Abstract
This paper discusses the establishment of European stores in fin-de-siècle Bangkok,
namely, B. Grimm and Co., Falck & Beidek, Harry A. Badman, John Sampson & Son, and
S.A.B. I propose that an investigation of their locales and architectural styles should further
enhance an understanding of Bangkok’s modernity and urbanization during the late 19th
to early 20th century. The study seeks to explain that commercial architecture also played
a crucial part in Siam’s civilization in relation to its economic expansion and inter-trade
with the Cores (European countries). In so doing, the architectural styles of European
stores are interrogated together with the economic growth and urbanization of Bangkok
under Siamese aristocrats’ direction. The study focuses on the effect of Western aspiration
through consumer culture including the making of modern cultural identity of Siam.
Charoen Krung road and its neighbor housed this group of commercial architecture, these
roads were essentially vital to Siam’s trade. More importantly, the western style of these
European stores which had been established as Siam’s new hierarchical architectural style
was a symbolic testament to Bangkok as a civilized and modern city. Bangkok’s cityscape
thus was changed with the help from these commercial buildings, in connecting with its
modernization as Siam strove to be an equal player in the colonial networks.
Keywords : Western architecture in Thailand, European store, Bangkok, Urbanity,
Westernization, Modernity, Colonial Networks
239
นัง ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
สว่ นนา�
ใน ค. . 1904 จั คีม อนั โตนิโอ (Joachim António)* ชา่ งภาพชา โปรตเุ ก ทเ่ี ปิด ตดู ิโอถา่ ย
ภาพบนถนนเจริญกรงุ (The Charoen Krung Photographic Studio) ได้จดั ทา� แผนทก่ี รุงเทพม านคร
(แผนท่ี 1) ตพี มิ พเ์ ผยแพรใ่ น นงั ือน�าเท่ีย The 1904 Traveller’s Guide to Bangkok and Siam
แ ดง มุด มายต�าแ น่งท่ีตั้ง ถานท่ี �าคัญของท้ังภาครัฐและภาคเอกชน ได้แก่ ถานกง ุล รือ
ถานอคั รราชทตู ของประเท ในท ีปยโุ รป ัดในพทุ ธ า นา โบ ถค์ าทอลิกและโปรเต แตนท์ มั ยิด
เท ถานฮินดู และ ถานประกอบการธุรกิจของชา ต่างประเท โดยเฉพาะอย่าง ลังน้ีมีการตั้งอยู่
นาแนน่ เปน็ พเิ บรเิ ณรมิ แมน่ า้� เจา้ พระยาและรมิ ถนนเจรญิ กรงุ ช่ งทา้ ยตลาดนอ้ ยถงึ แยกตดั ถนน ลี ม
อาจอธิบายได้ ่าลัก ณะทางกายภาพของกรุงเทพม านครในช่ งต้นคริ ต์ ต รร ท่ี 20 น้ี คือผลผลิต
ของการปฏิรูปทางด้าน าธารณูปโภคท่ีเร่ิมต้ังแต่ในช่ งกลางคริ ต์ ต รร ท่ี 19 (รัช มัยของพระบาท
มเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ ั ) ต่อเนื่องถึงปลายคริ ต์ ต รร ที่ 19 (รัช มัยของพระบาท มเด็จ
พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่ ั ) คอื การตดั โครงขา่ ยถนนและการ างระบบการไปร ณยี โ์ ทรเลข ซง่ึ ทงั้ องประการ
นเี้ ป็นตั ผลักดัน �าคัญท�าใ ้การค้าเ รีจากการท�า นธิ ัญญากับต่างประเท มีค ามก้า น้าและเ ริม
รา้ งบรรยากา ทด่ี ที างเ ร ฐกจิ ใ ้กับ ยาม (Lysa, 1984: 129-30)
ภูมิทั น์เมืองของกรุงเทพม านครดังกล่า เก่ีย ข้องกับการเปล่ียนแปลงทาง ังคม-การเมือง
และ ฒั นธรรมของ ยาม ในระลอกของการขยายอา� นาจอาณานคิ มเ นอื ดนิ แดนใกลเ้ คยี งในภมู ภิ าคเอเชยี
ตะ นั ออกเฉยี งใต้ การปรบั เปลย่ี นผงั เมอื งและการ รา้ งงาน ถาปตั ยกรรมทลี่ อ้ รบั ไปกบั การทา� ใ เ้ ปน็ มยั ใ ม่
(modernization) ด�าเนนิ การโดยอา� นาจเบด็ เ ร็จของราช า� นกั (Peleggi, 2002: 76) ถาปตั ยกรรมท่ี
เป็นตั แทนอ�านาจของราช �านักในช่ งเปล่ียนผ่าน ต รร จึงได้รับการ ึก าบ่อยครั้ง ทั้งในประเด็นท่ี
ทา� ใ เ้ น็ ค าม มั พนั ธร์ ะ า่ งการนา� รปู แบบ ถาปตั ยกรรมตะ นั ตกเขา้ มาเปน็ บรรทดั ฐานของการเขา้ ู่
ภา ะ มยั ใ ม่ (modernity) ของ ยาม ถาปัตยกรรมตะ ันตกไดร้ ับการอภปิ รายในฐานะรปู ัญญะของ
บทบาทการเป็นผู้น�าค ามเจริญ ( ิ ิไลซ์) ของราช �านักท่ีน�าพาประเท ไป ู่ค ามเป็น มัยใ ม่ โดยมี
ถาปัตยกรรมประเภทพระทีน่ ่ัง ัง า น ถาน และอาคาร น่ ยงานราชการ ท่ี ถาปนาขึ้นมาใ ม่ ลัง
ปฏิรูปการปกครองในช่ งท รร 1880s–1890s เป็นกรณี ึก า �าคัญ เช่น การ ึก าของ ชาตรี
ประกิตนนทการ (2547) มอริซิโอ เปเลจจี้ (2002) และ มชาติ จึง ิริอารัก ์ (2553) รือการ ึก า
ถาปัตยกรรมตะ ันตกผ่าน ถาปนิกชา ยุโรปท่ีได้รับการ ่าจ้างโดยราช �านัก ในงานของผุ ดี ทิพทั
(2541) และพรี รี โพ าทอง (2548) เป็นต้น
* นอกจากการเปน็ ชา่ งภาพแล้ อนั โตนโิ อยงั เปน็ มาชกิ มาคมภมู ิ า ตรแ์ ง่ กรงุ ลิ บอน (The Geographer
Society of Lisbon) และ มาคมภูมิ า ตรก์ ารค้าแ ง่ กรุงปารี เช่นกัน (The Commercial Geography Society of
Paris) ดูใน Joachim António. (1997). The 1904 Traveller’s Guide to Bangkok and Siam. Reprinted.
Bangkok: White Lotus.
240
อย่างไรก็ตามผู้ ิจัยมีค ามเ ็น ่า ถาปัตยกรรมตะ ันตก ท่ีอยู่ในรูปแบบของ ้างร้านก็มี
ค าม า� คญั ตอ่ การ กึ าบทบาทของราช า� นกั ในช่ งปลายคริ ต์ ต รร ท่ี 19–ตน้ ต รร ท่ี 20 ไมน่ อ้ ย
ไปก ่า ถาปัตยกรรมของราช �านักและรัฐ ในการ ึก าท่ีผ่านมา กิจการ ้างร้านท่ีจ�า น่าย ินค้า
ตะ นั ตก รอื นิ คา้ ชน้ั นา� ไดร้ บั ค าม นใจในการ กึ าร บร มในเชงิ ประ ตั กิ ารกอ่ ตงั้ การดา� เนนิ กจิ การ
รือรายละเอียดของ ินค้าท่ี างจ�า น่ายเพ่ือ นองร นิยมการบริโภคของชนช้ันผู้น�า (อเนก นา ิกมูล,
2539) และการ ึก ารูปแบบ ถาปัตยกรรมในระลอกกระแ ค ามนิยมรูปแบบตะ ันตกของราช �านัก
( มชาติ จึง ริ ิอารัก ์, 2553) จากพืน้ ฐานของการร บร มข้อมลู และการ เิ คราะ ์รปู แบบเ ลา่ นี้ ผเู้ ขียน
เลง็ เ น็ า่ การ กึ า ถาปตั ยกรรมการคา้ ทเ่ี ปน็ กจิ การของของชา ยโุ รป (ตอ่ ไปนจี้ ะเรยี ก า่ า้ งรา้ นยโุ รป)
ามารถขยายไปยังการ ิเคราะ ์เชิงค าม ัมพันธ์กับการโตของกรุงเทพม านครและการก้า เข้า ู่ภา ะ
มัยใ ม่ของ ยาม ดังนน้ั บทค ามนจี้ งึ ต้องการ ึก ารปู แบบ ถาปตั ยกรรมของ ้างรา้ นยุโรป เพือ่ น�ามา
พจิ ารณาร่ มกบั ผลกระทบจากการทต่ี ะ นั ตก (ประเท เจา้ อาณานคิ ม) เขา้ มามอี ทิ ธพิ ลทางดา้ นการบรโิ ภค
และการ ร้างอัตลัก ณ์ค ามเป็น มัยใ ม่ของราช �านักในด้าน ังคม-การเมืองและ ัฒนธรรม และแพร่
กระจาย �านึกค ามเป็น มัยใ ม่นั้นมา ู่ภูมิทั น์ และโครง ร้างผังเมืองของกรุงเทพม านครด้ ย
การ ึก าในคร้ังน้ีผู้เขียนได้ใช้แ ล่งข้อมูลที่เป็นเอก าร-ภาพถ่ายจด มายเ ตุ และเอก ารที่มีอายุ
ร่ ม มัยกับแ ล่ง ถาปัตยกรรม เพ่ือใช้ในการประเมินค าม �าคัญของกิจการและท�าเลที่ตั้ง โดย ึก า
ร่ มไปกับการบรรยายและ ิเคราะ ์รูปแบบ ถาปัตยกรรม ท้ายท่ี ุดแล้ ผู้เขียนจะน�าผลท่ีได้จากการ
ิเคราะ ์กลุ่มตั อย่าง ถาปัตยกรรมการค้าในกรุงเทพม านครมาขยายต่อไปยังการร่ มบท นทนา
ชิ าการเกย่ี กบั บทบาทของ ยาม รอื กรงุ เทพม านคร ทอ่ี ยใู่ นโครงขา่ ยอาณานคิ ม (Colonial networks)
ระดบั ภมู ภิ าคเอเชยี ตะ นั ออกเฉยี งใตท้ เี่ ปน็ ขอ้ ถกเถยี งใน ง ชิ าการไทย กึ าอยา่ งแพร่ ลาย (ดเู พม่ิ เตมิ ใน
Thongchai Winichakul, 2000; Lysa, 2003; Jackson, 2004; Loos, 2006; Herzfeld, 2002; และ
Harrison and Jackson, 2010.)
241
นงั อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เนือ่ งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
สถาปัตยกรรมการคา้ และกายภาพของเมือง
กลุม่ ถาปตั ยกรรมการค้าที่เปน็ กรณี กึ าในบทค ามน้ี ตัง้ อยอู่ ยา่ ง นาแนน่ ในพืน้ ทท่ี ่ีเกิดขึน้
จากการเปลย่ี นแปลงขอบเขตพน้ื ทเ่ี มอื งของกรงุ เทพม านครในช่ งกลาง-ปลายคริ ต์ ต รร ที่ 19 รอื
มัยรัชกาลท่ี 4-5 ไดแ้ ก่ ถนนเจริญกรงุ และถนนท่ีเชื่อมต่อพาดผา่ นถนนเจริญกรงุ กระจายออกไปตาม
ถนนราช ง ์ ถนน ่พี ระยา และถนน รุ ง ์ (ตามทแ่ี ดงในแผนท่ีปี 1904 ของอนั โตนิโอ) ร มไปถงึ ถนน
ราชดา� เนินที่เพิม่ เตมิ ข้ึนมาในช่ ง อง ามปี ดุ ทา้ ยของคริ ต์ ต รร ที่ 19 (ในช่ งทอ่ี ันโตนิโอท�าแผนที่
จงึ ยังไมแ่ ดงตา� แ นง่ ของ ้างร้านทตี่ ัง้ บนถนนราชดา� เนนิ ) การเข้ามาตง้ั กจิ การของ ้างรา้ นยุโรปเริม่ ตน้
อย่างค่อยเป็นค่อยไป ก่อนเข้า ู่ช่ งกลางคริ ต์ ต รร ท่ี 19 มี ลักฐานอยู่ไม่มากนักเกี่ย กับ ้างร้าน
ยุโรป ที่ได้รับการบันทึกอย่างเป็นลายลัก ณ์อัก รคือ The British Factory ของโรเบิร์ต ฮันเตอร์
(Robert Hunter) พอ่ คา้ ชา ก็อต (ตอ่ มาไดร้ ับพระราชทานบรรดา ักดิ์เปน็ ล งอา ธุ เิ ประเท
พานิช) ดา� เนินกจิ การระ า่ ง ค. . 1824-1844 (Moore, 1914-1915: 21-39; Wannamethee, 1990:
31-32) อย่างไรก็ตาม ยามก็ยังไม่ใช่ตลาดท่ีดึงดูดค าม นใจจากยุโรปมากนัก จนกระท่ังมีการเซ็น
นธิ ัญญาการค้ากับประเท ตะ ันตกในช่ งกลางคริ ต์ ต รร ท่ี 19 ท่ี �าคัญคือ นัง ือ ัญญาทาง
พระราชไมตรปี ระเท องั กฤ แลประเท ยาม (Treaty of Friendship and Commerce between
the British Empire and the Kingdom of Siam) รือ นธิ ัญญาเบา ร์ ิง (ลงนาม ันท่ี 18 เม ายน
ค. . 1855) โดย นึง่ ในข้อตกลงคอื การยินยอมใ พ้ อ่ คา้ จากองั กฤ ท�ามาค้าขายกบั เมืองชายทะเลท่ขี น้ึ
อยู่กับกรุงเทพม านคร แต่บังคับใ ้พ่อค้าน้ันพ�านักอยู่เฉพาะในกรุงเทพม านครเท่าน้ัน การต้ังกิจการ
และทพ่ี า� นกั อา ยั ตามขอ้ ตกลงดงั กลา่ กอ่ ใ เ้ กดิ ชมุ ชนชา ตา่ งชาตแิ ละยา่ นการคา้ ขน้ึ ในกรงุ เทพม านคร
เพม่ิ ขึน้ ค ามเคล่ือนไ ที่ า� คญั อีกประการ นง่ึ ทีเ่ กดิ ข้นึ ลงั จากการเซน็ นธิ ญั ญาการคา้ กับตะ ันตก
อกี ลายชาติ คอื การเ ดจ็ ประพา ตา่ งประเท ช่ งตน้ รชั มยั ของรชั กาลที่ 5 (เ ดจ็ ประพา แ ลมมลายู
งิ คโปร์ และดัตช์ อี ต์ อนิ ดี ์ ค. . 1871 และเ ด็จประพา บรติ ชิ ราช ค. . 1871-1872) ในการเ ด็จ
กลบั น้ันก็ได้มี ้างรา้ นของชา ยุโรปในดินแดนอาณานคิ มเขา้ มาตงั้ กจิ การในกรงุ เทพม านครตามมา
พฤติกรรมและร นิยมในการบริโภค ินค้าน�าเข้าจากตะ ันตกในระดับราช �านักแพร่ ลายลง
มา ู่ระดับขุนนางค บดี ท�าใ ้เกิดการตั้งกิจการ ้างร้านจ�า น่าย ินค้าน�าเข้าที่มีราคาแพงใน ยาม
นบั จากช่ งท รร ที่ 1870 เรอ่ื ยมาจนถงึ ช่ งท รร 1900 กไ็ ดม้ พี อ่ คา้ ผปู้ ระกอบการชา ตา่ งประเท
โดยเฉพาะชา ยโุ รปเขา้ มาตงั้ า้ งรา้ นนา� เขา้ นิ คา้ และบรกิ ารจากยโุ รป มานา� เ นอตลาดและค ามตอ้ งการ
ของชนช้ันน�าและชา กรุงเทพม านครอย่าง นาแน่น ท�าใ ้เ ็นถึงการเติบโตทางเ ร ฐกิจและ
242
ทางกายภาพค ามเป็นเมืองของกรุงเทพฯ ขึ้นอย่างเป็นลา� ดับ* (ตารางท่ี 1) ในการ กึ าคร้งั นี้ ผเู้ ขียนได้
ทา� การคัดเลอื ก ถาปัตยกรรมการค้าทเ่ี ปน็ า้ งรา้ นยโุ รป 5 ลงั ได้แก่ า้ ง B. Grimm & Co. ้าง Falck
& Beidek า้ ง Société Anonyme Belge pour le Commerce et l’Industrie au Siam (S.A.B.)
้าง Harry A. Badman และ า้ ง John Sampson & Son โดยประเมินจากลัก ณะการด�าเนนิ การ คือ
ประเภท า้ ง รรพ ินค้า (department store) และลกั ณะตั อาคารท่ีเป็นแบบอาคารเด่ีย ขนาดใ ญ่
(stand-alone) เ ตทุ ผ่ี เู้ ขยี นไมค่ ดั เลอื กกลมุ่ า้ งรา้ นทต่ี งั้ อยใู่ นเรอื นแถ (shophouse) เพราะอาคารเรอื น
แถ ไมไ่ ด้ รา้ งขนึ้ เปน็ การเฉพาะเพอ่ื รองรบั กจิ การนนั้ ๆ ซง่ึ เปน็ ประเดน็ ทผี่ เู้ ขยี นใ ค้ าม นใจในการ กึ า
คร้ังนี้มากก ่า นอกจากน้ีผู้เขียนยังพิจารณาถึงการมีข้อมูลการก่อตั้งที่ชัดเจน แม้ ่ากิจการบางแ ่งจะมี
ภาพถ่ายเก่าเป็นขอ้ มูล า� คัญ แตข่ าดข้อมลู ด้านอายุ มยั ท่แี น่นอน ทา� ใ ไ้ ม่ ามารถน�ามาเปน็ กรณี กึ า
ในครงั้ นไี้ ด้ (แตก่ อ็ าจนา� ไปตอ่ ยอดเปน็ การ กึ าเพมิ่ เตมิ ตอ่ ไปในภายภาค นา้ ได)้ และประการ ดุ ทา้ ยคอื
ทา� เล รอื ถานทต่ี ง้ั ของกจิ การ โดยผเู้ ขยี นคดั เลอื ก ถาปตั ยกรรม า้ งรา้ นยโุ รปทตี่ ง้ั บนถนน องเ น้ า� คญั
ของกรงุ เทพฯ ทเี่ ปน็ ตั แทนของค ามเปน็ เมอื ง มยั ใ ม่ คอื ถนนเจริญกรงุ และถนนราชด�าเนิน ล้อรบั ไป
กับการพัฒนาโครงข่ายถนนเพื่อขยายพื้นท่ีค ามเป็นเมืองของกรุงเทพม านครต้ังแต่ช่ งปลายคริ ต์
ต รร ท่ี 19 ถงึ ต้นคริ ต์ ต รร ท่ี 20 ( า� นกั การโยธา กรงุ เทพม านคร, 2557; ณัฐ ฒุ ิ ปรยี นติ ย์,
2560: 140-141)
รูปแบบ ถาปตั ยกรรม ้างร้านยุโรป
ตามตารางที่ 1 มี ้างร้านยโุ รปจา� น น 2 แ ่งทีเ่ รมิ่ กจิ การต้ังแตช่ ่ งปลายท รร ท่ี 1870 คอื
้าง B. Grimm & Co. และ ้าง Falck & Beidek และด�าเนนิ ธุรกจิ มาอยา่ งตอ่ เน่อื งจนถงึ ช่ งตน้ ต รร
ท่ี 20 ถาปตั ยกรรมการค้าของ า้ งร้านเ ลา่ น้ที ่จี ะมีการ ิเคราะ ใ์ น ่ นถดั ไป เปน็ อาคารทถ่ี กู รา้ งขน้ึ
ในช่ งตน้ ต รร ท่ี 20 ซงึ่ เป็นช่ งเ ลาที่กรงุ เทพม านครนั้นเกดิ การเปลีย่ นแปลงทางกายภาพใน ลาย
พื้นท่ที ีเ่ กดิ จากการ างโครงข่ายถนนเพิม่ เตมิ และการ รา้ ง ถาปตั ยกรรมแบบตะ นั ตกตามถนน นทาง
เ ล่าน้ัน เช่น เรือนแถ (อาคารพาณิชย์) ถานที่ราชการ คริ ต์ า น ถาน ร มถึง ถาปัตยกรรมของ
ราช า� นกั ถาปตั ยกรรมการคา้ ของ า้ งรา้ นยโุ รปเ ลา่ นจี้ งึ ไดล้ อ้ รบั ไปกบั กระแ การเปลยี่ นแปลงดงั กลา่
*ร บร มข้อมลู จาก António, “References to plan of Bangkok,” in The 1904 traveller’s guide,
i-iii; Wright, ed., Twentieth Century Impressions of Siam, 263-290; The Directory & Chronicle for
China, Japan, & the Philippines for the Year 1876 (Hong Kong: Daily Press office, 1876), 388-392; The
Directory & Chronicle for China, Japan, Corea, Indo-China, Straits Settlements, Malay States, Siam,
Netherlands India, Borneo, the Philippines, &c. for the Year 1888 (Hong Kong: Daily Press office,
1888), 653-663; The Directory & Chronicle for China, Japan, Corea, Indo-China, Straits Settlements,
Malay States, Siam, Netherlands India, Borneo, the Philippines, &c. for the Year 1899 (Hong Kong:
Daily Press office, 1899), 403-420; และ The Directory & Chronicle for China, Japan, Corea, Indo-China,
Straits Settlements, Malay States, Siam, Netherlands India, Borneo, the Philippines, &c. for the
Year 1910 (Hong Kong: Daily Press office, 1910), 1258-1284.
243
นงั อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
า้ ง Falck & Beidek (ปัจจบุ ันเปน็ ูนย์การค้า O.P. Place ในซอยเจริญกรงุ 38 รอื ตรอก
ชาร์เตอร์แบงก์ เขตบางรัก) ซึ่งมกี ารเรยี กอย่างลา� ลองต้งั แตช่ ่ งเ ลาการด�าเนินกิจการแล้ า่ า้ ง ิง โ์ ต
โดยมตี า� แ นง่ ท่ตี ้ังที่อยใู่ นแ ดลอ้ มของแ ล่งธุรกิจของตะ นั ตก อาทิ โรงแรมโอเรียนเตล็ �านกั งานใ ญ่
บริ ทั อี ต์ เอเชยี ติก จา� กัด ร มท้ังยงั อย่ใู กล้กับ ถานทูตฝรั่งเ และ ลุ ก ถาน จงึ เป็นเ ตผุ ล �าคัญที่
ทา� ใ ้ Falck & Beidek ถาปนาขน้ึ เปน็ แ ลง่ ชอปปง้ิ ทไ่ี ดร้ บั ค ามนยิ มและอยใู่ นกระแ ของค ามทนั มยั
ของกรุงเทพฯ ช่ งตน้ ต รร ท่ี 20 (อา้ งใน Terwiel, 2017, 93) �า รบั อาคารของกิจการ ลัง ดุ ท้าย
ท่ใี ช้ในการ กึ าครง้ั นี้ เป็นงานทีน่ ่าจะ รา้ งข้ึนในช่ งตน้ ท รร ท่ี 1900 (ภาพท่ี 1) ซึ่งแ ดงไ ยากรณ์
ทาง ถาปตั ยกรรมแบบคลา กิ คอื การเน้นค าม มมาตร ใชเ้ ้น ายตรงดง่ิ ที่คมชดั และการใช้ นา้ บัน
ามเ ล่ยี ม รอื Greek pediment เปน็ อาคาร ูง องชนั้ ท่ี างตั ตามแน ยา รือแน นอน เฉพาะ ่ น
ปลายอาคารท้ังทางด้านทิ ตะ ันออกและทิ ตะ ันตกที่เป็น 3 ช้ัน พ้ืนที่ตรงกลางซึ่งเป็นอาคาร 2 ช้ัน
มีการยกผนังย่ืนออกมาเป็น portico ตามค ามลึกของเ า น่ึงต้นจากระนาบของผนังตรงก่ึงกลางและ
ปลายดา้ นข้างซ้ายข า ทตี่ ิดกบั ผัง ่ นทเ่ี ป็น 3 ชัน้ ่ นที่ยน่ื ออกมานมี้ ีชน้ั ลังคาเป็น Greek pediment
ขนาดใ ญ่เต็มพ้ืนที่ด้านก ้างของ portico ช้ันล่างของอาคารมีการตกแต่งผนังด้ ยองค์ประกอบ
rustication ซงึ่ ขดั กบั ค ามเรยี บของผนงั ชน้ั ท่ี 2 ตลอดค ามยา ของอาคาร องชน้ั เจาะชอ่ ง นา้ ตา่ งประตู
เปน็ กรอบ เี่ ลย่ี มแล้ เจาะชอ่ ง งโคง้ ตกแตง่ ทพี่ น้ื ทเี่ นอื กรอบ เี่ ลย่ี ม แตล่ ะชอ่ งประตู นา้ ตา่ งคน่ั ด้ ย
เ าแบน pilaster แต่ละช้ันใช้ ั เ าต่างระบบกัน ชั้นล่างเป็น ั เ า Tuscan order ่ นช้ันบนเป็น
ั เ า Corinthian order ด้าน น้าของอาคารนเี้ ป็นโถงระเบียงท่ีคนั่ พ้นื ท่ี าง นิ ค้าจ�า น่ายอีกชัน้ น่ึง
ลกั ณะท่ีกล่า มาของการใช้องค์ประกอบทาง ถาปตั ยกรรมแบบคลา ิก (ลายเ ้นที่ 1) การเนน้ ค าม
มมาตร และมี Greek pediment ที่โดดเด่น จึงท�าใ ้ระบุรูปแบบ ถาปัตยกรรมได้ ่าเป็นแบบ neo-
palladian (มีพ้ืนฐานมาจาก ถาปตั ยกรรมทเี่ ปน็ รปู แบบของ Andrea Palladio ถาปนิกชา อิตาลีใน
คริ ต์ ต รร ที่ 16) ซง่ึ เปน็ รปู แบบทไ่ี ดร้ บั ค ามนยิ มในการ รา้ งเปน็ อาคารของกระทร งทมี่ กี าร ถาปนา
ขน้ึ ในช่ ง องท รร ดุ ท้ายของคริ ต์ ต รร ที่ 19 ทา� ใ เ้ น็ ่าการออกแบบ ถาปตั ยกรรม า้ งรา้ น
ยุโรปท่ีต้องการดึงดูดผู้ซื้อใน ังคมชั้น ูง ได้ใช้รูปแบบ ถาปัตยกรรมเดีย กับอาคารที่ท�าการของรัฐ
( มชาติ จงึ ริ อิ ารกั ,์ 2553: 237) เพอื่ อ่ื ถงึ การเปน็ ถาปตั ยกรรมฐานานุ กั ดเ์ิ ชน่ เดยี กนั เพราะอาคาร
กระทร ง กรม กองของรัฐ (ราช า� นัก) ทเี่ ป็น ถาปตั ยกรรมตะ ันตก คือ เรอื นฐานันดร กั ดิ์แบบใ มข่ อง
ยามทีเ่ ขา้ มาแทนที่ ถาปตั ยกรรมไทยประเพณีเพอ่ื มงุ่ คู่ ามเป็น มยั ใ ม่ การมรี ปู แบบ ถาปัตยกรรม
ตะ ันตกจงึ เปน็ การผละ นจี าก ยามเก่าทีม่ ี ถาปตั ยกรรมไทยประเพณเี ปน็ ตั แทน
้าง B. Grimm & Co. รือเรียกอย่าง ั้น ๆ ่า ้างบีกรมิ เร่ิมเปดิ เปน็ ร้านขายยาและเคมภี ณั ฑ์
ในเขตก�าแพงพระนครตั้งแต่เดือนพฤ ภาคม ค. . 1877 ต่อมาจึงได้ขยายกิจการออกเป็น ลาย าขา
โดยมี าขาที่ใ ญ่ที่ ุดและด�าเนินการเป็น ้าง รรพ ินค้าคือ าขาในเมือง (city branch) ท่ีเรียก ่า
า้ งประตู ามยอด (ภาพท่ี 2) ทเ่ี ชงิ ะพานดา� รง ถติ ( ะพานเ ลก็ บน) บนถนนเจรญิ กรงุ ตดั ถนนม าไชย
( ีแ่ ยก ามยอด แข ง ังบูรพาภริ มย์ เขตพระนครในปจั จบุ ัน) นา่ จะ ร้างขึน้ ในรา ปี ค. . 1910 ก่อนมี
การนา� กจิ การ าขายอ่ ยมาร มไ ท้ ่ี า้ งประตู ามยอดเพยี ง าขาเดยี ในปี ค. . 1912 (ธชั พง ์ พตั ร ง น,
2560: 22) ในด้าน ถาปัตยกรรมนัน้ า้ ง B. Grimm & Co. รือ ้างประตู ามยอดมีองค์ประกอบของ
ถาปัตยกรรมในกระแ Renaissance Revival (บางคร้ังเรียก Italianate architecture) ประเภท
244
palazzo style ซง่ึ เปน็ าคาร งชน้ั ทางเขา้ าคารคื มมุ าคารทม่ี รี ะนาบโคง้ เ า้ (recessed entrance)
ปีก าคาร งขา้ งขยายไปตามแน ถนนเจริญกรุงและถนนม าไชย ชนั้ ล่างมี ่ น น้า าคารเป็นระเบยี ง
(colonnade/loggia) พืน้ ผิ ด้านน กเป็นการตกแตง่ แบบ rustication มี cornice นูน นาคั่นระ ่าง
ชั้นลา่ งและชน้ั บน (piano nobile) ซึ่งเนน้ ยา�้ ค าม า� คญั ข งช้นั บนด้ ยค าม ูงก า่ ช้ันล่าง ชน้ั บนนมี้ ี
แถ นา้ ตา่ งกร บ เี่ ลย่ี มประดบั ดา้ นบนด้ ย segmental pediment ( นา้ บนั รปู งโคง้ ) ภายในประดบั
ปนู ปนั้ รูป medallion แตล่ ะบานคนั่ ด้ ยเ าแบน (pilaster) ั เ าแบบ ionic ซึง่ ทงั้ เ าแบนและแถ
นา้ ตา่ งข งชน้ั บนนเี้ รยี ง ยา่ งเปน็ ระเบยี บตามแน น น และตรงตา� แ นง่ กบั ช่ งเ าข งชน้ั ลา่ งในแน ดงิ่
มกี ารใช้ งค์ประก บท่เี นน้ ย้า� ในแน น น คื balustrade (ระเบียง) ทีด่ า้ นบน ุดข ง าคาร เ นื และ
ใต้แถ น้าต่าง ท�าใ ้เน้นย�้าเ ้นแน น นข ง าคารท่ีมีค ามชัดเจนขึ้น ไ ยากรณ์ข ง ถาปัตยกรรมท่ี
เน้นย้�าค าม มมาตร การใช้ cornice แบง่ พืน้ ท่ี ยา่ งชัดเจน การเพิ่มค ามโดดเด่นข งพน้ื ท่ชี ้นั ล่างด้ ย
rustication และแถ นา้ ต่าง นั เปน็ ระเบียบน้ี คื ท่ งทีข ง ถาปัตยกรรมแบบ palazzo นั เปน็ รูป
แบบท่ีปรากฏเป็น ถาปัตยกรรมการค้าและธนาคารในยโุ รปตั้งแต่ช่ งกลาง ต รร ท่ี 19 เปน็ ต้นมา โดย
เฉพาะ ยา่ งยง่ิ ใน งั กฤ ยุค คิ ต เรีย (Dixon and Muthesius, 1993: 127) และนิยมเร่ื ยมาจนถึงตน้
ต รร ที่ 20 โดยเปน็ รปู แบบ ถาปตั ยกรรมทนี่ า� มาใชก้ บั าคารข ง า้ ง รรพ นิ คา้ ขนาดใ ญท่ ง้ั ในยโุ รป
เตรเลีย และ รัฐ เมรกิ า (Heckscher, 2000: 267-69)
า้ งรา้ นยโุ รป ลงั ดุ ทา้ ยข งกลมุ่ กรณี กึ าท่ี ยบู่ นถนนเจรญิ กรงุ คื า้ งเ . เ . บ.ี (ภาพที่ 3)
า้ ง Société Anonyme Belge pour le Commerce et l’Industrie au Siam (S.A.B. บริ ทั เบลเยยี ม
เพื่ การพาณชิ ยแ์ ละการ ุต า กรรมใน ยาม จา� กัด) รื ้างเ . เ . บี. ที่มุมถนนเจรญิ กรุงตัดถนน
รจกั ร (แยกเ . เ . บี. แข งป้ มปราบ เขตป้ มปราบ ัตรูพ่าย ปัจจุบนั ตึกนเ้ี ปน็ ทที่ �าการข ง นงั ื
พมิ พซ์ งิ เ ยี นเย ะเปา้ ก่ ตงั้ ค. . 1950) ทตี่ ง้ั ข ง า้ ง S.A.B. นน้ั ไมไ่ กลจาก า้ ง B. Grimm & Co. (ประตู
ามย ด) ทงั้ ยงั มที า� เลและผงั พนื้ ไมต่ า่ งกนั มากนกั ด้ ยการเปน็ าคาร ั มมุ ถนนพร้ มกบั การ กแบบ
ใ ้ด้าน น้า าคาร (façade) ที่ ั มุมเป็นการย่ ลึกเข้าไป ช้ันล่างเป็นผนังและเ าที่ท�า rustication
ชนั้ บนผนงั เรียบแตท่ ีเ่ าทา� rustication เช่นกนั ซึ่งเปน็ รูปแบบเดยี กับท่พี บทัง้ ใน าคาร ้าง Falck &
Beidek และ า้ ง B. Grimm & Co. พนื้ ทม่ี มุ าคารและถดั ไป งคู าทงั้ งขา้ งเปน็ ตกึ ามชนั้ ปกี าคาร
ท่ีถัด กไป ีกทั้งทางฝั่งถนนเจริญกรุงและถนน รจักรเป็นตึก งชั้น แถ น้าต่างในกร บ ่ีเ ล่ียม
เรยี งราย ยา่ งเป็นระเบียบทั้งในระนาบแน น นและแน ต้งั
จาก งคป์ ระก บทกี่ ล่า มา ้าง S.A.B. มีค ามใกล้เคยี งกับ ถาปัตยกรรมแบบ palazzo ข ง
า้ ง B. Grimm & Co แตข่ าดระเบยี บการเน้นย�้าในระนาบแน น นทเ่ี ปน็ จดุ เดน่ ด้ ยแถ ระเบียง รื
balustrade โดย า้ ง S.A.B. มกี ารใช้ งค์ประก บท่ีเนน้ ย�า้ ในแน ด่งิ มากก า่ พ้ืนท่แี น ดิ่งท่เี ดน่ ชดั ท่ี ดุ
เปน็ façade มมุ าคารด้ ยการเปน็ าคาร ามชนั้ กร บ นา้ ตา่ งทรงยา ทเ่ี รยี งชดิ ตดิ กนั ทง้ั ชน้ั ท่ี 2 และ 3
และมดี า้ นบน ดุ เปน็ การตกแตง่ ด้ ย นา้ บนั Flemish Baroque พน้ื ทตี่ รงกลางประดบั นา กิ ากร บกลม
เกื บเต็มพื้นท่ี แนะถึง ินค้าเด่นที่ ้างเป็นตั แทนจ�า น่ายในระยะนี้ คื นา ิกาชั้นดีจากต่างประเท
กี งคป์ ระก บทเ่ี พมิ่ เตมิ ขน้ึ มาคื ชายคาโดยร บชนั้ 1 ชายคาเ นื บาน นา้ ตา่ ง และชายคาเ นื แถบ
cornice ข งชั้น 3 การทา� ชายคาเพ่มิ ข้นึ มา าจเป็นการคา� นงึ ถึง ภาพแ ดล้ ม ภมู ิประเท ภมู ิ ากา
ท้ งถ่ินในการ กแบบมากก ่าท่ีจะถ่ายท ดรูปแบบ ถาปัตยกรรมจากตะ ันตก ย่างตรงไปตรงมา
245
นัง ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
เ มือนใน ลายท รร กอ่ น นา้ ากคา� นงึ ถงึ ปีกอ่ รา้ ง (ค. . 1921) ซึ่งตรงกับรชั กาลที่ 6 กม็ คี ามนา่
นใจในการที่ ถาปนิกผู้ออกแบบอาคารไม่ยึดถือระเบียบของ ถาปัตยกรรมตะ ันตก กุลคลา ิกอย่าง
เคร่งครัด ซ่ึงน่าจะมีผลจากการที่การออกแบบ ถาปัตยกรรมในช่ งเ ลาดังกล่า อยู่ในกระแ ชาตินิยม
ของพระบาท มเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยู่ ั ทพี่ ยายามรอื้ ฟน้ื ถาปตั ยกรรมประเพณขี องไทยมาแปลค าม
ใ ม่ ในบรบิ ทของยคุ มยั ใ ม่ของ ยาม รือทเ่ี รียก ่า ถาปตั ยกรรมไทยประยุกตแ์ บบชาตนิ ิยม ( มชาติ
จงึ ริ ิอารัก ,์ 2553: 281) แม้ า่ ถาปัตยกรรมของ ้าง S.A.B. จะไม่ได้เปน็ ถาปัตยกรรมไทยประยุกต์
แต่การเ ่ือมคลายของแบบแผน ถาปัตยกรรมตะ ันตกก็น่าจะมี ่ นเก่ีย ข้องกับค ามพยายามในการ
ละลายอทิ ธพิ ลตะ นั ตกในช่ ง มัยรัชกาลที่ 6 นี้
้างร้านยุโรป อง ลงั ุดทา้ ยทจี่ ะทา� การอภิปรายคือ ้าง Harry A. Badman และ า้ ง John
Sampson & Son ซงึ่ ตง้ั อยใู่ นพน้ื ทเ่ี ชอ่ื มตอ่ ระ า่ งเกาะรตั นโก นิ ทรอ์ นั เปน็ “เขตเกา่ ” และเขตพระราช งั
ดุ ติ อันเปน็ “เขตใ ม”่ ของกรงุ เทพม านคร โดยต้งั อยู่ในอาณาบริเ ณของถนนราชด�าเนนิ ( ร้าง ค. .
1899-1903) จงึ เปน็ า้ งรา้ นยโุ รปทต่ี อบ นองตอ่ การพฒั นาทด่ี นิ โดยราช า� นกั (อนั เนอ่ื งมาจากการ รา้ ง
พระราช ังดุ ิตขึ้นเป็นพระราชฐานและ “ออฟฟิ ” ใ ม่ของรัชกาลท่ี 5) และเป็น ้างร้านท่ีได้ช่ือ ่า
จา� น่าย ินค้าน�าเขา้ ชัน้ ดีราคาแพงมาจากยโุ รป า้ ง Harry A. Badman ที่ถนนราชด�าเนินน้ีเป็นอาคาร
ลงั ใ มแ่ ล้ เ รจ็ ปี ค. . 1907 ตัง้ อยทู่ ีเ่ ชิง ะพานผา่ นพิภพลีลา ร้างอยู่ในผงั โคง้ ทา� มุมไปตามแน ั
ถนนราชดา� เนนิ กลาง (ภาพที่ 4) มคี าม งู 3 ชน้ั คลมุ ด้ ย ลงั คาทรงปน้ั ยา อาคารมกี ารใชอ้ งคป์ ระกอบ
ทเี่ นน้ ยา้� ในแน นอนอยา่ งเดน่ ชดั คอื การใชแ้ ถ ระเบยี ง งโคง้ มน (loggia) ซงึ่ ยงั ไดแ้ นะถงึ แน คดิ ของการ
ออกแบบ ถาปตั ยกรรมในกระแ Romanesque Revival ด้ ย ที่แถ งโค้งมน (arcade) ของระเบยี ง
น้นั มี balustrade ประกอบ ซง่ึ ใกลเ้ คยี งกับ ้าง B. Grimm & Co. าขาประตู ามยอดที่ ร้างในระยะ
เ ลาท่ีไม่ ่างกันมากนัก อีก น่ึงองค์ประกอบท่ีตรงกับ ้างร้านยุโรปท่ีกล่า ถึงก่อน น้า คือการเน้นย้�า
ค าม �าคัญท่ีจุดกึ่งกลางและปลายอาคารท้ัง องข้างด้ ยการท�าเป็นมุขย่ืนออกมา เช่นเดีย กับระเบียบ
ของอาคารแน ยา ทมี่ ีผงั คลา้ ยกันของ ้าง B. Grimm & Co. และ ้าง Falck & Beidek แต่มีการตกแต่ง
façade ท่ีเป็นพ้นื ท่มี มุ อาคารด้ ยองคป์ ระกอบ ลาก ลายคล้ายกับท่ี ้าง S.A.B. ช่องกลางของ façade
ใช้ น้าต่างแบบ serlian (Venetian/Palladian window) ท�าใ ้มีลัก ณะเป็น ถาปัตยกรรมแบบ
Palladian รูปแบบ ถาปตั ยกรรมเดีย กับ ้าง Falck & Beidek
ในกลมุ่ ถาปตั ยกรรมการคา้ น้ี มเี พยี ง า้ ง John Sampson & Son ทม่ี ี ลกั ฐานเกย่ี กบั ถาปนกิ
ผอู้ อกแบบ โดยเปน็ ผลงานของชาร์ล ์ เบอเกอแลง (Charles Beguelin) ถาปนกิ เชอ้ื ายฝรง่ั เ - ิ
ซึ่งผลงานการออกแบบที่มีการบันทึกและเผยแพร่น้ัน ได้แก่ ัง มเด็จพระเจ้าบรม ง ์เธอกรมพระยา
ชัยนาทนเรนทร รือ ัง ิทยุ ( ร้างเ ร็จ ค. . 1925) (ผุ ดี ทิพทั , 2541: 137-146; Chomchon
Fusinpaiboon, 2014: 126-127) ด้ ยรูปแบบที่มีพื้นฐานมาจาก ถาปัตยกรรมแบบ Swiss Chalet
ซงึ่ แตกต่างจากรูปแบบ ถาปตั ยกรรม Neo-Renaissance ของ า้ ง John Sampson & Son ที่เรม่ิ ร้าง
ในปี ค. . 1906 อันเป็นท รร ทีก่ ระแ ถาปัตยกรรมในแน ทางคลา ิก ยังคงมรี ากฐานแน่น นาอยู่
ในการ ร้าง ถาปัตยกรรมแบบตะ ันตกใน ยาม จากตั อย่างของ ้างร้านและ ถานที่ราชการร่ ม มัย
ดังน้นั แม้ ่า า้ ง John Sampson & Son จะไมไ่ ดเ้ ปน็ ถาปตั ยกรรมการคา้ ที่ ร้างในรปู แบบ palazzo
แตก่ ย็ งั เปน็ รปู แบบ ถาปตั ยกรรมในกระแ ธารเดยี กนั ของการนา� ระเบยี บของ ถาปตั ยกรรมแบบคลา กิ
246
มาแปลค ามใ ม่ อาคาร างตั อยู่ในผังรูปตั U ตามต�าแ น่ง ั มุมถนน ลาน ล งตัดกับ
ซอยด�ารงรัก ์บริเ ณเชิง ะพานผ่านฟ้าลีลา อันเป็นจุดเร่ิมต้นของถนนราชดา� เนินกลาง ดังนั้นจึงแทบ
จะเปน็ ถาปตั ยกรรมคแู่ ฝดของ ้าง Harry A. Badman ในบรบิ ทของท�าเลทตี่ ัง้ และยังคงเน้นย�้าค าม
โดดเด่นของพ้ืนท่ีกึ่งกลางอาคารด้ ยการท�า อทรงโดมเป็นยอด ุด ขนาบด้ ยปีกอาคารตามแน ยา ที่
เนน้ ยา้� ระนาบแน นอนด้ ยแถ นา้ ตา่ งเรยี งรายทงั้ 3 ชน้ั และมี ลงั คาเปน็ ทรงปน้ั ยาเดน่ ชดั เ มอื นกนั
กับ า้ ง Harry A. Badman (ภาพท่ี 5) ซ่งึ ลงั คาปน้ั ยานีเ้ ปน็ รปู แบบของ ลังคาทรี่ ับมาจากอาณานคิ ม
ดตั ชแ์ ละองั กฤ ผา่ นอนิ โดนเี ซยี และคาบ มทุ รมลายู ทแี่ พร่ ลายใน ยามตง้ั แตก่ ลางคริ ต์ ต รร ที่ 19
จากทางภาคใตข้ น้ึ มา รู่ าช า� นกั และกลายเปน็ รปู แบบ นงึ่ ของ ลงั คาทอ่ี ยใู่ น ถาปตั ยกรรมตงั้ แตร่ ะดบั
ราช า� นกั จนถงึ บ้านเรือนในกรุงเทพม านคร (Nithi Sthapitanond and Martens, 2012 : 32, 50)
การพบ ลงั คาปน้ั ยาใน ถาปตั ยกรรม า้ งรา้ นยโุ รปนจ้ี งึ เปน็ ลกั ฐานทชี่ ดั เจนอยา่ ง นง่ึ ถงึ ผลกระทบของ
ภา ะอาณานิคมที่เกิดขึ้นในดินแดน ยาม และช้ีแนะ ่าการออกแบบ ถาปัตยกรรม ้างร้านยุโรปนี้ไม่
ามารถมองเแค่ า่ เปน็ การนา� เข้าจากตะ นั ตก (ผ่าน ถาปนิกชา ยุโรป) โดยตรงเพยี งอยา่ งเดยี เทา่ นั้น
แตจ่ า� เปน็ ตอ้ งพจิ ารณาถงึ กระแ การรบั อทิ ธพิ ลจากตะ นั ตกผา่ นโครงขา่ ยอาณานคิ มภายในภมู ภิ าคด้ ย
า� รบั การ รา้ งอาคารที่มุมถนนนน้ั ถอื เปน็ ท�าเลท่ดี ีของ ถาปัตยกรรมการคา้ ตามตั อย่างถงึ
4 ใน 5 กิจการ ้างร้านยุโรปขนาดใ ญ่ที่เป็นกรณี ึก าในบทค ามนี้ โดยเข้าใจได้ ่าเป็นการค�านึงถึง
กายภาพ และ ถิ ที างการคมนาคมทเี่ ปลย่ี นไปจากโครงขา่ ยถนนทใ่ี ชเ้ ปน็ ่ น นง่ึ ในการกระตนุ้ เ ร ฐกจิ
ยามในช่ ง มัยใ ม่ ในขณะท่ี า้ ง Falck & Beidek นั้นเป็นกรณที ี่ ะทอ้ นใ เ้ น็ ถึง ภา ะ ของการ
เปลยี่ นผา่ นทางกายภาพของกรงุ เทพม านครทก่ี ารเดนิ ทางทางนา้� ยงั คงมคี าม า� คญั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ
แม่น้�าเจ้าพระยาท่ีเป็นเ ้นเลือด �าคัญของการเดินทางและการขน ่ง ินค้าทั้งในและต่างประเท
ซึ่งพิจารณาจากแผนที่ของอันโตนิโอก็จะย่ิงเ ็นภาพชัดเจน ่าริมแม่น้�าเจ้าพระยายังคงเป็นพ้ืนที่ �าคัญ
ต่อเ ร ฐกิจท้ังในภาครัฐของ ยาม ( ุลก ถาน) และต่อค าม ัมพันธ์กับต่างประเท ( ถานทูต และ
า้ งรา้ น) โดยทถี่ นนเจรญิ กรงุ ทเี่ ปน็ เ น้ เลอื ดใ มข่ องเ ร ฐกจิ กรงุ เทพฯ กย็ งั ไดต้ ดั เลยี บเลาะไปกบั แมน่ า�้
เจ้าพระยา ดังน้ัน พัฒนาการของถนนแบบ มัยใ ม่ในช่ งปลาย ต รร ที่ 19 แม้จะถูกผลักดันด้ ย
ถิ แี ละรปู แบบตะ นั ตก แตใ่ นขณะเดยี กนั กถ็ กู บงั คบั ด้ ยอทิ ธพิ ลดา้ นภมู ริ ฐั า ตรท์ อ้ งถน่ิ ของเมอื ง ล ง
นีเ้ ชน่ กนั (Wasana Wongsurawat, 2016: 1-8)
การเลอื กใชร้ ปู แบบอาคารในแน ทาง ถาปตั ยกรรม กลุ คลา กิ ไม่ า่ จะเปน็ แบบ Neo-Classic
Neo-Palladian และ Neo-Renaissance นั้น ะท้อนรับกับกระแ ค ามนิยมใน ถาปัตยกรรม
“ มยั ใ ม่” ตามราช �านกั และชนชน้ั น�า ยามทเ่ี ลอื กมาเป็นแบบในการ ร้างพระราช ัง ถานทรี่ าชการ
และอาคาร าธารณะตงั้ แตช่ ่ ง องถงึ ามท รร ดุ ท้ายของคริ ต์ ต รร ท่ี 19 โดยใช้เป็น ญั ลัก ณ์
ของค ามมีอารยะและค ามเปน็ มยั ใ ม่ของ ยาม และได้กลายมาเปน็ ตั แทนของ ถาปัตยกรรมชนั้ งู
รือ เรือนฐานันดร ักด์ิของ ถาปัตยกรรมไทยในขอบเขตของเรือนพักอา ัยของราช ง ์แทนที่
ถาปัตยกรรมเรือนช้ันซ้อนแบบไทยประเพณี น�ามา ู่การแพร่กระจายไปยัง ถาปัตยกรรมแบบโลก ิ ัย
(secular architecture) ท่ี รา้ งขึน้ ในช่ งปลาย ต รร ท่ี 19-ต้น ต รร ท่ี 20 ท้งั ยงั บอกเลา่ ตั ตนและ
ร นิยมการช้อปปิ้งของกลุ่มประชากรซึ่งน�าพาไป ู่การ ร้างและการแ ดงอัตลัก ณ์ มัยใ ม่ ช้ีใ ้เ ็น
ถงึ ค าม มั พนั ธร์ ะ า่ ง ถาปตั ยกรรมในเชงิ ตั ถุ ภาพกบั พฤตกิ รรมและตั ตนของผบู้ รโิ ภคทงั้ ในระดบั
247
นงั ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เน่อื งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
อตั บุคคลและองคร์ ม (Buchli, 2006: 260) กลา่ คือ ัฒนธรรมการบริโภค ินค้าตะ นั ตกใน มู่ชนช้ัน
น�านับเป็นการ ่งเ ริมและ นับ นุนใ ้เกิด ถาปัตยกรรมการค้าที่ ะท้อนรับกับกระแ ค ามนิยม และ
ค ามตอ้ งการในการ ลดุ พน้ จากเงื่อนไขการแ ดงฐานันดร ักดิ์-ชนช้นั ทาง ังคมและเ ร ฐกจิ ด้ ยจารีต
เดิมของ ถาปัตยกรรมแบบประเพณี ร มไปถึงการเปลี่ยนแปลงจากขนบของการครอบครองบุคคล
(ไพร่และทา ) มาเป็นการแ ดงค ามมงั่ คั่งและบารมีแบบ มยั ใ มผ่ ่านการบรโิ ภคและครอบครอง นิ คา้
จากตะ ันตก ถาปตั ยกรรม า้ งรา้ นแบบตะ นั ตกจงึ เป็น ญั ญะอย่างใ มป่ ระการ นงึ่ ทีน่ า� มาใช้ในการ
ร้างค ามเป็นอัตบุคคลในบรรยากา ของการก้า เข้า ู่ภา ะ มัยใ ม่ท่ีปฏิเ ธการ ืบทอดจากอดีต
แต่ รา้ ง ิ่งใ ม่เพ่ือช้ีนา� อนาคต (Heynen, 1999: 9)
ขนบ ถาปตั ยกรรม กลุ คลา ิกของ า้ งร้านยุโรปกบั ภาวะอาณานิคม
ดังท่ีได้อภิปรายไปก่อน น้านี้ ่า อ�านาจอาณานิคมมี ่ นเก่ีย ข้องกับ ถาปัตยกรรม ้างร้าน
ยุโรปในกรุงเทพม านคร ท่ีเป็นไปอย่าง ลากมิติ ท้ังจากการผลกระทบของการท�า นธิ ัญญาการค้า
ท่ีเป็นการเปิดตลาด ินค้าตะ ันตกใน ยามขนานใ ญ่ ผ มผ านกับการท่ีราช �านักได้เดินทางไปยัง
ดินแดนอาณานิคมอันเป็นการเปิดโอกา ใ ้ชนช้ัน ูงชา ยาม เปลี่ยนมามีพฤติกรรมการบริโภค ินค้า
นา� เขา้ จากตะ นั ตก แบบฉับพลัน ท้งั ยังมีบริ ัท ้างร้านท่ีดา� เนินธุรกิจใน the Straits Settlements เชน่
ทเ่ี มอื งปนี งั และ งิ คโปร์ ไดม้ าเปดิ าขาทกี่ รงุ เทพม านครตามถนนเจรญิ กรงุ และพน้ื ทใ่ี กลเ้ คยี งอยไู่ มน่ อ้ ย
ตั อยา่ ง า� คญั คอื ตดู โิ อถา่ ยภาพของโรเบริ ต์ เลนซช์ า่ งภาพชา เยอรมนั ทม่ี าเปดิ าขาบนถนนเจรญิ กรงุ
ลงั การเ ดจ็ ประพา ดงู านท่ี งิ คโปรแ์ ละช าของพระบาท มเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่ ั ใน ค. . 1896
ร มทั้งธุรกิจโรงแรม Hotel de la Paix และบริ ัทดีทเฮล์ม (Diethelm & Co., Ltd.) กิจการ ลังน้ี
ต้ังบริ ัทใน งิ คโปร์ตั้งแต่ ค. . 1887 จากนั้นมาเปดิ าขาทก่ี รุงเทพฯ ใน ค. . 1906 ซง่ึ ตรงกบั ช่ งเ ลา
เบ่งบานของธุรกิจ ้างร้านยุโรปในกรุงเทพม านครท่ีมี ้างร้านใ ม่มาท�าธุรกิจ รือการขยายและย้าย
าขาของกิจการเดิม (รายละเอียดดูตารางที่ 1) และที่ �าคัญคือ The Straits-Siam Mercantile
Company อนั เปน็ เครอื ขา่ ยธรุ กจิ ระ า่ ง ยามและ the Straits Settlements มี า� นกั งานใ ญท่ ่ี งิ คโปร์
และเปิด าขาท่กี รุงเทพฯ ด้ ย (Wright, 1994: 117)
ในแงม่ มุ ของภมู ทิ ั นเ์ มอื ง โครงขา่ ยอาณานคิ มไดม้ ี ่ น า� คญั ตอ่ การเปลย่ี นแปลงทางกายภาพ
ของกรงุ เทพม านคร ทเี่ รม่ิ จากการรองรบั การตงั้ ถนิ่ ฐานของชา ยโุ รปในกรงุ เทพม านครด้ ยการตดั ถนน
เพิม่ าม ายใน มัยรชั กาลที่ 4 คอื ถนนเจริญกรุง ถนนบา� รงุ เมอื ง และถนนเฟื่องนคร โดยน�าแบบอย่าง
การตดั ถนนใน งิ คโปร์ (อา้ งใน ณฐั ฒุ ิ ปรยี นติ ย,์ 2560: 38) ถนนเจรญิ กรงุ และถนนบา� รงุ เมอื งเปน็ ถนน
ที่ตัดตามแน นอนออกมาจากก�าแพงพระนคร (จากนั้นถนนเจริญกรุงมีการตัดเลียบไปกับโค้งแม่น�้า
เจา้ พระยา) เกอื บจะคขู่ นานกนั ไป โดยมถี นนเฟอ่ื งนครเชอ่ื มระ า่ งถนน อง ายน้ี ทา� ใ ม้ คี ามใกลเ้ คยี ง
กับการตัดถนนแบบกริด รือ Hippodamian plan ท่ีมีการใช้ถนนเ ้น ลัก องเ ้น ลากเป็นแน ดิ่ง
(via cardo) และแน นอน (via decumanus) ตัดกนั ซึง่ เป็นพ้ืนฐานของการ างผงั เมอื งและการตดั ถนน
ในยุโรปมาตั้งแต่ใน มัยกรีก-โรมันโบราณ เป็นเพราะการน�าแบบอย่างมาจากเมืองอาณานิคมตะ ันตก
ทา� ใ ก้ ายภาพของกรงุ เทพม านครตงั้ แตป่ ลายคริ ต์ ต รร ที่ 19 เปน็ ตน้ มา แฝงไ ด้ ้ ยภา ะอาณานคิ ม รอื
เป็นอย่างท่ีไมเคิล เฮิซเฟลด์ นักมานุ ย ิทยาชา อเมริกันได้ ิเคราะ ์ ถานภาพของประเท ไทย ่า
248
เป็นอาณานคิ มอา� พราง ซ่ึงเฮซิ เฟลดย์ กตั อยา่ งของการ างผังเมืองแบบกรดิ ทเี่ ป็นระบบระเบียบ โดยเจา้
อาณานิคมเพื่อกันไ ้เป็นพื้นที่ของชา ยุโรป แยกชัดเจนจากผังไร้จุดมุ่ง มายท่ีเป็นย่าน “ตะ ันออก”
�า รับประชากรพื้นถ่ิน กรณีของกรุงเทพม านครท่ีตัดถนนอย่างเป็นระเบียบตามผังเมืองอาณานิคม
เพอื่ ตอบ นองค ามตอ้ งการของชา ยโุ รป กเ็ ปน็ การ รา้ งค ามประทบั ใจใ ก้ บั เจา้ อาณานคิ มตะ นั ตก า่
ยามใ ม่น้ีเป็นบ้านเมอื งของคนพน้ื ถิน่ ท่มี คี าม ิ ิไลซ์ (Herzfeld, 2012: 217) ในทางกลบั กนั เมอ่ื ถนน
เจริญกรุงได้กลายเป็น ั ใจ �าคัญของชุมชนชา ยุโรปที่เข้ามาประกอบอาชีพและต้ังถิ่นฐานในกรุงเทพฯ
พรอ้ มทง้ั ดงึ ดดู ชา ยามและนกั ธรุ กจิ ญั ชาตอิ น่ื ๆ เชน่ จนี และอนิ เดยี ใ เ้ ขา้ มาเปดิ กจิ การรา้ นคา้ จนกลาย
เป็นถนน ายท่ีตอบ นองร นิยมช้ัน ูง และ มัยใ ม่ของกรุงเทพม านครในช่ งเปล่ียนผ่าน ต รร
การตง้ั กจิ การ า้ งรา้ นยโุ รปกเ็ ปน็ ไปเพอ่ื การทา� ใ อ้ ตั ลกั ณค์ ามเปน็ มยั ใ มข่ องราช า� นกั มคี าม มบรู ณ์
ชนช้ัน ูงท่ีตักต งประโยชน์จากพ้ืนที่ “ มัยใ ม่” ตามผังแบบอาณานิคมนี้จึง มบทบาทของการเป็น
เจ้าอาณานคิ มในประเท ของตนเอง
ในระดับรูปธรรมนั้น รูปแบบ ถาปัตยกรรมในระเบียบคลา ิกของ ้างร้านยุโรปใน
กรุงเทพม านครตรงกับค ามนิยมท่ีเกิดขึ้นในยุโรปและประเท อาณานิคมตะ ันตกในภูมิภาคเอเชีย
ตะ ันออกเฉียงใต้ เช่นกลุ่มตึกแถ ขนาดใ ญ่ริมถนนบีช เมืองจอร์จทา น์ เกาะปีนัง ภายใต้อาณานิคม
จกั ร รรดอิ งั กฤ (ภาพท่ี 6) เ ตผุ ลของการเลอื กรปู แบบ ถาปตั ยกรรมในระเบยี บคลา กิ ของ ถาปตั ยกรรม
การคา้ ท่ี างตั ขนานไปกบั ถนน นอกเ นอื จากกระแ ค ามนยิ มเดยี กบั นู ยก์ ลางในยโุ รปตามทก่ี ลา่ ถงึ
ไปแล้ นน้ั ยงั นา่ จะเกยี่ ขอ้ งกบั ทั นภาพ (visual images) ทก่ี อ่ ใ เ้ กดิ ผลกระทบทาง ายตาองิ กบั ลกั ณะ
ทางกายภาพของถนน เพราะองค์ประกอบท่ีเนน้ ยา�้ ในเ น้ ายแน นอน และการรกั าค ามเป็นระเบียบ
และค าม มดุลขององค์ประกอบทาง ถาปตั ยกรรมอย่าง มา�่ เ มอนนั้ ช่ ยขบั เน้นระนาบแน นอนที่ ่ง
ผลการรับรู้ทาง ายตาของชา กรุงเทพฯ แปรเปลี่ยนไปตามภูมิทั น์เมืองที่เล่นล้อกับโครงข่ายถนนและ
ถาปัตยกรรมแบบตะ ันตกท่ีเน้นรูปทรงของอาคาร และการจัด างองค์ประกอบทาง ถาปัตยกรรมใน
ระนาบแน นอนดังตั อย่างของ ถาปัตยกรรม ้างร้านยโุ รปทไ่ี ด้ ึก าในบทค ามนี้
ข้อ ังเกตอีกประการ น่ึงที่ได้จากกลุ่ม ถาปัตยกรรมการค้านี้ เป็นงาน ร้างในช่ งรา อง
ท รร แรกของ ต รร ท่ี 20 การปรากฏขน้ึ ของ ถาปตั ยกรรมแบบตะ นั ตกขนาดใ ญบ่ นทอ้ งถนนใน
กรุงเทพม านคร แน่นอน ่าเป็นเพราะค าม ามารถในการ ่าจ้าง ถาปนิกจากยุโรปในการออกแบบ
ท้ังในรูปแบบบริ ัท เช่นบริ ัทของพ่ีน้องตระกูลกรา ซี ที่เปิดธุรกิจรับออกแบบและก่อ ร้างอาคาร
มาต้ังแต่รา ค. . 1875-1876 เป็นต้นมา และจากการ ่าจ้างเข้ามารับราชการใ ้กับรัฐบาล ยาม
(ซ่ึงในทางกลับกัน ถาปนิกและ ิ กรเ ล่านี้ก็ได้เปิดบริ ัทเป็นของตนเองด้ ย) (ดูเพิ่มเติมใน ผุ ดี
ทิพทั , 2541; พีร รี โพ าทอง, 2548) แต่อีกตั แปร ลักท่ีน่าจะช่ ยกระตุ้นโครงการก่อ ร้าง
ถาปัตยกรรมการค้าในช่ งต้น ต รร ที่ 20 น้ีน่าจะข้ึนอยู่กับระบบการจัดเก็บภา ีแบบใ ม่
ทม่ี ีประ ทิ ธิภาพมากย่ิงขึน้ ทเี่ ร่มิ ต้งั แต่ ค. . 1902 (อ้างใน Lysa, 1984: 125-126) เปน็ �าคญั ซงึ่ ช่ ย
กระตุ้นการโตของเ ร ฐกิจได้มากยงิ่ ขนึ้ เช่นเดยี กบั การเปลีย่ นแปลงจากภายนอกที่มีผลกระทบตอ่ การ
คา้ ระ า่ งประเท ของ ยามทนี่ า่ จะนา� มาพจิ ารณาด้ ย คอื ทิ ทางและการเจรญิ เตบิ โตทางเ ร ฐกจิ ของ
กลุ่มประเท ใกล้เคียง เช่น the Straits Settlements ซ่ึงมีเมืองท่าและ ูนย์กลางการค้าท่ี �าคัญ
ทงั้ ที่ ิงคโปร์ และเมืองจอรจ์ ทา น์ เกาะปีนงั โดยเฉพาะในพืน้ ท่ี ลงั มีค ามน่า นใจมาก า่ ไดม้ กี ารฟืน้ ฟู
249
นัง อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ถานการณ์เป็น ูนย์กลางการด�าเนินธุรกิจพาณิชย์ของอาณานิคมจักร รรดิอังกฤ ต้ังแต่ ค. . 1904
เป็นต้นมา เพราะมี มุด มายท่ี �าคัญคือ การ ร้างท่าเรือ เ ตเทนแนม (Swettenham Pier)
(Ooi, 2015: 47) แม้แต่เอก ารร่ ม มัยก็ยังได้มีการเปรียบเทียบกิจการ ้างร้านยุโรประ ่างพื้นท่ี
กรุงเทพม านครกับ ิงคโปร์และปนี ัง (Wright, 1994: 267)
สรปุ
งานออกแบบ ้างร้านเ ล่าน้ีแ ดงค ามเข้าใจต่อร นิยมและภา าทาง ถาปัตยกรรมเดีย กัน
กับ ังคมชนช้ันน�า ยามในช่ งต้น มัยใ ม่ น�ามาซึ่งภาพของเมือง มัยใ ม่ของกรุงเทพฯ ที่ มบูรณ์ข้ึน
า� รบั รปู แบบของ ถาปตั ยกรรมตอ่ อาคารของกจิ การ า้ งรา้ นยโุ รปนก้ี ม็ นี ยั า� คญั เชน่ กนั การใชร้ ปู แบบ
อาคารในระเบียบและอุดมคติของ ถาปัตยกรรมแบบ (นีโอ) คลา ิกท่ีมีนัยของการเป็น ถาปัตยกรรม
ชั้น ูงท้ังในยุโรปและ ยามช่ งเ ลาร่ ม มัยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถาปัตยกรรมแบบ palazzo ที่ถูก
คัดเลือกมาเป็นแบบอย่างที่ มบูรณ์ของ ถาปัตยกรรมการค้า �า รับ ้างร้านที่ขาย ินค้าช้ันดีมีราคา ูง
ทง้ั นป้ี ระเดน็ ทนี่ า่ นใจเพม่ิ เตมิ จากการ เิ คราะ ร์ ปู แบบ ถาปตั ยกรรมตะ นั ตกของ า้ งรา้ นท่ี รา้ งขนึ้ ใน
ช่ งต้น ต รร ท่ี 20 เร่ิมปรากฏใ ้เ ็นถึงการผ่อนคลายจากระเบียบขององค์ประกอบ ถาปัตยกรรม
คลา ิกท่ีเครง่ ครดั ด้ ยการแทรกองคป์ ระกอบทีน่ ่าจะปรบั ใ ้เข้ากบั ภาพภมู ิอากา มากข้ึนก า่ อาคาร
ที่ รา้ งขน้ึ ในท รร กอ่ น นา้ แม้ า่ การปรบั เปลย่ี นองคป์ ระกอบ ถาปตั ยกรรมตะ นั ตกในพนื้ ทต่ี ะ นั ออก
รือการ ยิบยืม ถาปัตยกรรมตะ ันออกมา ร้างใ ้กับเจ้าอาณานิคมจะเป็นเร่ือง ามัญที่เกิดขึ้นใน
ถาปตั ยกรรมโคโลเนยี ล เชน่ เรอื นแบบบงั กะโล เปน็ ตน้ แตพ่ น้ื ลงั ทาง งั คม ฒั นธรรมไทยในช่ งรชั กาล
ที่ 6 ท่ีราช �านัก นับ นุนกระแ ชาตินิยม ก็อาจจะมีผลต่อการออกแบบ ถาปัตยกรรมการค้าเช่นกัน
ซ่ึงเปน็ ประเดน็ ทีน่ า่ จะได้มกี าร ึก าตอ่ ไป
ทั้งน้ีการมีรูปแบบอาคารที่เป็น ถาปัตยกรรมชั้น ูง (palazzo) ร มถึงท�าเลที่ตั้ง คือ ถนน
เจริญกรุงและถนนราชด�าเนินได้เป็นตั แทน รือ ัญลัก ณ์ของ ถาปัตยกรรมการค้า มัยใ ม่ใ ้กับ
กรงุ เทพม านคร ทย่ี งั คงผกู พนั แนน่ แฟน้ กบั ตั อาคาร ดงั ลกั ฐานทป่ี รากฏ า่ แม้ า้ งรา้ นยโุ รปตามทท่ี า� การ
ึก าในบทค ามน้ีจะปดิ ตั รอื ยตุ กิ ารดา� เนินกิจการ ณ พนื้ ท่ีดงั กล่า แต่ก็ยังมี ้างรา้ นยโุ รปอ่ืน ๆ เข้า
มารับช่ งต่อ เชน่ า้ ง S. Smith & Son (Siam) ท่ีเขา้ มาแทนท่ี า้ ง B. Grimm & Co. ในรา ค. . 1920
(ปจั จบุ นั อาคารนถี้ กู อาคารพาณชิ ยแ์ บบใ ม่ รา้ งขนึ้ แทนท)ี่ า้ ง ธุ าดลิ ก ทเี่ ขา้ มาใชอ้ าคารของ า้ ง John
Sampson & Son Co. ลงั ค. . 1926–1933 และตั อย่างท่ีเด่นชดั ที่ ุดคอื อาคารของ า้ ง Falck &
Beidek ท่ียังคง ถานะของการเป็น ูนย์การค้าจนถึงปัจจุบัน คือ O.P. Place แม้จะเป็นตั อย่างของ
ถาปตั ยกรรมการคา้ ทไี่ มไ่ ดต้ งั้ อยใู่ นทา� เลทด่ี ที ี่ ดุ คอื ที่ ั มมุ ถนน แตก่ ย็ งั อยใู่ นเ น้ ทางของถนนเจรญิ กรงุ
ร มทัง้ อยูใ่ นพ้ืนท่ีใกลเ้ คยี งคือ โรงแรมแมนดารนิ โอเรยี นเตล็ จงึ มีค ามนา่ นใจในบรกิ ารทีเ่ ป็นการกลบั
ดา้ นกบั กจิ การของ Falck & Beidek ท่เี ป็นการนา� เขา้ นิ ค้าจากต่างประเท ใ ้กบั ผซู้ ือ้ ทอ้ งถิ่น ในขณะท่ี
O.P. Place นน้ั ไดน้ า� เ นอพน้ื ทข่ี องกจิ การทนี่ า� เ นอ นิ คา้ ทาง ลิ ป ฒั นธรรมซงึ่ มกี ลมุ่ ลกู คา้ เปน็ ชา ตา่ งชาติ
รอื ค ามเกย่ี ขอ้ งกบั งการ ลิ ปะร่ ม มยั (เปน็ นงึ่ ใน ถานทจ่ี ดั นทิ รร การ Bangkok Art Biennale
2018) ประเดน็ นจี้ งึ มีค ามน่า นใจและมแี น โน้มค ามเป็นไปได้ ในการ กึ าเกีย่ กับการใช้อาคารเก่า
ในช่ งต้น มัยใ ม่ของกรงุ เทพม านครมาเป็นพ้นื ทท่ี างด้าน ิลปะและ ฒั นธรรมใน งั คมร่ ม มัยตอ่ ไป
250
บรรณานุกรม
ภา าไทย
ชาตรี ประกิตนนทการ. (2547). การเมืองและ งั คมใน ลิ ป ถาปตั ยกรรม ยาม มัย ไทยประยุกต์
ชาตินยิ ม. กรุงเทพฯ: มติชน.
ณฐั ฒุ ิ ปรยี นติ ย.์ (2560). เ ร ฐกจิ การเมอื งของการตดั ถนนในพระนคร มยั รชั กาลที่ 1-5. กรงุ เทพฯ:
คณะ ถาปัตยกรรม า ตร์ ม า ิทยาลัย ลิ ปากร.
ธชั พง ์ พตั ร ง น. (2560). “แน ทางการประเมนิ คณุ คา่ เ ก ารจด มายเ ตธุ รุ กจิ ในบรบิ ทประเท ไทย:
กรณี กึ า กลมุ่ บริ ทั บ.ี กรมิ ,” ทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาม าบณั ฑติ บณั ฑติ ทิ ยาลยั ม า ทิ ยาลยั
ิลปากร.
ผุ ดี ทิพทั . (2541). ช่างฝร่งั ในกรุง ยาม. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พแ์ ง่ จุ าลงกรณ์ม า ทิ ยาลยั .
พีร รี โพ าท ง. (2548). ช่างฝร่ังในกรุง ยาม: ต้นแผ่นดินพระพุทธเจ้า ล ง. กรุงเทพฯ:
คณะ ถาปัตยกรรม า ตร์ จุ าลงกรณม์ า ทิ ยาลยั .
มชาติ จึง ิริ ารัก ์. (2553). ถาปัตยกรรมแบบตะ ันตกใน ยาม มัยรัชกาลท่ี 4-พ. . 2480.
กรุงเทพฯ: คณะ ถาปัตยกรรม า ตร์ ม า ทิ ยาลัย ลิ ปากร.
า� นกั การโยธา กรงุ เทพม านคร. (2557). จด มายเ ตเุ ลา่ เรอื่ งถนนเมอื งบางกอก เลม่ 1 รชั กาลที่ 4-5.
กรุงเทพฯ: �านักการโยธา กรุงเทพม านคร.
เนก นา ิกมลู . (2539). ต�านาน า้ งร้าน ยาม. กรงุ เทพฯ: ต้น ้ แกรมม่ี.
ภา าตา่ งประเท
António, Joachim. (1997). The 1904 Traveller’s Guide to Bangkok and Siam. Reprinted.
Bangkok: White Lotus.
Buchli, Victor. (2006). “Architecture and Modernism.” In Handbook of Material Culture,
254-266. Edited by Christopher Tilly and others. London: Sage Publication.
Chomchon Fusinpaiboon. (2014). “Modernisation of Building: The Transplantation of
the Concept of Architecture from Europe to Thailand, 1930s–1950s.” Doctoral
dissertation. University of Sheffield.
251
นัง อื รวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เนือ่ งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
Dixon, Roger and Stefan Muthesius. (1978). Victorian Architecture. Reprinted. Originally
published: London: Thames and Hudson.
Harrison, Rachel V. and Jackson, Peter A. (2010). The Ambiguous Allure of the West:
Traces of the Colonial in Thailand. Hong Kong: Hong Kong University Press.
Heckscher, Morrison H. (2000). “Building the Empire City: Architects and Architecture.”
In Art and the Empire City: New York, 1825-1861, 169-188. Edited by Catharine
Hoover Voorsanger and John K. Howat. New York, N.Y.: Metropolitan Museum of Art.
Herzfeld, Michael. (2002). “The Absence Presence: Discourses of Crypto-Colonialism.”
South Atlantic Quarterly 101, 4 (Fall 2002): 899-926.
______________. (2012). “The Crypto-Colonial Dilemmas of Rattanakosin Island.” Journal
of the Siam Society 100: 209-223.
Heynen, Hilde. (1999). Architecture and Modernity: A Critique. Cambridge, Mass.:
the MIT Press.
Jackson, Peter A. (2004). “The Performative State: Semi-coloniality and the Tyranny of
Images in Modern Thailand,” Sojourn: Journal of Social Issues in Southeast
Asia 19, 2 (October), 219- 253;
Loos, Tamara. (2006). Subject Siam: Family, Law, and Colonial Modernity in Thailand.
Chiang Mai: Silkworm Books.
Lysa, Hong. (1984). Thailand in the Nineteenth Century. Singapore: Institute of Southeast
Asian Studies.
Lysa, Hong. (2003). “Extraterritoriality in Bangkok in the Reign of King Chulalongkorn,
1868–1910: The Cacophonies of Semi-Colonial Cosmopolitanism.” Itinerario:
European Journal of Overseas History 27, 2 (July 2003): 125-146.
Moore, R. Adey. (1914-1915). “An Early British Merchant in Bangkok.” Journal of Siam
Society 11 (2): 21-39.
Nithi Sthapitanond and Brian Mertens. (2012). Architecture of Thailand: A Guide to
Tradition and Contemporary Forms. Singapore: Editions Didier Millet.
252
Ooi, Keat Gin. (2015). “Disparate Identities: Penang from a Historical Perspective, 1780-
1941.” Kaijan Malaysia: Journal of Malaysian Studies Special Issue: Historical
and Cultural Heritage of the Northern Region of Peninsular Malaysia 33 (2): 27-52.
Peleggi, Maurizio. (2002). Lords of Things: The Fashioning of the Siamese Monarchy’s
Modern Image. Honolulu: University of Hawaii Press.
Terwiel, Barend Jan. (2017). “Cultural Goods and Flotsam: Early Thai Manuscripts in
Germany and Those Who Collected Them.” Manuscript Studies: Collectors
and Collections in the History of Thai Manuscripts 2 (1): 82-105.
Thongchai Winichakul. (2000). “The Quest for Siwilai: A Geographical Discourse of
Civilizational Thinking in the Late Nineteenth and Early Twentieth-Century
Siam.” Journal of Asian Studies 59, 3 (August): 528–549.
Wannamethee, Peter Sek. (1990). “Anglo-Siamese Economic Relations: British Trade,
Capital and Enterprise in Siam, 1856-1914.” MPhil Thesis, London School of
Economics and Political Science, University of London.
Wasana Wongsurawat. (2016). “Introduction.” In Sites of Modernity: Asian Cities in
the Transitory Moments of Trade, Colonialism, and Nationalism, 1-8. Edited
by Wasana Wongsurawat. Berlin: Springer.
Wright, Arnold, ed. (1994). Twentieth Century Impressions of Siam: Its History, People,
Commerce, Industries, and Resources. Reprinted. Originally published: London:
Lloyd’s Greater Britain Publ. Co., 1908. Bangkok: White Lotus.
ภาพถา่ ยจากหอจดหมายเหตุ
า� นัก อจด มายเ ตแุ ง่ ชาติ. ภาพ า้ งบีกรมิ แอนด์โก. 50M00094.
า� นกั อจด มายเ ตแุ ง่ ชาต.ิ ภาพ า้ งแบดแมนแอนโก. 50M00097.
า� นัก อจด มายเ ตแุ ง่ ชาติ. ภาพ า้ งเอ . เอ.บ.ี 50M00099.
253
นัง อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เน่อื งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ภาพประกอบ
แผนที่ 1 แผนทีก่ รุงเทพมหานคร ค.ศ. 1904 ของ จัวคีม อันโตนโิ อ
ท่ีมา: António, Joachim. (1997). The 1904 Traveller’s Guide to Bangkok and Siam.
Reprinted. Bangkok: White Lotus.
254
ตารางท่ี 1
รายช่อื า้ งรา้ นของชา ต่างประเท ในกรงุ เทพม านครเฉพาะท่ีมปี ระ ัติปีก่อตัง้ แน่ชัด
ท รร กจิ การ ปีก่อตงั้ ถานที่ตง้ั
1870s Ramsey Wakefield & Co. 1872 เชิง ะพานช้างโรง ี
ปากคลองตลาด ( า� นกั งาใ ญ)่
B. Grimm & Co* 1877 (พ.ค.) - ถนนเจรญิ กรงุ ตรงข้ามตรอก
- Siam Dispensary โอเรียนเต็ล
- ถนนเฟือ่ งนคร
- The Bangkok Outfitting - ถนนเจริญกรงุ ตดั ถนน
ม าไชย เจรญิ กรุง 38
Co. (ตรอกชาร์เตอร์แบงค)์
- Pratoo Samyawt -c.1910 น้าวัดกาล ว่าร์ ( �านกั งาน)
แยก ี่พระยา (ร้าน)
Store Falck & Beidek* 1878
ถนนบา� รงุ เมอื งเชิง ะพานชา้ ง
Kiam Hoa Heng 1879 โรง ี ( าขาแรก)
-ถนนราชดา� เนินกลาง
1880s Harry A. Badman & Co.* 1884 (ม.ค.) ใกล้ ะพานผา่ นพิภพลีลา
The Bangkok Dispensary -1907 ถนนเจรญิ กรงุ
1885
ถนนตะนาว (ตรอกชา่ งทอง)
1890s F. Grahlert & Co 1890 -
E.C. Monod et Fils 1897 ตรอกโอเรยี นเตล็ เจรญิ กรงุ 40
East Asiatic Co. & The 1897 แยกถนน ุรวงศ์ตดั ถนนเจรญิ กรุง
Oriental Store 1898 ถนนอั ฎางค์ (ทที่ า� การแรก)
The British Dispensary 1899 - ถนนราชดา� เนินกลาง
John Sampson & Son* -1912 เชิง ะพานผา่ นฟา้
1900s Societa Italo-Siamese 1901 -
-
British American Tobacco Co. 1903 กี่ ๊กั พระยาศรี
-
J. R. André 1904 ถนนเจรญิ กรุง
ถนนอุณากรรณ
Siam Import Company 1906 - แยกถนน รจกั รตดั ถนน
เจรญิ กรุง
Diethelm & Co. 1906
Société Anonyme Belge 1907 (ก.ค.)
pour le Commerce et -1921
l’Industrie au Siam (S.A.B)*
*กจิ การท่เี ปน็ กรณี กึ าในบทค ามนี้
255
นงั อื รวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เนอื่ งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ลายเสน้ 1 งค์ประก บ ถาปัตยกรรมใน กุลคลา ิก
(เวียนตามเขม็ นา กิ า: ลายเ ้น Palazzo Antonini โดยAndrea Palladio. ทีม่ า:
Andrea Palladio. (1570). The Four Books of Architecture. ลายเ น้ ตวั ยา่ ง
ถาปัตยกรรมประเภท palazzo โดย Andrea Palladio ราว ค.ศ. 1540s
จาก © RIBA Collections และลายเ ้น ัวเ าแบบต่าง ๆ ท่ีมา: Britannica
Encyclopedia © 2006 Merriam-Webster Inc.)
256
ภาพท่ี 1 า้ ง Falck & Beidek เดิม ปัจจุบันเปน็ O.P. Place Shopping Plaza
เจรญิ กรงุ 38, บางรกั , กรุงเทพฯ
ภาพที่ 2 ถาปัตยกรรมของ า้ ง B. Grimm & Co.
าขาประตู ามยอดบนถนนเจริญกรงุ ตัดถนนม าไชย
ที่มา: า� นัก อจด มายเ ตแุ ง่ ชาต.ิ ภาพ า้ งบีกริม แอนด์โก. 50M00094.
257
นัง ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ภาพท่ี 3 า้ ง S.A.B. มองจากถนนวรจักร
ท่ีมา: า� นัก อจด มายเ ตุแ ่งชาติ. ภาพ า้ งเอ . เอ.บ.ี 50M00099.
ภาพที่ 4 ถาปตั ยกรรม ้าง Harry A. Badman & Co.
ถนนราชดา� เนนิ เชิง ะพานผ่านพิภพลีลา
ท่มี า: า� นัก อจด มายเ ตแุ ง่ ชาต.ิ ภาพ า้ งแบดแมนแอนโก. 50M00097.
258
ภาพที่ 5 อาคารของ า้ ง John Sampson & Son Co.
ปจั จุบันคือพิพิธภัณฑพ์ ระบาท มเด็จพระปกเกล้าเจา้ อยู่ วั
ภาพที่ 6 อาคาร Logan Heritage Buildings (ขวา)
และ The Whiteaways Arcade (ซา้ ย)
บนถนนบชี (Lebuh Pantai) เมอื งจอร์จทาวน์ ปนี ัง
259
นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
260
บทบาทผนู้ า� ทาง า นา
กับการตอ่ รองทาง ัฒนธรรมของกลมุ่ ชาติพันธก์ุ ะเ รยี่ งโป ์
กรณี กึ าชมุ ชนในต�าบลแก่นมะกรดู อ�าเภอบา้ นไร่ จัง ดั อทุ ยั ธาน*ี
Role of religioned leaders
with the traditional negotiation of the Pwo Karen
ethnic group: Case study of community in Kaen Makrut
Sub-District, Ban Rai District, Uthai Thani Province
ธัญธีรา ยิ้มอ�านวย**
Tanteera Yimamnuay
* ่ น นง่ึ ของงาน จิ ยั เรอ่ื ง “อตั ลกั ณช์ าตพิ นั ธก์ุ ะเ รยี่ งโป ใ์ น ถิ พี ทุ ธ: กรณี กึ าชมุ ชนในตา� บลแกน่ มะกรดู
อา� เภอบา้ นไร่ จงั ดั อทุ ยั ธานี” ได้รับทุน ิจยั จากคณะโบราณคดี ม า ิทยาลยั ลิ ปากร ประจ�าปีพ. .2559
** อาจารย์ประจ�าภาค ชิ ามานุ ย ิทยา คณะโบราณคดี ม า ทิ ยาลัย ลิ ปากร
261
นงั ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทคดั ยอ่
อตั ลกั ณช์ าตพิ นั ธ์ุ เปน็ การแ ดงตั ตนทาง ฒั นธรรมอนั เปน็ ญั ลกั ณแ์ ละเปน็ า� นกึ ร่ มของกลมุ่
บทค ามนม้ี ี ัตถปุ ระ งค์น�าเ นอถึงการจัดการอตั ลกั ณช์ าตพิ นั ธ์ุของกลมุ่ ชาติพนั ธ์กุ ะเ ร่ยี งโป ์ ตา� บล
แก่นมะกรูด อา� เภอบ้านไร่ จงั ัดอุทยั ธานี เพ่ือใช้เปน็ กลไกในการต่อรองและตอบโตก้ บั ค ามกดดันจาก
อา� นาจรัฐและทนุ ภายใต้กฎระเบียบของพระราชบัญญตั ิปา่ ง นแ ่งชาติ ที่ค บคุมโดยเจา้ นา้ ทีร่ ัฐและ
การบบี รดั จากระบบทนุ นยิ ม ผ้นู า� ทาง า นาของกลุ่มชาติพนั ธ์กุ ะเ ร่ียงโป ์คือ พระ งฆผ์ ู้น�าทาง า นา
พุทธและเจ้า ัดผู้นา� ทางค ามเชอื่ ดั้งเดิมทีเ่ ครง่ ครดั ใน ลัก ีลธรรมแ ่งพุทธ า นา ตา่ งมีบทบาทในการ
เป็นผู้น�าทาง ัฒนธรรม โดยพระ งฆ์ได้ ร้างและรื้อฟื้นประเพณีพิธีกรรมบางอย่างข้ึนใ ม่ด้ ยค ามร่ ม
มือของชา บ้าน ขณะทเ่ี จา้ ดั มคี ามเคร่งครัดและปรับเพ่ิมกฎเกณฑใ์ นประเพณพี ธิ ีกรรมที่ อดคลอ้ งกบั
ประ บการณข์ อง งั คม ดงั นนั้ ด้ ยประเพณี ถิ ปี ฏบิ ตั แิ บบเรยี บงา่ ยร มถงึ การยดึ มนั่ ในอดุ มการณเ์ ดมิ ทาง
ชาติพันธุ์ของผู้น�าทาง า นา จึงเป็นการ ร้างค ามเข้มแข็งของอัตลัก ณ์ชาติพันธุ์กะเ รี่ยงโป ์อย่างมี
พล ัต และใช้เปน็ เครื่องมือในการตอ่ รองกับอา� นาจทเี่ นอื ก ่าด้ ย ิธีการประนปี ระนอม
คา� ส�าคัญ : อัตลัก ณ์ชาติพันธ,์ุ กลุ่มชาติพนั ธ์กุ ะเ รย่ี งโป ,์ พระ งฆ,์ เจา้ ัด, การต่อรอง
262
Abstract
The ethnic identity is the expression the traditional character which is a symbol
of the group’s common cognitive. This article aims to present the management of the
ethnic identity of the Pwo Karen ethnic group as they use as a mechanic to negotiate
and defense from the government pressure and capitalism under the rule of the National
Reserved Forest Act, which was controlled by the government officer and the forcing of
the market economy. The religioned leaders of the Pwo Karen community are the monk,
who is a Buddhism leader, and Chao Wat who is the leader of the old believe that strict
with the ethic of Buddhism. The monk creates and recovers some rites and ceremony
while Chao Wat is the one who stricts and adjusts the rules in tradition and ceremony
that consistent with social experience, simple traditional expression, and also strict with
the previous attitude of the ethnic group of the religioned leader. Therefore, this is the
creation of ethnic identity strength dynamically and can be a tool to negotiate with the
power above compromisingly.
Keywords: ethnic identity, the Pwo Karen ethnic group, Monk, Chao Wat, Negotiation
263
นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เน่ืองในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทนา�
กลุ่มชาติพันธุ์ มายถึง กลุ่มคนท่ีรับรู้ตนเอง ่าเป็นผู้มีประเพณีร่ มกันต่างจากคนกลุ่มอื่น
ท่ีติดต่อ ัมพันธ์ด้ ย อัตลัก ณ์ชาติพันธุ์ของกลุ่มคนประกอบด้ ยการใช้ ัญลัก ณ์ทาง ัฒนธรรมต่าง ๆ
เพื่อท่ีจะแยกพ กตนเองแตกต่างจากกลุ่มอื่น ๆ เช่น า นา, ภา า, เ ื้อผ้า, อา าร ร มถึงการมี
ประ ตั ิ า ตรแ์ ละการมบี รรพบรุ ุ ร่ มกนั ซ่งึ ามารถบ่งบอกใน ิง่ ทเ่ี รา (we) เปน็ และเป็นของกลมุ่ เรา
(De Vos, 1975: 16) การ ร้างอตั ลัก ณ์เป็นปฏบิ ตั ิการทาง งั คม ซง่ึ ร้างค ามรู้ กึ ในการเปน็ เจ้าของ
ชุมชนน�าไป ู่ค ามตรงข้ามต่ออัตลัก ณ์ ของกลุ่มอ่ืนเป็นการเน้นค ามแตกต่างที่ ร้างพรมแดนและ
การปฏบิ ัติ (Merkel, 2015:16) า� รบั เฟรดริก บารท์ มอง ่ากลุม่ ชาติพนั ธุค์ ือกลุ่มทาง งั คมอันเปน็ ผล
จากการปฏิ ัมพันธ์ระ ่างกลุ่มต่าง ๆ ที่มีค ามแตกต่างทางโครง ร้าง และการเป็น มาชิกของกลุ่ม
ชาติพันธุ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมี ัฒนธรรมร่ มกันเท่าน้ัน แต่ยังขึ้นอยู่กับการนิยามตั ตนของพ กเขาเอง
อัตลัก ณ์ชาติพันธุ์ถูกก�า นดโดยก�าเนิดและภูมิ ลังของปัจเจกร มถึงยังถูกขับผ่านการ ื่อ ารซ้�า ๆ
จากนทิ านปรมั ปรา, ค ามเชอ่ื ทาง า นา, พิธีกรรม, ประ ัติ า ตรท์ อ้ งถนิ่ , คติชน และ ิลปะโดยท่กี าร
แ ดงทาง ัฒนธรรมเ ล่านี้เป็นการก่อรูปทาง ัญลัก ณ์ของอัตลัก ณ์ชาติพันธุ์เป็นการเตรียมปัจเจกใน
ค าม มั พนั ธร์ ะ า่ งกลมุ่ ชาตพิ นั ธอ์ุ ยา่ งมคี าม มายและยงั เปน็ การเตรยี มลกั ณะพเิ ที่ แตกตา่ งทาง
ัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชาตพิ ันธ์ุ (อ้างถงึ ใน Keyes, 1979: 3-4)
อย่างไรก็ตามอัตลัก ณ์ชาติพันธุ์มีค ามเป็นพล ัต ามารถปรับเปลี่ยน รือ ร้างค ามเป็น
กลุ่มขึ้นใ ม่ได้ตลอดเ ลา ซ่ึงอาจเป็นการ ร้างกลุ่มย่อยที่แตกต่างกันด้ ย ัญลัก ณ์ทาง ัฒนธรรม
บางอยา่ งจากกลมุ่ ชาตพิ นั ธเ์ุ ดยี กนั ขนึ้ อยกู่ บั ถานการณ์ รอื การเปลยี่ นแปลงทาง งั คม นอกจากนปี้ จั เจก
ามารถนยิ ามตนเองโดยอาจยดึ อตั ลกั ณช์ าตพิ นั ธไ์ุ ดม้ ากก า่ นง่ึ (Keyes, 1979: 4) ซงึ่ พ กเขา ามารถ
เลือกแ ดงตั ตนในการเป็น มาชิกของกลุ่มชาติพันธุ์ใดใด ภายใต้เง่ือนไขของการครอง ัญลัก ณ์
ทาง ัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์น้ัน ๆ และข้ึนอยู่กับเงื่อนไขของผลประโยชน์จากการติดต่อ ัมพันธ์กับ
กลุ่มชาตพิ ันธ์ุอ่ืน ๆ ทง้ั น้ีค ามเป็นชาติพันธยุ์ ัง ามารถถูกกลนื กลาย โดยการผ มผ าน รอื ถกู ปลูกถ่าย
ลัก ณะทาง ัฒนธรรม ท้ังจากเง่ือนไขของการเปลี่ยนแปลงทาง ังคม รือจากนโยบายการปกครอง
ของรัฐชาติ ซ่ึงต้องอา ัยระยะเ ลาจากรุ่น ู่รุ่นจนกระท่ัง ู่ �านึกของค ามเป็นกลุ่มชาติพันธุ์อื่นท่ีไม่ใช่
ของบรรพบุรุ แต่ด้ังเดิม อย่างไรก็ตาม �านึกทางชาติพันธุ์มีค าม ลับซับซ้อน ปัจเจกอาจเลือกอธิบาย
ถึงลัก ณะทาง ัฒนธรรมด้านประ ัติ า ตร์ รือการอ้างอิงจากนิทานปรัมปราเก่ีย กับก�าเนิดของกลุ่ม
ทา� ใ ้ปัจเจกยังคงมี า� นึกผกู พนั กบั ชาตพิ นั ธ์ุดง้ั เดมิ ของบรรพบุรุ ท�าใ เ้ กดิ า� นกึ ทางชาติพันธ์ุทีท่ บั ซ้อน
ในบางขณะ �า รับคาย ์มอง ่าถึงแม้อัตลัก ณ์ชาติพันธุ์จะเป็นเงื่อนไข �าคัญ �า รับการด�ารงอยู่ของ
กลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ แตใ่ นค าม มั พนั ธ์กับกลุ่มอนื่ ๆ ยงั มีเงอ่ื นไขของค ามตรงขา้ มทางโครง ร้างระ ่างกลมุ่
โดยเขาเ น็ า่ กลมุ่ ชาตพิ นั ธเ์ุ ปน็ ผลผลติ ของการแบง่ แรงงานทาง ฒั นธรรมอยา่ งกดบบี (Keyes, 1979: 5)
เน่ืองจากทุกกลุ่ม ังคมข้ึนอยู่กับระบบโครง ร้างทางการปกครองของรัฐชาติ อันประกอบไปด้ ย
ลาก ลายกลมุ่ ชาตพิ นั ธทุ์ ่ีมคี าม มั พันธร์ ะ า่ งกนั ค ามตรงขา้ มทางโครง ร้าง ่งผลตอ่ ค าม ามารถ
รืออ�านาจในการเข้าถึงทรัพยากร ค ามร่�าร ย ค ามยุติธรรมร มไปถึงค าม ามารถในการเข้าถึง
ค ามรใู้ นระบบการ กึ าทีแ่ ตกตา่ งกันของแต่ละกลมุ่ (อา้ งถงึ ใน Keyes, 1979: 5)
264
“กลุ่มชาติพันธุ์” (ethnic groups) ใช้แทนค�า “เช้ือชาติ” (race) ซึ่งมีค าม มายถึงการจัด
แบ่งกลุ่มคนตามลัก ณะทางกายภาพ “กลุ่มชาติพันธุ์” เป็นการแบ่งกลุ่มคนทาง ัฒนธรรม ซึ่งจะช่ ย
ลดนัยของ “อคตทิ างชาตพิ นั ธ”ุ์ ( ethnocentric ) ขณะเดีย กนั ค ามเปน็ รฐั ชาติ มัยใ ม่ (Modernity)
ทีม่ งุ่ ขับเคลอื่ นการ รา้ งชาตใิ ้เป็น นง่ึ เดีย อย่างเชน่ การ รา้ งชาติไทย การนิยามค ามเป็นไทย ยอ่ มมี
ผลกระทบต่อกลุ่มชาติพันธ์อุ นื่ ๆ ซึง่ ในท่ี ดุ ทา� ใ เ้ กดิ ภา ะของค ามเ ลื่อมล้า� ทางชาติพนั ธุ์ ถานภาพ
ของกลุ่มชาตพิ ันธ์ุต่าง ๆ อยูใ่ นบริบททถี่ ูกค บคุมก�ากับโดยรฐั ชาติของไทย
กะเ ร่ียงถูกจัดเป็นกลุ่มชาติพันธุ์อา ัยอยู่บนพื้นท่ี ูงมีค ามแตกต่างกันใน ลายกลุ่มภา า
ซึ่งจากการ ึก ากะเ ร่ียงโป ์ในจัง ัดกาญจนบุรี โดยธีโอดอร์ เ ทิร์น เ ็น ่าภา าของชา กะเ ร่ียง
โป ม์ ีค าม า� คญั ในการนิยามค ามเป็นกลมุ่ ชาตพิ นั ธข์ุ องตนเอง และรัก าพน้ื ที่กลุ่มของพ กเขาภายใน
กลมุ่ ตระกลู ภา ากะเ รยี่ งทงั้ มด (อา้ งถงึ ใน Keyes, 1979:10) ขณะเดยี กนั ในแตล่ ะกลมุ่ ภา าเชน่ กลมุ่
กะเ ร่ียงโป ์ยังมีการจัดแบ่งกลุ่มย่อยที่แตกต่างกันทางประเพณีค ามเชื่อ แต่ มาชิกในแต่ละกลุ่มย่อย
ยงั นยิ ามตั ตนเปน็ กลมุ่ ชาตพิ นั ธเ์ุ ดยี กนั คอื กะเ รย่ี งโป ์ ด้ ยอตั ลกั ณร์ ่ มทางภา า การแตง่ กาย อา าร
ร มถึงลัก ณะทาง ฒั นธรรมอ่นื ๆ ซึ่งยัง ่งผลย้อนตอ่ ระดบั ค ามเขม้ ข้นของ �านกึ มมี าก รือนอ้ ยข้ึนอยู่
กบั ค ามเ มอื น รอื ตา่ งในรายละเอยี ดของลกั ณะทาง ฒั นธรรมด้ ย ขณะทค่ี าย ม์ อง า่ ลกั ณะ า� คญั
ของค ามเป็นอัตลัก ณ์ชาติพันธุ์กะเ ร่ียงคือ องค์ประกอบทาง ัฒนธรรม ด้านค ามเช่ือร มถึงนิทาน
ปรมั ปรา (myth) และประ ตั ิ า ตรท์ อ้ งถน่ิ (folk history) ซงึ่ ทา� ใ พ้ กเขานยิ ามตั ตนแตกตา่ งจากกลมุ่
ชาติพันธุ์อ่ืน ๆ โดยเฉพาะการบ่งย�้าค ามเป็นคนในลัก ณะเชิงด้อยก ่าคนพ้ืนราบ เช่น ในเรื่องเล่าท่ี
คนกะเ รยี่ งตอ้ ง ญู เ ยี นงั อื ทพ่ี ระเจา้ มอบใ ใ้ นขณะทคี่ นพมา่ คนไทย คนชาตติ ะ นั ตก และคนจนี ได้
รบั นัง อื นนั้ (Keyes, 1979: 11) า� นึกเช่นน้ีเปรยี บเ มอื น าทกรรมอนั ถูก ่งทอดกนั มาตลอด ผา่ นค�า
บอกเลา่ ตา่ ง ๆ ดงั คา� กลา่ ทย่ี งั คงเลา่ ขานใน มชู่ า กะเ รยี่ งโป ์ ตา� บลแกน่ มะกรดู อา� เภอบา้ นไร่ จงั ดั
อุทัยธานี โดยเล่าเร่ืองรา ค ามเป็นมาของพ กเขาที่เข้ามาอยู่อา ัยท�ากินบนพ้ืนที่ ูงในปัจจุบัน ่า
“ไทยไลล่ า ลา ไลก่ ะเ รย่ี ง กะเ รย่ี งไล่เ อื ” (เ ียจะโพ่ คลอง ะ, ัมภา ณ,์ 2559) เป็นการ ะท้อนถงึ
ค ามไม่เทา่ เทียมในการเขา้ ถึงพนื้ ท่ีอยอู่ า ยั และการท�ามา ากนิ ของผู้คนในเขตอ�าเภอบา้ นไร่ โดยแตเ่ รม่ิ
แรกคนไทยซงึ่ มาที ลงั ไดไ้ ลค่ นลา ออกจากเขตเมอื งเขา้ ไปอยใู่ นปา่ พนื้ ทรี่ าบ ทา� ใ ค้ นลา ไลค่ นกะเ รย่ี ง
ซง่ึ อยมู่ ากอ่ นขนึ้ ไปอยใู่ นปา่ บนภเู ขา และคนกะเ รย่ี งจงึ ตอ้ งเขา้ อยอู่ า ยั ทา� กนิ ในปา่ บนพนื้ ท่ี งู โดยไลเ่ อื
เขา้ ปู่ า่ ลกึ
พ้ืนฐานแต่เดิมของชา กะเ ร่ียงคือ การท�าไร่ มุนเ ียนบนพ้ืนที่ ูง ซ่ึงปะปนกับกลุ่มชาติพันธุ์
อ่ืนเช่น ละ ้า น่ีย่อมแ ดงถึงการรับรู้ในค ามเป็นกะเ ร่ียงซ่ึงแตกต่างจากคนอ่ืน ในประเท ไทยถึงแม้
กะเ รี่ยงจะอยู่ภายใต้นโยบายการผ มกลมกลืนของรัฐบาลไทย เช่น การจัดตั้งโรงเรียน การ อนพุทธ
า นา แต่กะเ ร่ียงกลายเป็นไทย าไดน้ อ้ ยมาก แม้ า่ อตั ลกั ณช์ าตพิ ันธุ์กะเ รยี่ งจะมพี ัฒนาการอย่าง
ยืด ยุ่นและ พ กเขามีค ามเป็นคนไทยตามกฎ มาย ใน ังคมไทยผู้คน ามารถยึดอัตลัก ณ์ชาติพันธุ์
ของตนไดม้ ากก า่ นงึ่ รอื อง รอื าม แต่ า� รบั ชา กะเ รย่ี งบางคนยงั คง า� นกึ ในค ามเปน็ กะเ รยี่ ง
และไม่เตม็ ใจท่จี ะรับอตั ลัก ณ์ค ามเป็นไทย (Keyes, 1979: 19-20)
265
นัง ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวิชาการ เนอ่ื งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ปัจจุบันกระแ แน คิดเกี่ย กับการยอมรับค าม ลาก ลายทาง ัฒนธรรม ท่ีมาพร้อมกับ
การเขา้ ยู่ ุคโลกาภิ ัตนไ์ ด้มีการเผยแพรอ่ ย่างก า้ งข าง ร มถึงในนโยบายของรัฐเอง แต่ในค ามเป็นจรงิ
ยงั มกี ลมุ่ ชาตพิ นั ธอ์ุ นั มอี ตั ลกั ณท์ แี่ ตกตา่ ง ยงั คงเปน็ คตู่ รงขา้ มกบั รฐั ไทยอยเู่ มอ ไม่ ามารถลบเลอื น าท
กรรมเดิม เช่น ค�า ่า “พ กชา เขา” ยังมีนัยของค ามไม่เท่าเทียมเป็นพ กบุกรุกผืนป่าท�าลายป่าและ
ต้นน้�าล�าธาร เป็นต้นเ ตุของ มอกค ันไฟป่า เกี่ย ข้องกับยาเ พติดตามชายแดน บทค ามต้องการ
ทบท นค ามเคล่ือนไ ทางอัตลัก ณ์ชาติพันธุ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเ ร่ียงโป ์ กับการปรับตั ต่อรอง
บนค ามเปน็ ค่ตู รงข้ามภายใต้ปฏิ ัมพันธเ์ ชงิ อ�านาจกับรฐั ไทยและอ�านาจของทนุ นิยม ทกี่ ดทับค ามเปน็
อยู่ร มถึงการเผชิญกับ ภาพแ ดล้อมของการเปล่ียนแปลงทาง ังคม ผ่านบทบาทการน�าของผู้น�าทาง
า นาคือพระ งฆ์เจ้าอา า �านัก งฆ์แก่นมะกรูด ผู้เป็นที่เคารพนับถือของชา กะเ รี่ยงโป ์ในแถบนี้
และเจา้ ดั ผนู้ า� ทางจติ ญิ ญาณ กรณี กึ า ชมุ ชนกะเ รย่ี งโป ใ์ นตา� บลแกน่ มะกรดู อา� เภอบา้ นไร่ จงั ดั
อทุ ยั ธานี
สภาพทว่ั ไป
พนื้ ทต่ี า� บลแกน่ มะกรดู อา� เภอบา้ นไร่ จงั ดั อทุ ยั ธานี มเี นอ้ื ทที่ งั้ มด 2,282.05 ตารางกโิ ลเมตร
ตง้ั อยบู่ นพนื้ ที่ งู ลาดเอยี งในเขตปา่ ง นแ ง่ ชาติ ้ ยขาแขง้ โดยอยภู่ ายใตก้ ารบริ ารขององคก์ ารบริ าร
่ นต�าบลบ้านไร่ และอ�าเภอบ้านไร่ จัง ัดอุทัยธานี ก�านันต�าบลแก่นมะกรูดคนปัจจุบันคือ นายอ้ น
คลอง ะ โดยจ�าน น มู่บ้านในต�าบลแก่นมะกรูด ประกอบด้ ยชุมชนกะเ รี่ยงโป ์ท้ัง มด แบ่งเป็น 4
มู่บ้าน ได้แก่ มู่ท่ี 1 บ้านใต้ มู่ที่ 2 บ้านคลองเ ลา มู่ที่ 3 บ้านใ ม่คลองอัง ะ และ มู่ที่ 4 บ้าน
อีมาดอที ราย
จา� น นประชากรในตา� บลแกน่ มะกรูดจากการ �าร จของ �านกั ทะเบียนอ�าเภอบา้ นไร่ นั ท่ี 10
มีนาคม พ. . 2559 มีจ�าน น 2,149 คน 612 ครั เรือน ระดับการ ึก าในปัจจุบัน ่ นใ ญ่จบ
ชน้ั มธั ยม กึ าปที ี่ 3 จากโรงเรยี นบา้ นอมี าดอที ราย ไมน่ ยิ ม กึ าตอ่ และไมน่ ยิ มทา� งานในเมอื ง เนอ่ื งจาก
ค่าใชจ้ า่ ย งู ่ นใ ญ่จงึ ยึดอาชพี เก ตรกรรมในพื้นที่ การ าธารณปู โภค ใชน้ �้าประปาภเู ขาจากล�า ้ ย
ตา่ ง ๆ รอบชุมชนและมกี ารขดุ บอ่ น้�าบาดาลเพอ่ื ใชใ้ น น้าแลง้ แต่มี ้ ยคลองอัง ะและ ้ ยอีมาด ท่ีไดใ้ ช้
เฉพาะอาบนา้� ไมน่ ยิ มซกั ลา้ ง รอื ใชบ้ รโิ ภคเนอ่ื งจากอยใู่ กลช้ มุ ชนมกี ารตง้ั บา้ นเรอื นจา� น นมาก มกี ารทา� ไร่
และท่ี า� คัญมี ารเคมีตกค้าง
ตา� บลแกน่ มะกรดู เร่ิมมีไฟฟา้ ใช้ช่ งปี พ. . 2537 ด้านการ าธารณ ุขมีโรงพยาบาล ง่ เ ริม ุข
ภาพตา� บลแกน่ มะกรดู ต้ังอยู่ มู่ 3 และโรงพยาบาล ง่ เ รมิ ขุ ภาพอมี าดอีทราย ตง้ั อยู่ มู่ 4 แต่เมือ่ มี
ปญั า นกั ดา้ น ขุ ภาพ ชา บา้ นนยิ มไปใชบ้ รกิ ารโรงพยาบาลบา้ นไร่ ในตั อา� เภอบา้ นไร่ จงั ดั อทุ ยั ธานี
และโรงพยาบาลอทุ ยั ธานี ปญั า ขุ ภาพโรครา้ ยแรงทเ่ี รมิ่ พบมากใน มชู่ า บา้ นไดแ้ ก่ “มะเรง็ ปอด มะเรง็ ตบั
ไมเกรน กระเพาะ ไ ต้ งิ่ เน้ืองอก มองบ ม โรคทเี่ ริ่มมแี ต่ยงั นอ้ ย ไดแ้ ก่ อัมพฤก ์ เบา าน ค ามดนั
ไขมนั ในเ น้ เลอื ด าเ ตนุ า่ จะมาจากการกนิ เ ลา้ และ ารเคมจี ากยาฆา่ ญา้ ” (อ้ น คลอง ะ, มั ภา ณ,์
2560)
266
ดา้ นเ ร ฐกจิ ประชากรประกอบอาชพี ทางดา้ นเก ตรกรรมเปน็ ลกั มที ท่ี า� กนิ ทขี่ ออนญุ าตจาก
กรมปา่ ไม้ 21,600 ไร่ พืน้ ท่ีท่ี ามารถทา� กนิ ไดจ้ ริง 16,700 ไร่ โดยใ ้ ิทธทิ �ากนิ ครั เรือนละ 25 ไร่ และ
า� รบั ปลกู บา้ น 1 ไร่ ซง่ึ ถอื เปน็ กฎการจดั การการใชพ้ นื้ ทใ่ี นเขตปา่ ง นแ ง่ ชาตใิ นตา� บลแกน่ มะกรดู มา
แต่เดมิ นับแตผ่ ู้คนกลมุ่ ชาติพันธกุ์ ะเ รี่ยงโป ไ์ ด้ย้ายออกจากพ้ืนท่ีอย่เู ดิม บรเิ ณปา่ ตอนกลางล�า ้ ยขา
แข้ง ในช่ งปี พ. . 2515-2519 เน่ืองจากไดร้ ับผลกระทบนา้� ท่ มจากการ รา้ งเขือ่ น รีนครินทร์ และท่ี
า� คญั คอื การเขา้ มาเพอื่ าแน ร่ มของกลมุ่ คอมมิ นิ ต์ โดยปี พ. . 2526 ท ารกองทพั ภาคที่ 3 ในขณะนนั้
ขอใช้พ้ืนที่เพ่ือรองรับชา บ้านที่อพยพออกมาจากพ้ืนที่ป่าตอนใน และขอใช้ประโยชน์จากกรมป่าไม้
ครั เรือนละ 25 ไร่ ซ่ึงพื้นท่ีท�ากินไม่มีเอก าร ิทธิ์เป็นเพียงการใช้ ิทธิในการท�ากินเท่านั้น ปัจจุบัน
กองบังคบั การค บคุมท ารพราน ้ ยขาแขง้ ยังดูแลพ้ืนท่ี มู่ 4 บา้ นอมี าดอีทราย ่ น นง่ึ
แต่เดิมชา บ้านปลูกพืช มุนเ ียนตามประเพณี มีการเผาและ มุนเ ียนเคลื่อนย้ายท่ีท�ากิน
แต่ปัจจุบันเน่ืองจากท่ีดินมีจ�าน นจ�ากัดครั เรือนละ 25 ไร่ และมีการขยายครอบครั อยู่ตลอดมาท�าใ ้
ไม่ ามารถพักฟื้นท่ีเพื่อการฟื้นฟูคืนค ามอุดม มบูรณ์ตามธรรมชาติ ด้ ยค ามจ�าเป็นทางเ ร ฐกิจ
โดยเฉพาะภาระ น้ี ิน ปัจจุบันนิยมปลูกพืชเ ร ฐกิจเชิงเด่ีย ได้แก่ ข้า โพดเลี้ยง ัต ์ มัน �าปะ ลัง
ยางพารา ปาล์มน�้ามัน ับปะรด โดยเร่ิมมีการปลูกข้า โพดเล้ียง ัต ์ขายในช่ งปี พ. . 2531-2533
นอกจากนีม้ ีการแบ่งพนื้ ท่ีปลูกขา้ และพชื ผกั ไ ก้ นิ ในครั เรือน
ภาพทางเ ร ฐกิจของชา บ้าน ่ นใ ญ่อยู่ในภา ะเป็นลูก นี้นายทุนซึ่งคือ เจ้าของร้านค้า
พ กเขาตอ้ งเปน็ นคี้ า่ ปยุ๋ คา่ พนั ธพ์ุ ชื ยาฆา่ ญา้ และยงั นยิ มซอื้ รถไถเปน็ ของตนเอง ทา� ใ ม้ ภี าระคา่ ผอ่ น ง่
การปลกู พชื เชงิ เดย่ี ซงึ่ รายรบั ไม่ มั พนั ธเ์ พยี งพอกบั รายจา่ ย จงึ ทา� ใ ช้ า บา้ นเปน็ นผ้ี กู พนั ตอ่ เนอื่ งทกุ ปี
ไม่ ามารถปลดภาระ น้ี นิ ได้ ปจั จบุ นั เรมิ่ มแี น คดิ การทา� เก ตรผ มผ าน ไดแ้ ก่ การปลกู กล้ ย ทเุ รยี น
มะม่ ง มะพร้า กาแฟ มะละกอ ้มโอ พริก ฟักทอง ฟัก อม ับปะรด งาม่อน งาด�า งาขา
ซง่ึ ยงั เปน็ ่ นนอ้ ยไม่ ามารถทา� ไดท้ กุ ครั เรอื นเนอ่ื งจากยงั มภี าระ น้ี นิ ผกู พนั กบั นายทนุ ลกั ณะพเิ
ของชา กะเ ร่ียงโป ์ในพ้ืนท่ีต�าบลแก่นมะกรูดคือ มีกฎ ้ามคนภายนอกเข้ามาซ้ือขายท่ีดิน แม้จะไม่มี
โฉนดการถือครองเป็นเพียงการจัดระเบียบของกรมป่าไม้ จึงยังคงรัก าพ้ืนท่ีของตนไ ้ได้อย่างเข้มแข็ง
ต่างจากพ้ืนที่โดยรอบท่ั ไปท่ีมีการเปลี่ยนมือเป็นของคนพื้นล่างจากภายนอก “ต้ังนโยบายคุยกับนาย
อา� เภอ ท าร า้ มนายทนุ เขา้ มา ถา้ เ น็ เงนิ ตาโตเดย๋ี จะเ มอื นทอ่ี น่ื ” (เ ยี จะโพ่ คลอง ะ, มั ภา ณ,์ 2561)
ด้านเครือญาติเป็นชุมชนกะเ รี่ยงโป ์ ที่มีการรัก าค ามเป็นอัตลัก ณ์ชาติพันธุ์กะเ ร่ียงไ ้
ด้ ยระบบเครอื ญาตอิ ยา่ งเคร่งครัด และมีค ามเป็นพล ตั อยูต่ ลอดเ ลา ด้ ยกฎเกณฑข์ องการตงั้ ถ่ินฐาน
ลังการแต่งงาน โดยในชุมชนแบ่งเป็น องกลุ่มตามประเพณีคือ กลุ่มด้ายเ ลืองและกลุ่มกินน�้า ุก
ซง่ึ ามารถแตง่ งานระ า่ งกลมุ่ ไดโ้ ดยฝา่ ยชายนอกจากตอ้ งยา้ ยไปตงั้ ถน่ิ ฐานกบั ฝา่ ย ญงิ (matrilocal) แล้
ยงั ตอ้ งนบั ถอื ตามประเพณฝี า่ ย ญงิ และตดั ขาดการถอื ประเพณแี ตเ่ ดมิ ของตนไป ร มถงึ ามารถแตง่ งาน
ระ า่ งกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ ชายกลมุ่ ชาตพิ นั ธอ์ุ นื่ ตอ้ งเปลยี่ นมานบั ถอื ตามประเพณขี องฝา่ ย ญงิ และกลายเปน็
ชา กะเ รยี่ งในที่ ุด ขณะเดยี กนั ถา้ ชายชา กะเ รยี่ งแต่งงานกบั ญงิ กลุ่มชาติพันธอ์ุ ่ืนตอ้ งตดั ขาดจาก
ค ามเปน็ กะเ รยี่ ง และถอื ประเพณตี ามกลมุ่ ชาตพิ นั ธข์ุ องภรรยา ในกรณที แ่ี ตง่ งานใ มย่ งั ตอ้ งปฏบิ ตั ติ าม
กฎระเบยี บเดิม “ มู่บา้ นนุงดที ่ใี นปา่ กอ่ นย้ายออกมามีชา ลา เ ยี งยา้ ยเขา้ มาอยู่ ไดค้ รอบครั ลูก ลาน
กลายเป็นกะเ รี่ยงด้ายเ ลอื งก็มี น้า� ุกกม็ ี เป็นเจ้า ดั กม็ ี” (พระปลดั เ ียโพ่, มั ภา ณ,์ 2561)
267
นัง ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เนอ่ื งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ความเปน็ มา
ชา กะเ ร่ียงโป ์ต�าบลแก่นมะกรูด มีการต้ังบ้านเรือนประปรายอยู่ก่อนแล้ จนกระท่ังในปี
พ. . 2516 เรมิ่ มกี าร รา้ งเขอื่ น รนี ครนิ ทรไ์ ดเ้ กดิ นา้� ท่ มพนื้ ท่ี ซงึ่ เปน็ มบู่ า้ นเกา่ แตเ่ ดมิ ทตี่ งั้ บา้ นเรอื นอยู่
ตามลา� ้ ยขาแขง้ และลา� น�้า าขาทา� ใ ้ตอ้ งมกี ารอพยพ แต่ าเ ตุ า� คัญของการอพยพคือ การเป็นพื้นท่ี
ปฏิบตั กิ ารของผกู้ ่อการร้ายคอมมิ นิ ต์ มกี าร ่านลอ้ มและขม่ ขูช่ า บา้ นใ เ้ ข้าร่ มปฏบิ ตั ิการ ชา บ้าน
ที่ไม่เข้าร่ มถูกยิงตายจึงเกิดค าม าดกลั ประกอบกับเจ้า น้าท่ีท ารได้ผลักดันและจัด รรท่ีใ ้
ชา บา้ นอพยพเขา้ มาอยใู่ นพนื้ ทต่ี า� บลแกน่ มะกรดู ปจั จบุ นั เพอ่ื ปฏบิ ตั กิ ารปราบปรามผกู้ อ่ การรา้ ย จงึ ตอ้ ง
ละถิ่นฐานจากป่าอพยพออกมา ลังจากนั้นมีการประกา เป็นมรดกโลกเขตรัก าพันธุ์ ัต ์ป่าทุ่งใ ญ่
นเร รและ ้ ยขาแขง้ พ. . 2534 จงึ ไม่ ามารถกลบั เขา้ ไปอยอู่ า ยั ทเ่ี ดมิ ไดอ้ กี ตอ้ งอยทู่ า� กนิ ทนี่ น่ี บั แตป่ ี
พ. . 2526 เปน็ ตน้ มา
ภาพปัจจบุ นั
ปัจจุบันพื้นที่ต�าบลแก่นมะกรูดได้รับการประกา เป็นพ้ืนที่ป่า ง นแ ่งชาติ ้ ยขาแข้งในปี
พ. . 2523 และเปน็ เขตติดตอ่ กับเขตรัก าพนั ธ์ุ ัต ป์ า่ ้ ยขาแขง้ ซึ่งได้รบั การประกา ในปี พ. . 2515
โดยตอ่ มาไดร้ บั การขน้ึ ทะเบยี นเปน็ มรดกโลก พ กเขาตอ้ งอยภู่ ายใตก้ ารค บคมุ ของพระราชบญั ญตั ปิ า่ ไม้
พทุ ธ กั ราช 2484, พระราชบญั ญัติป่า ง นแ ่งชาติ พ. . 2507, กองทัพภาคที่ 3 ทีเ่ ข้ามาดแู ลการใช้
พ้ืนที่อย่างต่อเน่ือง, ูนย์พัฒนารา ฎรบนพื้นท่ี ูงจัง ัดอุทัยธานี, น่ ยป้องกันรัก าป่าท่ี อ.น.9
( นองปรอื ), องคก์ ารบริ าร ่ นจงั ดั และโครงการพน้ื ทตี่ น้ แบบบรู ณาการแกไ้ ขปญั าและพฒั นาพน้ื ที่
ตา� บลแกน่ มะกรูด อ�าเภอบ้านไร่ จัง ดั อุทัยธานีตามแน พระราชด�าริ (มูลนธิ ปิ ิดทอง ลังพระ) ซี่งเข้ามา
ท�างานในปี พ. . 2556
ผลกระทบอย่างต่อเน่ืองของพระราชบญั ญตั ปิ ่า งวนแ ง่ ชาติ
การถกู ค บคมุ การผลติ า้ มบกุ รกุ เกนิ พนื้ ทที่ ไ่ี ดร้ บั มอบ มาย า้ มทา� ไร่ มนุ เ ยี น า้ มเผาพนื้ ที่
การถูกกฎ มายค บคุมบังคับใ ้ท�ากินบนพื้นท่ีเดิมตลอดเ ลา ้ามปล่อยพื้นที่ ่าง รือเป็นป่า ้ามเผา
ทา� ใ ้พ้นื ดินเ อ่ื ม ภาพ ญา้ ข้นึ รกเพราะเมล็ด ญ้าไมถ่ ูกไฟไ ม้ ญ้าคาซง่ึ เป็นอา ารของ ตั จ์ ะไม่ขึ้น
โดยปจั จบุ นั เปน็ ประเภท ญา้ ปรอื “เมลด็ พนั ธบ์ุ างอยา่ งไฟตอ้ งล ก ไฟไ มม้ าก ๆ จะเกดิ พชื ลายอยา่ ง”
(เ ยี จะโพ่ คลอง ะ, มั ภา ณ,์ 2561) “พืชทกุ อย่างในปา่ พอเผาจะออกข้นึ มา เช่น เมลด็ มะคา่ ท่เี ผาพอ
เมลด็ โดนฝนจะแตก ตั ป์ า่ มากนิ ใบไมแ้ ก่ ๆ ตั ก์ นิ ไมไ่ ถา้ ไฟไมไ่ ม้ 1 ปี ตน้ ญา้ จะไมอ่ อก ญา้ 2 ปี
ต้นไมจ้ ะตาย 5 ปี ตน้ ไม้ใ ญ่จะตายเพราะมีการ ะ มของเชือ้ รามาก ใบไม้ปิดรู ัต ์เลอ้ื ยคลาน ่ิง นี ตั รู
เขา้ รไู มไ่ ดจ้ ะยา้ ย นไี ป มดทา� ใ แ้ มลงเยอะขนื้ ช่ ง นา้ แลง้ เรายงั ไดก้ นิ มนั นา้ ฝนจา� ลี เรากไ็ ม่ ามนั ไม่
เคยเ น็ ไฟคลอก ัต ์ตายเต่ากไ็ มเ่ คยเ น็ นา้ แล้งมนั ได้ยนิ เ ยี งปอ้ ม ๆ ไฟไ ม้มนั จะ นีถ้าเก็บไ เ้ ยอะไฟ
แรง ตั จ์ ะ นไี มท่ นั ไฟไมไ่ มย้ งั เปน็ การ ะ มเชอื้ เพลงิ มยั กอ่ นปยู่ า่ ตายายเผาทกุ ปไี ฟปา่ ไมม่ ี เชอ้ื เพลงิ
ไมเ่ ยอะ ไฟลามไมแ่ รง เดย๋ี นเ้ี ชอื้ เพลงิ เยอะไฟจะแรงมากคนเผาออ้ ยขา้ งลา่ งจะลามมา ยงั มที ง้ั พ กคนมกั งา่ ย
จดุ เลน่ จดุ แกลง้ เจา้ นา้ ทไ่ี ฟปา่ กบั ชา บา้ นตอ้ งร่ มมอื กนั ชงิ เผากอ่ นทา� แน ปอ้ งกนั ไฟปา่ ”(ชาตรี าจกั ด,ี
268
ัมภา ณ์, 2562) ยาฆ่า ญ้า ่งผลกระทบตอ่ ระบบนิเ ท�าใ ต้ น้ ไม้ ลายชนิดตายไปด้ ย ไม่มี ญา้ คา
ใ ้ ตั ก์ ิน มีแต่ ญา้ พนั ธุใ์ มท่ ่ฉี ดี ยาแล้ ข้ึนใ ม่ ต้องฉดี ซา�้ ๆ ยาฆ่า ญา้ ท�าใ แ้ ล่งนา�้ เ ยี บริเ ณที่มี
การท�าไรช่ า บา้ นจะไมใ่ ชบ้ ริโภคฝนทีต่ กผ ม ารพิ ไ ลลง แู่ ล่งน�า้ ใชร้ ดพืชไมโ่ ต “คนอยู่ตน้ น้�า ใช้ยา
มากไ ลลงมา ะ มท่อี ่างเก็บน�้าคลองเ ลาเราใช้รดผักทางการเก ตรไมโ่ ตเท่าไ ร่ ทุก ันนีจ้ �าเปน็ ต้องใช้
ท�าใ ผ้ ลผลติ ไมต้ น้ ไมผ้ ลไม่ค่อยโตลุงปลูก ม้ โอ ทุเรยี น มะนา เรม่ิ ปลูกเมื่อปี พ. . 2555” (เผ ขอ ุข,
มั ภา ณ์, 2560)
พิ ของยาฆ่า ญ้ายัง ่งผลต่อ ุขภาพของผู้คน เช่น กรณีนางนออี้ ขอ ุก เป็นโรคภูมิแพ้
แพทย์ ันนิ ฐาน ่าเป็นฤทธ์ิยาฆ่า ญ้า “ป้าไปเจาะเลือด มอบอกเป็นภูมิแพ้ 3 ปีแล้ มีอาการคัน
ช่ ง นา้ นา ผิ แ ง้ มอบอกไปตดิ เชอื้ ตามไรต่ ามนาเขา ง ยั า่ เปน็ ฤทธย์ิ าฆา่ ญา้ ในไรข่ า้ ปา้ กฉ็ ดี ยา
ฆ่า ญ้าฉีดทุกผืนใช้มือถอนไม่ข้ึนดึงไม่ออกลุงเป็นคนฉีด มอบอก ่าถ้าป้ายังท�าไร่ก็จะเป็นอย่างน้ีไม่
ายขาด” (นออี้ ขอ ุก, ัมภา ณ,์ 2560) กรณนี ายทะเต มดแดง เปน็ น่งึ ในจ�าน นนอ้ ยคน แกป้ ญั า
ด้ ยการปลูกยางพารา ไม่ใช้ยาฆ่า ญ้าอีกต่อไป “เดี๋ย น้ีเขาไม่ใ ้เผาท่ีก่อนเม็ด ญ้าเยอะพ ก ญ้าปรือ
ใชย้ าฆา่ ญา้ เปน็ ดื ายใจไม่ ะด ก ลงุ ไปฉดี กลบั มาลนิ้ แขง็ ชา ขา้ โพดมนั ญา้ เยอะ ยางพาราไมต่ อ้ งใชย้ า
บางทีปีนึงไม่ได้ใช้ต้นใ ญ่ ูง ญ้าไม่ค่อยขึ้น บางคนป ดแขน ป ดขา เขาเตือนท่ีฉลากใ ้มีถุงมือ
ปดิ จมกู เด๋ยี นีล้ ุงไมใ่ ช้ ายใจดีขึน้ ล้นิ ชากินข้า ไม่ได้กก็ ินใบจึก เถาจึกอยู่ในปา่ เอาใบ ด ๆ มาตม้ ขยี้ ๆ
ใ ่เกลอื กินแก้ เดีย ก็ าย” (ทะเต มดแดง, ัมภา ณ์, 2561) นายโซ่ล้าเ ย่ กรึงไกร มอี าการป ด ั
ท�างานในไร่ไมไ่ ด้แพทย์ลงค ามเ น็ ่าเป็นโรค มองฝอ่ มที ด่ี นิ ทไ่ี ดร้ ับการจดั รรใ ท้ �ากิน 25 ไร่ แบ่งใ ้
ลูก 9 คนท�ากนิ คนละ 2 ไร่ และยงั คงใชย้ าฆ่า ญ้า “ยาฆ่า ญ้า ปุย๋ ยังงยั ตอ้ งท�าใช้ น้ี ถ้าเล่ียงไดข้ ้า โพด
ไม่มีใครอยากท�าต้องใช้ยาจัด แพง ปุ๋ย พันธุ์ต้องซ้ือ ลุงอยากท�าไร่มากที่ ุด อยากปลูกข้า ข้า โพด
ไมอ่ ยากอย่เู ฉย ๆ” (โซ่ล้าเ ย่ กรึงไกร, มั ภา ณ์, 2561)
จากกฎขอ้ บงั คบั า้ ม ยดุ พกั มนุ เ ยี นตอ้ งทา� การเพาะปลกู ตลอดเ ลา ทา� ใ เ้ กดิ ผลกระทบจาก
การใช้รถไถ เนื่องจากรถไถ ามารถถอย ลังขึน้ ที่ลาดชนั ทา� ใ ฝ้ นตกชะลา้ ง นา้ ดินเ อ่ื มตอ้ งเพ่ิมปรมิ าณ
ปุ๋ย ขณะเดีย กัน ดินลกู รังไ ลลงแ ล่งนา้� เปน็ ปญั าการอยอู่ า ยั ของ ัต ์น�้า พืชพรรณธรรมชาติ ายาก
เช่น ผักกดู ผกั ปลงั ผัก นาม “ถ้าเราไถทกุ ปีจะมีแตก่ อ้ น ิน ภูเขาถ้าน้�าไ ลมาก็พาดินลงไปใน ้ ยตอนนี้
น�้า ้ ยมีแต่ขี้ดิน ปกติถ้าไม่มีการไถฝนตกครึ่ง ันน้�าก็ใ เดี๋ย นี้ 3 ันน�้ายังแดงเพราะ ่ามีแต่ข้ีดิน
ปลา กุ้ง ายใจไมอ่ อก มแี ตข่ ้ีโคลนแดง ๆ” ( ัด ปัญญา, มั ภา ณ,์ 2561) “บ้านเราพน้ื ที่ตะแคง ยอด
เฉยี งไมไ่ ดต้ อ้ ง ยอดตรงฝนตกไ ลลงแมน่ า�้ พนื้ ทเี่ ปน็ ลกู รงั ขา้ กไ็ มง่ ามตอ้ งใชป้ ยุ๋ เพมิ่ ไปเรอื่ ย ๆ ตน้ ทนุ เพม่ิ ”
(เ ยี จะโพ่ คลอง ะ, ัมภา ณ์, 2561.)
ภา ะการณ์เป็น น้ี ิน รายได้ไม่เพียงพอค่าใช้จ่ายชา บ้านมีค่านิยมการซ้ือรถไถ ซ่ึง ามารถ
ออกรถคนั ใ มไ่ ด้อย่าง ะด ก และแบง่ ผ่อนช�าระได้ ภาระค่าใชจ้ า่ ยในชี ติ ประจ�า ัน คา่ การ กึ าบุตร
ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่า ญ้า ค่าพันธุ์พืช เ ล่านี้ท�าใ ้เกิด งจร น้ี ินผูกพันกับนายทุนเจ้าของร้านค้าไม่จบ ้ิน
โดยเฉพาะการท่ชี า บ้าน ามารถนา� นิ คา้ มากอ่ นเมือ่ ได้ผลผลิตจึงน�าไปขายใ เ้ ถ้าแก่ พรอ้ มทั้งช�าระ น้ี
ินด้ ยการ ักจากรายได้ท่ีจะได้รับ ถ้าช่ งพืชผลราคาตกรายรับไม่เพียงพอ รือบางคร้ังต้องใช้ นี้ มด
ยิ่งเพ่ิมภาระ น้ี ินซ่ึงนายทุนเป็นผู้ก�า นดราคา โดยข้อมูลจาก �านักงานพัฒนาชุมชนอ�าเภอบ้านไร่
(พ. . 2560) พบ า่ รายได้ตอ่ ั ประชากรต�าบลแกน่ มะกรูด 31,691บาทต่อคนต่อปี
269
นงั ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ปญั าการบุกรุกทีด่ นิ การจา� กดั ิทธพิ นื้ ท่ีทา� กนิ 25 ไร่ ไมเ่ พียงพอตอ่ การขยายประชากรท�าใ ้
เกดิ การบุกรุก ในปี พ. . 2556 น่ ยงานบูรณาการฯ เขา้ มารงั ัด ท่ดี ิน ลายพืน้ ทีถ่ กู ตปี า้ ยเป็นแปลงคดี
ถูกยึดพ้ืนท่ีท�ากินโดยชา บ้านไม่รู้ตั “ปีน้ีลุงได้ไม่ถึง อง ม่ีนไม่พอใช้ น้ีโดน มูมากิน ปิดทองมา �าร จ
ลงุ ไมไ่ ดไ้ ปเขาเลยตดั ชอื่ ลงุ เบอื่ นา่ ย า� ร จแล้ า� ร จอกี โดนตดั ลงุ ไมเ่ ลอื ทล่ี งุ 27-28 ไร่ ใ ใ่ ล้ กู คนเดยี
ลุงลกั ลอบทา� 2-3 ไร่ ถูก มูกิน มด” (ตา ัน กรงึ ไกร, ัมภา ณ,์ 2562) ภาระ นี้ ินของชา บา้ นเปน็
ปัญ าต่อการพัฒนาเก ตรผ มผ านตามทฤ ฎีใ ม่ การมี นี้ ินผูกพันพร้อมดอกเบ้ีย ท�าใ ้ต้องท�าไร่
ปลกู พชื เ ร ฐกจิ เชงิ เดย่ี ชา บา้ นไม่ ามารถพกั ฟน้ื ทดี่ นิ ทม่ี อี ยอู่ ยา่ งจา� กดั พ กเขาบางคนเรมิ่ าทางออก
ด้ ยการปลกู กล้ ยโดยใชม้ อื แกป้ ญั า นา้ ดนิ พงั เพราะรถไถซงึ่ ทา� ใ ด้ นิ ฟน้ื ตั ขน้ึ “ถา้ ทา� ไร่ มนุ เ ยี นกลั
เขาดึงคนื คดิ เองปลูกกล้ ย มะนา ้มโอ มะพรา้ มาก ไม่กล้าทิง้ ใ ้เป็นปา่ ไม่เผาแล้ ถา้ มีกล้ ยต้นไม้
จะได้ น้าดินแบบธรรมชาติ มะพร้า 8-9 ปี จึงจะท้ิงยาฆ่า ญ้าได้ ญ้าไม่ข้ึน นมะพร้า มาก
กลั ข้า โพด มัน �าปะ ลงั เ ลอื ท�า 5 ไร่ (เ ยี จะโพ่ คลอง ะ, ัมภา ณ,์ 2561.)
ขณะเดีย กันนายเอกรตั น์ พร ม ริ ิแ น ั น้าโครงการพ้ืนทต่ี ้นแบบบรู ณาการแก้ไขปญั า
และพฒั นาพน้ื ทตี่ า� บลแกน่ มะกรดู อา� เภอบา้ นไร่ จงั ดั อทุ ยั ธานตี ามแน พระราชดา� รผิ ซู้ ง่ึ ทา� งานคลกุ คลี
กบั ชา บ้านมาตลอด เ น็ า่ เมอื่ มีโครงการฯ พบการบกุ รกุ พ้นื ท่ีลดลง โดยเจา้ นา้ ที่ปา่ ไมจ้ ะท�าการลาด
ตระเ น 3 ครงั้ ตอ่ เดอื น ถา้ พบมกี ารฟนั ไมโ้ ดยไมต่ ง้ั ใจจะใ ค้ ณะกรรมการชมุ ชนคยุ กอ่ นใ ย้ ตุ ิ แตถ่ า้ เตอื น
คร้ังแรกไม่ฟังจะ ่งบันทึกคดีไปถึงต�าร จ ขณะเดีย กันทางโครงการมีแน ทางพัฒนาช่ ยเ ลือชา บ้าน
“เรามกี าร ม่ ดนิ ลด าร เคมี ทา� โครงการเก ตรทฤ ฎใี มป่ ลกู พชื ลายอยา่ งผ มผ าน ทา� แปลงนาขนั้ บนั ได
ถา้ ชดุ นี้ า� เรจ็ กจ็ ะทา� ตอ่ ไป คอ่ ย ๆ ปรบั ทลี ะนดิ ตอ้ งเขา้ ถงึ ตอ้ งใชเ้ ลา” (เอกรตั น์ พร ม ริ แิ น, มั ภา ณ,์ 2561)
การแบง่ กลุ่มตามประเพณีของชาวกะเหรยี่ งโปว์ ต�าบลแก่นมะกรดู อา� เภอบา้ นไร่ จงั หวดั อุทัยธานี
ชา กะเ รยี่ งโป ต์ า� บลแกน่ มะกรดู แบง่ ตามประเพณอี อกเปน็ องกลมุ่ ไดแ้ ก่ กลมุ่ กนิ นา้� กุ และ
กลุม่ ดา้ ยเ ลือง ทั้ง องกลุม่ อา ยั อย่ปู ะปนร่ มกัน ซง่ึ เปน็ ผลจากพล ัตของอตั ลัก ณ์ชาตพิ นั ธุ์ โดยการ
แยกจากการถือผีด้ายขา แต่เดมิ ทต่ี อ้ งเซ่นผดี ้ ยการฆา่ ัต ์เชน่ อน้ ปลา รอื มู ผู้นา� ทาง ัฒนธรรมคอื
ฤา ี เปน็ ผนู้ า� พทุ ธ า นามา จู่ ติ ใจคนโดยใ ้ผู้คนยดึ ถือ ลี ้าเป็น ลกั ผ มผ านกับการถือผีและเท ดา
จนเกดิ เปน็ กลุ่มด้ายเ ลืองและแยกเป็นกลุ่มน�้า ุกต่อมา “ฉเู ซ่อ นีจี เป็นครอู าจารย์คนแรก เป็น ั น้า
ตงั้ เจดยี ์ มี าลาเปน็ ดา้ ยเ ลอื ง แตง่ ตงั้ เจา้ ดั ดา้ ยเ ลอื งกบั กนิ นา้� กุ ครอู าจารยค์ นเดยี กนั ” (จะเอง เนเรยี ะ,
ัมภา ณ์, 2560) “ท�าประเพณีทุกคร้ังต้องมี ัต ์ตาย ไม่ บายใจ นับถือพุทธตั้งแต่ มัยอยู่ในพม่าแล้
อาจารย์จึง ่าบาปกรรมถ้าผิดผีมันจะร้ายแรงก ่าเผ่าอ่ืนถึงตาย ต้องเปลี่ยนไปท�าพิธีผูกแขนด้ายเ ลือง
อาจารย์ใ ญ่ช่อื ตเุ ซ่อเนจ้ ี ทา� พิธีลอยแพผีดา้ ยขา ทา� แพลกู นง่ึ ใ ่ ุ่น มไู ก่ านด้ ยไมไ้ ผต่ อกอย่างละ
ตั เอาน�้าขมิ้นราดใ ่อา ารดอกไม้จุดเทียนไ ้เป็นคร้ัง ุดท้ายลอยแพไป แล้ แต่งตั้งเจ้า ัดด้ายเ ลือง
ต้องผูกแขน มดทัง้ เผา่ ในแต่ละปีพรอ้ มกับใ ม้ ีประเพณไี เ้ จดีย์ปีละครงั้ ครง้ั ละ 3 คืน ใน ันขึน้ 13 14
และ15 ค่า� เดือน 5 า้ มเล้ยี งไก่เลี้ยง มู า้ มกินเพราะถอื า่ ลอยแพไปแล้ ยกเ ้น มูป่า ไกป่ า่ กินได้ แต่
ปกติลกู น้องเจา้ ัดถา้ ไมท่ า� ประเพณแี ตง่ งาน ผูกข้อมือ ลูกนอ้ งกินได้ แต่ถา้ ท�าประเพณี า้ ม” (เ ียจะโพ่
คลอง ะ, ัมภา ณ์, 2559) ปัจจุบันมีเจ้า ัดซึ่ง ืบทอดมาจากยุค มัยฤา ีเป็นผู้น�าทางจิต ิญญาณของ
แต่ละกลมุ่
270
ประ ัติ า ตร์ท่ีถูดจดจ�าใน มู่ชา กะเ รี่ยงคือ การถูกปกครองอย่างกดขี่ข่มเ งจากพม่าและ
ต้องจา่ ยภา เี ป็นจา� น นมาก เม่ือมกี ารร มตั กับชา มอญเพือ่ กอ่ การจลาจลจะถกู พม่าปราบปรามอยา่ ง
ทารุณ จนต้องอพยพขา้ มมาฝ่ังประเท ไทย ร มถงึ เมื่อพมา่ ตกเป็นอาณานคิ มของอังกฤ ใน พ. . 2395
ยงิ่ ถกู เกบ็ ภา อี ยา่ ง นกั ซง่ึ เมอ่ื ชา กะเ รย่ี งมกี ารเคลอ่ื นไ ตอ่ ตา้ นผนู้ า� จะถกู งั ารโดยกองกา� ลงั องั กฤ
(Gravers, 2001: 12) การเกิดขึ้นของฤา ีถูกมอง ่าเป็นกระบ นการเคลื่อนไ ทาง า นา ท่ีก่อร่าง
อตั ลกั ณข์ องกลมุ่ ชาตพิ นั ธก์ุ ะเ รยี่ งอนั แฝงไ ด้ ้ ยอดุ มการณท์ างการเมอื ง ทต่ี อ้ งการปลดปลอ่ ยจากพนั ธะ
ของการถกู ครอบงา� ใน ถานภาพของค ามเปน็ ผอู้ ยภู่ ายใตอ้ า� นาจ กู่ ารใ ไ้ ดม้ าซง่ึ อา� นาจภายในอาณาเขต
การปกครองของตนเองโดยผู้น�าทาง ัฒนธรรมคือ ฤา ีเป็นผู้น�าท้ังทาง า นาและการ ู้รบ เป็นผู้อยู่ใน
ระบบคณุ ธรรมของพุทธ า นานา� ่คู าม ังในการไดพ้ บกับ า นาพระ รีอาริย์ (Gravers, 2001: 6)
ในปี พ. . 2391 มีบันทึกของมชิ ชนั นารีเล่า า่ ได้ไปเยี่ยมกล่มุ ชาติพนั ธุก์ ะเ รี่ยงโป ใ์ นจัง ัด
ตะนา รขี อง ยาม และไดพ้ บกระบ นการฤา ตี ะ ละโคง่ ทเ่ี คลอื่ นไ อยใู่ นจงั ดั อทุ ยั ธานี กาญจนบรุ ี
และเขา้ ู่ประเท พม่า พ กนีเ้ ป็นกะเ รี่ยงโป ์กลมุ่ ด้ายเ ลือง (ลบุ ่อง) ไดเ้ ล่าถงึ ฤา ีชือ่ ตเุ ซิง่ นจี ี ซ่งึ เคย
เข้ามาเยย่ี มพ กเขา และแนะใ พ้ กเขาเลกิ เลี้ยงไกเ่ ลย้ี ง มเู พ่อื นา� ไปเซ่น ร งบูชาผี พรอ้ มท้ังใ ้ผกู ดา้ ย
เี ลอื งร มกนั 7 เ น้ ทข่ี อ้ มอื ร มถงึ ได้ รา้ งเจดยี แ์ ละ าลาเปน็ นู ยก์ ลางในการทา� บญุ ใน นั ทางจนั ทรคติ
และการประกอบพิธีใ ญ่ทา� บุญเจดยี ์ (เคอ ะลอ่ ง) ใน ันพระจันทร์เตม็ ด งเดอื น ้า พ กเขาจะต้องใช้
ดอกไม้และเทียนไขบชู าแทน มแู ละไก่ ่งิ �าคัญที่ ดุ คือการรัก า ีล า้ ในพุทธ า นา ต้องรัก าค าม
ะอาด ไมด่ ่มื รุ า ไม่เกย่ี ข้องกับยาเ พตดิ ไมน่ า� อา ธุ เขา้ มาในงานประเพณี ฤา ีไดแ้ ต่งตั้งเจา้ ัด (โบคู้)
เป็นผนู้ �าพธิ กี รรมและ ีลธรรม ทางเข้าเจดยี ์ต้องต้ังเ า ะเด่งิ อุทิ ใ ก้ บั แม่ธรณี (เซ่ิงทรุย )ี ผซู้ ึง่ ปกป้อง
จรยิ ธรรมแ ง่ พทุ ธ า นาและการทา� บญุ กอ่ นการมาถงึ ของพระ รอี ารยิ ์ เ า ะเดง่ิ ยงั เปรยี บเ มอื นรม่ เงา
ด้ ย นอกจากนตี้ อ้ งต้งั เ า “ ละ” นา้ เจดียเ์ ปน็ ัญลัก ณข์ องธรรมะท่เี ปน็ ั ใจ �าคญั ของพทุ ธ า นา
ระ ่างประกอบพธิ กี รรม พระอนิ ทร์ เท ดา ตลอดจน ญิ ญาณดีตา่ ง ๆ จะลงมาจาก รรคเ์ พอ่ื มาร่ มใน
งานบุญ เจดยี ค์ อื ัญลกั ณข์ องพระพุทธเจ้า ทีอ่ ยตู่ รงจุด ูนยก์ ลางแผ่ ีลธรรมอยา่ งทรงพลงั ไปรอบด้าน
เจดยี จ์ งึ เปน็ บรเิ ณพนื้ ที่ กั ดิ์ ทิ ธท์ิ ชี่ า บา้ นร่ มกนั ประพรมนา�้ ขมน้ิ เพอ่ื ค าม งบรม่ เยน็ (Gravers, 2001:
13-14) ปจั จบุ ันพิธกี รรมยงั คงปฏบิ ตั ิอย่างเคร่งครัด โดยการนา� ของเจ้า ดั ด้ายเ ลือง
บทบาทของเจ้าวดั ด้ายเหลอื งกบั การตอ่ รองทางวัฒนธรรม
เจา้ ัดด้ายเ ลือง รอื เจา้ ดั บา้ นยางแดง คอื เจา้ ัดปงครี อา้ ยเคยี้ ะ เป็นเจ้า ัดท่ีมอี า ุโ ูง ดุ
ใน มเู่ จา้ ดั 1*ปจั จบุ นั เปน็ ผเู้ ครง่ ครดั ในประเพณแี ละการถอื ลี า้ ชา กะเ รย่ี งดา้ ยเ ลอื งตา่ งนบั ถอื และ
ร่ มมือกันปฏิบัติตามประเพณีในพิธีกรรมอย่างเคร่งครัดในการ ืบทอดการเป็นเจ้า ัดเป็นการ ืบทอด
ทางจิต ิญญาณ เช่ือ ่าการเป็นเจ้า ัดเกิดจากเท ดาเลือก เป็นการ ืบทอดจากเช้ือ าย พ่อ ลูก ลาน
“กอ่ นทจี่ ะเปน็ เจา้ ดั เมยี มอี าการเจบ็ ป่ ยบอ่ ย ลกู ชายอายขุ บก า่ ๆ กลม้ เลอื ดไ ลไม่ ยดุ รกั าไม่ าย
มีคนบอกเชอื้ ายจะเปน็ เจา้ ดั จงึ จดุ ธปู เทยี นถา้ มเี ชอื้ าย บื ทอดกข็ อเปน็ เจา้ ดั เปน็ เจา้ ดั ตอนอายุ 41 ปี
ตอนน้ีอายุ 62 ปี” (ปงครี อ้ายเคี้ยะ, ัมภา ณ์, 2560) เจ้า ัดไม่กินไก่ ไม่กิน มู ถือปฏิบัติ ีล ้าและ
กฏระเบยี บประเพณีอย่างเคร่งครดั
1 ประเพณกี ารนบั ถอื เจา้ ดั ของชา กะเ รยี่ งโป ม์ อี ยใู่ นบรเิ ณจงั ดั อทุ ยั ธานี พุ รรณบรุ ี กาญจนบรุ ี และตาก
271
นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ปกติเจ้า ัดท�าไร่ มุนเ ียนในพื้นท่ีมาตลอด โดยบริเ ณบ้านและ าลาเจ้า ัดอันเป็น ถานท่ี
ประกอบพิธีกรรม เจ้า ัดจะปล่อย ิทธ์ิในพื้นท่ีท�ากินใ ้มี ภาพเป็นป่าเพ่ือต้องการรัก าธรรมชาติจึงมี
ภาพร่มคร้ึมเต็มไปด้ ยต้นไม้อยู่ท่ามกลางพ้ืนที่ท�าไร่โล่งเตียนของชา บ้าน บริเ ณน้ันเจ้า ัดยังคงท�าไร่
มุนเ ียนปลูกข้า ปลูกพริกไ ้พอกิน แต่ในเดือนตุลาคม พ. . 2560 ลูกเขยเจ้า ัดโดนเจ้า น้าท่ีท าร
ซง่ึ ดแู ลใน ่ นของพนื้ ที่ มู่ 4 จบั ด้ ยขอ้ าบกุ รกุ พนื้ ทป่ี า่ และถกู ยดึ พนื้ ทค่ี นื ซง่ึ เจา้ ดั บอก า่ เจา้ ดั เขา้ ใจ
และจะไมท่ า� อกี ปลอ่ ยทดี่ นิ ท่ีเ น้ ไ ท้ า� ไร่ มุนเ ียนคนื เปน็ ผืนปา่ ในการดแู ลของรฐั ต่อไป
กฎระเบียบประเพณขี องเจ้าวัดด้ายเหลือง
ขณะเดีย กันในประเพณีทา� บญุ เจดียซ์ งึ่ เปน็ พธิ กี รรมประจา� ปขี องกล่มุ ด้ายเ ลอื ง จดั ในช่ ง ัน
ขึ้น 13-15 ค�า่ เดอื น 5 เจา้ ัดจะรกั ากฎระเบยี บที่ บื ทอดกนั มาอย่างเคร่งครดั คือ ทุกคนตอ้ งใ ช่ ดุ ตาม
ประเพณี, ้ามน�าไก่ มูบ้านท่ีเลี้ยงไ ้เข้ามาปรุงอา ารในงาน, ต้องถอดรองเท้าต้ังแต่ น้าบริเ ณงาน,
า้ มถา่ ยรปู , า้ มดม่ื รุ า, า้ มเลน่ การพนนั ทกุ ชนดิ , า้ มลา่ ตั ,์ า้ มพดู โก ก ลอกล ง, า้ มผดิ ลกู เมยี
ผมู้ าร่ มงานทกุ คนตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามอยา่ งเครง่ ครดั โดยมชี า บา้ นดา้ ยเ ลอื งช่ ยกนั ดแู ล อด อ่ ง
กรณีบุคคลภายนอกร มถึงเจ้า น้าท่ี น่ ยงานรัฐทุกคนที่เข้ามาร่ ม ังเกตุการณ์ในพิธี ต้องปฏิบัติตาม
โดยไมม่ ีขอ้ ยกเ น้ และทุกครั้งในระ ่างปีพ. . 2558–2561 ปรากฏ ่าภรรยาเจา้ ดั มีอาการเขา้ ทรงร�า
ไม่ ยุดในช่ งพิธีกรรม เชื่อกัน ่าผี รือเท ดามาเข้า เจ้า ัดต้อง อบดู ่ามีใครท�าผิดอะไร และพบ ่ามี
ชา บ้านใ ร่ องเท้าเข้ามา รือบางกรณีพบ า่ เจ้า นา้ ที่ รอื นกั กึ าเข้ามาถ่ายรูปพธิ กี รรม ซง่ึ ตอ้ งมาใ ้
เจา้ ดั ทา� พธิ ีขอขมาทีเ่ จดยี ใ์ ้ ชา บา้ นเ ็น า่ เปน็ การทา� ใ ้เกิดค ามอบั อายเ มอื นการโดนประจาน
พื้นที่ในช่ งเ ลาพิธีกรรมจึงเป็นช่ งขณะของการช่ งชิงอ�านาจท่ีทุกคนต้องปฏิบัติตามกฏ
ระเบยี บของเจา้ ดั อา� นาจของเจา้ ดั ทถ่ี อื ครองประเพณถี กู ใชใ้ นการค บคมุ ชา บา้ นและตอ่ รองกบั อา� นาจ
ของเจา้ นา้ ทร่ี ฐั ร มทงั้ บคุ คลภายนอกทตี่ อ้ งยอมอยภู่ ายใตอ้ า� นาจอตั ลกั ณช์ าตพิ นั ธข์ุ องชา กะเ รย่ี งโป ์
เจ้า ัดยังเข้มง ดกับการรัก าอัตลัก ณ์ชาติพันธุ์ และใช้ในการตอบโต้ต่อนโยบายรัฐร มถึง
กระแ โลกาภิ ตั น์ โดยเจา้ ดั ปฏบิ ตั ติ นถอื เครง่ ในการแตง่ กายด้ ยชดุ ของเจา้ ดั (เทอ้ ดง่ ) เจา้ ดั และภรรยา
เจา้ ดั ไมอ่ ายทจี่ ะแตง่ กายไป ถานทร่ี าชการ เจา้ ดั มอง า่ โรงเรยี นทา� ใ เ้ ดก็ ๆ ใ ค้ าม นใจกบั การแตง่
ชุดแบบในเมอื ง เจา้ ัดต้องการใ เ้ ดก็ ๆ ใ ช่ ดุ ตามประเพณไี ปเรยี น ซ่ึงโรงเรียนอนญุ าตใ ้แตง่ ได้ 1 ัน
แต่ใน ันงานไ ้เจดีย์เด็กทุกคนต้อง แต่งกายตามประเพณี “ชุดเผ่ากะเ ร่ียง เราต้องรักเผ่าของเราเอง
เ อื้ โ รง่ มัยกอ่ นกน็ ุง่ อย่างนี้ ชุดแดงกบั ชดุ ขา ไปท�างานไดแ้ ต่อยบู่ า้ นก็ใ ใ้ ่ชดุ ของเรา บอกลกู ลาน
ไปในเมืองก็อยากใ ้แต่งชุดของเราบางคนอายเขา เจ้า ัดไม่อาย เผ่าของเรา เราจะนุ่งอย่างน้ี ม้งก็ใ ่ไม่
อายใคร ในงานพิธีคนอ่ืนมาในงานก็ต้องใ ่เพ่ือใ ้ ยงาม เ ลาไปเจดีย์ใ ้นุ่งชุดของเราอย่าใ ่กางเกง
บอกท้ัง ญิงชายใ ้นุ่งโ ร่งและอย่าใ ้เมาเอาได้แค่นี้” (ปงครี อ้ายเคี้ยะ, ัมภา ณ์, 2560) เจ้า ัด
ยัง นักใจเรื่องเ ล้าซ่ึงค บคุมได้ในพ้ืนที่ของงานประเพณี แต่ในชี ิตประจ�า ันเจ้า ัดรู้ ่ามีผู้ละเมิด
กฎเกณฑ์จากการท่ีภรรยาเจ้า ัดเจบ็ ป่ ย “ าม ันดี ่ี ันไข”้
272
อย่างไรก็ตามใน มัยฤา ีตะละโค่งได้ใ ้ค าม �าคัญกับการแต่งกายชุดกะเ ร่ียง
โดยเฉพาะประเพณีปีใ ม่ใน ันเพ็ญช่ งเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม ซ่ึงแ ดงถึงการเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ท่ี
ดา� เนนิ บื ทอดมาอยา่ งแ นยา นานมคี าม า� คญั กบั การ รา้ งอาณาจกั รของกลมุ่ ชาตพิ นั ธก์ุ ะเ รย่ี งตอ่ ไป
และยังเ ็น ่าโรงเรียนเป็นตั น�า ่ิงยั่ ยุจากโลกภายนอกมา ู่เด็ก ๆ ทา� ใ ้ค ามกระตือรือร้นลดน้อยลง
(Stern, 1968: 321-322) เจ้า ัดปงครีจึงเป็นผู้ ืบทอดอดุ มการณ์ของฤา ีใน มัยอดีตด้ ยจติ ญิ ญาณ
ของผนู้ า� ทาง ฒั นธรรม งั คมจงึ ยงั คงรกั าค ามเปน็ อตั ลกั ณช์ าตพิ นั ธอ์ุ ยา่ งชดั เจนขณะเดยี กนั ะทอ้ น
่าประเพณีจึงเป็นพื้นท่ีแ ่งอ�านาจท่ีเจ้า ัดยัง ามารถค บคุมได้ด้ ยค ามร่ มมือจากชา บ้านทุกฝ่าย
งานจึงเป็นไปด้ ยค าม งบเรยี บร้อยทกุ คร้งั
า� รบั ประเพณกี นิ นา้� กุ ทจ่ี ดั ขน้ึ ใน นั ขน้ึ 15 คา่� เดอื น 5 ไมม่ กี ฎระเบยี บเครง่ ครดั เชน่ ประเพณี
ด้ายเ ลือง เพยี งเฉพาะชา บ้านตอ้ งแตง่ กายด้ ยชดุ ตามประเพณีโดยน�าน�า้ ต้ม กุ ใ ก่ ระบอกและอา าร
ของชาติพนั ธม์ุ าร่ มในพิธที มี่ ีเจ้า ัดนา้� กุ เป็นผนู้ �าพธิ กี รรม
บทบาทของพระ งฆ์กับการต่อรองทางวัฒนธรรม
เจ้าอา า �านัก งฆ์แก่นมะกรูด ปัจจุบันคือ พระปลัดเ ียโพ่ เป็นผู้ที่ชา บ้านใ ้ค ามนับถือ
ท่านบ ชเม่ืออายุ 20 ปี ในปี พ. . 2530 และเป็นคนชาติพันธุ์กะเ รี่ยงโป ์โดยก�าเนิด มคี ามผกู พนั
กบั ชี ติ ทอี่ า ยั อยบู่ รเิ ณลา� ้ ยขาแขง้ ในปา่ แตเ่ ดมิ จนกระทงั่ อพยพมาอยทู่ ต่ี า� บลแกน่ มะกรดู ปจั จบุ นั ใน
ปี พ. . 2519 ด้ ยค าม ามารถอ่านเขียนภา ากะเ ร่ียง ดมนตแ์ ละเท น์เปน็ ภา ากะเ รย่ี งไดอ้ ยา่ ง
แตกฉาน ท่าน ามารถ ดมนต์ด้ ยภา าบาลีและเท น์เป็นภา าไทยใ ้คนกะเ รี่ยงและคนภายนอก
ฟงั ไดอ้ ยา่ งเขา้ ใจ ร มถงึ บทบาทในการเปน็ ผนู้ า� ทาง ฒั นธรรม ประเพณีทางพุทธ า นา โดยเฉพาะค าม
ามารถในการ ร้างและรื้อฟื้นประเพณีเก่าของชา กะเ รี่ยงโป ์โดยเป็นผู้น�าปฏิบัติการจัดงานต่าง ๆ
อยา่ งเขา้ ใจแท้จริง ทา� ใ ท้ า่ นเป็นท่ี รทั ธายกยอ่ งนับถือของชา บ้าน
การถือก�าเนิดและใช้ชี ิตในป่าอย่าง ิถีของชา กะเ ร่ียงโป ์ท�าใ ้เข้าใจถึงอัตลัก ณ์ค ามเป็น
ชาติพันธุ์กะเ รี่ยงและปัญ าท่ีเกิดข้ึนใน ิถีของชุมชน ท�าใ ้ท่านเป็นพระนักกิจกรรมที่ต้องการ มาน
ปัญ าด้ ยแน ทางของการรัก าอัตลัก ณ์ชาติพันธุ์ ซึ่งร มท้ังการ ร้างและร้ือฟื้นประเพณีบางอย่าง
เพ่ือ ร้างค ามเข้ม แข็งของค ามเป็นชาติพันธุ์ที่ ามารถต่อรองกับอ�านาจอันเ นือก ่าของ น่ ยงาน
ภาครัฐและทุนนิยม
ประเพณที ่ี ร้างขึน้ ใ ม่ ไดแ้ ก่
ประเพณีไ ว้เจดียใ์ นวนั ขน้ึ 15 ค่�า เดอื น 3 เรมิ่ ในปี พ.ศ. 2546 เปน็ การ ร้างอัตลัก ณ์ทาง
ประเพณขี องกลมุ่ ชาตพิ นั ธข์ุ นึ้ ใ ม่ (จากรากฐานอดุ มการณเ์ ดมิ ทเ่ี จดยี เ์ ปน็ ญั ลกั ณ์ า� คญั ของพทุ ธ า นา)
ซอ้ นทบั กับ ันมาฆบูชาในพุทธ า นาและเรยี กภา าพดู า่ “ ันไ เ้ จดยี ”์ มีการจัดงานออกรา้ นค้าขาย
าม นั ามคนื ในตอนกลางคนื พระปลดั เ ยี โพ่ นา� เ ยี นเทยี นรอบเจดยี ท์ ี่ รา้ งอยบู่ นเนนิ เขาเปน็ การ รา้ ง
เจดีย์ใ ้เป็นจุด ูนย์ร มใจของกลุ่มชาติพันธุ์กะเ ร่ียงโป ์ ที่ รัทธาในพุทธ า นาและมาร่ มไ ้เจดีย์
อยา่ งพร้อมเพรยี ง โดยเฉพาะผู้อา โุ ข้นึ บันไดไปร่ มไ เ้ จดยี ด์ ้ ยจติ รัทธา ูง ุด
273
นัง ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
การ รา้ งประเพณไี วร้ อยพระพทุ ธบาท ซง่ึ ถกู คน้ พบอยกู่ ลางปา่ ในเขตบา้ นคลองเ ลา ตา� บล
แกน่ มะกรูด อา� เภอบ้านไร่ จัง ัดอทุ ัยธานี เรม่ิ ในปีพ. .2561
การ ร้างประเพณีถวายเทียนพรร าท่ีชาวบ้านร่วมกันท�าถวายแด่พระพุทธรูปโบราณ
ทถี่ า�้ องจุ ตา� บลนา น อา� เภอ รี ั ดิ์ จงั ดั กาญจนบรุ ี ในช่ งกอ่ นเขา้ พรร า โดยเรม่ิ ขน้ึ ในปี พ. . 2550
า� รับชา กะเ รย่ี งในบรเิ ณ 3 จงั ัด คือ จัง ดั อทุ ัยธานี พุ รรณบรุ ี และกาญจนบรุ ี มคี ามเช่ือถอื
ในค าม ักดิ์ ิทธิ์ และค ามเก่าแก่ขององค์พระพุทธรูปในถ้�าโดยเชื่อกัน ่าต้องเป็นผู้มีบุญ า นาเท่าน้ัน
จงึ จะเขา้ ไปถึงถา�้ องคจ์ ไุ ด้ เนื่องจาก มยั กอ่ นไมม่ ีทางรถยนต์
ประเพณที ีท่ �าการรื้อฟ้นื ขึน้ ใ ม่ ไดแ้ ก่
การรอ้ื ฟน้ื งานประเพณไี วเ้ จดยี พ์ นั องค์ (โกลง เลอะทง่ ) เรม่ิ ในปี พ. . 2559 และทา� ตอ่ เนอ่ื ง
เปน็ เ ลา 3 ปี จนถึงปี พ. . 2561 ชา กะเ รี่ยงเชอ่ื ่าเปน็ คา� อนขององค์พระมาลยั ถ้าไดท้ �าบุญเจดยี ์
พันองค์จะได้เกิดใน า นาของพระ รีอาริย์ และได้เคยท�าบุญน้ีเมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ ใน มัยที่
พระปลดั เ ยี โพย่ งั เปน็ ลกู ิ ยช์ ่ ย ล งพอ่ บญุ มาอดตี เจา้ อา า จดั งาน พระปลดั เ ยี โพเ่ ปน็ ผเู้ ขา้ ใจในการ
จดั งานจงึ คดิ ฟน้ื ฟขู น้ึ มา ทา่ นไดก้ า� นด นั จดั งานตรงกบั นั พระขนึ้ รอื แรมเปน็ เ ลา 3 นั นั ดุ ทา้ ยตรง
กับ ันพระในช่ งเดอื นมนี าคมถงึ พฤ ภาคม โดยจดั ทบ่ี ริเ ณ ัดคลองเ ลา เนื่องจากมีพ้ืนท่ใี นการจดั งาน
การเตรยี มงานเกดิ จากการร่ มแรงร่ มใจของชา บ้านในชุมชน โดยช่ งค�่าพระปลดั เ ยี โพจ่ ะน�าชา บ้าน
ร่ มกนั ทา� พธิ ไี พ้ ระพทุ ธเจา้ า้ พระองค์ ชา บา้ นร มถงึ เจา้ ดั จะพากนั พกั คา้ งในบรเิ ณงาน มกี ารละเลน่
ของกลุม่ ชาตพิ ันธุ์ ไดแ้ ก่ ร�าตง ทุกคืน
การรื้อฟื้นประเพณีเป็นการรื้อฟื้นแน คิดพระ รีอาริย์ รือผู้มีบุญ ซึ่งในอดีตชา มอญที่อยู่
ภายใต้การปกครองอย่างกดขี่ของพม่า ได้น�าแน คิดผู้มีบุญจะเป็นผู้มีอ�านาจปราบปรามอ�านาจที่เข้ามา
กดข่ีข่มเ งและทา� ใ ้ งั คมเกดิ ค าม งบ ขุ อีกคร้งั ชา กะเ รีย่ งโป ไ์ ดร้ บั อิทธิพลค ามเชอ่ื พระ รีอาริย์
ในนยั ของพทุ ธ า นาเขา้ มาประ มเ นอื ค ามเชอ่ื ดงั้ เดมิ และนา� มาปรบั ใชใ้ นลทั ธฤิ า ที เี่ ชอื่ า่ เปน็ เ มอื น
ผมู้ บี ญุ ทจ่ี ะนา� พาชา กะเ รย่ี งโป ใ์ ร้ อดพน้ จากการกดขขี่ องพมา่ และไดพ้ บกบั า นาของพระ รอี ารยิ ์
โดยปรากฎในงานฉลองปีใ ม่ใน ันเพ็ญระ ่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม มีการ ร้างเจดีย์ถ าย
พระพทุ ธเจา้ า้ พระองคโ์ ดยผรู้ ่ มงานทเี่ ปน็ ชายจะอา ยั อยรู่ ่ มกนั ใน าลาใ ญท่ เี่ ปน็ ญั ลกั ณข์ องค าม
เป็นเอกภาพ (Stern, 1968: 316) ประเพณีไ ้เจดีย์พันองค์จึงเป็นเ มือนค ามต้องการ ลุดพ้นจาก
อา� นาจค บคมุ ใด ๆ เพอ่ื จะไดพ้ บ งั คม งบ ขุ เ มอื นโลกในอดตี ทตี่ อ้ งอพยพจากมาอกี ครง้ั ขณะเดยี กนั
ในงานประเพณีทจ่ี ดั ขนึ้ 3 ครั้งในช่ งปี พ. . 2559–2561 จะมขี า้ ราชการจาก น่ ยงานตา่ ง ๆ มาร่ ม
งานเชน่ รองผู้ า่ ราชการจงั ดั และคณะ, ั นา้ นู ยพ์ ฒั นารา ฎรบนพนื้ ที่ งู จงั ดั อทุ ยั ธานี ประเพณี
จึงเป็นพ้ืนที่แ ดงตั ตนการร มพลังของค ามเป็นเอกภาพท้ังเจ้า ัด พระ งฆ์และชา บ้าน ที่ ร้าง
อัตลกั ณ์ชาติพันธอุ์ ย่างเขม้ แข็ง โดย ามารถเผชิญ นา้ และใชเ้ ป็นเครือ่ งมือต่อรองลดทอนค ามเปน็ คู่
ตรงขา้ มที่เปิดโอกา ร้างการยอมรับการมีอยูอ่ ยา่ งมี ักด์ิ รีของกลุม่ ชาตพิ ันธุ์
274
การรอ้ื ฟน้ื ประเพณที �าบุญปา่ (ท�าบญุ ทง่ เกร๊าะ) ทป่ี ่าตน้ น้�ามอตาจอ่ ย ตา� บลแก่นมะกรดู และ
ที่ ้ ยกรึงไกร ซึ่งเป็น มู่บ้านกะเ ร่ียงโป ์แต่เดิมในป่าก่อนท่ีจะอพยพออกมา เร่ิมท�าในปี พ. . 2557
การทา� บญุ ปา่ ทปี่ า่ ตน้ นา�้ มอตาจอ่ ย ซง่ึ เปน็ แ ลง่ ตน้ นา�้ ของ ้ ยคลององั ะทไ่ี ลผา่ นชมุ ชน และการทา� บญุ
ปา่ ้ ยกรึงไกร ซึ่งเปน็ ม่บู ้านเดมิ ที่อา ัยอยู่ก่อนทจี่ ะอพยพออกมา ปจั จุบันอย่ใู นเขตรกั าพนั ธ์ุ ัต ์ป่า
้ ยขาแขง้ การทา� บุญปา่ ท้งั องแ ง่ เรม่ิ ทา� ในปี พ. . 2557 และทมี่ อตาจ่อยท�าต่อเนอ่ื งมาทุกปี ่ นที่
้ ยกรงึ ไกร ทา� จนถงึ ปี พ. . 2559 ครบ 3 ปี นอกจากนย้ี งั มปี ระเพณที า� บญุ ปา่ ท่ี ้ ยขนนุ บา้ น ้ ย นิ ดา�
ตา� บล งั ยา อา� เภอดา่ นชา้ ง จงั ดั พุ รรณบรุ ี ซง่ึ ชา บา้ น ้ ย นิ ดา� เรมิ่ ทา� ในปี พ. . 2555 จนถงึ ปจั จบุ นั
การท�าบุญป่าเปน็ ค ามร่ มมือของชา บา้ น พระ งฆแ์ ละเจา้ ัด พ กเขาตอ้ งพกั คา้ งด้ ยกนั ใน
ปา่ เปน็ เ ลา1 คนื โดยตอนเย็น นั แรกเป็นพธิ ีกรรมของเจา้ ัด ไ บ้ ูชาแม่คงคา แม่ธรณี และเช้า ันรงุ่ ข้นึ
เปน็ ประเพณขี องพระ งฆ์ เ รจ็ จากพธิ มี กี ารร่ มกนั ปลกู ตน้ ไมใ้ นปา่ เปน็ การร่ มแ ดงตั ตนของการเปน็
ผู้รัก าป่าต้นน�้าตอบโต้ต่อภาพลัก ณ์ของการเป็นผู้ท�าลายป่า ท�าลายต้นน�้าในบริบทของการ
ประนปี ระนอม อยา่ งไรกต็ ามการทา� บญุ ปา่ ทมี่ อตาจอ่ ย ตา� บลแกน่ มะกรดู ทกุ ครงั้ จะมเี จา้ นา้ ทจ่ี าก น่ ย
งานภาครฐั เขา้ มาร่ มในพธิ ี อาทเิ ชน่ รองผู้ า่ ราชการจงั ดั ั นา้ นู ยพ์ ฒั นารา ฎรบนพน้ื ท่ี งู จงั ดั
อุทยั ธานีและคณะ เจ้า น้าที่เขตรัก าพนั ธุ์ ัต ์ป่า ้ ยขาแข้ง เจา้ น้าท่กี รมปา่ ไม้ ั นา้ น่ ยปอ้ งกัน
รกั าปา่ เจา้ นา้ ทมี่ ูลนธิ ิ บื นาคะเ ถยี ร เจ้า น้าท่ไี ฟป่า ท ารจากกองบงั คับการค บคมุ ท ารพราน
้ ยขาแขง้ ถอื เปน็ การเปดิ พน้ื ทแี่ ดงอตั ลกั ณช์ าตพิ นั ธ์ุ ผา่ นอา าร การแตง่ กาย ภา า และจติ ญิ ญาณ
การเปน็ ผ้รู ัก าป่ารัก าตน้ น้�า โดยเป็นการผลิตซา�้ ผ่านประเพณีทุกปี
พระปลดั เวียโพ่กับการ ืบทอดวฒั นธรรมกะเ รยี่ งโปว์
นอกจากงานประเพณพี ระปลดั เ ยี โพย่ งั มแี น คดิ และการปฏบิ ตั เิ พอ่ื บื ทอดประเพณี ฒั นธรรม
ของชา กะเ รยี่ งโป ์ ได้แก่
ภา ากะเ รย่ี งโปว์ ในฐานะที่ท่านเปน็ ผเู้ ชย่ี ชาญท้ังการพูด อา่ น เขียน ภา ากะเ รยี่ งโป ์
จึงไดจ้ ัดทา� แบบเรียนภา ากะเ รี่ยง ่งเ ริมการพูด อา่ น เขยี น ภา ากะเ รีย่ งโป ์ ปจั จบุ นั เด็กร่นุ ใ ม่
ไม่ ามารถอา่ นเขยี นภา ากะเ รยี่ งได้ โดยจดั ทา� แบบเรยี นด้ ยคอมพิ เตอรใ์ แ้ กโ่ รงเรยี นบา้ นใ มค่ ลององั ะ
มอี าจารยข์ องโรงเรยี นทเ่ี ปน็ ชา กะเ รยี่ งตา� บลแกน่ มะกรดู เปน็ ผู้ อน ด้ ยค ามเ น็ ชอบจากผอู้ า� น ยการ
โรงเรียน เพื่อรัก าค ามรู้ ืบทอดภา าต่อไป การท่ีพระปลัดเ ียโพ่มีค าม ามารถในการ ดมนต์และ
เท น์เปน็ ภา ากะเ รย่ี งทา� ใ ้ ามารถเขา้ ถึงจิตใจของผ้คู นได้อยา่ งลกึ ซง้ึ
การอนรุ กั ก์ ารทอผา้ พนื้ บา้ น ชา กะเ รยี่ งโป ย์ งั คงเครง่ ครดั ตอ่ การแตง่ กายในประเพณตี า่ ง ๆ
ทง้ั ของเจา้ ดั และประเพณเี นอ่ื งในพทุ ธ า นา โดยพระปลดั เ ยี โพไ่ ดค้ ดิ ง่ เ รมิ การใ ช่ ดุ กะเ รยี่ ง “เ ลา
มงี านบุญ ่งเ รมิ บอกกนั จะไม่บงั คบั ใ ร้ กั าชดุ ใ ข่ องเรา ถึงไม่ ยงามก็อย่าท้ิงพอ่ แม่ พอ่ แมม่ ีพระคุณ
่ิงเ ล่าน้ีคือกตัญญู” โดยในงานกฐินของ ัดในปี พ. . 2560–2561 พระปลัดเ ียโพ่ได้ขอใ ้ชา บ้าน
ผู้ ญิงช่ ยกันทอย่าม (โท้ ) เป็นที่ระลึกใ ้แก่คณะเจ้าภาพจากอ�าเภอบ้านไร่ จ�าน น 100 ลูก โดยใ ้
ชา บา้ นจดั การแบ่งงานกันเองเพอื่ ใ ้เกิดค ามภาคภมู ใิ จมี ่ นร่ มในงานบุญ
275
นงั ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
สง่ เสรมิ การละเลน่ รา� ตง (เตว้ิ ล) พระปลดั เ ยี โพจ่ ะใ ช้ า บา้ นและลกู ลานชา บา้ นไดแ้ ดงการ
ละเลน่ รา� ตงของชา กะเ รย่ี งโป ท์ กุ ครง้ั ในงานประเพณตี า่ ง ๆ โดย นบั นนุ ใ ม้ กี าร อนรา� ตงแกเ่ ยา ชน
การขับร้องเพลงของคนเฒ่าคนแก่ ลังจากเ ร็จงานประเพณตี ่าง ๆ ชา บ้านจะพกั ผ่อนด้ ย
การขับร้องเพลงโต้ตอบกันใน มู่ผู้อา ุโ ชาย ญิง เน้ือเพลง ่ นใ ญ่เกี่ย กับชี ิตค ามเป็นอยู่
ค ามกตัญญตู ่อพอ่ แม่ มกี ารเปา่ แคนเล่นกนั โดยเฉพาะช่ งดกึ ๆ ในงานทา� บุญปา่ ทพ่ี กั ค้างร่ มกัน รือ
ลงั จากงานไ ้เจดยี เ์ ดอื น าม โดย ลังจากเท นเ์ รจ็ ทา่ นจะอยบู่ นเขาด้ ยเพอ่ื เป็นกา� ลังใจใ ผ้ อู้ า โุ
เ ลา่ น้ี
สรปุ
ประเพณตี า่ ง ๆ ถอื เปน็ พนื้ ทแี่ ดงตั ตน เปน็ การร มพลงั ทง้ั เจา้ ดั พระ งฆแ์ ละชา บา้ นที่ รา้ ง
อตั ลกั ณช์ าตพิ นั ธอ์ุ ยา่ งเขม้ แขง็ เปน็ การตอบโตภ้ าพลกั ณข์ องการเปน็ ผทู้ า� ลายระบบนเิ น์ เปน็ ชา เขา
ยากจนแต่ร�่าร ยด้ ย ัฒนธรรมเป็นผู้ รัทธาใน า นาและ ีลธรรม โดย ามารถเผชิญ น้าและใช้เป็น
เครื่องมือลดทอนค ามเป็นคู่ตรงข้าม ท่ีเปิดโอกา ร้างการยอมรับการมีอยู่อย่างมี ักด์ิ รีของกลุ่ม
ชาตพิ ันธ์ุ ภายใต้บทบาทของผูน้ า� ทาง า นา ซง่ึ เป็นผู้นา� ทาง ัฒนธรรมได้น�าการขับเคล่อื นค ามเข้มแข็ง
ของอัตลัก ณ์ชาติพันธุ์อย่างเป็นพล ัต ในการที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองกับอ�านาจที่เ นือก ่า
และเป็นก�าลังใจในการเผชิญกับอ�านาจของระบบทุนนิยม ปัญ าเ ร ฐกิจท่ีเป็นภาระผูกพันไม่ ิ้น ุด
ปจั จบุ นั ลาย น่ ยงานภาครฐั ไดเ้ ขา้ มาค บคมุ และออกนโยบายช่ ยเ ลอื ด้ ย ธิ ตี า่ ง ๆ เชน่ การ ง่ เ รมิ
เก ตรทฤ ฎีใ ม่โดยการปลูกพืชผ มผ าน การ ่งเ ริมปลูกพืชผักเมือง นา และพืชพ้ืนถ่ิน การ ร้าง
แ ลง่ ท่องเทย่ี รา้ งที่พักโฮม เตย์ แตย่ ังไม่ ามารถประ บค าม า� เร็จในเร็ ัน เน่ืองด้ ยปญั าภาระ
น้ี ินท่ีผูกมัดกับนายทุน ชา บ้าน ่ นใ ญ่ยังต้องปลูกพืชเ ร ฐกิจเชิงเด่ีย ่งขายใ ้นายทุนต่อไป
การทอ่ งเทยี่ ทา� ไดเ้ ฉพาะช่ งเ ลา นั้ ๆ ในฤดู นา ผล ตรอ เ์ บอรร์ อ่ี อกไมท่ นั เท กาลปใี มช่ ่ งทมี่ นี กั
ท่องเที่ย จ�าน นมาก การออกผลที ลังท�าใ ้ราคาตกประกอบกับการปลูก ตรอ ์เบอร์ร่ีต้องใช้เ ลา
ในการดูแลอย่างพิถีพิถันท�าใ ้มีการปลูก ตรอ ์เบอร์รี่ลดน้อยลงทุกปี ชา บ้านท่ีท�าโฮม เตย์ ่ นใ ญ่
ประ บปญั าไมม่ นี กั ทอ่ งเทยี่ เขา้ พกั ด้ ยไม่ ามารถลงทนุ รา้ งค าม ะด ก บายเ มอื นโรงแรมในเมอื ง
เบอ้ื ง ลังปัญ าที่ทับถม ภาระ นี้ ิน ท่ดี นิ ทา� กนิ ถูกจ�ากัด ในขณะท่ีจ�าน นประชากรเพ่ิมขึน้ ปัญ าการ
ูญเ ียระบบนิเ แ ล่งอา ารธรรมชาติถูกท�าลาย ปัญ ายาเ พติดแพร่ระบาด การเปลี่ยนแปลงใน
ยุคโลกาภิ ัตน์ ล้ นเป็นปัญ าท่จี ะตอ้ งต้ังรับอย่างมีองคค์ ามรู้และเข้าใจใน ิถขี องชาตพิ นั ธ์ุอย่างแทจ้ รงิ
ในขณะท่ี ันน้ีพ กเขายังมีก�าลังใจในการเผชิญปัญ าด้ ยค ามเข้มแข็งของอัตลัก ณ์ชาติพันธุ์ซึ่งยังไม่
อาจกลา่ ได้ ่าจะ ามารถตา้ นทานปัญ าและคงค ามเขม้ แขง็ ของอตั ลัก ณช์ าติพนั ธไ์ุ ดอ้ ีกนานเท่าใด
276
บรรณานกุ รม
ภา าไทย
ฉ ี รรณ ประจ บเ มาะ. (2547). “ทบท นแน ทางการ กึ าชาตพิ นั ธข์ุ า้ มยคุ มยั กบั การ กึ าใน งั คมไท.”
ใน ่าด้ ยแน ทางการ กึ าชาตพิ นั ธ.์ุ กรุงเทพฯ: นู ยม์ านุ ย ิทยา ิรินธร.
ปิน่ แก้ เ ลอื งอรา่ ม รี. (2550). “ค ามอิ ลกั อเิ ลอื่ ของมโนทั นช์ าติพนั ธ์.ุ ” าร าร ังคม า ตร์ 19,
1: 183–228. เข้าถึงเมื่อ 27 กรกฎาคม 2559. เข้าถงึ ไดจ้ าก https://www.academia.edu
/17643656/ค ามอิ ลกั อเิ ล่อื .
ภา นีย์ บุญ รรณ. (2544). “การ ึก า ิเคราะ ์ค ามเช่ือพุทธ า นาและฤๅ ีของชา กะเ ร่ียง
ทงุ่ ใ ญน่ เร ร กรณี กึ า มบู่ า้ น ะเนพอ่ ง ตา� บลไลโ่ ่ อา� เภอ งั ขละบรุ ี จงั ดั กาญจนบรุ .ี ”
ทิ ยานพิ นธ์ อกั ร า ตรบณั ฑิต บณั ฑิต ทิ ยาลยั ม า ทิ ยาลัยม ิดล.
ย นั ต มบตั ิ, บรรณาธิการ. (2559). ชายแดนกบั ค าม ลาก ลายของระบบค ามเช่ือ. เชยี งใ ม่:
นดิ าการพมิ พ.์
ุรพง ์ กองจันทึก. (2530). “ประเพณีการผูกข้อมือ-การกินน�้า ุกและพระพุทธ า นา: ึก ากรณี
กะเ รย่ี งโป ภ์ าคกลาง”. ฝา่ ย า นาและ นั ติ ธิ กี ลมุ่ ประ านงาน า นาเพอื่ งั คม นบั นนุ เงนิ ทนุ .
ภา าอังกฤ
De vos, George A. (1975). Ethnic Identity Cultural Continuities and Change. California:
Mayfield. Creek, CA: Alta Mira Press.
Gravers, Mikael. (2001). “Cosmology, Prophets, and Rebellion Among the Buddhist Karen
in Burma And Thailand.” Journal of Moussons 29, 4: 3-31.
Keyes, Charles F. (1979). Ethnic Adaptation and Identity: The Karen on the Thai
Frontier with Burma. Philadelphia Pennsylvania: ISHI.
Stern, Theodore. (1968). “Ariya and the Golden Book: A Millenarian Sect Among the Karen.”
Journal of Asian Studies 27, 2: 297-328.
277
นงั อื รวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เน่ืองในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
รายช่ือผู้ใ ้ มั ภา ณ์
ไก งามยง่ิ . (62ปี) บา้ น ้ ย ินดา� ตา� บล ังยา อ�าเภอดา่ นช้าง จัง ัด พุ รรณบรุ .ี
ขะเม้ียจ.ู (71ป)ี บงึ ชะโค ต�าบลเขาโจด อา� เภอ รี ั ดิ์ จงั ัดกาญจนบุร.ี
จะเอง เนเรียะ. (71ปี ) ตะเพินค่ี ตา� บล ังยา อา� เภอด่านช้าง จงั ัด พุ รรณบุรี.
ชาตรี าจักดี. (37 ป)ี บ้านอีมาด ตา� บลแกน่ มะกรดู อ�าเภอบ้านไร่ จัง ัดอทุ ัยธาน.ี
โซ่ลา้ เ ย่ กรงึ ไกร. (71ป)ี บา้ นใต้ ต�าบลแกน่ มะกรดู อ�าเภอบา้ นไร่ จงั ัดอทุ ยั ธาน.ี
ตา นั กรงึ ไกร. (71ปี) คลองเ ลา ตา� บลแก่นมะกรูด อ�าเภอบา้ นไร่ จัง ัดอทุ ัยธาน.ี
ทะเต มดแดง. (56 ปี) คลองเ ลา ตา� บลแก่นมะกรดู อ�าเภอบ้านไร่ จัง ดั อุทยั ธาน.ี
นออี้ ขอ กุ . (56 ป)ี บา้ นใ มค่ ลองอัง ะ ตา� บลแก่นมะกรูด อ�าเภอบา้ นไร่ จงั ดั อุทัยธาน.ี
บรรเจิด ขา� ไิ ล. ปลดั อา� เภอบ้านไร.่
ปงครี อา้ ยเค้ียะ. (63 ป)ี บ้านเจา้ ัด ต�าบลแกน่ มะกรูด อ�าเภอบา้ นไร่ จงั ัดอุทัยธานี.
เผ ขอ ุข. (71ปี) บ้านใ มค่ ลองอัง ะ ตา� บลแกน่ มะกรดู อา� เภอบ้านไร่ จงั ดั อุทัยธานี.
พระปลัดเ ยี โพ่. (52ปี) า� นกั งฆแ์ ก่นมะกรดู ต�าบลแก่นมะกรดู อ�าเภอบ้านไร่ จงั ดั อทุ ัยธานี.
ม็องกอ็ ง กรงึ ไกร. (61 ป)ี บา้ นใต้ ต�าบลแก่นมะกรูด อ�าเภอบ้านไร่ จัง ัดอทุ ยั ธานี.
ทัญญู ขุ ประ ทิ ย์. เจา้ นา้ ทีโ่ ครงการพ้ืนทต่ี ้นแบบบรู ณาการ.
ดั ปัญญา. (67ป)ี บา้ นเจ้า ัด ตา� บลแกน่ มะกรูด อ�าเภอบ้านไร่ จัง ัดอุทัยธานี.
นิ ยั กรงึ ไกร. (36 ปี) บ้านอีมาด ต�าบลแก่นมะกรูด อ�าเภอบา้ นไร่ จัง ดั อทุ ัยธาน.ี
เ ียจะโพ่ คลอง ะ. (65ปี) บ้านใต้ ตา� บลแกน่ มะกรดู อา� เภอบา้ นไร่ จงั ัดอุทัยธาน.ี
อ้ น คลอง ะ. (53ปี) บา้ นใต้ ต�าบลแก่นมะกรดู อ�าเภอบา้ นไร่ จัง ดั อุทยั ธานี
เอกรตั น์ พร ม ริ แิ น. ั นา้ น่ ยปอ้ งกนั รกั าปา่ ที่ 9 อทุ ยั ธานี เขตนคร รรค์ กรมทรพั ยากรธรรมชาติ
และ งิ่ แ ดล้อม และเป็น ั นา้ โครงการพนื้ ทตี่ น้ แบบบูรณาการ.
278
จากผ้อู าวุโ ผู่ พี ่อผีแม่ :
ความ มายตอ่ ความชราภาพของกลุ่มผู้ งู อายไุ ทด�า จัง วดั นครปฐม
From elderly to ancestor spirits: Meaning of the aging of
the Tai Dam elderly group in Nakhon Pathom
ดร.นฐั วุฒิ งิ ์กุล*
Nattawut Singkul
* อาจารยป์ ระจ�าภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร
279
นงั ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทคดั ย่อ
บทค ามนเ้ี ปน็ การ กึ าเกยี่ กบั การเดนิ ทางของชี ติ การใ ค้ าม มายตอ่ ค ามชราภาพ และ
การใช้ชี ิตของกลมุ่ ผู้ ูงอายุไทดา� ในพืน้ ทจี่ งั ดั นครปฐม โดยมคี า� ถาม �าคญั ของบทค ามคอื ผู้ ูงอายุ
ชา ไทดา� มมี มุ มองตอ่ ชี ติ และใ ค้ าม มายตอ่ ค ามชราภาพอยา่ งไร ค าม มายดงั กลา่ ะทอ้ นใ เ้ น็
ลกั ณะเฉพาะทางชาติพนั ธ์ุ การใชช้ ี ติ และการปฏบิ ตั ิตั ของผู้ ูงอายุไทด�าอยา่ งไร ที่ ามารถเชื่อมโยง
กบั การตระ นักถงึ คุณคา่ และ กั ด์ิ รีทั้งในชี ิตปจั จบุ นั และในชี ิต ลงั ค ามตาย ผู้ กึ าใช้ ิธกี าร ึก า
เชิงชาติพันธุ์ รรณนา การ ังเกตการณ์แบบมี ่ นร่ มและการ ัมภา ณ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้ ูงอายไทด�าใน
ชุมชนทั้งชายและ ญิงจ�าน น 20 คน เป็นระยะเ ลา 10 เดือน (พฤ จิกายน 2560- ิง าคม 2561)
จากผลการ ึก าพบ ่าค ามเชื่อเร่ืองผีและข ัญยังคงเป็นจุด ูนย์กลางของอัตลัก ณ์ทางชาติพันธุ์ของ
กลมุ่ คนไทดา� ทด่ี า� รงอยอู่ ยา่ งเ นยี แนน่ ทา่ มกลางการเปลยี่ นผา่ นทางดา้ นเ ร ฐกจิ งั คมและ ฒั นธรรม
แต่ท ่าอัตลัก ณ์ดังกล่า ยัง ามารถด�ารงอยู่และ ืบต่อมาอย่างยา นาน ภายใต้บทบาทของผู้ ูงอายุท่ีมี
ค ามรแู้ ละค ามเชย่ี ชาญในเชงิ ของ ฒั นธรรมประเพณแี ละค ามเชอ่ื ซงึ่ ทา� นา้ ทเี่ ปน็ ทง้ั ผรู้ กั า ผู้ บื ทอด
และผู้ ง่ ตอ่ ค ามรเู้ ลา่ นใ้ี ก้ บั มาชกิ ในชมุ ชน เรอ่ื งรา ของผู้ งู อายไุ ทดา� ทา� ใ เ้ น็ ชี ติ และการเดนิ ทาง
เู่ น้ ทางอนั เปน็ นริ นั ดรและ ะทอ้ นใ เ้ น็ การตอ่ รองภายใต้ ภา ะของค ามเ อ่ื มถอยของรา่ งกายทเี่ ปน็
งจรตามธรรมชาตกิ บั พลงั ทาง ฒั นธรรมทที่ า� ใ ผ้ ู้ งู อายุ ามารถมชี ี ติ ชี าภายใตร้ า่ งกายทช่ี รา ผู้ งู อายุ
ไทดา� ไดใ้ ค้ าม มายต่อค ามชราภาพ และการปฏบิ ตั ติ ั ภายใตก้ ารด�ารง ถานะค ามเปน็ ผูอ้ า ุโ ท่ีได้
รบั การยอมรบั นบั ถอื ของ มาชกิ ในครอบครั และชมุ ชนไทดา� เมอ่ื มชี ี ติ อยู่ ร มทง้ั การดา� รง ถานะทเี่ ปลย่ี น
ผ่าน ู่การเป็นผีบรรพบุรุ ของครอบครั และเป็น ูนย์กลางของพิธีกรรมและค ามเชื่อของชา ไทด�าใน
พืน้ ท่ชี ี ิต ลงั ค ามตาย อนั แ ดงใ ้เ ็นค าม ขุ ค าม า� เร็จ ค ามมี ักด์ิ รแี ละการเดนิ ทางทไ่ี ม่ ัน ิ้น
ดุ ของผู้ ูงอายุไทดา�
ค�ำส�ำคัญ : ค ามชราภาพ, ไทดา� , ผบี รรพบุรุ , ชี ิต ลงั ค ามตาย
280
Abstract
This article aimed to study the path of life, meaning of aging and the living of
elderly group in Nakhorn Pathom with the significant article question–how the Tai Dam
elderly viewed life and how they defined aging. How the said meaning reflected ethnic
characteristics, way of life and the way the Tai Dam elderly practiced that connected
with value and dignity awareness both in present life and life after death. The researcher
employed ethnographic methods, participatory survey and in-depth interview with 20 of
Tai Dam elderly in the community both male and female for 10 months (November
2017-August 2018). The result found that the belief in ghosts and ‘Kwan’ was still the
adhesive center of Tai Dam ethnic identity existing among the changes of economic,
social and cultural. However, the mentioned identity was still able to exist and transfer
to generations under the role of elderly passing knowledge and expertise to the
community members. The stories of Tai Dam elderly showed the life and journey to
eternity path. It also reflected the negotiation under the condition of health degeneration
stage which was the natural circle and the cultural power making the elderly able to be
lively in the aging body. The Tai Dam elderly defined aging and the practice under the
well-respected elderly from family and community members condition in being alive as
well as the condition transferring to ancestor spirits of the family and the center of ritual
and Tai Dam belief of life after death. It represented the happiness, success, dignity and
everlasting journey of Tai Dam elderly.
Keywords: Aging, Tai Dam, Ancestor spirit, Life after death
281
นัง ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
1. บทน�ำ
จากขอ้ มลู ของ า� นกั งานคณะกรรมการพฒั นาเ ร ฐกจิ และ งั คมแ ง่ ชาตทิ ไ่ี ดท้ า� การคาดการณ์
จา� น นประชากรของประเท ไทยในช่ งปี พ. . 2553-2583 า่ ประเท ไทยจะเขา้ ู่ งั คมผู้ งู อายุ (Aged
Society) ในเกือบทุกจงั ดั และทุกภาคของประเท ไทยในปี พ. . 2558 โดยมดี ัชนี ูง ยั อยูท่ ีร่ ้อยละ
50-119.91*(คดิ จากอัตรา ่ นของประชากรใน ยั ูงอายุ 60 ปีข้ึนไป ต่อจ�าน นประชากร ยั เด็กที่อายุต่�า
ก า่ 15 ป)ี และในช่ งปี พ. . 2563 ใน ลายพน้ื ท่ี ลายภมู ภิ าคจะเขา้ กู่ ารเปน็ งั คมผู้ งู ยั อยา่ ง มบรู ณ์
โดยเฉพาะภาคเ นือ กลาง และตะ นั ตก ท�าใ ก้ ารเตรียมค ามพร้อมและค ามเข้าใจเก่ยี กับ ัฒนธรรม
และ งั คมของผู้ งู อายุ มคี าม า� คญั อยา่ งมากในการ างแผนนโยบายที่ อดคลอ้ งเ มาะ มเกย่ี กบั ผู้ งู
อายุในอนาคต การท�าค ามเข้าใจผู้ ูงอายุจึงค รพิจารณาและท�าค ามเข้าใจบริบททาง ังคม ัฒนธรรม
และการใช้ชี ิตที่แตกต่างกันของชุมชนผู้ ูง การด�ารงชี ิตและ ิถีชี ิตของผู้ ูงอายุมีลัก ณะแตกต่างกัน
ตามบรบิ ททาง งั คม ฒั นธรรม ในบาง งั คมทม่ี ลี กั ณะของค ามเปน็ ปจั เจกชน งู ผู้ ูงอายจุ ะคอ่ นขา้ งมี
อิ ระในการใชช้ ี ติ และการจดั การชี ติ ของตั เอง งู ในขณะที่ งั คมลกั ณะแบบกลมุ่ ทรพั ยากรของผู้ งู
อายุมกั จะถูกร มกบั ทรัพยากรของคนในครอบครั และมคี ามจา� เป็น �า รับ มาชกิ คนอ่ืนใน งั คมด้ ย
ในชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีลัก ณะยึดโยงกับค ามเป็นกลุ่มและระบบเครือญาติ ูง ผู้ ูงอายุจะเป็นผู้ที่ได้
รับค ามเคารพ ซ่งึ มีค าม มั พนั ธก์ บั ลกั ณะทางอา� นาจและจดั างพ้นื ที่ การจดั างต�าแ น่งและการใ ้
อา� นาจกบั ตั ผู้ งู อายใุ นครอบครั และชมุ ชน ในขณะทบ่ี างกลมุ่ ชาตพิ นั ธก์ุ อ็ าจจะมมี มุ มองตรงกนั ขา้ มกนั
ผู้ งู อายถุ กู เชอื่ มโยงกบั ภาระทาง งั คมทตี่ อ้ งรบั ผดิ ชอบดแู ลเพมิ่ มากขน้ึ และถกู ทอดทง้ิ จาก งั คม เนอ่ื งจาก
ผู้ ูงอายุเ ล่าน้ี มี ภา ะของการเป็นคนไร้ น้าท่ีต่อครอบครั และ ังคม ท่ี ะท้อนใ ้เ ็นค าม ัมพันธ์
ระ า่ งบทบาทของผู้ งู อายใุ นทาง งั คม ทง้ั ระดบั ครอบครั และชมุ ชนที่ มั พนั ธเ์ กย่ี ขอ้ งกบั ทั นคตทิ าง
ังคมทีม่ ีตอ่ ตั ผู้ ูงอายุ (Shapiro, 2002a, 2002b; เพ็ญจันทร์ เชอรเ์ ลอร์ และมัลลกิ า มตั ติโก, 2549)
ในขณะเดีย กันภายใต้รูปแบบของการใช้ชี ิตท่ีผูกโยงกับระบบครอบครั และเครือญาติ ผู้ ูงอายุถือ ่า
เป็น ูนย์กลางของครอบครั และชุมชน มาชิกในชุมชนใ ้เคารพผู้อา ุโ ร มถึงการยอมรับนับถือใน
ภูมิปัญญา รือค ามรู้ของผู้ ูงอายุ นับได้ ่าเป็น ูนย์กลางทาง ัฒนธรรม �าคัญของชุมชนในประเท
แถบเอเชีย ท่ีชี้ใ ้เ ็นบทบาท ต�าแ น่งแ ่งที่และอ�านาจของผู้อา ุโ ในการเป็นผู้รัก า ผู้ถ่ายทอดและ
ผู้ฟน้ื ฟูอัตลัก ณ์ทาง ฒั นธรรมไมใ่ ้ ูญ ายไปจากครอบครั และชมุ ชน
แม้ ่าในปัจจุบันใน ลาย ังคม ผู้ ูงอายุมักจะถูกใ ้ค าม มายในแง่ค ามเ ่ียงต่อค ามมั่นคง
ทางเ ร ฐกจิ ค ามเ ย่ี งตอ่ ขุ ภาพและชี ติ ค ามเปน็ อยกู่ ต็ าม ( า� นกั งานปลดั กระทร งพฒั นา งั คมและ
ค ามม่ันคงของมนุ ย์, 2556) แต่ในทางตรงกันข้ามผู้ ูงอายุก็มีบทบาทในการ ร้างค ามมั่นคงทาง
ัฒนธรรม ร มท้ังมีค าม ามารถดูแลและจัดการ ุขภาพของตั เองได้ ท่ีท�าใ ้มุมมองของการ ึก า
ประเด็นผู้ ูงอายุในปัจจุบัน ถูกท้าทายและเ นอใ ้ ะท้อนมุมมองเชิงบ กของผู้ ูงอายุซ่ึงต้องใ ้
1 ดัชนีการ ูง ัย” (Aging index) ซ่งึ แ ดงถึงการเปรียบเทยี บโครง ร้างการทดแทนกันของประชากรกลมุ่ ผู้ งู
อายุ (อายุ 60 ปี ขนึ้ ไป) กบั กลุ่มประชากร ัยเด็ก (อายุตา�่ ก ่า 15 ปี ) โดยดชั นีการ ูง ัยมีคา่ ต�่าก ่า 100 แ ดง า่ จ�าน น
ประชากร ูงอายุมีน้อยก ่าจ�าน นเด็ก แต่ในทางตรงข้าม ถ้าดัชนีมีค่าเกินก ่า 100 แ ดง ่าจ�าน นประชากร ูงอายุ
มมี ากก ่าจ�าน นประชากรเดก็ ปัจจุบนั ประชากรโลกมีอายุ งู ข้นึ จงึ มกี ารใช้ดชั นกี าร งู ัยจา� แนก ังคม
282
ค าม า� คญั กับประเดน็ เรอ่ื ง ขุ ภา ะของค ามชราภาพ (Healthy Aging) การมี ขุ ภาพท่ีดีของผู้ ูงอายุ
การปรา จากโรคภัยไข้เจ็บ ร มถึงภา ะค าม ามารถในการปรับตั ทางด้านร่างกาย จิตใจและ ังคม
ภายใต้การเปล่ยี นแปลงทเี่ กดิ ขึ้นจากกระบ นการของค ามชราภาพได้อยา่ งเ มาะ ม
ค ามแตกต่าง ลาก ลายทาง ังคมและ ัฒนธรรม ่งผลใ ้คุณภาพชี ิตของกลุ่มผู้ ูงอายุใน
ประเท ไทยไมไ่ ดเ้ ปน็ ภาพเดยี กนั ทง้ั มด เนอ่ื งจากค ามแตกตา่ งในบรบิ ททาง งั คม ฒั นธรรมของแตล่ ะ
พ้ืนท่ีมีค ามเฉพาะ ในพื้นที่ภูมิภาคตะ ันตกมีค าม ลาก ลายของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ประกอบด้ ย
กะเ รี่ยง มอญ ละ ้า พม่า ลา โซง่ ลา ต้ี ลา พ น ลา ย น ลา เ ยี ง เขมร ก ย ( ่ ย) จีน และมุ ลมิ
(ชนัญ ง ์ ิภาค, 2531) ชา ไทโซ่ง รือไททรงด�า เป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่ม น่ึงที่พูดภา าตระกูลไท
นั นิ ฐาน า่ อพยพมาจากเมอื งเดยี นเบยี นฟู แค น้ บิ อบจไุ ท ซง่ึ อยทู่ างตอนเ นอื ของประเท เ ยี ดนาม
ก่อนท่ีจะผ่าน าธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลา และเข้ามา ู่ประเท ไทยใน มัยกรุงรัตนโก ินทร์
ตอนต้น เน่ืองจากการถูกก าดต้อนเข้ามาและการอพยพจากภัย งคราม ค�า ่า”ไทด�า” “ลา โซ่ง” รือ
“ไททรงดา� ” นั นิ ฐาน า่ มาจากลกั ณะของเครอ่ื งแตง่ กายทมี่ ี ดี า� กลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทดา� รอื ลา โซง่ มกี าร
ต้ังถิ่นฐานอยู่ใน ลายภูมิภาคและ ลายจัง ัดของประเท ไทย โดยเฉพาะในจัง ัดแถบภาคกลางและ
ภูมิภาคตะ ันตก ดังน้ันผู้ ูงอายุใน ังคมไทยล้ นมีค ามแตกต่างกันทางเ ร ฐกิจ ังคมและ ัฒนธรรม
ผู้ งู อายเุ ลา่ นม้ี ตี น้ ทนุ ชี ติ ทแี่ ตกตา่ งกนั ร มทงั้ มปี ญั าและการจดั การกบั ปญั าการใชช้ ี ติ และ ขุ ภาพ
ทแ่ี ตกตา่ งกนั ร มถงึ บรบิ ท ภาพแ ดลอ้ มในการใชช้ ี ติ กแ็ ตกตา่ งกนั ด้ ย การทา� ค ามเขา้ ใจผู้ งู อายแุ บบ
เ มาร ม รอื มองเพยี งมติ ใิ ดมติ ิ นง่ึ เพยี งดา้ นเดยี อาจจะไมท่ า� ใ เ้ ราเขา้ ใจค ามซบั ซอ้ นและค าม ลาก
ลายของผู้ งู อายใุ น ังคมไทยได้
ค าม นใจของผเู้ ขยี นบทค ามชน้ิ น้ี จงึ ใ ค้ าม า� คญั กบั ลกั ณะของผู้ งู อายทุ ด่ี า� รงอยใู่ นชมุ ชน
ทางชาตพิ นั ธท์ุ เี่ ฉพาะและมี ฒั นธรรมประเพณที น่ี า่ นใจ ทา่ มกลาง าทกรรมเกย่ี กบั ผู้ งู อายใุ นประเท
ะทอ้ นใ เ้ น็ การประกอบ รา้ งทาง งั คมเพยี งมติ ใิ ดมติ ิ นง่ึ เพยี งดา้ นเดยี ภายใตแ้ น คดิ ของค ามเปน็
ชายขอบ ค ามอ่อนแอและการไม่ ามารถ ร้างผลผลิตทางเ ร ฐกิจและ ังคมได้ ่งผลต่อการท�า
ค ามเขา้ ใจ ถิ ชี ี ติ ค าม มายและการปฏบิ ตั ติ ั ของผู้ งู อายใุ น งั คมไทยทมี่ คี ามแตกตา่ งกนั อยา่ ง ลาก ลาย
ดังนั้น ัตถุประ งค์ของบทค ามน้ีจึงมุ่งเน้นการท�าค ามเข้าใจชี ิตของผู้ ูงอายุกลุ่มชาติพันธุ์ไทด�า2*
ที่ มั พันธก์ ับการใ ค้ าม มายและการปฏบิ ัตติ ่อค ามชราภาพทเี่ ชื่อมโยงกับค ามเป็นชาติพนั ธ์ุ มิติทาง
ัฒนธรรม ประเพณี พธิ กี รรมและ ค ามเช่อื ท่ีเปน็ ูนย์กลางของชมุ ชนทางชาติพันธท์ุ ี่เกีย่ กบั เร่ืองชี ิต
2 ในบทค ามน้ีใช้ค�า องค�าน้ี ตามการใ ้ข้อมูลของผู้ใ ้ข้อมูล �าคัญ ท่ีบางครั้งเรียกตั เอง ่า ไทด�า ลา โซ่ง
ลา รอื า่ โซง่ บา้ ง ่ นคา� ่าไททรงด�าจากการ มั ภา ณไ์ มค่ อ่ ยมีการใช้จากผใู้ ข้ อ้ มลู นั นิ ฐาน ่าค�าทัง้ องคา� เชอ่ื มโยง
โลกทั น์และการรับรู้ของผู้ใ ้ข้อมูล �าคัญ เช่นค�า ่า ลา โซ่ง มีที่มาจากค�าที่พ กเขาถูกเรียกตามคนลา ล งพระบาง
ทถ่ี กู ก าดตอ้ นเขา้ มาใน ยาม เพอื่ แยกแยะค ามแตกตา่ งจากคนลา กลมุ่ อนื่ ๆ (ณรงค์ อาจ มติ ,ิ 2555: 58) ในขณะเดยี กนั
พ กเขาใช้ค�า ่า โซ่ง แทนตั เองเพราะคนท่ีน่ี ่ นใ ญ่อพยพมาจากเพชรบุรี ่ นค�า ่า ไทด�า ยึดโยงกับอัตลัก ณ์ของ
การแตง่ กายด้ ยเ อื้ ดี า� และรากเ งา้ จากก า๊ มโตเ๊ มอื ง ่ นไททรงดา� ถอื เปน็ ง่ิ รา้ งทางการเมอื งถกู เรยี กอยา่ งเปน็ ทางการ
ผา่ นงาน ิจัยและเอก ารต่างๆของ น่ ยงานภาครฐั และมูลนิธิตา่ งๆ ผู้เขยี นจึงเลือกใชค้ า� ่า ไทด�า รอื ลา โซง่ ลบั กันไป
ในบทค ามนี้
283
นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ค ามตาย ค ามเชอื่ เรอื่ งผแี ละข ญั ทจี่ ะนา� ไป คู่ ามเขา้ ใจมติ ทิ ี่ ลาก ลายของค ามชราภาพ โดยเฉพาะ
กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ไุ ทด�าในพน้ื ท่จี ัง ัดนครปฐมท่กี า� ลังอยใู่ นช่ งของการเปลี่ยนแปลงไป ูค่ ามเปน็ เมืองและ
ค ามทนั มัย
2. แนวคิด ทฤษฎแี ละวรรณกรรมท่เี กย่ี วขอ้ ง
ใน ่ นนี้จะเป็นการทบท น รรณกรรมเกย่ี กับการ ึก ากลมุ่ ชาตพิ ันธไ์ุ ทดา� ในทาง ฒั นธรรม
และการเปล่ียนแปลง เพื่อมองใ ้เ ็นช่อง ่างของงาน ึก าท่ีผ่านมาและเชื่อมโยงกับแน คิดเรื่องค าม
ชราภาพ ที่เป็นกรอบคิดในการ ิเคราะ ์และท�าค ามเข้าใจปรากฏการณ์ดังกล่า ในฐานะท่ีมองผู้ ูงอายุ
ในฐานะของทนุ มนุ ยท์ ม่ี คี าม า� คญั ในการธา� รงรกั า ฟน้ื ฟแู ละ ง่ เ รมิ อตั ลกั ณท์ าง ฒั นธรรมทา่ มกลาง
การเปลยี่ นแปลง
2.1 วรรณกรรมเกี่ยวกับอัตลักษณ์และกำรธ�ำรงอัตลักษณ์ของชำวไทด�ำท่ำมกลำงกำร
เปลีย่ นแปลง
มุ ติ ร ปติ พิ ัฒน์ และเ มอชัย พลู ุ รรณ (2540) อธบิ ายถึงประ ตั ิของกลมุ่ ชาตพิ นั ธไ์ุ ทด�า รอื
ลา โซ่งท่ีเข้ามาตั้งถ่ินฐานร่ มกับคนไทยในพื้นที่ภาคกลาง และได้มีการปะทะ ัง รรค์แลกเปล่ียนทาง
ฒั นธรรมระ า่ งกนั ทา� ใ แ้ บบแผนการดา� เนนิ ชี ติ ของชา ไทดา� มคี ามคลา้ ยคลงึ และผ มผ านกบั คน
ภาคกลางเปน็ ่ นมาก ในขณะเดยี กนั บางกลมุ่ กย็ งั คงรกั าเอกลกั ณท์ าง ฒั นธรรมของตั เองเอาไ ไ้ ด้
อย่างเ นีย แนน่ ท่ีทา� ใ ้ ามารถจา� แนกแยกแยะออกจาก ฒั นธรรมกล่มุ อนื่ ๆ ได้ง่าย ถงึ แม้ ่าคนไทดา�
จะมปี ระ ตั ิ า ตรข์ องการอพยพโยกยา้ ยถนิ่ ฐาน ลายช่ ง แต่ า� นกึ ทางชาตพิ นั ธข์ุ องค ามเปน็ ชาตพิ นั ธ์ุ
ถกู เชอ่ื มโยงด้ ยประเพณี ฒั นธรรมและค ามเชอ่ื ที่ บื รากเ งา้ จาก ฒั นธรรมดงั้ เดมิ กลบั มคี ามเขม้ ขน้
มากขึ้น ( ุมิตร ปิตพิ ฒั น์ และเ มอชัย พูล ุ รรณ, 2540)
การ ึก าของน�าพ ัลย์ กิจรัก ์กุล (2537) พบ ่ารูปแบบการกระจายของ มู่บ้านไทด�า รือ
ลา โซ่งในจัง ัดนครปฐมจะมีลัก ณะการต้ังถ่ินฐานแบบร มกลุ่ม ประชากร ่ นใ ญ่ประกอบอาชีพ
ทา� นา ลกั ณะทางโครง รา้ งทาง งั คมไทดา� แบง่ เปน็ 2 ชนชน้ั คอื ผผี ทู้ า้ กบั ผผี นู้ อ้ ย พธิ กี รรม า� คญั ของ
ไทดา� คอื พธิ กี รรมเ นเรอื น พิธแี ตง่ งาน และพธิ ี พ โดยท้งั 3 พิธกี รรม ะทอ้ นใ ้เ น็ การจัดระเบยี บ
ังคมในระดับครอบครั โดยใช้เครือญาติเป็นเกณฑ์ โดยมีค ามคิดเร่ืองผีเดีย กันเป็น ัญลัก ณ์ร่ มกัน
และจดั ล�าดบั ค าม ัมพนั ธข์ องเครอื ญาติแบบฝ่ายเดีย โดยเน้นการ ืบเชอื้ าย รอื นับญาตฝิ ่ายพ่อเปน็
ลัก บทบาทของผชู้ ายจะมีมากก า่ ผู้ ญงิ โดยผู้ ญงิ แตง่ งานไปแล้ จะเขา้ ไปนบั ถอื ผพี อ่ แมข่ องฝา่ ย ามี
ค ามเปน็ ชมุ ชนของไทดา� ไมไ่ ดย้ ดึ โยงกบั ดนิ แดน แต่ มั พนั ธก์ บั ระบบเครอื ญาตผิ า่ นการ บื ายโล ติ และ
โดยเฉพาะในพธิ กี รรมไ ผ้ บี รรพบรุ ุ เปน็ พธิ กี รรมของไทดา� ทรี่ กั าขนบธรรมเนยี มประเพณี การกตญั ญู
กตเ ทีต่อพ่อแม่บรรพบุรุ และ ร้างค าม ามัคคีเป็นปึกแผ่นใ ้กับ มู่คณะ (มยุรี ัดแก้ , 2521;
า นา อรุณกิจ, 2529; มนู งิ เ์ รอื ง, 2550) ในปจั จบุ ันการนบั ถอื ผี รอื ค ามเช่อื เร่อื งผขี องชา ไทดา�
ะทอ้ นลกั ณะเดน่ ทาง ฒั นธรรม และค ามแตกตา่ งจากกลมุ่ ชาตพิ นั ธอ์ุ นื่ โดยเฉพาะ นา้ ทค่ี ามรบั ผดิ ชอบ
ในปจั จยั พนื้ ฐานของ งั คม ผา่ นการเลยี้ งผที ง้ั เ นเรอื นและการปาดตง ที่ มาชกิ ในครอบครั จะตอ้ งเตรยี ม
284
การและปฏบิ ตั อิ ยา่ ง มา่� เ มอ แม้ า่ พธิ เี นเรอื นมี นา้ ทท่ี าง งั คมทยี่ ดึ โยงกบั ค ามเชอ่ื ทพี่ ิ จู นไ์ มไ่ ด้ และ
แม้ไม่ได้เ ริม ร้างพลังทางเ ร ฐกิจแต่ก็น�าไป ู่พลังและค ามเข้มแข็งทาง ังคมที่เป็นพื้นฐานไป ู่
ค ามเคารพ ค าม รัทรา ค ามกตัญญูกตเ ทีและค ามเอ้ือเฟื้อเผื่อแผ่ ค ามซ่ือ ัตย์ การใ ้เกียรติ
การอยู่ร มกันและการเป็นปกึ แผน่ ทาง ังคม (เรณู เ มอื นจันทร์เชย, 2542, 2558)
ค ามเชอื่ ในประเพณี ฒั นธรรมของชา ไทดา� มลี กั ณะพเิ ท่ี ะทอ้ นใ เ้ น็ า่ ไทดา� เปน็ กลมุ่
ชาติพันธุ์ท่ี ามารถ ืบทอดและรัก า ัฒนธรรมท่ี �าคัญของเผ่าพันธุ์เอาไ ้ได้ ร มท้ังมีค าม ามารถใน
การพฒั นาและปรบั ตั ใ เ้ ขา้ กบั การเปลยี่ นแปลงและ งั คม มยั ใ มไ่ ดอ้ ยา่ งร ดเร็ ในขณะเดยี กนั แม้ า่
จะมีการตดิ ต่อกับชมุ ชนอื่น แต่ชา ไทดา� ยงั คงยดึ ค ามเชอ่ื ประเพณีและพธิ ีกรรมของตั เอง เพราะเปน็
่ิง นับ นุนการพัฒนาคุณภาพชี ิตของชา ไทด�าท่ีต้องอนุรัก ์ ืบ านใ ้คงอยู่ต่อไป และเป็น
ทนุ ฒั นธรรม า� คญั (เรณู เ มอื นจนั ทรเ์ ชย, 2541) แม้ า่ อตั ลกั ณแ์ ละการธา� รงอตั ลกั ณท์ างชาตพิ นั ธ์ุ
ของชา ไทด�าท่ามกลางการเปล่ยี นแปลงจะใช้ ัฒนธรรมเป็นทนุ รือเคร่ืองมือในการด�ารงอยู่ ากแต่ า่
การด�ารงอยู่ดังกล่า มีการเปล่ียนแปลงและมีการผ มผ านทาง ัฒนธรรมใ ม่ในปัจจุบันด้ ย (นุกูล
ชมภนู ชิ , 2530)
ดังนั้นจากการร บร มงาน กึ าชาตพิ ันธไุ์ ทด�า ท�าใ ้เ ็นลกั ณะเดน่ ของการ กึ าชาติพันธ์ุ
ไทดา� ในแงล่ กั ณะเดน่ และค ามเขม้ แขง็ ของอตั ลกั ณท์ างชาตพิ นั ธข์ุ องกลมุ่ ไทดา� ะทอ้ นผา่ นประเพณี
ฒั นธรรมและค ามเชอื่ โดยเฉพาะองคค์ ามรใู้ นเรอ่ื งพธิ กี รรมของคนไทดา� การเ นเรอื น พธิ กี รรมเกย่ี กบั
ข ัญและค ามตายการธ�ารงบทบาทของผู้ประกอบพิธีกรรม ที่เปรียบเ มือนกับทุนทาง ัฒนธรรม
ในการปรับตั และด�ารงอยู่ ร มท้ังการ ึก าประเด็นเรื่องของพิธีกรรมเ นเรือนและค ามเชื่อเรื่องผี
พิธีกรรมเกี่ย กับค ามตายของชา ไทด�ายังคงได้รับค าม นใจ กึ าจนถงึ ปจั จบุ นั อยา่ งไรกต็ ามประเดน็
ในการ ึก ากลุ่มชาติพันธุ์ไทด�ายังขาดและค รเน้นใ ้ค าม �าคัญมากขึ้นคือมิติท่ีเรียก ่า ทุนมนุ ย์
ใน ถานะของผู้ ูงอายุซ่ึงเป็นผู้เชี่ย ชาญในการประกอบพิธีกรรม มีประ บการณ์และได้รับการยอมรับ
จากคนในชุมชน ภายใต้ มมติฐานที่มอง ่า ผู้ ูงอายุไทด�าคือร่องรอยและรากเ ง้า ท่ี ะท้อนใ ้เ ็น
ชดุ ค ามร้แู ละประ บการณท์ าง ฒั นธรรมทต่ี อบโตต้ อ่ รองท่ามกลางการบรบิ ทเปลี่ยนแปลงไป น�าไป ู่
มุมมองเชิงบ กต่อค ามชราภาพมากก ่ามุมมองเชิงลบต่อผู้ ูงอายุ ร มท้ังภา ะของการเป็นผู้ ูงอายุที่
ประ บค าม า� เรจ็ ในชี ติ การอย่อู ยา่ งมี กั ด์ิ รแี ละค ามภาคภมู ใิ จในตนเอง
2.2 แนวควำมคดิ เกีย่ วกบั เรอื่ งของควำมชรำภำพ (Aging)
ภายใต้การปะทะกันของนิยามเก่าและนิยามใ ม่ของค�า ่า ค ามชราภาพ (Aging) ในแ ด ง
ิชาการ โดยนิยามดง้ั เดิมของค ามชราภาพเรมิ่ ต้นมาจากงาน ึก าของ Michael Rose (1991) ไดใ้ ค้ �า
จ�ากัดค ามของค�า ่า ค ามชราภาพ (Aging) คือการเ ่ือมลงและการ ูญเ ียภายใต้ภา ะของการ
เปล่ียนแปลงและการเพิ่มขึ้นของอายุ (Flatt, 2012) อิทธิพลของนักชี ิทยา ิ ัฒนาการท่ีนิยาม
ค ามชราภาพคอื ร่างกายที่แก่เฒา่ และเปน็ ่งิ ทถี่ กู ประกอบ ร้างเช่นเดีย กบั การเปน็ ปัญ าทาง ังคมที่
ามารถแก้ไขได้ด้ ย ิธีการจัดการเชิงชี การแพทย์ (Talarsky, 1998) ภายใต้มุมมองทางการแพทย์ได้
รา้ งรูปแบบทางการแพทยเ์ กยี่ กับค ามชราภาพ ผา่ นการท�าใ ค้ ามชราภาพเปน็ เรือ่ งของพยาธิ ทิ ยา
285
นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
รอื โรคทนี่ า� ไป กู่ ระบ นการทา� ใ เ้ ปน็ ตอ้ งการทางการแพทยแ์ ละการดแู ลรกั าทางการแพทย์ อตั ลกั ณ์
ของค ามชราภาพเปน็ ง่ิ ทถ่ี กู ทา� ใ แ้ บง่ แยกและทา� ใ ม้ ลี กั ณะเฉพาะ ร มทง้ั การทา� ใ เ้ ปน็ กลมุ่ ทมี่ คี าม
ต้องการการดูแลท่ีเฉพาะเป็นกรณีพิเ (Cohen, 1992) ร มท้ังการท�าใ ้ร่างของค ามชราภาพกลาย
เป็นค ามนา่ เกลียดค ามไม่ มบรู ณข์ องรา่ งกาย และการไร้คุณค่าทาง งั คม (Young, 1990)
Featherstone and Hepworth (1991) อธิบายผ่านแน คิดเร่ือง น้ากากของค าม ูง ัย
(The Mask of Ageing) ในลกั ณะของค ามชราภาพท่ี ร้างค ามตงึ เครียดทเี่ พิม่ มากขน้ึ ระ ่างภาพ
ลกั ณท์ ป่ี รากฏภายนอกกบั อตั ลกั ณภ์ ายใน (internal identity) ค ามขดั แยง้ และไม่ลงรอยในระ า่ ง
รา่ งกายกบั ค ามคดิ ค ามรู้ กึ เกย่ี กบั ตั เองในการยนื ยนั ถงึ ค ามออ่ นเยา แ์ ละค ามแขง็ แรง รอื ค ามชรา
และค ามออ่ นแอ ทา� ใ ้ตั ตนของผู้ ูงอายกุ ลายเปน็ นกั โท รือผู้ตอ้ งขงั ท่ีถูกจองจ�าภายใต้รา่ งกายแ ่ง
ค ามชราภาพ (Twigg, 2007) การพยายามแ ดงใ ้เ ็นอัตลกั ณท์ ่อี ยูเ่ บือ้ ง ลัง น้ากากทาง ัฒนธรรม
การถูกก�า นดอย่างแข็งทื่อและไม่ยืด ยุ่น ค ามคับแคบของการใ ้ค าม มายเกี่ย กับร่างกายของ
ผู้ งู อายทุ ่เี กดิ ข้ึนใน ังคม จากพ้นื ฐานแน คิดทางการแพทย์ มัยใ ม่ การอธบิ ายค ามเจบ็ ป่ ยและเรื่อง
เล่าเก่ยี กบั ค ามเ ่อื มถอย (narrative of decline) ไดเ้ ข้ามาแทนทีเ่ รอ่ื งเล่ารูปแบบอืน่ ๆ ท้ัง มดของ
การใ ้ค าม มายและการตีค ามเกี่ย กับร่างกายของผู้ ูงอายุจึงเป็น ิ่งท่ีผู้เขียนต้องการจะ ิพาก ์ต่อ
แน คิดดงั กลา่
Rowe and Kahn (1997) ชี้ใ ้เ ็นมุมมองใ ม่และทั นะใ ม่เก่ีย กับผู้ ูงอายุในเชิงบ ก
ในประเด็นของค ามเป็นผู้ ูงอายุที่ประ บค าม �าเร็จ (successful aging) การผจญภัยใ ม่ ๆ และ
การแ ง าโอกา ของการเรียนรู้ใ ม่ ๆ ในช่ งชี ิตท่ีเ ลืออยู่ของผู้ ูงอายุ อดคล้องกับแน คิดของ
McLeish (1976) กล่า ่าค ามตายเท่าน้ันที่จะเป็นการ ิ้น ุดการเดินทางของปัจเจกบุคคล ตราบใดท่ี
บุคคลยังมีชี ิตอยู่ก็ยังคงต้องออกเดินทาง เพ่ือแ ง าและ ร้าง รรค์ ิ่งต่าง ๆ ในช่ งชี ิตท่ีเ ลืออยู่
ไดใ้ ก้ รอบค ามคดิ �าคญั �า รับการท�าค ามเข้าใจ กั ยภาพ และค าม ามารถในการใช้เ ลา า่ งในช่ ง
อายุท่ีเพม่ิ มากขึ้น รอื การเข้า ู่ ัยชราภาพ ภา ะของช่ งเ ลา า่ งท่ี ามารถใ ้พืน้ ท่ี �า รับการพัฒนาตั
เองของผู้ ูงอายุ การค้น าโอกา �า รับการเติบโตต่อไปอย่างไม่ ้ิน ุด เ ลา ่างจึงเป็นช่ งเ ลาที่ผู้ ูง
อายปุ ลดปลอ่ ยตั เองจากบทบาท การทา� งานและครอบครั ทค่ี อ่ นขา้ งเขม้ ง ด และมขี อ้ จา� กดั รอื ขอบเขต
�า รับโอกา ท่ีจะเข้าไป ู่โลกใ ม่ และประ บการณ์ท่ี ั่ง มมา ลายปีได้ใ ้ ักยภาพที่มากมาย �า รับ
ิถที างของนักเดินทางผู้ งู ยั (Ulyssean Journeys) ได้ รา้ งค ามเปน็ คนรอบรู้ รือคนที่ ามารถปรับ
ตั กับภา ะค ามทัน มัย ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทาง ังคม ัฒนธรรมในปัจจุบัน ประเด็นดังกล่า
จงึ เปน็ ประเดน็ ทผี่ ู้ กึ าใ ค้ าม า� คญั และตอ้ งการใชข้ อ้ มลู ภาค นามในการอธบิ ายภาพผู้ งู อายใุ น งั คม
ตะ นั ออกทกี่ ารเดนิ ทางของชี ติ ไมไ่ ด้ น้ิ ดุ ไปพรอ้ มกบั ค ามตายแตเ่ ปน็ การเดนิ ทางใ มแ่ ละการเปลย่ี น
ผ่าน ถานภาพเพ่ือ ร้างจุดยึดเ น่ีย ทาง ังคม ัฒนธรรม เพื่อใ ้ ่ิงเ ล่านี้ด�ารงอยู่ท่ามกลางการ
เปลีย่ นแปลง
286
3. ระเบยี บวิธีในกำรศึกษำและพน้ื ที่ศกึ ษำ
ผเู้ ขยี นใชก้ าร กึ าเชงิ ชาตพิ นั ธ์ุ รรณนา ผา่ นการ มั ภา ณเ์ ชงิ ลกึ โดยมเี คา้ โครงคา� ถามแบบกงึ่
โครง ร้าง(Semi Structured interview) ซ่ึงเป็นการ ัมภา ณ์ที่มีลัก ณะ างแผนและปรับได้อย่าง
ยดื ยนุ่ ไดต้ ลอดเ ลา โดยการ มั ภา ณผ์ ู้ งู อายใุ น 2 ชมุ ชน ธิ กี าร มั ภา ณเ์ ชงิ ลกึ ผา่ นเรอ่ื งเลา่ จะดา� เนนิ
การอยา่ งตอ่ เนอื่ งจนก า่ ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ะมคี ามอมิ่ ตั และมคี ามถกู ตอ้ งนา่ เชอ่ื ถอื ของขอ้ มลู โดยดจู ากการ
เปรยี บเทยี บขอ้ มูลท่ีไดร้ ับจากผู้ใ ข้ ้อมลู ต่าง ๆ ่ามคี าม อดคลอ้ งไปในทิ ทางเดยี กนั รอื ไมท่ ่เี รียก ่า
ิธีการแบบ Triangulation Method ที่ประกอบด้ ยค าม ัมพันธ์ระ ่าง ข้อมูล ตั ผู้ จิ ัย และตั ผูใ้ ้
ข้อมูล เพ่ือน�าไป ู่การตร จ อบยืนยันค ามถูกต้องของข้อมูล ก่อนท่ีจะน�ามา ิเคราะ ์และอภิปรายผล
การ กึ า
ค ามน่า นใจของพื้นที่ ึก า เชื่อมโยงกับประ ัติ า ตร์การต้ังถ่ินฐานของชา ไทด�าในพ้ืนท่ี
จงั ัดนครปฐม ในช่ งปพี . . 2381 มัยรชั กาลท่ี 3 แ ่งกรุงรตั นโก ินทร์ ได้โปรดเกลา้ ฯใ ้ตเี มืองลา
และได้ก าดต้อนไทด�า รือลา โซ่งใ ้ไปพักอา ัยอยู่ท่ีต�าบลท่าแร้ง อ�าเภอบ้านแ ลม จัง ัดเพชรบุรี
ไทด�ากล่มุ น้ี ต่อมากย็ า้ ยมาอยใู่ นเขตอา� เภอเขายอ้ ย จงั ดั เพชรบรุ ี เพราะเปน็ ท่ดี อนน�้าท่ มไม่ถึง และมี
ปา่ ไม้ที่อุดม มบรู ณ์ท่ี ามารถน�ามาปลูก ร้างบา้ นเรือนได้ จากน้นั กม็ ีการอพยพโยกย้ายอีก ลายระลอก
ท�าใ ช้ า ไทดา� กระจัดกระจายไปอยใู่ นจัง ัดอ่นื ๆ ใกล้เคยี งกับจงั ดั เพชรบรุ ี เชน่ ราชบุรี นครปฐม
ุพรรณบรุ ี ุโขทยั พิจติ ร พิ ณโุ ลก กาญจนบรุ ี ลพบรุ ี ระบรุ ี ชมุ พร และ ุรา ฏร์ธานี (เรไร บื ขุ และ
คณะ, 2523; มทรง บรุ ุ รตั น์, 2524; นกุ ลู ชมพูนิช, 2530)
ประ ตั ิของ มู่บา้ น ั ถนน ต�าบลดอนพทุ รา อ�าเภอดอนตูม จัง ัดนครปฐม จากค�าบอกเลา่
ของผ้อู า ุโ ในชุมชนบอก า่ เดมิ ทคี นทอี่ ย่กู ลุ่มแรกในชมุ ชนบ้าน ั ถนนเปน็ คนไทยเข้ามาอา ัยอยกู่ ่อน
ผู้คนในบริเ ณลุ่มน�้านครชัย รีเรียกคนดอนพุทราเรียก ่า “คนบ้านป่าบ้านดอน” ต่อมาคนไทด�าอพยพ
เขา้ มาจากเขายอ้ ย จงั ดั เพชรบรุ ี เขา้ มาตงั้ รกรากอยบู่ รเิ ณบา้ น ั ถนน โดยการเขา้ มาจบั จองทด่ี นิ แบบ
กั รา้ งถางพง ใครมกี า� ลงั จบั จองไดม้ ากกไ็ ดท้ ด่ี นิ มาก ในช่ งเ ลานน้ั กเ็ รมิ่ มชี า จนี เขา้ มาอพยพมาอยบู่ รเิ ณ
บ้าน ั ถนน ได้ ร้าง าลเจ้าโรงเจช่ือ าลเจ้าตาแป๊ะกง และมีการ ร้างโรงเรียนบ้าน ั ถนนในช่ งปี
พ. . 2514 อยู่ด้านข้างของโรงเจตอ่ มากย็ ้ายไปตงั้ อยใู่ นพื้นทีต่ รงกันขา้ มกบั ัด ั ถนนในปจั จบุ นั
ม่บู า้ นเกาะแรต ตา� บลบางปลา อา� เภอบางเลน จงั ัดนครปฐม ช่ือ ม่บู า้ นมคี ามเกยี่ ข้อง
กบั ลกั ณะทางภมู ิ า ตรข์ องพน้ื ทท่ี มี่ แี มน่ า�้ ไ ลผา่ นรอบ มบู่ า้ น ทา� ใ พ้ นื้ ทตี่ ง้ั มบู่ า้ นมลี กั ณะเปน็ เกาะ
โดย ั น้า มู่บ้านของไทด�าคนแรกคือ นายทรัพย์ที่ย้ายมาจากบ้าน นองปรงเพชรบุรี อ�าเภอเขาย้อย
จงั ัดเพชรบุรี (นกุ ูล ชมพนู ิช, 2530 ) ต่อมาในช่ งรชั กาลที่ 6 จงึ ได้โปรดเกล้าใ ้มีนาม กุลขึ้น แต่เพื่อ
เป็นการระลึกถึงถ่ินฐานด้ังเดิมของผู้คนที่อยู่ใน มู่บ้านแ ่งน้ีจึงมักใช้ค�า ่า “เพชร” น�า น้านาม กุล
เพ่ือแ ดงใ ้เ ็น ่ามาจากเมืองเพชรบุรี เดิมทีพ้ืนที่บ้านเกาะแรตมีลัก ณะเป็นป่า มีคลองบางปลาใ ญ่
ไ ลผา่ นและลงไปออกทางแมน่ า้� ทา่ จนี โดยชา ไทดา� รอื ลา โซง่ รนุ่ แรกจะตง้ั ถน่ิ ฐานบา้ นเรอื นอยบู่ รเิ ณ
ริมคลองบางปลาฝัง่ ตะ นั ออก
287
นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
มบู่ า้ นไทดา� ทง้ั 2 แ ง่ เปน็ นง่ึ ในชมุ ชนไทดา� ทต่ี งั้ รกรากกระจดั กระจายอยใู่ นพนื้ ทอ่ี า� เภอตา่ ง ๆ
ของจัง ดั นครปฐมซึง่ มีอยู่ 4 อ�าเภอ ประกอบด้ ย อ�าเภอดอนตูม อา� เภอบางเลน อ�าเภอก�าแพงแ น
และอ�าเภอดอนพุทรา ท่ีมีกลุ่มคนไทด�าอา ัยอยู่ และผู้ ึก าเลือกมาเป็นกลุ่มตั อย่างของการ ึก า
เนอ่ื งจากทง้ั อง มูบ่ า้ นมีค ามเกีย่ โยงกนั ทางประเพณี ฒั นธรรมและระบบเครอื ญาตกิ นั
4. ข้อคน้ พบ
ใน ่ นน้ีจะได้น�าเ นอถึงบรบิ ทของชมุ ชนไทด�า โครง รา้ งทาง งั คม ฒั นธรรมของชมุ ชนไทด�า
บา้ นเกาะแรตและบ้าน ั ถนน อา� เภอบางเลนและอา� เภอดอนตูม จงั ดั นครปฐม โดยเฉพาะค ามเชอ่ื
เร่ืองข ัญและผี ค าม �าคัญของประเพณีพิธีกรรมท่ีเกี่ย ข้องกับชี ิตและค ามตายที่มีบรรพบุรุ เป็น
ูนย์กลาง ร มท้ังการท�าค ามเข้าใจค าม มายต่อค ามชราภาพที่เชื่อมโยงกับมิติต่าง ๆ เพ่ือใ ้เข้าใจ
ผู้ ูงอายุไทดา� ในบรบิ ทท่ีเฉพาะ
4.1 บริบทชุมชน: งั คมและวฒั นธรรมของ มบู่ ้ำนไทดำ� ทำ่ มกลำงกำรเปล่ียนแปลง
4.1.1 โครง ร้ำงทำง งั คมและครอบครวั ของชำวไทดำ�
ภาพ ิถีชี ิตและการประกอบอาชีพของชา ไทด�า รือลา โซ่ง มีลัก ณะการประกอบอาชีพ
ท่ีคล้ายคลึงกันคือ พ้ืนฐานเป็นเก ตรกรรมมีอาชีพท�านา เน่ืองจาก ภาพพื้นดินมีค ามอุดม มบูรณ์
เ มาะ มกบั การปลกู ขา้ และพชื แม้ า่ ในปจั จบุ นั ภาพ ถิ ชี ี ติ ของชา ไทดา� กา� ลงั เปลย่ี นแปลงไปจากเดมิ
การทา� นาไมใ่ ช่ ถิ กี ารผลติ ลกั ของชมุ ชนไทดา� เ มอื นในอดตี ดงั เชน่ คา� บอกเลา่ ทผ่ี เู้ ฒา่ ผแู้ กใ่ นชมุ ชนไทดา�
บอก ่า “ มยั ก่อนไทด�ำเกง่ ท�ำนำ ชอบท�ำนำ เมือ่ ก่อนเรยี นจบแล้วไมท่ ำ� อะไร ท�ำนำดกี วำ่ เกง่ เร่อื งท�ำนำ
อยำ่ งเดยี วคนรุ่นก่อน ถึงไมค่ ่อยมีคนใ ญค่ นโต ขำ้ วปลำอำ ำร ำกินตำมท้องนำไม่ต้องซื้อ ท�ำนำตลอด
เดย๋ี วนไี้ มค่ อ่ ยทำ� นำแลว้ รบั จำ้ ง ทำ� งำนรำชกำร มด” (คา� นงึ ถน่ิ ง ม์ อ่ ม, มั ภา ณ,์ 22 ธนั าคม 2560)
ในขณะท่ีโครง ร้างของครอบครั ของ มู่บ้านไทด�า มีลัก ณะเป็นครอบครั ขยาย บ้านเรือน
ของพ่อแม่และลูกจะอยู่ร มกันในอาณาบริเ ณเดีย กันเป็นครอบครั ใ ญ่ แน โน้มในอนาคต ผู้อา ุโ
จะอยู่กันตามล�าพังมีมากขึ้น เน่ืองจากลูก ลานออกไปท�างานและเรียน นัง ือข้างนอกมากขึ้น เมื่อลูก
แตง่ งานแล้ กม็ กั จะแยกออกไปตง้ั ครอบครั ตั เองอยา่ งเปน็ อิ ระมากขนึ้ โดยอาจจะแยกออกไปอยตู่ า่ ง าก
แต่ยังอยใู่ นชุมชนเดยี กบั พ่อแม่ รือแยกออกไปอยนู่ อกชมุ ชนอ่นื ก็ได้ โดยมากลกู ผู้ ญิงมักจะแต่งออก
ไปอย่กู ับ ามี บา้ นของพอ่ แม่ ยังเป็น ูนย์กลางของครอบครั อย่างเ นยี แนน่ ่งิ ทน่ี ่า นใจในโครง ร้าง
ของ ังคมไทด�าคือ การใ ้ค าม �าคัญและการเคารพต่อผู้อา ุโ ผู้ชายที่อา ุโ มากจะเป็น ั น้า
ครอบครั มีฐานะเปน็ ผ้นู า� และมีอ�านาจ ูง ุด การ บื ตระกลู บื เช้อื ายฝ่ายพ่อ ท�าใ ้ลกู ชายและภรรยา
มกี ารนบั ถือผบี รรพบุรุ นบั ถอื ทางฝา่ ยพอ่ เพราะผชู้ ายถือ า่ เป็นผูน้ า� ของตระกลู การประกอบพิธกี รรม
ตา่ ง ๆ ล้ นอา ยั ผชู้ ายเปน็ ลกั าก ามซี ง่ึ เปน็ เจา้ บา้ น รอื พอ่ บา้ นทม่ี ฐี านะเปน็ เจา้ เ อ้ื เ ยี ชี ติ ลง ภรรยา
ของเจา้ บา้ นทเี่ ปน็ ผอู้ า โุ งู ดุ ของบา้ นจะเปน็ ผดู้ แู ลบา้ นและ มาชกิ ในบา้ นแทน และมฐี านะเปน็ นางเจา้ เ อ้ื
แต่ในพิธีกรรมต่าง ๆ กย็ งั ต้องพ่งึ พาลูกชายเปน็ ลกั ผู้ ญงิ ไทดา� เมือ่ แต่งงานกับคนไทดา� ด้ ยกนั จะย้าย
ออกจากบ้าน ลักไปอยู่กับฝ่ายชายท่ีเรียก ่า “ไปเฮือน น้า าเฮือนใ ม่” ดังน้ันบทบาท น้าที่ �าคัญ
288