ผา้ ขาวม้าและยา่ มในกระบวนการฟ้นื ฟวู ฒั นธรรมไทยเบง้ิ โคกสลุง*
ดร.พรสวรรค์ ตรพี าสัย**
Pornsawan Tripasai
* บทค ามนี้เปน็ ่ น นึง่ ของงาน จิ ัยเรอ่ื ง “ผ้าขา ม้ากับย่ามเล่าเร่อื ง: ผ้าทอ การฟ้ืนฟู ฒั นธรรมพื้นบา้ นไทย
เบงิ้ โคก ลงุ และการทอ่ งเทยี่ เชงิ ฒั นธรรม ตา� บลโคก ลงุ อา� เภอพฒั นานคิ ม จงั ดั ลพบรุ ”ี นบั นนุ ทนุ จิ ยั โดยกองทนุ
ิจยั และ ร้าง รรค์คณะโบราณคดี ปีงบประมาณ พ. . 2559
** ผ้ชู ่ ย า ตราจารย์ประจา� ภาค ชิ าภา าตะ ันตก คณะโบราณคดี ม า ิทยาลัย ิลปากร
439
นัง อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทคัดยอ่
บทค ามเรอื่ งนมี้ ี ตั ถปุ ระ งคเ์ พอื่ กึ าการปรบั เปลยี่ นบทบาทของการทอผา้ และผา้ ทอพนื้ บา้ น
ประเภทผา้ ขา มา้ กบั ยา่ ม ทปี่ รากฏในกระบ นการฟน้ื ฟู ฒั นธรรมของชา ไทยเบง้ิ โคก ลงุ จงั ดั ลพบรุ ี
ทา� การเกบ็ ขอ้ มลู ภาค นามด้ ย ธิ กี าร มั ภา ณเ์ ชงิ ลกึ และการ งั เกตการณอ์ ยา่ งมี ่ นร่ ม โดยประยกุ ต์
แน คิดประเพณีประดิ ฐ์ในกา ิเคราะ ์ ผลการ ึก าแ ดงใ ้เ ็น ่า กระบ นการฟื้นฟู ัฒนธรรมของ
ชา ไทยเบงิ้ โคก ลงุ มจี ดุ เรมิ่ ตน้ จากการใช้ ฒั นธรรมทไี่ ดร้ บั การอนรุ กั ฟ์ น้ื ฟใู นการแกป้ ญั าทเี่ กดิ ขนึ้ จาก
การ ร้างเขื่อนป่า ักชล ิทธ์ิ การทอผ้าและผ้าขา ม้ากับย่ามถูกใช้เป็นเครื่องมือในกระบ นการฟื้นฟู
ฒั นธรรม ในช่ งแรกการทอผา้ และผา้ ขา มา้ กบั ยา่ มถกู นา� มาใชใ้ นการ รา้ งอตั ลกั ณท์ าง ฒั นธรรมของ
ชา ไทยเบ้ิงโคก ลุง โดยมีผู้ ูงอายุเป็นผู้น�าเ นอ ก่อนปรับเปลี่ยน ัตถุประ งค์มาเป็นการ ืบ าน
ัฒนธรรม โดยใ ค้ าม า� คญั กบั กลุม่ เด็กและเยา ชน มีการจัดคา่ ยเรยี นภมู ปิ ญั ญาท่ใี ผ้ ู้เข้าร่ มได้เรียนรู้
การทอผา้ และทา� กจิ กรรมทาง ฒั นธรรมทต่ี อ้ ง มใ เ่ ครอ่ื งแตง่ กายพน้ื บา้ น กระทง่ั ปจั จบุ นั มกี ารปรบั เปลยี่ น
การทอผ้าและผ้าขา ม้ากับยา่ มใ ก้ ลายเป็น นิ ค้าทาง ฒั นธรรมเพอื่ การทอ่ งเท่ีย
คา� ส�าคญั : การฟนื้ ฟู ฒั นธรรม, ประเพณีประดิ ฐ,์ ไทยเบ้ิงโคก ลงุ , ผา้ ทอพ้นื บา้ น
440
Abstract
This article is a study of the changing roles of textile weaving and the two types
of local textiles of the Thai Beung Khoksalung ethnic group, which are loin-cloth and
shoulder bag, used in the cultural revitalisation process. The data collection methods
are in-depth interview and participant observation. The concept of invented tradition was
used as the theoretical framework for the analysis. It was found that cultural revitalisation
of the Thai Beung Khoksalung began with the intention to use the revitalised local culture
to solve the problems caused by the construction of Pasak Jolasid Dam. Weaving, loincloths
and shoulder bags were employed as strategic tools. At the beginning, they were used
for cultural identity creation with the elderly group as the presenters. When the objective
of cultural revitalisation was changed to cultural continuation, the focus was redirected
to the youth group. Local knowledge camps were arranged for the target group to learn
about weaving and to participate in cultural activities that gave them chances to dress
up in local costumes. Currently, the objective has been changed to the cultural development
in order to make local culture survive in the changing socio-economic condition. As a
result, weaving, loin-cloths and shoulder bags are transformed into cultural commodities
for tourism.
Keywords: cultural revitalization, Invented Tradition, Thai Beung Khoksalung, local textiles
441
นงั อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทนา�
การพัฒนาประเท ตามแผนพัฒนาเ ร ฐกิจและ ังคมแ ่งชาติใ ้ค าม �าคัญกับการพัฒนา
โครง รา้ งพนื้ ฐาน การคมนาคม การลงทนุ ของภาคอตุ า กรรม การพฒั นาเก ตรกรรม และการยกระดบั
รายไดข้ องประชาชน ทา� ใ เ้ กดิ การกระจายรายไดไ้ ป ชู่ นบท ชา บา้ นมฐี านะค ามเปน็ อยทู่ ด่ี ขี น้ึ (กาญจนา
แก้ เทพ, 2530ก; ิ ัฒน์ชัย อัตถากร, 2530) แต่อีกด้าน นึ่ง การพัฒนาท�าใ ้ชุมชนชนบทมีการ
เปลยี่ นแปลงจาก งั คมเก ตรกรรมแบบพงึ่ พาตนเองทมี่ คี รอบครั เปน็ น่ ยการผลติ ไปเปน็ งั คมทที่ า� การ
เก ตรเพื่อการค้า และเกิดการเคล่ือนย้ายแรงงานไป ู่ภาคอุต า กรรม การผูกโยงกับภายนอกมากขึ้น
นา� ไป ปู่ ญั าเ ร ฐกจิ งั คมและการเปลย่ี นแปลง ฒั นธรรมของชมุ ชน (กาญจนา แก้ เทพ, 2530ข; เ รี
พง ์พิ , 2536; อานนั ท์ กาญจนพนั ธ์ุ, 2544)
นัก ิชาการ ิพาก ์การพัฒนาที่ใช้การเจริญเติบโตทางเ ร ฐกิจของประเท ตะ ันตกเป็นต้น
แบบ า่ ทา� ใ เ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงแบบกา้ กระโดดในชมุ ชนชนบทและเปน็ ตั ทา� ลายระบบคณุ คา่ และ ถิ ี
แ ่ง ัฒนธรรมดั้งเดิม การพัฒนาชนบทค รกลับไป าค ามเป็นท้องถ่ินและภูมิปัญญาท่ีเป็นรากฐานใน
การดา� เนนิ ชี ติ ของชา บา้ นเพอื่ ลดค ามแปลกแยก ทา� ใ เ้ กดิ ค าม มดลุ ในการดา� เนนิ ชี ติ และ ามารถ
พึ่งพาตนเองไดม้ ากก ่าการพ่ึงพาภายนอก (เ รี พง พ์ ิ , 2529) การฟ้นื ฟู ัฒนธรรม ามารถน�าไปใชเ้ พ่ือ
การพัฒนาได้เพราะ ัฒนธรรมชุมชนมีพลังในการคัดค้านต่อต้าน ัฒนธรรมจากภายนอกที่เข้าไป
บอ่ นทา� ลาย ฒั นธรรมดงั้ เดมิ รากฐานจาก ฒั นธรรมดงั้ เดมิ ามารถนา� ไปใช้ รา้ ง รรคเ์ พอ่ื การพฒั นาโดย
ไมต่ อ้ งพง่ึ แบบจา� ลองการพฒั นาจากภายนอก (กาญจนา แก้ เทพ, 2530ก) การ พิ าก ด์ งั กลา่ กลายเปน็
ปจั จยั ทท่ี า� ใ เ้ กดิ การ นบั นนุ ใ ช้ มุ ชนตา่ ง ๆ นั กลบั มาใ ค้ าม า� คญั กบั ฒั นธรรมของตนและอนรุ กั ์
ฟนื้ ฟู ฒั นธรรมทอี่ ยู่ใน ภา ะเปราะบางใ ้กลับมามบี ทบาทอีกครั้งในชุมชน
กระแ การฟื้นฟู ัฒนธรรมท�าใ ้ชุมชน ลายแ ่งย้อนกลับไปมองอดีตของตน บางพ้ืนท่ีเลือก
ฟื้นฟูการทอผ้าและน�าผ้าทอกลับมาใช้งานใ ้ อดคล้องกับบริบทของยุค มัย ดังเช่นกลุ่มไทยทรงด�า
บา้ นดอนทอง จงั ดั นครปฐม ค ามเจรญิ จากการพฒั นาประเท ทผี่ า่ นมาทา� ใ ภ้ มู ปิ ญั ญาการทอผา้ เลอื น
ายไป เ ื้อผ้า �าเร็จรูปเข้ามาแทนท่ีเครื่องแต่งกายของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ตัดเย็บจากผ้าทอ เมื่อภาครัฐเข้า
มา ง่ เ ริมอาชีพจากตน้ ทนุ ทีม่ ีอยใู่ นท้องถน่ิ ชา ชมุ ชนจึงร่ มกนั จัดตัง้ กลุ่ม ตั ถกรรมผา้ ทอมือเพอื่ ฟ้นื ฟู
ภูมิปัญญาการทอผ้าใ ้คงอยู่ต่อไปในชุมชนเพราะ ามารถใช้เป็นอาชีพเ ริมและเป็นการฟื้นฟูอัตลัก ณ์
การทอผ้าของชา ไทยทรงดา� (ชลงั ค์ ลอย งู ง ,์ 2558: 49-51) ่ นกลุ่มไทลื้อเชียงคา� จัง ัดพะเยา
ท�าการฟื้นฟู ัฒนธรรม ลังจากท่ีกระแ โลกาภิ ัตน์และการท่องเที่ย โ มกระ น่�าเข้า ู่ชุมชน ผ้าทอซึ่ง
บ่งบอกค ามเป็นไทล้ือถูกมาใช้ในการท่องเที่ย ในฐานะมรดกทาง ัฒนธรรมที่แ ดงถึงการ ืบทอดราก
เ งา้ ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ และผา้ ทอไทลอ้ื ลายนา�้ ไ ลทมี่ เี อกลกั ณไ์ ดร้ บั การพฒั นาจนกลายเปน็ นิ คา้ นงึ่
ต�าบล น่ึงผลิตภัณฑ์ (OTOP) ของอ�าเภอเชียงค�า น�ารายได้เข้ามา ู่ชุมชน (นิชธิมา บุญเฉลีย , 2552)
ขณะท่ชี ุมชนไท-ย นราชบุรี ท�าการฟืน้ ฟูการทอผ้าจกซ่งึ เป็นภูมปิ ัญญาท่ียงั คง ลงเ ลืออยู่และพฒั นาใ ้
เปน็ นิ ค้าท่ี รา้ งรายได้ใ ้กบั ชุมชน มีการจัดกิจกรรมเกีย่ กับการทอผา้ เพอื่ ท�าใ ้ชา ชมุ ชนรู้ กึ ถงึ ค าม
ยงามของผา้ จก เ ็นค าม า� คัญของผา้ จกในทางเ ร ฐกจิ และ รา้ งค ามภาคภมู ใิ จในกลุม่ ชาติพันธุ์
ของตน จนในที่ ุดการทอผ้าจกกลับมามีค าม มายต่อชา ชุมชนอีกครั้ง ( ุชาติ พิบูลแถ , 2550)
442
กรณี ึก าข้างต้นช้ีใ ้เ ็น ่า ผลจากการพัฒนาประเท ่งผลใ ้ผ้าทอลดบทบาทค าม า� คัญลงและ
การทอผา้ คอ่ ย ๆ เลอื น ายไปจากชมุ ชน อยา่ งไรก็ตามการ ง่ เ ริมจาก น่ ยงานภาครัฐ ท้งั ในดา้ นการ
รา้ งรายไดจ้ ากภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ และการทอ่ งเทยี่ ทา� ใ ช้ า ชมุ ชนเลง็ เ น็ ประโยชนจ์ ากการฟน้ื ฟปู ญั ญา
การทอผ้าของตน เพื่อนา� ผ้าทอมาปรบั ใชใ้ ้ อดคล้องกับค ามเปลี่ยนแปลงท่ีเกดิ ขนึ้
่ นงาน ึก านี้เป็นการต่อยอดการ ึก าที่ผ่านมา โดยมุ่ง ึก ากระบ นการฟื้นฟู ัฒนธรรม
ของชา ไทยเบิ้งโคก ลุง จัง ัดลพบุรี ัฒนธรรมของชา ไทยเบิ้งโคก ลุงที่ปฏิบัติ ืบต่อกันมาได้รับ
ผลกระทบจากการเปลย่ี นแปลงทางเ ร ฐกจิ และ งั คม อนั เปน็ ผลมาจากการพฒั นาประเท และการ รา้ ง
เข่ือนป่า ักชล ิทธ์ิกั้นแม่น้�าป่า ัก ซึ่งเป็นแ ล่งท�ากินของชา ไทยเบิ้งโคก ลุง ่งผลกระทบทั้งทางบ ก
และทางลบต่อ ิถีชี ิตและ ัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงครั้ง �าคัญ คือการเกิดข้ึนของกระบ นการฟื้นฟู
ัฒนธรรมไทยเบ้ิงโคก ลุง ภูมิปัญญาการทอผ้าและผ้าทอประเภทผ้าขา ม้ากับย่ามเป็นเครื่องมือทาง
ัฒนธรรมอย่าง น่ึงที่กลุ่มฟื้นฟู ัฒนธรรมน�ามาใช้ในการอนุรัก ์และฟื้นฟู ัฒนธรรมของชุมชน ดังนั้น
ผู้ กึ าจงึ ตอ้ งการ าคา� ตอบ า่ การทอผา้ และผา้ ขา มา้ กบั ยา่ มมคี าม า� คญั อยา่ งไรในกระบ นการฟน้ื ฟู
ัฒนธรรม โดยเน้น ึก าประเด็นเร่ืองการปรับเปลี่ยนบทบาท น้าที่ของการทอผ้าและผ้าทอทั้ง อง
ประเภทไปตามพล ัตของชุมชนและพฒั นาการของกระบ นการฟ้นื ฟู ัฒนธรรม
กรอบแนวคดิ และระเบยี บวิธีศึกษา
การ กึ านใี้ ชแ้ น คดิ ประเพณปี ระดิ ฐข์ อง Eric Hobsbawm เปน็ กรอบในการ เิ คราะ ข์ อ้ มลู
Hobsbawm (2013) กล่า ถึงประเพณีประดิ ฐ์ ่าเป็นปรากฏการณ์ทาง ังคมในโลกยุค มัยใ ม่ที่
แบบแผนทาง ังคมเปล่ียนไปจากเดิม จน ่งผลกระทบต่อประเพณีที่ปฏิบัติกันมา ประเพณีเดิมซ่ึงไม่
ามารถน�ามาใช้งานใ ้ อดคลอ้ งกับยุค มัยจะมีค ามอ่อนแอ มดพลัง และไมเ่ มาะกบั การปฏิบตั ิอกี
ต่อไป ทา� ใ ้ต้องประดิ ฐ์ประเพณใี มเ่ พ่ือใชแ้ ทนประเพณเี ดมิ Hobsbawm จ�าแนกประเพณปี ระดิ ฐ์
ตามการใชง้ านออกเปน็ 3 ประเภท คอื 1) ประเพณีประดิ ฐท์ เ่ี ปน็ เครอื่ งมอื เช่อื มค าม ัมพนั ธ์ของคนใน
งั คม 2) ประเพณปี ระดิ ฐท์ ใ่ี ชเ้ ปน็ เครอื่ งมอื รา้ งค ามชอบธรรมและอา� นาจ และ 3) ประเพณปี ระดิ ฐ์
ทเี่ ปน็ เครอื่ งมอื ในกระบ นการขดั เกลาทาง งั คม แตล่ ะประเภทมคี ามเกย่ี เนอื่ งทบั ซอ้ นกนั และตอ้ งนา�
ัตถุดิบทาง ัฒนธรรมท่ีมีมาก่อน น้ามาใช้อย่าง ม�่าเ มอและต่อเน่ืองโดยใ ้เช่ือมโยงกับอดีตด้ ย รือ
บางกรณอี าจเปน็ ประเพณใี มก่ ไ็ ดแ้ ตต่ อ้ งผกู โยงใ ้ มั พนั ธก์ บั ง่ิ ทมี่ อี ยเู่ ดมิ ด้ ย เรอื่ งประเพณปี ระดิ ฐจ์ งึ
เป็นแน คิดทเี่ ลอื่ นไ ล ผู้น�าไปใชง้ าน ามารถปรบั ประยกุ ต์ประเพณปี ระดิ ฐ์ ใ เ้ ขา้ กับบรบิ ททาง งั คม
ฒั นธรรมทีแ่ ตกต่าง ลาก ลายได้
การใช้แน คิดประเพณีประดิ ฐ์เป็นกรอบในการ ึก าจะท�าใ ้เ ็นถึงผลกระทบของการ
เปลี่ยนแปลงทางเ ร ฐกิจและ ังคม ที่มีต่อการทอผ้าและผ้าทอของชา ไทยเบิ้งโคก ลุง อีกท้ังยังใช้
ิเคราะ ์บทบาทและ น้าท่ีของการทอผ้าและผ้าทอประเภทผ้าขา ม้ากับย่ามในฐานะเคร่ืองมือท่ี
กลุ่มฟื้นฟู ัฒนธรรมน�ามาใช้ในการอนุรัก ์ฟื้นฟู ืบ าน และพัฒนา ัฒนธรรมของชา ไทยเบิ้งโคก ลุง
ตลอดจนท�าใ ้เ ็นถึงค ามเล่ือนไ ลของการทอผ้าในฐานะภูมิปัญญา และผ้าขา ม้ากับย่ามในฐานะ
ัตถดุ บิ ทาง ฒั นธรรมทเี่ ออ้ื ต่อการ ร้างประเพณีประดิ ฐ์
443
นัง อื รวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
การ กึ านใี้ ชร้ ะเบยี บ ธิ ี จิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ประกอบด้ ยการเกบ็ ร บร มขอ้ มลู ภาค นามด้ ย ธิ ี
การ มั ภา ณเ์ ชงิ ลกึ กบั กลมุ่ ผนู้ า� ในการฟน้ื ฟู ฒั นธรรม กลมุ่ ครภู มู ปิ ญั ญาการทอผา้ กลมุ่ ทอผา้ กลมุ่ แปรรปู
ผา้ ทอ กลมุ่ เยา ชนเมลด็ ขา้ เปลอื กไทยเบง้ิ กลมุ่ โฮม เตย์ และกลมุ่ ชา บา้ นท่ั ไป เพอ่ื ใ เ้ น็ มมุ มองและ
เรอ่ื งรา ของชา ไทยเบิง้ โคก ลงุ เกี่ย กับชมุ ชน พล ตั ของชมุ ชน กระบ นการฟืน้ ฟู ัฒนธรรม การทอผ้า
และการท่องเท่ีย เชิง ฒั นธรรม และใช้ ิธีการ งั เกตการณ์อย่างมี ่ นร่ มในการทอผา้ และกิจกรรมทาง
ฒั นธรรมเพ่อื ใ เ้ ็นบรรยากา และภาพร มของกจิ กรรม ร มถงึ ค าม มั พนั ธ์ของผ้เู ข้าร่ มกจิ กรรม
ผา้ ทอโคกสลุง: เส้นทางสู่กระบวนการฟืน้ ฟูวัฒนธรรม
ผ้าทอเป็นผลผลิตทาง ัฒนธรรมซ่ีง ะท้อนใ ้เ ็น ิถีชี ิตค ามเป็นอยู่ของชา ไทยเบิ้งโคก ลุง
เมอื่ มกี ารเปลยี่ นแปลงทางเ ร ฐกจิ และ งั คมเกดิ ขน้ึ ภายในบา้ นโคก ลงุ ผา้ ทอจงึ ไดร้ บั ผลกระทบตามไป
ด้ ย ดงั นนั้ การ กึ าพล ตั ของชมุ ชนบา้ นโคก ลงุ จะช่ ยทา� ค ามเขา้ ใจพฒั นาการและการเปลยี่ นแปลง
บทบาท นา้ ทขี่ องการทอผ้าและผ้าทอโคก ลงุ ที่มีตอ่ ชา ชุมชน
ชุมชนไทยเบ้ิง บา้ นโคกสลงุ
ในพื้นที่ลุ่มแม่น�้าป่า ักเขตจัง ัดลพบุรี มีกลุ่มชา ไทยเบิ้งตั้งถ่ินฐานกระจายกันอยู่บริเ ณ
บา้ นมะนา าน บา้ น นองบั บา้ นโคก ลงุ (อา� เภอพฒั นานคิ ม) และบา้ นชยั บาดาล (อา� เภอชยั บาดาล)
การอพยพเข้ามาต้ังถ่ินฐานของชา ไทยเบ้ิงในแถบลุ่มแม่น�้าป่า ักนี้ พบ ่ามี ลักฐานเอก าร
ทางประ ตั ิ า ตรแ์ ละ ลกั ฐานดา้ น ลิ ปกรรมซง่ึ บง่ บอก า่ บรรพบรุ ุ ของชา ไทยเบงิ้ นา่ จะอพยพมาตง้ั แต่
มัยอยุธยา รา พุทธ ต รร ท่ี 23 และด้ ยพ้ืนท่ีแถบลุ่มแม่น้�าป่า ักน้ีเป็นเ ้นทางผ่านไปยัง ั เมือง
ตา่ ง ๆ จึงทา� ใ ใ้ นเ ลาต่อมามกี ล่มุ ชาตพิ ันธ์อุ ื่นเขา้ มาตั้งถนิ่ ฐานร มอยูก่ บั ชา ไทยเบงิ้ การเรียกช่อื ชนก
ลมุ่ น้ี า่ “ไทยเบง้ิ ” นั นิ ฐาน า่ นา่ จะมาจากภา าพดู ของชา ไทยเบง้ิ ทม่ี คี า� า่ “เบง้ิ ” ซงึ่ แปล า่ “บา้ ง”
ลงทา้ ยบท นทนา (ภธู ร ภูมะธน และคณะ, 2541: 22-23)
บา้ นโคก ลุง ต�าบลโคก ลุง อ�าเภอพฒั นานิคม จัง ดั ลพบรุ ี เป็นชมุ ชนของกลมุ่ ชาตพิ ันธไ์ุ ทย
เบงิ้ ขนาดใ ญซ่ งึ่ ตงั้ อยฝู่ ง่ั ตะ นั ตกของแมน่ า้� ปา่ กั กอ่ นการ รา้ งเขอื่ นปา่ กั ชล ทิ ธิ์ แมน่ า�้ ปา่ กั เปน็ แ ลง่
อขู่ า้ อนู่ า้� า� คญั ของชา ไทยเบง้ิ โคก ลงุ และเปน็ เ น้ ทางคมนาคมทางนา้� ทใ่ี ชเ้ ดนิ ทางตดิ ตอ่ กบั มบู่ า้ นอนื่
ทอ่ี ยรู่ มิ แมน่ า�้ ปา่ กั อกี ทงั้ ยงั เปน็ เ น้ ทางทพี่ อ่ คา้ จากภายนอกเดนิ เรอื เขา้ มาขาย นิ คา้ ชา ไทยเบง้ิ โคก ลงุ
่ นใ ญ่มีอาชีพท�าการเก ตร แต่ก็มีบาง ่ นท�างานรับจ้างในโรงงาน ท�าประมงในเขื่อนป่า ักชล ิทธิ์
ค้าขายเลก็ ๆ นอ้ ย ๆ และรบั ราชการ แม้ า่ ประชากร ่ นใ ญข่ องบา้ นโคก ลงุ จะเปน็ ชา ไทยเบิ้ง แตก่ ็
ยังพบ ่ามีชา จีนแต้จิ๋ และผู้อพยพจากพ้ืนที่อื่น เช่น บ้านดีลัง บ้านมะนา าน โคราช ระบุรี ฯลฯ
เขา้ มาตั้งรกรากท�ามา ากิน รอื แต่งงานกับชา ไทยเบ้ิงโคก ลุงอีกด้ ย
ชา ไทยเบิง้ โคก ลงุ เล่า ืบต่อกันมา า่ นามบา้ น “โคก ลงุ ” มที ่มี า 2 ประการ ประการแรกมา
จากเรอ่ื งเลา่ มขุ ปาฐะเกยี่ กบั ตา� นานโคก า ลง ซงึ่ ตอ่ มาเพยี้ นชอ่ื มาเปน็ “โคก ลงุ ” และประการที่ อง
มาจากการพบเ แรเ่ ลก็ ในพนื้ ที่ มบู่ า้ น จงึ มกี าร นั นิ ฐาน า่ ในอดตี โคก ลงุ นา่ จะเปน็ ถานทท่ี มี่ กี าร
ถลงุ แร่ ประกอบกับทีต่ ั้งของ มู่บา้ นเปน็ พน้ื ที่ ูง ซึ่งเรียกกนั ่า “โคก” จึงเรียกทนี่ ี่ า่ “โคกถลุง” ตอ่ มา
444
ได้กลายเ ียงเปน็ “โคก ลงุ ” ชา ไทยเบง้ิ โคก ลงุ มเี อกลกั ณ์เด่น 3 ประการ คือ 1) การแต่งกาย ผู้ ญงิ
ูงอายุจะนุ่งโจงกระเบน มเ อ้ื พน้ื บา้ น ใช้ผา้ ขา มา้ พาดบา่ นยิ มกนิ มาก และ ะพายยา่ ม 2) �าเนียง
พดู ทเี่ น่อ มักมีคา� ลงทา้ ย า่ “เบิง้ ” “เด้งิ ” “เ ่ย” และ “ด๊อก” และ 3) นาม กุลมีคา� ข้ึนต้น รือลงทา้ ย
ด้ ยค�า า่ “ ลงุ ” (ม า ิทยาลัยราชภัฏเทพ ตรี, า� นกั ทิ ยบรกิ ารเทคโนโลยีและ าร นเท , ม.ป.ป.)
พลวัตในมติ ิเศรษฐกจิ สงั คมของบา้ นโคกสลุงและผลกระทบต่อการทอผา้
พัฒนาการของชุมชนไทยเบ้ิงโคก ลุง ามารถแบ่งตามการเปลี่ยนแปลงทางเ ร ฐกิจ ังคมท่ี
เกิดขึน้ ออกเป็น 3 ยุค การเปลย่ี นแปลงในแต่ละยุค ่งผลกระทบตอ่ การทอผ้าและการใช้งานผา้ ทอดังน้ี
1) ยคุ กอ่ นแผนพัฒนาเ ร ฐกจิ และ งั คมแ ่งชาติ (ก่อน พ. . 2500) บ้านโคก ลุงเป็น ม่บู า้ น
ชนบทตง้ั อยทู่ า่ มกลางปา่ เขา การเดนิ ทางตดิ ตอ่ กบั ภายนอกยากลา� บาก ผคู้ นทา� การเก ตรกรรมแบบยงั ชพี
ด้ ยการปลกู ขา้ จบั ปลา าของปา่ และลา่ ัต ์ ด้ ยค ามจ�าเป็นในการด�ารงชี ิตเชน่ นี้ จึงท�าใ ต้ อ้ งมี
การแบง่ นา้ ทก่ี ารทา� งานกนั ในครอบครั และการช่ ยเ ลอื กนั ใน มญู่ าตพิ นี่ อ้ งด้ ยระบบการเอาแรง และ
ยังต้องประดิ ฐ์เครื่องมือเครื่องใช้ �า รับท�ามา ากินข้ึนมาใช้งาน การถ่ายทอดภูมิปัญญาเก่ีย กับ
การดา� รงชพี ภายในครอบครั เปน็ ง่ิ จา� เปน็ ในยคุ นม้ี ชี ายจนี จา� น นเลก็ นอ้ ยอพยพเขา้ มาแตง่ งานกบั ญงิ
ชา ไทยเบ้งิ และตงั้ รกรากเปิดร้านขายของในบา้ นโคก ลงุ จา� น นประมาณ 2-3 ร้าน ชา ไทยเบง้ิ จะน�า
ข้า เปลือกมาแลก ินค้าจากรา้ นคา้ ของคนจนี ่ นยาม น้านา้� จะมพี อ่ คา้ เดนิ เรือมาตามแม่น�้าป่า ักและ
แ ะจอดเรอื ขายของทที่ า่ กะเพรา ชา ไทยเบง้ิ โคก ลงุ จะเดนิ เทา้ ไปซอ้ื นิ คา้ ทจี่ า� เปน็ ร มถงึ ผา้ ผนื เ อ้ื ผา้
และเ ้นดา้ ยจากพอ่ ค้าท่เี ดนิ เรือมาคา้ ขาย
ด้ ย ภาพค ามเป็นอยู่ที่ล�าบากและไม่ ามารถซ้ือ า ินค้าได้ง่าย จึงท�าใ ้การทอผ้าเป็น
ิง่ จา� เป็น า� รับชา ไทยเบิง้ โคก ลุง ทกุ ครอบครั จะตอ้ งทอผ้าเพือ่ ใช้ตัดเยบ็ เป็นเ ื้อผ้า ผ้าปูท่นี อน ผา้
ขา มา้ ยา่ ม ฯลฯ ผา้ ทอทม่ี บี ทบาทอยา่ งมากตอ่ ชา ไทยเบิง้ โคก ลงุ คือผ้าขา มา้ และย่าม ผา้ ขา มา้ เปน็
ผา้ ารพดั ประโยชนเ์ พราะ ามารถนา� มาใชใ้ นชี ติ ประจา� นั ใชใ้ นประเพณพี ธิ กี รรม เชน่ ม่ เปน็ ไบเฉยี ง
ไป ัด ใชเ้ ป็นผา้ รองกราบ ใช้ในประเพณกี ารเกิด การบ ช การแตง่ งาน การตาย ใช้ในพิธีกรรมเลย้ี งเจา้
บา้ น และใชใ้ นพธิ กี รรมเกย่ี กบั แมโ่ พ พ นอกจากนย้ี งั เปน็ อปุ กรณ์ า� รบั การละเลน่ พน้ื บา้ นและการเลน่
เข้าผี เช่น มอญซอ่ นผา้ ลกู ช่ ง การเลน่ นางชา้ ง ่ นยา่ มเปน็ งิ่ ทชี่ า ไทยเบ้งิ โคก ลุงใช้ใ ่ข้า ของเครื่อง
ใชใ้ นการท�ากจิ กรรมต่าง ๆ และการเดินทาง เชน่ อปุ กรณ์ท�าการเก ตร เครอ่ื งนอน มากพลู อา าร พืช
ผักผลไม้ท่ีเก็บมาจากไร่นา ฯลฯ ด้ ยค าม �าคัญของผ้าทอดังกล่า จึงท�าใ ้การทอผ้าเป็นภูมิปัญญาท่ี
ต้องมีการ ืบทอดกันภายในครอบครั ดัง ะท้อนใ ้เ ็นจากค่านิยมของการเลือก ญิง า ผู้ที่จะมาเป็น
ภรรยาคอื ตอ้ งมคี าม ามารถในการทอผา้ ดงั นนั้ แมจ่ ะ อนลกู า ทอผา้ ตงั้ แตย่ งั เลก็ เพอื่ ใ ม้ ที กั ะตดิ ตั
ไปเมอื่ ออกเรือนไป ร้างครอบครั ของตนเองในอนาคต
กระบ นการทอผา้ ของชา ไทยเบง้ิ โคก ลงุ เรม่ิ จากการปลกู ฝา้ ย การปน่ั ฝา้ ยเพอ่ื ทา� เปน็ เ น้ ดา้ ย
การทอผ้า และการย้อม ีซึ่งเป็นการใช้ ีจากพืชพื้นถ่ิน การทอผ้าต้องอา ัยค ามร่ มมือของ มาชิกใน
ครอบครั และการแบง่ นา้ ทกี่ ารทา� งาน ผู้ ญงิ จะปน่ั ฝา้ ยและทอผา้ ในเ ลาท่ี า่ งจากการทา� นา ่ นผชู้ าย
จะช่ ยปลูกฝ้ายและทา� อุปกรณ์ทอผา้ ท่ีตอ้ งใชแ้ รงงานผู้ชายและค ามรดู้ า้ นชา่ งไม้
445
นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ยุคน้มี ีเ ตกุ ารณ์ท่ี ง่ ผลกระทบกบั การทอผา้ 2 เ ตกุ ารณ์ เ ตุการณแ์ รกคอื งครามโลก
คร้ังท่ี 2 ภา ะ งครามทา� ใ ้ไม่มีพ่อคา้ ล่องเรือนา� เ ือ้ ผา้ ผา้ ผืน และเ ้นดา้ ยเข้ามาขาย ชา ไทย
เบิ้งโคก ลุงจ�าเป็นต้องปั่นฝ้ายและทอผ้าใช้เองท้ัง มด เม่ือ งครามยุติลงมีคนจีนเข้ามาต้ังรกราก
ทา� มา ากนิ เปดิ รา้ นขาย นิ คา้ และโรง ใี นบา้ นโคก ลงุ เพมิ่ ขน้ึ คนจนี กลมุ่ นเี้ ปน็ เครอื ญาติ รอื คน
รจู้ ักกับคนจนี ท่เี ข้ามาตงั้ ถน่ิ ฐานในบ้านโคก ลงุ ในช่ งก่อน น้า นอกจากน้ยี ังมพี ่อคา้ จนี ทีเ่ คยเดิน
เรอื เขา้ มาขาย นิ คา้ ในแถบลมุ่ นา้� ปา่ กั อพยพเขา้ มาอกี ด้ ย โดยกลมุ่ คนจนี ทอ่ี พยพเขา้ มาในระลอก
น้ที �าอาชีพค้าขายและท�าไรท่ �านา
กลมุ่ พอ่ คา้ จนี ในบา้ นโคก ลงุ ถอื า่ เปน็ กลมุ่ า� คญั ทเี่ ปน็ ปจั จยั นา� ไป กู่ ารเปลยี่ นแปลงของ
ผา้ ทอโคก ลงุ กลา่ คอื พอ่ คา้ จนี นา� ี งั เคราะ เ์ ขา้ มาขายในช่ งท รร ท่ี 2480 และนา� ดา้ ยเดย่ี
ซง่ึ เป็นดา้ ยฝา้ ย ีขา จากโรงงานมาขายในรา พ. . 2492 การเข้ามาของ ี ังเคราะ ์และด้ายฝา้ ย
จากโรงงาน ท�าใ ช้ า ไทยเบง้ิ โคก ลุง ามารถ าซอ้ื ี ังเคราะ ์มายอ้ มเ ื้อผ้าที่ตดั เย็บมาจากผา้
ทอ และลดเ ลาในการปนั่ ฝา้ ยเพื่อทา� เปน็ เ ้นดา้ ย �า รบั ทอผ้า แตช่ า ไทยเบ้ิงโคก ลงุ ่ นใ ญ่ก็
ยังคงท�าเ ้นด้ายเพ่ือใช้งานแม้ ่าจะ ามารถ าซ้ือเ ้นด้ายมาใช้ทอผ้าได้ก็ตาม เ ตุการณ์ที่ท�าใ ้
การป่นั ฝา้ ยทา� เ ้นดา้ ยลดลงคอื การเกดิ ไฟไ ม้ครงั้ ใ ญใ่ นบ้านโคก ลุงเม่ือ พ. . 2497 บ้านเรือน
จ�าน นมากและอุปกรณ์ทอผ้าถูกไฟเผาท�าลายจึงต้องท�าอุปกรณ์ทอผ้าข้ึนมาใ ม่ มีผู้คนบาง ่ น
เลกิ ทา� เ น้ ดา้ ยใชเ้ อง เนอื่ งจากในช่ งเ ลานนั้ พอ่ คา้ จนี นา� ดา้ ยค บซง่ึ เปน็ ดา้ ย ผี ลติ จากโรงงานเขา้
มาขาย การใช้ด้ายค บทอผ้าช่ ยลดข้ันตอนในการเตรียมเ ้นด้าย และท�าใ ้ผ้าขา ม้ากับย่ามมี
ี นั เพมิ่ มากขนึ้ เดมิ การทอผา้ ขา มา้ จะทอ ดี า� ขา และ นี า�้ เงนิ ขา เพราะตอ้ งใช้ ธี รรมชาตจิ าก
พืชมาท�าเป็น ีย้อม เม่ือใช้ด้ายค บทอผ้าขา ม้าก็จะได้ผ้าขา ม้า ีเขีย ขา และ ีแดงขา เพิ่มขึ้น
และการทอย่ามจากเดมิ จะมียา่ ม ีดา� ขา ก็จะมียา่ ม ีแดงขา และ ีน�้าเงนิ ขา เพมิ่ ข้นึ
2) ยคุ แผนพฒั นาเ ร ฐกจิ และ งั คมแ ง่ ชาติ ฉบบั ที่ 1 ถงึ กอ่ นการ รา้ งเขอ่ื นปา่ กั ชล ทิ ธิ์
(พ. . 2500- 2535) เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านกายภาพและเ ร ฐกิจ ังคมภายในบ้านโคก ลุง
อนั เปน็ ผลมาจากแผนพฒั นาเ ร ฐกจิ และ งั คมแ ง่ ชาติ การพฒั นาโครง รา้ งพน้ื ฐานของประเท
และการขยายเ ้นทางรถไฟและการตัดถนนท�าใ ้การคมนาคม ะด กขึ้น ินค้าจาก
ภายนอกแพรก่ ระจายเขา้ มาในชมุ ชนมากขน้ึ การเปลยี่ นแปลงระบบเ ร ฐกจิ จากการทา� การเก ตร
แบบยังชีพไปเป็นการปลูกพืชไร่ ่งขายโรงงาน ท�าใ ้ชา ไทยเบ้ิงโคก ลุงมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการ
ขายพชื ผลทางการเก ตร การเคลอื่ นยา้ ยแรงงานของ มาชกิ ครอบครั ขยาย ทเ่ี คยเปน็ น่ ยผลติ
ใน งั คมแบบดงั้ เดมิ ไป ภู่ าคอตุ า กรรมภายนอกชมุ ชน และการ กึ าภาคบงั คบั ในระบบโรงเรยี น
ที่มุ่งผลิตก�าลังคนเพ่ือป้อนเข้า ู่ระบบเ ร ฐกิจ ลักของประเท มีผลท�าใ ้การ ืบทอดภูมิปัญญา
ด้งั เดิมของชุมชนลดลง
446
การเปลยี่ นแปลงนี้ ง่ ผลตอ่ การทอผา้ และการใชง้ านผา้ ทอ การคมนาคมท่ี ะด กขน้ึ ทา� ใ ด้ า้ ย
ทอผ้าท่ผี ลิตจากโรงงานแพรก่ ระจายเขา้ มาใน มู่บ้านมากขน้ึ ในท รร ที่ 2510 พ่อคา้ จีนน�าด้ายโทเร
เขา้ มาขาย และในรา พ. . 2526 ไดน้ า� ไ มประดิ ฐเ์ ขา้ มาขาย การเขา้ มาของดา้ ย ใี นครงั้ นี้ ทา� ใ ผ้ ทู้ อผา้
มโี อกา รา้ ง รรคผ์ า้ ขา มา้ และยา่ มใ ม้ ี ลาก ี นั มากก า่ เดมิ แตก่ ท็ า� ใ ก้ ารทา� เ น้ ดา้ ยใชเ้ องไมเ่ ปน็ ท่ี
นยิ มจนไมม่ ผี ปู้ น่ั ฝา้ ยขนึ้ มาใชง้ านอกี นอกจากนรี้ ายไดท้ เี่ พม่ิ มากขน้ึ จากการขายพชื ผลทางการเก ตรทา� ใ ้
เกิดการเปล่ียนแปลงรปู แบบการด�าเนินชี ิต ชา ไทยเบิง้ โคก ลุงเลือกทีจ่ ะใชผ้ า้ ผนื เ ือ้ ผา้ �าเร็จรูป และ
เครอ่ื งนงุ่ ม่ ทซี่ อ้ื มาแทนการทอผา้ ใชเ้ อง จนแทบจะไมม่ กี ารทอผา้ เพอื่ ใชต้ ดั เยบ็ เปน็ เครอ่ื งนงุ่ ม่ เ ลอื อยู่
เพียงผู้ ูงอายุจ�าน นเล็กน้อยท่ียังคงทอผ้าขา ม้ากับย่ามไ ้ใช้งาน การ ืบทอดภูมิปัญญาการทอผ้าใน
ครอบครั ลดลง เนอื่ งจากที่ มาชกิ รนุ่ เยา ใ์ ชเ้ ลาอยใู่ นโรงเรยี นนานขนึ้ และไมเ่ น็ ค าม า� คญั ของผา้ ทอ
3) ยคุ ลงั การ รา้ งเขอื่ นปา่ กั ชล ทิ ธถิ์ งึ ปจั จบุ นั (พ. . 2535-ปจั จบุ นั ) ในช่ งท รร ท่ี 2530
เกิดการเปล่ียนแปลงทางกายภาพครั้งใ ญ่เม่ือพื้นท่ีทางตะ ันออกของ มู่บ้านซ่ึงอยู่ติดกับแม่น้�าป่า ัก
ถูกเ นคืนเพื่อ ร้างเขื่อนป่า ักชล ิทธิ์ ่งผลใ ้เกิดการเปล่ียนแปลงทางเ ร ฐกิจ ังคมและ ัฒนธรรม
ตามมา การเกดิ ขนึ้ ของเขอ่ื นทา� ใ ช้ า ไทยเบง้ิ โคก ลงุ บางครอบครั ญู เ ยี ทด่ี นิ ทา� กนิ ตอ้ งเปลย่ี นอาชพี
จากการท�าการเก ตรไปรบั จา้ งในโรงงาน การไดเ้ งินเ นคืนทดี่ นิ จา� น นมากยังทา� ใ ้ ามารถซอื้ าค าม
ะด กตา่ ง ๆ ได้งา่ ยข้นึ เชน่ เครอื่ งใชไ้ ฟฟ้า ยานพา นะ อปุ กรณ์การท�างาน ฯลฯ ค ามเจรญิ มยั ใ ม่
และ ิถีชี ิตแบบคนเมืองเข้ามีอิทธิพลต่อชา ชุมชน นอกจากน้ีเงินเ นคืนที่ดินยังก่อใ ้เกิดปัญ า ังคม
ตามมา ไดแ้ ก่ ปัญ ายาเ พตดิ ปัญ าการทะเลาะเบาะแ ง้ ระ า่ งญาติพี่น้องเรื่องการแบ่งเงินไมล่ งตั
ฯลฯ การเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนนี้ท�าใ ้ ิถีปฏิบัติของผู้คนเปล่ียนไป จนท�าใ ้ค าม �าคัญของ ัฒนธรรม
ทอ้ งถน่ิ ลดบทบาทและค าม �าคัญลงไปอยา่ งมาก
อยา่ งไรกต็ ามการ รา้ งเขอื่ น ง่ ผลกระทบกบั การทอผา้ ในทางบ ก เพราะเปน็ ปจั จยั ทช่ี ่ ยใ ก้ าร
ทอผ้า ามารถด�ารงอยู่ต่อไปได้อันเนื่องมาจากเ ตุผลทางเ ร ฐกิจและเ ตุผลทาง ัฒนธรรม กล่า คือ
กอ่ นการเ นคืนท่ีดนิ พฒั นาชุมชนอา� เภอพัฒนานคิ มเข้ามา ่งเ ริมการทอผ้าตามพระราชด�ารขิ อง มเด็จ
พระนางเจ้า ิริกิติ์ฯ เพื่อใ ้ชา ชุมชนใช้เป็นอาชีพเ ริม ลังจากถูกเ นคืนที่ดิน โดย ่งครูมา อนการทอ
ผา้ มดั มด่ี ้ ยกก่ี ระตกุ ซง่ึ แมจ้ ะไมใ่ ชเ่ ทคนคิ การทอผา้ ดงั้ เดมิ ของชา ไทยเบง้ิ โคก ลงุ และกกี่ ระตกุ กไ็ มใ่ ช่
ก่ที อผา้ พนื้ เมอื ง แตก่ าร ่งเ ริมจากทางราชการทา� ใ ้ชา ชมุ ชนเ ็นประโยชน์ของการทอผา้ ซึง่ น�ารายได้
มาใ ค้ รอบครั รายไดจ้ ากการขายผา้ มดั มจ่ี งึ เปน็ แรงจงู ใจใ ผ้ ทู้ ไ่ี มเ่ คยทอผา้ ไดเ้ รยี นรู้ ธิ กี ารทอผา้ และ
ผู้ท่เี ลกิ ทอผา้ ไปแล้ กลบั มาทอผา้ อีกครั้ง นงึ่
่ นเ ตผุ ลทาง ฒั นธรรมเกดิ ขน้ึ ในช่ ง พ. . 2539–2540 นกั ชิ าการจาก ถาบนั ราชภฏั เทพ ตรี
เข้ามาในบา้ นโคก ลุงเพอื่ เกบ็ ขอ้ มูล จิ ยั เรอื่ งผลกระทบของการ ร้างเขอ่ื นกบั ฒั นธรรมของชา ไทยเบิ้ง
ทอ่ี า ยั อยใู่ นบรเิ ณทจี่ ะทา� การ รา้ งเขอื่ น ผใู้ ญบ่ า้ น มทู่ ี่ 3 และ เครอื ญาติ ร มทงั้ กลมุ่ อาจารยโ์ รงเรยี น
ในบา้ นโคก ลงุ ไดเ้ ปน็ ผใู้ ข้ อ้ มลู และช่ ยเกบ็ ขอ้ มลู ฒั นธรรมชมุ ชน จงึ ทา� ใ ค้ นกลมุ่ นม้ี โี อกา เรยี นรเู้ กยี่
กับ ัฒนธรรมของตน เกิดค ามต้องการท่ีจะรัก า ัฒนธรรมที่ ืบทอดมาจากบรรพบุรุ ใ ้คงอยู่ต่อไป
อย่างไรกต็ าม คนกล่มุ น้ีเรม่ิ ดา� เนินงานทาง ัฒนธรรมในปี พ. . 2542 เมอ่ื นักการเมืองของจงั ัดลพบุรี
แนะน�าใ ้ขอทุน นับ นุนจากโครงการลงทุนเพื่อ ังคม การท�าประชาคมของตั แทนจาก มู่ต่าง ๆ
447
นัง อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เนือ่ งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ในบา้ นโคก ลงุ มมี ตใิ จ้ ดั ทา� โครงการจดั ตง้ั พพิ ธิ ภณั ฑพ์ น้ื บา้ นไทยเบง้ิ โคก ลงุ และโครงการ ง่ เ รมิ อาชพี
แม่บา้ นทอผ้า เพราะเ ็น า่ การจดั ตั้งพพิ ิธภณั ฑจ์ ะช่ ยอนรุ กั ฟ์ นื้ ฟู ัฒนธรรมได้ และยงั ท�าใ ช้ า ชมุ ชน
มคี ามภาคภมู ใิ จใน ฒั นธรรมของตน ซงึ่ จะนา� ไป กู่ ารร มกลมุ่ ทาง ฒั นธรรมทช่ี ่ ย รา้ งค าม มานฉนั ท์
และลดปัญ าค ามแตกแยกและปัญ า ังคมที่เกิดข้ึนจากการ ร้างเข่ือนได้ ่ นโครงการ ่งเ ริมอาชีพ
แม่บ้านทอผ้าจะท�าใ ้แม่บ้านมีรายได้จากการทอผ้า การขับเคล่ือนด้านเ ร ฐกิจน้ีจะช่ ยใ ้การทอผ้า
ามารถดา� รงอยู่ตอ่ ไปในชุมชนได้
เ ็นได้ ่าการปรับเปลี่ยน ิถีชี ิตไปตามการเปล่ียนแปลงทางกายภาพและเ ร ฐกิจ ังคม
ทเ่ี กดิ ขน้ึ มผี ลกระทบกบั ผา้ ทอโคก ลงุ การทอผา้ ซงึ่ เคยเปน็ เปน็ ่ น นง่ึ ของ ถิ ชี ี ติ ของผคู้ นในยคุ แรกลด
ค าม �าคัญลงเม่ือเ ร ฐกิจและค ามเป็นอยู่ของผู้คนดีขึ้นตามการพัฒนาประเท ซ่ึงเกิดข้ึนในยุคที่ 2
ผ้าทอไมใ่ ช่ งิ่ จา� เป็นในการดา� รงชี ติ เ มอื นในอดีต ผา้ ทอ ลายชนิดไม่มีการทอขึน้ มาใชง้ านอกี เ ลอื อยู่
แตเ่ พยี งผา้ ขา ม้าและยา่ มเทา่ นน้ั ในยคุ ท่ี 3 การเกิดข้ึนของเข่อื นป่า กั ชล ทิ ธิท์ �าใ ้ ภา ะถดถอยของ
ผา้ ทอดขี น้ึ การ ง่ เ รมิ การทอผา้ ของราชการทา� ใ ผ้ า้ ทอกลบั มามคี าม า� คญั อกี ครง้ั ในฐานะ นิ คา้ ท่ี รา้ ง
รายได้ใ ้ครอบครั และเม่ือกระบ นการฟื้นฟู ัฒนธรรมได้ก่อตั ข้ึน การทอผ้าและผ้าทอประเภท
ผา้ ขา ม้ากบั ยา่ มได้ถกู ยบิ ยกมาใช้งานในฐานะเครือ่ งมือทาง ฒั นธรรม
“อนรุ กั ์ ฟน้ื ฟู บื าน และพฒั นา”: ความเลอ่ื นไ ลของผา้ ทอโคก ลงุ ในกระบวนการฟน้ื ฟวู ฒั นธรรม
กลุ่มฟื้นฟู ัฒนธรรมเร่ิมด�าเนินกิจกรรมเพื่อการอนุรัก ์ฟื้นฟู ัฒนธรรมอย่างเป็นรูปธรรม ลัง
จากพิธีเปดิ พิพิธภัณฑพ์ ้ืนบ้านไทยเบ้งิ โคก ลงุ ในปี พ. . 2543 อาคารพิพิธภัณฑเ์ รือนฝาคอ้ ซึ่งจ�าลองรปู
แบบเรอื นพนื้ บ้านของชา ไทยเบิ้งโคก ลุงในอดีต ถกู ใช้เป็น ูนย์กลางการด�าเนนิ งาน และใชเ้ ป็น ถานท่ี
จัดกจิ กรรมทาง ฒั นธรรมภายใต้แน คิดพิพิธภณั ฑม์ ีชี ิต เร่อื งรา ของ ัฒนธรรมเดิมตามค�าบอกเลา่ ของ
ผเู้ ฒา่ ผแู้ ก่ ถกู นา� มาใชเ้ ปน็ ตน้ แบบของ ฒั นธรรมทไ่ี ดร้ บั การฟน้ื ฟู และกจิ กรรมทาง ฒั นธรรมทจ่ี า� ลองมา
ใชใ้ นงานพพิ ธิ ภณั ฑ์ ในเชงิ กายภาพพพิ ธิ ภณั ฑเ์ รอื นฝาคอ้ ทา� นา้ ทเ่ี ปน็ แ ลง่ เรยี นรู้ ถิ ชี ี ติ ของชา ไทยเบงิ้
โคก ลุงในอดีตและเป็น ถานที่จัดกิจกรรมทาง ัฒนธรรม �า รับชา ชุมชน ่ นในเชิง ัญลัก ณ์
พิพิธภัณฑ์เรือนฝาค้อเป็นภาพแทน ัฒนธรรมที่ ืบ านมาจากบรรพบุรุ เมื่อพิจารณารูปแบบของการ
อ้างอิง ัฒนธรรมท่ีฟื้นฟูขึ้นมากับ ัฒนธรรมเดิม และ ัตถุประ งค์แรกเริ่มของกลุ่มฟื้นฟู ัฒนธรรมท่ี
ตอ้ งการลดปญั าค ามแตกแยกภายในชมุ ชน และแกป้ ญั า งั คมด้ ยการใช้ ฒั นธรรมทไ่ี ดร้ บั การอนรุ กั ์
และฟน้ื ฟขู น้ึ มาเปน็ ตั เชอ่ื มค าม มั พนั ธข์ องคนในชมุ ชน จะพบ า่ การฟน้ื ฟู ฒั นธรรมของบา้ นโคก ลงุ เปน็
กระบ นการ รา้ งประเพณปี ระดิ ฐร์ ปู แบบ นง่ึ ตามแน คดิ ของ Hobsbawm (2013) กลมุ่ ฟน้ื ฟู ฒั นธรรม
เลอื กใชก้ ารทอและผา้ ทอประเภทผา้ ขา มา้ กบั ยา่ มเปน็ นง่ึ ในกจิ กรรมทาง ฒั นธรรมทที่ างกลมุ่ จดั ขนึ้
ผ้าขาวม้าและยา่ มโคก ลงุ : เอกลกั ณท์ ี่โดดเด่นของชุมชน
กลุ่มพื้นฟู ัฒนธรรมเลือก ยิบยกเอาการทอผ้าและผ้าขา ม้ากับย่าม มาใช้ในกิจกรรมทาง
ฒั นธรรมเพราะมอง า่ การทอผา้ เปน็ ภมู ปิ ญั ญาทโี่ ดดเดน่ ในอดตี ทกุ บา้ นจะมกี ที่ อผา้ ตง้ั อยใู่ ตถ้ นุ เรอื น แมบ่ า้ น
จะใชเ้ ลา า่ งจากงานในไรน่ าทอผา้ มฉิ ะนน้ั กจ็ ะไมม่ เี อื้ ผา้ เอาไ ใ้ ชง้ าน อกี ทงั้ ยงั มอง า่ ผา้ ขา มา้ กบั ยา่ ม
448
เปน็ ผลผลติ ของภมู ปิ ญั ญาการทอผา้ ทยี่ งั คงมเี ลอื อยใู่ นชมุ ชน ด้ ยเอกลกั ณด์ า้ นล ดลายของผา้ ขา มา้
และยา่ มโคก ลงุ ทา� ใ ผ้ า้ ทอทง้ั องชนดิ แตกตา่ งจากของทอ้ งถน่ิ อนื่ และ ามารถนา� มาใชบ้ อกเลา่ เรอ่ื งรา
ทาง ัฒนธรรมของชา ไทยเบิ้งโคก ลงุ ได้
ผ้าขา ม้าโคก ลุงมอี งคป์ ระกอบ 4 ่ น ได้แก่ 1) ชายลอย อย่รู มิ ดุ ของผ้าขา ม้า 2) ชายใ ญ่
อย่ตู ดิ กบั ชายลอย 3) คอรอง อยูร่ ะ า่ งชายใ ญก่ บั ลายของผ้าขา ม้า และ 4) ล ดลาย รือตาของผา้
ขา มา้ เอกลกั ณข์ องผา้ ขา มา้ โคก ลงุ คอื ่ นทเี่ ปน็ ชายลอย ชายใ ญ่ และคอรอง ่ นล ดลายของผา้
ขา ม้าโคก ลุงมีค ามคล้ายคลึงกับผ้าขา ม้าของชุมชนอ่ืนคือ เป็นลายตาราง ่ีเ ล่ียมซึ่งมีทั้งลายตาราง
ขนาดเลก็ และขนาดใ ญ่ ยา่ มโคก ลงุ มอี งคป์ ระกอบ 4 ่ น ไดแ้ ก่ 1) ปากยา่ ม คอื เ น้ ยา แน นอนบรเิ ณ
่ นบนของตั ย่าม 2) ข้างกระแต คือบริเ ณ ่ นตอ่ ของตั ยา่ มกับ ายยา่ ม จะทอใ ้เป็นเ ้นยา ลงมา
เ มอื นขา้ งของกระแต 3) ชนั้ ยา่ ม คอื ชนั้ ผา้ ดา้ นในของยา่ มทเ่ี ยบ็ ตดิ กบั ตั ยา่ มและ ายยา่ ม ใช้ า� รบั ซอ่ น
ของมคี า่ และ 4) ชายกรยุ คือเ น้ ด้ายยืนฟัน่ เกลยี ท่อี ยบู่ ริเ ณ ่ นปลายของ ายยา่ มการทอผ้าและผา้
ขา มา้ กับย่ามถกู นา� มาใชใ้ นงานอนุรกั ์ฟ้นื ฟู ัฒนธรรมตั้งแตแ่ รกเรมิ่ และมีการปรบั รูปแบบการใช้งานไป
ตาม ตั ถปุ ระ งคข์ องการฟน้ื ฟู ฒั นธรรมทเี่ ปลยี่ นไปตามปจั จยั แ ดลอ้ ม การปรากฏอยขู่ องการทอผา้ และ
ผ้าขา มา้ กบั ย่ามในกระบ นการฟ้ืนฟู ัฒนธรรมจึง ะทอ้ นถงึ ค ามเลอ่ื นไ ลของภูมปิ ญั ญาพื้นบา้ น และ
ตั ถดุ ิบทาง ฒั นธรรมที่ ามารถเปล่ยี นแปลงบทบาท นา้ ทต่ี าม ตั ถุประ งคข์ องผู้ใช้งาน
“อนุรักษ์ ฟื้นฟู”: ผ้าทอโคกสลุงในมิติการฟื้นฟูวัฒนธรรมและการสร้างอัตลักษณ์ทาง
วัฒนธรรม
กระบ นการฟน้ื ฟู ฒั นธรรมเรมิ่ ตน้ ในตน้ ท รร ที่ 2540 ด้ ย ตั ถปุ ระ งคใ์ นการอนรุ กั ฟ์ น้ื ฟู
ฒั นธรรม โดยมกี ารจดั ทา� พพิ ธิ ภณั ฑใ์ เ้ ปน็ ถานที่ า� รบั คนในชมุ ชนเรยี นรอู้ ดตี จากการจดั แ ดง ตั ถดุ บิ
ทาง ฒั นธรรมที่ ะท้อน ถิ ชี ี ติ ดงั้ เดิม มกี ารน�าเอาการทอผ้ามาใช้ รา้ งประเพณปี ระดิ ฐ์ของการจ�าลอง
อดตี ในพน้ื ทพ่ี พิ ธิ ภณั ฑ์ โดยมี ญั ลกั ณค์ อื การจดั างอปุ กรณท์ อผา้ และเครอ่ื งแตง่ กายพนื้ บา้ น เพอื่ แ ดง
ค าม า� คญั ของการทอผา้ ในอดตี า่ ทกุ ครอบครั ตอ้ งทอผา้ ขน้ึ มาใชง้ าน กลมุ่ ฟน้ื ฟู ฒั นธรรมยงั ใชผ้ ู้ งู อายุ
เปน็ กลไกในการขบั เคลอ่ื นกจิ กรรมทาง ฒั นธรรมโดยใ เ้ ปน็ ผนู้ า� ในการฝกึ ปฏบิ ตั ิ และเปน็ ผถู้ า่ ยทอดเรอ่ื ง
รา ในอดีตกับคนยุคปัจจุบันด้ ยการจัดฐานกิจกรรมการทอผ้า เมื่อมีบุคคลภายนอกมาเยือน กลุ่มฟื้นฟู
ฒั นธรรมจะจดั แ ดงรา� โทนซง่ึ เปน็ การละเลน่ พนื้ บา้ นในอดตี ขอใ ก้ ลมุ่ ผู้ งู อายแุ ตง่ กายด้ ยชดุ พนื้ บา้ น
ใชผ้ า้ ขา มา้ และยา่ มประกอบการแตง่ กาย และกลมุ่ ฟน้ื ฟู ฒั นธรรมจะบอกเลา่ เรอื่ งรา เกย่ี กบั การทอผา้
การแตง่ กายพน้ื บา้ น การใชผ้ า้ ขา มา้ และยา่ ม เอกลกั ณข์ องผา้ ขา มา้ และยา่ มโคก ลงุ ค บคกู่ บั การเลา่
ค ามเปน็ มาของชา ไทยเบง้ิ โคก ลงุ เพอื่ รา้ งบรบิ ทและภาพของ ถิ ชี ี ติ พน้ื บา้ นในอดตี ที่ ะทอ้ นใ เ้ น็
ผา่ นผู้ งู อายซุ ง่ึ เปน็ ผแู้ ดงรา� โทน การจดั แ ดง ตั ถดุ บิ ทาง ฒั นธรรมในอดตี ค บคกู่ บั การใชค้ รภู มู ปิ ญั ญา
ในการจดั ฐานกจิ กรรมและการ าธติ ทาง ฒั นธรรม จงึ เปน็ รปู แบบ นง่ึ ของการ รา้ งค ามเชอ่ื มโยงระ า่ ง
ัฒนธรรมในอดีตกับ ัฒนธรรมที่ฟื้นฟูขึ้นใ ม่ รืออีกนัย นึ่งก็คือประเพณีประดิ ฐ์ที่เกิดขึ้นในพื้นท่ี
พพิ ธิ ภณั ฑ์ ทา� ใ พ้ พิ ธิ ภณั ฑซ์ ง่ึ เปน็ พนื้ ทอ่ี ดตี กลายเปน็ พพิ ธิ ภณั ฑม์ ชี ี ติ ท่ี ามารถเชอ่ื มโยงอดตี กบั ปจั จบุ นั ได้
449
นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เน่อื งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
เมอื่ กระแ พพิ ธิ ภณั ฑพ์ นื้ บา้ นซบเซาลงใน พ. . 2545 กลมุ่ ฟน้ื ฟู ฒั นธรรมตอ้ งนา� เอา ฒั นธรรม
ออกไปแ ดงนอกพ้ืนท่ีพิพิธภัณฑ์ การจัดนิทรร การในงานประชุมองค์การเก ตรแ ่งอนาคตแ ่ง
ประเท ไทย ครง้ั ที่ 26 ท่ี ิทยาลยั เก ตรและเทคโนโลยีลพบุรี ใน พ. . 2547 เป็นกจิ กรรมท่ี ร้างชื่อเ ียง
ใ ก้ บั ฒั นธรรมของชา ไทยเบง้ิ โคก ลงุ ในงานนี้ ฒั นธรรมในอดตี ถกู นา� มาประดิ ฐ์ รา้ งใ มใ่ นรปู แบบ
ของเรือนฝาค้อจ�าลอง การตกแต่งเรือนด้ ยเครื่องใช้ในชี ิตประจ�า ันในอดีต และการ าธิต ิถีชี ิต
ค ามเป็นอยู่ การทอผ้าและผา้ ขา มา้ กบั ยา่ มถูกนา� มาใช้ ร้างภาพจ�าลอง ฒั นธรรม ด้ ย ิธีการน�าเ นอ
ผา่ นการแตง่ กายพน้ื บา้ นทม่ี ผี า้ ขา มา้ และยา่ มประกอบ การ าธติ การปน่ั ฝา้ ยและทอผา้ และการเลยี้ งลกู
ในอผู่ ้าขา ม้า และในปี พ. . 2548 บา้ นโคก ลงุ ไดร้ บั การตดิ ตอ่ จาก น่ ยงานราชการ ใ ้จดั ขบ นของ
กลุ่มชาติพันธุ์ไทยเบ้ิงไปร่ มขบ นแ ่เปิดงานแผ่นดิน มเด็จพระนารายณ์ ภาพจ�าลอง ัฒนธรรมที่ใช้ใน
งานนิทรร การเมอ่ื ปี พ. . 2547 ไดร้ บั การผลิตซา�้ นอกจากนีย้ งั มกี ารใชผ้ ้าขา มา้ ตกแต่งขบ นรถ ผเู้ ขา้
ร่ มขบ นแ ่แต่งกายด้ ยชดุ พ้ืนบ้านและใช้ผ้าขา มา้ และย่ามประกอบ การน�าเ นอผา้ ขา มา้ และยา่ มที่
มีเอกลัก ณ์เฉพาะถิ่นเป็นการเน้นย�้าและผลิตซ้�าเอกลัก ณ์ของชา ไทยเบ้ิงโคก ลุง จนเกิดเป็นภาพที่
คุ้นตาแก่ าธารณชนและ ร้างค ามรับรู้ ่าผู้ที่ใช้ผ้าขา ม้าและย่ามโคก ลุงก็คือ “ชา ไทยเบ้ิงโคก ลุง”
การแ ดงออกถึงค ามเปน็ ไทยเบิง้ โคก ลงุ โดยใชผ้ ้าขา มา้ และย่ามดังกลา่ มีค ามคล้ายคลงึ กับการนา�
เ นอรากเ งา้ ทาง ฒั นธรรมและค ามเปน็ ไทลอื้ ของชา ไทลอื้ เชยี งคา� ผา่ นการใชง้ านผา้ ทอใ ค้ นภายนอก
รบั รตู้ ามการ กึ าของ นชิ ธมิ า บญุ เฉลยี (2552) นอกจากนน้ั ค าม า� เรจ็ ของการนา� เ นอ ฒั นธรรมของ
ชา ไทยเบิ้งโคก ลงุ ตอ่ าธารณชน ยงั ่งผลกลบั ไปยังชา บ้านโคก ลุงเอง ภาพ ะท้อนท่เี กิดข้ึนจากการ
ผลิตซ�้าประเพณีประดิ ฐ์ท่ีใช้ในการฟื้นฟู ัฒนธรรมท�าใ ้ผู้ท่ีเคยตั้งค�าถามกับการใช้ค�า ่า “ไทยเบ้ิง”
ของกลมุ่ ฟน้ื ฟู ฒั นธรรม นั กลบั มามองตั เองและยอมรบั ทจี่ ะถกู เรยี ก า่ เปน็ “ชา ไทยเบง้ิ ” ซง่ึ เปน็ ค าม
มายทาง ฒั นธรรมทกี่ ลมุ่ ฟน้ื ฟู ฒั นธรรม รา้ งขึ้ นจากการนา� เอาองคค์ ามรเู้ รอื่ ง ฒั นธรรมของชา ไทย
เบิ้งตามท่ีได้เรียนรู้จากนัก ิชาการท่ีเข้ามาท�า ิจัยในบ้านโคก ลุง มา ร้างและท�าการผลิตซ้�าประเพณี
ประดิ ฐ์
เ น็ ได้ า่ ในช่ งเรมิ่ ตน้ ของการฟน้ื ฟู ฒั นธรรม มกี ารใชง้ านประเพณปี ระดิ ฐเ์ พอื่ รา้ งค ามตอ่ เนอื่ ง
ระ า่ ง ฒั นธรรมเดิมกับ ัฒนธรรมท่ไี ดร้ บั การฟ้ืนฟขู ึ้นมา ซึง่ มีผลต่อการดา� รงอยขู่ อง ฒั นธรรม และใช้
เพอ่ื เ ตผุ ลในการ อ่ื ารประชา มั พนั ธ์ อนั ง่ ผลใ เ้ กดิ การร มกลมุ่ ของชา ชมุ ชนผา่ นการ รา้ ง า� นกึ ใน
อตั ลกั ณท์ าง ัฒนธรรมของกลมุ่ ชาตพิ นั ธไุ์ ทยเบ้ิง
“สืบสาน”: ผา้ ทอโคกสลงุ กับการเรยี นร้แู ละส่งต่อภมู ิปัญญาในงานเด็กและเยาวชน
ครึ่งแรกของท รร 2550 กลมุ่ ฟ้ืนฟู ัฒนธรรมได้รับการ นับ นนุ จาก น่ ยงานภายนอกใ ้
ทา� งานดา้ นเดก็ และเยา ชน จงึ ไดจ้ ดั ทา� กจิ กรรมในรปู แบบของคา่ ยการเรยี นรภู้ มู ปิ ญั ญาซงึ่ มี ตั ถปุ ระ งค์
ใ ้เด็กและเยา ชนเรียนรู้รากเ ง้าของตนเอง เพื่อที่จะท�า น้าที่ ืบทอด ัฒนธรรมของชุมชนต่อไปใน
อนาคต มกี ารใช้กลมุ่ ผู้ ูงอายุเปน็ ผูถ้ ่ายทอดค ามรเู้ ก่ีย กับภมู ปิ ัญญาพน้ื บ้าน และเปน็ ผฝู้ ึกปฏิบัตใิ ้กบั
เด็กและเยา ชนในฐานกิจกรรมภูมิปัญญาต่าง ๆ ่ นกลุ่มฟื้นฟู ัฒนธรรมจะท�า น้าท่ีบอกเล่าเร่ืองรา
เกี่ย กับประ ัติชุมชนและอัตลัก ณ์ทาง ัฒนธรรมของชา ไทยเบิ้งโคก ลุง อันประกอบด้ ยการใช้ผ้า
ขา ม้าและย่าม การพูดเ ียงเ น่อ และนาม กุลที่มีค�า ่า “ ลุง” เพื่อใ ้ผู้เข้าร่ มกิจกรรมตระ นักถึง
ค ามเป็นไทยเบิง้ โคก ลุงของตนเอง
450
กลมุ่ เยา ชนเมลด็ ขา้ เปลอื กไทยเบงิ้ คอื ผลผลติ อนั เปน็ รปู ธรรมของคา่ ยนี้ กจิ กรรมคา่ ยช่ ยทา� ใ ้
เยา ชนกลมุ่ นยี้ อ้ นกลบั มามองตนเองและตระ นกั า่ ตนเอง า่ เปน็ “ชา ไทยเบง้ิ ” กลมุ่ เยา ชนเมลด็ ขา้
เปลือกไทยเบิ้งกลายเป็นกลไก �าคัญในการ ืบ าน ัฒนธรรม โดยท�า น้าท่ีเป็นผู้ปฏิบัติ ัฒนธรรมเม่ือมี
การแ ดงทาง ฒั นธรรม ซง่ึ จะเ น็ ไดจ้ ากการแตง่ กายด้ ยชดุ พนื้ บา้ นและการใชผ้ า้ ขา มา้ กบั ยา่ ม เพอื่ นา�
เ นอค ามเปน็ ไทยเบง้ิ โคก ลงุ ตอ่ าธารณชน ค ามตระ นกั ในอตั ลกั ณท์ าง ฒั นธรรมนย้ี งั ง่ ผลตอ่ มมุ
มองและก่อใ ้เกิดค ามภาคภูมิใจของเยา ชนกลุ่มน้ีอีกด้ ย ดังค�ากล่า ของนิ าต่อไปน้ี “คนไทยเบ้ิงมี
นาม กุลที่มีค�า ่า ‘ ลุง’ ตอนไปเรียนในเมือง อาจารย์และเพ่ือนถาม ่าท�าไมนาม กุลถึงมีค�า ่า ‘ ลุง’
ก็บอกอาจารย์ไป ่านาม กุลคนที่นี่มันมีค�า ่า ‘ ลุง’ แล้ ก็เล่าท่ีมาของนาม กุลใ ้อาจารย์ฟัง และ
คนไทยเบ้ิงจะ ะพายถุงยา่ ม ตอนอยู่เรยี นป . นใู ช้ถงุ ยา่ มใ ่ นงั ือไปเรียน ตอนท่ไี ปฝึกงานข้างนอก
มีคนมาถาม ่าใช่ย่ามไทยเบิ้งไ มและตอนนั้นมีคนฝากซ้ือย่ามด้ ย ตอนที่ไปเข้าค่าย English Camp
ที่กรุงเทพฯ และชะอ�า มีคนชม ่าถงุ ย่าม ย เขาอยากได้ กถ็ อดยา่ มใ เ้ ขาไป 2 ลกู นจู ะเอาถงุ ย่ามไป
เข้าค่ายทกุ คร้งั เพอ่ื ใ ค้ นเ น็ า่ เรามาจากโคก ลงุ และของเรากม็ ดี ”ี (นิ า, มั ภา ณ,์ 13 เม ายน 2560)
คา� พดู ของนิ าขา้ งตน้ ะทอ้ นใ เ้ น็ ถงึ ตั ถปุ ระ งคข์ องการใชป้ ระเพณปี ระดิ ฐใ์ นกระบ นการขดั เกลาทาง
งั คมตามท่ี Hobsbawm (2013) ได้กล่า เอาไ ้
กล่า ได้ ่าค่ายการเรียนรู้ภูมิปัญญาเป็นการจ�าลอง ิธีการ ืบทอดภูมิปัญญาของ ถาบัน
ครอบครั ในอดตี คา่ ยนน้ี บั เปน็ รปู แบบ นง่ึ ของประเพณปี ระดิ ฐท์ ม่ี กี าร รา้ งพน้ื ท่ี า� รบั ปฏบิ ตั กิ จิ กรรม
ทาง ฒั นธรรมที่เคยอยใู่ น ถิ ีชี ติ บรรพบุรุ เพ่อื ใ ้เดก็ และเยา ชนในปัจจุบันได้เรยี นรู้ ฒั นธรรมที่ก�าลัง
จะเลือน ายไปเพราะขาดผู้ ืบทอด และท�า น้าท่ีเป็นตั กลางแทน ถาบันครอบครั ในการ ่งต่อองค์
ค ามรู้ทาง ัฒนธรรม เพื่อท�าใ ้ ัฒนธรรมของชุมชน ามารถด�ารงอยู่ต่อไปได้ในอนาคต การใช้งาน
ประเพณีประดิ ฐ์ในช่ งเ ลานี้จึงมุ่งเน้นการบ่มเพาะเยา ชนเพื่อใ ้กลายเป็นก�าลัง �าคัญในการ ืบ าน
ฒั นธรรมของชุมชน
“พัฒนา”: ผ้าทอโคก ลุงกับการพัฒนาวัฒนธรรมใ ้เป็น ินค้าและการท่องเท่ียวเชิง
วฒั นธรรม
ต้ังแต่ท รร ที่ 2550 เป็นต้นมา กลุ่มฟื้นฟู ัฒนธรรมได้ปรับ ัตถุประ งค์ของการท�างาน
ฒั นธรรมไปเปน็ การพฒั นา ฒั นธรรมเพอ่ื ขานรบั กบั นโยบายของรฐั บาลเนอ่ื งจากมี น่ ยงานรฐั เขา้ มา ง่
เ รมิ ใ ใ้ ช้ ฒั นธรรมเปน็ ตน้ ทนุ ในการ รา้ งคณุ คา่ และมลู คา่ ทางเ ร ฐกจิ ผา้ ขา มา้ และยา่ มซง่ึ เปน็ ตั ถดุ บิ
ทาง ฒั นธรรมท่ีแ ดงถงึ อตั ลัก ณ์ของชา ไทยเบ้ิงโคก ลงุ ไดน้ �ามาปรบั ใช้ในการนี้ ดังจะเ ็นไดจ้ ากกล่มุ
แปรรปู ผา้ ทอพนื้ บา้ นซง่ึ เปน็ กลมุ่ เครอื ขา่ ยของกลมุ่ ฟน้ื ฟู ฒั นธรรม ไดน้ า� ค ามรจู้ ากโครงการ ง่ เ รมิ พฒั นา
ผลติ ภณั ฑแ์ ละบรกิ ารทาง ฒั นธรรม เพอ่ื รา้ งมลู คา่ ทางเ ร ฐกจิ มาใชเ้ ปน็ แน คดิ ในการแปรรปู ผา้ ขา มา้
และย่ามใ ้เป็น ินค้าที่บอกเล่าเร่ืองรา ัฒนธรรมชุมชน และเม่ือกระทร ง ัฒนธรรมมีนโยบาย ่งเ ริม
การใชผ้ า้ พน้ื เมอื งใน ถาน กึ า กลมุ่ ฟน้ื ฟู ฒั นธรรมใ ค้ า� ปรกึ ากบั โรงเรยี นโคก ลงุ ทิ ยาในการกา� นด
นโยบายใ น้ กั เรยี นใชย้ า่ มแทนกระเปา๋ นกั เรยี น และโรงเรยี น ดั โคก ลงุ กา� นดใ น้ กั เรยี นใชเ้ อื้ ทต่ี ดั จาก
ผา้ ขา มา้ ทกุ นั องั คาร กลมุ่ ฟน้ื ฟู ฒั นธรรมยงั เขา้ ไปพดู คยุ กบั นายอา� เภอพฒั นานคิ ม และเ นอใ ใ้ ชผ้ า้ ทอ
ของบ้านโคก ลุงเมือ่ จัง ดั ลพบรุ ีมีนโยบายใ ้ผู้ทที่ า� งานใน น่ ยงานราชการใ ช่ ดุ ท่ตี ัดจากผ้าพื้นเมือง
451
นงั ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เน่อื งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
เพื่อแ ดงเอกลัก ณ์ของท้องถ่ิน การด�าเนินงานทาง ัฒนธรรมที่ นองตอบกับนโยบายของภาครัฐช่ ย
ท�าใ ้ผ้าขา ม้าและย่ามท่ีเ ่ือมค ามนิยมไปแล้ ามารถกลับมามีบทบาทในบ้านโคก ลุงอีกครั้ง
ในรปู แบบใ ม่ คอื เปน็ นิ คา้ ทใี่ ชบ้ อกค ามเปน็ พนื้ ถน่ิ และ ฒั นธรรมของชา ไทยเบงิ้ โคก ลงุ และในขณะ
เดยี กนั กท็ า� ใ ช้ า ชมุ ชนมรี ายไดเ้ พมิ่ จากการทอผา้ ขา มา้ และยา่ มขาย เ น็ ได้ า่ การ ง่ เ รมิ ของภาครฐั
เป็นปัจจัย น่ึงท่ีท�าใ ้เกิดการฟื้นฟูการทอผ้าและการน�าเอาผ้าทอมาพัฒนาใ ้เป็น ินค้าที่ ร้างมูลค่า
ปรากฏการณ์เชน่ เดีย กันนีเ้ กิดขน้ึ กบั การฟืน้ ฟูการทอผา้ ของชา ไทยทรงด�า บ้านดอนทอง ตามที่ ชลงั ค์
ลอย งู ง ์ (2558) ได้ ึก าเอาไ ้
ตัง้ แตป่ ลายท รร ที่ 2550 เป็นต้นมา เมื่อรัฐบาลมนี โยบาย ง่ เ ริมการท่องเทีย่ กลมุ่ ฟน้ื ฟู
ัฒนธรรมน�า ัฒนธรรมมาใช้เป็นต้นทุน �า รับการจัดการการท่องเท่ีย เนื่องจากมองเ ็น ่า ัฒนธรรม
จะตอ้ งมกี ารปรบั ตั เพอ่ื ใ ้ ามารถดา� รงอยไู่ ดท้ า่ มกลางค ามเปลยี่ นแปลงทเ่ี กดิ ขน้ึ และเมอื่ บา้ นโคก ลงุ
ไดร้ บั คดั เลอื กใ เ้ ปน็ มบู่ า้ น OTOP เพอื่ การทอ่ งเทยี่ พ. . 2560 กลมุ่ ฟน้ื ฟู ฒั นธรรมไดจ้ ดั ทา� โปรแกรม
ท่องเท่ีย ซ่ึงใช้ประเพณีประดิ ฐ์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีการใช้การทอผ้าและผ้าขา ม้ากับย่ามมา ร้าง
ประ บการณ์การเรียนรู้ ิถีชี ิตและ ัฒนธรรมของชา ไทยเบิ้งโคก ลุงใ ้กับนักท่องเที่ย เพื่อ ร้าง
ค ามประทับใจ เช่น การจัดฐานกิจกรรมการทอผ้าใ ้นักท่องเที่ย ได้มีโอกา เ ็นข้ันตอนและทดลอง
ทอผ้า การแต่งกายพ้ืนบ้านของนักแ ดงร�าโทน การใช้ผ้าขา ม้าและผ้าย่ามตกแต่งบ้านโฮม เตย์และ
ตัดเย็บเป็นปลอก มอนและผา้ ม่าน การเลา่ เรอ่ื งรา ของการทอผา้ และค าม า� คัญของผา้ ขา ม้ากับยา่ ม
ใน ถิ ชี ี ติ ของชา ไทยเบงิ้ โคก ลงุ ใ น้ กั ทอ่ งเทย่ี และการใ น้ กั ทอ่ งเทยี่ แตง่ กายไทยเบง้ิ โดย ม่ ผา้ ขา มา้
เป็น ไบเฉียงไปตักบาตรที่ ัด การจัดท�าโปรแกรมท่องเท่ีย ในรูปแบบดังกล่า นับเป็น ิธีการพัฒนา
ฒั นธรรมเพอื่ การอนรุ กั เ์ ปน็ การแปลงภมู ปิ ญั ญาดง้ั เดมิ ใ เ้ ปน็ นิ คา้ ทาง ฒั นธรรมเพอื่ ขายใ ก้ บั นกั ทอ่ งเทยี่
ซึ่งจะช่ ยใ ้ ัฒนธรรม ามารถด�ารงอยู่ต่อไปได้ในกระแ ค ามเปลี่ยนแปลง ัฒนธรรมที่เ ่ียงต่อการ
ูญ ลายได้กลับมามีค าม มายต่อชา ชุมชนอีกคร้ัง ค ามประทับใจของนักท่องเท่ีย ช่ ย ร้าง
ค าม มายดา้ น “คุณค่า” ใ ้กับ ัฒนธรรมพ้ืนบ้านของชมุ ชน ่งผลใ ช้ า ชุมชนกลับมาใ ค้ าม า� คญั
กบั ฒั นธรรมอกี ครงั้ นง่ึ และคณุ คา่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ยงั นา� มาซงึ่ “มลู คา่ ” ในทางเ ร ฐกจิ ซง่ึ จะเปน็ แรงจงู ใจใ ้
คนในชุมชนเกิดแน คิดท่ีจะรัก าอัตลัก ณ์ทาง ัฒนธรรมอย่างผ้าขา ม้าและย่ามของตน ืบไป การใช้
งานประเพณีประดิ ฐ์ท่ีปรากฏในช่ งน้ีแ ดงใ ้เ ็นถึงค ามพยายามของกลุ่มฟื้นฟู ัฒนธรรมท่ีได้ปรับ
ประยุกต์ ัฒนธรรมใ ้ อดรับกับปัจจัยภายนอก คือนโยบายรัฐที่ ่งเ ริมการเพิ่มมูลค่าทางเ ร ฐกิจ
ของ ฒั นธรรมและนโยบาย ง่ เ รมิ การทอ่ งเทย่ี ประเพณปี ระดิ ฐจ์ งึ ถกู นา� มาใช้ รา้ งค าม มดลุ ระ า่ ง
มลู คา่ กบั คณุ คา่ เพื่อท�าใ ้ ัฒนธรรม ามารถด�ารงอยู่ได้ท่ามกลางกระแ การเปลี่ยนแปลงทางเ ร ฐกิจ
ังคมใน ังคมยุคปจั จุบัน
บทสรปุ
การฟน้ื ฟู ฒั นธรรมของชา ไทยเบง้ิ โคก ลงุ ะทอ้ นใ เ้ น็ ถงึ ปรากฏการณก์ ารเปลย่ี นแปลงและ
การปรับตั ทาง ัฒนธรรม อันเป็นผล ืบเน่ืองมาจากการเปล่ียนแปลงทางกายภาพและเ ร ฐกิจ ังคม
อยา่ งเป็นพล ัตภายในบ้านโคก ลงุ ในอดีตการทอผ้าเป็น ฒั นธรรมท่ี มั พนั ธก์ บั ถิ ีชี ิตของชา ไทยเบ้ิง
โคก ลงุ เป็นภมู ปิ ญั ญาที่ ืบทอดกันในครอบครั เพราะผา้ ทอเป็น งิ่ า� คญั ในการด�ารงชี ิต และยงั ใช้ใน
452
ประเพณีพิธีกรรมและการละเล่นพ้ืนบ้าน เม่ือ ิถีชี ิตเปล่ียนไปตามการเปลี่ยนแปลงทางเ ร ฐกิจ ังคม
ของชมุ ชน การทอผ้าลดบทบาทและค าม �าคญั ลง และเมอ่ื มกี าร ร้างเขอ่ื นป่า ักชล ทิ ธ์ิ ฒั นธรรมที่
ล่อ ลอมมาจากรูปแบบการด�าเนินชี ิตและ ิธีคิดของชา ชุมชนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงตกอยู่ใน
ภา ะอ่อนแอและเปราะบาง การฟื้นฟู ัฒนธรรมจึงเป็นค ามพยายามที่จะอนุรัก ์ ัฒนธรรมใ ้คงอยู่
และฟน้ื ฟใู ก้ ลบั มามพี ลงั อกี ครง้ั ฒั นธรรมท่ี ามารถดา� รงอยไู่ ดท้ า่ มกลางค ามเปลย่ี นแปลงจะตอ้ งมกี าร
ปรับตั เพ่ือใ ้ อดคล้องกับบริบททาง ังคมท่ีเปลี่ยนไป และเพื่อรับใช้ ัตถุประ งค์ใ ม่ตามการปรับใช้
ของกลมุ่ ฟื้นฟู ฒั นธรรม ปรากฏการณก์ ารฟืน้ ฟู ัฒนธรรมท่เี กิดขนึ้ จงึ เป็นการ รา้ งประเพณปี ระดิ ฐท์ ่ี
มีการน�าเอา ัฒนธรรมเดิมมาดัดแปลง ประยุกต์และขยายค าม เพ่ือใ ้ อดคล้องกับ ัตถุประ งค์ของ
การใช้งานที่เปล่ียนไปจากในอดีต เม่ือกลุ่มฟื้นฟู ัฒนธรรมจัดกิจกรรมทาง ัฒนธรรม การทอผ้าและผ้า
ขา มา้ กบั ยา่ มถกู นา� กลบั มาใชง้ านในเชงิ ญั ลกั ณต์ าม ตั ถปุ ระ งคท์ แี่ ตกตา่ งไปจากเดมิ คอื ใชก้ ารทอผา้
เพื่อเป็นเคร่ืองมือท่ีแ ดงถึงภูมิปัญญาของบรรพบุรุ และใช้ผ้าขา ม้ากับย่ามในฐานะ ัตถุดิบทาง
ัฒนธรรม ท่แี ดงอตั ลัก ณท์ าง ฒั นธรรมของชา ไทยเบิ้งโคก ลุง และเพือ่ เปน็ การรกั าใ ้ ฒั นธรรม
คงอยตู่ อ่ ไป กระบ นการฟน้ื ฟู ฒั นธรรมตอ้ งเคลอ่ื นตั ไปตามกระแ การเปลยี่ นแปลงทเี่ กดิ ขนึ้ กลมุ่ ฟน้ื ฟู
ฒั นธรรมจึงตอ้ งปรบั ตั ถปุ ระ งค์จากการอนรุ กั ฟ์ ้ืนฟูไป ู่การ ืบ าน ฒั นธรรม และต่อมาม่งุ เปา้ ไป ู่
การพัฒนาใ ้ ัฒนธรรมมีทั้งคุณค่าและมูลค่าในเชิงเ ร ฐกิจ เ ็นได้ ่าการทอผ้าและผ้าขา ม้ากับย่ามมี
บทบาทในฐานะทเี่ ปน็ เคร่ืองมอื ทีม่ พี ลงั ในการขับเคลอื่ นการดา� เนินงานทาง ัฒนธรรมตลอดมา การด�ารง
อยู่ของการทอผ้าและผ้าขา ม้ากับย่ามที่ปรากฏในกระบ นการฟื้นฟู ัฒนธรรมของชา ไทยเบิ้งโคก ลุง
นับตั้งแต่เริ่มต้นมาจนถึงปัจจุบันจึงแ ดงใ ้เ ็นถึงคุณ มบัติที่ยืด ยุ่นและเลื่อนไ ลของ ัฒนธรรมที่
ประดิ ฐ์ข้ึน ซ่ึงผู้ใช้งาน ามารถน�ามาปรับใช้ใ ้เข้ากับเง่ือนไขด้านเ ลาและด้านเ ร ฐกิจ ังคมท่ี
เปล่ียนแปลงไปได้
453
นงั อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บรรณานกุ รม
กาญจนา แก้ เทพ. (2530ก). “การ จิ ยั เพอ่ื การพฒั นา งั คมไทย: แน ฒั นธรรมชมุ ชน.” เอก าร มายเลข 2
ในการประชมุ มั มนาทาง ชิ าการ ิจัย ประจา� ปี 2530 เร่ืองแน คดิ เชิงทฤ ฎแี ละการ จิ ัยเพ่อื
การพัฒนา ังคมไทย: แน พัฒนาการเ ร ฐกิจ แน ัฒนธรรมชุมชน แน พุทธ และแน
เ ร ฐ า ตรก์ ารเมอื ง, 27-28 งิ าคม 2530.
_______. (2530ข). “มรดกทาง ฒั นธรรมและ า นา: พลงั รา้ ง รรคใ์ นชมุ ชนชนบท.” เอก าร มายเลข 7
ในการประชุม ัมมนาทาง ิชาการ ิจัย ประจ�าปี 2530 เรื่อง แน คิดเชิงทฤ ฎีและการ ิจัย
เพือ่ การพัฒนา งั คมไทย: แน พัฒนาการเ ร ฐกจิ แน ฒั นธรรมชุมชน แน พุทธ และแน
เ ร ฐ า ตรก์ ารเมือง, 27-28 งิ าคม 2530.
ชลังค์ ลอย ูง ง ์. (2558). “การถ่ายทอดค ามรู้การทอผ้าของชา ไทยทรงด�า ต�าบลดอนข่อย
อ�าเภอก�าแพงแ น จัง ัดนครปฐม.” การค้นค ้าอิ ระปริญญา ิลป า ตรม าบัณฑิต
าขา ิชาการจดั การทรพั ยากร ัฒนธรรม ม า ทิ ยาลยั ิลปากร.
นิชธิมา บุญเฉลีย . (2552). “การท่องเที่ย กับการร้ือฟื้นประเพณี ัฒนธรรมของชา ไทล้ือเชียงค�า.”
าร าร ลิ ป า ตร์ 9, 2: 119-153.
ภธู ร ภมู ะธน และคณะ. (2541). รายงานการ กึ า เรอ่ื ง มรดก ฒั นธรรมไทยเบงิ้ ลมุ่ แมน่ า้� ปา่ กั ในเขต
ทไี่ ดร้ บั ผลกระทบจากการ รา้ งเขอ่ื นปา่ กั . ลพบรุ :ี นู ย์ ลิ ป ฒั นธรรม ถาบนั ราชภฏั เทพ ตร.ี
ม า ิทยาลยั ราชภฏั เทพ ตรี. า� นกั ทิ ยบรกิ ารเทคโนโลยแี ละ าร นเท . (ม.ป.ป.) พพิ ิธภัณฑ์พ้นื บา้ น
ไทยเบงิ้ โคก ลงุ . เขา้ ถงึ เมอื่ 14 มกราคม 2560. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://library.tru.ac.th/inlop/
lptour/199-lptupp16.html.
ิ ฒั นช์ ยั อตั ถากร. (2530). “ พิ าก แ์ ผน 6 ตู รพฒั นาทก่ี า้ นา้ รอื ยา่� เทา้ อยกู่ บั ท.ี่ ”เอก าร มายเลข 1
ในการประชุม ัมมนาทาง ิชาการ ิจยั ประจา� ปี 2530 เรื่องแน คดิ เชิงทฤ ฎแี ละการ จิ ัยเพื่อ
การพัฒนา ังคมไทย: แน พัฒนาการเ ร ฐกิจแน ัฒนธรรมชุมชน แน พุทธ และแน
เ ร ฐ า ตร์การเมอื ง, 27-28 งิ าคม 2530.
ชุ าติ พบิ ลู แถ . (2550). “การ ึก ากระบ นการฟ้นื ฟูภูมปิ ัญญาการทอผ้าจก ชมุ ชนไท-ย น ราชบรุ ี
ตา� บลคบู ั อา� เภอเมอื ง จงั ดั ราชบรุ ี ในมติ กิ ารพฒั นาชมุ ชน.” ทิ ยานพิ นธ์ พฒั นาชมุ ชนม า
บัณฑติ คณะ งั คม งเคราะ ์ า ตร์ ม า ิทยาลัยธรรม า ตร์.
เ รี พง ์พิ . (2529). คืน รู่ ากเ ง้า. กรุงเทพฯ: เทยี น รรณ.
454
_______. (2536). “วฒั นธรรมพนื้ บา้ น: รากฐานการพฒั นา.” ใน ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ นกบั การพฒั นาชนบท
เลม่ ที่ 1, 35-61. เสรี พงศ์พิศ,บรรณาธกิ าร. กรุงเทพฯ: อมรนิ ทร์พริ้นต้งิ แอนด์พับลชิ ชงิ่ .
อานนั ท์ กาญจนพนั ธ.์ุ (2544). วธิ คี ดิ เชงิ ซอ้ นในการวจิ ยั ชมุ ชน: พลวตั และศกั ยภาพของชมุ ชนในการพฒั นา.
กองทนุ สนับสนุนการวจิ ัย: กรงุ เทพฯ.
Hobsbawm, Eric. (2013). “Introduction: Inventing Traditions.” In The Invention of Tradition, 1-14.
edited by Eric Hobsbawm and Terrence Ranger. Cambridge: Cambridge University Press.
บทสมั ภาษณ์
นิสา. (2560). เยาวชนเมล็ดขา้ วเปลอื กไทยเบงิ้ . สมั ภาษณ,์ 13 เมษายน.
455
นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
456
สถานภาพการวจิ ัยด้านเขมรศึกษาในประเทศไทย
The Status of Research on Khmer Studies in Thailand
ดร.ศิริ าร เ มอื นโพธิ์ทอง*
และประยูร ทรงศิลป*์ *
Sirisarn Mueanphothong
and Prayoon Songsilp
* อาจารย์ประจา� ภาค ิชาภา าตะ ันออก คณะโบราณคดี ม า ทิ ยาลยั ลิ ปากร
** ภาครี าชบณั ฑติ าขาภา าและ รรณคดตี า่ งประเท ตะ นั ออก า� นกั ลิ ปกรรม า� นกั งานราชบณั ฑติ ย ภา
457
นงั ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวิชาการ เนอ่ื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทคัดย่อ
จากการร บร มเอก ารงาน ิจัย ารนิพนธ์ และ ิทยานิพนธ์ที่เกี่ย ข้องกับเขมร ึก าใน
ประเท ไทย จ�าน นท้งั มด 324 รายการ ประกอบด้ ย
1. การ กึ า จิ ัยเขมร ึก าดา้ นประ ัติ า ตรแ์ ละโบราณคดี 85 รายการ
2. การ กึ า จิ ยั เขมร กึ าด้าน รรณกรรม 32 รายการ
3. การ ึก า จิ ัยเขมร กึ าด้านภา า า ตร์ 51 รายการ
4. การ ึก า จิ ัยเขมร ึก าดา้ น ฒั นธรรม 156 รายการ
เพอ่ื งั เคราะ ์ ากรอบแน คดิ ทฤ ฎที ใี่ ชใ้ นงาน กึ า จิ ยั เขมร กึ าซง่ึ เปน็ การ กึ าเชงิ พนื้ ท่ี
ที่จะต้องใช้ ิธีการเชิง ิทยาการ (Interdisciplinary) ท�าใ ้เ ็น ่า กรอบแน คิด และทฤ ฎีทาง
มานุ ย ิทยาโดยเฉพาะท่ีเก่ีย ข้องกับ ัฒนธรรมเป็นแน ทางที่นิยมท่ี ุด รองลงมาด้ ย ิธีการทาง
ประ ตั ิ า ตร์ ่ นการ กึ าด้ ย ธิ กี ารดา้ นภา า า ตรแ์ ละ รรณกรรมยงั เปน็ แน ทางท่ี กึ าไมม่ ากนกั
คา� ส�าคัญ : เขมร ึก า, ถานภาพ
458
Abstract
This research aims to survey and collect information about research works on
Khmer Studies in Thailand. The collection of 324 research works consists of
1. Research works on Khmer Studies in History and
Archaeology 85 works
2. Research works on Khmer Studies in Literature 32 works
3. Research works on Khmer Studies in Linguistics 51 works
4. Research works on Khmer Studies in Culture 156 works.
The result shows that the method functional in the field of Khmer Studies, which
is an area study, is Interdisciplinary. However, the methods and concepts of Human
Science particularly related in culture play a major role in research works. The studies
with the methods in literature and linguistics are fewer.
Keywords: Khmer Studies, Status
459
นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทนา�
เขมร ึก า (Khmer Studies) ถอื เป็น ทิ ยาการ าขา น่ึงที่ กึ าเก่ยี กับเขมรอยา่ งรอบดา้ น
คา� า่ เขมร (Khmer) นี้ มายร มถงึ บคุ คล ภา า และ ฒั นธรรม ในแงข่ องบคุ คลคอื ผทู้ มี่ เี ชอื้ ชาตเิ ขมร รอื
กลุ่มชนท่ีพูดภา าเขมร โดย ่ นใ ญ่อา ัยอยู่ในประเท กัมพูชาและในพื้นที่อื่น ๆ ร มถึงประเท ไทย
นอกจากลกั ณะทางชาตพิ นั ธแ์ุ ล้ ง่ิ ทใี่ ชใ้ นการจา� แนกกลมุ่ ชนดงั กลา่ กค็ อื ภา า นกั ภา า า ตรจ์ ดั ภา า
เขมร า่ เปน็ ภา าเกา่ แกใ่ นตระกลู ภา าออ โตรเอเชยี ตกิ ่ นรปู แบบกจิ กรรม รอื อตั ลกั ณข์ องกลมุ่ ชน
เขมรที่ ง่ั มและไดร้ บั การถา่ ยทอดจากรนุ่ รู่ นุ่ นนั้ ถอื เปน็ ลกั ณะทาง ฒั นธรรมทน่ี กั มานุ ย ทิ ยานยิ ม กึ า
การเรยี นการ อนดา้ นเขมร กึ า (Khmer Studies) ในประเท ไทยเมอื่ พจิ ารณาจาก ลกั ตู ร
ที่เคยเปดิ อน รอื ทเี่ ปิด อนอยใู่ นระดบั อุดม กึ า เช่น าขา ิชาเขมร ึก า าขา ิชาภา าตะ นั ออก
าขา ชิ าภา าเขมร าขา ชิ าจารกึ กึ า (เนน้ ภา าเขมร) ่ นใ ญม่ งุ่ เนน้ กึ าทางดา้ นภา าเขมรเปน็ ลกั
ร มถึง รรณกรรมและภา าอนื่ ๆ ทเี่ กีย่ ข้อง ตลอดจนประ ตั ิ า ตร์ โบราณคดี ัฒนธรรมประเพณที ี่
เกย่ี กับเขมรในลกั ณะท่ีเป็น ทิ ยาการ
นอกจาก ึก าดา้ นภา าเขมรอย่างจริงจังแล้ ปัจจุบนั มีการ กึ าทางด้านอาเซยี น ึก า รือ
เอเชียตะ ันออกเฉียงใต้ ึก าอย่างต่อเนื่องด้ ย เพื่อแ ง าองค์ค ามรู้ที่จะน�ามาใช้ในการ ร้าง
ค ามร่ มมือในภูมิภาค ทั้งด้านเ ร ฐกิจ ค ามม่ันคง ร มถึง ังคมและ ัฒนธรรม ซ่ึง อดคล้องกับ
ยุทธ า ตร์การพฒั นาประเท ตามแผนพฒั นาเ ร ฐกจิ และ งั คมแ ง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 11 (พ. . 2555-2559)
ยุทธ า ตร์ท่ี 5 การ ร้างค ามเช่ือมโยงกับประเท ในภูมิภาคเพื่อค ามมั่นคงทางเ ร ฐกิจและ ังคม
“ขอ้ 5.3 การ รา้ งค ามพรอ้ มในการ ปู่ ระชาคมอาเซยี น” นอกจากนใ้ี นแผนงานการจดั ตง้ั ประชาคม ังคม
และ ฒั นธรรมอาเซยี น (ค. . 2009-2015) มเี ปา้ มายเชงิ ยทุ ธ า ตรท์ ี่ า� คญั ประการ นง่ึ คอื การ “ รา้ ง
ค ามรู้ กึ ของค ามเปน็ เจา้ ของ และการร มกนั เปน็ เอกภาพทา่ มกลางค าม ลาก ลาย และ ง่ เ รมิ ค าม
เข้าใจอันดีระ ่างประเท มาชิกอาเซียนในเร่ือง ัฒนธรรม ประ ัติ า ตร์ า นา และอารยธรรม”
ดังนั้นปรากฏการณ์น้ีแ ดงใ ้เ ็น ่า การ ึก าด้านภา า รรณกรรม ประ ัติ า ตร์ และประเพณี
เป็นเครื่องมืออยา่ ง นง่ึ ที่จะเช่ือมโยงค ามเข้าใจในภูมภิ าคไดเ้ ป็นอยา่ งดี
ในปัจจุบันงาน ิจัยด้านเขมร ึก าในประเท ไทย ท้ังที่เป็นงาน ิจัยใน ลัก ูตรการ ึก า
อนั ไดแ้ ก่ ทิ ยานพิ นธ์ ารนพิ นธ์ ปรญิ ญานพิ นธ์ การคน้ ค า้ อิ ระ และงาน จิ ยั ของบคุ ลากรทางการ กึ า
ตลอดจนผเู้ ชย่ี ชาญดา้ นเขมร กึ า ไดแ้ ก่ รายงานการ จิ ยั ร มถงึ บทค ามนา� เ นอผลการ จิ ยั นนั้ มจี า� น น
มากข้ึนอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง แต่อย่างไรก็ตามงาน จิ ยั แต่ละชนิ้ มขี อบเขต กรอบแน คิดเชงิ ทฤ ฎี และระเบียบ
ิธี ิจัยท่ีแตกต่างกัน และยังไม่มีการ ึก า ถานภาพของการ ึก า ิจัยด้านเขมร ึก ามาก่อน ากเรา
ทราบ ถานภาพของการ ึก า ิจัยที่ผ่านมาอย่างถูกต้องแม่นย�าโดยผ่านกระบ นการ ิจัยที่น่าเชื่อถือ
จะทา� ใ ้ทราบทิ ทาง รือแน ทาง จิ ัยดา้ นเขมร กึ าในอนาคตได้
ผู้ ิจัยจึงมุ่ง ึก า ถานภาพการ ึก า ิจัยด้านเขมร ึก า ด้ ย ิธี ิเคราะ ์เนื้อ า (Content
Analysis) ซง่ึ จดั เปน็ งาน จิ ยั เอก าร (Documentary Research) และนา� เ นอด้ ย ธิ พี รรณนา เิ คราะ ์
ท่ี ามารถนา� ขอ้ มลู นไ้ี ปใชก้ ารพัฒนาค ามรดู้ ้านเขมร ึก าตอ่ ไป
460
ัตถปุ ระ งค์ของการ จิ ัย
1. เพอ่ื ึก ารูปแบบ ทฤ ฎี และจ�าแนกประเภทของงาน จิ ัยด้านเขมร กึ า
2. เพื่อ ึก าคุณลัก ณะ กรอบแน คิดเชิงทฤ ฎี และระเบียบ ิธี ิจัยของงาน ิจัยด้านเขมร
กึ า
ถานภาพการ จิ ัยดา้ นเขมร กึ าในประเท ไทย
งาน ิจัยนี้ร บร มและ ึก าเอก ารงาน ิจัย ารนิพนธ์ และ ิทยานิพนธ์ที่เกี่ย ข้องกับเขมร
ึก าในประเท ไทยจ�าน นทั้ง มด 324 รายการ แบ่งเป็น 4 กลุม่ ประกอบด้ ย การ ึก า ิจยั เขมร
ึก าดา้ นประ ัติ า ตรแ์ ละโบราณคดี 85 รายการ ด้าน รรณกรรม 32 รายการ ด้านภา า า ตร์ 51
รายการ ด้าน ฒั นธรรม 156 รายการ เพ่ือ งั เคราะ ์ ากรอบแน คิด ทฤ ฎีทใ่ี ชใ้ นงาน ึก า จิ ยั เขมร
กึ า และเพอ่ื ใ เ้ ขา้ ใจ ถานภาพการ กึ า จิ ยั ดา้ นเขมร กึ าตงั้ แตอ่ ดตี จนถงึ ปจั จบุ นั และเปน็ แน ทาง
การ จิ ยั ดา้ นเขมร กึ าในอนาคต ผู้ จิ ยั จะแ ดงขอ้ มลู ในเชงิ ปรมิ าณโดยอยใู่ นรปู ตารางและแผนภมู พิ รอ้ ม
ท้ังอธิบายตามลา� ดบั ดังน้ี
1. การ กึ า จิ ัยเขมร กึ าด้านประ ตั ิ า ตร์และโบราณคดี
การ กึ า ิจัยเขมร ึก าด้านประ ัติ า ตรแ์ ละโบราณคดีมจี า� น น 85 รายการ ประกอบด้ ย
ั ขอ้ จ�าน นรายการ ร้อยละ
1. การ ึก า จิ ัยตามแน พรรณนาประ ตั ิ 46 54.12
1.1 การ ึก าด้ ยการลา� ดับเ ลา 5 5.88
1.2 การ กึ าการแพรก่ ระจาย 5 5.88
1.3 การ กึ าด้ ยการจัดจ�าแนกรปู แบบ 28 32.94
1.4 การ กึ าด้ ยการตร จ อบช้ันดิน 6 7.06
1.5 การ ึก าด้ ยการ ืบย้อนประ ัติ า ตร์ ายตรง 2 2.35
2. การ ึก า ิจัยตามแน บทบาท นา้ ท่ี 13 15.29
2.1 การ กึ า ลกั ฐานทาง ตั ถใุ นฐานะ อ่ื บอกพฤตกิ รรม 9 10.59
ของมนุ ย์
2.2 การ กึ าการต้งั ถนิ่ ฐานที่ ัมพนั ธก์ บั ภาพแ ดลอ้ ม 4 4.1
3. การ กึ า จิ ัยตามแน กระบ นการ 9 10.59
4. การ ึก า ิจยั ตามแน ค าม มาย 17 20
ร ม 85 100
จากตารางแ ดงจ�าน นของการ ึก า ิจัยเขมร ึก าด้านประ ัติ า ตร์และโบราณคดีใน
ประเท ไทยจ�าแนกตามประเภทกรอบแน คิด 4 แบบ แ ดงใ ้เ ็น า่ ิธี ิจยั ทน่ี ิยมใช้มากที่ ุดคือ การ
ึก า ิจัยตามแน พรรณนาประ ตั ิ โดย ่ นใ ญ่ใช้ ธิ ีพรรณนา (Descriptive Research) ธิ ี เิ คราะ ์
461
นงั ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
(Analytical Research) เปน็ ลกั ซงึ่ เมอ่ื ดูจากช่ งเ ลาท่ีมีการผลิตผลงานออกมาแล้ พบ ่าเป็น ิธี จิ ยั
แรก ุดท่ีน�ามาใช้ในการ ิจัยเกี่ย กับประ ัติ า ตร์และโบราณคดีเขมรในประเท ไทยในรา พุทธ ักราช
2511-2515 คือ การ กึ าด้ ยการลา� ดับเ ลา แตด่ จู ะไม่เปน็ ท่นี ยิ มเท่าใดนกั ในเ ลาตอ่ มา เช่นเดยี กบั
การ ึก าการแพร่กระจายท่ีผู้ ิจัยเช่ือ ่า ัฒนธรรมมีลัก ณะเฉพาะในแต่ละท้องถิ่น เทคนิค ิธีของการ
ึก าการแพร่กระจายในทางโบราณคดีก็คือ การ ังเกตและบันทึกค าม ลาก ลาย (variations)
ของโบราณ ัตถใุ นแงร่ ูปทรงและล ดลายตกแต่ง แล้ จัดประเภทตามล�าดับอายุ มยั ซึง่ ได้พัฒนารูปแบบ
การ กึ าในยคุ ต่อมา
การ กึ า จิ ยั ตามแน พรรณนาประ ตั นิ ยิ มใช้ ธิ ี จิ ยั คอื การ กึ าด้ ยการจดั จา� แนกรปู แบบ
ซงึ่ เปน็ ธิ ี กึ าขน้ั พน้ื ฐานที่ ดุ ของการคน้ พบ ลกั ฐานทางประ ตั ิ า ตรแ์ ละโบราณคดที นี่ ยิ มมากในช่ ง
ปพี ทุ ธ กั ราช 2520-2525 ซงึ่ ยงั คงมผี ทู้ า� การ กึ าด้ ย ธิ นี จี้ นถงึ ปจั จบุ นั และมแี น โนม้ า่ จะยงั คงมงี าน
จิ ยั ในลกั ณะนตี้ อ่ ไปอกี ในอนาคต การจดั จา� แนกรปู แบบของ ฒั นธรรมเขมรรปู นม้ี ที งั้ การจดั จา� แนกรปู
แบบของ ลักฐานทาง ัตถุท่ีเน้นการล�าดับอายุ และการจ�าแนก น่ ย ัฒนธรรมท่ีเน้นจ�าแนกค ามแตก
ต่างจากการพิจารณาลัก ณะเด่นเฉพาะตั ภายใน น่ ย ัฒนธรรมใ ญ่ รือระ ่าง น่ ย ัฒนธรรม
โดยทงี่ านในระยะต่อมาช่ งพุทธ กั ราช 2546-2550 การ กึ า น่ ย ัฒนธรรมจะม่งุ เน้นทค่ี ตคิ ามเชือ่
ทาง า นา
การ กึ าดา้ นโบราณคดนี น้ั จา� เปน็ ตอ้ งใช้ ธิ กี าร กึ าด้ ยการตร จ อบชนั้ ดนิ จากการขดุ ตร จ
อย่างไรก็ตามในระยะแรกไม่ค่อยมีการน�า ิธี ึก าด้ ยการขุดตร จ อบชั้นดินมาใช้เท่าใดนัก จนกระท้ัง
รา ปีพุทธ กั ราช 2531 จงึ เริม่ มกี ารนา� ลกั ฐานทีไ่ ดจ้ ากการขดุ คน้ มา ึก าเพอื่ ล�าดับชนั้ ฒั นธรรม
ในระยะตอ่ มาตงั้ แตพ่ ทุ ธ กั ราช 2548 เปน็ ตน้ มา มกี ารใช้ ธิ กี ารตร จ อบชน้ั ดนิ ทางโบราณคดี
เข้ามาตร จ อบข้อ ันนิ ฐานที่ได้จากการ ิเคราะ ์ทางประ ัติ า ตร์ ิลปะ การ ึก าด้ ย ิธีน้ีจึงเป็น
แน ทางทค่ี รนา� มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการพิ จู น์ มมตฐิ านทม่ี กี ารจดั จา� แนกจาก ลกั ฐานทาง ตั ถปุ ระเภทอน่ื
ๆ นอกจาก ลิ ปกรรมด้ ย เปน็ ต้น ่า การพิ จู น์ขอ้ มมตฐิ านท่ีได้จากการ ึก า ลกั ฐานประเภทจารกึ
รอื เอก ารโบราณ ซง่ึ ทา� ใ ้การ ึก าดังกล่า มีค ามนา่ เชื่อถือมากข้นึ
า� รบั การ กึ าตามแน พรรณนาประ ตั ทิ พี่ บ า่ ไมเ่ มาะ า� รบั การ กึ าประ ตั ิ า ตรแ์ ละ
โบราณคดีย้อนกลับไปเป็นเ ลานานคือ การ ึก าด้ ยการ ืบย้อนประ ัติ า ตร์ ายตรง เน่ืองจากการ
ถ่ายทอด ัฒนธรรมอาจขาดช่ ง รือไม่ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันจน ามารถ ืบกลับไปได้โดยตรง ิธีน้ีจึงไม่
เป็นทีน่ ิยมเทา่ ใดนกั
แน ทาง ึก าท่ีมีผู้ใช้ในล�าดับรองลงมาจากการ ึก าตามแน พรรณนาประ ัติคือการ ึก า
ิจัยตามแน ค าม มาย ซง่ึ แบง่ ถานภาพการ ึก าออกเปน็ 2 ช่ งด้ ยกัน
ในช่ งแรกรา พุทธ ักราช 2527-2531 จะมุ่งเน้น กึ าค าม มายในเชิงคตคิ ามเชือ่ คณุ ค่า
และ ัญลกั ณท์ ี่ปรากฏในงาน ิลปกรรม โดยอา ัยค ามรู้ดา้ นประตมิ าน ิทยาและประ ตั ิ า ตร์ ิลปะ
เปน็ ลกั ธิ กี าร กึ านเ้ี ปน็ ธิ ที ย่ี งั คง กึ าอยใู่ นปจั จบุ นั เชน่ กนั และมแี น โนม้ ทจ่ี ะใช้ ธิ กี ารนใี้ นอนาคต
462
แตจ่ ะมกี ารนา� ธิ ี กึ าอนื่ ๆ มาร มพิ จู น์ มมตฐิ านด้ ย เชน่ การขดุ ตร จทกี่ ลา่ แล้ ในขา้ งตน้ ่ นการ
ึก าในระยะที่ 2 น้ัน เป็นแน การตีค ามเพ่ือ าค าม มายในยุค ลัง มัยใ ม่ รือโพ ต์โมเดิร์น
(postmodernism) มากขนึ้ ธิ ี กึ าเปน็ ไปในลกั ณะการรอ้ื รา้ ง (deconstruction) ซงึ่ มที มี่ าจากการ
ิจารณ์ รรณกรรม ซึ่งนิยมใช้ค�า ่า าทกรรม (discourse) เข้ามาเกี่ย ข้อง โดยเน้นเร่ืองอ�านาจและ
การเมืองเป็น ่ นใ ญ่ การ ึก า ิจัยในช่ งพุทธ ักราช 2545-2547 จึงนิยมการ ึก าในแน
ประ ัติ า ตร์นิพนธ์ (historiography) ที่เน้น ึก าบริบทของการเขียนประ ัติ า ตร์มากก ่า ่ิงที่
ประ ตั ิ า ตรเ์ อย่ ถงึ ผู้ จิ ยั เชอ่ื า่ ธิ กี าร กึ าแน โพ ตโ์ มเดริ น์ จะยงั คงมกี าร กึ า จิ ยั คขู่ นานไปกบั การ
กึ าเชงิ พรรณนาประ ตั ิ รอื แน ทาง กึ าค าม มายเชงิ คตคิ ามเชอ่ื ทเี่ รมิ่ ประยกุ ตเ์ อาการ กึ าแน
กระบ นการซึ่งเป็นแน คิดตรงข้ามอย่างตอ่ เน่อื ง
า� รบั แน คดิ ท่ี ะทอ้ น า่ การ กึ าโบราณคดเี ปน็ มานุ ย ทิ ยามากที่ ดุ คอื การ กึ าบทบาท
น้าที่ที่พยายามเช่ือมโยง ลักฐานกับบริบททาง ัฒนธรรม การ ึก าตามแน บทบาท น้าที่อาจมองได้
2 แน ทาง ไดแ้ ก่ กึ า ลกั ฐานทาง ตั ถุในฐานะ ่อื บอกพฤติกรรมของมนุ ย์ (artifacts as behavior)
และ กึ าการตัง้ ถิ่นฐานที่ ัมพันธก์ บั ภาพแ ดลอ้ ม (settlement archaeology)
แน ทาง กึ าประ ตั ิ า ตรแ์ ละโบราณคดเี ขมรทพี่ บนอ้ ยมากที่ ดุ คอื การ กึ า จิ ยั ตามแน
กระบ นการทเ่ี นน้ อง าขา คอื กระบ นการทาง ฒั นธรรมและกระบ นการทาง ทิ ยา า ตร์ เ ตทุ กี่ าร
ึก าแน นี้มีจ�าน นน้อย ะท้อนใ ้เ ็นคุณลัก ณะของการ ึก าประ ัติ า ตร์และโบราณคดี ่า
เป็นงาน จิ ัยทางมนุ ย า ตร์เชงิ คณุ ภาพมากก ่า ทิ ยา า ตร์เชงิ ปริมาณ
2. สถานภาพการศกึ ษาวิจัยเขมรศึกษาดา้ นวรรณกรรม
การ ึก าทเ่ี ก่ยี กบั รรณกรรมเขมรในช่ งท รร ที่ผ่านมานัน้ ผู้ จิ ัยพบ ่า ่ นใ ญเ่ ปน็ การ
ึก าท่ีจ�ากัดเฉพาะกลุ่มนัก ิชาการท่ี นใจเท่าน้ัน ่งผลต่อปริมาณงาน ึก า ิจัยในด้านนี้ตามไปด้ ย
ผู้ จิ ยั ใชเ้ กณฑก์ ารแบง่ ประเภทของ รรณกรรมเขมรตามเอก ารประกอบการ อน ชิ าค ามรเู้ บอื้ งตน้ เกยี่
กับ รรณคดเี ขมรของ านติ ภักดีค�า (2552) ดงั น้ี
1. มัยโบราณ เรียก ่า ภา าเขมรโบราณพบใน ลิ าจารกึ ในคริ ต์ ต รร ท่ี 7–14
2. มยั กลาง เปน็ ภา าเขมรทพ่ี บใน ลิ าจารกึ และเอก ารตั เขยี นตา่ ง ๆ ในคริ ต์ ต รร ที่ 15–18
3. มยั ปจั จุบนั เปน็ ภา าเขมร มัยใ ม่ท่ีใชก้ ันตงั้ แต่คริ ต์ ต รร ที่ 19 จนถึงปัจจบุ ัน
35
24
463
นัง ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เน่อื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
จากแผนภมู จิ ะพบ า่ การ กึ า รรณกรรมเขมร ่ นใ ญจ่ ะเปน็ การ กึ าในระดบั ม าบณั ฑติ
ซงึ่ กึ าคน้ ค า้ ขอ้ มลู ในเรอ่ื งใดเรอื่ ง นงึ่ ทผ่ี ู้ กึ า นใจโดยเปน็ ่ น นง่ึ ของการ กึ าในระดบั ม าบณั ฑติ
่ นการ กึ าในระดบั ดุ ฎบี ณั ฑติ และงาน จิ ยั ตา่ ง ๆ ของนกั ชิ าการทางดา้ น รรณกรรมเขมรยงั มจี า� น น
นอ้ ยมาก
3 10
19
เม่ือแบ่ง รรณกรรมท่ีใช้ ึก าตามยุค มัยพบ ่ามีการ ึก า รรณกรรมเขมร มัยใ ม่มากที่ ุด
ซงึ่ รรณกรรมเขมร มยั ใ มเ่ ปน็ รรณกรรมทไี่ ดร้ บั อทิ ธพิ ลจาก รรณกรรมตา่ งประเท ทง้ั ในดา้ นรปู แบบ
และกล ิธกี ารแตง่ มกี ารแตง่ รรณกรรมในรปู แบบใ ม่ทา� ใ ้ กึ าได้ง่ายขึ้น เช่น นิยาย เรื่อง ้นั ผู้ ิจัย
รรณกรรมเขมรยงั คงใช้ นงั อื ชิ าการทเ่ี กยี่ กบั การ จิ ยั รรณคดขี องไทย มาใชใ้ นการ กึ า รรณกรรม
เขมร มัยใ ม่ โดยน�าทฤ ฎีต่าง ๆ ที่ใช้ในการ ิเคราะ ์ รรณกรรมไทยมาปรับใช้ในการ ิเคราะ ์
รรณกรรมเขมร มยั ใ ม่ ทา� ใ ก้ าร กึ า รรณกรรมเขมร มยั ใ มม่ จี า� น นมากก า่ การ กึ า รรณกรรม
เขมร มัยโบราณและ มัยกลาง เนือ่ งจากการ ึก า รรณกรรมเขมร มัยโบราณและ มยั กลางต้องอา ัย
ค ามรทู้ างดา้ นจารกึ และการถอดค ามจากอกั รโบราณ ซง่ึ ปจั จบุ นั การ กึ าทางดา้ นจารกึ และการอา่ น
เอก ารโบราณมีผู้ ึก าน้อยมาก บุคลากรทางด้านจารึกผู้ที่ ามารถอ่านอัก รโบราณได้ก็มีจ�าน นน้อย
มากเช่นกัน ท�าใ ้การ กึ า ิจัยทางด้านจารกึ จา� กดั อยู่ในแ ด งของนกั ชิ าการกลุ่มเล็ก ๆ การผลิตงาน
ิชาการท่ีเก่ยี กบั รรณกรรมเขมร มัยโบราณและ มัยกลางจงึ มีจา� น นนอ้ ยตามไปด้ ย
1
2
464
เม่ือพิจารณา ิทยานิพนธ์ท่ี ึก า รรณกรรมเขมร มัยโบราณเท่าท่ีพบ 3 เรื่อง แบ่งเป็นการ
ึก า ลิ าจารกึ เฉพาะด้าน รรณกรรม “การ ิเคราะ ์ ลิ าจารกึ ดกกอ๊ กธมเชิง รรณกรรม” ของ จั ภูมิ
ละออ (2549) เป็นการ ึก าข้อค ามใน ิลาจารึกตามองค์ประกอบทาง รรณกรรมประเภท ารคดี
“การ กึ า ิเคราะ จ์ ารกึ ต ลปรา าทในเชิง รรณคดี ึก า” ของ ณฐั พล จันทรง์ าม (2550)
งานท่ี ึก า ิลาจารึกโดยใช้แน โครง ร้าง รือองค์ประกอบภายในของเน้ือ าใน ิลาจารึกมี
เพยี ง นงึ่ เรอื่ งคอื “การ กึ า เิ คราะ ก์ ารทา� บญุ ในจารกึ นคร ดั มยั ลงั พระนคร” ของ ขนิ ฐา อลงั กรณ์
(2551) โดย กึ าจารกึ จา� น น 40 ลัก เ ตุผลทก่ี าร ึก า รรณคดีเขมร มัยโบราณมจี �าน นน้อยมาก
อาจเพราะมีตั อัก รและภา าท่ียากเกินไป ากต้องอ่านและตีค ามอาจต้องใช้นานซ่ึงไม่ อดคล้องกับ
เงอ่ื นเ ลาของนัก ึก า รอื ของนกั ิจยั เองกต็ าม
2
2
4
2
เมื่อพิจารณา ิทยานิพนธ์และงาน ิจัยท่ี ึก า รรณกรรมเขมร มัยกลาง จ�าน น 10 เร่ือง
แบง่ ไดเ้ ปน็ ั ขอ้ คอื รรณคดพี ทุ ธ า นา รรณคดปี ระเภท ภุ า ติ รรณคดปี ระเภท า ตราลแบง และ
รรณคดีเฉลิมพระเกียรติ จากแผนภูมิพบ ่า รรณกรรมเขมร มัยกลางมีการ ึก า รรณคดีที่เก่ีย ข้อง
กบั า นามากท่ี ดุ ซง่ึ รรณกรรมเขมร มยั กลางจะเปน็ รรณกรรมทเ่ี กยี่ เนอื่ งกบั รรณคดี พทุ ธ า นา
ชาดกต่าง ๆ ่ นใ ญ่จะเนน้ การ ึก าเปรียบเทียบ โดยจะเปรยี บเทียบ า� น นเขมรกบั �าน นของไทย
เนือ่ งด้ ยมีค าม ัมพันธ์เกย่ี เนอื่ งกนั กบั รรณคดไี ทย เช่น การ กึ า “ภา ติ เขมร ถิ ชี ี ติ และโลกทั น์
ของชา เขมร” ของ อบุ ล เท ทอง (2548) งาน ิจยั ท่ีเกี่ย กับ รรณคดเี ขมร มยั กลางก็ยงั คงจ�ากัดอยใู่ น
กลุ่มผู้ท่ี นใจ กึ าเทา่ นัน้ ทา� ใ ก้ าร กึ า รรณคดเี ขมรใน มัยนยี้ ังมจี า� น นน้อยมาก
465
นัง อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวิชาการ เนือ่ งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
4
15
การ ึก า ิทยานิพนธ์ รืองาน ิจัยท่ี ึก าเกี่ย กับ รรณกรรมเขมร มัยใ ม่จะพบ ่า มีการ
กึ า รรณกรรมประเภทน นยิ ายมากก า่ การ กึ า รรณกรรมประเภทก นี พิ นธ์ การ กึ า รรณกรรม
่ นใ ญเ่ นน้ เฉพาะเรอื่ งใดเรอ่ื ง นง่ึ โดยจะ กึ าจากองคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ของ รรณกรรมโดยใชแ้ น การ
กึ าจากการ กึ า รรณกรรมไทยมาปรบั ใชใ้ นการ กึ า รรณกรรมเขมร ซง่ึ ยงั คงใชท้ ฤ ฎกี าร เิ คราะ ์
ท่ีเป็นแบบไทยเนื่องจากใช้ นัง ือ ิชาการของไทย ยังคงไม่มีการใช้ทฤ ฎีใ ม่มาใช้ในการ ิเคราะ ์
รรณกรรมเขมร ถึงแม้ ่าการ ึก า รรณกรรมเขมร มัยใ ม่ประเภทน นิยายจะมีปริมาณมาก แต่การ
กึ าเ มอื น ยดุ นง่ิ อยกู่ บั ท่ี เนอ่ื งจากยงั ไมม่ คี ามแปลกใ มท่ างการดา้ นใชท้ ฤ ฎี รอื มปี ระเดน็ ใ มใ่ น
การ ึก า ิเคราะ ์
การ ึก า ถานภาพการ ิจัยทางด้าน รรณกรรมเขมร ่ นใ ญ่เป็นงาน ิจัยเพ่ือการท�า
ิทยานิพนธ์ทางด้าน รรณกรรมเขมรในระดับบัณฑิต ึก า าขาจารึกภา าตะ ันออก าขาเขมร ึก า
และ าขาจารกึ ึก า อีกท้ังยงั มีงาน จิ ัยของนัก ชิ าการท่ี ึก าและ นใจใน รรณกรรมเขมร ซงึ่ จ�าน น
งาน ิจัยที่เกีย่ กับ รรณกรรมเขมรยงั มจี า� น นนอ้ ยมาก อาจด้ ยการ กึ าภา าเขมร รรณกรรมเขมร
จา� กดั อยใู่ นขอบเขตของผทู้ ี่ นใจ กึ าเทา่ นน้ั จงึ ทา� ใ ง้ าน จิ ยั ในช่ งท รร ทผี่ า่ นมามจี า� น นนอ้ ย และ
การตั้งโจทย์ จิ ยั ยงั เป็นไปในแน เดีย กนั กบั การ ึก า รรณกรรมไทย
ิทยานิพนธ์ต่าง ๆ ยังตั้งโจทย์ ิจัยเพ่ือค้น าคุณค่าของ รรณ ิลป์ในงาน รรณกรรม มุ่ง า
ค�าตอบในด้านคุณค่าของ รรณกรรม พิจารณาองค์ประกอบต่าง ๆ ของ รรณกรรม ทั้งน้ียังไม่พบ ่ามี
การน�าทฤ ฎีใ ม่ รือแน ทางอื่นมาใช้ในการ ิเคราะ ์ รรณกรรมเขมร การ ึก า รรณกรรมเขมร
มัยใ ม่กับ รรณกรรมเขมร มัยกลางก็เป็นการ ึก าในรูปแบบเดีย กัน ่ นงาน ิจัย รรณคดีใน มัย
โบราณจะเปน็ การ ึก าเน้ือค ามใน ลิ าจารกึ โดยอา ัยการแปลและการถอดค ามเปน็ ลัก
ิทยานิพนธ์ทางด้าน รรณกรรมเขมรในช่ งท รร ที่ผ่านมา นับเป็นช่ งเริ่มต้นของการท�า
ิทยานิพนธ์ทางด้าน รรณกรรมเขมร ต�าราที่เกี่ย กับ รรณกรรมเขมรยังมีจ�าน นน้อยจึงต้องใช้ต�ารา
รรณกรรมไทยมา ึก า รรณกรรมเขมร และยังกลายเป็นต�าราต้นแบบท่ี ิทยานิพนธ์ต่าง ๆ ใช้ในการ
ิเคราะ ์เร่ือยมา จึงท�าใ ้เกิดข้อบกพร่องในด้านการ ิเคราะ ์ข้อมูลต่อมาเป็นลูกโซ่เนื่องด้ ยเป็นการ
ึก าในรูปแบบเดยี กันทา� ใ ้การ กึ าทางดา้ น รรณกรรมเขมรเ มือน ยดุ นิง่ อยู่กบั ที่
466
3. ถานภาพการ ึก า ิจัยเขมร ึก าด้านภา า า ตร์
จากการ ิเคราะ ข์ อ้ มูล ารนิพนธ์ ทิ ยานิพนธแ์ ละรายงาน จิ ยั เขมร ึก าดา้ นภา า า ตร์มี
ขอบเขตการ กึ าภา าทอี่ ยใู่ นตระกลู เดยี กนั คอื ตระกลู ออ โตรเอเชยี ตกิ พบขอ้ มลู จา� น น 51 รายการ
พบมากที่ ดุ คือ งาน ิจยั ดา้ นภา าเขมร 31 รายการ รองลงมาคือ อยใู่ นตระกลู เดีย กันได้แก่ ภา าชอง
7 รายการ ภา า ่ ย (กยู ) 6 รายการ ภา ามอญ 3 รายการ ภา าขมุ 3 รายการ ภา าโซ่ 2 รายการ
และภา าอ่ืน ๆ ได้แก่ บรู เญอ ชอุ้ง และ มัล จ�าน น 4 รายการ จ�าแนกจัดกลุ่มงาน ิจัยตามเนื้อ า
ดังกล่า ออกเป็น 6 ม ด ดังนี้
ั ข้อ จา� น นรายการ
1. การ กึ าโครง รา้ งของภา า 10
2. การ กึ าภา า า ตรเ์ ชิงประ ตั ิ 8
6
2.1 การ ึก า ิ ัฒนาการของภา า 2
2.2 การ ึก าภา า มั พนั ธ์ 17
3. การ ึก าภา าเชงิ เปรยี บเทยี บร่ ม มยั 8
3.1 การ กึ าเชงิ พรรณนา 9
3.2 การ ึก าเชิงภูมิ า ตร์ 12
4. การ กึ าภา า า ตร์ประยกุ ต์เชิง าขา ิชา 9
4.1 การ กึ าภา า า ตรเ์ ชงิ ังคม 2
4.2 การ กึ าภา า า ตรค์ อมพิ เตอร์ 1
5. การ ึก าภา า า ตร์การ กึ า 4
6. การ ึก าภา า า ตรป์ ระยุกตใ์ นแง่มมุ อน่ื ๆ 2
6.1 การท�าพจนานกุ รม 2
6.2 แผนทภ่ี า า 51
รม
จากตารางพบ า่ กลมุ่ งาน จิ ยั ทางดา้ นโครง รา้ งของภา าทพี่ บเปน็ ระดบั ของ น่ ยคา� ประโยค
และค าม มาย ท้ัง มด 10 รายการ การ ึก าทางโครง รา้ งตั้งแต่ระดบั น่ ยคา� ไปจนถึงประโยคและ
ค าม มายทีเ่ ปน็ ภา าเขมรมี 7 รายการ ภา าอนื่ ๆ ไดแ้ ก่ ภา าโซ่ ภา าชอง และภา าบรู เปน็ การ
ึก าระบบ น่ ยคา�
ในช่ ง ลงั จากปี พ. . 2550 การ ึก าทางดา้ นเขมร กึ าเรมิ่ มีแน โนม้ การ กึ าภา าอื่น ๆ
ที่นอกเ นอื จากภา าเขมร
467
นัง ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เนอื่ งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
กลุ่มการ ึก าแน ภา า า ตร์เชิงประ ัติ ประกอบด้ ยการ ึก า ิ ัฒนาการของภา าและ
การ ึก าภา า มั พันธ์ การ ึก า ิ ัฒนาการของภา าพบ า่ ่ นมากเป็นการ กึ าทางด้านค�ายมื ทไี่ ด้
รบั อทิ ธพิ ลมาจากภา าตา่ งประเท ไดแ้ ก่ ภา าบาลี นั กฤต ทเ่ี ขา้ มามบี ทบาทในภา าเขมร รอื แมแ้ ต่
คา� ในภา าเขมรทม่ี อี ิทธิพลตอ่ ภา าอืน่ ไดแ้ ก่ ภา าไทย ทัง้ มด 5 รายการ พบการ กึ าระบบเ ยี ง
ภา าเขมรโบราณ มัยกลางท่ีมีผลต่อการเปล่ียนแปลงทางเ ียงในภา าเขมรในระยะต่อมา 1 รายการ
่ นการ กึ าภา า ัมพนั ธ์พบ า่ มกี าร ึก าเพียง 2 รายการคือ การ ึก าภา ะ ลายภา าที่มีภา า
เขมรอยู่ในรายการของภา าที่มีผู้พูด และการ ึก าภา าชอุ้งซ่ึงเป็นภา าตระกูลมอญ-เขมรเพื่อดู
ค ามเปลี่ยนแปลงของภา าชอุ้งในประเท ไทยที่ได้รับอิทธิพลภา าไทยและในกัมพูชาซึ่งได้รับอิทธิพล
ของภา าเขมร
การ ึก าภา าเชิงเปรียบเทียบร่ ม มัย แบ่งเป็นการ ึก าเชิงพรรณนา และการ ึก าเชิง
ภูมิ า ตร์การ ึก าภา า า ตร์เปรียบเทียบเชิงพรรณนาเป็นการ ึก าภา าร่ ม มัยและต่าง มัยกัน
รือการ ึก าเปรียบเทียบระ ่างพ้ืนที่ท่ีท�าการ ึก า รือช่ ง ัยท่ีแตกต่างกันเป็นต้น การ ึก าตาม
แน นี้มี 8 รายการ ่ นการ กึ าเชิงภูมิ า ตร์จะมคี ามคลา้ ยคลึงกับเชิงพรรณนาแต่มคี ามแตกต่างท่ี
การ ึก าเชิงภูมิ า ตร์เป็นการ ึก าที่ก�า นดพ้ืนที่ในการ ึก าภายในขอบเขต มู่บ้าน ต�าบล อ�าเภอ
จัง ัด เป็นต้น ซ่ึง ่ นมากจะเป็นการ ึก าทางด้านระบบเ ียงไปจนถึงระดับของประโยคที่ใช้ในการ
อ่ื าร พบ า่ มี 9 รายการ
การ กึ าภา า า ตรป์ ระยกุ ตเ์ ชงิ าขา ชิ าแบง่ เปน็ การ กึ าภา า า ตรเ์ ชงิ งั คม และ
ภา า า ตร์คอมพิ เตอร์ การ ึก าภา า า ตร์เชิง ังคมพบ ่าการ ึก าที่ได้จัดแบ่งไ ้ใน ม ดนี้ ่ น
มากจะเปน็ การ กึ าทางดา้ นคา� พั ทเ์ ฉพาะกลมุ่ แ ด งตา่ ง ๆ ร มไปถงึ ทั นคตติ า่ ง ๆ ของผพู้ ดู ภา านน้ั
มีจ�าน น 9 รายการ
่ นการ ึก าภา า า ตร์ท่ีใช้โปรแกรมคอมพิ เตอร์มาช่ ยในการ ึก าและ ิเคราะ ์ข้อมูล
มขี อ้ ังเกตคือจะพบในระยะที่เขา้ ถึง ื่ออเิ ล็กทรอนิก ์ได้งา่ ยขึ้นมจี า� น น 2 รายการ
การ ึก าภา า า ตร์พบเพียง 1 เรื่องคือการ ึก าท่ีเก่ีย กับการเรียนการ อนภา าเขมร
ุดท้ายคือ ถานภาพการ ึก า ิจัยเขมร ึก าด้านภา า า ตร์ประยุกต์ในแง่มุมอื่น ๆ ได้แก่ การท�า
พจนานุกรมซึ่งมีเพียง 2 รายการ และค่อนข้างเก่าท้ังยังไม่มีการท�าพจนานุกรมขึ้นอีกในระยะต่อมา
่ นการ กึ าแผนท่ีภา ามี 2 รายการซึง่ มี ิธกี าร ึก าแตกต่างกัน คอื ใชแ้ บบ อบถาม และประยกุ ต์ใช้
ระบบ าร นเท ในการกา� นดแผนที่ภา า
4. สถานภาพการศกึ ษาวิจยั เขมรศึกษาด้านวฒั นธรรม
การ ึก างาน ิจัยตามประเด็นของการ ึก า จะอ้างอิงแน ทางการแบ่งประเด็นงาน ิจัยจาก
งาน จิ ยั โครงการประเมนิ ถานภาพ และองค์ค ามรูก้ าร ิจยั ัฒนธรรมไทยประเท ซง่ึ มีการ �าร จงาน
จิ ยั ฒั นธรรมในทกุ ภมู ภิ าค ทงั้ นผี้ ู้ จิ ยั ไดใ้ ชง้ าน จิ ยั ของ ม กั ดิ์ รี นั ติ ขุ (2550) ฉ ี รรณ ประจ บเ มาะ
และคณะ (2544) และ งาน ิจัยของอมรา พง าพิชญ์ และคณะ (2550) มาเป็นแน ทางการพิจารณา
468
ประกอบกบั การพิจารณาช่อื เรือ่ งของงาน จิ ัยท่ี า� ร จพบ 156 เรื่อง ซ่ึงมคี ามแตกต่างกนั ท้งั ในด้านของ
ประเดน็ กึ า และแน คดิ ในการ กึ า ร มถงึ กรอบแน คดิ เชงิ ทฤ ฎที ใี่ ชใ้ นการ จิ ยั เมอ่ื จดั กลมุ่ ประเภท
ของงาน ิจัยตามประเด็นของการ ึก า ามารถแบ่งกลุ่มของงาน ึก าตามแน คิดและประเด็นในการ
ึก าออกเป็น 4 ั ข้อ ดงั ตอ่ ไปนี้
1. พล ัต ัฒนธรรม ิถีชุมชนและค าม ลาก ลายทางชาติพันธุ์ เป็นกลุ่มของงาน ึก าเขมร
กึ าด้าน ฒั นธรรมทม่ี องเร่ืองของพล ตั ฒั นธรรม ถิ ชี มุ ชน และค าม ลาก ลายทาง ัฒนธรรมเปน็
ประเด็น ลกั ในการ จิ ยั
2. ระบบค ามเชอ่ื กบั ถิ ชี ี ติ ฒั นธรรม เปน็ กลมุ่ ของงาน กึ าเขมร กึ าดา้ น ฒั นธรรมทม่ี อง
ฒั นธรรมผา่ นการ ึก าค ามเชอ่ื ประเพณี และพิธกี รรมของกลุ่มชาติพันธ์ุเขมรถิน่ ไทย
3. ระบบภูมิปัญญา ิลป ัฒนธรรม เป็นกลุ่มของงาน ึก า ัฒนธรรมในลัก ณะของมรดก
ฒั นธรรม ภมู ปิ ญั ญา ฒั นธรรมเชงิ ตั ถุ เชน่ ฒั นธรรมอา าร เครอ่ื งแตง่ กาย และ ลิ ปะการแ ดงทเี่ ปน็
อตั ลกั ณ์ทาง ัฒนธรรมของกลุม่ ชาตพิ นั ธ์เุ ขมร
4. ฒั นธรรมการพฒั นา และกระแ โลกาภิ ตั น์ เปน็ กลมุ่ ของงาน กึ าเขมร กึ าดา้ น ฒั นธรรม
ในยุค มัยแ ่งการพัฒนา และโลกาภิ ัตน์ ซึ่งเป็นประเด็นการ ึก าใ ม่ในปัจจุบัน นับตั้งแต่ท รร
2550 เป็นตน้ มา
การน�าเ นอภาพร มลัก ณะและปริมาณงาน ิจัยเกี่ย กับเขมร ึก าด้าน ัฒนธรรม ท่ีพบใน
ฐานข้อมูล ้อง มุดและงาน ิจัยในประเท ไทย ซ่ึงเป็นงาน ิจัยด้านเขมร ึก าในประเด็น ัฒนธรรม
ท้ังท่ีท�าการ ึก ากลุ่มชาติพันธุ์เขมรถ่ินไทยในประเท ไทย และเป็นงาน ึก า ิจัยคนเขมรและกลุ่ม
ชาติพันธุ์ที่อา ัยอยู่ในราชอาณาจักรกัมพูชา จากการ �าร จงาน ึก าเขมร ึก าด้าน ัฒนธรรมจาก
่งิ พมิ พป์ ระเภทงาน ิจัย ดุ ฎนี พิ นธ์ ทิ ยานิพนธ์ ารนพิ นธ์ รายงานการค้นค ้าอิ ระ ท้งั ภา าไทยและ
ภา าอังกฤ ที่พบในประเท ไทย ในรอบ 30 ก ่าปีท่ีผ่านมา ที่ปรากฏพบมีจ�าน นทั้ง ิ้น 156 รายการ
จดั พมิ พร์ ะ า่ งปี พ. . 2524–2561 เมอื่ นบั ร มงานทต่ี พี มิ พใ์ นช่ งกอ่ นปี 2530 มเี พยี ง 1 เรอื่ ง งานทตี่ พี มิ พ์
ในช่ ง 2530-2539 งานที่ตีพมิ พ์ในช่ ง 2540-2549 งานทตี่ ีพมิ พใ์ นช่ ง 2550-2561 พบ ่ามีการเพิม่
ปริมาณการจดั ทา� รือจดั างาน จิ ัย ิทยานิพนธ์ ารนพิ นธ์ เกย่ี กบั ฒั นธรรมเขมรในประเท ไทยมาก
ข้นึ เรอ่ื ย ๆ
เมื่อพิจารณาจากประเภทของเอก ารคือรายงาน ิจัยและ ิทยานิพนธ์ มีข้อ ังเกตคือรายงาน
ิจัย ่ นมากน้ันผลิตโดยบุคคลากรจาก ถาบันการ ึก า องค์กร และ น่ ยงานในระดับภูมิภาคคือ
ภาคตะ นั ออกเฉยี งเ นอื มมี า ทิ ยาลยั ราชภฏั รุ นิ ทร์ ม า ทิ ยาลยั ราชภฏั รี ะเก และม า ทิ ยาลยั
ราชภฏั บรุ รี มั ย์ เปน็ ต้น ่ นงาน ิจยั จากม า ทิ ยาลยั ภาคกลางมนี ้อย และเปน็ งาน กึ าแบบภาพร ม
โดยมพี ื้นท่ีอี านใต้เป็นพนื้ ท่ี ิจัย เชน่ งาน ิจัยเกี่ย กับ ฒั นธรรมดนตรีไทยภาคกลาง และภาคอี านใต้
ของบุ กร า� โรงทอง และคณะ (2549) งานของ เลิ พร และกติ ยิ าภรณ์ (2550) จิ ยั เกยี่ กบั การ างแผน
และพัฒนาการท่องเท่ีย ประเท ไทยกบั ประเท กมั พชู า
469
นงั อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
งาน กึ าประเภท ทิ ยานิพนธม์ ีค าม ลาก ลายทางด้าน ั ขอ้ จิ ัย ม า ทิ ยาลยั และ าขา
ิชาที่ ึก า มีประเด็นในการ ิจัยท่ีแตกต่าง ลาก ลาย ท�าใ ้ผู้ ิจัยเ ็นได้ถึงภาพร มของงาน ึก า
ัฒนธรรมเขมร ท่ีมีใน ลายมิติ อีกท้ังแน การ ึก าระ ่างนัก ึก าชา ไทย และชา กัมพูชาก็มีแน
การ กึ าแตกตา่ งกันมาก คนไทยชอบ ึก าแน ฒั นธรรมค ามเชื่อ ประเพณี ในขณะทคี่ นกมั พูชา มกั
นใจประเดน็ ฒั นธรรมการพฒั นา ทเ่ี กย่ี เนอื่ งและ ง่ ผลตอ่ การจดั การทรพั ยากรธรรมชาติ เชน่ ปา่ ทดี่ นิ
และการจดั การทรพั ยากร ฒั นธรรม เชน่ ถานทที่ อ่ งเทย่ี ชมุ ชน ฒั นธรรม และการพฒั นาการทอ่ งเทย่ี
เปน็ ต้น เ น็ ไดจ้ าก งาน ิจัยของนกั ึก ากมั พชู าด้าน ฒั นธรรมการทอ่ งเทยี่ มจี �าน นมากถงึ 7 เร่ือง
เชน่ Sok Vanna (2006) Sustainable tourism planning and management: the case of Virachey
National Park, Ratanakiri and SteungTreng Provinces, Kingdom of Cambodia. Peng Ponna
(2009) Community-based tourism development in Sihanoukville, Cambodia. Rattana Youn
(2012) The role of non-government organizations in environmental awareness and
ecotourism in the Tonle Sap great lake; Cambodia: a case study of Osmose organization.
ทิ ทางของการเลือก ั ข้อ และประเด็น ึก า ิจัย ก็ย่อมบอกทิ ทางค าม นใจ ประเด็นปัญ าและ
แน ทางการพฒั นา รอื ค าม นใจตอ่ งั คมและ ฒั นธรรมของกลมุ่ ชาตพิ นั ธเ์ุ ขมร ทงั้ ในประเท ไทย และ
ราชอาณาจกั รกัมพูชาได้อย่างมนี ัย า� คัญ
จากการ �าร จงาน ิจัยและประเด็นการ ึก า ิจัยด้าน ัฒนธรรมเขมร ช่ ง 30 ปีท่ีผ่านมา
มกี าร ึก าเก่ยี กบั กลมุ่ ชาติพันธเุ์ ขมรถิน่ ไทย ประชาชนชา เขมรและกลุม่ ชาตพิ ันธใ์ุ นราชอาณากัมพชู า
ในประเด็นทแ่ี ตกตา่ งและ ลาก ลายก า่ ช่ งท รร ที่ผ่าน ๆ มา อาจตคี ามได้ ่ากัมพชู าเปดิ ประเท
มากขึ้น มีคนเดินทางข้ามแดนไป ึก าเขมร ึก าด้าน ัฒนธรรมในกัมพูชาได้ ะด กมากขึ้น อีกท้ังมี
นกั กึ ากัมพูชาเขา้ มา กึ าต่อระดบั บัณฑติ กึ าในประเท ไทยมากขน้ึ และผลิตผลงาน ชิ าการเกีย่
กับกัมพชู ามากข้นึ ด้ ยเชน่ กัน
ผู้ จิ ยั รปุ จ�าน นงาน กึ าทง้ั มด คือ รายงาน ิจัย และ ิทยานพิ นธ์ ในแต่ละแน คดิ แตล่ ะ
ประเด็นการ ึก า และแยก ั ข้อย่อยของการ ึก าท่ี �าร จพบจากงาน ิจัยท้ัง มดที่พบตั้งแต่ปี
พ. . 2524–2561 เพื่อจะได้ทราบแน ทางการ จิ ยั เขมร ึก าด้าน ฒั นธรรมท่ีผ่านมา ดงั นี้
470
แน คดิ /ประเดน็ ในการ ึก า ปี พ. .
2524- 2535- 2540- 2545- 2550- 2555- 2560- ร ม ร้อยละ
2534 2539 2544 2549 2554 2559 2561
1. พล ตั ัฒนธรรม ถิ ชี มุ ชนและ 19 12.18
ค าม ลาก ลายทางชาติพนั ธ์ุ
- ประ ตั ิ า ตร์และการต้ังถิน่ ฐาน - - - - 1 - - 1 0.65
- เ ร ฐกิจและ ัฒนธรรมชมุ ชน -- 1 2 1 - 4 2.56
- การจดั ระเบียบ งั คมและการเมอื ง 1 - - - - - - 1 0.65
- ชมุ ชน กึ า / ิถี ฒั นธรรมชุมชน - - - - 3 1 - 4 2.56
- การเปล่ียนแปลงทางเ ร ฐกิจ - - 1 - 2 - - 3 1.92
งั คม และ ฒั นธรรม
- การกลมกลืนทาง ฒั นธรรม 1 - 1 - 1 - - 3 1.92
- ค าม ลาก ลายทาง ัฒนธรรม - - 1 1 1 - - 3 1.92
2. ระบบค ามเชื่อกับ ิถชี ี ิต 34 21.79
- โลกทั น์ - 1 - - - - - 1 0.64
- ค ามเช่อื 1 - 1 1 3 2 - 8 5.13
- ประเพณี - 2 - - 2 7 1 12 7.69
- พธิ กี รรม - 2 2 2 6 1 - 13 8.33
3. ระบบภูมปิ ัญญา ิลป ฒั นธรรม 54 34.62
และอตั ลกั ณ์ทาง ฒั นธรรม
- นเิ ทิ ยา ฒั นธรรม - - - 1 1 1 1 4 2.56
- ภูมิปญั ญากับการดูแล ขุ ภาพ - - - 2 4 - 1 7 4.49
- ภูมปิ ัญญา ัตถกรรม - 2 1 1 2 - - 6 3.85
- ฒั นธรรมอา าร มนุ ไพร - - 1 - - 1 - 2 1.28
- ดนตรี การละเล่น ลิ ปะการแ ดง 2 3 3 5 13 7 2 35 22.44
4. ฒั นธรรมการพฒั นา และ 49 31.41
กระแ โลกาภิ ฒั น์
- อตั ลัก ณแ์ ละการปรบั ตั - - - 3 2 5 - 11 7.05
- ทิ ธชิ มุ ชนกบั การจดั การทรัพยากร - - 1 2 1 - 4 2.56
- การทอ่ งเที่ย และการจัดการ - - - 3 14 9 - 26 16.67
ฒั นธรรม
- ฒั นธรรมชายขอบและ ฒั นธรรม - - - 1 3 4 - 8 5.13
ยอ่ ย
ร ม 5 10 12 21 63 40 5 156 100
471
นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เน่ืองในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
จากตารางแ ดงผล ามารถอธบิ าย ถานภาพงาน กึ าแยกตามแน คดิ และประเดน็ ตามช่ งเ ลา
ในบทค ามนี้โดยผู้ ิจยั ใ ข้ อ้ ังเกตเพียง 4 ช่ งเ ลา ดงั น้ี
1. ช่ งเ ลาตงั้ แต่ พ. . 2524-2539 มีงาน กึ าทงั้ มด 15 เรอ่ื งทิ ทางของงาน ึก าเนน้ ที่
ประเด็น ระบบค ามเช่ือและ ถิ ีชี ิต ซึ่งเน้นการ ึก าค ามเชอื่ ประเพณี และพิธีกรรม จ�าน น 6 เรอ่ื ง
และระบบภมู ปิ ญั ญา ลิ ป ฒั นธรรม และอตั ลกั ณท์ าง ฒั นธรรม จา� น น 7 เรอ่ื ง ซงึ่ เนน้ การ กึ าดนตรี
และการละเล่นพ้ืนบ้าน ร มถึง ัฒนธรรมเคร่ืองแต่งกาย บาย รี ซ่ึงล้ นแล้ แต่เป็นการเน้น ึก าท่ีอัต
ลกั ณท์ าง ฒั นธรรมเขมร ในลกั ณะทเ่ี ปน็ ดง้ั เดมิ เปน็ ฒั นธรรมเฉพาะของกลมุ่ และมลี กั ณะแบบตายตั
อย่างไรก็ดีเริ่มพบงาน ึก าในลัก ณะของ ัฒนธรรมท่ีมีการเปล่ียนแปลง ในกลุ่มงาน ึก าพล ัต
ัฒนธรรม ถิ ชี ุมชน และค าม ลาก ลายทางชาติพันธเ์ุ พยี ง 2 เร่อื ง ซึง่ เรม่ิ มีงาน ึก าในประเดน็ เกี่ย
กับการจัดระเบียบ ังคม เช่น งาน ึก าโครง ร้างผู้น�าชุมชน และงาน ึก าการผ มกลมกลืนทาง
ฒั นธรรมของ ัฒนธรรมเขมรท่ีอย่รู ่ มกบั กลมุ่ ชาตพิ ันธอุ์ นื่ ในพืน้ ทเ่ี ดยี กัน เปน็ ตน้
2. ช่ งเ ลาตัง้ แต่ พ. .2540-2549 เป็นช่ งเ ลาท่เี รม่ิ มีงาน ึก า จิ ยั ทางดา้ น ฒั นธรรมเขมร
เพ่ิมมากขน้ึ เปน็ เท่าตั พบงานจ�าน น 33 เรอื่ ง ประเด็น ระบบภมู ปิ ัญญา ลิ ป ฒั นธรรม และอตั ลัก ณ์
ทาง ัฒนธรรม ยังคงเป็นแน ทางท่มี ผี ู้ นใจ กึ ามากท่ี ดุ คอื จา� น น 14 เรือ่ ง เพ่ิมจากช่ งเ ลา 10 ปี
ก่อน น้าน้ันเท่าตั ั ข้อท่ีมีการท�า ิจัยมากที่ ุด คือ ดนตรี การละเล่น และ ิลปะการแ ดง เช่น
งาน กึ าเพลงกนั ตรมึ และเจรยี งเบนิ เปน็ ตน้ รองลงมา คอื ระบบค ามเชอ่ื และ ถิ ชี ี ติ ซงึ่ เนน้ การ กึ า
ค ามเชอื่ ประเพณีและพิธกี รรม จา� น น 6 เร่ือง ่ นประเด็น พล ัต ัฒนธรรม ิถีชมุ ชน และค าม ลาก
ลายทางชาติพันธุ์จ�าน น 5 เรอื่ ง จะเร่ิมเ ็นทิ ทาง ่ามคี าม นใจทเ่ี พ่มิ มากขน้ึ ในการ กึ า ัฒนธรรม
และการเปลย่ี นแปลง ฒั นธรรม ร มถงึ ค าม ลาก ลายทาง ฒั นธรรมของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ทนี่ า่ นใจอยา่ ง
มีนัย �าคัญคือเริ่มพบประเด็น ึก าใ ม่ในเรื่อง ัฒนธรรมการพัฒนาและกระแ โลกาภิ ัตน์เพิ่มขึ้นมา
ทั้งในเร่ือง ั ข้องานและปริมาณงานมีจ�าน น 8 เร่ือง โดย นใจ ึก าอัตลัก ณ์และการปรับตั ทาง
ฒั นธรรมในกระแ การพฒั นา 3 เรอ่ื ง มงี าน กึ า ฒั นธรรมการทอ่ งเทยี่ กบั การจดั การ ฒั นธรรม 3 เรอ่ื ง
มงี าน กึ าเกย่ี กบั ชมุ ชนและการจดั การทรพั ยากรธรรมชาติ และ ฒั นธรรมชายขอบและ ฒั นธรรมยอ่ ย
ซ่ึงผู้ ิจัย ่ นมากเป็นนัก ึก าชา กัมพูชาท่ีเข้ามา ึก าต่อระดับบัณฑิต ึก าในประเท ไทย และ
่ นใ ญเ่ ปน็ งาน กึ าทล่ี งพน้ื ที่ จิ ยั ในประเท กมั พชู า แ ดงใ เ้ น็ า่ ประเดน็ ฒั นธรรมการพฒั นาและ
การท่องเทย่ี นนั้ เปน็ ประเดน็ ท่ี �าคัญ �า รับการ กึ า ิจัย ฒั นธรรมเขมรในกมั พชู า
3. ช่ งเ ลาต้ังแต่ พ. . 2550-2559 นับได้ ่าเป็นยุคเฟื่องฟูของงาน ิจัย ัฒนธรรมเขมร
พบจา� น นงาน กึ า จิ ยั ถงึ 104 เรอ่ื ง จา� น นทพ่ี บมากที่ ดุ อนั ดบั แรก คอื งาน กึ าในประเดน็ ฒั นธรรม
การพัฒนาและกระแ โลกาภิ ัตน์มี 41 เรื่อง โดยเน้นค าม นใจแยกเป็นแน คิดท่ีใช้ ึก าได้ คือ
อตั ลกั ณแ์ ละการปรบั ตั 8 เรอื่ ง ่ นใ ญ่ กึ าผลกระทบของการพฒั นาที่ ง่ ผลใ ค้ นเขมรถนิ่ ไทย รอื
คนกัมพชู าต้องรับมอื กับการเปล่ียนแปลง รกั าอัตลัก ณแ์ ละปรบั ตั ทาง ัฒนธรรมในบริบทโลกาภิ ัตน์
การตอ้ งต่อ ู้กับนโยบายการพฒั นาเพ่อื รกั าทรัพยากรของชุมชน มีงาน ึก า ิทธชิ ุมชนและการจดั การ
ทรพั ยากร 3 เรอื่ ง มงี าน กึ า ฒั นธรรมการทอ่ งเทยี่ และการจดั การทาง ฒั นธรรม 23 เรอ่ื ง ทท่ี า� ใ เ้ น็
า่ ทงั้ นกั จิ ยั และนกั กึ าชา ไทยและกมั พชู า ตา่ ง นใจ ั ขอ้ จิ ยั ทเี่ กย่ี กบั การจดั การทอ่ งเทยี่ ในกมั พชู า
472
และจุดผ่านแดนระ ่างไทย-กัมพูชาการพัฒนาการท่องเท่ีย อย่างยั่งยืน ทั้งในเชิงนโยบาย และระดับ
ปัจจเจก รือชุมชน และท่ีเพิ่มเติมอีกประเด็น นึ่งคือ ัฒนธรรมย่อยและ ัฒนธรรมชายขอบ 7 เรื่อง
มีงาน ึก าผู้ ญิงในอุต า กรรมบันเทิงในกัมพูชา นอกจากน้ียังมีการ ึก ากลุ่มผู้จาริกแ งบุญธรรม
ยาตรา และขอทานเขมร คนพลดั ถน่ิ ขา้ มแดน อาจกลา่ ได้ า่ จา� น นงาน กึ า จิ ยั ทเ่ี พม่ิ มากขน้ึ ของ ั ขอ้ น้ี
่ นใ ญค่ อื ค าม นใจของนกั จิ ยั และนกั กึ าทเี่ กอื บครง่ึ นงึ่ เปน็ งานทเ่ี ขยี นโดยนกั กึ ากมั พชู าทมี่ า
ึก าต่อในประเท ไทย ซ่ึงน่าจะเป็นการตอบรับการนโยบายประชาคมอาเซียนในปี พ. . 2558 และ
นโยบายค าม มั พนั ธร์ ะ า่ งประเท ทเี่ ออื้ ใ ม้ กี ารพฒั นาองคค์ ามรเู้ ขมร กึ าทางดา้ น ฒั นธรรมการ
พัฒนาเพิ่มมากขึน้
4. นบั ต้ังแตป่ ี พ. . 2560 ถงึ ปจั จุบัน (ช่ งเ ลาทีท่ �า ิจยั ) พบงานเพยี ง 5 เร่อื ง โดยร มยงั คง
เป็นงานท่ีเน้นการ ึก าด้านอัตลัก ณ์ทาง ัฒนธรรมเขมร ในประเด็นระบบค ามเชื่อกับ ิถีชี ิต ระบบ
ภมู ปิ ญั ญา ิลป ัฒนธรรม และอตั ลัก ณท์ าง ัฒนธรรมเชน่ ประเพณี นเิ ทิ ยา ัฒนธรรม ดนตรแี ละ
ิลปะการแ ดง ในดา้ นลัก ณะเน้อื าและ ิธี ิทยา จากการ �าร จโดยภาพร มพบ า่ งานจ�าน นมาก
เนน้ การพรรณนาลกั ณะทาง ฒั นธรรมมากก า่ ทจี่ ะตอ้ งอธบิ ายปรากฏการณใ์ ดเปน็ เรอ่ื งเฉพาะ และมกั
จะไม่เชื่อมโยง ่ นตา่ ง ๆ เข้าด้ ยกนั ในบางกรณีได้มีค ามพยายามใช้แน ทฤ ฎี รือมโนทั นบ์ างแน
โดยไดท้ บท นแน คดิ เ ล่านนั้ แตไ่ ม่ไดใ้ ช้ประโยชน์ในการเก็บและ ิเคราะ ข์ ้อมูลเทา่ ท่ีค ร
บทสรปุ
การประเมินและ ังเคราะ ์ ถานภาพองค์ท่ีประม ลมาทั้ง มดท�าใ ้เ ็นประเด็นท่ี ามารถ
พฒั นางาน กึ า จิ ยั เขมร กึ าในประเท ไทย รปุ ไดด้ ังนี้
ด้านระเบียบ ิธกี าร ึก า มีทั้งการ กึ าเชิงคณุ ภาพและเชงิ ปรมิ าณ โดยผลงาน จิ ยั บางเรือ่ งท่ี
ใช้ทง้ั อง ิธีผ มกนั ซงึ่ ช่ ยท�าใ ข้ อ้ มูลมคี ามเทย่ี งตรงและค ามเช่อื ถือไดม้ ากขึ้น ่ นเครือ่ งมอื ทใี่ ช้ใน
การ ึก า ิจัยท่ีผ่านมา ่ นมากเป็นแน ทางการ ัมภา ณ์ แบบ ัมภา ณ์ แบบการ ังเกตการณ์
โดยเทคนคิ ท่ี �าคญั คอื การ งั เกตอย่างมี ่ นร่ ม (Participant observation) และไม่มี ่ นร่ ม และใช้
เทคนคิ ของการ นทนากลุม่ (Focus Group) การถ่ายภาพ ถ่าย ีดทิ ั น์ และการบนั ทกึ เ ียง เป็นตน้
การประเมินและ ิเคราะ ์ ถานภาพองคค์ ามร้กู าร กึ า ิจัยเขมร ึก า ามารถ รปุ ได้ดังน้ี
1. อตั ลกั ณข์ องกลมุ่ ชาตพิ นั ธเ์ุ ขมร เปน็ การ กึ าค ามเปน็ ตั ตนของกลมุ่ ชาตพิ นั ธท์ุ ม่ี กั จะเนน้
ดา้ นการใช้ภา า พธิ กี รรม และพลงั ค ามคิดและภูมิปัญญา โดยการประพฤติปฏบิ ตั ติ าม ิถีทแ่ี ตกต่างกบั
กลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ มีผลงาน ลายเร่ืองที่แ ดงถึงการธ�ารงเอกลัก ณ์ทางชาติพันธุ์ไ ้อย่างมั่นคง โดยมี
โครง รา้ งทาง งั คมของกลมุ่ ชาตพิ นั ธท์ุ ี่ ง่ เ รมิ และ รา้ งเครอื ขา่ ยโยงใยค ามเปน็ ชาตพิ นั ธข์ุ องตน ซงึ่ นา�
ไป ู่ค ามย่ังยืนของค าม ลาก ลายทางชาตพิ ันธุ์
473
นงั ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวิชาการ เน่อื งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
2. ระบบค ามเชือ่ กับ ถิ ชี ี ิต ัฒนธรรมเขมร เป็นการนา� เ นอผลงาน จิ ยั ทก่ี ลา่ ถึงระบบค าม
เชือ่ ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในเรื่องโลกทั น์ ค ามเชอ่ื ผบี รรพบุรุ ค ามเชือ่ งาน พ และค ามเชอื่ ลัก
บา้ น มีอทิ ธิพลตอ่ ิถชี ี ติ ัฒนธรรมของตนเป็นอยา่ งยิง่ เชน่ องค์ค ามรทู้ เี่ น้นเรื่องระบบค ามเชอื่ ในด้าน
ผบี รรพบุรุ มอี ยเู่ กือบทกุ กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ซ่งึ เปน็ การแ ดงออกในเชิง ถิ ีชี ติ ฒั นธรรมพธิ กี รรม การเคารพ
ผอู้ า ุโ และค ามกตัญญูตอ่ บรรพบุรุ เปน็ ต้น
3. พล ัต ิถีชุมชนชาติพันธุ์ เป็นการน�าเ นอกลุ่มชาติพันธุ์ท่ีมีประ บการณ์ของการได้รับการ
เปลย่ี นแปลงทางเ ร ฐกิจ การเมอื ง งั คม และ ัฒนธรรม การกลมกลืนทาง ัฒนธรรม และค าม ลาก
ลายทาง ัฒนธรรม ในกลุม่ ชาตพิ ันธ์ุ ซึง่ ามารถด�ารงอยูไ่ ด้ในกระแ การเปลี่ยนแปลง
4. ระบบภมู ปิ ญั ญากบั ิถชี ี ิต ัฒนธรรม เปน็ การกล่า ถึงนเิ ิทยา ัฒนธรรม ภมู ิปัญญาการ
แพทย์พนื้ บ้าน ภูมปิ ญั ญา ตั ถกรรม ัฒนธรรมการพฒั นา และ ถิ ชี ี ิต ัฒนธรรมทาง ิลปะ ซึ่งเป็นพลงั
ค ามคดิ ของภูมปิ ัญญาทไี่ ดพ้ ฒั นาจนเปน็ ค ามรู้ เพอื่ ตอบ นองค ามจา� เปน็ ของพืน้ ฐานทาง งั คม และ
ค ามตอ้ งการทาง ังคมในแตล่ ะกลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ จน ามารถเป็น ถิ ีแ ่งการด�ารงชี ติ และแก้ไขปัญ าตา่ ง
ๆ ภายในชุมชน ท�าใ ้ชุมชนชาติพันธุ์มีค ามเข้มแข็งและ ามารถด�ารงอยู่ในกระแ การพัฒนาประเท
อย่างมน่ั คง
การประเมินและ ังเคราะ ์ ถานภาพองค์ค ามรู้ค าม ลาก ลายทางชาติพันธุ์ ามารถ รุป
ไดด้ ังนี้
1. ถานภาพของแน ทางการ กึ า ิจยั เขมร กึ าโดยกระบ นการทางมานุ ย ทิ ยา ามารถ
ท�าได้ใน 4 ลัก ณะ คือ การ ึก า ถิ ชี ี ติ ัฒนธรรม การ กึ าการเปลยี่ นแปลงทาง ังคมและ ัฒนธรรม
การ ึก ากระบ นการปรับตั และการ ึก ากระบ นการ ร้างค ามเป็นอัตลัก ณ์ทางชาติพันธุ์ ท้ังใน
พื้นท่ที ี่เปน็ ประเท ไทยและประเท กัมพชู า
2. ทฤ ฎที ี่ใช้ในการ ึก า ิจัยเขมร ึก าในอดตี ไดใ้ ช้ทฤ ฎีโครง ร้างและ นา้ ทเ่ี ป็น ่ นมาก
ในทุก ม ด ถึงแม้โดยท่ั ไปผลงานการ ึก า ิจัยเขมร ึก าในอดีตไม่ได้ชี้ชัดในการใช้ทฤ ฎีโครง ร้าง
และ นา้ ที่ แตใ่ นการ รปุ และการแปลค าม มายนน้ั จะเ น็ ได้ า่ ใชท้ ฤ ฎโี ครง รา้ งและ นา้ ทเ่ี ปน็ กรอบ
แน ค ามคดิ ในการ จิ ยั อย่างไรกต็ ามการ ึก าโดยใช้ทฤ ฎีโครง รา้ งและ นา้ ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
ต่อการ ึก า ิจัยเขมร ึก าท่ีจะมีในอนาคตโดยขยายพื้นที่เข้าไปในประเท กัมพูชาใ ้มากขึ้น โดยอาจ
กึ าเปรยี บเทียบกบั ชดุ ข้อมูลแบบเดีย กันในประเท ไทยได้ด้ ย
่ นการ ึก าในปัจจุบันมีนัก ิจัยบางท่านพยายามท่ีจะ ึก าค้นค ้าโดยใช้แน ค ามคิด ลัง
ทนั มยั (Postmodernism) ของมิเชล ฟโู ก (Michel Foucault) ด้ ย แต่การ ึก าโดยใชแ้ น ค ามคิด
ของฟูโกเป็นกรอบในการ ิจัยยังมีผลงาน ิจัยไม่มากนัก ทฤ ฎีและแน คิดท่ีใช้ในการ ิจัยมากท่ี ุด คือ
แน มานุ ย ทิ ยา และ ธิ ี ิทยาแบบชาติพันธุ์ รรณนาดังท่ีกลา่ แล้ อีกกลมุ่ ทฤ ฎี นง่ึ คอื ทฤ ฎี ลัง
โครง รา้ งนยิ มและ ลงั มยั ใ ม่ ซง่ึ นั มามองถงึ การรบั มอื กบั บรโิ ภคนยิ ม และการทา� ฒั นธรรมใ เ้ ปน็ นิ คา้
474
ขอ้ เสนอแนะ
ข้อเ นอแนะ �า รบั การ ิจยั ในอนาคต มดี งั นี้
1. ค ร ่งเ ริมการ ึก า ิจัยเขมร ึก าในด้านแน ค ามคิดใ ม่ ๆ ใ ้มากขึ้น โดยเฉพาะใน
ดา้ นการ ึก า การปรับตั ัฒนธรรม และการผ มผ านทาง ฒั นธรรม
2. ค ร ง่ เ รมิ การ จิ ยั กลมุ่ ชาตพิ นั ธใ์ุ นประเท กมั พชู าทยี่ งั ไมไ่ ด้ กึ า เพอื่ จะทา� ใ ม้ คี ามเขา้ ใจ
ค าม ลาก ลายทางชาติพันธม์ุ ากยงิ่ ขึ้น
3. ค ร ่งเ ริมใ ้นัก ิจยั ไดพ้ ฒั นาองคค์ ามรูข้ องค าม ลาก ลายใ เ้ ปน็ แน คิดและทฤ ฎที ่ี
จะนา� ไป ู่การปฏิบัตไิ ด้อยา่ งแท้จริง
4. ค ร ่งเ ริมการ ิจัยใน ั ข้อที่เกี่ย ข้องกับ �านักงานคณะกรรมการพัฒนาเ ร ฐกิจและ
ังคม เชน่ การ ึก าขา้ ม ฒั นธรรมชายแดน การจดั การทรพั ยากรธรมชาตแิ ละ งิ่ แ ดลอ้ ม เปน็ ต้น
5. ค รคน้ า ธิ กี ารที่ ลาก ลายในการ กึ าค าม ลาก ลายทาง ฒั นธรรมใ ม้ ากขน้ึ เพอ่ื ท่ี
จะทา� ใ ้มีค ามมน่ั ใจในขอ้ มูลทมี่ คี ามเทีย่ งตรง และเชอ่ื ถอื ได้
6. ค ร ่งเ ริมการ ิจัยกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยังคงรัก าอัตลัก ณ์ทางชาติพันธุ์ได้อย่างมั่นคง เพื่อท่ี
จะเปน็ แน ทางในการพัฒนากลมุ่ ชาตพิ นั ธอ์ุ ่นื ๆ ต่อไป
7. ค ร ่งเ ริมการ ิจัยเชิงปฏิบัติการที่นัก ิจัยกับชุมชนชาติพันธุ์ได้ร่ มกันเรียนรู้ ิถีชี ิตค าม
เป็นอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ เพ่ือจะเป็นแน ทางน�าไป ู่ค ามรู้ค ามเข้าใจกลุ่มชาติพันธุ์โดยปรา จากอคติ
ทางชาติพนั ธุ์
8. ค ร ่งเ ริมการท�า ิจัยโดยชา ชุมชนชาติพันธุ์ เพ่ือน�าค ามรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใน ิถีชี ิต
ของตนเพอ่ื เปน็ แน ทางในการ ง่ เ รมิ กั ยภาพ และ ทิ ธเิ รภี าพของค ามเปน็ ชาตพิ นั ธข์ุ องตนตามกรอบ
รฐั ธรรมนญู
การ กึ า จิ ยั เขมร ึก าในช่ ง 30 ปที ี่ผ่านมาน้ี มกี ารเปลย่ี นแปลงท้ังตั ผ้ทู ถ่ี กู กึ า ผู้ ึก า
กรอบแน คิดในการ กึ า ิธกี าร กึ า และ ิธีการนา� เ นอ ผถู้ ูก กึ ามีค าม ลาก ลายขนึ้ ไมไ่ ด้จ�ากดั
อยเู่ พยี งกลมุ่ ชาตพิ นั ธเ์ุ ขมรในประเท ไทยเทา่ นน้ั การ กึ า จิ ยั ยงั ขยายพนื้ ทเี่ ขา้ ไปในประเท กมั พชู าซงึ่
เป็นรัฐชาตขิ องเขมรเอง ่ นผู้ ึก ามที ัง้ นัก ชิ าการ นักพฒั นา และเจ้าของ ัฒนธรรมเอง มมุ มองตอ่ การ
ึก า ิจัยเขมร ึก ามีลัก ณะของการปะทะและประ านมากขึ้น แทนการเน้นย�้าค ามต่าง ค ามโดด
เด่น ค ามเป็น นงึ่ เดีย ค ามจริงแท้ และค ามเก่าแก่ จุดเนน้ ในการ กึ าได้เคล่อื นออกจากการ กึ า
รูปแบบมาเป็นค ามเข้าใจใน ิถีชี ิตของผู้คนมากขึ้น ด้ ยการเคล่ือนของจุดเน้นในการ ึก าน้ีเองท�าใ ้
กระบ นการ กึ าตอ้ งมกี ารปรบั จากการร บร มและจดั ประเภทมาเปน็ การ เิ คราะ เ์ ชอื่ มโยงและบรบิ ท
ของประเดน็ ึก า
475
นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนอ่ื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บรรณานุกรม
ภา าไทย
กุ มุ า รกั มณี. (2551). การ จิ ัย รรณคดี. กรุงเทพฯ: โครงการตา� ราภา า-จารกึ ลา� ดบั ที่ 6 ภาค ิชา
ภา าตะ นั ก คณะโบราณคดี ม า ิทยาลยั ิลปากร.
จไุ รรตั น์ ลกั ณะ ริ .ิ (2551). “ ถานภาพการ กึ า รรณกรรมท้ งถน่ิ ภาคตะ นั ตกในร บ 3 ต รร .”
าร ารอกั ร า ตร์ ม า ิทยาลัย ลิ ปากร ฉบับภา าและ รรณกรรม. 30, 1: 253 – 304.
จันทรฉ์ าย ภคั ธิคม. (2545). ประ ัติ า ตรน์ พิ นธ์. กรงุ เทพฯ: �านกั พิมพม์ า ิทยาลยั รามค�าแ ง.
งามพิ ัตย์ ง น. (2551). การ ิจัยเชิงคุณภาพทางมานุ ย ิทยา. กรุงเทพฯ: �านักพิมพ์แ ่ง
จุ าลงกรณม์ า ทิ ยาลยั .
_______. (2543). ลักมานุ ย ิทยา ัฒนธรรม. พิมพ์ครั้งท่ี 4. กรุงเทพฯ: ภาค ิชา ังคม ิทยาและ
มานุ ย ทิ ยา คณะรัฐ า ตร์ จุ าลงกรณม์ า ิทยาลัย
ฉล ง ุนทรา าณิชย์ และคณะ. (2536). “ ถานภาพงาน ิจัย าขาประ ัติ า ตร์ในประเท ไทย
ระ า่ ง พ. . 2503-2535.” รายงานการ ิจัย า� นักงานคณะกรรมการ จิ ยั แ ง่ ชาติ.
ฉัตรชัย พง ์ประยูร. (2536). การต้ังถิ่นฐานมนุ ย์ ทฤ ฎี และแน ปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์
จุ าลงกรณม์ า ิทยาลยั .
_______. (2520). ทฤ ฎเี ก่ยี กบั การตงั้ ถ่ินฐาน. กรงุ เทพฯ: ม า ทิ ยาลยั รามค�าแ ง.
ฉ ี รรณ ประจ บเ มาะ. (2558). “พลงั ทาง ฒั นธรรมข งค าม ลาก ลายทางชาตพิ นั ธ.์ุ ” ใน นงั อื
ชุดการประเมินและ ังเคราะ ์ ถานภาพองค์ค ามรู้จากการ ิจัย ัฒนธรรม เล่ม 1:
ถกเถยี ง ฒั นธรรมในงาน จิ ยั ภาคกลาง. ฉ ี รรณ ประจ บเ มาะ, บรรณาธกิ าร. เชยี งใ ม:่
ภาค ิชา งั คม ทิ ยาและมานุ ย ทิ ยา คณะ งั คม า ตร์ ม า ิทยาลยั เชียงใ ม่.
ชนญั ง ์ ภิ าค และคณะ. (2547). การจดั การทรพั ยากรทาง ฒั นธรรมเพอ่ื การทอ่ งเทย่ี อยา่ งยงั่ ยนื .
มรชยั ค กจิ โก ล, บรรณาธิการ. กรงุ เทพฯ: คณะโบราณคดี ม า ทิ ยาลัย ิลปากร.
ณฐั พล จันทรง์ าม. (2550). “การ ึก า เิ คราะ ์จารึกต ลปรา าทในเชิง รรณคดี กึ า.” ทิ ยานพิ นธ์
ปรญิ ญา ลิ ป า ตรม าบณั ฑติ าขา ชิ าจารกึ ภา าตะ นั ก บณั ฑติ ทิ ยาลยั ม า ทิ ยาลยั
ิลปากร.
476
ธนภา เดชพา ุฒิกุล. (2547). “บรรณานุกรมคัด รร งานปรัชญาประ ัติ า ตร์, ประ ัติ า ตร์
นพิ นธ,์ ธิ กี ารทางประ ตั ิ า ตร์ และ ถานภาพการ กึ าประ ตั ิ า ตร:์ พ. .2515-ปจั จบุ นั .”
าร ารประ ตั ิ า ตร์ ม า ทิ ยาลยั รนี ครนิ ทร โิ รฒ ประจา� ปี 2547 (มกราคม-ธนั าคม):
92-123.
แผนงานการจัดต้ังประชาคม ังคมและ ัฒนธรรมอาเซียน (ค. . 2009-2015). (2558). เข้าถึง
เม่ือ 10 กุมภาพันธ์ 2558. เข้าถึงได้จาก http://www.mfa.go.th/asean/contents/
files/customize-20121218-094710-341214.pdf.
เบญจ รรณ นารา จั จ์. (2552). งาน กึ ากัมพูชาท่ีมใี นประเท ไทย : า� ร จ ถานภาพองค์ค ามร.ู้
ขอนแก่น: นู ย์ จิ ัยพ ุลัก ณ์ ังคมลมุ่ น้�าโขง ม า ทิ ยาลัยขอนแก่น.
พชั รี าริกบตุ ร. (2542). “ มัยก่อนประ ัติ า ตร์และ ั เล้ีย ั ต่อ มัยประ ตั ิ า ตรใ์ นกมั พูชา.” ใน
ภา า-จารกึ ฉบับ 6: คุรบุ ชู า ครุ รุ �าลึก. กรงุ เทพฯ: ภาค ชิ าภา าตะ นั ออก คณะโบราณคดี
ม า ิทยาลัย ิลปากร.
มยรุ ี ีระประเ รฐิ . (2545). “ประ ัติ า ตรร์ าชอาณาจกั รกมั พชู าโบราณโดย ังเขป.” ใน โบราณคดี
และประ ัติ า ตร์ในประเท ไทย. ่าง เลิ ฤทธิ์, บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ: ภาค ิชา
โบราณคดี คณะโบราณคดี ม า ิทยาลยั ิลปากร.
มาตยา องิ ครนาถ และ นดิ า ตรงยางกรู . (2533). ประ ตั ิ า ตรน์ พิ นธ.์ กรงุ เทพฯ: ม า ทิ ยาลยั รามคา� แ ง.
ยทุ ธ า ตรก์ ารพฒั นาประเท ตามแผนพฒั นาเ ร ฐกจิ และ งั คมแ ง่ ชาติ ฉบบั ที่ 11 (พ. . 2555-2559).
เขา้ ถงึ เมอื่ 10 กมุ ภาพนั ธ์ 2558. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.kmutt.ac.th/rippc/nrct59/13a2.pdf.
งเดือน นารา ัจจ์. (2550). ประ ัติ า ตร์ : ิธีการและพัฒนาการ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ:
ภาค ชิ าประ ตั ิ า ตร์ ม า ทิ ยาลยั รนี ครนิ ทร ิโรฒ.
ินัย พง ์ รีเพียร. (2543). “ครูกับการ อนประ ัติ า ตร์ไทย.” ใน ประ ัติ า ตร์ไทย : จะเรียน
จะ อนกันอย่างไร. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์ า นา.
า่ ง เลิ ฤทธ.ิ์ (2547). โบราณคดี : แน คดิ และทฤ ฎ.ี กรงุ เทพฯ: นู ยม์ านุ ย ทิ ยา ริ นิ ธร (องคก์ ารม าชน)
ัจภูมิ ละออ. (2549). “การ ิเคราะ ์ ิลาจารึก ดกก็อกธมเชิง รรณกรรม.” ิทยานิพนธ์ปริญญา
ลิ ปะ า ตรม าบณั ฑติ าขา ิชาเขมร ึก า บัณฑติ ิทยาลยั ม า ทิ ยาลยั ิลปากร
ุเทพ ุนทรเภ ัช. (2548). ชาติพันธุ์ ัมพันธ์ : แน คิดพ้ืนฐานทางมานุ ย ิทยาในการ ึก า
อตั ลกั ณก์ ลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ประชาชาติ และการจดั องคก์ รค าม มั พนั ธท์ างชาตพิ นั ธ.์ุ กรงุ เทพฯ :
เมอื งโบราณ.
477
นัง อื รวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
_______. (2553). ทฤ ฎีมานุ ย ทิ ยา. กรงุ เทพฯ : ด งกมลพับลิชชงิ่ .
ุภัทรดิ ดิ กุล, ม่ มเจ้า. (2547). ิลปะขอม. พิมพ์ครั้งท่ี 2. กรุงเทพฯ: บริ ัท มรินทร์พร้ินติ้ง
แ นด์พับลชิ ชิ่ง จา� กดั (ม าชน).
ภิญญา เฟื่ งฟู กุล. (2551). มานุ ย ิทยา า นา : แน คิดพื้นฐานและข้อถกเถียงทางทฤ ฎี.
เชียงใ ม่ :ภาค ชิ า ังคม ิทยาและมานุ ย ทิ ยา คณะ ังคม า ตร์ ม า ทิ ยาลยั เชียงใ ม่.
_______. (2546). อัตลัก ณ์ : การทบท นทฤ ฎีและกรอบแน คิด = Identity. กรุงเทพฯ
: �านักงานคณะกรรมการ ิจัยแ ง่ ชาติ
ดิ ร ักดิ์ ูง และคณะ. (2547). “การ กึ า งคค์ ามรงู้ าน ิจัยประ ตั ิ า ตรภ์ าคใตใ้ นร บท รร
พ. .2537-2547.”รายงานการ จิ ยั ทนุ ดุ นนุ การ จิ ยั จากงบประมาณเงนิ รายได้ม า ทิ ยาลยั ทกั ณิ .
มรา พง าพิชญ์. (2558). “ ัฒนธรรมกับการพัฒนาทางเลื ก” ใน นัง ือชุดการประเมินและ
ังเคราะ ์ ถานภาพองค์ค ามรู้จากการ ิจัย ัฒนธรรม เล่ม 1: ถกเถียง ัฒนธรรม
ในงาน ิจัยภาคกลาง. ฉ ี รรณ ประจ บเ มาะ, บรรณาธิการ. เชียงใ ม่: ภาค ิชา
ังคม ทิ ยาและมานุ ย ทิ ยา คณะ ังคม า ตร์ ม า ทิ ยาลัยเชียงใ ม.่
_______. (2537). ัฒนธรรม า นา และชาติพันธุ์: ิเคราะ ์ ังคมไทยแน มานุ ย ิทยา.
พิมพค์ รง้ั ท่ี 3. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์แ ่งจุ าลงกรณม์ า ทิ ยาลัย.
มรา รี ุชาติ. (2546). “ ถานภาพการ ึก าและ ลักฐานใ ม่ ด้านโบราณคดีในภาคใต้ปัจจุบัน.”
ใน ามท รร ไทย ึก าภาคใต้ในกระแ โลกาภิ ัตน์. งขลา: ถาบันทัก ิณคดี ึก า
ม า ิทยาลัยทัก ิณ.
านันท์ กาญจนพนั ธ์.ุ (2542). การ ิจยั ในมติ ิ ฒั นธรรม : บทค ามงาน จิ ยั และประ บการณ์
นัก ิชาการ การแ ง าแน ทางและทิ ทางการ ิจัย ัฒนธรรม. านันท์ กาญจนพันธุ์,
บรรณาธิการ. เชียงใ ม่ : คณะ นุกรรมการ ิจัย ัฒนธรรมภาคเ นื �านักงานคณะ
กรรมการ ัฒนธรรมแ ง่ ชาติ และ �านัก ่งเ รมิ ลิ ป ัฒนธรรม ม า ทิ ยาลัยเชียงใ ม.่
_______. (2553). ทฤ ฎีและ ิธี ิทยาของการ ิจัย ัฒนธรรม : การทะลุกรอบและกับดักของ
ค ามคดิ แบบคู่ตรงกนั ข้าม. กรงุ เทพฯ : มรนิ ทร.์
_______. (2555). จินตนาการทางมานุ ย ิทยา แล้ ย้อนมอง ังคมไทย. เชียงใ ม่: ภาค ิชา
ังคม ิทยาและมานุ ย ทิ ยา คณะ งั คม า ตร์ ม า ทิ ยาลัยเชยี งใ ม่.
_______. (2555). ถกค ามคิด ังคม า ตร์ใน ังคมไทย. เชียงใ ม่ : ภาค ิชา ังคม ิทยาและ
มานุ ย ทิ ยา คณะ งั คม า ตร์ ม า ทิ ยาลยั เชยี งใ ม.่
478
_______. (2555). ท นคล่ืนค ามคิดก่ึง ต รร ไทย ึก า. เชียงใ ม่ : ภาค ิชา ังคม ิทยาและ
มานุ ย ทิ ยา คณะ งั คม า ตร์ ม า ิทยาลัยเชยี งใ ม.่
_______. (2558). “ค ามเขา้ ใจ “ ฒั นธรรม” ใน งั คมไทย” ใน นงั อื ชดุ การประเมนิ และ งั เคราะ ์
ถานภาพองคค์ ามรจู้ ากการ จิ ยั ฒั นธรรม เลม่ 1: ถกเถยี ง ฒั นธรรมในงาน จิ ยั ภาคกลาง.
ฉ ี รรณ ประจ บเ มาะ, บรรณาธิการ. เชยี งใ ม:่ ภาค ิชา งั คม ิทยาและมานุ ย ทิ ยา
คณะ งั คม า ตร์ ม า ิทยาลัยเชยี งใ ม.่
_______. (2560). พืน้ ท่คี ามรู้ มานุ ย ิทยา คน ามัญ : 70 ปี อานนั ท์ กาญจนพันธ.ุ์ เชยี งใ ม่ :
ภาค ชิ า งั คม ทิ ยาและมานุ ย ิทยา คณะ ังคม า ตร์ ม า ทิ ยาลยั เชยี งใ ม.่
อานนั ท์ กาญจนพนั ธ์ุ และคณะ. (2553). แน ค ามคดิ พนื้ ฐานทาง งั คมและ ฒั นธรรม. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 3.
เชียงใ ม่ : ภาค ิชา งั คม ิทยาและมานุ ย ทิ ยา คณะ ังคม า ตร์ ม า ิทยาลยั เชียงใ ม่
(ฉบบั ปรบั ปรุง).
อุไร รี ร ะริน. (2542). จารึกนคร ัด มัย ลังพระนคร ค. . 1566 - ค. . 1747. กรุงเทพฯ:
จงเจริญการพิมพ.์
ภา าตา่ งประเท
Cœdès, George. (1944). Histoire ancienne des États hindouisés d’Extrême-Orient.
Hanoi: Imprimerie d’Extrême-Orient.
Collingwood, R. G. (1962). The Idea of History. London: Oxford University.
Duranti, Luciana. (1988). Diplomatics: New Uses for Old Science. London: The Scarecrow
Press, Inc.
Fagan, Brian M. (1988). In the Beginning: An Introduction to Archaeology. 6th ed.
Glenview, Illinois: Scott, Foresman-Little, Brown.
Mourer, C. and Mourer, R. (1970). “The Prehistoric Industry of Laang Spean, Province of
Battambang, Cambodia.” Archaeology and Physical Anthropology in Oceania
5, 2 (July): 128-146. DOI: 10.1002/j.1834-4453.1970.tb00110.x.
Ponna, Peng. (2009). “Community-based tourism development in Sihanoukville, Cambodia.”
A Thesis submitted for the Degree of Master of Business Administration
in Hospitality and Tourism Management Prince of Songkla University.
479
นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เนือ่ งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
Sharer, Robert J. and Wendy Ashmore. (1993). Archaeology: Discovering Our Past.
2nd ed. California: Mayfield Publishing.
Sok, Vanna. (2006). “Sustainable tourism planning and management : the case of
Virachey National Park, Ratanakiri and SteungTreng Provinces, Kingdom of Cambodia.”
Master of Business Administration in Hospitality and Tourism Management,
Prince of Songkla University.
Stark, Mirium T. (2004). “Pre-Angkorian and Angkorian Cambodia.” in Southeast Asia
from Prehistory to History. Edited by Ian Glover and Peter Bellwood.
London: RoutledgeCurzon.
Thomas, David H. (1999). Archaeology: Down to Earth. 2nd ed. California: Harcourt
Brace, Fort Worth.
Tylor, Edward B. (1958). Primitive Culture. New York: Harper Torchbooks.
Youn, Rattana. (2012). “The role of non-government organizations in environmental
awareness and ecotourism in the Tonle Sap great lake; Cambodia: a case
study of Osmose organization.” Master of Business Adminstration in Tourism
Management, Ubolratchathani University.
480
บทบาทของพระม าเมาทคัลยายนะกับพระมาลยั
ในคมั ภีรพ์ ระพุทธ า นา : การ กึ าเปรยี บเทียบ
The Role of the Venerable Maudagalyāyana
and that of the Venerable Māleyya
as Appearing in Buddhist Literature: A Comparative Study
ดร.ส�ำเนยี ง เลอื่ มใส*
Samniang Leurmsai
* รอง า ตราจารยป์ ระจา� ภาค ชิ าภา าตะ ันออก คณะโบราณคดี ม า ทิ ยาลยั ลิ ปากร
481
นงั อื รวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนอื่ งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทคดั ยอ่
บทค าม จิ ยั นม้ี จี ดุ มงุ่ มายเพื่ กึ าบทบาทข งพระม าเมาทคลั ยายนะกบั พระมาลยั ในคมั ภรี ์
พระพทุ ธ า นา โดยเฉพาะคัมภีรม์ า ั ตุ ทาน คมั ภรี ม์ าเลยยเท ตั เถร ตั ถแุ ละคัมภีร์มาลยั ย ัตถุทปี
นีฎีกา จากการ ึก าพบ ่า พระม าเมาทคัลยายนะ (พระม าโมคคัลลานะ) เป็นบุคคลท่ีมี ยู่จริงใน
ประ ัติ า ตร์ คัมภีร์ม า ั ตุ ทานระบุ ่าท่านมีฤทธิ์เ าะไปในนรกและ รรค์แล้ น�า ิ่งที่พบเ ็นมา
นชา โลกใ ้ท�าค ามดีละเ ้นค ามชั่ ในคมั ภีรก์ ล่า ถึงนรก 8 ขุม ยา่ งละเ ียด แต่ไม่เน้นเรื่ ง รรค์
ุดท้าย น ่า รรค์นั้นไม่จีรังยั่งยืนบุคคลจึงค รปฏิบัติไปใ ้ถึงพระนิพพาน ่ นเรื่ งพระมาลัย
ันนิ ฐาน ่าเดิมแต่งขึน้ ในประเท รลี งั กาเพ่ื เปน็ ทุ า รณ์ นธรรม พระมาลยั ไมม่ ตี ั ตนจริง ต่ มา
เร่ื งนไ้ี ดแ้ ผ่ ทิ ธพิ ลมาถงึ พมา่ และลา้ นนา พระ งฆล์ า้ นนาจงึ นา� มาแตง่ ใ มใ่ ร้ ายละเ ยี ดมากขน้ึ โดยระบุ
่าพระมาลัยเป็นภิก ุในลังกาท ีป มีฤทธ์ิเ าะไปยังนรกและ รรค์ได้เ มื นกับพระม าโมคคัลลานะ
แล้ น�าข่า ข ง ัต ์นรกมาบ กใ ้ญาติท�าบุญ ุทิ ไปใ ้และบ กเล่าผลบุญท่ีเท ดาได้รับ เค้าโครงเรื่ ง
มาเลยยเท ตั เถร ตั ถคุ ลา้ ยกบั นรกปริ รรต ตู รในม า ั ตุ ทานมาก เพยี งแตม่ า ั ตุ ทานเนน้ ภาคนรก
่ นมาเลยยเท ตั เถร ตั ถเุ นน้ ภาค รรค์ กลา่ ถงึ บทบาทข งพระมาลยั ทน่ี า� ด กบั ไปบชู าพระเจดยี จ์ ุ ามณี
ได้ นทนากับพระ นิ ทรแ์ ละพระ รี าริยเมตไตรย ซึ่งไม่มกี ลา่ ไ ้ในม า ั ตุ ทาน เร่ื งพระมาลัยถกู
น�ามาใช้เท นา นประชาชนท้ังในงานมงคลและ มงคลมาตั้งแต่ มัย ุโขทัย ดังปรากฏ ิทธิพล เช่น
การเท นแ์ ละการ ดพระมาลยั ในงาน พ การฟงั เท นม์ าชาติ การนา� เร่ื งพระมาลยั มา รา้ ง รรคง์ าน
จิตรกรรมและประตมิ ากรรม เปน็ ต้น จึงท�าใ ้ประชาชนมคี ามเชื่ เร่ื งนรกและ รรคย์ ึดม่ันท�าค ามดี
แม้ า่ ปจั จบุ ันค ามเชื่ เร่ื งดงั กล่า จะลดน้ ยลงไปกต็ าม
คำ� สำ� คญั : พระม าเมาทคัลยายนะ, พระมาลยั , นรก, รรค์
482
Abstract
The objective of this research paper is to study the role of the Venerable Maudagalyāyana,
a Great Disciple of the Buddha, and the Legendary Venerable Māleyya in Buddhist literary
works, particularly in the Mahāvastu Avadāna, the Māleyyadevattheravatthu and the
Māleyyavatthudīpanīṭīkā. From the study, it was found that the Venerable Maudagalyāyana
(Mahāmoggallāna in the Pali Tripiṭaka) was defined in the Mahāvastu Avadāna’s text as a
magical person who was able to travel to both hell and heaven. His significant role was to
transmit what he had learned from his journey to human beings in the world so that they would
know how to make merit and avoid sin. In the Mahāvastu Avadāna, hell was described explicitly
as being divided into eight levels. On the other hand, heaven was mentioned only briefly.
According to his teachings, heaven is not the ultimate goal of human beings to achieve as it is
not a sustainable place to live eternally. Human beings, in his belief, should rather make greater
effort to attain Nirvāna. Likewise, it has been proposed that the Venerable Māleyya’s text
originated in Sri Lanka. It was composed to be a text for teaching Buddhist doctrine. The
Venerable Māleyya did not exist in this original version but was developed in the later version
in particular in the Burmese and Lanna versions. In the Lanna version, the Venerable Māleyya
was a monk in Sri Lanka. He claimed to have the magical power to journey to both hell and
heaven as did the Venerable Mahāmoggallāna. His role was also like a messenger who told
the relatives of those in the hell to make merit for them, or informed the world what merit those
living in heaven have received. The plot of the Māleyyadevattheravatthu focused on heaven
more than hell and added the other important role of the Venerable Māleyya regarding worshiping
the Cuḷāmaṇī pagoda in Tāvatiṃsa heaven with lotuses, meeting Indra, and having a conversation
with Maitreya, who was expecting to attain enlightenment. These differences constituted the
two story-lines. In terms of the implications for Thai society, it was found that the story of the
Venerable Māleyya has been used for teaching people not to commit sin but to make merit in
any situation. It has also been developed to be easier to read and understand since the
Sukhothai period. Its influence has been found in many Thai traditions such as sermons and
prayers in the funeral wreaths, the tradition of the Vessantarajātaka sermon, creative paintings,
sculptures of the Venerable Māleyya, etc. The significant influence of the Venerable Māleyya
is the existence of belief in heaven and hell, even though in present times this belief has
decreased slightly.
Keywords : Venerable Maudagalyāyana, Venerable Māleyya, Hell, Heaven
483
นงั อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวิชาการ เน่อื งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
1. บทนำ�
ม า ั ตุอ ทานเป็นคัมภีร์พระพุทธ า นาภา า ัน กฤตที่มุ่งเชิดชูพุทธภา ะเ นือโลกของ
พระพุทธเจ้าอย่างพิ ดารและถือ ่าเป็นพระ ินัยปิฎกของคณะ งฆ์นิกายโลโกตตร าทฝ่ายม า ังฆิกะ
(Bagchi, 1970: 2) ่ นท่เี กา่ แก่ท่ี ดุ อาจเขียนขน้ึ รา พทุ ธ ต รร ที่ 3 แต่กอ็ าจมีการแตง่ เ ริมบาง ่ น
จนกระท่ังถงึ พทุ ธ ต รร ท่ี 9 รือ ลงั จากนั้น (Winternitz, 1993: 238) นอกจากเนื้อ าที่พรรณนา
ค ามม ั จรรย์ของพระพุทธเจ้าแล้ ยังกล่า ถึงเร่ืองรา ของพระอัคร า กท่ี �าคัญคือพระม าเมาทคัล
ยายนะ (บาลเี รยี ก ่าพระม าโมคคลั ลานะ) ด้ ย โดยพรรณนา ่าพระเถระเป็นผู้มีฤทธ์ิมาก ามารถเ าะ
ไปยังนรกและ รรค์ เม่ือได้พบเ ็น ัต ์นรกถูกลงโท ในนรกขุมต่าง ๆ เพราะเคยท�าบาป และได้เ ็น
เท ดาเ ย ุขใน รรค์เพราะผลกรรมดี ก็น�า ่ิงท่ีพบเ ็นมาถ่ายทอดใ ้ชา บ้านฟังท�าใ ้ชา บ้านเกรง
กลั บาปและตง้ั ใจทา� ค ามดี บทบาทของพระม าเมาทคลั ยายนะมอี ยใู่ นคมั ภรี ม์ า ั ตอุ ทาน ลายตอน
เชน่ นรกปริ รรต ตู รและพ พุ ทุ ธ ตู ร เปน็ ตน้ เชอื่ กนั า่ ผแู้ ตง่ ม า ั ตอุ ทานคงจะไดอ้ นภุ าค1 ของเรอื่ ง
พระม าโมคคลั ลานะทปี่ รากฏในพระไตรปฎิ กนนั่ เองมา างโครงเรอื่ งและขยายค าม โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ
บทบาทการทอ่ งเทีย่ ไปยงั นรกและ รรคข์ องพระเถระ
่ นเรอื่ งพระมาลยั จดั เปน็ พระ ตู รนอกพระไตรปฎิ กทไ่ี ดร้ บั ค ามนยิ มอยา่ งมากในประเท ทนี่ บั ถอื
พระพทุ ธ า นาฝา่ ยเถร าทลทั ธลิ งั กา ง ์ แมเ้ รอ่ื งพระมาลยั จะมคี ามแพร่ ลาย แตก่ ย็ งั ไมท่ ราบแนช่ ดั า่
มาลยั ตู รมาจากแ ลง่ ใด นกั ชิ าการ ่ นใ ญม่ คี ามเ น็ า่ แรกเรม่ิ เรอ่ื งพระมาลยั อาจแตง่ ขนึ้ ในลงั กาโดย
พระภกิ ชุ า ลงั กา ผรู้ บู้ างทา่ นแ ดงค ามเ น็ า่ เรอื่ งพระมาลยั เปน็ คตมิ ายาน ( ภุ าพร มากแจง้ , 2521:
2) แตจ่ ากงาน จิ ยั ของ ภุ าพร มากแจง้ รปุ า่ คมั ภรี ม์ าเลยยเท ตั เถร ตั ถแุ ตง่ ขนึ้ ในประเท พมา่ ระ า่ ง
ปลายพุทธ ต รร ที่ 16 ถึงต้นพทุ ธ ต รร ท่ี 18 แล้ จึงแพร่ ลายมา ูป่ ระเท ไทยทางภาคเ นือคือ
อาณาจกั รลา้ นนาไทยและอาณาจกั ร โุ ขทยั แล้ ผา่ นไปยงั ประเท กมั พชู า และจากอาณาจกั รลา้ นนาไทย ู่
อาณาจกั รลา้ นชา้ ง รอื ประเท ลา ในขณะทคี่ มั ภรี ม์ าเลยยเท ตั เถร ตั ถใุ นประเท ไทยมที ม่ี า 2 ทาง คอื
แตง่ ขน้ึ ในลา้ นนาโดยพระภกิ ชุ า ลา้ นนา ประมาณพทุ ธ ต รร ที่ 17-18 ลงั จากฉบบั พมา่ ไมน่ านนกั ่ น
อกี ทาง นง่ึ แตง่ โดยพระภกิ ชุ า โุ ขทยั ระ า่ งพทุ ธ ต รร ที่ 19-20 และมฎี กี าแตง่ ขยายค ามโดยพระพทุ ธ
ลิ า ซง่ึ เปน็ พระภกิ ใุ นกรงุ โุ ขทยั ประเท ไทยแตล่ ะทอ้ งถนิ่ มี า� น นพระมาลยั อยทู่ ั่ ทกุ ภาค
ลา ก็มี �าน นพระมาลยั ท่ีเรียก ่า “มาลยั มืน่ มาลยั แ น” พมา่ ก็มี า� น นพระมาลัยท่ีเรียก า่
“เซยี ง มาเล เบยี้ ” ในกมั พชู ากม็ ี า� น นพระมาลยั ทตี่ รงกบั พระมาลยั ของไทยคอื “มาเลยยฺ เท ตเฺ ถร ตถฺ ”ุ
( ภุ าพร มากแจง้ , 2521: 27-28) ค ามนยิ มในเรอื่ งพระมาลัยทา� ใ เ้ กดิ ประเพณี ลายอยา่ งขึ้นใน ังคม
ไทยมาแต่โบราณ เช่น ประเพณกี าร ดพระมาลยั ตู รเปน็ ท�านองตา่ ง ๆ ในพิธแี ต่งงาน ต่อมามกั น�ามา
ดในงาน พ (เ ฐยี รโกเ , 2509: ฆ-ง) ทกุ ันนีท้ างภาคกลางนยิ ม ดพระมาลยั ในงาน พ ่ นทาง
ภาคอี านและภาคเ นือพระ งฆจ์ ะเท น์มาลยั ูตรกอ่ นทีจ่ ะเท น์ม าชาติ (เก ม บุญ รี, 2507: 149-
156) เปน็ ตน้
1 อนภุ าค (Motif) มายถงึ น่ ยยอ่ ยในนทิ านทมี่ คี ามไมธ่ รรมดา มคี ามนา่ นใจทางค ามคดิ และจนิ ตนาการ
จนไดร้ บั การจดจา� และ บื ทอดตอ่ กนั มาใน งั คม นง่ึ ๆ ซง่ึ อนภุ าคอาจเปน็ ตั ละคร ตั ถุ งิ่ ของ พฤตกิ รรมของตั ละคร รอื
เ ตุการณ์ในนิทาน ( ิราพร ณ ถลาง, 2522: 40).
484
ผู้ จิ ยั ตง้ั ขอ้ งั เกต า่ เ ตใุ ดเรอ่ื งพระม าเมาทคลั ยายนะแ ดงฤทธทิ์ อ่ งเทยี่ ไปยงั นรกและ รรค์
จึงมีโครงเร่ืองคล้ายกับเร่ืองพระมาลัยในคัมภีร์มาเลยยเท ัตเถร ัตถุ จึง นใจ ึก าเปรียบเทียบบทบาท
ของพระม าเมาคัลยายนะในคัมภีร์ม า ั ตุอ ทานกับบทบาทของพระมาลัยในคัมภีร์มาเลยยเท ัตเถร
ัตถุและมาลัยย ัตถุทีปนีฎีกา ร มทั้ง ึก าคติค ามเชื่อเรื่องนรก รรค์และอิทธิพลของคัมภีร์ท่ีปรากฏ
ในบรบิ ท ังคมไทยด้ ย
2. วัตถปุ ระสงค์ของกำรวจิ ัย
2.1 เพ่ือ กึ าเปรยี บเทยี บบทบาทของพระม าเมาทคัลยายนะในคัมภรี ม์ า ั ตุอ ทาน และ
บทบาทของพระมาลัยในคัมภรี ์มาเลยยเท ัตเถร ัตถุ และมาลัยย ตั ถุทปี นีฎกี า
2.2 เพอื่ กึ าคตคิ ามเชอื่ เรอ่ื งนรก รรคท์ ป่ี รากฏในคมั ภรี ม์ า ั ตอุ ทาน มาเลยยเท ตั เถร
ตั ถุ และมาลัยย ตั ถทุ ีปนฎี กี า
2.3 เพอ่ื กึ าอทิ ธพิ ลของเรอื่ งพระม าเมาทคลั ยายนะกบั พระมาลยั ทป่ี รากฏในบรบิ ท งั คมไทย
3. ขอบเขตของกำรวิจยั
ผู้ ิจัยจะ ึก าเปรียบเทียบบทบาทของพระม าเมาทคัลยายนะกับบทบาทของพระมาลัยโดย
ใชก้ ลมุ่ ข้อมูลคมั ภรี ท์ ่ีแปลเปน็ ภา าไทยแล้ คือ พระม าเมาทคลั ยายนะในคมั ภีรม์ า ั ตุอ ทานทแ่ี ปล
จากภา า นั กฤตเปน็ ไทยโดย า� เนียง เล่ือมใ (2553, 2557, 2561) กบั พระมาลัยในคัมภีรม์ าเลยยเท
ัตเถร ัตถุ โดยใช้ฉบับแปลภา าไทยของ ุภาพร มากแจ้ง (2521) และพระมาลัยในคัมภีร์มาลัยย ัตถุ
ทปี นฎี ีกา โดยใชฉ้ บับแปลภา าไทยของพระม าภิรัฐกรณ์ อ� มุ าลี (2549)
4. ทบทวนวรรณกรรม
4.1 พระธรรมโก าจารย์ (ชอบ อนจุ าร)ี (2528) อธบิ ายไ ใ้ น นงั อื “ตา� นานพระอร นั ตแ์ ปดทิ ”
่าพระม าโมคคัลลานะเป็นพระ า กรูป �าคัญท่ีช่ ยพระพุทธเจ้าประกา พระ า นา โดยได้รับการ
ยกย่อง ่าเป็นเอตทัคคะในด้านมีฤทธิ์เยี่ยมยอดก ่าพระ า กทั้ง ลาย ามารถเ าะไปโปรด ัต ์นรกดัง
ปรากฏในคมั ภรี เ์ ปต ตั ถุ า่ พระม าโมคคลั ลานะไปพบเปรตและ ตั น์ รกจงึ อบถามถงึ บาปกรรมทเ่ี ปรต
และ ัต ์นรกท�าแล้ น�าเร่อื งดงั กล่า ไปเล่า อนพทุ ธบริ ัทใ ร้ บั ทราบ
4.2 บรรจบ บรรณรจุ ิ (2532) ทา� ทิ ยานิพนธเ์ รือ่ ง “การ ึก าเชิง เิ คราะ เ์ ร่อื ง อ ีติม า า ก
กบั การบรรลธุ รรม” กล่า ถงึ ชี ประ ัตขิ องพระม าโมคคลั ลานะตั้งแต่ชาติภมู ิ รรณะ การ กึ า และ
อปุ นิ ัย โดยเฉพาะการบรรลธุ รรม
4.3 พระม า ุชญา โรจน าโณ (ยา ุกแ ง) (2540) ท�า ิทยานิพนธเ์ รื่อง “การ ึก าบทบาท
ของพระม าโมคคัลลานเถระในการเผยแผ่พระพุทธ า นา” กล่า ถึงประ ัติของพระม าโมคคัลลานะ
ต้ังแต่ชาติกาลจนถึงนิพพาน และกล่า ถึงคุณ มบัติเฉพาะของพระม าโมคคัลลานะ ่ามีอิทธิฤทธิ์มาก
มีบทบาท �าคัญในการเผยแผ่พระพุทธ า นา ปฏิปทาของพระม าโมคคัลลานะ ามารถน�ามาเป็นแบบ
อย่างทง้ั ในการด�าเนนิ ชี ติ และการ ่งเ รมิ พระพุทธ า นาคอื การเผยแผพ่ ทุ ธธรรมใ ้รงุ่ เรือง
4.4 ภุ าพรรณ ณ บางชา้ ง (2529) ทา� จิ ยั เรอ่ื ง “ ิ ฒั นาการ รรณคดบี าลี ายพระ ตุ ตนั ตปฎิ ก
ที่แต่งในประเท ไทย” กล่า ถึงคัมภีร์มาเลยยเท ัตเถร ัตถุ ่าเป็น รรณคดีบาลีเรื่อง �าคัญท่ีแต่งใน
485
นงั อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เนอื่ งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ประเท ไทย โดยผแู้ ตง่ นา่ จะเปน็ ภกิ ชุ า ลา้ นนา แตง่ เมอ่ื ประมาณปลายพทุ ธ ต รร ท่ี 20 รอื ตน้ พทุ ธ
ต รร ที่ 21 โดยได้รับอิทธิพลจาก รรณกรรมบาลีเร่ืองมาเลยยกะของพม่าท่ีแต่งระ ่างปลายพุทธ
ต รร ท่ี 16 ถงึ ตน้ พุทธ ต รร ท่ี 18 เรือ่ งมาเลยยกะของพมา่ ได้แน ค ามคดิ มาจากนิทานเรอ่ื งจูลคลั
ละในคมั ภีร์ ั ตั ถุปกรณ์ของลงั กา ตอ่ มาในช่ งกลาง รือปลายพทุ ธ ต รร ที่ 22 พระพทุ ธ ิลา ได้
แตง่ คัมภีร์มาลัยย ัตถทุ ปี นีฎกี าขยายค ามเน้ือ าของคมั ภีรม์ าเลยยเท ตั เถร ตั ถุข้นึ ในล้านนา
4.5 ภุ าพร มากแจง้ (2521) ทา� ิทยานพิ นธเ์ ร่อื ง “มาเลยฺยเท ตฺเถร ตฺถ:ุ การตร จช�าระและ
การ กึ าเชงิ เิ คราะ ”์ ได้ ึก าค้นค ้าทีม่ าของเร่ือง ผแู้ ตง่ ถานท่แี ตง่ พร้อมทัง้ ตร จช�าระและแปล
คมั ภรี เ์ ปน็ ภา าไทย ผลการ จิ ยั รปุ ได้ า่ คมั ภรี ม์ าเลยยเท ตั เถร ตั ถแุ ตง่ ขนึ้ ในประเท พมา่ ระ า่ งปลาย
พทุ ธ ต รร ท่ี 16 ถงึ ตน้ พทุ ธ ต รร ท่ี 18 ไดเ้ นอ้ื เรอ่ื งจากคมั ภรี ์ ั ตั ถปุ กรณ์ คมั ภรี ร์ า นิ ี คมั ภรี ์
ม า ง ์และพระไตรปฎิ ก เรอื่ งรา พระมาลัยได้แพร่ ลายมา ูป่ ระเท ไทยทางเ นือ คือ อาณาจักรล้าน
นาไทย อาณาจักร ุโขทัย แล้ ผา่ นไปยงั ประเท กมั พชู า และจากอาณาจักรล้านนาไทย ู่อาณาจกั รล้าน
ชา้ ง รือประเท ลา ในขณะที่คมั ภีรม์ าเลยยเท ตั เถร ัตถุในประเท ไทยมีทมี่ า 2 ทาง คอื แตง่ ขน้ึ ทาง
ลา้ นนา โดยพระภกิ ชุ า ลา้ นนา ประมาณพุทธ ต รร ที่ 17-18 ลังจากฉบบั พม่าไม่นานนัก ่ นอกี
ทาง นง่ึ แตง่ โดยพระภกิ ชุ า โุ ขทยั ระ า่ งพทุ ธ ต รร ท่ี 19-20 และมฎี กี าแตง่ ขยายค ามโดยพระพทุ ธ
ลิ า ซ่งึ เปน็ พระภิก ใุ นกรงุ ุโขทยั
4.6 ชนิดา เรืองจ�ารูญ (2546) ท�า ิทยานิพนธ์เร่ือง “การ ึก าเชิง ิเคราะ ์เรื่องมาลัย ูตร”
กล่า ่ามาลัย ูตรเป็น รรณกรรมพระพุทธ า นาท่ีมีช่ือเ ียง าระ �าคัญของเร่ืองคือการ อนใ ้คนละ
เ ้นจากค ามช่ั ร้างกุ ลค ามดี อบรมจิตใจใ ้บริ ุทธ์ิเพ่ือจะได้เกิดทันยุคพระ รีอาริย์ มาลัย ูตรมี
อิทธพิ ลตอ่ จติ ใจของ า นกิ ชา พุทธในเรอ่ื งกฎแ ่งกรรม นรก รรค์ และ า นาพระ รอี าริย์ ร มถงึ มี
อทิ ธพิ ลต่องานจิตรกรรม ประเพณี และพธิ ีกรรมต่าง ๆ
4.7 พระม าภิรัฐกรณ์ อ� ุมาลี (2549) ทา� ทิ ยานพิ นธ์เรอ่ื ง “มาลัยย ตั ถทุ ีปนีฎีกา: การตร จ
ชา� ระและ กึ า ิเคราะ ์” กล่า า่ ผู้แตง่ คัมภีรม์ าลยั ย ตั ถุทปี นีฎีกาคอื พระภิก ชุ า ไทย ชือ่ า่ พระพทุ ธ
ริ ิ ทั ธรรมกติ ตมิ า ามี มชี ี ติ อยใู่ นรชั มยั พระม าธรรมราชาลไิ ทแ ง่ โุ ขทยั ระ า่ ง พ. . 1897-1912
โดยร บร มเนือ้ าจาก ลายคัมภีร์มาปรับปรงุ และแตง่ เ รมิ ค าม ไดแ้ ก่ พระไตรปิฎก อรรถกถา ฏกี า
และปกรณ์ ิเ ่ นแก่นเร่ืองและ าระ �าคัญผู้แต่งน�าเอาเนื้อ า าระจากคัมภีร์มาเลยยเท ัตเถร ัตถุ
มาขยายค าม จุดประ งค์ในการแต่งคือ เพื่อ ั่ง อนใ ้พุทธ า นิกชนมีค ามเช่ือในเร่ืองกฎแ ่งกรรม
และกระตุน้ ใ ท้ �าค ามดี
4.8 พระม า มจนิ ต์ มมฺ าป โฺ ญ ( ันจันทร)์ (2533) ท�า ทิ ยานพิ นธ์เร่อื ง “นรกและ รรคใ์ น
พระพุทธ า นาเถร าท” กล่า ่าพระไตรปิฎกปรากฏเรื่องนรกและ รรค์อยู่ ลายแ ่ง โดยเฉพาะใน
พระไตรปฎิ กเลม่ ที่ 18 กลา่ ถึงนรก 46 ครั้งและกลา่ ถงึ รรค์ 75 คร้งั เรอื่ งรา เก่ีย กบั นรกและ รรค์
มักกล่า ถงึ คตทิ ีบ่ ุคคลผู้ทา� ค ามช่ั และค ามดีจะต้องไปเกดิ ลงั การตาย นอกจากนย้ี งั กล่า ถงึ นรกและ
รรคใ์ นฐานะเปน็ ภา ะทางจิตใจอีกด้ ย
จากการทบท น รรณกรรมขา้ งตน้ ทา� ใ เ้ น็ า่ ยงั ไมม่ ผี ใู้ ดนา� เรอื่ งพระม าเมาทคลั ยายนะในคมั ภรี ์
ม า ั ตอุ ทานมา กึ า มเี ฉพาะการ กึ าเรอื่ งของพระม าโมคลั ลานะในคมั ภรี ฝ์ า่ ยบาลี แตก่ ถ็ อื า่ เปน็
แ ลง่ ขอ้ มลู ทมี่ ปี ระโยชน์ า� รบั การ จิ ยั ครงั้ นี้ ่ นเรอ่ื งของพระมาลยั โดยมากเปน็ การ กึ าถงึ ทมี่ าและการ
เิ คราะ เ์ นอ้ื าของคมั ภรี ท์ แี่ ตง่ ในประเท ไทย ซงึ่ ผู้ จิ ยั จะไดน้ า� มา กึ าเพม่ิ เตมิ ในงาน จิ ยั นด้ี ้ ย
486
5. วิธดี �ำเนนิ กำรวิจยั
5.1 ึก าค้นค ้าข้อมูลจาก นงั ือ ตา� รา เอก ารและงาน จิ ยั ที่เกีย่ ขอ้ งกับ ั ขอ้ การ จิ ัย
5.2 ร บร มขอ้ มลู เกยี่ กบั บทบาทและลกั ณะเฉพาะของพระม าเมาทคลั ยายนะกบั พระมาลยั
5.3 เิ คราะ เ์ ปรยี บเทยี บบทบาทและลกั ณะเฉพาะของพระม าเมาทคลั ยายนะกบั พระมาลยั
ค ามเชือ่ เรือ่ งนรก รรคแ์ ละอิทธิพลท่ปี รากฏในบรบิ ท งั คมไทย
5.4 รุปผลการ ึก าและนา� เ นอรายงานผลการ ิจัย
6. ประโยชนท์ ค่ี ำดวำ่ จะได้รบั
6.1 ไดร้ ู้ขอ้ เปรยี บเทียบเก่ยี กบั บทบาทของพระม าเมาทคลั ยายนะในคมั ภีร์ม า ั ตุอ ทาน
กับบทบาทของพระมาลยั ในคัมภีร์มาเลยยเท ัตเถร ตั ถแุ ละมาลยั ย ัตถุทีปนีฎกี า
6.2 ไดค้ ามรเู้ กี่ย กับคติค ามเชอื่ เรอื่ งนรก รรคท์ ่ปี รากฏในคัมภีรอ์ ยา่ งชดั เจน
6.3 ไดร้ ู้อทิ ธิพลของเร่อื งพระม าเมาทคลั ยายนะกบั พระมาลยั ทป่ี รากฏในบรบิ ท ังคมไทย
7. ผลกำรวจิ ยั
7.1 บทบำทของพระมหำเมำทคลั ยำยนะ
จากการ กึ าค ามเปน็ มาของพระม าเมาทคลั ยายนะในคมั ภรี ม์ า ั ตอุ ทานจะเ น็ า่ โครง
เร่ือง ลักรับมาจากเร่ืองรา ของพระม าโมคคัลลานะในพระไตรปิฎกและอรรถกถา ิ่งที่แตกต่างกันคือ
การปรับเปลีย่ นรายละเอยี ดบางประการ เช่น ม า ั ตุอ ทานกลา่ ถึงอุปติ ยะ ( ารีบุตร) ซึ่งเป็นเพือ่ น
ของโกลติ ะ า่ เปน็ ลกู คน ดุ ทอ้ งของนาง ารี ระบุ า่ นาง ารมี ลี กู ชาย 7 คน คอื ธรรม ธุ รรม อปุ ธรรม ตธรรม
ั รธรรม ติ ยะ และอปุ ติ ยะ ( า� เนยี ง เลอ่ื มใ , ผแู้ ปล, 2561: 46) ซง่ึ ตา่ งจากคมั ภรี ฝ์ า่ ยบาลที ก่ี ลา่ า่
พระ ารีบุตรมีน้องชาย 3 คน คือ จุนทะ อุปเ นะ และเร ตะ มีน้อง า 3 คน คือ จาลา อุปจาลา และ
ิ ูปจาลา (ม ามกุฏราช ิทยาลัย, 2557: 74) ประเด็นต่อมาคือกล่า ถึงพระอุปเ นะ ่าเป็นผู้ท�าใ ้
อุปติ ยะเลื่อมใ ( �าเนียง เล่ือมใ , ผู้แปล, 2561: 49-50) ไม่ใช่พระอั ชิเ มือนในคัมภีร์ฝ่ายบาลี
ม า ั ตอุ ทานระบุ า่ เมอ่ื พระพทุ ธเจา้ ประทบั อยทู่ ่ี ดั เ ณุ นั พรอ้ มด้ ยภกิ ุ งฆ์ มใู่ ญ่ จา� น น 1,250 รปู
พระอุปเ นะซึ่งเป็นพุทธ า กรูป น่ึงได้เข้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤ ์ด้ ยอาการ �าร มอุปติ ยะ
ได้เ ็นแล้ เกิดค ามเล่ือมใ จึงเข้าไป นทนาธรรม พระอุปเ นะได้กล่า กะอุปติ ยะ ่า “ท่านผู้มีอายุ
พระ า ดาทรง อนการ ละ โดยอา ัย ลักธรรมท่ี ่าการเกิดขึ้นของ ่ิงต่าง ๆ มีมาแต่เ ตุ” ( �าเนียง
เลอื่ มใ , ผู้แปล, 2561: 50) คา� พดู ัน้ ๆ ของพระอุปเ นะนีเ้ องท�าใ ้อุปติ ยะได้ด งตาเ น็ ธรรม จากนน้ั
จึงนา� ค ามเดยี กนั ไปถ่ายทอดแกโ่ กลิตะด้ ยคาถา า่
เย ธรฺมา เ ตุปฺรภา า เ ตุ เต �า ตถาคโต อา |
เต �า จ โย นโิ รธ เอ � าที ม า ฺรมณะ || 1 ||
“ธรรมเ ล่าใดเกดิ แต่เ ตุ พระตถาคตตรั เ ตุของธรรมเ ลา่ น้ันและค ามดบั
ของธรรมเ ล่าน้นั พระม า มณะมีปกติตรั อนอยา่ งนี”้
( �าเนยี ง เลื่อมใ , ผแู้ ปล, 2561: 51)
487
นงั ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนอื่ งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
โกลิตะ (เมาทคัลยายนะ) ได้ฟังก็เกิดด งตาเ ็นธรรมเช่นกัน ทั้ง องจึงช นบริ ารของ
อาจารย์ ญั ชยไี รฏบี ตุ รจา� น น 500 คนไปเฝา้ พระพทุ ธเจา้ ที่ ดั เ ณุ นั พระพทุ ธเจา้ ตรั กบั ภกิ ทุ ง้ั ลาย า่
“พ กเธอจงปูลาดอา นะ ปริพาชกช่ือ าริบุตรและเมาทคัลยายนะพร้อมกับบริ าร 500 คนก�าลังมา
ประพฤตพิ ร มจรรยใ์ น า� นกั ของตถาคต พ กเขาจกั เปน็ คู่ า กทเี่ ลิ เปน็ คู่ า กทป่ี ระเ รฐิ คน นง่ึ เปน็
เลิ ในบรรดาผมู้ ปี ญั ญามาก อกี คน นง่ึ เปน็ เลิ ในบรรดาผมู้ ฤี ทธม์ิ าก” ( า� เนยี ง เลอ่ื มใ , ผแู้ ปล, 2561: 52)
เมอื่ พ กเขาขอบ ชเปน็ ภกิ ุ พระพทุ ธเจา้ จงึ ประทานการบ ชด้ ย ธิ เี อ ภิ กิ ขอุ ปุ มั ปทา ( า� เนยี ง เลอื่ มใ ,
ผู้แปล, 2561: 53) ลงั จากบ ชได้ 7 ันพระม าเมาทคัลยายนะกไ็ ด้บรรลอุ ร ัตผล นา่ งั เกต า่ จ�าน น
ปรพิ าชกท่ีทงั้ องช นไปบ ชด้ ยน้นั มจี �าน น 500 คนซง่ึ ต่างจากอรรถกถาธรรมบททก่ี ลา่ ่าทัง้ องพา
บริ ารของอาจารย์ ญั ชยั ไปบ ช จา� น น 250 คน (ม ามกุฏราช ทิ ยาลัย, 2545: 86) เรื่องพระม าเมา
ทคลั ยายนะในม า ั ตอุ ทานจงึ มรี ายละเอยี ดทม่ี ที ง้ั เ มอื นและแตกตา่ งจากคมั ภรี ฝ์ า่ ยบาลดี งั กลา่ แล้
่ นในม า ั ตุอ ทาน ประถมขัณฑ์ พบเร่ืองพระม าเมาทคัลยายนะ 4 ตอนด้ ยกัน คือ
(1) ตอนนรกปริ รรต ูตร (2) ตอนพระเถระจาริกไปเย่ียมโลกอ่ืน (3) ตอนกล่า ถึงพระอภิยะ และ
(4) ตอนพระเถระไปเยยี่ ม รรคช์ นั้ ทุ ธา า เนอื้ าทง้ั 4 ตอนยงั เนน้ า่ พระเถระเปน็ ผมู้ ฤี ทธมิ์ าก ามารถ
ท่องเท่ีย ไปยังโลกอ่ืนได้ ในการจาริกไปยังภพภูมิต่าง ๆ ของพระเถระเม่ือกลับมายัง ัดพระเชต ันแล้
ก็ได้บอกเล่า ิ่งท่ีพบเ ็นใ ้พุทธบริ ัทฟังเพื่อเตือน ติไม่ใ ้กระท�าค ามช่ั และใ ้ ม่ัน ร้างแต่ค ามดี
(Bagchi, 1970: 19-24) ครง้ั นึง่ พระม าเมาทคัลยายนะกราบทูลพระพุทธเจา้ า่ “ข้าพระองค์ไดเ้ าะ
ขน้ึ อู่ ากา จากเมอื งราชคฤ แ์ ละไดไ้ ปยนื อยใู่ กล้ ๆ มเู่ ท ดาชนั้ ทุ ธา า ด้ ยเ ลาเพยี งช่ั ขณะ เปรยี บ
เ มอื นบรุ ุ ผมู้ กี า� ลงั มากเ ยยี ดแขนทค่ี อู้ ยอู่ อก รอื คแู้ ขนทเี่ ยยี ดอยเู่ ขา้ ” ( า� เนยี ง เลอื่ มใ , ผแู้ ปล, 2553:
35) นา่ งั เกต า่ การแ ดงฤทธขิ์ องพระเถระมใิ ชก่ ระทา� เพอ่ื การอ ดอา้ งอทิ ธฤิ ทธิ์ แตเ่ ปน็ ไปเพอื่ นบั นนุ
การเผยแผ่พระพทุ ธ า นาและอนุเคราะ ์ ตั ์โลก แม้ในพระไตรปฎิ กและอรรถกถาก็กลา่ ถึงการแ ดง
ฤทธิ์ของพระเถระ ลายเ ตุการณ์ เช่น การจาริกไปยัง รรค์และนรกได้ นทนากับเท ดาและเปรต
(ขุ. ิ. 26/1108-1112/123-124) การท่องเที่ย ไปใน รรค์ได้พบกับเทพธิดาผู้มีผิ พรรณงาม (ขุ. ิ.
26/270-277/37-38) การใชฤ้ ทธปิ์ ราบเจา้ ลทั ธชิ อื่ อคั คทิ ตั ตะและพญานาค (ธ.อ.106/111) การแ ดงฤทธิ์
เพ่อื ท�าใ ท้ า้ กั กะ �านึกตั (ม.ม.ู 12/390-394/348-352) และการแ ดงฤทธิป์ ราบมจั ฉรยิ โก ยิ เ ร ฐี
(ธ.อ. 32-34) เป็นต้น
บทบาทการท่องเทย่ี ไปยงั นรกและ รรค์ของพระม าเมาทคลั ยายนะเปน็ เร่อื งที่โดดเดน่ มาก
โดยเฉพาะในนรกปริ รรต ูตร มีโครงเรื่องบรรยายดนิ แดนนรกอยา่ งละเอียดตามลา� ดบั ซง่ึ ลัก ณะเชน่ นี้
ไม่พบในพระไตรปิฎก คัมภีร์ม า ั ตุอ ทานบรรยาย ่า พระม าเมาทคัลยายนะท่องเท่ีย ไปยังนรกได้
เ ็น ตั ์นรกในดนิ แดนชือ่ า่ ัญชี ะ กาล ูตระ ังฆาตะ ม าเราร ะ ตปนะ ประตาปม านรก อ ีจนิ รก
และอ จี ิม านรก ตั ์นรกท้งั ลายมคี ามทุกขท์ รมานมาก นอกจากนรกทั้ง 8 ขุมแล้ ยงั กล่า ถึงนรก
บริ าร 16 ขมุ ด้ ย ( �าเนียง เล่อื มใ , ผู้แปล, 2553: 5) ภาพนรกที่บรรยายผ่าน ายตาของพระม าเมา
ทคลั ยายนะนนั้ มรี ายละเอยี ดชดั เจน บอกถงึ ลกั ณะขมุ นรกในเชงิ กายภาพ เชน่ นรกชอ่ื ม าเราร ะกเ็ ปน็
แผ่นเ ล็กทมี่ ไี ฟลุกโพลง โชตชิ ่ ง า่ งไ ยา ลายรอ้ ยโยชน์ รือเม่ือบรรยายลัก ณะของอ ีจินรกก็
แ ดงภาพทน่ี า่ กลั ดงั ค าม า่ “เปล ไฟพงุ่ จากกา� แพงดา้ นตะ นั ออกของนรกนน้ั ยอ่ มกระทบกา� แพงดา้ น
488