ลัก ณะตั อัก รท่ีคล้ายกันท�าใ ้ ันนิ ฐาน ่า งานแกะ ลักกลุ่มนี้จะมาจากจากที่เดีย กัน
ซงึ่ อาจเป็นชา่ งจากต�าบลเ นิ อ้ใี นจีน โดย ันนิ ฐานจากจารกึ บนเกย้ี ของ าลเจา้ จุย๊ บ๋ ยเน้ยี ทไ่ี ดก้ ลา่
ไปขา้ งตน้ นนั้ จารกึ ฝง่ั นง่ึ กลา่ า่ “....ใน นั มงคล เดอื นแ ง่ ฤดู นา ปปี ง่ิ ชี แ์ ง่ รชั มยั ก งซี่ ์ ราช ง ช์ งิ
ที่ย่งิ ใ ญ่ ชา บา้ นผู้ รัทธาแ ่งตา� บลเ นิ อี้ จงั ดั ฉยงโจ มณฑลก่ งตง นาม า่ ฝยู ง่ ฝู และบตุ รชาย
ร้างถ าย” (ภาพที่ 11)
จากจารกึ ดงั กลา่ ทา� ใ ท้ ราบ า่ ฝง่ั ทเ่ี ปน็ ผู้ รา้ งคอื ฝยู ง่ ฝแู ละบตุ รชาย ซงึ่ เปน็ ชา ตา� บลเ นิ อ้ี
ดงั นนั้ อาจเปน็ ได้ า่ เกย้ี ลงั นอี้ าจ รา้ งขนึ้ ทต่ี า� บลนี้ ซง่ึ นา่ จะเปน็ แ ลง่ ทแี่ กะ ลกั ปา้ ย ญิ ญาณของเทพเจา้
ท่ีพบใน าลเจ้าเฮียต๋ีกง และ าลเจ้าเจีย เองเบ้ีย ด้ ย อย่างไรก็ตามอาจมองได้เช่นกัน ่า ฝูย่งฝูและ
บตุ รชายอาจใ ้ชา่ งจากพ้ืนที่อน่ื มา รา้ งก็เปน็ ได้ ถึงแมจ้ ะเปน็ ประการ ลังแตจ่ ากการท่ลี ัก ณะตั อัก ร
เช่นน้พี บใน าลเจา้ ของชา จีนไ ลา� ลายแ ่งจึงอาจพอ นั นิ ฐาน ่า มีกลุ่มชา่ งในบา้ นเกิดของชา จีน
ไ ล�าทแี่ กะ ลักตั อัก รในลกั ณะเช่นน้ดี ้ ย
3. การตงั้ ถ่ินฐานของชาวจีนโพน้ ทะเลในทา่ ฉลอม
จากการ มั ภา ณช์ า บา้ นทา่ ฉลอมทอี่ ายตุ งั้ แต่ 70 ปขี น้ึ ไป ทา� ใ เ้ น็ ภาพของทา่ ฉลอมในอดตี
เม่ือเกือบ 100 ปีที่แล้ ท่ีมีชา จีนอย่าง นาแน่น โดยชา จีนท่ีมีจ�าน นมากท่ี ุดคือ ชา จีนแต้จิ๋
่ นชา ไ ลา� เปน็ กลมุ่ รองลงมา และอาจมชี า จนี อนื่ ๆ เชน่ ฮกเกย้ี น ก างตงุ้ ร มอยดู่ ้ ย ่ นบรเิ ณอนื่ ๆ
ท่ีอย่ใู กล้เคยี ง เช่น ต�าบลม าชัยและต�าบลทา่ จีน ไมค่ ่อยมชี า จีนอยอู่ า ยั นัก
อยา่ งไรกด็ ี ลกั ฐานงาน ลิ ปกรรมทย่ี งั พอ ลงเ ลอื อยทู่ า� ใ เ้ รา ามารถ นั นิ ฐานได้ า่ ชา จนี
อาจมาตง้ั ลกั ปกั ฐานทที่ า่ ฉลอมอยา่ งชา้ ดุ รา มยั รตั นโก นิ ทรต์ อนตน้ โดยพจิ ารณาจากแผน่ ปา้ ยไมใ้ น
าลเจา้ ปนุ เถา้ กง รอื าลเจา้ กลาง ซง่ึ ระบุ กั ราช “ปซี นิ เ มา่ แ ง่ รชั มยั พระเจา้ เตา้ ก ง” ซง่ึ เทยี บไดก้ บั
พ. . 2374 ดังน้ัน ากพิจารณาจากจารึกบนแผ่นป้ายนี้ าลเจ้าปุนเถ้ากงอาจ ร้างข้ึนรา พ. . 2374
(ภาพท่ี 20) ซึ่งช่ งเ ลานอี้ ยใู่ น มยั พระบาท มเดจ็ พระนั่งเกลา้ รอื รัชกาลท่ี 3 แ ง่ กรงุ รัตนโก นิ ทร์
ภาพท่ี 20 แผ่นปา้ ยไมจ้ ารกึ ักราชแบบจีนทีเ่ ก่าท่ี ุดของ าลเจ้าปนุ เถ้ากง ทา่ ฉลอม
ลกั ไ ้ า่ ปีซินเ มา่ แ ่งรชั มยั พระเจา้ เต้าก ง
39
นัง อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เน่อื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ลักฐานจาก าลเจ้าแ ่งน้ียังท�าใ ้ ันนิ ฐานเพิ่มเติมได้เช่นกัน ่า ชา จีนที่อพยพเข้ามา
ท่าฉลอมอยา่ งมากในช่ งเ ลานนั้ คือ ชา จนี แต้จ๋ิ เนื่องด้ ยการบูชาปุนเถ้ากงเป็นเอกลัก ณข์ องชา จนี
กลุ่มดังกล่า อีกท้ังการที่ าลเจ้าปุนเถ้ากงมีอีกนาม น่ึง ่า าลเจ้ากลาง มาจากต�าแ น่งท่ีตั้งอยู่
กลางชุมชนท่าฉลอม ย่อมแ ดงใ ้เ ็น ่า ากมีชา จีนมาต้ังถ่ินฐานอยู่ก่อน อาจมีจ�าน นไม่มากและ
คงไม่มีชา จีนกลุ่มใดกลุ่ม น่ึงเป็นใ ญ่มาก่อน และเม่ือชา จีนแต้จิ๋ เข้ามาต้ังถิ่นฐานใน มัยรัชกาลท่ี 3
จงึ ามารถเลอื กท�าเลทต่ี ั้งท่ีโดดเด่นได้
ชา จีนกลุ่มใ ญ่ที่น่าจะอพยพตามเข้ามาภาย ลังคือ ชา จีนไ ล�า ดังจะเ ็นได้ ่าในต�าบล
ท่าฉลอมนน้ั นอกจาก าลเจา้ จีนแตจ้ ๋ิ กม็ ี าลเจ้าจนี ไ ลา� อกี ท้งั จากการ ัมภา ณช์ า บา้ นทา่ ฉลอม
ในปัจจุบนั ยังทา� ใ ้เ น็ ค าม า� คญั ของชา จีนทั้ง 2 กลมุ่ น้อี ยู่ การท่ี ันนิ ฐาน ่า ชา จนี ไ ล�าอาจมี
การอพยพระลอกใ ญ่ ลังจากท่ีชา จีนแต้จิ๋ เข้ามาท่าฉลอมแล้ มาจากการพิจารณาต�าแ น่งที่ต้ัง าล
เจ้าจุ๊ยบ๋ ยเนี้ย และ าลเจ้าเฮียตี๋กง ถึงแม้ าลเจ้าทั้ง องแ ่งจะอยู่บนถนนถ าย และอยู่ริมแม่น�้า
แต่ไม่ได้อยู่ต�าแ น่งกลางชุมชน (ภาพที่ 21) อีกท้ังเป็นได้ ่า าลเจ้าท้ัง 2 แ ่ง อาจ ร้างขึ้นใน มัย
รัชกาลท่ี 5 โดยพิจารณาจากจารึกท่ีเก่าที่ ุดของ าลเจ้าจุ๊ยบ๋ ยเนี้ยคือ จารึกท่ีอยู่บนเก้ีย ของเจ้าแม่
ซึ่งได้กล่า ไปข้างต้นแล้ ่า เทียบเคียงได้กับ พ. . 2429 (ภาพที่ 11) ซ่ึงเป็นช่ งกลางรัชกาลดังกล่า
่ น าลเจา้ เฮยี ตี๋กงนั้น ถงึ แม้ไม่พบจารึก กั ราชแต่ดังท่กี ล่า ข้างต้นแล้ ่า การบชู าเทพเจ้า 108 พ่ีนอ้ ง
เพิ่งปรากฏในช่ งต้นพทุ ธ ต รร ที่ 25 รือรา รชั กาลที่ 5
ภาพท่ี 21 ตา� แ นง่ ทตี่ ง้ั าลเจา้ ในทา่ ฉลอม กลมุ่ งกลมคอื าลเจา้ ของชา จนี แตจ้ ๋ิ ่ นกลมุ่ ามเ ลยี่ มคอื
ของชา จีนไ ล�า จะเ น็ ได้ ่ามกี ารแบ่งพนื้ ที่อยา่ งชดั เจน และ าลเจ้าของชา จีนแต้จิ๋ อยใู่ น
ต�าแ น่ง �าคัญก า่
ที่มา : ดัดแปลงมาจาก Google Map (n.d.). ต�าบลท่าฉลอม. เข้าถึงเม่ือ ันท่ี 5 ิง าคม 2562. เข้าถึงได้
จาก https://goo.gl/maps/Zy5yD4i3t5VbGqAL7.
40
ประเดน็ ทนี่ ่า นใจอีกประการ น่ึงคือ เม่ือชา จีนทงั้ 2 กลุ่ม เขา้ มาตัง้ ถิน่ ฐานในท่าฉลอมแล้
มลี กั ณะของการตงั้ ชมุ ชนอยา่ งไร ทงั้ นใ้ี นช่ งตน้ รตั นโก นิ ทร์ ชา จนี อพยพนยิ มตงั้ ถนิ่ ฐานตามกลมุ่ ภา าถน่ิ
ของตนเอง ซงึ่ ในชมุ ชนกจ็ ะมกี าร รา้ ง าลเจา้ ประจา� ชมุ ชนของตนเอง ลกั ณะเชน่ นป้ี รากฏอยใู่ นพน้ื ทอ่ี นื่ ๆ
ของไทย เชน่ กรงุ เทพฯ ทช่ี มุ ชนและ าลเจา้ ของชา จนี แตจ้ ิ๋ อยทู่ าง า� เพง็ ในขณะทชี่ มุ ชนและ าลเจา้ ของ
ชา จีนฮกเก้ียนอยู่ทางตลาดน้อย และริมน�้าเจ้าพระยาในเขตธนบุรี เป็นต้น ค ามรู้ ึกแบ่งแยกระ ่าง
ชา จีนต่างกลมุ่ ภา ายังปรากฏชดั เจนใน มยั รชั กาลท่ี 5 ด้ ย (อชริ ชั ญ์ ไชยพจนพ์ านิช, 2559: 15)
เม่อื พจิ ารณาจากตา� แ นง่ ท่ตี ้งั ของ าลเจา้ เกา่ แกท่ ้ัง มดในท่าฉลอม (ภาพท่ี 21) จะพบ ่าถึง
แม้ าลเจ้าท้ัง มดจะอยู่ริมแม่น้�าท่าจีนและบนถนนถ ายเ มือนกัน แต่ าลเจ้าของชา จีนแต้จิ๋ ได้แก่
าลเจา้ ปนุ เถา้ กง โรงเจเชง็ เฮยี งตั๊ และ าลเจา้ ก นอจู ะร มกนั อยบู่ รเิ ณใกล้ ๆ กนั คอื ตดิ กบั อา่ ในขณะท่ี
าลเจ้าของชา จนี ไ ลา� ได้แก่ าลเจ้าจยุ๊ บ๋ ยเน้ยี และ าลเจา้ เฮยี ต่ีกงอยู่ลึกเขา้ ไป ดังนั้น ากพิจารณา
จากลัก ณะของชุมชนชา จีนอพยพในพื้นท่ีอ่ืน ๆ ร มถึงต�าแ น่งท่ีต้ัง าลเจ้าท่ีค่อนข้างแยกกัน
อย่างชัดเจน จึง ามารถตั้งข้อ ังเกตได้ ่า ในช่ งเ ลาน้ันต�าแ น่งที่ตั้งของชุมชนชา จีนแต้จ๋ิ และ
ชา ไ ลา� ในทา่ ฉลอมนา่ จะ มั พนั ธก์ บั าลเจา้ ของแตล่ ะกลมุ่ ภา าด้ ย อยา่ งไรกด็ ใี นเ ลาตอ่ มาแบง่ แยก
ดงั กล่า ค่อย ๆ ายไป
4. สรปุ
ผลจากการ ึก างาน ิลปกรรมและจารึกต่าง ๆ ใน าลเจ้า อดคล้องกับข้อมูลที่ได้จากการ
ัมภา ณค์ นในชมุ ชนเกย่ี กบั ชา จนี อพยพในทา่ ฉลอม ซงึ่ มี 2 กลุ่ม ลัก คอื ชา จนี แต้จ๋ิ และชา จนี
ไ ล�า ลักฐานงาน ิลปกรรมท่ีเ ลืออยู่ ามารถ ะท้อนใ ้เ ็นถึงอัตลัก ณ์ของกลุ่มภา าได้ อาทิ
การนับถือเทพเจ้าเปิ่นโถ กงในฐานะเทพประธานของ าลเจ้าเป็นเอกลัก ณ์เฉพาะของชา จีนแต้จิ๋
่ นการนับถือเทพเจ้า ุยเ ่ยเซิ่งเ นียงแพร่ ลายในกลุ่มชา จีนไ ล�า รูปแบบองค์ประกอบ
ถาปัตยกรรมบาง ่ นของโรงเจเช็งเฮียงตั๊ ท่ียังเป็นของด้ังเดิม แ ดงใ ้เ ็นถึงร นิยมของชา จีนแต้จิ๋
เปน็ ตน้
นอกจากนี้ ากพจิ ารณา ลกั ฐานจารึกและท่ตี ั้งของ าลเจา้ แต่ละกลุ่มภา าจีน จะพบประเด็น
ที่น่า นใจอีกประการ น่ึงคือ ชา จีนแต้จ๋ิ เข้ามาตั้งถิ่นฐานในท่าฉลอมก่อน ่ นการตั้งถ่ินฐานของ
ชา จนี ไ ลา� อาจเกดิ ขน้ึ ในภาย ลงั อกี ทง้ั การ รา้ ง าลเจา้ ทแ่ี บง่ ตามกลมุ่ ภา าอยา่ งชดั เจนแ ดงใ เ้ น็ า่
อาจมกี ารตง้ั ชมุ ชนแยกกนั ระ า่ งชา จนี ทง้ั องกลมุ่ ภา าด้ ย แตต่ อ่ มาเมอ่ื เ ลาผา่ นไปและมกี าร ลอมร ม
ทาง ฒั นธรรม การแบง่ แยกดงั กลา่ จงึ คอ่ ย ๆ ายไป
41
นงั อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนือ่ งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บรรณานุกรม
เอก ารภา าไทย
ด� รงพล ินทร์จนทร์, บรรณ ธิก ร. (2561). ย้อนรอยท่าฉลอม: เ ้นทาง ิถีชี ิตชุมชนประมงลุ่ม
แม่น้�าทา่ จีน. กรงุ เทพ : โรงพมิ พแ์ ่งจุ ลงกรณ์ม ิทย ลย.
รายงานการ �าร จ ึก าแ ล่ง ิลปกรรมเมือง มุทร าคร: ท่าฉลอม ท่าจีน ม าชัย. (2561)
โครงก ร กึ ข้ มลู เชงิ ปร ติ ตร์ แล ลิ ป ฒนธรรม ชมุ ชนท่ ฉล มแล ริมฝ่งั ม ชย
จง ด มุทร คร. (เ ก ร ด � เน )
กนิ เน ร,์ จ.ี ลิ เลยี ม. (2548). งั คมจนี ในไทย. แปลโดย ช ญ ทิ ย์ เก ตร ริ แิ ล คณ . กรงุ เทพ : มลู นธิ โิ ตโยต้ .
รุ ทิ ธ์ิ มร ณชิ กด.ิ์ (2556) “ปนุ เถ้ กง: เทพ “เจ้ ท”ี่ จนี ใน งคมไทย.” ร ยง นก ร จิ ยทนุ ดุ นนุ
จิ ยจ ก นู ยจ์ นี ึก ถ บนเ เชยี ต น ก ึก ม ทิ ย ลยธรรม ตร์.
แ ง รุณ กนกพง ์ชย. (2547) บบ่ ๊ัดบย่ ้งก้ง ัฒนธรรมไทยจนี : ไมร่ ้ตู อ้ งแ ง. กรุงเทพ : ดี .
ชริ ชญ์ ไชยพจนพ์ นชิ . (2559) “ ถ ปตั ยกรรม ลเจ้ จนี ท้ นภ พช จนี ใน งคม มยรตนโก นิ ทร.์ ”
ร ยง นก ร จิ ย ก งทุน ิจยแล ร้ ง รรค์ คณ โบร ณคดี ม ทิ ย ลย ิลป กร.
________. (2561ก). “เทพเจ้ ใน ลเจ้ จนี กรงุ เทพม นคร: รปู แบบ คตกิ ร ร้ ง แล ค ม มพนธ์
กบชมุ ชนช จีน.” ร ยง นก ร ิจย ถ บน ิจยแล พฒน ม ิทย ลย ิลป กร โครงก ร
ิจยงบปร ม ณแผน่ ดิน.
________. (2561ข). าลเจา้ จนี ในกรงุ เทพ. กรงุ เทพ : มติชน.
เอก ารภา าจนี (เรียงลา� ดับตามการถอดเ ียงภา าไทย)
จงก๋ ไ ่ ยงเ ิน ่ เ ่ย ย น ุ่ย. 中国海洋文化 委员会. (2016). จงกั๋ ไ ่ ยังเ ินฮ ่า:
ไ ่ นานเจ ้ียน. 中国海洋文化 海南卷 . เป่ยจิง 北京 ไ ่ ยงชปู ่ น 海洋出版 ( ฒนธรรม
ท งท เลข งจนี : ฉบบมณฑลไ ่ น น)
ฉื ไ ่เปียนจี๋เ ่ย ย น ุ้ย. 辞海编辑委员会.(1989).ฉือไ ่. 辞海 . จงจ้ น 中卷. ซ่ งไ ่ 上海
ซ่ งไ ฉ่ ื ซูชปู ่ นเซ่ 上海辞书出版社 (พจน นกุ รมท เล พท์)
ลเ่ี ทยี นซ.ี 李天锡. (2009). “ ม่ ไ ลซยี ่ เ ยนิ ม จซู่ ่นิ ยง่ คยุ ทน่ .” 马来西亚华侨 华人妈祖
信仰窥探 .ปาก า้ เฉยี คาน. 八卦桥刊 1: 65-69 (บท เิ คร ค์ มเชื่ เจ้ แม่ม จ่ใู น
กลมุ่ ช จนี โพน้ ท เลในม เลเซีย)
42
งจื้อเจี้ยน และเ ยียนเกินฉี. 黄志健 阎根齐. (2013). เ วินชางซ่ือเ วินอู้จื้อ. 文昌
市文物志 . ไ โข่ 海口 ไ ่ นานชูป่านเซ่อ 海南出版 社 (บนั ทกึ แ ง่ จงั ดั เ นิ ชงั )
เ นิ ซอ่ื เ ยี ง และจปู งิ เ ยยี น. 文士祥 朱兵艳. (2015). “ไ ่ นานไ ่ ยงั มนิ เู นิ ฮ า่ เจอ๋ จา่ ยฉอื ฟาน
อช้ี อู .้ี ” 海南海洋民俗文化负载词翻译刍议 . 2015 ไ ่ นานเ ง่ิ ฟานอเ้ี ยี ยุ้ เ ยยี นเถา่
ยุ้ ลนุ่ เ วนิ จ.๋ี 2015 海南省翻译协会研讨会论文集 เขา้ ถงึ เมอ่ื 5 มนี าคม 2019. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก
http://kns.cnki.net/kns/detail/detail.aspx?FileName=HNFY201510001011&Db
Name=CPFD2016. (แน โน้มการแปลค ามเก่ีย กับ ฒั นธรรมพืน้ ถนิ่ ทางทะเลของไ ่ นาน)
มั ภา ณ์
ชัช าล รัตนพุทธา าคร. (2561). ผดู้ แู ล าลเจ้าปุนเถ้ากง ตา� บลท่าฉลอม. มั ภา ณ,์ 10 พฤ จิกายน.
บัญญตั ิ ไชย ทิ ธิ์. (2562). ชา ตา� บลท่าฉลอม. ัมภา ณ์, 9 พฤ ภาคม.
ผดู้ แู ลโรงเจเชง็ เฮยี งต๊ั ต�าบลท่าฉลอม. (2561). มั ภา ณ์, 10 พฤ จิกายน.
พรจิตร รอ้ ยเพ็ชร (จู แซโ่ ง้ ). (2562). ชา ตา� บลท่าฉลอม. มั ภา ณ์, 23 กมุ ภาพนั ธ์.
เว็บไซต์
Google Map (n.d.). ตา� บลทา่ ฉลอม. เขา้ ถงึ เมอื่ นั ท่ี 5 งิ าคม 2562. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก https://goo.gl/
maps/Zy5yD4i3t5VbGqAL7.
43
นงั อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เน่ืองในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
44
การต้งั ถนิ่ ฐานของชา จีน และปฏิ ัมพนั ธร์ ะ ่างเครอื ญาติ
กรณี ึก าชมุ ชนทา่ ฉลอม ชุมชนท่าจนี จัง ดั มทุ ร าคร*
The Chinese Settlement and the relationship
between relatives case study:
Tha Chalom Community and
Tha Chin community, Samutsakhon
ศศธิ ร ศลิ ปว์ ุฒยา**
Sasithorn Sinvuttaya
* บทค ามชน้ิ นเ้ี ปน็ ่ น นง่ึ ของชดุ โครงการ จิ ยั เรอ่ื งโครงการ กึ าประ ตั ิ า ตรแ์ ละ ฒั นธรรมชมุ ชนทา่ ฉลอม
และรมิ ฝง่ั ม าชยั เพอ่ื การอนรุ กั แ์ ละ ง่ เ รมิ การทอ่ งเทยี่ ในจงั ดั มทุ ร าคร ทไ่ี ดร้ บั ทนุ นบั นนุ จาก า� นกั งานกองทนุ
นบั นุนการ ิจัย ปีพ. . 2562
** อาจารยป์ ระจ�าภาค ิชามานุ ย ิทยา คณะโบราณคดี ม า ิทยาลยั ลิ ปากร
45
นงั ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เนอ่ื งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทคัดย่อ
บทค ามชน้ิ น้ตี อ้ งการน�าเ นอประเด็นการตัง้ ถิ่นฐานของชา จนี และปฎิ มั พนั ธร์ ะ ่างเครือ
ญาติ กรณี กึ าชมุ ชนทา่ ฉลอม ชมุ ชนทา่ จนี จงั ดั มทุ ร าคร โดยชมุ ชนดงั กลา่ ประกอบด้ ยชา จนี
ที่เข้ามาตั้งถ่ินฐานเป็นจ�าน นมาก จนถูกขนานนาม ่าเป็น มู่บ้านท่าจีน ในบริเ ณดังกล่า เป็นแ ล่ง
นู ย์กลางทางการคา้ ท่มี ขี นาดใ ญ่ เนื่องจากมเี รอื จากจนี จอดเทียบทา่ เพือ่ ขนถา่ ย นิ ค้าและค้าขาย
จากลัก ณะดังกล่า ท�าใ ้เ ็นค าม ัมพันธ์เร่ืองระบบเ ร ฐกิจชุมชน ่าเป็นจุดเชื่อมโยง
การค้าขายจากเมือง ู่ชานเมือง และจากนอกประเท ู่ในประเท การพัฒนาดังกล่า ่งผลใ ้เกิด
การเชอื่ มโยงคนกลมุ่ ตา่ ง ๆ เขา้ ด้ ยกนั โดยเฉพาะชา จนี ทยี่ า้ ยถน่ิ ฐานเขา้ มาผ มผ านกบั กลมุ่ ไทยดงั้ เดมิ
ในพน้ื ท่ี และเกดิ เปน็ กล่มุ ชมุ ชนคนจนี ทมี่ ีบทบาท า� คญั ต่อระบบเ ร ฐกิจของพน้ื ท่ีชายฝง่ั อา่ ไทย
นอกจากน้ันแบบแผนทางเ ร ฐกิจยัง ่งผลต่อรูปแบบทาง ัฒนธรรมของท่าฉลอมด้ ย
เช่นเดีย กัน เน่ืองจากเครือข่ายทางการค้า ่งผลใ ้เกิดการผ มผ านทาง ัฒนธรรมระ ่างคนไทยและ
คนจีนทอ่ี พยพเขา้ มา ทั้งในเรอ่ื งค ามเชอ่ื เชน่ การปรากฏอยขู่ อง าลเจ้า และ ิถชี ี ิตค ามเป็นอยู่ เช่น
ประเพณพี ธิ กี รรม ฒั นธรรมอา าร ฯลฯ ดงั จะเ น็ ไดจ้ ากระบบเครอื ญาติทป่ี รากฏอยใู่ นชมุ ชนทา่ ฉลอม
มที ง้ั การผ มผ านจากการ มร ระ า่ งเชอื้ ชาตไิ ทย เชอ้ื ชาตจิ นี และระ า่ งตระกลู แซต่ า่ ง ๆ เขา้ ด้ ยกนั
จนแ ดงใ ้เ น็ ถึงอัตลกั ณ์ของชุมชนท่าฉลอมในปัจจุบนั
คา� สา� คญั : ชมุ ชนทา่ ฉลอม, ชมุ ชนทา่ จีน, การตัง้ ถน่ิ ฐาน, ระบบเครือญาติ
46
Abstract
The Article present the Chinese settlement and the relationship between relatives
in case study of Tha Chalom Community and Tha Chin community, Samutsakhon.
According to among of Chinese settlement, to be named as Moo Ban Tha Chin. In Tha Chin
area is the commercial centre due to the Chinese ship that stop by to load, unload and
sell the goods.
As can be seen that economy community is the connection point from city to
suburb and outside the country into the country. From this development is connected
the local and new comer together to be an important Thai-Chinese economy community
in Thai Gulf coast area.
Addition, economic pattern would also change the Tha Chalom culture pattern.
Thai and Chinese culture is blended, for example belief, existence of shrine and life style,
ritual traditions and food, due to the trade network. As can be seen from the relatives
in Tha Chalom area that marriage between Thai-Chinese and Chinese-Chinese that showed
the recently Tha Chalom’s identity.
Keywords: Tha Chalom Community, Tha Chin Community, The Settlement and The
Relatives.
47
นัง ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เน่ืองในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
สมุทรสาคร : ภูมิศาสตร์ และการตงั้ ถนิ่ ฐานของชมุ ชน
การ ึก าเรื่อง มุทร าครปรากฏใ ้เ ็นทั้งการ ึก าในเชิงกายภาพ ัณฐาน ิทยาของ
ง่ิ แ ดล้อมในจัง ัด มทุ ร าคร และการ กึ าชุมชน ผู้คน ประเพณี และ ัฒนธรรม เนอื่ งจากพน้ื ทขี่ อง
จงั ดั มทุ ร าครมคี ามเกา่ แกด่ งั้ เดมิ ในแงข่ องประ ตั ิ า ตร์ และพล ตั การเปลยี่ นแปลงในมติ ขิ องเมอื ง
อุต า กรรมในปัจจุบัน ดังเช่นท่ี ุจิตต์ ง ์เท (2561: 1-2) อธิบาย ่า พื้นที่ องฟากแม่น�้าท่าจีน
เปน็ ่ น นงึ่ ของลมุ่ แมน่ า้� ทา่ จนี -แมก่ ลอง ซง่ึ อยฟู่ ากตะ นั ตกของแมน่ า�้ เจา้ พระยา ไดช้ อื่ มาจากชมุ ชนเกา่
แกช่ อ่ื า่ บา้ นทา่ จนี ฝง่ั ทา่ ฉลอม มแี ผนทชี่ า ยโุ รป มยั มเดจ็ พระนารายณ์ ระบชุ อ่ื แมน่ า้� ทา่ จนี รา 500 ปี
มาแล้ แ ดงถึงค ามเก่าแกข่ องชมุ ชนท่มี มี ากอ่ น นา้
ภาพที่ 1 แผนที่บ้านทา่ จีน มัยอยุธยา
(ทีม่ า: เท บาลนคร มทุ ร าคร, 2561)
ใน มยั พระนารายณม์ าราช มกี ารบนั ทกึ ถงึ เมอื งทา่ จนี ในจด มายเ ตขุ องมองซเิ ออร์ เซเบเรต์
เอกอคั ราชทูตฝรงั่ เ จากอยธุ ยาไปเมืองมะรดิ เม่ือ ันที่ 17 ถงึ 18 ธัน าคม พ. . 2230 เปน็ บันทึกที่ลง
นั เดอื นปอี ยา่ งละเอยี ดดมี าก เอกอคั รราชทตู ทา่ นนม้ี าเจรญิ พระราชไมตรกี บั มเดจ็ พระนารายณม์ าราช
เมอ่ื ปี พ. . 2230-2231 โดยเขา้ มากบั ลาลแู บร์ แตม่ องซเิ ออร์ เซเบเรต์ กลบั ไปกอ่ นโดยลงเรอื จากอยธุ ยา
มาบางกอก คลองด่าน ผ่านท่าจีนไปแม่กลองและเพชรบุรี จากน้ันเดินทางบอกผ่านปราณบุรี กุยบุรี
เมืองแคลง ถงึ ตะนา รี โดย ารเรอื กา� ปั่นฝรง่ั เ
“เมอื งทา่ จนี เปน็ เมอื งใ ญไ่ กลจากบางกอก นทางประมาณ 8 ไมล์ และเปน็ เมอื งทขี่ น้ึ กบั เมอื ง
ราชบุรีตั้งอยู่ริมล�าน้�าซ่ึงเป็นแม่น�้าท่ีงามน่าดูมาก แม่น้�าน้ีเป็นแม่น้�าลึกเรือขนาดมีระ างเพียง 100 ตัน
ข้ึนล่องได้ ะด กเ ลาที่ข้าพเจ้าได้ไปถึงท่าจีนน้ัน ก็มีเรือ �าเภาจีนขนาด 100 ตัน และเรือแขกมาลายู
จอดอยู่ในแม่นา�้ ลายล�า” (เท บาลนคร มทุ ร าคร, 2552)
48
การเดินทาง ัญจรของผู้คนท�าใ ้แม่น้�าท่าจีนกลายเป็นเ ้นทางคมนาคมท่ี �าคัญของเมือง
เน่ืองจากเป็นแม่น�้าท่ีบรรจบไปด้ ยคลองท่ี �าคัญ ลาก ลายเ ้นทาง ดังปรากฏ ลักฐาน ่าได้มกี ารขุด
คลองข้นึ ลายเ น้ ทาง เพ่ือ ัญจรตง้ั แต่ใน มยั อยุธยา คลองท่ี า� คญั ได้แก่ คลองดา่ น เป็นคลองที่เชือ่ ม
ระ ่างแมน่ �้าเจ้าพระยา ายเก่าลงไปทางทิ ตะ นั ตกเฉียงใต้ ูแ่ มน่ า้� ท่าจีนท่ีจงั ดั มทุ ร าคร โดยผา่ น
ลงทางแข งบางออ้ แข งบางขนุ เทยี น แข งจอมทอง แข งบางมด แข งทา่ ขา้ ม และแข งแ มดา� ในทอ้ งที่
เขตบางขุนเทยี น กรุงเทพม านคร แล้ ตอ่ เนื่องกับคลองม าชัยเขา้ ไปในเขตเมอื งของจัง ดั มุทร าคร
เ ้นทางนี้เป็นเ น้ ทาง า� คัญในการเดินทาง ัญจรไปมาระ ่างอยุธยากับพ้ืนทชี่ ายทะเล ไปยัง
บ้านเมืองท่ีอยู่ทางใต้กับทางตะ ันตกมาตั้งแต่ มัยกรุง รีอยุธยา รือก่อน น้าน้ัน เพื่อประโยชน์ใน
ทางการเมืองและเ ร ฐกิจ ซ่ึง ุจิตต์ ง ์เท (2539) ได้อธิบายไ ้ใน นัง ือเร่ืองแม่น้�าล�าคลอง
ายประ ตั ิ า ตร์ ่า เ น้ ทางนเี้ ป็นคลองทชี่ ่ ยในการขน ่ง ินคา้ อยา่ งน้อยจาก 4 ั เมือง คอื าครบุรี
จากลมุ่ แมน่ า�้ ทา่ จนี เมอื งเพชรบรุ จี ากลมุ่ แมน่ า้� เพชรบรุ ี เมอื ง มทุ ร งครามและเมอื งราชบรุ จี ากลมุ่ แมน่ า้�
แมก่ ลองล�าเลียง ู่พระนคร รีอยธุ ยา
อย่างไรก็ตามชื่อเมอื งเกา่ แกข่ อง าครบรุ ใี น มยั ที่ยังเป็น มู่บ้านน้ัน เรยี กกนั ่า “บ้านท่าจีน”
ซ่ึงมี ัดใ ญ่จอมปรา าทเป็น ูนย์กลาง มู่บ้าน ท�าเลท่ีต้ัง มู่บ้านน้ีเ มาะ มมากในการเป็นจุดขนถ่าย
ินค้า เพ่ือล�าเลยี งไปยงั มบู่ า้ นอน่ื ๆ ตามคลอง นุ ขั อน และแมน่ ้า� ทา่ จนี การท่ี มบู่ า้ นน้ไี ดช้ อื่ า่ ท่าจีน
ยอ่ มแ ดงใ เ้ น็ า่ เปน็ มบู่ า้ นทเี่ กดิ ขนึ้ จากการร มตั ของชา จนี โพน้ ทะเล เพอ่ื ค บคมุ เ น้ ทางกระจาย
นิ คา้ ของลมุ่ แมน่ า�้ ทา่ จนี และพน้ื ทโ่ี ดยรอบ ตอ่ มาเมอื่ มกี ารขดุ คลองม าชยั ซงึ่ เปน็ คลองเชอ่ื มตอ่ ระ า่ ง
แมน่ า้� ทา่ จนี กบั แมน่ า�้ เจา้ พระยา ทา� ใ เ้ กดิ เ น้ ทางการคา้ ใ ม่ ทา� เลค บคมุ เ น้ ทางการใ มจ่ งึ ถกู ยา้ ยจาก
“บา้ นท่าจีน” มาอยูท่ ี่ “ทา่ ฉลอม” ซึง่ อยู่ า่ งออกมาประมาณ 4 กโิ ลเมตร จนปัจจบุ นั (นฤพนธ์ ด้ ง ิเ
และคณะ, 2561: 68-71)
โดยในงาน ิจัยเชิงประ ัติ า ตร์ชุมชนเรื่อง าครบุรีจาก ิถีชา บ้าน การเปล่ียนผ่าน ิถีชี ิต
ท้องถนิ่ ในลุม่ นา�้ ทา่ จีน จงั ัด มทุ ร าคร ได้ระบุ ่าบริเ ณฝ่งั ท่าฉลอมเป็นแ ล่งจอดเรือและจุดขนถ่าย
ินค้า เนื่องจากน�้าไม่เชี่ย ชา จีนจึงเข้ามาต้ังถิ่นฐานกันมาก โดยมี าลเจ้ากลางเป็น าลเจ้าของชุมชน
และเมอ่ื ชุมชนขยายตั กเ็ กดิ าลเจ้าขนึ้ อกี แ ่ง นึง่ คอื าลเจ้าปนุ เถา้ กง ชา จนี เรียกชุมชนของตนเอง
า่ “เล็งเกย๋ี ฉ”ู่ แต่คนไทยเรยี กตามค ามคบั คง่ั ของเรอื ขนถา่ ย นิ ค้า า่ บ้านทา่ ฉลอม
จากลัก ณะทางกายภาพดังกล่า จึงท�าใ ้บริเ ณชุมชนบ้านท่าจีนและท่าฉลอม จัง ัด
มทุ ร าคร มกี ารตง้ั ถนิ่ ฐานในลกั ณะของชมุ ชนรมิ ชายทะเล และรมิ นา้� เกา่ แกม่ าแตเ่ ดมิ โดยบรเิ ณชมุ ชน
ดังกลา่ ยังเปน็ จุดเช่อื มโยงการค้าขายจากพระนคร ูช่ านเมืองนัน่ เอง
49
นงั อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวิชาการ เนือ่ งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
สาครบุรี : การค้า และระบบเศรษฐกิจ
งานการ ึก าเร่อื งชุมชนและผูค้ นทต่ี งั้ ถิ่นฐานอยูใ่ นบรเิ ณพ้ืนท่ี มทุ ร าคร รอื ที่เดิมเรยี กกนั
่าเมือง าครบุรี ถือเป็นองค์ค ามรู้ �าคัญอีกประการ นึ่งที่ท�าใ ้เ ็นภาพค ามเป็นอยู่ของผู้คน ชุมชน
งั คมและ ฒั นธรรม โดยในงานของเณรกลนั่ ทแี่ ตง่ ขนึ้ ครา ตดิ ตามพระภกิ ุ นุ ทรภไู่ ปนมั การพระแทน่
ดงรัง เมอ่ื เดือน 4 ปมี ะเ ็ง พ. . 2376 ไดก้ ลา่ พรรณนาในนริ า เมอื่ ผ่านคลอง นุ ขั อน า่ “ทง้ั พ งแพ
แซ่ซ้อนเจ๊กมอญไทย” และด้ ยค าม นาแน่นของเรือที่ผ่านคลองท�าใ ้เกิดการติดขัดกระทบกันจน
กระทง่ั …
“ ลีกเรอื ฝาง างเรอื เกลอื ติดเรอื ฟืน โกรธคนอืน่ อื้ออึงข้ึนมึงกู
เขมรดา่ า่ มะจยุ ไอ้ตยุ นา ลา ่าปา แิ มบ่ แพ่ ู
พ กเจก๊ ด่า ่าปิ นังติกงั พู เ ยี งมอญขู่ตะคอกตอกขะมิ
ด้ ยมากมาย ลายอย่างมาทางน้ัน เรือน้�ามนั มากพลูกงุ้ ปกู ะปิ”
(กรม ลิ ปากร, 2543)
จากโคลงข้างต้นนอกจากจะแ ดงใ ้เ ็นถึงผู้คนท่ี ลาก ลายท้ังจีน เขมร ลา และมอญ
ในบรเิ ณ มทุ ร าครแล้ นน้ั ในโคลงนริ า ยังแ ดงใ ้เ ็นถงึ การพรรณนา ภาพค ามเปน็ อย่ขู องชุมชน
พนื้ ที่ าครบรุ มี าตงั้ แตอ่ ดตี ทม่ี กี ารคา้ ขาย และมผี ลผลติ ทเี่ ปน็ ผลติ ภณั ฑจ์ ากทะเล ซงึ่ นา่ จะเปน็ ภาพ ะทอ้ น
ของการเปน็ พ้ืนทีท่ ี่รา่� ร ยค าม ลาก ลายของผูค้ น และการค้าขายของชา บ้านในอดีต
จากปจั จยั เงอื่ นไขของการเปน็ เ น้ ทางลา� เลยี ง นิ คา้ ดงั กลา่ ทา� ใ ต้ ลอดเ น้ ทางทางนา้� ปรากฏ
ชมุ ชนตงั้ ถน่ิ ฐานอยมู่ ากมาย โดยเฉพาะชมุ ชนชา จนี ในการ กึ าของ Skinner (1956, อา้ งถงึ ใน ประพณิ
มโนมยั บิ ลู ย,์ 2554) ใ ข้ อ้ มลู เกยี่ กบั การตง้ั ถน่ิ ฐานของชา จนี รอบอา่ ไทยในช่ ง มยั อยธุ ยารา คริ ต์
ต รร ที่ 17 า่ เดนิ ทางเขา้ เพอื่ คา้ ขายกบั อยธุ ยาโดยทางทะเล ซง่ึ เปน็ ช่ งเ ลาทจี่ นี ปกครองโดยราช ง ์ มงิ
ช่ งเ ลานน้ั จนี มีค ามก้า น้าในการ า� ร จทะเล และการ ง่ กองเรอื ไปยงั ดนิ แดนตา่ ง ๆ ชา จีนที่อา ัย
บริเ ณชายฝั่งทะเลตะ ันออกเฉียงใต้ของแผ่นดินใ ญ่ได้แล่นเรืออพยพไปอา ัยอยู่แถบเอเชียอาคเนย์
ชา จนี ทอี่ พยพไปอยตู่ า่ งประเท ในช่ งนจี้ ะถกู เรยี ก า่ “ ลิ ย”ี (ต้ น ลี่ เซงิ และบญุ ยง่ิ ไร่ ขุ ริ ,ิ 2543:
10-11) ชมุ ชนรอบอา่ ยามถอื เปน็ ชมุ ชนจนี ท่ี นาแนน่ ที่ ดุ โดยเฉพาะชมุ ชนบา้ นทา่ จนี (บรเิ ณ ดั ใ ญ่
จอมปรา าท) เป็นพ้ืนที่ท่าเรือ �าเภาท่ีชา จีนแล่นมาจอดเพื่อน�า ินค้ามาค้าขายกับชา ยาม (อยุธยา)
ชา จีนโพน้ ทะเล รือ “จนี นอก” ท่ีต้ังถิ่นฐานในบริเ ณนี้เป็นพ กแตจ้ ๋ิ เข้ามาตง้ั เปน็ ชมุ ชนขนาดใ ญ่
ซึ่ง มัย มเด็จพระม าจักรพรรดิได้จัดต้ังใ ้บ้านท่าจีนเป็น ั เมืองในปี พ. . 2091 โดยเรียกช่ือใ ม่ ่า
“ าครบรุ ี” เจ้าเมืองทา่ จีนมบี รรดา กั ดิเ์ ปน็ พระ มทุ ร าคร ดแู ล ั เมืองฝ่ายใต้ ั เมอื งทา่ น้ี กลายเป็น
ที่ระดมพล �า รบั รู้ บกับพม่า เป็นเมอื ง นา้ ด่านป้องกนั ัตรู นบั ตั้งแต่น้นั มา าครบรุ ีก็เป็น ั เมอื งใ ญ่
ที่มีค าม �าคัญทางการเมืองและเ ร ฐกจิ
50
เมืองท่าจีน มัยอยุธยาเป็นชุมชนค้าขาย ่ นใ ญ่เป็นผู้ชายจีนท่ีใช้ชี ิตอิ ระไม่ต้องเกณฑ์
แรงงานรบั ใชเ้ จา้ นาย ยามเ มอื นกบั ไพรช่ า ไทยและชา มอญ (ธ ชั ชยั องค์ ฒุ เิ ทย์ และ ไิ ลรตั น์ ยงั รอด,
2556) ชา จนี เ ลา่ นแ้ี ตง่ งานและใชช้ ี ติ อยกู่ บั ผู้ ญงิ ยามในชมุ ชนทอ้ งถนิ่ เงอ่ื นไขนท้ี า� ใ ช้ า จนี ามารถ
ทา� งานคา้ ขาย นิ คา้ ทผี่ ลติ ในบา้ นทา่ จนี ไดแ้ ก่ เกลอื กะปิ ปลาแ ง้ ปลาเคม็ ร มถงึ เปน็ นายอากรเกบ็ ภา ี
เปน็ ลกู เรอื และนาย า� เภาในการ ง่ นิ คา้ ไปขายยงั ประเท จนี และนา� นิ คา้ จนี มาขายใน ยาม ผปู้ กครอง
อยุธยาใ ้ชา จีนดูแลปกครองกันเอง โดยแรงงานชา จีนนี้จะอยู่ภายใต้การค บคุมของกรมเจ้าท่าซ้าย
ังกัดกรมพระคลัง ซึ่งมีต�าแ น่งเป็นโชฎึกราชเ ร ฐี ท�า น้าที่ดูแลกิจการของชา ต่างประเท ที่อยู่
ฝง่ั ซา้ ยของอา่ ไทย (จนี และญ น) อาจกลา่ ได้ า่ ภายใตร้ ะบบ กั ดนิ า ชา จนี มคี าม า� คญั ทางเ ร ฐกจิ
และการค้าต่างประเท เป็นอย่างมาก ร มถงึ การถูกเกณฑ์เป็นแรงงานขุดคคู ลองต่าง ๆ
การค้าเป็นปจั จัย น่งึ ทกี่ ่อใ ้เกดิ รายได้อยา่ งม า าลมาต้งั แต่ มยั กรงุ รอี ยุธยา เพราะปัจจัย
ที่ต้ังของพระนคร รีอยุธยาและค ามอุดม มบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติเป็น ิ่งที่ดึงดูดใ ้บรรดาลูกค้า
ต่างเมืองเดินทางเข้ามาค้าขายกับอยุธยา จึงต้องมีเ ้นทางขนถ่ายล�าเลียง ินค้าจากฝั่งตะ ันตกของ
ราชอาณาจกั รเขา้ มายงั อยธุ ยาโดยใชเ้ น้ ทางภายในอาณาจกั รคอื แมน่ า�้ าย ลกั และลา� คลอง าขาตา่ ง ๆ
ท่ี า� คญั คอื แมน่ า�้ แมก่ ลอง แมน่ า้� ทา่ จนี และแมน่ า้� เจา้ พระยา แมน่ า�้ ทง้ั าม ายนเี้ ชอ่ื มประ านเขา้ ด้ ยกนั
โดยระบบคลองภายในภมู ภิ าค ซง่ึ เปน็ เ น้ ทางเดนิ ทางแตอ่ ดตี นนั่ คอื คลองดา่ น คลอง นามชยั คลองโคกขาม
(นฤพนธ์ ด้ ง เิ และคณะ, 2561: 3-8)
จากการ ึก าเบื้องต้นจะท�าใ ้เ ็นถึงพัฒนาการทางประ ัติ า ตร์ ่า เมืองท่าจีนเป็นเมือง
ทม่ี มี าตง้ั แต่ มยั กรงุ รอี ยธุ ยา โดยเปน็ พนื้ ที่ า� คญั ทเ่ี ปน็ เมอื ง นา้ ดา่ นทางการคา้ และเปน็ ชมุ ชนทป่ี ระกอบ
ไปด้ ยกลุ่มคนไทยคนจีน มอญ เขมร และลา ผ มผ านกัน และเข้ามาประกอบอาชีพที่เก่ีย ข้องกับ
การคา้ และประมงเปน็ ลัก
การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรก์ ารตัง้ ถิน่ ฐานของชาวจีนในทา่ ฉลอม
จากงานการ กึ าเรอื่ ง ชมุ ชนจนี ในประเท ไทย : ลาก ลาย า� เนยี งจนี ของประพณิ มโนมยั บิ ลู ย์
(2554) พบ ่าชุมชนจีนท่ีเข้ามาต้ังถิ่นฐานในประเท ไทย ามารถจ�าแนกได้ตามกลุ่มภา าเป็น 5 กลุ่ม
คอื กลมุ่ ทพี่ ดู า� เนยี งภา าจนี แตจ้ ๋ิ ฮกเกยี้ น แคะ ก างตงุ้ และไ ลา� ใน 5 กลมุ่ นี้ กลมุ่ ทเี่ ดนิ ทางเขา้ มา
ระยะแรกใน มยั อยุธยาคอื ชา จนี ฮกเก้ียนและก างตุ้ง แต่ ลังจาก มยั เ ยี กรุง รีอยุธยา (พ. . 2310)
จนถึง มัยรัตนโก ินทร์ตอนต้น ชา จีนแต้จิ๋ ได้อพยพเข้ามาเป็นจ�าน นมาก จนเป็นกลุ่มท่ีใ ญ่ท่ี ุด
ในกรงุ เทพฯ และแถบทร่ี าบลมุ่ ภาคกลาง ตามมาด้ ยชา ตามด้ ยชา จนี ไ ลา� และชา จนี แคะ (Skinner,
1956, อ้างถึงในประพิณ มโนมัย บิ ลู ย์, 2554: 541)
จากท่ีกล่า มาข้างตันจะเ ็นได้ ่าชา จีนที่อพยพเข้ามาอยู่ในเมืองไทยมีรากทางประ ัติ า ตร์
มาอยา่ งยา นาน และมกี ลมุ่ กอ้ นเครอื ขา่ ยท่ี ลาก ลาย นาแนน่ โดยเฉพาะบรเิ ณพน้ื ทร่ี าบลมุ่ ภาคกลาง
ซง่ึ นับเป็นพน้ื ท่ี น่งึ ในจัง ดั มทุ ร าคร โดยเฉพาะบริเ ณทตี่ งั้ ของ ม่บู า้ น “ท่าจีน” ถอื เป็นกลุม่ ชุมชน
ท่ีปรากฏการตั้งถ่ินฐานของชา จนี อยา่ ง นาแน่น
51
นัง อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวิชาการ เนอื่ งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
โดยจากค�าบอกเลา่ ของคุณบุ ะมัย พบ ่า ทา่ ฉลอม รอื ทา่ จนี ในช่ ง ร. . 124 มคี ามคึกคัก
เป็นอยา่ งมาก ท้ังเร่ืองของทา� เลทอ่ี ุดม มบรู ณไ์ ปด้ ยการประกอบอาชพี ประมง ทา� โปะ๊ ดองปลา ท�ากะปิ
กนั อยอู่ ยา่ งแออดั ยงั มตี ลาดทอ้ งนา้� ตอนเชา้ มตี ลาด ดบนบก มบี อ่ นเบยี้ เลน่ ถั่ โป มโี รงฝน่ิ โรงเ ลา้ ตลอด
จนโรงคนชั่ และ ิกลเิ กครกึ คร้นื กัน นกั นา โดยตอนนัน้ มคี ณุ ตา รั่ง ตจู้ นิ ดา คือ ขุนประเท ภักดี เป็น
กา� นนั อยยู่ า่ นกลาง มตู่ ลาดเดมิ ่ นทางกลมุ่ ยา่ นตลาดทเ่ี ลอ่ื นไปเกดิ ขน้ึ ใ มใ่ น มทู่ ตี่ อ่ เนอื่ งไปอกี มู่ นง่ึ
ซ่ึงมโี รงบอ่ นเบีย้ ฝ่นิ เ ลา้ มคี ณุ ยี (มีอา� พล) เปน็ ผู้ใ ญบ่ ้านปกครอง และ ม่บู ้านในยา่ นต่อเน่อื งจากกล่มุ
ตลาดถดั ไปทาง ั บ้านอยู่ในการปกครองของคณุ ลุงแดง (มณีรัตน)์ (เท บาลนคร มุทร าคร, 2552: 67)
จากทก่ี ลา่ มาขา้ งตน้ จะเ น็ ได้ า่ ผคู้ นทอ่ี า ยั อยใู่ นทา่ ฉลอมนน้ั นั นิ ฐาน า่ มที ง้ั คนดงั้ เดมิ และ
กลมุ่ คนจนี ทอี่ พยพมากบั เรอื นิ คา้ เพอื่ เขา้ มาทา� การตดิ ตอ่ คา้ ขาย ประกอบอาชพี ประมง และขายแรงงาน
โดยกล่มุ คนทเ่ี ข้ามาตง้ั รกรากอยใู่ นจงั ัด มทุ ร าครนนั้ ามารถแบง่ ได้เปน็ 3 กล่มุ คือ กลมุ่ คนดั้งเดมิ
จีนแตจ้ ๋ิ และจีนไ ลา� โดยท่มี าทไี่ ปของทัง้ คนดั้งเดมิ และคนจีนที่เขา้ มาตัง้ รกรากในพื้นที่มีดังนี้
1. คนไทยดงั้ เดมิ คนดงั้ เดมิ ในพนื้ ทน่ี นั้ นั นิ ฐาน า่ นา่ จะเปน็ คนไทยทอ่ี า ยั อยใู่ นพนื้ ทด่ี งั กลา่
โดยต้งั ถนิ่ ฐานอยบู่ ริเ ณคลอง นุ ัข อน บริเ ณท้องคุ้ง บรเิ ณ ดั โกรกกราก โดยชา ไทยดั้งเดมิ ที่อา ัย
อยใู่ นบรเิ ณน้ี ่ น นึง่ แตง่ งานอยูก่ ินกบั ชา จีนทีเ่ ขา้ มาต้งั รกรากอยู่ตามพื้นท่รี ิมน�้า โดยจากค�าบอกเลา่
ของคุณ ุนีย์ ทับทิมทอง เล่า ่า “เมื่อก่อนแถบน้ีเป็นป่าโกงกาง บ้านท่ีปลูกก็เป็นบ้านช้ันเดีย มีใต้ถุน
พอน้า� เซาะตลิง่ พังกก็ ระเถิบเข้ามาเร่ือยเพราะตอนน้นั ยังไม่มเี ขื่อน (แน กา� แพงกั้นนา�้ ) ่ นที่เ น็ บา้ นข้นึ
เยอะก็เพราะครอบครั มีลูก ลานก็ไม่ไปไ น ก็ ร้างเพ่ิมแต่ใช้บ้านเลขท่ีเดีย กัน บางทีลูก 10 คน
บา้ น 10 ลงั กใ็ ชบ้ ้านเลขท่ีเดีย กนั บางคนยา้ ยไปอย่ขู า้ งนอกแล้ ก็ยงั อ้างอิงบา้ นเลขทต่ี รงน้ีอยู่ คนแถ
นกี้ ร็ จู้ กั กนั มด เปน็ ญาตกิ นั มด พน่ี อ้ งกนั ทงั้ นนั้ คนอนื่ ทเ่ี ขา้ มาอยกู่ ม็ ซี ง่ึ เปน็ ญาตทิ เ่ี กดิ จากการแตง่ งาน”
( นุ ีย์ ทบั ทมิ ทอง, มั ภา ณ์, 28 มกราคม 2562)
2. จนี แตจ้ ว๋ิ ชา จนี กลมุ่ นอี้ า ยั อยใู่ นมณฑลก างตงุ้ เรมิ่ เขา้ มาในประเท ไทยตง้ั แต่ มยั อยธุ ยา
ตอนปลาย เนอ่ื งจาก ภาพทางภมู ิ า ตรไ์ มเ่ ออ้ื อา� น ยตอ่ การทา� การเก ตร ง่ ผลใ ผ้ ลผลติ ทางการเก ตร
ไม่เพียงพอตอ่ ค ามตอ้ งการ ทางการจีนจงึ ออกคา� ัง่ ใ พ้ ่อคา้ ่งเรือ า� เภามาซือ้ ขา้ จาก ยาม โดยแล่น
ผ่านทะเลจนี ใต้ เขา้ มาทางอ่า ไทย และมาขนึ้ ท่ีเมือง มุทร าคร ดังนน้ั แล้ จึงมีกลมุ่ ชา จีนเรมิ่ ตั้งรกราก
อยู่ในประเท ไทยบรเิ ณชายฝัง่ อา่ ไทย
การต้ังถิ่นฐานของชา จีนในชุมชนท่าจีน และท่าฉลอมนี้ชา จีน ่ นมากจะเป็นแต้จิ๋ ที่ถนัด
ดา้ นการค้าขาย ประมง และแรงงาน โดยจากคา� บอกเล่าของคุณภาณุ ทองผา กุ อายุ 87 ปี เลา่ า่ อาชพี
ของคนจนี ทเ่ี ขา้ มาตง้ั ถนิ่ ฐานในทา่ ฉลอมมี ลาก ลาย ทง้ั เปน็ แรงงานรบั จา้ ง ทา� โรง มู ทา� โรงนา้� แขง็ และ
คา้ ขาย
“คณุ ลุงเป็นคนจนี แตจ้ ิ๋ แซล่ ้ี พอ่ เป็นคนจีน แมเ่ ปน็ คนไทยทา่ ฉลอม ทา่ ฉลอม
มยั กอ่ นแตจ้ ิ๋ กเ็ ยอะ ไ ลา� กเ็ ยอะ บรรพบรุ ุ ผมมาจากเมอื งจนี จากเมอื ง นา้ มง้ึ
เด๋ีย นี้เป็นเล่งม้ึง เล่งแปล ่ามังกร เป็นช่ือต�าบล มัยเด็ก ๆ คน ่ นใ ญ่
52
ในทา่ ฉลอมทา� ประมงเปน็ คนไทยกบั จนี ไ ลา� เชอื้ ายจนี แตจ้ วิ๋ ไมค่ อ่ ยทา� ประมง
ตอนพ่อมาท�าค้าขาย ขายเรือ าบเร่ คนจีน ่วนมากท�าคานเรือ ร้านกาแฟ
ขายก๋วยเต๋ียว ขายของกิน แต่เด๋ียวน้ีย้ายไปอยู่กรุงเทพกันเยอะ คนจีนแต้จิ๋ว
ไ ลา� อยกู่ ระจาย ๆ กนั ทา� อาชพี คา้ ขายกบั ทา� ประมง เปน็ เรอื เลก็ ขายทที่ า่ ปลา
ม าชัย เป็นเรือตงั เกมาก่อน แล้วคอ่ ยเปลย่ี นเปน็ เรือลาก”
(ภาณุ ทองผา ุก, มั ภา ณ์, 28 มกราคม 2562)
3. จนี ไ ลา� จากงานของประพณิ มโนมยั บิ ลู ย์ ไดช้ ใี้ เ้ น็ กลมุ่ คนจนี ทเ่ี ขา้ มาตง้ั ถน่ิ ฐานอยใู่ น
บรเิ ณทา่ จีน และกระจายตั กนั ตง้ั ถิ่นฐานอยู่ริมทะเลและชายคลอง ซ่ึงชา จีนไ ล�า ่ นใ ญท่ อ่ี พยพ
ย้ายถิ่นฐานเข้ามามักเลือกประกอบอาชีพเป็นช่างต่อเรือ โดยเรือที่รับต่อน้ันมีท้ังเรือประมง และเรือท่ีใช้
บรรทุก ินค้าขน ่งไปมาระ ่างเมือง �า รับในจัง ัด มุทร าครนั้น ต่างก็เคยมีอู่ต่อเรือซ่ึงเป็นของ
คนจนี ไ ลา� โดยรบั ตอ่ เรอื เพอื่ ใชบ้ รรทกุ นิ คา้ เมอ่ื ครงั้ ทที่ ะเลเปน็ เ น้ ทาง ลกั ในการ ญั จร แตใ่ นภาย ลงั
เมอื่ ไมล้ ดนอ้ ยลง ประกอบกบั การเดนิ ทางทเี่ ปลย่ี นมาใชถ้ นนแทน จงึ ทา� ใ เ้ รอื ไมไ่ ดก้ ลายเปน็ งิ่ ของจา� เปน็
า� รับทุกคน โรงเลือ่ ยและอูต่ ่อเรอื จึงไดท้ ยอยปดิ ตั ลงไปในปัจจุบัน
“ต�าบลท่าจีน มีคนจีนอยู่เยอะ แต่ก่อนชาวจีน ร้างล้งอยู่กันเป็นแถว เช่น
บ้านของเจ๊ มพรตลอด 2 ข้าง ลาย ิบ ้อง มีแต่ชาวจีนมาอาศัย ท่าฉลอมมี
ชาวจนี ไ ลา� เขา้ มาอยอู่ าศยั บาง ว่ นประกอบอาชพี รบั จา้ งตดั ผม ขายขา้ วมนั ไก่
ท�าประมง”
( นุ ทร โผนปติ, มั ภา ณ์, 1 มิถุนายน 2561)
4. กลมุ่ คนอน่ื ๆ จากงานของนริ า เณรกลนั่ ทไี่ ดก้ ลา่ ถงึ ขา้ งตน้ า่ บรเิ ณ มทุ ร าครมกี ลมุ่ คน
อยู่อย่าง ลาก ลายทง้ั คนไทย คนจีน และกลุ่มคนอ่นื ๆ โดยเฉพาะคนมอญน้ัน พบ า่ มีการตง้ั ถ่ินฐานอยู่
ในพนื้ ทต่ี อ่ เนอื่ งกบั ทา่ ฉลอมไปทางราชบรุ ี บรเิ ณรมิ คลองดา� เนนิ ะด ก โดยพบคนมอญ อา ยั อยบู่ รเิ ณ
ลกั 4 ลกั 5 และริมคลอง นุ ขั อน กระจายเปน็ ชมุ ชนตอ่ เนอื่ งไปจนกระทั่งในเขตพนื้ ท่จี ัง ัดราชบรุ ี
ความ มั พันธข์ องชาวจนี : ระบบเครอื ญาติในชมุ ชนทา่ ฉลอม
จากการคน้ ค า้ เอก ารและลงพน้ื ทเ่ี กบ็ ขอ้ มลู พบ า่ การเตบิ โตของชมุ ชนชา จนี ในพน้ื ทจ่ี งั ดั
ุมทร าคร ตระกูลจีนท่ีมีจ�าน นมากที่ ุดในท่าฉลอมคือ จีนแต้จ๋ิ โดยประกอบไปด้ ย ตระกูลแซ่ต้ัง
ซึ่งเริ่มมกี ารร มตั ชดั เจนกอ่ น งครามโลกครั้งท่ี อง ผู้รเิ ร่ิมกอ่ ต้ัง มาคมแซ่ตงั้ คือ นายซุ่นจ้อ แซ่ตั้ง รือ
เถ้าแก่เทียมเน้ย ทุก ๆ ปี มาชิกแซ่ตั้งจะมาพบปะ ัง รรค์กัน โดย มาคมก่อต้ังขึ้นเมื่อปี พ. . 2530
ถอื เป็น ญั ลกั ณท์ าง งั คมของชา จนี มุทร าครทีบ่ ง่ ช้ี า่ ลูก ลานแซ่ต้งั เปน็ คนกลมุ่ ใ ญ่
นอกจากตระกลู ตงั้ แล้ ชา จนี ตระกลู ลม้ิ ถอื เปน็ จนี แตจ้ ิ๋ ตระกลู ใ ญอ่ กี ตระกลู นงึ่ ทตี่ ง้ั ถน่ิ ฐาน
อยู่ในท่าฉลอม บรรพบุรุ ตระกูลล้ิมประกอบอาชีพประมงและเลี้ยงเป็ด ซ่ึงจะมีการร มตั พบปะกัน
ท่ีบ้านนายง้ นฮ้ั ต่อมามีการร มกลุ่มและเพ่ิมจ�าน น มาชิก ถานที่พบปะกันได้ย้ายไปที่ าลเจ้าพ่อ
ก นอูในเขตท่าฉลอม (นฤพนธ์ ด้ ง เิ และคณะ, 2561: 24-26)
53
นงั ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวิชาการ เนอ่ื งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
อดคลอ้ งกบั การลงพนื้ ทใ่ี นชมุ ชนทา่ ฉลอม ทพี่ บ า่ ายตระกลู ลมิ้ รอื ลนิ และ ายตระกลู ตงั้
เปน็ แซ่ใ ญต่ ิดอันดับ 1 ใน 10 ของชา ไทยเชือ้ ายจีนในพื้นที่ แซ่ลิ้มและแซต่ ง้ั ถอื ได้ า่ มีบทบาท �าคัญ
ในพื้นท่ีแ ่งน้ี ดังท่ีปรากฏใ ้เ ็นจากรายช่ือและ มาชิก ซึ่งร มกลุ่มกันก่อต้ังและบริ ารจัดการดูแล
าลเจา้ แมจ่ ยุ๋ บ๋ ยเนยี้ ร มถงึ าลเจา้ โรงเจเซง็ เฮยี งต๊ั และถงึ แมค้ นจนี จะอพยพมาจากตา่ งบา้ นตา่ งเมอื ง
แต่ ัฒนธรรมตระกูลแซ่ก็ยังคงมีบทบาท �าคัญ ซ่ึงปรากฏใ ้เ ็นในชุมชนดังกล่า โดย าลเจ้า
แมจ่ ยุ๋ บ๋ ยเนย้ี ถอื เปน็ นู ยก์ ลางทางค ามเชอ่ื ของคนในชมุ ชน เชน่ เดยี กบั ดั ซงึ่ เปน็ นู ยก์ ลางของคนไทยพทุ ธ
ในการร มกลุม่ เพ่ือประกอบกิจกรรมทาง งั คม
โดยชมุ ชน าลเจา้ แมจ่ ยุ๋ บ๋ ยเนยี้ ถอื การร่ ม ายตระกลู รอื ร่ มแซเ่ ปน็ พ กเดยี กนั โดย ะทอ้ น
ใ เ้ น็ จากการจดั ต้งั มาคม าลเจ้าจนี ซึ่งจะร มตั พ่งึ พาอา ัยซ่ึงกนั และกัน ดังค�ากลา่ ของคุณล้�าเลิ
พร ริ จิ นิ ดา อายุ 62 ปี นึง่ ในผดู้ แู ลกจิ กรรมงานประเพณขี อง าลเจ้าโรงเจเซง็ เฮียงต๊ั ที่ ่า าลเจา้ ถือ
เปน็ ทรี่ มตั กนั ในกลมุ่ ายตระกลู ตา่ ง ๆ เพอื่ ดา� เนนิ กจิ การในทางท่ี รา้ งประโยชน์ โดย าลเจา้ ได้ ะทอ้ น
ใ ้เ ็นภาพ ิถีชี ิตท�าค ามเชื่อของคนในพ้ืนท่ี ซึ่งผูกพันกับอาชีพการท�าประมงมาต้ังแต่อดีตอีกทั้งช่ ย
ร้างค ามเป็นอัน นึ่งอันเดีย กันใ ้เกิดข้ึนกับคนในชุมชนผ่าน ัฒนธรรมของ ายตระกูลแซ่ที่ต่างกัน
(ลา้� เลิ พร ิริจนิ ดา, ัมภา ณ์, 1 มถิ ุนายน 2561)
นอกจากตระกูลลิ้มและตระกูลต้ังแล้ จากการลงพื้นท่ีและพูดคุยกับคุณอุดม ตู้จินดา
พบ ่ากลุ่ม ายตระกลู ดัง้ เดิมที่ า� คัญในชมุ ชนท่ี บื เรือ่ งรา ได้มีประมาณ 7 ตระกูล คือ 1. ตระกลู ตู้จินดา
2. ตระกลู มณรี ตั น์ 3. ตระกลู ลอื ประเ รฐิ 4. ตระกลู มอี า� พล 5. ตระกลู นจิ ยะ 6. อตุ ตะเดช และ 7. ตระกลู
ร ิ ง ์ โดย ายตระกูลท่ีมีถือเป็นกลุ่มตระกูลใ ญ่ในชุมชนท่าฉลอมประกอบด้ ย 1. ตระกูลตู้จินดา
(แซ่ล้ิม) 2. ตระกูลมณีรัตน์ (แซ่ ลี่) กลุ่มตระกูลทั้ง ลายต่างเข้ามามีค าม ัมพันธ์ผ่านการแต่งงานกับ
คนในพ้ืนทแ่ี ละชุมชนใกล้เคียง
กลมุ่ ตระกลู แรก ซงึ่ นบั เปน็ ครอบครั ที่ า� คญั และมรี ะบบเครอื ญาตทิ ยี่ งั ปรากฏใ เ้ น็ คอ่ นขา้ งมาก
ในชุมชนท่าฉลอม คือ สายตระกูลตู้จินดา (จีนแต้จ๋ิ ) จากการลงพื้นที่ภาค นาม พบ ่า ายตระกูล
ดังกล่า มีบทบาทกับชุมชนท่าฉลอมเป็นอย่างมาก โดยมี ล งพัฒนาการภักดี รือต้นตระกูลเดิมคือ
ตจู้ นิ ดา เปน็ ประธานบริ ารงานคณะกรรมการ ุขาภิบาลทา่ ฉลอมชดุ แรกทไ่ี ดต้ ้งั ขนึ้ จากค�าบอกเลา่ ของ
คณุ อดุ ม ตจู้ นิ ดา อายุ 92 ปี อดตี ผอู้ า� น ยการ ถานพนิ จิ และคมุ้ ครองเดก็ กลาง ไดเ้ ลา่ ใ ฟ้ งั า่ เมอื่ พระบาท
มเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่ ั รชั กาลท่ี 5 ทรงเปดิ ุขาภบิ าลตั อยา่ งขึ้นทต่ี �าบลท่าฉลอมเป็นครง้ั แรก
ใน ั เมือง (18 มีนาคม พ. . 2448) ได้เ ด็จฯ ขึ้นที่บ้านขุน ิจารณ์นรกิจ (แดง มณีรัตน์) แล้ เ ด็จฯ
ลงมาทางทา้ ยบา้ น เ ด็จฯ ประทับเรือทที่ ่านา้� บ้านนายดาบบุญรอด ตู้จินดา ต�าบลท่าฉลอม ซง่ึ ปัจจุบัน
บา้ นของขุน จิ ารณน์ รกิจ ต่อมานายพอพันธุ์ และนาง รี งา่ มณรี ตั น์ ซ่งึ เป็นผรู้ ับมรดกไดร้ ือ้ และน�าไป
ปลกู รา้ งใ ม่ท่ี ดั กลางอา่ งแก้ ตา� บลท่าจีน อา� เภอเมอื ง จัง ัด มทุ ร าคร (อดุ ม ตู้จินดา, ัมภา ณ,์
28 มกราคม 2562)
54
อย่างไรก็ตามจาก นัง ือท�าเนียบ กุลตู้จินดา พ.ศ. 2558 พบข้อมูลตั้งต้นของตระกูล
ตู้จินดาว่าเร่ิมขึ้นจากมีจีนซึ่งเป็นพ่ีน้องกันช่ือนายลกและนายเชียง เดินทางเข้ามา ากินในประเทศ ยาม
และตั้ง ลักแ ล่งอยู่ที่ต�าบลท่าฉลอม เมือง มุทร าคร ซ่ึงเป็นต�าบลที่เจริญท่ี ุดของเมืองในขณะนั้น
ทั้ง องมเี มียเป็นคนไทยไมท่ ราบชอ่ื พอมฐี านะดีข้ึนจึงรบั พอ่ ซ่ึงใช้แซล่ ิ้ม (ไม่ทราบชื่อ) มาอยดู่ ว้ ย ตอ่ มา
มนี ายตเู้ กิดขึ้น นายตู้มเี มียชื่อนางแกว้ ได้มาตง้ั บา้ นเรือนอย่ทู ่ีต�าบลท่าฉลอม อา� เมอื ง มทุ ร าคร
ครอบครวั จนี ตแู้ ละอา� แดงแกว้ ได้ รา้ งครอบครวั มบี ตุ รชาย 4 คน และบตุ ร าว 5 คน รวม 9 คน
คอื 1. นางเป้า 2. นางแย้ม (ภรรยานายแ ) 3. นายยม้ิ ( ามนี างบญุ ) 4. นาย ร่ัง ( ลวงพฒั นการภกั ดี
ภรรยาคือนางแดง และนางพริ้ง) 5. นายปาน ( ามนี างเปยี่ ม) 6. นายแจม่ ( ามีนางพรง้ิ ) 7. นางจอ้ ย
(ภรรยานายตอ้ ย) 8. นางผง่ึ (ภรรยานายอั๊ว) 9. นางผ่อง (ภรรยานายฮะ)
ภาพท่ี 2 ภาพนายปาน นางเปยี่ ม ตูจ้ นิ ดา และบุตรธดิ า ผู้ บื กลุ รนุ่ ที่ 2 และรุ่นที่ 3
ทีม่ า : มนตรี ตจู้ ินดา. (2558). “ทา� เนยี บ กลุ ‘ตู้จนิ ดา’.” (เอก ารอดั �าเนา) : 3.
จนเมื่อรัช มัยพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่ ัวได้ออกพระราชบัญญัติใ ้คนไทยต้ังและใช้นาม กุล
ขุนจินดาภักดี (อุ้ย) ซ่ึงเป็นลูกนายปาน นางเปี่ยม เ ็นควรตั้งนาม กุลใ ้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
จึงใ ้นายประ ิทธ์ิ ลูกชายคนโตคิด าค�าที่จะใช้เป็นนาม กุล เมื่อนายประ ิทธิ์พิจารณาแล้วเ ็นว่า
ชอ่ื นายตู้ และนางแกว้ เ มาะทจี่ ะใชเ้ ปน็ นาม กลุ แตค่ า� วา่ ตแู้ กว้ นั้ จนเกนิ ไป จงึ มกี ารเปลยี่ นแปลงคา� วา่
“แก้ว” เปน็ ค�าวา่ “จินดา” จึงกลายเป็น “ต้จู ินดา” ซึ่ง มายความว่าเปน็ ตู้เกบ็ อญั มณีอนั มีค่า ลังจาก
น้ันจึงชักชวนใ ้พี่น้องในตระกูลมาใช้นาม กุลเดียวกันท้ัง มด ท�าใ ้ กุลตู้จินดาเป็นนาม กุลใ ญ่ใน
ทา่ ฉลอมขณะนนั้ และยกใ น้ ายต–ู้ นางแกว้ เปน็ ตน้ ตระกลู ตจู้ นิ ดา ว่ นจนี ตทู้ เี่ ปน็ ตน้ ตระกลู พอ่ นายปานนนั้
ขณะนนั้ ยงั ไมม่ นี าม กุล แตใ่ ชแ้ ซ่ลมิ้ ตระกูลนจ้ี ึง บื มาจากแซ่ลม้ิ นน้ั เอง
55
นงั อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ภาพท่ี 3 ภาพผังครอบครวั เครอื ญาติตระกูลต้จู นิ ดา (1)
ที่มา : มนตรี ตจู้ ินดา. (2558). “ทา� เนียบสกลุ ‘ตู้จินดา’.” (เอกสารอัดส�าเนา) : 11.
56
ภาพท่ี 4 ภาพผงั ครอบครัวเครอื ญาตติ ระกูลตู้จินดา (2)
ท่มี า : มนตรี ตจู้ นิ ดา. (2558). “ทา� เนยี บสกุล ‘ตู้จนิ ดา’.” (เอกสารอัดส�าเนา) : 11.
57
นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ภาพท่ี 5 ภาพถา่ ยร มตระกลู ตู้จนิ ดา
ทมี่ า : มนตรี ตจู้ ินดา. (2558). “ทา� เนียบ กลุ ‘ตจู้ นิ ดา’.” (เอก ารอดั �าเนา) : 23.
กลุม่ ตระกูลที่ องเป็นที่รจู้ ักในทา่ ฉลอม คือ ตระกลู ขุน มุทรมณีรัตน์ (เม่งฮะ รือ มิง่ มณรี ตั น์
แซต่ ง้ั ) โดยตระกลู มทุ รมณรี ตั น์ (จนี แตจ้ ิ๋ ) มบี ทบาทกบั ชมุ ชนทง้ั ในแงก่ ารเมอื ง โดย มาชกิ ในครอบครั
ไดร้ ับแต่งตงั้ ใ เ้ ปน็ ผู้ใ ญบ่ า้ น มู่ท่ี 5 ตา� บลท่าฉลอม อา� เภอเมือง มุทร าคร จงั ัด มุทร าคร ในปี
พทุ ธ กั ราช 2464 ตอ่ มาในปเี ดยี กนั นน้ั กไ็ ดร้ บั การคดั เลอื กเปน็ กา� นนั ตา� บลทา่ ฉลอม อา� เภอเมอื ง จงั ดั
มุทร าคร อกี ทง้ั ยงั ได้รับการแตง่ ตง้ั เปน็ กรรมการ ุขาภิบาลด้ ย นอกจากน้นั ตระกูลขนุ มุทรมณรี ัตน์
ยงั มบี ทบาทในในระบบเ ร ฐกจิ ของชมุ ชนด้ ยเชน่ กนั โดยในปพี ทุ ธ กั ราช 2464 ครอบครั ตง้ั บริ ทั นา
เกลอื ขนุ มทุ รมณรี ตั น์ จา� กดั เพอ่ื จา� นา่ ยเกลอื ทง้ั ในและตา่ งประเท (“ทา� เนยี บมณรี ตั น์ ครบรอบ 55 ปี
2550.” (เอก ารอดั �าเนา))
ภาพที่ 6 ภาพถ่ายตระกูลขุน
มุทรมณีรัตน์
ท่ีมา : นฤพนธ์ ด้ ง ิเ และ
ปัณ ัฒน์ ผ่องจิต. (2559).
รายงานวิจัยฉบับ มบูรณ์
ชมุ ชนกบั ความเชอื่ ง่ิ ศกั ดิ์ ทิ ธ์ิ
ใ น อ� า เ ภ อ เ มื อ ง จั ง วั ด
มุทร าคร. กรุงเทพฯ : ูนย์
มานุ ย ิทยา ิรินธร (องค์การ
ม าชน): 42
58
อย่างไรก็ตามจาก นงั อื ทา� เนียบญาตมิ ณรี ัตน์ พ. . 2495-2550 พบขอ้ มูลตง้ั ตน้ ของตระกูล
มณรี ตั น์ า่ เรมิ่ ขนึ้ จากจนี ชอ่ื นายชไี่ ถ่ และนางเอม แซล่ ี้ เดนิ ทางเขา้ มา ากนิ ในประเท ยาม และตงั้ ลกั แ ลง่
แต่งงานกันอยู่ที่ต�าบลท่าฉลอม เมือง มุทร าคร ต่อมามีนายโง่ง มณีรัตน์ เกิดข้ึน โดยนางโง่ง มณีรัตน์
มพี น่ี ้อง 6 คน คอื
1. นางเถา๊ มณรี ตั น์ 2. ขนุ จิ ารณน์ รกจิ (แดง มณรี ตั น)์ 3. นายเบย้ี มณรี ตั น์ 4. นายทอ้ จงเก ม
5. พระก๊ ย มณรี ตั น์ 6. นาง า จนั ทร์ มณรี ตั น์ นายโงง่ ไดแ้ ตง่ งานกบั นางปน่ิ บตุ รี นายเฮย๊ี นางรอด แซจ่ งึ
มีบตุ รธดิ า 7 คน คือ
1. นาง า ฮ ย (เน่ยฮ ย) มณีรัตน์ 2. ขุน มุทรมณีรัตน์ (เม่งฮะ, ม่ิง) 3. นางจ้อย มณีรัตน์
4. นายมั่น (เมง่ เ ีย๊ ะ) มณีรตั น์ 5. นางชม กิจกุ ล 6. นายเชย คู กูล 7. นายเมง่ ฮง มณีรตั น์
59
นงั อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เน่ืองในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ภาพที่ 7 ภาพผังระบบครอบครวั เครอื ญาติตระกูลมณรี ตั น์ (1)
ที่มา : “ทา� เนียบมณรี ตั น์ ครบรอบ 55 ปี 2550.” (เอกสารอัดส�าเนา)
60
ภาพท่ี 8 ภาพผงั ระบบครอบครัวเครอื ญาติตระกูลมณีรัตน์ (2)
ทม่ี า : “ทา� เนียบมณีรตั น์ ครบรอบ 55 ปี 2550.” (เอกสารอัดส�าเนา)
61
นงั ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ายตระกูลที่ ามเป็นอีกตระกูล นึ่งที่ �าคัญในท่าฉลอม คือ ตระกูลลือประเ ริฐ เป็นตระกูล
ที่มตี น้ ก�าเนิดมาจากจีนไ ลา� โดยต้นตระกลู เร่ิมจากกง๋ อ่าง และนางล้ น แซ่เพ้ง อพยพมาจากประเท
จนี ในช่ ง มยั รชั กาลที่ 5 และเขา้ มาตง้ั ถนิ่ ฐานอยบู่ รเิ ณทา้ ยบา้ นจนกระทงั่ ปจั จบุ นั ซง่ึ จากการ มั ภา ณ์
คุณอนันต์ ลือประเ ริฐ ามารถ บื าแ รกของตระกลู ไปได้ 3 ชั่ คน โดยกง๋ อา่ ง และนางล้ น แซ่งเพง้
มีลูกด้ ยกนั 2 คน คือ นางพยงุ ลือประเ ริฐ และนายเทียนไล้ ลือประเ ริฐ
ภาพท่ี 9 ภาพนายอา่ ง และนางล้ น ลือประเ ริฐ (รนุ่ ท่ี 1)
ท่ีมา : อชริ ัชญ์ ไชยพจนพ์ าณชิ ย์ (เจา้ ของภาพ), 2562.
ภาพท่ี 10 ภาพนายเทยี นไล้ ลอื ประเ ริฐ กับนางเรียม รีจันทร์ (รุ่นท่ี 2)
ทีม่ า : อชิรชั ญ์ ไชยพจน์พาณิชย์ (เจ้าของภาพ), 2562.
62
ตอ่ มา นางพยงุ แตง่ งานกบั นาย ยง เฮงไชย รี มลี กู บญุ ธรรม 1 คน คอื นายอนนั ต ลอื ประเ รฐิ
่ นทางดา้ นนายเทยี นไล้ แตง่ งานกบั นางเรียม รีจันทร์ มลี ูกด้ ยกนั 5 คน คอื 1. ช�านาญ ลอื ประเ รฐิ
2. เชงจอื ลือประเ ริฐ 3. ประนอม ลอื ประเ รฐิ 4. ิเชียร ลอื ประเ ริฐ 5. บญุ ชบุ ลอื ประเ ริฐ
ภาพท่ี 11 ภาพผังระบบครอบครั เครอื ญาติตระกูลลือประเ รฐิ
ที่มา : อนันต์ ลือประเ รฐิ , มั ภา ณ์, 18 มถิ ุนายน 2562
ชมุ ชนท่าฉลอมและความสัมพันธข์ องผ้คู น
จากการ กึ าชมุ ชนทา่ ฉลอม รอื ชมุ ชนทา่ จนี จากอดตี จนถงึ ปจั จบุ นั จะพบ า่ เมอื งดงั กลา่ เปน็
นู ยก์ ลางทางเ ร ฐกจิ ทมี่ ลี กั ณะเชอ่ื มโยงค าม ลาก ลายของผคู้ น การคา้ และทรพั ยากรทางธรรมชาติ
ในพื้นที่เข้าด้ ยกัน โดยท่าฉลอมเป็นชุมชนท่ีผูกโยงอยู่กับรูปแบบทางเ ร ฐกิจ เน่ืองจาก ิถีชี ิตและ
แบบแผนทาง ังคมของชมุ ชน ค าม ัมพันธ์กันด้ ย นู ย์กลางทางการคา้ โดยเฉพาะกลุ่มชา จนี ทเี่ ข้ามา
จะมกี ารแลกเปลย่ี นการคา้ กบั คนไทยในพนื้ ที่ เกดิ เปน็ การ มนุ เ ยี นทางระบบเ ร ฐกจิ และเชอื่ มโยงค าม
ัมพันธร์ ะ า่ ง มาชิกใน งั คม (ภารดี ม าขันธุ,์ 2555: 132) โดย ินคา้ ท่ี มุนเ ยี นค้าขายกนั ในระบบ
เ ร ฐกจิ เป็นทรพั ยากรในทอ้ งถ่นิ เปน็ ่ นใ ญ่ ทง้ั ผลิตผลทางทะเล นิ คา้ ป่า ฯลฯ จากลัก ณะดงั กล่า
ทา� ใ ช้ มุ ชนทา่ ฉลอม เปน็ เ มอื นเครอื ขา่ ยการแลกเปลย่ี นทาง นิ คา้ ท่ี า� คญั ในบรเิ ณลมุ่ แมน่ า้� แมน่ า�้ ทา่ จนี
ู่ลุ่มแมน่ �้าเจา้ พระยา และล่มุ แม่น�้าแม่กลอง ระบบเ ร ฐกจิ แบบเครอื ข่ายจงึ ถอื เปน็ โลกทั น์ �าคัญของ
ชุมชนทชี่ ่ ย รา้ งค าม ัมพันธท์ าง งั คมระ ่างกันผา่ นทางการคา้
รปู แบบค าม มั พนั ธท์ าง งั คมดงั กลา่ อดคลอ้ งกบั กรอบแน คดิ เรอ่ื งชมุ ชนของ นาบลี แฮมดี
Nabeel Hamdi (1997: 282-289, อา้ งถงึ ใน พรนภิ า ง พ์ รา มา , 2559 : 9-11) ทม่ี องชมุ ชน า่ เกดิ ขนึ้
จากพน้ื ฐานทางกายภาพ พ้ืนฐานทาง ัฒนธรรม พืน้ ฐานทางอาชพี มาคม และการร มกลุ่ม ตาม ลกั
เกณฑช์ ุมชน 5 รปู แบบ ดังนี้
1. Place–based Communities คือ ชุมชนที่มีลัก ณะทางกายภาพร่ มกัน เช่น อา ัยอยู่
ในย่าน เขต และพน้ื ที่เดยี กัน
2. Communities of Cultures คอื ชมุ ชนทม่ี ี ฒั นธรรมและรากเ งา้ ทาง งั คมทเ่ี ชอ่ื มโยงร่ มกนั
มี ิถีชี ิตคล้ายคลึงกัน มมี ิตรภาพ ค ามเออื้ อาทร ค ามม่นั คงและค ามผกู พัน มี ฒั นธรรมประเพณีของ
ตนเอง
63
นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เนือ่ งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
3. Communities of Interest คอื ชมุ ชนทมี่ คี าม นใจและชอบ อดคลอ้ งตอ้ งกนั แม้ า่ ในทาง
กายภาพจะอยคู่ นละพน้ื ทก่ี นั กต็ าม ตงั้ อยบู่ นฐานของผลประโยชนร์ ่ มกนั ทงั้ ทเี่ ปน็ ตั เงนิ และไมใ่ ชต่ ั เงนิ
4. Communities of practice คอื ชมุ ชนทเ่ี ชอ่ื มโยงกนั ผา่ น ชิ าชพี รอื อาชพี ลกั ณะเดยี กนั
มีการใช้ค ามรู้ค าม ามารถอนั เป็นประโยชนต์ ่อ มาชิกในชุมชนร่ มกัน
5. Communities of Resistance คอื ชมุ ชนทเ่ี กดิ ข้นึ เพ่อื ร่ มต้านทานจากการมภี ยั คกุ คาม
ร่ มกัน มาชิกมี ตั ถุประ งค์และเป้า มายในการด�าเนนิ ชี ติ เพอ่ื รับมอื กบั ผลกระทบท่เี กดิ ขึ้น
โดยกรอบคดิ ค ามเปน็ ชมุ ชนดงั กลา่ ามารถนา� มามองบรบิ ทของค ามเปน็ ชมุ ชนทา่ ฉลอมไดด้ งั นี้
1. ชมุ ชนที่มีกายภาพร่วมกัน (Place – based Communities)
ชุมชนท่าฉลอมน้ันเป็นชุมชนที่มีค าม ัมพันธ์ร่ มกันทั้งทางกายภาพและผ่านรูปแบบ
ค าม มั พันธ์ของกล่มุ คนในชมุ ชน ท้งั กลมุ่ คนไทยด้ังเดมิ กับกลมุ่ คนจนี ทลี่ ่องเรอื มาจากประเท จีนแผน่
ดินใ ญ่และกลุ่มคนจีนในตระกูลแซ่ต่าง ๆ โดยจากเกณฑ์เรื่องพ้ืนท่ีพบ ่าการตั้งถ่ินฐานของชุมชน
ทา่ ฉลอมนนั้ เดมิ เปน็ ชมุ ชนทม่ี ขี อบเขตทางกายภาพร่ มกนั ชา บา้ นดง้ั เดมิ อยอู่ า ยั ในบรเิ ณพนื้ ทที่ เี่ รยี ก
กัน ่า ท่าจีน โดยในอดีตช่ งก่อนรัช มัยพระบาท มเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ ั (รัชกาลที่ 4) ในปี
พุทธ กั ราช 2404 ทา่ จนี มีลัก ณะเป็น มู่บา้ นชา ประมงขนาดเลก็ จนกระท่งั มีชา จนี อพยพเข้ามาใน
ช่ งยุค มัยของการปฏิ ัติชิ่นไฮ่ในปีพ. . 24541 ตามเ ้นทางการค้าทางทะเล และต้ังรกรากอยู่บริเ ณ
ชายฝง่ั ทะเล เมอ่ื เกดิ การตงั้ ถนิ่ ฐานของชา จนี บรเิ ณชมุ ชนทา่ ฉลอมขนึ้ ปฏิ มั พนั ธก์ นั ทาง งั คมระ า่ ง
กลุ่มคนในท่าฉลอมก็เกิดขึ้นตามมาผ่านรูปแบบของการร มกลุ่มระ ่างตระกูลของชา จีน เช่น
กลุ่มตระกูลแซ่ต้ัง กลุ่มตระกูลแซ่ลิ้ม ฯลฯ รือแม้แต่การร่ มมือกันระ ่างกลุ่มคนไทยดั้งเดิม และ
กลุ่มคนจนี ทีอ่ พยพเข้ามาผา่ นการแต่งงานและกลายมาเปน็ กลมุ่ เครอื ข่ายของเครอื ญาติ
2. ชุมชนท่มี ีวฒั นธรรมร่วมกัน (Communities of Cultures)
ชมุ ชนทา่ ฉลอมเปน็ ชมุ ชนทม่ี ี ฒั นธรรมและรากเ งา้ ทาง งั คมทเ่ี ชอ่ื มโยงร่ มกนั มาตงั้ แตด่ ง้ั เดมิ
ดังปรากฏใ ้เ น็ ในระบบเครอื ญาตขิ องกลุม่ คนดัง้ เดมิ และ ืบเชือ้ ายมาจนปจั จบุ นั โดยครอบครั รือ
ตระกลู ทอ่ี า ยั อยใู่ นชมุ ชนมกี ารเกย่ี โยง มคี าม มั พนั ธ์ และค ามผกู พนั อยา่ งแนน่ นา โดยกลมุ่ ตระกลู
ดงั กลา่ เปน็ คนทอ้ งถนิ่ ทอ่ี ยอู่ า ยั ในบรเิ ณแถบนคี้ าดประมาณ า่ ตง้ั ถนิ่ ฐานมาก า่ ลายรอ้ ยปี และพบ า่
มกี ลมุ่ เครอื ญาติทีเ่ กีย่ เนอ่ื งกันผ่านกลุม่ คน 2 กลุ่ม ดงั นี้
1. กลุ่มคนที่ตงั้ ถนิ่ ฐานอยูเ่ ดิม
2. กลมุ่ ชา จนี ท่ีลอ่ งเรือ า� เภามาจากประเท จีน ทัง้ เพือ่ การคา้ ขายและเพอื่ มา างานท�า
1 เปน็ ช่ งเ ลาของการโคน่ ล้มอา� นาจราช ง ์ชิง (แมนจู) ภายใต้การน�าของ ดร.ซนุ ยตั เซน็ ั น้าพรรคกก๊
มนิ ตง๋ั ซง่ึ เปน็ ผลใ จ้ นี เปลยี่ นแปลงการปกครองมาเปน็ รปู แบบประชาธปิ ไตย ตอ่ มาในปี พ. .2492 กอ่ นการเกดิ งครามโลก
ครั้งที่ 2 จนี แบ่งออกเปน็ 2 กลมุ่ การเมือง ได้แก่ฝา่ ยคณะชาติ รอื ฝ่ายกก๊ มินตงั๋ นา� โดยเจียง ไคเช็ก ผ้นู �าในขณะนนั้ กบั
ฝา่ ยทน่ี ยิ มแน คดิ งั คมนยิ มทน่ี า� โดยเ มา เจอ๋ ตง โดยผล ดุ ทา้ ยกลมุ่ ของเ มา เจอ๋ ตงกลายเปน็ ผทู้ ไ่ี ดร้ บั ชยั ชนะ และทา� ใ ้
ประเท จีนกลายเป็นประเท งั คมนยิ มคอมมิ นิ ต์มาจนถึงปัจจุบัน ( ทิ ธพิ ล เครอื รฐั ตกิ าล, 2555: 57)
64
ในค าม ัมพันธ์ของคนท้ัง 2 กลุ่มน้ันได้ผ มผ านกันผ่านการแต่งงาน ท�าใ ้กลุ่มคนต่าง ๆ
ใน มู่บ้านมีลัก ณะเ มือนเครือญาติกัน และการ ืบทอดของตระกูลตา่ ง ๆ จากรนุ่ ู่รุ่น จากอดีตจนถงึ
ปจั จบุ นั นเ้ี อง จงึ ทา� ใ เ้ กดิ การเกย่ี ดองกนั ของคนในพน้ื ทอี่ ยา่ งเ นยี แนน่ ดงั จะเ น็ ไดจ้ ากผงั ค าม มั พนั ธ์
ของกลุ่มตระกูลใ ญ่ เช่น ตระกูลตู้จินดา ตระกูลมณีรัตน์ ตระกูลลือประเ ริฐ ตระกูลมีอ�าพล ตระกูล
อตุ ตะเดช ตระกลู ทยั ธรรม ฯลฯ
โดยรปู แบบเครอื ขา่ ยค าม มั พนั ธใ์ นครอบครั ดงั กลา่ ล้ นเกดิ จากการผ มผ านทาง ฒั นธรรม
ระ ่างคนไทยดั้งเดิมและคนจีนที่อพยพเข้ามาต้ังถิ่นฐานในชุมชน ท้ังในเร่ืองค ามเช่ือ และ ิถีชี ิต
ค ามเปน็ อยู่ ดังจะเ น็ ไดจ้ ากระบบเครอื ญาตทิ ่ปี รากฏอยใู่ นชุมชนทา่ ฉลอม มที ัง้ การผ มผ านทางการ
มร ระ า่ งเช้อื ชาตไิ ทยและเช้อื ชาตจิ ีน และการผ มผ านระ า่ งตระกลู แซต่ า่ ง ๆ ในเชื้อชาตจิ ีนด้ ย
กนั จนกลายเปน็ รูปแบบค าม มั พันธ์ทาง ังคมทเี่ ป็นอัตลัก ณ์ของพืน้ ท่ชี มุ ชนบ้านทา่ ฉลอมในปัจจบุ ัน
ดงั นนั้ รปู แบบทาง งั คมของผคู้ นทา่ ฉลอม โดยเฉพาะระบบเครอื ญาตทิ เ่ี กยี่ ดองกนั อยา่ ง นาแนน่
ท้งั ตระกูลคนจนี และตระกูลคนไทย จงึ มลี ัก ณะคล้ายกบั งิ่ ท่ที ฤ ฎีการ รา้ งพนั ธมิตร รือ Alliance
Theory ของ เล ี่-เ ตรา ์ (1949) ได้อธิบายไ ้ ่า ค าม ัมพันธ์ในระบบเครือญาติท่ีเกิดจากการ
แลกเปลย่ี น มาชกิ องตระกลู ผา่ นการแตง่ งาน รา้ งผลในแงบ่ ก การแตง่ งานคอื รปู แบบการ อ่ื ารและ
การแลกเปลย่ี นที่ า� คัญท่ี ุดในการ ร้างมิตรระ ่างกล่มุ และเป็นโครง ร้างพ้ืนฐานของระบบเครือญาติ
การแตง่ งานของกลมุ่ ตระกลู คนจนี ในทา่ ฉลอม ทง้ั ตระกลู ตจู้ นิ ดา มณรี ตั น์ ลอื ประเ รฐิ มอี า� พล
อตุ ตะเดช ทยั ธรรม ฯลฯ ตา่ งมรี ปู แบบตามทเ่ี ล -ี่ เ ตรา ์ เรยี กก า่ การปฏบิ ตั กิ ารทางเ ร ฐกจิ โดยอา ยั
การแตง่ งานขา้ มตระกลู รอื แมแ้ ตก่ ารการแตง่ งานกบั คนนอกกลมุ่ (exogamy) เพอ่ื ช่ ยใ ค้ นตา่ งตระกลู
มคี ามกลมเกลยี ามคั คี ช่ ยลดค ามตงึ เครยี ดใน มญู่ าตพิ น่ี อ้ ง และที่ า� คญั คอื ช่ ยรกั าค ามแขง็ แกรง่
ทางเครือข่ายครอบครั ตาม ังคม ัฒนธรรมจีนใ ้ด�ารงอยู่ และ ามารถรัก าระบบเ ร ฐกิจของ
ง ต์ ระกูลและกลุ่มเครือญาตใิ ด้ า� รงอยใู่ นชุมชนไม่ ายไป
ระบบเครือญาติในท่าฉลอมจึงเป็น ่ิงท่ีถูกประกอบ ร้าง เพื่อท�า น้าที่รับประกันค ามม่ันคง
ถา รของกลุ่ม ทั้งที่เก่ีย ข้องกันในแบบ ายโล ิต และการเชื่อมโยงกันจากการแต่งงาน ผลลัพธ์ของ
กระบ นการน้ีเป็นจึงเป็นเ มือนการ ร้างกลุ่มทางเครือข่ายครอบครั เครือข่าย ังคม และเครือข่าย
ทางเ ร ฐกิจน่ันเอง
3. ชุมชนท่ีมีความสนใจ และเช่ือมโยงกันผ่านวิชาชีพ (Communities of Interest
Communities of practice and Communities of Resistance)
ชุมชนท่าฉลอมในปัจจุบันถือเป็นชุมชนท่ีเกิดจากการเปล่ียนแปลงจากอดีตค่อนข้างมาก
จากชุมชนที่ประกอบอาชีพทางการเก ตรและประมง มี ิถีชี ิตท่ีเรียบง่าย กลายมาเป็นชุมชนประมง
พาณชิ ย์ทเ่ี นน้ เพือ่ การคา้ และอตุ า กรรม ถึงแม้ ่าในปัจจุบนั ธรุ กิจประมงในพนื้ ที่เรม่ิ มีค ามซบเซาจาก
การปฏริ ปู กฎ มายการทา� ประมง ในปพี . . 2558 การเปลยี่ นแปลงนโยบายและกฎ มายทอ่ี อกมาบงั คบั ใช้
และค บคมุ การทา� ประมง ทา� ใ ธ้ รุ กจิ ประมงในทา่ ฉลอมใน ลายรปู แบบซบเซาลง ชมุ ชนคนทา่ ฉลอมจงึ ได้
65
นงั ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ันมาจับมือกันในรูปแบบ มาคมเครือข่าย ทั้ง มาคมชา ประมง และ มาคมในรูปแบบของตระกูลแซ่
เพื่อจัดการกับปัญ าธุรกิจเดิม และเร่ิมด�าเนินการธุรกิจใ ม่ เช่น ธุรกิจการท่องเที่ย เชิง ัฒนธรรม
เพอื่ รอื้ ฟน้ื รปู แบบทางเ ร ฐกจิ ใ ก้ บั ชมุ ชนและผคู้ นในพน้ื ท่ี ดงั นน้ั ชมุ ชนทา่ ฉลอมในปจั จบุ นั จงึ เปน็ ชมุ ชน
ทตี่ ั้งอยบู่ นฐานของผลประโยชน์ร่ มกนั ในเร่ืองของระบบเ ร ฐกิจ
จากขอ้ มลู ขา้ งตน้ จงึ จะเ น็ ได้ า่ ชมุ ชนทา่ ฉลอมจงึ ประกอบไปด้ ย ลกั เกณฑท์ งั้ 3 ประการ คอื
Communities of Interest, Communities of practice และ Communities of Resistance เพราะ
นอกจากจะยึดโยงกันด้ ยผลประโยชน์ทางเ ร ฐกิจแล้ ยังเชื่อมโยงกันผ่าน ิชาชีพ รืออาชีพลัก ณะ
เดยี กัน เช่นกลุ่ม มาคมประมง กลมุ่ การคา้ และกล่มุ ผูป้ ระกอบการ กลุ่มตา่ ง ๆ ในปัจจุบนั ท้ังท่ีมีอยเู่ ดิม
และถูก รา้ งข้ึนมาใ ม่ ล้ นเกิดขึ้นเพ่ือร่ มกนั ต้านทานภัยคกุ คามจากปัจจยั ภายนอก
จากกรอบคดิ ดงั กลา่ จงึ อาจกลา่ ได้ า่ นยิ ามของชมุ ชนจงึ อาจจะไมใ่ ชแ่ คช่ มุ ชนทมี่ รี ากฐานทาง
ประ ัติ า ตร์และมขี อบเขตทางกายภาพอย่รู ่ มกันเพียงอย่างเดยี เท่านั้น ากแตเ่ ป็นชมุ ชนท่ปี ระกอบ
ไปด้ ย “กลุ่มคนทอี่ า ัยอยู่ร มกัน มี ถิ ีชี ติ และ ฒั ธรรมร่ มกัน มกี ิจกรรมทีร่ อ้ ยร มกนั ทง้ั ในแง่ทาง
เ ร ฐกจิ รอื ในแงข่ องรปู แบบประเพณี า นา และค ามเชอื่ เพอื่ ใ เ้ กดิ ค ามเปน็ นงึ่ เดยี กนั มี า� นกึ
ร่ มกัน เพราะต้องเผชิญปัญ าร่ มกันใน ถานท่ี (space) นึ่ง ที่ไม่จ�ากัดอาณาบริเ ณทางภูมิ า ตร์
แต่เลื่อนไ ลไปตามกิจกรรมของชุมชน” นนั่ เอง
อย่างไรก็ตามจากกรอบคิดเร่ืองรูปแบบค าม ัมพันธ์ทาง ังคมของ นาบีล แฮมดี (Nabeel
Hamdi) อาจจะไม่ ามารถอธิบายปรากฏการณ์ท่ีเกิดข้ึนใน ังคมของท่าฉลอมได้ท้ัง มด ทั้งน้ีเนื่อง
โครง รา้ งทาง งั คมของชมุ ชนทา่ ฉลอมมลี กั ณะทปี่ รบั ตั และเปลยี่ นแปลงตนเองไปตามพล ตั ดงั จะเ น็
ไดจ้ ากการขบั เคลอื่ นของชุมชนล้ นเกิดขน้ึ จากอา� นาจของรฐั ทีก่ �า นดใ ้ชมุ ชนขับเคลอ่ื นตนเอง ท้งั เรือ่ ง
การจดั ตง้ั เปน็ ขุ าภบิ าล รอื แมแ้ ตน่ โยบายกฎ มายประมงเชงิ พาณชิ ย์ ทง้ั มดล้ นมี ่ นในการดา� รงอยู่
ของชุมชน ทง้ั ในแง่การขยบั ขยายพืน้ ทีช่ ุมชนจากทา่ จีนมายงั ทา่ ฉลอม รอื ม าชยั ในปัจจุบนั รอื แมแ้ ต่
การร มตั ร มกลุ่มกันของตระกูลเครือญาติ ซึ่ง ่งผลต่อการรูปแบบการ ร้างทุนทาง ังคมท่ีมีผลต่อ
การค บคุม ังคม เ ร ฐกจิ และการเมืองในชุมชน ดงั น้ันชมุ ชนท่าฉลอมจงึ ไม่ใชแ่ ค่เพียงชุมชนท่ี างอยู่
บนโครง ร้างทค่ี งที่ (Statics) ในแบบที่ แฮมดี อธิบายไ ้นั่นเอง
66
บรรณานุกรม
นงั ือภา าไทย
กรม ลิ ปากร. (2541). ้าปใี น ยาม เล่ม 2. กรงุ เทพฯ: กรม ิลปากร.
. (2543). ชี ิตและงานของ ุนทรภู่ (กรม ิลปากรตร จ อบช�าระใ ม่). พิมพ์คร้ังท่ี 9.
กรุงเทพม านคร : คุรุ ภา.
. (2555). ร มเร่ืองแปล นัง ือและเอก ารทางประ ัติ า ตร์ ชุดที่ 1-3. กรุงเทพฯ:
กรม ลิ ปากร กระทร ง ัฒนธรรม.
. (2557). ตามรอยบันทึกชา ต่างชาติจากอ่า ยาม ู่ล้านนาเจ้าพระยา. กรุงเทพฯ:
า� นกั รรณกรรมและประ ตั ิ า ตร์ กรม ลิ ปากร กระทร ง ฒั นธรรม.
ต้ น ลี่ เซิง และบุญย่ิง ไร่ ุข ิริ. (2543) ค ามเป็นมาของ ัดจีนและ าลเจ้าจีนในประเท ไทย.
กรุงเทพฯ : คณะกรรมการ า นาเพ่อื การพฒั นา.
“ท�าเนยี บมณรี ัตน์ ครบรอบ 55 ปี 2550.” (เอก ารอัด า� เนา).
เท บาลนคร มุทร าคร. (2552). ประ ตั ิ า ตร์ “ทา่ ฉลอม” ขุ าภิบาล ั เมอื งแ ่งแรกของไทย.
มุทร าคร: เท บาลนคร มทุ ร าคร.
ธ ัชชัย องค์ ุฒิเ ทย์ และ ิไลรัตน์ ยังรอด. (2556). ถอดร ั ภาพผนัง พระจอมเกล้า-ขรั อินโข่ง.
กรงุ เทพฯ : อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์.
นฤพนธ์ ด้ ง เิ และคณะ. (2561). าครบรุ ี จาก ถิ ีชา บ้าน การเปล่ยี นแปลงผา่ น ิถีชี ิตท้องถนิ่
ในลุ่มนา�้ ทา่ จนี จงั ัด มทุ ร าคร. กรงุ เทพฯ: ูนยม์ านุ ย ทิ ยา ิรนิ ธร (องคก์ ารม าชน).
นฤพนธ์ ด้ ง ิเ และปัณ ัฒน์ ผ่องจิต. (2559). “รายงาน ิจัยฉบับ มบูรณ์ ชุมชนกับค ามเช่ือ
ิง่ กั ด์ิ ิทธใิ์ นอา� เภอเมือง จัง ัด มุทร าคร.” ูนย์มานุ ย ทิ ยา ริ ินธร (องค์การม าชน).
บุ บา กนก ิลปธรรม. (2557). “ภูมิปัญญาท้องถ่ิน: การต่อเรือประมงด้ ยไม้ท่ีจัง ัด มุทร าคร.”
�านักบริ ารโครงการ ่งเ ริมการ ิจัยในอุดม ึก าและพัฒนาม า ิทยาลัย ิจัยแ ่งชาติ
�านักงานคณะกรรมการอดุ ม กึ า
ประพฤทธิ์ ุกลรัตนเมธี. (2515). “ฐานะทางกฎ มายของชา จีนโพ้นทะเล.” าร าร ังคม า ตร์
คณะรฐั า ตร์ 9, 1 (มกราคม).
67
นงั อื รวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เนอื่ งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ประพิณ มโนมัย ิบูลย์. (2554). “ชุมชนจีนในประเท ไทย: ลาก ลาย �าเนียงจีน.” วาร าร
ราชบณั ฑิตย ภา 36, 4: 539-552
พชรตั น์ บี ทา่ ไม.้ (2552). “การปรบั ปรงุ ฟน้ื ฟอู าคารเกา่ กรณี กึ าชมุ ชนทา่ ฉลอม จงั ดั มทุ ร าคร.”
ิทยานิพนธ์ าขาการผังเมือง คณะ ถาปัตยกรรม า ตร์และการผังเมือง ม า ิทยาลัย
ธรรม า ตร์.
พรนิภา ง ์พรา มา . (2559). “มิติค ามป็นชุมชนของผู้อยู่อา ัยในเค ะ งเคราะ ์ : กรณี ึก า
แฟลตดินแดง.” ิทยานิพนธ์ าขา ิชา ถาปัตยกรรมพ้ืนถิ่น คณะ ถาปัตยกรรม า ตร์
ม า ทิ ยาลัย ิลปากร
ภารดี ม าขันธ.์ (2555). การต้ังถิ่นฐานและพัฒนาการของภาคตะวันออกยุคปรับปรุงประเทศ
ตามแบบ มัย ใ ม่ถึงปัจจุบัน. ชลบุรี : าขา ิชาไทย ึก า คณะมนุ ย า ตร์และ
งั คม า ตร์ ม า ทิ ยาลยั บรู พา.
มนตรี ตู้จนิ ดา. (2558). “ทา� เนียบ กลุ ‘ตู้จนิ ดา’.” (เอก ารอัด า� เนา).
มนทริ า เตชะมโนดม. (2539). “เซยี ง ย: การกอ่ ตั ขององคก์ รนา� ชา จนี ใน งั คมไทย (พ. . 2452-2460).”
ทิ ยานพิ นธ์ งั คม ทิ ยาและมานุ ย ทิ ยาบัณฑิต (มานุ ย ทิ ยา) ม า ทิ ยาลัยธรรม า ตร.์
ิจติ ร าทการ, ล ง. (2561). ประวตั ศิ า ตร์ ากล. กรงุ เทพฯ : �านักพมิ พ์แ งดา .
กินเนอร์, จี. ิลเลี่ยม. (2529). ังคมจีนในประเทศไทย: ประวัติศา ตร์เชิงวิเคราะ ์. แปลโดย
พรรณี ฉัตรพลรัก ์. ชาญ ิทย์ เก ตร ิริ, บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการต�ารา
ังคม า ตร์และมนุ ย า ตร.์
มบัติ พลายน้อย. (2544). ารคดีวถิ ชี วี ิตคนไทย มัยโบราณ ชีวิตตามคลอง. กรงุ เทพฯ: ายธาร.
. (2544) . ชีวติ รมิ คลอง. กรุงเทพฯ: ายธาร.
. (2555) . เร่ืองเล่าบางกอก. กรงุ เทพฯ: พิมพ์ค�า.
ันต์ ท. โกมารบตุ ร. (2552). เลา่ เรือ่ งกรุง ยาม. พิมพค์ รั้งที่ 4. นนทบุร:ี รีปญั ญา.
ายชล ัตยานุรกั ์. (2558). “รายงาน ิจัยฉบับ มบรู ณ์ โครงการ การ ิจัยเพือ่ ร้างองคค์ ามรูใ้ ม:่
ประ ตั ิ า ตร์ ังคมไทย.” า� นักงานกองทุน นับ นุนการ จิ ัย ( ก .).
า� นกั รรณกรรมและประ ัติ า ตร.์ (2557). ยามและลาวใน ายตามชิ ชันนารอี เมรกิ ัน. กรงุ เทพฯ:
กรม ิลปากร.
68
ิทธพิ ล เครื รัฐติกาล. (2555). ประ ัติ า ตรจ์ ีน มยั ใ ม.่ กรุงเทพฯ: ช น า่ น.
ุจิตต์ ง เ์ ท . (2539). แมน่ ้า� ลา� คลอง ายประ ัติ า ตร.์ กรุงเทพฯ : �านกั พมิ พม์ ติชน .
ภุ างค์ จนั ท านิช. (2559). �าเพ็ง ประ ตั ิ า ตร์ชมุ ชนชา จีนในกรงุ เทพฯ. กรงุ เทพฯ: �านกั พมิ พ์
แ ง่ จุ าลงกรณม์ า ทิ ยาลัย.
รุ ิยะ บุญ ักด์ิ. (2547). ยอ้ นรอย...ตลาดเก่าเมือง ยาม : แ ล่งจบั จ่ายใช้ อยเพอื่ การด�ารงชีพ.
กรุงเทพฯ: นั ชนะ.
นัง ือภา าองั กฤ
Askew, Marc. (2002). Bangkok: Place, Practice and Representation. London; New York:
Routledge.
Herzfeld, Michael. (1997). Cultural Intimacy: Social Poetics in the Nation-State.
New York: Routledge.
Tanabe Shigeharu. (1997). Historical Geography of the Canal System in the
Chao Phraya Delta from the Ayutthaya Period to the Fourth Reign of the
Ratanakosin Dynasty. Kyoto: Center for Southeast Asian Studies, Kyoto University.
เ ็บไซต์
กรม ลิ ปากร. (2561). นริ า พระแทน่ ดงรงั . เขา้ ถงึ เมื่ 15 พฤ จกิ ายน. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก https://vajirayana.org/
นริ า พระแท่นดงรงั -ข ง ามเณรกลน่ั / ามเณรกลนั่ .
คมชัดลึก. (2561). ท่าฉลอม ชุมชนประมงท่าจีน ุขาภิบาลแ ่งแรกของภูมิภาค. เข้าถึงเมื่
23 พฤ จกิ ายน. เข้าถงึ ได้จาก http://www.komchadluek.net/news/local/4408
จักรนิ ทร์ ธนากรเกรียงไกร. (2561). บคุ คล �าคญั ของจัง ัด มุทร าคร. เขา้ ถงึ เมื่ 15 พฤ จิกายน.
เข้าถงึ ไดจ้ าก http://topbrass-sk.blogspot.com.
เท บาลนคร มุทร าคร. (2561). Maps of World, Samut Sakhon. เขา้ ถึงเม่ื 23 พฤ จกิ ายน.
เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.mapsofworld.com/thailand/provinces/samut-sakhon-map.html.
นฤพนธ์ ด้ ง ิเ . (2562). Kinship. เข้าถึงเม่ื 30 มิถุนายน. เข้าถึงได้จาก http://www.sac.
or.th/databases/anthropology-concepts/glossary/76.
69
นงั อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
พรพรรณ จันทโรนานนท์. (2562). ชาวจีนในไทยมาจากไ น เปิดประวัติการอพยพยุคแรกเร่ิม
ถึงการผ มกลมกลืนทางวฒั นธรรม. เข้าถึงเม่ือ 30 มิถนุ ายน. เขา้ ถึงได้จาก https://www.
silpa-mag.com /history/article_26173.
ผใู้ ข้ ้อมูล
เกษสุภัสส์ บุษบามงคล. (2561). สมั ภาษณ,์ 1 มิถนุ ายน.
ณฐั กาญ สธุ รรมชัย. (2561). สมั ภาษณ,์ 2 มิถุนายน.
ธงชยั เทียมเพม่ิ พูน. (2561). สัมภาษณ,์ 2 มิถุนายน.
ประดษิ ฐ์ มาประชมุ . (2561). สัมภาษณ,์ 1 มถิ นุ ายน.
ปราโมทย์ แสงสขุ เอยี่ ม. (2562). สัมภาษณ,์ 28 มกราคม.
พรจิตร สรอ้ ยเพชร. (2562). สมั ภาษณ,์ 28 มกราคม.
ภาณุ ทองผาสกุ . (2562). สัมภาษณ,์ 28 มกราคม.
ลา้� เลิศ พรศิรจิ ินดา. (2561). สมั ภาษณ์, 1 มถิ นุ ายน.
สมศกั ดิ์ สจุ ริตจริยากลุ . (2561). สัมภาษณ์, 2 มิถุนายน.
สนุ ทร โผนปต.ิ (2561). สัมภาษณ,์ 1 มถิ ุนายน.
สนุ ยี ์ ทบั ทมิ ทอง. (2562). สัมภาษณ,์ 28 มกราคม.
สุวณั ชยั แสงสุขเอย่ี ม. (2562). สัมภาษณ์, 28 มกราคม.
อนันต ลอื ประเสริฐ. (2562). สัมภาษณ,์ 18 มิถุนายน.
อดุ ม ตจู้ นิ ดา. (2562). สัมภาษณ,์ 28 มกราคม.
อบุ ล รอดเรืองสันต.์ (2561). สัมภาษณ,์ 1 มิถนุ ายน.
อา� ภา ทองสิมา. (2561). สัมภาษณ,์ 2 มถิ ุนายน.
70
ยุคก่อนประวตั ศิ าสตรใ์ นอ�าเภอไพศาลี :
ผลการศึกษาทางโบราณคดี พ.ศ. 2560*
Prehistory in Phaisali District : Preliminary results
on the archaeological studies in 2017
ดร.นฤพล วังธงชยั เจริญ**
และบริ ุทธิ์ บริพนธ*์ **
Naruphol Wangthongchaicharoen
and Borisut Boripon
* บทความน้ีเป็น ่วน นึ่งของโครงการวิจัยพัฒนาการทางวัฒนธรรมของชุมชนแรกเร่ิมในเขตอ�าเภอไพศาลี
จัง วัดนคร วรรค์
** อาจารย์ประจ�าภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี ม าวทิ ยาลัยศิลปากร
*** นักวิจยั ปฏบิ ตั ิการประจ�าภาควชิ าโบราณคดี คณะโบราณคดี ม าวิทยาลยั ศลิ ปากร
71
นงั อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทคดั ย่อ
อา� เภอไพ าลี จงั ดั นคร รรค์ ตง้ั อยบู่ รเิ ณทร่ี าบลอนลกู คลนื่ ดา้ นทิ ตะ นั ออกของเขตทรี่ าบ
ภาคกลางของประเท ไทย ผลการ ึก าทางโบราณคดีที่ผ่านมาได้พบ ลักฐานแ ดงถึงการประกอบ
กิจกรรมของมนุ ย์ต้ังแต่ยุคก่อนประ ัติ า ตร์ ใน มัย ินใ ม่เป็นต้นมา บทค ามนี้มี ัตถุประ งค์เพื่อ
นา� เ นอผลการ า� ร จทางโบราณคดบี รเิ ณพน้ื ทอ่ี า� เภอไพ าลี ร มทงั้ ผลการขดุ คน้ แ ลง่ โบราณคดบี า้ นไร่
ประชา รรค์ใน พ. . 2560 ที่พบ ลกั ฐาน ลมุ ฝัง พมนุ ยจ์ า� น น 1 โครง มคี า่ กา� นดอายุเชงิ ัมบูรณ์
2,571-2,763 ปมี าแล้ ทง้ั นต้ี ั อยา่ งโครงกระดกู มนุ ยท์ พ่ี บมคี า่ ไอโซโทปเ ถยี รของคารบ์ อนใกลเ้ คยี งกบั
ค่าเฉลี่ยของตั อย่างประชากรยุคก่อนประ ัติ า ตร์ในภาคกลางของประเท ไทยเช่นที่แ ล่งโบราณคดี
บ้านใ มช่ ยั มงคลและโนน มากลา
ค�ำส�ำคญั : ยคุ ก่อนประ ัติ า ตร์, ภาคกลาง, อ�าเภอไพ าล,ี แ ลง่ โบราณคดีบ้านไร่ประชา รรค์
Abstract
Phaisali District, Nakhon Sawan Province is located on the eastern undulating
plain of central Thailand. Based on the previous archaeological investigation results, much
archaeological evidence found in this area and can be datable to the Neolithic Period.
This article aims to present the preliminary results of an archaeological survey on this
area, including the excavation of Ban Rai Prachasan archaeological site in 2017 that one
burial was uncovered and have an absolute dated to approximately 2,571-2,763 BP.
Moreover, the stable carbon isotope analyzes from this individual is similar to the average
values of the prehistoric populations in central Thailand like as Ban Mai Chaimongkol and
Non Mak La.
Keywords : Prehistory, Central Thailand, Phaisali District, Ban Rai Prachasan Archaeological
Site.
73
นงั ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เน่อื งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทน�ำ
ไพ าลเี ปน็ อา� เภอ นง่ึ ตง้ั อยใู่ นเขตทอ้ งทกี่ ารปกครองของจงั ดั นคร รรค์ มลี กั ณะภมู ิ า ตร์
ตงั้ อยบู่ รเิ ณทรี่ าบลอนลกู คลนื่ รอื ทร่ี าบขน้ั บนั ได และเขตภเู ขาทผี่ า่ นการ กึ กรอ่ นตอ่ เนอื่ งจากแน เทอื ก
เขาเพชรบูรณ์ บริเ ณด้านทิ ตะ ันออกของจัง ัด และพื้นที่ขอบแอ่งเจ้าพระยาด้านทิ ตะ ันออก
มรี ะดบั ค าม งู เฉลย่ี ระ า่ ง 20-100 เมตรเ นอื ระดบั นา�้ ทะเลปานกลาง เปน็ แ ลง่ ตน้ นา�้ ของลา� นา�้ าขา
เจา้ พระยาตอนลา่ งดา้ นทิ ตะ นั ออกทไ่ี ลลงแมน่ า้� เจา้ พระยาทบี่ งึ บอระเพด็ (กรมทรพั ยากรธรณี 2544,
2550) มีอาณาเขตติดต่อกับจัง ัดเพชรบูรณ์และลพบุรี และต้ังอยู่ ่างจากแม่น�้าเจ้าพระยาทางด้าน
ทิ ตะ นั ตกประมาณ 50 กโิ ลเมตร กบั แมน่ า้� ป่า กั ทางดา้ นทิ ตะ ันออกประมาณ 40 กโิ ลเมตร
ด้ ยปจั จยั ทางภมู ิ า ตรท์ ตี่ ง้ั ระ า่ งทร่ี าบลมุ่ แมน่ า�้ า� คญั ทง้ั อง เปน็ จดุ เชอ่ื มตอ่ ระ า่ งพน้ื ท่ี
ภาคกลางและภาคตะ นั ออกเฉยี งเ นอื และด้ ยค าม มบรู ณข์ องทรพั ยากรธรรมชาตทิ ง้ั ปา่ ไมแ้ ละภเู ขา
ง่ ผลใ พ้ น้ื ทไ่ี พ าลมี คี ามเ มาะ ม า� รบั การตง้ั ถน่ิ ฐานของมนุ ยต์ งั้ แตย่ คุ กอ่ นประ ตั ิ า ตรเ์ ปน็ ตน้ มา
ดงั พบ ลกั ฐานทางโบราณคดปี ระเภทตา่ ง ๆ ทแ่ี ลง่ โบราณคดแี ละโบราณ ถานในเขตไพ าลเี ชน่ ลกั ฐาน
การฝงั พมนุ ยใ์ น มยั เ ลก็ ทแ่ี ลง่ โบราณคดี ดั โพธปิ์ ระ าท รอ่ งรอยคนู า�้ -คนั ดนิ ของเมอื งโบราณบรเิ ณ
เมอื งโบราณไพ าลี (บา้ น นองไผ)่ และโบราณ ถานอิฐ มัยอยุธยาภายในเขตเมอื งอภัย า ี (ไพ าลี)
การ ึก าทางโบราณคดีทีผ่ า่ นมาภายในพ้ืนท่เี ร่มิ ข้นึ ตงั้ แตป่ ระมาณ พ. . 2500 ประกอบด้ ย
โครงการ า� ร จและการขดุ คน้ ทางโบราณคดคี รงั้ า� คญั ๆ เชน่ โครงการร่ มระ า่ งไทย-องั กฤ ทขี่ ดุ คน้
แ ลง่ โบราณคดโี คกเจรญิ อา� เภอชยั บาดาล จงั ดั ลพบรุ ี พ. . 2508-2510 (Thai-British Archaeological
Expedition 1965-1967) (Watson and Loofs, 1967; Loofs and Watson, 1970) การขดุ ค้นเมอื ง
โบราณจนั เ น อา� เภอตาคลี จงั ดั นคร รรค์ (Bronson, 1976) โครงการโบราณคดปี ระเท ไทย (ภาคกลาง)
โดยกองโบราณคดี กรม ิลปากร (กองโบราณคด,ี 2530) โครงการร่ มโบราณคดีโล ะ ทิ ยาประเท ไทย
พ. . 2527-2531 (Thailand Archaeometallurgy Projection 1984-1988) (Pigott and Natapintu,
1990) และการขดุ คน้ แ ลง่ โบราณคดบี า้ นโปง่ มะนา อา� เภอพฒั นานคิ ม จงั ดั ลพบรุ ี พ. . 2543-2557
( ุรพล นาถะพนิ ธุ, 2545, 2550)
ผลการ กึ าพบ ลกั ฐานการตงั้ ถน่ิ ฐานของชมุ ชนแรกเรม่ิ ตงั้ แตย่ คุ กอ่ นประ ตั ิ า ตร์ ประมาณ
4,000 ปีมาแล้ ตรงกบั มยั ินใ มจ่ ากการจัดล�าดบั อายุทางโบราณคดยี คุ กอ่ นประ ัติ า ตร์ (Rispoli,
Ciarla, and Pigott, 2013; Higham and Rispoli, 2014; กรม ลิ ปากร, 2550: 497) รือช่ งต้น
พฒั นาการ ฒั นธรรม ยคุ กอ่ นประ ตั ิ า ตรร์ ะยะท่ี 3 ของไทย ( รุ พล นาถะพนิ ธ,ุ 2550) โดยพบ ลกั ฐาน
การฝงั พทแี่ ลง่ โบราณคดโี นนปา่ าย อา� เภอโคก า� โรง แ ลง่ โบราณคดบี า้ นทา่ แค อา� เภอเมอื งลพบรุ ี
แ ล่งโบราณคดีโคกเจริญ อ�าเภอชัยบาดาล จัง ัดลพบุรี ร มถึง ลักฐานในชั้น ัฒนธรรมระยะที่ 1
ของแ ล่งโบราณคดีบา้ นใ ม่ชยั มงคล อา� เภอตาคลี จัง ดั นคร รรค์ ( ุรพล นาถะพินธุ, 2550: 91)
เป็นชุมชนขนาดเล็ก ยังชีพท้ังด้ ยการ าอา ารผ มกับการเพาะปลูก มีการผลติ ภาชนะดินเผาเพ่ือใช้
ในชี ติ ประจา� ันและพิธีกรรม
74
ต่อมาประมาณ 1,500-3,000 ปีมาแล้ ยุคก่อนประ ัติ า ตร์ตอนปลายตรงกับ มัย �าริด
(2,500-3,000 ปมี าแล้ ) และ มัยเ ลก็ (1,500-2,500 ปีมาแล้ ) พบการตั้งถน่ิ ฐานของชุมชน นาแน่น
ขน้ึ ในเขตภาคกลางและทร่ี าบลอนลกู คลน่ื ตาคล-ี โคก า� โรง ชมุ ชนมกั เลอื กตงั้ ถนิ่ ฐานบนพน้ื ทลี่ อนลกู คลนื่ งู
ก า่ บริเ ณโดยรอบ ตั้งอยใู่ กลล้ �านา�้ าขา รือใกลแ้ ลง่ ตาน้า� ที่ซมึ ข้นึ มาจากใตด้ ิน เชน่ น้�าพุ นา้� ซับต่าง ๆ
ในเขตลานตะพกั ปนู มารล์ ระดบั ค าม งู ระ า่ ง 50-99 เมตร เ นอื ระดบั นา�้ ทะเลปานกลาง มคี ามอดุ ม
มบรู ณข์ องดนิ งู เชน่ ชดุ ดนิ ลพบรุ ี บา้ น มี่ และตาคลี และใกลก้ บั แ ลง่ ทรพั ยากรธรรมชาตทิ งั้ นิ ปนู และ
ทองแดง ( รรณี ภมู ิจิตร, รุ พล นาถะพนิ ธุ และพิ ฐิ เจริญ ง ์, 2527; Onsuwan, 2003, 2006; นั า
โิ รจนารมย,์ 2545)
ชมุ ชนเ ลา่ นด้ี า� รงชพี ด้ ยการเก ตรกรรมทง้ั การเพาะปลกู ขา้ และขา้ ฟา่ ง การเลยี้ ง ตั ไ์ ดแ้ ก่
มู ไก่ และ ั ร มถงึ การ าอา ารจากแ ลง่ อา ารธรรมชาตทิ ง้ั แ ลง่ นา�้ และพนื้ ทปี่ า่ โดยรอบ อดคลอ้ ง
กับระบบนิเ น์และ ภาพแ ดล้อมของพื้นที่ ( ่าง เลิ ฤทธิ์, 2547; Liu, 2012) ใช้เคร่ืองมือและ
เคร่ืองประดับที่ผลิตจาก ิน เปลือก อย และโล ะ มีค ามรู้ค ามก้า น้าเกี่ย กับเทคโนโลยีการผลิต
โล ะผ มอยา่ ง า� รดิ ทม่ี อี ตั รา ่ นทองแดง 85-90% และดบี กุ 10-15% ตงั้ แตป่ ระมาณ 3,000 ปมี าแล้
การทา� า� รดิ ที่มีดีบุกผ มในปริมาณ ูง ร มทั้งการใช้เ ล็กมาท�าเคร่ืองมือเครื่องใช้เม่ือประมาณ 2,300-
2,500 ปีมาแล้ ( รุ พล นาถะพนิ ธ,ุ 2550)
พิธีกรรมเก่ีย กับค ามตาย การขุดค้นท่ีแ ล่งโบราณคดีบ้านใ ม่ชัยมงคล อ�าเภอตาคลี กับที่
แ ล่งโบราณคดี ัดโพธ์ปิ ระ าท อา� เภอไพ าลี ไดพ้ บ ลกั ฐานการฝงั พและโครงกระดูกมนุ ย์ ก�า นด
อายุประมาณ 1,500-3,000 ปีมาแล้ เป็นการฝัง พท่านอน งายเ ยียดยา าง พไปตามแน แกน
ทิ ต่าง ๆ ร่ มกับ ัตถุอุทิ ทั้ง ม้อก้นกลมและ ม้อทรงพาน พบการทุบเ ภาชนะดินเผา างปูรอง
และ างทับบนล�าตั เคร่ืองประดับเปลือก อยและ ินก่ึงอัญมณี ร มทั้งการฝังเคร่ืองมือ อา ุธ และ
เครอ่ื งประดบั โล ะไ ้กบั พ (ทิ า เผื่อนปฐม, 2538; ข ัญฤทัย ช้นิ มาลัย และคณะ, 2539)
ังคม มัยโล ะตอนต้น รือ มัย �าริดบริเ ณท่ีลอนลูกคล่ืนโคก �าโรง-ตาคลี เป็น ังคม
เก ตรกรรมทไ่ี มซ่ บั ซอ้ นมากนกั ไมพ่ บ ลกั ฐานทแี่ ดงถงึ การร มอา� นาจที่ นู ยก์ ลางและการตดิ ตอ่ แลกเปลย่ี น
ทางไกล แต่ใน มัยเ ล็กเริ่มปรากฏ ลักฐานการแลกเปล่ียนกับชุมชนภายนอกภูมิภาคทั้งโบราณ ัตถุ
ประเภทเ ลก็ และลูกปัดแก้ ซึง่ ยงั คงไมม่ กี ารปกครองแบบร ม ูนยช์ ัดเจน (Onsuwan, 2006, 2010)
แตกต่างกับชมุ ชนร่ ม มยั บริเ ณท่ีราบลุ่มภาคกลางและ ที่ราบ งู ภาคตะ ันออกเฉียงเ นือมีพัฒนาการ
งั คมระดบั แ น่ แค น้ (chiefdom) เปน็ งั คมทมี่ ลี า� ดบั ขน้ั (hierarchy) ด้ ยค ามกา้ นา้ ทางเทคโนโลยี
ในการผลติ เ ลก็ การเก ตรกรรมแบบเข้มขน้ และการตดิ ต่อแลกเปล่ียนทางไกลกบั ภายนอกโดยเฉพาะ
อินเดียและจนี (Higham and Rispoli, 2014)
งั คมที่ยงั ไมม่ รี ะดบั ขนั้ และการร ม ูนยช์ ัดเจน (heterarchy) ในพน้ื ท่ีลอนลกู คล่ืนโคก �าโรง-
ตาคลเี ล่าน้ี ตอ่ มาในช่ งประมาณพุทธ ต รร ท่ี 6 ไดพ้ ฒั นาการข้ึนเป็นเมือง มีการขุดคนู �้า-คันดินเพื่อ
ประโยชนใ์ ช้งาน การ รา้ ง า น ถานและงาน ิลปกรรมทไี่ ดร้ บั แรงบนั ดาลใจ และอิทธิพลทาง า นา
และ ัฒนธรรมจากอินเดียเป็น �าคัญ เช่นเมืองจันเ น อ�าเภอตาคลี (Bronson and Dales, 1970;
75
นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เน่อื งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
Bronson, 1976) เมอื งไพ าลี อา� เภอไพ าลี ร มทง้ั เมืองโบราณอนื่ ในบริเ ณใกล้เคียงอยา่ งเมอื งดอนคา
อา� เภอทา่ ตะโก และเมอื งบน อา� เภอพยุ ะคีรี ในลมุ่ แมน่ �า้ เจา้ พระยา เมอื ง รเี ทพ อ�าเภอ รีเทพ จัง ัด
เพชรบรู ณ์ และเมืองซบั จ�าปา อา� เภอทา่ ล ง จัง ัดลพบรุ ี ในเขตลมุ่ น้�าป่า ัก
ท้ัง มดท่ีกล่า มาข้างต้นเป็นการทบท นข้อมูลผลการ ึก าทางประ ัติ า ตร์และโบราณคดี
ยคุ กอ่ นประ ตั ิ า ตรถ์ งึ ยคุ ประ ตั ิ า ตรต์ อนตน้ ในพน้ื ทภ่ี าคกลางของไทย โดยเฉพาะบรเิ ณทรี่ าบลอน
ลกู คลน่ื ดา้ นทิ ตะ นั ออกทเ่ี ปน็ เขตทต่ี งั้ ของอา� เภอไพ าลี อยา่ งไรกต็ ามผลการ กึ าทไี่ ดย้ งั ไมค่ รอบคลมุ
พน้ื ท่ีการ กึ านท้ี ้งั มด กอปรกับเม่อื รา ตน้ พ. . 2560 บริเ ณแ ล่งโบราณคดีบ้านไร่ประชา รรค์
ได้มีการพบโบราณ ัตถุประเภทต่าง ๆ เช่นช้ิน ่ นกระดูกช้าง โครงกระดกู มนุ ย์ และชนิ้ ่ นภาชนะ
ดินเผาโดยบังเอิญจากการขุดปรับพ้ืนที่เพื่อใช้ปลูกต้นอินทผลัม ทางภาค ิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี
ม า ทิ ยาลยั ลิ ปากร ไดร้ บั การประ านจากทางพิพิธภัณฑ์ชุมชนบ้านไร่ประชา รรค์และอ�าเภอไพ าลี
เพื่อด�าเนินโครงการ ิจัยพัฒนาการทาง ัฒนธรรมของชุมชนแรกเริ่มในเขตอ�าเภอไพ าลี จัง ัด
นคร รรค์ โดยได้รับการ นับ นุนจากอ�าเภอไพ าลี จัง ัดนคร รรค์ ในปีงบประมาณ 2560
เป็นจา� น น 495,000 บาท
การ จิ ยั ครงั้ น้ีมขี อบเขตการดา� เนนิ งานเพอื่ การทบท นผลการ กึ าทเ่ี กย่ี ขอ้ ง การ า� ร จทาง
โบราณคดีพ้ืนท่ีอ�าเภอไพ าลีในข้ันต้น การขุดกู้ ลักฐานและขุดค้นแ ล่งโบราณคดีบ้านไร่ประชา รรค์
และการ ่งตั อย่าง ลักฐานเพื่อก�า นดค่าอายุทาง ิทยา า ตร์ที่ ้องปฏิบัติการต่างประเท โดยมี
ตั ถปุ ระ งคเ์ พอื่ (1) ทราบถงึ อายุ มยั ของชมุ ชนแรกเรมิ่ กบั ลา� ดบั พฒั นาการ งั คมและ ฒั นธรรมยคุ กอ่ น
ประ ตั ิ า ตรภ์ ายในอา� เภอไพ าลี และ (2) การนา� ค ามรทู้ ไ่ี ดม้ าประยกุ ตใ์ ชเ้ พอื่ การจดั แ ดงนทิ รร การ
และโบราณ ตั ถภุ ายในพพิ ธิ ภณั ฑช์ มุ ชนบา้ นไรป่ ระชา รรค์ โรงเรยี นบา้ นไรป่ ระชา รรค์ ใ ถ้ กู ตอ้ งตาม ลกั
ชิ าการ กบั เพอ่ื ง่ เ รมิ กระบ นการเรยี นรู้ และการมี ่ นร่ มของนกั เรยี นและคนในทอ้ งถน่ิ เพอื่ การจดั การ
มรดกทาง ัฒนธรรมของชุมชนอย่างเ มาะ มและยั่งยืนต่อไป
กำรส�ำรวจทำงโบรำณคดีพ้นื ทอ่ี ำ� เภอไพศำลี
การ �าร จพ้ืนที่อ�าเภอไพ าลีใน พ. . 2560 พบแ ล่งโบราณคดีและโบราณ ถานยุคก่อน
ประ ัติ า ตรแ์ ละยุคประ ตั ิ า ตรท์ ่ีมีขอ้ มูลตามฐานข้อมลู เดิมและท่ี �าร จพบใ ม่ จา� น น 20 แ ล่ง
และมีอย่างนอ้ ย 5 แ ล่ง ประเมนิ ่าเป็นแ ล่งโบราณคดียคุ กอ่ นประ ัติ า ตร์ (ตารางท่ี 1, ภาพที่ 1)
่ นใ ญต่ งั้ อยใู่ นเขตลานตะพกั ลา� นา�้ และลานตะพกั ลา� นา้� ระดบั ตา่� มี ภาพโดยรอบเปน็ ทร่ี าบลอนลกู คลนื่
ค าม ูงต้ังแต่ 20-100 เมตรเ นอื ระดับนา้� ทะเลปานกลาง และต้ังอยใู่ กลก้ บั ล�า ้ ยต่าง ๆ เชน่ ้ ยโพธิ์
ประ าท ้ ยเขา ลกั ชยั ในเขตลุ่มน�้าเจา้ พระยาตอนบนทีม่ ตี น้ ก�าเนดิ จากเนนิ เขาด้านทิ ใตข้ องจัง ัด
นคร รรค์
ลักฐานทางโบราณคดีที่พบจากการ �าร จระดับผิ ดินในครั้งน้ี กับผลการ �าร จและขุดค้น
แ ลง่ โบราณคดี ดั โพธปิ์ ระ าททผ่ี า่ นมา ่ นใ ญพ่ บเปน็ ชน้ิ ่ นภาชนะดนิ เผาเนอ้ื ดนิ ชนิ้ ่ นข าน นิ ขดั
เคร่ืองมือเ ล็กแบบมีบ้อง ก้อนตะกรันโล ะ และ ลักฐานการฝัง พ ก�า นดอายุเชิงเทียบได้ตั้งแต่
6
มัย ินใ ม่ต่อเน่ืองถึง มัยเ ล็ก ร มถึงพบ ลักฐานการใช้พื้นท่ีต่อเนื่องในยุคประ ัติ า ตร์ที่แ ล่ง
โบราณคดี ดั โพธิ์ประ าทและโคกกระ ง
ตำรำงที่ 1 ขอ้ มูลเบอื้ งต้นผลการ �าร จแ ลง่ โบราณคดยี ุคก่อนประ ตั ิ า ตร์ในอ�าเภอไพ าลี
ท่ี แ ล่งโบรำณคดี พกิ ดั ภูมิ ำ ตร์ ลกั ณะภมู ปิ ระเท โบรำณ ตั ถทุ ่ีพบ
1 บ้านไรป่ ระชา รรค์ UTM Zone 47P ระดับผิ ดิน
2. ดั โพธิ์ประ าท
672043 m. E., ลานตะพกั ล�าน้�าระดับตา่� - ชน้ิ ่ นข าน ินขดั
(บา้ นโพธปิ์ ระ าท)
1707124 m. N. พ้ืนทโี่ ดยรอบเป็นทร่ี าบลอนลกู คลนื่ - ชิน้ ่ นภาชนะดินเผาเนอ้ื ดิน
3. บ้านโคง้ อง
4. บ้านบ่อไทย ามคั คี - กอ้ นตะกรนั โล ะ
5. โคกกระ ง
666159 m. E., ลานตะพักล�านา้� ระดับต่า� - ช้ิน ่ นเครือ่ งมือเ ล็กมบี ้อง
1704219 m. N. พน้ื ทโ่ี ดยรอบเปน็ ท่ีราบลอนลกู คลืน่ - ช้ิน ่ นภาชนะดนิ เผาเน้ือดนิ
*การ �าร จและขุดค้นทาง
โบราณคดเี ดมิ พบ ลกั ฐาน ลมุ
ฝัง พยุคก่อนประ ัติ า ตร์
ตอนปลาย และ ลกั ฐานการอยู่
อา ัยยคุ ประ ัติ า ตรต์ อนต้น
667513 m. E., ลานตะพักล�าน�้า พ้ืนท่ีโดยรอบเป็น - ชิ้น ่ นภาชนะดินเผาเน้อื ดนิ
1706013 m. N. ทร่ี าบลอนลูกคลน่ื
674807 m. E., ลานตะพกั ล�าน�้า - ชน้ิ ่ นภาชนะดนิ เผาเนื้อดนิ
1706957 m. N. - โครงกระดูกมนุ ย์
667513 m. E., พน้ื ทดี่ อน เนนิ ดนิ ขนาดก า้ งประมาณ - ชนิ้ ่ นภาชนะดินเผาเนือ้ ดิน
1706013 m. N.
50 เมตร พ้ืนทโ่ี ดยรอบเปน็ ทรี่ าบลุม่ เน้อื แกร่ง และเน้ือกระเบ้อื ง
ต�า่ น�า้ ท่ มถงึ *ก�า นดอายุเชิงเทียบได้ต้ังแต่
ยคุ กอ่ นประ ัติ า ตร์-
ยคุ ประ ัติ า ตร์
77
นัง อื รวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เนอื่ งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ภำพที่ 1 ทต่ี ั้งแ ล่งโบราณคดยี ุคกอ่ นประวัติศา ตร์ และเมอื งโบราณที่มีคนู า้� -คันดินลอ้ มรอบ
เขตจงั วดั นคร วรรค์ ลพบุรี และเพชรบรู ณ์
(ที่มา : ดดั แปลงจากภาพถา่ ยดาวเทยี ม Landsat 7 พ.ศ. 2547-2548)
78
กำรขดุ คน้ แ ลง่ โบรำณคดีบ้ำนไร่ประชำ รรค์ อ�ำเภอไพศำลี
แ ลง่ โบราณคดบี า้ นไรป่ ระชา รรคต์ งั้ อยใู่ นเขตลานตะพกั ลา� นา้� ระดบั ตา่� โดยรอบเปน็ เขตทร่ี าบ
ลอนลกู คลนื่ ตรงกลางแ ลง่ มลี า� ้ ยเขา ลกั ชยั ไ ลผา่ นตามแน แกนทิ ตะ นั ออกเฉยี งใต-้ ตะ นั ตกเฉยี งเ นอื
ปัจจุบันมีการใช้ประโยชน์พ้ืนท่ีแ ล่ง �า รับการเก ตรกรรมเป็น ลักทั้งไร่ข้า โพด มัน �าปะ ลัง พริก
กาแฟ ฯลฯ (ภาพท่ี 2)
การขดุ ตร จและขดุ กู้ ลกั ฐานทพ่ี บใน ลมุ ขดุ คน้ ทางโบราณคดที ี่ 1 (TP. 1) บรเิ ณเนนิ ดนิ ดา้ น
ทิ ตะ นั ออกของ ้ ยเขา ลกั ชยั และท่ี ลมุ ขดุ คน้ ทางโบราณคดที ่ี 2 (TP. 2) บรเิ ณเนนิ ดนิ ดา้ นทิ ตะ นั ตก
ของลา� ้ ย ร มพืน้ ท่ีการขุดคน้ ทั้ง มด 51 ตารางเมตร (ตารางที่ 2) พบชิน้ ่ นกระดกู ชา้ งและ ลุมฝงั
พมนุ ย์ ร มทงั้ โบราณ ตั ถปุ ระเภทภาชนะอทุ ิ ชน้ิ ่ นปากและภาชนะดนิ เผาเนอ้ื ดนิ เปลอื ก อยทากบก
และชิ้น ่ นกระดูก ัต ์ ท้ังน้ีแม้พบในปริมาณน้อยและไม่ นาแน่น แต่ก็แ ดงถึงชั้นดินที่พบร่องรอย
กิจกรรมการอยู่อา ัยและการใช้งานของมนุ ย์ในบริเ ณบ้านไร่ประชา รรค์ตั้งแต่ยุคก่อนประ ัติ า ตร์
มยั า� รดิ เมอื่ รา 2,500-2,800 ปมี าแล้ กอ่ นทพี่ นื้ ทบ่ี รเิ ณดงั กลา่ อาจถกู ใชเ้ ปน็ พนื้ ทเี่ ก ตรกรรม รอื
เป็นพื้นที่ป่าท่ีไม่มีการใช้งานอีกเลยจนถึงการเข้ามาบุกเบิกของกลุ่มประชากรปัจจุบันเม่ือรา 30 ปีที่
ผ่านมาก็เป็นได้
79
นัง ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ภำพที่ 2 ที่ต้งั แ ล่งโบราณคดบี า้ นไร่ประชา รรค์และ ลุมขดุ ค้นทางโบราณท่ี 1-2
(ท่มี า : ดัดแปลงจากภาพถา่ ยทางอากา ออร์โธ เี ชิงเลข พ. . 2547 กรมพฒั นาท่ีดนิ กระทร งเก ตรและ กรณ)์
ตำรำงที่ 2 ขอ้ มูลเบ้อื งตน้ ผลการขุดคน้ แ ล่งโบราณคดีบา้ นไร่ประชา รรค์
ชอ้ มลู เบ้ืองตน้ ลมุ ขดุ ค้นทำงโบรำณคดที ่ี 1 ลมุ ขุดค้นทำงโบรำณคดที ่ี 2
พิกัดภูมิศำ ตร์ - 672073 m. E., 1707607 m. N. - 672026 m. E., 1707363 m. N.
UTM Zone
47P
ผงั และขนำด - ลมุ ขุดคน้ ผังรูปตั แอล ก า้ ง 6 เมตร ยา - ลมุ ขดุ คน้ ผงั รปู เี่ ลยี่ มผนื ผา้ ขนาดก า้ ง 3 เมตร
ลมุ ขดุ คน้ 8 เมตร ลกึ ประมาณ 1.7 เมตรจากระดับผิ ดนิ ยา 6 เมตร ลกึ ประมาณ 1.8 เมตรจากระดบั ผิ ดนิ
- ขนาดพน้ื ท่ีร ม 33 ตารางเมตร - ขนาดพื้นที่ร ม 18 ตารางเมตร
ลักฐำนทำง - ชิน้ ่ นกระดูกชา้ ง พบในระดบั ค ามลึก 70-110 - ลมุ ฝงั พ มายเลข 1 โครงกระดกู มนุ ย์ พบใน
โบรำณคดี
เซนติเมตรจากระดับผิ ดนิ ประกอบด้ ย ่ นลา� ตั ค ามลกึ 30-40 เซนตเิ มตรจากระดับผิ ดิน
และช่ งล่าง ่ นช่ งบนร มทั้งกะโ ลก ีร ะถูก พบรอ่ งรอยการขดุ ลมุ ฝงั พ โดย พฝงั ในทา่ นอน
รบก นจากการขดุ ตดั โดยรถไถเพอื่ การเก ตรกรรม งายเ ยียดยา ตามแกนทิ ตะ ันตกเฉียงใต้-
พ. . 2559 เป็นซากช้างท่ีมีอายุเมื่อตายยัง ตะ ันออกเฉยี งเ นือ โดย นั นา้ ไปทางทิ ตะ ัน
ไม่เจรญิ ยั อายปุ ระเมินเม่ือตายไม่ถงึ 6 ปี พบใน ออก พบรอ่ งรอยการมดั พบรเิ ณปลายเทา้ ขนาด
ลมุ ที่ถูกขุดลึกประมาณ 60-80 เซนติเมตร เพื่อฝัง ค ามยา งู ดุ ของโครงกระดกู จาก รี ะถงึ ปลาย
รือท�าลายซากเพื่อ ุขอนามัย รือการป้องกันโรค เทา้ 165 เซนตเิ มตร พบ ัตถุอทุ ิ ประเภทภาชนะ
ระบาดกเ็ ปน็ ได้ ดนิ เผาเนอื้ ดนิ ทรงพานและชามขนาดเลก็ จา� น น
- ช้ิน ่ นภาชนะดินเผาเน้ือดิน แบบเรียบ ตกแต่ง 8 ใบ างครอบบริเ ณ ีร ะ กระดูกกก ู กระดูก
ด้ ยลายเชอื กทาบ ทาเคลอื บนา้� ดนิ แี ดงและขดั มนั ทา้ ยทอย ปลายแขนซ้ายและข า ตน้ ขาข า และ
จา� น นระ ่าง 2-8 ช้นิ ตอ่ ระดับชัน้ ดิน มมติ ปลายเท้า ร มถึงการใช้ภาชนะจ�าน นอย่างน้อย
- ชิ้น ่ นกระดูก ัต ์ เช่นขากรรไกรล่างของเก้ง- 2 ใบมาทุบ รอื ทา� ใ ้แตกเพอ่ื นา� มาปรู องและ าง
ก าง กระดองเต่า กระดูก มู และเปลือก อยทาก ทบั พบรเิ ณ ีร ะและล�าตั ช่ งบน (ภาพท่ี 3)
บก ในระดบั ผิ ดินถึงระดบั ค ามลกึ 60 เซนตเิ มตร - ชน้ิ ่ นปากและภาชนะดนิ เผาเนอ้ื ดนิ แบบเรยี บ
จากผิ ดิน ลายเชอื กทาบ ทาเคลือบนา�้ ดิน แี ดง จา� น นร ม
ตง้ั แต่ 5-59 ชน้ิ ต่อระดบั ชน้ั ดิน มมติ
- ชิน้ ่ นกระดกู ตั ์ประเภทกระดูก นุ ัข เปลือก
อยทากบก และเปลือก อยกาบต้ังแต่ระดับผิ
ดนิ ถงึ ระดับค ามลึก 110 เซนตเิ มตรจากผิ ดิน
ลำ� ดบั ชน้ั ทำง - ก�า นดอายุ มัยเชิงเทียบจากข้อมูลและผล - ก�า นดอายุเชิง ัมบูรณ์จากโครงกระดูกมนุ ย์
วฒั นธรรม การก�า นดอายุทาง ิทยา า ตร์จาก ลุมขุดค้น ท่ีพบประมาณ 2,571-2,763 ปีมาแล้ ตรงกับ
ยุคก่อน ทางโบราณคดีท่ี 2 จัดอยู่ใน มัย �าริดตอนปลาย มยั า� รดิ ตอนปลาย ในพืน้ ท่ภี าคกลางของไทย
ประวตั ศิ ำ ตร์ ในพนื้ ท่ภี าคกลางของไทย
81
นงั อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ภำพที่ 3 ผงั ลุมฝงั ศพ มายเลข 1 รูปแบบของภาชนะอทุ ิศ
และค่ากา� นดอายเุ ชงิ ัมบรู ณ์ (คา่ อายคุ ารบ์ อน -14 ดว้ ยวิธี AMS)
การจ�าแนกโบราณ ัตถุประเภทชิ้น ่ นภาชนะดินเผาท่ีพบในเบ้ืองต้น จ�าน นร ม 217 ชิ้น
นา�้ นกั ร ม 1,984 กรมั พบ า่ ทง้ั มดเปน็ ชนิ้ ่ นภาชนะดนิ เผาเนอื้ ดนิ เนอ้ื ยาบ มแี รค่ อตซ์ ทราย ยาบ
และกร ดขนาดเลก็ ปนร่ มในเนอ้ื ภาชนะ ่ นใ ญข่ น้ึ รปู ด้ ยแปน้ มนุ แตบ่ าง ่ นยงั มกี ารขนึ้ รปู ด้ ยมอื
เผากลางแจ้ง ในอณุ ภูมติ �่า ประมาณ 400-550 อง าเซลเซีย (ด งกลม อั มา , 2555) จ�าแนกได้เป็น
ชน้ิ ่ นปากภาชนะดนิ เผา จา� น น 25 ชน้ิ นา้� นกั ร ม 491 กรมั ผิ ดา้ นนอก ี ม้ ม้ แดง น ล นา้� ตาลออ่ น
และเทา มขี นาดค าม นาระ ่าง 0.5-1.1 เซนติเมตร พบท้ังแบบปากตรงและปากโคง้ ออก ขนาดเ น้
ผ่าน ูนย์กลางปากภาชนะระ ่าง 7-33 เซนติเมตร โดยน่าจะเป็นช้ิน ่ นปากภาชนะรูปทรง ม้อ
ขัน รอื ชาม และพานขนาดเล็กถึงกลาง ่ นช้ิน ่ นคอ ไ ล่ ลา� ตั และฐาน รอื ก้นภาชนะที่พบมีขนาด
ค าม นาโดยเฉลี่ย 0.7 เซนติเมตร ีผิ ด้านนอกภาชนะ ่ นใ ญ่มี ี ้ม น ล เทา ้มแดง และด�า
ชน้ิ ่ นภาชนะเ ลา่ นพ้ี บมกี ารตกแตง่ มากก า่ แบบเรยี บ โดยนยิ มตกแตง่ ด้ ยการทาเคลอื บนา�้ ดนิ ทงั้ ดา้ น
นอกและดา้ นในภาชนะ เขยี น แี ดงบรเิ ณผิ ดา้ นนอกภาชนะ ตกแตง่ ด้ ยการทา� เปน็ เ น้ รอื นั นนู และ
การขดู ขดี เซาะรอ่ งเปน็ เ น้ คดโคง้ บรเิ ณไ ลภ่ าชนะ ร มทง้ั ตกแตง่ ด้ ยลายเชอื กทาบลอนเลก็ บรเิ ณ ่ นลา� ตั
่ นผลการจา� แนกกระดกู ตั แ์ ละเปลอื ก อยจาก ลมุ ขดุ คน้ ทางโบราณคดที ี่ 1-2 จา� น นร ม
83 ช้ิน น�้า นักร ม 914 กรัม ่ นใ ญ่รอ้ ยละ 81 เป็นชิ้น ่ นเปลือก อยฝาเดีย ประเภท อยทากบก
่ นท่เี ลือเป็นชนิ้ ่ นกระดูก ัต ต์ า่ ง ๆ เชน่ ช้ิน ่ นกระดองเต่า กระดกู ขอ้ เท้า calcaneus ของ มู
และกระดูกขากรรไกรล่างของ ัต ์ตระกูลเก้ง-ก าง จ�าน นอย่างละ 1 ชิ้น ใน ลุมขุดค้นทางโบราณคดี
ที่ 1 กบั ชนิ้ ่ นกระดกู ฝา่ เทา้ ุนขั จ�าน น 1 ชิ้น จาก ลุมขุดคน้ ทางโบราณคดีท่ี 2 และการพบช้นิ ่ น
กระดกู ยา ท่ีไม่ ามารถจา� แนกได้ จ�าน น 4 ชนิ้ ที่ปรากฏรอย ัต ฟ์ นั แทะบนผิ กระดูก
ผลกำรวิเครำะ ์โครงกระดกู ค่ำก�ำ นดอำยุ มั บูรณ์ และค่ำไอโซโทปเ ถียรของคำรบ์ อน
โครงกระดกู มายเลข 1 มี ภาพค าม มบรู ณป์ ระมาณรอ้ ยละ 70 โดยไมพ่ บใน ่ นของกระดกู
ัน ลังช่ งล�าตั และกระดูกต้นขาซ้าย �า รับชิ้น ่ นกระดูกท่ีพบมี ภาพช�ารุด ่ นใ ญ่แตก ักท้ัง
กะโ ลก รี ะ กระดกู ขากรรไกรลา่ ง กระดกู รยางคบ์ นและลา่ ง กระดกู ซโี่ ครง กระดกู นั ลงั และกระดกู
เชิงกราน มคี ราบ ินปนู เกาะตดิ แนน่ ในบาง ่ นโดยเฉพาะบริเ ณผิ ด้านนอกของกะโ ลก ีร ะ
การประเมินเพ จากลัก ณะทางกายภาพของกะโ ลก ีร ะและกระดูกเชิงกราน ตาม ิธีการ
ึก ามาตรฐาน ากล (Buikstra and Ubelaker, 1994) พบเป็นเพ ญิง มีค่าอายุประเมินเม่ือตาย
ระ ่าง 45-55 ปี อยู่ในกลุ่มช่ ง ัยผู้ ูงอายุ ประเมินจากการ ึกของชุดฟันขากรรไกรล่าง ระดับ H-I
ตามเกณฑก์ ารจา� แนกของเลฟิ จอย (Lovejoy, 1985) ประเมนิ ่ น งู จากการ ดั ค ามยา ของกระดกู ยา
ในการ ิเคราะ ์โครงกระดูกแบบติดท่ี (in situ) เม่ือค�าน ณตาม มการค าม ูงของคนไทยในปัจจุบัน
(นทั ธมน ภรู่ ีพัฒนพ์ ง ์ และคณะ, 2555) พบ า่ มคี าม ูงประมาณ 159 ± 4 เซนติเมตร
ค่าก�า นดอายุ ัมบูรณ์ของโครงกระดูกใช้การก�า นดอายุด้ ยการ าค่าคาร์บอน -14 โดยใช้
เครอื่ งมอื เชงิ ฟิ กิ ์ AMS (Accelerator Mass Spectrometry) ท่ี อ้ งปฎบิ ตั ิการ Beta Analytic Inc.
ประเท รฐั อเมรกิ า คา่ คอลลาเจนจากตั อยา่ งฟนั กรามนอ้ ยซท่ี ี่ 2 ดา้ นบนข า (#15) และฟนั กรามนอ้ ย
83
นัง อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เนอ่ื งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ซี่ท่ี 1 ดา้ นบนซา้ ย (#24) มีค่ากา� นดอายตุ ามปปี ฏิทิน (calibrated dating) ทีค่ ามนา่ จะเปน็ ร้อยละ
95.4 เทา่ กับ 2,571-2,763 ปมี าแล้ รอื 622-814 ปีกอ่ นคริ ตกาล ตรงกับ มัย า� รดิ ตอนปลาย รือ
มยั า� รดิ ระยะที่ 2 (Bronze Age 2) จากลา� ดบั พฒั นาการทาง งั คมและ ฒั นธรรมยคุ กอ่ นประ ตั ิ า ตร์
ในพ้ืนที่ภาคกลางและภาคตะ ันออกเฉียงเ นือของไทย (Rispoli, Ciarla, and Pigott, 2013; Higham
and Rispoli, 2014)
คา่ ดั ่ นไอโซโทปเ ถยี รของคารบ์ อน (13C/ 12C) ซงึ่ ในงานโบราณคดแี ละโบราณคดี เชงิ ชี ทิ ยา
นา� มาใชร้ ่ มกบั คา่ ไอโซโทปเ ถยี รของไนโตรเจน (15N/ 14N) เพอื่ กึ าแปลค ามดา้ นอา ารและพฤตกิ รรม
การบริโภค (Larsen, 2002, 2015; Liu, 2012) โดยตั อย่างคอลลาเจนที่ กัดได้จากฟันกรามน้อยบน
ทง้ั องซี่ ซง่ึ เป็นการ ะ มผา่ นการบรโิ ภคโปรตีนเปน็ ลัก มีค่าไอโซโทปเ ถยี รคาร์บอน δ 13C = -15.4
‰ เม่อื เทยี บกับผลการ ึก ากลุม่ ตั อย่างประชากรยุคกอ่ นประ ัติ า ตรใ์ นภาคกลางของไทย (ตาราง
ท่ี 3) พบ า่ มีค่าใกล้เคียงกบั คา่ เฉลี่ยของกลุ่มตั อย่างประชากร มยั โล ะทโี่ นน มากลา และประชากร
มัย �าริด-เ ล็กท่ีบ้านใ ม่ชัยมงคลตามล�าดับ แ ดงใ ้เ ็นถึงพฤติกรรมการบริโภคแบบผ ม โดยมี
ค ามโนม้ เอยี งไปถงึ การไดร้ บั โปรตนี และ ารอา ารตา่ ง ๆ จากกลมุ่ พชื C3 ซง่ึ เจรญิ เตบิ โตดใี นพน้ื ทอ่ี บอนุ่
เชน่ ถั่ มนั เผือก ข้า ฯลฯ (Liu, 2012: 144, 384)
โดยทั้งน้ีมีค่าไอโซโทปเ ถียรของคาร์บอนมากก ่าตั อย่างประชากร มัยเ ล็กที่เมือง รีเทพ
จงั ัดเพชรบรู ณ์ ร มท้งั กลมุ่ ประชากรยุคกอ่ นประ ัติ า ตร์ในภาคตะ ันออกเฉียงเ นือ เชน่ บา้ นเชียง
เนินอโุ ลก บ้านนาดี ท่ีมีพฤติกรรมการบริโภคโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตจากกลุ่มพชื C3 เป็น ลัก (King
2006) และแตกต่างกับค่าเฉล่ียของประชากรยุคก่อนประ ัติ า ตร์ตอนปลายจากซับจ�าปา (-10.8‰)
กลมุ่ ประชากรที่ไดร้ บั โปรตีนและคารโ์ บไฮเดรตจากกล่มุ พชื C4 อยา่ งข้า ฟา่ งเปน็ �าคญั ( า่ ง เลิ ฤทธิ,์
2547: 102-103)
บทสรุป
การทบท นข้อมูลที่เก่ีย ข้อง ผลการ �าร จและขุดค้นทางโบราณคดี และการก�า นดอายุ
ทาง ิทยา า ตร์จาก ลักฐานโครงกระดูกที่พบเม่ือ พ. . 2560 ามารถอภิปรายข้อ รุปเบ้ืองต้นท่ี
เก่ยี ข้องกับยุคกอ่ นประ ตั ิ า ตร์ในไพ าลี อย่างน้อย 3 ประการด้ ยกันคือ
1. การทบท นขอ้ มลู ผลการ า� ร จและขดุ คน้ ทผ่ี า่ นมาบรเิ ณพน้ื ทลี่ อนลกู คลน่ื ดา้ นทิ ตะ นั ออก
ของจัง ัดลพบรุ แี ละนคร รรค์ พบ ลกั ฐานการตง้ั ถ่ินฐานของมนุ ย์ในระยะแรกเรม่ิ เม่อื รา 4,000 ปี
มาแล้ ตรงกบั มยั นิ ใ ม่ ทง้ั ทแี่ ลง่ โบราณคดโี คกเจรญิ และในชน้ั ฒั นธรรมระยะท่ี 1 ทแี่ ลง่ โบราณคดี
บ้านใ ม่ชัยมงคล ร มทั้งการ �าร จผิ ดินท่ีแ ล่งโบราณคดีบ้านไร่ประชา รรค์ในการด�าเนินงานคร้ังน้ี
ไดพ้ บชนิ้ ่ นข าน นิ ขดั โบราณ ตั ถทุ เี่ ปน็ ลกั ณะเฉพาะทม่ี กั พบทั่ ไปตามแ ลง่ โบราณคดี มยั นิ ใ ม่
แตจ่ ากผลการขุดค้นแ ลง่ โบราณคดใี นเขตไพ าลที ี่ผ่านมา ทง้ั ที่ ัดโพธป์ิ ระ าทและบ้านไรป่ ระชา รรค์
พบ ลกั ฐานและชนั้ ฒั นธรรมอายเุ กา่ ดุ ประมาณ 2,500-2,800 ปที ผี่ า่ นมา โดยเปน็ การใชพ้ นื้ ทรี่ ะยะเรม่ิ
แรกตัง้ แต่ มยั โล ะเปน็ า� คญั
84
ตำรำงที่ 3 คา่ ไอโซโทปเ ถยี รของคารบ์ อนและไนโตรเจน ประชากรยคุ กอ่ นประ ตั ิ า ตรใ์ นภาคกลางของไทย
(คา่ ไอโซโทปเ ถยี รจากคอลลาเจนของตั อย่างกระดูกและฟนั )
ที่ แ ล่ง/จัง ดั จ�าน น คา่ อายุ δ 13C δ 15N อา้ งอิง
ตั อยา่ ง ของแ ลง่ ฯ
1. ซบั จ�าปา, ลพบรุ ี 4 800 BC - CE 300 -10.79 8.82 า่ ง เลิ ฤทธ,ิ์
2547
(-12.27~-9.10) (8.63 ~ 9.17)
2. โนน มากลา, 8 1,000 - 2,000 BC -15.53 9.92 Liu, 2012
ลพบุรี
(-18.28~-14.03) (9.10 ~ 10.67)
3. บา้ นโป่งมะนา , 25 1,500 BC - CE 300 -13.23 9.37
ลพบรุ ี (-18.33~-13.01) (7.03 ~ 11.44)
4. บา้ นใ ม่ 3 2,000 BC - CE 1 -16.25 11.86
ชยั มงคล,
นคร รรค์ (-16.99~-15.55) (11.66 ~ 12.24)
5. รีเทพ, 1 CE 240 - 390 -19.1 11.3 อทุ ยาน
เพชรบูรณ์ ประ ัติ า ตร์
รเี ทพ 2559
6. บ้านไร่ 1 750 - 814 BC -15.4
ประชา รรค์,
นคร รรค์
2. การน�าค่าก�า นดอายุที่ได้จากโครงกระดูกมนุ ย์ แ ล่งโบราณคดีบ้านไร่ประชา รรค์
เทียบกับล�าดับพัฒนาการทาง ัฒนธรรมของภาคกลางและภาคตะ ันออกเฉียงเ นือของไทย (Rispoli,
Ciarla, and Pigott, 2013; Higham and Rispoli, 2014) พบ า่ ตรงกับ มยั า� รดิ ระยะท่ี 2 รือ มยั
�าริดตอนปลาย อดคล้องกับการก�า นดอายุเชิงเทียบทั้งรูปแบบการฝัง พ และภาชนะทรงพาน
ที่คล้ายคลึงกับท่ีพบจากรูปแบบการฝัง พ มัยที่ 1 ระยะท่ี 3 ของแ ล่งโบราณคดีบ้านใ ม่ชัยมงคล
ในชั้น ัฒนธรรมระยะท่ี 2 และภาชนะทรงพาน มัย �าริดตอนปลาย จากแ ล่งโบราณคดีบ้านพุน้อย
อา� เภอบา้ น ม่ี จงั ดั ลพบรุ ี เชน่ เดยี กบั เทคนคิ การตกแตง่ ภาชนะดนิ เผา ด้ ยการทาเคลอื บนา�้ ดนิ แี ดง
และขดั มนั (TRBS-Thick Red Burnished Slip) บรเิ ณปาก คอ และไ ลข่ องภาชนะ ร มท้ังการตกแต่ง
บริเ ณไ ลใ่ ้เปน็ เ ้น ันนนู และตกแต่งลายเชอื กทาบลอนเล็ก รือลายเชอื กทาบเน้อื ละเอยี ดใน ่ นใต้
เ ้น รือ นั นูน เป็นลัก ณะการตกแต่งเฉพาะทพี่ บในเขตล่มุ น้�ามูลและภาคกลางของไทย โดยเฉพาะเขต
ภูมิภาคลพบรุ ี มัย า� รดิ ตอนปลาย แ ดงถึงค าม มั พนั ธ์กบั ชมุ ชนร่ ม มัยทัง้ ภายในภมู ภิ าคกับชุมชน
ในเขตทีร่ าบ งู โคราช
3. การแปลค ามเกี่ย กับอา ารและพฤตกิ รรมการบริโภคจากคา่ ไอโซโทปเ ถียรของคาร์บอน
ทไ่ี ด้จากโครงกระดกู มนุ ย์ แ ลง่ โบราณคดีบ้านไรป่ ระชา รรค์ พบ ่าประชากรยคุ กอ่ นประ ัติ า ตรท์ ่ี
บ้านไรป่ ระชา รรคม์ ีพฤตกิ รรมการบริโภค และได้รบั ารอา ารโปรตนี และคารโ์ บไฮเดรตแบบผ ม โนม้
เอียงไปทางกลุ่มพืช C3 เช่นเดีย กับประชากร มัยโล ะที่โนน มากลาและบ้านใ ม่ชัยมงคล โดยมีค่า
ไอโซโทปเ ถียรของคาร์บอนมากก ่าตั อย่างประชากร มัยเ ล็กท่ีเมือง รีเทพและกลุ่มประชากร
85
นงั ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ยคุ กอ่ นประ ตั ิ า ตรท์ บ่ี า้ นเชยี ง เนนิ อโุ ลก บา้ นนาดี ในเขตทร่ี าบ งู โคราช ทม่ี พี ฤตกิ รรมการบรโิ ภคและ
ไดร้ บั ารอา ารโปรตนี และคารโ์ บไฮเดรตจากกลมุ่ พชื C3 เปน็ ลกั (King, 2006) และแตกตา่ งกบั คา่ เฉลย่ี
ของประชากรยุคกอ่ นประ ตั ิ า ตร์ตอนปลายจากซับจา� ปา ทไ่ี ด้รับ ารอา ารโปรตีนและคารโ์ บไฮเดรต
จากกลมุ่ พชื C4 ทเี่ ตบิ โตได้ดใี นพืน้ ทกี่ ึง่ แ ้งแล้งอยา่ งเชน่ ขา้ ฟ่างเปน็ า� คัญ ( ่าง เลิ ฤทธิ์, 2547: 102-
103) ลัก ณะเ ล่านี้แ ดงถึงพฤติกรรมการบริโภค และประเภทการได้รับ ารอา ารของประชากรยุค
กอ่ นประ ตั ิ า ตรใ์ นภาคกลางของไทย ท่ี ามารถจา� แนกไดเ้ ปน็ 3 กลมุ่ ยอ่ ยด้ ยกนั คอื (1) กลมุ่ ประชากร
ทบ่ี รโิ ภคและได้รับ ารอา ารจากโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตจากพชื C3 เปน็ ลกั (2) กลมุ่ ท่บี ริโภคและได้
รับ ารอา ารโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตจากพืช C4 เป็น ลัก และ (3) กลุ่มที่บริโภคแบบผ มที่อาจจะ
โนม้ เอยี งไปทางใดทาง นง่ึ ทงั้ นแี้ ลง่ อา ารทถ่ี กู เลอื ก า� รบั บรโิ ภคนา่ จะ มั พนั ธก์ บั ปจั จยั ภาพแ ดลอ้ ม
และระบบนิเ น์ในแต่ละพน้ื ที่ ร มท้งั ภาพภูมอิ ากา ในแต่ละช่ งเ ลาเปน็ า� คญั
ขอ้ เ นอแนะ ำ� รับกำรดำ� เนินงำนต่อไป
การด�าเนินงานใน พ. . 2560 เปน็ การทา� งานทางโบราณคดใี นช่ งเร่ิมตน้ มีขอ้ จ�ากดั เร่อื งระยะ
เ ลาและงบประมาณ ทา� ใ ก้ าร า� ร จทางโบราณคดไี มค่ รอบคลมุ พนื้ ทที่ งั้ อา� เภอไพ าลี ร มถงึ อา� เภอใน
บรเิ ณใกลเ้ คยี งโดยรอบ เชน่ ตาคลี ตากฟา้ และ นองบั อกี ทงั้ ทา� การขดุ คน้ ไดท้ แี่ ลง่ โบราณคดบี า้ นไร่
ประชา รรคเ์ พยี ง นง่ึ แ ลง่ เทา่ นน้ั ซง่ึ พบ ลกั ฐานในชนั้ ฒั นธรรมชนั้ เดยี มโี บราณ ตั ถปุ รมิ าณนอ้ ย และ
ขอ้ จา� กดั เรอื่ งคา่ กา� นดอายเุ ชงิ มั บรู ณข์ อง ลกั ฐานชนิ้ ่ นกระดกู ชา้ งใน ลมุ ขดุ คน้ ทางโบราณคดที ี่ 1
อยา่ งไรกด็ ขี อ้ มลู และผลการ กึ าทไ่ี ด้ ทา� ใ ม้ คี ามรเู้ กยี่ กบั ยคุ กอ่ นประ ตั ิ า ตรข์ องไพ าลี
ได้ระดบั น่งึ ทา� ใ ้เกดิ เปน็ มมตฐิ าน �าคัญ า� รับการ ิจยั ตอ่ ไป ่า ลกั ณะค าม มั พันธร์ ะ า่ งกลุม่
ประชากรยุคก่อนประ ัติ า ตร์ต่าง ๆ ในไพ าลีที่มีอายุใกล้เคียงกันเช่นท่ี ัดโพธิ์ประ าทและบ้านไร่
ประชา รรค์นั้น มีค ามเ มือน รือต่างกัน รือไม่? และอย่างไร? รือประชากรทั้ง องกลุ่มน้ันมีค าม
มั พนั ธแ์ ละ/ รอื เปน็ กล่มุ ประชากรเดีย กัน รอื ไม่? และพัฒนาเปน็ กลุ่มประชากรโบราณในเขตคนู �้า-
คนั ดนิ เมืองเกา่ ไพ าล?ี
�า รับข้อเ นอแนะในการด�าเนินงานระยะต่อไปคือ (1) การ �าร จทางโบราณคดีเพ่ิมเติมใน
พื้นท่ีอ�าเภอไพ าลีและที่ราบลอนลูกคลื่นในบริเ ณใกล้เคียงอย่างเข้มข้น (2) การขุดค้นเพ่ิมเติมบริเ ณ
แ ล่งโบราณคดีบ้านไร่ประชา รรค์ แ ล่งโบราณคดีท่ีพบใ ม่จากการ �าร จที่บ้านบ่อไทย ามัคคี
บ้านโค้ง อง และโคกกระ ง ร มทั้งการขุดค้นทางโบราณคดีในเขตคูน�้า-คันดิน เมืองเก่าไพ าลี
(3) การกา� นดอายเุ ชงิ มั บรู ณก์ ลมุ่ ตั อยา่ งทมี่ คี า่ อายไุ มช่ ดั เจน เชน่ ลกั ฐานกระดกู ชา้ ง ร มถงึ ลกั ฐาน
ที่พบใ ม่ และ (4) การ ิเคราะ โ์ บราณ ตั ถใุ นเชงิ ลกึ ด้ ย ธิ กี าร ิทยา า ตร์เพือ่ ตอบค�าถามที่เกย่ี ข้อง
เช่น การ ิเคราะ ์ชิ้น ่ นภาชนะดินเผา ด้ ย ิธี ิลา รรณนาเพื่อ ึก าองค์ประกอบและเทคโนโลยี
การผลิต การ ิเคราะ ์ค่าไอโซโทปเ ถียรของ ตรอนเซียมจาก ลักฐานโครงกระดูกเพ่ือ ึก าเก่ีย กับ
ประ ัติ การอพยพเคลื่อนย้ายของประชากร ทั้ง มดเพื่อใ ้เกิดค ามรู้ ค ามเข้าใจเพิ่มมากข้ึนเก่ีย กับ
เร่ือง ัฒนธรรม เทคโนโลยี ิ่งแ ดล้อม และคนยุคก่อนประ ัติ า ตร์ในไพ าลีและภาคกลางของไทย
ในทา้ ยที่ ุด
6
กติ ติกรรมประกำศ
ผู้เขียนขอขอบคุณผู้ทรงคุณ ุฒิ �า รับการพิจารณาและข้อเ นอแนะ �า รับการปรับปรุง
บทค าม ขอขอบคุณอ�าเภอไพ าลี จัง ัดนคร รรค์ �า รับงบประมาณ นับ นุนโครงการ ิจัย
พัฒนาการทาง ัฒนธรรมของชุมชนแรกเร่ิมในเขตอ�าเภอไพ าลี จัง ัดนคร รรค์ ขอขอบคุณ �านัก
ิลปากรที่ 4 ลพบรุ ี า� รบั การอนมุ ตั ใิ ้ดา� เนินงานทางโบราณคดีภายในเขตพน้ื ทร่ี ับผิดชอบ ขอขอบคณุ
รอง า ตราจารย์ รุ พล นาถะพนิ ธุ อาจารยท์ ป่ี รกึ าโครงการ ขอขอบคณุ รอง า ตราจารย์ ดร. ฤ ดพ์ิ ง ์
ขุนทรง อาจารย์ ดร.ภีร์ เ ณุนันทน์ อาจารย์ ดร.ผุ ดี รอดเจริญ และคณาจารย์ภาค ิชาโบราณคดี
ผชู้ ่ ย า ตราจารย์ ดร.ภู นาท รัตนรัง ิกลุ คณะมัณฑน ลิ ป์ นายอนุรกั ์ ดีพมิ าย นกั กึ าปริญญาเอก
าขา ิชาโบราณคดี กลมุ่ นัก ึก าปริญญาตรี าขา ชิ าโบราณคดี คณุ เจตน์กมล ง ์ท้า และคณุ รธัช
โรจนารตั น์ นกั โบราณคดชี า� นาญการ า� นกั ลิ ปากรที่ 4 ลพบุรี �า รับค ามช่ ยเ ลอื ในการท�างานภาค
นามและการ นบั นนุ ดา้ นตา่ ง ๆ ระ า่ งการ จิ ยั และ ดุ ทา้ ยขอขอบคณุ อาจารยณ์ รงค์ กั ดิ์ นทิ ม่ งภกั ดี
อาจารย์ปราโมทย์ ทองอ่อน และกรรมการพิพิธภัณฑ์ชุมชนบ้านไร่ประชา รรค์ทุกท่านที่ นับ นุน
ช่ ยเ ลือ และดแู ลคณะทา� งานโครงการทกุ คนตลอดระยะเ ลาปฏิบตั งิ านภาค นามก า่ 4 เดอื น
87
นัง ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บรรณำนุกรม
ภำ ำไทย
กรมทรพั ยากรธรณ.ี (2544). ธรณี ทิ ยำประเท ไทย. กรงุ เทพฯ: กรมทรพั ยากรธรณี กระทร งอตุ า กรรม,.
_______. (2550). กำรจำ� แนกเขตเพอ่ื กำรจดั กำรดำ้ นธรณี ทิ ยำและทรพั ยำกรธรณี จงั ดั นคร รรค.์
กรุงเทพฯ: กรมทรัพยากรธรณี กระทร งทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ ่งิ แ ดลอ้ ม.
กรม ิลปากร. (2550). ัพทำนกุ รมทำงโบรำณคด.ี กรุงเทพฯ : �านกั โบราณคดี กรม ิลปากร.
กองโบราณคด.ี (2530). โบรำณคดี ่ภี ำค. กรุงเทพฯ: กองโบราณคดี กรม ลิ ปากร.
ข ัญฤทัย ช้ินมาลัย และคณะ. (2539). “รูปแบบการฝัง พที่แ ล่งโบราณคดีบ้านใ ม่ชัยมงคล
ตา� บล รอ้ ยทอง อา� เภอตาคลี จงั ดั นคร รรค.์ ” เอก ารประกอบการ มั มนา ปรญิ ญา ลิ ป
า ตรบัณฑติ ภาค ิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี ม า ทิ ยาลยั ลิ ปากร.
ด งกมล อั มา . (2555). “เทคโนโลยีการผลิต “ ม้อมี ัน” มัยท าร ดีในพื้นท่ีภาคกลางของ
ประเท ไทย.” ด�ำรง ชิ ำกำร 11 (1): 1-27.
ทิ า เผ่ือนปฐม. (2538). “การ ึก า ลุมฝัง พแ ล่งโบราณคดีบ้านใ ม่ชัยมงคล ต�าบล ร้อยทอง
อา� เภอตาคลี จงั ดั นคร รรค์ : กรณี กึ าจาก ลุมขดุ คน้ S17W22.” ารนพิ นธ์ปรญิ ญา
ลิ ป า ตรบณั ฑติ ภาค ิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี ม า ทิ ยาลัย ิลปากร.
นทั ธมน ภรู่ พี ฒั นพ์ ง ์ และคณะ. (2555). “การประเมนิ ่ น งู คนไทยปจั จบุ นั จากค ามยา ของกระดกู ยา .”
ดา� รง ชิ าการ 18 (1): 48-64.
รรณี ภมู จิ ติ ร, รุ พล นาถะพนิ ธ,ุ และพิ ฐิ เจรญิ ง .์ (2527). “โบราณคดนี คร รรค์ : ลกั ฐานเกา่ -ใ ม.่ ”
ใน นคร รรค์ : รฐั กงึ่ กลำง รำยงำนกำร มั มนำประ ตั ิ ำ ตรแ์ ละ ฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ จงั ดั
นคร รรค์, 79-104. ภุ รณ์ โอเจริญ, บรรณาธกิ าร. นคร รรค์: ิทยาลยั ครนู คร รรค.์
นั า โิ รจนารมย.์ (2545). “การ กึ ารปู แบบการตงั้ ถนิ่ ฐานของชมุ ชน มยั กอ่ นประ ตั ิ า ตรใ์ นพน้ื ท่ี
จงั ดั ลพบรุ ี และนคร รรค์ ด้ ยระบบ าร นเท ภมู ิ า ตร.์ ” ารนพิ นธป์ รญิ ญา ลิ ป า ตร
บัณฑติ ภาค ิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี ม า ิทยาลัย ิลปากร.
า่ ง เลิ ฤทธ.ิ์ (2547). พฒั นำกำรของค ำมซบั ซอ้ นทำงเ ร ฐกจิ และ งั คมจำก มยั กอ่ นประ ตั ิ ำ ตร์
ตอนปลำยถงึ ยคุ แรกเรมิ่ ประ ตั ิ ำ ตรใ์ นเขตท่ี งู ทำงตะ นั ออกของภำคกลำงของประเท ไทย.
กรุงเทพฯ: คณะโบราณคดี ม า ิทยาลยั ลิ ปากร.
88