The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชุมทางวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ARC Archaeology, 2021-01-04 05:07:44

หนังสือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชุมทางวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร

หนังสือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชุมทางวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร

ไม่แนช่ ัด า่ การท่ี ลิ ปะคุปตะ- กาฏกะกา� นดทรงผมดังกลา่ ใ เ้ จาะจงเฉพาะ “เทพชัน้ ร ง”
เพราะทรงผมน้ีเปน็ ทรงผมข งชา “ฑรา ทิ ” มาก่ น รื ไม่ ย่างไรก็ตาม ตัง้ แต่พุทธ ต รรร ที่ 12
เป็นต้นมา ทรงผมดังกล่า ได้รับค ามนิยมใน ิลปะ ินเดียใต้ มัยปัลล ะและโจ ะ โดยเร่ิมเจาะจงกับ
เทพเจ้าชั้น ูงด้ ย โดยเฉพาะ ย่างย่ิงพระ ิ ะภาคนักบ ช ัน าจแ ดงถึงการยกระดับทรงผมดังกล่า
ใ ม้ ฐี านะ งู ขนึ้ เนื่ งด้ ยประตมิ ากรในขณะนน้ั เปน็ ชา ทมิ นิ เดยี ใต้ คมั ภรี ์ ลิ ป า ตรใ์ น นิ เดยี ใต้ ลาย
เล่มได้ก�า นดใ ้เป็นทรงผมข งพระ ิ ะในภาคฤๅ ีผู้บ�าเพ็ญพรต ยู่ในป่า ท้ังภาค “โยคทัก ิณามูรติ”
(พระ ิ ะในฐานะเป็นครูฤๅ )ี (รูปที่ 9) และภาค“ภิก าฏนมรู ติ”(พระ ิ ะในฐานะข ทานเรร่ ่ น)

รปู ที่ 6 ทรงผม “ชฎาภาร” รื “ชฎามณฑล” รปู ที่ 7 รี ัตยไ บาบา แ ดงใ ้เ ็นค ามเปน็ ไปได้
ข งจกั รบรุ ุ เท าลยั เท คฤ ะ ่าท่ีมาข งทรงผมแบบชฎาภาร าจมาจาก
ทรงผมจริงข งชา ฑรา ิทใน ินเดยี ใต้

ทีม่ าภาพ : https://www.news24.com/South
Africa/Local/Stanger-Weekly/adverto
rial-the-91st-birthday-advent-of-bhaga
wan-sri-sathya-sai-baba-20161115-2

�า รบั ทรงผมทรงชฎาภารในเ เชยี าคเนย์ จากการ ึก าพบ า่ ตั ย่างท่ีโดดเด่นที่ ดุ ไดแ้ ก่
รูปบุคคลภายในกูฑุใน ิลปะท าร ดี พิพิธภัณฑ ถานแ ่งชาติ ู่ท ง (รูปท่ี 10) และกูฑุ ินขนาดใ ญ่
ท่ี ัด ิ ารธม ใกล้เมื งก�าปงจาม ิลปะเขมร มัยก่ นเมื งพระนคร (รูปที่ 11) ย่างไรก็ตามทรงผม
ดงั กลา่ กลับไมพ่ บใน ิลปะ รี ชิ ัยและ ิลปะช าภาคกลาง นั แ ดงใ เ้ น็ า่ คงไดร้ ับค ามนยิ มเฉพาะ
เ เชีย าคเนย์ภาคพ้ืนท ีป

189

นัง อื รวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เน่ืองในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

รูปท่ี 8 บคุ คลโผล่ออกมาจากกฑู ุ ประดับบนกโปตะท่ีด้าน นา้ ถา้� อชันตาท่ี 1
ลิ ปะ กาฏกะ ทา� ผมแบบชฎาภารทุกองค์

ผมทรงชฎาภาร
ผมทรงชฎาภาร
รูปท่ี 9 โยคทัก ิณามรู ติ และฤๅ ีบริ าร ทา� ทรงผมชฎาภาร ภาพ ลกั ท่เี ท าลัยไกรลา
เมอื งกาญจปี รุ มั ลิ ปะปลั ล ะ

190

ทรงผมแบบชฎาภารใน ิลปะท าร ดีและ ิลปะเขมร มัยก่ นเมื งพระนคร มีรูปแบบที่
แทบจะไมแ่ ตกตา่ งเลยเม่ื เทยี บกบั ลิ ปะ นิ เดยี กลา่ คื มลี กั ณะข งการแ กกลางและจดั ผมใ แ้ ผ่ ก
ไปดา้ นข้างทงั้ ง (เ มื น “ผลฟักท ง”) ่ นดา้ นบนไมไ่ ด้มีการเกล้าม ยผม งู ใด ๆ

ในทางประตมิ าน ทิ ยา นิ เดยี ผมชฎาภารถกู ใชใ้ น งกรณี ซงึ่ แตกตา่ งกนั ไปในแตล่ ะระยะ คื
(1) ใชก้ บั นกั บ ชท่เี ปน็ บริ าร รื บคุ คลที่ไมไ่ ดเ้ จาะจงใน มยั คุปตะ- กาฏกะ (2) ใช้เจาะจงกับพระ ิ ะ
เฉพาะภาคโยคทกั ิณามรู ติกบั ภิก าฏนมรู ติ ซ่งึ เป็นกฎเกณฑ์ประจ�า า� รบั ลิ ปะปลั ล ะและโจ ะ

ในกรณีข ง ิลปะท าร ดีและ ิลปะข มก่ นเมื งพระนคร บุคคลผู้มีทรงผมชฎาภาร
ท่ีพิพิธภัณฑ ถานแ ่งชาติ ู่ท งและที่ ัด ิ ารธม น่าจะตรงกับบุคคลที่ไม่เจาะจงแต่โผล่ กมาจาก
กฑู ุประดับ ถาปัตยกรรมใน ิลปะ กาฏกะ

จากการ จิ ยั ก่ น นา้ พบ า่ ใน ลิ ปะเ เชยี าคเนย์ ภกิ าฏนมรู ตเิ ปน็ ภาคปรากฏท่ี “ไม่ งา่ งาม”
จึงถูก “ปฏิเ ธ” และไม่ได้เข้ามามีบทบาทในเ เชีย าคเนย์เลย (เช ฐ์ ติง ัญชลี, 2558: 297-298)
ันท�าใ ้ทรงผมแบบบชฎาภาร �า รับพระ ิ ะถูกปฏิเ ธไปด้ ย ในขณะท่ี ิลปะช าภาคกลาง- รี ิชัย
พระ ิ ะในภาคฤๅ ีกลบั นยิ มแ ดงในรูปข ง “พระ คั ตยะ” (Degroot, 2013: 43) มากก ่าท่จี ะแ ดง
ประตมิ าน ทิ ยาข งพระโยคทกั ณิ ามรู ตแิ บบตรงไปตรงมา ประเดน็ นจี้ งึ ทา� ใ ช้ ฎาภารไมไ่ ดร้ บั ค ามนยิ ม
เลย �า รับพระ ิ ะภาคฤๅ ใี นเ เชยี าคเนย์เน่ื งด้ ยพระ ัค ตยะมกั ใช้ผม “ทรงชฎามกฎุ ” มากก ่า

โยคทกั ณิ ามรู ตใิ นเ เชยี าคเนยแ์ บบท่ี “ตรงไปตรงมา” กบั โยคทกั ณิ ามรู ตใิ น ลิ ปะปลั ล ะ-
โจ ะ จากการ ิจยั พบเพียงตั ย่างเดยี คื พระ ิ ะในถา�้ พระโพธิ ัต ์ (รูปท่ี 12) พระ ิ ะทน่ี ่ปี ระทบั
นงั่ ในทา่ โยคา นะและแ ดง ติ รรกมทุ รา ( รื ยาขยานมทุ รา) นั เปน็ มทุ รา งั่ นเชน่ เดยี กบั กฎเกณฑ์
ใน ิลปะ ินเดียใต้ ที่ �าคัญก็คื พระ ิ ะ งค์นี้มีทรงผมแผ่ฟูแบบ “ชฎาภาร” ันท�าใ ้ทราบได้ ่า
ผู้ กแบบประตมิ าน ทิ ยาทถ่ี า้� พระโพธิ ตั ม์ คี ามรเู้ กยี่ กบั กฎเกณฑพ์ ระโยคทกั ณิ ามรู ตใิ นประตมิ าน
ทิ ยา นิ เดียใต้เปน็ ย่างดี (เช ฐ์ ติง ญั ชล,ี 2558: 30-42)

ท้ัง มดนี้แ ดงใ ้เ ็น ่าในเ เชีย าคเนย์ ทรงผมแบบชฎาภาร ถื เป็นทรงผมเฉพาะกลุ่มท่ี
ปรากฏน้ ยมาก โดยปรากฏจ�ากดั พ้ืนที่เฉพาะในเ เชีย าคเนยภ์ าคพน้ื ท ีป น กจากนยี้ งั พบ ่านยิ มกับ
ใบ นา้ คนทโี่ ผล่ กมาจากกฑู เุ ฉพาะมากก า่ ทจี่ ะเปน็ ประตมิ ากรรมเจาะจง ่ นพระ ิ ะทท่ี รงชฎาภาร
แทบไมพ่ บเลยในเ เชยี าคเนยเ์ นื่ งด้ ยการปฏเิ ธภิก า ฎนมรู ติ และการเลื กรบั พระ ิ ะภาคฤๅ ใี น
รปู ข งพระ คั ตยะมากก า่ ด้ ยเ ตนุ พ้ี ระ ิ ะทถี่ า�้ พระโพธิ ตั ใ์ นจงั ดั ระบรุ จี งึ ถื เปน็ “ข้ ยกเ น้ เดยี ”
ท่คี น้ พบจากการ จิ ยั

191

นงั อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เนือ่ งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

รปู ที่ 10 บคุ คลผูม้ ีทรงผมชฎาภารโผลอ่ อกมาจากกูฑุ พิพธิ ภณั ฑ ถานแ ง่ ชาตอิ ทู่ อง ศิลปะทวารวดี

รปู ท่ี 11 บุคคลผูม้ ที รงผมชฎาภารโผลอ่ อกมาจากกูฑขุ นาดใ ญ่ วดั วิ ารธม ใกล้เมอื งกา� ปงจาม
ศิลปะเขมร มยั กอ่ นเมอื งพระนคร

192

รปู ท่ี 12 พระ ิ ะในถ�้าพระโพธิ ตั ์ แ ดงประติมาน ทิ ยาของพระโยคทัก ณิ ามรู ติ
แบบปัลล ะไดอ้ ยา่ งครบถ้ น ร มถึงทรงผมชฎาภาร

ปรำกฏกำรณ์ท่ี 3 : กำรเปล่ียนผ่ำน น้ำท่ีของเคร่ืองทรงจำก “ น้ำท่ี น่ึง” ไป ู่อีก “ น้ำที่ น่ึง”
กรณี กึ ำกรัณฑมกุฏใน ิลปะช ำและเขมร

การ จิ ยั ยงั พบปรากฏการณท์ ี่ า� คญั อกี ลกั ณะ นง่ึ นน่ั คอื การเปลยี่ นผา่ น นา้ ทข่ี องเครอ่ื งทรง
จาก “ นา้ ท่ี นึง่ ” ไป อู่ ีก “ น้าที่ น่ึง” ซ่ึงแ ดงถงึ การ “ตีค าม ลิ ปะอินเดียใ ม”่ ของประติมากร
เอเชียอาคเนย์ อันเป็นภาพ ะท้อนของกระบ นการ Localization ที่เกิดขึ้นในระยะน้ีแม้ ่าก่อน
พุทธ ต รร ที่ 15 ิลปะเอเชียอาคเนย์จะใกลช้ ดิ กับ ลิ ปะอินเดียเปน็ อยา่ งยิ่งกต็ าม

กรัณฑมกุฏ ถือเป็นตั อย่างการปรับเปล่ียน น้าท่ีของ ิราภรณ์ท่ีน่า นใจที่ ุดในระยะนี้
ด้ ยเ ตุนี้ บทค ามจึงขอยกตั อย่างการปรับเปลี่ยน น้าท่ีของกรัณฑมกุฏใน ิลปะช าและ ิลปะเขมร
ขึน้ มา ึก า

กรัณฑมกุฏ (Karaṇḍa Makuṭa) แปลตรงตั ่า “มกุฏทรงภาชนะคลา้ ยบาตรค ่�า” มายถงึ
มงกฎุ ทรงกร ยแ ลมทปี่ ระกอบด้ ยแผน่ กลมแบน ลาย ๆ แผน่ ซอ้ นกนั ขนึ้ ไปดา้ นบน แตล่ ะแผน่ มขี นาด
เล็กลงเร่ือย ๆ จนกระทั่งท�าใ ้เกิดมงกุฏทรงกร ยข้ึนมา อนึ่งแผ่นกลมแบนน้ีเองที่อาจเป็นท่ีมาของชื่อ
เพราะดคู ลา้ ยกบั า่ มกี ารนา� เอาภาชนะคลา้ ยบาตรค า่� ซอ้ นกนั ขนึ้ ไปเปน็ ชนั้ ๆ ในลกั ณะของแผน่ กลมแบน
(Gopinath Rao, 1997: 29-30)

193

นงั ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เนือ่ งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

กรณั ฑมกฏุ ไดร้ บั ค ามนยิ ม งู ดุ ใน ลิ ปะ นิ เดยี ใตแ้ ละลงั กา โดยใชเ้ จาะจงใ ม้ งกฏุ ประเภทน้ี
ใช้ �า รับเท ตรี เทพช้ันร งและเทพเจ้าเด็กเท่าน้ัน แตกต่างไปจากชฎามกุฏ รื กิรีฏมกุฏที่มักใช้กับ
เทพเจ้าผู้ย่ิงใ ญ่ ตั ย่างข งกรัณฑมกุฏใน ิลปะปัลล ะ โจ ะ และ นุราธปุระมีการเจาะจงทาง
ประตมิ าน ทิ ยาเชน่ นางทรุ คารทเี่ ทราปตรี ถะ เมื งมามลั ลปรุ มั (รปู ท่ี 13) พระ มุ าใน ลิ ปะโจ ะ ปจั จบุ นั
ยุ่ในพิพิธภัณฑ์เมื งเจนไน (รูปที่ 14) ท ารบาลมนุ ยนาคท่ีด้าน น้ารัตนปรา าท ิลปะ นุราธปุระ
ต นปลาย (รูปท่ี 15) เปน็ ต้น

ในเ เชีย าคเนย์ ดเู มื น ่า ลิ ปะช าภาคกลางจะเป็น ลิ ปะแรกทรี่ ับเ ากรัณฑมกฏุ มาใชจ้ น
แพร่ ลาย ด่ังเช่นภาพ ลักพระโพธิ ัต ์ที่บุโรพุทโธ (รูปที่ 16-17) ิลปะช าภาคกลางต นกลาง
รา พทุ ธ ต รรร ที่ 14 ในขณะทม่ี กฏุ แบบนก้ี ลบั ไมเ่ ปน็ ทร่ี จู้ กั กนั เลยใน ลิ ปะเขมร มยั ก่ นเมื งพระนคร
ทม่ี ี ายรุ า พุท ตต รร ที่ 12-14

จากการ ิจัยพบ ่าใน ิลปะช าภาคกลาง กรัณฑมกุฏถูกปรับเปลี่ยน ถานะใ ้ ามารถใช้กับ
เทพชั้น ูงเพ ชายได้ โดยใชก้ ับรูปพระโพธิ ัต ท์ ่ีบโุ รพุทโธ (รปู ท่ี 16) ยา่ งไรกต็ ามกรณั ฑมกุฏก็ยงั คงใช้
กบั เทพชนั้ ร งและบริ ารค บคกู่ นั ไปด้ ย ดง่ั จะเ น็ ไดจ้ ากภาพเลา่ เรื่ งเท ดาทมี่ าเฝา้ พระโพธิ ตั ท์ บี่ โุ รพทุ โธ
(รปู ท่ี 17) แม้ไมท่ ราบเ ตุผลทางประตมิ าน ิทยาข งการปรบั เปลย่ี น นา้ ทช่ี ัดเจน แต่ ่งิ ท่คี รพจิ ารณา
ก็คื การท่ีกรัณฑมกุฏเป็นมงกุฎย ดแ ลมเพียงแบบเดีย จึงท�าใ ้มีทร ดทรงท่ีงดงามเ มาะ �า รับ
การนา� ไปปรบั ใชก้ บั เทพเจา้ ชน้ั งู ได้ ประเดน็ น้ี าจเปน็ ข้ คา� นงึ ข งประตมิ ากรทบ่ี โุ รพทุ โธจนเกดิ การนา�
กรณั ฑมกุฏไปใช้กบั ทพิ ยบุคลเพ ชายผู้ ูง กั ดิด์ ้ ย

รูปท่ี 13 นางทุรคาในเทราปตรี ถะ มามัลลปรุ มั รูปที่ 14 พระ ุมาทรงกรัณฑมกุฏใน ิลปะโจ ะ
ตั ย่างการทรงกรัณฑมกุฎใน ิลปะ พพิ ิธภัณฑเ์ มื งเจนไน
ปลั ล ะต นต้น

194

รูปท่ี 15 มนุ ยนาคทรงกรัณฑมกุฏด้าน น้ารัตนปรา าท
ิลปะอนรุ าธปุระตอนปลาย

รูปที่ 16 พระโพธิ ัต ์ประทับในปรา าท ทรงกรัณฑมกุฏ บุโรพุทโธ แ ดงใ ้เ ็น ่า ิลปะช า
ภาคกลางไดป้ รบั เปลี่ยนเอากรัณฑมกฏุ าใชก้ บั เทพเจา้ ช้ัน ูงเพ ชายแล้

195

นงั อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

รูปที่ 17 บริ ารทรงกรัณฑมกุฏที่บุโรพุทโธ แ ดงใ ้เ ็น ่ากรัณฑมกุฏก็ยังใช้กับเทพเจ้า
ชัน้ รองค บคูก่ นั ใน ลิ ปะช าภาคกลาง

ใน ิลปะเขมร มัยเมืองพระนคร แม้ ่ากรัณฑมกุฏจะไม่เป็นท่ีรู้จักมาก่อนใน มัยก่อนเมือง
พระนคร แต่ใน มัยเมืองพระนครซ่ึงได้รับอิทธิพลช าอย่างมาก กลับท�าใ ้เกิดกระบ นการใ ม่คือ
การปรากฏ “ ริ าภรณย์ อดแ ลม” ขน้ึ ครงั้ แรกใน ลิ ปะเขมร ซงึ่ นกั ชิ าการระยะกอ่ น นา้ ไดใ้ ข้ อ้ งั เกต
มาก่อนแล้ ่า เม่ือเข้า ู่ ิลปะ มัยพระโค (ต้นพุทธ ต รร ท่ี 15) ได้เกิดการเปล่ียนแปลงรูปแบบของ
กริ ฏี มกฏุ “อยา่ งฉบั พลนั ” และ “ าเ ตผุ ลไมได”้ จาก ม กทรงกระบอกเรยี บตามอทิ ธพิ ลปลั ล ะตอนตน้
(รปู ท่ี 18) ไป กู่ ารคาดกระบงั นา้ และรดั ม ยผมด้ ยรดั เกลา้ รปู กร ย ( ภุ ทั รดิ ดิ กลุ , 2547: 140-142)
(รปู ท่ี 19) โดยรัดเกลา้ รูปกร ยดังกลา่ เจาะจงใชก้ บั เทพเจา้ ท่เี ดิมใช้กิรีฏมกุฏดัง่ เชน่ พระ ิ ณุเปน็ ตน้

196

รปู ท่ี 18 กิรีฏมกุฏแบบด้ังเดิมใน ลิ ปะเขมร มัยก่อนเมอื งพระนคร มลี ัก ณะเปน็ ม กทรงกระบอกเรียบ
แบบปัลล ะตอนต้น ตั อย่างจากพระ ิ ณุใน ิลปะกุเลน พิพิธภณั ฑก์ เี มต์ กรงุ ปารี

รูปท่ี 19 กิรีฏมกุฏแบบใ ม่ใน ิลปะเขมร มัยเมืองพระนคร ประกอบด้ ยกะบัง น้าและรัดเกล้า
รปู กร ยทม่ี ยี อดแ ลม จากการ จิ ยั เชอ่ื า่ เปน็ การนา� “กรณั ฑมกฏุ ” ใน ลิ ปะช ามาปรบั ปรงุ ใ ม่

197

นงั อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวิชาการ เน่อื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มักจะได้รับการอธิบาย ่าเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ได้เกิดจากผลจาก
ภายนอก อย่างไรก็ตามงาน ิจัยน้ีกลับมองเ ็น ่า มงกุฏรูปกร ยแ ลมปรากฎมาก่อนแล้ ท้ังใน ิลปะ
อินเดียใต้และใน ิลปะช าภาคกลาง ซึ่งนั่นก็คือกรัณฑมกุฏน่ันเอง ประเด็นน้ี อดรับกับการเข้ามาของ
“กะบงั นา้ ” ซง่ึ จากการ จิ ยั เชอื่ า่ ลิ ปะพระโคคงรบั อทิ ธพิ ลจากช าเชน่ กนั ดงั่ ทเี่ ปน็ ทยี่ อมรบั กนั แล้ า่
ลิ ปะอนิ โดนเี ซยี มอี ทิ ธพิ ลทเี่ ขา้ มาอยา่ งท่ มทน้ จรงิ ใน ลิ ปะเขมร มยั พระนครตอนตน้ และทา� ใ เ้ กดิ การ
เปล่ียนแปลงใ ม่ ๆ ข้ึนมาก (Briggs, 1999: 66-69; Jacques and Lafond, 2007: 103) ด้ ยเ ตุนี้
งาน ิจัยน้ีจึงมีค ามเ ็น ่ากรัณฑมกุฏจากช าจึงค รเป็นแ ล่งบันดาลใจ �าคัญใ ้กับรัดเกล้า ิลปะเขมร
มยั เมืองพระนคร

ตอ้ งไมล่ มื า่ ลิ ปะช าภาคกลาง กรณั ฑมกฏุ ไดถ้ กู “เปลย่ี นแปลง ถานะ” จากมงกฎุ ชนั้ รองมา
ูม่ งกุฎทใ่ี ช้ �า รบั เทพเจ้า รอื ทพิ ยบุคคลช้นั ูง การทก่ี รณั ฑมกุฏได้ถกู แทนค่าใ ้กลายเปน็ “กริ ีฏมกฏุ ”
ใน ิลปะเขมรจงึ เป็นเร่อื งทอ่ี ธบิ ายได้ ่า บื มาจาก ิลปะช าภาคกลาง

โดย รุปแล้ งาน จิ ัยเรอื่ ง “บทบาทของ ลิ ปะอินเดียต่อเครอื่ งแตง่ กายประตมิ ากรรมบคุ คลใน
เอเชยี อาคเนย์” ได้คน้ พบประเดน็ ท่นี ่า นใจ ลายประการเกยี่ กบั ทรงผมและ ริ าภรณใ์ นเอเชียอาคเนย์
โดยประเดน็ ทน่ี า� เ นอในบทค ามน้ี ขอยกประเดน็ ทไี่ ดร้ บั การ งั เกตนอ้ ยขนึ้ มานา� เ นอเพอ่ื เปน็ การเตมิ เตม็
“มติ ”ิ ทางดา้ นการ กึ ารปู แบบเครอ่ื งแตง่ กายประตมิ ากรรมบคุ คลกอ่ นพทุ ธ ต รร ท่ี 19 ใ ม้ แี งม่ มุ
ท่ี ลาก ลายมากขนึ้ และนา่ นใจขึ้น

บทค ามนไี้ ดย้ กตั อยา่ งปรากฏการณท์ คี่ น้ พบในงาน จิ ยั ขนึ้ มา 3 กรณี คอื 1. การแพรก่ ระจาย
ของอิทธิพลอินเดียเป็น งก ้าง ซ่ึงบทค ามน้ียกกรณี ึก าการแพร่กระจายของ “ตาบเพชรพลอย”
ทีก่ ระจายไปทั่ เอเชียอาคเนย์โดยไมจ่ า� กัด า นาและประติมาน ิทยา 2. การปรากฏขึ้นของทรงผม รือ
ริ าภรณ์ “เฉพาะกลมุ่ ” อนั แ ดงการเลอื กรบั ปรบั ใชแ้ ละการปฏเิ ธอทิ ธพิ ลอนิ เดยี ของประตมิ ากรเอเชยี
อาคเนย์ ในบทค ามนไ้ี ดย้ กตั อย่างการปรากฏขึน้ ของทรงผมแบบชฎาภารในเอเชยี อาคเนย์ 3. การปรบั
เปลี่ยน น้าท่ีของทรงผม รือ ิราภรณ์ในเอเชียอาคเนย์ ซ่ึงบทค ามนี้ได้ยกกรณี ึก าเก่ีย กับท่ีมาของ
รัดเกลา้ รูปกร ยใน ิลปะเขมร มยั เมอื งพระนคร ่าค รมที ่มี าจาก “กรณั ฑมกุฏ” ใน ิลปะช าภาคกลาง
ซงึ่ มพี ้นื ฐานมาจาก ิลปะอนิ เดียใตอ้ ีกที น่ึง

198

บรรณำนุกรม
เช ฐ์ ติง ัญชลี. (2558) “ประติมากรรมฮินดู-พุทธใน ิลปะอินเดียกับคัมภีร์ ิลป า ตร์ ภา า

ัน กฤต.”งาน ิจัยได้รับทุนอุด นุนจากกองทุน ิจัยและ ร้าง รรค์ คณะโบราณคดี
ม า ิทยาลัย ลิ ปากร.
_______. (2562) บทบำทของศิลปะอินเดยี ต่อเคร่ืองแตง่ กำยประตมิ ำกรรมบคุ คลใน เอเชียอำคเนย.์
กรงุ เทพ: มติชน.
ุภัทรดิ ดิ กุล, ม่อมเจ้า. (2547). ศิลปะขอม. กรุงเทพฯ : บริ ัท อัมรินทร์พริ้นต้ิงแอนด์พับลิชช่ิง
จ�ากัด (ม าชน) นงั อื อนุ รณ์งานพระราชทานเพลงิ พ ม่อมเจ้า ุภัทรดิ ดิ กุล.
Briggs, L.P. (1999). The Ancient Khmer Empire. Bangkok: White Lotus.
Degroot, Véronique. (2013). “Cult Statues.” in Magical Prambanan, 43-73. Edited by
Degroot, Véronique and Helly Minarti. Jakarta: BAB Publishing.
Gopinath Rao, T.A. (1997). The Element of Hindu Iconography. Volume II Part I.
New Delhi: Motilal Banarsidass.
Guillon, E. (2001). Cham Art: Treasures form the Danang Museum. Bangkok: River Book.
Harle, J.C. (1996). Gupta Sculpture: Indian Sculpture of the Fourth to the Sixth
Centuries A.D. New Delhi: Munshiram Manoharlal Publisher.
Jacques, C. and P. Lafond. (2007). The Khmer Empire: Cities and Sanctuaries from
the 5th to the 13th Century. Bangkok: River Book.
Williams, J. (1982). The Art of Gupta India: Empire and Provinces. New Delhi:
Heritage Publisher.

199

นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
200

การก�าหนดอายเุ จดยี (์ ธาต)ุ ทรงบัวแปดเหลยี่ มในศิลปะล้านชา้ ง
จากการศึกษาศลิ ปกรรมทเี่ มืองโบราณเวียงคุก
จังหวดั หนองคาย*

Dated of Octagonal bud Chedis in Lan Chang Art,
evidence from Vieng Khuk Ancient city,
Nongkhai Province.

ดร.ประภัสสร์ ชวู เิ ชยี ร**
Praphat Chuvichean

* บทความนีเ้ ปน็ ่วน นึ่งจากงานวิจัยเรอ่ื ง “ศลิ ปะลา้ นชา้ งท่ีเมอื งโบราณเวียงคกุ จงั วัด นองคาย” ซึง่ ได้รบั
การ นบั นุนจากกองทุนวิจยั และ ร้าง รรค์ คณะโบราณคดี ม าวิทยาลยั ศิลปากร พ.ศ. 2561.

** รองศา ตราจารย์ประจา� ภาควิชาประวัติศา ตร์ศลิ ปะ คณะโบราณคดี ม าวทิ ยาลัยศลิ ปากร

201

นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนือ่ งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

บทคดั ยอ่
เจดีย์ทรงบั เ ล่ียมเป็นเอกลัก ณ์ทาง ิลปกรรมของลา ล้านช้าง เร่ิมปรากฏมาตั้งแต่
พุทธ ต รร ที่ 22 มีรูปแบบทั้งในผัง ี่เ ล่ียมและในผังแปดเ ล่ียม ่ นใ ญ่เจดีย์ทรงบั แปดเ ล่ียม
ไมถ่ ูกกล่า ถงึ ทาง ิลปกรรมมากนัก เชน่ ธาตดุ �ากลางนครเ ยี งจันทน์ทีย่ ังใชฐ้ านบั ถลาตามแบบล้านนา
ในช่ งปลายพทุ ธ ต รร ท่ี 21-22 ขอ้ มลู จากการ กึ า ลิ ปกรรมในเมืองโบราณเ ยี งคกุ และใกลเ้ คียง
ซงึ่ เป็นชุมชนบริ ารของราชธานีเ ยี งจันทน์ในอดตี ไดพ้ บ ลกั ฐานทีพ่ อจะยืนยนั ได้ ่า เจดีย์ทรงบั แปด
เ ล่ียมใน ิลปะล้านช้างน่าจะเริ่ม ร้างขึ้นในต้นพุทธ ต รร ที่ 22 ไล่เลี่ยกับเจดีย์ทรงบั ี่เ ล่ียม คือ
เจดยี ป์ ระธานของ ดั ลิ าเลข ( ดั รี พุ รรณอาราม) ทพี่ บจารกึ ระบปุ ี รา้ งใน พ. . 2109 โดยรปู แบบของ
่ นฐานที่เปลี่ยนจากบั ถลามาเป็นบั เข่าพร มแบบลูกแก้ างซ้อนอยู่ใต้บั ค ่�าอันคล้ายคลึงกับ
ฐานของพระธาตุ รี องรกั จงั ดั เลย ( ร้าง พ. . 2103) และในระยะตอ่ มา รปู แบบไดเ้ ปลีย่ นแปลงไป
ใช้ฐานบั เข่าพร มแบบขา ิง ์จาก ิลปะอยุธยา เช่น เจดีย์บริ ารของ ัด รีชมภูองค์ตื้อ และ มู่เจดีย์
ลายองคท์ ถ่ี า�้ ุ รรณคู า จงั ดั นองบั ลา� ภู ในรชั กาล มเดจ็ พระไชยเช ฐาเปน็ ตน้ มา ทงั้ นใ้ี นเขตเ ยี ง
คุกยังได้พบร่องรอยของเจดีย์ทรงบั แปดเ ลี่ยมใน ภาพช�ารุดอยู่อีก ลายองค์ซ่ึงช่ ยท�าใ ้ ามารถ
เิ คราะ ไ์ ด้ า่ เปน็ ชมุ ชนทเ่ี จรญิ ขนึ้ ตง้ั แตพ่ ทุ ธ ต รร ที่ 22 เปน็ ตน้ มา ลงั จากนน้ั เจดยี ท์ รงบั แปดเ ลย่ี ม
กเ็ ปน็ ทน่ี ยิ มแพร่ ลายมากมายออกไปในชมุ ชนอน่ื ๆ ของลา้ นชา้ ง เชน่ เมอื ง ล งพระบางทางตอนเ นอื
ของลา
ค�ำส�ำคัญ : เจดยี ์ทรงบั แปดเ ลี่ยม, ลิ ปะลา , ลา้ นชา้ ง, ดั ลิ าเลข, เ ียงคุก

202

Abstract
This article aim to research on source of Octagonal Lotus Bud Shape Chedi in
Laotian-Lanchang Art. At Vieng Khuk Nongkhai Province near Vieng Chan, a capital city of
Lao, we found important ruin of Octagonal Lotus Bud Chedi together with an inscription
at Silalek Temple specify on 1566 A.D.. That show an origins of this type Chedi in Lanchang
Art in this area which related with the Rectangular Lotus Bud Shape Chedi built in the
same time of Lanchang Kingdom. Later the artistics of the base of Chedis are evolution
to the identity such as “Bua Khao Phrom Pedestal”. The Octagonal Lotus Bud Shape
Chedi,finally spread over to many Laotian Community such as Luang Prabang in northern
of Laos.

Keywords : Octagonal Lotus Bud Chedi, Laotian Art, Lanchang, Silalek Temple, Vieng Khuk.

203

นัง ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เนือ่ งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ควำม ำ� คญั ของประเด็นปญั ำ

เนอ่ื งจากการ กึ า ถาปตั ยกรรมประเภทเจดยี ์ รอื ธาตุ (ทาด ในภา าลา ) ของ ลิ ปะลา้ นชา้ ง
ยังมีเงื่อนไขอยู่มากทั้งเอก ารระบุอายุ มัย และรูปแบบที่ไม่เป็นไปตาระบบแบบแผนเ มือน ิลปกรรม
ของบ้านเมืองใกล้เคียงเช่นกรุง รีอยุธยา รือล้านนา ดังน้ันในแง่ ิ ัฒนาการท่ีจะแ ดงถึงพัฒนาการ
ดา้ นรปู แบบ ลิ ปกรรมแล้ จงึ ยงั มคี ามคลมุ เครอื เ มอมา า� รบั เจดยี ท์ รงบั เ ลย่ี มซงึ่ นบั เปน็ เอกลกั ณ์
ของ ิลปะลา นับตั้งแต่พุทธ ต รร ท่ี 22 เป็นต้นมานั้น มีผู้ ันนิ ฐานถึงท่ีมาไ ้ ลาก ลาย เช่น
อาจเกย่ี ขอ้ งกบั เจดยี เ์ ลยี่ มเพม่ิ มมุ ใน ลิ ปะอยธุ ยาทเี่ กดิ ขน้ึ ในระยะใกลเ้ คยี งกนั ( กั ดชิ์ ยั าย งิ ,์ 2555:
66) ซงึ่ ่ นใ ญม่ กั กลา่ ถงึ เจดยี ท์ รงบั ในผงั เ่ี ลย่ี ม แตข่ ณะเดยี กนั ยงั มี ลกั ฐานของเจดยี ท์ รงบั เ ลยี่ ม
(ในผังแปดเ ลี่ยม) ของ ิลปะล้านช้างปรากฏใ ้เ ็นอยู่เป็นกลุ่มก้อนกระจายตั อยู่ในอาณาเขตอิทธิพล
ัฒนธรรมล้านช้างท้ัง องฝั่งโขง ซ่ึงเจดีย์ รือธาตุเ ล่าน้ีมีรูปแบบ ิลปกรรมท่ีน่า นใจ ที่เมื่อผน กกับ
ลักฐานทางโบราณคดีและประ ัติ า ตร์อาจช่ ยก�า นดอายุเจดีย์กลุ่มน้ีใ ้แน่นอนขึ้นได้ และที่ �าคัญ
รปู แบบบางอย่างทีเ่ ก่ยี เนือ่ งกับเจดียท์ รงอนื่ ๆ ของล้านชา้ ง เช่น ่ นฐานรองรับองคเ์ จดีย์ ดังนนั้ การ
กึ า เิ คราะ เ์ กย่ี กบั รปู แบบเพอ่ื การกา� นดอายแุ ละ งั เกตค ามคลค่ี ลายดา้ น ลิ ปกรรมของเจดยี ท์ รง
บั แปดเ ลย่ี มใน ลิ ปะลา้ นชา้ ง จงึ นา่ จะเปน็ ประเดน็ า� คญั ทจ่ี ะช่ ยอธบิ ายรปู แบบ ถาปตั ยกรรมอกี ลาย
อย่างตามมาได้ด้ ยในที่นี้ การ ิจัยเกี่ย กับ ลักฐาน ิลปกรรมต่าง ๆ ที่พบในเขตเมืองโบราณเ ียงคุก
อา� เภอเมือง จัง ัด นองคาย ได้พบประเดน็ ท่ี ามารถร้อยเรยี งการก�า นดอายุเจดยี ์ทรงบั แปดเ ล่ยี ม
ขนึ้ ได้ตามอายุ มัยท่ีเกิดข้นึ และคล่ีคลายจนกระทง่ั เป็นต้นแบบในพืน้ ท่ีต่าง ๆ ตอ่ ไป

ภาพร มด้านรปู แบบของเจดีย์ทรงบั แปดเ ลยี่ มใน ิลปะล้านช้าง ่ นฐาน คอื ฐานเขียงเรยี บ
ที่ซ้อนลด ลั่นกัน 1-2 ช้ัน ต่อด้ ย ่ นล ดบั ของฐานรองรับองค์ระฆัง รือบั เ ล่ียม ซึ่งมีรูปแบบ
แตกต่างกนั ไป ทงั้ ท่เี ป็นบั ถลา (บั ค �่าซอ้ นลด ล่นั กัน) ฐานบั ลูกแก้ อกไก่ และโดยเฉพาะ “ฐานบั
เขา่ พร ม” แบบลา้ นช้าง ฐานเ ลา่ นอี้ ยูใ่ นผังแปดเ ลีย่ มนับตัง้ แต่ ่ นลา่ ง ดุ

่ นบั เ ลยี่ ม รอื องคร์ ะฆงั ถดั จากฐานรองรบั ดา้ นลา่ ง กอ่ นถงึ องคบ์ ั เ ลย่ี มมกั เปน็ ลายปนู ปน้ั
กลบี บั งายทตี่ งั้ ชนั (ในทน่ี ขี้ อเรยี ก า่ ลายกลบี บั ตงั้ ) ประดบั โดยรอบ ่ นลา่ ง ดุ จากนน้ั เปน็ ทรงบั ตมู
ในผังแปดเ ล่ยี มซงึ่ ทร ดทรงถูกกา� นดจาก ่ นฐาน า่ ผายออก รอื บีบแคบ แต่ทรงของบั เ ลย่ี มแบบ
ลา้ นชา้ งมลี กั ณะ า� คญั คอื คอดทฐี่ านลา่ งและผายออกตรงกลางเลก็ นอ้ ยกอ่ นจะเรยี เลก็ ขน้ึ ไป ู่ ่ นยอด
ซ่ึงจะท�าเป็นบัลลังก์ รือล ดบั คาดคั่นจัง ะ แล้ มียอดแ ลมเล็ก ๆ ต่อเป็น ่ นบน ุด (ภาพท่ี 1)
เ ็นได้ ่าองค์ประกอบทาง ถาปัตยกรรมเป็นไปในระเบียบเดีย กันกับธาตุเจดีย์ทรงบั ่ีเ ลี่ยม มีค าม
แตกต่างกันเพยี งแผนผังเท่านน้ั ทอ่ี ยใู่ นรูปแปดเ ลย่ี ม

204

ภำพท่ี 1 รปู แบบโดยร มของเจดียท์ รงบั แปดเ ลยี่ ม เจดยี ์ ัด ิลาเลข นองคาย

วเิ ครำะหก์ ำ� หนดอำยุเจดยี ท์ รงบวั แปดเหลย่ี ม จำกข้อมูลท่เี มืองเวียงคุก หนองคำย

ลักฐาน ่ นใ ญ่ที่ใช้ในการ ิเคราะ ์รูปแบบได้จากแ ล่ง ิลปกรรมใน ัฒนธรรมล้านช้าง
ทง้ั ในประเท ไทยและ าธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลา ซงึ่ ในอดตี เคยเปน็ พนื้ ทข่ี องอาณาจกั รลา้ น
ช้างร่ มกนั มาก่อน แ ล่ง า� คญั คือ นคร ล งเ ยี งจันทน์ เมอื งโบราณเ ียงคุกและอาณาบริเ ณใกลเ้ คยี ง
ในเขต อ�าเภอเมือง อา� เภอท่าบ่อ จงั ัด นองคาย ถ�้า ุ รรณคู า จงั ัด นองบั ล�าภู และแ ล่งอ่ืน ๆ

เจดีย์ทรงบั แปดเ ล่ียมท่ี �าคัญใน ิลปะล้านช้างคือ ธาตุด�า นครเ ียงจันทน์ (ภาพท่ี 2)
เป็นเจดีย์ที่น่าจะ ร้างข้ึนช่ ง ถาปนาเ ียงจันทน์เป็นราชธานีในต้นพุทธ ต รร ที่ 21 เนื่องจากมีท่ีต้ัง
ัมพันธ์กับผังเมืองเ ียงจันทน์โบราณ รูปแบบของธาตุด�ายังแ ดงใ ้เ ็นค ามเก่ีย ข้องกับรูปแบบของ
ิลปะ โุ ขทัยท่ผี ่านมา ใน ลิ ปะลา้ นนา นั่นคอื ชุดบั ถลารองรบั องคร์ ะฆงั โดยบั ถลาอยู่ในผังแปดเ ล่ียม
ประกอบด้ ยบั ค �่า จา� น น 6 ช้นั ซึ่งผิดไปจากระเบียบของ ุโขทยั แล้ แต่คลา้ ยคลึงกบั การใช้บั ถลา
ลายเ ลย่ี มใน ลิ ปะลา้ นนาช่ งพทุ ธ ต รร ท่ี 21 ( นั ติ เลก็ ขุ มุ , 2547: 80) ่ นองคบ์ ั เ ลยี่ มเพรยี งู
ข้นึ ไปตามรปู ทรงเชน่ เดีย กับเจดียท์ รงบั เ ลี่ยมอน่ื ๆ

205

นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เนอ่ื งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ธาตดุ า� เ ยี งจนั ทน์ จงึ เปน็ ลกั ฐานทรี่ ะบุ า่ มกี าร รา้ งเจดยี ท์ รงน้ี (ทรงบั แปดเ ลย่ี ม) ขนึ้ แล้
ตง้ั แตใ่ นช่ งตน้ พทุ ธ ต รร ที่ 22 เพราะเมอื งพานพรา้ ฝง่ั ตรงขา้ มเ ยี งจนั ทน์ (อา� เภอ รเี ชยี งใ ม่ จงั ดั
นองคาย) กป็ รากฏเจดีย์แปดเ ล่ียมคอื ธาตุคา� (ถูกซ่อมแซมใ ม่ มดแล้ ) ตัง้ อยูบ่ รเิ ณใจกลางเมอื ง
เชน่ กัน

ภำพที่ 2 ธาตดุ า� นครเ ยี งจนั ทน์ อายุรา ปลายพุทธ ต รร ท่ี 21 ถึงตน้ พุทธ ต รร ที่ 22

�า รับที่เ ียงคุกพบเจดีย์ทรงบั แปดเ ล่ียมเป็นจ�าน นมาก ทั้งท่ีอยู่ใน ภาพ มบูรณ์ ช�ารุด
และพังทลายเ ลือแต่องค์ประกอบบางอย่างที่พอบอกได้ ่าเคยเป็นเจดีย์แบบน้ีมาก่อน ในท่ีนี้จึงขอเปิด
ประเดน็ เิ คราะ เ์ จดยี ท์ รงบั แปดเ ลยี่ มที่ า� คญั ท่ี ดุ ในเ ยี งคกุ คอื เจดยี ์ ดั ลิ าเลข เนอื่ งจากมรี ปู แบบ
ที่ ามารถ ิเคราะ ์ถึง ิ ัฒนาการและอายุ มัยของเจดยี แ์ บบน้ไี ด้ชัดเจนมากที่ ุด

เจดยี ์ ดั ลิ าเลข (ภาพท่ี 3) ดั แ ง่ นพี้ บ ลิ าจารกึ (ถกู เคลอื่ นยา้ ยไปยงั ดั รเี มอื ง นองคายแล้ )
(ภาพที่ 4) ทา� ใ ท้ ราบ า่ เดมิ ดั นช้ี อ่ื า่ “ รี พุ รรณอาราม” รา้ งขน้ึ ในปี พ. . 2109 โดยพระยาพล กึ ซา้ ย
อันเป็นขุนนางของ มเด็จพระไชยเช ฐา มีการกัลปนาที่ดินและถ าย ิ่งของต่าง ๆ จึงถือเป็น ัด �าคัญ
แ ่ง นง่ึ

206

ภำพที่ 3 เจดยี ์ประธานทรงบัวแปดเ ลย่ี มวดั ศิลาเลข และลายเ ้นแ ดงองคป์ ระกอบ ถาปตั ยกรรม

ภำพท่ี 4 จารกึ วดั ศรี ุพรรณอาราม พ.ศ. 2109 เคลือ่ นยา้ ยมาจากวดั ศิลาเลขปัจจุบันอยู่ทีว่ ัดศรีเมอื ง

207

นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ปัจจุบันวัดศรี ุพรรณอาราม รือวัดศิลาเลขอยู่ใน ภาพซากโบราณ ถาน องค์เจดีย์มีอาคาร
วิ ารคลุมมาก่อน ่วนพ้ืนวิ ารมีร่องรอยการก่อปิดทับฐานเดิมของเจดีย์ท�าใ ้เ ็นรูปแบบของลวดบัว
ซงึ่ ประกอบไปดว้ ยฐานเขยี งประมาณ 2-3 ฐาน รองรบั “ฐานบวั เขา่ พร ม” ทปี่ ระกอบดว้ ยลวดบวั ลกู แกว้
ทร่ี องรบั ลายกลบี บวั งายทกี่ ลบี โคง้ งอน (บวั รวน) (ภาพที่ 5) ซง่ึ คลา้ ยคลงึ กบั งานประดบั ฐานของพระพทุ ธรปู
“พระเจ้าองค์ต้ือ” (ภาพที่ 6) ที่ ล่อขึ้นในราว พ.ศ. 2105-2109 (ศักด์ิชัย าย ิง ์, 2555: 186-188)
ซงึ่ อดรบั กบั อายุ มยั ของวดั แ ง่ นใ้ี นจารกึ ชดุ ฐานเ นอื ขนึ้ ไปตอ่ ดว้ ยฐานบวั ลกู แกว้ อกไก่ จา� นวน 2 ฐาน
ซ้อนลด ลั่นกนั ทีฐ่ านชั้นบน ดุ นนั้ ่วนบวั งายได้ประกบกับบัวควา่� โดยไม่มี นา้ กระดานคน่ั ท�าใ ้แลดู
คลา้ ยลวดบวั ลกู แกว้ อกไกข่ นาดใ ญท่ า� ปลายงอน ะบดั แบบลา้ นชา้ ง เ นอื ขน้ึ ไปคอื ทรงบวั เ ลย่ี มทเ่ี รยี ว งู
ว่ นยอดน้นั เดมิ เชื่อว่าเปน็ ทรงกรวยขนาดเลก็ แต่ ัก ายไปแล้ว ท้ัง มดอย่ใู นผังแปดเ ลย่ี ม

ภำพท่ี 5 ปนู ปั้นลายกลบี บวั งายโคง้ งอนแบบล้านชา้ ง ฐานเจดยี ว์ ดั ศิลาเลข

ภำพท่ี 6 ลายกลบี บวั งายโคง้ งอน (ลายบวั รวน) แบบลา้ นชา้ ง
ประดบั ว่ นฐานของพระพทุ ธรูปพระเจ้าองคต์ ้อื วัดศรชี มพอู งคต์ ื้อ อ�าเภอทา่ บอ่ จัง วดั นองคาย

208

พิจารณาจากล ดบั ของชุดฐานรองรับของเจดีย์ ัด ิลาเลขแล้ นั้น เ ็นได้ ่าการใช้ฐานบั
ลกู แก้ อกไก่ างบนลกู แก้ กลมจะคลา้ ยคลงึ กบั ฐานบั เขา่ พร มแบบลกู แก้ ซง่ึ เคยพบมากอ่ นทฐ่ี านของ
พระธาตุ รี องรกั จงั ดั เลย (ภาพที่ 7) ซึง่ มจี ารึก ร้างใน พ. . 2103 รือก่อน ัด ิลาเลขเพียง 6 ปี
โดยบั เข่าพร มของพระธาตุ รี องรักน้ัน มีฐานบั ลูกแก้ อกไก่เพียงฐานเดีย ต่อด้ ยบั งายประกบ
บั ค ่�ารองรับองค์บั เ ล่ียม แต่ �า รับเจดีย์ ัด ิลาเลขมีการเพิ่มฐานบั ลูกแก้ อกไก่เป็น องฐาน
ทง้ั นน้ี า่ จะเพอ่ื นนุ ใ อ้ งคเ์ จดยี อ์ ยใู่ นทรง งู เพรยี ขน้ึ ซงึ่ การใชฐ้ านบั ลกู แก้ อกไก่ องฐานซอ้ นกนั รองรบั
บั เ ลย่ี มไดพ้ บทเ่ี จดยี ร์ ายองค์ นง่ึ ใน ดั ถา�้ ุ รรณคู าซง่ึ มอี ายรุ า ตน้ พทุ ธ ต รร ที่ 22 (ธ ชั ปณุ โณทก,
ม.ป.ป.: 257-270) ด้ ย

ภำพท่ี 7 ฐานบั เข่าพร มของพระธาตุ รี องรกั จงั ดั เลย

ดงั นนั้ รปู แบบฐานบั เขา่ พร มของเจดยี ์ ดั ลิ าเลขยงั เปน็ ระบบบั เขา่ พร มแบบลกู แก้ ซงึ่ เชอื่
า่ เปน็ อทิ ธพิ ลจาก ลิ ปะพมา่ ผา่ นมาจาก ลิ ปะลา้ นนา ู่ ลิ ปะลา้ นชา้ ง โดยทง้ั พระธาตุ รี องรกั และเจดยี ์
ัด ิลาเลขต่างมีจารึกก�ากับ ่า ร้างขึ้นในปี พ. . 2103 และ 2109 ตามล�าดับ คือในระยะแรก ุดของ
พทุ ธ ต รร ที่ 22 อกี ทงั้ รปู แบบของปนู ปน้ั ลายกลบี บั แบบโคง้ งอน ซงึ่ มกั พบประดบั บนฐานพระพทุ ธรปู
พระเจา้ องคต์ อื้ ท่ี ลอ่ ขนึ้ ในช่ งแรก ดุ ของพทุ ธ ต รร ท่ี 22 และพบตอ่ มาในพระพทุ ธรปู า� รดิ ลา้ นชา้ ง
ตงั้ แต่ช่ งพุทธ ต รร ที่ 22 เป็นตน้ มา จงึ เปน็ ิง่ นับ นุนอายุ มยั เจดียอ์ งค์นี้ตามท่ีระบุไ ใ้ นจารกึ

209

นงั ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เนอ่ื งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ดังนั้นเมือ่ พจิ ารณากลับไปยงั ธาตุด�า เ ยี งจันทน์ ซึ่งยังใช้ฐานบั ถลาอยู่ อาจท�าใ ้ก�า นดอายุ
ได้ ่าธาตุด�าน้ัน มีอายุ มัยท่ีเก่าแก่ก ่าการเกิดข้ึนของฐานบั เข่าพร มของพระธาตุ รี องรักและเจดีย์
ดั ลิ าเลขกเ็ ปน็ ได้ น่นั คอื ในช่ งปลายของพทุ ธ ต รร ท่ี 21 อันจะ มั พันธ์กับ ลักฐานที่พบในปัจจุบนั
และท�าใ ้เริ่มม่ันใจมากขึ้น ่า นครเ ียงจันทน์มีค าม �าคัญเป็นอย่างมากต้ังแต่ก่อนรัชกาล มเด็จ
พระไชยเช ฐาแล้ น่นั คอื ใน มยั พระยาโพธิ าลราชซ่งึ มี ลกั ฐาน ่า มกั เ ด็จลงมาประทบั ยงั เ ยี งจันทน์
บอ่ ยครงั้ (Stuart-Fox , 1998: 76) และ ลกั ฐานชนั้ ตน้ คอื จารกึ การกลั ปนาทดี่ นิ ของพระองคต์ ามชมุ ชน
องฝง่ั โขงในอาณาบรเิ ณจากเ ยี งจนั ทนไ์ กลไปจนถงึ ปากแมน่ า�้ งมึ และปาก ้ ย ล ง รอื อา� เภอโพนพิ ยั
จัง ดั นองคาย ( รุ กั ดิ์ รี า� อาง, 2545: 83-84)

กล่า รุปเจดีย์ ัด ิลาเลขซ่ึงใช้ฐานบั เข่าพร มแบบลูกแก้ ัมพันธ์กับอายุ มัยในจารึกและ
รูปแบบของพระธาตุ รี องรัก ท�าใ ้ ามารถย้อนกลับไปก�า นดอายุเจดีย์ทรงบั แปดเ ล่ียมท่ี �าคัญ
ของราชธานที ี่เ ียงจันทนอ์ ยา่ งธาตดุ า� ได้ า่ มีอายุเกา่ แก่ก า่ ตน้ พุทธ ต รร ที่ 22 ด้ ย

วิวฒั นำกำรของฐำนบัวเขำ่ พร มในเจดีย์ทรงบัวแปดเ ล่ยี ม : ขำ งิ ์

การใช้ฐานบั เข่าพร มแบบลูกแก้ คงนิยมอยู่ในระยะ ั้น ๆ ก่อนท่ีอิทธิพลจากอีกแ ล่งจะมี
บทบาทต่อฐานบั เข่าพร มแบบใ ม่ น่ันคือ “ขา ิง ์” ท่ีมีอิทธิพลมาจาก ิลปะอยุธยาเข้ามาเป็น ่ น
น่ึงของฐานบั เข่าพร ม โดยเปลี่ยนล ดบั ลูกแก้ มาเป็นขา ิง ์ทรงเต้ีย มีน่อง ิง ์เป็น ยักประกอบ
ขึ้นจาก งโคง้ ขา ิง ์เตย้ี มีน่อง งิ เ์ ป็น ยัก งโคง้ เช่นนพ้ี บเป็นครัง้ แรกใน ิลปะ ุโขทัย เช่น ภาพจารบน
แผ่น ินชน นเรื่องอ าตมันตชาดกบนแผ่น ินชน นเพดาน ในอุโมงค์ ัด รีชุมอายุรา พุทธ ต รร ที่
19-20 และใน ิลปะอยุธยาปรากฏ ลกั ฐานการ รา้ งเปน็ ่ นประกอบ ถาปัตยกรรม คือ ขา งิ ท์ ี่ฐาน
ิ าร ัดพระ รี รรเพชญ์ อยธุ ยา อายรุ า ต้น-กลางพทุ ธ ต รร ที่ 21 (ภาพท่ี 8) จากนั้นขา งิ ์ก็เริม่
นิยมกันใน ถาปัตยกรรมของอยุธยา โดยเฉพาะอย่างย่ิงถูกใช้เป็นฐานรองรับองค์เจดีย์ เช่น เจดีย์
รี ุริโยทัยที่ รา้ งขึ้นรา ปลายพทุ ธ ต รร ท่ี 21 ( นั ติ เลก็ ุขุม, 2545: 63-64) และเจดยี ท์ รงเคร่ืองท่ี
มีอายรุ า พุทธ ต รร ที่ 22 ( ันติ เล็ก ุขุม, 2545: 44) ดังนนั้ จึงกา� นดได้ า่ การใชข้ า งิ ์ในเจดีย์ของ
ทางอยธุ ยาน่าจะเร่ิมไมเ่ กา่ ไปก ่าปลายพทุ ธ ต รร ที่ 21 ลงมา

ค าม ัมพันธ์ระ ่างล้านช้างและกรุง รีอยุธยาเริ่มชัดเจนมากข้ึน เม่ือ มเด็จพระไชยเช ฐา
ทรงยา้ ยราชธานีลงมายงั นครเ ยี งจันทน์ ทา� ใ ้ชายเขตพระราชอาณาจักรประชิดตดิ ตอ่ กับกรงุ รอี ยุธยา
ใน มยั มเดจ็ พระม าจกั รพรรดทิ างตะ นั ออกเฉยี งเ นอื มกี าร รา้ งพระธาตุ รี องรกั ขนึ้ ทดี่ า่ นซา้ ย และ
จารกึ การทา� มั พนั ธไมตรขี นึ้ โดยก ตั รยิ ท์ ง้ั องพระองค์ ระยะเ ลาดงั กลา่ อดคลอ้ งกบั การทขี่ า งิ เ์ รม่ิ
ปรากฏใชใ้ นเจดีย์ของอยุธยา และจะเร่ิมมบี ทบาทกบั เจดีย์ของล้านชา้ งด้ ย

210

ภำพที่ 8 ขา งิ ์ ปูนปั้นประดับ ิ าร ล ง ดั พระ รี รรเพชญ์ อยุธยา
ครึง่ แรกพุทธ ต รร ท่ี 21

เจดยี ท์ รงบั แปดเ ลยี่ มทอี่ าจใชเ้ ปน็ ลกั ในการกา� นดอายกุ ารใชบ้ ั เขา่ พร มแบบขา งิ เ์ ปน็
แ ่งแรก ๆ ได้ คือ เจดีย์รายองค์ น่ึงข้างอุโบ ถ ัด รีชมภูองค์ตื้อ บ้านน�้าโมง อ�าเภอท่าบ่อ จัง ัด
นองคาย (ภาพท่ี 9) ตง้ั อย่ไู มไ่ กลไปจากเ ียงคกุ มากนกั โดยมีรปู แบบของฐานบั เข่าพร มท่ี างบั ค ่�า
ลงบนขา งิ ์ งโคง้ และฐานบั ทซ่ี อ้ นลด ลนั่ กนั องฐานรองรบั องคบ์ ั เ ลยี่ ม เจดยี อ์ งคน์ กี้ า� นดอายไุ ด้
จากพระพทุ ธรปู “พระเจา้ องคต์ ื้อ” (ภาพท่ี 10) ซงึ่ เป็นประธานของ ัดทน่ี ่าจะถูก ลอ่ ข้ึนพร้อม ๆ กบั
พระเจ้าองค์ตอ้ื ัดองค์ตื้อ เ ยี งจันทน์ ในรา ปี พ. . 2105-2109 ( กั ดิช์ ยั าย งิ ,์ 2555: 186-188)
แ ดง ่าองคเ์ จดยี ์ท่ี รา้ งขน้ึ เปน็ เจดยี ์รายขนาดเล็กจะต้องไมเ่ ก่าไปก ่าระยะการ ล่อพระเจ้าองค์ตอื้ ด้ ย

211

นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เน่อื งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ภำพที่ 9 เจดยี ร์ ายข้างอโุ บ ถ ดั รชี มภอู งค์ต้อื นองคาย
พุทธ ต รร ท่ี 21 ลงมา ังเกต ่าใชฐ้ านบั เขา่ พร มแบบขา งิ ์

ภำพท่ี 10 พระพทุ ธรูปพระเจา้ องค์ตอ้ื ดั รีชมภูองค์ตือ้ นองคาย

212

เจดยี ท์ รงบั แปดเ ลยี่ มอกี กลมุ่ ทปี่ รากฏการเรม่ิ ใชฐ้ านบั เขา่ พร มแบบขา งิ ์ ไดแ้ ก่ เจดยี ร์ าย
ภายใน ัดถา�้ ุ รรณคู า จัง ัด นองบั ลา� ภู (ภาพที่ 11) ซึง่ เป็นรปู แบบขา ิง ์ งโคง้ รองรบั บั งาย
เช่นกัน ทถ่ี ้�า ุ รรณคู านพ้ี บ ิลาจารกึ ของ มเด็จพระไชยเช ฐาและพระยา ุมงั คลโพธิ ตั ์ ซง่ึ มีอายใุ น
คร่ึงแรกของพทุ ธ ต รร ท่ี 22 (ธ ัช ปุณโณทก, ม.ป.ป.: 257, 270) ัมพันธก์ นั กับการข้นึ มาของอิทธพิ ล
ลิ ปะอยธุ ยาในดนิ แดนลา้ นชา้ ง ดงั เชน่ กรณขี ององคร์ ะฆงั เ ลยี่ มในเจดยี ท์ รงปรา าทยอดดงั ทไี่ ดก้ ลา่ ถงึ
ในการ ิเคราะ ์มาแล้

ภำพที่ 11 เจดียร์ าย ัดถา�้ ุ รรณคู า นองบั ลา� ภู อายรุ า พุทธ ต รร ที่ 22

ในเขตเ ียงคุกได้พบเจดีย์ทรงบั แปดเ ลี่ยมที่มีการใช้ฐานบั เข่าพร มแบบขา ิง ์ งโค้งด้ ย
เช่นกัน แต่ ่ นใ ญ่อยู่ใน ภาพช�ารุด เช่น เจดีย์ร้างในอู่ซ่อมรถยนต์ริมทาง ล งชนบท (ภาพท่ี 12)
ซึ่งเ ลือแต่ขา ิง ์ในผังแปดเ ลี่ยม เช่นเดีย กับฐานเจดีย์ใน ัดกุกุรัตนาราม เ ียงปะโค (ภาพท่ี 13)
ขณะเดีย กันเจดีย์ทรงบั แปดเ ลี่ยมท่ียัง ลงเ ลือ ลักฐานอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ เจดีย์ ัด า ุ รรณ
(ภาพท่ี 14) ทีจ่ ากการขดุ ตร จทางโบราณคดกี พ็ บ า่ แตเ่ ดมิ ก็อาจเคยมฐี านประทกั ณิ รอื ก�าแพงแก้
ล้อมรอบ (อรุณ ักดิ์ ก่ิงมณี, 2544: 317) รองรับชุดฐานแต่ช�ารุดและถูกซ่อมแซมจนผิดรูปไปแล้
่ นเจดีย์ ัดกุ ลนารี (ภาพที่ 15) ประกอบด้ ยฐานบั ลูกแก้ อกไก่ซ้อนกัน องฐานรองรับชุดล ดบั
ค ่�า-บั งายและกลีบบั งาย ต่อด้ ยองค์บั เ ล่ียมเรีย ูงคล้ายกับเจดีย์ราย ัด รีชมภูองค์ต้ือ
ดังน้ัน ่ นฐานท่ียังจมดินอยู่ รือท่ีช�ารุดไปน่าจะเคยเป็นขา ิง ์เช่นเดีย กัน และยังพบชิ้น ่ นยอด
องค์บั แปดเ ลี่ยมที่ ักพังในโบราณ ถานบ้านนาย ุนทร มากระจัน ซ่ึงต้ังอยู่ทางตอนใต้ของตั เมือง
เ ียงคกุ ด้ ย (ภาพท่ี 16)

213

นัง ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เน่ืองในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ภำพท่ี 12 ธาตรุ ้างในอู่ซอ่ มรถ บรเิ ณเมืองเ ยี งคุก
ยังเ ลือ ่ นขา ิง ใ์ นผังแปดเ ลี่ยม บง่ บอก ่าเปน็ เจดยี ท์ รงบั แปดเ ล่ยี ม

ในกลมุ่ ทใ่ี ชบ้ ั เข่าพร มขา งิ ์ พทุ ธ ต รร ท่ี 22

ภำพท่ี 13 เจดยี ์ ัดกกุ รุ ัตนาราม (ไกแ่ ก้ ) เ ยี งปะโค นองคาย
มี ่ นขา งิ ์ในผังแปดเ ล่ียม บง่ บอก ่าเปน็ เจดยี ท์ รงบั แปดเ ลี่ยม

ในกลมุ่ ท่ใี ช้บั เข่าพร มขา งิ ์ พุทธ ต รร ท่ี 22

214

ภำพที่ 14 เจดยี ์รายทรงบัวแปดเ ลยี่ ม วดั าว ุวรรณ

ภำพที่ 15 เจดยี ์รายวดั กุศลนารี ภาพปัจจุบัน (ซ้าย) และกอ่ นการบูรณะ ว่ นฐาน (ขวา)
(ทีม่ าภาพก่อนการบรู ณะ : อรณุ ศักด์ิ กิ่งมณ,ี 2544: 329.)

215

นงั ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เนือ่ งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ภำพท่ี 16 ชนิ้ ่ นยอดทรงบั แปดเ ลยี่ ม โบราณ ถานในบา้ นนาย ุนทร มากระจัน

สรปุ
เจดีย์ทรงบั แปดเ ล่ียมในเ ียงคุกมีประเด็น �าคัญในการช่ ยก�า นดอายุรูปแบบของเจดีย์

แปดเ ลี่ยม และ ิ ัฒนาการของชุดฐานรองรับ-ฐานบั เข่าพร มใน ิลปะล้านช้างได้ชัดเจน คือ เจดีย์
ดั ิลาเลข และ ลักฐานท่พี บ ่ นใ ญม่ อี ายุ มัยในรา ตน้ พุทธ ต รร ท่ี 22 ลงมา แตเ่ ปน็ ท่นี ่าเ ยี ดาย
า่ มจี า� น นนอ้ ยเกนิ ทจ่ี ะกลา่ ไดถ้ งึ อายุ มยั โดยร มไดช้ ดั เจนนกั เจดยี ท์ รงบั แปดเ ลยี่ มนตี้ อ่ มากจ็ ะนยิ ม
ร้างกันทั่ ไปใน ัฒนธรรมล้านช้างจนถึงร่ ม มัยรัตนโก ินทร์ตามเมือง �าคัญ เช่น ล งพระบาง
(ภาพที่ 17) ดงั นั้นจงึ อาจนบั ได้ ่าเ ียงคกุ เปน็ แ ลง่ กา� เนิด า� คัญของเจดียท์ รงน้ีใน ลิ ปะล้านช้างก่อนจะ
แพร่ ลายไปยังพื้นทีอ่ น่ื ๆ

216

ภำพที่ 17 เจดยี ท์ รงบวั แปดเหล่ยี ม วัดเชยี งทอง เมอื งหลวงพระบาง
อายรุ าวพุทธศตวรรษท่ี 24-25

217

นงั อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

บรรณำนกุ รม
ธ ชั ปณุ โณทก. (ม.ป.ป.). ลิ ำจำรกึ อี ำน มยั ไทย-ลำ กึ ำทำงดำ้ นอกั ขร ทิ ยำและประ ตั ิ ำ ตรอ์ ี ำน.

กรุงเทพฯ: คุณพนิ อัก รกจิ .
กั ดช์ิ ยั าย งิ .์ (2555). เจดยี ์ พระพทุ ธรปู ฮปู แตม้ มิ ลิ ปะลำ และอี ำน. กรงุ เทพฯ: มิ เซยี มเพร .
ันติ เล็ก ุขุม. (2545). เจดีย์ ค ำมเป็นมำและค�ำ ัพท์เรียกองค์ประกอบเจดีย์ในประเท ไทย.

พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ: มติชน.
_______. (2547). ลิ ปะภำคเ นอื : ริภญุ ชัย ล้ำนนำ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ.
ุร ักดิ์ รี �าอาง. (2545). ลำ� ดับก ตั ริยล์ ำ . กรงุ เทพฯ: กรม ิลปากร.
อรณุ กั ดิ์ กงิ่ มณ.ี (2544). “โบราณคดเี มอื ง นองคาย เลม่ 1-2 (ขอ้ มลู แ ลง่ โบราณคดี โบราณ ตั ถุ ถาน

และแ ลง่ ลิ ปกรรมจงั ดั นองคาย).” เอก ารอดั า� เนาของอทุ ยานประ ตั ิ า ตรภ์ พู ระบาท
า� นกั งานโบราณคดแี ละพพิ ธิ ภัณฑ ถานแ ่งชาติท่ี 7 ขอนแกน่ .
Stuart-Fox, Martin. (1998). The Lao Kingdom of Lan Xang: Rise and Decline. Bangkok:
White Lotus.

218

ศิลปกรรมแ ง่ พระบรมราชานุ รณใ์ น มยั รชั กาลที่ 4-5
ที่ถ้�าเขา ลวง จงั วดั เพชรบุร*ี

Royal Commemorative Art of King Rama IV-V
in Khao Luang Cave of Petchaburi

ดร.พสั วีสิริ เปรมกุลนนั ท*์ *
Patsaweesiri Preamkulanan

* บทความนี้ รุปผลจากงานวิจัยเรื่องศิลปกรรมแ ่งพระบรมราชานุ รณ์ใน มัยรัชกาลท่ี 4-5 ที่ถ้�าเขา ลวง
จัง วดั เพชรบรุ ี โครงการวิจัยทนุ งบประมาณแผน่ ดินปีงบประมาณ 2559 ถาบันวิจยั และพัฒนา ม าวิทยาลัยศลิ ปากร

** ผ้ชู ่วยศา ตราจารยป์ ระจา� ภาคภาควชิ าประวัตศิ า ตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี ม าวทิ ยาลยั ศลิ ปากร

219

นัง อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เนอื่ งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

บทคัดยอ่
ถ�้าเขา ล ง จัง ัดเพชรบุรี มีค าม �าคัญอย่างย่ิงโดยเฉพาะใน มัยพระบาท มเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่ ั และพระบาท มเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ ั ผลจากการ ิจัยทางด้าน
ประ ัติ า ตร์ ิลปะพบ ่าปูชนีย ัตถุในถ�้าเขา ล ง ได้แก่ พระพุทธรูปและเจดีย์บางองค์ ร มท้ังรอย
พระพทุ ธบาท อาจมอี ายเุ กา่ แกถ่ งึ ใน มยั อยธุ ยา ลิ ปกรรมท่ี า� คญั และพบเปน็ จา� น นมากในถา�้ เขา ล ง
คอื กลมุ่ พระพทุ ธรปู ทมี่ จี ารกึ พระปรมาภไิ ธยและตราพระบรมราช ญั ลกั ณป์ ระจา� รชั กาลที่ 1-4 ซงึ่ มอี ยู่
2 กลุ่ม โดยพบ ่ามีค ามเกี่ย ข้องกับพระพุทธรูปประจ�าพระชนมพรร าของแต่ละรัชกาลที่ ร้างขึ้นใน
พระบรมม าราช งั นอกจากนยี้ งั มพี ระพทุ ธรปู จา� น นมากทมี่ จี ารกึ พระนามของเจา้ นายในพระราช ง ์
จกั รีซึง่ ล้ นแตเ่ ป็นพระราชโอร พระราชธิดา และเจา้ จอมมารดาในรัชกาลที่ 4 และยังมีพระพุทธรูปทม่ี ี
จารึกพระนามพระอัครมเ ี พระราชโอร พระราชธิดา และเจ้าจอมมารดาในรัชกาลที่ 5 ซึ่งนับเป็น
กลมุ่ พระพุทธรูปท่ีมีค าม �าคญั เน่ืองจากเปน็ ลักฐานที่แ ดงถงึ ค ามเก่ีย ขอ้ งกบั พระราช ง จ์ ักรี
คำ� ส�ำคัญ : ถ�า้ เขา ล ง, ราช ง ์จักรี, รัชกาลที่ 4, รชั กาลท่ี 5

220

Abstract
Khao Luang Cave had a very significant role especially in the reign of King Rama
IV-King Rama V. According to the research, some Buddha images and stupas as well as a
Buddha’s footprint can be dated back to the Ayutthaya period. Moreover, a group of
Buddha images inscribed with either the names or the royal emblems of King Rama I-IV
was also discovered. They are relevant to Phra Phuttharup Pracham Phrachonmaphansa
Buddha images of each reign established in the Grand Palace. In addition, some Buddha
images were inscribed with the names of King Rama IV’s sons, daughters and royal
concubines while some with the names of King Rama V’s queens, son, daughters and
royal concubines. All of these mentioned Buddha images are evidence proving the
relation with Chakri dynasty and this cave.
Keywords : Khao Luang Cave, Chakri dynasty, King Rama IV, King Rama I-IV

221

นัง อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

บทน�ำ

จัง ัดเพชรบุรีมี ถานท่ี �าคัญทางประ ัติ า ตร์อยู่มากมาย ลายแ ่งที่เกี่ย ข้องกับ
พระม าก ัตริย์ในราช ง ์จักรี นึ่งในน้ันมีถ�้าเขา ล ง รือถ�้า ล งซ่ึงเป็นถ�้าขนาดใ ญ่ท่ี ุดของ
“เขา ล ง” ภูเขา ักดิ์ ิทธ์ิท่ีต้ังตระ ง่านอยู่ทางทิ เ นือไม่ไกลจากเขา ังอันเป็นที่ต้ังของพระนครคีรี
ถ�้าแ ่งน้ีมีค ามงดงามตามธรรมชาติอันเกิดจาก ินงอก ินย้อย ล�าแ งอาทิตย์ ามารถ าด ่องลงมายัง
พ้ืนและผนังถ�้า ภายในถ้�าเขา ล งยังเป็นท่ีประดิ ฐานปูชนีย ัตถุท่ี �าคัญไม่ ่าจะเป็นพระเจดีย์
รอยพระพุทธบาท และพระพทุ ธรปู ขนาดน้อยใ ญเ่ ปน็ จ�าน นมาก จึงเปน็ ถานท่ีซ่ึงมผี คู้ นนยิ มเดินทาง
ไปท่องเท่ีย ชมธรรมชาติและกราบ ักการะ ่ิง ักด์ิ ิทธิ์ที่ �าคัญอีกแ ่ง น่ึงของจัง ัดเพชรบุรี ากแต่
นอ้ ยคนนกั ทจี่ ะทราบถงึ ค าม า� คญั ของปชู นยี ตั ถเุ ลา่ น้ี ร มทงั้ เ ตกุ ารณท์ างประ ตั ิ า ตรท์ เี่ กยี่ ขอ้ ง
กบั เจา้ นายในพระราช ง ์จกั รีทีเ่ กิดขึน้ ณ ถา�้ แ ง่ น้ี

บทค ามน้ีจึงมุ่งเน้นน�าเ นอการ ึก าในด้านประ ัติ า ตร์ ิลปะท่ีจะช่ ยท�าใ ้เข้าใจถึง
รูปแบบ ิลปะ การก�า นดอายุของ ิลปกรรมต่างๆ ภายในถ้�าเขา ล ง ตลอดจน ลักฐานเอก ารทาง
ประ ัติ า ตร์ ซึ่งทา� ใ เ้ ็นค าม า� คญั ของถ้�าเขา ล งที่มีมาแล้ ตั้งแต่ใน มัยอยุธยา และมคี าม า� คญั
เป็นอย่างย่ิงใน มัยรัชกาลท่ี 4-5 โดยยังปรากฏ ลักฐาน ิลปกรรมอันเกี่ย เน่ืองกับราช �านักมาจนถึง
ปัจจุบัน ท่ี �าคัญคือ พระพุทธรูปท่ีมีจารึกพระปรมาภิไธยและพระบรมราช ัญลัก ณ์ประจ�ารัชกาล
ที่ ัมพันธ์กับพระพุทธรูปประจ�าพระชนมพรร าในพระบรมม าราช ัง และยังมีพระพุทธรูปท่ีมีจารึก
พระนามาภิไธย และพระนามของพระราช ง ์อีกเป็นจ�าน นมากอย่างท่ีไม่เคยปรากฏในท่ีใดมาก่อน
ซึ่งน่าจะ ร้างขึ้นเพ่ือทรงบ�าเพ็ญพระราชกุ ล รือทรงพระราชอุทิ พระราชทานแก่พระราช ง ์ท่ีมี
พระนามปรากฏในจารึกน้ัน ิลปกรรมเ ล่านี้จึงเป็น ลักฐานท่ีแ ดงถึงค าม �าคัญของถ�้าเขา ล ง
จัง ัดเพชรบุรี อย่างยากท่ีจะ าทใี่ ดเปรียบ

ถ�้ำเขำ ลวงกบั ลักฐำนทำงวรรณคดแี ละประวตั ิศำ ตร์

จากการ จิ ยั พบ า่ มี ลกั ฐานทาง รรณคดแี ละ ลกั ฐานทางประ ตั ิ า ตรท์ ก่ี ลา่ ถงึ ถา้� เขา ล ง
จงั ัดเพชรบุรไี ้ไมม่ ากนกั ชื่อถ�้าเขา ล งได้ปรากฏเป็นทร่ี จู้ กั อยใู่ น รรณคดีบางเรือ่ ง เชน่ นิรา เมือง
เพชร บทประพนั ธข์ อง นุ ทรภู่ เมอ่ื ครงั้ ทเ่ี ดนิ ทางมาพกั คา้ งแรมในถา�้ เขา ล ง และไดพ้ รรณนาบรรยากา
ของถา�้ เขา ล งไ ้ โดยเฉพาะพระพทุ ธรปู ไ ยา นท์ อ่ี ยภู่ ายในถา�้ ซง่ึ มี ภาพชา� รดุ ทรดุ โทรมจากการถกู ขดุ
า มบัติและขาดการดูแลรัก า ( ุนทรภู่, 2496: 44-45) นอกจากน้ีใน รรณคดีเร่ือง นิรา เขา ล ง
บทประพันธ์ของขุน รการข้าราชการใน มัยรัชกาลที่ 5 ยังได้พรรณนาถึงการบ�าเพ็ญกุ ลของชา เมือง
เพชรบุรีในเท กาลตรุ งกรานต์ซ่ึงจัดข้ึนท่ีถ�้าเขา ล งเป็นประจ�าทุกปี ร มทั้งการกราบ ักการะ
รอยพระพุทธบาทอันเป็นท่นี บั ถอื ของชา เมอื งเพชรบรุ ี (ปรชั ญา ปานเกตุ, 2557 :12)

ถ้�าเขา ล งยังเป็น ถานท่ี �าคัญแ ่ง นึ่งของจัง ัดเพชรบุรีซ่ึงชา ต่างชาติท่ีมีช่ือเ ียง
ลายคนได้เดินทางมาเยือน บันทึกการเดินทางของชา ต่างชาติคน �าคัญ อาทิ เซอร์ จอ ์น เบาริง
(Sir John Bowring) ราชทตู ชา อังกฤ , อองรี มโู อต์ (Henri Mouhot) นกั ธรรมชาติ ทิ ยาชา ฝร่ังเ

222

ต่างกล่า ตรงกันถึงค ามงดงามตามธรรมชาติของถ้�าเขา ล ง และการประดิ ฐานพระพุทธรูปตามผนัง
ถ�้าเปน็ จา� น นมากอย่างงดงามตระการตา (นันทา รเนติ ง ์ และคณะ, 2557: 65) ใน มัยรัชกาลที่ 4
ถา้� เขา ล งยงั เปน็ นง่ึ ใน ถานทท่ี อ่ งเทย่ี เพอื่ เตรยี มรบั รองราชทตู จากปรั เซยี ทเี่ ขา้ มาเจรญิ มั พนั ธไมตรี
อยา่ งเปน็ ทางการ และยงั เปน็ ถานทตี่ อ้ นรบั ดกุ๊ โยฮนั อลั เบรกต์ (Duke Johon Alberkt) ผู้ า� เรจ็ ราชการ
เมืองบรันช ิก (Braunschweig) และพระชายา ซ่ึงได้เ ด็จมายัง ยามในฐานะพระราชอาคันตุกะใน
มัยรชั กาลที่ 5 ด้ ย (ภาพท่ี 1)

เอก ารโบราณจาก อ มุดแ ่งชาติโดยเฉพาะจด มายเ ตุรัชกาลท่ี 4 ได้ระบุถึงเ ตุการณ์
เม่ือคร้ังที่พระบาท มเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ ั ยังทรงครอง มณเพ พระองค์ได้เคยเ ด็จจาริกมายัง
ถ�้าเขา ล ง และทรงพระราช รัทธาปฏิ ังขรณ์ปูชนีย ัตถุบางประการไ ้ ต่อมาเมื่อเ ด็จข้ึนครอง
ราช มบตั แิ ล้ กไ็ ดเ้ ดจ็ พระราชดา� เนนิ มาทรงนมั การพระพทุ ธรปู ทถ่ี า�้ เขา ล งอกี ลายครา เมอื่ โปรด
เกล้าฯ ใ ้ ร้างพระนครคีรีเพ่ือเป็นพระราชฐานที่ประทับบนยอดเขามไ รรย์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากถ�้าเขา
ล งนัก ก็ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ใ ้พระยาเพชรบุรีด�าเนินการปฏิ ังขรณ์พระพุทธรูป
พระเจดีย์ และรอยพระพุทธบาท (“ นัง ือ ่าด้ ยเ ด็จพระราชด�าเนินเพชบุรีย์ (จ. . 1220),” มร4
รล-ก /15) ทงั้ ยงั มพี ระราชดา� รใิ จ้ า้ งลา พ นและลา ทรงดา� ซง่ึ เปน็ ชา บา้ นทอ่ี ยใู่ นพน้ื ทใ่ี กลเ้ คยี งใ เ้ ปน็
ผู้ดูแลไม่ใ ้เกิดอันตรายแก่พระพุทธรูปท่ีทรงปิดทองไ ้ (“ นัง ือ ่าด้ ยใ ้พระยาเพชรบุรีจ้างลา ชาย
ญงิ รกั าถา้� เขา ล ง (จ. . 1221),” มร4 รล-ก /17) นอกจากน้ี ยังโปรดเกล้าฯ ใ ้ ร้างบนั ไดทางขึ้น
ลงใ ม้ นั่ คงแขง็ แรง และ งั่ กระเบอ้ื ง นา้ ั จากเมอื ง งขลาเพอ่ื มาปพู น้ื ถา้� เขา ล ง ซง่ึ เปน็ กระเบอ้ื งชนดิ
เดีย กันกับที่ปูพ้ืนพระราชมณเฑียรในพระนครคีรี (“ ารตรา ่าด้ ยใ ้พระยาเพชรบุรีท�าทางบันได
ข้นึ ลง ถ้�าเขา ล ง (จ. . 1218) ,” มร4 รล-ก /11, “ ารตรา า่ ด้ ยใ เ้ จ้าพระยา งขลาจ้างจีนท�า
กระเบ้ือง ปพู ้นื ถ�้าเขา ล ง พระราช ังจนั (จ. .1225) มร4 รล-ก /25) ร มท้งั ยังโปรดเกล้าฯ ใ ้ รา้ ง
ระฆงั โล ะขน้ึ คู่ นงึ่ า� รบั แข นไ ใ้ นถา�้ เขา ล งโดยเฉพาะ แตป่ จั จบุ นั พบ ลกั ฐานเพยี งใบเดยี เทา่ นนั้
ทงั้ มดนี้จงึ นบั เปน็ ลกั ฐานทเ่ี กยี่ ข้องกับการปฏิ ังขรณถ์ ้�าเขา ล งครัง้ ใ ญ่ในรชั มัยนนั้

พระบาท มเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ ั เป็นพระม าก ัตริย์อีกพระองค์ นึ่งที่ได้เ ด็จฯ
มายงั ถา�้ แ ง่ น้ี โดยไดท้ รงนมั การพระพทุ ธรปู า� คญั ภายในถา�้ เขา ล งทกุ ครงั้ เมอ่ื เ ดจ็ แปรพระราชฐาน
ไปประทับแรมท่พี ระนครครี ี และไดท้ รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานพระราชทรพั ย์ ่ นพระองค์
และของพระบรม ง านุ ง ์ เพื่อซ่อมแซมพระพุทธรูปในถ้�าเขา ล ง นอกจากนี้พระบาท มเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ ั ยังได้โปรดเกล้าฯ ใ ้จัดพระราชพิธีบ�าเพ็ญพระราชกุ ล ดับปกรณ์พระบรม
ทนต์พระบาท มเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่ ั พระทนต์ มเดจ็ พระเทพ ริ ินทรา บรมราชนิ ใี นรัชกาลที่ 4
และพระทนต์ มเด็จพระนางเจา้ ุนันทากมุ ารีรตั น์ พระบรมราชเท ใี นรชั กาลที่ 5 เม่อื นั กุ ร์ เดือน 4
ขน้ึ 4 คา�่ ตรงกบั นั ที่ 25 กมุ ภาพนั ธ์ พ. . 2429 (พระบาท มเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่ ั , 2508: 26-27)
นับเป็นเ ตุการณ์ทางประ ัติ า ตร์ �าคัญท่ีเกิดขึ้น ณ ถ้�าเขา ล ง จัง ัดเพชรบุรี และ ะท้อนถึง
พระราช รทั ธาทีท่ รงมีต่อถ้า� แ ง่ นีเ้ ป็นอยา่ งย่งิ

223

นงั อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ลิ ปกรรมภำยในถ�้ำเขำ ล งที่ นั นิ ฐำน ำ่ มีอำยุใน มัยอยธุ ยำ

เมื่อ ึก าปูชนีย ัตถุในถ�้าเขา ล งด้ ยกระบ นการทางประ ัติ า ตร์ ิลปะ ท�าใ ท้ ราบ ่า
ภายในถ้�ายังมีปูชนีย ัตถุในพุทธ า นาที่น่าจะมีอายุใน มัยอยุธยาตอนต้นอยู่ด้ ย แ ดงถึงค าม �าคัญ
ของถ�้านี้ที่มีมาโดยตลอดจนถึง มัยรัตนโก ินทร์ กระทั่งเม่ือเข้า ู่รัช มัยพระบาท มเด็จพระจอมเกล้า
เจา้ อยู่ ั และพระบาท มเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่ ั จงึ ไดม้ กี ารปฏิ งั ขรณค์ รง้ั ใ ญ่ และเจา้ นาย ลาย
พระองคใ์ นราช ง ์จักรไี ด้ร่ มกัน รา้ งพระพุทธรูปไ ม้ ากมาย ลกั ฐาน มยั กรุง รอี ยธุ ยาในถ้า� เขา ล ง
เท่าทเ่ี ็นได้ในปัจจุบัน ได้แก่ ล งพอ่ ถา�้ ล ง พระพุทธไ ยา น์ พระพทุ ธบาท เจดียแ์ ละพระพุทธรูป
ขนาดยอ่ มจา� น น นง่ึ

ล งพ่อถ้า� ล งเป็นพระพทุ ธรูปปางมาร ชิ ัยขนาด นา้ ตักประมาณ 3 เมตร (ภาพที่ 2) เป็นท่ี
กั การบชู าของชา บา้ นละแ กเขา ล งและนกั ทอ่ งเทยี่ ทเ่ี ดนิ ทางมา จากภาพถา่ ยเกา่ เ น็ า่ มพี ระพกั ตร์
เปน็ ีเ่ ลยี่ มตามแบบพระพทุ ธรูป มยั อยุธยา พระเนตรเ ลือบตา่� โดยเปลอื กพระเนตรใ ญ่ นาลกึ โคง้
รับกับแน พระขนง ซึ่งเป็นแน เดีย ต่อกับพระนา ิก พระโอ ฐ์ ยัก นาแลดู งบเคร่งขรึม พระกรรณ
ยา มีขม ดพระเก าเป็นแถ เล็ก ๆ มีอุ ณี ะและพระรั มีเปล

พระพุทธไ ยา น์เป็นพระพุทธรูปอีกองค์ นึ่งซ่ึง ันนิ ฐาน ่าน่าจะมีอายุเก่าแก่ถึง มัยอยุธยา
เมือ่ ครง้ั นุ ทรภเู่ ดินทางมายังถ้�านี้เม่อื รา มัยรชั กาลท่ี 3 ไดพ้ บ า่ มี ภาพชา� รุดทรดุ โทรมมาก ตอ่ มาได้
รับการปฏิ ังขรณ์มาโดยล�าดับ พระพักตร์ของพระพุทธรูปเป็น ี่เ ลี่ยมมนคล้ายกับพระพุทธรูปใน มัย
อยธุ ยา พระเนตรเ ลอื บต�า่ เปลือกพระเนตรเป็นแผ่นใ ญ่ก า้ งรบั กบั พระขนงและพระนา กิ พระโอ ฐ์
แยม้ ร ล พระกรรณยา มีขม ดพระเก า อุ ณี ะ และพระรั มีเป็นเปล ประทับ ี ไ ยา น์ รือ
ตะแคงข า พระ รกายเ ยยี ดตรง พระบาทซอ้ นทบั เ มอกนั และน้ิ พระบาทยา เทา่ กนั ทง้ั มด (ภาพที่ 3)
เป็นที่น่า ังเกต ่าในถ�้าอ่ืน ๆ ของเขา ล งก็มีพระพุทธไ ยา น์ขนาดใ ญ่ที่มีรูปแบบใกล้เคียงกัน เช่น
ที่ถ�้าพทุ ธโฆ า ถา�้ โบราณ ถา�้ ช้างเผอื ก จึงอาจเป็น ลกั ฐานท่ีแ ดงใ เ้ น็ ค าม รัทธาของชา เพชรบุรที ่ี
นิยมนับถือพระพุทธไ ยา น์และได้ดัดแปลงถ้�าต่าง ๆ ใ ้เป็น า น ถานที่ประดิ ฐานพระพุทธรูปไ ้
ภายในถา้� อกี ด้ ย

รอยพระพุทธบาทเป็นปูชนีย ัตถุอีกช้ิน นึ่งที่อยู่คู่ถ�้าเขา ล งมาช้านาน ประดิ ฐานบนแท่น
ฐานที่มซี ้มุ ลังคาครอบ ประดบั พระพุทธบาทด้ ยลายมงคล 108 ประการภายในตาราง ประกอบด้ ย
ลายทีเ่ ป็น ่งิ ของ รือ ถานทอ่ี ันเปน็ มงคลในโลกมนุ ย์ ลายท่ีเก่ีย กับป่า ิมพานต์ ลายปรา าทท่ี มาย
ถึงเท โลกและพร มโลก โดยเ ้นท่ีตรงกลางฝ่าพระบาท �า รับลายธรรมจักร รือกลีบบั (ภาพที่ 4)
การ างลายลกั ณะน้เี รม่ิ พบในรอยพระพทุ ธบาทของ ลิ ปะ ุโขทยั และนิยมบชู าอย่างแพร่ ลายต่อมา
ใน มัยอยุธยา ่ นฐานของรอยพระพุทธบาทประดับล ดลายปูนปั้น ยงาม เปน็ ลายพรรณพฤก า
ในกรอบคดโคง้ ปลายแ ลม ลบั อบุ ะทมี่ ลี กั ณะคลา้ ยบั ขาบ ลายกลบี บั ทม่ี ลี ายแทรก ลายดอกในกรอบ
เี่ ลย่ี มขนมเปียกปนู เทยี บไดก้ บั ลายปูนป้ัน มยั อยุธยา ลายแ ่ง

งานปูนปั้น มัยอยุธยาที่งดงามและ มบูรณ์ยังพบได้ที่เจดีย์แปดเ ล่ียมด้ ย มีท้ังลายกลีบบั
ลายดอกกลม ลับกับ ่ีเ ลี่ยมขนมเปียกปูน ลายซุ้ม น้านาง และลายอื่น ๆ เป็น นึ่งใน ลักฐาน ่า
ช่างปูนปั้นเมืองเพชรมีฝีมือเยี่ยมยอดมาแล้ แต่โบราณกาล ใกล้ ๆ กันกับเจดีย์แปดเ ลี่ยมนี้มีเจดีย์
ทรงระฆงั ทีน่ ่าจะ ร้างมาแต่ครง้ั กรุง รีอยุธยาอกี 2 องค์ (ภาพท่ี 5) เบอ้ื ง ลังมีพระพทุ ธรปู แบบอูท่ อง
มยั อยุธยาตอนต้น ประทับนง่ั ขดั มาธิราบ พระชงฆเ์ ป็น ันนนู พระพักตร์ ่ีเ ล่ยี ม พระเนตรเ ลือบต�่า
พระขนงตอ่ เปน็ ปกี กา พระโอ ฐ์ นาไมแ่ ยม้ ร ล แลดู งบเครง่ ขรมึ (ภาพที่ 6) ภายในถา้� ยงั พบพระพทุ ธรปู
อ่ทู องอีกจ�าน น นึง่ เปน็ ลกั ฐาน ่าถ�้านเ้ี ป็น ถานที่ กั ด์ิ ทิ ธิ์มาแตค่ ร้ังกรุง รอี ยุธยาแล้

ปูชนียวตั ถทุ ป่ี ฏิสงั ขรณ์และสร้ำงขึน้ ในสมยั รชั กำลที่ 4-5

ในถ้�าเขา ล งยังมีปูชนีย ัตถุที่ ร้าง รือปฏิ ังขรณ์โดยพระราช ง ์ใน มัยรัตนโก ินทร์
อีกจ�าน นมาก พระพุทธรูปปางมาร ิชัยขนาดใ ญ่เป็นพระพุทธรูปท่ีเคยมีอยู่เดิม พระบาท มเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่ ั โปรดเกล้าฯ ใ ้บูรณปฏิ ังขรณ์ เม่ือ พ. . 2403 ซึ่งยังมีจารึกประกา
พระบรมราชโองการอยู่ทีผ่ นงั ถา�้ และได้โปรดเกลา้ ฯ ใ ้พระเจา้ ลกู ยาเธอ กรม ม่ืนมเ ร ิ ลิ า และ
พระเจ้าลูกยาเธอ กรม มื่น ิ ณุนารถนิภาธร พระราชโอร ทรงร่ มปฏิ ังขรณ์พระพุทธรูปอีก 2 องค์
ทอ่ี ยใู่ กลก้ นั มจี ารกึ การปฏิ งั ขรณโ์ ดยปรากฏพระนามของพระราชโอร ทงั้ 2 พระองคไ์ ท้ ฐี่ านพระพทุ ธรปู
ด้ ย (ภาพที่ 7) เจดยี ท์ รงระฆังอีก 3 องคท์ ่ีอยไู่ ม่ไกลออกไป องค์ น่งึ ขนาดใ ญ่ อีก 2 องคข์ นาดเลก็ เทา่
กนั มรี ปู แบบตามพระราชนิยมในรัชกาลที่ 4 ทีย่ อ้ นกลับไปนยิ มเจดีย์ทรงระฆังใน ลิ ปะอยธุ ยา งั เกตได้
จากการใชช้ ดุ มาลัยเถาเป็น ่ นรองรบั องค์ระฆัง มบี ลั ลังก์ ่ีเ ลยี่ ม ตอ่ ด้ ย ่ นยอดทรงกร ยท่ีประกอบ
ด้ ยกา้ นฉตั ร ปลอ้ งไฉนและปลี นั นิ ฐาน า่ พระบาท มเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่ ั โปรดเกลา้ ฯ ใ ้ รา้ ง
เจดีย์องค์ใ ญ่ ่ นเจดีย์องค์เล็กอีก 2 องค์ เช่ือ ่าตรงกับท่ีพระราชพง า ดารระบุไ ้ ่า โปรดเกล้าฯ
ใ ้พระเจ้าลูกยาเธอ กรม ม่ืนมเ ร ิ ิลา และพระเจ้าลูกยาเธอ กรม ม่ืน ิ ณุนารถนิภาธร
ทรง รา้ งข้นึ (เจ้าพระยาทิพากร ง ม าโก าธบิ ดี (ขา� บุนนาค), 2548: 297)

พระพุทธรปู ประจ�ำแผ่นดนิ

ใน นัง ือ ต�านาน ัตถุ ถานต่างๆ ซ่ึงพระบาท มเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ ั ทรง ร้าง
พระนิพนธ์ของ มเด็จฯ กรมพระยาด�ารงราชานุภาพ ได้ทรงกล่า ่า ภายในถ�้าเขา ล งมีพระพุทธรูป
ที่รัชกาลท่ี 4 ทรง ร้างข้ึนเพื่อทรงพระราชอุทิ ถ าย มเด็จพระเจ้าอยู่ ั รัชกาลก่อนๆ และของ
่ นพระองค์ ( มเด็จฯ กรมพระยาดา� รงราชานุภาพ, 2544 : 72) จากการตร จ อบพบ ่าน่าจะได้แก่
พระพทุ ธรปู ทม่ี จี ารกึ พระปรมาภไิ ธยและตราพระบรมราช ญั ลกั ณข์ องพระม าก ตั รยิ ์ มที ง้ั นิ้ 2 กลมุ่
รูปแบบโดยร มเป็นแบบแผนทั่ ไปของพระพุทธรูปใน ิลปะรัตนโก ินทร์ กล่า คือพระพักตร์ที่ งบนิ่ง
คล้าย ุ่น พระเนตรเรีย เล็กเ ลือบต่�า พระขนงโก่ง พระนา ิกโด่งเรีย แ ลม พระโอ ฐ์แย้ม ร ล
พระกรรณยา เม็ดพระ กเลก็ มีอุ ณี ะและพระรั มีเป็นเปล งู

225

นงั ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนอื่ งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

พระพุทธรูปในกลมุ่ แรกมี 4 งค์ (ภาพท่ี 8) ประทับนง่ั บนฐาน งิ ป์ ระดบั กลบี บั โดยมที า่ ทาง
การประทบั นง่ั และการแ ดงปางทแี่ ตกตา่ งกนั ทฐ่ี านข งพระพทุ ธรปู ทกุ งคม์ จี ารกึ พระปรมาภไิ ธย และ
ที่ผ้าทิพย์ประดับพระบรมราช ัญลัก ณป์ ระจ�ารชั กาลท่ี 1-4 พระพุทธรปู งคท์ ี่ 1 เป็นพระพทุ ธรูปปาง
มาร ิชัยขัด มาธิเพชร มีจารึกพระปรมาภิไธยท่ีฐาน ่า “พระบาท มเด็จพระพุทธย ดฟ้าจุ าโลกย์”
ที่ผ้าทิพย์ประดับรูปประทุม ุณาโลม ซึ่งเป็นพระบรมราช ัญลัก ณ์ในรัชกาลท่ี 1 พระพุทธรูป งค์ท่ี 2
เป็นพระพุทธรูปปางมาร ิชัยขัด มาธิราบ มีจารึกพระปรมาภิไธยที่ฐาน ่า “พระบาท มเด็จ
พระพุทธเลิ ล้านภาไลย” ที่ผ้าทิพย์ประดับตรา ัญลัก ณ์ท่ี าจได้รับการซ่ มแซมจนเปล่ียนแปลงไป
แล้ แต่เดิม ันนิ ฐาน ่าน่าจะประดับรูปครุฑยุดนาค ซ่ึงเป็นพระบรมราช ัญลัก ณ์ในรัชกาลท่ี 2
พระพุทธรูป งค์ท่ี 3 เป็นพระพุทธรูปปาง มาธิขัด มาธิราบ มีจารึกพระปรมาภิไธยท่ีฐาน ่า
“พระบาท มเด็จพระน่ังเกล้าเจ้า ยู่ ั ” ที่ผ้าทิพย์ประดับตราพระม าปรา าท ซึ่งเป็นพระบรมราช
ัญลัก ณ์ในรัชกาลที่ 3 พระพุทธรูป งค์ที่ 4 เป็นพระพุทธรูปปาง มาธิขัด มาธิเพชรมีจารึก
พระปรมาภไิ ธยท่ีฐาน ่า “พระบาท มเดจ็ พระจ มเกลา้ เจา้ ยู่ ั ” ที่ผ้าทพิ ย์ประดบั ตราพระม ามงกฎุ
ซึ่งเป็นพระบรมราช ญั ลกั ณใ์ นรัชกาลที่ 4

พระพุทธรูป ีกลุ่ม นึ่งมี 5 งค์ (ภาพท่ี 9) งค์ท่ี 1-4 มีจารึกพระปรมาภิไธยและประดับ
พระบรมราช ัญลัก ณ์รัชกาลท่ี 1-รัชกาลท่ี 4 ท่ีฐาน ในขณะที่ งค์ ุดท้ายไม่มี พระพุทธรูปองค์ท่ี 1
เปน็ พระพทุ ธรปู ปางมาร ิชยั ขดั มาธิเพชร มีจารึกทฐี่ าน า่ ร้างตาม ย่างพระประจ�าแผน่ ดินพระบาท
มเด็จพระพทุ ธย ดฟา้ จุ าโลกย์ ซง่ึ เป็นพระเจ้าแผน่ ดนิ ยามพระ งค์ที่ 1 ทผ่ี า้ ทิพยป์ ระดับตราประทุม
ุณาโลม พระพุทธรูปองค์ท่ี 2 เป็นพระพุทธรูปปางมาร ิชัยขัด มาธิราบมีจารึกท่ีฐาน ่า ร้างตาม
ย่างพระประจ�าแผ่นดินพระบาท มเด็จพระพุทธเลิ ล้านภาไลยซ่ึงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ยามพระ งค์
ท่ี 2 ที่ผ้าทิพย์ประดับตรา ัญลัก ณ์ที่ได้รับการซ่ มแซมจนเปล่ียนแปลงไปแล้ แต่เดิม ันนิ ฐาน ่า
น่าจะประดับรูปครุฑยุดนาค ซึ่งเป็นพระบรมราช ัญลัก ณ์ในรัชกาลที่ 2 พระพุทธรูปองค์ที่ 3
เปน็ พระพทุ ธรปู ปาง มาธขิ ดั มาธริ าบ มจี ารกึ ทฐ่ี าน า่ รา้ งตาม ยา่ งพระประจา� แผน่ ดนิ พระบาท มเดจ็
พระนงั่ เกลา้ เจ้า ยู่ ั ซ่งึ เปน็ พระเจา้ แผน่ ดิน ยามพระ งค์ท่ี 3 ที่ผ้าทพิ ย์ประดับตรา ญั ลกั ณท์ ่ีไดร้ ับ
การซ่ มแซมจนเปลย่ี นแปลงไปแล้ แตเ่ ดมิ นั นิ ฐาน า่ นา่ จะประดบั รปู พระม าปรา าท ซงึ่ เปน็ พระบรมราช
ัญลัก ณ์ในรัชกาลท่ี 3 พระพุทธรูปองค์ท่ี 4 เปน็ พระพุทธรูปปาง มาธขิ ัด มาธเิ พชร มีจารึกทฐี่ าน า่
ร้างตาม ย่างพระประจ�าแผ่นดินพระบาท มเด็จพระจ มเกล้าเจ้า ยู่ ั ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ยาม
พระ งคท์ ี่ 5 ทผี่ า้ ทพิ ยป์ ระดบั ตราพระม ามงกฎุ พระพทุ ธรปู องคท์ ่ี 5 เปน็ พระพทุ ธรปู ปางข ฝนประทบั
นงั่ ขัด มาธิเพชร คร งจี ร ม่ คลุม ไม่ปรากฏจารึกและพระบรมราช ญั ลกั ณ์ประจ�าพระ งคท์ ี่ผา้ ทิพย์
จากร่ งร ยการก่ ฐานและรปู แบบ ลิ ปะข งพระพทุ ธรปู งคน์ เ้ี ชื่ า่ นา่ จะ รา้ งขน้ึ เพมิ่ เตมิ ในภาย ลงั
จากการ รา้ งพระพทุ ธรปู 4 งคแ์ รก

226

จากข้ ค ามทปี่ รากฏในจารกึ ทฐี่ านจงึ าจเรยี กพระพทุ ธรปู ทง้ั 2 กลมุ่ นี้ า่ “พระพทุ ธรปู ประจา�
แผ่นดิน” ซึ่งมีค าม มายถึงพระพุทธรูปประจ�าแต่ละรัชกาล การแ ดงปางและท่านั่งข งพระพุทธรูป
ประจา� แผ่นดนิ ทง้ั 2 กลุม่ โดยเฉพาะที่มีจารกึ พระปรมาภไิ ธย ดคล้ งกับการแ ดงปางและทา่ นัง่ ข ง
พระพุทธรปู �าคญั ในราช า� นกั ที่เรยี ก า่ “พระพุทธรูปประจา� พระชนมพรร า” ที่ ร้างขึน้ เท่ากับจ�าน น
พระชนมายุข งพระม าก ัตริย์แต่ละรัชกาลและเก็บรัก าไ ้ในพระบรมม าราช ัง เป็นพระพุทธรูป
�าคัญในราช �านัก �า รับ ัญเชิญมาในการพระราชพิธีถื น�้าพระพิพัฒน์ ัตยา (พระบาท มเด็จ
พระจุลจ มเกลา้ เจา้ ยู่ ั , 2541: 50-51) (ภาพที่ 10)

า� รับพระพุทธรูปปางข ฝน รื พระพุทธรูปคันธารรา ฎร์ประทับนั่งขัด มาธิเพชรที่ ยู่ร่ ม
กับพระพุทธรูปประจ�าแผ่นดินรัชกาลที่ 1-4 ซึ่งน่าจะ ร้างข้ึนในภาย ลัง พบ ่าน่าจะมีเจตนาใ ้เป็น
พระพทุ ธรปู ประจา� แผน่ ดนิ พระบาท มเดจ็ พระจลุ จ มเกลา้ เจา้ ยู่ ั รชั กาลที่ 5 เพราะมลี กั ณะที่ มั พนั ธ์
กบั พระพทุ ธรปู ประจา� พระชนมพรร าในรชั กาลที่ 5 (ภาพที่ 11) โดยพระ ตั ถข์ ายกขนึ้ ในระดบั พระ รุ ะ
ง นิ้ พระ ัตถ์ คล้าย าการก ักเรียกน้�าฝน พระ ัตถ์ซ้าย งายฝ่าพระ ัตถ์ างบนพระเพลาและง น้ิ
พระ ตั ถค์ ลา้ ยการร งรบั นา้� ฝน พระพทุ ธรปู ปางข ฝน งคน์ ย้ี งั มพี ทุ ธลกั ณะใกลช้ ดิ กบั พระพทุ ธรปู ปาง
ข ฝนที่ ัดใ ญ่ ุ รรณาราม เป็นพระพุทธรูป �าคัญ ีก งค์ นึ่งคู่เมื งเพชรบุรี (ภาพที่ 12) จะ ัญเชิญ

กมาใ ป้ ระชาชนได้ ักการะเฉพาะในเท กาล งกรานต์ มปี ระ ัติกล่า า่ รชั กาลที่ 4 และรัชกาลท่ี 5
ทรงพระราช รัทธาพระพุทธรูป งคน์ ี้เปน็ ยา่ งย่งิ (พระบาท มเดจ็ พระจลุ จ มเกลา้ เจา้ ยู่ ั , 2515: 3)
น กจากน้ี เจา้ จ มเ บิ ในรชั กาลท่ี 5 ซง่ึ เปน็ ธดิ าข งเจา้ พระยา รุ พนั ธพ์ ิ ทุ ธิ์ (เท บนุ นาค) ผู้ า่ การเมื ง
เพชรบุรีในขณะนั้น ยังได้น�ารูปแบบข งพระพุทธรูปปางข ฝนจาก ัดใ ญ่ ุ รรณารามน้ีไป ล่ ขยาย
เพ่ื ร้างพระพุทธรูปแทนตั เพ่ื ประดิ ฐานที่พระระเบียง ัดเบญจมบพิตรดุ ิต นาราม (ประ ัติ
ัดเบญจมบพิตรดุ ิต นาราม : ่าด้ ยการ ถาปนา ก่ ร้างเพิ่มเติม ปฏิ ังขรณ์ การพิเ และ
การเกย่ี ข้ งต่าง ๆ, 2543: 166) พระพุทธรปู ปางข ฝนซงึ่ าจเจตนาใ ้เปน็ พระประจา� แผน่ ดนิ พระบาท
มเดจ็ พระจุลจ มเกลา้ เจ้า ยู่ ั จงึ มรี ูปแบบ ัมพันธก์ บั พระพุทธรปู ปางข ฝนคู่เมื งเพชรบุรี

พระพทุ ธรปู ที่มีจำรึกพระนำมพระรำชวงศ์

เจ้านาย ลายพระ งค์ในราช ง ์จักรีได้ ร้าง รื ปฏิ ังขรณ์พระพุทธรูปขนาดเล็ก น้าตัก
รา 1 ก เพื่ บ�าเพ็ญพระราชกุ ล เรียงราย ยู่โดยร บผนังถ�้า ีกเป็นจ�าน นมากก ่า น่ึงร้ ย งค์
(ภาพที่ 13) ทุก งค์เป็นพระพุทธรูปประทับน่ังขัด มาธิราบปางมาร ิชัย จากการ �าร จภาค นามได้
จดั ทา� แผนผงั และร บร มรายพระนามทจ่ี ารกึ ไ บ้ รเิ ณฐานข งพระพทุ ธรปู ทง้ั มด โดยมบี าง งคท์ จี่ ารกึ
พระนามช�ารุดเลื นลาง รื ูญ ายไปแล้ จากการตร จ บพบ ่ามีพระพุทธรูปจ�าน นมากท่ีมีจารึก
พระนามพระราชโ ร พระราชธิดา เจ้าจ มมารดา และเจ้าจ มในรชั กาลท่ี 4 ที่ �าคัญเชน่ พระพทุ ธรปู
จารกึ พระนาม “พระเจา้ ลูกเธ เจา้ ฟ้าชายจุ าลงกรณ บดินทรเทพยมกุฎ ม าบรุ ุ ยรัตนราชพง ร ิ ง
บริพัต ิริ ัฒนราชกุมาร” ซ่ึงเป็นพระนามเดิมข งพระบาท มเด็จพระจุลจ มเกล้าเจ้า ยู่ ั และยังมี
พระพุทธรูปจารึกพระนามพระเจ้าลูกเธ ในรัชกาลท่ี 4 ามพระ งค์ท่ีต่ มาได้รับการ ถาปนาข้ึนเป็น

227

นงั ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เนอื่ งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

มเดจ็ พระอคั รมเ ขี องรชั กาลที่ 5 คอื “พระเจา้ ลกู เธอพระองคเ์ จา้ นุ นั ทากมุ ารรี ตั น”์ พระพทุ ธรปู จารกึ
พระนาม “พระเจา้ ลกู เธอพระองค์เจ้า ่าง ัฒนา” พระพุทธรูปจารึกพระนาม “พระเจ้าลูกเธอพระองค์
เจา้ เ า ภาผ่อง รี” ซ่งึ กลุ่มนอ้ี ย่ใู น ้องโถงใ ญท่ ่เี ป็นคู าประธานของถ�้า

นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูป ลายองค์ที่มีจารึกพระนาม มเด็จพระอัครมเ ี พระราชโอร
พระราชธดิ า และเจา้ จอมมารดาในรชั กาลที่ 5 เชน่ “ มเดจ็ พระนางเจา้ นุ นั ทากมุ ารรี ตั นพระบรมราชเท ”ี
“ มเด็จพระนางเจ้า ่าง ัฒนาพระบรมราชเท ี” “พระนางเจ้าเ า ภาผ่อง รีพระราชเท ี” “ มเด็จ
พระบรมโอร าธริ าช เจา้ ฟา้ ม า ชริ ณุ ิ ยามมกฎุ ราชกมุ าร” ซงึ่ ไดร้ บั การ ถาปนาเปน็ มเดจ็ พระบรม
โอร าธริ าช ยามมกฎุ ราชกมุ ารพระองคแ์ รก และ “ มเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอเจา้ ฟา้ ม า ชริ า ธุ ” พระนาม
เดมิ ของพระบาท มเด็จพระเจ้าอยู่ ั รัชกาลที่ 6 เป็นต้น

ท้ังน้ีจากการ �าร จภาค นามและเอก ารท่ีเกี่ย ข้องพบ ่าในบรรดาพระพุทธรูปทม่ี ีจารึก
พระนามเจา้ นายในราช ง จ์ กั รนี น้ั นอกจากจะมพี ระนามเจา้ นายในฝา่ ย งั ล งแล้ ยงั มพี ระพทุ ธรปู ทมี่ ี
จารกึ พระนามเจา้ นายในฝา่ ย งั นา้ ร มอยจู่ า� น น นง่ึ ด้ ย และพบ า่ นามทปี่ รากฏในจารกึ ของผทู้ นี่ า่ จะ
มอี ายุมากที่ ุดคือเจา้ จอมบญุ นาก ( ะกดตามจารึก) ซึ่งเป็นเจา้ จอมในรัชกาลท่ี 1 ทม่ี ีอายุยนื นานถงึ มยั
รัชกาลที่ 4 เช่ือ ่าการ ร้างพระพุทธรูปที่มีจารึกพระนามเจ้านายในพระราช ง ์จักรีน่าจะ ้ิน ุดลงใน
พ. . 2453 ซึ่งเป็นปี ุดท้ายในรัชกาลที่ 5 ที่ปรากฏจารึกพระนาม ม่อมเจ้า ญิง พระธิดาใน มเด็จ
พระเจ้าลกู ยาเธอ เจา้ ฟา้ กรมขนุ นคร รรค์ รพนิ ติ พระพทุ ธรปู ทปี่ รากฏพระนามเจา้ นายและบคุ คลเนอ่ื ง
ในราช ง จ์ กั รที มี่ จี า� น นมากนบั รอ้ ยองคเ์ ลา่ นจ้ี งึ นบั เปน็ กลมุ่ พระพทุ ธรปู ทม่ี คี าม า� คญั เนอื่ งจากเปน็
ลักฐานทีแ่ ดงถึงค ามเกี่ย ขอ้ งกบั ราช า� นักใน มยั รัตนโก ินทรเ์ ป็นอยา่ งย่ิง

การ รา้ ง รอื ปฏิ งั ขรณพ์ ระพทุ ธรปู ทม่ี จี ารกึ พระนามพระราช ง จ์ า� น นมากเชน่ นี้ เชอ่ื า่ รา้ ง
ขนึ้ ตามพระนามและพระอิ รยิ ย ขณะนนั้ ะทอ้ นถงึ แน คดิ ในการ รา้ งพระพทุ ธรปู เพอ่ื บา� เพญ็ พระราช
กุ ลใ ก้ บั พระราช ง ท์ ีป่ รากฏพระนามตามจารึก ไม่ ่าจะ นิ้ พระชนม์แล้ รอื ยงั ด�ารงพระชนมช์ ีพอยู่
ขณะเดีย กนั พระพทุ ธรูปท่มี พี ระนามเ ลา่ นั้นก็ยังเป็น งิ่ ทีท่ า� ใ ้ระลกึ ถึงพระราช ง พ์ ระองคน์ ัน้ ๆ ด้ ย

อย่างไรกต็ ามภาย ลังจากรชั มยั พระบาท มเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่ ั ไม่พบ ลกั ฐาน ่า
พระม าก ตั ริย์ในพระราช ง ์จักรไี ดเ้ ดจ็ ฯ ไปยังถา้� เขา ล งอกี ซง่ึ อาจเกย่ี ขอ้ งกบั การทพ่ี ระนครครี ี
ไดถ้ ูกปล่อยใ ้ทิ้งร้างลงเม่อื รชั กาลท่ี 5 เ ด็จ รรคต จงึ ไม่มพี ระม าก ัตรยิ ์และพระราช ง ์พระองค์ใด
เ ดจ็ ฯ ไปยงั พระนครครี แี ละถา�้ เขา ล งดงั ทเ่ี คยเปน็ มา ลกั ฐานทเี่ กย่ี ขอ้ งกบั ถา�้ เขา ล งในเ ลาตอ่ มา
จงึ มเี พยี งประกา ในราชกิจจานุเบก าลง ันที่ 23 ตลุ าคม 2470 ทก่ี ลา่ ่ามีพระบรม ง เ์ ด็จไปถ าย
บงั คมพระบรมรปู พระบาท มเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่ ั ทพี่ ระนครครี ี และไดเ้ ดจ็ ไปทอดพระเนตร ถาน
ที่ใกลเ้ คยี ง ร มทั้งได้ประทานทรพั ย์ ่ นพระองค์ในการบรู ณปฏิ งั ขรณ์พระนครคีรีและถ�้าเขา ล ง โดย
มรี ายพระนามพระบรม ง ท์ ี่ า� คญั ไดแ้ ก่ พระ มิ าดาเธอ กรมพระ ทุ ธา นิ นี าฎ มเดจ็ พระเจา้ พน่ี างเธอ
กรมขุนอู่ทองเขตขัติยนารี พระเจ้าพ่ีนางเธอ พระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภา พระองค์เจ้าอัพภันตรีปชา
พระองค์เจ้าเ ม ดี เปน็ ต้น ซง่ึ พระบรม ง ์เ ล่านีต้ ่างมี าย มั พันธท์ ี่เกย่ี ข้องอย่างใกลช้ ดิ กับพระบาท
มเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่ ั และพระบาท มเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่ ั เป็นอยา่ งยงิ่ และนา่ จะเปน็

228

ลกั ฐานทเ่ี ปน็ ลายลกั ณอ์ กั รครงั้ ดุ ทา้ ยทเี่ ปน็ อนุ รณแ์ ดงถงึ ค าม า� คญั ของถา�้ เขา ล งทเ่ี กย่ี ขอ้ ง
กับพระราช ง ์จักรีจากท่ีกล่า มาแ ดงใ ้เ ็น ่าถา้� เขา ล ง มิใช่เป็นเพียง ถานท่ีจาริกแ งบุญ รือ
แ ล่งท่องเท่ีย ทางธรรมชาติในท้องถ่ินของจัง ัดเพชรบุรีเท่านั้น ากแต่เป็น ถานที่ �าคัญทาง
ประ ตั ิ า ตรอ์ ย่างยิ่ง จนอาจกลา่ ได้ ่าถา้� เขา ล ง จงั ัดเพชรบุรี เปน็ แ ล่ง ิลปกรรมแ ง่ พระบรม
ราชานุ รณ์ใน มยั รัชกาลท่ี 4-5 ดังนั้นจึงค รทีจ่ ะตระ นกั ถึงคณุ คา่ และอนุรัก ์ งิ่ ตา่ ง ๆ เ ล่านี้ เพือ่ ใ ้
เป็น ลักฐานทแี่ ดงถึงค าม ัมพนั ธ์ระ า่ งราช า� นกั กับเมืองเพชรบุรใี ้คงอยู่คแู่ ผ่นดินไทย บื ไป

229

นงั ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนือ่ งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

บรรณำนุกรม

จลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่ ั , พระบาท มเดจ็ พระ. (2508). จด มำยเ ตพุ ระรำชกจิ รำย นั พระรำชนพิ นธใ์ น
พระบำท มเด็จพระจลุ จอมเกลำ้ เจำ้ อยู่ ั ภำค 23. พระนคร : อัก รเจริญทั น.์

จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ ั , พระบาท มเด็จพระ. (2515). “พระราช ัตถเลขาพระบาท มเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ ั เม่ือครา เ ด็จประพา มณฑลราชบุรี ในปีระกา พ. . 2452” ใน
ร มเรอื่ งเมอื งเพชรบรุ .ี กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ ามมติ ร. พมิ พเ์ ปน็ อนุ รณ์ ในงานพระราชเพลงิ พ
รอ้ ยเอกเดชา ปริญญาจารยฌ์ าปน ถานกองทัพบก ดั โ มนั ิ าร ันที่ 10 ิง าคม 2515.

จลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่ ั , พระบาท มเดจ็ พระ. (2541). พระรำชกรณั ยำนุ ร. พมิ พค์ ร้ังที่ 3. กรงุ เทพฯ:
กอง รรณกรรมและประ ัติ า ตร์ กรม ลิ ปากร.

ดา� รงราชานภุ าพ, มเดจ็ ฯ กรมพระยา. (2544). ประชมุ พง ำ ดำรภำค 25 ตำ� นำน ัตถุ ถำนตำ่ ง ๆ
ซงึ่ พระบำท มเดจ็ พระจอมเกลำ้ เจำ้ อยู่ ั ทรง รำ้ ง. ม.ป.ท. จดั พมิ พใ์ นงานพระราชทานเพลงิ พ
พนั เอก(พิเ ) ชลิต ริ ิพง ์ ณ เมรุ ัดธาตุทอง นั ที่ 29 ตลุ าคม 2544.

ทพิ ากร ง ม าโก าธบิ ด,ี เจา้ พระยา (ขา� บนุ นาค). (2548). พระรำชพง ำ ดำรกรงุ รตั นโก นิ ทร์ รชั กำลที่ 4.
พิมพ์ครงั้ ท่ี 6. กรงุ เทพฯ: อมรนิ ทร์พร้นิ ติ้งแอนด์พบั ลชิ ชิง่ จา� กัด (ม าชน).

นนั ทา รเนติ ง ์ และคณะ. (2557). ตำมรอยฝรัง่ เลำ่ ค ำม ลงั เมืองพรบิ พรี (เพชรบรุ ี). กรุงเทพฯ:
า� นกั รรณกรรมและประ ัติ า ตร์ กรม ลิ ปากร.

ประ ตั ิ ดั เบญจมบพติ รดุ ิต นำรำม : ำ่ ด้ ยกำร ถำปนำ กอ่ ร้ำงเพิ่มเตมิ ปฏิ งั ขรณ์ กำรพิเ
และกำรเกยี่ ข้องต่ำง ๆ. (2543). กรุงเทพฯ: อมรินทร์พรนิ้ ติ้งแอนดพ์ ับลิชชงิ่ .

ปรัชญา ปานเกตุ. (2557). ประชมุ นริ ำ ภำคที่ 4. นนทบรุ :ี ตน้ ฉบับ.

ุนทรภู่. (2496). นิรำ เมืองเพชร. กรุงเทพฯ: กรม ิลปากร. พิมพ์เป็นท่ีระลึกในงานฌาปนกิจ พ
นางเจยี น ังข ุนทร ณ เมรุ ดั มกฏุ ก ัตริยาราม นั ท่ี 3 มิถุนายน พ. . 2496.

ุริย ุฒิ ุข ั ดิ์, ม่อมราช ง ์. (2535). พระพุทธปฏิมำในพระบรมม ำรำช ัง. กรุงเทพฯ:
า� นักราชเลขาธิการ.

230

เอก ำรจด มำยเ ตุ
“ ารตรา า่ ด้ ยใ เ้ จา้ พระยา งขลาจา้ งจนี ทา� กระเบอื้ ง ปพู น้ื ถา้� เขา ล ง พระราช งั จนั (จ. . 1225).”

(2406) มร4 รล-ก /25. อจด มายเ ตแุ ง่ ชาติ.
“ ารตรา า่ ด้ ยใ พ้ ระยาเพชรบรุ ที า� ทางบนั ได ขนึ้ ลง ถา้� เขา ล ง (จ. . 1218).” (2399). มร4 รล-ก /

11. อจด มายเ ตแุ ง่ ชาติ.
“ นงั อื า่ ด้ ยใ พ้ ระยาเพชรบรุ จี า้ งลา ชาย ญงิ รกั าถา�้ เขา ล ง (จ. . 1221).” (2402) มร4 รล-ก /

17. อจด มายเ ตแุ ง่ ชาต.ิ
“ นัง ือ ่าด้ ยเ ด็จพระราชด�าเนินเมืองเพชบุรีย์ (จ. . 1220).” (2401). มร4 รล-ก /15.

อจด มายเ ตุแ ง่ ชาติ.
ภำพประกอบบทควำม

ภำพท่ี 1 ดกุ๊ โยฮัน อัลเบรกต์ (Duke Johon Alberkt) ผู้ า� เรจ็ ราชการเมืองบรนั ช กิ
(Braunschweig) และพระชายา พระราชอาคนั ตกุ ะในรัชกาลที่ 5 เ ด็จเยือนถา้� เขา ล ง จ.เพชรบรุ ี

ท่ีมาภาพ : อจด มายเ ตุแ ง่ ชาติ

231

นัง อื รวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เนอื่ งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ภำพท่ี 2 ลวงพ่อถ้า� ลวง
ภำพที่ 3 พระพุทธไ ยา น์

ภำพที่ 4 รอยพระพทุ ธบาท

232

ภำพท่ี 5 เจดยี ์แปดเ ลีย่ มประดบั ลวดลายปนู ป้ันและเจดยี ท์ รงระฆัง
ภำพท่ี 6 พระพทุ ธรปู อูท่ อง

ภำพที่ 7 พระพุทธรูปทร่ี ชั กาลที่ 4 และพระราชโอร ทรงปฏิ ังขรณ์

233

นงั อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ภำพที่ 8 พระพุทธรปู ประจา� แผ่นดนิ กลุ่มแรก

ภำพที่ 9 พระพทุ ธรูปประจ�าแผ่นดนิ กลมุ่ ท่ี 2

ภำพท่ี 10 พระพุทธรปู ประจา� พระชนมพรร ารัชกาลท่ี 1
ทมี่ ำภำพ: ุรยิ ุฒิ ขุ ั ด,์ิ ม่อมราช ง ์, 2535: 156.

ภำพท่ี 11 พระพุทธรูปประจา� พระชนมพรร ารชั กาลที่ 5
ที่มำภำพ: รุ ยิ ฒุ ิ ุข ั ดิ,์ มอ่ มราช ง ์, 2535: 376.

ภำพที่ 12 พระพุทธรปู ปางขอฝน ดั ใ ญ่ ุ รรณาราม จงั ัดเพชรบุรี

235

นัง ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ภำพที่ 13 พระพุทธรูปทมี่ จี ารึกพระนามพระราชวงศ์

หมำยเหตุ
1. ภาพที่ 2-9 และ 13 บันทึกภาพโดย ผศ.ดร.พั วี ิริ เปรมกุลนันท์ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2559

กอ่ นการบูรณะของกรมศลิ ปากรเมือ่ พ.ศ. 2560
2. ภาพที่ 12 บันทึกภาพโดย รศ.ดร.รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง เม่ือวันท่ี 29 ตุลาคม 2559 โดยได้รับ

ความกรณุ าจากท่านเจา้ อาวา วัดใ ญ่ ุวรรณาราม จัง วัดเพชรบุรี อนญุ าตใ ้ถา่ ยภาพ

236

ถาปัตยกรรมตะวนั ตกของ า้ งร้านยุโรปกับ
ความเป็นเมือง มยั ใ ม่ของกรุงเทพม านคร*

ดร.เอก ุดา งิ ์ลา� พอง**
Eksuda Singlampong

* บทค ามนเี้ ปน็ การเรยี บเรยี งจาก ่ น นงึ่ ของรายงาน จิ ยั เรอื่ ง “เครอ่ื งเคราตะ นั ตก–อตั ลกั ณน์ า� มยั ของ
ชนชน้ั นา� ไทยช่ งตน้ มยั ใ ม่” โดยได้รับทนุ จากกองทนุ ิจัยและ รา้ ง รรค์ คณะโบราณคดี ประจ�าปีพ. . 2559

** ผู้ช่ ย า ตราจารยป์ ระจา� ภาค ิชาประ ตั ิ า ตร์ ลิ ปะ คณะโบราณคดี ม า ิทยาลยั ลิ ปากร

237

นัง ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนือ่ งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

บทคดั ยอ่

บทค ามนน้ี า� เ นอการ เิ คราะ ภ์ มู ิ า ตรก์ ารตงั้ า้ งรา้ นจา� นา่ ย นิ คา้ นา� เขา้ จากยโุ รปภายใน
กรุงเทพม านครช่ งเปลี่ยนผา่ น ต รร จ�าน น 5 กิจการ ได้แก่ า้ งบกี ริม แอนด์ โค า้ งฟาลค์ แอนด์
ไบเดค า้ งแบดแมน า้ งยอ น์ แซมซนั แอนด์ ซนั และ า้ งเอ .เอ.บี ผู้ จิ ยั เ นอ า่ ทา� เลทต่ี งั้ และรปู แบบ
ทาง ถาปัตยกรรมของอาคารเ ล่าน้ี มีบทบาท �าคัญในการท�าค ามเข้าใจต่อการ ร้างตั ตนของ
กรุงเทพม านครในภาพของเมือง มัยใ ม่ ผลการ ึก าใน ่ นของการ ิเคราะ ์รูปแบบ ถาปัตยกรรม
ได้น�ามาอภิปรายเช่ือมโยงกับอุดมการณ์ของค ามมีอารยธรรมอย่างตะ ันตก ท่ีเ ล่าชนช้ันน�า ยามได้
พยายามผลักดันใ ้เ ร ฐกิจการค้าเป็น ่ น น่ึงของกลไกการพัฒนาประเท ซ่ึงมีผลต่อค ามเป็นเมือง
ของกรงุ เทพม านครทเ่ี ตบิ โตขนึ้ จากนโยบายพฒั นาดา้ น งั คม-การเมอื งของชนชน้ั นา� ยาม ทงั้ นกี้ าร กึ า
ยงั ไดน้ า� ผลกระทบของค ามทะยานอยากในการเปน็ อยา่ งตะ นั ตกร่ มกบั ฒั นธรรมการบรโิ ภค ทเี่ ปน็ การ
น�าเข้า ินค้าจากยุโรปมาพิจารณาร่ มเพ่ืออธิบายปรากฏการณ์ของอัตลัก ณ์ค ามเป็น มัยใ ม่ ในด้าน
ภูมิทั น์ของกรุงเทพม านครที่เปลี่ยนไปนั้น ถนนเจริญกรุงและถนนใกล้เคียงท่ีมีการตัดพาดผ่านถนน
เจรญิ กรงุ เปรยี บเ มอื นเ น้ เลอื ดทที่ า� นา้ ท่ี บู ฉดี ลอ่ เลยี้ งทางเ ร ฐกจิ การคา้ ใ ก้ บั ยามด้ ยการเปน็
ทตี่ ง้ั ของกจิ การ า้ งรา้ นขนาดนอ้ ยใ ญ่ เมอ่ื ถนนเ ลา่ นถ้ี กู ประดบั ประดาไปด้ ย ถาปตั ยกรรมฐานนั ดร กั ด์ิ
แบบใ ม่ของ ยาม คือ ถาปัตยกรรมแบบตะ ันตกที่ล้อรับไปกับอุดมคติแ ่งค าม ิ ิไลซ์ทาง
ถาปตั ยกรรมจากราช า� นัก ยาม องค์ประกอบเ ล่านจ้ี ึงช่ ย ร้างค าม มายของพน้ื ทีใ่ นเชงิ ญั ญะตอ่
อัตลัก ณ์ของกรุงเทพม านคร ในฐานะเมือง ล งท่ีมีอารยธรรมของ ยามใ ม่ในฐานะของผู้เล่นใน
โครงข่ายอาณานิคม อันเป็นมูลเ ตุ �าคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของกรุงเทพม านครท่ีมี ้าง
รา้ นยโุ รปเป็นปัจจยั ร่ มด้ ย

คา� สา� คัญ : ถาปัตยกรรมตะ นั ตกในประเท ไทย, า้ งร้านยโุ รป, กรงุ เทพม านคร, ค ามเป็นเมอื ง,
การทา� ใ ้เป็นตะ นั ตก, ภา ะค ามเป็น มยั ใ ม่, โครงขา่ ยอาณานิคม

238


Click to View FlipBook Version