รุ พล นาถะพนิ ธ.ุ (2545). “ความรเู้ บอื้ งตน้ จากการขดุ คน้ แ ลง่ โบราณคดบี า้ นโปง่ มะนาว จงั วดั ลพบรุ .ี ”
เมอื งโบรำณ 28 (2): 139-142.
_______. (2550). รำกเ งำ้ บรรพชนคนไทย : พฒั นำกำรทำง ฒั นธรรมกอ่ นประ ตั ิ ำ ตร.์ กรงุ เทพฯ:
า� นกั พมิ พม์ ตชิ น.
อทุ ยานประวตั ศิ า ตรศ์ รเี ทพ. (2559). รำยงำนผลกำรก�ำ นดค่ำอำยทุ ำง ิทยำ ำ ตร์งำน ิเครำะ ์
ตั อยำ่ งเพอ่ื กำ� นดคำ่ อำยทุ ำง ทิ ยำ ำ ตรด์ ้ ย ธิ ี AMS (Accelerator Mass Spectrometry)
และ TL (Thermoluminescence) โครงกำร กึ ำกำรตงั้ ถนิ่ ฐำนในเขตเมอื งโบรำณ รเี ทพ
ปงี บประมำณ 2559. เพชรบรู ณ์: อุทยานประวัตศิ า ตร์ศรเี ทพ.
ภำ ำตำ่ งประเท
Bronson, B. (1976). “Excavation at Chansen and the Cultural Chronology of Protohistoric
Central Thailand.” Doctoral dissertation, Department of Anthropology, University
of Pennsylvania.
Bronson, B., and Dales, G. F. (1970). “Excavations at Chansen, Thailand, 1968 and 1969:
A preliminary report.” Asian Perspectives 15 (1): 15-46.
Buikstra, J. E., and Ubelaker, D. H. (1994). Standards for Data Collection from Human
Skeletal Remains. Fayetteville: Arkansas Archaeological Survey Research Series
No.44.
Higham, C., and Rispoli, F. (2014). “The Mun Valley and Central Thailand in prehistory:
Integrating two cultural sequences.” Open Archaeology 1 (1): 2-28.
King, C. A. (2006). “Paleodietaty Change among Pre-state Metal Age Societies in Northeast
Thailand: A Stable Isotope Approach.” Doctoral dissertation, Department of
Anthropology, University of Hawaii, Manao.
Larsen, C. S. (2002). “Bioarchaeology: The live and lifestyles of past people.” Journal of
Archaeology Research 10 (20): 119-165.
_______. (2015). Bioarchaeology Interpreting Behavior from the Human Skeleton.
Cambridge: Cambridge University Press.
89
นัง ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
Liu, C.-H. (2012). “Human Skeletal Health and Dietary Assessment of Metal Age Central
Thailand: The Impact of Changing Social Complexity and Regional Variation.”
Doctoral dissertation, The Graduate School, University of Florida.
Loofs H. E. E. and William Watson. (1970). “The Thai-British archaeological expedition:
A preliminary report on the work of the second season 1967.” Journal of Siam
Society 58 (2): 67-78.
Lovejoy, C. O. (1985). “Dental wear in the Libben populations: Its functional pattern and
role in the determination of the adult skeletal age at death.” American Journal
of Physical Anthropology 68: 47-56.
Onsuwan Eyre, C. (2003). “Metal Age complexity in Thailand: socio-political development
landscape use in the Upper Chao Phraya Basin.” Indo-Pacific Prehistory Association
Bulletin 23: 7-13.
_______. (2006). “Prehistoric and Proto-Historic Communities in the Eastern Upper
Chao Phraya River Valley, Thailand: Analysis of Site Chronology, Settlements
Patterns and Land Use.” Doctoral dissertation, Department of Anthropology,
University of Pennsylvania, Philadelphia.
_______. (2010). “Social variation and dynamics in Metal Age and Protohistoric Central
Thailand: A regional perspective.” Asian Perspectives 49 (1): 43-84.
Pigott, V. C., and Natapintu, S. (1990). The Thailand Archaeometallurgy Project of the
Thai Fine Arts Department and the University Museum of the University of
Pennsylvania: Final Report 1984-1988. Philadelphia: The University Museum
of the University of Pennsylvania.
Rispoli, F., Ciarla, R., and Pigott, V. C. (2013). “Establishing the prehistoric cultural
sequence for the Lopburi Region, Central Thailand.” Journal of World Prehistory
26 (2): 101-171.
Watson, William and Helmut H. E. Loofs. (1967). “The Thai-British archaeological expedition:
A preliminary report on the work of the first season 1965-1966.” Journal of Siam
Society 55 (2): 237-272.
การผลติ เหลก็ ในเขตภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ตอนลา่ งของประเทศไทย :
ทบทวนหลกั ฐานทางโบราณคดที เี่ กย่ี วขอ้ งจากมมุ มองทางโบราณโลหะวทิ ยา
Iron production in lower Northeast Thailand:
revisiting the remains from
the perspective of archaeometallurgical approach
ดร.ภีร์ เวณนุ นั ทน*์ และ บริสทุ ธิ์ บรพิ นธ*์ *
Pira Venunan and Borisut Boripon
* อาจารยป์ ระจ�าภาควชิ าโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลยั ศิลปากร
** นักวจิ ยั ปฏิบัติการประจ�าภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร
91
นัง ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เน่ืองในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทคัดยอ่
การผลติ เ ลก็ มกั ถกู อา้ งถงึ า่ เปน็ กจิ กรรมทมี่ บี ทบาท า� คญั ตอ่ การเตบิ โตของ งั คม มยั โบราณ
ในพน้ื ทภี่ าคตะ นั ออกเฉยี งเ นอื ตอนลา่ ง ตงั้ แต่ มยั เ ลก็ เปน็ ตน้ มา (2,500-1,500 ปมี าแล้ ) เ น็ ไดจ้ าก
รอ่ งรอยของกจิ กรรมการผลติ เ ลก็ ทพ่ี บร่ มกบั ชมุ ชนโบราณ ลายแ ง่ อยา่ งไรกด็ กี าร กึ าทผี่ า่ นมา ่ นมาก
มักมองข้ามค ามซับซ้อนทางเทคโนโลยีและรายละเอียดอ่นื ๆ ท่เี กี่ย ข้องในการแปลค ามและเชื่อมโยง
กิจกรรมการผลติ เ ล็กเข้ากับบริบททาง ังคม เ ร ฐกิจ การเมอื ง และ ฒั นธรรมของพนื้ ที่
การ กึ านเ้ี ลอื ก เิ คราะ แ์ ลง่ ผลติ เ ลก็ มยั โบราณ ในพนื้ ทจ่ี งั ดั บรุ รี มั ยแ์ ละ รุ นิ ทร์ จา� น น
32 แ ง่ โดยใชแ้ น ทางทผ่ี านกนั ระ า่ งโบราณคดแี ละโบราณโล ะ ทิ ยา เพอ่ื ตร จ อบในประเดน็ ตา่ ง ๆ
เช่น อายุ แบบแผนเชิงพืน้ ท่ี และลกั ณะของกิจกรรมการผลิตเ ลก็
บทค ามน้ีพยายามช้ีใ ้เ ็นถึงค ามซับซ้อนของข้อมูล ข้อจ�ากัด และข้อ ังเกตบางประการที่
นักโบราณคดีค รตระ นัก ในการ ิเคราะ ์และแปลค าม ลักฐานทางโบราณคดีที่เก่ีย ข้อง เช่น
การขาดการกา� นดอายกุ จิ กรรมการผลติ โดยตรง ขอ้ ค รตระ นกั เกย่ี กบั การกอ่ ตั ของกจิ กรรมการผลติ
เ ล็กที่อาจแบ่งได้เป็น ลายระยะ ค ามจ�าเป็นที่ต้องระบุใ ้ชัดเจนระ ่างกิจกรรมการถลุงและข้ึนรูป
ัตถุ การเลือกพ้ืนที่ประกอบกิจกรรมการผลิตเ ล็กภายในชุมชน และค าม ลาก ลายทางเทคโนโลยี
การถลงุ เ ล็ก
คำ� ส�ำคญั : การผลิตเ ล็ก มัยโบราณ, ภาคตะ นั ออกเฉยี งเ นอื ตอนลา่ ง, โบราณโล ะ ทิ ยา
92
Abstract
In the context of the archaeology of Iron Age in lower Northeast Thailand
(the fifth century BC - the fifth century AD), iron production has long been considered a
contributing element for emergent social complexity. The evidence for the production,
particularly slag, has been widely documented associated with ancient settlements.
However, previous investigations and interpretation on the production have largely
overlooked the complexity of iron technology as well as other concerned issues.
To tackle this issue, 32 iron production-related sites in Buriram and Surin
Provinces were investigated using archaeological and archaeometallurgical approaches.
This aimed to examine the issues of date, spatial pattern, and production activities.
This paper is an attempt to raise an awareness of the complexity and limitation
of data concerning ancient iron production and their implications that influence the
analysis and interpretation of production remains. The concerned issues include the lack
of direct dating on production remains, the need to properly identify the production
remains (smelting vs forging of objects), spatial organisation of production, and
technological variation of iron production.
Keywords: ancient iron production, lower northeast Thailand, archaeometallurgy
93
นัง อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทน�ำ
บทบาทของเ ล็กและการผลิตเ ล็กมักถูก ยิบยกขึ้นมาในการอภิปราย เร่ืองพัฒนาการของ
ังคมท่ีเริ่มซับซ้อนในยุคก่อนประ ัติ า ตร์ตอนปลาย (ประมาณ 2,500-1,500 ปีมาแล้ ) ในบริเ ณ
ภาคตะ นั ออกเฉยี งเ นอื ตอนลา่ งของประเท ไทย ซงึ่ เปน็ ช่ งเ ลาท่ี งั คมเกดิ การเปลย่ี นแปลงใน ลายมติ ิ
เชน่ ล�าดับชนชนั้ ทซ่ี ับซอ้ นมากข้ึน การเพาะปลกู อย่างเขม้ ขน้ ิ กรรมโยธา (เช่น การขดุ คนู �้า การ รา้ ง
คนั ดนิ และระบบการจดั การนา้� ) การขยายตั ของชุมชนไป ู่พืน้ ที่ต่าง ๆ เครอื ข่ายการตดิ ต่อแลกเปลี่ยน
ภายในและระ า่ งภูมภิ าค การแขง่ ขันและค ามรนุ แรงระ ่างกลุ่ม เป็นตน้ (Higham, 2011, 2012a,
2014; Welch and McNeill, 1991)
เ ล็กกลายเป็นโล ะพ้ืนฐานที่ผลิตเป็นเคร่ืองมือเคร่ืองใช้ �า รับกิจกรรมข้างต้น โดยค าม
ต้องการใช้เ ล็กของชุมชนต่าง ๆ อาจอนุมานได้จากการพบ ิ่งที่ ลงเ ลือจากกิจกรรมการผลิตเ ล็ก
(การถลุงและการข้ึนรปู ) ในแ ล่งโบราณคดี เชน่ ตะกรนั ซึ่งถือเปน็ ลักฐานทีเ่ กย่ี ขอ้ งกบั การผลิตเ ล็ก
ที่พบมากที่ ุดในแ ล่งโบราณคดี ดินเผาที่ใช้ในกระบ นการผลิตโล ะ (technical ceramics เช่น
ซากเตา ช้นิ ่ นผนงั รอื กน้ เตา และท่อลม เปน็ ตน้ ) รอื แรเ่ ล็ก
การผลิตเ ลก็ ถูกมอง ่าเปน็ ัตถกรรมพิเ (specialised craft production) ทอี่ าจมีเพยี ง
เฉพาะบางชมุ ชนทม่ี ที กั ะทา� ได้ ( รี กั ร ลั ลโิ ภดม, 2548: 117) กลายเปน็ เครอื่ งมอื เ รมิ รา้ งอา� นาจใ ้
แกก่ ลมุ่ ชนชน้ั นา� จากการแลกเปลยี่ นเ ลก็ กบั ชมุ ชนทไ่ี ม่ ามารถผลติ เองได้ (O’Reilly, 2014: 302) ร มถงึ
่าอาจเปน็ แรงจงู ใจใ ้ชมุ ชนขยายตั ไปยังพ้นื ที่ ูง (upland) เพื่อเขา้ ถงึ แ ลง่ ทรัพยากรแรเ่ ล็กในท่ีอยู่
ในรูปของกอ้ นกร ด ลิ าแลง (Moore, 1984: 125, 143; Welch and McNeill, 1991: 225)
เ ลก็ และการผลติ เ ลก็ ยงั คงค าม า� คญั ตอ่ โครง รา้ งทางเ ร ฐกจิ และการเมอื งอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง
เมื่อเข้า ูย่ ุคประ ตั ิ า ตร์ เชน่ กจิ กรรมทางเก ตรกรรม การก่อ รา้ ง และการ งคราม
อยา่ งไรกด็ ที ผี่ า่ นมานกั ชิ าการอา้ งถงึ รอ่ งรอยของกจิ กรรมการผลติ เ ลก็ มยั โบราณ รอื โบราณ
ตั ถุทีท่ า� จากเ ล็กซง่ึ พบในพื้นที่ ึก า เช่น จา� น น รือบรบิ ททพี่ บร่ ม เพ่ือชีใ้ ้เ น็ ถึงค าม �าคัญและ
บทบาทของเ ลก็ ร มถงึ การผลติ เ ลก็ ใน งั คม มยั โบราณ แตใ่ นทางกลบั กนั การผลติ เ ลก็ กลบั ถกู ตร จ
อบรายละเอียดอ่ืน ๆ ไม่มากนัก เชน่ อายุ มัย แบบแผนบางประการ รือไมถ่ กู อภปิ รายภายใตม้ มุ มอง
ของแน คดิ ดา้ นเทคโนโลยแี ละ ตั ถกรรม มยั โบราณ (craft production) (Costin, 2005; Martinón-Torres
and Killick, 2015) ร่ มกับ ิธีการ ิเคราะ ์ทางโบราณโล ะ ิทยา ซ่ึงแน ทางน้ีจะช่ ยใ ้เ ็นภาพ
เทคโนโลยีการผลติ เ ลก็ และการจดั การโครง รา้ งของการผลิตเ ล็ก (เช่น ชา่ ง ผู้บรโิ ภค เครอื ข่ายแลก
เปลีย่ น) ของแตล่ ะชุมชน รือช่ งเ ลา ร มไปถงึ กลยทุ ธ์ การตดั ินใจ ทางเลอื ก และข้อจ�ากดั ของแต่ละ
ังคมที่ ่งผลถึงการเลือกใช้ รือรับเทคโนโลยี และมี ิธีการจัดการกับกิจกรรมการผลิตเ ล็กที่เ มาะ ม
กบั ถานการณ์ (setting) ของตนเอง ทา้ ย ดุ ขอ้ มลู เ ลา่ นย้ี อ่ ม ะทอ้ นใ เ้ น็ ถงึ ค ามซบั ซอ้ น ค าม ลาก
ลายของการผลติ เ ลก็ และปฏิ มั พนั ธร์ ะ า่ งคน ชมุ ชน งั คมกบั โล ะ นา� ไป กู่ ารอธบิ ายค าม า� คญั
ของการผลติ เ ลก็ ในแต่ละบริบทที่เ ็นภาพไดช้ ัดเจนย่ิงข้ึน
94
บทค ามน้ีเป็นค ามพยายามท่ีจะทบท น ลักฐานและข้อมูลที่เกี่ย ข้องการผลิตเ ล็ก มัย
โบราณในพื้นที่ภาคตะ ันออกเฉียงเ นือตอนล่าง เน้นจัง ัดบุรีรัมย์และ ุรินทร์ โดยพิจารณาภายใต้
แน ทางการ ึก าทางโบราณโล ะ ิทยา ซ่ึงจะช่ ยใ ้เ ็นข้อจ�ากัดของการ ึก าการผลิตเ ล็กในงาน
โบราณโล ะ ทิ ยา และเพอื่ แ ดงใ เ้ น็ กั ยภาพของการ กึ าเทคโนโลยี มยั โบราณ ซงึ่ จะช่ ย รา้ งขอ้
งั เกต รือขอ้ คดิ เ ็น �า รับทา� ค ามเข้าใจกจิ กรรมการผลติ และบทบาททมี่ ีตอ่ ังคมในแต่ละช่ งเ ลาได้
รอ่ งรอยกำรผลิตเ ลก็ ในเขตจัง วัดบรุ รี ัมย์และ รุ นิ ทร์
จงั ดั บรุ รี มั ยแ์ ละ รุ นิ ทรเ์ ปน็ พนื้ ทท่ี ม่ี บี ทบาท า� คญั ตอ่ การ รา้ งค ามรเู้ กย่ี กบั การผลติ เ ลก็
มัยโบราณ โดยเฉพาะในยุคก่อนประ ัติ า ตร์ตอนปลาย เป็นผลมาจากการด�าเนินงานทางโบราณคดี
ทีแ่ ลง่ ถลุงเ ล็ก ลายแ ่ง เชน่ โนนมาลัย (อมรา รี ชุ าติ, 2532: 93) บา้ นดงพลอง (Nitta, 1991,
1997) แ ลง่ ถลงุ เ ลก็ ในเขตอา� เภอบ้านกร ด จงั ัดบุรีรมั ย์ (อิ รา รรณ อยปู่ อ้ ม, 2553; Venunan,
2016) และบ้านกระทม (โคกโกรย) จงั ัด รุ ินทร์ และการ เิ คราะ แ์ ละแปลค ามเชงิ ลึก ลักฐานทาง
โบราณคดี ทเี่ กี่ย ข้องจากแ ลง่ ผลิตเ ล็กทีบ่ า้ นดงพลองและในเขตอ�าเภอบ้านกร ด ซง่ึ ช่ ย รา้ งค าม
เข้าใจไม่มากกน็ ้อยเกย่ี กบั การผลิตเ ลก็ กับ ังคม มัยโบราณในพืน้ ทีน่ ้ี แต่ทงั้ นก้ี าร กึ าทีผ่ า่ นมายงั ไม่
เคยมกี าร งั เคราะ ข์ อ้ มลู ตา่ ง ๆ ในระดบั พน้ื ที่ เชน่ อายุ มยั ตา� แ นง่ ทพ่ี บรอ่ งรอย รอื เทคนคิ การถลงุ เ ลก็
เปน็ ตน้
ด้ ยเ ตุดังกล่า ประกอบการ �าร จทางโบราณคดีเพ่ิมเติมยังพบร่องรอยของการผลิตเ ล็ก
ท่ีแ ล่งโบราณคดี ลายแ ่ง จึงเลือกพ้ืนที่ทั้ง องเพื่อตร จ อบในระดับของพ้ืนท่ีที่ก ้างข้ึน โดยใช้ข้อ
ังเกตจากการ ึก าท่ีผ่านมา ่าจะ ามารถเ ็นแบบแผน รือข้อ ังเกตบางประการ ท่ีจะช่ ยใ ้เกิด
ค ามเขา้ ใจการผลติ เ ลก็ มยั โบราณไดม้ ากขนึ้ รอื ไม่ รอื อยา่ งนอ้ ยเปน็ ขอ้ เ นอแนะเกย่ี กบั การตร จ
อบรอ่ งรอยการผลิตเ ล็ก �า รับการดา� เนินงานทางโบราณคดี
การ ึก าคร้ังนี้ได้ร บร มข้อมูลเก่ีย กับร่องรอยกิจกรรมการผลิตเ ล็ก มัยโบราณในพื้นที่
ึก า ซึง่ นักโบราณคดีจะใชก้ ารพบตะกรันเ ลก็ เป็น ลักฐาน ลักเพื่อบ่งชตี้ ั กิจกรรม อยา่ งไรกด็ ีผลการ
ึก าท่ีผ่านมาไม่ได้กล่า ถึงรายละเอียดเพียงพอ �า รับการ ังเคราะ ์ จึงด�าเนินการ �าร จแ ล่ง
โบราณคดีเพิ่มเตมิ ในเดือนกรกฎาคม 2560 จา� น น 32 แ ง่ ทม่ี ีรายงานการพบร่องรอยการผลติ เ ลก็
(ภาพท่ี 1) เพอื่ ตร จ อบ ภาพในปจั จบุ ันและเกบ็ ขอ้ มูล �า รับการ ิเคราะ ์ เช่น ต�าแ น่งท่พี บตะกรนั
ตั อยา่ งตะกรนั า� รบั การ เิ คราะ ท์ าง ทิ ยา า ตร์ และตั อยา่ งเ ภาชนะดนิ เผาเพอ่ื ช่ ยกา� นดอายุ
เบ้ืองตน้ ของแ ล่งโบราณคดี
จากการ า� ร จทางโบราณคดพี บ า่ แ ลง่ โบราณคดที ป่ี รากฏรอ่ งรอยของการผลติ เ ลก็ (ตะกรนั )
มจี า� น น 18 แ ง่ ร มกบั กลมุ่ ของแ ลง่ ถลงุ เ ลก็ ในอา� เภอบา้ นกร ด โดยมากจะพบร่ มกบั ชมุ ชนโบราณ
เปน็ ลกั ่ นแ ลง่ โบราณคดอี กี 14 แ ง่ เคยมรี ายงานการพบตะกรนั แตไ่ มพ่ บในระ า่ งการ า� ร จครง้ั น้ี
95
นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนอ่ื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ภำพที่ 1 แ ดงตา� แ นง่ ของแ ลง่ โบราณคดีที่ �าร จในงาน กึ านี้
กลุ่มทพ่ี บตะกรันในระดับผิ ดนิ (Y / แี ดง)
1. โคกปา่ ชา้ บา้ นยา 2. โคกยายคาน 3. โคก ลองตอง 4. โคกขเี้ ลก็ 5. บา้ นเมอื งดู่ 6. บา้ น ะแกโพรง
7. โคกตงอล 8. โนนมาลยั 9. บา้ นกระเบอ้ื ง 10. บา้ นดงพลอง 11. บา้ นโคกเมอื ง 12. บา้ น นองเกาะนอ้ ย (บา้ นทงุ่ งั )
13. บา้ นโคกยาง 14. โคกตรา 15. บา้ นอดั แดก 16. บา้ นยา 17. บา้ นกระทม 18. บา้ นยะ กึ
19. กลมุ่ แ ล่งถลงุ เ ลก็ ในเขตอ�าเภอบ้านกร ด
กลมุ่ ท่ีไมพ่ บตะกรนั จากการ �าร จ/ในระดบั ผิ ดนิ (N / ีดา� )
1. บา้ นรอ่ นทอง 2. บา้ นฝา้ ย 3. เนนิ บุ 4. โคกขมนิ้ 5. บา้ นปรา าท 6. บา้ นแ ลงโทน 7. บา้ นยาง 8. นองเ ลก็
9. บ้านก้านเ ลือง 10. เมอื งโบราณพทุ ไธ ง 11. ปรา าททนง 12. บ้านตาเตีย 13. บา้ นแร่ 14. บา้ นเ ลา่ ยา
96
ชมุ ชนโบราณทกี่ ลา่ ถงึ ขา้ งตน้ แบง่ เปน็ 2 กลมุ่ คอื 1) เปน็ เนนิ ดนิ ขนาดตา่ ง ๆ มคี นู า�้ คนั ดนิ ลอ้ มรอบ
และ 2) ไมม่ คี นู า้� คนั ดนิ ลอ้ มรอบ รอื ไมช่ ดั เจน โดยภายในชมุ ชนเ ลา่ นี้ ามารถพบ ลกั ฐานทางโบราณคดี
ทแ่ี ดงถงึ กจิ กรรม ลายประเภท เชน่ การอยอู่ า ยั การดา� รงชพี (เ ภาชนะดนิ เผา กระดกู ตั แ์ ละรอ่ งรอย
ที่ ันนิ ฐาน ่าเป็น ลมุ เ าและผนงั บา้ น) การฝงั พ (โครงกระดกู มนุ ย์และเครอ่ื งอุทิ ) และ ัตถกรรม
ต่าง ๆ เชน่ การทอผ้า (แ ดินเผา) การผลติ ภาชนะดนิ เผา ( ินดุ) และงานโล กรรม (เบ้า ลอม �า รับ
โล ะที่มที องแดงเปน็ องคป์ ระกอบ ลัก และตะกรนั เ ลก็ )
กลุ่มที่ น่ึงเป็นเนินดินท่ีมีคูน้�าคันดินล้อมรอบพบในพื้นที่ที่เป็นที่ราบน้�าท่ มถึงและลานตะพัก
ต้งั ใกลล้ า� น�า้ มแี ผนผังเป็นรปู ต่าง ๆ เชน่ งกลม งรี ่เี ล่ยี ม รอื รปู ร่างไม่ชดั เจน (Moore, 1988: 87)
จา� น นของคนู ้�าและคนั ดินพบตง้ั แต่ 1-5 ช้นั (กรม ิลปากร, กองโบราณคดี, 2526, 2527; ทิ า ุภจรรยา
และผ่อง รี นา นิ , 2524; O’Reilly and Scott, 2015: 16-17)
ข้อมูลจากการ กึ าทผี่ ่านมา (ดเู อก ารทีเ่ กยี่ ขอ้ งใน O’Reilly and Scott, 2015: 10-11)
เผยใ ้เ น็ ่าการ รา้ งคูนา้� คันดนิ เริม่ ต้นข้ึนในช่ ง 2,300-1,500 ปีมาแล้ ( มยั เ ลก็ ตอนกลางถึงปลาย)
(Boyd and Habberfield-Short, 2007; Boyd and Chang, 2010) และมกั พบร่ มกบั เ ภาชนะดนิ
เผาเน้ือดนิ ดี า� (reduced ware) คล้ายคลงึ กบั ภาชนะดนิ เผาแบบพิมายด�าท่เี ปน็ รปู แบบเดน่ ในยคุ กอ่ น
ประ ตั ิ า ตรต์ อนปลายในพนื้ ทล่ี มุ่ แมน่ า้� มลู ตอนบน ทา� ใ น้ กั ชิ าการเชอ่ื า่ ชมุ ชนทมี่ คี นู า้� คนั ดนิ ลอ้ มรอบ
่ นมากเกิดขึน้ ในช่ งเ ลานี้ แม้ ่าชุมชนบางแ ง่ จะมกี ารอา ยั มาต้งั แต่ก่อน นา้ 2,500 ปีมาแล้ เชน่
บา้ นโนน ดั และบา้ น ลมุ ขา้ (Higham, 2012a)
ชุมชนที่มีคูน�้าคันดินล้อมรอบ ลายแ ่งถูกทิ้งร้างไปเม่ือเข้า ู่ช่ งรอยต่อระ ่างยุคก่อน
ประ ตั ิ า ตรต์ อนปลายถึงยุคประ ตั ิ า ตรต์ อนต้น (Boyd and Chang, 2010 : 278-280; Higham,
2014; Welch and McNeill, 1991) แตบ่ างแ ง่ กย็ งั คงมกี ารอยอู่ า ยั ตอ่ เนอ่ื งมาถงึ พทุ ธ ต รร ท่ี 16-18
โดยจะปรากฏค ามแตกตา่ งบางประการจากช่ งเ ลากอ่ น นา้ เชน่ พบการขยายขอบเขตคนู า้� คนั ดนิ เชน่
บา้ นฝา้ ยและบา้ นตะลงุ เกา่ รอื พบ ตั ถทุ าง ฒั นธรรม รอื ง่ิ กอ่ รา้ งแบบใ ม่ เชน่ ใบเ มาใน ฒั นธรรม
มยั ท ารา ดีภาคตะ นั ออกเฉียงเ นือทีบ่ ้านปะเคยี บ (อมรา รี ุชาติ, 2532: 91) ประตมิ ากรรม �าริด
ิลปะแบบก่อนเมอื งพระนคร (พทุ ธ ต รร ที่ 12-15) พบท่บี ้านรอ่ นทอง (พลพยุ ะ ไชยร , 2555: 66)
และบา้ นฝา้ ย (อมรา รี ชุ าต,ิ 2532: 101) เ ภาชนะดนิ เผาเนอ้ื แกรง่ เคลอื บ นี า�้ ตาลใน ฒั นธรรมเขมร
โบราณ เช่น บา้ นพระครใู ญ่ บ้านทุง่ งั บ้านเ ลา่ ยา บา้ น องช้ัน และบ้านแ ลงโทน (กรม ลิ ปากร,
กองโบราณคด,ี 2527) รอื ิ่งก่อ ร้างทไ่ี ดร้ ับอทิ ธพิ ลจาก ัฒนธรรม เขมรโบราณ (ปรา าท รอื ตระพัง)
เช่น กุฏิฝ้าย รือปรา าทคูกะน๊อบ ปรา าทแก้ (ปรา าทพระปืด) ปรา าททนง และบ้านปรา าท
(กรม ิลปากร, กองโบราณคด,ี 2526)
กลุ่มที่ องเป็นเนนิ ดนิ ไมม่ คี นู �า้ คันดนิ ล้อมรอบพบไดใ้ นพืน้ ทเี่ ดีย กับกลุ่มที่ 1 ร มไปถึงในพนื้ ที่
งู ด้ ย ซง่ึ ค ามแตกตา่ งอาจเปน็ ผลมาจากการจดั การ ภาพพนื้ ทท่ี แี่ ตกตา่ งกนั เชน่ ตงั้ ใกลก้ บั ทางนา้� รอื
ไม่มีค ามจ�าเป็นต้องขุดคูน้�าคันดินล้อมรอบ ในบางกรณีอาจเป็นเนินประกอบกิจกรรมเฉพาะทาง เช่น
97
นงั อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
การทา� เกลอื รอื เนนิ ตะกรนั แ ลง่ โบราณคดใี นกลมุ่ น้ี นั นิ ฐาน า่ อาจเปน็ ชมุ ชนทอี่ าจอยอู่ า ยั มาตงั้ แต่
ช่ ง 2,500 ปมี าแล้ เปน็ อยา่ งนอ้ ย แต่กเ็ ปน็ ไปไดเ้ ชน่ เดยี กัน า่ เปน็ ชุมชนทเ่ี กิดข้ึนในช่ งพุทธ ต รร
ที่ 12-18
จากการ �าร จแ ล่งโบราณคดีที่ยังปรากฏตะกรันใ ้เ ็นน้ัน ตะกรัน ามารถพบได้ทั้งภายใน
ภายนอกขอบเขตของชมุ ชน รอื พนื้ ทกี่ จิ กรรมโบราณ และยงั ามารถแบง่ เพม่ิ เตมิ ตามลกั ณะทพี่ บได้ คอื
ตะกรันทพ่ี บกระจายใน งก ้างในระดับผิ ดิน รือทบั ถมเป็นเนนิ ตะกรันขนาดต่าง ๆ บางคร้งั เป็นข้อมูล
จากคา� มั ภา ณใ์ นกรณที แ่ี ลง่ โบราณคดถี กู ทา� ลาย และกลมุ่ ท่ี องพบระ า่ งการขดุ คน้ ชนั้ ดนิ ฒั นธรรม
่ นแ ล่งโบราณคดีท่ีเคยมีรายงานการพบตะกรันแต่ไม่พบในการ �าร จครั้งนี้ อาจอธิบายได้
ลาย าเ ตุ เช่น พบเฉพาะการขุดค้นในช้ันทับถมทาง ัฒนธรรม อาทิ แ ล่งโบราณคดีบ้านฝ้าย
บา้ นแ ลงโทน และปรา าททนง รอื ภาพแ ลง่ โบราณคดเี ปลยี่ นแปลงไปทา� ใ ไ้ ม่ ามารถพบเ น็ ลกั
ฐานทางโบราณคดีในระดบั ผิ ดนิ ได้ เช่น เมืองพุทไธ งและบา้ นตาเตยี รือการ �าร จครงั้ ทผ่ี ่านมาพบ
ตะกรนั เพยี งจ�าน นเลก็ นอ้ ยเทา่ นนั้ จึงเป็นไปได้ า่ ไม่ ลงเ ลือใ พ้ บเ ็นในระ ่างการ �าร จ
ขอ้ มลู ทางโบราณคดที ไี่ ดจ้ ากการทบท นการ กึ าทผี่ า่ นมาและการ า� ร จพบแ ลง่ ผลติ เ ลก็
คร้งั น้นี า� ไป ่กู ารแปลค าม ลักฐานทเี่ กย่ี ข้องกบั การผลิตเ ลก็ และประเด็นท่ี ึก าเพ่มิ เติมได้ โดยใน
บทค ามน้ขี อกล่า ถึงเฉพาะบางประเด็นเทา่ นัน้ คอื การกา� นดอายุ มยั การแปลค ามเร่ืองเทคโนโลยี
การถลุงเ ล็ก และขอ้ ังเกตเร่ืองแบบแผนเชงิ พื้นทขี่ องกิจกรรมการผลิตเ ลก็
ข้อ ังเกตเรื่องกำรกำ� นดอำยุกจิ กรรมกำรผลิตเ ลก็ มัยโบรำณ
ประเดน็ ปญั าประการ นง่ึ เกยี่ กบั การผลติ เ ลก็ ทพี่ บในพน้ื ทภี่ าคตะ นั ออกเฉยี งเ นอื ตอนลา่ ง
คือ พัฒนาการของกิจกรรมและเทคโนโลยี และบทบาทที่มีต่อ ังคม เ ร ฐกิจ และการเมือง ซ่ึงการ
ทา� ค ามเขา้ ใจประเดน็ ดงั กลา่ ตอ้ งอา ยั การกา� นดอายเุ ลากจิ กรรมทพ่ี บในแตล่ ะแ ลง่ โบราณคดี รอื
ชมุ ชนโบราณเพ่อื กา� นดกรอบด้านเ ลา
การกา� นดอายกุ จิ กรรมการผลติ เ ลก็ ทพ่ี บในภาคตะ นั ออกเฉยี งเ นอื ตอนลา่ งทผี่ า่ นมาใช้ ธิ ี
เทียบเคียงกับอายุของแ ล่งโบราณคดีท่ีพบ ลักฐานการผลิตเ ล็กเป็น ลัก ท�าใ ้ได้ช่ งเ ลาคร่า ๆ
เท่านั้น ท้ังน้ีเน่ืองมาจากข้อจ�ากัด ลายประการ เช่น ไม่มีการขุดค้นทางโบราณคดีในบริเ ณที่เป็นพ้ืนที่
กจิ กรรม ไมม่ กี ารกา� นดอายกุ จิ กรรมเปน็ ปปี ฏทิ นิ (calendrical dating) ไมพ่ บโบราณ ตั ถทุ ชี่ ่ ยกา� นด
อายุเบ้อื งต้นร่ มกับพ้นื ทก่ี จิ กรรม และไม่มีการ งั เคราะ เ์ ร่อื งอายุ มัยของ ลักฐานการผลิตเ ลก็ ท่พี บ
อีกประการคือการก�า นดอายุกิจกรรมการผลิตเ ล็ก โดยอ้างอิงกับอายุของแ ล่งโบราณคดี
ที่ ่ นมากเป็นชุมชนโบราณ ซ่ึง ามารถพบการอยู่อา ัย ลายช่ งเ ลาตั้งแต่ประมาณ 2,500 ปีมาแล้
เปน็ อยา่ งนอ้ ยถงึ ประมาณพทุ ธ ต รร ที่ 19 ชมุ ชนโบราณเ ลา่ นมี้ เี พยี ง ่ นนอ้ ยทไ่ี ดร้ บั การกา� นดอายุ
อย่างชดั เจน เชน่ การก�า นดด้ ย ธิ ีทาง ทิ ยา า ตร์ รือการกา� นดอายจุ าก ลักฐานทางโบราณคดที ่ี
นา่ เชอ่ื ถอื ทา� ใ ้ไมม่ ีค ามชดั เจนถึงล�าดับพัฒนาการของการอยอู่ า ัยของชุมชนโบราณคดี ลายแ ง่
98
ข้อ ังเกตข้างต้นจึงอาจก่อใ ้เกิดค ามคลาดเคล่ือนในการระบุอายุ มัยของกิจกรรมได้
ด้ ยกจิ กรรมการผลิตเ ล็กเองไม่มกี ารกา� นดอายโุ ดยตรง จึงไม่แนช่ ดั ่ากิจกรรมการผลติ เ ล็กทีพ่ บน้ัน
จะ ัมพันธ์กับช่ งเ ลาใด รือการผลิตที่พบอาจเกิดข้ึนใน ลายระยะ รือช่ งเ ลาก็เป็นได้ นอกจากนี้
อาจจา� เปน็ ตอ้ งพจิ ารณาถงึ ระยะเ ลาทก่ี อ่ ใ เ้ กดิ พน้ื ทก่ี จิ กรรม รอื ชน้ั ทบั ถมของกจิ กรรมด้ ย โดยเฉพาะ
การเกิดเนินตะกรนั
ข้อมูลจากการขุดค้นเนินตะกรันที่บ้านดงพลอง (Nitta, 1991) บ้านเขาดินใต้ (อิ รา รรณ
อยปู่ อ้ ม, 2553) บา้ น ายโท 8 (Venunan, 2016) และโนนมาลยั (อมรา รี ชุ าต,ิ 2532: 93) ใ ข้ อ้ งั เกต
เก่ีย กับการก่อตั ของแ ล่งโบราณคดี ่าอาจใช้เ ลาอย่างน้อย 20-100 ปีข้ึนไป ขึ้นอยู่กับปัจจัย ลาย
ประการ เชน่ ประเภทและค ามเขม้ ข้นของกจิ กรรม ระยะของการประกอบกิจกรรม (ต่อเนื่องท้งั ปี รอื
เฉพาะฤดูกาล) เทคโนโลยีการถลุงที่ใช้ การจัดการการผลิต การใช้พ้ืนที่ร่ มกับกิจกรรมอ่ืน ๆ เป็นต้น
โดยเฉพาะผลการขุดค้นที่แ ล่งโบราณคดีบ้านเขาดินใต้ที่ ามารถระบุพ้ืนใช้งานจ�าน น 11 ชั้น ซึ่งอาจ
มายถงึ ระยะของกจิ กรรมทม่ี อี ยา่ งนอ้ ย 11 ระยะ (อิ รา รรณ อยปู่ อ้ ม, 2553) ดงั นน้ั จงึ จา� เปน็ ตอ้ งคา� นงึ
ถึงค ามเป็นไปได้ท่ีกิจกรรมจะ ามารถแบ่งย่อยเป็น ลายระยะ (phase) นอกเ นือจากการมอง ่า
เนินตะกรนั เป็นผลมาจากกจิ กรรมคร้ังเดีย และตอ่ เน่ือง
ปัจจุบันยังไม่มีฐานข้อมูลที่ดีพอที่จะ ามารถใช้ข้อมูลทางเทคโนโลยีท่ีได้จากการ ิเคราะ ์
ลัก ณะของร่องรอยกิจกรรม รือขยะจากการผลิตเพื่อก�า นดอายุกิจกรรมในเบื้องต้นได้ ซึ่งจ�าเป็นต้อง
อา ยั การขดุ คน้ ทางโบราณคดแี ละการกา� นดอายตุ ั กิจกรรมโดยตรงเพื่อใ ้ไดอ้ ายทุ น่ี ่าเช่ือถอื
ปจั จบุ นั มแี ลง่ ถลงุ เ ลก็ เพยี ง 3 แ ง่ ในพน้ื ท่ี กึ าทม่ี กี ารกา� นดอายดุ ้ ย ธิ ที าง ทิ ยา า ตร์
(AMS) คอื บา้ นดงพลอง (ประมาณ 2,200 ปมี าแล้ ) (Nitta, 1997: 160) บา้ นเขาดนิ ใต้ และบา้ น ายโท 8
(ประมาณ 1,800-1,500 ปีมาแล้ ) (Venunan, 2016) โดยใช้การก�า นดอายุจากถ่านที่พบร่ มกับ
ชั้นกิจกรรมการผลติ และ/ รือถา่ นทพี่ บคา้ งในตะกรนั (in-slag charcoal)
ประเด็นปัญ าเรื่องการก�า นดอายุจึงเป็น าเ ตุ �าคัญที่ท�าใ ้องค์ค ามรู้ทางเทคโนโลยีและ
ังคมของการผลิตเ ล็กในปัจจุบันจ�ากัดอยู่เฉพาะยุคก่อนประ ัติ า ตร์ตอนปลายเท่าน้ัน (ชลิต
ชัยครรชิต, 2534, 2540; รี ักร ัลลิโภดม, 2548; Nitta, 1996, 1997) ขณะที่การผลิตเ ล็กในช่ ง
พทุ ธ ต รร ที่ 11-18 ในภาคตะ นั ออกเฉียงเ นอื ไม่มีรายงานการพบ รือ กึ าท่ีชดั เจน แม้ า่ จะพบ
โบราณ ตั ถเุ ลก็ ทกี่ า� นดอายใุ นช่ งเ ลานก้ี ต็ าม เปน็ ผลใ ป้ จั จบุ นั ยงั ไมม่ ภี าพทชี่ ดั เจนเกย่ี กบั พฒั นาการ
ของกจิ กรรมทเ่ี กดิ ข้นึ ในแตล่ ะช่ งเ ลา
ขอ้ ังเกตเกี่ยวกบั ตะกรนั ในฐำนะของ ลกั ฐำนของกำรผลิตเ ลก็
ประเด็น �าคัญอีกประการที่ค รพิจารณาเพิ่มเติมในการแปลค ามกิจกรรมการผลิตเ ล็กคือ
การระบุ า่ ตะกรนั ทพ่ี บมาจากขน้ั ตอนใดของการผลติ เ ลก็ เนอื่ งจากตะกรนั เปน็ ของเ ลอื (by-product)
ท่ีเกิดจากท้ังกระบ นการถลุง (เปล่ียนจากแร่เป็นโล ะ) และการขึ้นรูป ัตถุ (การตีร้อนและการใช้
ค ามรอ้ นในการปรบั คุณ มบตั ิโครง ร้างภายในของเ ล็ก)
99
นงั อื รวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เน่อื งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
โดยทั่ ไปการระบเุ บอ้ื งตน้ จะพจิ ารณาจากจา� น นของตะกรนั ทพ่ี บคอื ากพบตะกรนั จา� น นมาก
โดยเฉพาะที่ทับถมเป็นเนินตะกรัน อาจเชื่อมโยงกับกิจกรรมการถลุงเ ล็ก ซึ่งเป็นกระบ นการที่ ร้าง
ตะกรนั จ�าน นมาก ตรงกนั ขา้ มกับกระบ นการตีเ ล็กทีก่ อ่ ใ เ้ กิดตะกรนั จ�าน นน้อยก ่าการถลุงเ ล็ก
นอกจากนยี้ ังอาจพจิ ารณาได้จากรูปลกั ณ์ของตะกรนั เชน่ ตะกรนั ท่มี ลี ัก ณะของการไ ลมกั
เกิดจากการดกั ออกจากเตา (tap slag) พบเฉพาะกับการถลุงเ ล็กเปน็ ลกั แตกตา่ งจากตะกรนั รปู ทรง
นูนแกมราบ (plano-convex) รือท่เี รยี ก ่า “smithing hearth bottoms (SHBs)” เป็นลัก ณะของ
ตะกรันที่ ัมพนั ธก์ บั กระบ นการตเี ลก็ แตค่ รพงึ ระ งั เนอื่ งจากรปู ทรงแบบนี้อาจคล้ายคลงึ กบั ตะกรนั
กลมุ่ “furnace bottoms” ทีม่ าจาก กระบ นการถลงุ ไดเ้ ช่นกัน (McDonnell, 1983: 83) กลา่ คือ
ตะกรันท่ีมาจากการถลุงเ ล็กและการขึ้นรูปเ ล็กอาจมีรูปทรง โครง ร้างม ภาคและจุลภาค และองค์
ประกอบทางเคมีท่คี ลา้ ยคลงึ กนั จนไม่ ามารถจ�าแนกได้ชัดเจน
การระบุ ่าตะกรันท่ีพบมาจากกระบ นการใด จึงจ�าเป็นต้องพิจารณาองค์ประกอบอ่ืน ๆ
ประกอบเข้าด้ ยกนั คอื บริบททางโบราณคดี เชน่ พบร่ มกับ ลกั ฐานอะไร รือพบตา� แ นง่ ใดของแ ล่ง
โบราณคดี ร่ มกบั ขอ้ มลู เชิงเทคนคิ ของตะกรนั ที่ไดจ้ ากการ ิเคราะ โ์ ครง ร้างม ภาคและจุลภาค และ
องค์ประกอบทางเคมี พรอ้ มเปรียบเทยี บกบั ตะกรันทมี่ ีลัก ณะต่าง ๆ รือท่ีมาจากบริบทแตกต่างกัน
ปจั จบุ นั มแี ลง่ ผลติ เ ลก็ เพยี งไมก่ แ่ี ง่ ทมี่ กี ารระบกุ จิ กรรมโดยใชผ้ ล เิ คราะ ท์ างโบราณโล ะ
ิทยา คือ แ ลง่ ถลุงเ ลก็ ทบ่ี า้ นดงพลอง (Nitta, 1997) บา้ นกระทม และกลมุ่ เนนิ ตะกรนั ในเขตอา� เภอ
บ้านกร ด ในทางกลับกัน ลักฐานของกิจกรรมการตีเ ล็กพบเฉพาะท่ีบ้านเขาดินใต้และบ้าน ายโท 8
เทา่ นนั้ (Venunan, 2016) ่ นการตคี ามเรอื่ งกจิ กรรมการผลติ เ ลก็ ทแ่ี ลง่ โบราณคดแี ง่ อนื่ ๆ เปน็ การ
ันนิ ฐานโดยใช้ข้อมลู ทางโบราณคดีเปรียบเทยี บกบั ผลการ กึ าทางโบราณโล ะ ิทยาท่ีมอี ยู่แล้
ประเด็นดังกล่า น้ีมีค าม �าคัญเนื่องจากจะช่ ยใ ้นักโบราณคดีเข้าใจได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในเร่ือง
การจัดการทาง ังคมของการถลุงเ ล็กและการตีเ ล็กใน ังคม มัยโบราณ เช่น การถลุงเ ล็กอาจเป็น
กจิ กรรมทเี่ ฉพาะบางชมุ ชนเทา่ นนั้ ทที่ า� ได้ ขณะทก่ี ารตเี ลก็ อาจเปน็ กจิ กรรม ามญั ทท่ี า� กนั เกอื บทกุ ชมุ ชน
เปน็ ต้น ซง่ึ จะช่ ยอธบิ ายต่อในประเด็นเกี่ย กบั โครง รา้ งทางเ ร ฐกจิ ทเ่ี กิดขนึ้ ในอดีต
ข้อ งั เกตเกย่ี วกับตำ� แ น่งทพ่ี บรอ่ งรอยกจิ กรรมกำรผลติ เ ล็กในแ ล่งโบรำณคดี
จากการตร จ อบตา� แ นง่ ทพ่ี บตะกรนั เ ลก็ ภายในชมุ ชนโบราณทม่ี คี นู า�้ คนั ดนิ ลอ้ มรอบ ามารถ
แบง่ ลกั ณะการพบตะกรันได้เป็น 2 กล่มุ คือ กล่มุ ท่ี นง่ึ พบต้ังไม่ า่ งจากคนู า�้ คนั ดิน (เนนิ ดินทม่ี ีคูน้า� คนั
ดินล้อมรอบจา� น น 8 แ ง่ ) (ภาพท่ี 2) รอื ขอบเนนิ (เนนิ ดินทไี่ ม่มีคูนา�้ คนั ดินลอ้ มรอบจา� น น 8 แ ่ง)
(ภาพท่ี 3) แต่ า่ งจดุ ูนย์กลางของเนนิ ดิน มลี กั ณะของเนินตะกรนั รอื พบตะกรันกระจายเป็นจ�าน น
มากในระดับผิ ดิน แตโ่ ดยมากจะไม่พบ ลักฐานทางโบราณคดปี ระเภทอ่ืน ๆ รอื ากพบจะเ ภาชนะ
ดนิ เผาจา� น นไมม่ ากนกั ตะกรนั ทพ่ี บ ่ นมากจะมรี ปู ทรงไมช่ ดั เจน นา้� นกั และขนาดท่ี ลาก ลาย ลาย
ชนิ้ มลี กั ณะของการไ ล (flowing texture) รอื มรี พู รนุ ซงึ่ คลา้ ยกบั ทพ่ี บทบ่ี า้ นดงพลอง และกลมุ่ แ ลง่
ถลุงเ ล็กในเขตอา� เภอบา้ นกร ด
100
กลมุ่ ท่ี องเปน็ ตะกรนั ทม่ี รี ายงาน า่ พบจากการขดุ คน้ ทางโบราณคดี ซงึ่ โดยมากจะอยใู่ นบรเิ ณ
นู ยก์ ลางของเนนิ ดนิ พบในจา� น นไมม่ ากนกั ร่ มกบั ลกั ฐานกจิ กรรมอน่ื ๆ เชน่ การอยอู่ า ยั การฝงั พ
รอื ตั ถกรรมอนื่ ๆ อยา่ งไรกด็ บี ทค ามนไ้ี ม่ ามารถเขา้ ถงึ ภาพของตะกรนั ทพ่ี บได้ า่ มลี กั ณะเปน็ อยา่ งไร
ภำพที่ 2 แ ดงตา� แ นง่ ท่พี บตะกรันภายในแ ล่งโบราณคดีประเภทท่มี คี นู า�้ คนั ดนิ ล้อมรอบ
(เช่น บ้านดงพลอง (ภาพซ้าย) บ้านเมอื งดู่ (ภาพกลาง) และบ้านยะ กึ (ภาพข า))
(ภาพจากโปรแกรม Google Earth ver.7.3.2.5776)
ภำพท่ี 3 แ ดงต�าแ น่งทพ่ี บตะกรันภายในแ ลง่ โบราณคดีประเภททไ่ี มม่ คี นู า้� คันดนิ ล้อมรอบ
(เชน่ โคกขี้เ ลก็ (ภาพซา้ ย) และโนนขมิ้นนอ้ ย (ภาพข า))
(ภาพจากโปรแกรม Google Earth ver.7.3.2.5776)
ค ามแตกตา่ งดงั กลา่ อาจ มายถงึ ทมี่ าของตะกรนั ทไี่ มเ่ มอื นกนั คอื กลมุ่ ที่ นงึ่ เปน็ เนนิ ตะกรนั
จะ มั พันธก์ ับการถลงุ เ ลก็ โดยเลอื กท่ปี ระกอบกิจกรรมใกล้กับคูนา้� คนั ดิน รือขอบของเนินดนิ ซึง่ อาจ
จะต้องการลดผลกระทบต่อชุมชนในเร่ืองของมลพิ และขยะท่ีเกิด (ตะกรันและช้ิน ่ นเตา) ร มถึงการ
จดั การพนื้ ทท่ี ี่ ะด กก า่ และการเขา้ ถงึ แ ลง่ นา้� และดนิ ทจี่ า� เปน็ ตอ่ การทา� กจิ กรรม ขณะทก่ี ลมุ่ ที่ องเปน็
ตะกรันอาจทเ่ี กดิ จากกจิ กรรมการขนึ้ รูปเ ล็ก ซงึ่ เปน็ กจิ กรรมท่ีอาจท�าได้ในพื้นท่อี ยอู่ า ัย รอื เขตชุมชน
101
นัง อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวิชาการ เน่อื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
แ ลง่ โบราณคดที พ่ี บตะกรนั อกี ประเภท น่งึ คอื เนนิ ตะกรันที่ตั้งอยู่โดด ๆ แยกออกจากชุมชน
โบราณ (ภาพท่ี 4) เช่น แ ลง่ ผลติ เ ลก็ ทพี่ บในเขตอา� เภอบา้ นกร ด และเนินตะกรนั โคกยายคาน เป็นที่
นา่ นใจ า่ เนนิ ตะกรนั แบบนอ้ี าจเปน็ การจดั การพนื้ ทกี่ จิ กรรมอกี ลกั ณะ นงึ่ รอื ไม่ คอื เปน็ พนื้ ทก่ี จิ กรรม
เฉพาะทางคลา้ ยกับเนนิ ผลิตเกลือ
ภำพที่ 4 ตั อย่างของแ ลง่ โบราณคดที เี่ ปน็ เนนิ ตะกรันที่ตัง้ แยกออกจากเขตชุมชน
เชน่ บ้าน ายโท 8 เ นอื (ภาพซ้าย) และโคกยายคาน (ภาพข า)
เป็นที่น่า ังเกตเกี่ย กับกรณีของเนินตะกรันที่บ้านเขาดินใต้และบ้าน ายโท 8 ในเขตอ�าเภอ
บา้ นกร ด ซงึ่ ตงั้ อยใู่ นเขตพนื้ ทที่ ม่ี คี าม งู ใกลก้ บั เทอื กเขาพนมดงรกั รอ่ งรอยของกจิ กรรมการผลติ เ ลก็
กา� นดอายุประมาณ 1,800-1,500 ปีมาแล้ ท้งั องแ ง่ นอ้ี าจ ะทอ้ นใ เ้ ็นถงึ การขยายตั ของชุมชน
มายงั พนื้ ทใี่ มเ่ พอ่ื าทรพั ยากรบางอยา่ ง ซงึ่ ในกรณนี อี้ าจเปน็ แรเ่ ลก็ ในรปู ของกอ้ นกร ด ลิ าแลง ทพี่ บ
ได้ทั่ ไปในพ้ืนท่ีอ�าเภอบ้านกร ด และชุมชนเ ล่านี้ในเ ลาต่อมาพัฒนาตนเองใ ้กลายเป็นชุมชนผู้ผลิต
เฉพาะทางท่ีประกอบกิจกรรมการผลิตเ ล็กอย่างเข้มข้น เพื่อตอบ นองต่อค ามต้องการของชุมชนใน
เขตที่ราบ (Welch and McNeill, 1991) ท้งั นเ้ี น็ ไดจ้ ากผลการขดุ คน้ ทีบ่ า้ น ายโท 8 ท่ีพบการเปล่ียน
จากแ ลง่ ฝงั พและทีอ่ ยอู่ า ยั มาเป็นพืน้ ที่ประกอบกจิ กรรมการผลติ เ ล็กในช่ งเ ลาต่อมา
การพิจารณาร่ มกันระ ่างการระบุกิจกรรมของการผลิตเ ล็กกับต�าแ น่งท่ีพบภายในแ ล่ง
โบราณคดชี ่ ยอธบิ ายเรอ่ื งแบบแผนการเลอื กพนื้ ที่ า� รบั กจิ กรรมทเี่ กดิ ขน้ึ ในชมุ ชน และอาจเปน็ แน ทาง
า� รบั การค้น าและระบุร่องรอยของกิจกรรมต่อไปในอนาคต
ขอ้ งั เกตเกย่ี วกบั เทคโนโลยกี ำรถลงุ เ ลก็ มยั โบรำณในภำคตะวนั ออกเฉยี งเ นอื ตอนลำ่ ง : ควำมเ มอื น
ในควำม ลำก ลำย
ค ามรู้เกี่ย กับเทคโนโลยีการถลุงเ ล็กถือได้ ่าเป็นข้อมูล �าคัญ �า รับท�าค ามเข้าใจเร่ือง
การผลติ เ ล็ก มยั โบราณไมน่ ้อยไปก า่ ตั บรบิ ททางโบราณคดขี อง ลกั ฐานเอง แตป่ ัจจบุ นั มเี พียงแ ล่ง
ถลงุ เ ลก็ ในพนื้ ท่ี กึ าเพยี ง 2 แ ง่ ทม่ี กี าร กึ าทางโบราณโล ะ ทิ ยาอกี ทง้ั เรอื่ งการถลงุ เ ลก็ ไมไ่ ดเ้ ปน็
ประเดน็ กึ าในกระแ ลกั ทนี่ กั ชิ าการใ ค้ าม นใจ ทา� ใ ม้ กี าร กึ าเชงิ ลกึ จา� น นนอ้ ย เปน็ ผลใ ก้ ารแปล
ค ามเกยี่ กบั การผลติ เ ลก็ ในปจั จบุ นั จา� กดั อยกู่ บั การอา้ งองิ กบั ผลการ กึ าแ ลง่ ถลงุ เ ลก็ ไมก่ แ่ี ง่ เทา่ นนั้
102
บทค ามนพี้ ยายามมองขอ้ มลู ทางโบราณโล ะ ทิ ยาของการถลงุ เ ลก็ ทมี่ อี ยใู่ นปจั จบุ นั ร่ มกบั
การ ิเคราะ ์ ลักฐานใ ม่เพื่อต้ังข้อ ังเกตเบื้องต้นในประเด็นเทคโนโลยีการถลุงเ ล็ก ค ามคล้ายคลึง
และค าม ลาก ลาย ท่ีช่ ยชี้ใ ้เ ็นถึงค ามเช่ือมโยงระ ่างกลุ่มช่าง และในขณะเดีย กันอาจช่ ยใ ้
เ น็ ถงึ อัตลกั ณ์ รอื รปู แบบทางเทคโนโลยกี ารถลุงเ ลก็ ของแตล่ ะกลมุ่ ด้ ย
จากข้อมูลปัจจุบันทางโบราณโล ะ ิทยาของการถลุงเ ล็กของประเท ไทย ร มถึงภาค
ตะ นั ออกเฉยี งเ นอื ตอนลา่ งชี้ า่ การผลติ เ ลก็ ขนั้ ตน้ ตงั้ แตย่ คุ กอ่ นประ ตั ิ า ตรต์ อนปลายถงึ ช่ งกอ่ น
พทุ ธ ต รร ที่ 22-23 ใชเ้ ทคนิคการถลงุ เ ล็กทางตรง (direct smelting process รอื bloomery
smelting) ทอ่ี ุณ ภูมปิ ระมาณ 1,150-1,300°C โดยผลผลิตที่ไดจ้ ะเป็นก้อนเ ลก็ ที่มตี ะกรันแทรกอยูใ่ น
โครง ร้างจ�าน นมาก (bloom) ซึ่งจ�าเป็นต้องน�าไปตีไล่ตะกรันเพ่ือใ ้เ ล็กผ านกันเป็นก้อนแน่นและ
มีค ามบริ ทุ ธม์ิ ากขึน้ เ ล็กท่ไี ดน้ ี้มกั จะมปี รมิ าณของคาร์บอนต่�า รือมปี รมิ าณคารบ์ อนท่ีไม่ ม�่าเ มอ
กนั ทั่ ท้ังกอ้ น (Suchitta, 1983; Nitta, 1996: 49; Venunan, 2016)
ในกรณีของภาคตะ ันออกเฉียงเ นือตอนล่าง ผลการ ึก าจากบ้านดงพลองและกลุ่มแ ล่ง
ถลงุ เ ลก็ ในเขตอา� เภอบา้ นกร ดเผยใ เ้ น็ ถงึ การใชก้ อ้ นกร ด ลิ าแลง (laterite nodules) เปน็ แรเ่ ลก็
(Nitta, 1997; Venunan, 2016) ซึ่งแตกต่างจากข้อมูลท่ีพบจากพื้นที่ภาคกลางและภาคเ นือของ
ประเท ไทย งิ่ นอ้ี าจ ะทอ้ นใ เ้ น็ ถงึ อตั ลกั ณท์ างเทคโนโลยขี องพนื้ ทท่ี อี่ าจเปน็ ผลมาจากขอ้ จา� กดั เรอ่ื ง
ธรณี ทิ ยาของแร่เ ล็กในพื้นท่ี กึ าทแ่ี ทบไมพ่ บแรเ่ ลก็ กล่มุ ามญั เชน่ เฮมาไทต์ รอื แมกนีไทต์
ผลการแปลค ามทางโบราณโล ะ ทิ ยาทไ่ี ดจ้ ากการ เิ คราะ ท์ าง ทิ ยา า ตรข์ อง ลกั ฐานการผลติ
เ ลก็ แ ดงใ ้เ ็นถึงค าม ลาก ลายเชิงเทคนคิ ของ ิธกี ารผลติ เ ลก็ ในแต่ละพ้ืนทขี่ องประเท ไทย
บทค ามนี้ใช้ข้อมูลการ ิเคราะ ์องค์ประกอบทางเคมีของตะกรัน ท่ีเลือกจากแ ล่งถลุงเ ล็ก
ตา่ ง ๆ ในพน้ื ที่ กึ าเพอื่ ตร จ อบในเรอื่ งค ามคลา้ ยคลงึ และค ามแตกตา่ งของเทคโนโลยกี ารถลงุ เ ลก็
แตจ่ ะยงั ไมข่ อกลา่ ถึงการถลุงเ ลก็ จากก้อนกร ด ลิ าแลงในทน่ี ้ี
ตะกรนั ถือเป็นแ ลง่ ขอ้ มลู ท่ี �าคญั เพราะ ง่ิ ท่ี ลงเ ลอื จากการถลุงเ ลก็ นเี้ ปรียบเ มอื นภาพ
ะทอ้ นขององคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ท่ีชา่ งใช้ในการถลงุ เช่น ดิน แร่ และถา่ น ร มไปถงึ ธิ กี ารค บคมุ เตา เชน่
อณุ ภูมิ เ ลา การจดั การกบั ตะกรนั เป็นต้น ดงั นน้ั การ ิเคราะ ์โครง รา้ งและองคป์ ระกอบทางเคมขี อง
ตั ถปุ ระเภทนร้ี ่ มกบั องคป์ ระกอบอนื่ ๆ ของเตาถลงุ จะช่ ยใ ้ ามารถ รา้ งภาพเทคโนโลยกี ารถลงุ เ ลก็ ได้
ตั อย่างตะกรันที่เก็บระ ่างการ า� ร จแ ล่งถลุงเ ล็กในพ้ืนท่ี ึก าจ�าน น 244 ช้ิน น�ามา
ิเคราะ ์ด้ ยเครื่องมือ ิเคราะ ์ธาตุด้ ยเทคนิคเอ็กซ์เรย์ฟลูออเร เซนต์แบบพกพา (portable x-ray
fluorescence) ของภาค ิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี ม า ิทยาลัย ิลปากร เนื่องจากเ มาะ มกับ
งบประมาณ ิจัย และจา� น นของตั อยา่ ง ิเคราะ ์
103
นงั ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ยี่ อ้ Olympus รุน่ Delta Professional ใช้ Rh anode x-ray tube เป็นแ ล่ง
กระตุน้ พลงั งาน และ silicon า� รบั drift detector การ ิเคราะ ใ์ ช้โ มด Geochem ต้ังค่าพลังงาน
ที่ 40 kV บีมทใ่ี ช้ ิเคราะ ม์ ขี นาดเ ้นผ่าน นู ย์กลาง 10 มิลลิเมตร ใชเ้ ลา ิเคราะ ต์ ่อจุดนาน 90 ินาที
ยิงท้ัง มด 3 ครั้งต่อชิ้น เพื่อ าค่าเฉล่ียของการอ่านผล ผลการ ิเคราะ ์จะถูกค�าน ณใ ้เป็น 100%
(normalisation) โดยระบบปฏิบัติการของเครื่องมือ เครื่อง ิเคราะ ์รับการตร จเทียบ (calibration)
มาจากโรงงาน Olympus อย่างไรก็ดีการ ิเคราะ ์ด้ ยเคร่ืองดังกล่า อาจถือเป็นการ ิเคราะ ์เชิงก่ึง
ปรมิ าณ (semi-quantitative) เพอื่ เป็นแน ทาง า� รบั การ ิเคราะ เ์ ชงิ ลึกด้ ยเครือ่ งมืออ่นื ๆ ตอ่ ไป
การเปรยี บเทยี บองคป์ ระกอบทางเคมขี องตะกรนั จากแตล่ ะแ ลง่ ถลงุ ในพน้ื ที่ กึ านา� เ นอผา่ น
แผนภาพ ามเ ลยี่ ม (ternary diagram) ของ FeO-SiO2-Al2O3 ซึง่ เปน็ ออกไซด์ (oxide) ลกั ท่ีพบใน
ตะกรัน (ภาพท่ี 5) และแผนภาพกล่อง (box-and-whisker plot) ของค่า reduction efficiency (RII)
ซ่ึงเป็นค่าท่ี ามารถใช้ตร จ อบในเชิงคุณภาพถึงค าม ามารถของกระบ นการถลุงในการเปล่ียน free
iron oxide ใ ้กลายเปน็ โล ะ (Charlton and others, 2010: 356) (ภาพที่ 6)
จากแผนภาพทงั้ องทแ่ี ดงใ เ้ น็ ถงึ การกระจายตั (disperse) ของขอ้ มูลของตะกรันที่เลอื ก
มาจากแตล่ ะแ ลง่ โบราณคดี ซง่ึ เผยใ เ้ น็ า่ ถงึ แม้ า่ เทคนคิ การถลงุ เ ลก็ จะใชเ้ ทคนคิ การถลงุ เ ลก็ ทาง
ตรงเ มือนกนั แตแ่ ล่งถลุงเ ลก็ แต่ละแ ง่ มี ธิ กี ารถลุงเ ล็กทแ่ี ตกต่างกนั ออกไป เชน่ ดั ่ นของถา่ น
และแร่ การค บคมุ ภา ะภายในเตาถลงุ ระยะเ ลาทใี่ ชถ้ ลงุ โดยค ามแตกตา่ งนอ้ี าจเปน็ การปรบั เปลยี่ น
เทคโนโลยเี พอ่ื ตอบโจทย์ รอื ข้อจา� กดั ทางธรรมชาติ รอื ทาง ังคมท่แี ต่ละ งั คมมี เช่น ชนดิ และคุณภาพ
ของแรเ่ ลก็ ทม่ี ปี รมิ าณและคณุ ภาพของเ ลก็ ท่ี งั คม รอื ตลาดตอ้ งการ ค ามรคู้ ามเขา้ ใจ รอื ทกั ะของ
ช่างถลงุ รืออาจเปน็ ค ามเชอื่ รือ ิ่งทปี่ ฏบิ ัติ ืบต่อกนั มาในกระบ นการผลติ ของ งั คมนัน้ ๆ
ภำพท่ี 5 แผนภาพ ามเ ลี่ยม (ternary diagram) ของ FeO-SiO2-Al2O3
ของตั อย่างตะกรันถลุงเ ล็กที่เก็บจากแ ล่งโบราณคดีที่ �าร จ
เปรียบเทียบกับข้อมูลจากแ ล่งถลุงเ ล็กในอ�าเภอบ้านกร ด (BKT)
(Venunan, 2016)
104
ภำพท่ี 6 แผนภาพกล่อง (box-and-whisker plot) ของค่า reduction efficiency (RII)
ของตั อยา่ งตะกรนั ถลงุ เ ล็กทเ่ี ก็บจากแ ลง่ โบราณคดีที่ า� ร จ
ค ามแตกตา่ งกนั นย้ี ่อม ะท้อนถงึ รูปแบบตา่ ง ๆ ของเทคโนโลยี (technological style) และ
ยงั ะท้อนถึง ิธีคิด รอื การตดั ินใจแกป้ ัญ าทช่ี ่าง รอื ังคมแตล่ ะกลุ่มเลือก (technological choice)
(Martinón-Torres and Killick, 2015)
การ ิเคราะ ์ข้างต้นแม้ ่าจ�าเป็นต้อง ึก าต่อในรายละเอียด มีจุดประ งค์เพ่ือชี้ใ ้เ ็นถึง
รายละเอียดปลีกย่อยขององค์ประกอบที่เก่ีย ข้องในกระบ นการถลุงเ ล็ก ซ่ึงก่อใ ้เกิดค ามแตกต่าง
ของพฤตกิ รรมการถลงุ เ ลก็ ของแตล่ ะกลมุ่ แม้ า่ จะตง้ั อยบู่ นเทคนคิ ธิ กี ารทเ่ี มอื นกนั ค าม ลาก ลาย
จึงเป็น ่ิงที่ค รค�านึงถึงในการ ึก าเทคโนโลยี เพ่ือที่จะอธิบายถึงพฤติกรรมและปัจจัยค บคุมต่าง ๆ
ทแี่ ตล่ ะ ังคม รอื ชุมชน รือแต่ละช่ งเ ลามไี ม่เ มอื นกัน
สรปุ
ด้ ยแร่เ ล็กเปน็ แรท่ ่ีมีมากพบได้ ลายพนื้ ที่ ประกอบกับจา� น นของโบราณ ตั ถทุ ท่ี �าจากเ ล็ก
ทพ่ี บในแ ลง่ โบราณคดี ลายแ ง่ ร มไปถงึ ลกั ฐานการผลติ เ ลก็ ในรปู ของตะกรนั ทพี่ บไดบ้ อ่ ยครงั้ ก า่
ลกั ฐานการผลติ โล ะประเภทอนื่ ทา� ใ น้ กั ชิ าการมอง า่ เ ลก็ เปน็ โล ะทเ่ี ขา้ ถงึ ไดง้ า่ ย และตั เทคโนโลยี
การผลิตเ ล็กที่มีลัก ณะ “แพร่ ลายและเข้าถึงไม่ยาก” เมื่อเทียบกับทองแดง ทอง เงิน และตะก่ั
(Bronson, 1992: 66; Bellwood, 2007: 286) จึงอาจเป็น นึง่ ใน าเ ตุ ลายประการท่ที �าใ ม้ อง ่า
เทคโนโลยีดังกล่า ไม่ซับซ้อนมากนัก และไม่มีการ ึก าเชิงลึกในรายละเอียดมากไปก ่าการรายงาน
การพบรอ่ งรอยของกิจกรรม และการแปลค ามเบื้องตน้
105
นัง ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ากมองในมุมของแน คิดเร่ืองเทคโนโลยี ัตถกรรม มัยโบราณ และเ ร ฐ า ตร์การเมือง
(political economy) แล้ การผลิตเ ล็ก เช่นเดีย กับ ัตถกรรมอ่ืน ๆ เป็น ลักฐานทางโบราณคดี
ประเภท นง่ึ ทที่ า� ใ น้ กั โบราณคดเี ขา้ ใจถงึ พฤตกิ รรม ธิ คี ดิ และกลยทุ ธข์ องมนุ ยใ์ นอดตี เพอื่ ตอบ นอง
กับค ามต้องการของตนเอง รือชุมชน รือ ังคม แต่ในขณะเดีย กันก็ต้องใ ้เ มาะ มกับ ภาพ รือ
ขอ้ จา� กดั ทต่ี นเองมี จงึ เปน็ เ ตใุ เ้ กดิ ค าม ลาก ลายทางเทคโนโลยขี นึ้ ในแตล่ ะพนื้ ที่ และการผลติ เ ลก็
เองยงั เขา้ ไปเก่ีย ข้องกับมติ ติ า่ ง ๆ ทาง ังคม เ ร ฐกิจ และการเมอื ง เชน่ การตดิ ต่อระ า่ งกลมุ่ คนเพ่อื
แลกเปล่ียนค ามรู้ รือ ิ่งของ กระบ นการถ่ายทอดค ามรู้ การค บคุมการผลิต การจัดการกลุ่มช่าง
อกี ทง้ั ามารถอธบิ ายถงึ ค าม า� คญั และบทบาทของงานโล กรรมตอ่ งั คมในแตล่ ะช่ งเ ลาไดช้ ดั เจนยง่ิ ขนึ้
จะเ น็ ได้ า่ การผลติ เ ลก็ เปน็ กจิ กรรมทรี่ อ้ ยเรยี งมติ ทิ างดา้ นเทคโนโลยี ระบบทางเทคนคิ งั คม
(sociotechnical system) และโลกแ ่ง ั ดเุ ข้าด้ ยกนั มคี ามซบั ซอ้ นและ ลาก ลาย และมปี ระเด็น
ปลกี ยอ่ ยจา� น นมาก ดงั นนั้ การทา� ค ามเขา้ ใจกระบ นการผลติ เ ลก็ กบั งั คมมนุ ยใ์ นอดตี จงึ จา� เปน็ ตอ้ ง
อา ัยกรอบ ิธีคิดและ ิธีการ ิเคราะ ์และแปลค ามทางโบราณคดีและโบราณโล ะ ิทยาเพื่อ ร้างภาพ
เทคโนโลยีและองคป์ ระกอบอนื่ ๆ ทจี่ ะ ามารถตอ่ ยอดเพือ่ อธิบายประเดน็ อืน่ ๆ ไดต้ อ่ ไป
อย่างไรก็ดีข้อ ังเกตที่กล่า ในบทค ามนี้จ�ากัดอยู่เฉพาะกับแ ล่งโบราณคดีจ�าน นน้อย และ
เปน็ การนา� เ นอข้อมูลเบ้ืองต้น รือภาพร ม ยังตอ้ ง ึก าเพิ่มเติมต่อไปในอนาคต
กติ ตกิ รรมประกำศ
บทค ามนี้เป็น ่ น น่ึงของงาน ิจัยเร่ือง “โบราณโล ะ ิทยาของเทคโนโลยีการผลิตเ ล็ก
มัยโบราณในภาคตะ ันออกเฉยี งเ นือตอนล่างของประเท ไทย” ได้รับทนุ อุด นุนการ ิจยั จากกองทุน
นบั นุนการ ิจยั น ตั กรรม และการ ร้าง รรค์ของคณะโบราณคดี ประจ�าปงี บประมาณ พ. . 2559
คณะโบราณคดี ม า ิทยาลัย ิลปากร ผู้เขียนขอขอบคุณรอง า ตราจารย์ ุรพล นาถะพินธุ ท่ีปรึก า
โครงการ จิ ยั ทกี่ รณุ าใ ค้ �าปรึก ามาโดยตลอด �านกั ลิ ปากรที่ 10 นครราช มี า น่ ยงานราชการใน
พนื้ ที่ และรา ฎรทกุ ทา่ นทอ่ี า� น ยค าม ะด กในการเขา้ กึ าแ ลง่ โบราณคดี คณุ ริ ะ พลอยมกุ ดา และ
คุณดลพร จันทกุล ที่ช่ ยเ ลือในการเก็บข้อมูลทางโบราณคดี คุณพัก ์ลมัย บุตรค�าลือ ที่ช่ ยเ ลือใน
ขน้ั ตอนการ เิ คราะ อ์ งค์ประกอบทางเคมขี องตั อย่าง และผทู้ รงคณุ ุฒิ 3 ทา่ น ท่กี รณุ าประเมนิ ใ ้ค�า
แนะนา� และชแี้ นะเก่ีย กบั บทค ามน้ี
106
บรรณำนกุ รม
กรม ิลปากร ก งโบราณคด.ี (2526). รำยงำนกำร ำ� รวจแ ล่งโบรำณคดีจัง วัด รุ นิ ทร์. กรงุ เทพฯ:
กรม ลิ ปากร.
_______. (2527). รำยงำนกำร ำ� รวจแ ลง่ โบรำณคดจี งั วัดบุรรี ัมย.์ กรุงเทพฯ: กรม ิลปากร.
พลพยุ ะ ไชยร . (2555). “การตง้ั ถนิ่ ฐานข งชุมชนโบราณทมี่ ีคูนา้� คันดนิ บริเ ณ ้ ยฝา้ ย- ้ ย า� โรง
จัง ดั บุรีรัมย.์ ” การ กึ าเฉพาะบุคคลตาม ลัก ูตรปรญิ ญา ิลป า ตรบณั ฑติ (โบราณคด)ี
ปกี าร กึ า 2555 ภาค ิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี ม า ิทยาลยั ลิ ปากร.
ชลิต ชัยครรชิต. (2534). “ค าม �าคัญข งการถลุงเ ล็กกับพัฒนาการชุมชนโบราณลุ่มแม่น้�ามูล.”
ศลิ ปำกร 35, 6: 68-90.
_______. (2540). “ยคุ เ ลก็ ในประเท ไทย: พฒั นาการทางเทคโนโลยแี ละ งั คม.” เ ก ารการประชมุ
ทาง ิชาการโครงการเมธี จิ ยั า ุโ .ก. . 26 พฤ จิกายน 2540.
ทิ า ุภจรรยา และผ่ ง รี นา นิ . (2524-2527). ทะเบยี นแ ลง่ ทต่ี ง้ั ชุมชนโบรำณในประเทศไทย.
โครงกำรวิจยั ชุมชนโบรำณจำกรูปถำ่ ยทำงอำกำศ. มูลนธิ โิ ตโยต้า. กรุงเทพฯ: จุ าลงกรณ์
ม า ทิ ยาลัย.
รี กั ร ลั ลโิ ภดม. (2548). เ ลก็ โล ปฏวิ ตั ิ เมอ่ื ๒,๕๐๐ ปมี ำแลว้ ยคุ เ ลก็ ในประเทศไทยพฒั นำกำร
ทำงเทคโนโลยแี ละ งั คม. กรงุ เทพฯ: า� นักพมิ พม์ ตชิ น.
มรา รี ชุ าต.ิ (2532). แผนทีท่ ำงโบรำณคดี จัง วัดบรุ ีรมั ย.์ กรงุ เทพฯ: กรม ิลปากร.
ิ รา รรณ ยู่ป้ ม. (2553). “การ ึก าเตาถลุงเ ล็ก มัยโบราณที่บ้านเขาดินใต้ �าเภ บ้านกร ด
จัง ัดบุรีรัมย์.” ิทยานิพนธ์ปริญญาม าบัณฑิต าขาโบราณคดี มัยก่ นประ ัติ า ตร์
บัณฑติ ทิ ยาลัย ม า ทิ ยาลยั ิลปากร.
Bellwood, P. (2007). Prehistory of the Indo-Malaysian Archipelago. Honolulu:
University of Hawai’I Press.
107
นงั ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนือ่ งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
Boyd, W.E. and Chang, N. (2010). “Integrating social and environmental change in prehistory:
a discussion of the role of landscape as a heuristic in defining prehistoric possibilities
in NE Thailand.” In Terra Australis 21: altered ecologies – fire, climate and
human influence on interrestial landscapes, 273-298. Edited by S.G. Haberle,
J. Stevenson, and M. Prebble. Canberra: ANU E Press. Accessed February 1, 2013
Available from http://epubs.scu.edu.au/cgi/viewcontent.cgi?article=2083&con
text=esm_pubs
Boyd, W.E. and Habberfield-Short, J. (2007). “Geoarchaeological landscape model of the
Iron Age setllements of the upper Mun River floodplain.” In The origins of the
civilization of Angkor vol. two: the excavation of Noen U-Loke and Non
Muang Kao, 1-27. Edited by C.F.W. Higham, A. Kijngam, and S. Talbot. Bangkok:
The Thai Fine Arts Department.
Bronson, B. (1985). “Notes on the history of iron in Thailand.” Journal of the Siam Society
73, part 1&2 (January and July): 205-225.
________. (1992). “Patterns in the early Southeast Asian metals trade.” In Early Metallurgy,
trade and urban centres in Thailand and South east Asia, 63-144. Edited by
I. Glover, P. Suchitta and J. Villiers. Bangkok: White Lotus.
Charlton, M. and others. (2010). “Explaining the evolution of ironmaking recipes–an
example from Northwest Wales.” Journal of Anthropological Archaeology
29: 352-367.
Costin, C.L. (2005). “Craft production.” In Handbook of methods in archaeology,
1032-1105. Edited by H. Maschner. Lanham, MD: AltaMira Press.
Higham, C.F.W. (2011). “The Iron Age of the Mun Valley, Thailand.” The Antiquaries
Journal 91: 101-144.
_______. (2012a). “The long and winding road that leads to Angkor.” Cambridge
Archaeological Journal 22, 2: 265-289.
_______. (2012b). “II Iron Age: domestic occupation.” In The origins of the civilization
of Angkor vol. four: the excavation of Ban Non Wat part four: the Iron Age,
summary and conclusions. Edited by C.F.W. Higham and A. Kijngam. Bangkok:
The Fine Arts Department.
108
_______. (2014). “From the Iron Age to Angkor: new light on the origins of a state.”
Antiquity 88: 822-835.
Higham, C.F.W. and others. (2014). “The excavation of Non Ban Jak, Northeast Thailand
–a report on the first three seasons.” Journal of Indo-Pacific Archaeology 34: 1-41.
Martinón-Torres, M. and Killick, D. (2015). “Archaeological theories and Archaeological
sciences.” In The Oxford handbook of archaeological theory. Edited by A.
Gardner, M. Lake, and U. Sommer. Oxford: Oxford University Press. Oxford
Handbooks Online, DOI: 10.1093/oxfordhb/9780199567942.013.004
McDonnell, J.G. (1983). “Tap slags and hearth bottoms or, how to identify slags.” Current
Archaeology 86. 81-83.
Moore, E.H. (1988). Moated sites in early North East Thailand. BAR International Series
400. Oxford: B.A.R.
Nitta, E. (1991). “Archaeological study on the ancient iron-smelting and salt-making
industries in the northeast of Thailand: preliminary report of the excavations
of Non Yang and Ban Don Phlong.” Japan Society for Southeast Asian Archaeology
11, 5: 1-46.
_______. (1996). “Iron and salt industries in Isan.”
30: 43-66.
_______. (1997). “Iron-smelting and salt-making industries in Northeast Thailand.”
Bulletin of the Indo-Pacific Prehistory Association 16: 153-160.
O’Reilly, D.J.W. (2014). “Increasing complexity and the political economy model;
a consideration of Iron Age moated sites in Thailand.” Journal of Anthropological
Archaeology 35: 297-309.
O’Reilly, D.J.W. and Scott, G. (2015). “Moated sites of the Iron Age in the Mun River Valley,
Thailand: new discoveries using Google Earth.” Archaeological Research in Asia
3: 9-18.
Suchitta, P. (1983). “The history and development of iron smelting technology in Thailand.”
Ph.D. Dissertation, Brown University.
109
นัง ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เน่อื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
Venunan, P. (2016). “An archaeometallurgical study of iron production in Ban Kruat,
lower Northeast Thailand: technology and social development from the Iron Age
to the imperial Angkorian Khmer period (fifth century BC–fifteenth century AD).”
Ph.D. dissertation, Institute of Archaeology, University College London.
Welch, D.J. and McNeill, J.R. (1991). “Settlement, agriculture and population changes
in the Phimai region, Thailand.” Indo-Pacific Prehistory Association Bulletin
10: 210-228.
110
ความ ัมพนั ธร์ ะ ว่างชายฝ่ังทะเลโบราณกบั
เมอื งโบราณอทู่ อง อา� เภออู่ทอง จัง วัด พุ รรณบรุ ี
ชวลติ ขาวเขียว*
Chawalit Khaokhiew
* ผู้ชว่ ยศา ตราจารยป์ ระจ�าภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี ม าวิทยาลยั ศลิ ปากร
111
นัง อื รวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนอ่ื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทคดั ย่อ
บทค ามน้ีเป็น ่ น น่ึงของ โครงการการ ิจัยภูมิ ัณฐานชายฝั่งทะเลโบราณ เมืองท่า
เ ้นทางการค้า และค ามเชื่อมโยงกับการต้ังถิ่นฐานแรกเร่ิมในประเท ไทยในบริบทของภูมิอารยธรรม
ุ รรณภมู ิ ไดร้ บั การ นบั นนุ ทนุ จิ ยั จาก า� นกั งานพฒั นาเทคโนโลยอี กา และภมู ิ าร นเท (องคก์ าร
ม าชน) มี ัตถุประ งค์ ลักเพอื่ ึก า เิ คราะ ภ์ มู ิ ัณฐานเชงิ พืน้ ทข่ี องท่ีราบภาคกลางประเท ไทยเพอ่ื
ใ ไ้ ดข้ อ้ รปุ เกยี่ กบั แน ชายฝง่ั ทะเลโบราณเพอื่ เชอ่ื มโยงกบั “ ุ รรณภมู ”ิ โดยใช้ กั ยภาพขอ้ มลู ดา เทยี ม
ข้อมูลภูมิ าร นเท และเทคโนโลยีการ �าร จจากระยะไกลอ่ืน ๆ เช่ือมโยงกับข้อมูล ลักฐานทาง
โบราณคดี และ ึก าท่ตี ้ังเมืองทา่ โบราณ และแน เ ้นทางการค้า ซง่ึ เชือ่ มโยงกับ “ ุ รรณภูม”ิ โดยการ
เิ คราะ ์ ภาพแ ดลอ้ ม ภมู ิ ณั ฐานเชงิ พนื้ ท่ี ลกั ฐานทางโบราณคดแี ละผงั เมอื ง ประกอบขอ้ มลู จาก ลกั ฐาน
โบราณคดี เอก าร จารกึ การตง้ั ถิ่นฐาน เป็นต้น
บทค ามนี้มุ่งเน้นน�าเ นอเฉพาะการ ึก าแน ชายฝั่งทะเลโบราณท่ี ัมพันธ์กับการตั้งถ่ินฐาน
เมอื งโบราณอทู่ อง จงั ดั พุ รรณบรุ ี ผลการ กึ าพบ า่ เมอื งโบราณอทู่ องตง้ั อยบู่ นลกั ณะธรณี ณั ฐาน
ันดอนปากอ่า เก่า และมีค าม ัมพันธ์กับร่องรอยของชะ ากทะเลเดิม นอกจากน้ันบริเ ณตะ ันออก
า่ งจากกา� แพงเมอื งคเู มอื งอทู่ องประมาณ 1 กโิ ลเมตร ยงั ปรากฏรอ่ งรอยของคลองขดุ เชอื่ มตอ่ จากแมน่ า้�
จระเข้ ามพนั ไปยงั ขอบแน พน้ื ทล่ี มุ่ ตา�่ (ชะ ากทะเลเดมิ ) า่ งจากเมอื งโบราณอทู่ องมาทางทิ ตะ นั ออก
ประมาณ 7.5 กิโลเมตร ขอ้ มลู ลกั ฐานผลการ ิเคราะ ์ตะกอนจาก ลมุ เจาะบริเ ณแน คลองทเี่ ชอื่ มต่อ
กบั ชะ ากทะเลดงั กลา่ พบชนั้ ตะกอนดนิ เ นยี บางกอก ซง่ึ ยนื ยนั ถงึ ภาพพนื้ ทดี่ งั กลา่ า่ เคยเปน็ บรเิ ณ
ทเี่ คยถกู นา้� ทะเลท่ มมากอ่ น และเปน็ ่ นของชะ ากทะเลในอดตี อดคลอ้ งกบั ผลการ กึ าละอองเรณู
พบ า่ ภาพพนื้ ทมี่ ลี กั ณะเปน็ พน้ื ทนี่ า้� กรอ่ ยใกลก้ บั ปา่ โกงกาง เปน็ พนื้ ทเ่ี ปลยี่ นผา่ นระ า่ งนเิ นา�้ เคม็
กับน้�าจืด (Transitional Zone) โดยแน ชะ ากทะเลดังกล่า จะพบบริเ ณที่เป็นบริเ ณร่องน้�าลึก
เป็นพ้ืนที่ท่ีมีค าม �าคัญซึ่ง ามารถใช้เดินทางติดต่อ ู่ทะเลเปิด ามารถก�า นดอายุช้ันตะกอนดังกล่า
อยใู่ นช่ งประมาณอายปุ ระมาณ 2,700 ปมี าแล้ จดั อยใู่ นช่ งยคุ กอ่ นประ ตั ิ า ตรต์ อนปลาย ( มยั เ ลก็ )
ถงึ ตน้ ประ ตั ิ า ตร์ นา่ จะเปน็ ยคุ แรกเรมิ่ ของอารยธรรม ุ รรณภมู ิ อดคลอ้ งกบั ลกั ฐานทางโบราณคดี
ท่ีพบท่ีเมืองโบราณอู่ทองและพ้ืนท่ีโดยรอบ พบ ่าเมืองโบราณอู่ทองมีการต้ังถ่ินฐานของมนุ ย์มาตั้งแต่
ยุคก่อนประ ัติ า ตร์ตอนปลาย ประมาณ 2,700 ปีมาแล้ มีการอยู่อา ัยมาอย่างต่อเน่ืองจนถึง
พทุ ธ ต รร ท่ี 16 ทา� ใ ท้ ราบ า่ เมอื งโบราณอทู่ อง เปน็ ชมุ ชนทม่ี คี าม า� คญั มกี ารตดิ ตอ่ กบั ชมุ ชนอน่ื ๆ
ในดินแดนแถบโพน้ ทะเล
คา� สา� คัญ : ชายฝ่งั ทะเลโบราณ, เมอื งโบราณอทู่ อง
112
Abstract
This paper is part of research project “The Paleoshoreline, port polity, trade
routes and its connectivity to early settlement in Thailand in the context of Suvarnabhumi”
financially supported by Geo-Informatics and Space Technology Development Agency
(Public Organization (GISTDA)). The project aims to study the geomorphology of the
Central Plains of Thailand using the data derived from the application of geo-information
technology in order to explore the relationship between ancient shorelines and
“Suvarnabhumi”
This paper focuses on the study of the ancient shorelines in U-Thong, Suphanburi
and its relationship with U-Thong ancient city. The study revealed that the city was built
on old barrier beaches related to old estuaries. On the eastern part of U-Thong ancient
city, approximately 7.5 km from the city, found the remnants of canal that connected
the Chorake Samphan River with low terrain (old estuaries). As Bangkok clay had been
identified by the analysis of sediment cores collected from the said canal, this firmly
showed that this area was once a brackish water area near mangrove forest which is a
transitional zone between seawater and freshwater environment. It further showed that
the channels could exist along the estuaries which provided an access for vessels to
inland. This ancient geomorphology was dated, based on the sediment layer collected,
to 2,700 BP or late prehistoric (Iron Age) to early historic periods, the periods that saw
the beginning of Suvarnabhumi civilization. These periods were also contemporary with
the earliest settlement in U-Thong which continued to approximately 11th century AD.
This illustrated that the city was once an important settlement and part of inter-regional
exchange networks.
Keywords: Paleoshoreline, U-Thong ancient city
113
นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนอื่ งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
1. บทนา�
ทรี่ าบเจา้ พระยาตอนลา่ งเปน็ ่ นดา้ นใตข้ องทรี่ าบลมุ่ นา้� เจา้ พระยา รอื เรยี ก า่ ทร่ี าบภาคกลาง
มขี อบเขตจากชายฝง่ั ทะเลอา่ ไทย เปน็ แน ยา ในแน เ นอื ขนึ้ ไปทางเ นอื จนจรดบรเิ ณภเู ขาภาคเ นอื
ของประเท ไทย ในเขตจัง ัดอตุ รดิตถ์ ่างจากชายฝั่งทะเลอา่ ไทยประมาณ 500 กโิ ลเมตร มบี รเิ ณ
ภเู ขาเป็นแน ขอบเขตยา ตลอดทง้ั ทางด้านตะ ันตกและตะ ันออก ภาพพน้ื ท่รี าบลาดเอยี งจากบรเิ ณ
ที่ราบลุ่มแม่น้�า ูงขึ้นเป็นลานตะพักและตะกอนรูปพัด และพ้ืนที่ลอนลาดจนถึงเขตภูเขา เ ็นได้ตลอด
แน ขอบท่ีราบ องฝั่งของท่ีราบเจ้าพระยา บริเ ณที่ราบเจ้าพระยาตอนล่างเริ่มต้นจากบริเ ณจัง ัด
นคร รรค์-ชัยนาท จนถึงอ่า ไทยระยะทางประมาณ 220 กิโลเมตร คลุมพื้นท่ีเป็นรูป ามเ ล่ียม
โอบล้อมด้านตะ ันตกและตะ ันออกด้ ยภูเขาและมีชายฝั่งทะเลอ่า ไทย เป็นขอบเขตด้านทิ ใต้ก ้าง
ประมาณ 160 กิโลเมตร เปน็ พนื้ ทตี่ อ่ เนื่องของเขตการปกครอง 18 จัง ดั โดยมีทางน้�า าย �าคญั ไ ล
ผ่านทร่ี าบลง ูอ่ ่า ไทย ( า� นกั งานพัฒนาเทคโนโลยอี กา และภมู ิ าร นเท (องคก์ ารม าชน), 2560)
ภายในพ้ืนท่ีบริเ ณท่ีราบเจ้าพระยาตอนล่าง ปรากฏร่องรอยการตั้งถิ่นฐานของมนุ ย์
ในอดีตกระจายตั อย่าง นาแน่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ร่องรอยของเมืองโบราณท่ีมีการขุดคูน�้าคันดันใน
มยั ท าร ดี ทง้ั นเ้ี มอื งโบราณ มยั ท าร ดที ก่ี ระจายตั อยใู่ นบรเิ ณทร่ี าบเจา้ พระยาตอนลา่ ง ลายเมอื ง
พบ ลกั ฐานทางโบราณคดที แ่ี ดงใ เ้ น็ อยา่ งชดั เจน า่ เปน็ กลมุ่ เมอื งโบราณทม่ี คี าม า� คญั มคี ามเจรญิ
รุ่งเรือง ติดต่อค้าขาย รือมีค าม ัมพันธ์กับผู้คนต่างพื้นท่ีในช่ งเ ลาน้ัน ทั้งจากจีน อินเดีย และยุโรป
การติดต่อค้าขายดังกล่า แ ดงใ ้เ ็น ่าพ้ืนท่ีบริเ ณที่ราบเจ้าพระยาตอนล่างในช่ งเ ลาดังกล่า
เปน็ พน้ื ทที่ ม่ี คี าม า� คญั อยา่ งยง่ิ ทง้ั ในดา้ นทา� เลทต่ี งั้ แ ลง่ ทรพั ยากร จนอาจเปน็ นู ยก์ ลาง รอื เปน็ ่ น นง่ึ
ของดนิ แดนทเ่ี รยี ก า่ ุ รรณภมู ิ ได้
ค าม ัมพันธ์ดา้ นท�าเลท่ตี ั้งนนั้ ลกั ณะธรณี ิทยาและธรณี ัณฐานในบรเิ ณท่ีราบเจา้ พระยา
ตอนลา่ ง แ ดงใ เ้ ็น ่าในอดตี พนื้ ทดี่ ังกลา่ เคยเป็นทะเลไดม้ าก่อน ซึง่ มนี ัก ชิ าการ ลาก ลายท่านได้
ท�าการ ึก าพัฒนาการของแน ชายฝั่งทะเลโบราณ ซ่ึงมีข้อ รุปท่ีแตกต่างกันไป ประเด็น �าคัญท่ียังคง
เป็นค�าถามในปัจจุบันคือ ค าม ัมพันธ์ของต�าแ น่งแน ชายฝั่งทะเลโบราณกับท่ีต้ังของเมืองโบราณ
มัยท าร ดี า่ ตา� แ นง่ แน ชายฝ่ังทะเลโบราณที่แทจ้ ริงในช่ งเ ลาดงั กล่า นน้ั อยบู่ รเิ ณไ น มีค าม
มั พนั ธอ์ ยา่ งไรกบั เมอื งโบราณ มยั ท าร ดี ดงั นน้ั เมอื งโบราณอทู่ อง จงั ดั พุ รรณบรุ ี เปน็ 1 ใน 5 เมอื ง
ที่เป็นตั แทนเมืองโบราณ ที่เลือกท�าการการ ึก าต�าแ น่งแน ชายฝั่งทะเลโบราณท่ีชัดเจนในช่ ง
มยั ท าร ดี จะเปน็ องคค์ ามรทู้ ่ี า� คญั ในการเขา้ ใจถงึ ค าม า� คญั ร มถงึ พฒั นาการของค ามเจรญิ รงุ่ เรอื ง
ของเมืองโบราณท าร ดีบนผนื แผน่ ดนิ แ ่งน้ี
2. วตั ถปุ ระสงค์
เพื่อ ึก าค าม ัมพันธ์ภูมิ ัณฐานเชิงพื้นที่ระ ่างแน ชายฝั่งทะเลโบราณที่ ัมพันธ์กับ
การตง้ั ถิ่นฐาน เมืองโบราณอทู่ อง จงั ัด ุพรรณบรุ ี
114
3. กรอบแน คดิ และ ธิ ี จิ ยั
กรอบแน คดิ ลกั ของการ จิ ยั จะมงุ่ เนน้ กึ าระ า่ งตา� แ นง่ ของแน ชายฝง่ั ทะเลโบราณกบั
เมืองโบราณอู่ทอง โดยเป็นการ ึก าแบบบูรณาการ า ตร์ ท้ังการแปลค ามธรณี ัณฐานจากรูปถ่าย
ทางอากา และภาพจากดา เทียม �า รับ ิเคราะ ์ ภาพแ ดล้อมของการตั้งถ่ินฐานท่ี ัมพันธ์กับ
แน ชายฝั่งทะเลโบราณ ร มถึงการก�า นดพ้ืนที่ �า รับการเจาะตั อย่างตะกอน เพ่ือ ิเคราะ ์ลัก ณะ
ตะกอน ล�าดับชั้นทับถม การ ึก าละอองเรณูเพื่อบ่งบอก ภาพแ ดล้อมและพืชพรรณในอดีตค บคู่ไป
กบั การกา� นดอายดุ ้ ย ธิ กี ารทาง ทิ ยา า ตร์ ามารถแบง่ ขนั้ ตอนการดา� เนนิ งาน ได้ 5 ขนั้ ตอน ลกั ๆ ดงั นี้
1) การ กึ าทบท นข้อมูลทเี่ ก่ยี ข้อง เปน็ การด�าเนนิ งานเพอ่ื ทบท น ข้อมลู อยา่ งละเอียด
ทุกด้านที่เกี่ย ข้องกับการ ึก าแน ชายฝั่งทะเลโบราณ ซ่ึง ัมพันธ์กับการต้ังถิ่นฐานและเมืองโบราณ
บรเิ ณที่ราบลุ่มภาคกลางตอนล่าง ทา� ใ ้เกดิ ค ามเข้าใจถงึ ฐานข้อมูลต่าง ๆ โดยประเด็นท่ี �าคัญ ได้แก่
ข้อมลู ดา้ นประ ตั ิ า ตรโ์ บราณคดี ข้อมูลด้านธรณี ัณฐาน ขอ้ มูลด้านละอองเรณู ิทยา ขอ้ มลู ด้านการ
ก�า นดอายุ มยั
2) การแปลค ามจากรูปถ่ายทางอากา และภาพจากดา เทียม จะเป็นการ ึก าและแปล
ค ามลกั ณะธรณี ณั ฐานในบรเิ ณพน้ื ท่ี กึ า ซงึ่ จะ กึ าแปลค ามจากรปู ถา่ ยทางอากา เปน็ ลกั เชน่
โครงการ WWS โครงการ VAP61 โครงการ NS3 เป็นต้น (ข้ึนอยู่กับค ามเ มาะ มของแต่ละพ้ืนท่ี)
โดยก�า นดมาตรา ่ นของแผนที่ไ ้เบ้อื งตน้ 1 : 50,000 นอกจากนี้ จะท�าการแปลค ามและก�า นดจดุ
เจาะตั อยา่ งตะกอนในภาค นาม โดยอา้ งองิ จากขอ้ มลู ธรณี ณั ฐานขา้ งตน้ ถา่ ยทอดตา� แ นง่ เกบ็ ตั อยา่ ง
ลงบนรูปถ่ายทางอากา ออร์โธ กา� นดมาตรา ่ น 1 : 4,000 เพือ่ น�าไป า� ร จในภาค นาม
3) การ ึก าในภาค นาม การดา� เนินการในภาค นามจะเปน็ การด�าเนินเพอ่ื เจาะ �าร จเกบ็
ตั อย่างตะกอน า� รบั น�ามา เิ คราะ ใ์ น ้องปฏบิ ตั ิการ
ิธีการเจาะตั อย่างเพื่อเก็บตะกอน ิธีการเจาะ �าร จเพ่ือเก็บตั อย่างดินจะใช้ ิธีการเจาะ
า� ร จด้ ยชดุ เจาะ 3 ขา (Percussion Boring) รอื การเจาะ า� ร จด้ ยเครอ่ื ง Rotary Drilling Machine
ระดบั ค ามลกึ ประมาณ 5 – 15 เมตร ท้ังนขี้ ้ึนอย่กู บั ค ามเ มาะ มของแตล่ ะ่ พื้นที่
ธิ กี ารเกบ็ ตั อยา่ งดนิ จะเกบ็ ตั อยา่ งดนิ แบบ ตั อยา่ งดนิ คง ภาพ (Undisturbed Sample)
คอื ตั อยา่ งดนิ ทถ่ี กู เกบ็ ขน้ึ มาโดยมี ภาพใกลเ้ คยี ง ภาพธรรมชาติ ไดแ้ ก่ ตั อยา่ งดนิ ทเี่ กบ็ ไดจ้ ากกระบอก
เปลือกบางท่ีมีขนาดต้ังแต่ 3 นิ้ ข้ึนไป กระบอกแบบลูก ูบ (Piston Sampler) ซ่ึงกระทบกระเทือน
ชั้นดินน้อยที่ ุด คือ มีค ามชื้น ค าม นาแน่น ลัก ณะโครง ร้างไม่มีการเปล่ียนแปลง เช่นเดีย กับ
เมื่ออยู่ในช้ันดินเดิม ถือ ่าเป็นตั อย่างดินที่มีคุณภาพดีท่ี ุด และ ามารถใช้ทด อบคุณ มบัติต่าง ๆ
ใน ้องทดลองได้เกือบทุกอย่าง
4) การ ึก า เิ คราะ ์ใน อ้ งปฏบิ ัตกิ าร การ ึก า ิเคราะ ใ์ น อ้ งปฏบิ ตั ิการจะน�าตั อย่าง
ทไี่ ดจ้ ากการเจาะ �าร จมาทา� การ กึ าในประเดน็ ตา่ ง ๆ ดังตอ่ ไปนี้
4.1) ึก า ิเคราะ ์ลัก ณะทางด้านตะกอน ิทยาและล�าดับชั้นทับถม ท�าการ ิเคราะ ์
ลกั ณะตะกอน ทิ ยาจาก ลมุ เจาะ โดยจะเนน้ การลา� ดบั ตะกอนของทล่ี มุ่ บางกอกในราบภาคกลางตอนลา่ ง
115
นัง อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ซงึ่ ประกอบไปด้ ยชั้นตะกอน ลัก 3 ช้ัน คอื ชน้ั ดินเ นยี เนอ้ื แนน่ (Stiff Clay) ซ่ึงเปน็ ช้นั ตะกอนนา�้ จดื
มัยไพล โตซีน ชนั้ ดินเ นยี เนอื้ อ่อน รอื ดนิ เ นยี กรุงเทพ (Soft Clay or Bangkok Clay) ซ่ึงเป็น
ชน้ั ตะกอนนา�้ เคม็ มยั โฮโลซนี ช่ งทนี่ า้� ทะเลท่ มถงึ และชน้ั ตะกอนทร่ี าบนา้� ท่ ม (Floodplain Sediments)
ซง่ึ เปน็ ตะกอนน้�าจืดทีเ่ กิดจากการ ลากของลา� น้า� กลายเปน็ ชัน้ ตะกอนปกคลมุ ผิ ดิน (Covered Soil)
4.2) ึก า ิเคราะ ์ละอองเรณูในตั อย่างตะกอน การ ึก าละอองเรณูนั้นจะใช้ตั อย่าง
ตะกอนจาก ลุมเจาะและเลือกเก็บตั อย่างลัก ณะตะกอนตามล�าดับช้ันทับถมในข้อ 4.1) เพื่อท�าการ
กึ าพืชพรรณในอดีต
4.3) การก�า นดอายุ มัยโดย ิธีการทาง ิทยา า ตร์ โดยจะเลือก ิธีการทาง ิทยา า ตร์
เพอื่ กา� นดอายุ 3 ธิ ี โดยจะเลอื กเกบ็ ตั อยา่ งเพอ่ื ทา� ถา่ น เิ คราะ ์ เชน่ ถา่ น เ ไม้ ตะกอนในชน้ั ตะกอน
ที่พบเรณูโกงกางเป็น ลกั ทั้ง 3 ธิ ี ไดแ้ ก่ AMS Dating ( ่งตั อย่าง ิเคราะ ์ประเท นิ ซแี ลนค)์ TL
Dating ( ่งตั อยา่ ง ิเคราะ ์ที่ ม า ิทยาลยั เก ตร า ตร)์
5) การ ิเคราะ ์และประม ลผล ด�าเนนิ การนา� ผลการ กึ าทุกด้าน ในข้อ 1–4 มาบูรณาการ
ข้อมูลร่ มกันเพ่ือ ึก า ภาพแ ดล้อมการต้ังถิ่นฐานของเมืองโบราณที่เลือก ึก ากับค าม ัมพันธ์กับ
แน ชายฝง่ั ทะเลโบราณ
4. ผลการ กึ าชายฝงั่ ทะเลโบราณในพื้นที่ราบล่มุ ภาคกลางจากขอ้ มูลรโี มทเซนซงิ
4.1 ภาพแ ดลอ้ มการตง้ั ถ่ินฐานเมืองโบราณอทู่ อง
เมืองโบราณอ่ทู อง ตัง้ อย่บู น ่ นปลายของเนินตะกอนน้�าพารปู พดั แมก่ ลอง ดา้ นทิ ตะ ันออก
เฉยี งเ นอื ทางทิ เ นอื ของเมอื งโบราณนครปฐม ประมาณ 65 กโิ ลเมตร ตั เมอื งตงั้ อยบู่ นเนนิ ลานตะพกั
งู จากทร่ี าบลมุ่ ประมาณ 5-9 เมตร และจากระดบั นา�้ ทะเลปานกลางประมาณ 8-12 เมตร พน้ื ทล่ี าดเอยี ง
เลก็ นอ้ ยไปทางตะ นั ออกเฉยี งเ นอื มแี มน่ า้� จระเข้ ามพนั ไ ลเลยี บขอบดา้ นทิ เ นอื ของเนนิ ตะกอนนา้�
พารูปพัด ผา่ นชิดตดิ ก�าแพงเมืองอทู่ องชนั้ นอกด้านทิ ใต้ ออก ทู่ ่ีราบลมุ่ แมน่ า้� ท่าจนี (แม่น�้า พุ รรณบุร)ี
แล้ มาร มกับคลอง นแตงที่บริเ ณ ัดม่ ง ต�าบล นแตง อ�าเภออู่ทอง พ้ืนท่ีตอนปลายแม่น�้าจระเข้
ามพัน แ ดงธรณี ัณฐานเดลตา้ เก่า และถัดจากแน ชายทะเลโบราณตามทอี่ าจารย์ทิ า ุภจรรยาและ
คณะ ึก าไ ้ (แ ดงเป็นเ ้น ีเ ลอื งในภาพที่ 1) ในบริเ ณทรี่ าบลมุ่ ทางดา้ นตะ นั ออกของเมอื งโบราณ
อทู่ อง ปรากฏธรณี นั ฐาน นั ดอนปากอา่ เกา่ และรอ่ งรอยของชะ ากทะเลเดมิ นอกจากนน้ั บรเิ ณตะ นั ออก
่างจากก�าแพงเมืองคูเมืองอู่ทองประมาณ 1 กิโลเมตร ยังปรากฏร่องรอยของคลองขุดเชื่อมต่อจาก
แม่น้�าจระเข้ ามพันไปยังขอบแน พ้ืนที่ลุ่มต�่า (ชะ ากทะเลเดิม) ่างจากเมืองโบราณอู่ทองมาทาง
ทิ ตะ นั ออกประมาณ 7.5 กโิ ลเมตร ปจั จบุ นั มคี ลอง องพนี่ อ้ งไ ลผา่ นกลางแน พนื้ ทลี่ มุ่ ตา�่ ดงั กลา่ และ
า่ งจากเมอื งโบราณอทู่ องมาทางทิ ใต้ ประมาณ 5.5 กโิ ลเมตร ปรากฏรอ่ งรอยของแน คนั ดนิ ทเี่ รยี กกนั า่
“ถนนทา้ อทู่ อง” ซง่ึ ในอดตี เชอื่ กนั า่ เปน็ ถนนโบราณ แตจ่ ากการ กึ าของทิ า ภุ จรรยา (ทิ า ภุ จรรยา
และผ่อง รี นา ิน, 2523; ผ่อง รี นา ิน และทิ า ุภจรรยา, 2524; ทิ า ุภจรรยา, 2556) พบ ่า
คันดินดังกล่า ขดุ รา้ งขึ้นเพ่อื เบ่ียงนา�้ ใ ไ้ ลกลบั เข้าแม่นา้� จระเข้ ามพัน
116
จากการ กึ าทางโบราณคดเี ทา่ ทผี่ า่ นมา รปุ ได้ า่ เมอื งโบราณอทู่ องมีการตง้ั ถน่ิ ฐานของมนุ ย์
มาตง้ั แต่ มยั กอ่ นประ ตั ิ า ตรต์ อนปลาย ประมาณ 2,500 ปีมาแล้ มีการอยอู่ า ยั มาอยา่ งตอ่ เนือ่ ง
จนถงึ พุทธ ต รร ท่ี 16 ลกั ฐานโบราณ ัตถุ ทา� ใ ท้ ราบ า่ เมอื งโบราณอทู่ อง มีการติดตอ่ กับดนิ แดน
แถบโพ้นทะเล ท�าใ ้นัก ิชาการ ลายท่านเชื่อ ่า เมืองโบราณอู่ทอง อาจจะเป็นเมือง “ ุ รรณภูมิ”
ทพี่ ระเจา้ อโ กม าราชได้ ง่ พระโ ณะเถระและพระอตุ ระเถระมาเผยแพรพ่ ทุ ธ า นา ในรา พทุ ธ ต รร ที่ 3
117
นงั อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ภาพท่ี 1 แผนทแ่ี ดงความ ัมพันธ์ระ ว่างเมอื งโบราณอ่ทู อง อา� เภออทู่ อง จงั วัด พุ รรณบุรี กบั แนวชายฝ่งั ทะเลโบราณ
118
4.2 ผลการ กึ าตั อย่างตะกอนจากการเจาะเก็บตั อยา่ งในภาค นาม
การเจาะเก็บตั อย่างตะกอนจะใช้ ิธีการเจาะตั อย่างเพื่อเก็บตะกอนดินด้ ยเครื่อง Rotary
Drilling Machine ระดับค ามลกึ ประมาณ 5–10 เมตร ท้งั นี้ขน้ึ อยูก่ บั ค ามเ มาะ มของแต่ล่ะพน้ื ท่ี
โดยจะเก็บตั อยา่ งดินแบบ ตั อย่างดินคง ภาพ (Undisturbed Sample) มผี ลการ ึก าดังนี้
4.2.1 กึ า ิเคราะ ล์ กั ณะทางด้านตะกอน ิทยาและลา� ดบั ชั้นทับถม
เมอื งโบราณอู่ทอง กา� นดต�าแ น่ง ลมุ เจาะเกบ็ ตั อย่างตะกอน 4 จดุ (ภาพที่ 2)
ภาพที่ 2 ตา� แ น่ง ลมุ เจาะตะกอนบรเิ ณเมืองโบราณอทู่ อง จัง ัด ุพรรณบุรี
ผลการ กึ าพบ า่ ลมุ เจาะ UT-BH1 ซง่ึ เลอื กเจาะในบรเิ ณตั เมอื งโบราณอทู่ อง พบ า่ ไมป่ รากฏ
ช้ันดินเ นีย บางกอก แต่ช้ันดินล่าง ุดจัดเป็นดินเ นีย ปนปูนมาร์ล แ ดงใ ้เ ็น ่าพื้นที่บริเ ณ
เมืองโบราณอทู่ อง ระดับนา้� ทะเลในอดตี รกุ ไม่ถึงตั เมอื งโบราณ
ลุมเจาะ UT-BH 2 ถึง 4 เป็นการตร จ อบลัก ณะของแน ชะ ากทะเลที่ ัมพันธ์กับ
แน คลองโบราณทข่ี ดุ เชอ่ื มโยงมาจากเมอื งโบราณอทู่ อง โดยทกุ ลมุ พบชนั้ ดนิ เ นยี บางกอก ทคี่ ามลกึ
6 เมตร แ ดงใ เ้ ็น ่าในบรเิ ณพนื้ ที่ดังกลา่ ในอดีตเปน็ พนื้ ทที่ น่ี �้าทะเลรุกเขา้ มาถงึ
119
นัง อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
หลุมเจาะ UT-BH1 ก�าหนดจุดเจาะบริเวณภายในเมืองโบราณอู่ทอง ซ่ึงไม่พบช้ันดินเหนียว
บางกอก
120
ลุมเจาะ UT-BH2 ก�า นดจุดเจาะตรวจ อบแนวปากคลองโบราณท่ีขุดมาจากเมืองโบราณ
อทู่ อง ซง่ึ เปน็ ปากคลองทตี่ อ่ กบั แนวชะวากทะเล ผลการ า� รวจพบชน้ั ดนิ เ นยี วบางกอก ทคี่ วามลกึ 6 เมตร
121
นัง ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ลุมเจาะ UT-BH3 กา� นดจดุ เจาะตรวจ อบขอบของแนวชะวากทะเล ผลการ า� รวจพบช้นั
ดนิ เ นียวบางกอก ที่ความลกึ 6 เมตร
122
ลมุ เจาะ UT-BH4 กา� นดจดุ เจาะกลางแนวคลองโบราณท่ีขุดเชื่อมมาจากเมืองโบราณอทู่ อง
เพอื่ เชอ่ื มกบั แนวชะวากทะเล ผลการ า� รวจพบช้ันดนิ เ นยี วบางกอก ท่ีความลกึ 5 - 6 เมตร มีลัก ณะ
เป็นช้ันแทรกบาง ๆ แ ดงใ เ้ น็ ว่าพ้นื ท่ีดงั กล่าวไดร้ ับอิทธพิ ลท้งั จากน�้าจืดและนา�้ ทะเล ลับกัน
123
นงั อื รวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เนือ่ งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
4.2.2 ผลการก�า นดอายุ มยั ตะกอนโดย ิธกี ารทาง ทิ ยา า ตร์
ผลการ ึก าตั อยา่ งตะกอน พบ ่า ตะกอนชั้นดนิ เ นยี บางกอก รอื ชน้ั ดนิ เ นยี เนอ้ื ออ่ น
(Bangkok Clay or Soft Clay) ซ่ึงเป็นชั้นตะกอนที่แ ดงลัก ณะน้�าเค็ม มัยโฮโลซีนช่ งท่ีน�้าทะเล
ท่ มถงึ นนั้ ลมุ เจาะเมืองโบราณอู่ทองพบ ลักฐานเกย่ี กบั ตั อยา่ งถา่ นท่ปี ะปนอยู่ในเน้ือตะกอนแตก่ ็มี
ปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่าน้ัน ซึ่ง ามารถน�าไปก�า นดอายุ มัยทาง ิทยา า ตร์ได้ ิธี AMS Dating
มีผลการ ึก าดังน้ี
ตารางที่ 1 ผลการกา� นดอายุ มยั ตะกอนชั้นดนิ เ นยี บางกอก
พืน้ ท่ี ลมุ เจาะ ตั อยา่ งทีใ่ ช้ ิธกี าร คา่ อายุ (BP) มายเ ตุ
เมอื งอทู่ อง UT-BH1 ถ่าน AMS Dating ไมไ่ ด้กา� นดอายุ ไม่พบตะกอน BC
UT-BH2 ถ่าน AMS Dating 2,709 ± 21
UT-BH3 ถา่ น AMS Dating 2,720 ± 23
UT-BH4 ถ่าน AMS Dating ไม่ ามารถ Dating error
ก�า นดคา่ อายุได้
4.2.3 ผลการ กึ าละอองเรณใู นตั อยา่ งตะกอน
การ ึก าละอองเรณูน้ันจะเน้น ึก าไปท่ีตะกอนช่ งรอยต่อระ ่าง ชั้นดินเ นีย เน้ืออ่อน
รือ ดินเ นีย กรุงเทพ (Soft Clay or Bangkok Clay) ซึ่งเป็นช้ันตะกอนน้�าเค็ม มัยโฮโลซีนช่ งที่
นา้� ทะเลท่ มถึง และช้นั ตะกอนทร่ี าบน้�าท่ ม (Floodplain Sediments) ซง่ึ เปน็ ตะกอนน้�าจืดทีเ่ กิดจาก
การ ลากของลา� น�า้ กลายเป็นช้ันตะกอนปกคลุมผิ ดิน (Covered Soil) ของแต่ละ ลุมเจาะ �าร จ มผี ล
การ ึก า ดงั นี้
124
ตารางที่ 2 ผลการ เิ คราะ ์ละอองเรณใู นตั อยา่ งตะกอน ลมุ เจาะต่าง ๆ
พนื้ ท่ี ลมุ เจาะ ละอองเรณู ลกั ท่พี บ ลกั ณะ ภาพแวดลอ้ ม
Rhizophora sp. ( ืพช ุกลโกงกาง)
Acrostichum aureum (ปรงทะเล)
Stenochlaena palustris (ปรง น/ �ลาเ ็ทง)
Ceratopteris thalictroides (L.) Brongn ( ัผกขาเขียด)
cf. Derris sp. ( ยี ้�นา)
Acanthus sp. ( ืพช ุกลเ งือกปลา มอ)
เมืองอู่ทอง UT-BH2 xxxx x พื้นที่เขตน�้ากร่อยถึง
UT-BH3 ป่าชายเลน
UT-BH4
xxx x x พืน้ ทเ่ี ขตน้�ากรอ่ ยถงึ
ป่าชายเลน
x x x x พื้นท่ีน�้ากรอ่ ย
ผลการ ึก าในตั อย่างอ่ืน ๆ พบ ่าทุกตั อย่างจะพบละอองเรณู ซึ่งมีค ามเข้มข้นของเรณู
ระดบั ตา�่ ถงึ ปานกลาง โดยพบ า่ ละออกเรณูที่ ะ มตั มากที่ ุดในชน้ั ดนิ เ นยี บางกอก คือ เรณโู กงกาง
(Rhizophora sp.) ซึ่งถือ ่าเป็นตั บ่งชี้พื้นท่ีนิเ ป่าชายเลน (Mangrove Ecology) โดยจัดเป็น ังคม
พืชในที่ลุ่มบางกอกช่ งที่น�้าทะเลท่ ม ูง ุดน้ัน แน ชายฝั่งทะเลโบราณเป็นป่าชายเลน ท่ีมีโกงกางเป็น
พืชเด่น ท้ังน้ียังกลุ่มละอองเรณูท่ีได้จากชั้นดินเ นีย ผุพังอยู่กับท่ีประกอบด้ ย ังคมพืช 2 กลุ่ม คือ
พชื ทีอ่ ยู่ปลาย ุดของแน ลังป่าชายเลน (Landward Edge of Back Mangrove) และบึงเฟิรน์ (Fern
Marsh) ซ่งึ ถือ า่ เปน็ ตั บ่งชพี้ ื้นที่เปล่ยี นผ่านระ า่ งนิเ น�า้ เคม็ กบั นา้� จดื (Transitional Zone) จัดเป็น
พนื้ ทร่ี อยตอ่ ระ า่ ง งั คมพชื นา้� เคม็ กบั นา้� จดื น้ี มพี ชื เดน่ เชน่ พชื จา� พ ก ยนี า้� (cf. Derris sp.) ปรงทะเล
(Acrostichum aureum L.) ปรง น (Stenochaena palustris (Burm.f.) Bedd.) และผักขาเขยี ด
(Ceratopteris thalictroides (L.) Brongn.) ดังนั้นจะแ ดงใ ้เ ็นอย่างชัดเจน ่าบริเ ณพน้ื ที่
ทท่ี า� การ กึ า จะมลี กั ณะเปน็ แน ชะ ากทะเลทมี่ ลี กั ณะ เกดิ จากการทบั ถมของ งั คมพชื ปา่ ชายเลน และ
เกดิ จากการทบั ถมของ ังคมพชื ช่ งรอยตอ่ ระ า่ งนา�้ เคม็ กับนา้� จืด
125
นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ชนดิ พชื พรรณทไ่ี ดจ้ ากผลการ เิ คราะ ล์ ะอองเรณู ทา� ใ ท้ ราบ า่ ลกั ณะของ ภาพพนื้ ทดี่ ง้ั เดมิ
โดยทั่ ไปของพ้ืนท่ี กึ า จะพบพชื กลุ โกงกาง (Rhizophora sp.) เป็นพ้นื ทนี่ ้�ากรอ่ ยใกลก้ บั ปา่ โกงกาง
และแ ม ซงึ่ เปน็ ผนื ปา่ ทมี่ กั อยตู่ ดิ กบั ทะเล นอกจากนย้ี งั พบลกั ณะพน้ื ทที่ เ่ี คยมี ภาพนเิ นา�้ กรอ่ ยมากอ่ น
โดยมี “ตั บ่งชี”้ คือ ปอรข์ องปรง น รอื ลา� เทง็ (Stenochlaena palustris) ซึง่ เป็นผกั กดู ชนดิ เลือ้ ย
พนั อา ยั ในพนื้ ทน่ี า้� กรอ่ ย ซง่ึ พบในเกอื บทกุ ตั อยา่ ง นอกจากนยี้ งั พบกลมุ่ ละอองเรณแู ละ ปอรข์ องเฟริ น์
ที่อา ัยในเขตน�้ากร่อยถึงป่าชายเลน ลาก ลายมากย่ิงขึ้น เช่น ปรงทะเล (Acrostichum aureum)
พืช กุลเ งอื กปาก มอ (Acanthus sp.) ซึ่งแ ดงลกั ณะของ บึงน้�ากรอ่ ย (brackish swamp)
5. แนวชายฝั่งทะเลโบราณท่สี ัมพันธก์ บั การตง้ั ถน่ิ ฐานของเมอื งโบราณอ่ทู อง
ผลการ ึก า ภาพแ ดล้อมการต้ังถ่ินฐาน โดยการแปลค าม มายรูปถ่ายทางอากา และ
ภาพจากดา เทียม พบ ่าเมืองโบราณอู่ทองต้ังอยู่บนปลายเนินตะกอนน้�าพารูปพัดแม่กลอง มีคลองขุด
จากบรเิ ณท่ตี ง้ั เมอื งไป ิน้ ุดท่ีขอบแน พ้ืนทล่ี ่มุ ต�า่ แน พ้ืนทต่ี ่�าดังกล่า นอกจากจะมรี ะดบั ต่�าก ่าพนื้ ท่ี
โดยรอบแล้ ยังมีค ามต่อเนื่องไปจนถึงท่ีราบลุ่มต�่าของแม่น้�า าย ลักในปัจจุบันและอยู่ไม่ ่างจาก
เมอื งโบราณมากนกั การ กึ าพบ า่ แน พน้ื ทล่ี มุ่ ตา�่ ดงั กลา่ ในอดตี เปน็ ่ นของชะ ากทะเล เปน็ บรเิ ณ
ร่องนา้� ลกึ ามารถใช้เดนิ ทางตดิ ต่อ ู่ทะเลเปดิ ได้ ขอ้ มลู ลุมเจาะในบริเ ณขอบแน พ้ืนทลี่ ุม่ ต่�าดังกล่า
พบช้ันดินเ นยี เนือ้ อ่อน รือ ดนิ เ นยี กรงุ เทพ (Soft Clay or Bangkok Clay) ซ่ึงเปน็ ชัน้ ตะกอนนา�้
เคม็ มยั โฮโลซนี ช่ งทีน่ ้�าทะเลท่ มถงึ แ ดง ลกั ฐานยืนยัน ่าพน้ื ทด่ี ังกลา่ ่าเคยเป็นบรเิ ณทเี่ คยถูกน�้า
ทะเลท่ มมาก่อนและเป็น ่ นของชะ ากทะเลในอดีต ซ่ึงผลการ ึก าละอองเรณูพบ ่าลัก ณะ ภาพ
ของพ้ืนท่ีจะมีลัก ณะเป็นพื้นที่น้�ากร่อยใกล้กับป่าโกงกาง และเป็นพ้ืนที่เปล่ียนผ่านระ ่างนิเ น้�าเค็ม
กบั นา้� จืด (Transitional Zone)
พน้ื ท่ที เี่ ป็น ่ นของชะ ากทะเลดังกล่า ามารถก�า นดอายุ ได้อยู่ในช่ งประมาณ 2,700 ปี
มาแล้ จัดอยู่ในช่ ง มัยยุคประ ัติ า ตร์ตอนปลาย ( มัยเ ล็ก) ถึงต้นประ ัติ า ตร์ อดคล้องกับ
การพบ ลกั ฐานทางโบราณคดจี ากแ ลง่ โบราณคดยี คุ กอ่ นประ ตั ิ า ตรต์ อนปลายตา่ ง ๆ ทต่ี ง้ั อยโู่ ดยรอบ
เชน่ แ ลง่ โบราณบา้ นดอนตาเพชร เปน็ ตน้ ซง่ึ แ ลง่ โบราณคดเี ลา่ นไี้ ดพ้ บ ลกั ฐานทางโบราณคดที แี่ ดง
ใ ้เ ็นถึงการติดต่อกับชุมชนต่างถิ่น และการใช้เครื่องมือเคร่ืองใช้จากพ้ืนที่ทะเลแล้ เช่น ลูกปัด ิน
คารเ์ นเลยี่ น กา� ไล อยมอื เ อื เปน็ ตน้ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ทแ่ี ลง่ โบราณคดบี า้ นดอนตาเพชร จะพบ ลกั ฐาน
ท่ี า� คัญคือ ลกู ปดั แก้ และลกู ปัด นิ เชน่ ินคาร์เนเลียน (Carnelian) (เป็นลูกปัดรูป งิ โต) ินอาเกต
(Agate) โดยเฉพาะลูกปัดฝัง ี (Etched bead) มีแ ล่งผลิตในประเท อินเดีย ถึงเป็น ินค้า ่งออกใน
ช่ งราช ง ์โมรยิ ะ- ุงคะ ในรา พุทธ ต รร ที่ 3–5 จนถึง ลังยุคเ ลก็ รา พทุ ธ ต รร ท่ี 5–9
ดงั นน้ั ลกั ณะบรเิ ณพน้ื ทลี่ มุ่ ตา�่ ดงั กลา่ ในอดตี ทเี่ ปน็ ่ นของชะ ากทะเลเปน็ บรเิ ณรอ่ งนา�้ ลกึ
จะเป็นพื้นที่ท่ีมีค าม �าคัญ ซึ่ง ามารถใช้เดินทางติดต่อ ู่ทะเลเปิดได้ตั้งแต่ มัยก่อนประ ัติ า ตร์
ตอนปลาย (ตน้ ยุค ุ รรณภูม)ิ มพี ฒั นาการต่อเนอื่ งจนเกิดเป็นรัฐ รอื เมืองต่าง ๆ ในท่ี ดุ
126
บรรณานุกรม
ทิ า ุภจรรยา และผ่ ง รี นา ิน. (2523). “ที่ราบเจ้าพระยาต นล่างฝั่งทะเลใน มัยท าร ดี.”
าร ารภูมิ า ตร์. 5, 3 (พฤ จกิ ายน): 49-59.
ทิ า ภุ จรรยา. (2556). “ทร่ี าบเจา้ พระยาพฒั นาการข งแผน่ ดนิ และการตงั้ ถน่ิ ฐาน.” เ ก ารประก บ
การประชุม ิชาการ ระดมค ามคิดเ ็นและเผยแพร่ งค์ค ามรู้เรื่ ง “โบราณคดีเมื ง ู่ท ง
และการ กึ าชายฝง่ั ทะเลโบราณจากข้ มลู ธรณี ทิ ยา.” ถาบนั ถน่ิ ฐานไทย ( งคก์ รพฒั นาเ กชน).
ผ่ ง รี นา ิน และทิ า ภุ จรรยา. (2524). รายงานผลการ ิจัยทนุ ิจยั รชั ดาภเิ ก มโภชเร่ืองเมือง
โบราณบรเิ ณชายฝง่ั ทะเลเดมิ ของทร่ี าบภาคกลางประเท ไทย: การ กึ าตา� แ นง่ ทต่ี ง้ั และ
ภมู ิ า ตร์ มั พนั ธ.์ งาน จิ ยั จุ าลงกรณม์ า ทิ ยาลยั ลา� ดบั ที่ 1. กรงุ เทพฯ : โครงการเผยแพร่
ผลงาน ิจยั ฝา่ ย ิจัย จุ าลงกรณ์ม า ิทยาลัย
า� นกั งานพฒั นาเทคโนโลยี กา และภมู ิ าร นเท ( งคก์ ารม าชน). (2560). มรดกไทยจากภาพถา่ ย
ดา เทียม. กรงุ เทพฯ : รุณการพมิ พ.์ ( นงั ื เฉลิมพระเกยี รตพิ ระบาท มเดจ็ พระเจ้า ยู่ ั
เน่ื งในโ กา พระราชพิธีม ามงคลเฉลมิ พระชนมพรร า 7 ร บ 5 ธนั าคม 2554).
127
นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
128
ภมู ลิ กั ษณก์ ารต้งั ถ่ินฐานของชุมชนโบราณ
ในคาบสมทุ รมลายตู อนบน
ประอร ศิลาพนั ธ*ุ์
ชวลติ ขาวเขยี ว*
และพัชรพร เงินเกดิ **
Praon Silapanth,
Chawalit Khaokhiew
and Patcharaporn Ngernkerd
* ผู้ช่ ย า ตราจารย์ประจ�าภาค ชิ าโบราณคดี คณะโบราณคดี ม า ทิ ยาลยั ลิ ปากร
** นัก ึก าระดับปรญิ ญาดุ ฎีบณั ฑิต าขา ชิ าโบราณคดี บณั ฑิต ิทยาลยั ม า ทิ ยาลยั ลิ ปากร
129
นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทคัดย่อ
จากการดา� เนนิ งานทางโบราณคดบี รเิ ณจงั ดั ชมุ พร-ระนอง ซง่ึ อยใู่ นคาบ มทุ รมลายตู อนบน
พบการตง้ั ถนิ่ ฐานของชมุ ชนโบราณทก่ี า� นดอายอุ ยใู่ นยคุ กอ่ นประ ตั ิ า ตรแ์ ละยคุ ประ ตั ิ า ตรจ์ า� น นมาก
ซึ่งแต่ละแ ่งมีภูมิลัก ณ์การต้ังถิ่นฐานที่มีท้ังค ามคล้ายคลึงและค ามแตกต่างกัน บทค ามน้ีมี
ตั ถปุ ระ งคเ์ พอื่ กึ าและจดั จา� แนกลกั ณะภมู ลิ กั ณใ์ นการตงั้ ถนิ่ ฐานของชมุ ชนโบราณ โดยใชก้ ารแปล
ค ามขอ้ มลู การรบั รรู้ ะยะไกล (remote sensing) และขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการดา� เนนิ งานทางโบราณคดี ซงึ่ จะ
นา� ไป คู่ ามเขา้ ใจเกย่ี กบั ค าม มั พนั ธร์ ะ า่ งการเลอื กทา� เลทตี่ ง้ั ในเชงิ ภาพแ ดลอ้ มทางกายภาพ และ
บทบาท รือ น้าท่ีในเชิง ังคม ัฒนธรรมของชุมชนแต่ละแ ่ง โดยเฉพาะในยุคก่อนประ ัติ า ตร์
ตอนปลายและ มยั แรกเริ่มประ ัติ า ตร์ อนั เปน็ ช่ งเ ลาท่ีพบ ลักฐานทางโบราณคดีท่ีแ ดงใ เ้ น็ ่า
บรเิ ณคาบ มุทรมลายตู อนบนมปี ฏิ ัมพนั ธก์ ับชมุ ชนโบราณทั้งในเอเชยี ตะ นั ออกเฉยี งใต้ อนิ เดยี และ
ทะเลจนี ใต้
คา� สา� คญั : ภมู ิลกั ณก์ ารตงั้ ถ่นิ ฐาน, ชุมชนโบราณ, คาบ มุทรมลายตู อนบน
130
Abstract
Archaeological research in the provinces of Chumphon and Ranong in the Upper
Malay Peninsula has revealed a number of ancient settlements dating to prehistoric and
historical periods. Similarities and differences in landforms where those settlements are
situated are notable. This paper is aimed to study and classify the settlement landforms
in the study area, using remote sensing and archaeological data, in order to understand
the relationship between choices of physical environments for settlement and socio-cultural
roles or functions of each settlements, especially during late prehistoric and protohistoric
periods that saw interregional contacts between the peninsular communities and those
ancient settlements in Southeast Asia, India and the South China Sea.
Keywords : landforms, ancient settlements, upper Malay Peninsula
131
นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนอื่ งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ในการ ึก าเกี่ย กับการตั้งถิ่นฐานของชุมชนโบราณนั้น ภูมิลัก ณ์ (landform) รือธรณี
ัณฐาน (geomorphology) เป็นปัจจัย �าคัญประการ น่ึง ที่จะน�าไป ู่การท�าค ามเข้าใจเกี่ย กับ
ค าม มั พนั ธร์ ะ า่ ง งิ่ แ ดลอ้ มทางกายภาพและ งิ่ แ ดลอ้ มทาง ฒั นธรรมทม่ี ผี ลตอ่ การตงั้ ถนิ่ ฐานและ
การใช้พน้ื ทีข่ องชุมชนโบราณ ดงั นน้ั ผู้ จิ ัยจงึ ได้ กึ าภมู ิลัก ณโ์ ดยทั่ ไปในคาบ มทุ รมลายตู อนบน และ
ทา� การจัดจ�าแนกภูมิลัก ณ์ที่ปรากฏ ่ามีการค้นพบแ ล่งโบราณคดี และน�าไปพิจารณาร่ มกับ ลักฐาน
ทางโบราณคดที ค่ี น้ พบ ซง่ึ จะทา� ใ ้ทราบถงึ ค าม มั พันธ์ระ า่ งการเลือกท�าเลท่ตี ้งั รอื การใชพ้ ื้นท่ีของ
มนุ ยใ์ นอดตี ร มทง้ั บทบาทของชมุ ชนโบราณแตล่ ะแ ง่ โดยเฉพาะในยคุ กอ่ นประ ตั ิ า ตรแ์ ละ มยั แรก
เรมิ่ ประ ัติ า ตร์ ดงั รายละเอยี ดต่อไปน้ี
ลักษณะธรณีสัณฐานโดยทว่ั ไปของคาบสมทุ รมลายูตอนบน
คาบ มทุ รมลายมู ลี กั ณะภมู ปิ ระเท เปน็ พน้ื ทแ่ี คบยา มที ะเลขนาบทงั้ องดา้ น า� รบั บรเิ ณ
พนื้ ท่ี กึ าคอื คาบ มทุ รมลายใู นบรเิ ณภาคใตต้ อนบนของประเท ไทย ซงึ่ ตง้ั อยใู่ นบรเิ ณทแ่ี คบที่ ดุ ของ
คาบ มทุ รมลายู (ในทนี่ ้ี มายถงึ พน้ื ทที่ คี่ รอบคลมุ เขตจงั ดั ระนองทางฝง่ั ตะ นั ตกและเขตจงั ดั ชมุ พร
ทางฝัง่ ตะ ันออก) มลี ัก ณะภมู ลิ กั ณ์ (landform) รือธรณี ัณฐาน (geomorphology) ทอี่ าจแบ่งได้
เปน็ 3 น่ ยใ ญ่ คอื ธรณี ณั ฐานชายฝง่ั (coastal landform) ธรณี ณั ฐานทเ่ี กดิ จากการกระทา� ของนา�้
(fluvial landform) และธรณี ณั ฐานแบบที่ ูง (upland/mountain landform)
ธรณีสัณฐานชายฝั่ง ประกอบด้ ยลัก ณะ �าคัญ ได้แก่ ชาย าด (beach) ลากูนเดิม
(old lagoon) และทร่ี าบนา้� ทะเลขนึ้ ถงึ (tidal flat) นอกจากนชี้ ายฝง่ั แตล่ ะดา้ นยงั มลี กั ณะธรณี ณั ฐาน
แตกต่างกัน กล่า คือด้านชายฝั่งตะ ันตกประกอบด้ ยชายฝั่งทะเลแบบจมตั (submerged coast)
ดังจะเ ็นตั อย่างได้ชัดเจนจากบริเ ณปากแม่น�้ากระบุรี (แม่น้�าปากจ่ัน) อ�าเภอกระบุรี จัง ัดระนอง
ที่มีลัก ณะเป็นชะ ากทะเลรูปกร ยแ ดงถึงชายฝั่งจมน�้า ลัก ณะของชายฝั่งแบบจมตั น้ีเองท่ีท�าใ ้
ชายฝง่ั ทะเลดา้ นตะ นั ตกมชี าย าดแคบและเ า้ แ ง่ ( า� นกั งานคณะกรรมการ จิ ยั แ ง่ ชาต,ิ 2538: 54)
ทั้งน้ีชายฝั่งของจัง ัดระนอง างตั ในแน เ นือ-ใต้ ขนานไปกับแน เทือกเขาและ มู่เกาะ มีค ามยา
ทง้ั มดประมาณ 135 กิโลเมตร พ้ืนทีช่ ายฝั่ง ่ นใ ญ่เป็นที่ราบนา้� ทะเลขึน้ ถึงท่ีปกคลุมด้ ยป่าชายเลน
เช่น ในเขตอ�าเภอ ุข �าราญ เป็นต้น บางบริเ ณเป็นชาย าด ิน รือ าดทราย �า รับ าดทรายน้ัน
ประกอบด้ ย าด ันดอน ลากนู ขนาดเลก็ และท่ีราบนา้� ทะเลข้นึ ถึง ( นิ ิน กลุ และคณะ, 2544: 18)
และปรากฏเนนิ เขา (weathering hills) อยบู่ รเิ ณทรี่ าบชายฝง่ั บางแ ง่ เชน่ ในเขตอา� เภอเมอื ง เขตอา� เภอ
ขุ า� ราญ เป็นต้น
า� รบั ชายฝงั่ ทะเลทางฝ่ังตะ ันออกเป็นชายฝง่ั แบบยกตั (emergent coast) มีลกั ณะเป็น
อ่า แคบ ลับกับ น้าผา (Sinsakul, Chaimanee, and Tiyapirach, 2002: 177) ซึ่งเป็น ิ ัฒนาการมา
จากการเปล่ียนแปลงระดับน�้าทะเลใน มัยโฮโลซีนเม่ือประมาณ 10,000 ปีมาแล้ (Sinsakul,
Chaimanee, and Tiyapirach, 2002; มนตรี ชู ง ์ และ โิ รจน์ ดา ฤก ์, 2546) ชายฝง่ั มคี ามยา
ประมาณ 222 กิโลเมตร าดที่พบบริเ ณชายฝั่งของจัง ัดชุมพรมีลัก ณะเป็น าดทราย (sandy
beaches) ซ่ึง าดลกั ณะนเ้ี กดิ จากกระบ นการ ะ มตั ของตะกอนทราย ทม่ี ีการพดั พามายงั แผน่ ดิน
132
โดยกระบ นการอุทก า ตร์ชายฝั่ง าดทรายจะมีเปลือก อยและเ ปะการังปะปนอยู่ด้ ย
(กรมทรพั ยากรธรณ,ี 2555: 19) าดทรายทพี่ บมลี กั ณะทอดยา ขนานกบั แผน่ ดนิ เชน่ าดบา้ นบางนา�้ จดื
าดบา้ นกลางอา่ ในเขตอา� เภอ ลงั น เปน็ ตน้ แต่ าดทรายบางแ ง่ มลี กั ณะเปน็ าดกน้ อา่ (pocket
beaches) ซง่ึ พบบรเิ ณอา่ ขนาดเลก็ มลี กั ณะแคบและโคง้ เ า้ เขา้ ไปในแผน่ ดนิ ( นิ นิ กลุ และคณะ,
2545: 13) เช่น าดทรายบรเิ ณอ่า พนงั ตัก อา� เภอเมือง เปน็ ตน้
อกี ทงั้ ในบรเิ ณทร่ี าบชายฝง่ั ดา้ นตะ นั ออกนี้ ยงั พบรอ่ งรอยของลากนู เกา่ (old lagoon) บรเิ ณ
อ�าเภอเมือง และอา� เภอ ลัง น และพบรอ่ งรอยของแน ันทรายโบราณ (old beach ridges) อยู่ใน
แผน่ ดนิ ลายแน โดยพบ า่ แน นั ทรายโบราณมกี ารเรยี งขนาน รอื เกอื บขนานไปกบั แน ชายฝง่ั ปจั จบุ นั
ซงึ่ แ ดงถงึ ลกั ณะการ ะ มตั ในทิ ทางออก ทู่ ะเล (progradation) คาด า่ เกดิ ขน้ึ ในช่ งทมี่ กี ารถอยรน่
ของน้�าทะเล (regression) ในอดีต (มนตรี ชู ง ์ และ โิ รจน์ ดา ฤก ์, 2546: 21) แน ันทรายเ ล่านี้
มลี กั ณะเปน็ แน แคบและไมต่ อ่ เนอ่ื ง อนั เกดิ ขนึ้ จากการกดั เซาะอนั เนอ่ื งมาจากกระบ นการของทางนา�้
(erosion from fluvial process) จึงอาจจดั เป็นลกั ณะที่เรยี ก ่า relict strandline (มนตรี ชู ง ์ และ
ิโรจน์ ดา ฤก ์, 2546: 26) ซ่ึงปรากฏรอ่ งรอยใน ลายพื้นท่ี เชน่ แน ันทรายโบราณในเขตอ�าเภอเมอื ง
อา� เภอทงุ่ ตะโก อา� เภอ ลงั นและอา� เภอละแม เปน็ ตน้ แน นั ทรายโบราณแน ที่ า่ งจากชายฝง่ั ปจั จบุ นั
มากท่ี ดุ นนั้ ปรากฏในเขตอ�าเภอเมือง อยู่ า่ งจากชายฝั่งปจั จุบนั ประมาณ 7.5-15 กิโลเมตร และแน
นั ทรายโบราณในเขตอ�าเภอละแม ทีอ่ ยทู่ างใต้ ุดของจัง ัดชุมพรนัน้ พบ า่ มีรอ่ งรอยตอ่ เนอื่ งไปจนถงึ
เขตอา� เภอทา่ ชนะ จงั ดั รุ า ฎรธ์ านนี อกจากนยี้ งั มเี นนิ ทราย (sand dune) ทเ่ี กดิ จากการ ะ มตั ของ
ตะกอนโดยการ พดั พาของลมอยใู่ นเขตอา� เภอปะทิ ซง่ึ เปน็ ชายฝง่ั ดา้ นเ นอื ดุ ของจงั ดั ชมุ พรตอ่ เนอ่ื ง
ไปจนถึงอ�าเภอบาง ะพาน จงั ดั ประจ บครี ีขนั ธ์
ธรณีสณั ฐานทีเ่ กดิ จากการกระท�าของน้า� (fluvial landform) ถดั จากธรณี ัณฐานชายฝ่งั
เปน็ ธรณี ณั ฐานทเ่ี กดิ จากการกระทา� ของนา�้ (fluvial landform) ประกอบด้ ยแมน่ า้� และคลอง ทรี่ าบนา้�
ท่ มถึง (flood plain) และท่ีราบตะกอนน้�าพา (alluvial plain) นอกจากน้ีในบริเ ณริมแม่น�้า
อาจ ังเกตเ ็นลานตะพักริมน�้า (terraces) ซึ่งปัจจุบันมักเป็นพื้นที่อยู่อา ัยและพื้นท่ีเก ตรกรรม
ในบริเ ณใกล้เคียงกับแม่น�้า รือคลองขนาดใ ญ่มักพบร่องรอยทางน�้าเก่า รือทางน้�าโบราณ
(paleao-channels) ซึ่งปัจจบุ ันมี ภาพเป็นที่ล่มุ ใชท้ �าการเก ตร เชน่ ปลกู ข้า รอื ปาล์มน�้ามัน เปน็ ตน้
ตั อยา่ งของพืน้ ทลี่ กั ณะน้ี ไดแ้ ก่ ต�าบลนาชะอัง และต�าบลบางลึก ในเขตอ�าเภอเมืองชุมพร เป็นตน้
ธรณสี ณั ฐานแบบทเี่ ปน็ ทสี่ งู (upland/mountain landform) ธรณี ณั ฐานประเภทนแ้ี บง่ ได้
เป็นธรณี ัณฐานประเภทภูเขา (mountain, hill) และเ ินเชิงเขา (colluvial) ซ่ึงภูเขาในบริเ ณ
คาบ มทุ รมลายตู อนบนเป็นภูเขาทมี่ คี าม ูงไมม่ ากนัก (ค าม ูงเฉลีย่ ประมาณ 1,000 เมตรเ นอื ระดับ
น�้าทะเลปานกลาง) โดยมีเทือกเขา างตั เป็นแน ยา ในทิ เ นือ-ใต้ ซ่ึงเทือกเขานี้เป็นเทือกเขา
ที่ต่อเนือ่ งจากเทือกเขาในภาคตะ นั ตก เทือกเขา า� คัญได้แก่ เทอื กเขาตะนา รี ซึ่งแยกออกเปน็ 2 แน
ทบ่ี ริเ ณแมน่ �้ากระบุรี (แม่นา�้ ปากจัน่ ) แน ตะ นั ตกอยู่ในเขตประเท เมียนมา และแน ตะ นั ออกอยู่ใน
เขตประเท ไทยเรยี ก า่ เทอื กเขาภเู กต็ ซง่ึ ปลายดา้ นเ นอื ของทิ เขาเรม่ิ จากคอคอดกระตอ่ เนอ่ื งเปน็ แน
ลงไปทางตะ นั ตกเฉยี งใต้จนถึงเกาะภูเกต็ ( �านกั งานคณะกรรมการ ิจยั แ ่งชาติ, 2538: 54) ถดั มาเป็น
133
นงั อื รวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
พนื้ ทที่ ม่ี กี ารทบั ถมของแ ลง่ เ นิ เชงิ เขา (colluvial deposit) ซงึ่ ปรากฏอยเู่ ปน็ บรเิ ณแคบ ๆ ตามเชงิ เขา
า� รบั ทางฝง่ั ตะ นั ออกของพน้ื ทคี่ อื ในเขตจงั ดั ชมุ พรนน้ั แน เทอื กเขา ่ นใ ญป่ รากฏอยดู่ า้ นทิ ตะ นั ตก
ของจงั ดั ซง่ึ เปน็ แน เทอื กเขาเดยี กนั กบั เทอื กเขาในเขตจงั ดั ระนองทต่ี อ่ เนอื่ งกนั มคี าม งู ประมาณ
300-500 เมตรเ นือระดับน�้าทะเลปานกลาง แน เทอื กเขาในคาบ มทุ รมลายตู อนบนนน้ั เป็นตน้ ก�าเนิด
ของแม่น�้าและคลอง ายต่าง ๆ แ ล่งต้นน้�าที่ �าคัญได้แก่ เทือกเขาทางตะ ันตกเฉียงเ นือของจัง ัด
ชมุ พรเปน็ ตน้ นา�้ ของคลองรบั รอ่ ในเขตบา้ นปากแพรก ตา� บลนากระตาม อา� เภอทา่ แซะ ซงึ่ ไ ลมาร มกับ
คลองท่าแซะเป็นแม่น�้าท่าตะเภา ่ นเทือกเขาทางตอนใต้ของจัง ัดมีแ ล่งน้�าบนเทือกเขา ในตา� บล
ปากทรง อ�าเภอพะโตะ๊ จงั ดั ชมุ พรทีเ่ ปน็ ตน้ น�้าของแมน่ �้า ลงั น เปน็ ตน้
นอกจากนี้ยังพบพื้นท่ีลูกคลื่นลอนลาดและท่ีราบลุ่ม ่ นใ ญ่อยู่ทางตอนกลางของจัง ัด
ชุมพร ซ่งึ ประกอบด้ ยภูมิประเท ที่เปน็ เนินเขา (weathering hill) ซึ่งเปน็ ลัก ณะของเนนิ เขาทเี่ กิดจาก
การผุพังอยู่กับที่ (weathering) ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากแน รอยเล่ือน จึงมักพบการ างตั ในแน
ตะ นั ออกเฉยี งเ นือ-ตะ นั ตกเฉยี งใตเ้ ชน่ เดยี กบั แน รอยเลื่อน พบในเขตอ�าเภอเมอื ง และอา� เภอ ี
ธิ กี าร ึก า
ในการ กึ าครง้ั นใี้ ชก้ ารแปลค ามจากภาพถา่ ยทางอากา และภาพถา่ ยดา เทยี ม ซง่ึ เปน็ ขอ้ มลู
การรบั รรู้ ะยะไกล เพอื่ ทา� ค ามเขา้ ใจเกย่ี กบั ภมู ลิ กั ณข์ องจงั ดั ระนองและจงั ดั ชมุ พร จากนน้ั ดา� เนนิ
การ า� ร จในพน้ื ทจ่ี รงิ แล้ นา� ขอ้ มลู ทไี่ ดม้ าจดั ทา� แผนทแี่ ดงตา� แ นง่ ทตี่ ง้ั ของแ ลง่ โบราณคดลี งบนแผนท่ี
ธรณี ณั ฐาน จากนน้ั ทา� การจดั จา� แนกแ ลง่ โบราณคดตี ามลกั ณะธรณี ณั ฐานและยคุ มยั ทางโบราณคดี
แล้ น�าไป ิเคราะ ์ถึงค าม ัมพันธ์ของต�าแ น่งที่ต้ังกับประเภท รือบทบาทของแ ล่งโบราณคดีน้ัน
โดยพจิ ารณาจาก ลักฐานทางโบราณคดที คี่ น้ พบ
ธรณี ัณฐานและแ ล่งโบราณคดี
จากการดา� เนนิ งานทางโบราณคดใี นคาบ มทุ รมลายตู อนบน พบแ ลง่ โบราณคดที ต่ี งั้ อยใู่ นธรณี
ณั ฐานทง้ั ธรณี ณั ฐานชายฝง่ั ธรณี ณั ฐานทเ่ี กดิ จากการกระทา� ของนา�้ และธรณี ณั ฐานทเ่ี ปน็ ท่ี งู ทงั้ น้ี
แ ล่งโบราณคดีท่ีกล่า ถึงในบทค ามน้ีเป็นตั อย่างของแ ล่งโบราณคดีที่ผู้ ิจัยได้ท�าการ �าร จเท่านั้น
ซงึ่ เปน็ เพียง ่ น น่ึงของแ ลง่ โบราณคดีทีพ่ บในพื้นท่ี ดงั รายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี
ธรณี ัณฐานชายฝัง่
พบการตง้ั ถน่ิ ฐานบนเนนิ เขาบนทล่ี มุ่ ราบนา้� ขน้ึ ถงึ เกา่ (old tidal flat) ทางฝง่ั ตะ นั ตก จา� น น
1 แ ล่ง และร่องรอยการใช้พ้ืนที่บนท่ีราบในถ้�าบนบนภูเขา ินปูนบนที่ราบน้�าทะเลขึ้นถึง (tidal flat)
ทางฝั่งตะ นั ตก จา� น น 1 แ ลง่ และทางฝง่ั ตะ ันออก จ�าน น 1 แ ล่ง
134
แหลง่ โบราณคดบี นเนนิ เขาบนทลี่ มุ่ ราบนา�้ ขน้ึ ถงึ เกา่ (old tidal flat) ไดแ้ ก่ แหลง่ โบราณคดี
ภเู ขาทอง มทู่ ่ี 4 ตา� บลกา� พ น า� เภ ขุ า� ราญ จงั ดั ระน ง ภมู ลิ กั ณข์ งแ ลง่ โบราณคดเี ปน็ เนนิ เขา
ตดิ ต่ กบั ทร่ี าบซง่ึ มลี า� นา้� ไ ลผา่ น และ า่ งจากชายฝง่ั ปจั จบุ นั ประมาณ 2 กโิ ลเมตร ลกั ฐานทางโบราณคดี
ทพ่ี บ ไดแ้ ก่ เ ภาชนะดนิ เผาเนื้ ดนิ แบบพน้ื เมื ง เ ภาชนะดนิ เผาจากดนิ แดน นื่ เชน่ เ ภาชนะดนิ
เผาทมี่ กี ารตกแตง่ ด้ ยซฟ่ี นั เฟื ง (rouletted ware) เ ภาชนะดนิ เผาทมี่ ปี มุ่ ตรงกลางดา้ นใน (knobbed
ware) เ ภาชนะดินเผามีจารึก ัก รทมิ -พรา มี ภา าทมิ ายุประมาณพุทธ ต รร ที่ 7 และ
เ ภาชนะดนิ เผาทม่ี รี ่ งร ยการขดี เขยี นเปน็ ญั ลกั ณ์ รื ตั กั รพรา มี ายปุ ระมาณพทุ ธ ต รร
ที่ 9 เครื่ งประดบั ท งคา� ลายรปู แบบ เชน่ ลกู ปดั ท งคา� ทม่ี กี ารนา� เมด็ ท งคา� ขนาดเลก็ มาตดิ เรยี งเปน็ ง
(granulated gold beads) ซงึ่ เปน็ รูปแบบคลา้ ยที่พบในแ ล่งโบราณคดีประเท ิ ร่าน น กจากนยี้ งั
พบ ลกั ฐานเกีย่ กับการผลิตลูกปดั แก้ และลูกปัด นิ ท่แี ล่งโบราณคดีนี้ ีกด้ ย (บุณยฤทธิ์ ฉาย ุ รรณ
และเรไร นยั ฒั น,์ 2552: 97-106; บณุ ยฤทธ์ิ ฉาย ุ รรณ, 2559) จาก ลกั ฐานทางโบราณคดที พี่ บ ามารถ
ก�า นด ายุแ ล่งโบราณคดีน้ไี ด้ า่ ยใู่ น มัยแรกเร่ิมประ ัติ า ตร์
แ ลง่ โบราณคดที เี่ ปน็ ถา�้ ในภเู ขาหนิ ปนู ลกู โดดบนทรี่ าบนา้� ทะเลขนึ้ ถงึ (tidal flat) ทพี่ บทาง
ฝั่งตะ ันตก ได้แก่ ถ้�าพระขยางค์ บ้านล�าเลียง มู่ท่ี 5 ต�าบลล�าเลียง �าเภ กระบุรี จัง ัดระน ง
เป็นแ ล่งโบราณคดีท่เี ป็นถ้�าขนาดใ ญ่ ดา้ น น้าถ้�าพบร่ งร ยข งเ า้ ทะเล (sea notch) ย่างชัดเจน
ลักฐานทางโบราณคดีทีพ่ บจากการ า� ร จ ได้แก่ เ ภาชนะดนิ เผาเน้ื ดนิ น กจากน้ีเคยมกี าร �าร จ
พบโครงกระดกู มนุ ยโ์ บราณ และบางถา้� มกี ารระบุ า่ พบภาพเขยี น ดี ้ ย (ประทมุ ชมุ่ เพง็ พนั ธ,์ุ 2545: 66)
แหล่งโบราณคดีบนภูเขาหินปูนเต้ียบนที่ราบน�้าทะเลข้ึนถึง (tidal flat) ได้แก่ แหล่ง
โบราณคดีถ�้าถ้วย ต�าบลปากตะโก �าเภ ทุ่งตะโก จงั ัดชมุ พร เป็นถ้�าขนาดเล็กบริเ ณเชงิ เขาในภเู ขา
เตย้ี ๆ ในเขต ทิ ยาลยั ประมงชมุ พรเขต ดุ ม กั ด์ิ ประก บด้ ยถา�้ จา� น น 3 ถา้� ยใู่ กลก้ นั ทางดา้ นทิ เ นื
จากการดา� เนนิ งานทางโบราณคดพี บเ ภาชนะดินเผาเน้ื ดนิ ธรรมดาแบบพืน้ เมื ง และเ ภาชนะท่ี
น่าจะน�าเข้าจากดินแดน ่ืน เช่น เ ภาชนะแบบ Sa-Huynh-Kalanay เ ภาชนะดินเผาแบบมีการ
ตกแตง่ ด้ ยซฟ่ี ันเฟื ง (rouletted ware) เ ภาชนะดนิ เผาเน้ื แกรง่ จากกลมุ่ เตาฉี ื มณฑลก ่างตง
ายุประมาณคร่ึง ลังข งพุทธ ต รร ที่ 17 และบางช้ินเป็นผลิตภัณฑ์จากเตาเดีย กันแต่มี ายุใน
ช่ งตน้ ถงึ กลางพทุ ธ ต รร ที่ 19 ( ารทั ชล นั ติ กุล, ภริ ฐั เจะเ ล่า และชาคริต ทิ ธิฤทธิ์, 2557:
105) ลกู ปดั นิ คารเ์ นเลยี นและลกู ปดั แก้ ชนิ้ ่ นกระดกู มนุ ยแ์ ละกระดกู ตั ์ ร มทง้ั เปลื ก ยจา� น นมาก
ซึ่งจาก ลักฐานท่ีค้นพบ าจแ ดงใ ้เ ็น ่ามีการใช้พ้ืนท่ีในแ ล่งโบราณคดีนี้ ลายช่ งเ ลา โดยการ
ก�า นด ายุเชงิ เทียบจากเครื่ งถ้ ยเตาฉี ื และการกา� นด ายุด้ ย ิธที าง ทิ ยา า ตร์ ซึ่งการก�า นด
ายุจากตั ย่างถ่านท่ีได้จาก ลุมขุดค้นท่ีด�าเนินการโดยโครงการ ิจัยไทย-ฝรั่งเ ได้ค่า ายุดังน้ีคื
ชัน้ ดนิ ที่ 1 มี ายใุ นช่ ง ค. . 665-865 และชนั้ ดินที่ 3 มี ายุ 345-340 ก่ นคริ ตกาล (โครงการ ิจยั
โบราณคดีไทย-ฝร่งั เ บนคาบ มทุ รไทย-มลายู, 2557) และในการ า� ร จเมื่ พ. . 2558 ผู้ จิ ัยไดน้ �า
ตั ย่างดินจากผนังชั้นดินภายในถ้�าไป าค่า ายุด้ ย ิธีเรื งแ งค ามร้ น (Thermoluminescence
Dating) ได้ค่า ายุ 2735 ± 44 BP (cal 1259 ± 25 AD.) และ 716 ± 36 BP (cal 1277 ± 17 AD.)
ดงั นน้ั จงึ าจกลา่ ได้ า่ มกี ารใชพ้ น้ื ทแ่ี ลง่ โบราณคดนี ใ้ี น มยั แรกเรมิ่ ประ ตั ิ า ตร์ และมกี ารกลบั มาใช้
พน้ื ที่ กี ครงั้ ใน มยั ประ ัติ า ตร์ (รา พุทธ ต รร ที่ 18-19)
135
นงั ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ธรณี ัณฐานท่เี กิดจากการกระท�าของนา้�
แ ล่งโบราณคดีบนท่ีราบตะกอนน้�าพา (alluvial plain) ได้แก่ แ ล่งโบราณคดีใน
เขตตา� บลปงั าน อา� เภอพะโตะ๊ จงั ดั ชมุ พร ตั อยา่ งแ ลง่ โบราณคดที พี่ บ ไดแ้ ก่ แ ลง่ โบราณคดปี งั วาน
(แ ล่งโบราณคดีบ้านทอนพง ์) มู่ที่ 5 บริเ ณที่พบ ลักฐานทางโบราณคดีปัจจุบันเป็น ่ น นึ่ง
ของถนน ายราชกรูด- ลัง น พื้นที่เก ตรกรรมและบ้านพักของนาย ิรัตน์ แก้ กล่ัน ลักฐานทาง
โบราณคดที ่พี บ ได้แก่ เ ภาชนะดินเผาและเครอื่ งมอื นิ รปู แบบตา่ ง ๆ จา� น นมาก เชน่ ข าน ินขดั
ข าน ินขัดมีบ่าตั ข านยา เป็นต้น จากโบราณ ัตถุท่ีพบอาจก�า นดอายุใ ้แ ล่งโบราณคดีน้ีอยู่ใน
ยุคกอ่ นประ ัติ า ตร์ ( มัย นิ ใ ม่)
แ ล่งโบราณคดีบนเพิงผา ินปูนบนที่ราบตะกอนน้�าพา พบจ�าน น 1 แ ล่ง คือ แ ล่ง
โบราณคดเี พงิ ผาเขา มาแ งน ตา� บลชอ่ งไมแ้ ก้ อา� เภอทงุ่ ตะโก จงั ดั ชมุ พร พบ ลกั ฐานทางโบราณคดี
ที่ �าคัญคอื เ ภาชนะดนิ เผาแบบ Sa-Huynh-Kalanay (ประอร ลิ าพันธ,์ุ 2557) ซึ่งอาจเปน็ ลกั ฐาน
ท่แี ดงใ ้เ ็นถงึ การใชพ้ ้ืนทีใ่ น มัยแรกเรม่ิ ประ ตั ิ า ตร์
แ ล่งโบราณคดีบนเนินเขาบนท่ีราบน�้าท่วมถึง (flood plain) ได้แก่ แ ล่งโบราณคดี
เขา ามแก้ และแ ล่งโบราณคดีเขาเ ก ซงึ่ เปน็ แ ลง่ โบราณคดี มยั แรกเริ่มประ ตั ิ า ตร์
แ ลง่ โบราณคดีเขา ามแก้ว อา� เภอเมือง จัง ัดชมุ พร บริเ ณท่พี บ ลักฐานทางโบราณคดี
เป็นเนนิ เขาจา� น น 4 เนิน มแี มน่ ้�าท่าตะเภาไ ลผา่ นทางทิ ตะ ันตก และดา้ นทิ ตะ นั ออกอยู่ า่ งจาก
ชายฝั่งปัจจุบันประมาณ 5 กิโลเมตร และพบร่องรอยทางน�้าเก่า (palaeo-channels) ทางทิ ใต้และ
ทิ ตะ ันออกของแ ล่ง ท่ีอาจใช้เป็นเ ้นทางออก ู่ทะเลได้ จาก ลักฐานทางโบราณคดีที่พบ ามารถ
ันนิ ฐานได้ ่าแ ล่งโบราณคดีแ ่งนี้เป็นทั้งท่ีอยู่อา ัย ถานีการค้าและแ ล่งผลิต ัตถกรรมประเภท
เคร่ืองประดับที่ท�าจาก ินและแก้ ท่ีน่าจะมีบทบาท �าคัญในเครือข่ายการติดต่อแลกเปลี่ยนระ ่าง
อินเดีย เอเชียตะ ันออกเฉียงใต้และทะเลจีนใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่ งประมาณ 400-200 ปีก่อน
คริ ตกาล โบราณ ตั ถุ า� คัญท่คี น้ พบ ได้แก่ เ ภาชนะดนิ เผาทม่ี ีการตกแต่งด้ ยซ่ฟี ันเฟือง (rouletted
ware) เ ภาชนะดินเผาท่ีตกแต่งด้ ยการกดประทับ (stamp ware) เ ภาชนะดินเผาแบบท่ีมีปุ่ม
ตรงกลางดา้ นใน (knobbed ware) ลกู ปดั แก้ ลกู ปดั ทท่ี า� จาก นิ กงึ่ อญั มณี เชน่ นิ คารเ์ นเลยี น นิ อาเกต
ต่าง ูที่ท�าจาก ินเนฟไฟรต์แบบลิงลิง-โอ (lingling-o) และแบบรูป ัต ์ อง ั (bicephalous)
กลองมโ ระทกึ า� รดิ ชนิ้ ่ นคนั ฉอ่ ง มยั ราช ง ฮ์ นั่ และตราประทบั มตี ั อกั รพรา มี เปน็ ตน้ (Bellina
and Silapanth, 2006a, 2006b)
แ ลง่ โบราณคดเี ขาเ ก เปน็ แ ลง่ โบราณคดที ค่ี รอบคลมุ พนื้ ทเี่ นนิ เขาและเชงิ เขา อยใู่ กลค้ ลอง
ขนาดเลก็ ตา� บล งั ตะกอ อา� เภอ ลงั น จัง ัดชมุ พร พบ ลกั ฐานทางโบราณคดเี ปน็ จ�าน นมาก ได้แก่
เ ภาชนะดินเผา ตราประทบั ดินเผาอัก รพรา มี ภา าปรากฤต (อา่ นโดย ร .กรรณกิ าร์ ิมลเก ม)
เคร่อื งประดับทา� จาก ินก่ึงอัญมณี เชน่ ลูกปัด ินคารเ์ นเลียนและ นิ อาเกต ต่าง ทู ่ที า� จาก นิ เนฟไฟรต์
แบบลิงลิง-โอ (lingling-o) และแบบรปู ัต ์ อง ั (bicephalous) เคร่อื งประดับทีท่ �าจากแก้ ได้แก่
136
ลูกปัดแก้ และก�าไลแก้ เครื่องมือเครื่องใช้ท�าจากโล ะ ชิ้น ่ นภาชนะ �าริด เป็นต้น จาก ลักฐาน
ทางโบราณคดีบางประเภทที่พบทา� ใ ้ นั นิ ฐานได้ า่ แ ล่งโบราณคดีเขาเ กน่าจะเปน็ แ ล่งท่อี ยอู่ า ยั
ถานีการค้า และแ ล่งผลิตเครื่องประดับท่ีท�าจากแก้ และ ินกึ่งอัญมณีเช่นเดีย กับแ ล่งโบราณคดี
เขา ามแก้
ธรณี ัณฐานที่เป็นท่ี งู
จากการ า� ร จพบการใชพ้ น้ื บนที่ งู คอื ถา้� เพงิ ผา ไ ลเ่ ขาและทล่ี าดเชงิ เขา ทง้ั นไ้ี ดค้ น้ พบแ ลง่
โบราณคดที ี่เปน็ ถ�้าเปน็ จ�าน นมากก ่าแ ล่งโบราณคดีประเภทอืน่ ดงั ตั อย่างต่อไปน้ี
แ ลง่ โบราณคดีประเภทถ้�า พบทั้งทางฝง่ั ตะ นั ตกและฝัง่ ตะ ันออก แ ล่งโบราณคดปี ระเภท
ถ�้า ่ นใ ญ่เป็นแ ล่งโบราณคดียุคก่อนประ ัติ า ตร์และ มัยแรกเริ่มประ ัติ า ตร์ ตั อย่างแ ล่ง
โบราณคดีประเภทนที้ างฝ่ังตะ ันตก ไดแ้ ก่ แ ล่งโบราณคดีประเภทถ้�าในเขตต�าบลใน งเ นือ ต�าบลใน
งใต้ และต�าบลละอุ่นเ นือ อ�าเภอละอุ่น จัง ัดระนอง เช่น แ ล่งโบราณคดีถ�้า นัดได ( ลัดได)
มูท่ ่ี 2 ต�าบลใน งเ นอื ภาพทั่ ไปของแ ล่งเป็นถา�้ ทีผ่ ังภายในค่อนขา้ งกลม ภายในถ�้าประกอบด้ ย
โถงใ ญ่ 2 ้อง นา้ ถ้�ามลี �าธารไ ลผา่ น ลักฐานทางโบราณคดีทพ่ี บ ได้แก่ เ ภาชนะดินเผาเนื้อดิน
นอกจากนยี้ งั เคยมกี ารพบเ ภาชนะประเภท มอ้ ามขาและโครงกระดกู มนุ ย์ (อรญั กุ ใ , มั ภา ณ,์
22 พฤ ภาคม 2554)
แ ลง่ โบราณคดีถ้�าเ อื มทู่ ่ี 1 บ้านผาพิง ตา� บลใน งเ นอื เป็นถ�้าขนาดใ ญ่ มี 4 ชัน้ และ
อาจแบง่ ไดเ้ ปน็ 2 ดา้ น คอื ดา้ นทิ ตะ นั ตกและทิ ตะ นั ออกซงึ่ มที างเชอื่ มตอ่ กนั ได้ ลกั ฐานทางโบราณคดี
ท่ี า� คัญทพ่ี บ ไดแ้ ก่ ภาชนะดนิ เผาทก่ี น้ ตรงกลางด้านในมปี ่มุ นนู (knobbed ware) ซงึ่ มี ภาพค่อนข้าง
มบรู ณ์ (บุณยฤทธ์ิ ฉาย ุ รรณ, 2559: 115)
แ ล่งโบราณคดีถ้�าน้�าลอด ตั้งอยู่ในเขตบ้านเนินทอง ต�าบลใน งใต้ เป็นถ้�าขนาดใ ญ่
างตั ในแน ตะ นั ออก-ตะ นั ตก และมชี อ่ งเปดิ ทง้ั ทางตะ นั ออก-ตะ นั ตก ดา้ นลา่ งมลี า� ธารไ ลผา่ นจาก
ด้าน นา้ ไปยังดา้ น ลังของถา�้ จากการ า� ร จพบ ะเก็ด ินและเปลอื ก อยจา� น นมากนอกจากนยี้ งั พบ
เ ภาชนะดินเผาเนื้อดิน พบทั้งแบบผิ เรียบและแบบที่มีการตกแต่งด้ ยลายเชือกทาบ และบางชิ้น
ามารถระบุรปู ทรงได้ า่ เป็นชน้ิ ่ นของ มอ้ มี ัน ชนิ้ ่ น ม้อปากก า้ ง ถ้ ยทรง ูง เป็นตน้ และจาก
การ มั ภา ณพ์ บ า่ เคยมกี ารพบลกู ปดั นิ คารเ์ นเลยี นทแ่ี ลง่ โบราณคดแี ง่ นด้ี ้ ย (อรญั กุ ใ , มั ภา ณ,์
22 พฤ ภาคม 2554)
แ ล่งโบราณคดีถ้�าประกายเพชร (ถ้�า งู ) บา้ นคอกช้าง ต�าบลละอุน่ เ นือ เปน็ ถ้�าท่มี ี 2 ถ้า� อยู่
ตดิ กนั คอื ถา�้ นงึ่ อยดู่ า้ นลา่ งและอกี ถา้� อยดู่ า้ นบน ซงึ่ ถา�้ ดา้ นบนเปน็ ถา้� ขนาดใ ญม่ ี 3 คู า จากการ า� ร จ
พบเ ภาชนะดินเผาเน้ือดินจ�าน น นึ่งในถ้�าด้านล่าง นอกจากน้ียังเคยมีการค้นพบลูกปัด ิน ีน้�าตาล
และลูกปัด ิน ี ้ม เครื่องมือเ ล็ก ขันและทัพพี �าริด ข าน ินขัดท�าจาก ิน ลายชนิดในถ้�าด้านล่างนี้
่ นถ�้าด้านบนเคยมีการค้นพบโครงกระดูกมนุ ย์ เ ภาชนะดินเผา และข าน ินขัด (พระอนุพง ์
อนภุ ทั โธ, มั ภา ณ์, 22 พฤ ภาคม 2554)
137
นัง ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เนอ่ื งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ตัวอย่างแ ล่งโบราณคดีประเภทถ้�าทางฝั่งตะวันออก ได้แก่ แ ล่งโบราณคดีในเขตอ�าเภอ
ทา่ แซะ อา� เภอทงุ่ ตะโก และอา� เภอ ี
แ ลง่ โบราณคดปี ระเภทถา้� ในเขตอา� เภอทา่ แซะ ไดแ้ ก่ แ ลง่ โบราณคดวี ดั เทพเจรญิ (ถา�้ รบั รอ่ )
มู่ท่ี 4 ต�าบลท่าข้าม อ�าเภอท่าแซะ จัง ัดชุมพร ถ้�าที่พบโบราณ ัตถุ มีจ�าน น 3 ถ�้า ได้แก่ ถ�้าเพชร
ถ้�าอ้ายเตย์ และถ�้าพระ ซ่ึงภายในถ้�าเพชรเคยมีการค้นพบเ ภาชนะดินเผาและภาชนะดินเผา
ซึ่ง ันนิ ฐาน ่ามีอายุในยุคก่อนประ ัติ า ตร์ แต่อย่างไรก็ตามพบ ่ามีการใช้พื้นที่ในถ้�าใน มัยอยุธยา
และรตั นโก ินทร์ด้ ย ดังปรากฏจิตรกรรมภาพพระพุทธไ ยา น์ ท่ี ันนิ ฐาน ่าเขียนขึน้ ใน มยั อยธุ ยา
บนผนังถ�้าอ้ายเตย์ ( ิ ันธนี โพธิ ุนทร, 2542: 97) และมีการประดิ ฐานพระพุทธรูป มัยอยุธยาและ
มยั รตั นโก ินทรท์ ่ถี �้าพระ ( ารทั ชลอ ันติ กุล, อภิรัฐ เจะเ ล่า และชาครติ ิทธิฤทธิ,์ 2557: 76)
แ ลง่ โบราณคดปี ระเภทถา้� ในเขตอา� เภอทงุ่ ตะโก ไดแ้ ก่ แ ลง่ โบราณคดถี า้� ฉานเรน มทู่ ่ี 10
ตา� บลตะโก อา� เภอทงุ่ ตะโก จงั ดั ชมุ พร มลี กั ณะเปน็ ถา�้ ทอ่ี ยลู่ กึ ลงไปจากผิ ดนิ นา้ ถา�้ บรเิ ณดา้ น นา้
เปน็ เพงิ ผา ขี า มลี า� ธารไ ลผา่ น จากการ า� ร จพบเ ภาชนะดนิ เผาเนอื้ ดนิ กระจายอยใู่ นถา�้ และบรเิ ณ
เพิงผา เป็นช้ิน ่ นของภาชนะดินเผาเนื้อ ยาบมีเม็ดทรายปนมาก เ ภาชนะดินเผาจ�าน น น่ึงเป็น
ชิ้น ่ นของ ม้อ ามขา มีทั้งแบบผิ เรียบและตกแต่งด้ ยลายเชือกทาบ นอกจากน้ียังพบเครื่องมือ ิน
ประเภทข าน นิ ขดั และชิน้ ่ นกระดูก นั นิ ฐาน า่ แ ลง่ โบราณคดีแ ่งนอ้ี าจเคยเป็นทอ่ี ย่อู า ัยและ
แ ล่งฝงั พของมนุ ย์ มยั นิ ใ ม่
แ ล่งโบราณคดีประเภทถ้�าในเขตต�าบลเขาค่าย อ�าเภอ วี จัง วัดชุมพร ตั อย่าง
แ ล่งโบราณคดี ได้แก่ แ ล่งโบราณคดีถ�้าเขา น้า าลช้างเล่น (ถ�้าทิพย์ปรีดา) และแ ล่งโบราณคดี
ถา้� ซอยร่ มมติ ร
แ ลง่ โบราณคดถี า้� เขา นา้ ศาลชา้ งเลน่ (ถา้� ทพิ ยป์ รดี า) มทู่ ่ี 12 มลี กั ณะเปน็ ถา�้ ขนาดใ ญ่
ทพ่ี น้ื ถา้� มรี อ่ งรอยการขดุ าโบราณ ตั ถุ ลกั ฐานทางโบราณคดที พ่ี บจากการ า� ร จ ไดแ้ ก่ เ ภาชนะดนิ เผา
ขนาดเล็ก ประมาณ 4-5 ชิน้ แตจ่ ากการ มั ภา ณไ์ ดข้ ้อมูล ่าเคยพบ มอ้ ดินเผา แี ดง เ ภาชนะดนิ เผา
ช้ิน ่ น า� ริด และลกู ปัดแก้ ีต่าง ๆ (อรัญ กุ ใ , ัมภา ณ์, 23 พฤ ภาคม 2554)
แ ล่งโบราณคดีถ้�าซอยร่วมมิตร มู่ท่ี 3 มีลัก ณะเป็นถ�้าขนาดใ ญ่ 2 ช้ัน ลักฐานทาง
โบราณคดีท่ีพบจากการ า� ร จได้แก่ เ ภาชนะดนิ เผาเน้อื ดนิ ะเกด็ ิน กระดกู ตั ์ และเปลือก อย
นอกจากนย้ี งั เคยมกี ารพบข าน นิ ขดั ภายในถา้� อกี ทงั้ บรเิ ณ นา้ ถา้� เคยพบเ ภาชนะดนิ เผาและลกู ปดั
นี า้� เงินด้ ย (อรัญ ุกใ , มั ภา ณ,์ 23 พฤ ภาคม 2554)
แ ล่งโบราณคดีประเภทถ้�าในเขตต�าบลเขาทะลุ อ�าเภอ วี จัง วัดชุมพร ได้แก่ แ ล่ง
โบราณคดถี �้า ้วยทับทอง มทู่ ่ี 9 เป็นถ้า� ท่ีมี ้องภายในยา เพดาน งู ปัจจบุ นั เป็น �านกั งฆ์ ลกั ฐาน
ทางโบราณคดีทีพ่ บ ได้แก่ เ ภาชนะดินเผาเน้อื ดนิ จ�าน นมาก
138