The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชุมทางวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ARC Archaeology, 2021-01-04 05:07:44

หนังสือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชุมทางวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร

หนังสือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชุมทางวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร

ากอย่ใู น ภา การณ์ทปี่ กติ ปรา จากค ามขดั แย้งใด ๆ พ้ืนท่ที ี่ ดแคบลงเชน่ นี้อาจ ่งผลใ ้
คนในบา้ นนามคี าม มั พนั ธใ์ นลกั ณะคนแปลก นา้ ทค่ี นุ้ เคย พบเจอกนั ระ า่ งการเดนิ ทาง ตลาด รอื
น้�าชา เมื่อเข้าไปในเมืองอาจทักทายใกล้ชิดกันมากข้ึนเพราะเคยเ ็น ่าเป็นคนจากบ้านเดีย กัน แต่ด้ ย
ค ามรนุ แรงทถ่ี มทบั ค ามรู้ กึ และค าม มั พนั ธร์ ะ า่ งกนั อยา่ งตอ่ เนอื่ ง แปรเปลยี่ นใ ค้ นบา้ นนากลาย
เปน็ “คนคนุ้ เคยทแี่ ปลก นา้ ” คนทเ่ี คยเปน็ เพอ่ื นรจู้ กั กนั แตไ่ มก่ ลา้ ทกั ยั รนุ่ ทเ่ี คยขม่ี อเตอรไ์ ซคผ์ า่ น นา้
บ้าน รอื นทาง กลบั เป็นคนทนี่ ่ากลั และ าดระแ งเมือ่ ขรี่ ถติดตามมาในระยะใกล้

คนคุ้นเคยท่ีแปลก น้าในที่น้ีจึงแตกต่างอย่าง ิ้นเชิง กับคนแปลก น้าที่คุ้นเคยดังท่ีกล่า มา
ด้ ยค าม ัมพันธ์ในช่ งแรกเกิดจากค ามใกล้ชิด เคย ัมพันธ์ประ น่ึงเป็นคนภายในกลุ่มเดีย กัน
(คนบา้ นเดยี กนั ) ตอ่ มาจงึ เกดิ ระยะ า่ งทถี่ า่ งก า้ งขนึ้ โดยมเี ตปุ จั จยั จากอารมณค์ ามรู้ กึ ทเี่ ปน็ ผลพ ง
จากค ามรนุ แรงยดื เยอ้ื การขาดโอกา ไดพ้ บเจอในชี ติ ประจา� นั ด้ ยเ ตแุ ง่ พล ตั ของ า นา เ ร ฐกจิ
และ ังคมในพืน้ ท่ี ค าม มั พนั ธใ์ นลัก ณะของคนค้นุ เคยทแี่ ปลก น้าจึงอาจกลับมาใกลช้ ดิ ไ ้ างใจกนั
ไดย้ ากก า่ คนแปลก น้าท่ีคุ้นเคย

ด้ ยเพราะตน้ ทนุ ค าม มั พนั ธข์ องผคู้ นตา่ ง า นา เปน็ เ า ลกั ท่ี า� คญั ในการกอ่ กา� แพงปอ้ งกนั
ค ามรนุ แรงทเี่ กดิ ขนึ้ ทงั้ ยงั เปน็ ไมค้ า�้ จนุ นั ตภิ าพใ ย้ งั่ ยนื ใน นั นที้ คี่ ามรนุ แรงเรอื้ รงั มาก า่ ท รร ครงึ่
ค ามทา้ ทายในการแกป้ ญั าค ามไม่ งบในจงั ดั ชายแดนภาคใตจ้ งึ ไมไ่ ดม้ เี พยี งแคท่ า� อยา่ งไรจะยตุ คิ าม
รนุ แรงทเ่ี กดิ ขน้ึ แตจ่ ะฟน้ื ฟคู ามค าม มั พนั ธข์ องผคู้ นเ ลา่ นใ้ี ก้ ลบั มาเปน็ ตน้ ทนุ ทแี่ ขง็ แกรง่ ในการดา� รง
ชี ติ อยรู่ ่ มกนั ในชมุ ชนไดอ้ ยา่ งไร จะแปรเปลย่ี นคนคนุ้ เคยทก่ี ลายเปน็ คนแปลก นา้ ใ ก้ ลบั มาเปน็ เพอ่ื น
เป็นพ่นี อ้ ง เปน็ คนคุ้นเคยกันได้อย่างไร

339

นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

บรรณำนกุ รม

ภำ ำไทย

กติ ติ รตนฉ ย . (2532). “ปญั ค ม มพนธร์ ่ งช ไทยพทุ ธแล ช ไทยมุ ลมิ ในจง ดช ยแดน
ภ คใต้.” เ ก ร จิ ย ่ นบคุ คล ิทย ลยป้ งกนร ช ณ จกร.

โครงกำร ึก ำพัฒนำระบบคุ้มครอง ิทธิและเ รีภำพ และกำรไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพำทในชุมชน
กรณี ึก ำต้นแบบชมุ ชน มำนฉันทภ์ ำคใต.้ (2547). บ้ นเชงิ เข : โรงพมิ พม์ ิตรภ พ.

ฉ ี รรณ รรณปร เ รฐิ , พรี ย ร ิมมูล แล ม นพ จิตตภ์ ู . (2524). ประเพณีท่ีช่ ย ่งเ ริมกำร
ผ มผ ำนทำง งั คมระ ำ่ งชำ ไทยพทุ ธกับชำ ไทยมุ ลิม. ปตั ต น:ี ภ ค ชิ งคม ตร์
คณ มนุ ย ตรแ์ ล งคม ตร์ ม ทิ ย ลย งขล นครินทร์ ทิ ย เขตปัตต น.ี

ชตุ นิ ธร ฒนกลุ . (2537). “กรื เซ : ค ม มพนธ์ร ่ งช ตพิ นธ์ุ ปรมปร นยิ ยแล พิธกี รรม.”
ิทย นิพนธ์ ภ ค ชิ งคม ิทย แล ม นุ ย ทิ ย คณ รฐ ตร์ จุ ลงกรณ์ม ิทย ลย.

นนทิย พิมล ิริพล. (2543). “ค ม มพนธ์ร ่ งชุมชนช จีนกบชุมชนมุ ลิมในจง ดปัตต นี
กรณี ึก ุ นลิ้มก่ เ น่ีย พ. .2501-2533.” ิทย นิพนธ์ภ ค ิช ปร ติ ตร์
คณ ก ร ตร์ จุ ลงกรณม์ ิทย ลย.

ป ลติ ผ่ งแผ้ . (2528). “ค ม มพนธร์ ่ งช ไทยพุทธกบไทยมุ ลิมในจง ดนร ธิ ึก
ร ย ่ งท ง งคมเฉพ กรณ.ี ” ทิ ย นพิ นธ์ งคม ทิ ย ม บณฑติ ข ชิ งคม ทิ ย แล
ม นุ ย ิทย บณฑิต ทิ ย ลย จุ ลงกรณม์ ิทย ลย.

พทธธ์ รี น ค ไุ รรตน.์ (2556). “‘คนกลมุ่ น้ ยนดิ ’ กบ ‘ชี ติ แ ง่ ก รต่ ร ง’ ในบรบิ ทค มรนุ แรงถงึ ต ย:
กรณี ึก ช ค ท ลิกในปัตต นี.” ดุ ฎีนิพนธ์ปรชญ ดุ ฎีบณฑิต ข ิทย ก ร
ม ทิ ย ลยธรรม ตร์.

แพร ิริ กด์ิด� เกิง. (2546). “ปฏิ มพนธ์ร ่ งช มล ยูมุ ลิมแล ช จีนในย่ น ยกล ง
จง ดย ล .” ทิ ย นพิ นธ์ ภ ค ชิ ม นุ ย ทิ ย คณ โบร ณคดี ม ิทย ลย ลิ ป กร.

แพร ิริ กดด์ิ � เกิง. (2548). “ก่ นก ลไมม่ ี “ ม นฉนท์” เร ยู่ร่ มกน ย่ งไร?” ใน นัง อื ิชำกำร
ฉบับ มำนฉันท์, 336–349. กรุงเทพ : ฟเซ็ท เพร . (เน่ื งในง นเม ลิดกล งแ ่ง
ปร เท ไทย 19–22 พฤ จิก ยน 2548).

340

แพร ิริ ักด์ิด�าเกิง และนิ าชล ชัยมงคล. (2562). โครงกำร ิจัยติดตำมประเมินผลกระบ นกำร
และกำรดำ� เนนิ งำนโครงกำรทกั ะ ฒั นธรรในพน้ื ทน่ี ำ� รอ่ ง จงั ดั ชำยแดนภำคใต.้ กรงุ เทพฯ:
ูนย์มานุ ย ทิ ยา ิรินธร

ไิ ล รรณ จง ไิ ลเก ม. (2555). “พน้ื ที่ “ นั ติ ขุ ” ใน ถานการณค์ ามรนุ แรง: กรณี กึ าตา� บลทรายขา
�าเภ โคกโพธิ์ จัง ัดปัตตานี.” ดุ ฎีนิพนธ์ปรัชญาดุ ฎีบัณฑิต าขา ิทยาการ
ม า ิทยาลยั ธรรม า ตร.์

รตั ตยิ า าและ. (2544). กำรปฏิ มั พนั ธร์ ะ ำ่ ง ำ นกิ ทป่ี รำกฏในจงั ดั ปตั ตำนี ยะลำ และนรำธิ ำ .
กรุงเทพฯ. ูนย์ นัง ื จุ าลงกรณ์ม า ิทยาลัย.

รยุทธ เ ี่ยมเ ื้ ยุทธ. (2551). “‘ปาเยาะ ์เนาะดีนายู’ (มันยากท่ีจะเป็นนายู): ค ามเป็นชาติพันธุ์
ค าม มาย และการต่ ร งข งมลายูในชี ิตประจ�า ัน.” ิทยานิพนธ์ าขามานุ ย ิทยา
คณะ ังคม ิทยาและมานุ ย ิทยา ม า ทิ ยาลยั ธรรม า ตร.์

รรยา กุลท ี. (2548). “ปฏิ ัมพันธ์ระ ่างชา ไทยพุทธและชา มลายูมุ ลิม กรณี ึก า: ชุมชน
ั ค นและชมุ ชน ั ะพาน ะเตง จัง ัดยะลา.” งาน จิ ัย ่ นบคุ คล ภาค ชิ ามานุ ย ทิ ยา
คณะโบราณคดี ม า ทิ ยาลัย ิลปากร.

ุทธิพง ์ พร มไพจิตร และคณะ. (2520). กำร ึก ำปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อค ำม ัมพันธ์ระ ่ำง
ไทยพทุ ธกบั ไทยมุ ลมิ จัง ดั ปัตตำนี. ปตั ตำนี : ม า ิทยาลัย งขลานครินทร.์

ลิ า ะ าเมาะ. (2543). “ค าม า� นกึ ในเ กลกั ณท์ างชาตพิ นั ธข์ุ งชา ไทยมุ ลมิ ในชมุ ชนรื เ าะ.”
ิทยานพิ นธ์ าขา ชิ า งั คม ิทยาและมานุ ย ทิ ยา คณะรฐั า ตร์ จุ าลงกรณ์ม า ทิ ยาลัย.

ารง ทุ ธา า น.์ (2519). ปัญ ำค ำมขัดแย้งใน ่จี ัง ดั ภำคใต.้ กรุงเทพฯ : พิทัก ป์ ระชา.

ิมร น มะลูลีม. (2538). ิเครำะ ์ค ำมขัดแย้งระ ่ำงรัฐบำลไทยกับมุ ลิมในประเท ไทย: กรณี
ึก ำกลุ่มมุ ลมิ ในเขตจงั ัดชำยแดนภำคใต้. กรุงเทพฯ: �านกั พมิ พ์ ิ ลามมิค ะเคเดม.ี

ภำ ำตำ่ งประเท

Azar, Edward E. (1978). “Protracted Social Conflict Theory and Practice in the Middle
East.” Journal of Palestine Studies 8, 1: 41-60.

341

นัง ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

Bramsen, Isabel and Poder, Poul. (2018). Emotional Dynamics in Conflict and Conflict
Transformation. Berghof Handbook for Conflict Transformation. Berlin: Berghof
Foundation. Online Edition. Avialable from http://www.berghof-foundation.org/
fileadmin/redaktion/Publications/Handbook/Articles/bramsen_poder_handbook.
pdf. First launch Febuary15, 2018.

Cornish, Andrew. (1997). Whose Place is This? Malay Rubber Producers and Thai
Government Officials in Yala. Thailand: White Lotus Press.

Chavivun Prachuabmoh. (1980). “The Role of Women in Maintaining Ethnic Identity and
Boundaries: A case of Thai Muslims (The Malay-speaking Group) in Southern
Thailand.” Ph.D. dissertation in anthropology, University of Hawaii.

Chavivun Prachaubmoh. (1982). “Ethnic Relations Among Thai, Thai Muslim, and
Chinese in South Thailand.” In Ethnicity and Interpersonal Interaction a
Cross Culture Study, 63-84. Edited by Wu, David Y.H. Singapore: Koon Wah
Printing Pte Ltd.

Dorairajoo, Saroja. (2002a). “‘No Fish in the Sea’: Thai Malay Tactics of Negotiation in Time
of Scarcity.” Dissertation, Harvard University, USA.

. (2002b). “Thai-icizing the Malays: A Local Response to an Environmental
Crisis.” National University of Singapore presented at the First Inter-Dialogue
conference in Southern Thailand, Pattani, 13-15 June 2002. Prince of Songkla
University, Pattani.

Horstmann A. (2004) “Ethnohistorical Perspectives on Buddhist-Muslim Relations and
coexistence in Southern Thailand: From Shared Cosmos to the Emergence
of Hatred?” Journal of Social Issues in Southeast Asia. 19, 1 (2004): 76-99.

Laderach, John Paul. (1997). Sustainable Reconciliation in Divided Societies. USA:
United States Institute of Peace Press.

342

การเมืองแบบบา้ น ๆ
ของคนบ้านโคกในการจัดการกับการขาดแคลนน้�า*

วราภรณ์ มนต์ไตรเวศย์**
Varapon Montrivade

* บทค ามนเี้ ปน็ ่ น นง่ึ ของงาน จิ ยั เรอ่ื ง การเมอื งเรอ่ื งนา้� : กรณี กึ าชมุ ชนเก ตรกรรมแ ง่ นง่ึ ในจงั ดั
ุพรรณบรุ ี (WATER POLITICS: A STUDY OF AGRICULTURAL COMMUNITY IN SUPHANBURI PROVINCE) ไดร้ ับ
ทนุ นบั นนุ การ จิ ัยจากกองทุน ิจยั และ รา้ ง รรคค์ ณะโบราณคดี ครัง้ ที่ 2 ประจ�าปกี าร ึก า 2559

** ผู้ช่ ย า ตราจารยป์ ระจา� ภาค ชิ ามานุ ย ทิ ยา คณะโบราณคดี ม า ิทยาลัย ิลปากร

343

นงั อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

บทคดั ย่อ
บทค ามชน้ิ นม้ี งุ่ าคา� ตอบใ ก้ บั คา� ถาม จิ ยั ลกั ท่ี า่ ใน ภาพการณข์ องการขาดแคลนนา้� เพอื่
การเก ตร ผู้คนในชุมชนเก ตรกรรมจัดการกบั การขาดแคลนนา�้ เพ่อื การเก ตรอยา่ งไร และการจดั การ
กับการขาดแคลนน้�าเพ่ือการเก ตร ะท้อนอ�านาจกระท�าการและการใช้อ�านาจของผู้คนในชุมชนเก ตร
รือไม่ อย่างไร ผู้ ึก าใช้แน คิดนิเ ิทยาการเมืองเป็นกรอบคิดในการ ึก า และใช้การท�างาน
ภาค นามทางมานุ ย ิทยาเป็นเครื่องมือในการท�าค ามเข้าใจ ถานการณ์ปัญ าและการจัดการปัญ า
การขาดแคลนนา้� ของชุมชนเก ตรบา้ นโคก ต�าบลอ่ทู อง อา� เภออทู่ อง จงั ดั พุ รรณบุรี ผู้ ึก าใชเ้ ลา
ในการท�างานภาค นามและเรียบเรียงขอ้ มลู ตงั้ แต่เดอื นเม ายน 2560–กนั ยายน 2561 ผลการ กึ าชี้
ใ เ้ น็ ่า ในบริบทของการพฒั นาโครง ร้างข้นั พนื้ ฐานตา่ ง ๆ เพ่อื ผลักดันภาคการเก ตรของไทย กู่ าร
ผลติ พชื อา ารเพอ่ื การคา้ ชมุ ชนเก ตรบา้ นโคกตอ้ งเผชญิ ภาพการณข์ องการขาดแคลนนา้� เพอ่ื การเก ตร
จากการเปน็ มบู่ า้ นปลายคลองชลประทานทต่ี อ้ งแยง่ ชงิ รอื ไดร้ บั นา้� เพอื่ การเก ตรลา่ ชา้ ก า่ ชมุ ชนเก ตร
อ่นื ๆ และจากค ามต้องการนา�้ เพือ่ การเก ตรทม่ี ีค าม า� คัญตอ่ ปากทอ้ งและชี ิต การขาดแคลนน้�าได้
น�าคนบ้านโคกไป ู่การแ ง า นทางในการจัดการปัญ าด้ ยท่าทีและรูปแบบท่ี ลาก ลาย ซึ่งน่ัน
ะทอ้ นการมอี ยขู่ องอา� นาจกระทา� การและการรจู้ กั ใชอ้ า� นาจทมี่ าในการตอ่ ตู้ อ่ รองกบั อา� นาจทเี่ นอื ก า่
(อา� นาจรัฐ)

คา� ส�าคญั : การเมอื งเร่อื งน�า้ , ชุมชนเก ตรกรรม, การขาดแคลนนา�้ , การเมืองบ้าน ๆ ของคนบา้ โคก

344

Abstract

In this article, I have searched for the answers of the primary research questions
which are; in the event of farm water insufficient, how the villagers manage with water
insufficient and do they use their power relationships to manage, and how they do?
Political Ecology perspective is the conceptual framework of this research. Anthropology
fieldwork is used as a method to define and understand the ideas related to water
management of the farmer community of Ban Khok, U Thong sub-district, Suphanburi
district. I was in the fieldwork and organized data during April 2017–September 2018. The
result has shown that; in the period of infrastructure development for commercial food
production, Ban Khok community has been driven to confront with water insufficient
because their community position is at the end of irrigation canal as the last place to get
water from the canal. Therefore, the Ban Khok villagers have to seize for farm water
utilization for their life earning. In accordance with this water situation, Ban Khok
villagers have to seek various solutions which would be the reflection of bargaining
power relation with higher hierarchy (governmental power).

Keywords: Water Politic, Agricultural Community, Water Insufficient, Local Politic of
Ban Khok Villagers

345

นงั ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เนือ่ งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

บทน�า

ปจั จบุ นั โลกกา� ลงั เผชญิ กบั การเปลย่ี นแปลง ภาพภมู อิ ากา (climate change) รอื ภา ะโลกรอ้ น
(global warming) ท่ีเกิดข้ึนตามธรรมชาติและจากการกระท�าของมนุ ย์ การเกิดรูโ ่ในช้ันโอโซน
อณุ ภมู ิโลกที่คอ่ ย ๆ เพมิ่ ูงขึน้ ปริมาณนา�้ ทะเลทเ่ี พมิ่ ขน้ึ จากน้�าแข็งข้ั โลกทลี่ ะลาย ฯลฯ ได้ รา้ งค าม
ผันผ นใ ้กับภูมิอากา ทั่ โลก เ ็นได้จาก ลาย ๆ พ้ืนที่ในโลกท่ีไม่เคยประ บกับการขาดแคลนน�้ามา
ก่อนก็ต้องเผชิญกับภัยแล้ง พ้ืนท่ีท่ีไม่เคยปรากฏ ่ามีน้�าท่ มรุนแรงก็ได้พบเจอกับน้�าป่าไ ล ลากท่ี ร้าง
ค ามเ ยี ายทางเ ร ฐกิจ พน้ื ทใี่ กลเ้ ขต ูนย์ ตู รตอ้ งเผชญิ กบั ค ามผนั ผ นทางอากา มากขน้ึ ไม่ ่าจะ
ซปุ เปอรไ์ ตฝ้ นุ่ ทที่ คี ามรนุ แรงมากขน้ึ ในฤดมู ร มุ และการเผชญิ กบั คลนื่ ค ามรอ้ นทเี่ พมิ่ งู ขน้ึ ในฤดรู อ้ น
ทย่ี า นาน พน้ื ทรี่ มิ ทะเลและเกาะตา่ ง ๆ กา� ลงั เผชญิ กบั การจมตั ลงใตท้ ะเลจากปรมิ าณนา้� ทะเลทเ่ี พม่ิ งู ขนึ้
การเปลย่ี นแปลง ภาพภมู อิ ากา ทร่ี นุ แรงมากขนึ้ นี้ ง่ ผลทางตรงกบั ชี ติ ของผคู้ น ทงั้ จากค ามเ อ่ื มโทรม
ของแรธ่ าตตุ า่ ง ๆ ในดนิ ระยะเ ลาในการเตบิ โตของพชื และฤดกู าลผลติ คลาดเคลอ่ื นไป ทม่ี ผี ลตอ่ ปรมิ าณ
ผลผลิตทางการเก ตรเพ่ือการบริโภคและพลังงาน (O’Lear, 2010) ต่อเน่ืองไปยังค ามเ ีย ายทาง
เ ร ฐกจิ และ งั คมจากภยั ธรรมชาตทิ ไี่ ม่ ามารถพยากรณไ์ ด้ ที่ มายร มถงึ ค ามรู้ กึ ไมม่ น่ั คงตา่ ง ๆ จาก
การไม่ ามารถจัดการกบั ภัยธรรมชาติท่ีเขา้ มากระทบ

ค ามแ ้งแล้งเป็น นึ่งในผลของการเปล่ียนแปลงทางภูมิอากา ท่ี ร้างค ามเ ีย ายทาง
เ ร ฐกิจและ ังคมที่น�าไป ู่การไม่มีค ามม่ันคงในชี ิตของประชากรโลก การเผชิญกับค ามแ ้งแล้งที่
ยา นานไดก้ ลายเปน็ ค าม ่ งกงั ลทป่ี รากฏมใี นผคู้ นทอี่ ยอู่ า ยั ในโลกมากขน้ึ โดยเฉพาะในประเท โลก
ที่ าม ทย่ี งั คง ถิ กี ารผลติ อา ารด้ ยการพงึ่ พาธรรมชาติ การขาดแคลนนา้� เพอ่ื การดา� รงชี ติ และการเก ตร
จงึ เปน็ ภยั คกุ คามที่ ามารถ รา้ งค ามเ ยี าย/ ายนะ ดงั ค ามแ ง้ แลง้ ในเขตซาเฮลของแอฟรกิ าในช่ ง
1970s และ 1980s จากการมีฝนตกตลอดปีเพยี งร้อยละ 40 ซงึ่ ท�าใ ใ้ นช่ งตน้ 1970s มีผ้คู นมากก ่า
100,000 คนตายลงและ 1 ลา้ นคนตอ้ งอพยพย้ายถิ่น (Drought, 2015) และค ามขมขื่นทช่ี า เอธโิ อเปยี
ไดร้ บั จากการทเ่ี ผชญิ กบั ภยั แลง้ อยา่ งฉบั พลนั ในปี 1984 ทท่ี า� ใ ้ มาชกิ ในครอบครั ของพ กเขา ลายตอ่
ลายคนตอ้ ง ิ ตาย (Siebert, 2011) กรณขี องประเท ไทย ประเท ท่ีเก ตรกรรมยงั คงเปน็ อาชพี ลกั
ท่ี ร้างรายไดใ้ ก้ ับผู้คน แมจ้ ะตัง้ อยูใ่ นเขตมร มุ รอ้ นชน้ื ทท่ี �าใ ไ้ ม่ขาดแคลนนา�้ และมกี ารพัฒนาต่าง ๆ
ทจี่ ะทา� ใ ผ้ คู้ นในประเท มนี า้� กนิ นา�้ ใชแ้ ละนา้� เพอ่ื การเก ตร ดงั การเกดิ ขน้ึ ของโครง รา้ งขน้ั พน้ื ฐานตา่ ง ๆ
ในเรื่องการจัด รรน้�า อาทิ การ ร้างเขื่อนขนาดใ ญ่และอ่างเก็บน้�าในภูมิภาคต่าง ๆ ท่ีท�าใ ้ผู้คนใน
ภาคการเก ตรมีน้�าไ ้ในเพื่อการเพาะปลูกตลอดปี การขุดลอกคูคลองและการ ร้างเครือข่ายคลอง
ชลประทาน ทท่ี า� ใ เ้ ก ตรกรในพน้ื ท่ี า่ งไกล ามารถเขา้ ถงึ นา้� เพอื่ การเก ตร และการพฒั นาระบบประปา
ในระดบั ทอ้ งถ่ิน ทที่ า� ใ ผ้ ้คู น ามารถเข้าถึงนา้� ะอาดเพื่อบรโิ ภคและใช้ อย เป็นตน้ โลกทร่ี อ้ นข้นึ กม็ ีผล
ต่อลัก ณะภูมิอากา ของประเท ไทยไม่แตกต่างจาก ่ นอื่น ๆ ของโลก ค ามผันผ นของลัก ณะ
ภูมอิ ากา นอกจากจะ ่งผลกระทบกับ ุขภาพและชี ิตของผู้คนในภาคการเก ตร ค ามไมแ่ น่นอนของ
ลกั ณะภมู อิ ากา การไม่ ามารถใชค้ ามเขา้ ใจธรรมชาตทิ เี่ ปน็ ภมู ริ ใู้ นอดตี างแผนการเพาะปลกู ที่ มาย
ร มถงึ การตอ้ งพง่ึ พานา้� เพอื่ การเก ตรทจ่ี ดั รรใ โ้ ดยรฐั ได้ ง่ ผลใ ผ้ คู้ นในชมุ ชนเก ตรของประเท ไทย

346

เผชิญกบั ภยั แลง้ ท้ังจากธรรมชาติและจากการกระท�าการของอ�านาจท่เี นือก า่ ทีม่ ีค ามรนุ แรงมากขนึ้
และอาจมีผลต่อเนื่องถึงการ ูญ ลายไปของอาชีพเก ตรกรรมในอนาคต

นอกเ นอื จากการจดั การของรฐั เพอ่ื การมนี า�้ กนิ นา้� ใช้ ในระดบั ทอ้ งถน่ิ กม็ คี ามพยายามจดั การ
ค ามขาดแคลนท่ีท ีค ามรุนแรงมากขึ้น ลาย ๆ พื้นท่ีในชนบทมีการใช้การเมืองแบบชา บ้านเพ่ือต่อ
รองกบั ภาครัฐในการจัด รรนา้� อยา่ งเปน็ ธรรม อันเปน็ ปรากฏการณท์ าง ังคมท่ีนา่ นใจ และ ามารถน�า
มาพิจารณาในเชิงลึกได้ด้ ยนิเ ิทยาการเมือง (political ecology) แน คิดที่ ่าด้ ยค าม ัมพันธ์
ระ ่างมนุ ย์และ ิ่งแ ดล้อม ท่ีใ ้ภาพของการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางด้าน ิ่งแ ดล้อม การใ ้
ค าม มาย และการจดั การกบั การเปลยี่ นแปลงนน้ั ๆ ของผคู้ นในพน้ื ที่ และเพอื่ ใ เ้ ขา้ ใจถงึ การเมอื งแบบ
ชา บา้ นในการจดั การกบั การขาดแคลนนา�้ เพอ่ื การดา� รงชี ติ และการเก ตรของผคู้ นในชมุ ชนเก ตรของไทย
ทมี่ ีนยั ของการไมย่ อมแพ้ตอ่ ปัญ า ค ามพยายามต่อ ดู้ ้ินรน และใช้อา� นาจทต่ี นเองมี (ปจั เจกและชมุ ชน)
ในการจัดการ รอื แ ง าน้า� ผู้ ึก าจงึ เลอื กทา� ค ามเขา้ ใจประเด็นปัญ าดังกล่า ณ บ้านโคก ต�าบล
อ่ทู อง อา� เภออทู่ อง จัง ดั พุ รรณบุรี น่ึงในชุมชนเก ตรกรรมของประเท ไทย ทีต่ ลอดประ ตั ิ า ตร์
การตง้ั ถิน่ ฐาน ผู้คนในชุมชนแ ่งน้ีตอ้ งต่อ กู้ ับค ามแ ้งแล้งเรื่อยมา จากการเปน็ ชมุ ชนทตี่ ง้ั อย่ใู นพื้นท่ีที่
ไมม่ แี ลง่ นา้� ตามธรรมชาตไิ ลผา่ น รอื เพยี งพอในการดา� รงชี ติ ซงึ่ ทา� ใ ต้ อ้ งพงึ่ พานา�้ เพอ่ื การเก ตรจาก
น้�าฝนธรรมชาติ และน้�าจากคลองชลประทานที่ไ ลมาจากอ�าเภอดอนเจดยี ์ จัง ดั ุพรรณบุรี การเป็น
มูบ่ ้านท่อี ยปู่ ลายน้�าทา� ใ ้ในบางฤดกู ารผลติ (นาปรงั ) เมื่อลงมอื ปลกู ข้า ไปแล้ ชลประทานฯ ยดุ จ่าย
นา�้ รอื นา�้ ทป่ี ลอ่ ยมาไมเ่ พยี งพอ ลอ่ เลย้ี งตน้ ขา้ ใ เ้ ตบิ โตและออกร ง เ ตกุ ารณเ์ ชน่ นมี้ กั นา� ไป กู่ ารร ม
ตั ของกลมุ่ คนในชมุ ชน เดนิ ทางไปบอกเลา่ ปญั าใ เ้ จา้ นา้ ทขี่ องรฐั และนกั การเมอื งทอ้ งถนิ่ ในระดบั ตา่ ง
ๆ ได้ทราบ และ า นทางในการปลอ่ ยนา�้ ลงมายงั พนื้ ทบ่ี า้ นโคก จาก นงึ่ ในภาพ ะทอ้ นท่ชี ้ใี ้เ น็ การใช้
อา� นาจทีม่ ีอยขู่ องผู้คนในชุมชนจดั การกับการขาดแคลนนา้� ทีเ่ กดิ ข้ึน ได้น�าผู้ กึ าไป ู่ค ามต้องการทจ่ี ะ
ทา� ค ามเขา้ ใจปรากฏการณท์ าง งั คมนใี้ ม้ ากขนึ้ ทงั้ ในเรอื่ ง ถานการณก์ ารขาดแคลนนา�้ การใ ค้ าม มาย
ของผคู้ นในชมุ ชนเก ตรตอ่ การขาดแคลน และการจดั การกบั การขาดแคลนนา�้ ท่ี ะทอ้ นการตอ่ ตู้ อ่ รอง
ของผู้คนในชุมชนเก ตรภาคกลางแ ่งนี้ ผ่านการ ึก า รรณกรรมท่ี ่าด้ ยนิเ ิทยาการเมือง ่าด้ ย
ทรัพยากรน�้า และการท�างานภาค นามทางมานุ ย ิทยา ด้ ยการ �าร จพื้นที่เก ตรกรรมและคลอง
ชลประทาน การ งั เกตการณอ์ ยา่ งมี ่ นร่ ม และ ัมภา ณเ์ ชิงลึกผคู้ นในชุมชนและเจา้ นา้ ทีข่ องรฐั ทมี่ ี
่ นเก่ีย ข้องกับการจัดการน�า้ ในพ้นื ที่

นิเวศวทิ ยาการเมอื งวา่ ด้วยทรพั ยากรน�้า

นเิ ทิ ยาการเมอื ง (Political Ecology) เปน็ แน คดิ ทใ่ี ค้ าม า� คญั กบั การทา� งานภาค นาม
เพอ่ื ทา� ค ามเขา้ ใจการกระทา� การของอ�านาจทางการเมือง เ ร ฐกจิ และปจั จยั ทาง ังคมอื่น ๆ ทมี่ ีต่อ
การเปลย่ี นแปลงทางดา้ น ง่ิ แ ดลอ้ ม แน คดิ ดงั กลา่ คอื การผ านองคค์ ามรทู้ ี่ ลาก ลาย ทตี่ อ้ งการรอ้ื
ใ เ้ น็ ตน้ เ ตขุ องปญั าทางดา้ น งิ่ แ ดลอ้ ม และ รา้ งการเคลอ่ื นไ ทาง งั คมเพอื่ การจดั การกบั ปญั า
ดา้ น งิ่ แ ดลอ้ ม ค ามลน่ื ไ ลของแน คดิ ไดท้ า� ใ น้ กั ชิ าการจาก ลาก ลาย าขา ชิ านา� แน คดิ ดงั กลา่
ไปใช้ ไม่ ่าจะเป็นภูมิ า ตร์ ิง่ แ ดลอ้ ม ังคม ิทยา มานุ ย ทิ ยา รัฐ า ตร์ ฯลฯ ซึง่ ท�าใ ้การ กึ าใน
กรอบคดิ นเิ ทิ ยามคี าม ลาก ลาย ครอบคลมุ ตง้ั แตป่ ญั าทางดา้ น งิ่ แ ดลอ้ มตา่ ง ๆ ไปจนถงึ ผลของ

347

นงั อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เน่อื งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

การเปลยี่ นแปลงทางดา้ น ง่ิ แ ดลอ้ มทมี่ ตี อ่ ค ามเจบ็ ป่ ยทเ่ี กดิ ขนึ้ กบั รา่ งกายและจติ ใจ ค ามขดั แยง้ ของ
ผู้คนจากการแย่งชิงทรัพยากร การเปลี่ยนแปลงใน ิถีการผลิตและค าม ามารถในการพ่ึงพาตนเอง
ด้านอา ารท่ีลดลง การเคลื่อนไ ทาง ังคมเพ่ือใ ้เกิดการเปลี่ยนแปลง รือแก้ไขปัญ าทางด้าน
่งิ แ ดล้อม ฯลฯ ทัง้ ในประเท พัฒนาแล้ กา� ลังพฒั นา และด้อยพัฒนา

คา� า่ “นเิ ทิ ยาการเมอื ง” ปรากฏครง้ั แรกในบทค ามของ Frank Throne เมอื่ ปี ค. . 1935
แต่อย่างไรก็ดี ากพิจารณานัยของนิเ ิทยาการเมืองท่ี ่าด้ ยค าม ัมพันธ์เชิงอ�านาจในปฏิ ัมพันธ์
ระ า่ งมนุ ยก์ บั ง่ิ แ ดลอ้ ม การมอี ยขู่ องแน คดิ เชน่ นี้ ามารถ บื ยอ้ นกลบั ไปยงั Historical Dialectical
Materialism ของ Karl Marx และ Friedrich Engels และ Social Cooperative Anarchism และ
Against Social Darwinism ของ Peter Kropotkin และจากการท่ีนเิ ทิ ยาการเมอื งเกดิ ขึน้ จากค าม
พยายาม าจุดตัดระ ่างภูมิ า ตร์มนุ ย์ นิเ ิทยา ัฒนธรรม กับชี ิทยาชาติพันธุ์ นัยของค าม
มั พนั ธเ์ ชิงอา� นาจท่เี กย่ี ขอ้ งกับการท่มี นุ ยเ์ ขา้ ไปแทรกแซง ิ่งแ ดล้อม ก็ได้ รา้ งองคค์ ามรูเ้ ฉพาะและ
นามใ มๆ่ ในการคน้ าค ามจรงิ ท่ี อดรบั กบั ค ามขดั แยง้ ทาง งั คมในช่ งตน้ ยคุ 60 และ 70 ที่ มั พนั ธ์
กับ ิกฤติทางด้าน ิ่งแ ดล้อม ดังปรากฏในงานเขียนของ Murray Bookchin เรื่อง Our Synthetic
Environment ท่ีตพี มิ พใ์ นปี ค. .1962 บทค ามของ Eric Wolf ในปี ค. . 1972 เรื่อง Ownership and
Political Ecology ซึ่งเป็นการถกเถียงถึงกฎเกณฑ์ในระดับท้องถ่ินท่ี ่าด้ ยการเป็นเจ้าของและการถือ
ครองมรดกทจี่ า� ตอ้ งเผชญิ กบั ค ามกดดนั จาก งั คมขนาดใ ญแ่ ละค ามตอ้ งการอยา่ งเรง่ ด่ นในระบบนเิ
ทอ้ งถนิ่ เปน็ ตน้ (Leff, 2012)

Ezekiel Kalipeni and Joseph Oppong (1998) กลา่ า่ นิเ ทิ ยาการเมอื งเปน็ กรอบ
ทฤ ฎีการ ิเคราะ ์ ังคม ซึ่งในการท�าค ามเข้าใจปฏิ ัมพันธ์และการเช่ือมโยงระ ่าง ่ิงแ ดล้อมกับ
มนุ ย์ อันเป็นชุดของปรากฏการณ์ท่ีแผ่ขยายและมีขอบเขตก ้างข าง ก็มีองค์ประกอบ �าคัญที่เป็น
นู ยก์ ลาง ซงึ่ ไดแ้ ก่ 1) บรบิ ทและขนาด มายถงึ ค ามคดิ ในเรอื่ งการ เิ คราะ บ์ รบิ ททมี่ ี ลาก ลายขนาด
กับค ามเช่อื มโยง องทางที่ซ่ึงค าม า� คัญของ human agency และ structure ไดแ้ ดงบทบาทของ
การ นบั นนุ ซง่ึ กนั และกนั นเิ ทิ ยาการเมอื งจดั างค าม มั พนั ธท์ าง ง่ิ แ ดลอ้ มและมนุ ยไ์ ใ้ นระดบั
ท้องถ่ิน ภูมิภาค และโลก ท่ี ามารถท�าค ามเข้าใจได้ด้ ยการ ิเคราะ ์ค าม ัมพันธ์ของรูปแบบการใช้
ทรพั ยากรท่มี ีพลังอ�านาจทางเ ร ฐกจิ การเมอื ง 2) การ ิเคราะ ป์ ระ ัติ า ตร์เชิงลึกจึงเป็น ั ใจ �าคัญ
ของนิเ ิทยาการเมือง ภายใต้ค ามมีเ ตุผลปฏิ ัมพันธ์ระ ่าง ่ิงแ ดล้อมกับ ังคมอาจต้องการช่ ง
เ ลาที่ยา นานในการเปลี่ยนภูมิทั น์ เช่น การเ ่ือมโทรมของท่ีดิน การลดลงของค าม ลาก ลายทาง
ชี ภาพ และการเปล่ียนแปลงระดับม ภาคอ่ืน ๆ ใน ิง่ แ ดล้อม และ 3) ค าม า� คญั ของผู้กระทา� การ
(human agency) ในฐานะผู้กระท�าการเปลย่ี นแปลง ิง่ แ ดล้อม และโครง รา้ ง (structure) ในฐานะ
ของทางเลอื กท่ี ลาก ลายทเ่ี ขา้ มากา� นดการกระท�าของผกู้ ระท�าการ ผูก้ ระท�าการ (human agency)
มีค าม �าคัญในการเปลี่ยนรูปค ามซับซ้อน (เครือข่ายปฏิ ัมพันธ์) ที่ก�า นดลัก ณะของ งิ่ แ ดลอ้ ม
(Kalipeni and Oppong, 1998)

348

รรณกรรมในกรอบนิเ ิทยาการเมือง ่าด้ ยทรัพยากรน้�าเป็นการมุ่งมองไปยังค ามขัดแย้ง
ในการเข้าถึง รือการเขา้ ใชท้ รพั ยากรนา้� ระ ่างคูค่ าม ัมพนั ธท์ ี่ ลาก ลาย ท้ังในระดบั ชมุ ชนไปจนถงึ
ในระดบั ทเี่ กย่ี ขอ้ งกบั ปจั จยั ภายนอก อาทิ อา� นาจรฐั องคค์ ามร่ มมอื รอื บรร ทั ทนุ ระดบั โลก เปน็ ตน้
ผลของการเปลี่ยนแปลงท่ี ่งผลตอ่ ิถชี ี ติ ของผ้คู นและระบบนิเ ร มถึงภาคปฏบิ ัตกิ ารของทอ้ งถ่ินตอ่
การเปลย่ี นแปลงเ ลา่ นี้ ในประเดน็ ที่ า่ ด้ ยการจดั การปญั าทเี่ กยี่ ขอ้ งกบั ทรพั ยากรนา้� ในเรอื่ งรา ที่ า่
ด้ ยค ามขัดแย้งและค ามไม่เ มอภาคในการเข้าถึงทรัพยากรน้�า Stroma Cole (2012) ชี้ใ ้เ ็น ่า
แ ล่งท่องเท่ีย ประเภทเกาะจ�าน นมากก�าลังดิ้นรนกับค ามต้องการน้�าเพื่อการท่องเท่ีย แน คิด
นิเ ิทยาการเมืองถูกน�ามาใช้เพ่ือท�าค ามเข้าใจ ิธีการใช้พลังงานทาง ังคมและนิเ ิทยามาร มกัน
และ ง่ ผลใ เ้ กดิ การแจกจา่ ยนา�้ อยา่ งไมเ่ ปน็ ธรรมและไมย่ งั่ ยนื ณ เกาะบา ลี งานเขยี นของ Casey Walsh
(2004) กลา่ า่ ตง้ั แตป่ ี 1992 การขาดแคลนนา�้ ในลมุ่ นา้� Río Bravo/Rio Grande ได้ รา้ งค ามตงึ เครยี ด
และค ามขัดแย้งเป็นอย่างมากในระ ่างผู้ใช้น้�าและนักการเมือง ท้ัง องฝั่งพรมแดนประเท เม็กซิโก-

รัฐอเมรกิ า งานเขยี นกล่า ถงึ กิ ฤตนา�้ ทปี่ รากฏในรูปของ “ งครามน�า้ ” เปน็ ิกฤตของการพฒั นาการ
เก ตรในเขตชลประทาน และในบริบท ังคมไทย การ ึก าของ จิตคุปต์ ละอองปลิ (2559) เรื่อง
การปรับตั และการมี ่ นร่ มของเก ตรกรผู้ใช้น�้าในพื้นท่ีก่ึงเมืองกึ่งชนบท กรณี ึก าอ�าเภอแก่งคอย
จงั ดั ระบรุ ี ชใ้ี เ้ น็ า่ การใชน้ า�้ ของภาคเมอื งและอตุ า กรรม ง่ ผลกระทบตอ่ การใชน้ า้� และทด่ี นิ ของ
เก ตรกร ทงั้ ปญั านา�้ ขาดแคลน นา้� เ ยี การเปลย่ี น ธิ กี ารจดั รรนา้� เนอ้ื ทถี่ อื ครองเฉลยี่ ตอ่ ครั เรอื นลดลง
การเปลยี่ นรปู แบบการใชท้ ด่ี นิ ทางการเก ตร และการถกู ลดิ รอน ทิ ธใิ นทรพั ยากรนา�้ รรณกรรมในกรอบคดิ
นิเ ทิ ยาการเมือง า่ ด้ ยทรพั ยากรนา้� ได้ถกู น�ามาใชเ้ ป็นกรอบในการมองการเมืองแบบบ้าน ๆ ของคน
บา้ นโคกในการจัดการกบั การขาดแคลนน้�า ใ ค้ รอบคลมุ ท้งั ผลกระทบของการเปลีย่ นแปลงที่มตี ่อระบบ
นิเ ชี ติ และ ขุ ภาพของผคู้ น ค ามใ ่ใจในบริบททางประ ตั ิ า ตร์และ งั คม ฒั นธรรมของชุมชนท่ี
กึ า และการมงุ่ มองไปยงั การกระทา� การ รอื ตอบโตต้ อ่ อา� นาจทเ่ี ขา้ มากระทบชี ติ ของผคู้ นในพนื้ ท่ี กึ า

การเมอื งแบบบ้าน ๆ ของคนบา้ นโคกในการจัดการกับการขาดแคลนน�้า

น�้าเป็น น่ึงในทรัพยากรธรรมชาติที่มีค าม �าคัญกับการด�ารงอยู่ของมนุ ย์ ทั้งในมิติของการ
เปน็ องคป์ ระกอบ �าคัญในร่างกายของมนุ ย์ และการเปน็ ฐานทรัพยากรในการผลติ พืชอา าร/พลงั งาน
เพ่อื การดา� รงชี ิตของมนุ ย์ ค ามแ ง้ แลง้ รอื การขาดแคลนนา้� คอื น่งึ ในภยั คกุ คามที่ในแต่ละ ังคม
ัฒนธรรม ต่างพยายามแ ง า นทางในการแกไ้ ข รอื จดั การ ากพจิ ารณาในภาพใ ญข่ องการพฒั นา
ระดับประเท การแก้ไขปัญ าการขาดแคลนน�้าปรากฏในรูปของการ างแผน/ออกแบบการจัดการน้�า
การ ร้างเขอื่ น/อ่างกกั เก็บน�้าขนาดตา่ ง ๆ การ รา้ งและขยายเครือขา่ ยคลองและคลองชลประทาน ฯลฯ
เพอื่ บริ ารจัดการกับทรัพยากรนา�้ ทม่ี อี ยู่จา� กัด ากพจิ ารณาในภาพเฉพาะระดับท้องถน่ิ ในแตล่ ะชุมชน
ล้ นมีแบบแผนในการใช้และจัดการกับน�้าเพื่อการด�ารงชี ิตเ มือน รือแตกต่างกันออกไป ข้ึนอยู่กับ
ลกั ณะภูมิประเท ลกั ณะ ังคม ฒั นธรรม ลกั ณะการผลิต ร มถึงการรจู้ ักอ�านาจและการใช้อ�านาจ
การรู้จักใช้อ�านาจท่ีมีเพื่อแก้ไขปัญ าการขาดแคลนน้�า ในทาง นึ่งชี้ใ ้เ ็น ถานะของผู้คนในชนบทที่
เปล่ียนไป ลื่นไ ล มิใช่แค่ผู้ถูกกระท�าที่ยอมใ ้อ�านาจรัฐท่ีเ นือก ่ากดทับ/เอาเปรียบเ มอไป แต่คือ
การมอง า นทางในการแ ง าประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลง รือการพัฒนาท่ีเข้ามากระทบ ท่ีไม่
ามารถ ลกี นใี ก้ ลายเปน็ ประโยชนก์ บั ชี ติ ของพ กเขาใ ม้ ากที่ ดุ ปรากฏการณน์ ี้ มั พนั ธก์ บั งานเขยี น

349

นงั อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ของแอนดรู อล์คเกอร์ (2559) ที่กล่า ่า ชา นารายได้ปานกลางเกิดข้ึนและกลายเป็นประชากร
กลุ่มใ ญ่ท่ี ุดในชนบทไทยปัจจุบัน การเมืองของชา นารายได้ปานกลางน้ันแตกต่างจากการเมือง
ของชา นาผูย้ ากไรใ้ นอดีต รือชา นาชายขอบในปจั จุบนั ในแง่ที่ ่า ชา นารายได้ปานกลางไมไ่ ดต้ อ่ ต้าน
อา� นาจทมี่ าจากภายนอก แตต่ อ้ งการ รา้ ง าย มั พนั ธก์ บั แ ลง่ อา� นาจตา่ ง ๆ ทเ่ี ออื้ ประโยชนแ์ กต่ น ไม่ า่ จะเปน็
อา� นาจรฐั อ�านาจของตลาด/ทุน อ�านาจผี รืออ�านาจทาง ีลธรรมของชุมชน ซ่ึงเป็น ่ีมณฑล �าคัญใน
“ งั คมการเมือง” แบบใ ม่ทก่ี �าลังกอ่ ตั ขน้ึ ในชนบท (แอนดรู อลค์ เกอร์, 2559)

“การเมืองแบบบา้ น ๆ” ในงานเขียนช้นิ นี้ จึงเปน็ การมงุ่ มองไปยงั อ�านาจและ ธิ กี ารใช้อ�านาจที่
ผู้คนในชนบทใช้ในการจัดการ รือแ ง าประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลง รือการพัฒนาท่ี ่งผลกระทบ
กับชี ิตในอดีตและ/ รือยังคงต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ด้ ย ิธีการท่ีชา บ้านได้คิดไตร่ตรองแล้ ่าเป็น ิธี
การท่ีเ มาะ ม อดคล้องกับแบบแผนชี ิตและ ัฒนธรรมของพ กเขา ผ่านการลองผิดลองถูก ทดลอง
และปรับเปลี่ยนใ ้เ มาะ ท้ังในเชิงบริบทของปัญ า ช่ งเ ลาของปัญ า และผู้มีอ�านาจท่ีพ กเขาต้อง
ตอ่ ้ตู ่อรองด้ ย ซึง่ ทา� ใ ้ “การเมืองแบบบ้าน ๆ” คือ นง่ึ ในรปู แบบการใชอ้ �านาจท่นี า่ นใจ ทชี่ ใ้ี ้เ ็น
่าท้องถ่ินรแู้ ละเขา้ ใจในการมอี ยู่ของอา� นาจในภาพใ ญ่และอา� นาจของตนเอง ท่ี ามารถน�ามาใชเ้ พือ่ ต่อ
รองกบั ภาครฐั รอื เพอื่ แกไ้ ขปญั าในทอ้ งถนิ่ ของตน ซงึ่ ในงานเขยี นชน้ิ น้ี ผู้ กึ าจะนา� เ นอการมอี ยขู่ อง
อ�านาจดังกล่า รือ “การเมืองแบบบ้าน ๆ” ในการจัดการกับปัญ าการขาดแคลนน้�าเพื่อการเก ตร
ผ่านชุมชนเก ตรบา้ นโคก ต�าบลอทู่ อง อา� เภออู่ทอง จัง ัด ุพรรณบุรี

“บ้านโคกในบริบทของการเป็นชุมชนเก ตร” บ้านโคกเป็นชุมชนเก ตรของคนลา คร่ัง
บรรพบุรุ ของลา คร่ังบ้านโคกเป็นคนลา จาก ล งพระบาง ที่เคยอยู่อา ัยในเทือกเขาแ ่ง นึ่งท่ีเรียก
กัน ่า “ภูคัง” กลุ่มคนเ ล่าน้ีด�ารงชี ิตด้ ยการท�าไร่เล่ือนลอยและ าของป่าล่า ัต ์ ต่อมาใน มัย
รตั นโก นิ ทรต์ อนตน้ เมอื่ ลา ไดต้ กเปน็ ประเท ราชของ ยามไดเ้ กดิ งครามระ า่ งกนั ลายครง้ั ซง่ึ ครงั้
ุดทา้ ยในรชั มยั เจา้ อนุ ง แ์ ง่ เ ียงจนั ทน์ (พ. . 2369) ได้คิดกอบกเู้ อกราชจาก ยาม แต่ก็ถกู ปราบใน
ปี พ. . 2370 ภาย ลงั ปราบกบฏเจ้าอนุ ง ์ได้โดยการตเี ียงจันทน์แตกถงึ องครั้ง พระบาท มเดจ็ พระ
นงั่ เกลา้ เจา้ อยู่ ั (ร.3) ไดต้ รั ใ ท้ า� ลายเ ยี งจนั ทนเ์ ยี เพอ่ื มใิ ช้ า ลา้ นชา้ ง (ลา ทง้ั ประเท ) ตง้ั ตั ไดอ้ กี
และโปรดเกล้าใ ้เลิกอาณาจักรเ ียงจันทน์ ตลอดจนผู้ครองก็ไม่ทรงแต่งต้ังใ ้ใครไปครองเ ียงจันทน์อีก
แตใ่ ร้ มอาณาจกั รดงั กลา่ เขา้ กบั อาณาจกั ร ยาม จากเ ตกุ ารณน์ ที้ า� ใ ช้ า ลา กลมุ่ ตา่ ง ๆ ถกู ก าดตอ้ น
เขา้ มาเปน็ เชลยและแรงงานใ ป้ ระเท ยาม โดยกระจายอยใู่ นเมอื ง ระบรุ ี เมอื งพนั นคิ ม เมอื งนครไชย รี
และเมือง ุพรรณบุรี คนในพื้นถิ่นเรียกลา กลุ่มน้ี ่า “ลา ภูคัง” และเพ้ียนมาเร่ือย ๆ จนกลายเป็น
“ลา ขคี้ รง่ั ” และ “ลา ครงั่ ” บางคนกเ็ รยี ก า่ “ลา เตา่ เ ลอื ง” เพราะลกั ณะนิ ยั ของลา กลมุ่ นที้ ชี่ อบ
อยู่อยา่ งอิ ระตามป่าเขาเ มือนเต่าภเู ขาที่มกี ระดอง เี ลือง

ในปัจจบุ ันนี้ แบบแผนการผลิตท่ี �าคญั ของลา ครง่ั บ้านโคก ได้แก่ การท�านาปลูกขา้ การท�า
นผกั และงานรบั จา้ งตา่ ง ๆ อาทิ งานชา่ ง งานแม่บา้ น คา้ ขาย และงานรบั จ้างจิปาถะ ฯลฯ ซึง่ การท�า
นาปลูกข้า ทุก นั นี้มิได้เปน็ แ ล่งรายได้ ลักของผู้คนในชุมชนเช่นในอดีต การท�า นผักและการท�างาน
รับจ้างต่าง ๆ กลายเป็นทีม่ าของรายไดใ้ นแต่ละ ัน และเป็นเงนิ ทนุ ท่ีชา บา้ นใชเ้ พอ่ื การท�านาในแต่ละปี
ซ่ึงบางปีอาจท�าได้ 2 คร้ัง บางปีอาจท�าได้ครั้งเดีย รือบางปีอาจขายข้า ได้ราคาดี บางปีอาจขายข้า

350

ในแบบทแี่ ทบไมไ่ ดก้ า� ไร ค ามไมแ่ นน่ อนในการผลติ และราคาขา้ ทต่ี า�่ ลงตอ่ เนอื่ งเรอ่ื ยมา ทา� ใ ช้ า นาใน
ชมุ ชนแ ง่ น้ีตา่ งก็มี นี้ นิ ตดิ ตั ่ นการปลูกผกั ปจั จุบันในบา้ นโคกมผี ปู้ ลกู ผกั ประมาณ 28 ราย พื้นที่
ปลกู ผกั ในบา้ นโคกมักอยใู่ กล้ ๆ ม่บู า้ น บางครอบครั แบง่ พน้ื ทีเ่ ก ตรกรรมออกเป็น ่ นของการท�านา
และการปลกู ผัก บางครอบครั แบง่ พื้นท่ีมรดกเพอ่ื ท�า นผักใกล้ ๆ กนั บางครอบครั มีแปลงผกั อยใู่ น
บรเิ ณบา้ น การขาดแคลนน�้าในทกุ ๆ พนื้ ที่เพาะปลกู ทา� ใ เ้ ก ตรกรขดุ บอ่ ไ ้กักน้�าเพอื่ ใ ้มใี ชท้ ั้งปี และ
ตอ้ งคอยตดิ ตามขา่ ารอยตู่ ลอด า่ ช่ งไ น ชลประทานจะปลอ่ ยนา�้ เขา้ คลองชลประทาน ถา้ มกี ารปลอ่ ยนา�้
เขา้ คลองฯ เม่อื ใดก็ต้องรบี ชักน�้าเขา้ บอ่ ใ ้ไดม้ ากที่ ุด

บา้ นโคกเปน็ ชมุ ชนเก ตรทขี่ าดแคลนทรพั ยากรนา้� เพอื่ การเก ตรมาแตอ่ ดตี ด้ ยตง้ั อยบู่ นพนื้ ท่ี
ราบใกลป้ า่ ใกลเ้ ขาและ า่ งไกลจากแ ลง่ นา้� ตามธรรมชาติ การแ ง านา�้ เพอ่ื การอปุ โภคบรโิ ภคและเพอื่
การเก ตรเป็น ่ิงท่ีผ้คู นในชุมชนใ ้ค าม า� คัญมาแตอ่ ดีต เก ตรกรรมท�านาเพอ่ื การบรโิ ภคในครั เรือน
ทต่ี อ้ งพงึ่ พานา้� ฝนทคี่ าดเดาไดบ้ า้ งไมไ่ ดบ้ า้ ง า่ จะตกตอ้ งตามฤดกู าล นา้� เพอ่ื การดา� รงชี ติ ของคนบา้ นโคก
ในอดตี (ก่อนปี พ. . 2500) คือนา้� ที่ าไดต้ ามธรรมชาติ ได้แก่ น�้าฝนท่ีตกต้องตามฤดกู าล และน้�าจาก
คลองจระเข้ ามพนั ในช่ ง นา้ แล้งบ้านโคกแล้งมาก แ ล่งเกบ็ น้�าใน มู่บา้ น ซึ่งคือบอ่ นา้� ทขี่ ดุ ไ ้ใช้กนั ใน
มบู่ า้ น ไดแ้ ก่ ระใ ญ่ และ ระ ล ง ไม่ ามารถเกบ็ กกั นา้� ไ ไ้ ด้ ชา บา้ นตอ้ งไป าบนา�้ จากบอ่ ท่ี ดั นอง
ตา ามและทา่ นา้� จระเข้ ามพนั ซง่ึ มนี า�้ ตลอดปี ค ามแ ้งแลง้ นีท้ า� ใ ้แ ล่งนา้� า� คัญกับชี ิตของคนบา้ น
โคก นอกจากนี้ ภาย ลังปี พ. . 2507-2508 เม่ือมีการจัดระบบชลประทาน ่งน�้าเข้ามาในเขตอ�าเภอ
อู่ทอง ชา บ้านเรียกคลองนี้ ่า “คลองใ ญ่” เป็นคลองขุดตัดมาจากตอนเ นือของ มู่บ้าน ่งน้�าเพื่อ
การเก ตรผ่านคลองไ ไ้ กม่ าทางทิ ตะ ันตก คนบา้ นโคกใชน้ ้�าจากคลองไ ้ไกเ่ พื่อท�านา 2 คร้งั ต่อปี และ
ปลูกผักชนิดต่าง ๆ ตลอดปี แต่ในช่ ง ลายปีที่ผ่านมา (2542) ภา ะค ามแ ้งแล้งทั่ ประเท ท�าใ ้
ปรมิ าณน้�านอ้ ยลง ทางราชการจึงมี นงั ือแจ้งใ ท้ า� นาปลี ะครัง้ (ชมพูนทุ จิ ะธานนท,์ 2542) การเผชญิ
กับการขาดแคลนน�้ามาแต่อดีตจึงเป็น ่ิงที่ผู้คนในชุมชนแ ่งนี้คุ้นชิน ซึ่งนั่นท�าใ ้พ กเขาต้องแ ง า
แน ทางปรับตั รือแก้ไขปัญ าเร่ือยมาและต่อเน่ือง น่ันคือแม้ในปัจจุบันจะมีโครงการพัฒนาต่าง ๆ
ที่ท�าใ ้ระบบจัดการน�้าดีขึ้น พื้นที่เก ตรกรรมในอ�าเภออู่ทองและใกล้เคียงมีน�้าเพื่อการเก ตรเพียงพอ
า� รบั การทา� นามากก ่า 1 รอบ รือ า� รบั การท�าการเก ตรอน่ื ๆ ตลอดทัง้ ปี ากแตด่ ้ ยเง่ือนไขทาง
กายภาพของชมุ ชนกท็ า� ใ ค้ นบา้ นโคกตอ้ งเผชญิ กบั การขาดแคลนนา้� เพอื่ การเก ตร ทนี่ า� พ กเขาไป กู่ าร
าทางจัดการกับปัญ า รือการต่อ ู้ต่อรองกับ น่ ยราชการต่าง ๆ ในแบบท่ีชา บ้านในพ้ืนที่อื่น ๆ
ใกล้เคยี งไม่กล้าท�า และเพือ่ ใ เ้ ขา้ ใจถึง ถานการณแ์ ละการจัดการกับการขาดแคลนน�้าของชุมชนเก ตร
บา้ นโคก ผู้ ึก าขอแบง่ การบอกเล่าเรอ่ื งรา ออกเปน็

“ยุคก่อนการเข้ามาของคลองชลประทาน” เมื่อเข้ามาต้ังถิ่นฐานในไทยอย่างมั่นคงและเริ่มท�า
นาท�าไร่เพื่อการด�ารงชี ิตอย่างจริงจัง เก ตรกรรมท�านาท�าไร่ในพื้นท่ีแ ่งน้ีพ่ึงพาน�้าฟ้าน�้าฝนท่ีตกต้อง
ตามฤดกู าล รอื อาจคลาดเคลอื่ นไปบา้ ง การมี รอื ไมม่ นี า้� ทงั้ เพอื่ การอปุ โภคบรโิ ภคและเพอื่ การเก ตรขน้ึ
อยกู่ บั ค ามอดุ ม มบรู ณข์ อง ภาพแ ดลอ้ มในแตล่ ะปี การออกไปตกั รอื าบนา้� จากบอ่ นา�้ ตามธรรมชาติ
ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ชุมชน เพ่ือน�ามาใช้อุปโภคบริโภคในครั เรือนเป็นกิจ ัตรที่ผู้คนในชุมชนต้องท�าใน
เกอื บทกุ นั ค ามยากล�าบากจากการต้องไปตักไป าบน�้าน้ี ทาง น่ึงท�าใ ค้ นบ้านโคกในอดตี คอ่ นขา้ งใช้
น�้าในชี ิตประจ�า ันกันอย่างประ ยัด และค่อนข้างถนอมรัก าแ ล่งน�้าท่ีมีด้ ยการออกกฎ/ข้อ ้าม

351

นัง ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ในเรอ่ื งการนา� นา้� เพอ่ื อปุ โภคบรโิ ภคนไี้ ปใชเ้ พอ่ื การเก ตร รอื ปลอ่ ยใ ฝ้ งู ตั ท์ เี่ ลย้ี งไ เ้ ขา้ ไปดมื่ กนิ นา้� จาก
บอ่ นา้� โดยตรง ผลทาง นง่ึ ของการรกั าแ ลง่ นา�้ เพอ่ื การอปุ โภคบรโิ ภคไ ้ ทา� ใ ค้ นบา้ นโคกตอ้ งพง่ึ พานา�้
เพือ่ การเก ตรจากแ ลง่ น�า้ เดยี ทีม่ ี น่ันคอื นา�้ ฟา้ น้�าฝน เม่อื การท�านานา้� ฝนปีละครง้ั คือท่มี าของอา าร
เพือ่ การดา� รงชี ิตของคนบ้านโคกในทุก ๆ ปี แบบแผนการผลิตของคนบ้านโคกในยคุ กอ่ นการเขา้ มาของ
คลองชลประทาน จงึ ปรากฏในรปู ของการผลติ เพอื่ การบรโิ ภคในครั เรอื นเปน็ า� คญั เมอ่ื มผี ลผลติ ทางการ
เก ตรเกินค ามตอ้ งการคอ่ ยน�าไปแลกเปล่ยี นกบั ชมุ ชนอ่นื ๆ

“ยุคการเข้ามาของคลองชลประทาน” ในบริบทของการ างตั เป็นประเท ผู้ผลิตและ ่งออก
ข้า ราย �าคัญของโลก และการเกิดข้ึนของแผนพัฒนาเ ร ฐกิจและ ังคมแ ่งชาติ ลังปี พ. . 2500
เปน็ ตน้ มา โครงการพัฒนาตา่ ง ๆ ท่ี ัมพันธก์ ับการพฒั นาประเท ค่อย ๆ เคลอ่ื นเขา้ ู่พ้นื ทเี่ ก ตรกรรม
ของประเท ไทยเปน็ จา� น นมาก ดงั การเกดิ ขน้ึ ของถนน นทาง าย า� คญั ๆ การ รา้ งและขยายเครอื ขา่ ย
คลองชลประทาน ทมี่ ีผลท�าใ แ้ บบแผนการผลติ ในชมุ ชนเก ตรเปล่ยี นจากการเก ตรเพ่อื บรโิ ภคในครั
เรอื นไปเปน็ การเก ตรเพอ่ื การคา้ เปลยี่ นการทา� นาในพนื้ ทตี่ า่ ง ๆ ของไทยจากการทา� นานา้� ฝน/ทา� นาตาม
ฤดูกาล ู่การทา� นามากก ่า 1 คร้ัง/ทา� นาอยา่ งไร้ฤดกู าล ไม่เ ้นแมแ้ ตพ่ ืน้ ที่ที่ขาดแคลนน�้าเพ่อื การเก ตร
เช่น ชมุ ชนเก ตรบา้ นโคก การพัฒนาทเ่ี คลื่อนเข้า พู่ ื้นที่ ไม่ า่ จะเป็นถนน าย า� คญั ๆ (ถนนมาลยั แมน
ถนน งแ นรอบเมอื ง พุ รรณบรุ )ี และคลองชลประทาน (คลองชลประทานดอนเจดยี ์ คลองชลประทาน
องพน่ี อ้ ง) มผี ลทา� ใ แ้ บบแผนการผลติ ในชมุ ชนเก ตรบา้ นโคกและพน้ื ทใ่ี กลเ้ คยี งเปลย่ี นแปลงไป นน่ั คอื
เม่ือมีการขุดและเปิดใช้คลองชลประทานดอนเจดีย์ (คลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง) ในช่ งปี พ. . 2507
คนบา้ นโคก ามารถทา� นาไดม้ ากก า่ 1 ครงั้ (นอกเ นอื จากนานา�้ ฝน) และ ามารถปลกู ผกั เพอ่ื ขายไดท้ ง้ั ปี
อย่างไรก็ดี ในท่ามกลางการพัฒนา/เปล่ียนแปลง ค ามต้องการน�้าเพ่ือการเก ตรท่ีมากขึ้นในพ้ืนที่
เก ตรกรรมทอี่ ยตู่ น้ ๆ คลองชลประทานฯ กม็ ผี ลทา� ใ ช้ มุ ชนปลายคลองชลประทานฯ เชน่ บา้ นโคกเผชญิ
กับการขาดแคลนน้�า ที่ ่งผลกระทบต่อการท�านาปรังและการปลูกผัก ค ามพยายามจัดการกับการ
ขาดแคลนน้�าเพื่อการเก ตร ปรากฏทั้งในรูปของการแก้ไขปัญ าด้ ยตนเองในระดับครั เรือน ดังกรณี
เก ตรกรที่ปลูกผักก็จะแบ่งพ้ืนที่บาง ่ น (ขุดบ่อ) ไ ้เป็นพ้ืนที่กักเก็บน�้า และการแก้ไขปัญ าท่ีต้องใช้
ค ามร่ มมอื ของคนในชมุ ชน ดงั การร มกลมุ่ ของคนบา้ นโคกทเ่ี ดนิ ทางไปรอ้ งขอค ามช่ ยเ ลอื จาก น่ ย
ราชการและนกั การเมืองทอ้ งถ่นิ ในระดบั ต่าง ๆ ในช่ งเ ลาท่ีขาดแคลนนา�้ เพอื่ การเก ตร โดยเฉพาะช่ ง
นาปรัง การร้องขอนา้� เพอ่ื การเก ตรทใ่ี ภ้ าพ ะท้อนค ามพยายามตอ่ รองกบั อา� นาจทเ่ี นอื ก า่ ของคน
บ้านโคกน้ี ทาง นึ่งดูขัดกับจริตของคนบ้านโคกที่มักเกรงใจคนท่ีมีอ�านาจเ นือก ่า (คน ล ง) เช่น
เจา้ นา้ ทข่ี องรฐั และนกั การเมอื งทอ้ งถน่ิ การลกุ ขน้ึ มารอ้ งขอใ ค้ น ล ง าทางแกไ้ ขปญั าการขาดแคลน
น้�าของคนบ้านโคก จึงเป็น ิ่งท่ีชี้ใ ้เ ็นถึงค ามพยายามต่อ ู้ต่อรองกับอ�านาจรัฐในประเด็นปัญ าที่คน
บ้านโคกเ ็น ่า �าคัญกับชี ิตของพ กเขาจริง ๆ นั่นคือ การมีน�้าชลประทานฯ เพ่ือใช้ในการเก ตร
(ในระดับทท่ี า� ใ ผ้ ลผลติ ทางการเก ตรไม่ยนื ตน้ ตาย รอื ถา้ เป็นไปได้ คือ มกี ารมีน้�าใช้ตลอดทง้ั ป)ี

“ยคุ นู ยเ์ นอื้ เยอื่ กบั เครอ่ื ง บู นา�้ ไฟฟา้ ” ค ามพยายามตอ่ รองกบั อา� นาจรฐั อยา่ ง นกั น่ งคอ่ ย ๆ
คลี่คลาย เมื่อปัญ าการขาดแคลนน�้าเพ่ือการเก ตรได้รับการแก้ไข น้�าได้รับการจัด รรมาถึงพ้ืนที่
เก ตรกรรมของคนบา้ นโคกซง่ึ อยปู่ ลายคลองชลประทานฯ การเกดิ ขนึ้ ของ นู ยข์ ยายพนั ธพ์ุ ชื ที่ 9 จงั ดั
ุพรรณบุรี ( ูนย์ ่งเ ริมและพัฒนาอาชีพการเก ตรจัง ัด ุพรรณบุรี) ที่ในทาง นึ่งน�าไป ู่การ ร้าง

352

ถานี บู นา้� คลองระบาย 9 ซา้ ย ามชกุ 2 (ร.9 ซ. ามชุก 2) และการเปลย่ี นแปลงรปู แบบการปกครอง
ทใี่ ้อา� นาจกับองคก์ รปกครอง ่ นทอ้ งถน่ิ ในการทา� น้าที่ด�าเนินกิจ กิจการต่าง ๆ ในระดับทอ้ งถิ่นมาก
ขน้ึ เปน็ อกี ช่ งเ ลา นง่ึ ทที่ า� ใ ก้ ารจดั การนา�้ เพอื่ การเก ตรในอา� เภออทู่ องและพน้ื ทใี่ กลเ้ คยี งมคี ามเปน็
ระบบระเบียบมากข้ึน ด้ ยการจัดการน�้าที่เปลี่ยนมือจากเจ้า น้าท่ีของรัฐและนักการเมืองท้องถ่ิน ไป ู่
การมเี จา้ ภาพทช่ี ดั เจนในการจดั การนา�้ นนั่ คอื องคก์ ารบริ าร ่ นตา� บล นองโอง่ เท บาลตา� บลทา้ อทู่ อง
�านักงานชลประทาน ฝ่าย ่งน้�าและบ�ารุงรัก าที่ 2 อู่ทอง โครงการ ่งน�้าและบ�ารุงรัก าดอนเจดีย์
า� นกั งานชลประทานที่ 12 กรมชลประทาน และโครงการชลประทานชัยนาท �านกั งานชลประทานที่
12 กรมชลประทาน ทา� ใ ก้ ารรอ้ งขอนา�้ เพอ่ื การเก ตรของคนบา้ นโคกมคี ามเปน็ ระบบมากขนึ้ ชา บา้ น
ไมจ่ า� เปน็ ตอ้ งร มกลมุ่ เดนิ ทางไปรอ้ งขอนา้� ด้ ยตนเองเชน่ ในอดตี กบั ทกุ ๆ น่ ยงานของรฐั รอื กบั นกั การ
เมอื งทกุ ๆ ระดับ ทีพ่ กเขาคิด า่ ามารถจัดการปัญ าการขาดแคลนนา้� ได้ ภาพการณใ์ นปจั จบุ นั ทค่ี น
บ้านโคกยังคงเผชิญกับการขาดแคลนน�้าเพื่อการเก ตร ท้ังในการท�านาและปลูกผัก ามารถจัดการได้
ผา่ นการเขยี นคา� รอ้ ง ( นงั อื ราชการ) โดยผใู้ ญบ่ า้ น รอื อา า มคั รชลประทานของ มบู่ า้ น เพอ่ื รายงาน
ปญั าการขาดแคลนนา�้ เพอื่ การเก ตรใ ก้ บั น่ ยราชงานทเ่ี กย่ี ขอ้ งรบั ทราบและดา� เนนิ การแกไ้ ขปญั า
ต่อไป ระบบระเบียบในการจัดการปัญ าที่ดีข้ึนนี้น�าไป ู่การแก้ไขปัญ าการขาดแคลนน้�าท่ีร ดเร็ /
ทนั ถานการณม์ ากขน้ึ และไมน่ า� ไป กู่ ารกระทบกระทงั่ กนั ระ า่ งเจา้ นา้ ทข่ี องรฐั กบั ชา บา้ น ่ นของ
คนบ้านโคกเองก็ใช้การอุปถัมภ์/จริตแบบ ังคมชนบทไทยเป็นเครื่องมือในการ ร้างค าม ัมพันธ์ท่ีดีกับ
น่ ยงานของรฐั ดงั ปรากฏในการเรย่ี ไรเงนิ จากคนใน มบู่ า้ นมาไ เ้ ปน็ เงนิ กองกลาง เพอ่ื นา� ไปซอ้ื ตั ถดุ บิ
ในการท�าอา ารเลย้ี งเจา้ นา้ ที่คุมเคร่อื ง ูบนา�้ ไฟฟ้า และการนา� ไปซือ้ ั ดอุ ุปกรณ์ ( นิ ทราย กระ อบ)
ในการกนั้ /เปลี่ยนเ ้นทางน้า� จากคลองชลประทานฯ

การท�าค ามเข้าใจปฏิ ัมพันธ์และการเชื่อมโยงระ ่าง ่ิงแ ดล้อมกับมนุ ย์ตามกรอบแน คิด
นเิ ทิ ยาการเมอื ง นอกเ นอื จากการทา� ค ามเขา้ ใจบรบิ ท/ ถานการณข์ องประเดน็ ปญั า และเงอ่ื นไข
ทางประ ัติ า ตร์ที่ ัมพันธ์กับการเปล่ียนแปลงด้าน ่ิงแ ดล้อม/ ิถีชี ิตในภาพก ้างและภาพเฉพาะ
การมงุ่ มองไปยงั โครง รา้ ง (structure) และผกู้ ระท�าการ (human agency) กเ็ ป็น ิ่งที่จะเ น็ รือเข้าใจ
ถงึ ทา่ ท/ี การตอบ นองตอ่ การเปลยี่ นแปลงดา้ น ง่ิ แ ดลอ้ มของผคู้ นทเ่ี ผชญิ กบั ปญั าฯ การพจิ ารณา ภาพ
การณ์และการจัดการกับการขาดแคลนน�้าเพื่อการเก ตรของคนบ้านโคก ภายใต้กรอบคิดนิเ ิทยา
การเมือง ทม่ี ่งุ าโครง รา้ ง (structure) และผ้กู ระทา� การ (human agency) จึงจะเปน็ การมอง าการก
ระท�าการของอ�านาจ/โครง ร้าง ที่กระท�า รือมีผลในการเปล่ียนแปลงแบบแผนการด�าเนินชี ิตของคน
บ้านโคก ร มถึงการต่อ ู้ต่อรอง/ตอบโต้ของคนบ้านโคกต่อการกระท�าการของอ�านาจ (การพัฒนา/
เปล่ยี นแปลงตา่ งๆ) ทม่ี ีผลต่อชี ิตของพ กเขา

โครง ร้าง (structure) ในการ ึก าคร้ังน้ี มายถึง การกระท�าการของอ�านาจท่ีน�าไป ู่การ
เปลี่ยนแปลงแบบแผนการผลิต/การด�าเนินชี ิตของคนบ้านโคก อ�านาจท่ี ่านี้ปรากฏในรูปของโครงการ
รือการพัฒนาต่าง ๆ ทเี่ กิดข้ึนในพื้นที่ในช่ งเ ลาท่แี ตกตา่ ง และอา� นาจในการจัดการน�้าเพ่ือการเก ตร
ท่ีอยู่ในมือของ น่ ยราชการ (กรมชลประทาน กระทร งเก ตรและ กรณ)์ นักการเมอื งทอ้ งถ่นิ และ
องค์กรปกครอง ่ นท้องถ่นิ (ในเ ลาต่อมา)

353

นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เน่อื งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

“ถนน ายมาลยั แมนและคลองชลประทานดอนเจดยี ”์ ในการพจิ ารณา “การเมอื งแบบบา้ น ๆ”
ของคนบา้ นโคกในการแกไ้ ขปญั าการขาดแคลนนา้� เพอ่ื การเก ตร คงตอ้ งมองยอ้ นไปยงั จดุ เปลยี่ น า� คญั
ของประเท ท่ีมีผลต่อชุมชนเก ตรแ ่งนี้ นั่นคือระบบเ ร ฐกิจของชุมชนเก ตร ลังปี พ. . 2500
ซง่ึ เปน็ ช่ งเ ลาทนี่ โยบายการพฒั นาตา่ ง ๆ ตามแผนพฒั นาเ ร ฐกจิ และ งั คมแ ง่ ชาติ ไดน้ า� ค ามเจรญิ
ต่าง ๆ มายังชุมชนเก ตร/ชุมชนชนบท การ ร้างโครง ร้างขั้นพ้ืนฐานต่าง ๆ ไม่ ่าจะเป็นถนน นทาง
เขอ่ื นกกั เกบ็ นา้� ขนาดตา่ ง ๆ และการ รา้ งเครอื ขา่ ยคลองชลประทาน ฯลฯ เพอ่ื เปา้ มายในการ รา้ งค าม
มนั่ คงและทนั มยั ใ ก้ บั ประเท และการนา� การปฏิ ตั เิ ขยี รอื เก ตรกรรมแผนใ มเ่ ขา้ มา ซง่ึ มผี ลทา� ใ ้
ภาคการเก ตรของไทยเปล่ียนจากการผลิตเพ่ือการบริโภคในครั เรือนเป็น �าคัญ ู่การผลิตเพื่อการค้า/
อุต า กรรมการเก ตร ชุมชนเก ตรบ้านโคก คือ น่ึงในชุมชน/ มู่บ้านท่ีการเปล่ียนแปลง/พัฒนา
ประเท ู่ค ามก้า น้าเคลื่อนเข้ามาปะทะ ถนน ายมาลัยแมนและคลองชลประทานดอนเจดีย์
(คลองมะขามเฒ่า–อทู่ อง) คือ โครง รา้ งขนั้ พืน้ ฐาน ลงั ปี พ. . 2500 ท่ี รา้ งการเปล่ยี นแปลงใ ้กับบา้ น
โคก กรณีของถนน ายมาลยั แมน การเปิดใช้ถนน ายดังกล่า ใน ปี พ. . 2501 เพื่อเชอ่ื มระ ่างจัง ดั
นครปฐมผ่านมายังอ�าเภออู่ทองออกไป ู่จัง ัด ุพรรณบุรี ท�าใ ้อ�าเภออู่ทองกลายเป็น ูนย์กลางทาง
เ ร ฐกจิ ที่ า� คัญในยุคน้นั ผู้คนจากพนื้ ทรี่ อบนอกต่างกย็ ้ายถ่ินเขา้ มาอยู่อา ัยและท�ากนิ ในอ�าเภออทู่ อง
มากขนึ้ ตลาดอทู่ องทต่ี ง้ั อยรู่ มิ ถนน ายมาลยั แมน และ ่ นราชการของอา� เภอไดก้ ลายเปน็ นู ยก์ ลางค าม
เจรญิ ทางเ ร ฐกจิ ทผ่ี คู้ นในอา� เภออทู่ องและพน้ื ทใ่ี กลเ้ คยี งไดพ้ ง่ึ พาในการซอื้ า นิ คา้ ทมี่ คี ามจา� เปน็ ใน
ชี ิต และเป็นตลาดกลางเพื่อแลกเปลี่ยนและกระจายผลผลิตทางการเก ตรออก ู่ภายนอกชุมชน
่ นของคลองชลประทานดอนเจดีย์ (คลองมะขามเฒ่า–อู่ทอง) ที่เปิดใช้ในช่ งปี พ. . 2507–2508
ก็มีผลท�าใ ้คนบ้านโคก ามารถท�านาได้ปีละ 2 คร้ัง มีการเกิดขึ้นของโรงงานน้�าตาลที่ท�าใ ้เกิดการเช่า
พน้ื ทข่ี องนายทนุ เพอื่ ทา� ไรอ่ อ้ ยในเชงิ การคา้ ในพน้ื ทท่ี เี่ คยเปน็ พน้ื ทที่ า� ไรเ่ พอื่ ยงั ชพี ของผคู้ นในชมุ ชนเก ตร
มากอ่ น การเกดิ ขน้ึ ของโรงงานนา�้ ตาลในอกี ทาง นง่ึ ไดก้ อ่ ใ เ้ กดิ การจา้ งงานขนึ้ ในบา้ นโคกกม็ ผี คู้ น นั ไป
ท�างานรับจ้างเป็นคนตัดอ้อย คนล�าเลียงอ้อย และคนขับรถบรรทุกอ้อย จากการมีน้�าเพ่ือการเก ตรท่ี
มบูรณ์ขน้ึ ไดท้ �าใ ้เก ตรกรลดการปลกู พชื ไรแ่ ละไมผ้ ลตามพืน้ ท่ีเชงิ ป่าเชงิ เขาท่ตี ้องใชเ้ ลา ลังการท�า
นาไปดูแล แล้ นั มาปลกู ผักในพน้ื ท่ีรอบ ๆ มูบ่ ้านค บค่ไู ปกบั การทา� นา า่ นน�้าตม

การพัฒนาโครง ร้างขั้นพ้ืนฐานที่เกิดขึ้นในชนบท มี ่ นเกี่ย ข้องกับแน ทางการพัฒนา
เ ร ฐกจิ ของประเท ทมี่ มี าก่อน นา้ นี้ ซ่งึ คือ “การค้าขา้ ของไทย” ด้ ยประเท ไทยมบี ทบาท �าคญั ใน
การเปน็ ผู้ ง่ ออกขา้ ราย า� คญั นบั เนอื่ งมาตงั้ แต่ มยั ตน้ รตั นโก นิ ทรจ์ ากการตอ้ งทา� นธิ ญั ญาเบา ร์ งิ กบั

ราชอาณาจักร ซ่ึงมีผลท�าใ ้เกิดการค้าเ รีที่ไม่ผูกขาดโดยรัฐ และถือเป็นจุดเริ่มต้นของการผลิตข้า
เพอื่ การคา้ และการเปลย่ี นแปลงใน ถิ กี ารผลติ ของผคู้ นในชมุ ชนเก ตร ซง่ึ ะทอ้ นอา� นาจกระทา� ของระบบ
เ ร ฐกิจโลกท่ีผูกโยงอยู่กับการแย่งชิงทรัพยากรผ่านการล่าอาณานิคม แม้รัฐไทยจะไม่เคยเป็นดินแดน
ใต้อาณานิคมตะ ันตก ากแต่การเป็นรัฐกันชนใน งล้อมของการล่าอาณานิคมและการเมืองระ ่าง
ประเท ในยคุ มยั น้นั ก็ทา� ใ ก้ ารเมือง การปกครองและเ ร ฐกิจของรัฐไทยตอ้ งปรับเปล่ียนไป ซงึ่ มีผล
ต่อเน่ืองมายังระบบเ ร ฐกิจในระดับชุมชน/ มู่บ้าน ค ามต้องการข้า จากภายนอกประเท ท่ีมากข้ึน
จงึ มั พนั ธก์ บั การพฒั นาประเท ในยคุ มยั นนั้ ทง้ั การเลกิ ทา การขดุ คลอง การ รา้ งทางรถไฟ ทต่ี อ่ เนอ่ื ง
ไปถงึ นโยบายพรเี มยี่ มขา้ ร มถงึ นโยบายตา่ ง ๆ ทเ่ี กยี่ ขอ้ งกบั การผลติ และ ง่ ออกขา้ ในช่ งเ ลาตอ่ ๆ มา

354

พิจารณาในภาพเฉพาะ ในบริบทของชุมชนเก ตรบ้านโคก โครง ร้างข้ันพ้ืนฐานและค ามต้องการข้า
เพ่ือการค้า (ในและนอกประเท ) ได้น�าเก ตรกรในพ้ืนที่ ู่การท�านาปีละ 2 ครั้ง (นาปีและนาปรัง)
ที่พ่งึ พาเทคโนโลยี มยั ใ มแ่ ละ ารเคมีทางการเก ตรอย่างเตม็ รูปแบบในช่ งปี พ. . 2535 เป็นตน้ มา
ท่ี มายร มพืชเ ร ฐกิจอ่ืน ๆ เช่นการปลูกผักเพ่ือขายท่ีปรากฏต้ังแต่การเริ่ม ร้างคลองชลประทานฯ
ซ่ึงน่ันท�าใ ้น�้าเพ่ือการเก ตรเป็น ิ่งที่มีค าม �าคัญเป็นอย่างย่ิงในการ ร้างค ามม่ันคงทางรายได้และ
ก�า นดรูปแบบการดา� เนนิ ชี ติ ของคนบ้านโคก

“อา� นาจในการจดั การนา้� ” แมค้ ลองชลประทานฯ จะทา� ใ ม้ นี า�้ เพอ่ื การเก ตร แตใ่ นการรบั รขู้ อง
คนบา้ นโคก นา้� ทม่ี นี นั้ มนี ยั ของการเปน็ ทรพั ยากรธรรมชาตทิ ม่ี เี จา้ ของ และค ามเปน็ เจา้ ของทเ่ี คลอื่ นไปตาม
ช่ งเ ลา ่ นคนทไี่ มใ่ ชเ่ จา้ ของทรพั ยากรนา�้ อยา่ งแนน่ อน คอื เก ตรกร/ชา บา้ น นา้� เพอ่ื การเก ตรจาก
คลองชลประทานฯ ถกู เรยี กด้ ยคา� รอื ประโยคทบี่ ง่ บอก า่ ใครเปน็ เจา้ ของ รอื มอี า� นาจในการจดั การนา้�
น่นั คือ

- นับตั้งแต่เริ่มมีการขุดและ ร้างเครือข่ายคลองชลประทานฯ ก็ปรากฏ ‘น�้าชลประทาน’
‘เดอื ดรอ้ น ดุ กข็ า้ ทไี่ มม่ นี า�้ ขา้ จะตาย ตอ้ งขอนา�้ ชลประทาน’ (ไปขอนา�้ จากชลประทาน) ฯลฯ

- ช่ งที่การขาดแคลนน�้าได้กลายเป็น ิกฤตที่น�าไป ู่การร้องขอน้�าจากนักการเมืองท้องถ่ิน
ก็ปรากฏ ‘ไปขอน�้าจากบรร าร’ ‘ มัยก่อนเป็นเครื่อง ูบน้�าดีเซล ปี 2535 ยังไม่มี อบต.
กย็ ัง บู แบบเงนิ ฯพณฯ ท่าน (บรร าร ลิ ปอาชา)’ ฯลฯ

- ช่ งทีน่ า้� เพ่อื การเก ตรมีไ ้เพื่อ ูนยข์ ยายพนั ธพ์ุ ชื ท่ี 9 จงั ดั ุพรรณบุรี ( นู ย์ ง่ เ รมิ และ
พฒั นาอาชพี การเก ตรจงั ดั พุ รรณบรุ )ี กป็ รากฏ ‘ช่ งไมม่ นี า้� เม ายน มถิ นุ ายน กรกฎาคม
อา ัย ่าของบมา บู นา้� เคร่ืองไฟฟา้ ตรง นองโอง่ แตโ่ ครงการไฟฟา้ มนั ไมใ่ ช่เปน็ โครงการมา
ช่ ยชา นา รอก ดูดไปเข้า นู ย์เพาะเล้ยี งเน้ือเย่อื ’ ฯลฯ

- และในปัจจบุ นั ทีอ่ �านาจในการจัดการน�้าเพือ่ การเก ตรอยใู่ นค ามรับผิดชอบขององค์กร
ปกครอง ่ นท้องถิ่น ก็ปรากฏ ‘เท บาลกับอบต.จ่าย’ ‘พอมี อบต. ประมาณ ปี 2538
การจัดการปญั าน�้าดขี ้นึ มเี จ้าภาพในการจดั การน�้า เป็นคนออกเงิน’ ฯลฯ

นยั ของคา� รอื ประโยคขา้ งตน้ ใ ภ้ าพของการทนี่ า้� เพอ่ื การเก ตรถกู ทา� ใ ก้ ลายเปน็ ทรพั ยากรทมี่ เี จา้ ของ
รือมีผู้ที่มีอ�านาจทา� นา้ ทจี่ ัดการ/จดั รรทรัพยากรดงั กล่า อา� นาจขององค์กรตา่ ง ๆ ทม่ี ีมาก รอื เ นอื
ก า่ อา� นาจของเก ตรกร/ชา บา้ น ไดเ้ ขา้ มามบี ทบาท า� คญั ในการกา� นดแบบแผนการผลติ รปู แบบการ
ด�ารงชี ิต ค ามม่ันคงทางเ ร ฐกิจและชี ิตของผู้คนในชุมชนเก ตร ท้ังทางตรงและทางอ้อมเรื่อยมา
ากแต่การมีอยู่ของอ�านาจท่ีเ นือก ่านั้นก็ไม่ได้เป็นไปในลัก ณะของการกดทับ/กระท�าการเพื่อใ ้เกิด
การเปลี่ยนแปลงใน ิถีชี ิตของคนบ้านโคกแต่ฝ่ายเดีย ในมุมของคนบ้านโคกเอง พ กเขาก็รู้จักท่ีจะใช้
อ�านาจที่มตี อบโต/้ ท้าทายกบั อ�านาจท่ีเ นือก ่าในทา่ ทที ี่ ลาก ลาย

355

นงั ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เนือ่ งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ผูก้ ระท�าการ (human agency) ในการ ึก าคร้ังนี้ มายถงึ อ�านาจและการใช้อา� นาจของคน
บา้ นโคกในการตอ่ ตู้ อ่ รองกบั การกระทา� การของอา� นาจรฐั /อา� นาจทเี่ นอื ก า่ ในประเดน็ ปญั าท่ี า่ ด้ ย
การจัดการ/จดั รรทรัพยากรนา้� เพื่อการเก ตรในช่ งเ ลาท่ีขาดแคลน

“การเคล่ือนไปตามการเปล่ียนแปลง” ชุมชนเก ตรบ้านโคกเป็นภาพแทนของชุมชนเก ตร
ลาย ๆ ชุมชนในประเท ไทย ที่ไม่ ามารถต้านทานกับการเปลี่ยนแปลง รือการพัฒนาต่าง ๆ ซึ่งเป็น
กระทา� การของอา� นาจรฐั และเอกชน อา� นาจทางเ ร ฐกจิ และการเมอื ง การเคลอื่ นไปตามการเปลย่ี นแปลง
ในแต่ละช่ งเ ลาดูจะเป็นค ามพยายามของคนบา้ นโคกในการเอาตั รอด/ นจี ากค ามยากไร้ รา้ งราย
ได้/เพ่มิ โอกา ในการมรี ายไดท้ ่ีมากขึน้ รา้ งค ามมน่ั คงในชี ิต/ขยบั ู่ ถานะทาง ังคมและเ ร ฐฐานะ
ท่ีดีข้ึน ตามค ามเช่ือที่ ่าการเปลี่ยนไป ู่การผลิตเพื่อการค้าจักเป็น ่ิงท่ีท�าใ ้คุณภาพชี ิตของพ กเขาดี
ขน้ึ โดยการเปลีย่ นแปลงแบบแผนการผลติ ซึ่งปรากฏชัด ลังปี พ. . 2500 และ ัมพันธ์กบั โครงการและ
การพฒั นาตา่ ง ๆ ตามกรอบคดิ การพฒั นาประเท /แผนพฒั นาเ ร ฐกจิ และ งั คมแ ง่ ชาตปิ ระกอบด้ ย
คนบา้ นโคก นั มาปลกู ผกั แบบคนจนี ทอี่ า ยั อยรู่ มิ คลองจระเข้ ามพนั ภาย ลงั การเปดิ ใชค้ ลองชลประทาน
ดอนเจดยี ์ (คลองมะขามเฒ่า–อูท่ อง) คนบา้ นโคกเรม่ิ การทา� นาปลี ะ 2 คร้ังและพ่งึ พาเทคโนโลย/ี ารเคมี
ทางการเก ตรอยา่ งเขม้ ขน้ ภาย ลงั การเปดิ ใชค้ ลองชลประทานฯ และเดน่ ชดั ในช่ งปี พ. . 2535 เปน็ ตน้ มา
ซึ่งเป็นช่ งที่การจัดการน�้าเพื่อการเก ตร ัมพันธ์กับนักการเมืองท้องถิ่น การเกิดขึ้นของ ูนย์ขยายพันธุ์
พืชที่ 9 จงั ัด ุพรรณบรุ ี ( นู ย์ ง่ เ ริมและพฒั นาอาชีพการเก ตรจงั ดั ุพรรณบุร)ี และการกระจา
ยอา� นาจจากราชการบริ าร ่ นกลางไป รู่ าชการบริ าร ่ นทอ้ งถน่ิ การเคลอ่ื นไปตามการเปลยี่ นแปลง
ของคนบ้านโคกจึงมีนัยของการเคล่ือนไปตามทิ ทางการพัฒนาของประเท อันเป็นโครง ร้างท่ีกดทับ/
่ังการลงมายังชุมชนเก ตร ากแต่ในช่ งเ ลาเน่ินนานของการพัฒนาก็ท�าใ ้เก ตรกรจ�าน นมากได้
ตระ นักถึงผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการผลิตท่ีไม่ได้ท�าใ ้คุณภาพชี ิตของพ กเขาดีข้ึน
การเลอื กจะเคลอ่ื น รอื ไมเ่ คลอ่ื นไปตามการเปลย่ี นแปลงของคนบา้ นโคกใน ้ งเ ลาปจั จบุ นั ผคู้ นในชมุ ชน
ตา่ งกใ็ เ้ ตผุ ลกบั การเลอื กของตนในทิ ทางท่ี ลาก ลาย นนั่ คอื ลายคนยงั คงเลอื กจะอยใู่ นการผลติ เชงิ
การคา้ (ทา� นา 2 ครง้ั พ่งึ พาเทคโนโลย/ี ารเคมที างการเก ตร) ต่อไปด้ ยไม่ ามารถ ลดุ พ้นจาก งจร
นี้ ินทางการเก ตรที่ไม่เปิดโอกา ใ ้พ กเขา ยุดพัก รือ ันไป าทางเลือกในการผลิตใ ม่ ๆ ที่อาจ
ท�าใ ้คุณภาพชี ิตดีขึ้น ขณะที่ก็มีเก ตรกรอีก ลายคน ันไป าเก ตรกรรมทางเลือกที่ท�าใ ้พ กเขา
ามารถ ลดุ พน้ จากเก ตรเคมีทีบ่ อ่ นทา� ลาย ุขภาพและ รา้ ง น้ี นิ

“การเมอื งแบบบา้ น ๆ ในการจดั การนา้� ” ในบรบิ ทของคนบา้ นโคกทเ่ี ก ตรกรรม คอื ชอ่ งทางใน
การ ร้างรายได้ การปลูกข้า ปลูกผักอย่างต่อเนื่องคือที่มาของค ามม่ันคงในชี ิต น้�าเพ่ือการเก ตรจึง
เปน็ งิ่ ทมี่ คี าม า� คญั นบั ตง้ั แตค่ นบา้ นโคก นั มาทา� การเก ตรเพอื่ การคา้ การมี รอื ไมม่ นี า้� เพอ่ื การเก ตร
ได้กลายเป็น ิ่งท่ีมีค าม �าคัญ ท่ีผลักคนบ้านโคก ู่การแ ง า นทางที่ ลาก ลายในการแก้ไขปัญ า
ในภาพเฉพาะ การแกไ้ ขปญั าการขาดแคลนนา�้ ในระดบั ปจั เจกและครอบครั มกั พบการแกไ้ ขปญั าด้ ย
การลงทนุ ขดุ บอ่ / รา้ งระบบกกั เกบ็ นา้� เพอื่ การเก ตรด้ ยตนเอง แตถ่ า้ เปน็ การแกไ้ ขปญั าจากค ามร่ ม
มือของคนในชุมชน จะพบการใช้อ�านาจท่ีมีในการต่อ ู้ต่อรองกับอ�านาจรัฐ/อ�านาจท่ีเ นือก ่า ซ่ึงเป็น
ปรากฏการณท์ าง งั คม น่งึ ท่นี า่ ทา� ค ามเขา้ ใจ ด้ ยจริตของคนบ้านโคก (ท่เี กี่ย เน่ืองกับการเป็นผคู้ นใน
ังคมชนบทและลา คร่งั ) ดูจะใ ้ภาพของกลุ่มคนที่ไมก่ ล้าขดั ขืน/ปฏิเ ธการพัฒนา รือการกระท�าการ

356

จากอา� นาจทเ่ี นอื ก า่ ซงึ่ ทา� ใ ก้ ารลกุ ขนึ้ มาเรยี กรอ้ ง (ประท้ ง) ขอนา�้ ทเ่ี กดิ ขนึ้ จากคนบา้ นโคก (คนบา้ นโคก
เปน็ คนกลมุ่ แรกและอาจจะเรยี กได้ า่ เปน็ มบู่ า้ นเดยี ทกี่ ลา้ รอ้ งขอนา้� จาก น่ ยราชการและนกั การเมอื ง)
เป็นปรากฏการณ์ที่น่าแปลกใจและอยู่ในค ามทรงจ�าของเจ้า น้าท่ีรัฐและนักการเมืองท้องถ่ิน
ากพิจารณาลัก ณะของการใชอ้ า� นาจที่คนบา้ นโคกเลอื กใช้ กม็ ที ง้ั ในรปู ของการรอ้ งขอ (ประท้ ง) กับ
น่ ยงานของราชการไปจนถึงนักการเมอื งทอ้ งถ่นิ ระดับตา่ ง ๆ การประนีประนอมและใช้ประโยชน์จาก
ระบบอุปถมั ภ์ ซึ่งเป็นรากฐานการเมืองแบบไทย ๆ ท่ี บื ทอดกันมาแต่อดตี ผา่ นการแ ดงน้�าใจ/การท�า
อา ารไปเลยี้ งเจา้ นา้ ของชลประทานฯ (คนคมุ เครอื่ ง บู นา�้ ) ในช่ งทมี่ กี าร บู นา้� จากคลองชลประทานฯ
เข้า ู่พื้นท่ีเก ตรกรรมท่ีขาดแคลนน�้า ฯลฯ การรู้จักและใช้ประโยชน์จากอ�านาจท่ีมีในมิติที่ ลาก ลาย
ของคนบ้านโคกนี้ ทาง น่งึ ชใี้ ้เ ็นค ามเป็นผู้กระทา� การ (human agency) ของผู้คนในชุมชนน้ีท่ีถกู
ท�าใ เ้ กดิ ข้ึนและแ ดงออก โดยมี ิกฤตการณ์/ค ามขาดแคลนนา�้ เพ่อื การเก ตร ท่ี ่งผลกระทบโดยตรง
กับแบบแผนการผลติ และการด�าเนินชี ติ ของคนบา้ นโคกเปน็ แรงผลกั า� คญั

ขอ้ เ นอเชิงวิชาการในการแกไ้ ขปญั าการขาดแคลนน้�าในชุมชนเก ตรบ้านโคก

การเมอื งแบบบ้าน ๆ ของคนบา้ นโคกในการจัดการกบั การขาดแคลนน�้า เป็น นง่ึ ในภาพแทน
ค ามพยายามของผู้คนในชุมชนเก ตรในการแก้ไขปัญ าการขาดแคลนน�้า/ค ามต้องการน�้าเพื่อ
การเก ตรท่ีเพิ่มข้ึน ตามแบบแผนการผลิตท่ีไร้ฤดูกาล การผลิตท่ีเร่งรัดใ ้เก ตรกรต้องท�าการเก ตร
ตลอดทั้งปี เพ่ือใ ้มีรายได้ท่ีมากพอในการด�ารงชี ิต ข้อเ นอในเชิง ิชาการในการแก้ไขปัญ าการ
ขาดแคลนนา�้ ที่ได้จากการทา� งานภาค นาม ณ ชุมชนเก ตรแ ่งน้ี อาจไม่ได้เป็นเพียงการบอกกล่า ใ ้
เกิดการแก้ไขในภาพเฉพาะของท้องถ่ิน/ชุมชน แต่ มายร มถึงการแก้ไขในภาพก ้างของการพัฒนา
ประเท ดงั จะไดน้ า� เ นอขอ้ เ นอเชงิ ชิ าการในการแกไ้ ขปญั าการขาดแคลนนา�้ ในชมุ ชนเก ตรบา้ นโคก
ดงั น้ี “การจดั รรนา�้ เพอื่ การเก ตรอยา่ งเปน็ ธรรม” ภาพการณท์ ผ่ี า่ นมา นา้� ชลประทานฯ ถกู ทา� ใ ก้ ลาย
เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีเจ้าของ การจัด รรน�้าเพ่ือการเก ตรจึงมีนัยของการอุปถัมภ์/การช่ ยเ ลือ
จากอา� นาจทเี่ นอื ก า่ เพอื่ ใ เ้ ก ตรกรมนี า้� ไ ใ้ ชเ้ พอ่ื การเพาะปลกู ค าม มั พนั ธเ์ ชงิ อา� นาจทเ่ี ออ้ื ประโยชน์
ต่อกันนี้ (อ�านาจรัฐ/อ�านาจที่เ นือก ่าและเก ตรกร/คนบ้านโคกต่างได้ประโยชน์จากการต่อ ู้ต่อรอง)
เป็นการจัดการกับการขาดแคลนน้�าที่ดูเ มาะ มกับ ภาพปัญ าของคนบ้านโคก ากแต่ในการจัดการ
ปญั าทดี่ จู ะลงตั นกี้ ย็ งั มปี ระเดน็ ปญั าทค่ี รไดร้ บั การแกไ้ ขเพอ่ื ใ ก้ ารจดั รรนา้� ฯ มคี ามเปน็ ธรรมมาก
ขนึ้ นั่นคอื การ ร้างกฎเกณฑ์และการบังคับใชก้ ฎเกณฑเ์ กี่ย กับการใช้น�้าอย่างเคร่งครัด กลา่ คอื แม้ใน
ปัจจุบันเก ตรกรผู้ใช้น�้าจากคลองชลประทานดอนเจดีย์จะทราบถึงกฎเกณฑ์ท่ี ่า เมื่อถึงช่ งท่ีต้อง ่ง/
ระบายนา�้ เข้าคลองชลประทานฯ เพื่อแก้ไขปัญ าการขาดแคลนน�้าชลประทานฯ จะ งั่ ใ ้ปดิ ทุกทอ่ ่งน้�า
(คลองไ ไ้ ก่) เพอ่ื ใ ้น�้าถูก ง่ ไปถงึ ปลายคลองชลประทานฯ เม่อื น้�าเต็มคลองชลประทานฯ จงึ คอ่ ยเปิดทอ่
่งน�า้ (คลองไ ไ้ ก่) เพ่ือใ ้นา�้ ถกู ่งไปยงั พื้นทเี่ ก ตรกรรมของคนบา้ นโคกและพ้ืนทีใ่ กลเ้ คยี งกอ่ น อย่างไร
กด็ ใี นทางปฏบิ ตั ยิ งั ปรากฏการลกั ลอบเปดิ ทอ่ ง่ นา�้ (คลองไ ไ้ ก)่ ของชมุ ชนเก ตรทอ่ี ยตู่ น้ ๆ คลองชลประทานฯ
รืออยู่เ นือชุมชนเก ตรบ้านโคกข้ึนไป แม้จะมีการตร จตราการลักลอบเปิดท่อ ่งน�้า (คลองไ ้ไก่)
โดยอา า มัครชลประทานของ มู่บ้านและผู้คนในชุมชนเก ตรบ้านโคกในช่ งกลาง ัน แต่ก็ยังพบ
การลกั ลอบ บู นา้� เขา้ พน้ื ทเี่ ก ตรกรรมในเ ลากลางคนื ซงึ่ มผี ลใ ช้ มุ ชนเก ตรบา้ นโคกไดร้ บั นา้� จากคลอง
ชลประทานฯ น้อย รือไม่เพียงพอกบั ค ามตอ้ งการ ขอ้ เ นอเพือ่ แก้ไข ปญั าดังกล่า คือเจา้ น้าที่ของ

357

นัง ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนือ่ งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

รฐั ค รบงั คับใชก้ ฎ มาย รอื การเอาผดิ กบั ผ้ลู กั ลอบเปิดทอ่ ง่ นา�้ (คลองไ ้ไก่) รือ บู นา�้ ในช่ งเ ลาทไี่ ม่
ได้รับอนุญาตอย่างจริงจัง เพื่อใ ้ผู้ใช้น้�าจากคลองชลประทานดอนเจดีย์ ามารถเข้าถึงน้�าเพ่ือการเก ตร
เท่าเทียม/เ มอกันกับเก ตรกรรมในชุมชนอ่ืน ๆ นอกจากน้ี น่ ยงานของรัฐก็ค รจัด รรงบประมาณ
บาง ่ นใ ้อา าชลประทานของ มู่บ้าน รือตั แทนของ มู่บ้านน�าไปใช้ในการซ้ือ า ั ดุอุปกรณ์ เช่น
ิน ทราย กระ อบ ฯลฯ ทตี่ ้องนา� มาใชใ้ นการกน้ั คลองชลประทานฯ ปิดท่อ ่งน�า้ (คลองไ ไ้ ก)่ และเบย่ี ง
เ ้นทางน้�า ด้ ยท่ีผ่านมาเงินงบประมาณที่น�ามาใช้จ่ายใน ่ นน้ีเป็นเงินที่อา า มัครชลประทานของ
มู่บ้านต้องไปขอเรี่ยไรจากผู้คนในชุมชนเก ตรบ้านโคก ซึ่งเป็นการ ร้างภาระใ ้กับเก ตรกรที่ยากจน
รือมคี ่าใช้จา่ ยในการดา� รงชี ิต งู ทีอ่ ยู่แล้

“การ รา้ งระบบกกั เกบ็ นา้� ของชมุ ชน” นอกเ นอื จากรอคอยค ามช่ ยเ ลอื จาก น่ ยงานของรฐั
ค ามพยายามจัดการปัญ าต่าง ๆ ด้ ยตนเอง รือโดยคนในชุมชนก็เป็น ิ่งที่ค รใ ้ค าม �าคัญ แม้ใน
ภาพเฉพาะ/ระดับครอบครั ผู้คนในชุมชนเก ตรบ้านโคกจะลงทุนขุดบ่อน�้าเพื่อกักเก็บน�้าไ ้ใช้ในพื้นท่ี
เก ตรกรรมของตนเอง แต่ในภาพก ้าง/ระดับชุมชน ชุมชนเก ตรแ ่งน้ีไม่มีบ่อน�้า าธารณะท่ีจักเป็น
พนื้ ทก่ี กั เกบ็ นา�้ ฝนและนา�้ ชลประทานฯ เพอื่ ใชใ้ นการเก ตร แมใ้ นอดตี บา้ นโคกมบี อ่ นา้� าธารณะถงึ 2 บอ่
นน่ั คอื ระใ ญ่และ ระ ล ง แตใ่ นปัจจุบนั บอ่ น้�า าธารณะเ ลา่ น้ันถกู ถมเพือ่ น�าไปใชท้ า� ประโยชนด์ า้ น
อื่น ๆ กรณขี อง ‘ ระใ ญ’่ ปจั จุบันมีขนาดเลก็ ลง (มพี ้ืนทีเ่ ลือเพียง 200 ตาราง า) ด้ ยพืน้ ทบ่ี าง ่ น
ถกู ถมเพ่ือนา� ไป รา้ งอาคารอเนกประ งคแ์ ละ น ย่อม ่ นของ ‘ ระ ล ง’ ท่เี คยมีไ เ้ พอื่ กักเก็บนา�้
ในการเก ตรกถ็ กู ถมเพอื่ นา� ไป รา้ งเปน็ ลานอเนกประ งคข์ อง มบู่ า้ น ใน ภาพการณท์ ค่ี นบา้ นโคกจา� เปน็
ต้องผลิตพืชอา ารอย่างเข้มข้น การปลูกข้า ปลูกผักคือค ามมั่นคงทางเ ร ฐกิจและชี ิต และคนบ้าน
โคกอาจไม่ ามารถเพมิ่ อา� นาจในการตอ่ รองกบั น่ ยงานของรฐั ไดม้ ากก า่ ทเี่ ปน็ อยใู่ นปจั จบุ นั นทางใน
การแกไ้ ขปญั าทตี่ อ้ งไดร้ บั ค ามร่ มมอื /ช่ ยเ ลอื จากคนในชมุ ชน คอื การ รา้ งระบบกกั เกบ็ นา้� ในพนื้ ที่
าธารณะของชมุ ชน ซง่ึ ประกอบด้ ย บอ่ นา�้ าธารณะ การ า� ร จค ามตอ้ งการนา�้ เพอื่ การเก ตรทช่ี มุ ชน
ต้องใช้ตามจริงและ อดคล้องกับทรัพยากรน้�าที่ชลประทานฯ ามารถจัด รรใ ้ได้ การ ร้างระบบ/
กฎเกณฑใ์ นการจดั การนา้� ทจ่ี ะทา� ใ ค้ นบา้ นโคก ามารถเขา้ ถงึ นา้� เพอ่ื การเก ตรอยา่ ง เปน็ ธรรม และการ
ปรบั เปลยี่ นแบบแผนการผลติ /คน้ าการผลติ ทใ่ี ชน้ า�้ เพอื่ การเก ตรนอ้ ย ฯลฯ กด็ จู ะเปน็ งิ่ ท่ี ามารถ รา้ ง
ค ามมน่ั คงในเรือ่ งทรพั ยากรนา�้ ใ ้กับผคู้ นในชมุ ชนเก ตรบา้ นโคกได้ไมม่ ากกน็ ้อย

ในบริบทที่ค ามต้องการน้�าเพ่ือการเก ตรยังคงเป็น ิกฤตการณ์ในชี ิตของผู้คนในภาค
การเก ตร ท้ังในระดับท้องถิ่น ประเท และโลก ข้อค้นพบจากชุมชนเก ตรบ้านโคก ได้เผยใ ้เ ็น
“การเมืองแบบบ้าน ๆ” ซึ่งคือ การเคลื่อนไ รือการใช้อ�านาจในการต่อรองกับอ�านาจท่ีเ นือก ่า
(นโยบายการพัฒนา อตุ า กรรมอา าร น่ ยราชการ นักการเมืองทอ้ งถน่ิ องคก์ รปกครอง ่ นท้องถน่ิ
ฯลฯ) ท้งั ทางตรงและทางออ้ ม ที่นา� คนบา้ นโคกไป กู่ ารรู้ถึงอา� นาจทีต่ นเองมี ท่ี ามารถน�าไปใชเ้ พ่ือการ
แกไ้ ขปญั าต่าง ๆ ของชุมชน ที่ มายร มถงึ การผลกั คนบ้านโคกไป ู่การใชอ้ า� นาจที่มใี นการจัดการกับ
การเปล่ียนแปลง รือโครงการพัฒนาต่าง ๆ ที่เคล่ือนเข้า ู่ชุมชนมากขึ้น ไม่ ่าจะเป็นการเปล่ียนแปลง
แบบแผนการผลิตไปในทิ ทางที่ลดการใช้ ารเคมีทางการเก ตรลง รือการน�าชุมชนลา คร่ังบ้านโคก
ู่การเปน็ ชุมชนทอ่ งเท่ีย เชงิ ฒั นธรรม เปน็ ตน้

358

บรรณานกุ รม

ภา าไทย

จิตคุปต์ ละอองปลิ . (2559). “การปรับตั และการมี ่ นร่ มของเก ตรกรผู้ใช้น�้าในพื้นท่ีกึ่งเมืองกึ่ง
ชนบท กรณี ึก าอ�าเภอแก่งคอย จัง ัด ระบุรี.” าร ารมนุ ย า ตร์ ังคม า ตร์
ม า ิทยาลัยทกั ณิ 10, 2 (ตลุ าคม 2558–มนี าคม 2559): 151-177.

ชนญั ง ์ ภิ าค. (2532). ลา ครง่ั : การ กึ าประ ตั ิ า ตรท์ อ้ งถน่ิ กบั การผ มกลมกลนื ทาง ฒั นธรรม =
Lao Khrang : a study of local history and acculturization. กรุงเทพฯ: ภาค ชิ า
มานุ ย ทิ ยา ม า ิทยาลยั ลิ ปากร.

ชมพนู ทุ จิ ะธานนท์. (2542). “จากบ่อน�้า ่ปู ระปา : การเปลีย่ นแปลงแบบแผนการใช้นา้� กรณี ึก า
ม่บู า้ นโคก ต.อู่ทอง อ.อทู่ อง จ. พุ รรณบุร.ี ” ารนิพนธ์ ิลป า ตรบณั ฑิต าขา ชิ า
มานุ ย ิทยา คณะโบราณคดี ม า ทิ ยาลัย ิลปากร.

ถาบัน าร นเท ทรพั ยากรน้�าและการเก ตร (องคก์ ารม าชน). (ม.ป.ป.). ภยั แลง้ ปี 2557/2558.
เข้าถึงเมื่อ 2 กันยายน 2561. เข้าถึงได้จาก http://www.thaiwater.net/current/
drought58/drought58.html.

า� นัก ่งเ ริมและประ านม ลชน กรมทรัพยากรน้�า. (2553). เกรด็ ค ามรู้ทรัพยากรธรรมชาติ เรอ่ื ง
ภา ะขาดแคลนน�้า : ภยั รา้ ยที่กา� ลังมาเยือน ฉบับประจ�าเดือนมีนาคม 2553.เขา้ ถึงเมอ่ื
21 พฤ จิกายน 2559. เข้าถึงได้จาก http://dwr.go.th/contents/content/files/
001002/0012763_1.pdf.

แอนดรู อล์คเกอร.์ (2559). ชา นาการเมอื ง: อ�านาจในเ ร ฐกจิ ชนบท มยั ใ ม่ของไทย. นนทบุร:ี
ฟ้าเดีย กัน.

ICONS. (2017). เมอื ง พุ รรณปรับปรงุ คลองแก้ปญั าน้า� . เข้าถงึ เม่อื 28 ตุลาคม 2560. เขา้ ถึงได้จาก
http://www.icons.co.th/newsdetail.asp?lang=EN&page=newsdetail&news
no=28735.

THAIPUBLICA. (2016). ร มมาตรการช่ ยชา นา “รฐั บาลประยุทธ”์ เฉียด 6 แ นล้าน อุ้มทุก
กระบ นการผลิตขา้ “ก่อนปลกู -ระ ่างปลูก- ลงั ปลูก”. เขา้ ถึงเมอื่ 2 กนั ยายน 2561.
เขา้ ถงึ ไดจ้ าก https://thaipublica.org/2016/11/measures-to-help-farmers-prayuth/.

359

นัง อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เนือ่ งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ภาษาต่างประเทศ
Cole, S. (2012). “A political ecology of water equity and tourism. A Case Study From

Bali.” Annals of Tourism Research. 39, 2: 1221-1241.
Drought. (n.d.). Accessd October 7, 2015. Available from http://education.nationalgeo

graphic.com/encyclopedia/drought/
Kalipeni, E. & Oppong, J. (1998). “The refugee crisis in Africa and implications for health

and disease: a political ecology approach.” Social Science and Medicine. 46,
12: 1637–1653.
Leff, E. (2012). Political Ecology: A Latin American Perspective. Accessed March 31,
2014. Available from http://www.geopolitica.ws/media/uploads/leffpoliticale
cologyeolss.pdf.
Montrivade, V. (2016). “POLITICS OF FOOD, ENVIRONMENT AND HEALTH IN AN
AGRICULTURAL COMMUNITY IN CENTRAL THAILAND: A POLITICAL ECOLOGY
STUDY.” Doctoral Thesis, Faculty of Graduate Studies, Mahidol University.
O’ Lear, S. (2010). Environmental Politics: Scale and Power. New York: Cambridge
University Press.
Siebert C. (2011). Food Ark. Accessed November 26, 2016. Available from
http://ngm.nationalgeographic.com/print/2011/07/food-ark/siebert-text.
Thaiturapaisan, T. (2015). Drought, a worrying situation for Thai agriculture. Accessed
November 26, 2016. Available from https://www.scbeic.com/en/detail/file/
product/1429/e5cqpht191/note_ENG_Drought%20Situation_20150715_Final.pdf.
Walsh, C. (2004). “Aguas Broncas: The Regional Political Ecology of Water Conflict in
the Mexico-U.S. Borderlands.” Journal of Political Ecology. 11, 1: 43–58.

360

ผูค้ น ประวตั ศิ า ตร์ และวัฒนธรรมในงานวจิ ัยเพอ่ื ท้องถน่ิ
จัง วดั แมฮ่ ่อง อน พ.ศ. 2543-2560

The local, History and Culture in
Community- Based Research

of Mae Hong Son Province between 1997-2017

นชุ นภางค์ ชมุ ด*ี
Nootnapang Chumdee

* อาจารยป์ ระจา� มวดวิชาประวตั ิศา ตร์ คณะโบราณคดี ม าวิทยาลัยศิลปากร, นักวจิ ัยโครงการ ังเคราะ ์
เอก ารงานวจิ ยั ของ กว. ในจงั วดั แมฮ่ อ่ ง อนในกรอบการพฒั นาทยี่ ง่ั ยนื นบั นนุ การวจิ ยั โดย า� นกั งานกองทนุ นบั นนุ
การวิจัย ( กว.) น่วยวจิ ยั เชงิ ยทุ ธศา ตร์ ระยะเวลาวจิ ัย 15 กรกฎาคม 2561–16 มกราคม 2562

361

นงั อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เน่อื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

บทคดั ยอ่
บทค ามนเ้ี ปน็ การ งั เคราะ ง์ าน จิ ยั เพอื่ ทอ้ งถน่ิ ดา้ นประ ตั ิ า ตร์ ฒั นธรรม ภมู ปิ ญั ญาและ
ชาตพิ ันธ์ุ จาก โครงการ ังเคราะ ์เอก ารงาน จิ ัยของ ก . ในจัง ดั แม่ฮอ่ ง อนในกรอบการพฒั นาท่ี
ยั่งยืน เพ่ือใ ้เ ็นถึง ถานการณ์ของประเด็น ิจัย ในงาน ิจัยเพื่อท้องถ่ิน จัง ัดแม่ฮ่อง อนระ ่าง
พ. . 2543-2560 บทค ามนี้มี ัตถปุ ระ งคท์ ี่จะชีใ้ เ้ น็ ถงึ องค์ค ามร้ทู เ่ี ก่ยี ข้องกับประ ัติ า ตร์ และ
ฒั นธรรมแมฮ่ อ่ ง อนในงาน จิ ยั เพอ่ื ทอ้ งถนิ่ นบั นนุ และเ รมิ รา้ ง กั ยภาพของชมุ ชนใ ม้ คี ามเขม้ แขง็
ผลการ ึก าพบ า่ ทัง้ การ กึ าเพือ่ ตอบโจทย์ ิจยั ลกั และการ กึ าบรบิ ทชมุ ชนของงาน ิจัยเพือ่ ท้อง
ถิ่นนั้นใ ้ค าม �าคัญกับข้อมูลเชิงชาติพันธุ์ ัฒนธรรมและประ ัติ า ตร์ชุมชน องค์ค ามรู้เรื่องท้องถิ่น
เ ล่าน้ีเป็นแรงกระตุ้นใ ้กับเจ้าของ ัฒนธรรม ร มถึงผู้เกี่ย ข้องได้น�ามาจัดการกับชุดค ามรู้ภูมิปัญญา
ดั้งเดิมท่ี ่ัง มมาในแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ก่อนท่ีจะ ูญ ายไป นอกจากนี้งาน ิจัยเพื่อท้องถ่ินเ ล่านี้ยังได้
พยายามเ รมิ รา้ ง กั ยภาพทงั้ ตั ผู้ จิ ยั ทเ่ี ปน็ คนในชมุ ชน และพน้ื ท่ี จิ ยั ใ ้ อดคลอ้ งกบั จดุ เดน่ ของชมุ ชน
ที่มีอยู่ เพื่อเปน็ การเตรียมค ามพรอ้ มใ ช้ มุ ชนและน�าไป ู่การจดั การมรดกทาง ฒั นธรรมใ ้ยัง่ ยนื
คา� ส�าคัญ : งาน ิจยั เพอื่ ทอ้ งถนิ่ , จัง ัดแม่ฮ่อง อน, บรบิ ทชุมชน, งาน ิจยั ก .

6

Abstract
This paper aims to investigate the situation of the study of historical, cultural
and ethnical elements as appears in “The Synthesis of TRF Research in Mae Hong Son
Province within the Framework of Sustainable Development” in order to understand the
roles of local history in Community- Based Research conducted in Mae Hong Son Province
between 1997-2017.
The result reveals that the “keyword research” and “local context” of
Community- Based Research place importance on the understanding of ethnic group,
cultural diversity and local history in Mae Hong Son. These local knowledges help to
motivate the local people to manage the original wisdom knowledge collection that has
been gathered by ethnic groups before it would be no longer in existence. In addition,
these Community-Based Researches support the process of developing and strengthening
the local researcher and area study to conform with an outstanding point of the local
community for being well-prepared and leading to sustainable cultural heritage management.
Keywords: local history, Mae Hong Son, local context, TRF Research

363

นัง อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนือ่ งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ในช่ ง 20 ปีทผ่ี ่านมา จงั ัดแม่ฮอ่ ง อนมีการเปลยี่ นแปลงใน ลาย ๆ ดา้ น ทงั้ ด้านเ ร ฐกิจ
ังคม การเมอื งการปกครอง ฯลฯ ภายใตแ้ รงผลักดนั ของนโยบายแผนพฒั นาฯ ทค่ี รจะด�าเนนิ ไปพร้อม
กบั พ้นื ทอี่ ื่นในภาคเ นือ แตร่ ะดบั ช่ งเ ลา และกลไกทีข่ บั เคล่อื น “การพัฒนา” ของจงั ัดแมฮ่ ่อง อน
นั้นกลับล่าช้า จนท�าใ ้จัง ัดแม่ฮ่อง อนถูกจัดเป็น น่ึงใน “กลุ่มเมืองโตช้า” ของภาคเ นือ ( รั ดี
อ๋อง กลุ , 2551: 622-624)

คงไมอ่ าจปฏเิ ธได้ า่ ขอ้ จา� กัดใน “การพัฒนา” ของแมฮ่ ่อง อน คือ ภมู ทิ ่ตี ้ังทีถ่ กู ปดิ ลอ้ มด้ ย
เทือกเขา ูงทุกด้าน ประกอบกับภูมิประเท ภายในจัง ัดเองท่ีประกอบด้ ยเทือกเขา ลับซับซ้อน
ร มท้ังภูมิ ลังเชิงประ ัติ า ตร์และ ัฒนธรรมของแม่ฮ่อง อน ประกอบข้ึนด้ ยผู้คนจาก ลาก ลาย
ชาตพิ นั ธซ์ุ ง่ึ ตง้ั ถนิ่ ฐานกระจายตั อยตู่ ามพน้ื ที่ งู และทร่ี าบเชงิ เขา ทง้ั นชี้ มุ ชนและทที่ า� กนิ จงึ อยใู่ นพน้ื ทเี่ ขต
ปา่ อนรุ กั ์ และปา่ ง น ร มถงึ ข้อจา� กดั ในเร่ือง ัญชาติ การมีบัตรประชาชน เลขทบี่ า้ น เป็นต้น ท�าใ ้
ทิ ธใิ นการเขา้ ถงึ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละการดา� เนนิ การเพอ่ื พฒั นาในดา้ นตา่ ง ๆ ดา� เนนิ ไปไดช้ า้ ก า่ จงั ดั
อื่น ๆ ในภาคเ นือ

ยง่ิ ไปก า่ นน้ั ทผี่ า่ นมาแน ทางการพฒั นาเ ร ฐกจิ ตามแผนพฒั นาฯ เปน็ แน ทางทมี่ งุ่ เนน้ ค าม
เติบโตทางเ ร ฐกิจบนรากฐานของเ ร ฐกิจแบบทุนนิยมโลกาภิ ัตน์ ซึ่งอิงอยู่กับแน โน้มและกระแ
ตลาดจากภายนอก และเปน็ แผนพฒั นาฯ ทม่ี งุ่ ใ ้เป็นไปในทิ ทางเดีย กันท้งั มด ไม่ใช่การพฒั นาท่ยี ดึ
เอาชมุ ชน รือท้องถน่ิ เปน็ นู ยก์ ลาง จึงไมไ่ ดม้ ีการน�าเอาปจั จยั ข้อจา� กัดตา่ ง ๆ ของพื้นที่ ิถีชี ติ ังคม
และ ฒั นธรรมของท้องถิ่นมาพิจารณาร่ มด้ ย อยา่ งไรกต็ ามจากลกั ณะของพน้ื ท่ี ูงและผูค้ นชาตพิ ันธ์ุ
ของจงั ดั แมฮ่ อ่ ง อน กลบั ทา� ใ ้แมฮ่ อ่ ง อนเติบโตในฐานะเมอื งท่องเที่ย ภายใตน้ โยบายกระตุน้ การ
ท่องเทย่ี ของรัฐ พ. . 2530 แมฮ่ ่อง อนค่อย ๆ เกิดการเปล่ียนแปลงทงั้ กายภาพของเมือง ง่ิ แ ดล้อม
งั คมและ ัฒนธรรม แต่ชุมชนยงั ถูกจ�ากัด ไปจนถึง ูญเ ยี ิทธกิ ารเข้าถึงทรัพยากรท้ังทางธรรมชาติและ
ฒั นธรรมของตนเอง ดังน้ันแน ทางการพัฒนาทไี่ มเ่ อ้อื ใ ้เกดิ การจดั รรโอกา ทางเ ร ฐกจิ แบบองิ ถิ ี
ชุมชน ตามนโยบายของรฐั เชน่ น้ี ไม่เพียง ะท้อนใ ้เ ็นอยา่ งเปน็ รูปธรรมในรูปของมลู คา่ ผลติ ภณั ฑ์ม ล
ร มภายในของแมฮ่ อ่ ง อนทจี่ ดั า่ ตา�่ ที่ ดุ ในประเท ไทย แตย่ งั กดั กรอ่ น ฒั นธรรมชมุ ชนและ ถิ ขี องกลมุ่
ชาตพิ นั ธใ์ุ อ้ อ่ นแอลง จนพร้อมที่จะ ูญ ายไปพรอ้ มกับการจากไปของคนรุ่นแรก

จะเ น็ ได้ า่ ปญั าดา้ นการพฒั นาในพน้ื ทจี่ งั ดั แมฮ่ อ่ ง อนนนั้ เปน็ เรอื่ งของแน ทางการพฒั นา
ภายใต้แผนพัฒนาฯ ของรฐั ทีไ่ มค่ า� นึงถึงเงื่อนไข ข้อจา� กดั และลกั ณะเฉพาะของแม่ฮอ่ ง อน จนท�าใ ้
ค ามพยายาม “การพัฒนา” ที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่ไม่บรรลุเป้า มายท่ีตั้งไ ้ ท�าใ ้เกิดค ามเ ีย ายต่อ
ิถีชุมชน ค ามถดถอยของท้องถ่ิน และการ ูญเ ียเชิงทรัพยากรท้ังทางธรรมชาติ ่ิงแ ดล้อมและ
ฒั นธรรมอกี ด้ ย

6

อย่างไรก็ตามอีกด้าน นึ่งของการพัฒนาที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนใ ้จัง วัดแม่ฮ่อง อน คือ
�านักงานกองทุน นับ นุนการวิจัย รือ กว. (ปัจจุบัน เปล่ียนเป็น �านักงานคณะกรรมการ ่งเ ริม
วทิ ยาศา ตร์ วจิ ยั และนวตั กรรม รอื ก ว.) ไดเ้ รมิ่ แนวทางการทา� งานวจิ ยั เพอื่ ทอ้ งถน่ิ (Community-Based
Research: CBR) ไดจ้ ัดตงั้ ศนู ย์ประ านงานวิจัยเพอ่ื ทอ้ งถ่นิ กว. แม่ฮ่อง อน ตัง้ แต่ พ.ศ. 2543 ที่เนน้
ใ ค้ นในชมุ ชนได้ร่วมกันคดิ ทบทวน ถานการณ์ ตง้ั คา� ถาม วางแผนขอ้ มูล ทดลองท�า วเิ คราะ ์ รปุ การ
ท�างาน และ าค�าตอบเพอื่ ปรบั ปรุงงานตอ่ ไป (อรุณี เวยี งแ ง และคณะ, 2550: 6)

1. งานวิจยั เพื่อท้องถ่นิ : กระบวนการเรยี นรชู้ ุมชนโดยชุมชนแม่ฮอ่ งสอน

การพัฒนาการวิจยั และกระบวนการเรยี นรู้ต่าง ๆ ของนักวชิ าการเริ่มใ ค้ วาม �าคญั มากข้นึ กบั
ทางเลือกใ ม่ ซ่ึงทางเลือกใ ม่ท่ีว่านั้นตั้งอยู่บนฐานของปรัชญาและคุณค่าที่เน้น “คน” เป็นศูนย์กลาง
เ ริม ร้างพลังทางปัญญาใ ้กับประชาชนด้วยกระบวนการพัฒนาอย่างมี ่วนร่วม ทางเลือกดังกล่าวถูก
านต่อใ เ้ กดิ รปู ธรรมเม่ือเดือนมถิ ุนายน พ.ศ. 2541 ลงั จาก า� นกั งานกองทนุ นบั นนุ การวจิ ยั ( กว.)
ได้ทบทวนพันธกิจและวิธีการท�างานของ กว. ประการ นึ่งที่ กว. ใ ้ความเ ็นคือ การเร่งงานวิจัยท่ี
ามารถตอบ นอง รือช้ีน�าการพัฒนาชุมชนท้องถ่ินใ ้มากข้ึน รวมทั้งใ ้ทันกระแ การเปล่ียนแปลงท่ี
ก�าลังเกิดข้ึนอย่างรวดเร็วและรุนแรงในขณะนี้ งานวิจัยเพื่อท้องถิ่นฯ ด�าเนินการด้วยค�าถามร่วมกันว่า
“ท�าอย่างไรชาวบ้านจะได้ประโยชน์จากงานวิจัย?” (อรุณี เวียงแ ง และคณะ, 2550: 5) จากค�าถาม
ดงั กลา่ ว ทา� ใ ้ กว. ต้องทบทวนแนวคดิ และ าวธิ กี ารท�างานใ ม่ เพื่อใ ้เ มาะ มกบั “ชาวบ้าน”

ในฐานะนักวิจัยกลุ่มใ ม่ ตั้งแต่การทบทวนว่า “วิจัยคืออะไร” ไปถึงการก�า นดเรื่องวิจัย
การ นบั นนุ การทา� วจิ ยั และการรายงานผลการวจิ ยั ( นิ ธ์ุ โรบล, 2554).จงึ นา� ไป กู่ ารจดั ตงั้ “ า� นกั งาน
กว. ภาคเ นอื ” ในเดอื นตลุ าคม พ.ศ. 2541 และเรมิ่ งานทดลอง “งานวจิ ยั เพอ่ื ทอ้ งถนิ่ ” (Community-Based
Research–CBR) ในจัง วดั แมฮ่ อ่ ง อน โดยมี กว. า� นกั งานภาค เป็น นว่ ยจดั การ ติดตาม นบั นนุ
และมศี ูนยป์ ระ านงานงานวจิ ยั เพ่อื ทอ้ งถนิ่ เป็น นว่ ยจัดการในพ้ืนที่

ศูนย์ประ านงานวิจัยเพื่อท้องถ่ินจัง วัดแม่ฮ่อง อน รือ (NODE แม่ฮ่อง อน) ตั้งข้ึนใน
พ.ศ. 2543 “งานวจิ ยั เพอื่ ทอ้ งถน่ิ ” จงึ ยงั เปน็ ของใ มแ่ ละของแปลก า� รบั ทกุ คนทงั้ นกั วจิ ยั และชาวบา้ น
แม่ฮ่อง อน ถือเป็นจุดเร่ิมต้นของการวิจัยแนวใ ม่ที่เน้นใ ้คนในชุมชนได้ร่วมคิดทบทวน ถานการณ์
ตั้งคา� ถาม วางแผน าขอ้ มลู ทดลองทา� วิเคราะ ์ และ รุปผลการทา� งาน

ดงั นนั้ “งานวจิ ยั เพอ่ื ทอ้ งถน่ิ ” เปน็ เครอ่ื งมอื ทเี่ นน้ ใ ้ “คน” ในชมุ ชนเขา้ มารว่ มกระบวนการวจิ ยั
ต้ังแต่การเริ่มคิด การต้ังค�าถาม การวางแผน และค้น าค�าตอบอย่างเป็นระบบ และเป็นรูปธรรม
โดยเรยี นรู้จากการปฏบิ ัติจริง โดยเน้นย้�าความแตกตา่ งของงานวิจัยเพอื่ ท้องถนิ่ ทีแ่ ตกตา่ งไปจากงานวิจยั
เชงิ วชิ าการ คอื ไมเ่ นน้ ผลงานวจิ ยั แตม่ องการวจิ ยั เปน็ กระบวนการในฐานะเปน็ เครอื่ งมอื ทเ่ี รมิ พลงั ชมุ ชน
(empower) (อรณุ ี เวียงแ ง และคณะ, 2550: 5-7)

365

นัง อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เนอ่ื งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

โครงการ ิจัยท่ีร่ มกระบ นการ ังเคราะ ์ครั้งน้ีเป็นกลุ่มงาน ิจัยเพื่อท้องถ่ินที่ นับ นุนโดย
�านักงานกองทุน นับ นุนการ ิจัย รือ ก . ช่ งระ ่าง พ. . 2543-2560 จ�าน น 83 โครงการ
แบง่ ช่ งเ ลาการท�า จิ ัยเพอ่ื ทอ้ งถนิ่ จัง ดั แม่ฮ่อง อน แบ่งออกเป็น 3 ยุค (อรณุ ี เ ียงแ ง, 2562 : 1-2)

ยคุ ท่ี 1 ลองทา� ลองถอด พ.ศ. 2543-2546 นนุ ทกุ ประเดน็ ตามทช่ี มุ ชนเ นอ ภายใตค้ ามคดิ
“โจทยเ์ ปน็ ของชมุ ชน เปน็ ปญั าของชมุ ชน เ นอโดยชมุ ชน” โดยมปี ฏบิ ตั กิ ารเพอ่ื แกป้ ญั า ใชก้ ระบ นการ
ท�างาน แบบ PAR มีนัก ิจัย ลักเป็นพ่ีเล้ียงโครงการ จัดใ ้มีเ ทีเ นานัก ิจัยเป็น ่ น ่งเ ริมงาน
การ รา้ งเครอื ขา่ ย รา้ งค ามเขม้ แขง็ องคก์ รชมุ ชน จงั ดั แมฮ่ อ่ ง อนเปน็ กลไกเคลอื่ นงานของภาคประชา งั คม
เน้นการบรู ณาการทา� งานร่ มกัน โดยมพี ื้นทเ่ี ปน็ ตั ต้ัง และเน้นการถอดบทเรยี นเพอ่ื ากระบ นการ

ยคุ ที่ 2 ยคุ จัดการความรู้ พ.ศ. 2547-2553 เน้นจดั การค ามรู้ประเดน็ เก ตรย่ังยืน (SA) และ
การท่องเที่ย ชุมชน (CBT) ทง้ั นใ้ี ้ค าม า� คญั กับการก�า นดประเดน็ การขนึ้ โจทย์ จิ ยั การพฒั นาองค์
ค ามรู้ และการเชื่อมภาคีค ามร่ มมือ ในช่ งเ ลานี้ใ ้ค าม �าคัญกับนัก ิจัยชุมชนมากขึ้นจาก
กระบ นการ PAR ู่ CBR

ยุคที่ 3 ยคุ ความขบั เคลอื่ นความม่นั คงทางอาหาร พ.ศ. 2554-2560 เปน็ การ จิ ัยเนน้ เฉพาะ
ประเด็นค ามม่ันคงทางอา าร (FS) ตามกรอบ 4 ่ งโซ่ระบบอา ารคือ 1) ด้านทรัพยากร ดินน�้า ป่า
2) ด้านการผลิตและแปรรูป 3) ด้านการตลาดและเ ร ฐกิจชุมชน และ 4) ด้านบริโภคและ ุขภาพ
นบั นุนการยกระดับ ู่นโยบายทอ้ งถ่ินและจัง ดั ( ลัก ูตรในโรงเรยี น อบต.) และยกระดบั นู่ โยบาย
าธารณะ “ ุขภา ะเก ตรกร จัง ัดแม่ฮ่อง อน” และธรรมนูญ ุขภาพ จัง ัดแม่ฮ่อง อน ด้าน
“ค ามมน่ั คงดา้ นอา าร” ร่ มกบั ภาคี มชั ชา ขุ ภาพ

จะเ ็นได้ ่างาน ิจัยเพื่อท้องถ่ินนั้นได้พยายามลงไปใ ้ถึงปัญ าท่ีแท้จริงของชุมชน อย่างไร
กต็ ามงาน จิ ยั เพอ่ื ทอ้ งถน่ิ รอื งาน จิ ยั แบบชา บา้ นยงั คงประ บปญั าการดา� เนนิ การ จิ ยั ซงึ่ ปญั าตา่ ง
ๆ บางทั นะจากเ ทเี นาแลกเปลย่ี นพดู คยุ กบั ผูช้ ่ ยนกั จิ ัยโครงการตา่ ง ๆ ได้ ะทอ้ นใ ้เ น็ ่าก่อนท่ี
จะเขา้ มาร่ มทา� จิ ยั นนั้ นกั จิ ยั ชา บา้ น ่ นใ ญน่ น้ั ไมเ่ คยทราบ า่ การ จิ ยั คอื อะไร เนอ่ื งจากคา� า่ “ จิ ยั ”
เป็นคา� ที่ฟังดูยากเกินก า่ ชา บ้านจะ ามารถทา� ได้ และเข้าใจ า่ มีแต่นกั ชิ าการเทา่ นน้ั ที่ ามารถท�า จิ ัย
ได้ จึงทา� ใ ้ไมท่ ราบ า่ จะเรมิ่ ตน้ ท�า จิ ัยได้อย่างไร

“ถา้ พดู า่ จิ ยั ชา บา้ นจะคดิ เปน็ เรอื่ งยาก ถา้ เรามา กึ าขอ้ มลู ชมุ ชน มนั จะดอู อ่ นลง
อะไรเป็นปญั ากน็ �ามา ่กู ารแกไ้ ข ก็คอื การ จิ ยั ชา บ้านจะ นพี อไดย้ ินคา� า่ วิจยั ”

(เท ญั ปญั ญาประเ รฐิ , ัมภา ณ์, 20 กมุ ภาพนั ธ์ 2562)

นอกจากนก้ี ารดา� เนนิ งานภาค นามบางครงั้ ไมไ่ ดง้ า่ ยอยา่ งทค่ี ดิ รอื เขา้ ใจ ปา้ อดู๊ รอื คณุ จนั ทร์ รี
ธุ รรม ( ัมภา ณ,์ 20 กุมภาพันธ์ 2562) เลา่ ใ ้ฟัง ่า

366

“ตอนน้นั น้าทคี่ อื ประ านชา บา้ น ลงพื้นท่เี ก็บขอ้ มูล งานชนิ้ แรกท�าต้ังแต่
ปี 2546 ัมภา ณ์เอง บนั ทึก ถอดเทป ถา้ อะไรท่ไี มเ่ ข้าใจก็ถาม เร่อื งเอก ารไมเ่ ป็นเลย
มันยากมาก มานง่ั คุยกัน ชา บา้ น ง ัย า่ อะไรก็ไม่รู้ ถามละเอียดมาก…เอก ารยาก
ท้งั แบบ อบถามยาก ตอนออกแบบ อบถามกย็ าก ต้องมาน่งั คยุ กนั ตอ้ งใช้ ธิ คี ยุ กนั
ค าม มายมนั เปน็ แบบนี้ ๆ นะ แตใ่ นการ มั ภา ณ์กเ็ ป็นการช นคุย ถ้าเค้าเบื่อ ๆ
ก็ตอ้ งมีเทคนิค ่ นตั คิดเอง…..”

ปญั าที่ า� คัญอีกประการ นง่ึ คือ การเขยี นงาน ิจยั ทีถ่ อื ่ายังเป็นปัญ าอย่างมาก �า รับนกั
ิจัยท้องถิ่นไม่ ่าจะเป็นนัก ิจัยชา บ้าน รือนัก ิจัยนักพัฒนา รือแม้แต่นัก ิจัย าย ิชาการในบางคร้ัง
ในภาพร ม ่ นใ ญเ่ ปน็ การเขยี นเชงิ อธบิ ายทเ่ี ขา้ ใจงา่ ย ไมซ่ บั ซอ้ น แตค่ าม ลาก ลายของกรอบแน คดิ
ทา� ใ ้เกิดค าม บั นเขียนไมอ่ อก การขาดการบนั ทกึ อยา่ งเป็นระบบท�าใ ้ขาดขอ้ มูลการเขียน มีจุดอ่อน
ในการ งั เคราะ ์ เนือ้ าและข้อมลู ขาดการเชือ่ มโยงกนั เปน็ ต้น (อรณุ ี เ ียงแ ง และคณะ, 2550: 164)

จากปญั าต่าง ๆ ข้างตน้ จงึ ทา� ใ ้มีระบบ “พีเ่ ลย้ี งงาน ิจัย” (RC) โดยมี NODE แมฮ่ อ่ ง อน
เป็นพ่ีเล้ียงต้ังแต่การพัฒนาโจทย์ การติดตาม การเขียนรายงาน และการใช้ประโยชน์จากงาน ิจัย
โดยท�างานค บคูก่ ันไปกบั โครงการ จิ ัยไปตลอดเ ้นทาง

ผลจากการ งั เคราะ ฯ์ มขี อ้ รปุ ตอ่ งาน จิ ยั เพอื่ ทอ้ งถนิ่ า่ ค าม า� เรจ็ ของงาน จิ ยั เพอ่ื ทอ้ งถนิ่
น้ันเกิดจากการท�างานร่ มกนั ระ า่ งนัก จิ ยั ชา บ้านและทมี พ่เี ล้ยี ง โดย NODE แม่ฮอ่ ง อน เป็นผู้ ง่
เ ริมและ นับ นุนนัก ิจัยท้องถิ่น ใ ้เป็นนัก ิจัยท่ีมีคุณภาพในการด�าเนินงาน ิจัยโครงการต่าง ๆ
ด้ ยชุมชน ามารถ ะท้อนปัญ าในพื้นที่ และนา� ไป กู่ าร รา้ งโจทยใ์ ม่ ๆ รอื ตอ่ ยอดงาน ิจยั ในพืน้ ท่ไี ด้

เนื่องจากกระบ นการ ิจัย นอกจากข้า เป็นตั เดินเรื่องแล้ ก็มีช่ งท่ีเรา
เก็บข้อมลู พน้ื ฐานท่ีมกี ลุ่มในบ้านปาง มู นอกจากการเกบ็ พ้นื ฐานแล้ ยงั มีการ ัดระดับ
ค ามเข้มแขง็ เม่ือไดข้ ้อมลู แล้ เราก็จะเ ็น ่ากลุ่มไ นมจี ุดอ่อนเรื่องอะไร กลุม่ ไ นเดน่
เรอื่ งอะไร เราก็นา� ชุดข้อมลู พ กน้มี าพดู กับผใู้ ญ่บ้านและผบู้ ริ ารชมุ ชน ผ้ใู ญบ่ า้ นเ ็น
ค าม า� คญั ของชดุ ขอ้ มลู ามารถนา� ตั นม้ี าเดนิ เรอื่ งในการพฒั นาทกุ กลมุ่ ไปพรอ้ ม ๆ กนั

( า นา เก อนิ ทร,์ ัมภา ณ์, 20 กมุ ภาพันธ์ 2562)

นอกจากนี้ ากมีการ ิจัยอย่างต่อเนื่องในพื้นท่ี งาน ิจัยเพื่อท้องถ่ิน ามารถเป็นตั ขับเคลื่อน
การพฒั นาพน้ื ท่ี พฒั นาชมุ ชนไดอ้ ยา่ งมปี ระ ทิ ธผิ ล นอกจากงาน จิ ยั เพอื่ ทอ้ งถน่ิ มงุ่ งั เรอื่ งของการพฒั นา
พื้นที่ รือการแก้ปัญ าในชุมชนน้ัน ๆ กระบ นการเรียนรู้ผ่านการท�างาน ิจัยยังเป็นการ ร้างโอกา ใ ้
กับนัก ิจัยท้องถ่ินน้ันพัฒนาตนเอง โดยดึง ักยภาพด้านต่าง ๆ ของตนเองออกมา โดยมีกระบ นการ
มี ่ นร่ มระ ่างนัก ิจัย ชุมชน และ น่ ยงานต่าง ๆ ที่เก่ีย ข้อง เป็นแน ทางที่ �าคัญท่ี ุดของ
การดา� เนนิ การ จิ ยั เพอื่ ทอ้ งถนิ่ ทจี่ ะประ บค าม า� เรจ็ และ ามารถตอ่ ยอดในการพฒั นางาน จิ ยั ในอนาคต

367

นัง อื รวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนือ่ งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ดงั นนั้ การ จิ ยั เพอ่ื ทอ้ งถนิ่ นน้ั ชมุ ชนไมไ่ ดท้ า� นา้ ทเ่ี ปน็ เพยี งผใู้ ข้ อ้ มลู รอื ผรู้ บั การอบรมเทา่ นนั้
แต่ยังพัฒนานัก ิจัยท้องถิ่นท่ีมีประ ิทธิภาพ โดยเฉพาะนัก ิจัยชา บ้านเป็นคนท่ีก�า นดโจทย์ ิจัยของ
ตนเอง ค ามตอ้ งการแก้ปญั าภายในชุมชน และท�างานร่ มกันกบั ทีมพ่ีเล้ียง ดังนน้ั การพัฒนางานท้อง
ถิน่ จงึ เป็น ่ น น่งึ ของการกระจายอา� นาจ ทู่ ้องถ่นิ และ รา้ งค ามเขม้ แข็งใ ้กับชุมชน ท�าใ ้เกดิ งานท่ี
เก่ีย ข้องกับการ ึก าประ ัติ า ตร์ ัฒนธรรมของชาติพันธุ์ต่าง ๆ เพื่อใ ้รู้จักตนเอง และอนุรัก ์
ัฒนธรรม ภูมปิ ัญญาดา้ นตา่ ง ๆ ไ ้ก่อนทีจ่ ะ ญู ายไป

นู ยป์ ระ าน จิ ยั เพอ่ื ทอ้ งถนิ่ ก . แมฮ่ อ่ ง อน ประ บค าม �าเรจ็ ในการทา� งานในท้องถน่ิ จน
เกิดเครือข่ายการ ิจัยด้านการเก ตรย่ังยืน และค ามมั่นคงทางอา าร และเครือข่ายการท่องเท่ีย โดย
ชุมชน (CBT) ท้ัง มดนี้ถือ ่าเป็นค าม �าเร็จของการพัฒนานัก ิจัยและงาน ิจัยที่บุกเบิกโดย ก .
ทา� ใ เ้ กดิ ุ้น ่ นการทา� งานระ ่างชา บา้ น นัก ชิ าการ น่ ยงานราชการ และภาคเอกชน ท�าใ ้
เกิดกลไกทางการตลาดท่ีมีการต่อยอดพัฒนาเป็นแ ล่งท่องเที่ย ท่ีมีชื่อเ ียงของจัง ัดแม่ฮ่อง อน เช่น
บ้านแม่ละนา บ้านจ่าโบ่ บา้ นรักไทย รือบา้ นผาเจรญิ ในเรอ่ื งการพัฒนาและจัดการพชื ผลไม้เมอื ง นา
รือท่ีบ้านปาง มู เร่ืองการจัดการภูมิปัญญาการ ีบน�้ามันงา ผลงาน ิจัยท่ีใช้ประโยชน์ ามารถใช้เป็น
“แม่แบบการ จิ ัย รอื แมฮ่ ่อง อนโมเดลที่แท้จรงิ ”

2. “งาน จิ ยั เพอื่ ทอ้ งถนิ่ ”จงั ดั แมฮ่ อ่ ง อนดา้ น ลิ ป ฒั นธรรม ประ ตั ิ า ตรท์ อ้ งถนิ่ และภมู ปิ ญั ญา

งาน จิ ยั เพ่ือท้องถ่นิ ท่ี �านกั งาน นับ นนุ การ ิจัย ( ก .) ใ ้การ นับ นุนการ ิจยั เพื่อท้องถิน่
โดยการตงั้ นู ยป์ ระ านงาน จิ ยั เพอ่ื ทอ้ งถนิ่ จงั ดั แมฮ่ อ่ ง อน รอื (NODE แมฮ่ อ่ ง อน) ในฐานะพเ่ี ลยี้ ง
เพ่ือใ ้ชา บ้าน รือทีม ิจัยน้ัน ามารถด�าเนินการ ิจัยใ ้ ามารถตอบโจทย์ ิจัยได้ ซึ่งใน ่ นน้ีเป็นการ
ร้างโจทย์ท่ีมาจากชุมชนท้องถิ่นเองประเด็นต่าง ๆ เช่น ประเด็นการ ึก า เยา ชนและครอบครั
การบริ ารการจดั การทอ้ งถน่ิ เก ตรกรรมยง่ั ยนื เ ร ฐกจิ ชมุ ชน การจดั การทรพั ยากร การทอ่ งเทยี่ เชงิ
นิเ ิลป ัฒนธรรม ประ ัติ า ตร์ท้องถิ่น และ มุนไพร

งานบท ังเคราะ ์นี้ ึก าเฉพาะการ ิจัยเพ่ือท้องถิ่นที่เกี่ย กับ ิลป ัฒนธรรม ประ ัติ า ตร์
ท้องถ่ิน และภูมิปัญญา ท่ีพยายามขยายองค์ค ามรู้ และเปิดพื้นท่ีใ ้กับ ิถีชี ิตและภูมิปัญญาของกลุ่ม
ชาตพิ ันธุต์ า่ ง ๆ ทีม่ อี ยูอ่ ยา่ ง ลาก ลายในจัง ัดแม่ฮ่อง อน (รั มี ชูทรงเดช และคณะ, 2562) โดยแบง่
การ ึก า จิ ัยออกเปน็ (1) การ กึ างาน ิจัย พ. . 2543-2546 และ (2) การ กึ างาน จิ ยั พ. . 2547-
2553 และ (3) การ ึก างาน จิ ยั พ. . 2554-2560 เพือ่ ใ ้เ ็นการดา� เนนิ งานการ จิ ยั ในแตล่ ะช่ งตาม
ยุค มยั ของการ ิจยั มแี น ทางทีพ่ ัฒนาไปในดา้ นใด มคี ามเ มือน แตกต่างกนั มากน้อยเพียงใด

1) การ ึก างาน ิจยั พ. . 2543-2546
การเรมิ่ ต้นการ กึ า จิ ัยเพ่อื ท้องถนิ่ “แมฮ่ ่อง อน” ตง้ั แต่ พ. . 2543 ท่มี ีการตั้ง นู ย์ประ าน
งาน จิ ยั เพอื่ ทอ้ งถิน่ จัง ดั แม่ฮ่อง อน รือ (NODE แม่ฮอ่ ง อน)

368

เริ่มจากโครงการ ิจัย การอนุรัก ์และฟื้นฟู มุนไพรพื้นบ้านชา ไทยภูเขา อ�าเภอปางมะผ้า
จงั ดั แม่ฮ่อง อน ของ ชาตชิ าย รัตนคีรี และคณะ (2543) มี ตั ถปุ ระ งค์การ จิ ัยเพอ่ื อนรุ กั อ์ งคค์ าม
รเู้ รอื่ งตา� รายาพน้ื บา้ นของชา ไทยภเู ขาของกลมุ่ ตา่ ง ๆ ทป่ี จั จบุ นั กา� ลงั ประ บปญั าเยา ชนใ ค้ าม า� คญั
ลดลง เพื่อ ึก ารูปแบบกระบ นการอนุรัก ์และฟื้นฟู มุนไพรพ้ืนบ้าน จากการ ิจัยพบ ่าปัจจุบัน
ภมู ิปญั ญาเรอื่ ง มุนไพรซ่ึงเปน็ องค์ค ามรู้ ด้ังเดมิ ของชมุ ชนไม่ไดร้ บั ค าม นใจเทา่ ทคี่ ร การใช้ มนุ ไพร
ในการรกั าจา� กดั เฉพาะในกลมุ่ ผู้ งู ยั เปน็ ลกั เนอื่ งด้ ยผู้ งู ยั มปี ระ บการณก์ บั มนุ ไพรมากก า่ ช่ ง
ัยอื่น ๆ โดยมีค ามเช่ือในการใช้ มุนไพรในการรัก ามากก ่า และยังตระ นักในเรื่อง มุนไพรกับการ
จัดการทรัพยากรธรรมชาติ งาน ิจัยชิ้นนี้ของชาติชาย รัตนคีรีและคณะ ท�าใ ้เ ็นถึงองค์ค ามรู้ของ
มุนไพรและการถ่ายทอดค ามรู้ของกลมุ่ ต่าง ๆ

จนกระทงั่ พ. . 2545 ประเดน็ มนุ ไพรยงั เปน็ โจทยท์ ี่ ลายกลมุ่ นน้ั ใ ค้ าม นใจ โครงการ จิ ยั
อนรุ กั ฟ์ น้ื ฟภู มู ปิ ญั ญา มนุ ไพรชนเผา่ ปกากะญอ ้ ยปลู งิ ตา� บล ้ ยปลู งิ อา� เภอเมอื ง จงั ดั แมฮ่ อ่ ง อน
ของ ุมนมาลย์ และคณะ (2547) มีการดา� เนินงานแบง่ เปน็ 2 ระยะ ระยะแรก พ. . 2545 และระยะท่ี
อง พ. . 2546 เพ่ือ ึก าและร บร มภูมิปัญญา มุนไพรอย่างมี ่ นร่ มในชุมชน ร มท้ัง ร้าง
กระบ นการเรียนรู้และถ่ายทอด ู่เยา ชนในชุมชนและชุมชนใกล้เคียง ผลการ ิจัยพบ ่าการใช้ มุนไพร
ัมพันธ์กับค ามเปล่ียนแปลงทาง ังคมและ ัฒนธรรมภายใต้บริบทของ ังคมปกาเกอะญอในการ
ตง้ั ถนิ่ ฐานทตี่ อ้ งปรบั ตั เขา้ กบั ภาพแ ดลอ้ ม จงึ มกี าร งั่ มประ บการณก์ ารใช้ มนุ ไพร ตอ่ มาในยคุ การ
พฒั นามกี าร กึ าแผนใ มท่ ผ่ี า่ นโรงเรยี นและอนามยั ซงึ่ ไม่ อดคลอ้ งกบั ฒั นธรรมเกอื้ กลู ธรรมชาตแิ บบเดมิ
นอกจากนค้ี ามรเู้ รอ่ื ง มนุ ไพรไมม่ กี ารบนั ทกึ เปน็ ลายลกั ณอ์ กั รและไมม่ กี ารร บร ม การใชป้ ระโยชน์
จาก มนุ ไพรทต่ี อ้ งอา ยั ประ บการณใ์ นการใชแ้ ละแนะนา� จากผอู้ น่ื ทา� ใ ก้ ารจดั การค ามรเู้ รอ่ื ง มนุ ไพร
ไม่ไดข้ ยาย กู่ ล่มุ ต่าง ๆ ในชมุ ชน ง่ ผลใ ้ ัฒนธรรมการใช้ มุนไพรถูกลืมเลอื น

อีกโครงการ จิ ัยที่ดา� เนินการใน พ. . 2545 เช่นเดยี กับโครงการ จิ ยั ขา้ งต้น เ ็นได้ า่ ทัง้ อง
โครงการมีทิ ทางเดีย กัน คือ อนุรัก ์ฟื้นฟู มุนไพร ซึ่งต่างกันเพียงกลุ่มชาติพันธุ์ท่ี ึก าโครงการ
การฟน้ื ฟแู ละถ่ายทอด มนุ ไพรชา มง้ อา� เภอขุนย ม จงั ดั แม่ฮ่อง อน กึ าและร บร มภูมิปัญญา
มนุ ไพรพน้ื บา้ นของชา มง้ เพอื่ เรยี นรแู้ ละถา่ ยทอดองคค์ ามรเู้ รอื่ งการใชแ้ ละอนรุ กั พ์ ชื มนุ ไพรทช่ี า มง้
ใชใ้ นชี ติ ประจา� นั และ าแน ทางการพฒั นาองคค์ ามรภู้ มู ปิ ญั ญา มนุ ไพร ร มถงึ ขยายแน คดิ โู่ รงเรยี น
และ อบต. ต่อไป ผลการ จิ ยั พบ ่าชา มง้ จาก มบู่ ้านปางตอง มู่บา้ นแมอ่ คู อ มู่บ้านปางองุ๋ อา� เภอ
ขนุ ย ม จงั ดั แมฮ่ อ่ ง อนอา ยั ทรพั ยากรจากปา่ ในการดา� รงชพี และ มนุ ไพรในการรกั าโรคทงั้ ในอดตี
และปจั จบุ นั เพราะ ามารถ า มนุ ไพรไดจ้ ากปา่ โดยไมเ่ ยี คา่ ใชจ้ า่ ย บางชนดิ ยงั ามารถนา� มาขยายพนั ธ์ุ
ในครั เรอื น ในงานชนิ้ นไ้ี ด้ ะทอ้ นปญั าการใช้ มนุ ไพรคอื ภมู ปิ ญั ญา มนุ ไพรขาดการ บื ทอดใ ค้ นรนุ่ ลงั
ไม่มีการจัดเก็บองค์ค ามรู้อย่างเป็นระบบในรูปแบบเอก าร คนรุ่น ลังไม่ตระ นักถึงค าม �าคัญ
มที ั นคตแิ ละคา่ นยิ ม า่ การใช้ มนุ ไพรเปน็ การรกั าทล่ี า้ มยั ในปจั จบุ นั ชา มง้ จงึ นั มาใชก้ ารรกั าด้ ย
ยาแผนปัจจบุ นั มากข้ึน

369

นงั อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เนือ่ งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ดงั นนั้ ช่ งยคุ “ลองทา� ลองถอด” พ. . 2543-2545 งาน จิ ยั เพอ่ื ลิ ป ฒั นธรรม ประ ตั ิ า ตร์
ทอ้ งถนิ่ และภมู ปิ ญั ญา เปน็ การ จิ ยั โดยนกั จิ ยั ทเี่ นน้ เฉพาะประเดน็ เรอื่ งของ มนุ ไพรและ มอเมอื งเทา่ นน้ั
เน้นการร บร มองคค์ ามรเู้ รือ่ งการใช้ มุนไพรกา� ลงั ถกู ลืมเลือน

ตารางท่ี 1 แ ดงงาน จิ ยั เพอื่ ทอ้ งถนิ่ ทด่ี า� เนินการ พ. . 2543-2546 พน้ื ท่ศี กึ ษา ชาติพนั ธ์ุ
(อา� เภอ)
ล�าดบั ปที ด่ี า� เนนิ การ ชอ่ื โครงการวจิ ัย/ ประเดน็ วิจยั
ผูว้ จิ ยั

1. 2543-2545 การอนุรัก ์และฟืน้ ฟู ุขภาพ บา้ นแม่ละนา ไทใ ญ่
มุนไพรพืน้ บา้ นชา มอเมือง บา้ น ้ ยเฮย๊ี ะ ลา ู่
ไทยภเู ขา อา� เภอปาง มนุ ไพร อา� เภอปางมะผา้ (มเู ซอดา� )
มะผ้า จงั ดั จัง ดั
แมฮ่ อ่ ง อน แม่ฮอ่ ง อน
/ชาติชาย รตั นครี ี และ
คณะ

2. 2545-2546 อนรุ กั ์ฟื้นฟูภูมิปัญญา ุขภาพ ตา� บล ้ ยปลู งิ ปกาเกอะญอ
มนุ ไพรชนเผา่ ปกา มอเมอื ง อ�าเภอเมือง
กะญอ ้ ยปลู ิง ต�าบล มุนไพร จัง ดั
้ ยปลู ิง อ�าเภอเมือง แมฮ่ อ่ ง อน
จงั ดั แม่ฮ่อง อน/
มุ นมาลย์ และคณะ

3. 2545-2546 การฟ้ืนฟูและถา่ ยทอด ุขภาพ มบู่ า้ นปางตอง ม้ง
มบู่ า้ นแมอ่ คู อ
มนุ ไพรชา มง้ อา� เภอ มอเมอื ง มู่บ้านปางอุ๋ง
อา� เภอขุนย ม
ขนุ ย ม จงั ัด มุนไพร จงั ดั
แม่ฮ่อง อน
แมฮ่ อ่ ง อน/มาณพ

อมร ักด์ิ และคณะ

2) การศึกษางานวจิ ัย พ.ศ. 2547-2553

การ ึก างาน ิจัยยุคจัดการค ามรู้ งาน ิจัยเพื่อท้องถิ่นฯ ยังใ ้ค าม �าคัญกับกระบ นการ
มี ่ นร่ มของชมุ ชน เนน้ ชมุ ชนเปน็ ตั ตงั้ เชน่ เดมิ มโี จทยเ์ ปน็ ของชมุ ชน ประเดน็ จิ ยั เปน็ ปญั าของชมุ ชน
แตม่ ีทีม NODE แมฮ่ อ่ ง อน เปน็ พีเ่ ลีย้ งโครงการ เนือ่ งจากมีการจัดการค ามรู้เชิงประเด็นต่าง ๆ ชดั เจน
ข้นึ ดงั น้นั การ ิจยั ในช่ งนเี้ ป็นการเน้นจดั การค ามรปู้ ระเดน็ เก ตรยง่ั ยนื (SA) และการทอ่ งเที่ย ชุมชน
(CBT) แต่ในประเดน็ ฒั นธรรมและภมู ปิ ัญญาของชาตพิ นั ธต์ุ า่ ง ๆ ยังมีชุมชนใ ค้ าม นใจในการ กึ า
เช่นกันเริ่มจากงานของ จตพุ ร ิ ิ ฏโ์ ชติอังกูร และคณะ เร่อื ง การพัฒนา กั ยภาพชุมชนในการจัดการ
องค์ค ามรู้ท้องถิ่นทางด้าน ุขภาพ บ้านกึ้ด าม ิบ มู่ 6 ต�าบล บป่อง อ�าเภอปางมะผ้า

จัง ัดแม่ฮ่อง อน (2548) ที่ใ ้ค าม นใจกับการ ึก าและร บร มภูมิปัญญา องค์ค ามรู้ท้องถิ่น
ด้าน ุขภาพในด้านต่าง ๆ ของชุมชนเพ่ือการ ืบทอดการอนุรัก ์องค์ค ามรู้ด้าน ุขภาพ และ ร้าง
กระบ นการแลกเปลีย่ นเรยี นรรู้ ะ ่างชุมชน ผู้ปฏบิ ตั งิ านทั้งภาครฐั เละเอกชนในพ้ืนทีข่ อ้ คน้ พบท่ไี ดจ้ าก
การ ึก าในครั้งนที้ �าใ ท้ ราบถงึ กล่มุ ชาตพิ นั ธุล์ ีซู มอี งค์ค ามรูด้ ้าน ุขภาพ ไดแ้ ก่ การแพทยแ์ ผนปัจจบุ นั
คอื ถานอี นามยั ใ บ้ รกิ ารดา้ นรกั า ป้องกนั และ ่งเ รมิ ขุ ภาพ เช่น บริการฝากครรภ์ ท�าคลอด ฉีด
ัคซีน การรัก าโดย ธิ กี ารทางไ ย า ตร์ เช่น มีการเลีย้ งผี แล้ ทา� นายกระดูกไก่ า่ ผู้ป่ ยจะ าย รอื ไม่
การ ิจัยชิน้ นี้ถอื เปน็ การร บร มค ามรู้เรือ่ งพชื มนุ ไพรของชา ลีซูในแง่มุมตา่ ง ๆ

ในช่ งเ ลาน้ีมีงาน ิจัยของชาติพันธุ์อื่น ๆ อีก ได้แก่ เร่ือง การ ึก าภูมิปัญญามูเซอแดง
บ้าน ั ปาย ต�าบลเ ียงเ นอื อา� เภอปาย จัง ัดแมฮ่ อ่ ง อน ของ ยาโพ จะตกี อ๋ ย (ม.ป.ป.) ในงานชิ้นนี้
เปน็ การ กึ าเพอ่ื ร บร มองคค์ ามรู้ ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ปราชญช์ า บา้ น ประเพณี ฒั นธรรม ค ามมน่ั คง
ทางอา าร ประ ตั ิ า ตรท์ อ้ งถน่ิ ร มทงั้ ปญั า ผลกระทบเชงิ ลบ ทจี่ ะ ง่ ผลตอ่ การพง่ึ พาตนเองของชมุ ชน
ในอนาคต ร มท้ังแน ทางในการป้องกันแก้ไขท่ีเ มาะ มกับชุมชน และท้ายที่ ุด ามารถใช้องค์ค ามรู้
เปน็ ฐานข้อมูลในกิจกรรมการพฒั นาชุมชนต่าง ๆ ตอ่ ไปได้ จากงาน ิจัยพบ ่าชุมชนจะ ามารถด�ารงชพี
ได้ตาม ิถีแ ่งชนเผ่าต้องมีองค์ประกอบท่ี �าคัญคือปัจจัย ี่ ร มท้ังการ ืบ านประเพณี ัฒนธรรม และ
ค ามเช่ือต่าง ๆ ของชุมชนนั้น ัมพันธ์กับภูมิปัญญา รือองค์ค ามรู้น�าไป ู่การใช้ทรัพยากรที่ย่ังยืน
แต่ ถานการณค์ ามเปลยี่ นแปลงในปจั จบุ นั ไดเ้ ขา้ มาเกยี่ ขอ้ งกบั ชมุ ชนมากมาย เชน่ การพฒั นาพรอ้ ม อื่
ด้านตา่ ง ๆ ่งผลใ ้ในปัจจุบันชมุ ชนมกี ารปรบั ตั เพ่ือใ ้ ามารถอยู่รอดได้ โดยมีการผ มผ านระ า่ ง
ิ่งใ ม่กับ ่ิงเก่าซึ่ง อดคล้องกับบริบทของชุมชน แต่ชุมชนบนพื้นที่ ูงนั้นยังมีข้อจ�ากัดในการเข้าถึงการ
พัฒนาขน้ั พน้ื ฐานตา่ ง ๆ จาก น่ ยงานทีเ่ ก่ีย ขอ้ งในพน้ื ท่ี

ประเด็นภมู ิปญั ญาเกี่ย กับ ขุ ภาพยงั เปน็ โจทย์ จิ ยั ท่นี ่า นใจ เช่น ในงานการ บื ทอดและการ
ใช้ประโยชน์จากพันธุกรรมพืชพ้ืนบ้านลั ะ บ้านป่าแป๋ อ�าเภอแม่ ะเรียง จัง ัดแม่ฮ่อง อน ของกมล
เครือซุย (2552) จากผลการ ิจัยเป็นการร บร มองค์ค ามรู้และภูมิปัญญาต่าง ๆ ท่ีเก่ีย ข้อง ุขภาพ
โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์และ บื ทอดพนั ธกุ รรมพืชพน้ื บา้ น ท�าใ ้ไดข้ ้อมลู ค ามร้แู ละภูมปิ ัญญาต่าง ๆ
ในการเพาะปลูกพชื พืน้ บ้าน ร มท้งั กระบ นการเรยี นรใู้ นการแกป้ ญั าของชมุ ชน การประกอบพิธีกรรม
ตา่ ง ๆ นทิ าน และเพลงพน้ื บา้ นทเี่ กยี่ ขอ้ ง ทา� ใ ช้ มุ ชนไดร้ บั รู้ ภาพปญั า ามารถ เิ คราะ ์ ถานการณ์
ต่าง ๆ ทมี่ คี ามเกีย่ ขอ้ งกบั การคงอย่แู ละการ ูญ ายของพนั ธุกรรมพชื พนื้ บ้านของตนเอง และชา ลั ะ
บ้านป่าแป๋ได้ตระ นักและเ ็นคุณค่าของพันธุกรรมพืชพื้นบ้านตนเอง นอกจากนี้ยังมีการ ร้างกิจกรรม
ต่าง ๆ เพื่อน�าไป ู่การอนุรัก ์และพ้ืนฟู และใช้ประโยชน์จากพันธุกรรมพืชพื้นบ้านต่าง ๆ โดยเฉพาะ
ขา้ พนื้ บา้ น เชน่ การถา่ ยทอดค ามรู้ เู่ ยา ชน เกดิ แกนนา� อา า เกดิ การฟน้ื ฟู ฒั นธรรมชา ลั ะ และเกดิ
การพัฒนาองค์ค ามรู้ ู่การจัดท�า ลัก ูตรท้องถิ่น ในเร่ืองการจัดการดิน น้�า ป่า และพันธุกรรมพืชพื้น
บ้านทีใ่ ชใ้ นโรงเรียน

371

นัง ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

งานอกี ชน้ิ ทนี่ า่ นใจอกี ชน้ิ นงึ่ ไดแ้ ก่ การ กึ าประเพณี ฒั นธรรมพธิ กี รรมของชมุ ชนมง้ จงั ดั
แม่ฮ่อง อน ของ ธีระพล กมลยุทธชัย (2552) เป็นการ ึก า 13 มู่บา้ นม้ง ใน 5 อา� เภอ ของจัง ดั
แมฮ่ อ่ ง อน โดย กึ าตาม าย ง ข์ องตระกลู (แซ)่ เพอื่ กึ า ร บร มองคค์ ามรู้ รปู แบบ ถิ กี ารปฏบิ ตั ิ
ตามจารตี ประเพณี ัฒนธรรม ค ามเชือ่ และพธิ กี รรมท่ี า� คัญต่าง ๆ ของชา มง้ และเพ่ือ เิ คราะ ์และ
รา้ งค ามเขา้ ใจต่อ ถานการณ์จารีตประเพณี ฒั นธรรมฯ ที่ า� คญั ตา่ ง ๆ ทจ่ี ะน�าไป ่กู าร ึก าจัดการ
แน ทางร่ มกนั ทเ่ี มาะ มตอ่ ไป จากงาน จิ ยั พบ า่ ชมุ ชน ามารถร บร มองคค์ ามรู้ ธิ กี ารปฏบิ ตั ติ าม
จารีตประเพณี ฒั นธรรม ค ามเชื่อ และพธิ กี รรมตา่ ง ๆ ของชา มง้ ร มทงั้ ถานการณ์ตา่ ง ๆ ทปี่ ฏิบัติ
กนั มาตง้ั แตใ่ นอดตี จนถงึ ปจั จบุ นั า่ งั คมมกี ารเปลย่ี นแปลงไปบา้ ง ค ามกา้ นา้ ทางเทคโนโลยที า� ใ ช้ า
บา้ นรุ่นใ ม่ นใจค ามทนั มยั ทา� ใ ้ละเลยประเพณแี ละ ัฒนธรรมท่เี คยทา� กันมา นอกจากนง้ี าน ิจยั ยงั
นา� ไป กู่ าร ึก าแน ทางการจัดการร่ มกนั ท่เี มาะ ม ยืด ยนุ่ เชน่ ประเพณีการแตง่ งานทแ่ี ตกต่างกัน
อาจจะมกี ารตกลงร่ มกนั ใ ม้ กี า� นดเ มอื นกนั เพอ่ื ลดเ ลา รอื การจดั ปใี มท่ ไ่ี มต่ รงกนั มาเปน็ จดั ปใี ม่
ร่ มกัน แบง่ ปันค ามรู้ กึ า ม่บู า้ นอืน่ ๆ และ ามารถนา� ไปใช้ใน มบู่ ้านตนเองได้

นอกจากโจทยป์ ระเดน็ กึ า นใจเรอ่ื ง ภมู ปิ ญั ญา ประเพณพี ธิ กี รรม และ มนุ ไพร ในช่ งเ ลานี้
ยงั มปี ระเดน็ จิ ยั อน่ื ไดแ้ ก่ งาน จิ ยั ทใี่ ค้ าม า� คญั กบั เรอ่ื ง ทิ ธเิ ดก็ ของ ิ ทุ ธิ์ เ ลก็ มบรู ณ์ เรอื่ งการ กึ า
ประ ตั ิ า ตรท์ อ้ งถนิ่ า่ ด้ ย ทิ ธเิ ดก็ ในโครง รา้ งและระบบครอบครั -เครอื ญาตขิ องกลมุ่ ชาตพิ นั ธต์ุ า่ ง ๆ
ภายใต้บรบิ ทการจัดการทรพั ยากรบริเ ณลมุ่ นา�้ ลาง-นา�้ ของ อา� เภอปางมะผา้ จัง ัดแม่ฮอ่ ง อน (2551)
ช้ีใ ้เ ็นถึงค าม ัมพันธ์กับผู้คนกลุ่มต่าง ๆ ในท้องถ่ิน จากประเด็น ิจัยเรื่อง ิทธิเด็กในชุมชนท้องถิ่นที่
ปรากฏอยูใ่ นจารตี ประเพณีและ ถิ ชี ี ิตครอบครั กลมุ่ ชาติพันธ์ุต่าง ๆ บริเ ณลมุ่ นา้� ลาง-น�้าของ จากการ
กึ าพบ า่ เดก็ รจู้ กั ตั ตนของตนเอง า่ มี ทิ ธเิ ดก็ อยใู่ นจารตี ประเพณจี รงิ ฒั นธรรมประเพณตี า่ ง ๆ และ
นทิ านพนื้ บา้ น ามารถถา่ ยทอดออกเปน็ เรอื่ งรา ได้ อดแทรกอยใู่ นชมุ ชนอยา่ ง ลาก ลายและตอ่ เนอื่ ง
นอกจากน้ีโครง ร้างระบบ ิทธิเด็กและมีค าม ัมพันธ์กับผู้คนกลุ่มต่าง ๆ ในท้องถิ่นไม่ ่าจะเป็นคนใน
ครอบครั รือในชุมชนก็ตาม ซึ่งข้อมูลค ามรู้จากงาน ิจัยชิ้นนี้ ามารถน�าไปใช้เป็นองค์ค ามรู้ของ
ทอ้ งถน่ิ ใน ลกั ตู รทอ้ งถน่ิ กึ า า� รบั เยา ชนในโรงเรยี นและกระบ นการ จิ ยั ยงั เปน็ แน ทางในการใช้
เพอื่ การ กึ านอก อ้ งเรียนอีกด้ ย

นอกจากนยี้ งั มงี าน จิ ยั ดา้ นภา าชาตพิ นั ธ์ุ จากโครงการ จิ ยั “รกั ล์ ะโพงละเ อื ะ” บา้ นปา่ แป๋
อา� เภอแม่ ะเรยี ง จงั ดั แมฮ่ อ่ ง อน ของ บอื ขจร กั ดิ์ รี (2552) งาน จิ ยั นย้ี งั ไดร้ บั การ นบั นนุ บคุ ลากร
และกระบ นการท�างาน จาก ูนย์ ึก าและฟื้นฟูภา าและ ัฒนธรรมในภา ะ ิกฤต ถาบัน ิจัยภา า
และ ัฒนธรรมเอเชีย ม า ทิ ยาลยั ม ดิ ล จากการท�า จิ ยั ท�าใ ไ้ ดร้ ะบบตั เขยี นภา าละเ ือะ บา้ นปา่ แป๋
ทเี่ ปน็ ระบบและมมี าตรฐานตาม ลกั ของการ รา้ งและพฒั นาระบบตั เขยี น ซงึ่ ระบบเขยี นนช้ี มุ ชนละเ อื ะ
บ้านอ่ืน ามารถน�าไปปรับใช้ได้แต่จะต้องมีการ ร้างค ามเข้าใจระบบตั เขียนเ ียก่อน เพราะภา าใน
แตล่ ะ มู่บ้านจะมีค ามเ มอื น รือค ามต่างกันบา้ งเลก็ น้อย

ประเดน็ ทีน่ า่ นใจของการทา� งานโครงการน้ีคือ ชา ละเ ือะ บา้ นป่าแปท๋ กุ กล่มุ ทกุ ยั ได้เข้ามา
มี ่ นร่ มในการอนรุ กั แ์ ละฟื้นฟภู า าและ ัฒนธรรมของชา ละเ อื ะ เช่น คนเฒา่ คนแกเ่ ปน็ ผ้ใู ข้ ้อมลู
และเดก็ เปน็ ผู้ อบถามและจดบนั ทกึ ทา� ใ เ้ ดก็ ๆ ตน่ื เตน้ ทไี่ ดเ้ ขยี นภา าละเ อื ะ รอื คนเฒา่ คนแกก่ ร็ ู้ กึ
ตน่ื ตั เมอ่ื ไดร้ บั เชญิ ใ ม้ าเปน็ ผบู้ อกขอ้ มลู รอื เลา่ เรอ่ื งรา ตา่ ง ๆ ใ เ้ ดก็ ฟงั ค ามนา่ นใจคอื งาน จิ ยั โดย
ท้องถิ่นได้น�ามาต่อยอดเป็นฐานขององค์ค ามรู้กับการ ิจัย ได้แก่ โครงการ ิจัยการ ึก าและฟื้นฟู
ประ ัติ า ตร์ชาติพันธุ์กลุ่มเลอเ ือะและมอญ ของพิพฒั น์ กระแจะจนั ทร์ (2556) ทไี่ ด้น�าค ามร้จู ากงาน
ิจัย เรื่อง รัก ์ละโพงละเ ือะ บ้านป่าแป๋ อ�าเภอแม่ ะเรียง จัง ัดแม่ฮ่อง อน มา ่งเ ริมและฟื้นฟู
ค ามรทู้ างด้านภา าและค ามเขม้ แข็งของชมุ ชนร มทงั้ การออกแบบ ลกั ูตร

จากการด�าเนินการ ิจัยเพื่อท้องถ่ินในยุคการจัดการค ามรู้ พ. . 2547-2553 ยังคงใ ้
ค าม �าคัญกระบ นการมี ่ นร่ มของชุมชน แต่ประเด็น ึก าในช่ งเ ลานี้ค่อนข้าง ลาก ลายและ
ลากกลมุ่ ชาตพิ ันธุ์ ท้งั การร บร มองค์ค ามรู้ด้านตา่ ง ๆ ของกลุ่มชาตพิ ันธุต์ ่าง ๆ มีเพยี งเรื่อง ิทธิเด็ก
ท่ีแตกตา่ งจากประเด็นอืน่ แต่ ธิ กี าร ิจัยยงั เน้นใ ช้ มุ ชนท้องถ่ินเป็นผู้ จิ ยั ใ ค้ าม า� คญั อยูท่ โี่ จทย์ทม่ี า
จากชุมชนนั้น ๆ และงาน ิจัยเพ่ือท้องถิ่นใ ้ค าม นใจเร่ือง ภูมิปัญญา ประเพณีพิธีกรรม ภา าและ
มุนไพร งาน ิจัยเพ่ือท้องถิ่นเ ล่านี้ถือเป็นองค์ค ามรู้เบื้องต้นท่ีใ ้ภาพค าม ลาก ลายของชาติพันธุ์
ในพืน้ ที่แมฮ่ อ่ ง อนไดบ้ า้ ง

ตารางท่ี 2 แ ดงงาน จิ ยั เพอื่ ทอ้ งถิน่ ท่ีด�าเนินการ พ. . 2547-2553 พ้ืนท่ศี ึกษา ชาติพนั ธุ์
(อา� เภอ) ลซี ู
ลา� ดบั ปีท่ดี า� เนนิ การ ชื่อโครงการวจิ ัย/ ประเดน็ วจิ ยั
ผู้วิจยั มเู ซอแดง

1. 2547-2548 การพัฒนา ักยภาพ ขุ ภาพ บา้ นกึ้ด าม ิบ
ชุมชนในการจัดการ มอเมือง มู่ 6
องค์ค ามรู้ท้องถ่ินทาง มุนไพร ตา� บล บปอ่ ง
ด้าน ุขภาพบ้านกึ้ด อา� เภอปางมะผา้
าม ิบ ม่6ู ตา� บล บ จงั ดั
ป่อง อ�าเภอปางมะผ้า แม่ฮอ่ ง อน
จัง ัดแม่ฮ่อง อน/
จตุพร ิ ิ ฏ์โชติอังกูร
และคณะ

2. 2547-2549 การ ึก าภูมิปัญญา ิลป ัฒนธรรม/ บา้ น ั ปาย
มูเซอแดง บ้าน ั ปาย ประ ตั ิ า ตร์ อา� เภอปาย
ตา� บลเ ยี งเ นอื อา� เภอ ทอ้ งถนิ่ /
ปาย จงั ดั แมฮ่ อ่ ง อน ภมู ปิ ญั ญา
/ยาโพ จะตกี อ๋ ย

373

นัง อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เนอื่ งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ล�าดับ ปีทีด่ า� เนนิ การ ชอื่ โครงการวจิ ยั / ประเด็นวิจัย พนื้ ทศ่ี กึ ษา ชาติพนั ธ์ุ
ผวู้ จิ ัย (อ�าเภอ)

3. 2549-2550 การ กึ ประ ตั ิ า ตร์ ประ ตั ิ า ตร์ บา้ นแม่ละนา ไทใ ญ่

ทอ้ งถ่ิน ่าด้ ย ทิ ธิเดก็ ทอ้ งถน่ิ / เดก็ บา้ น ้ ยแ ้ง ลา ู่ญี

ในโครง ร้างและระบบ เยา ชน และ บ้านจ่าโบ่ (มูเซอแดง)

ครอบครั -เครือญาติ ครอบครั บา้ นนา้� บอ่ ะเป่ ลา นู่ า

ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธต์ุ า่ ง ๆ บา้ น ้ ยนา้� โปง่ (มูเซอดา� )

ภายใต้บริบทกาจดั การ ลซี ู

ทรัพยากรบริเ ณลุ่ม ลั ะ

น�้าลาง-น้�าของ อ�าเภอ

ปางมะผา้ /

ิ ทุ ธิ์ เ ล็ก มบูรณ์

4. 2549 การ ึก าประเพณี ลิ ป ฒั นธรรม/ อา� เภอแม่ ะเรยี ง ม้ง

ัฒนธรรมพิธกี รรม ประ ตั ิ า ตร์ อา� เภอขนุ ย ม

ของชมุ ชนม้ง จงั ัด ทอ้ งถนิ่ อา� เภอแมล่ านอ้ ย

แมฮ่ อ่ ง อน/ธีระพล อา� เภอเมอื ง

กมลยทุ ธชยั อา� เภอปาย

5. 2548-2549 การ ืบทอดและใช้ ลิ ป ฒั นธรรม/ บา้ นปา่ แป๋ มง้

ประโยชน์จาก ประ ตั ิ า ตร์ อา� เภอแม่ ะเรยี ง

พันธกุ รรมพืชพน้ื บา้ น ทอ้ งถนิ่

ชา ลั ะบา้ นปา่ แป๋

อา� เภอแม่ ะเรยี ง

จงั ดั แม่ฮอ่ ง อน/

กมล เครือซุย

6. 2550-2552 รัก ์ละโพงละเ อื ะ ชาติพนั ธ/์ุ บา้ นปา่ แป๋ ละเ ือะ/

บา้ นป่าแป๋ อ�าเภอ ฒั นธรรม/ อา� เภอแม่ ะเรยี ง ลั ะ

แม่ ะเรยี ง จัง ดั ภา า

แมฮ่ ่อง อน/

บอื ขจร กั ดิ์ รี

3) การศึกษางานวิจัย พ.ศ. 2554-2560

จา� น นงาน จิ ยั เพอื่ ทอ้ งถนิ่ ดา้ น ลิ ป ฒั นธรรม ประ ตั ิ า ตรท์ อ้ งถน่ิ และภมู ปิ ญั ญานนั้ มนี อ้ ยมาก
และมีข้อน่า ังเกต ่า ลัง พ. . 2547 มีการด�าเนินการ ิจัยประเด็นด้าน ุขภาพและ มุนไพรอีกครั้ง
ใน พ. . 2558 ซ่งึ ่างกนั ถึง 9 ปี คือ การ ึก าพืช มุนไพรภูมปิ ญั ญากลมุ่ ชาตพิ ันธุ์ เพือ่ การอนุรกั ์ฟนื้ ฟู
อยา่ งมี ่ นร่ มของกลมุ่ มนุ ไพรแปรรปู บา้ น ั นา�้ แม่ ะกดึ ตา� บลผาบอ่ ง อา� เภอเมอื ง จงั ดั แมฮ่ อ่ ง อน
ของ ชาญชยั ทิ ยาพนู และคณะ (2560) เป็นการ ึก าร บร มค ามรู้และการใชป้ ระโยชน์พชื มนุ ไพร
อย่างมี ่ นร่ มในชุมชน และ าแน ทางอนุรัก ์ฟื้นฟู ใช้ประโยชน์ และ ืบทอดองค์ค ามรู้ภูมิปัญญา
มุนไพรอย่างเ มาะ มและย่ังยืน ร มท้ัง ร้างกระบ นการเรียนรู้ ถ่ายทอดในการดูแล ุขภาพตนเอง
ครอบครั และชุมชน ผลการ ิจัยพบ ่าคนในชุมชนมีนิยามค�า ่า มุนไพรที่ ลาก ลาย รุปได้ ่า
“ มุนไพร” คือ พืชที่ ามารถเกิดข้ึนได้เองตามธรรมชาติ แล้ แต่ลัก ณะเฉพาะของพ้ืนท่ีมีประโยชน์
ามารถใช้เป็นยารัก าโรคไดต้ ้ังแต่รากจนถงึ ยอดแล้ แตช่ นดิ โดย ลาก ลาย ิธกี าร เช่น ปรงุ ยาต้ม ดื่ม
อบตั อาบตั กลา่ คอื เปน็ ยาดี มีคณุ ภาพ นอกจากน้ี ามารถน�ามาเปน็ ่ นประกอบในการท�าอา าร
และช่ ย ร้างรายได้งาน ิจัยพบ ่าปัจจุบันผู้รู้ไม่มีโอกา ท่ีจะแลกเปล่ียนค ามรู้ ในเร่ืองการใช้องค์ค าม
รู้ในการรกั าผปู้ ่ ย และมโี อกา นอ้ ยมากที่จะได้เชือ่ มร้อยเครือข่ายผู้ร้ใู นระดับตา� บล ระดบั จัง ัด รือ
ระ ่างจัง ัดนอกจากนี้จา� น นผู้ทรงค ามรู้มีนอ้ ยและไม่มผี ู้ านต่อ พบ ่ามเี พยี งกลมุ่ ผู้ งู ัยทีเ่ ช่ือมัน่
ในการรัก าด้ ยค ามเช่ือและพิธีกรรม เก่ีย กับการรัก าโรคที่เป็นภูมิปัญญาพ้ืนบ้าน แบบดั้งเดิม
ขณะท่ี ัยกลางคนและเยา ชนมีค ามเช่ือในการรกั าแบบเดมิ นอ้ ย

ตารางท่ี 3 แ ดงงาน จิ ยั เพ่ือทอ้ งถน่ิ ทด่ี า� เนินการ พ. . 2554-2560 พ้ืนท่ีศึกษา ชาติพนั ธุ์
(อ�าเภอ) ไทใ ญ่
ล�าดับ ปที ดี่ า� เนนิ การ ชือ่ โครงการวิจยั / ประเดน็ วจิ ยั
ผ้วู จิ ยั

1. 2558-2559 การ กึ าพชื มนุ ไพร ขุ ภาพ บ้าน ั น�า้
ภมู ปิ ญั ญากลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ มอเมอื ง แม่ ะกึด ต�าบล
เพื่อการอนุรัก ์ฟื้นฟู มนุ ไพร ผาบ่อง อ�าเภอ
อยา่ งมี ่ นร่ มของ เมือง
กลมุ่ มุนไพรแปรรูป จงั ดั
บ้าน ั น�า้ แม่ ะกึด แมฮ่ อ่ ง อน
ตา� บลผาบ่อง
อา� เภอเมือง
จัง ดั แมฮ่ อ่ ง อน /
ชาญชยั ทิ ยาพนู และ
คณะ

375

นัง ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนอื่ งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

จะเ ็นได้ ่างาน ิจัยเพ่ือท้องถิ่น ในช่ ง ลัง พ. . 2553 มีจ�าน นงาน ิจัยน้อยเม่ือเทียบกับ
ช่ งกอ่ น น้า เปน็ ได้ ่าประเด็นการ ิจัยในพื้นทจ่ี งั ัดแมฮ่ ่อง อนน้นั กึ าประเด็นอืน่ ๆ มากก ่า เช่น
ประเด็นการเก ตรและค ามม่ันคงทางอา าร ประเด็นการจัดการทรัพยากร ประเด็นเ ร ฐกิจชุมชน
( ูนยป์ ระ านงาน จิ ัยเพอ่ื ท้องถ่ินจงั ดั แมฮ่ อ่ ง อน, ม.ป.ป.) ซึง่ นา่ จะ อดคลอ้ งกับยุทธ า ตร์จงั ดั
รือการแก้ปญั า เช่น การขับเคลอื่ นตามยทุ ธ า ตร์ “ค ามมัน่ คงทางอา าร”

จากการ ิจัยในแต่ละช่ งเ ลาตั้งแต่ พ. . 2543-2560 งาน ิจัยเพ่ือท้องถิ่นของจัง ัด
แม่ฮ่อง อนยังเป็นการ ิจัยทางเลือกท่ีต้องเรียนรู้และพัฒนา “ ิธี ิทยา ิจัย” มีการปรับใ ้เ มาะ มกับ
บริบทชุมชน และ ถานการณ์ที่มีการเปล่ียนแปลงอย่างร ดเร็ โดยมี ั ใจ �าคัญคือโจทย์ ิจัยท่ีมาจาก
ชุมชน และกระบ นการมี ่ นร่ มของชุมชนตอ่ ประเด็นปัญ านนั้ ๆ

ประเด็น ิจัยของงาน ิจัย ่ นใ ญ่ล้ นกล่า ถึงค ามเปลี่ยนแปลงทาง ังคม โดยเฉพาะจาก
กระแ โลกาภิ ัตน์ ซ่ึงท�าใ ้ ิถีชี ิตของกลุ่มชาติพันธุ์ของ ลายกลุ่มชาติพันธุ์ท่ีตั้งถิ่นฐานในจัง ัด
แม่ฮ่อง อน เปล่ียนไปจาก ิถีดั้งเดิม เช่น การรัก าโดยพ่ึงพิงการแพทย์ มัยใ ม่แทนการใช้ภูมิปัญญา
มนุ ไพร การ กึ าประเพณี ฒั นธรรม รอื การ กึ าพนั ธกุ รรมพนื้ บา้ นทก่ี า� ลงั ญู ายไป ดงั นนั้ โครงการ
จิ ยั ลายชิ้นจึงต้อง ึก าและรอ้ื ฟ้ืนภูมปิ ญั ญาก่อนที่จะ ูญ าย เช่น การผ มผ านองคค์ ามรรู้ ะ า่ ง
ภมู ปิ ญั ญาดงั้ เดมิ กบั ค ามรจู้ ากการ จิ ยั การ รา้ งค ามตระ นกั รแู้ ละ า� นกึ ใ ก้ บั ชมุ ชน เพม่ิ การใ ร้ แู้ ละ
เ ็นของจรงิ การ ร้าง �านกึ จากการเรยี นรูแ้ ละปฏิบัตขิ องกล่มุ ต่าง ๆ ในชุมชน

การดา� เนนิ งาน จิ ยั เพอื่ ทอ้ งถนิ่ ประเดน็ ดา้ น ลิ ป ฒั นธรรม ประ ตั ิ า ตรท์ อ้ งถน่ิ และภมู ปิ ญั ญา
ทผ่ี า่ นมา ะทอ้ นลกั ณะทโ่ี ดดเดน่ และเปน็ เอกลกั ณข์ องจงั ดั แมฮ่ อ่ ง อน ามารถเขา้ ใจเรอ่ื งของลา� ดบั
การตั้งถ่ินฐาน ถิ ชี ี ติ และประเพณี ฒั นธรรมต่าง ๆ ท่ีแ ดงถงึ อัตลกั ณ์ของกลุ่มคนในจัง ัดทีม่ ีค าม
ลาก ลาย ูง ร มทั้งปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงและการปรับตั ของกลุ่มชาติพันธุ์ในแต่ละพ้ืนที่
ท้ังกลุ่มเดีย กันและต่างกลุ่มกัน แต่งาน ิจัยกลุ่มนี้ยังไม่เ ็นการ ิจัยเชิงบูรณาการค ามรู้ท้องถิ่นกับ
ค ามรทู้ าง ิชาการเกี่ย กับชุมชนชาตพิ นั ธ์ตุ ่าง ๆ ในการ ึก า ัฒนธรรมและภูมิปัญญาอย่างครอบคลมุ
และเปน็ ระบบ เชน่ งาน จิ ยั เกยี่ กบั ชาตพิ นั ธแ์ุ ละ ฒั นธรรมของจงั ดั แมฮ่ อ่ ง อนยงั ไมม่ องเ น็ ถงึ ค าม
เป็นชาตพิ นั ธ์อุ นื่ ๆ ในลัก ณะท่ีเปน็ พ ุ ฒั นธรรม ประเดน็ งาน จิ ัยเฉพาะกลมุ่ ชาติพนั ธเ์ุ องยังมจี �าน น
น้อย เม่ือเทียบกับการ ึก าเฉพาะไทใ ญ่น้ันยิ่งมีน้อยมากในชุดงาน ิจัยต่าง ๆ ท้ังงาน ิจัยเชิง ิชาการ
และงาน จิ ยั เพ่ือท้องถ่นิ ของ ก . เอง

3. บรบิ ทชมุ ชน : ความรู้เร่อื งทอ้ งถนิ่ ในงานวิจัยเพ่อื ทอ้ งถิน่

การ ิจัยเพ่ือท้องถิ่นแม่ฮ่อง อนเป็นงาน ิจัยท่ีใ ้มุมมองจาก ลายมิติมากขึ้น เ ็นค าม ลาก
ลายทางชาตพิ นั ธแ์ุ ละ ฒั นธรรมในพน้ื ทจี่ งั ดั แมฮ่ อ่ ง อนมากขนึ้ แม้ า่ โจทย์ จิ ยั ทผ่ี า่ นมาเนน้ เรอ่ื งการ
ฟน้ื ฟู และการอนรุ กั ภ์ มู ปิ ญั ญาของกลมุ่ ชาตพิ นั ธต์ุ า่ ง ๆ ไมไ่ ด้ กึ าเกยี่ กบั ประ ตั ิ า ตร์ รอื พฒั นาการ
ของชมุ ชนนน้ั โดยตรง แตค่ ามรขู้ อ้ มลู ประ ตั กิ ารตงั้ ถน่ิ ฐาน ถิ ชี ี ติ ประเพณี ฒั นธรรมทเี่ ปน็ ภมู ิ ลงั ของ
ท้องถนิ่ นั้น ๆ กลบั ไปปรากฏใน “บรบิ ทชมุ ชน” ท่ี ึก าเพือ่ เปน็ พ้ืนฐานค ามรขู้ องงาน ิจยั เพ่ือท้องถิ่น
ทุกโครงการ ชีใ้ เ้ ็น า่ นัก จิ ัยชา บา้ นไม่ไดท้ งิ้ ประเด็นประ ตั ิ า ตรไ์ ปเ ยี ทเี ดีย ากยงั น�ามา ึก า
เพ่ือเป็นพ้นื ฐานค ามรขู้ องชุมชนของงาน ิจยั เพื่อทอ้ งถน่ิ ต่อไป

ดงั นน้ั “บริบทชมุ ชน” เปน็ บทน�าของการก�า นดกรอบของการเขียนรายงาน ิจัย ในงาน จิ ยั
เพ่ือทอ้ งถ่นิ เน้อื าเปน็ การเขียนเกี่ย กบั ด้านตา่ ง ๆ ของชุมชน เชน่ กายภาพ ชี ภาพ เ ร ฐกิจ และ
งั คม แตอ่ าจเน้นเฉพาะประเดน็ ิจัย) ในคา� แนะนา� การเขียน เน้น “การเขยี นใ ้เ ็นภาพ” ทเี่ ป็นจุดเอื้อ
รือขดั ข างการด�าเนนิ งาน ิจัย (อรุณี เ ียงแ ง และคณะ, 2550: 167) ท้งั นก้ี าร กึ า “บรบิ ทชมุ ชน”
ผู้ จิ ยั ไดก้ า� นดใ อ้ ยใู่ นขน้ั ตอนการเตรยี มค ามพรอ้ มและ กึ าบรบิ ททั่ ไปของชมุ ชน เพอ่ื กึ าทา� ค าม
เขา้ ใจเกยี่ กับพนื้ ท่ี ึก ากอ่ นการดา� เนนิ การ จิ ยั

แน ทางการใ ้ค าม �าคัญกับ “บริบทชุมชน” นั้นน่าจะได้รับอิทธิพลทางค ามคิดมาจาก
งาน จิ ยั เร่ือง การทอ่ งเทย่ี เชงิ นิเ ค าม ลาก ลายทาง ฒั นธรรมและการจดั การทรพั ยากร ของ ย
ันต มบัติ และคณะ ท่ีด�าเนินการในปี 2541-2542 (ย ันต มบัติ และคณะ, 2544: 10-13) เป็น
งาน ิจัยที่ ร้างองค์ค ามรู้ในการจดั การทอ่ งเท่ีย โดยชุมชน และถอื เปน็ ตน้ แบบการพฒั นากระบ นการ
ง่ เ รมิ การทอ่ งเทย่ี โดยชมุ ชนจงั ดั แมฮ่ อ่ ง อน ซง่ึ งาน จิ ยั นยี้ งั เปน็ ตน้ แบบการ กึ า จิ ยั เพอื่ ทอ้ งถนิ่
ในเรอ่ื งโครง ร้างการ ึก าและประเด็น ิเคราะ ์ โดยในงาน จิ ัยของ ย นั ต มบตั ิ แนะนา� ่างาน ิจัย
ค รมีการ ึก าท้ังด้านทรัพยากรธรรมชาติ ค ามเป็นชาติพันธุ์ และภูมิปัญญาท้องถ่ิน ตลอดจน
การเมืองในชุมชน และการเชอ่ื มโยงกบั ภายนอกชมุ ชน เพอื่ เปน็ ฐานใ ้ชา บา้ นท�าค ามเข้าใจและพฒั นา
รปู แบบการจดั การทอ่ งเที่ย โดยชุมชนได้อยา่ งเ มาะ มกับตนเอง มีค ามเป็นธรรม และค�านงึ ถงึ กั ด์ิ รี
ชาตพิ ันธ์ุของตน

ในคร้ังนีผ้ ู้ กึ าได้ ยิบตั อยา่ งงาน จิ ัยเพอ่ื ท้องถน่ิ มาพิจารณาเรอ่ื ง “บรบิ ทชมุ ชน” จากงาน
จิ ยั เพอื่ ทอ้ งถนิ่ ของ 3 กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ อยา่ งชา มเู ซอแดง บา้ น ั ปาย ตา� บลเ ยี งเ นอื อา� เภอปาย จงั ดั
แม่ฮ่อง อน ของ ยาโพ จะตีก๋อย (ม.ป.ป.) ชา ลั ะ บ้านป่าแป๋ อ�าเภอแม่ ะเรียง จัง ัดแม่ฮ่อง อน
ของ กมล เครอื ซุย (2552) ชา มง้ จัง ัดแมฮ่ ่อง อน ของ ธีระพล กมลยุทธชัย (2552) ซึง่ ผู้ ึก ามอง
่างาน ิจัยเพื่อท้องถ่ินของกลุ่มนี้ได้ ะท้อนใ ้เ ็นชุมชนต่าง ๆ มีการร บร มองค์ค ามรู้ของท้องถิ่น
ฒั นธรรมและภมู ิปญั ญาท้องถิ่นไ ใ้ น “บริบทชมุ ชน” ในเรอื่ งอะไรบ้าง

ตารางที่ 4 แ ดงเนอ้ื าของ “บรบิ ทชุมชน” จากตั อยา่ งงาน ิจัย

ชอ่ื งานวิจัย ประเด็น บรบิ ทชมุ ชน

การ ึก าภูมิปญั ญามเู ซอแดง บ้าน ั ปาย ต�าบล แบ่งเป็น 2 ประเด็น

เ ยี งเ นอื อ�าเภอปาย จงั ดั แมฮ่ ่อง อน /ยาโพ (1) รจู้ กั มเู ซอแดงโดยภาพร ม ไดแ้ ก่ ประ ตั คิ ามเปน็

จะตกี อ๋ ย (ม.ป.ป.) มา การแบง่ กลมุ่ ระบบทาง งั คม/ ถาบนั ครอบครั

ระบบเครอื ญาติ ระบบค ามเชอื่

(2) รู้จักมูเซอแดงบ้าน ั ปาย ได้แก่ แผนท่ี

ประ ัติ า ตร์การย้ายชุมชน ช่ือบ้านนามเมือง

คณะกรรมการ มบู่ า้ นขอ้ มลู ประชากรบา้ น ั ปาย การ

ก่อต้ัง มบู่ ้าน แผนทชี่ ุมชน ปฏิทินมเู ซอ กิจกรรม

ประจ�า ัน องค์กรท้องถิ่น เช่น กองทุน มู่บ้าน

กรณ์ กองทุนยา รายได้ของชมุ ชน รายได้รอง

ภา ะ น้ี นิ

นงั อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เน่อื งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ชื่องานวิจยั ประเดน็ บริบทชุมชน

การ ึก าประเพณี ัฒนธรรมพิธีกรรมของ แบ่งเป็น 2 ประเด็น
ชมุ ชนมง้ จงั ดั แม่ฮอ่ ง อน / (1) ขอ้ มลู ดา้ นบรบิ ทชมุ ชน ไดแ้ ก่ ประ ตั ิ า ตรม์ ง้
ธีระพล กมลยทุ ธชยั (2552) ชา ม้งจัง ัดแม่ฮ่อง อน จ�าน นประชากร การ
ประกอบอาชีพของชา ม้งในแม่ฮ่อง อน ประ ัติ
มบู่ า้ นมง้ ในจงั ดั แมฮ่ อ่ ง อน 13 มบู่ า้ น (พกิ ดั
มบู่ า้ น จา� น นประชากร จา� น นนาม กลุ ประ ตั ิ
มูบ่ ้าน รายชอื่ ผใู้ ญ่บา้ น อาชีพ ภาพทาง งั คม
ถาบันและองค์กร า นาการบริการพื้นฐาน
แ ล่งทรัพยากรธรรมชาติ ุขอนามัย ค ามเชื่อ
และพธิ กี รรม)
(2) ข้อมูลด้าน ัฒนธรรมประเพณีที่ �าคัญ ได้แก่
เท กาลปีใ ม่ม้ง ประเพณีแต่งงานม้ง พิธี พม้ง
(พธิ ี พมง้ ท่ั ไปนับถอื ผี พธิ ี พมง้ คริ เตียน)

การ บื ทอดและการใชป้ ระโยชนจ์ ากพนั ธกุ รรมพชื ประ ัติ า ตร์ชุมชน โครง ร้างทาง ังคม

พื้นบ้านลั ะ บ้านป่าแป๋ อา� เภอแม่ ะเรยี ง จงั ัด เ ตุการณ์ �าคัญในอดีต ท่ีตั้งและอาณาเขต

แมฮ่ อ่ ง อน /กมล เครือซุย (2552) ลัก ณะนามทางภูมิ า ตร์ ภาพทาง ังคมและ

ฒั นธรรม เชน่ ประชากร ลกั ณะการพนื้ ฐาน เ น้

ทางคมนาคม การ กึ า ดา้ น าธารณ ขุ ฒั นธรรม

ประเพณี า นาค ามเชอ่ื การปกครอง ่ นท้องถ่นิ

รอื ผนู้ า� ค าม มั พนั ธข์ องคนในชมุ ชน ระเบยี บขอ้

ปฏบิ ตั แิ ละกฎเกณฑข์ องชมุ ชน การจัดการค าม

ขัดแย้ง ค ามผิด บทลงโท การปรบั เปลย่ี นตาม

ยคุ มัย ทรัพยากรธรรมชาติ การจดั การและระบบ

นเิ น์ (ทดี่ นิ แ ลง่ นา้� ปา่ ไม้ ป่าไมช้ มุ ชน) ภาพ

ทางเ ร ฐกจิ ภาพปัญ าของชุมชน

เม่ือพจิ ารณา “บรบิ ทชุมชน” จากตั อยา่ งงาน จิ ัยท้ัง 3 ชนิ้ เ น็ ได้ า่ ตั เน้อื าบริบทชมุ ชน
นัน้ ครอบคลุมประเด็นตา่ ง ๆ ของท้องถ่ินไม่ ่าจะเป็นเร่ืองของลกั ณะกายภาพของพ้นื ที่ ประ ัติ า ตร์
ค ามเป็นมาของชุมชน ภาพเ ร ฐกิจและ ังคม ลัก ณะเด่นของ ัฒนธรรมและประเพณี และระบบ
การจดั การทรพั ยากรของแตล่ ะกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ เปน็ ตน้ ดงั นนั้ เนอ้ื าทปี่ รากฏใน “บรบิ ทชมุ ชน” ทา� ใ เ้ น็
ถงึ ประเดน็ ค าม ลาก ลายทางชาตพิ นั ธแ์ุ ละ ฒั นธรรมนนั้ เปน็ ลกั ณะทโี่ ดดเดน่ และเปน็ เอกลกั ณข์ อง
จัง ัดแม่ฮ่อง อน ามารถเข้าใจเร่ืองของล�าดับการต้ังถิ่นฐาน ิถีชี ิตและประเพณี ัฒนธรรมต่าง ๆ
ทแ่ี ดงถงึ อัตลัก ณ์ของกลุม่ คนในจัง ดั ที่มีค าม ลาก ลาย ร มทง้ั ปรากฏการณ์การปรับตั และการ
เปลย่ี นแปลงของกลมุ่ ชาตพิ นั ธใุ์ นแต่ละช่ งเ ลา

“บรบิ ทชมุ ชน” จงึ เปน็ พนื้ ฐานค ามรขู้ องชมุ ชนมเี นอื้ าท่ี ะทอ้ นใ เ้ น็ ถงึ ปจั จยั ทมี่ ผี ลกระทบ
ต่อชุมชนอย่างมาก ได้แก่ การเปล่ียนแปลงเรื่องทรัพยากร การเปล่ียนแปลงด้าน ิถีผลิต และการ
เปลี่ยนแปลงด้าน ังคมและ ัฒนธรรม ชุมชนได้ประ บปัญ า ลายประการ เช่น ปัญ าการขาดแคลน
พ้ืนที่ท�าการเก ตร จากการที่รัฐ ้ามบุกเบิกพื้นที่ท�าการเพาะปลูก ปัญ าค าม ับ นจากท่าทีและ
การกระท�าของรัฐ เช่น การ �าร จ �ามะโนครั ประชากรในชุมชน การจัดท�าเอก ารแ ดงถึงค ามเป็น
พลเมอื ง การเข้ามาของ น่ ยงานการ กึ า ป่าไม้ และชลประทาน ดงั นน้ั กลุ่มชาติพันธ์ตุ า่ ง ๆ ในจงั ดั
แม่ฮอ่ ง อนนนั้ ต่างพยายามดา� รงอัตลัก ณ์ ทางชาตพิ ันธ์ทุ ่ีอา ยั ค าม ัมพันธเ์ ชงิ เครอื ญาติ ค ามเป็นพี่
เป็นนอ้ ง และระบบอา ุโ โดยชุมชนน้นั มกี ารปรบั ตั เพ่อื ค ามเ มาะ มในการด�ารงชี ติ ตามโลกทั น์
ค ามคดิ คา่ นยิ ม ค ามเชอื่ ทางชาตพิ นั ธ์ุ ร มถงึ ถิ กี ารผลติ ประเพณี ฒั นธรรม พธิ กี รรมของแตล่ ะชาตพิ นั ธ์ุ
โดยเฉพาะเมอื่ ชมุ ชนเขา้ ยู่ คุ เผชญิ นา้ กบั การพฒั นา ดงั นนั้ แม้ า่ การ จิ ยั ดา้ นประ ตั ิ า ตรท์ อ้ งถน่ิ ไมใ่ ช่
ค�าถาม ลกั รอื โจทย์ ิจัย ลกั กต็ าม แต่ ากถา้ เราทา� ค ามเข้าใจ “บรบิ ทชมุ ชน” จงึ อาจจะเปน็ ่ น น่งึ
การ กึ าประ ัติ า ตร์ท้องถ่ินแมฮ่ อ่ ง อนในมิติตา่ ง ๆ ได้

สรปุ ความคิด

ต้ังแต่ พ. . 2543-2560 งาน ิจัยเพ่ือท้องถิ่นจัง ัดแม่ฮ่อง อนด้าน ิลป ัฒนธรรม
ประ ัติ า ตร์ทอ้ งถ่นิ และภมู ปิ ัญญาไดเ้ นอภาพร มของการ ึก าจัง ัดแม่ฮอ่ ง อนในมิติต่าง ๆ ทง้ั
(1) ลัก ณะการ ิจัย ทเ่ี ปน็ การ ืบคน้ าองค์ค ามร้ดู ้านประ ตั ิ า ตร์ ชาตพิ ันธแ์ุ ละ ัฒนธรรมเก่ีย กับ
ชุมชนต่าง ๆ ในแม่ฮ่อง อนโดยมีชา บ้านท่ีเป็นเจ้าของชุมชนเป็นผู้ ิจัยเอง (2) งาน ิจัยได้เ นอภาพ
การเปลยี่ นแปลงของทอ้ งถน่ิ ตามปจั จยั รอื เงอ่ื นไขของทอ้ งถน่ิ นน้ั ๆ และค ามเปน็ ชาตพิ นั ธ์ุ ทา� ใ เ้ น็ ถงึ
การดา� รงชี ติ การปรบั ตั ของชมุ ชนตา่ ง ๆ ในแตล่ ะช่ งเ ลา (3) การ รา้ งโจทยท์ ใี่ ค้ าม มายและค าม
�าคัญกับชุมชนที่จะ ะท้อนตั ตนได้มากที่ ุดท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทาง ังคม เ ร ฐกิจและ
ฒั นธรรม

ท้ายที่ ุดองค์ค ามรู้เรื่องท้องถ่ินเ ล่านี้จากงาน ิจัยเพ่ือท้องถ่ิน จัง ัดแม่ฮ่อง อนประเด็น
ภมู ปิ ัญญา ฒั นธรรม การจดั การค ามรู้ของกล่มุ ชาตพิ นั ธุ์ตา่ ง ๆ ในจัง ดั แม่ฮ่อง อนร มถึงการ กึ า
“บริบทชุมชน” ในงาน ิจัยเพอื่ ท้องถนิ่ นน้ั อาจเป็นแรงกระตนุ้ ใ ้กับเจา้ ของ ฒั นธรรมร มถึงผู้เก่ีย ข้อง
ได้น�ามาจัดการกับชุดค ามรู้ภูมิปัญญาด้ังเดิมท่ี ่ัง มมาในแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ และงาน ิจัยเ ล่านี้ยังได้
พยายามตอบโจทย์การเ รมิ ร้างและ นบั นุน กั ยภาพของชมุ ชน ใ ้ อดคลอ้ งกบั จุดเด่นของชุมชนท่ีมี
อยู่เพ่ือเป็นการเตรียมค ามพรอ้ มใ ้ชุมชนและน�าไป ่กู ารจัดการมรดกทาง ฒั นธรรมใ ย้ ง่ั ยนื ต่อไป

379

นัง ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เน่อื งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

บรรณานกุ รม

กมล เครือซุย และคณะ. (2552). “รายงาน ิจัยเพื่อท้องถ่ิน ฉบับ มบูรณ์ การ ืบทอดและการใช้
ประโยชน์จากพนั ธกุ รรมพชื พนื้ บา้ นชา ลั ะ บา้ นปา่ แป๋ อา� เภอแม่ ะเรยี ง จงั ดั แมฮ่ อ่ ง อน.”
ไดร้ บั ทนุ นบั นนุ การ จิ ยั จาก า� นกั งานกองทนุ นบั นนุ การ จิ ยั ( ก .) ปงี บประมาณ 2548-2549.

จตุพร ิ ิ ฏ์โชติองั กูร และคณะ. (2548). “รายงาน ิจัยเพอ่ื ทอ้ งถนิ่ ฉบบั มบรู ณก์ ารพัฒนา กั ยภาพ
ชมุ ชนในการจัดการองค์ค ามร้ทู ้องถิน่ ทางดา้ น ุขภาพบ้านกึด้ าม ิบ มู่ 6 ตา� บล บป่อง
อ�าเภอปางมะผา้ จัง ัดแม่ฮ่อง อน.” ไดร้ บั ทุน นบั นนุ การ จิ ัยจาก �านกั งานกองทุน
นับ นนุ การ ิจยั ( ก .) และ า� นกั งานกองทุน นบั นุนการ ่งเ รมิ ุขภาพ ( .)
ปงี บประมาณ 2547-2548.

ชาญชัย ิทยาพูน และคณะ. (2560). “รายงาน ิจัยเพื่อท้องถ่ิน ฉบับ มบูรณ์ การ ึก าพืช มุนไพร
ภูมิปัญญากลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อการอนุรัก ์ฟื้นฟูอย่างมี ่ นร่ มของกลุ่ม มุนไพรแปรรูป
บ้าน ั น้�าแม่ ะกึด ต�าบลผาบ่อง อ�าเภอเมือง จัง ัดแม่ฮ่อง อน.” ได้รับทุน นับ นุน
การ จิ ัยจาก า� นกั งานกองทุน นบั นุนการ ิจัย ( ก .) ปงี บประมาณ 2558-2559.

ชาตชิ าย รตั นคีรี และคณะ. (2545). “รายงาน จิ ัยฉบบั มบูรณ์ การอนรุ กั ์และฟ้นื ฟู มนุ ไพรพื้นบา้ น
ชา ไทยภูเขา อ�าเภอปางมะผ้า จัง ัดแม่ฮ่อง อน.” ได้รับทุน นับ นุนการ ิจัยจาก
�านกั งานกองทุน นับ นุนการ ิจัย ( ก .) ปงี บประมาณ 2543-2345.

ธีระพล กมลยุทธชัย และคณะ. (2552). “รายงาน ิจัยเพื่อท้องถิ่น ฉบับ มบูรณ์ การ ึก าประเพณี
ัฒนธรรมพิธีกรรมของชุมชนม้ง จัง ัดแม่ฮ่อง อน.” ได้รับทุน นับ นุนการ ิจัยจาก
�านักงานกองทนุ นับ นุนการ ิจยั ( ก .) ปีงบประมาณ 2549.

บือ ขจร ักดิ์ รี และคณะ. (2552). “รายงาน ิจัยฉบับ มบูรณ์ “รัก ์ละโพงละเ ือะ” บ้านป่าแป๋
อ�าเภอแม่ ะเรียง จัง ัดแม่ฮ่อง อน.” ได้รับทุน นับ นุนการ ิจัยจาก �านักงานกองทุน
นบั นุนการ ิจัย ( ก .) ฝ่าย ิจยั เพือ่ ทอ้ งถิน่ ปงี บประมาณ 2550-2552.

พิพัฒน์ กระแจะจนั ทร.์ (2556). “รายงานการ จิ ัยโครงการ กึ าและฟืน้ ฟปู ระ ัติ า ตรช์ าตพิ นั ธุก์ ลุม่
เลอเ อื ะ และมอญ ภายใตโ้ ครงการ กึ าเพอื่ พฒั นาภา าและภมู ปิ ญั ญา ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธบ์ุ น
ฐานงาน ิจัยเพือ่ ท้องถ่นิ : การบรู ณาการค ามรูจ้ ากงาน ิจยั ทอ้ งถ่ิน ู่ค ามรเู้ ชงิ ชิ าการ เลม่ ท่ี
1: ประ ัติ า ตรข์ องกลมุ่ ชาตพิ นั พนั ธ์ุเลอเ อื ะและมอญในประเท ไทยตัง้ แตพ่ ุทธ ต รร ที่
13-ปจั จบุ นั .” ได้รับทนุ นบั นนุ การ จิ ยั จาก า� นกั งานกองทนุ นับ นนุ การ ิจัย ( ก .).

มาณพ อมร ักดิ์ และคณะ. (2549). “รายงาน ิจัยเพ่ือท้องถ่ิน ฉบับ มบูรณ์ การฟื้นฟูและถ่ายทอด
มุนไพรชา ม้ง อ�าเภอขุนย ม จัง ัดแม่ฮ่อง อน.” ได้รับทุน นับ นุนการ ิจัยจาก
�านกั งานกองทนุ นับ นุนการ จิ ยั ( ก .) ปงี บประมาณ 2545-2546.

ย ันต มบัติ และคณะ. (2544). การท่องเท่ียวเชิงนิเวศ ความ ลาก ลายทางวัฒนธรรมและ
การจดั การทรัพยากร. เชยี งใ ม:่ นพบุรกี ารพิมพ์.

ยาโพ จะตีก๋อย และคณะ. (ม.ป.ป.). “รายงาน ิจัยเพื่อท้องถ่ิน ฉบับ มบูรณ์ การ ึก าภูมิปัญญา
มเู ซอแดง บา้ น ั ปาย ต�าบลเ ียงเ นือ อา� เภอปาย จัง ดั แมฮ่ ่อง อน.” ไดร้ ับทนุ นับ นุน
การ จิ ยั จาก า� นกั งานกองทนุ นบั นนุ การ จิ ยั ( ก .) า� นกั งานภาคปงี บประมาณ 2547-2549.

รั มี ชทู รงเดช และคณะ. (2562). “รายงาน ิจัยฉบับ มบูรณ์ โครงการ งั เคราะ ์เอก ารงาน จิ ัยของ
ก . ในจัง ดั แม่ฮอ่ ง อนในกรอบการพัฒนาท่ีย่งั ยนื .” ไดร้ ับทนุ นับ นนุ การ จิ ยั จาก
า� นกั งานกองทนุ นบั นนุ การ จิ ยั ( ก .) น่ ย จิ ยั เชงิ ยทุ ธ า ตร์ ปงี บประมาณ 2560-2561.

ิ ทุ ธิ์ เ ลก็ มบรู ณ์ และคณะ. (2551). “รายงาน จิ ยั เพอื่ ทอ้ งถน่ิ ฉบบั มบรู ณ์ การ กึ าประ ตั ิ า ตร์
ทอ้ งถ่ิน า่ ด้ ย ทิ ธเิ ด็กในโครง ร้างและระบบครอบครั -เครือญาติของกลุ่มชาตพิ นั ธตุ์ ่าง ๆ
ภายใตบ้ ริบทการจดั การทรัพยากรบรเิ ณลุ่มน�้าลาง-นา�้ ของ อ. ปางมะผา้ จ. แม่ฮ่อง อน.”
ไดร้ บั ทนุ นบั นนุ การ จิ ยั จาก า� นกั งานกองทนุ นบั นนุ การ จิ ยั ( ก .) ปงี บประมาณ 2549-2550.

ูนย์ประ านงาน ิจัยเพื่อท้องถิ่นจัง ัดแม่ฮ่อง อน. (ม.ป.ป.) “รายช่ือโครงการ ิจัยเพ่ือท้องถิ่น
จงั ดั แมฮ่ อ่ ง อน ปี พ. . 2542-2559” เอก ารอดั า� เนาของ นู ยป์ ระ านงาน จิ ยั เพอื่ ทอ้ งถนิ่
จงั ดั แมฮ่ อ่ ง อน.

รั ดี อ๋อง กุล. (2551). ประวัติศา ตร์ล้านนา. พิมพ์คร้ังท่ี 4 (ฉบับปรับปรุงและเพ่ิมเติม).
กรุงเทพฯ: อมรินทรพ์ ริน้ ติ้ง.

ินธุ์ โรบล. (2554). วิธวี ิทยาวจิ ัยเพ่อื การเปลี่ยนแปลงและพฒั นาชมุ ชน: บท ังเคราะ ง์ านวิจัย
เพอื่ ทอ้ งถนิ่ ในประเทศไทย และประ บการณจ์ ากตา่ งประเทศ. พมิ พค์ รงั้ ที่ 2. กรงุ เทพฯ:
า� นักงานกองทนุ นบั นุนการ ิจยั ( ก .)

ุมนมาลย์ และคณะ. (2547). “รายงาน ิจัยฉบับ มบูรณ์ การอนุรัก ์ฟื้นฟูภูมิปัญญา มุนไพร
ชนเผา่ ปกากะญอ ้ ยปลู งิ ตา� บล ้ ยปลู งิ อา� เภอเมอื ง จงั ดั แมฮ่ อ่ ง อน.” ไดร้ บั ทนุ นบั นนุ
การ ิจัยจาก �านักงานกองทนุ นบั นนุ การ ิจยั ( ก .) ปงี บประมาณ 2545-2546.

อรณุ ี เ ยี งแ ง และคณะ. (2550). จากคน าม มอก คู่ น ามนา�้ : จาก ลักการ ปู่ ฏิบัตกิ ารงาน ิจยั
เพอื่ ท้องถิ่น. เชยี งใ ม่ : นู ย์ประ านงาน จิ ยั เพอื่ ทอ้ งถ่นิ จงั ดั มุทร งคราม : ูนย์ประ าน
งาน จิ ยั เพื่อทอ้ งถิ่นจัง ดั แม่ฮ่อง อน : า� นักงานกองทุน นบั นุนการ ิจัย �านกั งานภาค.

อรุณี เ ียงแ ง. (2562). “ภาพร มโครงการ ิจัยโดยคนแม่ฮ่อง อน.” เอก ารประกอบการเ นา
แม่ฮ่อง อนโมเดล: เ ียง ะท้อนจากขุนเขา อนาคตแม่ฮ่อง อน...ใครก�า นด?, โครงการ
ังเคราะ ์เอก ารงาน ิจัยของ ก . ในจัง ัดแม่ฮ่อง อนในกรอบการพัฒนาที่ย่ังยืน
้องประชุม น มอกค�ารี อรท์ แมฮ่ ่อง อน, 18 มกราคม.

381

นงั ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เน่อื งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

สมั ภาษณ์

เท ญั ปัญญาประเ ริฐ. (2562). นัก จิ ยั โครงการงาน ิจยั เพอ่ื ทอ้ งถ่นิ จงั ัดแม่ฮอ่ ง อน. ัมภา ณ์,
20 กมุ ภาพันธ.์

จันทร์ รี ธุ รรม. (2562). ผ้ชู ่ ยนัก จิ ัยโครงการงาน จิ ัยเพื่อท้องถ่นิ จัง ดั แม่ฮอ่ ง อน. ัมภา ณ์,
20 กุมภาพันธ.์

า นา เก อนิ ทร์. (2562). พี่เลี้ยง NODE แม่ฮอ่ ง อน. มั ภา ณ,์ 20 กุมภาพันธ.์

ประวตั ศิ าสตรพ์ ื้นทตี่ าบอดยา่ นฝง่ั ธนฯ : ถ่นิ คริสตชนบางสะแก
History of the blind area in Thonburi :
Bang Sakae Catholic Community*

ภมู ิ ภูติมหาตมะ**
Poom Putimahtama

* บทค ามนเ้ี ปน็ ่ น นงึ่ ของโครงการ จิ ยั “การเปลยี่ นแปลงทาง งั คมของชมุ ชนจนี คาทอลกิ ดั แมพ่ ระประจกั ์
เมืองลูร์ด บาง ะแก” พ. .2561 นบั นนุ โดยประมาณจากกองทุน จิ ัยและ รา้ ง รรค์คณะโบราณคดี

** อาจารยป์ ระจ�า ม ดประ ตั ิ า ตร์ คณะโบราณคดี ม า ิทยาลัย ิลปากร Lecturer, Faculty of
Archaeology, Silpakorn University. E-mail : [email protected]

383

นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เน่อื งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

บทคัดยอ่

บทค ามนมี้ งุ่ กึ าการเปลยี่ นแปลงของพนื้ ทกี่ บั พฒั นาการทาง งั คมของ มบู่ า้ น ดั แมพ่ ระประจกั ์
เมอื งลูร์ด บาง ะแก โดยเ นอ า่ การบุกเบกิ ท่ดี ิน ดั แมพ่ ระประจัก ฯ์ ในช่ งปลาย มยั รชั กาลท่ี 5 เปน็
ิ ยั ทั นข์ องบาท ล งคาทอลกิ และขนุ นางเชอื้ ายตะ นั ตกใน ยาม ทต่ี อ้ งการขยายพน้ื ทช่ี มุ ชนคาทอลกิ
จาก ดั แมพ่ ระลกู ประคา� กาล า่ ร์ ยา่ นตลาดนอ้ ย ฝง่ั พระนคร มายงั ฝง่ั ธนบรุ เี พอื่ รองรบั การพฒั นา รา้ ง
ทางรถไฟ ายคลอง าน-ม าชัย ทต่ี ง้ั ของชุมชน ัดแมพ่ ระประจัก ์เมอ่ื ครัง้ บุกเบิกจงึ เป็นพื้นท่ี นท�าเล
งามทีต่ ดิ ท้งั คลองตน้ ไทรและ ถานีของเ ้นทางรถไฟ ายใ มท่ ี่ตดั ผา่ น ซึง่ เอื้อต่อการ ัญจรไปมาได้อย่าง
ะด ก แม้การจดั ตงั้ กลุ่มคริ ตชนทบ่ี าง ะแกไมป่ ระ บผล า� เร็จในเ ลานั้น แตต่ ่อมา ลังจากถูกใช้เปน็
พนื้ ที่ ลบภัย งครามม าเอเชยี บรู พาของกลุ่มคริ ตชนจากพระนครแล้ มบู่ ้านแ ง่ นีก้ เ็ ติบโตขน้ึ อยา่ ง
ร ดเร็ จากเครือขา่ ยของกลุ่มคริ ตงั จนี ท่ี ดั แมพ่ ระลูกประคา� กาล ่าร์ โดยด�าเนินไปพรอ้ ม ๆ กบั การ
ขยายตั ของ งั คมเมอื ง มยั ใ มใ่ นท รร 2500 ทใ่ี ค้ าม า� คญั กบั พฒั นาถนนเรอื่ ยมา ในขณะทพ่ี น้ื ที่

นลดนอ้ ยลง คลองทเี่ คยใชเ้ ปน็ เ น้ ทาง ญั จร ลกั ก็ มดค าม า� คญั ไป มบู่ า้ นแมพ่ ระประจกั ฯ์ ค่อย ๆ
ถูกโอบล้อมด้ ยแ ล่งท่ีพักอา ัยอาคารพาณิชย์ท่ีขยายตั อย่างร ดเร็ แต่กระน้ันก็ไม่มีถนน �า รับใ ้
รถยนตเ์ ข้าถงึ ่งผลใ ้ถกู มองเปน็ ทด่ี นิ ตาบอด เป็นอุป รรคในการพฒั นาด้านกายภาพเรือ่ ยมา แต่ในอีก
ด้าน นึ่ง ลัก ณะค ามเป็นพื้นท่ีตาบอดเช่นนี้กลับ ่งผลใ ้ ิถีค ามเป็น มู่บ้านคริ ตชนในยุค 2500
ยังคงด�ารงอยู่ โดยเฉพาะบทบาทอันโดดเด่นในการท�างานด้าน ังคมของกลุ่มคนรุ่นใ ม่ในขณะน้ัน
ท่ีได้รับการปลูกฝังแน คิดในการพัฒนา ังคมท่ีมีค ามเป็น ากลและอิทธิพลทางค ามคิดจากขบ นการ
“คาทอลกิ แอคชั่น” (Catholic Action) ท่ี า� คัญคือ คณะยุ กรรมกรคาทอลกิ และคณะพลมารี ซง่ึ เปน็
รากฐานใ ก้ ับกลมุ่ งานด้าน งั คมอนื่ ๆ ของ มู่บา้ นทีเ่ ติบโตข้ึนในเ ลาต่อมา และได้กลายเป็นพลังทชี่ ่ ย
รกั าคุณค่าทาง ังคมของ มบู่ า้ นใ ค้ งอยู่ ร มไปถงึ การมีบทบาทนา� ในท้องถ่ินท่จี ะ า นทางแกป้ ัญ า
ค ามเดือดร้อนอันเกิดจากการมุ่งพัฒนาเมืองด้ ยค ามเจริญทางด้าน ัตถุแต่เพียงด้านเดีย ของภาครัฐ
ดังนั้นแม้ ่าในมมุ มองของคนภายนอกไดก้ �า นดใ ้ มูบ่ า้ นแ ่งนเ้ี ปน็ พนื้ ที่ตาบอดกลางเมอื งกรุง แต่ าก
ไดเ้ ข้าไปมองและ ึก าจากภายใน กจ็ ะเ น็ ถงึ คณุ คา่ ของพ้ืนทีต่ าบอดแ ง่ น้ที ีย่ ังคงยืน ยัดเปน็ ชุมชนท่มี ี
ชี ิต มีค ามคิด มี ักด์ิ รี ท้าทายค ามเจรญิ ของเมืองใ ญ่ทม่ี ากไปด้ ยปัญ าแ ง่ น้ีด้ ย “ใจทไ่ี ม่บอด”

384

Abstract

This article focuses on the the evolutionary structural change of the area and
the social development of Our Lady of Lourdes Church, Bang Sakae, proposing that the
land reclamation of the church at the end of the reign of King Rama V was the vision of
the Catholic clergy and nobles of Western descent in Siam who wanted to expand the
Catholic community area from the Holy Rosary Church (Calvaire), Talad Noi, Bangkok
to Thonburi in order to support the development of the construction of the Khlong
San-Mahachai Railway Line. The location of this Catholic community, as pioneered, was a
beautiful garden area that is adjacent to Ton Sai Canal and the station of the new railway
line which facilitates convenient traffic. Although the establishment of Christian groups
in Bang Sakae was not successful at that time, but later, after being used as a refuge for
the Pacific War of Christians from Bangkok, this village grew rapidly from the network of
the Holy Rosary Church’s Chinese Catholic. At the same time, the expansion of modern
urban society in the late 1950s to the late 1960s that focused on road development
caused the garden area reduced. The canal that had been used as the main thoroughfare
has lost importance. Our Lady of Lourdes Church village is gradually surrounded by
fast-growing commercial buildings but there is no road for cars to access, resulting in
being seen as a blind land as a barrier to physical development. But on the other side
such a blind area like this, resulting in the way of being a Christian village in the 2500s
still existed, especially the prominent role in the social work of the new generation at
that time that has been instilled in the idea of developing society and the influence of
ideas from the movement “Catholic Action”, which is important to the faculty of Catholic
laborers and the Legion of Mary, leading the foundation for other social work groups of
the village that grew later. This has become a force that helps preserve the social
value of the village as well as having a local leading role in finding solutions to the problems
caused by the development of the city with material prosperity only on the one side of
the government. Although this area is considered as blind area, if people penetrate
beneath the surface of what they physically see, they will gain in depth knowledge of
this place in terms of value of this precious land as it stands as a living community that
faces many challenges in this large city.

385

นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

บทนา�

ชุมชนและย่านเก่าแก่ในกรุงเทพม านครและปริมณฑลมีลัก ณะเป็น ังคมพ ุลัก ณ์ ชุมชน
ชา จนี คาทอลกิ นบั เปน็ ่ น นง่ึ ของ งั คมเมอื งกรงุ เทพฯ ทมี่ อี ตั ลกั ณท์ าง ฒั นธรรมอยา่ งชดั เจน มเี ครอื ขา่ ย
ค าม มั พนั ธท์ ยี่ ดึ โยงกนั ด้ ย รทั ธาในคริ ต์ า นาพรอ้ มกบั ค ามรู้ กึ ผกู พนั ทาง ฒั นธรรมและเชอื้ ชาติ
มบี ทบาท า� คญั ในการผลกั ดนั งานเผยแพร่ า นาคริ ตใ์ ก้ า้ งข างออกไป ทงั้ ในประเท ไทยและประเท
เพื่อนบ้าน นอกจากนี้ยัง ามารถจัดต้ัง ถาน ึก าของลูก ลานชา จีนและองค์กร ังคม งเคราะ ์ขึ้น
อย่างโดดเด่น อันเป็นรากฐานในการก้า ไป ู่ระบบ ังคมเมือง มัยใ ม่ แต่อย่างไรก็ดีในช่ ง 20-30 ปี
ทผ่ี า่ นมา ทา่ มกลางกระแ โลกาภิ ตั นท์ า� ใ ช้ มุ ชนชา จนี คาทอลกิ ในกรงุ เทพม านครและปรมิ ณฑลเกดิ
การเปลย่ี นแปลงอยา่ งร ดเร็ อตั ลกั ณท์ าง ฒั นธรรมและเรอ่ื งรา ของชมุ ชนเ ลา่ นก้ี า� ลงั ถกู ละเลยและ
เริ่มเลือน ายไปจากค ามทรงจา� ของผคู้ นในรุ่นต่อ ๆ มา ท้ังทเ่ี ร่ืองรา ของกลุม่ ชา จีนคาทอลิกยงั ไม่เคย
ได้รับการ ง่ เ รมิ ใ ้เป็นทรี่ บั รกู้ นั อย่างแพร่ ลายนักใน ังคมไทย

การร มตั กนั ของกลมุ่ ชา จนี คาทอลกิ ในกรงุ เทพฯ เรมิ่ ตน้ ขน้ึ อยา่ งชดั เจนท่ี ดั แมพ่ ระลกู ประคา�
กาล ่าร์ ย่านตลาดนอ้ ย โดยใน ค. . 1837 (พ. . 2380) ไดม้ กี ารบกุ เบกิ ก่อตั้งกลุ่มชา จีนคาทอลิกขึ้น
มาโดยบาท ล งชา ฝร่ังเ ่งผลใ ้ ัดแม่พระลูกประค�า กาล ่าร์ ได้กลายมาเป็น ัดของชา จีน
คาทอลกิ โพน้ ทะเลในกรงุ เทพฯ และเปน็ นู ยก์ ลางของชา จนี คาทอลกิ ในประเท ไทยเรอื่ ยมา โดยเฉพาะ
อย่างยิง่ ในช่ งของการเปิดประเท จากการทา� นธิ ัญญาเบา ์ร่ิง ัดแม่พระลกู ประค�า กาล า่ ร์ ได้เรมิ่
ข้ึนมามีบทบาทน�าในงานเผยแพร่คริ ต์ า นาใน มู่ชา จีน ยามอย่างชัดเจน มีการเรียนการ อนภา า
จนี แตจ้ ิ๋ ใน มบู่ าท ล งชา ฝรง่ั เ ทา� ใ เ้ กดิ การขยายงานเผยแพรค่ ริ ต์ า นาออกไปไดม้ ากยง่ิ ขนึ้ ใน
รูปแบบ ถานพัก อน า นา ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็น ัดคาทอลิกตามชุมชนชา จีน ลายแ ่งรอบนอก
พระนคร ท่ี �าคัญคอื ดั แมพ่ ระประจัก ์เมอื งลรู ด์ บาง ะแก

ดั แมพ่ ระประจกั เ์ มอื งลรู ด์ บาง ะแก นบั เปน็ แ ลง่ ชมุ ชนชา จนี คาทอลกิ ท่ี า� คญั ยงิ่ อกี แ ง่ นงึ่
เน่ืองจากมีค ามเชื่อมโยงกับ ัดแม่พระลูกประค�า กาล ่าร์ ในฐานะ ัด าขานับตั้งแต่ มัยรัชกาลที่ 5
ตอ่ มาในช่ ง งครามม าเอเชยี บรู พา ดั คาทอลกิ แ ง่ นกี้ ไ็ ดก้ ลายเปน็ นู ยก์ ลางการอพยพ ลบภยั ที่ า� คญั
อกี แ ง่ นงึ่ ของชา จนี คาทอลกิ ในกรงุ เทพฯ และขยายตั เปน็ ชมุ ชนขนาดใ ญใ่ นช่ งท รร 2500 โดย
มกี ารพฒั นาชมุ ชนใ ก้ า้ ไปเปน็ ่ น นง่ึ ของ งั คมเมอื ง มยั ใ มภ่ ายใตก้ ารนา� ของบาท ล งชา ฝรง่ั เ
โดยมีการ ร้าง ถาน ึก า �า รับเยา ชน มีการจัดตั้งกลุ่มยุ กรรมกรคาทอลิก กลุ่มเครดิตยูเนี่ยน
คณะพลมารจี ีน คณะกอ่ ดภา นาภา าจนี และ ง่ เ ริมคณะนกั ขับร้องของ ดั ใ ้ ามารถขบั รอ้ งเพลง
ทงั้ ภา าไทย และภา าจนี ในพธิ ที าง า นา และตอ่ มานบั ตง้ั แต่ พ. . 2519 เปน็ ตน้ มา ดั แมพ่ ระประจกั ์
เมอื งลรู ด์ บาง ะแก กไ็ ดร้ ับการพัฒนาอยา่ งต่อเนอื่ งภายใตก้ ารน�าของบาท ล งชา ไทย ซง่ึ ต่างปลกู ฝงั
ค�า อนด้าน ังคมใ ้กับชุมชนชา จีนคาทอลิกแ ่งนี้ตามแน ทาง มู่บ้านคริ ตชน ค บคู่ไปกับการธ�ารง
อัตลัก ณท์ างภา าและ ฒั นธรรมจนี ของกลมุ่ ชา จนี คาทอลิก

386

วิธกี ารศกึ ษา
1. กึ า บื คน้ และทบท นงาน ิจัย รรณกรรมและงานทีเ่ กี่ย ขอ้ ง
2. ึก าคน้ ค า้ เอก ารชัน้ ต้นและช้นั รอง เอก ารจาก อจด มายเ ตแุ ่งชาติ เอก ารจาก
อจด มายเ ตุอัคร ังฆมณฑลกรุงเทพฯ เอก ารจาก ัดแม่พระประจัก ์เมืองลูร์ด บาง ะแก เอก าร
จาก ัดอื่น ๆ ทเ่ี ก่ยี ข้อง และเอก ารของชา บ้าน
3. ึก า �าร จ ภาพปัจจบุ นั และบันทึกภาพถ่าย
4. ัมภา ณ์คนในท้องถ่ิน บุคลากรในพื้นที่ และตั แทนของ น่ ยงานที่เกี่ย ข้อง อันได้แก่
บาท ล ง ผอู้ า โุ คณะกรรมการ ภาอภบิ าลของ ัด คณะกิจกรรมต่าง ๆ ของ ัด ชา บา้ น และเขา้ ร่ ม
ังเกตการณ์ใน า นพิธีและกิจกรรมต่าง ๆ ของ ัด พร้อมท้ังเก็บข้อมูลด้าน ภาพภูมิ า ตร์ รูปแบบ
อาคารบ้านเรือน ิถีชี ติ ภมู ิปญั ญาของคนในท้องถ่นิ

ผลการศกึ ษา

มู่บ้าน ัดแม่พระประจัก ์เมืองลูร์ด บาง ะแก นับเป็น “พ้ืนที่ตาบอด” ที่มีประ ัติ า ตร์
ค ามทรงจ�าและมีค าม �าคัญต่อการเติบโตของกรุงเทพฯ ในย่านฝั่งธนบุรี ด้ ยลัก ณะที่เป็นพ้ืนท่ีด้าน
น่ึงขนาบด้ ยคลอง และอีกด้าน นึง่ ติดทางรถไฟ มเี พยี งทาง ัญจร �า รบั เดนิ เทา้ รอื ใ จ้ กั รยานยนต์
เข้าถึงได้เท่านั้น โดยไม่มีทางรถเข้าถึง ่งผลใ ้ มู่บ้านคริ ตชนจีนเก่าแก่ยังคงร่องรอยของ ภาพค าม
เปน็ อยูเ่ มื่อ 40-50 ปกี อ่ นไ ้ โดยไม่ได้เกดิ การเปลยี่ นแปลงในทางกายภาพมากนกั ในขณะท่ถี ดั ออกมาไม่
ถึง น่ึงกิโลเมตรทางฝั่งทิ เ นือในบริเ ณถนน ุฒากา มีการพัฒนาระบบคมนาคมขึ้นอย่างร ดเร็
ทั้งถนน งแ น ายราชพฤก ์ และรถไฟฟ้าเฉลิมพระเกียรติ กรอบพระชนมพรร า (รถไฟฟ้าบีทีเอ )
าย ีลม ่ นตอ่ ขยายแยกตาก ิน-บาง า้ ( าย เี ขีย อ่อน) โดยมี ถานี ุฒากา ยกระดบั เ นอื ถนน
ราชพฤก เ์ ปน็ จดุ เชอื่ มตอ่ การคมนาคมในรปู แบบใ มภ่ ายในยา่ น ดงั นนั้ แม้ า่ มบู่ า้ น ดั แมพ่ ระประจกั ์
เมอื งลรู ด์ บาง ะแก ได้กลาย ภาพจาก ม่บู ้านริมทางรถไฟเปน็ พื้นทตี่ าบอดในยา่ นกลางกรงุ มอี ุป รรค
ในการเข้าถึง แต่ท า่ กไ็ ม่ได้เปน็ พ้นื ทีต่ าบอดทมี่ ที �าเลดอ้ ยมลู คา่ ไปแตอ่ ย่างใด ในแง่มุม น่งึ กลบั เปน็ พื้นที่
แ ่งโอกา ทถ่ี ูกท้าทายจากค ามพยายามในการเปล่ียนแปลงจากภาค ่ นตา่ ง ๆ มานบั ท รร

จากคลองต้นไทรสทู่ างรถไฟสายทา่ จนี

บาง ะแก เปน็ ชอ่ื บา้ นเกา่ แกใ่ นยา่ นฝง่ั ธนทมี่ ี ลกั ฐานปรากฏขน้ึ ตง้ั แต่ มยั รชั กาลที่ 5 (“ประกา
บอกล่ ง น้าจะแจกโฉนด �า รบั ทีด่ ินในทงุ่ บ้านบางไ ไ้ ก่ ต�าบลบางไ ้ไก่ อา� เภอบางกอกใ ญ่, ทุ่งบา้ น
บางยี่เรอื ตา� บลบางยีเ่ รือ อา� เภอบางกอกใ ญ,่ ทงุ่ บา้ นบาง ะแก ตา� บลบาง ะแก อา� เภอบางกอกใ ญ่
แข งเมอื งกรงุ เทพฯ,” 2449: 175) และถกู ตดั ออกไปในฐานะของชอ่ื พนื้ ทกี่ ารปกครองทง้ั ในมณฑลกรงุ เทพ
พระม านครและจงั ดั ธนบุรีใน พ. .2483 (“ประกา กระทร งม าดไทย เรอื่ ง เปลย่ี นแปลงเขตต�าบล
และอ�าเภอในจัง ัดพระนครและธนบุรี,” 2483: 2598) ากย้อนกลับไปเม่ือครั้ง ัดแม่พระประจัก ์
เมอื งลรู ด์ แ ง่ นยี้ งั คงเปน็ ถานพกั อน า นาของบาท ล งใน มยั รชั กาลที่ 5 ทขี่ นึ้ กบั ดั แมพ่ ระลกู ประคา�
กาล ่าร์ ก็ปรากฏคา� เรยี ก ถานทแี่ ง่ นี้ ่า “ ถานพัก อน า นาบาง ะแก ตลาดพล”ู (“ท่ีดนิ ข้ึน ดั
ฝา่ ย า นาโรมนั คาทอลกิ ,” 2445-2452: 135) อยา่ งไรกด็ ี ผคู้ นในชมุ ชนจนี คาทอลกิ ดั แมพ่ ระประจกั ฯ์

387

นัง อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เน่อื งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

มคี า� เรยี กชอ่ื ถน่ิ ฐานทที่ บั ซอ้ นกนั อยู่ แตกตา่ งกนั ไปตามค ามนยิ มของแตล่ ะกลมุ่ คนและเ ลาทเ่ี ปลย่ี นแปลงไป
ทั้งบาง ะแก บางขุนเทียน และคลองต้นไทร คน ่ นใ ญ่อพยพมาอยู่ใ ม่จึงไม่ได้มีค ามผูกพันและ
ประ บการณใ์ นทอ้ งถน่ิ ทเ่ี ขม้ ขน้ นกั ชอื่ เรยี ก ดั และ มบู่ า้ นจงึ เปลยี่ นแปลงไปตามการเปลย่ี นแปลงทอ้ งทกี่ าร
ปกครองของกรงุ เทพฯ โดย ่ นใ ญแ่ ล้ โดยท่ั ไปผคู้ นในชมุ ชนตา่ งเรยี กชอ่ื ถน่ิ ฐานของตนตอ่ ทา้ ยชอื่ ดั า่
“บาง ะแก” ซง่ึ เปน็ คา� ทใี่ ชม้ าแตด่ ง้ั เดมิ เมอื่ แรกบกุ เบกิ ทด่ี นิ บรเิ ณนี้ ่ นผนู้ า� ทมี่ บี ทบาทดา้ น งั คมในช่ ง
ท รร 2510 กน็ ิยมเรยี กถนิ่ ท่ตี ้งั ของ ดั แ ง่ นต้ี ามชือ่ พ้นื ท่กี ารปกครองในช่ ง นึ่ง ่า “บางขนุ เทยี น”
ในขณะที่กลุ่มคริ ตังจีนท่ั ไปนิยมเรียกชื่อ ัดคาทอลิกแ ่งน้ีในชื่อภา าจีนตาม �าเนียงถิ่นแต้จิ๋ ่า
“空洞獅” (คงถง่ ไซ) ซงึ่ พอ้ งเ ยี งกบั คา� า่ “คลองตน้ ไทร”

คลองต้นไทรเป็นคลอง าย ลักท่ีไ ลผ่าน มู่บ้าน ัดแม่พระประจัก ์ฯ เช่ือมระ ่างคลอง
บาง ะแกทางตะ ันออกกับคลองด่านทางตะ ันตก จากรายงานย่อตร จการของกรมการอ�าเภอ
บางขุนเทยี น ประจา� เดือน งิ าคม ก 129 (พ. . 2453) ได้มขี อ้ ค ามระบุถึง “ ถานรี ถไฟคลองต้นไทร
ย์”ตา� บลบางนางนอง (“ตร จการ,” 2453-2456: 91) จึงเป็น ลกั ฐานแ ดงใ เ้ น็ อย่างชัดเจน ่าคลอง
ต้นไทรเป็นคลองด้ังเดิม ที่มีมาตั้งแต่ก่อน พ. . 2453 ในช่ ง มัยรัชกาลท่ี 5 แล้ และนับจากการ
เปดิ ใชเ้ น้ ทางรถไฟ ายคลอง าน-ม าชยั ใน พ. . 2447 เปน็ ตน้ มา ชอ่ื คลองตน้ ไทรกน็ า่ จะเปน็ ทรี่ จู้ กั กนั
อยา่ งก า้ งข างมากขน้ึ เนอื่ งจากถกู กา� นดใ เ้ ปน็ ทต่ี งั้ และชอ่ื ของ ถานรี ถไฟแ ง่ นง่ึ ของเ น้ ทางรถไฟ
ายคลอง าน-ม าชยั รือเรยี กตดิ ปากกัน า่ “รถไฟ ายท่าจีน” เปน็ ท่นี า่ งั เกต า่ กลมุ่ คริ ตชนจีนน่า
จะมปี ระ บการณใ์ ชเ้ น้ ทางคลองตน้ ไทรในการเดนิ ทางอพยพมายงั ชมุ ชนและ ญั จรท่ั ไป ทง้ั ทางนา้� และ
ทางรถไฟอยา่ งก า้ งข าง ดังนน้ั จงึ เรยี กชือ่ ถนิ่ ทตี่ ัง้ ของ ัดจาก ่ิงแ ดล้อมท่พี กตนผูกพนั

มู่บ้าน ดั แม่พระประจัก ฯ์ รือ มบู่ ้าน ดั บาง ะแก แต่เดมิ ไม่ไดเ้ ปน็ พื้นที่ตาบอด แม้จะอยู่
ใน นแตก่ ็ ามารถใชเ้ รอื ญั จรไปออกคูคลองต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ ง ะด ก ยิง่ ก ่าน้นั เมือ่ มีโครงการ รา้ งทาง
รถไฟ ายคลอง าน-ม าชยั มบู่ า้ นแ ง่ น้ีก็ได้กลายเปน็ พ้ืนทต่ี ิด ถานรี ถไฟคลองตน้ ไทรท่ีมที �าเลเอ้ือต่อ
การ ัญจรไปมาได้อย่าง ะด ก การเข้ามาบุกเบิกซ้ือท่ีดินท่ีกา� ลังได้รับการพัฒนานี้ เพ่ือก่อต้ังโรง ด
และชุมชนคาทอลิกใ ม่โดยบาท ล งแด ์ซาล ์ (Dessalles, พ. . 2391-2458) ชา ฝร่ังเ
เจ้าอา า ัดแม่พระลูกประค�า กาล ่าร์ จึงไม่ใช่เร่ืองบังเอิญ ในขณะท่ีแรงจูงใจที่ชักน�าใ ้บาท ล ง
แด ซ์ าล ต์ ดั นิ ใจกา้ เขา้ มาบกุ เบกิ พนื้ ทร่ี กรา้ งในแถบน้ี กน็ า่ จะเกดิ จากการมองการณไ์ กล า่ ตอ่ ไปทดี่ นิ
บริเ ณนี้จะได้รับการพัฒนาข้ึนด้ ยมีทางรถไฟตัดผ่านในเ ลาอันใกล้ และคริ ตชนคน งในที่มีเครือข่าย
มั พันธใ์ กล้ชดิ อยใู่ นชุมชน ดั กาล า่ ร์ ชุมชนแ ่งเดยี กนั อย่างขุนภา าปริ ัตร ( ลุย ์ มาเรีย ซาเ ีย,
พ. . 2347-2445) ผู้เป็นบิดา และพระยาพิพัฒโก า (เซเ ลติโน มาเรีย เซเ ีย, พ. . 2406-2465)
ผเู้ ปน็ บุตรชาย ในฐานะท่ีขนุ นางทัง้ คู่เป็นนกั พฒั นาทดี่ ินทม่ี ี ิ ยั ทั น์ และเปน็ ผนู้ า� ในการบกุ เบิกกอ่ ร้าง
ทางรถไฟ ายคลอง าน-ม าชัย (“ขุนภา าปริ ัตร์ ลุยมาเรีย ซาเ ีย ขออนุญาตท�าทางรถไฟ ต้ังแต่
กรงุ เทพฯ ถงึ โกรกกราก,” 2493: 135) น่าจะมี ่ น า� คัญทชี่ ่ ยผลกั ดนั ใ ้บาท ล งแด ์ซาล ์เกดิ ค าม
มนั่ ใจ ในการตงั้ ชมุ ชนคาทอลกิ แ ง่ ใ มน่ ขี้ นึ้ โดยร่ มกบั กลมุ่ พอ่ คา้ คริ ตชนจนี อยา่ ง “บริ ทั เคยี มฮ่ั เฮง”
ทอ่ี า ยั ทดี่ นิ รมิ นา้� ของ ดั กาล า่ รเ์ ปน็ ทที่ า� การของบริ ทั และเปน็ ผอู้ ปุ ถมั ภ์ ลกั ของ ดั กาล า่ รม์ าอยา่ ง
ตอ่ เนอ่ื ง เป็นฝ่าย นบั นุนออกทุนซอื้ ท่ีดนิ (ไพบูลย์ มะกรครรภ์, 2520: 1-2)

388


Click to View FlipBook Version