ผู้แปล, เล่ม 3: 356) ่งผลใ ้ชุมชนแ ่งนี้
เติบโตขึ้นอย่างร ดเร็ จากเครือข่ายของกลุ่มคริ ตชนจีนท่ี ัดกาล ่าร์ บาท ล งราแปงได้ย้ายมาเป็น
เจา้ อา า ที่ ดั บาง ะแก โดยดา� เนินการปลกู บ้านพักพระ งฆ์ เรือนครั และระดมเงิน นบั นุนกอ่ รา้ ง
โบ ถ์ ลังใ มข่ ้นึ เปน็ โบ ถ์ ลงั ที่ าม พร้อมทั้ง ร้างโรงเรียนขึน้ (ไพบูลย์ มะกรครรภ์, 2520: 6-7)
จด มาย ัดแม่พระเมืองลูร์ด บาง ะแก (พ. . 2508) ของบาท ล งราแปง ท่ีเขียนถึง
พระ งั ฆราชโชแรง แ ดงใ เ้ น็ ถงึ ค ามมงุ่ มนั่ ตงั้ ใจของบาท ล งราแปงทต่ี อ้ งการมาพฒั นา ดั บาง ะแก
ใ ้ �าเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งค าม ังที่จะ ร้างโรงเรียน ใ ้เกิดขึ้น �า รับลูก ลานคริ ตชนใน มู่บ้าน
เมอื่ ทราบ า่ งบประมาณมไี มเ่ พยี งพอและยงั ขาดเงนิ อกี จา� น นมาก บาท ล งราแปงไดย้ อมเ ยี ละใ ย้ มื
เงิน ่ นตั ของท่านบ กกับเงินท่ีท่านได้รับมรดกมา ร มเป็นเงินจา� น นท้ัง ้ิน 65,000 บาท โดยไม่คิด
ดอกเบี้ย ซ่ึงเปน็ ดั ่ นถงึ คร่ึง นึ่งของงบประมาณการกอ่ รา้ งท้ัง มด บาท ล งราแปงได้ยอม ญู เ ยี
ทรัพย์ ินเงนิ ทอง ซึ่งเปน็ ลกั ประกนั ของชี ิตตนในอนาคต และเ ยี ละทมุ่ เทชี ิตใ ก้ บั การ รา้ ง ถาน
กึ าเพอ่ื พัฒนาคน ท้ังที่กร็ ู้ ่าการลงทนุ นีเ้ ปน็ ิ่งทต่ี อ้ งอา ัยระยะเ ลายา นานในการคืนทนุ เปน็ ตั เงนิ
กลับคนื มา
เมอ่ื ตอนทข่ี า้ พเจา้ ใ ท้ า่ นดแู ผนผงั ของโรงเรยี นเมอื่ เดอื นทแ่ี ล้ ทา่ นได้
ถามข้าพเจ้า ่าจะต้องใช้งบประมาณเท่าไร ข้าพเจ้าได้ตอบท่านกลับไป ่า
ประมาณ 150,000 บาท จะ าเงิน 150,000 บาทน้ีมาไดอ้ ย่างไร ทั้งนี้ ากลด
รายละเอยี ดปลกี ยอ่ ยของการกอ่ รา้ งลง ขา้ พเจา้ คดิ า่ จะ ามารถลดงบประมาณ
ลงไปได้เ ลือ 130,000 บาท ากใช้ยอด 130,000 บาท มาเป็นฐานในการ
คา� น ณ ข้าพเจ้ามีอยู่ 14,500 บาท ข้าพเจ้าไดร้ บั มรดกมาจากประเท ฝรั่งเ
50,500 บาท ซึ่งข้าพเจ้าประ งค์ใ ้ ัดบาง ะแกยืมเป็นการช่ั ครา โดยไม่คิด
ดอกเบ้ีย
(“จด มาย ดั แมพ่ ระเมืองลูรด์ บาง ะแก (ค. . 1965),” 2508,
เอก าร มยั พระ งั ฆราช ลุย ์ เคลเมนต์ โชแรง. 000150.
แฟม้ ท่ี 1, เรือ่ งท่ี 10)
392
บาท ล งราแปงไดม้ บี ทบาท านตอ่ งานของบาท ล งแด ์ซาล ท์ คี่ ้างไ ้ก า่ 60 ปี จน �าเรจ็
เป็นรปู เปน็ รา่ ง มที งั้ ัดและ มบู่ ้านของครอบครั คริ ตชนท่ีอา ยั อยอู่ ยา่ ง นาแน่น คริ ตชนทั้งจนี และ
ญ นต่างเป็นก�าลงั า� คัญในการ รา้ งชุมชนทม่ี ่นั คงข้นึ และพฒั นาตอ่ ไปจนกลายเป็น ่ น น่งึ ท่ีท�าใ ้งาน
ดา้ น งั คมของพระ า นจกั รในประเท ไทยก้า นา้ ด้ ยกลมุ่ งานเพอ่ื พฒั นาในด้านต่าง ๆ อย่างโดดเดน่
โดยมีกลุ่มตระกูล �าคัญ ได้แก่ มะกรครรภ์ ต้ังถา ร และชี บุตร ทงั้ ามตระกูลนตี้ ่าง ันมามีค ามเก่ีย
ดองกนั ทางเครอื ญาตใิ นเ ลาตอ่ มา ทา� ใ ม้ กี ารผ มผ านทาง ายเลอื ดและ ฒั นธรรม ระ า่ งกลมุ่ คริ ตชนจนี
และญ นภายใน มบู่ า้ น เกดิ อตั ลกั ณท์ นี่ า่ นใจของกลมุ่ คริ ตชนแ ง่ นคี้ อื “ค ามเปน็ คริ ตชนจนี -ญ น”
นอกจากกลุ่มคริ ตชนจีนถิ่นแต้จ๋ิ ที่มีจ�าน นมากใน มู่บ้านแล้ ยังมีกลุ่มชา จีนฮากกาท่ีเคย
มกี ลมุ่ ดภา นาภา าถ่นิ ของตนเองขนาดใ ญ่ คริ ตชนจนี ฮากกาเ ล่าน้ีอพยพมาจากท้ัง ดั กาล ่าร์
และมาจากบริเ ณภาคตะ ันตกแถบลุ่มน้�าแม่กลอง-ท่าจีน บริเ ณท่าม่ ง จัง ัดกาญจนบุรี มาจนถึง
บริเ ณ นอง ิน จัง ัดนครปฐม อย่างไรก็ดีแม้เป็นแ ล่งชุมนุมคริ ตชนจีนขนาดใ ญ่ในย่านฝั่งธนบุรี
ากแต่เมื่อเทียบกับคริ ตชนจีนท่ี ัดกาล ่าร์แล้ คริ ตชนจีนที่ ัดแม่พระประจัก ์ฯ มีฐานะทาง
เ ร ฐกิจที่ยังด้อยก ่า กล่า คือ ครอบครั คริ ตชนที่ย้ายมาอา ัยอยู่ใน มู่บ้านท่ี ัดแม่พระประจัก ์ฯ
่ นใ ญ่แล้ เป็นครอบครั ที่มีฐานะยังไม่ดีนักและก�าลัง ร้างเน้ือ ร้างตั ครอบครั ที่ย้ายมาอา ัยที่
มู่บ้านในระยะแรกไม่ต้องเ ียค่าเช่าท่ีดินแต่อย่างใด ังเกตได้ ่า ิถีชี ิตและค ามเป็นอยู่ของผู้คนใน
มูบ่ า้ น ดั แม่พระประจกั ฯ์ แตกตา่ งกบั กลุ่มคริ ตชนจนี ที่ ัดแม่พระลกู ประค�า กาล ่าร์ คอ่ นขา้ งมาก
โดยเฉพาะเมอื่ เทยี บกบั กลุ่มคริ ตชนจนี ในย่าน า� เพง็ และบรเิ ณใกล้เคยี ง ซึ่งมีฐานะทางเ ร ฐกจิ ดกี ่า
การลง ลกั ปกั ฐานเปน็ มบู่ า้ น มยั ใ มข่ องกลมุ่ คริ ตชนที่ ดั แมพ่ ระประจกั ฯ์ เมอ่ื พ. . 2505
นับเปน็ จดุ เริ่มตน้ �าคญั ในการทา� งานด้าน ังคมค บคไู่ ปกับการพฒั นา ม่บู า้ น ซึง่ เปน็ ่ น นงึ่ ของพ้นื ที่
งั คมเมอื ง มยั ใ มท่ กี่ า� ลงั ขยายตั ออกไป คริ ตชน ลายคนไดเ้ รม่ิ ตน้ ชี ติ ตามทเี่ คยมงุ่ งั ทกุ คนมบี า้ น
ใ มเ่ ปน็ ของตนเองด้ ยพน้ื ทข่ี นาด 36 ตาราง า (ไพบลู ย์ มะกรครรภ,์ 2520: 5) ซงึ่ ก า้ งขน้ึ แตกตา่ งอยา่ ง
ิ้นเชิงจาก ภาพเดิมท่ีอยู่อา ัยกันอย่างแออัด ผู้คนที่ย้ายมาท่ี มู่บ้านแ ่งนี้ต่างเริ่มต้นชี ิตใ ม่ในเ ลา
ไลเ่ ล่ียกันภายใตร้ ะบบ งั คมอนั มกี ลุม่ งานดา้ นต่าง ๆ ท่ไี ดร้ ับอทิ ธิพลมาจากยุโรป คอยเชอ่ื มโยงค ามเปน็
ท้องถ่ินใ ้เข้าใกล้กับค ามเป็น ากล และเชื่อมโยงใ ้คริ ตชนใน มู่บ้านมีแน ทางร่ มกันในการพัฒนา
ตนเองและ ังคมทีอ่ ยอู่ า ัยร่ มกนั
ด้ ยเป็นแ ล่งชุมนุมใ ม่ของครอบครั รือคริ ตชนที่ก�าลัง ร้างเน้ือ ร้างตั ่งผลใ ้ค าม
เคล่ือนไ ของ ังคมชา จีนคาทอลิกแ ่งน้ีปรากฏข้ึนอย่างน่า นใจ คริ ตชนใน มู่บ้านที่ใกล้ชิด ัดแ ่ง
นไ้ี ดร้ บั การปลกู ฝงั แน คดิ ในการพฒั นา งั คมทมี่ คี ามเปน็ ากลในช่ งท รร 2500 จากกลมุ่ บาท ล ง
นักพฒั นาชา ฝรั่งเ ทมี่ บี ทบาทอย่างมากต่อ งั คมคาทอลิกขณะนั้น กลมุ่ คริ ตชน ัดแมพ่ ระประจัก ฯ์
จงึ มคี ณุ ลกั ณะเปน็ ผทู้ ม่ี คี ามกระตอื รอื รน้ ในการร มตั กนั เพอื่ ทา� งานดา้ น งั คมกลมุ่ ตา่ ง ๆ อยา่ งจรงิ จงั
โดย งั เกตไดจ้ าก นงั อื อนุ รณท์ จี่ ดั พมิ พข์ น้ึ ใน าระตา่ ง ๆ ลายฉบบั จะปรากฏขอ้ มลู ของกลมุ่ งานตา่ ง ๆ
ทมี่ กี ารบนั ทกึ ทงั้ ค ามเปน็ มาและเ ตกุ ารณ์ า� คญั แยกเปน็ ดั ่ นไ อ้ ยา่ งชดั เจนและจดั พมิ พอ์ ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง
393
นัง อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เน่อื งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ขบ นการ “คาทอลิกแอคช่ัน” (Catholic Action) เป็นปัจจัย �าคัญที่ก่อใ ้เกิดค ามเคล่ือนไ
ใน ังคมคาทอลิกแ ่งใ ม่ที่บาง ะแก ขบ นการดังกล่า เป็นพลังค ามเคล่ือนไ ทาง ังคมและพลังด้านจิตใจ
จากอิทธิพลของกลมุ่ ชา คริ ตน์ กิ ายโรมนั คาทอลกิ มาต้ังแตช่ ่ งคร่งึ ลังของคริ ต์ ต รร ที่ 19 โดยเรม่ิ จากการ
ปลุกกระแ ขึ้นในกลุ่มประเท ท่ีมีระบอบการปกครองท่ี ันมาต่อต้านการนับถือ า นาคริ ต์โดยเฉพาะในยุโรป
เชน่ เปน อติ าลี บา าเรยี ฝรง่ั เ และเบลเยยี ม และนบั ตง้ั แตย่ คุ งครามม าเอเชยี บรู พาเปน็ ตน้ มา แมค้ าทอลกิ
แอคชน่ั ไมใ่ ชก่ ลมุ่ ทางการเมอื ง แตแ่ น ทางของกลมุ่ กถ็ กู พ กนกั การเมอื งฝา่ ยเ รปี ระชาธปิ ไตยที่ รทั ธาตอ่ า นา
คริ ต์ น�าไปใช้ในการต่อ ู้กับพรรคคอมมิ นิ ต์ และพยายามประกา ลักการเพื่อค ามยุติธรรมใน ังคมตาม
แน ทางของคาทอลกิ ในทต่ี า่ ง ๆ เชน่ อติ าลี และเยอรมนั ตะ นั ตก ตอ่ มาในยคุ ลงั งคราม คาทอลกิ แอคชนั่ กเ็ กดิ
กลมุ่ ยอ่ ย ๆ ท่ี ลาก ลายขน้ึ ทง้ั เพอื่ เยา ชน ตรี และแรงงานเปน็ ลกั ท่ี า� คญั คอื คณะยุ กรรมกรคาทอลกิ และ
คณะพลมารี (Nieli, 2015: 36-38)
ัดแม่พระประจัก ์ฯ ได้ก่อตั้ง น่ ยของคณะยุ กรรมกรคาทอลิกข้ึน ในรา เดือนกันยายน
พ. . 2506 จากการ นับ นุนของบาท ล งราแปง โดยได้รับค ามนิยมและ นับ นุนจากยุ ชนทั้ง
ชาย- ญิง พร้อมท้ังผู้ปกครองอย่างก ้างข าง ท�าใ ้กิจกรรมของ น่ ยน้ีที่บาง ะแกได้เผยแพร่ไปทั่ โลก
โดยเฉพาะค าม า� เรจ็ ในการระดมทนุ และแรงงานมาร่ มกนั กอ่ รา้ งถนนกระเบอ้ื งคอนกรตี ใน มบู่ า้ นเปน็
ระยะทาง นงึ่ กิโลเมตร (เอกพล ชอื่ รงุ่ เรอื ง, 2526: 13) ลกั การของคณะยุ กรรมกรคาทอลิกคลา้ ยคลึงกับ
คณะพลมารจี ีน มกี ารไปเยยี่ มเยยี นช่ ยเ ลือคนท่มี ีค ามยากลา� บากในชี ติ โดยเฉพาะพ กกรรมกรผู้ใช้
แรงงาน นอกจากนี้ ยังปลูกฝังใ ้เรียนค�า อนฝึกฝนตนเองใ ้มี ินัย (ป ณี า ชอ่ื รงุ่ เรอื ง, มั ภา ณ,์ 12
กรกฎาคม 2560) ่ นคณะพลมารจี นี ดั แมพ่ ระประจกั ฯ์ กอ่ ตงั้ ขนึ้ เมอ่ื นั ที่ 10 มถิ นุ ายน 2510 ผทู้ ที่ า� นา้ ท่ี
ประธานคนแรกคอื ยอแซฟ จงุ่ แซต่ งั้ พรอ้ มด้ ยเจา้ นา้ ทจ่ี �าน น 5 ราย เป็นคณะท�างาน มี าระ 3 ปี ปฏิบัติ
น้าท่ีเยี่ยมคนไข้ ร่ ม ดภา นาผู้ล่ งลับ ง่ พตดิ ตามบาท ล ง ่ง ีลแก่ผู้ งู อายุ ( ั ดิ์ ครุ รรณ,
2545: 173) คณะพลมารีจีนมีจัดประชุมคณะท�างานพร้อมท้ัง ดภา นาร่ มกันทุกเช้า ันอาทิตย์ และ
จะจัดประชมุ เครอื ข่ายคณะพลมารีจนี กับกลมุ่ ดั ต่าง ๆ อีก า้ กล่มุ เดือนละ น่ึงคร้งั
บทบาททาง งั คมของคริ ตชน ดั แมพ่ ระประจกั ฯ์ ทเี่ น็ ไดจ้ ากกลมุ่ งานอภบิ าลดา้ นการพฒั นา
ชี ติ และ งั คม นอกจากคณะยุ กรรมกรคาทอลกิ และคณะพลมารจี นี แล้ ยงั มเี ครดติ ยเู นยี่ น: กลมุ่ พฒั นา
บาง ะแก าลาแมพ่ ระเมอื งลรู ด์ และ ภา ดั แมพ่ ระประจกั ฯ์ กลมุ่ งานเ ลา่ นม้ี ี ่ น า� คญั ในการ รา้ ง
รากฐานใ เ้ กดิ การมงุ่ พฒั นาคณุ คา่ ทางจติ ใจของมนุ ย์ มงุ่ เนน้ ใ เ้ กดิ า� นกึ ในเรอื่ งค ามยตุ ธิ รรมและค าม
รบั ผดิ ชอบตอ่ งั คม คริ ตชน ดั แมพ่ ระประจกั ฯ์ พยายามผ มผ านอดุ มการณด์ งั กลา่ ใ เ้ ขา้ กบั อตั ลกั ณ์
ทาง ฒั นธรรมของตน โดยเฉพาะภา าจนี ทค่ี อ่ ย ๆ ไดร้ บั ค ามนยิ มลดนอ้ ยลงไปทกุ ที ง่ ผลใ ก้ ลมุ่ ทมี่ กี าร
ใชภ้ า าจนี อยอู่ ยา่ งจรงิ จงั มเี พยี งแคค่ ณะพลมารจี นี เทา่ นนั้ อยา่ งไรกด็ กี ารดา� เนนิ งานของทง้ั คณะพลมารจี นี
กลมุ่ พฒั นาบาง ะแก และ ภา ดั แมพ่ ระประจกั ฯ์ กย็ งั คงเปน็ ลกั า� คญั ของงานพฒั นาทยี่ งั คงดา� เนนิ มา
อยา่ งตอ่ เนอ่ื งถงึ ต รร ใ ม่ และเปน็ พลงั ใ ก้ ลมุ่ คริ ตชนทบี่ าง ะแกร่ มกนั า นทางแกป้ ญั าค ามเดอื ด
รอ้ นทเ่ี กดิ จากการมงุ่ พฒั นาเมอื งด้ ยค ามเจรญิ ทางดา้ น ตั ถแุ ตเ่ พยี งดา้ นเดยี ของภาครฐั
394
จากการมงุ่ พฒั นายา่ นฝง่ั ธนบรุ ใี เ้ จรญิ เตบิ โตตามกรงุ เทพฯ ฝง่ั พระนครใ ท้ นั ค บคไู่ ปกบั มลู คา่
ของท่ดี ินที่ งู ข้นึ จึงเกิดการเปลีย่ นแปลงของย่านตลาดพลู-บาง ะแก ครงั้ ใ ญ่ เมือ่ มีค ามพยายามของ
ภาครัฐในปี 2548 จะด�าเนินโครงการ ร้างชุมทางรถไฟฟ้าขนาดใ ญ่ในพ้ืนท่ีบริเ ณน้ีช่ือ ่า “โครงการ
นู ยค์ มนาคมตาก นิ และรถไฟ ายแมก่ ลอง” โดยมแี ผนจะเ นคนื ทด่ี นิ ขนาดใ ญจ่ า� น น 175 ไร่ ในบรเิ ณน้ี
(“ทัก ิณ งั่ ตัง้ บอรด์ คมุ ูนย์ตาก นิ ,” 2548: 7) ซง่ึ เปน็ แ ลง่ ชุมชนท่มี ีประ ัติ า ตร์อนั ยา นานและมี
คณุ คา่ ทาง ฒั นธรรม ซงึ่ ร มถงึ มบู่ า้ น ดั แมพ่ ระประจกั ฯ์ ค ามพยายามในการดา� เนนิ โครงการดงั กลา่
ไดก้ อ่ ใ เ้ กดิ การร มตั และร่ มมอื กนั ของชมุ ชนผไู้ ดร้ บั ค ามเดอื ดรอ้ นในพน้ื ที่ และเปน็ ค ามทา้ ทายครง้ั
า� คัญท่ีได้กอ่ ใ ้เกดิ ค ามเคลื่อนไ ทาง งั คมในพ้นื ทบี่ าง ะแกขึน้
ด้ ยพื้นฐานงานพัฒนาชี ิตและ ังคมด้านต่าง ๆ ที่กลุ่มคริ ตชน ัดแม่พระประจัก ์ฯ
มีประ บการณ์และได้รับการปลูกฝังมาอย่างต่อเนื่อง ่งผลใ ้ผู้น�าของ ภาอภิบาล ัดแม่พระประจัก ์ฯ
พรอ้ มคณะทา� งานภายใน มบู่ า้ น ่ น นึ่งไดก้ า้ ขน้ึ มาเป็นผูน้ า� ในการเคล่อื นไ เพื่อคัดคา้ นโครงการ
ดงั กลา่ อยา่ งเปน็ ระบบ พรอ้ ม รา้ งเครอื ขา่ ยภายในยา่ นบาง ะแก- ฒุ ากา กบั ชมุ ชนตา่ ง า นาโดยรอบ
่งผลใ ้เกดิ ค ามร่ มมือกันท่ีเข้มแข็งและมีประ ิทธภิ าพ การเคลอ่ื นไ ของคณะท�างานชมุ ชนคาทอลิก
ัดแม่พระประจัก ์ บาง ะแก จึงน่าจะเป็นกรณี ึก าท่ีน่า นใจกรณี น่ึง ในการเคล่ือนไ ต่อ ู้กับ
ภาครฐั ทเี่ ปน็ ตน้ เ ตขุ องการพฒั นาทบี่ อ่ นทา� ลายชี ติ และจติ ญิ ญาณของ งั คม ด้ ยขาดค ามรคู้ ามเขา้ ใจ
ในทอ้ งถน่ิ และผคู้ นอย่างเพียงพอ
ภาพท่ี 1 ภาพแผนท่ีและ ถานที่ �าคัญบรเิ ณรอบ ัดแม่พระประจัก ์เมืองลรู ์ด บาง ะแก
395
นงั อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เน่อื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ภาพที่ 2 ภาพแผนท่ภี ายใน ม่บู า้ น ดั แม่พระประจกั ์เมอื งลรู ด์ บาง ะแก
การอภปิ รายผล
การบกุ เบกิ ทด่ี นิ ดั แมพ่ ระประจกั เ์ มอื งลรู ด์ บาง ะแก ในช่ งปลาย มยั รชั กาลที่ 5 เปน็ ค าม
พยายามร่ มกนั ของบาท ล งชา ฝรง่ั เ ขนุ นางชา โปรตเุ ก และกลมุ่ พอ่ คา้ ชา จนี คาทอลกิ โดยอา ยั
ทางรถไฟ ายคลอง าน-ม าชยั เปน็ แกนในการขยายตั จาก ดั แมพ่ ระลกู ประคา� กาล า่ ร์ มายงั ฝง่ั ธนบรุ ี
กลมุ่ คนเ ลา่ นเี้ ปน็ ่ น นงึ่ ของชนชนั้ นา� ยามทม่ี บี ทบาท า� คญั อยบู่ รเิ ณดา้ นทิ ใตข้ องพระนครในยา่ น
ตลาดน้อย แม้ ่ น า� คัญในการบกุ เบิกท่ดี นิ และชมุ ชนคริ ตชนนน้ั คือการลงมือท�างาน นกั อยา่ งทุ่มเท
ของคณะบาท ล ง งั กดั คณะมิ ซงั ตา่ งประเท แ ง่ กรงุ ปารี แตใ่ นอกี ดา้ น นงึ่ กต็ อ้ งอา ยั ค ามคดิ และ
ค ามร่ มมือจากเครอื ข่ายคริ ตชนที่เป็นชนชัน้ นา� ยาม ร่ มกันก�า นดและผลกั ดันใ ้เริ่มข้นึ การ ึก า
พัฒนาการของ ังคมกรุงเทพฯ ผ่านเครือข่ายชุมชนชา คาทอลิกท่ีกระจายออกไปในถ่ินฐานย่านต่าง ๆ
โดยรอบอย่างมีระบบ จึงเป็นแน ทาง น่ึงท่ีจะช่ ยใ ้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของ
กรงุ เทพฯ ได้อยา่ งชัดเจน
396
ชุมชน ัดแมพ่ ระประจกั ์เมืองลูรด์ บาง ะแก ในช่ งท รร 2500 เป็นเ มือนตั แทนค าม
งั ของคนเมอื งใน ยั นมุ่ า ทก่ี า� ลงั รา้ งเนอ้ื รา้ งตั แน คดิ ในการพฒั นา งั คมทม่ี คี ามเปน็ ากล จาก
กล่มุ บาท ล งนักพฒั นาชา ฝรง่ั เ ท่ีมีบทบาทอยา่ งมากต่อ ังคมคาทอลิกในขณะนัน้ กลมุ่ คริ ตชน ดั
แมพ่ ระประจกั ฯ์ จงึ มคี ณุ ลกั ณะเปน็ ผทู้ มี่ คี ามกระตอื รอื รน้ ในการร มตั กนั เพอื่ ทา� งานดา้ น งั คมกลมุ่
ต่าง ๆ อย่างจริงจงั รากฐานการทา� งานด้าน งั คมดงั กล่า ยงั คงมอี ิทธิพลต่อการด�าเนินชี ติ ของผู้คนใน
มู่บ้าน โดยเป็นระบบค าม ัมพันธ์กันภายในท่ีช่ ยเ ลือท้ังด้านร่างกายและจิตใจ และมีผล �าคัญต่อ
ค าม มายในการดา� รงชี ติ อยขู่ องเ ลา่ ผู้ งู อายทุ เี่ คยเปน็ ผู้ างรากฐานงานดา้ น งั คมดงั กลา่ นอกเ นอื
ไปจากการดูแลผู้ งู อายุตาม ิทธ์ิพ้ืนฐานที่ดา� เนนิ การโดยภาครฐั
ปจั จบุ นั ชมุ ชน ดั แมพ่ ระประจกั เ์ มอื งลรู ด์ บาง ะแก ยงั คงมี ภาพของ มบู่ า้ นในช่ งท รร
2500 อยทู่ า่ มกลางการเตบิ โตของปา่ คอนกรตี ทร่ี กุ คบื เขา้ มาทา้ ทาย รายรอบด้ ยระบบการคมนาคมขน ง่
ท่ีทัน มัย พร้อมท้ังโครงการคอนโดมีเนียมท่ีแข่งขันกันข้ึนมาอย่างมากมาย แต่ด้ ยอุป รรคของ ภาพ
ท่ดี นิ ตาบอดผนื ใ ญ่ ทา� ใ ้ยงั ไม่มีการกา� นดแผนทชี่ ัดเจนขึ้นมาพัฒนาพื้นที่ดังกล่า แมท้ ผี่ ่านมาภาครฐั
เคยพยายามจะเข้ามาพัฒนาโครงการคมนาคมขนาดใ ญภ่ ายในย่าน แต่กป็ ระ บกับค ามล้มเ ล ต้งั แต่
ต้น ด้ ยการตัด ินใจท่ีผิดพลาด ไม่ได้ค�านึงถึงคุณค่าของ ิถีชี ิตผู้คนและค าม �าคัญของประ ัติ า ตร์
ในยา่ นนเ้ี ลยแม้แต่นอ้ ย จนน�าไป ูก่ ารร มตั กันลุกขึ้นประท้ งต่อต้านของคนในท้องถน่ิ อย่างไรก็ดี าก
ในอนาคตเมื่อเ ลาของการเปลี่ยนแปลงมาถึงอีกค�ารบ ค าม มายและคุณค่าของท่ีดินตาบอดผืนน้ีและ
พืน้ ท่โี ดยรอบต้องไมถ่ กู ละทงิ้ และจา� เป็นต้อง ง นรกั าเรือ่ งรา ประ ัติ า ตร์ของ มบู่ า้ นบาง ะแกใ ้
คงอยตู่ ่อไป เพอื่ ่งเ ริมใ เ้ กดิ คณุ คา่ ทงั้ ในเชงิ ชิ าการและเ ร ฐกิจอย่างยงั่ ยนื แก่ งั คม
397
นัง ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เน่ืองในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บรรณานุกรม
ภาษาไทย
“ขุนภา าปริ ัตร์ ลยุ มาเรีย ซาเ ีย ขออนุญาตทา� ทางรถไฟ ตง้ั แตก่ รงุ เทพฯ ถงึ โกรกกราก.” (2493).
24 ตุลาคม ร. . 115–10 มีนาคม ร. . 115. เอก ารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 5
กระทร งโยธาธกิ าร. ก ร.5 ยธ/9. อจด มายเ ตแุ ่งชาติ.
“จด มาย ดั แม่พระเมอื งลรู ด์ บาง ะแก (ค. . 1965).” (2508). เอก าร มยั พระ งั ฆราช ลุย ์
เคลเมนต์ โชแรง. 000150. แฟ้มท่ี 1, เรื่องที่ 10. อจด มายเ ตอุ ัคร งั ฆมณฑลกรุงเทพฯ.
แปลโดย จกั รกฤ ณ์ เจรญิ ทิ ธ์ิ อาจารยป์ ระจ�าภาค ชิ าภา าตะ นั ตก คณะโบราณคดี
ม า ทิ ยาลัย ลิ ปากร.
“ตร จการ.” (2453-2456). เม ายน 2453–6 ตลุ าคม 2456. เอก ารกระทร งนครบาล แผนกบญั ชาการ
อ�าเภอบางขนุ เทยี น จงั ดั ธนบรุ .ี ม ร.6 น/74. อจด มายเ ตแุ ง่ ชาติ.
“ทกั ิณ ่ังตงั้ บอร์ดคุม ูนย์ตาก นิ .” (2548). ยามธรุ กจิ 612 (20-23 งิ าคม): 7.
“ทดี่ นิ ขนึ้ ดั ฝา่ ย า นาโรมนั คาทอลกิ .” (2445-2452). 4 กมุ ภาพนั ธ์ ร. . 121–24 งิ าคม ร. . 128.
เอก ารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลท่ี 5 กระทร งพระคลังม า มบัติ. ก ร.5 ค/12.
อจด มายเ ตุแ ่งชาติ.
“ประกา กระทร งม าดไทย เร่ือง เปลี่ยนแปลงเขตต�าบลและอ�าเภอในจัง ัดพระนครและธนบุรี,”
(2483) ราชกิจจานเุ บก า เล่ม 57, ตอน 0 ง (29 ตลุ าคม): 2598.
“ประกา บอกล่ ง น้าจะแจกโฉนด า� รับท่ดี นิ ในทุ่งบา้ นบางไ ไ้ ก่ ต�าบลบางไ ไ้ ก่ อ�าเภอบางกอกใ ญ่,
ทงุ่ บา้ นบางย่ีเรือ ต�าบลบางย่เี รือ อ�าเภอบางกอกใ ญ่, ทงุ่ บา้ นบาง ะแก ตา� บลบาง ะแก
อ�าเภอบางกอกใ ญ่ แข งเมืองกรุงเทพฯ.” (2449) ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 23, ตอน 10
(3 มิถนุ ายน): 175.
“พระบรมราชโองการ ประกา พระราชทานอา� นาจพเิ แกบ่ ริ ทั ทา่ จนี เรลเ กา� ปนที นุ จา� กดั .” (2444).
ราชกิจจานเุ บก า. เล่มท่ี 19, ตอนท่ี 43 (11 มกราคม): 823.
ณัฐ ิทย์ พิมพ์ทอง. (2560). “ ลายชี ิตบนเ ้นทาง าย งเ ียนใ ญ่-ม าชัย.” เมืองโบราณ 43,
4 (ตุลาคม-ธัน าคม): 111-121.
ไพบลู ย์ มะกรครรภ์. (2520). “ประ ตั ิ ัดแม่พระประจัก เ์ มอื งลูร์ด บางขุนเทียน,” ใน อนุสรณ์ฉลอง
วดั แม่พระประจักษเ์ มอื งลูร์ด ครบรอบ 14 ปี 20 กมุ ภาพนั ธ์ 2520. ภิญโญ ทองประดิ ฐ,์
บรรณาธกิ าร. กรงุ เทพฯ: ภญิ โญการพมิ พ์.
398
ัดแม่พระลกู ประค�า (กาล า่ ร)์ . (2529). 119 ปี ดั แมพ่ ระลูกประคา� (กาล ่าร)์ . ม.ป.ท. พิมพใ์ น
าระฉลองครบรอบ 119 ปี ัดแม่พระลูกประคา� กาล า่ ร์ 2 ตุลาคม 2559.
ิกตอร์ ลาร์เก, ผู้แปล. “รายงานประจ�าปีของมิ ซังกรุง ยามและมิ ซังกรุงเทพฯ ถึง ูนย์มิ ซัง
ตา่ งประเท แ ่งกรงุ ปารี ฯ ต้งั แต่ ค. . 1873 ถงึ ค. . 1982.” 4 เล่ม. อจด มายเ ตุ
อคั ร งั ฆมณฑลกรุงเทพฯ.
ิกตอร์ ลาร์เก. (2530). “ประ ัติ ัดแม่พระประจัก ์เมืองลูร์ด ( ัดบาง ะแก) ค. . 1900-1987
(พ. . 2443-2530).” อดุ ม าร 11, 22 (31 พฤ ภาคม).
ิทยา เ ชชาชี ะ. (2554). ถนนพระยาพิพฒั เร่อื งเลา่ จากปลายซอย. กรงุ เทพฯ: ซิล์คโรด.
ั ด์ิ ครุ รรณ. (2545) อนุ รณ์ครบรอบ 50 ปี คณะพลมารีในประเท ไทย 1952-2002. ม.ป.ท.
ุข ูง ่าง. (2500). 60 พรร าแ ่งอนุ รณ์ ถิต ัดแม่พระลูกประค�า ( ัดกาล ่าร์). กรุงเทพฯ:
โรงพิมพป์ ระเ รฐิ ธนกจิ .
อจด มายเ ตอุ ัคร ังฆมณฑลกรุงเทพฯ. (ม.ป.ป.). “ ารบัญ-ร่ ม M.E.P.-ไทย ลักฐาน เลม่ 10.”
อภิชาต กิตติเมธา ีนันท์. ผู้เรียบเรียง, (2560). 120 ปี ัดแม่พระลูกประค�า (กาล ่าร์). ม.ป.ท.
พมิ พ์ใน าระฉลองครบรอบ 120 ปี ดั แมพ่ ระลกู ประคา� กาล า่ ร์ ลังท่ี 3 ค. .1897-2017
1 ตุลาคม 2560).
เอกพล ชื่อรุ่งเรือง. (2526). “ย.ก.ค. คืออะไร.” อุดม านต์ 63, 2 (กมุ ภาพนั ธ์): 13.
ภา าตา่ งประเท
Nieli, Bruce. (2015). “A return to Catholic Action.” U.S. Catholic 80, 7 (July): 36-38.
ัมภา ณ์
ป ณี า ชอื่ ร่งุ เรอื ง. (2560). มั ภา ณ์, 12 กรกฎาคม.
พรชยั ต้ังถา ร. (2560). มั ภา ณ,์ 16 กรกฎาคม.
399
นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
400
พันทา้ ยนร งิ ์: ความทรงจ�า ประวัติศา ตร์ในทอ้ งถ่ิน มทุ ร าคร
Phantai Norasingh: Memory, History in Samut Sakhon
สิรวิ รรณ สริ วณชิ ย*์
Siriwan Siravanich
* อาจารย์ประจา� มวดวชิ าประวตั ศิ า ตร์ คณะโบราณคดี ม าวิทยาลัยศลิ ปากร
401
นัง ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวิชาการ เนอื่ งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทคัดย่อ
บทค ามนม้ี จี ดุ มงุ่ มายเพอื่ กึ า ค ามทรงจา� ประ ตั ิ า ตรใ์ นทอ้ งถน่ิ มทุ ร าคร กรณี กึ า
พันท้ายนร ิง ์ ร มทั้งปัจจัยที่ ่งผลต่อการน�าเ นอค ามทรงจ�าดังกล่า โดยประเด็น ึก า างอยู่บน
มมติฐานเบ้ืองต้นเก่ีย กับค ามทรงจ�าของประ ัติ า ตร์ ท่ีเป็นข้อตกลงของ ังคม ่าจะจดจ�าอดีตของ
ท้องถ่ินใ ้เช่ือมโยงกับปัจจุบันและอนาคตอย่างไร ดังนั้นประ ัติ า ตร์ที่ถูกน�าเ นอในท้องถิ่นย่อมเป็น
ปรากฏการณ์ทาง ังคมที่แ ดงออกในรูปแบบใดรูปแบบ นึ่งขึ้นมา ภายใต้บริบท ังคม ัฒนธรรมและ
ค าม มั พันธเ์ ชงิ อ�านาจที่แ ดงออกในท้องถิ่นน้นั
ผลการ ึก าพบ ่าค ามทรงจ�าต่อพันท้ายนร ิง ์ ไม่ได้เป็นค ามทรงจ�าท่ีเกิดจากเน้ือ าใน
พระราชพง า ดาร ซ่ึงทา� นา้ ที่เป็น ลกั ฐานทางประ ัติ า ตรไ์ ทยเพียงอย่างเดยี แตเ่ กิดจากเร่ืองเลา่
ตา� นาน ค ามเชอ่ื พธิ กี รรม ทเี่ กดิ ขน้ึ จากการผลติ ซา�้ ในรปู แบบตา่ ง ๆ ทง้ั จากคนภายในและภายนอกทอ้ งถน่ิ
ทม่ี ี ่ นร่ มตอ่ กระบ นการ ลอมร มค ามทรงจา� เกยี่ กบั พนั ทา้ ยนร งิ ์ จนกลายเปน็ ค ามทรงจา� ของ
ทอ้ งถิ่น มุทร าครค บค่ไู ปกับค ามทรงจ�าของประ ัติ า ตรไ์ ทย
คำ� สำ� คัญ : ค ามทรงจ�า, พนั ทา้ ยนร งิ ,์ ประ ัติ า ตร์ท้องถ่ิน, มทุ ร าคร
402
Abstract
This article aims to study the memories and history in Samut Sakhon Province.
It is a case study of Phantai Norasingh, including the factors that affect the presentation
of such memories. It explores the way that a society’s historical memories recognize the
local history that links the present to the future. The local history being presented is a
social phenomenon connected to the local culture and the power relations existing in
the local area.
The study found that memories of Phantai Norasingh are not only memories
resulting from royal chronicles but also stories, legends, beliefs and rituals arising from
reproducing in the different ways. Memories both from outside and inside this locality
are involved in the process of making history in Phantai Norasingh. Until it becomes a
memory of Samut Sakhon along with other memories of Thai history.
Keywords: Memory, Phantai Norasingh, Local history, Samut Sakhon
403
นัง ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทน�ำ
ประ ัติ า ตร์เป็นเรื่องรา ท่ีเกิดข้ึนในอดีต แต่ไม่ใช่ ่าเร่ืองรา ในอดีตทุกเร่ืองจะกลายเป็น
ประ ัติ า ตร์ ค ามทรงจ�าบาง ่ นเทา่ น้ันท่ี ามารถเปน็ ภาพตั แทนของอดตี รอื กล่า อีกแงม่ มุ นงึ่
คอื ภาพทเ่ี กดิ ขน้ึ ใ มจ่ ากพนื้ ทคี่ ามทรงจา� ซง่ึ เกดิ ขน้ึ จากปจั เจกและกลมุ่ งั คมกอ่ ใ เ้ กดิ ค ามทรงจา� ร่ ม
ของคนใน ังคมได้ถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เร่ืองรา เ ตุการณ์ �าคัญในอดีต บุคคลใน
ประ ตั ิ า ตร์ อนุ า รยี ์ คา� ข ญั พธิ กี รรม ค ามเชือ่ ัญลัก ณ์ อัน ง่ ผลต่อ ิถกี ารดา� เนนิ ชี ิตของคนใน
ทอ้ งถนิ่ ปจั จบุ นั ากกลา่ ถงึ พน้ื ทจี่ งั ดั มทุ ร าคร คงไมม่ ใี ครปฏเิ ธไดถ้ งึ แรงงานทง้ั ชา ไทยและตา่ งดา้
ทเี่ ดนิ ทางเขา้ มาทา� งานในภาคอตุ า กรรม การประมง ร มทงั้ ภาคเก ตรกรรม ดงั คา� ข ญั ประจา� จงั ดั
ที่ า่ “เมอื งประมง ดงโรงงาน ลานเก ตร เขตประ ตั ิ า ตร”์ และเมอื่ พจิ ารณาในแงข่ องมติ ทิ างดา้ นค าม
ทรงจา� ของประ ตั ิ า ตรช์ าติทปี่ รากฏในท้องถิน่ คงตอ้ งนกึ ถงึ ีรกรรมของพนั ท้ายนร ิง ์ บคุ คล �าคัญ
ของทอ้ งถน่ิ ซงึ่ ปรากฏอยใู่ นตา� ราประ ตั ิ า ตรไ์ ทย เรอื่ งเลา่ ของทอ้ งถนิ่ โดยเฉพาะในเขตพนื้ ทตี่ า� บลโคกขาม
และตา� บลพนั ท้ายนร งิ ์ จัง ดั มุทร าคร
สำครบรุ ี : เมืองปำกใตใ้ นสมยั อยธุ ยำ
มทุ ร าครเปน็ จงั ัดทต่ี ้งั อยใู่ นเขตพน้ื ทต่ี อนล่างของภาคกลางบรเิ ณปากแมน่ �้าทา่ จนี ตัง้ อยู่
่างจากอา่ ไทยเพยี ง 2 กโิ ลเมตร พน้ื ท่ีตอนบนของจงั ดั ถัดจากชายฝงั่ ทะเลขึน้ ไป มีคลองธรรมชาติ
และคลองท่ีขุดขึ้นเพ่ือนา� น้�าจืดมาใช้ในการเพาะปลูก ซ่ึงมีโครงข่ายของคลองต่าง ๆ ลาย ายเชื่อมโยง
แม่นา้� ท่าจีน แม่น�้าแม่กลองและแมน่ ้�าเจา้ พระยา คลองเ ล่านนี้ อกจากจะช่ ยในเร่อื งการระบายน�้าแล้
ยังใช้ในการชลประทานและการคมนาคมอีกด้ ย คลอง �าคัญในเขตจัง ัด มุทร าครท่ีเช่ือมระ ่าง
แมน่ า้� ทา่ จนี และแมน่ า�้ เจา้ พระยา ไดแ้ ก่ คลองม าชยั คลองภา เี จรญิ และคลองพทิ ยาลงกรณ์ ่ นคลอง
ทเ่ี ชอ่ื มระ า่ งแมน่ �้าทา่ จีนกับแมน่ �้าแมก่ ลอง ไดแ้ ก่ คลอง ุนัข อน และคลองด�าเนนิ ะด ก ( �านักงาน
จัง ัด มุทร าคร, 2556: 15)
เนอ่ื งด้ ยภมู ิ า ตรท์ ต่ี งั้ ของเมอื งเปน็ ปากนา้� ออก ทู่ ะเล มแี มน่ า้� ลา� คลองเชอื่ มตอ่ กบั เมอื ง ล ง
บรเิ ณนจี้ งึ เปน็ เมอื งทา่ คา้ ขายที่ า� คญั และเปน็ เ น้ ทางนา�้ าย ลกั ในการระดมกา� ลงั พล เกณฑไ์ พรพ่ ลทา�
กึ งครามในอดตี ง่ ผลใ ม้ กี ารอพยพเคลอื่ นยา้ ยกลมุ่ คนตา่ ง ๆ เขา้ มาตง้ั ถน่ิ ฐานอยา่ งตอ่ เนอื่ ง (นฤพนธ์
ด้ ง เิ , 2561: 198) ดังปรากฏในพระราชพง า ดารฉบบั จนั ทนุมา (เจิม) กลา่ ถงึ เรอื่ งการตัง้ บ้าน
ท่าจนี เป็นเมือง าครบุรี ในรัช มัย มเดจ็ พระม าจักรพรรดิ ลงั เ ตุการณพ์ ระราชทานเพลงิ พ มเด็จ
พระ รี ุริโยทัยที่ ้ินพระชนม์ครา งครามกับพระเจ้า ง า ดีตะเบ็งชะเ ตี้ ยกทัพมาตีกรุง รีอยุธยา
เมอ่ื พ. . 2092 ระบุ า่ “...แล้ มเดจ็ พระเจา้ อยู่ ั ตรั า่ ไพรบ่ า้ นพลเมอื งตรจี ตั าปากใตเ้ ขา้ พระนคร
นนี้ อ้ ย นอี อกอยดู่ ง ้ ยเขาตอ้ นไมไ่ ดเ้ ปน็ อนั มาก ใ บ้ า้ นทา่ จนี ตงั้ เปน็ เมอื ง าครบรุ ี ใ เ้ อาบา้ นตลาดข ญั
ต้ังเป็นเมืองนนทบุรี ใ ้แบ่งเอาแข งเมืองราชบุรี แข งเมือง ุพรรณบุรีเป็นเมืองนครชัย รี.....”
(กรม ิลปากร, 2507: 60) จากเนือ้ ค ามในพระราชพง า ดาร นั นิ ฐานได้ า่ บา้ นทา่ จนี คงเปน็ เมอื งอยู่
แล้ แต่ไพร่พลน้อย จึงได้ร บร มข้ึนเป็นเมือง าครบุรี เพ่ือปกครองร บร มผู้คนในยาม ึก งคราม
ตลอดจนค าม า� คญั ของเมอื ง ใน นงั อื กฎ มายตรา ามด ง เรอ่ื งพระไอยการตา� แ นง่ นาท าร ั เมอื ง
404
ปรากฏ ลกั ฐานลายลกั ณ์อัก รท่ีกล่า ถึงชื่อตา� แ น่งเจ้าเมอื ง “พระ มุท าคร เมอื งทา่ จนี ” เจ้าเมืองมี
บรรดา กั ดเิ์ ปน็ พระ มุท าคร เปน็ เมอื งจตั าขนึ้ กบั กลาโ ม บงั คบั บญั ชา ั เมอื งฝา่ ยใต้ (กรม ลิ ปากร,
2526: 325-327)
ในงาน ึก าของ ประภั ร์ ชู ิเชียร (2557) กลา่ ถงึ แม่นา�้ ล�าคลองกับชุมชน “ปากใต้” พนื้ ท่ี
กรงุ เทพฯ และปรมิ ณฑลใน มยั อยธุ ยา โดยอธบิ ายค าม มาย “ปากใต”้ เปน็ คา� โบราณ มยั กรงุ รอี ยธุ ยา
ทไ่ี มป่ รากฏการใชแ้ ล้ ในปจั จบุ นั เนอ่ื งจากกอ่ นการ ถาปนากรงุ ธนบรุ แี ละกรงุ รตั นโก นิ ทรใ์ นช่ งตน้ พทุ ธ
ต รร ที่ 24 ูนยก์ ลางการปกครองอย่ทู ีก่ รงุ รอี ยุธยาทางตอนเ นือพนื้ ท่ีน้ขี ึน้ ไป
เอก าร ลกั ฐานท่ปี รากฎในพระราชพง า ดารกรงุ รอี ยุธยา ก็ได้กล่า ถึงบ้านเมอื งทีเ่ รียก า่
ปากใต้ เชน่ ฉบบั พันจันทานมุ า (เจมิ ) ฉบับ มเดจ็ พระพนรัตน์ ฉบับบริติชมิ เซียม และฉบับพระราช
ัตถเลขา อีกทงั้ ยังมจี ด มายเ ตุที่คน มัยอยุธยาบันทึกเร่อื งจากค ามทรงจ�า ลังเ ยี กรงุ รอี ยุธยา เชน่
ค�าใ ้การขุน ล ง ัดประดู่ทรงธรรม ท่ีบรรยายถึงเมืองปากใต้ในฐานะชุมชนผู้ผลิตและ ่ง ินค้าอา าร
ทะเลใ ้กับกรุง รีอยุธยา ตอน นึ่งได้บรรยายถึงตลาดค้าขาย ่า “ รรพเคร่ือง ินค้าปากใต้ บรรทุก
เรือปากก ้าง ิบ อก าม า มาทอด มอขายอยู่ท่ีปากคลองคูจาม” และมีอีกตอน นึ่งกล่า ่า
“อน่งึ เรือปากใตป้ ากก ้าง ๖ อก ๗ อก ชา บา้ นยี่ ารบา้ นแ ลม เมอื งเพชรบุรีและบ้านบางตะบูนแล
บ้านบางทะลุบันทุกกะปิน�้าปลาปูเคมปลากุเราปลากะพงปลาทูปลากะเบนย่าง มาจอดเรือขาย แถ ัด
เจา้ พระนางเชงิ ..” (คา� ใ ้การขนุ ล งประดทู่ รงธรรม, 2534: 6)
จากข้อมูลในเอก ารขา้ งตน้ นา� ไป ู่การทา� ค ามเข้าใจเกี่ย กับเมืองปากใต้ ทไ่ี มใ่ ชค่ �า า่ ปกั ใ์ ต้
ในปจั จุบัน ่ นพระราชพง า ดารกรงุ รอี ยธุ ยา ฉบบั มอบรัดเล กลา่ ถงึ ครา ท่ี มเดจ็ พระเจา้ อยู่ ั
ทา้ ย ระ เ ดจ็ พระราชดา� เนนิ มาทรงเบด็ ทปี่ ากแมน่ า�้ ทา่ จนี เมอื่ ไปถงึ คลองม าชยั เ น็ คลองนนั้ ขดุ คา้ งอยู่
ครน้ั ทรงเบด็ แล้ กลบั คนื มาถงึ พระนคร จงึ ทรงพระกรณุ าตรั ง่ั ใ ก้ ะเกณฑค์ น ั เมอื งปากใตแ้ ปด ั เมอื ง
มาขุดคลองม าชยั ใ เ้ รจ็ ดังค าม ่า
“….จงึ ทรงพระกรณุ าตรั ง่ั ใ พ้ ระราช งครามเปน็ นายกอง ใ ก้ ะเกณฑ์
คน ั เมืองปากใต้ แปด ั เมือง ใ ้ได้คน าม ม่ืนเ แล้ ถ ายบังคมลาไป
คร้ันถึงคลองม าชัยจึงใ ้ฝรั่ง ่องกล้องแก้ ดูใ ้ตรงปากคลองปักกรุยลงเป็น
า� คญั ทางไกล ามรอ้ ย ่ี ิบเ ้น ขุดท่กี อ่ นนัน้ ไดท้ แ่ี ล้ กเ ้นเ ยงั ไมแ่ ล้ นนั้
มากถึง ามร้อย ี่ ิบเ ้น ใ ้ขุดลึก ก อก ก ้างแปด าเท่าเก่า เกณฑ์กันเป็น
น้าท่ี คน าม มื่นเ ขุด องเดือนเ จึงแล้ พระราช งครามกลับมาเฝ้า
กราบทลู พระกรณุ าใ ้ทรงทราบทุกประการ มเด็จพระเจา้ แผ่นดนิ ไดท้ รงทราบ
ทรงพระปีติปราโมทย์ จึงตั้งพระราช งครามใ ้เป็นพระยาราช งคราม
แล้ พระราชทานเจยี ดทองเ ือ้ ผ้าเงนิ ตราเป็นอันมาก คลองนั้นชอื่ คลองม าชัย
มาตราบเทา่ ทกุ ันน้”ี
(พระราชพง า ดารกรุง รอี ยธุ ยาฉบับ มอบรดั เล, 2549: 393)
405
นงั ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวิชาการ เนอื่ งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ในพระราชพง า ดารกรงุ รอี ยธุ ยา ฉบบั พนั จันทนมุ า (เจมิ ) ได้กล่า ค ามตอน นึ่งไ อ้ ยา่ ง
ชดั เจนเกย่ี กบั เมอื งปากใต้ า่ “เกณฑไ์ พรพ่ ลเมอื งใ ข้ ดุ จากเมอื งนนทบรุ ี เมอื ง มทุ รปราการ เมอื ง าคร
บรุ ี เมอื ง มทุ ร งคราม เมอื งเพชรบรุ ี เมอื งราชบรุ ี เมอื งนครชยั รี 8 เมอื ง..” จงึ ทา� ใ เ้ ขา้ ใจ า่ เมอื งปากใต้
ทปี่ รากฏในเอก าร นนั้ มายถงึ ั เมอื งทอี่ ยทู่ างใตข้ องกรงุ รอี ยธุ ยารอบปากอา่ ไทย (นธิ ิ เอยี รี ง ,์
2543: 49)
เม่ือพิจารณาจากค าม �าคัญของเมือง าครบุรี ซึ่งเป็น น่ึงในแปดเมืองปากใต้ ที่อยู่ทางทิ
ตะ นั ตกของราชอาณาจกั รอยธุ ยา และใชเ้ ปน็ เ น้ ทางเดนิ ทางคมนาคมตดิ ตอ่ รอื ลา� เลยี ง นิ คา้ เขา้ มายงั
อยธุ ยา โดยใชเ้ น้ ทางแมน่ า�้ าย ลกั และคลอง าขาตา่ ง ๆ ท่ี า� คญั คอื แมน่ า�้ แมก่ ลอง แมน่ า้� ทา่ จนี แมน่ า�้
เจ้าพระยา แม่น้�าท้ัง าม ายน้ีเช่ือมประ านเข้าด้ ยกันโดยระบบคลองภายใน ซึ่งเป็นเ ้นทางคมนาคม
มาตง้ั แตอ่ ดตี คอื คลองดา่ น ทเ่ี ชอ่ื มแมน่ า้� เจา้ พระยา ายเกา่ ตงั้ แตแ่ ยกคลองบางกอกใ ญ่ จนถงึ แยกคลอง
บางขนุ เทียน และช่ งกลาง ตั้งแต่แยกคลองบางขุนเทียนถึงคลอง ั กระบือ เรียก “คลอง นามชัย” และ
ช่ งปลาย จากแยกคลอง ั กระบอื จนถงึ แมน่ า้� ทา่ จนี ทต่ี ั เมอื ง มทุ ร าคร เรยี ก “คลองม าชยั ” แมม้ ชี อ่ื
เรียกต่างกนั ซงึ่ ขึ้นกบั ค าม ะด กทีเ่ ข้าใจกนั จงึ เรียกกันตามช่อื บ้านนามเมืองในท้องถน่ิ น้นั ๆ แต่ท้งั มด
ล้ นเป็นคลองด่านเดยี กันทเี่ ชอื่ มโยงระ ่างแม่นา้� เจา้ พระยากบั แมน่ า�้ ท่าจีน ไปทางทิ ใต้ รอื ตะ ันตก
และเป็นเ ้นทางออก ู่ทะเลที่ปากอ่า ไทย ( จุ ิตต์ ง ์เท , 2561: 44)
ค าม �าคัญของพื้นที่ าครบุรี ในฐานะเมืองท่าปากอ่า ไทย เ ็นได้จากการขุดคลองลัดตาม
แน ทางคลองเกา่ ทเี่ ชอื่ มโยงระ า่ งแมน่ า้� เจา้ พระยาออกแมน่ า้� ทา่ จนี และการขดุ คลองลดั โคกขาม-ม าชยั
ในช่ งกลางพทุ ธ ต รร ที่ 23 เพอ่ื ใชเ้ ปน็ เ น้ ทางเชอ่ื มตอ่ ระ า่ งกรงุ รอี ยธุ ยากบั บา้ นเมอื งทางทิ ตะ นั ตก
และทางใต้ใ ้มีค าม ะด กมากยิ่งขึ้น ร มทั้งการเกิดชุมชนใ ม่บริเ ณปากคลองม าชัย รือ าครบุรี
รือ มุทร าครท่ีน่าจะเคล่ือนย้ายจากบ้านท่าจีน เนื่องจากพบ ลักฐาน ิลปกรรม มัยอยุธยาของเมือง
าครบุรี กระจายตั อยู่ในเขตบ้านท่าจีน ซึ่งต้ังอยู่เ นือปากคลอง ุนัข อน โดยมี ัดใ ญ่ าครบุรี รือ
ัดใ ญ่จอมปรา าทเป็น นู ยก์ ลางเดิม มากก ่าทต่ี ้งั เมือง าครบรุ ี รอื ทีร่ จู้ กั ในนาม “ม าชยั ” แ ดงใ ้
เ ็น า่ เมอื ง าครบุรี เปน็ ลกั ณะชมุ ทางท่จี ะเดนิ เรือจากกรงุ รีอยธุ ยา โดยผ่านเ น้ คลองดา่ นลัดเลาะไป
ยังล�าคลอง าขาท่ีเชื่อมแม่น�้าท่าจีนออก ู่ปากอ่า ไทย รือ เชื่อมต่อไปยังพื้นที่แม่กลองโดยใช้เ ้นทาง
คลอง นุ ัข อน (ประภั ร์ ชู ิเชียร, 2557: 70-71)
กรณี กึ ำ “พันทำ้ ยนร งิ ์” บนพื้นที่ค ำมทรงจ�ำทีถ่ กู เลือก
เน้ือ ำจำกพระรำชพง ำ ดำร: ลักฐำนประ ัติ ำ ตรไ์ ทย
นงึ่ ในบรรดาค ามทรงจา� ของทอ้ งถนิ่ มทุ ร าคร ทเี่ กย่ี ขอ้ งกบั เรอื่ งรา ของประ ตั ิ า ตรช์ าติ
ได้แก่ ีรกรรมของ “พนั ทา้ ยนร งิ ”์ ซ่งึ ถกู ทา� ใ ้เป็นประ ตั ิ า ตร์ท้องถิน่ ในบรบิ ทประ ัติ า ตร์ชาติ
ผา่ นการอธบิ ายภาพลกั ณข์ องพนั ทา้ ยนร งิ ใ์ นพระราชพง า ดาร มยั พระเจา้ รรเพชญท์ ี่ 8 (พระเจา้ เ อื )
406
เรื่องรา ของพันท้ายนร ิง ์ นายท ารผู้ท�า น้าท่ีคัดท้ายเรือพระท่ีน่ังเกยตล่ิงจน ั เรือ ัก
ปรากฏในพระราชพง า ดารกรุง รีอยุธยา ลายฉบบั ดังเชน่ พระราชพง า ดารกรงุ ยาม จากตน้ ฉบบั
ของบริติชมิ เซียม กรงุ ลอนดอน พระราชพง า ดารฉบบั มเด็จพระพนรตั น์ รอื ทเ่ี รยี กกัน ลายชื่อ เชน่
พระราชพง า ดารกรุง รีอยุธยาฉบับพิมพ์ องเล่ม พระราชพง า ดารกรุง รีอยุธยาฉบับ มอบรัดเล
พระราชพง า ดารกรุง รีอยุธยาฉบับ มเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนร บ้าง รือบางครั้งเรียกพระราช
พง า ดารฉบบั อ มุดแ ่งชาติ (นาฏ ิภา ชลิตานนท์, 2524: 227)
อีกทั้ง ลักฐานท่ีเป็นลายลัก ณ์อัก รที่กล่า ถึงพันท้ายนร ิง ์ ก็ปรากฏเฉพาะในพระราช
พง า ดารท่ีถูกช�าระ มัยรัตนโก ินทร์เท่าน้ัน โดยมีเน้ือ าท่ีเล่าเร่ืองรา ของพันท้ายนร ิง ์ไม่ต่างกัน
มเี พยี งการแกก้ าร ะกดคา� เทา่ นน้ั แม้ า่ ่ นใ ญใ่ นแ ด งนกั ชิ าการท่ี กึ าประ ตั ิ า ตรอ์ ยธุ ยา มคี าม
เ น็ า่ เรอื่ งพนั ทา้ ยนร งิ ์ เปน็ เรอ่ื งตา� นานทถ่ี กู แตง่ เพม่ิ ขน้ึ มาเมอื่ ครงั้ การชา� ระพระราชพง า ดารใน มยั
กรุงธนบุรีและรัตนโก ินทร์ เพื่อต้องการท�าลายค ามชอบธรรมของราช ง ์บ้านพลู ล ง กล่า คือเม่ือ
ดา� เนนิ เรอื่ งถงึ พนั ทา้ ยนร งิ ์ นายคดั ทา้ ยเรอื พระทนี่ ง่ั ไม่ ามารถปฏบิ ตั ิ นา้ ทไ่ี ด้ า� เรจ็ ระ า่ งเ น้ ทางการ
เ ด็จประพา บรเิ ณพ้ืนที่ตา� บลโคกขามทมี่ เี น้ ทางล�าคลองทค่ี ดเค้ีย เป็นเ ตใุ ้ตอ้ งไดร้ บั โท ประ าร
ชี ิตตามกฎมณเฑียรบาล แต่พระเจ้าเ ือทรงอภัยโท ไม่เอาค ามผิด แต่อย่างไรก็ตามพันท้ายนร ิง ์
ยนื ยนั ทจี่ ะรกั ากฎมณเฑยี รบาล เรอ่ื งรา เ ตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ขนึ้ ในครา เ ดจ็ ประพา คลองโคกขาม ะทอ้ น
ภาพพระเจ้าเ ือ ่าทรงพอพระทัย ่ นพระองค์ในพันท้ายนร ิง ์เนื่องจากเป็นข้า ล งเก่า จนท�าใ ้เกิด
ค ามอดึ อัดใจท่จี ะลงโท ตามกฎมณเฑียรบาล ซึง่ เป็นกฎที่มอี ยคู่ กู่ บั ถาบันก ัตรยิ ์
แม้กฎมณเฑียรบาลไม่ได้กล่า ถึงการลงโท กรณีการคัดท้ายเรือ จนท�าโขนเรือพระท่ีนั่ง ักลง
มาโดยตรง แต่กล่า รายละเอียดในการปฏิบัติตนของผู้เก่ีย ข้องเม่ือพระเจ้าแผ่นดินเ ด็จทางเรือ เช่น
เ ด็จไลเ่ รอื ปรากฏในกฎมณเฑยี รบาล ขอ้ 25-27 โดยในข้อที่ 25 ระบุขอ้ ค าม า่ “อนง่ึ ั ม่นื ั พนั
ภดู า จา่ ชา เลอื กชา งั บนั ดาลงเรอื นน้ั ยงั มถี งึ ทป่ี ระทบั แล ยดุ เรอื ประเทยี บ โท ถงึ ตาย ถา้ ประเทยี บ
เข้าประทับแลเรือประเทียบเข้าติดแล้ ใ ้ลงน�้า ่ายข้ึนบก ถ้าอยู่กับเรือโท ฟันคอ....” รือในข้อท่ี 26
ระบุ ่า “อน่งึ ถา้ เ ดจ็ ไล่เรอื แลเรือลกู ขนุ ผู้ใดไปโดยทางลัดเล้ีย มิมาใ ท้ นั พระธนิ งั่ โท ฟนั คอริบเรอื น
อน่ึง ท้า พระยามนตรีมุกขลูกขุน ั ม่ืน ั พันทั้งป ง ฝ่าประเทียบก็ดี ตัดประเทียบชั่ ล�าเรือก็ดี
โท ฟันคอรบิ เรอื น...” ( นิ ยั พง ์ รเี พยี ร, 2548: 90-91)
พระเจา้ เ ือยึด ลักการของตั เองและ าทางออกใ ้กับเ ตุการณ์ครง้ั นี้ ลายครง้ั เร่ิมจากการ
อภัยโท ใ ้เพราะเ ็น ่าเป็นอุบัติเ ตุ ุด ิ ัย เกินค าม ามารถของนายคัดท้ายเรือ ดังข้อค ามจาก
พระราชพง า ดารกรุง รอี ยุธยา ฉบบั มอบรดั เล ตอน นึ่งท่ีระบุ ่า
“..จงึ มพี ระราชโองการตรั า่ ไอพ้ นั ทา้ ยนร งิ ์ ซงึ่ โท เอง็ ถงึ ตายนน้ั
กช็ อบอยแู่ ล้ แตท่ า่ บดั นกี้ จู ะยกโท เ ยี ไมเ่ อาโท เอง็ แล้ เอง็ จงคนื มาลงเรอื
ไปด้ ยกูเถิด ซึ่ง ีร ะเรือที่ ักน้ัน กูจะท�าต่อเอาใ ม่แล้ เอ็งอย่า ิตกเลย
พนั ทา้ ยนร งิ จ์ ง่ึ กราบทลู า่ ซง่ึ ทรงพระกรณุ าโปรดมไิ ด้ เอาโท ขา้ พระพทุ ธเจา้ นนั้
พระเดชพระคณุ าท่ี ดุ มิได้ แตท่ ่าจะเ ียขนบธรรมเนยี มในพระราชกา� นด
407
นงั อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เนอ่ื งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
กฎ มายไป แลซึง่ มเดจ็ พระเจา้ อยู่ ั จะมาละพระราชก�า นด �า รับแผ่นดนิ
เ ียดงั นี้ ดมู บิ ังค รย่งิ นัก นานไปภาย น้าเ น็ ่าคนทัง้ ป งจะล่ งคร าติเตียน
ดู มิ่นได้ และพระเจ้าอยู่ ั อย่าทรงพระอาลัยแก่ข้าพระพุทธเจ้าผู้ถึงแก่มรณะ
โท นเ้ี ลย จงทรงพระอาลยั ถงึ พระราชประเพณี อยา่ ใ เ้ ยี ขนบธรรมเนยี มไปนน้ั
ดีก ่า อันพระราชก�า นดมีมาแต่โบราณน้ัน ่า ถ้าแลพันท้ายผู้ใดถือท้ายเรือ
พระท่ีน่ัง ใ ้ ีร ะเรือพระท่ีนั่งนั้น ัก ท่าน ่าผู้น้ันถึงมรณะโท ใ ้ตัด
ีร ะเ ีย แลพระเจ้าอยู่ ั จงทรงพระกรุณาโปรดใ ้ตัด ีร ะข้าพระพุทธเจ้า
เ ียตามโบราณราชกา� นดน้ันเถดิ ...”
(พระราชพง า ดารกรุง รีอยุธยา ฉบับ มอบรดั เล, 2549: 381)
พระเจา้ เ อื พยายามขอรอ้ ง ลายครง้ั และยนื่ ขอเ นอแน ทางออกของเ ตกุ ารณน์ ี้ ดงั กรณเี รอื่ ง
การปั้นดินแทนตั พันท้ายแล้ ใ ้จ�าลองการตัด ีร ะแทนตั จริง ดังข้อค ามท่ีระบุ ่า “...จึ่งมีพระราช
ดา� รั ่งั ใ ฝ้ พี ายท้ังป ง ปน้ั มลู ดนิ เปน็ รูปพนั ทา้ ยนร งิ ข์ ึ้นแล้ กใ็ ต้ ัด ีร ะรปู ดนิ นน้ั เ ยี แล้ ด�ารั ่า
ไอพ้ นั ทา้ ยซง่ึ โท เอง็ ถงึ ตายนนั้ กปู ระ ารชี ติ เอง็ เ ยี พอเปน็ เ ตแุ ทนตั เอง็ แล้ เอง็ อยา่ ตายเลย จงกลบั
มาลงเรอื ไปด้ ยกบั กูเถิด...” (พระราชพง า ดารกรุง รีอยธุ ยา ฉบับ มอบรดั เล, 2549: 382)
เม่ือ ิเคราะ ์เนื้อ าพบ ่า ภาพลัก ณ์ของพันท้ายนร ิง ์ที่ปรากฏในพระราชพง า ดารนั้น
แ ดงถงึ ค ามจงรกั ภกั ดี จนยอมตายเพอื่ พระเกยี รตขิ องพระม าก ตั รยิ ์ ทไ่ี ม่ตอ้ งการใ ผ้ ดิ ขนบธรรมเนยี ม
นอกจากการอธิบายเร่ืองรา ีรกรรมของพันท้ายนร ิง ์ในพระราชพง า ดารแล้ ยังพบ ่ามีการผลิต
งานประเภท โคลงประกอบภาพ ท่ีเรียก ่า “โคลงภาพพระราชพง า ดาร” พระบาท มเด็จ
พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่ ั โปรดเกลา้ ฯ ใ ป้ ระพันธข์ น้ึ เพ่ือเป็นการถา่ ยทอดภาพเรอื่ งรา ประ ัติ า ตร์
ผา่ นบทประพนั ธป์ ระเภทโคลง ี่ ภุ าพ จา� น น 276 บท มีภาพประกอบพระราชพง า ดาร 92 ภาพ
เรื่องโคลงภาพพระราชพง า ดารน้ี มเด็จพระเจ้าบรม ง เ์ ธอกรมพระยาด�ารงราชานภุ าพได้
ทรงพระนพิ นธต์ า� นานอธบิ ายไ เ้ มอ่ื พมิ พค์ รงั้ แรกในพ. . 2465 า่ นงั อื โคลงภาพพระราชพง า ดารนี้
เกิดขึ้นจากพระราชด�าริของพระบาท มเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ ั โดยทรงคัดเลือกเร่ืองรา ใน
พระราชพง า ดาร เพอื่ ใ ค้ นไทยไดร้ จู้ กั และเรยี นรเู้ รอื่ งรา รี กรรมของพระม าก ตั รยิ ์ ขนุ นางขา้ ราชการ
ไทย โดยมีจุดมุ่ง มายใ ้เกิดค ามภาคภูมิใจในเกียรติคุณและ ีรกรรมที่มีค่าแก่การยกย่องของบรรพชน
ไทย พระองคโ์ ปรดใ ช้ า่ งเขียนที่มีฝีมือเขียนรูปภาพและใ ้มโี คลงบอกเรือ่ งรา ภาพขนาดใ ญใ่ ้มีโคลง
ประกอบภาพละ กบท ภาพขนาดกลางและขนาดเลก็ มโี คลงประกอบภาพละ บี่ ท พระองคท์ รงพระราช
นพิ นธ์ด้ ยพระองคเ์ องบา้ ง โปรดใ ้พระบรม ง านุ ง แ์ ละขา้ ราชการแตง่ ถ ายบ้าง เมอื่ แล้ เ รจ็ โปรด
ใ ้ประดับในงานพระเมรุมา มเด็จฯ เจ้าฟ้าพา ุรัดมณีมัย มเด็จฯ เจ้าฟ้าตรีเพ็ชรุตมธ�ารง มเด็จฯ
เจา้ ฟา้ ริ ริ าชกกธุ ภณั ฑ์ และพระอคั รชายาเธอพระองคเ์ จา้ เ า ภาคยน์ ารรี ตั น์ ทท่ี อ้ ง นาม ล ง เมอื่ พ. . 2430
ทั้งยังได้พิมพ์บทโคลงเป็นเล่มพระราชทานเป็นของแจกในงานพระเมรุครา นั้นด้ ย เมื่อเ ร็จงานแล้
โปรดเกลา้ ฯ ใ แ้ บง่ รปู และเรอ่ื งโคลงภาพพระราชพง า ดารชดุ นไ้ี ปประดบั ไ ้ ณ ถานที่ า� คญั ลายแ ง่
เช่น พระท่ีนั่งอัมพร ินิจฉัย พระท่ีน่ัง โรกา พิมาน ณ พระราช ังบางประอิน เป็นต้น (กรม ิลปากร,
2513: ค�าน�า)
408
เรอ่ื งรา ของพนั ทา้ ยนร งิ ์ อยใู่ นรปู ท่ี 56 มชี อื่ า่ แผน่ ดนิ มเดจ็ พระเจา้ เ อื ภาพพนั ทา้ ยนร งิ ์
ถ ายชี ติ โดยโคลงประกอบภาพนน้ั ผทู้ รงพระราชนพิ นธค์ อื พระเจา้ บรม ง เ์ ธอกรมพระนราธปิ ประพนั ธพ์ ง ์
เมื่อ พ. . 2432
๏ รรเพช็ ญท์ แี่ ปดเจ้า อยุธยา
เ ดจ็ ประพา ทรงปลา ปากน้�า
ล่องเรือเอกไชยมา ถงึ โคก ขามพอ่
คลองคดโขนเรอื คา้� ขดั ไม้ กั ลาย ฯ๛
๏พันทายตกประ มา่ ิน้ ติคดิ
โดดจากเรอื ทูลอทุ ิ โท ร้อง
พันท้ายนร ิง ์ผดิ บทฆา่ เ ยี เทอญ
ั กับโขนเรอื ต้อง ค่เู ้นท�า าล ฯ๛
๏ภูบาลบ�าเ น็จใ ้ โท ถนอม ใจนอ
พนั ไมย่ อมอยู่ยอม มอดม้ ย
พระโปรดเปลยี่ นโท ปลอม ฟนั รปู แทนพ่อ
พันกราบทูลทัดด้ ย ทา่ นทงิ้ ประเพณี ฯ๛
๏ภูมีปลอบกลบั ต้งั ขอบรร ลัยพ่อ
จา� ั่งเพชฌฆาตฟัน ฟาดเกล้า
โขนเรือกบั ั พนั เ ้นที่ าลแล
าล ืบกฤติคณุ เคา้ คตไิ ้ใน ยาม ฯ ๛
พระเจ้านอ้ งยาเธอ พระองค์เจ้า ร รรณากร
(กรมพระนราธิปประพนั ธพ์ ง )์
(กรม ิลปากร, 2513: 64)
จากเน้ือ าค�าประพันธ์ในโคลงภาพพระราชพง า ดาร ท่ีกล่า ถึงเร่ืองรา ของพันท้ายนร ิง ์
พอ้ งกบั เรอ่ื งรา ทถี่ กู นา� เ นอในพระราชพง า ดาร ะทอ้ นใ เ้ น็ ถงึ รี กรรมของบคุ คลในประ ตั ิ า ตร์
และกลายเปน็ ตั อยา่ งตน้ แบบทดี่ ใี นเรอ่ื งค ามรบั ผดิ ชอบตอ่ นา้ ทแ่ี ละการเ ยี ละชี ติ ตน (ผลประโยชน์
่ นตน) เพ่ือธ�ารงรัก าค าม ักด์ิ ิทธิ์ของกฎ มาย อีกท้ังยังแ ดงใ ้เ ็นถึงค ามจงรักภักดีท่ีต้องการ
ปกปอ้ งพระม าก ัตรยิ ์จากค�าคร าตเิ ตียนดู มิน่ ใน มยั ลังเรื่องรา ของพนั ท้ายนร ิง ์ถูกบรรจุไ ้ใน
แบบเรียน นงั อื เรยี น ราย ิชาพ้นื ฐานภา าไทย รรณคดี และ รรณกรรม กลุม่ าระการเรียนรูภ้ า า
ไทย ระดบั ชนั้ มธั ยม กึ าปที ี่ 2 เพอ่ื ใ ผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรบู้ ทรอ้ ยกรองประเภทโคลง ซง่ึ นอกจากจะใ ผ้ เู้ รยี น
ได้เข้าใจเร่ืองฉันทลัก ณ์ ค�าประพันธ์ในการเลือก รรค�าที่ไพเราะ มีคุณค่าด้าน รรณ ิลป์ ก่อใ ้เกิด
จนิ ตนาการ อารมณค์ ามรู้ กึ แล้ ยงั ไดเ้ รยี นรเู้ กยี่ กบั ขอ้ คดิ ทไี่ ดจ้ ากโคลงภาพพระราชพง า ดารอกี ด้ ย
โดยในแบบเรยี นไดค้ ดั เลอื กตั อยา่ งจาก นงั อื โคลงภาพพระราชพง า ดาร จา� น น 2 เรอ่ื ง ไดแ้ ก่ โคลง
ประกอบภาพที่ 10 แผ่นดนิ มเด็จพระม าจกั รพรรดิ ภาพพระ รุ ิโยทยั ขาดคอชา้ ง และ โคลงประกอบ
ภาพที่ 56 แผน่ ดนิ พระเจา้ เ อื ภาพพนั ทา้ ยนร งิ ถ์ ายชี ติ เรอ่ื งรา ของพนั ทา้ ยนร งิ ์ ผมู้ คี ามซอ่ื ตั ย์
รบั ผดิ ชอบตอ่ น้าที่ เ ยี ละประโยชน์ ่ นตั เพือ่ รกั าเกียรตภิ มู ิแด่องคพ์ ระม าก ตั ริย์น้ัน ( �านกั งาน
409
นงั อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เน่อื งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
คณะกรรมการการ กึ าขน้ั พน้ื ฐาน, 2554) เ น็ ได้ า่ เนอื้ ค ามทป่ี รากฏในพระราชพง า ดารและไดก้ ลาย
เป็นพื้นท่ีค ามทรงจ�า ลักท่ีถูกเลือกบรรจุในรูปแบบงานประ ัติ า ตร์นิพนธ์ โคลงพระราชพง า ดาร
รอื แบบเรยี นล้ นมคี าม มั พนั ธก์ บั ชนชน้ั นา� ซงึ่ ทา� นา้ ทเี่ ปน็ ผปู้ ระม ล เลอื ก รรเ ตกุ ารณเ์ ลา่ นน้ั มา
ผลติ และ ง่ ต่อใน งั คมไทยอย่างต่อเน่ือง
“พันท้ำยนร งิ ์” เร่ืองรำ ค ำมทรงจ�ำ ภำพตั แทน ีรบุรุ ในทอ้ งถนิ่ มุทร ำคร
ปัจจุบันเร่ืองเล่าของพันท้ายนร ิง ์ในฐานะตั แทน ีรบุรุ แ ่งค ามซื่อ ัตย์ซ่ึงธ�ารงไ ้ซ่ึง
ค ามกตญั ญตู อ่ ถาบนั พระม าก ตั รยิ ์ ยดึ ในธรรมเนยี มปฏบิ ตั ติ าม ลกั กฎ มาย ยงั ปรากฏในรปู ลกั ณ์
ทถ่ี กู รา้ งขน้ึ ตา่ งยคุ มยั ทง้ั มด ะทอ้ นใ เ้ น็ ถงึ การทา� ใ เ้ รอ่ื งรา ของพนั ทา้ ยนร งิ อ์ ยใู่ นค ามทรงจา�
ของผู้คนแม้กระท่ังยุคปัจจุบัน เม่ือกรม ิลปากรได้ �าร จร บร มข้อมูลแ ล่งโบราณ ถานและแ ล่ง
โบราณคดีในช่ งก่อนท รร 2500 ก็ได้ขึ้นทะเบียนโบราณ ถานท่ีเป็นแ ล่งประ ัติ า ตร์อันมี
ค ามเกีย่ เนื่องกับพระราชพง า ดารกรุง รอี ยธุ ยา เร่ืองพนั ท้ายนร งิ ์ 2 แ ล่ง ได้แก่ 1) าลพนั ท้าย
นร งิ ์ ( าลเดมิ ) มู่ 3 บ้านพันท้ายนร งิ ์ ต�าบลพนั ทา้ ยนร งิ ์ อ�าเภอเมือง จัง ัด มทุ ร าคร ตั้งอยู่
ในเขตพน้ื ทป่ี า่ ชายเลน ทางดา้ นทิ ตะ นั ออกเฉยี งใตต้ ดิ กบั ลา� คลอง กรณ์ ทางดา้ นทิ ใตต้ ดิ กบั ลา� คลอง
โคกขาม ประกา ขนึ้ ทะเบยี นเปน็ โบราณ ถานของชาติ ในราชกจิ จานเุ บก า เมอ่ื นั ท่ี 27 กนั ยายน 2479
และ 2) าลพันท้ายนร ิง ์ ( าลจ�าลองปากคลองโคกขาม) ตั้งอยู่ท่ีปากคลองโคกขาม ต�าบลโคกขาม
อ�าเภอเมือง จัง ัด มุทร าคร ประกา ข้ึนทะเบียนเป็นโบราณ ถานของชาติ ในราชกิจจานุเบก า
เม่อื ันที่ 4 มกราคม 2498 (กลมุ่ โบราณคดี า� นกั ลิ ปากรท่ี 1 ราชบรุ ี, 2553: 32)
ในบรบิ ททอ้ งถน่ิ มทุ ร าคร ค ามทรงจา� ทเ่ี กย่ี ขอ้ งกบั พนั ทา้ ยนร งิ ์ ไมไ่ ดเ้ ปน็ ค ามทรงจา� ท่ี
มที ่ีมาจากพระราชพง า ดารเพียงอยา่ งเดยี ากแตเ่ กิดจากเรือ่ งเลา่ ตา� นาน ค ามเชอ่ื งิ่ ปาฏิ ารยิ ์ท่ี
เกดิ ขนึ้ ภายในทอ้ งถน่ิ ซงึ่ เกดิ จากการผลติ ซา้� ในรปู แบบตา่ ง ๆ ทงั้ จากคนภายในทอ้ งถนิ่ น่ ยงานราชการ
ในระดบั ทอ้ งถน่ิ และระดบั จงั ดั ร มทงั้ ผมู้ คี าม รทั ธาตอ่ พนั ทา้ ยนร งิ ใ์ นมติ ติ า่ ง ๆ ประกอบกบั ี นั
จากบทละครอิงประ ัติ า ตร์ จนก่อใ ้เกิดค ามทรงจ�าต่อพันท้ายนร ิง ์แตกต่างกันออกไปในแต่ละ
ช่ งเ ลา โดยผู้ ึก าแบ่งช่ งเ ลาออกเป็น 3 ช่ ง เพ่อื ใ ้เ ็นถึง าเ ตุปจั จัยที่ ่งผลต่อการน�าเ นอและ
ถา่ ยทอดเรือ่ งรา ค ามทรงจา� ทแี่ ตกต่างกนั ได้แก่
ช่ งแรก: กอ่ นบทละครองิ ประ ตั ิ า ตร์ (ก่อน พ. . 2488)
ช่ งที่ อง: ยุคการผลิตและตอกย�้าค ามทรงจา� ในทอ้ งถ่ิน (พ. . 2490-2540)
ช่ งท่ี าม: ยคุ องคพ์ อ่ พนั ทา้ ยนร งิ ์ เทพเจา้ แ ง่ โชคลาภในนครแ ง่ ค ามซอื่ ตั ย์ (พ. . 2540-
ปัจจุบนั )
ช่ งแรก : กอ่ นบทละครองิ ประ ัติ ำ ตร์ (กอ่ น พ. . 2488)
จากขอ้ ค ามในพระราชพง า ดารทก่ี ลา่ ถงึ รายละเอยี ดของเ ตกุ ารณเ์ มอ่ื ครา ท่ี มเดจ็ พระเจา้ เ อื
เ ด็จประพา ทรงเบ็ดผ่านมายังบริเ ณคลองโคกขามท่ีมีค ามคดเค้ีย จนเป็นเ ตุใ ้เกิดเ ตุ ุด ิ ัย
ีร ะเรือพระที่นั่งกระทบกับกิ่งไม้ใ ญ่จน ักตกลงในน�้า พันท้ายนร ิง ์จึงขอร้องใ ้ลงโท ด้ ยการตัด
รี ะ แตพ่ ระเจ้าเ ือไม่ตอ้ งการลงโท จงึ ได้ งิ อนเปน็ ลายครง้ั ดงั ค ามทร่ี ะบุ ่า
410
“... มเด็จพระเจ้าแผ่นดินตรั ได้ทรงฟังดังนั้นก็ด�ารั ิง นไปเป็น
ลายคร้ัง พันท้ายนร ิง ์ก็มิย ม ยู่ มเด็จพระเจ้า ยู่ ั ทรงพระม าการุญ
ภาพแก่พันท้ายนร ิง ์เป็น ันมาก จนกลั้นน�้าพระเนตรนั้นไ ้ไม่ได้ จ�าเป็นท�า
ตามพระราชก�า นด จึงด�ารั ั่งนายเพชฌฆาตใ ้ประ ารชี ิตพันท้ายนร ิง ์
เ ีย แล้ ใ ้ท�า าลขึ้น ูงประมาณเพียงตา แลใ ้เอา ีร ะพันท้ายนร ิง ์กับ
ีร ะเรือพระที่นั่งซ่ึง ักน้ันขึ้นพลีกรรมไ ้ด้ ยกันบน าลน้ัน แล้ ใ ้ออกเรือ
พระทน่ี ัง่ ไปประพา ทรงเบด็ ณ ปากนา�้ เมื ง าครบรุ ี แล้ เ ดจ็ กลับมายงั พระ
ม านคร แล้ าลเทพารกั ท์ ตี่ า� บลโคกขามนน้ั กม็ ปี รากฏมาตราบเทา่ ทกุ นั นี้
จงึ พระบาทบรมบพติ รพระพทุ ธเจา้ ยู่ ั กท็ รงพระราชดา� ริ า่ ณ คล ง
โคกขามน้ันคดเค้ีย นัก คนท้ังป งจะเดินเรื เข้า กก็ยาก ต้ ง ้ ม งไปไกล
กนั ดารนกั ค รเราจะใ ข้ ดุ ลดั ตดั เ ยี ใ ต้ รงจงึ จะช บ นงึ่ พนั ทา้ ยนร งิ ซ์ งึ่ ตาย
เ ียน้ัน เป็นคนซื่ ัตยม์ ั่นคงนกั ้เู ยี ละชี ติ มไิ ด้ าลัย กลั า่ เราจะเ ยี พระ
ราชประเพณไี ป เรามีค ามเ ียดายนกั ด้ ยเปน็ ขา้ ล งเดมิ มาแต่ก่ น นั จะ า
ผู้ซึ่งรักใคร่ซื่ ตรงต่ เจ้าเ มื นพันท้ายนร ิง ์น้ียากนัก แล้ ด�ารั ใ ้เ ากเ
รพันทา้ ยนร ิง น์ ้นั มาแตง่ การฌาปนกจิ พระราชทานเพลิง แลบตุ รภรรยานัน้
พระราชทานเงนิ ทอง ง่ิ ของเปน็ อนั มาก แล้ มพี ระราชโ งการตดั งั่ มุ นายก
ใ ก้ ะเกณฑเ์ ลข ั เมื งใ ไ้ ด้ าม มนื่ ไปขดุ คล งโคกขาม แลใ ข้ ดุ ลดั ตดั ใ ต้ รง
ตล ดไป โดยลกึ ก ก ปากคล ง ก ้างแปด า พ้ืนคล งก า้ ง ้า า แลใ ้พระ
ราช งครามเปน็ แมก่ ง คมุ พล ั เมื งทง้ั ป ง ขดุ คล งจนแล้ า� เรจ็ ดจุ พระราช
ก�า นด....”
(พระราชพง า ดารกรงุ รอี ยุธยา ฉบบั มอบรดั เล, 2549: 382-383)
ข้อค ามในพระราชพง า ดารระบุ ่ามีการตัด ีร ะพันท้ายนร ิง ์และ ร้าง าลเพียงตาไ ้ที่
บริเ ณตา� บลโคกขามโดยไม่ได้ระบตุ �าแ น่งท่ีชดั เจน
จากคา� ัมภา ณ์คุณตาชาญ อายุ 81 ปี (เกิด พ. . 2481) ชา บา้ นโคกขาม เลา่ ใ ฟ้ งั เก่ยี กบั
ภาพพน้ื ทบ่ี รเิ ณ มบู่ า้ น า่ เมอ่ื กอ่ นไมค่ อ่ ยมบี า้ นคน คนนอ้ ยขนาดพระที่ ดั โคกขามยงั ตอ้ ง งุ ขา้ ฉนั เอง
บิณฑบาตไม่พอ และได้เลา่ เก่ยี กบั การ ร้าง าลพนั ทา้ ยนร ิง ์ ( าลจ�าลองปากคลองโคกขาม) ่า
“ าล ลังท่ีเ ็นปัจจุบันนี้เป็น ลังท่ี ้าแล้ ลังแรก ยู่ติดริมน�้า
แตพ่ งั ลงไปแล้ เปน็ าลเพยี งตา ไมม่ รี ปู ปน้ั พ่ พนั ทา้ ย มี ั กะโ ลกจระเข้ 2 ั
และฟันปลาฉนาก 1 ช้ิน ต้ัง ยู่ใน าล ต่ มาก็ ร้าง ลังที่ งแถ ต้น ูก าง
ขยบั ขน้ึ มา า่ งจากตา� แ นง่ เดมิ เลก็ น้ ย แล้ กร็ ้ื รา้ ง าลใ มเ่ ปน็ ลงั ที่ าม มี
งคพ์ ่ พนั ท้ายทแี่ กะด้ ยไม้เนื้ ม ประดิ ฐาน ยู่ใน าล แล้ ก็ย้ายมา รา้ ง
ลังท่ี ่ีเป็น าลปูน และ าลปัจจุบันนี้เป็น ลังที่ ้าทาง บต.พันท้ายนร ิง ์ใ ้
งบก่ ร้าง เ ตุทีเ่ ราเรยี ก า่ าลพ่ พนั ทา้ ย กเ็ ป็นไปตามประ ัติเกยี่ กบั ครา
411
นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนอื่ งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ท่ีพระเจ้าเ ือเ ด็จมาปากคลองโคกขาม ชา บ้านมีค ามเชื่อ ่าเป็นองค์พ่อพัน
ทา้ ยแนน่ อน ชา บา้ นนบั ถอื มากเกย่ี กบั ค ามซอื่ ตรง มคี ามเชอ่ื า่ ขอพรไดร้ อ้ ย
แปด ก็แล้ แต่จะขอ บางคนก็ขอองค์พอ่ บางคนก็บน มแี กบ้ นด้ ยละคร นงั
ผลไม้ ....”
(ชาญ ง่ แ ง, มั ภา ณ์, 8 มถิ นุ ายน 2562)
และไดเ้ ล่าเกีย่ กบั พื้นทบ่ี ริเ ณ าลในอทุ ยานประ ัติ า ตรพ์ นั ท้ายนร งิ ์ า่
“เมอ่ื ลงุ อายุ 30 ก า่ (50 ก า่ ปที แ่ี ล้ ) เคยไปเลยี้ งกงุ้ กบั เพอื่ นทข่ี า้ ง ๆ
าลพนั ทา้ ย (อทุ ยานประ ตั ิ า ตรพ์ นั ทา้ ยนร งิ )์ ตอนนน้ั ยงั ไมม่ กี าร รา้ ง าล
พันท้ายนร ิง ์ที่เ ็นอยู่ในปัจจุบัน มีแต่ าลเจ้าแม่ ั นาเกลือ ท่ีเรียก ่า ั นา
เกลอื เพราะบรเิ ณนน้ั เดนิ ทางไกลยากลา� บาก ไมม่ นี า�้ อาบ พอจะกลับออกมาที
ขเ้ี กลอื จับ ูจบั ั เลยเรียก า่ าลเจา้ แม่ ั นาเกลือบ้าง บางคนก็เรยี ก าลเจ้า
แม่ รีน ล เรียก องอยา่ ง คลองโคกขามบริเ ณนั้นแคบ มีขนาดไมก่ ี่ า คดเคีย้
เดินทางล�าบาก เป็นปา่ ชายเลน นา มตี ้นแ มแคระเล็ก ๆ ออกทางปากแมน่ า�้
ได้..เป็นคลอง ายเก่าท่แี คบ คลองโคกขามตรงน้นั คดเค้ีย มาก...”
(ชาญ ่งแ ง, มั ภา ณ,์ 8 มิถนุ ายน 2562)
่ นด้านค ามเช่ือท่ีเก่ีย ข้องกับ าลเจ้าแม่ ั นาเกลือ ชา บ้านละแ กนั้นเช่ือใน ่ิง ักด์ิ ิทธิ์
คมุ้ ครองผคู้ นท่ี ญั จรเดนิ ทางไปมาในคลองโคกขาม ร มทงั้ การขอโชคในเรอ่ื งการจบั ปลา “เมอ่ื เรอื ผมผา่ น
าลเจา้ แม่ ั นาเกลอื ก็ยกมอื ไ ้ขอท่าน า่ ขอใ ไ้ ด้ปลาลา� น่งึ พอขากลับออกมา ผมกบั เพือ่ นท่ีไปด้ ย
กันทุกล�าเรือ ได้ปลาดุกกลับมา คนละรอ้ ยก า่ ตั ” (ชาญ ง่ แ ง, มั ภา ณ์, 8 มิถนุ ายน 2562)
ในบันทึกเร่ือง ไปดู าลเจ้าและท่ีประ ารชี ิตพันท้ายนร ิง ์ ของ ล ง ิ าลดรุณกร
(อนั้ ารกิ บตุ ร) (อา้ งใน รตั นา เพญ็ ประยรู และกลุ ธดิ า เชงิ ฉลาด, 2552) ไดเ้ ดนิ ทางไปทปี่ ากคลองโคกขาม
เมอ่ื พ. . 2458 พบพระอธกิ ารนม่ิ เจา้ อา า ดั โคกขาม เลา่ ใ ฟ้ งั เกย่ี กบั รา้ ง าลเทพารกั ์ ทพี่ ระเจา้ เ อื
โปรดฯ ใ ้ รา้ งข้ึนเพ่ือรา� ลึกถงึ และใ เ้ กบ็ โขนเรอื พระท่นี ัง่ ทช่ี นกิ่งไม้ ักตกนา้� ไปนน้ั ไ ท้ ี่ าลน้ัน เรียก ่า
าลเจ้าพันท้ายนร ิง ์ าลน้ันอยู่ ่างจาก ัดโคกขามไปทางปลายคลองท่ีจะออกปากอ่า มุทร าคร
ทีต่ ั้ง าลน้ตี ้องไปทางเรือ า่ งจาก ัดนี้ไปต้องใชเ้ ลา 6 ชั่ โมงเ ก ่าจะถงึ ล ง ิ าลดรณุ กรพร้อมด้ ย
คนพายเรือ 4 คน และผูใ้ ญ่บา้ นชอื่ าย พายเรือไปได้ 2 ช่ั โมง ก็เปลีย่ นแผนเดนิ ทางบก เนื่องจาก ่า
คลองคดอ้อมมาก การใช้เรือจึงช้าใช้เ ลานาน เม่ือเดินลัดเลาะที่ลุ่มเ ็นต้นไม้ใ ญ่ องต้น อยู่คนละ
ฟากคลองล้มพาดกันอยู่จึงไต่ต้นไม้นั้นข้ามคลองไปได้ แล้ เดินท นข้ึนมาทางเ นือ น่อยก็ถึง าลเจ้า
ในบนั ทกึ ได้อธบิ าย ภาพของ าลเจ้า า่
412
“... าลเจา้ นดี้ ทู า่ ทางไมเ่ ปน็ าลเจา้ ธรรมดา เพราะเอาตน้ แ มปกั 4 ตน้
เป็น าลเจ้าและ ลังคามุงด้ ยจาก ระ ่างเ าทั้ง 4 ต้นนี้ มีไม้ข างผูกถึงกัน
และไม้ทอ่ น นึง่ พาดอยู่ยา ประมาณ 2 อกคืบ ผู้ใ ญ่บ้าน ายบอก า่ นเ่ี ป็น
ั เรอื พระทีน่ งั่ ที่ ัก ไม้ ั เรอื นเี้ ปน็ รอยฉกี จากทอ่ นใ ญ่จริง ัดดยู า 2 อก
6 นิ้ ก ้าง 10 นิ้ เน้ือละเอียดมากคลา้ ยไมต้ ะเคียน แตผ่ เุ ต็มทแี ล้ เอาเลบ็ ขดู
ดกู เ็ กอื บจะเปน็ ขยุ และผใู้ ญบ่ า้ นบอกตอ่ ไป า่ าลเดมิ ไดผ้ พุ งั ไป มดแล้ จงึ ได้
ช่ ยกนั ท�า าลรัก า ั เรือนี้ไ ้ ขา้ พเจา้ ดูตลอดแล้ จึงใ ้คนทม่ี าด้ ยกันไปคุ้ย
าเ า พบเ าต้น นึ่งอยู่ในดิน เ าใ ญ่ขนาด 1 ก�ากึ่ง แต่ผุจ นจะเป็นดินไป
มดแล้ เ านเ้ี ป็นเ า าลเจ้า รือไม่ก็เ ลือจะ ันนิ ฐาน...”
(อา้ งใน รตั นา เพ็ญประยูร และกุลธดิ า เชงิ ฉลาด, 2552: 18-20)
จากคา� มั ภา ณแ์ ละบนั ทกึ การเดนิ ทางทเี่ กย่ี ขอ้ งกบั ค ามทรงจา� ในเรอ่ื งพนั ทา้ ยนร งิ ์
และ าลพนั ท้ายนร งิ ใ์ นช่ งเ ลาก่อน พ. . 2488 ท่จี ะมบี ทนิพนธ์เร่ือง พนั ท้ายนร งิ ์ พบ า่ มี
ค ามทรงจ�ากบั พนื้ ท่ีนั้นมคี ามเกีย่ ข้องอยู่ องแ ่ง คือ าลบรเิ ณปากคลองโคกขาม และ าลท่ี
อยู่ลึกเข้าไปตรงปลายคลองโคกขาม ่ นชื่อเรียกท่ีปรากฏในช่ งเ ลานี้ มีชื่อเรียก ่า าลเจ้า
พันท้ายนร ิง ์ าลเจ้าแม่ ั นาเกลือ ซ่ึงเป็นท่ีเคารพของคนในท้องถิ่น ด้านค ามเชื่อเกี่ย กับ
าลพบ ่าชา บ้านในละแ กน้ีมี ิถีชี ิต ัมพันธ์กับทรัพยากรธรรมชาติ ใช้ล�าคลอง ัญจรไปมา
ระ ่างบ้านเป็นเ ้นทาง ลัก การท�ามา ากินพึ่งพาอา ัยค ามอุดม มบูรณ์ของธรรมชาติเป็น
า� คญั เชน่ การยดึ อาชพี ตดั ไมโ้ กงกางทา� ฟนื ตดั ใบจาก จบั ปลาในแมน่ า้� ลา� คลอง ดงั นนั้ จงึ เปน็ เรอ่ื ง
จ�าเปน็ ในชี ิตของคนแถบน้ที ี่ใ ้ค าม า� คญั และการเคารพท่ีมีค าม มั พันธก์ ับระบบคดิ ค ามเช่ือ
ของ งิ่ กั ดิ์ ทิ ธ์ติ ่าง ๆ ดังเช่น เทพเจา้ เท ดา เจา้ พ่อ ผี ญิ ญาณ และอา� นาจเ นอื ธรรมชาติ
ช่วงที่สอง : ยคุ กำรผลติ และตอกย้�ำควำมทรงจำ� ในทอ้ งถนิ่ (พ.ศ. 2490-2540)
ในช่ งเ ลานเี้ ปน็ ช่ งการผลติ และตอกยา�้ ค ามทรงจา� เรอ่ื งรา ของทอ้ งถน่ิ มทุ ร าคร โดยเฉพาะ
เมอ่ื เกดิ แน คดิ รฐั ชาติ มยั ใ ม่ ค ามเปน็ พลเมอื งในรฐั จา� เปน็ ตอ้ ง รา้ งขนึ้ โดยการ รา้ งอดตี มา กู่ าร รา้ ง
ประ ัติ า ตร์ รือบุคคล �าคัญในประ ัติ า ตร์ เพ่ือผน กเป็น ่ น นึ่งของประ ัติ า ตร์ท้องถ่ินใน
บรบิ ทประ ตั ิ า ตรช์ าติ กลา่ คอื ภาพลกั ณข์ องพนั ทา้ ยนร งิ ไ์ ดถ้ กู ผลติ ซา�้ ดา� เนนิ เรอื่ ยมา ลาก ลาย
รปู แบบ ทง้ั งานประ ัติ า ตร์ เรอ่ื งเล่าตา� นาน โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงใน พ. . 2488 คณะ ิ ารมณ์ แ ดง
ละครเ ที แน ค ามรกั ะเทือนใจองิ ประ ตั ิ า ตร์ เรือ่ ง “พนั ท้ายนร ิง ”์ ที่ าลาเฉลมิ กรุง ซง่ึ เป็นผล
งานนพิ นธข์ อง พระเจา้ ร ง เ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ภานพุ นั ธย์ุ คุ ล โดยเนอื้ าของบทประพนั ธด์ า� เนนิ เรอื่ งอยา่ ง
เขม้ ขน้ ในบทบาทของพนั ทา้ ยนร งิ แ์ ละพระเจา้ เ อื พระเจา้ อยู่ ั ผทู้ รงอยใู่ นท พธิ ราชธรรมแตถ่ กู ขนุ นาง
ใ ร้ า้ ยจนชา บา้ นเกลยี ดและกลั อกี ทงั้ ยงั เพม่ิ บทละครใ พ้ นั ทา้ ยนร งิ ต์ งั้ ใจคดั ทา้ ยใ ้ ั เรอื พระทนี่ ง่ั
ชนตน้ ไม้ เพราะมคี นลอบทา� รา้ ยพระเจา้ เ อื อกี ทง้ั ยงั เพม่ิ ตั ละครภรรยาพนั ทา้ ยนร งิ ์ โดย มมตใิ ช้ อื่ า่
น ล ดงั นนั้ ช่ือน ลจงึ เปน็ เพยี งนาม มมตใิ นบทละครไม่ได้มตี ั ตนอยจู่ ริง (กรม ลิ ปากร, 2557: 252)
413
นงั ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เน่ืองในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
จนกระทง่ั ในปี พ. . 2491 บริ ทั อั นิ ภาพยนตร์ โดยพระเจา้ ร ง เ์ ธอ พระองค์เจา้ ภานพุ นั ธ์ุ
ยคุ ล ประกา ร้าง พันท้ายนร ิง ์ ฉบับภาพยนตร์ ถา่ ยทา� ในระบบฟิล์ม 16 ม.ม. และเปดิ ฉายคร้งั แรก
เมื่อ 1 เม ายน พ. . 2493 ทโ่ี รงภาพยนตร์ าลาเฉลิมกรุง และนา� มาฉายใ ม่อีก 3 คร้งั ในปี พ. . 2501
พ. . 2509 และพ. . 2517 ถกู นา� กลบั มาฉายใ ม่ในระบบขยายฟิลม์ เป็น 35 ม.ม. บันทึกเ ยี งพากย์ลง
บนฟลิ ์ม จากนั้น พ. . 2525 บริ ทั ไชโยภาพยนตร์ ได้นา� เรอื่ งรา ของพันท้ายนร งิ ์มา ร้างใ มใ่ นช่อื
“พระเจ้าเ อื พนั ทา้ ยนร ิง ”์ ซึ่งฉบับปี พ. . 2525 บทภาพยนตร์เน้นเน้อื าเรอ่ื งรา และค ามผกู พัน
ระ า่ งพระเจา้ เ อื กบั พนั ทา้ ยนร งิ ม์ ากก า่ ฉบบั ปี พ. . 2493 ( รี ะย า� ราญ ขุ ทิ าเ ทย,์ 2552: 26)
การถ่ายท�าภาพยนตร์ช่ งปี พ. . 2491 โดยพระเจ้า ร ง ์เธอ พระองค์เจ้าภานุพันธุ์ยุคล
เข้ามาตง้ั กองถ่ายละครบรเิ ณปากคลองโคกขาม และมีการ รา้ ง าลเพียงตาจ�าลองเพ่ือใช้ในการถา่ ยท�า
ภาพยนตร์ อีกด้ ย เร่ืองรา ท่ีถูกถ่ายทอดจาก ่ือเ ล่านี้ช่ ยตอกย�้าใ ้นาย ิน รือพันท้ายนร ิง ์ และ
ภรรยาคอื แม่ รีน ล กลายเปน็ บุคคล า� คัญทางประ ัติ า ตร์ท่ปี รากฏเรอ่ื งรา ในท้องถ่ิน และใน ันท่ี
4 มกราคม พ. . 2498 กรม ลิ ปากร กา� นดระ างแน เขต าลพนั ทา้ ยนร งิ ์ ซง่ึ ปจั จบุ นั อยใู่ น ่ นของ
พ้ืนท่ีอุทยานประ ัติ า ตร์พันท้ายนร ิง ์ ด้านละ 10 เ ้น (400 เมตร) ทั้ง 4 ทิ เป็นเนื้อที่ 100 ไร่
โดย างแผนแมบ่ ทในการพฒั นาพนื้ ทใี่ เ้ ปน็ แ ลง่ ประ ตั ิ า ตร์ เพอ่ื ประโยชนใ์ นการ กึ าประ ตั ิ า ตร์
และเปน็ แ ล่งท่องเทีย่ (กล่มุ โบราณคดี า� นัก ิลปากรท่ี 1 ราชบรุ ี, 2553: 35) จงึ ท�าใ ช้ ่ งเ ลาตอ่ มา
พนื้ ที่บรเิ ณนถี้ กู พฒั นาตามแผน
ในช่ ง พ. . 2519 พระราช าครมณุ ี อดตี เจา้ คณะจงั ดั มทุ ร าคร ซง่ึ ในขณะนนั้ ดา� รงตา� แ นง่
เจา้ อา า ดั เจ ฎาราม ร่ มกบั ประชาชนทา� การ ลอ่ รปู พนั ทา้ ยนร งิ ์ งู ขนาดเทา่ ตั คน โดยไดเ้ ชญิ นาย
ประเ รฐิ ชนิ ะจิต ผู้ ่าราชการจัง ดั มทุ ร าครในขณะนน้ั เป็นประธานเททอง ล่อและมนี ักการเมือง
ท้องถิ่นของจงั ดั จาก ลาย น่ ยงานเข้าร่ ม ตลอดจนพ่อค้า ประชาชน ได้ท�าพธิ แี ่รูป ล่อพันทา้ ย
นร ิง ์ บริเ ณ น้า าลากลาง โดยผู้ ่าราชการจัง ัดพร้อมนายอ�าเภอ ท�าการปิดทองเป็นปฐมฤก ์
แล้ แ ่มาที่ ัดเจ ฎาราม พระอาราม ล งประจ�าจัง ัด มุทร าคร จากนั้นน�ารูป ล่อลงเรือมา
ประดิ ฐานท่ี าล เปน็ อาคารไมช้ น้ั เดยี (บรเิ ณอทุ ยานประ ตั ิ า ตรพ์ นั ทา้ ยนร งิ )์ โดยประชาชนและ
ภาคเอกชนร่ มกันบริจาคทรัพย์ ร้าง าลข้ึน เพ่ือประดิ ฐานรูป ล่อพันท้ายนร ิง ์ และจัดใ ้มีงาน
บ ง ร งประจา� ปีนับตงั้ แตน่ ้ันมาตลอด (รตั นา เพ็ญประยูร และกุลธิดา เชิงฉลาด, 2552: 10)
าล นั ทายนร งิ ในอทุ ยานประวั ิ า ร นั ทายนร งิ เปน็ พนื้ ทที่ ี่ น่ ยงานองคก์ รภาครฐั
และเอกชน ต้องการพัฒนาใ ้เป็นเขตประ ัติ า ตรเ์ พอื่ ประโยชนด์ า้ นการท่องเที่ย เรียนรู้เร่ืองรา ของ
ีรกรรมพันท้ายนร ิง ์ และมีการร มกลุ่มของชา บ้านและผู้น�าท้องถ่ินต�าบลพันท้ายนร ิง ์ ในนาม
“กองทุนพัฒนา าลพันท้ายนร ิง ์” ซึ่งเกิดจากการร มเงินบริจาคของผู้มีจิต รัทธาต่อองค์พ่อพันท้าย
นร งิ ์ เร่ิมจากเงนิ 5,000 50,000 100,000 ไปเรอื่ ย ๆ ซึ่งตอนน้ันบุคคลในภาคเอกชนท่ีเขา้ มามีบทบาท
เกยี่ ขอ้ ง เร่ิมตน้ จากเฮยี โก๋ รอื คณุ ปรชี า ริ ิแ งอารา� พี อดีตประธาน อการค้าจัง ดั มทุ ร าคร และ
ดร. นุ ทร ฒั นาพร เจา้ ของโรงงานนา�้ พรกิ เผาพนั ทา้ ยนร งิ ์ ร มทง้ั องคก์ ารบริ าร ่ นตา� บลพนั ทา้ ยนร งิ ์
เข้ามาเร่ิมพัฒนาพื้นท่ีและก่อ ร้าง ิ่งอ�าน ยค าม ะด กใ ้แก่ผู้มีจิต รัทธาในตั องค์พ่อพันท้ายนร ิง ์
(บญุ ชู ถาดทอง, มั ภา ณ์, 27 มิถนุ ายน 2562)
414
าลพนั ทา้ ยนร งิ ม์ กี าร รา้ งเพม่ิ เตมิ จนปจั จบุ นั มจี า� น น 4 แ ง่ ไดแ้ ก่ 1) าลปากคลองโคกขาม
2) าลใน ดั โคกขาม 3) าลในอทุ ยานประ ตั ิ า ตรพ์ นั ทา้ ยนร งิ ์ และ 4) าลใน ดั พันท้ายนร ิง ์
รมิ ถนนพระราม อง
ศาลพันท้ายนร งิ ใ์ นวัดโคกขาม ตั้งอยบู่ ริเ ณ น้าโบ ถเ์ กา่ ของ ดั โคกขาม ซึ่งชา บา้ นเลา่
่าแต่ก่อนเป็น าลไม้ ลังคาทรงไทย ภายในมีรูปปั้นพันท้ายนร ิง ์ยืนถือไม้พาย แต่งกายด้ ยชุดท าร
โบราณ ในช่ งเดือนมีนาคม –เม ายน มีงานประจ�าปี “ชา บ้านละแ ก ัดโคกขามมีค ามเช่ือเร่ือง
่ิง ักด์ิ ิทธิ์เก่ีย กับองค์พ่อพันท้ายนร ิง ์ ช่ งงานประจ�าปีมีการท�า มุนไพรเพ่ือรัก าอาการเจ็บป่ ย
ค ามเช่อื ลกั ๆ ของชา บา้ น จะมี องเรอ่ื ง คอื ขอเร่อื งการ อบบรรจุเข้ารับราชการและขอใ ้ ายจาก
โรคภยั ไขเ้ จบ็ ไมไ่ ดม้ เี รอื่ งค ามซอื่ ตั ยอ์ ะไรเลย ค ามซอ่ื ตั ยเ์ พงิ่ จะมาเกดิ ในช่ ง ลงั ” (ณฏั ชญาฎา ทองก,่ี
มั ภา ณ์, 3 มิถุนายน 2562)
ศาลในวัดพันท้ายนร ิง ์ ตั้งอยู่ มู่ 5 ต�าบลพันท้ายนร ิง ์ ริมถนนพระราม อง ได้รับ
พระราชทาน ิ งุ คาม มี า เมอ่ื พ. . 2527 บรเิ ณดา้ น นา้ ดั มี าลาปนู ทรงไทยจตรุ มขุ ดา้ น นา้ เขยี น า่
ิ ารทา่ นพอ่ พนั ท้ายนร ิง ์ ภายในมีรูปปั้นพนั ท้ายนร ิง ์ ลอ่ ด้ ยโล ะและแม่ รีน ล ยืนคูก่ นั
ช่ งเ ลาน้ีชา บ้านในทอ้ งถ่นิ และภายนอกได้รบั รู้เรื่องรา ของ ีรบุรุ ชาติไทย จากการผลิตซ้�า
ในรูปแบบ ื่อต่าง ๆ ย่ิงท�าใ ้พันท้ายนร ิง ์เป็นที่รู้จักอย่างก ้างข าง ในฐานะบุคคลที่ถูกยกย่องเชิดชู
อีกทั้งเ ลาต่อมา าลท้ัง ี่แ ่ง โดยเฉพาะ าลพันท้ายนร ิง ์ที่อุทยานประ ัติ า ตร์ กลายเป็น ถานที่
ดงึ ดดู ผคู้ นใ เ้ ขา้ มาขอพนั ทา้ ยนร งิ แ์ ละ งิ่ กั ดิ์ ทิ ธอิ์ น่ื ๆ ใ ช้ ่ ย ง่ เ รมิ ค ามรา�่ ร ย อา� นาจบารมี โชค
ลาภ การ ะเดาะเคราะ ์ โดยมชี อ่ื เรียก าลต่าง ๆ เช่น าลเจา้ พอ่ พนั ทา้ ยนร ิง ์ รอื เจ้าพอ่ โคกขาม
รอื าลเจ้าแม่ รนี ล พนั ทา้ ยนร ิง ์กลายเปน็ เทพเจ้าแ ่งค ามซื่อ ัตย์ และเปน็ เจ้าพ่อแ ่งโชคลาภใน
เ ลาเดยี กนั ดงั ปรากฏในคาถาบชู าพอ่ พนั ทา้ ยนร งิ ์ ทมี่ คี า� า่ ม าลาโภ ปรากฏอยู่ เ น็ ได้ า่ พนั ทา้ ยนร งิ ์
ทเี่ ปน็ บคุ คลตน้ แบบดา้ นค ามซอื่ ตั ย์ จงรกั ภกั ดี ถกู นา� มาใชใ้ นบรบิ ททาง งั คมแบบใ มท่ ต่ี อ้ งการมฐี านะ
ทางเ ร ฐกิจทม่ี ั่นคง ท่ามกลาง ภา ะค ามไม่มเี ถียรภาพทางเ ร ฐกิจ
ช่วงท่ี ำม : ยุคองค์พ่อพันท้ำยนร ิง ์ เทพเจ้ำแ ่งโชคลำภในนครแ ่งควำมซ่ือ ัตย์
(พ.ศ. 2540-ปจั จบุ ัน)
ภายใตบ้ รบิ ทของการพฒั นาเ ร ฐกจิ ระบบทนุ นยิ มทเ่ี ปลยี่ นจาก งั คมเก ตรกรรม ู่ งั คมเมอื ง
อุต า กรรม ค าม ัมพันธ์ทางการผลิตท่ีอา ัยค ามอุดม มบูรณ์จากธรรมชาติเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจาก
เดมิ เปน็ ค าม มั พนั ธท์ ข่ี นึ้ อยกู่ บั การใชแ้ รงงานในครั เรอื น กระทงั่ การเปน็ ลกู จา้ งในโรงงานอตุ า กรรม
ตลอดจนการอพยพเขา้ มาของแรงงานขา้ มชาติกลุ่มต่าง ๆ เชน่ พม่า มอญ ทีเ่ ขา้ มาเป็นลูกจา้ งแรงงานใน
ภาคการเก ตร อตุ า กรรม การประมง และโรงงานอตุ า กรรม นอกจากนนี้ โยบายรฐั บาลช่ งท รร
2540 เปน็ ตน้ มาตอ้ งการพฒั นาเ ร ฐกจิ ทเ่ี นน้ ดา้ นการทอ่ งเทยี่ และการขบั เคลอ่ื นเ ร ฐกจิ ภายใตก้ าร
ใช้ทุนทาง ัฒนธรรมของท้องถ่ิน ประกอบกับนโยบายของจัง ัด มุทร าครท่ีต้องการผลักดันใ ้เป็น
“นครแ ่งค ามซอ่ื ตั ย”์ ใน พ. . 2557 ยิ่งทา� ใ ค้ ามทรงจ�าทีเ่ กย่ี ข้องกับพนั ทา้ ยนร งิ ์ไดแ้ ปรเปลย่ี น
อย่างม า าลในช่ งเ ลาน้ี
415
นัง ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนอื่ งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
การปรับปรุงและพัฒนา าลพันท้ายนร ิง ์ ใน มัยผู้ ่าราชการจัง ัด นาย ิเชียร เปาอินทร์
ไดร้ ่ มมอื กบั ่ นราชการ องคก์ รเอกชน ร้านคา้ ผู้ใ ญบ่ า้ น ผู้นา� ท้องถน่ิ และชา บา้ นในท้องถ่ิน ด�าเนนิ
การพฒั นาพนื้ ที่ าลในอทุ ยานประ ตั ิ า ตรพ์ นั ทา้ ยนร งิ ์ ซง่ึ ทางกรม ลิ ปากรไดข้ นึ้ ทะเบยี นเปน็ โบราณ
ถาน บนพน้ื ท่ี 100 ไร่ ใ เ้ ปน็ ถานทพ่ี กั ผอ่ น ยอ่ นใจและแ ลง่ เรยี นรดู้ า้ นประ ตั ิ า ตร์ เรม่ิ ดา� เนนิ การ
อย่างจริงจังตั้งแต่ พ. . 2541 เป็นต้นมา โดย น่ ยงานจากภาครฐั ได้แก่ า� นกั งาน ัฒนธรรมจัง ดั
มุทร าคร ไดข้ ออนุญาต กรม ิลปากร ร้างเข่ือนริมคลองโคกขาม บรเิ ณพน้ื ที่เ า ลักประ าร เพ่อื ยก
เ า ลกั ประ ารข้นึ มา เพราะแต่เดมิ อยู่ในคลองโคกขาม ขณะเดีย กนั กองทนุ พฒั นา าลพนั ทา้ ยนร ิง ์
ดา� เนินการร บร มเงนิ บรจิ าค �า รับการกอ่ รา้ ง าล ลังใ ม่ การปรับปรงุ ภาพภูมทิ ั นโ์ ดยรอบใชง้ บ
ประมาณจากการบรจิ าคของประชาชน น่ ยงานภาครฐั และองคก์ รเอกชน ซงึ่ ในขณะนน้ั องคก์ รเอกชน
และ อการค้าจัง ดั มทุ ร าคร ไดร้ ่ มระดมทนุ ในการด�าเนนิ การตามผังแมบ่ ท และใน ่ นของจัง ัด
กไ็ ดม้ โี ครงการปรบั ปรงุ เ น้ ทางถนน จากตั เมอื งม าชยั - กรณ์ เพอื่ อา� น ยค าม ะด กในการเดนิ ทาง
ร มทง้ั โครงการขดุ ลอกคลองโคกขามใ ้ก ้างข างขึ้น
าลพนั ทา้ ยนร งิ แ์ ละ ถานทโี่ ดยรอบอทุ ยานประ ตั ิ า ตรไ์ ดร้ บั การพฒั นาและปรบั ปรงุ ภมู ทิ ั น์
เป็นแ ล่งท่องเท่ีย ที่มีผู้คนจากภายนอก ล่ังไ ลเข้ามาในพื้นท่ี โดยมีเร่ืองรา ของอดีตเชื่อมโยงอธิบาย
เ ตกุ ารณ์ โดยเฉพาะค ามเชอื่ ท่ี า่ พ้นื ทีบ่ รเิ ณนใี้ ช้เป็น ลกั ประ ารชี ิตของพนั ท้ายนร งิ ์ อาคารของ
าลท่ี รา้ งใ ม่ใน พ. . 2541 ภายในประดิ ฐานรปู ลอ่ ของพันท้ายนร ิง ์ มชดุ ท ารโบราณ บรเิ ณ
ดา้ นขา้ ง าล มีอาคารฉายภาพยนตร์ ด้าน นา้ ของอาคารมีป้ายเชิญช นชมภาพยนตร์ฟรี เรอื่ ง พระเจา้
เ อื พนั ทา้ ยนร งิ ์ ซง่ึ จะเปดิ ฉายเฉพาะรอบ ใน นั เ าร์ อาทติ ย์ และ นั ยดุ นกั ขตั ฤก ์ ดา้ น ลงั ของ าล
เป็นคลองโคกขาม และมี าลท่ี ร้างด้ ยไม้ อง ลงั มปี ้ายเขยี นช่ือ า่ าลแม่ รีน ล และตา� นกั เจ้าพอ่
พนั ทา้ ยนร งิ ์ ถัดไปมี าลเพียงตา 1 ลัง และ ลักประ ารเดิม ถัดไปเป็น าลาท่ี ร้างคลุมเรือโบราณ
ไม้ตะเคียน ผู้ที่มากราบไ ้พ่อพันท้ายนร ิง ์ จะนิยมมาขอโชคลาภและเม่ือประ บผล �าเร็จก็จะน�าไก่
ปูนปัน้ รือ ่ิงของอืน่ ๆ แล้ แตจ่ ะถ าย เช่น ไม้พาย น ม จากการ ัมภา ณค์ ุณธนากิจ เขมจอก น่ึงใน
คณะกรรมมูลนิธิ าลพันท้ายนร งิ ์ เลา่ ใ ฟ้ ังเกยี่ กับค ามเชื่อ ค าม รัทธาตอ่ พันทา้ ยนร ิง ์ า่
“ความเชื่อของคนในท้องถ่ินเก่ียวกับองค์พ่อพันท้ายนร ิง ์จะมีมิติ
ความเช่ือ ลกั องดา้ น ได้แก่ มติ ิแรก คือดา้ นการเดินทาง แคล้วคลาดปลอดภัย
อยา่ งเชน่ ตวั ผใู้ ญบ่ า้ น มู่ 3 อ้ ยเ รยี ญพอ่ พนั ทา้ ยนร งิ ์ ถกู ยงิ แตไ่ มเ่ ปน็ อะไร
มใี ้เ น็ แต่รอย มิตทิ ่ี อง คอื ความเชอื่ ดา้ นความเจริญรุง่ เรือง คา้ ขาย โชคลาภ
อย่างมีคนมาบนขอใ ้ถูกรางวัลที่ นึ่ง แล้วได้บนไก่ไว้ นึ่งคู่ ต่อมาเมื่อมีคนขอ
บนบานแลว้ ไดก้ จ็ ะแกบ้ นดว้ ยไกต่ าม ๆ กนั รอื กรณเี จา้ ของรา้ นอา ารครวั ลงุ ญา
กอ่ น นา้ นท้ี า� มาคา้ ขายไมข่ นึ้ บา้ นกไ็ ฟไ ม้ กม็ าขอพรจาก พอ่ พนั ทา้ ยใ ค้ า้ ขาย
ดี จนปจั จบุ นั นร้ี า้ นอา ารใ ญโ่ ตมาก ตอ่ มาเรอ่ื ย ๆ กม็ คี นบอกวา่ ทน่ี บ่ี นขออะไร
กไ็ ด้ จงึ เกดิ ความเชอื่ ศรทั ธาของผคู้ นที่ ลง่ั ไ ลเขา้ มา บางคนมาขอเลอ่ื นยศเลอ่ื น
ตา� แ นง่ องคพ์ อ่ พันท้าย ขอพรไดท้ ุกเรอ่ื ง มียกเว้นอยูเ่ รื่องเดียวคือขอไมใ่ ้ตดิ
416
ท าร า้ มพูด า้ มขอ เ ตุเพราะตั พันท้ายนร งิ เ์ ป็นท าร ตั ชี้ ัดทบ่ี ง่ บอก
ค าม �าเร็จ คือจ�าน นไก่ท่ีเยอะมาก คนที่ขอพร �าเร็จก็จะน�าไก่มาถ าย
มี ลายขนาด แต่ละขนาดไซ ์เลก็ รือใ ญก่ ็จะบง่ บอกถงึ ค าม า� เร็จที่ได้รบั ”
(ธนากจิ เขมจอก, มั ภา ณ,์ 14 มถิ ุนายน 2562)
เ ็นได้ ่าในช่ งเ ลาน้ี ค ามทรงจ�าเกี่ย กับพันท้ายนร ิง ์ ีรบุรุ ใน มัยกรุง รีอยุธยาได้
แปรเปลย่ี นกลายเปน็ เทพ ท่ี ามารถดลบนั ดาลตามคา� ขอของผคู้ นที่ รทั ธาและมคี ามเชอ่ื ตอ่ งิ่ กั ดิ์ ทิ ธ์ิ
ดงั คา� ัมภา ณ์ของคณุ บุญชู ปลัดอบต.พนั ท้ายนร งิ ์ กลา่ ่า
“มคี น ร้างบา้ นเชา่ มา 4-5 ปแี ล้ ไม่มีคนเชา่ ถงึ มีกเ็ ขา้ ๆ ออก ๆ บอ่ ย
มาบนบานต่อองค์พ่อพันท้ายที่ าล ่าถ้ามีคนเช่าจะมาถ ายไก่ปูนปั้น ลังจาก
นนั้ ไมน่ านกม็ คี นมาตดิ ตอ่ เชา่ บา้ น.. รอื อยา่ งกรณตี ั ผม ผมเปน็ คนบา้ นเดยี กบั
พ่อพันท้าย จัง ัดอ่างทอง เม่ือปี 2538 ผมเพิ่ง อบบรรจุได้และเข้ามารับ
ตา� แ นง่ ใ มท่ นี่ ่ี ผมถกู กลน่ั แกลง้ จนตอ้ งเอาเงนิ เดอื นผม 8,000 บาท คนื ใ ้ ล ง
ันน้ันผมจุดธูปบอกพ่อพันท้าย ่าผมโดนกล่ันแกล้ง ไม่ได้ท�าผิด ในง ดน้ันผม
ถกู ลอ็ ตเตอรี่ 8,000 บาทพอดี ซง่ึ ผมกม็ อง า่ เปน็ เรอื่ งค ามเชอื่ ค าม รทั ธาของ
คนแต่เราต้องตงั้ อย่บู นพนื้ ฐานของค ามซือ่ ัตย์ด้ ย”
(บุญชู ถาดทอง, ัมภา ณ,์ 27 มถิ ุนายน 2562)
กระบ นการ รา้ งพนั ทา้ ยนร งิ ใ์ เ้ ปน็ เทพแ ง่ โชคลาภ เรมิ่ ตน้ จรงิ จงั โดยมลู นธิ พิ นั ทา้ ยนร งิ ์
ทจ่ี ดั ตง้ั ใน พ. . 2554 ซงึ่ คณะกรรมการมลู นธิ ปิ ระกอบด้ ยขา้ ราชการทอ้ งถนิ่ ตั แทนนกั ธรุ กจิ ภาคเอกชน
ประชาชนในพนื้ ทรี่ มตั กนั จดั ตง้ั โดยพฒั นากจิ กรรม เดมิ จากกองทนุ พฒั นา าลพนั ทา้ ยนร งิ ท์ บี่ ริ าร
เรอ่ื งของเงินบรจิ าค และน�ามาพฒั นาดูแลพ้นื ที่อุทยานประ ัติ า ตรพ์ นั ท้ายนร งิ ์
“ทด่ี นิ บรเิ ณอทุ ยานประ ตั ิ า ตรฯ์ เปน็ กรรม ทิ ธขิ์ องกรมธนารกั ์ แตม่ อบใ ้
ทางอบต.บริ ารจัดการดูแล เดิมทีเราก็มีกองทุนพัฒนา าลพันท้ายนร ิง ์
เงินในกองทุนมาจากการบริจาคของคนที่มาท�าบุญแล้ น�ามาใช้บริ ารจัดการ
พัฒนาดูแลภายใน าล แต่ต่อมาเม่ือกองทุนฯ มีจ�าน นเงินบริจาคเพ่ิมมากขึ้น
เราก็จัดตั้งและจดทะเบียนในรูปแบบมูลนิธิ ใช้ชื่อ ่า มูลนิธิพันท้ายนร ิง ์
มี มาชกิ ท้งั มด 30 ก ่าคน... มูลนิธเิ ราเป็น น่ ยงาน าธารณประโยชน์ ที่ไม่
ไดแ้ ง ากา� ไร มี ตั ถปุ ระ งคด์ า้ นการ ง่ เ รมิ นบั นนุ ช่ ยเ ลอื ดา้ น าธารณกุ ล
เช่น แจก ่ิงของแก่ผู้ยากไร้ จ้างครูบุคลากรทางการ ึก าใ ้แก่โรงเรียนที่
ขาดแคลนในพ้ืนที่ต�าบลพันท้ายนร ิง ์ ร มท้ังด�าเนินการจัดงานประเพณี
บ ง ร งประจ�าปี และการปรับปรุง บ�ารุงที่ดินและ ่ิงก่อ ร้างภายในบริเ ณ
อทุ ยานประ ัติ า ตร์พันท้ายนร ิง ์”
(ธนากิจ เขมจอก, ัมภา ณ์, 14 มิถุนายน 2562)
417
นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เน่อื งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
่ นค ามช่ ยเ ลอื จากภาคเอกชน มาในรปู แบบการบรจิ าค ดงั เชน่ การ รา้ ง าลพนั ทา้ ยนร งิ ์
ลงั ใ ม่ใน พ. . 2544 ก็ไดร้ บั การบรจิ าคเงนิ จากเจา้ ของโรงงาน อ้ งเย็นอภทิ นุ 3.6 ลา้ นบาท รอื การ
รา้ ง อ้ ง ขุ า ลงั ใ มน่ น้ั กไ็ ดร้ บั การ นบั นนุ งบประมาณกอ่ รา้ งจากดร. นุ ทร ฒั นาพร เจา้ ของโรงงาน
พันทา้ ยนร งิ ์ (ชลอ ปรา าททอง, มั ภา ณ์, 14 มิถนุ ายน 2562) ในงาน ึก าของนฤพนธ์ ด้ ง ิเ
กึ าถงึ การใ ค้ าม มายตอ่ พนั ทา้ ยนร งิ ร์ ะ า่ งคตชิ า บา้ นกบั อดุ มการณร์ าชการ พบ า่ เมอื่ พจิ ารณา
ค าม มั พนั ธร์ ะ า่ งมลู นธิ กิ บั คนทม่ี ากราบไ อ้ งคพ์ อ่ พนั ทา้ ยนร งิ ์ พบ า่ กลมุ่ ขา้ ราชการทอ้ งถน่ิ เชดิ ชู
พันท้ายนร ิง ์ในฐานะ “เทพเจ้าแ ่งค ามซ่ือ ัตย์” ่ นพ่อค้าและนักธุรกิจภาคเอกชนยกย่องพันท้าย
นร ิง ใ์ ้เปน็ “เทพเจา้ แ ่งค ามมง่ั คง่ั รา�่ ร ย” เพราะประธานมูลนธิ ิ คอื นายกองคก์ ารบริ าร ่ นต�าบล
พนั ทา้ ยนร งิ ์ ่ นคณะกรรมการมลู นธิ เิ ปน็ ขา้ ราการและนกั ธรุ กจิ ทอ้ งถน่ิ ดงั นน้ั ค าม มายของพนั ทา้ ย
นร งิ ์ท่ีปรากฏอยใู่ นช่ งเ ลาน้ีจงึ มี องค าม มายซ้อนทับกันอยู่ (นฤพนธ์ ด้ ง เิ , 2560: 37)
ประเพณบี วง รวงพนั ทา้ ยนร งิ ์ จดั ขนึ้ เปน็ ประจา� ทกุ ปตี งั้ แต่ ลงั พ. . 2544 ทม่ี กี าร รา้ ง าล
ใ มเ่ รจ็ ในอทุ ยานประ ตั ิ า ตรพ์ นั ทา้ ยนร งิ ์ เปน็ ประเพณที ปี่ รากฏในปฎทิ นิ งานประเพณี า� คญั ของ
จงั ดั มทุ ร าคร พิธีบ ง ร งจดั ขึ้นใน ันข้ึน 9 ค่�า เดือน 3 ช่ งเ ลาจัดงานร มเปน็ 3 ัน ใน ันท่ี นง่ึ
เช้าท�าบุญตักบาตร ดมนต์เย็นเพื่ออุทิ ่ นกุ ลใ ้พ่อพันท้ายและผู้ท่ีล่ งลับ ันท่ี อง เป็น ันพิธี
บ ง ร ง โดยจะตงั้ เ าเขต ่เี าเป็นปะรา� พิธี ตรงกลางมีโตะ๊ ไ ้ างของไ ้ โดยชา บา้ นและผู้ รทั ธาน�า
ของไ บ้ ง ร งมาร่ มพธิ ี ไดแ้ ก่ กระดา เงิน กระดา ทอง ั มู 2 ั เปน็ 2 ตั ไก่ 2 ตั ขนมต้ม
แดง ขนมต้มขา ขนมถ้ ยฟู ขนมเปีย๊ ะใ ญ่ ผลไม้ 9 ชนิด ชนิดใดก็ไดแ้ ต่ ิ่งทขี่ าดไม่ได้คอื มะพร้า อ่อน
กล้ ยน�า้ ้า มาก 5 คา� ยาจืด 1 กา� พลู 5 จบี นา้� 1 ขนั บาย รปี ากชาม 1 คู่ โดยมีพรา มณเ์ ป็นผูน้ �า
ประกอบพธิ กี รรม และเชญิ ผู้ า่ ราชการจงั ดั เปน็ ประธานในพธิ บี ง ร ง ในเ ลา 9:19 น. โดยนา� ผา้ ขา ปู
บน าลเพยี งตา นา� เครอื่ งบ ง ร งทง้ั มด างลงบนผา้ ขา จดุ ธปู 3 ดอก ทอ่ งนะโม 3 จบบชู าพระรตั นตรยั
เ ร็จแล้ จุดธูป 36 ดอก บูชาเท ดา และพันท้ายนร ิง ์ เพ่ือขออนุญาตท�าพิธีเซ่น ร งบูชา (รัตนา
เพญ็ ประยรู และกลุ ธดิ า เชิงฉลาด, 2552: 53) ลังจากเ ร็จพิธกี ารบ ง ร งองค์พ่อพันท้าย ทางมลู นิธิ
จดั ใ ม้ กี ารมอบทนุ การ กึ าใ ก้ บั เดก็ นกั เรยี นทย่ี ากไร้ มอบบา้ นและขา้ ของเครอื่ งใชท้ จ่ี า� เปน็ แกบ่ คุ คล
ท่ียากไร้ ในเขตพื้นทต่ี �าบลพันท้ายนร งิ ์ ร มทัง้ การมอบประกา นยี บตั ร “ค ามซอ่ื ตั ย”์ ใ ้กับบคุ คล
ทเี่ ปน็ ตั อยา่ งทด่ี ี เชน่ เกบ็ เงนิ แล้ คนื ใ เ้ จา้ ของ บคุ คลทอ่ี ทุ ิ ทด่ี นิ ใ ก้ บั าลพนั ทา้ ย และใน นั ท่ี ามเปน็
ันประมูลของไ ้ที่ร่ มในพิธีบ ง ร ง โดยเช่ือ ่าผู้ท่ีประมูลกลับบ้านจะมีโชคและเป็น ิริมงคลแก่ชี ิต
ของท่ีประมูลจะเป็นของที่ไม่เน่าเ ีย รือของที่ชา บ้านเอามาร่ มพิธีแล้ ไม่น�ากลับ เช่น ผลไม้ ไม้พาย
น ม เ าไม้ ลักเขต 4 เ า ผา้ ยนั ต์ คไู่ กป่ ูนปัน้ เปน็ ต้น ่ นเงินท่ไี ด้จากการประมลู กน็ �าเข้าเปน็ รายได้ของ
ทางมูลนิธิ เพื่อใชใ้ นการ าธารณประโยชน์ตอ่ ไป ( มุ าลี เ ือคง, ัมภา ณ,์ 14 มถิ นุ ายน 2562)
การผลิตซ�้าเรื่องรา ของ ีรบุรุ ชาติในช่ งเ ลาน้ี เกิดข้ึนท่ามกลางกระแ ค าม นใจ
ประ ัติ า ตร์และต้องการใช้ประ ัติ า ตร์เป็นเคร่ืองมือในการปลูกฝังอุดมการณ์ของรัฐ โดยมุ่งเน้นใ ้
เ น็ ค าม �าคญั ของรฐั ชาตทิ ่ที ุกคนอยู่ภายใต้รัฐเดยี กนั ไม่ ่าจะเปน็ ขา้ ราชการ ามญั ชน ล้ นมบี ทบาท
นา้ ทตี่ อ่ รฐั ามารถทา� คณุ ประโยชนใ์ แ้ กบ่ า้ นเมอื งไดโ้ ดยการแ ดงค ามรกั ชาติ ดงั เ น็ จากนโยบายของ
ทางจงั ดั มทุ ร าคร ที่เข้ามาในพ้นื ที่ค ามเชือ่ ค าม รัทธาในรปู แบบการจดั โครงการกิจกรรม ดังเชน่
ในพ. . 2557 จัง ัด มุทร าครร่ มกับการท่องเท่ีย แ ่งประเท ไทย �านักงาน มุทร งคราม
418
( มุทร งคร ม นครปฐม มทุ ร คร) � นกง น ฒนธรรมจง ด มทุ ร คร � นกง นก รท่ งเท่ยี
แล กี จง ด มุ ทร คร แล งคก์ รบริ ร ่ นต� บลพนท้ ยนร งิ ์ จดง นภ ยใตช้ ื่ ่ “ มทุ ร คร
นครแ ง่ ค มซื่ ตย”์ ในช่ ง นท่ี 7-9 แล 14-16 กมุ ภ พนธ์ 2557 เพ่ื ปร ช มพนธแ์ ลง่ ท่ งเทย่ี
ข งจง ดใ เ้ ปน็ ทรี่ จู้ กใน งก ้ ง แล เชดิ ชคู ณุ ง มค มดขี งพนท้ ยนร งิ ์ โดยใน นที่ 14 กมุ ภ พนธ์
จดกิจกรรมจดท เบยี น มร ม่แู กค่ บู่ ่ จ� น น 9 คู่ ต่ น้ รูปป้นั พนท้ ยนร งิ ์ เพ่ื เปน็ ค� ม่น
ญญ ่ จ ซื่ ตยต์ ่ ค มรกทมี่ ใี ก้ นตล ดไป น กจ กกจิ กรรมจดท เบยี น มร ใน ลพนท้ ยนร งิ ์
แล้ ยงใ ค้ บู่ ่ ลงชื่ ใน ญญ รก เปน็ กร ด ขน ดยก ์ ร่ มช่ ยกนปลกู ตน้ ตบรรณ ตน้ ไมป้ ร จ�
จง ดเพื่ เป็น กขีพย นรก แล มีก รจบร ง ล � รบคู่บ่ ท่ีโชคดี ชิงแพคเกจท ร์ ีท นนีมูน
ปร ก บด้ ยต๋ เคร่ื งบนิ ไป-กลบ ทพี่ กแล เงนิ ร ง ล แล ใน นท่ี 15 แล 16 กมุ ภ พนธ์ จดง นแขง่ ขนเดนิ ง่ิ
พนท้ ยนร งิ -์ มนิ ิ ลฟ์ ม ร ธ น “ ง่ิ เพ่ื ค มซื่ ตย”์ ชงิ ถ้ ยพร ร ชท น มเดจ็ พร เทพรตนร ช ดุ
(MGR Online, จดง น มุทร คร นครแ ง่ ค มซื่ ตย์ เชิดชูคุณง มค มดีพนท้ ยนร ิง ,์ 2557)
จ กค มเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้นต่ ก ร ร้ งค ม ม ยข งพนท้ ยนร ิง ์ในแต่ล ช่ งเ ล
่งผลใ ้ค มทรงจ� เกี่ย กบเรื่ งร ใน ดีตข งพนท้ ยนร ิง ์ ทบซ้ นท้งในเร่ื งข งภ พลก ณ์
ค มซื่ ตย์ จงรกภกดตี ่ ถ บนพร ม ก ตรยิ ์ แต่ กี ด้ น นง่ึ กป็ ร กฏค มทรงจ� ทเ่ี กยี่ ข้ งกบมติ ิ
ค มเชื่ ด้ นค ม กด์ิ ทิ ธิใ์ นฐ น ท่ีเปน็ เทพเจ้ ที่ ม รถดลบนด ลใ ้ปร บค ม � เรจ็ โดยเฉพ
ในเรื่ งข งโชคล ภ ค มร่� ร ยเงนิ ท งแล � น จบ รมี
บทวเิ ครำะ ์และ รุป
ค มทรงจ� กบปร ติ ตร์น้นมีค ม มพนธ์กน โดยมี ดีตเป็นต กล งที่ยึดโยงท้ง งไ ้
ด้ ยกน กล่ คื ค มทรงจ� เกย่ี ข้ งกบ ดตี รื ปร บก รณใ์ น ดตี ข งแตล่ บคุ คลนน้ เปน็ งิ่ ทเี่ ช่ื ม
โยง ยู่กบปัจจบุ น โดยมีค ม � คญ ่ เรื่ งร ข งค มจรงิ ท่ี ้ ง ่ เป็นปร กฏก รณ์ใน ดตี นน้ เปน็ ิ่ง
ทไ่ี ดร้ บก รจดก รใ เ้ ม ม ดคล้ งกบค มรู้ กึ แล รมณข์ งคน รื งคม ทเ่ี กย่ี ข้ งกบค ม
ทรงจ� นน้ เน่ื งจ กเ ตกุ รณใ์ น ดตี นน้ ไมม่ ี ยจู่ รงิ แล้ ในปจั จบุ น ค มทรงจ� ( ดตี ) จงึ เปน็ ง่ิ ทเี่ รม่ิ ตน้
คน้ จ กปจั จบุ นแล้ ย้ นกลบไป เู่ ตกุ รณ์ รื ปร บก รณท์ ผ่ี ่ นม ดงนน้ ปร บก รณด์ งกล่ ท�
น้ ทเี่ ป็นข้ มูลในก รยนื ยนก รมี ยู่ข งค มทรงจ� ทีผ่ ่ นม ด้ ยเ ตุนีเ้ ร่ื งร รื ิ่งต่ ง ๆ ทเี่ ป็น
ยใู่ นปจั จบุ นจงึ มี ่ น � คญต่ ก รก� นด รื จด ง ดตี (ค มทรงจ� ) ใ เ้ ปน็ ไปต มเงื่ นไขแล ค ม
ต้ งก รทเ่ี กดิ ขึ้น ( งกูร ง ค์ ณ นเุ คร ์, 2560: 161-162)
พนท้ ยนร งิ บ์ นพน้ื ทค่ี มทรงจ� ทถ่ี กู เลื กในท้ งถนิ่ มทุ ร คร ไดพ้ ย ย ม ร้ ง ค มทรง
จ� ร่ ม (Collective Memory) เพ่ื ใ ค้ ร บคลมุ ทกุ ปร กฏก รณข์ ง งคม โดยเชื่ มโยงกบต� น น เรื่ ง
เล่ ่งิ กดิ์ ทิ ธิ์ เ ตกุ รณ์ � คญในปร ติ ตรไ์ ทย ผ่ นก ร ธบิ ยภ พลก ณ์ข งพนท้ ยนร งิ ์ใน
แตล่ บรบิ ทช่ งเ ล ท งปร ติ ตร์ ทง้ ปร กฏท่ มกล งบรบิ ทช่ งก ร ร้ งกรงุ รตนโก นิ ทร์ รื ก ร
ผลติ ซ�้ ค มทรงจ� เกย่ี กบเรื่ งร ข ง รี บรุ ุ ซงึ่ เปน็ บคุ คล มญชนธรรมด ในพนื้ ทป่ี ร ติ ตรช์ ติ
โดยแฝงค มคดิ เร่ื งช ตนิ ยิ ม มงุ่ เนน้ ใ ท้ กุ คนไม่ ่ จ ยใู่ น ถ น ใดต้ งปฏบิ ตติ ม น้ ทเี่ พ่ื ปร โยชน์
่ นร มข งบ้ นเมื ง ในข้ นเท ล ก ล ยรปู แบบ ได้แก่ พร ร ชพง ด ร แบบเรียน บทล คร
เ ที ล ครโทรท น์ นง ื ก รต์ ูนแล ภ พยนตร์ม ย่ งต่ เนื่ ง
419
นัง อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
อย่างไรก็ตามค ามทรงจ�าเก่ีย กับพันท้ายนร ิง ์ท่ีเปล่ียนแปลงตามบริบททางการเมือง
เ ร ฐกจิ และ งั คมในทอ้ งถ่ิน มทุ ร าคร ท้ังยงั ดา� เนนิ ค บคู่กนั ไประ ่างเร่อื งเล่าเกย่ี กบั ภาพลกั ณ์
บุคลิกลัก ณะของนายท้ายเรือผู้น้ีท่ียอมเ ีย ละชี ิตของตน เพ่ือค ามซ่ือ ัตย์ต่อ น้าที่และจงรักภักดี
ตอ่ ถาบนั พระม าก ตั รยิ ์ กบั ถานะเทพเจา้ แ ง่ ค ามโชคลาภ ค ามรา่� ร ยทถ่ี กู ผลติ ขนึ้ จากพลงั ค ามเชอ่ื
ค าม รทั ธาของผคู้ นที่ ลั่งไ ลเข้ามาในพ้ืนท่แี ่งนี้
420
บรรณำนกุ รม
นงั อื ภำ ำไทย
กรม ลิ ปากร. (2507). พระรำชพง ำ ดำรกรงุ รอี ยธุ ยำ ฉบบั จนั ทนมุ ำ (เจมิ ) กบั จกั รพรรดพิ ง ์ (จำด).
พระนคร: คลัง ทิ ยา.
_______. (2513). โคลงภำพพระรำชพง ำ ดำร. กรุงเทพฯ: พระจันทร์. ( นัง ืออนุ รณ์ในงาน
พระราชทานเพลงิ พ มอ่ มจนั ทร์ เท กลุ ณ เมรุ ดั ธาตทุ อง พระโขนง นั ที่ 1 มถิ นุ ายน 2513).
_______. (2526). กฎ มำยตรำ ำมด ง เล่ม 1, กรงุ เทพฯ: องคก์ ารคา้ คุรุ ภา.
_______. (2545). ำ่ ด้ ย “กำรเมือง” ของประ ัติ ำ ตร์และค ำมทรงจำ� . กรงุ เทพฯ: มตชิ น.
_______. (2557). ปกิณกคดีประ ัติ ำ ตร์ไทย. กรุงเทพฯ: �านัก รรณกรรมและประ ัติ า ตร์
กรม ลิ ปากร.
กลมุ่ โบราณคดี า� นกั ลิ ปากรที่ 1 ราชบรุ .ี (2553). “รายงานเรอ่ื ง ทะเบยี นโบราณ ถานจงั ดั มทุ ร าคร.”
รายงานการ า� ร จ ร บร มขอ้ มลู โบราณ ถานและแ ลง่ โบราณคดที พี่ บในเขตจงั ดั มทุ ร าคร
ต้ังแต่ปี พ. . 2539-2553 ่ น นึ่งของโครงการ �าร จเพื่อขึ้นทะเบียนโบราณ ถานและ
แ ล่งโบราณคดี ปีงบประมาณ 2553.
คำ� ใ ้กำรขุน ล ง ดั ประดู่ทรงธรรม: เอก ำรจำก อ ล ง. (2534). นนทบุร:ี จด มายเ ตุ.
นฤพนธ์ ด้ ง ิเ , บรรณาธิการ. (2561). ำครบุรี จำก ิถีชำ บ้ำน: กำรเปล่ียนแปลงผ่ำน ิถีชี ิต
ท้องถ่ินในลุ่มน�้ำท่ำจีน จัง ัด มุทร ำคร. กรุงเทพฯ: ูนย์มานุ ย ิทยา ิรินธร (องค์การ
ม าชน).
นฤพนธ์ ด้ ง เิ . (2560). “การใ ค้ าม มายเจา้ พอ่ พนั ทา้ ยนร งิ :์ ค ามยอ้ นแยง้ ระ า่ งคตชิ า บา้ น
กับอุดมการณร์ าชการ.” งั คม ำ ตร์ ม ำ ทิ ยำลยั ลยั ลัก ณ.์ 10, 1: 15-53.
นาฏ ภิ า ชลติ านนท.์ (2524). ประ ตั ิ ำ ตร์นพิ นธ์ไทย. กรุงเทพฯ: มลู นิธิโครงการตา� รา งั คม า ตร์
และมนุ ย า ตร์.
นธิ ิ เอยี รี ง .์ (2543). กำรเมอื งไทย มยั พระเจ้ำกรงุ ธนบรุ .ี พมิ พ์ครัง้ ที่ 6. กรงุ เทพฯ: มตชิ น.
บรัดเลย์, แดน บีช. (2549). พระรำชพง ำ ดำรกรุง รีอยุธยำ ฉบับ มอบรัดเล. พิมพ์คร้ังท่ี 2
กรงุ เทพฯ: โฆ ิต.
ประภั ร์ ชู ิเชยี ร. (2557). รำยงำนกำร ิจัยเร่ือง ลักฐำน ิลปกรรมอยธุ ยำทกี่ รุงเทพม ำนครและ
ปรมิ ณฑล เิ ครำะ ใ์ นฐำนะชมุ ชน “ปำกใต”้ มยั กรงุ รอี ยธุ ยำ. ภาค ชิ าประ ตั ิ า ตร์ ลิ ปะ
คณะโบราณคดี ม า ทิ ยาลัย ิลปากร.
421
นงั อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เน่ืองในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
รัตนา เพญ็ ประยูร และกุลธิดา เชิงฉลาด. (2552). พันทำ้ ยนร ิง .์ มทุ ร าคร: ถาบนั การพล ึก า
ิทยาเขต มทุ ร าคร กระทร งการท่ งเท่ีย และกี า.
ินัย พง ์ รีเพียร, บรรณาธิการ. (2548), กฎมณเฑียรบำล ฉบับเฉลิมพระเกียรติ, กรุงเทพฯ:
า� นกั งานก งทนุ นบั นนุ การ ิจัย ( ก .).
รี ะย า� ราญ ขุ ทิ าเ ทย.์ (2552). “ นงั กบั นงั ื : พนั ทา้ ยนร งิ .์ ” ลิ ป ฒั นธรรม 30, 6 (เม ายน): 26.
า� นกั งานคณะกรรมการการ กึ าขน้ั พนื้ ฐาน กระทร ง กึ าธกิ าร. (2554). ภำ ำไทย รรณคดี จิ กั ์
ช้นั มธั ยม กึ ำปที ่ี 2. กรงุ เทพฯ: งค์การค้าข ง ก ค.
า� นกั งานจัง ัด มุทร าคร. (2556). มทุ ร ำครเมืองแ ง่ ทะเลและ ำยน�ำ้ . ม.ป.ท.
จุ ติ ต์ ง ์เท (บรรณาธิการ). (2561). ยำ่ นขำ้ ล งเดิม บำงขุนเทยี น เ ้นทำงคลองประ ตั ิ ำ ตร์
ฝ่ังท ำร ดี กรุงเทพฯ. กรงุ เทพฯ: มติชน.
ังกูร ง ์คณานุเคราะ ์. (2560). “ค าม มายข งพ้ืนท่ี เงื่ นไขและค ามทรงจ�า: ค าม ัมพันธ์
ระ ่างค ามทรงจ�ากับการใ ้ค าม มายข งพ้ืนท่ีบ้าน ้ ยกบ.” ังคม ำ ตร์และ
มนุ ย ำ ตรม์ ำ ทิ ยำลยั เก ตร ำ ตร์. 43, 2: 155-186.
อ่ื อิเลก็ ทรอนกิ ์
MGR Online. (2557). “จัดงาน มุทร าคร นครแ ง่ ค ามซื่ ตั ย์ เชดิ ชคู ณุ งามค ามดพี นั ทา้ ยนร ิง .์ ”
7 กุมภาพนั ธ์ 2557. เขา้ ถงึ เม่ื 31 กรกฎาคม 2562 เข้าถงึ ไดจ้ าก http://mgronline.com/
local/detail/9570000014922.
ัมภำ ณ์
นางณฏั ชญาฎา ท งก.่ี (2562). ชา บา้ นโคกขาม ต.โคกขาม .เมื ง จ. มทุ ร าคร. มั ภา ณ,์ 3 มถิ นุ ายน.
นาง มุ าลี เ ื คง. (2562). ั นา้ ฝา่ ย ง่ เ รมิ การท่ งเทยี่ า� นกั งานปลดั บต.พนั ทา้ ยนร งิ ์ .เมื ง
จ. มุทร าคร. มั ภา ณ,์ 14 มิถุนายน.
นายชล ปรา าทท ง. (2562). เจา้ ข งรา้ นคา้ ใน ทุ ยานประ ตั ิ า ตรพ์ นั ทา้ ยนร งิ ์ ต.พนั ทา้ ยนร งิ ์
.เมื ง จ. มทุ ร าคร. มั ภา ณ์, 14 มิถุนายน.
นายชาญ ง่ แ ง. (2562). ดตี ผดู้ แู ล าลปากคล งโคกขาม มทู่ ี่ 7 ต.พนั ทา้ ยนร งิ ์ .เมื ง จ. มทุ ร าคร.
ัมภา ณ,์ 8 มิถุนายน.
นายธนากิจ เขมจ ก. (2562). คณะกรรมการมูลนิธิ าลพันท้ายนร ิง ์ ต.พันท้ายนร ิง ์ .เมื ง
จ. มุทร าคร. มั ภา ณ์, 14 มิถนุ ายน.
นายบญุ ชู ถาดท ง. (2562). ปลดั บต.พนั ทา้ ยนร งิ ์ และเลขานกุ ารมลู นธิ พิ นั ทา้ ยนร งิ ์ ต.พนั ทา้ ยนร งิ ์
.เมื ง จ. มุทร าคร. มั ภา ณ,์ 27 มถิ ุนายน.
422
การศกึ ษาภมู ิปัญญาท้องถนิ่ ของชุมชนไทย-รามัญ
บางขนั หมาก จงั หวัดลพบุรี
A Study of Folk wisdom of Thai-Raman community
in Bang Khan Mak Lop Buri Province
ดร.ปรมตั ถ์ คำ� เอก*
Paramat Kham-Ek
* รอง า ตราจารย์ประจ�าภาค ิชาภา าตะ ันออก คณะโบราณคดี ม า ิทยาลัย ิลปากร,
E-mail: [email protected]
423
นัง ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทคัดย่อ
จุดประ งค์ของบทค ามนี้ เพื่อเผยแพร่ผลการ ึก าภูมิปัญญาท้องถ่ินในชุมชนไทย-รามัญ
ตา� บลบางขนั มาก จงั ดั ลพบรุ ี โดยการเกบ็ ขอ้ มลู จากการลงพน้ื ทภี่ าค นาม งั เกตการณภ์ ายในชมุ ชน
ท่ีลงพื้นที่ และเก็บข้อมูลโดยการ ัมภา ณ์ ผลการ ึก าภูมิปัญญาท้องถ่ินของชา มอญบางขัน มาก
ใน 6 ดา้ น คือ 1. ภูมปิ ัญญาการท�าอฐิ มอญ 2. ภมู ิปญั ญาการท�าเคร่ืองจัก าน 3. ภูมิปัญญาในเรอื่ งอา าร
4. ภมู ปิ ญั ญาการทา� เตาปูน 5. ภูมิปัญญาการปรงุ เครอ่ื งยา 6. ภมู ิปัญญาการท�าเครอ่ื งดกั ตั ์น้�า พบ า่
ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ทง้ั 6 ดา้ นน้ี บื ทอดตอ่ กนั มาจากรนุ่ รู่ นุ่ และชา มอญบางขนั มากไดป้ รบั ใชภ้ มู ปิ ญั ญา
ใ ้เข้ากับการด�ารงชี ิตใน ังคมปัจจุบันได้อย่างเ มาะ ม อย่างไรก็ดีแม้ ่าภูมิปัญญาท้องถ่ิน ่ น น่ึง
จะมกี าร รา้ งรายไดภ้ ายในชมุ ชนเปน็ อยา่ งดี แตก่ ย็ งั มภี มู ปิ ญั ญาบางอยา่ ง ากไมไ่ ดร้ บั การ นบั นนุ แล้
ก็คงจะ ญู ายในอกี ไม่ชา้
ค�ำส�ำคัญ : ภูมิปญั ญาท้องถน่ิ , ชุมชนไทย-รามัญ, ต�าบลบางขนั มาก, จงั ดั ลพบรุ ี
424
Abstract
This article’s purpose is to promote the result of studying the wisdom of
Thai-Raman Community, Bang Khan Mak district, Lopburi Province, by collecting data from
the field-trip, observation and interviewing the community in the area.
The result of the study of Thai-Raman people wisdom in Bang Khan Mak in
6 aspects is: 1. Brick Work 2. Handicraft 3. Food 4. Limekiln 5. Traditional medicine products
6. Fish trap instruments. We found that all six folk wisdom were inherited from generation
to generation, and Thai-Raman people have adapted the wisdom to live in the modern
society. However, some local wisdom generates income within the community, and if all
not supported and preserved then the folk wisdom will be lost soon.
Keywords: Folk wisdom, Thai-Raman community, Bang Khan Mak district, Lopburi Province.
425
นงั ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เนอื่ งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทน�ำ/Introduction
ในปัจจุบันเมอื่ ค ามเจริญทางการ ึก า การงาน กระแ โลกาภิ ัตน์เขา้ มาเกี่ย ขอ้ งกบั ิถชี ี ิต
ผู้คนใน ังคมเป็น งก ้าง จึงเป็น าเ ตุท่ีท�าใ ้ท้ังชา ไทย และชา ไทย-รามัญรุ่นปัจจุบันบาง ่ น
เปลี่ยนแปลง ิถีชี ิตไปกับกระแ โลกาภิ ัตน์ จนละเลย ัฒนธรรมด้ังเดิมของตน ไม่ ่าจะเป็น ัฒนธรรม
ทางภา า ประเพณีที่เคยปฏิบัติในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะชา ไทย-รามัญผู้ ืบเชื้อ ายชา มอญรามัญใน
อดีต และถือตน า่ เปน็ ผมู้ อี ารยธรรม ูง ่งแ ่งภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ (องค์ บรรจุน, 2552: 34) ได้ ูญเ ีย
ัฒนธรรมของตนไปอย่างน่าเ ียดาย แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีชุมชนชา ไทย-รามัญ ลายแ ่งที่รัก า
ภมู ปิ ัญญากระแ ลักของตนไ ้ เพ่ือ ืบทอดไปยงั รนุ่ ลูก ลาน ด้ ยเ ตนุ ี้จงึ เป็นท่นี ่า นใจ ่าชุมชนไทย-
รามญั ยงั คงรกั ามรดกภมู ปิ ญั ญาทเี่ รยี กได้ า่ “ ฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ ” ของตนไ อ้ ยา่ งเ นยี แนน่ โดยทค่ี นใน
ชุมชนยงั ยดึ ถือและปฏบิ ตั ติ ามกนั มาจนถึงทุก นั น้ไี ด้อย่างไร
บรรดาชมุ ชนไทย-รามญั ทม่ี อี ยใู่ นแ ลง่ ตา่ ง ๆ ในประเท ไทย ผู้ จิ ยั เ น็ า่ ชมุ ชนชา ไทย-รามญั
ทต่ี า� บลบางขัน มาก จงั ดั ลพบรุ ี เป็นอีกพื้นที่ นง่ึ ซง่ึ มีค ามนา่ นใจที่จะ กึ าเกบ็ ข้อมูลเพอ่ื อนุรกั ์
มรดกภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ทแ่ี ดงอตั ลกั ณข์ องชา ไทย-รามญั ถิ ชี ี ติ ในดา้ นค ามเปน็ อยขู่ องชา ไทย-รามญั
บางขัน มากมี ลายอยา่ งทีแ่ ตกต่างไปจากคนไทย เชน่ อา ารการกิน ประเพณีตา่ ง ๆ ิลปะ และดนตรี
เป็นต้น รายละเอียดเก่ีย กับชุมชนแ ่งนี้มีค ามน่า นใจท่ีจะ ึก า ิถีชี ิตค ามเป็นอยู่ของชา มอญ
ในแง่เป็นพื้นท่ีซึ่งชา ไทย-รามัญยังคงร มกลุ่มของตนเองเป็นปึกแผ่นเ นีย แน่น รัก าขนบ ัฒนธรรม
ค ามเป็นมอญเป็นอย่างดี ผู้ ิจัยในฐานะเป็นชา ไทย-รามัญมีค ามปรารถนาจะ ึก า ิจัยถึง ัฒนธรรม
ของมอญท่ียังไม่มีคน ึก า ิจัยและพูดถึงมากนกั รือมีการ กึ าแล้ แต่ยงั ไม่ มบูรณ์เพื่ออนรุ ัก ์ และ
เผยแพร่ใ ้เป็นท่รี จู้ กั กันท้ังคนมอญและไทยก่อนที่ค ามเชอ่ื และ ฒั นธรรมจะเลือน ายตามกาลเ ลา
จากการตร จ อบเอก ารและงาน จิ ยั เก่ีย กับชุมชนไทย-รามัญ ทีต่ �าบลบางขนั มาก จัง ดั
ลพบรุ ี มีเอก ารและงาน ิจยั ทนี่ า่ นใจ อาทิ ทิ ยานพิ นธเ์ รือ่ ง “การธ�ารงชาตพิ นั ธุแ์ ละการผ มกลมกลืน
ของชา มอญ: กึ าเฉพาะกรณชี มุ ชนมอญบางขนั มาก จงั ดั ลพบรุ ”ี ของ ไฉน น กลุ (2535) กึ า
ปจั จยั ทที่ า� ใ เ้ กดิ ปจั จยั การธา� รงรกั าชาตพิ นั ธแ์ุ ละการผ มกลมกลนื ของชา มอญ กึ า ฒั นธรรมและ
ิถีชี ิตของชา มอญ โดย ึก าเฉพาะชา มอญ มู่ที่ 3 ต�าบลบางขัน มาก อ�าเภอเมือง จัง ัดลพบุรี
ผลการ ึก าแ ดง ่า ชา มอญบางขัน มากมีการปรับตั เข้ากับ ังคมไทย โดยมีปัจจัยท่ีท�าใ ้ชา มอญ
ผ มกลมกลืนได้แก่ นโยบายของรัฐ การ ึก า อาชีพ การแต่งงาน การต้ังถิ่นฐาน และการย้ายถ่ิน
ชา มอญบางขัน มากยังรัก าเอกลัก ณ์บางประการ ได้แก่ ภา า า นา พิธีกรรม ค ามเช่ือ และ
ขนบธรรมเนยี มประเพณี
นงั ือเรื่อง “มอญบางขัน มาก” โดย ูนย์ ลิ ป ฒั นธรรม ถาบนั ราชภัฏเทพ ตรี น�าเ นอ
ขอ้ มลู การ กึ าประเพณี ฒั นธรรม ค ามเชอื่ และ ถิ กี ารดา� เนนิ ชี ติ ของชา ไทย-รามญั ทตี่ า� บลบางขนั มาก
จัง ดั ลพบุรีในภาพร ม เน้อื าแบง่ ออกเปน็ 4 ่ น คือ ประเพณี-ค ามเชอ่ื ของชา มอญบางขนั มาก
อกั รมอญทบ่ี า้ นบางขนั มาก ลพบรุ ี ภุ า ติ และคา� คมของมอญบา้ นบางขนั มาก ลพบรุ ี และ ลิ ปกรรม
ท้องถิน่ ของชา มอญบา้ นบางขนั มาก (ภธู ร ภมู ะธน และคณะ, 2540)
426
ิทยานิพนธ์เรื่อง “ผู้ ญิงมอญกับพิธีกรรมค ามเช่ือเกี่ย กับผี: กรณี ึก าชุมชนมอญ
บางขัน มาก อ�าเภอเมืองลพบุรี จงั ดั ลพบรุ ”ี ของ จติ รานชุ ปานขา แ ดงผลการ ึก า ่าอตั ลัก ณ์
ค ามเป็นมอญของชา มอญบางขัน มากที่มีค ามซับซ้อนและ ลาก ลาย การเปล่ียนแปลงทาง ังคม
และเ ร ฐกิจท�าใ ้ชา มอญบางขัน มากเลือกท่ีจะปรับเปลี่ยนและต่อรองกับค ามเปลี่ยนแปลง
อัตลัก ณ์ค ามเป็นมอญจึงปรากฏในลัก ณะท่ีไม่ ยุดน่ิง พิธีกรรมค ามเช่ือท่ีเก่ีย กับผีก็เป็นการแ ดง
อัตลัก ณ์ของมอญ มี ลายระดับท้ังครอบครั เครอื ญาติ และในระดับทอ้ งถิ่น ชมุ ชน ปรากฏค บค่กู บั
ตา� นาน ภา า และ ญั ลกั ณ์ พธิ กี รรมมคี าม ลาก ลายตามแตล่ ะครอบครั และเครอื ญาติ นองค าม
ตอ้ งการทางจติ ใจของตนและกลมุ่ ค บคมุ มาชกิ ใ อ้ ยใู่ นระเบยี บ และรกั าขยายพน้ื ทใี่ นการประชนั กบั
กลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกตา่ ง (จิตรานุช ปานขา , 2551)
ตั อยา่ งเอก ารและงาน จิ ยั ขา้ งตน้ เปน็ แ ลง่ ขอ้ มลู ทผี่ ู้ จิ ยั กึ าจากเอก าร แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม
การเรียนรู้ ิถชี ี ิตของชา ไทย-รามัญบางขัน มาก จ�าเปน็ ทจี่ ะตอ้ งลงพนื้ ที่ ังเกตการณ์ และ มั ภา ณ์
ผู้บอกข้อมูลเพื่อใ ้ได้ทราบถึงข้อมูลซึ่งอาจมีค ามเปลี่ยนแปลงไปจากกลุ่มข้อมูลที่มีผู้ท�า ิจัยไ ้ก่อนแล้
และเราอาจไดข้ อ้ มลู ใ ม่ รอื ขอ้ งั เกตบางประการ อนั จะเกดิ ประโยชนต์ อ่ การเผยแพรอ่ งคค์ ามรภู้ ายใน
ชุมชนใ ้เ ็นค ามเป็นเปล่ียนแปลงอย่างมีพล ัต ด้ ยเ ตุน้ีผู้ ิจัยจึงจะน�าเ นอผลการ ึก าภูมิปัญญา
ท้องถิ่นของชุมชนไทย-รามัญ ที่ต�าบลบางขัน มาก จัง ัดลพบุรี เพ่ือช้ีใ ้เ ็นมรดกภูมิปัญญาของ
ชา ไทย-รามญั แ ่งนี้
วัตถปุ ระสงค์ของกำรวิจัย/Objectives
เพื่อ ึก าภูมปิ ญั ญาท้องถน่ิ ภายในชมุ ชนไทย-รามัญ ทต่ี �าบลบางขนั มาก จัง ดั ลพบุรี
วิธีดำ� เนินกำรวิจัย/Methods
1. กึ าเอก ารและงาน จิ ยั ทเี่ กยี่ ขอ้ งกบั มอญ ทง้ั ในเชงิ ภาพร ม และการ กึ าเฉพาะประเดน็
2. ก�า นดพ้ืนท่ีในการลงภาค นาม ซ่งึ เปน็ เขตพื้นทีใ่ นการเก็บขอ้ มูล
3. ลงพ้ืนทภี่ าค นามในเขตพ้นื ทท่ี ี่ผู้ ิจยั ทา� การ กึ า
4. ังเกตการณ์ภายในชมุ ชนท่ลี งพื้นที่ และเกบ็ ขอ้ มูลโดยการ ัมภา ณ์
5. เรยี บเรยี งผลการ ิจัยในรปู แบบของบทค าม
ผลกำรวิจยั /Results
คนมอญชอ่ื า่ เปน็ ชนชาตนิ กั ลิ ปะการกอ่ รา้ ง ดงั ปรากฏในคมั ภรี โ์ ลก ทิ ธขิ องชา มอญทเี่ ขยี น
เก่ีย กับการ ร้างบ้านมอญไ ้อย่างละเอียด คนมอญมีมรดกภูมิปัญญาเป็นของตนเอง ลายประการ
ท้ังการ ร้าง รรค์ ิลปะ ิ่งของเคร่ืองใช้ และอา ารอัน ลาก ลาย ใน มัยที่ชนชาติมอญยังไม่ถูกพม่า
ปกครอง ชา มอญได้ ร้าง ถานทีท่ าง า นาไ ้มากแ ง่ เมื่อชา มอญอพยพมาอยเู่ มอื งไทยกไ็ ดน้ า� ิลปะ
น�าภมู ิปญั ญาเ ล่านนั้ มาด้ ย โดยถ่ายทอด ืบต่อภายในครอบครั จากรุ่น ่รู ุ่น
427
นัง อื รวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
จากการทผี่ ู้ จิ ยั ลงพน้ื ท่ี งั เกตการณภ์ ายในชมุ ชนไทย-รามญั ตา� บลบางขนั มาก จงั ดั ลพบรุ ี
พร้อมกับ ัมภา ณ์ชา บ้านท่ีอา ัยภายในชุมชนแบบเจาะลึก เพื่อใ ้ได้ข้อมูล ิถีชี ิต ประเพณีและ
ัฒนธรรมของชุมชนมอญบางขัน มากโดยตรง ผู้ ิจัยพบกลุ่มข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่นซ่ึง ัมพันธ์กับ ิถี
ชี ติ ของผคู้ นอยา่ งแนบแนน่ กลมุ่ ขอ้ มลู ทผ่ี ู้ จิ ยั ลงพนื้ ทภี่ าค นาม นอกจากจะปรากฏภมู ปิ ญั ญาท่ี บื ทอด
ลายครั เรือนแล้ ยังมภี ูมิปัญญาบางอย่างทีใ่ กล้จะ ูญ ายอีกด้ ย ในทน่ี ผ้ี ู้ จิ ยั จะน�าเ นอภมู ิปัญญาใน
ประเดน็ ทไี่ ดล้ งพนื้ งั เกตการณภ์ ายในชมุ ชน ไดแ้ ก่ 1. ภมู ปิ ญั ญาการทา� อฐิ มอญ 2. ภมู ปิ ญั ญาการทา� เครอ่ื ง
จัก าน 3. ภูมิปัญญาในเร่ืองอา าร 4. ภูมิปัญญาการท�าเตาปูน 5. ภูมิปัญญาการปรุงเคร่ืองยา และ
6. ภมู ปิ ัญญาการทา� เครอ่ื งดัก ตั น์ า�้ ดังตอ่ ไปนี้
1. ภมู ปิ ัญญำกำรทำ� อิฐมอญ
การประกอบอาชพี ทา� อฐิ ของชา มอญนน้ั เปน็ อาชพี นงึ่ ทบ่ี ง่ บอกอตั ลกั ณข์ องชา มอญ ซงึ่ มี
ค ามชา� นาญการทา� อฐิ มาตงั้ แตย่ งั อยใู่ นบา้ นเมอื งเดมิ ของตนท่ี ง า ดี เชอ่ื กนั า่ มกี ารอพยพของชา มอญ
มา ู่ประเท ไทย เป็นระลอกเล็ก ๆ เร่อื ยมา แตม่ จี า� น นไม่มากนกั แต่ ลกั ฐานในช่ งแรกของการอพยพ
เริม่ ปรากฏขน้ึ ใน มัยอยธุ ยา าเ ตุในการอพยพ ่ นใ ญ่จะมาจากภา ะ งครามดงั น้ันอาชีพการท�าอฐิ
มอญ รืออิฐแดง ซ่ึงเป็นอิฐ �า รับใช้ในการก่อ ร้าง จึงกลายเป็นทางเลือกอาชีพ นึ่งที่ท�ารายได้ใ ้แก่
ครอบครั และท�า ืบทอดกันมาตั้งแต่เร่ิมแรกเข้ามาตั้งถิ่นฐานในแผ่นดินไทย จากการท่ีผู้ ิจัย ัมภา ณ์
คณุ ลงุ จา� ปี ซอ่ื ตั ย์ ซง่ึ อา ยั อยใู่ นชมุ ชนไทย-รามญั ตา� บลบางขนั มาก ผใู้ ข้ อ้ มลู ซง่ึ กลา่ า่ อาจเปน็ ไปไดท้ ี่
“ งั นารายณท์ จี่ งั ดั ลพบรุ ี อาจเอาคนมอญไปทา� อฐิ ” (จา� ปี ซอ่ื ตั ย,์ มั ภา ณ,์ 14 พฤ ภาคม 2549)
แต่เดิมชุมชนชา มอญต่าง ๆ ในประเท ไทยประกอบอาชีพท�าอิฐมอญ มีแ ล่งอุต า กรรม
การผลติ ที่ า� คญั ไดแ้ ก่ อา� เภอ ามโคก จงั ดั ปทมุ ธานี และอกี ลายอา� เภอในจงั ดั พระนคร รอี ยธุ ยา
แต่ท่ีเป็นลัก ณะของอุต า กรรมในครั เรือนมีเ ลือไม่มากนัก ได้แก่ ชุมชนมอญต�าบลบางขัน มาก
อา� เภอเมอื ง จงั ัดลพบรุ ี ซ่งึ เป็นชมุ ชนทมี่ ีชา มอญอา ยั อยู่กันเปน็ กลมุ่ ใ ญถ่ ึง 8 มู่บ้าน เปน็ แ ล่ง
ที่มีการผลิตอิฐมอญขนาดใ ญ่ ร้างรายไดภ้ ายในครั เรือน จนขยบั ขยายเปน็ แ ล่งรายได้ �าคญั ภายใน
ชุมชน อิฐมอญจะมลี กั ณะเป็น ่เี ลี่ยมผนื ผ้า มีขนาดประมาณ 4x10x20 เซนตเิ มตร รอื ค ามก า้ ง อง
เทา่ ของค าม นา ค ามยา จะเปน็ องเทา่ ของค ามก า้ ง ลกั ณะของอฐิ มอญจะมผี ิ ยาบ มี ี ม้ ผู้ จิ ยั
งั เกต า่ ในปจั จบุ นั นอี้ ฐิ มอญอาจมขี นาดเลก็ ลงประมาณ 3x6.5.x14 เซนตเิ มตร (ท ี แกน่ คา� , 2537: 23)
แมใ้ นภาย ลังจะมีผู้อน่ื ทา� ขน้ึ ในลัก ณะนก้ี ย็ งั คงเรยี กกัน ่า อฐิ มอญ
เกยี่ กบั ตั ถดุ บิ ในการทา� อฐิ มอญ แตเ่ ดมิ ดนิ ทน่ี า� มาทา� อฐิ มอญเปน็ ดนิ จากแมน่ า้� ทมี่ เี นอื้ ละเอยี ด
ปนทรายและดนิ จากพน้ื ท่ี แตเ่ มอ่ื พน้ื ทเี่ รม่ิ เปน็ ลมุ เปน็ บอ่ และดนิ แมน่ า�้ ตอ้ งเ ยี คา่ ใชจ้ า่ ย งู มาก ชา บา้ น
จึง นั มาซ้ือดนิ จากรถบรรทุกมากองเปน็ ดนิ เ นีย ปนทราย (ท ี แกน่ คา� , 2537: 40) ่ นใ ญเ่ ปน็ ดิน
จากพืน้ ทลี่ ุ่มในจงั ัดลพบรุ ซี ึง่ มคี ุณ มบตั ิเ มอื นดินแม่นา�้ กล่า คือเป็นดนิ องช้ัน ชน้ั บนเปน็ ดนิ เ นยี
ปนทรายมาก ่ นชั้นลา่ งเป็นดินเ นีย เมอ่ื ขดุ มาร มกันจะได้ดนิ เ นีย ปนทรายเน้ือดี ผู้ท�าอฐิ จะซ้ือมา
กองไ ้ครั้งละมาก ๆ ในราคาประมาณ 1,000-2,000 บาทตอ่ นึ่งคันรถ บิ ลอ้ ขนาดใ ญ่
428
นอกจากจะตอ้ ง าดนิ ทม่ี คี ณุ มบตั พิ เิ ในการนา� มาทา� อฐิ มอญแล้ ยงั ตอ้ งประกอบด้ ยแกลบ
ซง่ึ เป็นผลติ ผลจากการ ีข้า และข้ีเถา้ นางปทั มา ข�าดี อา ยั อยใู่ นชุมชนไทย-รามญั ต�าบลบางขัน มาก
ไดใ้ ้ มั ภา ณ์ า่ “เมอ่ื กอ่ นชาวบา้ นซอื้ แกลบกนั เพยี งตนั ละ 700-800 บาท เวลานวี้ ั ดขุ น้ึ ราคา คา่ แกลบ
1 ตนั 900 -1000 กว่าบาท ่วนแรงงานนัน้ เมอ่ื ก่อนเป็นชาวมอญ ในพื้นท่ปี ัจจบุ นั เปน็ ลาว เขมร ไทย เขา้
มารับจ้างท�ากัน มด โดยการจ่ายค่าแรงนั้นก็แตกต่างจาก มัยก่อน เพราะ ากจ้างเป็นรายวันอย่างเดิม
เจา้ ของเตามักจะเ ียเปรยี บคนงาน ากจา่ ยเ มา คนงานทา� งานท�าได้ไวก็จะได้คา่ แรงไวขนึ้ เจา้ ของเตาก็
จะ ามารถจะไปไ นไดโ้ ดยอิ ระไมต่ อ้ งไปคมุ งาน เนอ่ื งจากเปน็ เรอื่ งทคี่ นงานจะตอ้ งรบั ผดิ ชอบใ เ้ จา้ ของ
โดย ง่ เขา้ เตาจนเรยี บรอ้ ย แตเ่ ดมิ พนั กอ้ น คา่ แรงจะไดแ้ คย่ ี่ บิ บาท ปจั จบุ นั พนั กอ้ นจะไดค้ า่ แรงประมาณ
ร้อยกว่าบาท แตป่ ีนพี้ ันก้อนก็ประมาณ 150 บาท” (ปทั มา ขา� ดี, มั ภา ณ์, 14 พฤ ภาคม 2549)
ผู้ จิ ยั งั เกต า่ การทา� อฐิ มอญภายในชมุ ชนไทย-รามญั บางขนั มากนนั้ ชา บา้ นจะมคี ามผกู พนั
กบั การประกอบพิธกี รรมร มอยู่ด้ ย ซึ่งก่อนทจ่ี ะมกี ารท�าอิฐนั้น ผู้ทา� อิฐจะตอ้ งประกอบพิธกี อ่ นที่จะ ่ง
อฐิ เข้าเตาเผา เ ลาจะเขา้ เตาเผาต้องมพี ิธขี อขมาแม่พระธรณี พิธไี ้แม่ย่านางเตา รือแมย่ ่านางอิฐ และ
แม่โพ พ ช่ งเ ลานา� อฐิ เขา้ เตาตอ้ งมพี ธิ ไี ้ ซงึ่ ขนบการไ ้ตอ้ งเตรียมเครื่องเซ่นประกอบพธิ ี มีบาย รี
ปากชาม มปี ลา มีไก่ มะพร้า ออ่ น กล้ ย ขนม ต้มแดง ต้มขา อยา่ งไรกต็ ามในปัจจบุ ันชา มอญจะท�า
แตบ่ ั ลอย ใช้ขนมต้มกับบั ลอย เดมิ ขนมต้มแดงยังไม่มี มีแต่ขนมตม้ กับบั ลอย นางปทั มา ข�าดี ใ ้ขอ้ มลู
อยา่ งน่า นใจ า่ “เวลานา� อฐิ เข้าเตาเผากต็ อ้ งทา� พิธไี ว้ คอื พวกท�านา ทา� กันปีละ ลายครั้ง เมอื่ นา� อิฐ ุก
ออกแลว้ เวลาจะเผาใ ม่ก็ตอ้ งไ ว้ ถ้าเผาได้เยอะก็ตอ้ งมมี ร พ อิฐลา้ น ๆ กอ้ นถา้ ขายได้มากมายก็ต้อง
มีลิเก รือละครร�าแก้ คนท่ีท�าอาชีพน้ีจะร�่ารวยกว่าอาชีพอื่น แต่ก็ไม่แน่เ มอไป บางครั้งก็ขายไม่ออก
ลงทนุ ไปเปน็ แ นเปน็ ลา้ น แตข่ ายไมอ่ อกเวลาขายไมไ่ ดข้ ายทเี ดยี ว มด คนนซี้ อ้ื ไป มน่ื คนโนน้ ซอ้ื ไป อง มน่ื
คนงานเม่อื ขายแล้วจึงไดเ้ งนิ แตป่ จั จบุ ันต้องเบกิ เงินกอ่ น ถึงจะท�าใ ้ เม่ือก่อนเปน็ คนงานมอญ ปัจจบุ ัน
เปน็ ลาว เขมร ไทย ทา� กนั เมื่อก่อนดินท่ใี ช้จะเป็นดนิ พื้นท่ี แต่เมอ่ื เปน็ ลมุ เปน็ บอ่ กต็ อ้ งซือ้ จากดินทงุ่ นา
จากรถบรรทุกมากองเป็นดินเ นียวปนทราย น�ามา มักในบ่อใ ญ่ (จะได้ องพันกว่าก้อน) ย่�าดิน
“เชิดไตอ์” มีพิมพ์ไม้เป็นแถว แล้วน�ามาปั้น เมื่อก่อนได้แค่ องก้อน แต่ปัจจุบันได้ ลายก้อน ี่ ้าอัน
พิมพ์อฐิ “เปิ่มดอ่ ด” มีอฐิ ใ ญ่อฐิ เล็ก ตาก องแดดแลว้ นา� มาเกลา ตอ้ งใ ้แ ง้ กอ่ นแล้วจงึ น�ามาตกแต่ง
(แตะ ์ ดอ่ ด) แลว้ ตาก อง ามแดดใ ้แ ้ง มีการโรยขเี้ ถา้ โรงทที่ �ากใ็ ช้ ญ้าคา รอื ใบจากแฝกมงุ เผาใช้
เวลา เจ็ด และอบไว้ องวัน เ ร็จก็เปิดก�าแพงที่ก้ัน แล้วน�าข้ีเถ้าออก ต้องเรียงใ ้ดีพื้นใ ้เรียบเ มอ
ถา้ มนั โย้เยไ้ ปโยเ้ ย้มากจ็ ะล้ม เราเ มาทา� เป็นพันกอ้ น รอ้ ยก้อน ถ้าจ้างเป็นรายวนั เราจะเ ียเปรยี บบาง
คนท่งี านองู้ าน ถา้ เราเ มา ถา้ เขาทา� ได้ไวก็ได้เงนิ ไว จะไปไ นก็ไป แลว้ เจา้ ของเตาก็ไมต่ อ้ งไปคมุ เป็นเรือ่ ง
ของเขาตอ้ งรับผดิ ชอบ เขาทา� ใ เ้ รา ง่ เข้าเตาเรยี บร้อยใช้ได้ เมอื่ ก่อนพนั ก้อนได้แค่ ยี่ บิ บาทเอง เวลานี้
พันกอ้ นกร็ อ้ ยกวา่ บาท ปีนพ้ี นั ก้อนกป็ ระมาณ 150 บาท ขายพนั ละ 600 บาท (ท่ีเตา) ถ้า ่งอีกราคา นึง่
เวลาน้วี ั ดขุ ึ้นราคา ค่าแกลบ 1 ตนั 900 -1000 กวา่ บาท เป็นคันรถ ิบล้อ เม่ือกอ่ นคันละ 700-800 บาท
เมอื่ กอ่ นมี 4 เตา เวลานมี้ แี ค่ 2-3 เตา าเ ตทุ น่ี อ้ ยไปเพราะเปน็ งาน นกั อฐิ มอญจะทา� ทบ่ี า้ นบางขนั มาก
ทเี่ ดยี ว เมอื่ กอ่ นแถวบา้ นเบกิ อา่ งทอง คนไทย คนลาวทา� แตใ่ ชเ้ ครอื่ ง ทางนจี้ ะใชม้ อื ปน้ั มอื อฐิ ทที่ า� จากเครอ่ื ง
ไม่มีการ มกั ดิน เวลาอัดเข้าไปเมด็ ดนิ จะระเบิด ท�าใ ้อฐิ เปราะ อิฐมอญ แชน่ �้า มกั ดนิ ไว้ 1 คนื ดนิ มนั จะ
อยู่ตัว ก้อนดนิ ท่ีเป็นเมด็ กจ็ ะละลาย มดดินก็จะเปน็ เลน แลว้ เขาจะย่�าจนเ นยี วจนดินเปน็ มันแลว้ จึงเอา
429
นัง ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เนอ่ื งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
มาปนั้ ย่า� ดนิ จะเ นอื่ ยมาก ใช้จอบ บั (ฮะบอ็ ก) บางเตาเผาไม่ กุ จะท�าใ อ้ ฐิ เปือ่ ย เ ลาซ้อื ต้องดู ถ้าแดง
กแ็ ดง า่ กุ ใชไ้ ด้ ถา้ ดา� แ ดง า่ ไม่ ุกอย่าซือ้ ไมง่ ้ันก็แช่นา้� เลยกอ้ นทไี่ ม่ ุก แช่นา�้ แล้ จะละลาย ถ้าไม่ กุ
ปัจจุบันก็ยังท�าพิธีไ ้อยู่ ก็มีค�าพูด ่า “ ันน้ีลูกจะท�าพิธีเผาอิฐละนะ เอาเข้าเตาจะเผาแล้ ก็ขอขมาแม่
พระธรณี อยา่ ถอื โท เพราะเปน็ อาชพี ทลี่ กู ตอ้ งทา� มา ากนิ ” (ปทั มา ขา� ด,ี มั ภา ณ,์ 14 พฤ ภาคม 2549)
ภำพท่ี 1 การทา� อฐิ มอญภายในชุมชนไทย-รามัญ บางขัน มาก
การท�าอฐิ มอญภายในชมุ ชนไทย-รามญั บางขัน มาก ค่อนข้างมีกรรม ิธีเฉพาะตั เพราะการ
เรยี งอฐิ จะตอ้ งอา ยั เทคนคิ ขนั้ งู การเรยี งอฐิ ทเี่ ผาแล้ ตอ้ งเรยี งครง้ั ละไมต่ า�่ ก า่ 1 แ นกอ้ น และมคี าม
เชอ่ื ด้ ย า่ ชา มอญเ ลามกี าร รา้ ง ดั จะมกี ารเผาอฐิ มกี ารน ดดนิ ผ มแกลบ ใชจ้ อบผ ม จนเขา้ กนั แล้
กองไ ้เปน็ พะเนิน อกี ัน น่งึ จึงมาปั้นเปน็ อิฐ แล้ ตกแต่งใ ้ ยงาม
2. ภมู ิปญั ญำกำรท�ำเคร่อื งจักสำน
ชา ไทย-รามัญในต�าบลบางขัน มาก มีค ามคิด ร้าง รรค์ในการท�าเคร่ืองจัก าน ดังปรากฏ
ผลงานใ เ้ น็ อยา่ งประณตี แ ดงใ เ้ น็ ฝมี อื ของผจู้ กั าน า่ มคี ามเชย่ี ชาญการทา� เครอื่ งจกั าน แตใ่ น
ปัจจุบนั ขณะท่ผี ู้ จิ ยั ลงพ้นื ท่เี กบ็ ข้อมลู นัน้ การทา� เคร่อื งจัก านใกล้จะ ูญ ายไปจากชุมชนแล้ แตย่ งั มีผู้
ทรี่ ัก าภมู ิปัญญาการทา� เคร่ืองจัก าน ลงเ ลอื อยู่ ผู้ ิจยั เกบ็ ข้อมูลจาก คุณ มนกึ เปิน่ ง ์ ปจั จบุ ันอายุ
73 ปี มอี าชพี รบั จัก านกระบุงใช้และจ�า นา่ ย ฝีมือการทา� เครื่องจัก านของคณุ มนึกไดร้ ับยกย่องมาก
คุณ มนกึ จะใช้เ ลาช่ ง ยุดทา� นา เพื่อจัก านกระบงุ ซึง่ ภา ามอญเรยี ก า่ “ตานเนะ่ อ”์ จกั านกระดง้
เรียก า่ “กะแน” จัก านตะแกรง �า รับร่อนข้า เรียก า่ “แนเจ่ย”์ จกั านตะขอ้ ง �า รับใ ่ปลาเรยี ก า่
“ตัง” และ ุ่มเรียก ่า “กระรักด์” ในอดีตเม่ือถึงเท กาล งกรานต์ ชา บางขัน มากที่มีทัก ะการท�า
เครอ่ื งจกั านจะ รา้ ง รรคเ์ ครอ่ื งจกั านในช่ งเท กาล คณุ มนกึ ผบู้ อกขอ้ มลู กลา่ า่ “ทา� เครอื่ งจกั าน
ได้ 2 ค่กู ็พอเทย่ี งกรานตไ์ ดแ้ ล้ ซ่ึงใน มัยอดีตนั้นรา 60 ปกี ่อน การทา� เครอ่ื งจัก าน ขายคู่ละ 15-18
บาท ในปัจจบุ นั มคี ามเปลยี่ นแปลงทางเ ร ฐกิจอย่างร ดเร็ เครือ่ งจกั านจงึ ขายคลู่ ะ 1,600-1,800
บาท ซึ่งกรรม ิธีการท�าเคร่ืองจัก านน้ันจะต้องใช้ ั ดุอย่างดี ไม้คานต้องซ้ือมาจากจัง ัดตาก เครื่อง
จกั านทใ่ี ชง้ านนนั้ ่ น นง่ึ กเ็ พอ่ื นา� อา ารไปถ ายท่ี ดั เ ลาทา� บญุ เขา้ พรร า เท นม์ าชาติ มขี นมเทยี น
ขา้ ตม้ จะใ ไ่ ใ้ นกระบงุ ถา้ าบขา้ แช่ เรยี ก า่ “เนะอฮ์ ะเลย่ี ง” คณุ มนกึ กลา่ า่ ใน มยั กอ่ นชา บา้ น
นยิ มทา� กนั ทกุ บา้ น แตใ่ นปจั จบุ นั เ ลอื ตนเองอยคู่ นเดยี เยา ชนปจั จบุ นั ไมน่ ยิ มทา� กนั แล้ ( มนกึ เปน่ิ ง ,์
ัมภา ณ์, 14 พฤ ภาคม 2549) ภูมิปัญญาการท�าเครื่องจัก านภายในชุมชนไทย-รามัญ ต�าบลบาง
ขนั มากทา� ขนึ้ โดยมจี ดุ ประ งค์ ลกั คอื เพอ่ื ใช้ อยในงานเท กาลทาง า นา และเพอื่ รา้ งอาชพี ารายได้
ในครั เรอื น
430
ภำพที่ 2 การท�าเคร่ืองจกั านเพ่ือใช้ประโยชน์
3. ภมู ิปัญญำในเร่อื งอำ ำร
อา ารมอญถือได้ว่าเป็นภูมิปัญญาท่ีไม่เ มือนอา ารของคนชาติอื่น อา ารของชาวมอญ
มปี ระโยชน์ตอ่ ุขภาพ ทงั้ ใ ป้ ระโยชนต์ ่อระบบล�าไ ้ ระบบขับถ่าย ปอ้ งกนั โรคกระเพาะ ท้องไม่ผกู และ
ไมเ่ ปน็ โรคอว้ น ชนุ ชนไทย-รามญั ตา� บลบางขนั มาก นยิ มนา� ผกั มาปรงุ อา าร ซง่ึ จะมเี มอื กและร เปรยี้ ว
ผู้วิจยั งั เกตว่า ผกั เ ลา่ น้ี ่วนใ ญ่เป็นผกั พนื้ บา้ นนิยมปลูกกันตามริมรว้ั และตาม วน ผกั ท่ีนยิ มปลูก คือ
ลกู มะ นั 1 ภา ามอญเรียกว่า “อะล้อต” มี องชนิดคอื ชนิดทีม่ ขี ้วั เี ขียวและชนิดท่ีมขี ้ัว แี ดง ชาวมอญ
มักนิยมรับประทานชนิดขั้ว ีแดง ลูกมะ ันจะ าได้ท่ีป่าจัง วัดเมืองกาญจบุรี ราชบุรี มีร ชาติอร่อย
มะตาด มอญเรียกวา่ “ฮะปรา๊ วอ์” มี องชนิด มะตาดน�า้ ขา้ วเจ้ากบั มะตาดขา้ วเ นยี ว ชาวมอญมกั นยิ ม
ปรุงอา ารด้วยมะตาดข้าวเ นยี ว กระเจีย๊ บ มี องชนดิ คอื ชนดิ ทใ่ี ชน้ �ามาแกง ม้ รือมาผัด มอญเรยี กว่า
“ฮะเจบ๊ ” ชนิดทเี่ ปน็ ฝกั มอญเรยี กวา่ บอยอะตาด (กระเจีย๊ บผดั ) แกงพทุ รา มอญเรียกว่า “ควะ๊ อะโต”่
และท่ี �าคัญชาวมอญชอบรับประทานปลามากกว่าเน้ือ มู เป็ด ไก่ แกงเน้ือวัวมักจะมีในงานบวช
งานแต่งงาน เป็นต้น
อา ารมอญท่ีลพบุรีคล้ายกับแกงมอญในจัง วัดอ่ืน ๆ แต่จะใ ่เครื่องปรุงต่างกันไปตาม
งิ่ แวดลอ้ ม เช่น แกงเอ้อื ง (คว๊ะ เวะ )์ เน้นปลามาก แกงเอือ้ งใชม้ ะตาด (ฮะปร๊าวอ์) มะ ้าน (อะลอ้ ด)
และใชป้ ลาย่าง ปจั จบุ นั ใช้ มู ปลา ด แกง ยวกกล้วย (ไ ้กลว้ ย นอมเปรปราด) ฮะโตะ๊ ปราด (ปลกี ลว้ ย)
ขนมจนี ก็ต้องท�า น�า้ ยา น้�าพริก แกงพทุ ราจะแกงกบั ถว่ั แปบ รอื อาจจะแกงกับดอกบวั แกงผักบุ้งจะแกง
คัว่ ใ ่กระทอ้ น มนั นกจะแกงเลียง และมนั มือเ ือ
ขา้ วแช่ จะมปี ลายา� มะมว่ ง แตงไทย ตน้ เออื้ ง ตน้ ยาว ๆ เพรยี ว ขนึ้ ตามทงุ่ นา โ นคางคก (อะไลอล์ าว)
ขนมดว้ ง (กวานงต์ อยนะ )์ ดอก โน ข้ี นู ขนมตม้ (เลย้ี งผไี มค่ ลกุ มะพรา้ ว ใ น่ า้� ตาลปป๊ี ) แกงดอกพงั พวย
(ฮะบด) โ นคางคก ตมุ่ โปง (ผกั ปอด) แกงพทุ รากบั ดอกผกั บงุ้ ควะ๊ กรอว์ ซงิ เขอว์ (เปน็ ฝกั กลมยาว) ฮะเวซมุ่
(บวบงู) แกง ้ม แกงคั่ว น�้าพริก ุง (ใ พ่ ริก ม้ มะขาม กะทิ ใ ่ ยวกกล้วย ผกั บงุ้ ดอง)
1 ลกู มะ นั มีร ชาตเิ ปรีย้ ว มีเมอื ก เมือ่ นา� มาปรุงเป็นแกง ม้ รือแกงควั่ ้ม จะมีร ชาติกลมกลอ่ ม ชาวมอญจะ
กินค่กู ับปลาเค็ม (ท�าจากปลาตะเพียน) ซึง่ จะเขา้ กนั เป็นอยา่ งดี ข้อมูลจากผทู้ รงคุณวุฒพิ จิ ารณาบทความ ผ้วู จิ ยั เ น็ ว่าเปน็
เกร็ดความรทู้ ี่มปี ระโยชนย์ ่ิง
431
นงั ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เนอ่ื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
อนึ่งเมือ่ ถงึ เท กาลงานบุญตา่ ง ๆ ชา มอญบางขนั มากจะนยิ มท�าขนมต่าง ๆ เปน็ จ�าน นมาก
ขนมบางอยา่ งกจ็ ะนยิ มนา� มาใชเ้ ลยี้ งผี ดงั ที่ คณุ ปทั มา ขา� ดี ผบู้ อกขอ้ มลู กลา่ า่ “นอกจากขนมปง้ิ มขี นม
ดว้ ง (กวาญง์ ต๊อกอะนะ ์) ปะกรมิ กท็ า� กนิ กัน รือทา� ไปทา� บญุ ท่วี ดั ขนมเทียน (กวาญงก์ วี)่ ข้าวตม้ มดั
( ะโลม่ ) ขา้ วผดั ไมม่ ี มแี ตข่ ้าวตม้ มลู ถงึ เทศกาลก็มกี วนกะละแม เม่ือก่อนทา� ขนมบวั ลอยขนมดอกโ น
ขนมข้ี นู ยใี ต่ ะแกรง เมอ่ื กอ่ นคณุ ยายตา� แปง้ รอ่ นใ ซ่ ง้ึ ( ะเรงิ ) รอื วด เมอ่ื กอ่ นซง้ึ ไมม่ กี ใ็ ช้ วดดนิ ใ ญ่
แตข่ องเก่ายงั มีอยู่ ดินเผาเจาะรู ขนมตาลทา� เป็นกรวย ขนมฟกั ทอง แฟง ขนมฮะเปย่ี ง (ใช้เล้ยี งผี) ต�าแลว้
ก็ใช้งาโรย ใ ่เกลือ เมื่อก่อนใช้ครกไม้ (ฮะอี) ใช้ าก รือตะลุมพุก ท�ากันในเดือน ก” (ปัทมา ข�าดี,
ัมภา ณ์, 16 พฤ ภาคม 2549)
ภำพท่ี 3 การทา� ยา� มะม่ งช่ งเท กาล งกรานตข์ องชา มอญบางขัน มาก
4. ภมู ิปญั ญำกำรท�ำเตำปนู
ในเขตพ้ืนที่ต�าบลบางขัน มาก มีชา มอญผู้มีค าม ามารถท�าเตาปูนได้ อาจกล่า ได้ ่า
ชา บางขนั มาก เปน็ ผูค้ ดิ รา้ งต้นแบบเตาปนู และต่อมาได้ถา่ ยทอดใ ค้ นไทยและไทยอี าน จนการท�า
เตาปูนเปน็ อตุ า กรรมท่แี พร่ ลายในเขตชมุ ชนต่าง ๆ จากการ มั ภา ณ์ คุณปทั มา ข�าดี ผูบ้ อกข้อมลู
กล่า ่า “ มัยก่อนการ ร้างตึกจะนิยมใช้ปูนขาวผ มกันมาก แต่ในปัจจุบันใช้ ารเคมี มีคนจ้างไปท�า
เตาปนู เราก็ไปทา� ใ ้เขา การลงทุนทา� เตาจะลงทุนเปน็ เงินแ น ๆ แตเ่ ดี๋ยวนเ้ี ป็นลา้ น การทา� เตาปนู คน
มอญเปน็ คนท�า กอ่ ด้วยอิฐกบั ดิน แล้วก่อขึ้นไปจะมคี วาม นาประมาณ 1 เมตรกวา่ จะใช้ นิ ปนู เผา เป็น
กอ้ น ถ้าต้องการใ ้ละเอียดตอ้ งใช้น้า� ฉดี ใ ล้ ะเอยี ด พน่ เขาเรียกว่า “โชนปุ” แลว้ ก็ มกั ไวใ้ ร้ ะอุ ปูนขาว
เมอ่ื ถกู นา้� มนั กจ็ ะฟเู ปน็ ขยุ มด แลว้ กม็ ารอ่ น เอาปนู ทลี่ ะเอยี ด ๆ ใ ถ่ งุ ขาย การทา� เตาปนู คนบางขนั มาก
เป็นคนท�า ตระกูลคุณตามีอาชีพท�าเตาปูน เมื่อก่อนท�าปูนขาวขายเอง เม่ือก่อน น้าโรงเรียนวัดอัมพวัน
จะเป็นเตาปูนท้ังนั้น ปัจจุบันไม่ได้ท�าแล้ว แต่ถ้าใครจ้างก็ท�าได้ ใช้อิฐมอญ ท�าล่า ุดเม่ือ มัยเล็ก ๆ
เตา นง่ึ จะมอี ายุ ลาย บิ ปี เมอ่ื กอ่ นทา� เตาละ 3,000 กวา่ บาท เตาเลก็ เตาใ ญ่ เตาเลก็ คา่ แรง 3,000 กวา่
บาท วั ดขุ องเขา เราเพยี งแตเ่ มาทา� ตอ่ มาคา่ แรงขน้ึ เปน็ แปดพนั และเปน็ มนื่ ลา่ ดุ เปน็ า้ มนื่ ผจู้ า้ ง
ต้อง าวั ดุ ดิน แกลบใ เ้ รา เราใช้ฟนื ทา� ปัจจุบนั ฟนื มดปา่ ก็ใช้ นิ ลิกไนตแ์ ทน ประเทศไทยทัว่ จัง วดั
จา้ งเราใ ้ไปทา� ไมค่ อ่ ยไดอ้ ย่บู ้าน ไปมาทวั่ มดแล้ว ถึงใต้ เช่น พงั งา เตาปนู คนมอญบางขนั มากท�าเอง
การเผาตอ้ งใช้ นิ ปูน นิ ปนู จะน�ามาจากเขา มอคอน เปน็ เขา ินปนู ทั้ง ลัง เมือ่ ก่อนไมม่ ีรถ ก็ใชท้ างเรือ
432
เราใชเ้ รอื กะแชงใ ญ่ ๆ เมื่อกอ่ นท่ี น้าพระลานจัง ัด ระบุรี เปน็ แ ลง่ ทท่ี �าปูนขา มากท่ี ุด เพราะ า่
มีเขาปูนเยอะ คนมอญจะท�าเตาปนู เป็นคนแรก เมอ่ื คนไทย ลา เขมร มาท�ากบั เราเมื่อเปน็ แล้ ก็จะแยก
ไปท�าเองท่ีจัง ดั ราชบรุ กี ม็ ีคือทเี่ ขางู บางทลี กู ิ ย์เผาไม่ถูก ูตร เถา้ แก่กเ็ จ๊ง เพราะมันลงทุนมาก กต็ อ้ ง
ใ ้เราซอ่ ม ดัดแปลง การเผาใช้เ ลา 7 นั ถ้าเตาใ ญ่ก็ 8-9 นั นิ ปนู ต้องเผาใ ้ ุก เมอื่ เอาออกมากต็ ้อง
ใช้น�้าพ่นใ ่ ินจะเป็นก้อน ๆ จะมีโกดัง าง เ ลาน้ี น้าพระลานยังมีท�าอยู่ เ ลาน้ีมีบริ ัท ยามเผา
แตใ่ ช้น้�ามนั เตาเผา เราตอ้ งนา� ินลิกไนต์จากลา� ปาง ลานนา ล้ี เขามา ง่ ใ ้ เมื่อก่อนตันละ 300 เดยี๋ นี้ไม่
ได้แล้ ถ้าใ ้เราท�าก็ท�าได้ รูปของเตาจะเป็น ่ีเ ล่ียม ก ้างก่ี อก จะเอาก่ีตัน เผาครั้งละ 150 ตัน
เมอื่ กอ่ น 70-80 ตัน คุณตาตายไปเมื่ออายุเพิ่งออกจากโรงเรยี น พ. . 2511 ที่บา้ นน้จี ะท�าเตาปูน ท�าอฐิ
และ านกระบงุ ขนมอน่ื ๆ” (ปทั มา ขา� ด,ี มั ภา ณ,์ 16 พฤ ภาคม 2549) ผู้ จิ ยั พบ า่ ภมู ปิ ญั ญาการทา�
เตาปูนในชุมชนไทย-รามัญ ต�าบลบางขัน มาก เป็นค าม ามารถเฉพาะของผู้คนในเขตพื้นท่ีแ ่งน้ี
จากการ ังเกตเตาปูนท่ีผ่านกรรม ิธีขึ้นรูปเป็นที่เรียบร้อยแล้ จะมีค ามแข็งแรงคงทนและเนื้อปูนมี
ค ามละเอยี ด บางแ ง่ ทผ่ี ลติ เตาปนู ผทู้ า� จะมี ตู รเฉพาะและมลี กู ิ ยร์ บั ช่ งตอ่ ในการผลติ และนอกจาก
เตาปนู จะเปน็ อตุ า กรรมภายในชมุ ชนที่มชี ือ่ เ ียงแล้ ยงั เป็นทร่ี ้จู กั ภายนอกชุมชนด้ ย โดยการ ่าจ้าง
ใ ค้ นมอญบางขัน มากไปท�าเตาปูนใ ม้ ีมาตรฐานเช่นเดยี กบั ทีผ่ ลติ ภายในชุมชน
5. ภมู ิปญั ญำกำรปรงุ เครอื่ งยำ
เกดิ จากประเพณกี ารออกพรร า มกี ารตกั บาตรนา้� ผึ้ง เพอ่ื ปรุงเครื่องยา มนุ ไพร ผู้ ิจัยพบ า่
ภมู ปิ ญั ญาการปรงุ เครอ่ื งยาของชา มอญบางขนั มากนยิ มทา� กนั โดยพระ งฆอ์ นั เปน็ ทร่ี จู้ กั กนั ดี ซง่ึ ไดเ้ รยี น
และ ืบทอดค ามรู้การปรุงเครื่องยา มุนไพรต่อเน่ืองกันมา การรัก าผู้ป่ ยด้ ยยา มุนไพร ในอดีต
ณ ดั กลางเ ลาปรงุ เครอื่ งยาจะตอ้ งมพี ระอาจารยผ์ ใู้ ชพ้ ลงั จติ เปน็ ผจู้ ดั การพธิ ี ดงั ทคี่ ณุ แมท่ องม้ น รงุ้ ทอง
ผ้บู อกขอ้ มลู การ มั ภา ณ์ ได้ยกตั อย่างเช่น “พระอาจารย์เบียรัก าคนถกู งูกดั ก็จะเป่าด้ ยมนต์และก็
าย คนถกู มาบ้ากัด กใ็ ้กิน ข้า กบั เกลือ งา กนิ 7 นั าย การเข้าทรง ไม่คดิ เงิน ยาแก้ร้อนใน และ
แกเ้ ลอื ดออก” (ทองม้ น รงุ้ ทอง, ัมภา ณ,์ 17 พฤ ภาคม 2549) แ ล่งการปรุงเครือ่ งยาและแจกจา่ ย
ใน มชู่ า บา้ น กม็ าจาก ดั อนั เปน็ นู ยก์ ลางภายในชมุ ชน ชา มอญตา่ งยกยอ่ งพระอาจารยก์ า พระอาจารยง์ ยุ่
และ พระอาจารยเ์ นี่ยะ ณ ัดกลาง ซึ่ง บื ทอดองค์ค ามรกู้ ารปรุงเครอ่ื งยา เพ่ือดแู ล ขุ ภาพของผูเ้ จบ็ ไข้
ไดป้ ่ ย ในปจั จบุ นั ณ ดั ทุ่ง จะมียาโบราณแจก มียาประจา� เดอื น ทับไขท้ บั ระดู ดงั นัน้ เม่ือชา บา้ นภายใน
ชนุ ชนไทย-รามญั บางขนั มาก มอี าการเจบ็ ป่ ยกจ็ ะมาซอ้ื ยา มอ้ กนิ นอกจากนผ้ี ู้ จิ ยั ยงั พบ า่ ในปจั จบุ นั
ภมู ปิ ญั ญาการปรงุ เครอ่ื งยาไมไ่ ดม้ อี ยเู่ ฉพาะใน ดั ของชมุ ชนแล้ แตย่ งั บื ทอดตา� รายาใ แ้ กร่ า้ นยา มนุ ไพรด้ ย
เชน่ ตา� รายาของ า� นกั ดั กลางจะมอบยา มอ้ ฤดทู บั ไขใ้ ก้ บั รา้ น มอเปลง่ ทา่ โพธิ์ จงั ดั ลพบรุ ี
6. ภมู ิปญั ญำกำรท�ำเครื่องดักสัตวน์ ำ�้
ชา มอญมักจะอา ัยอยู่ใกล้แ ล่งน้�า พื้นที่ต�าบลบางขัน มากนั้นเป็นที่ลุ่มและมีแม่น้�าลพบุรี
ไ ลผ่าน เมื่อถึงเ ลา น้าฝน รือ น้าน�้า น้�าจะข้ึน ูง การปลูกบ้านเรือนจึงนิยมปลูกใต้ถุน ูง และมี
การใช้เรอื ัญจรทางนา�้ เ ลา น้านา้� พระภกิ ุบิณฑบาตด้ ยการพายเรอื ดังนน้ั ชา มอญจึงต้องท�าเครื่อง
จับ ัต ์น�้าซึ่งไม่ต่างกับเคร่ืองมือดัก ัต ์น้�าของไทย เช่น มีจ่ันงุ่ย เครื่องมือ �า รับช้อนกุ้ง เม่ือน�้าลด
433
นัง ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
กุ้งจะมีมากชา บ้านก็จะ ากุ้งช้อนกุ้งกัน ภูมิปัญญาที่ยังพบเ ็นได้อยู่ในชุมชนไทย-รามัญ ที่ต�าบล
บางขัน มาก จัง ดั ลพบุรตี ามท่ีกลา่ มาขา้ งต้น ะทอ้ น ถิ ชี ี ติ ของชา มอญไดเ้ ป็นอยา่ งดี โดยเฉพาะ
อยา่ งยง่ิ เราจะเ น็ ได้ า่ ถิ ชี ี ติ ของชา มอญทบี่ างขนั มาก มคี าม ามารถในเชงิ ชา่ ง การ รา้ ง รรคเ์ กยี่
กบั ิ่งกอ่ ร้าง ผูค้ นท่นี ่ี ลายครั เรอื นยดึ ถอื อาชีพการทา� อฐิ มอญ การทา� เตาปูน การปรุงเครอื่ งยา และ
การทา� เครอื่ งดกั ตั น์ า้� ซง่ึ รา้ งรายไดภ้ ายในชมุ ชนและยงั เปน็ ทร่ี จู้ กั ของคนนอกพน้ื ทเี่ ปน็ อยา่ งดี ในขณะ
ที่การ ุงอา ารก็ยังคงปลูกผักไ ้กินเอง เป็นการใช้ชี ิตแบบพอเพียง อย่างไรก็ดีเราจะพบ ่าภูมิปัญญา
บางด้านกใ็ กล้ ญู ายไปดังเชน่ เตาปนู
อภปิ รำยผลกำรวิจัย/Discussions
ตา� บลบางขนั มากเปน็ ชมุ ชนทมี่ ชี า มอญอา ยั อยเู่ ปน็ เ ลายา นาน รา รอ้ ยก า่ ปมี าแล้ ชา มอญ
อพยพมาตง้ั ถน่ิ ฐานบา้ นเรอื นบรเิ ณ องฝง่ั ลา� นา�้ ลพบรุ ี จากการลงพนื้ ทผี่ ู้ จิ ยั ไดข้ อ้ มลู ทน่ี า่ นใจ า่ ชมุ ชน
แ ง่ นย้ี งั คงอนรุ กั ์ ถิ ชี ี ติ ของชา มอญไ ไ้ ดเ้ ปน็ อยา่ งดี ทงั้ นเี้ พราะ ภาพ งิ่ แ ดลอ้ มภายในชมุ ชน ง่ เ รมิ
การใชช้ ี ติ อยา่ งพออยู่ พอเพยี ง มคี าม ขุ งบ การประกอบอาชพี เก ตรกรรมของผคู้ นในชมุ ชน คอื ทา� นา
ซึ่งเ มาะ มกบั พื้นทท่ี รี่ าบลุ่ม โดยรับนา�้ จากแมน่ �้าลพบรุ ที ไี่ ลผ่าน ค ามผ มกลมกลืนระ ่างชี ติ ของ
ผู้คนกบั ธรรมชาติ คือ ายน้�า น้ีเอง จงึ เป็น ิ่ง า� คัญท่ชี า มอญบางขัน มากใชช้ ี ิตเรียบงา่ ย และพอใจใน
ค ามเป็นอยขู่ องตน ถงึ แม้จะมกี ารเปลยี่ นแปลง ถิ ชี ี ิตชา มอญในบาง ่ นไปบ้างแล้ เช่น การแตง่ กาย
ของคน นมุ่ า ปจั จบุ นั ซง่ึ ปรบั เปลยี่ นไปจากการแตง่ กายแบบชา มอญ จะยงั คงพบการแตง่ กายแบบ ถิ ี
มอญอยกู่ ใ็ นกลมุ่ ผู้ งู ยั รอื การทเี่ ยา ชนรนุ่ ใ ม่ กึ าในระบบของโรงเรยี น ใชภ้ า าไทยเปน็ ภา า ลกั
จงึ ไมน่ ยิ มอา่ นเขยี น นงั อื รามญั ( นงั อื อนุ รณง์ านพระราชทานเพลงิ พ า ตราจารยเ์ กยี รตคิ ณุ นาย
แพทย์ ุเอ็ด คชเ นี, 2551) ร มทั้งการก่อ ร้างบ้านเรือนที่นิยมปลูกตาม มัยใ ม่ แต่ ิถีชี ิตของ
ชา ไทย-รามญั ภายในชมุ ชนบางขนั มากยงั คงรกั า ฒั นธรรมมอญไ ไ้ ด้ เนอื่ งจากยงั มผี ู้ งู อายทุ ย่ี งั คงใ ้
ค าม �าคัญกับการประกอบพิธีกรรม และค ามเชื่อค าม รัทธาในพระพุทธ า นา และการนับถือผี
อันเป็น ่ นผ าน ถิ ชี ี ติ ของคนรุ่นเก่าและคนรนุ่ ใ ม่ไ ไ้ ดอ้ ยู่
การประกอบพิธีกรรม ค ามเช่ือ ค าม รัทธาในพระพุทธ า นา และการนับถือผีเป็น
่ิง �าคัญที่ ะท้อน ิถีชี ิตของชา มอญบางขัน มากไ ้ได้ชัดเจนที่ ุด เท กาลอันเน่ืองจากพิธีกรรม
ชา ไทย-รามญั ในชมุ ชนบางขนั มากจะจดั ขน้ึ อยา่ งยงิ่ ใ ญ่ มผี รู้ ่ มงาน ลายช่ ง ยั ทกุ ครงั้ ทจี่ ดั งานจะมี
การร มกลมุ่ กันอยา่ งเ นยี แน่น รือในกรณีประเพณีทเ่ี กย่ี กบั งาน พ เช่น ประเพณีมอญรอ้ งไ ้ ผู้ที่
เกี่ย ข้องกับพธิ ีจะเป็นผู้ งู ยั ทร่ี ู้ขัน้ ตอนเก่ีย กบั พิธีเปน็ อย่างดี รอื การไ ผ้ ีโรง รือร�าผีโรง ซึ่งตอ้ งจดั
ข้ึนเป็นประจ�าทุกปีน้ัน คนที่เป็นโต้งจะ ืบทอดการท�าพิธีน้ีใ ้แก่ลูก ิ ย์ซ่ึงได้เลือกไ ้แล้ เพราะฉะน้ัน
การ ืบทอดประเพณี ัฒนธรรมชา ไทย-รามัญในชุมชนบางขัน มาก ยังคงมีผู้ถ่ายทอดอนุรัก ์ไ ้ใ ้กับ
คนรุ่นใ ม่ แม้ ่าค ามเปลี่ยนแปลงจากภายนอกจะมีอิทธิพลต่อการด�าเนินชี ิตของคนรุ่นใ ม่ ากแต่
ประเพณี ฒั นธรรมอนั ดงี าม ซง่ึ เปน็ งิ่ ทมี่ คี ณุ คา่ ในดา้ นภมู ปิ ญั ญายงั คงมกี าร บื ทอดจากผใู้ ญ่ รู่ นุ่ ลกู รนุ่
ลานอยา่ งตอ่ เน่ือง
434
ค ามเชื่อในแบบแผน ัฒนธรรมประเพณีที่ชา มอญในชุมชนไทย-รามัญ ต�าบลบางขัน มาก
ยึดถือกันน้ัน แ ดงออกใ ้เ ็นผ่านการท�าอิฐมอญ การท�าเครื่องจัก าน การท�าอา าร การท�าเตาปูน
การปรุงเคร่ืองยา และการท�าเคร่ืองดัก ัต ์น�้า ซึ่งจะผ มกลมกลืนไปกับค ามเชื่อที่แฝงอยู่ในภูมิปัญญา
เ ลา่ นี้ ดงั เช่นการทา� อฐิ มอญซึ่งยังคงเป็นอุต า กรรม รา้ งรายได้ภายในชมุ ชนนั้น ผู้ ิจัยพบ า่ ผทู้ �าการ
ผลติ จะใ ค้ าม า� คญั กบั ค ามเชอื่ ในเรอ่ื งการเซน่ ร งบชู า ลา� ดบั ขนั้ ตอนตา่ ง ๆ ทม่ี แี บบแผนของพธิ กี รรม
เพราะกระบ นการผลิตอิฐมอญโดยน�าอิฐเข้าเตาเผา จะต้องท�าพิธีเซ่น ร งต่อพระแม่ธรณี ซ่ึงนอกจาก
จะ รา้ งค ามอ่นุ ใจแก่ผู้ผลิตแล้ ยงั เปน็ ค ามเชือ่ ทเี่ กย่ี ข้องกบั การนบั ถอื ผีแฝงอย่ดู ้ ย
ผู้ ิจัยเ ็น ่า ิถีชี ิตที่งดงามของชา มอญในชุมชนไทย-รามัญ ต�าบลบางขัน มาก แ ดงออก
ผ่านค ามพิถีพิถันของภูมิปัญญาในทุกด้าน โดยเฉพาะภูมิปัญญาการท�าเตาปูนของชา ไทย-รามัญบาง
ขัน มากในอดีต ร้าง รรค์ข้ึนโดยเป็นต้นแบบการท�าเตาปูนใ ้แก่ชนชุมภายนอกพื้นที่ได้เรียนรู้ รือ
ภมู ิปัญญาการท�าเคร่อื งจกั านซ่ึงใน มัยอดตี น้นั ผูค้ นในพื้นทีต่ �าบลบางขัน มากมฝี ีมือ ร้าง รรคเ์ ครื่อง
จกั านไดท้ กุ ครั เรอื น แตเ่ มอ่ื เ ร ฐกจิ เปลย่ี นแปลง งิ่ ของอา� น ยค าม ะด ก บายมกี ารนา� เขา้ มาจาก
พน้ื ทภี่ ายนอกชมุ ชน การทา� เครอ่ื งจกั านทแี่ ดงฝมี อื ของชา บางขนั มาก ซงึ่ ากยงั ไมม่ กี าร บื ทอดและ
เรียนรู้ภูมปิ ญั ญาการท�าเตาปูนและเคร่อื งจกั านโดยการ ่งเ รมิ ของชุมชน งั คม องค์กรตา่ ง ๆ และจาก
รัฐแล้ ภมู ปิ ัญญาดงั กล่า กอ็ าจจะไม่เปน็ ที่รู้จักอกี ต่อไปแล้
เนื่องจากชา มอญในชุมชนไทย-รามัญ ต�าบลบางขัน มาก จัง ัดลพบุรีมี ิถีชี ิตท่ีเรียบง่าย
เน้นค ามพอเพียง พออยู่ พอกิน ใกล้ชิดกับธรรมชาติคือแ ล่งน�้า พื้นที่ของชุมชนเป็นท่ีราบลุ่มมีแม่น�้า
ลพบรุ ไี ลผา่ น ในฤดฝู นนา้� จะ ลากท่ มเปน็ บางแ ง่ พนื้ ทที่ ใี่ ชท้ า� นาอยบู่ รเิ ณ ลงั มทู่ ่ี 9 และอยรู่ ะ า่ ง
มทู่ ่ี 10 และ มู่ท่ี 11 ซ่ึงมคี ลองชลประทานไ ลผา่ นจงึ เ มาะแกก่ ารท�านาอันเป็นอาชพี ลกั อาชพี นง่ึ
ของชุมชน ภูมิปัญญาในเรื่องของอา ารจึงแ ดงออกใ ้เ ็นผ่านการประกอบอา าร ลายชนิดโดยใช้
ตั ถดุ บิ จากธรรมชาตเิ ปน็ ลกั ทง้ั ผกั ปลา และพชื ผลทนี่ ยิ มปลกู ในแตล่ ะบา้ น ภมู ปิ ญั ญาการทา� เครอื่ งดกั
ตั น์ า�้ กเ็ ปน็ ตั อยา่ งชดั เจน า่ ผคู้ นในเขตพน้ื ทผ่ี กู พนั กบั แมน่ า�้ ากมเี ลา า่ งยามใดกจ็ ะทา� เครอื่ งดกั ตั ์
น�้าเพอ่ื ใช้ประโยชน์กนั เกอื บทกุ ครั เรอื น นอกจากนใี้ นยามเจ็บไขไ้ ด้ป่ ย ผูค้ นภายในชุมชนจะรัก าด้ ย
ยา มนุ ไพร โดยเฉพาะยา ม้อซ่ึงมี ูตรรัก าโรคตา่ ง ๆ ได้ ดงั น้นั ภูมิปัญญาในเรือ่ งของการปรงุ เคร่ืองยา
จงึ เป็นการผลติ ยา มุนไพร รอื จากตั ยาตา่ ง ๆ ซึ่ง าไดจ้ าก ภาพแ ดล้อมทางธรรมชาติ และพระใน ัด
อันเป็น ูนย์กลางของชุมชน มีค ามรู้ในเร่ืองการปรุงเคร่ืองยาและการรัก าโรคจะเป็น ูนย์กลางในการ
ดูแลรัก า ุขภา ะของผูค้ นภายในชุมชนอย่างยา นาน
สรปุ ผลกำรวจิ ยั /Conclusions
จากการเก็บข้อมูลภมู ปิ ญั ญาท้องถ่นิ ของชา มอญในชุมชนไทย-รามญั ต�าบลบางขัน มาก โดย
ังเคราะ ์ข้อมูลจากการลงพ้ืนท่ีภาค นาม ังเกตการณ์ภายในชุมชนท่ีลงพ้ืนที่ และเก็บข้อมูลโดยการ
ัมภา ณ์ ในขอบเขตของภมู ปิ ญั ญา 6 ดา้ น คอื 1. ภูมิปญั ญาการท�าอฐิ มอญ 2. ภูมปิ ญั ญาการทา� เครอ่ื ง
จกั าน 3. ภมู ปิ ญั ญาในเรอ่ื งอา าร 4. ภมู ปิ ญั ญาการทา� เตาปนู 5. ภมู ปิ ญั ญาการปรงุ เครอื่ งยา 6. ภมู ปิ ญั ญา
การท�าเครอ่ื งดัก ัต น์ า�้ งาน จิ ยั น้ีพบ า่ ภมู ิปัญญาท้งั 6 ด้านน้เี ป็น ่งิ แ ดงใ ้เ น็ ิถีชี ิตของชา มอญ
435
นงั ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เนือ่ งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ในชมุ ชนไทย-รามญั ตา� บลบางขนั มาก ซงึ่ ยงั คงรกั าอตั ลกั ณค์ ามเปน็ มอญไ ไ้ ดอ้ ยา่ งชดั เจน ภมู ปิ ญั ญา
บางดา้ นมกี ารเกาะกลมุ่ ร มตั กนั ของชา ชมุ ชนในการประกอบอาชพี โดยถา่ ยทอดภมู ปิ ญั ญาจากรนุ่ รู่ นุ่
มายา นาน พบเ ็นได้จาก ิถีชี ิตการประกอบอาชีพทีท่ �ากนั เปน็ ลา่� เป็น ันคอื ภมู ปิ ัญญาการท�าอิฐมอญ
และภมู ปิ ญั ญาการทา� เตาปนู ซงึ่ แ ดงใ เ้ น็ ค ามเชย่ี ชาญในดา้ นทกั ะและค ามรขู้ องผปู้ ระกอบอาชพี
นซ้ี งึ่ เปน็ เอกลกั ณข์ องการ รา้ งรายไดภ้ ายในชมุ ชน และเปน็ แบบอยา่ งทชี่ มุ ชนภายนอกพน้ื ทตี่ า่ งยอมรบั
ในค าม ามารถของชา ไทย-รามัญบางขัน มาก ในขณะท่ีภูมิปัญญาที่ชา ไทย-รามัญบางขัน มากยัง
ปฏิบัติกันอยู่ในทุก ันนี้ก็คือ เรื่องอา าร พอถึงช่ งเท กาลงานบุญชา บ้านจะท�าขนมต่าง ๆ มากมาย
ภมู ปิ ญั ญาบางอย่างนนั้ เกยี่ ข้องกับ ุขภา ะทางกายและใจ คือ การปรุงเครื่องยา การรกั าโรค การท�า
พธิ เี พอ่ื ใ ร้ า่ งกายผปู้ ่ ยแขง็ แรงขน้ึ โดยมพี ระเปน็ ผทู้ า� พธิ ี และภมู ปิ ญั ญาทเ่ี กยี่ ขอ้ งกบั ถิ ชี ี ติ ของผคู้ นอกี
อยา่ ง นึ่งกค็ อื การท�าเครอ่ื งมือจับ ตั น์ า�้ ซึง่ ถอื เปน็ ภมู ปิ ญั ญาที่ บื ทอดมานานภายในชมุ ชน
436
บรรณำนกุ รม/References
นัง ือ
จิตรานุช ปานขา . (2551). “ผู้ ญิงม ญกับพิธีกรรมค ามเช่ื เก่ีย กับผี: กรณี ึก าชุมชนม ญ
บางขัน มาก �าเภ เมื งลพบุรี จัง ัดลพบุรี.” ิทยานิพนธ์ ิลป า ตรม าบัณฑิต
( ตรี ึก า) ม า ทิ ยาลัยเชยี งใ ม.่
ไฉน น กุล. (2535). “การธา� รงชาตพิ นั ธุแ์ ละการผ มกลมกลนื ข งชา ม ญ: กึ าเฉพาะกรณชี ุมชน
ม ญบางขัน มาก จัง ัดลพบุรี.” ิทยานิพนธ์มานุ ย ิทยาม าบัณฑิต ( ังคม ิทยาและ
มานุ ย ิทยา) จุ าลงกรณม์ า ทิ ยาลยั
ท ี แก่นค�า. (2537). “ ิฐบางขนั มาก.” ใน ยำมอำรยะ. 2, 23: 23-40.
ภธู ร ภมู ะธน และคณะ. (2540). มอญบำงขนั มำก. ลพบรุ :ี นู ย์ ลิ ป ฒั นธรรม ถาบนั ราชภฏั เทพ ตร.ี
นงั อื อนุ รณ์งำนพระรำชทำนเพลิง พ ำ ตรำจำรย์เกียรตคิ ณุ นำยแพทย์ ุเอด็ คชเ น.ี (2551).
กรงุ เทพฯ: บริ ทั เทค็ โปรโมชนั่ แ นด์ แ ด็ เ รไ์ ทซซง่ิ จา� กดั . นงั ื นุ รณง์ านพระราชทาน
เพลงิ พ า ตราจารยเ์ กยี รตคิ ณุ นายแพทย์ เุ ด็ คชเ นี ณ เมรชุ ั่ ครา ดั ทรงธรรม ร ิ าร
�าเภ พระประแดง จงั ัด มทุ รปราการ นั จนั ทรท์ ่ี 2 มิถุนายน พทุ ธ กั ราช 2551.
งค์ บรรจุน. (2552). “ ตรมี ญในราช �านัก ยาม.” ใน มอญในแผ่นดนิ ยำม. กรุงเทพฯ: ถาบัน
เ เชีย ึก า จุ าลงกรณ์ม า ิทยาลัย.
มั ภำ ณ์
จา� ปี ซ่ื ัตย์. (2549). มั ภา ณ์, 14 พฤ ภาคม.
ปทั มา ข�าดี. (2549). มั ภา ณ,์ 14, 16 พฤ ภาคม.
มนึก เปนิ่ ง .์ (2549). ัมภา ณ์, 14 พฤ ภาคม.
ท งม้ น รงุ้ ท ง. (2549). ัมภา ณ,์ 17 พฤ ภาคม.
437
นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
438