The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชุมทางวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ARC Archaeology, 2021-01-04 05:07:44

หนังสือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชุมทางวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร

หนังสือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชุมทางวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร

แ ลง่ โบราณคดบี นเนนิ เขา ไดแ้ ก่ แ ลง่ โบราณคดี า� นกั งฆเ์ ขาคา่ ย บา้ นเขาคา่ ย ตา� บลเขาคา่ ย
อ�าเภอ ี บริเ ณที่พบ ลักฐานทางโบราณคดีอยู่ ่ นยอดของเนินเขา ในพ้ืนที่ของ �านัก งฆ์และใน

นปาล์มนา�้ มันทีอ่ ยตู่ ิดกัน พบตะกรนั (slags) จา� น นมาก นอกจากน้ียังพบเ ภาชนะดินเผาเน้อื ดิน
ร มท้งั ชน้ิ ่ นขาของ มอ้ ามขา

แ ลง่ โบราณคดใี นถา�้ นิ ปนู ทเ่ี ปน็ เนนิ เขาซง่ึ เปน็ ่ น นงึ่ ของแ ลง่ เ นิ เชงิ เขา (colluvial)
ใกลค้ ลอง ลาย าย และอยใู่ กลแ้ น รอยเลอื่ น พบแ ลง่ โบราณคดี จา� น น 4 แ ลง่ ไดแ้ ก่ ถา้� ในเขตอา� เภอ ี
คือ ถ�้าตาเช้าและถ�้าโค้งปราบเซียน ต�าบลเขาทะลุ ถ้�า นตาจรัญ และถ�้าอนามัยเก่า ต�าบลเขาค่าย
แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม เมอื่ ไปทา� การ า� ร จแ ลง่ โบราณคดเี ลา่ นพ้ี บเพยี งเ ภาชนะดนิ เผาเนอื้ ดนิ ในปรมิ าณ
เล็กน้อย (ประมาณ 10 ช้ิน) แต่จากการ ัมภา ณ์ได้ข้อมูล ่า ในถ�้าเ ล่าน้ีเคยพบลูกปัด ินคาร์เนเลียน
ทง้ั แบบกลมและแบบเ ลย่ี ม ลูกปัดแก้ เคร่ืองประดับทองค�า ข าน นิ ขัด เครอื่ งมือเ ลก็ และกระดูก
มนุ ย์ และท่ีถ�้า นตาจรัญยังเคยพบเ ภาชนะดินเผา ที่มีการตกแต่งด้ ยการขูดขีดและเขียน ีแดง
คล้ายกับที่พบในแ ล่งโบราณคดีเพิงผาเขา มาแ งน อ�าเภอทุ่งตะโกอีกด้ ย (อรัญ ุกใ , ัมภา ณ์,
23 พฤ ภาคม 2554)

แ ลง่ โบราณคดบี นที่ งู ในบรเิ ณไ ลเ่ ขา พบจา� น น 1 แ ลง่ คอื บา้ นรงุ่ เรอื ง มทู่ ี่ 20 ตา� บล
ละแม อ�าเภอละแม จงั ดั ชุมพร เป็นแ ล่งโบราณคดีบนไ ลเ่ ขาที่มคี ามลาดชนั ปัจจบุ นั บรเิ ณทพี่ บ
โบราณ ตั ถเุ ปน็ ถนนลูกรัง ดา้ น นึ่งของถนนเป็น ุบเขาทม่ี ลี �าธารไ ลผา่ น ่ นอกี ด้านเป็นภูเขา มกี ารใช้
พนื้ ทท่ี า� นผลไมแ้ ละ นยางพารา ลกั ฐานทางโบราณคดที พี่ บ มลี กั ณะการพบเปน็ กลมุ่ โดยพบจาก
ระดบั ผิ ดนิ ลงไปประมาณ 1 เมตร โบราณ ตั ถทุ พี่ บ ไดแ้ ก่ เ ภาชนะดนิ เผา ลกู ปดั แก้ ลกู ปดั นิ อาเกต
ลูกปัดทองค�า ชิ้น ่ นแผ่นโล ะ �าริด ช้ิน ่ นเคร่ืองมือเ ล็กที่มีรูปแบบคล้ายข าน และขอ ับช้าง
(เตีย้ เ ลาคณุ และ เุ ทพ เ ลาคุณ, มั ภา ณ,์ 14 กรกฎาคม 2558)

แ ล่งโบราณคดีบนเ ินเชิงเขา (colluvial) ใกล้คลอง ได้แก่ แ ล่งโบราณคดีปากจั่น
ต�าบลปากจั่น อ�าเภอกระบุรี จัง ัดระนอง เป็นแ ล่งโบราณคดีบนแ ล่งเ ินเชิงเขา ซ่ึงติดกับ
คลองกระบรุ ที างดา้ นตดิ ตะ นั ตก และในบรเิ ณใกลเ้ คยี งมคี ลอง ลกั และคลองจน่ั ไ ลผา่ น จากการ า� ร จ
พบเ ภาชนะดนิ เผาเนอ้ื ดนิ แบบพน้ื เมอื งและเ ภาชนะดนิ เผาเนอื้ แกรง่ (เครอ่ื งถ้ ยจนี ) กระจายอยบู่ น
ผิ ดิน และจากการขุดค้นทางโบราณคดีของ �านัก ิลปากรที่ 15 ภูเก็ต ในปี พ. . 2553 ได้ รุปผล
การขุดค้น ่ามีช้ัน ัฒนธรรม จ�าน น 3 ช้ัน คือ ชั้น ัฒนธรรมท่ี 1 เป็นร่องรอยกิจกรรมของการใช้พ้ืนที่
เมื่อประมาณ 30-40 ปีที่แล้ ช้ัน ัฒนธรรมท่ี 2 เป็นชั้น ัฒนธรรม มัย งครามโลกคร้ังท่ี 2 และ
ช้นั ฒั นธรรมท่ี 3 เป็นร่องรอยกิจกรรมมนุ ย์ที่มีอายุรา พุทธ ต รร ท่ี 8 ซ่ึงพบ ลักฐาน �าคัญคือ
เ ภาชนะดินเผาที่มีการตกแตง่ ด้ ยซฟ่ี นั เฟอื ง (rouletted ware) ลกู ปดั แก้ แบบอนิ โด-แปซฟิ กิ ลกู ปดั
ินคารเ์ นเลยี น และอาเกต (เชา ณา ไข่แก้ , 2553)

แ ลง่ โบราณคดบี นเนนิ เขาทเ่ี ปน็ ่ น นงึ่ ของแ ลง่ เ นิ เชงิ เขา (colluvial) และมคี ลอง
ลาย ายมาบรรจบกัน ได้แก่ แ ลง่ โบราณคดี ดั ปทุมธารารามและแ ลง่ โบราณคดใี น ยาน

139

นัง ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวิชาการ เนอ่ื งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

แ ลง่ โบราณคดี ัดปทมุ ธาราราม มทู่ ่ี 5 ตา� บลกะเปอร์ อา� เภอกะเปอร์ จัง ดั ระนอง พบ
โบราณ ตั ถกุ ระจายอยบู่ นเนนิ ดนิ ทมี่ กี ารปลกู ตน้ ปาลม์ นา้� มนั ทางดา้ น ลงั ของ ดั ใกลเ้ มรเุ ผา พท่ี รา้ งใ ม่
ซ่ึงเป็นบริเ ณที่คลองบางปรุและคลองกะเปอร์ไ ลมาบรรจบกัน แ ล่งโบราณคดีแ ่งน้ีมีการขุดค้นเมื่อ
พ. . 2552 โดย �านัก ลิ ปากรที่ 15 ภเู กต็ ลกั ฐานทางโบราณคดที พ่ี บ ได้แก่ เ ภาชนะดนิ เผาเนอ้ื ดิน
แบบพน้ื เมอื ง เ ภาชนะดนิ เผาทมี่ กี ารตกแตง่ ด้ ยลายซฟี่ นั เฟอื ง (rouletted ware) ลกู ปดั นิ ลกู ปดั แก้
ลูกปดั ทองคา� และลกู ปดั ดนิ เผา (เชา ณา ไข่แก้ , 2552)

แ ล่งโบราณคดใี น ยาน ( นนาง ัลลีย์ ราชกจิ นกิ ุล) บ้านใน ยาน มู่ท่ี 6 ต�าบลพะโตะ๊
อ�าเภอพะโต๊ะ จัง ัดชุมพร ภาพทั่ ไปในปัจจุบันเป็น นผลไม้ มีคลองปากทรงและคลอง อก
(คลองเ าะ) ไ ลมาบรรจบกันดา้ นทิ เ นอื และร มเปน็ แม่นา�้ ลงั น จากการ �าร จพบ ลกั ฐานทาง
โบราณคดี ได้แก่ เ ภาชนะดินเผาเน้ือดิน ช้ิน ่ น น้ากลองมโ ระทึก า� ริด และลกู ปดั แก้ นอกจากนี้
ยังมรี ายงาน า่ พบลกู ปัดดนิ เผา ชิ้น ่ นข าน นิ ขดั ( ารทั ชลอ ันติ กุล, อภริ ฐั เจะเ ลา่ และชาคริต
ิทธิฤทธ์ิ, 2557: 147) เ ภาชนะดินเผาเน้ือละเอียดคุณภาพดีจากอินเดียและร่องรอยการผลิต
ลูกปัดแก้ อกี ด้ ย (โครงการ ิจัยโบราณคดีไทย-ฝรัง่ เ บนคาบ มทุ รไทย-มลาย,ู 2557)

ค าม ัมพันธร์ ะ า่ งภูมิลกั ณ์การต้งั ถิ่นฐานและประเภทของแ ลง่ โบราณคดี

จากข้อมูลด้านธรณี ัณฐานและ ลักฐานทางโบราณคดีท่ีพบซึ่งได้กล่า มาทั้ง มดข้างต้น
อาจแ ดงใ เ้ น็ ถงึ ค าม มั พนั ธข์ องการเลอื กทา� เลทตี่ ง้ั ชมุ ชนโบราณ รอื การเลอื กใชพ้ น้ื ทเ่ี พอ่ื ทา� กจิ กรรม
บางอย่างของมนุ ย์ในอดีตในบริเ ณคาบ มุทรมลายูตอนบน กล่า คือการเลือกพ้ืนที่เพื่อการอยู่อา ัย
และการฝงั พในยคุ ก่อนประ ัติ า ตร์ มกั เลือกถา้� บนภูเขา นิ ปนู บนเทอื กเขาท่ีอยภู่ ายในแผน่ ดิน ซงึ่ ถ้�า
บางแ ง่ พบการเขา้ มาใชพ้ นื้ ทอ่ี กี ครงั้ ใน มยั อยธุ ยา เชน่ แ ลง่ โบราณคดี ดั เทพเจรญิ (ถา�้ รบั รอ่ ) แตก่ พ็ บ า่
มกี ารใชถ้ า�้ ในภเู ขา นิ ปนู ลกู โดดทอ่ี ยบู่ นทรี่ าบนา�้ ทะเลขนึ้ ถงึ ทางฝง่ั อนั ดามนั ด้ ย 1 แ ง่ คอื ถา�้ พระขยางค์
นอกจากน้ียังพบการใช้พื้นท่ีบนภูเขา คือ แ ล่งโบราณคดี �านัก งฆ์เขาค่าย ท่ีอาจเป็นทั้งที่อยู่อา ัย
ทป่ี ระกอบพธิ กี รรม และอาจเปน็ แ ลง่ ตั ถกรรมทเี่ กยี่ ขอ้ งกบั การผลติ โล ะ เนอื่ งจากไดพ้ บตะกรนั เปน็
จ�าน นมาก (แต่ยังคงต้องมีการ ึก าต่อไป ่าเป็นกิจกรรมการผลิตโล ะที่เกิดข้ึนใน มัยใด) และยังพบ
การใชพ้ น้ื ท่ีใน มยั ินใ ม่บนท่รี าบตะกอนน้�าพาทแ่ี ลง่ โบราณคดปี งั าน (บ้านทอนพง ์) อีกด้ ย

่ นใน มยั แรกเรม่ิ ประ ตั ิ า ตรพ์ บ า่ มกี ารใชพ้ นื้ ทที่ ง้ั ธรณี ณั ฐานชายฝง่ั ธรณี ณั ฐานท่ี
เกดิ จากการกระทา� ของนา�้ และธรณี ณั ฐานทเ่ี ปน็ ที่ งู า� รบั การใชพ้ นื้ ทธี่ รณี ณั ฐานชายฝง่ั ไดแ้ ก่ แ ลง่
โบราณคดีถ้�าถ้ ยซึ่งเป็นถา�้ บนท่ีราบน้�าทะเลข้ึนถึง โดยพบ ลักฐานทางโบราณคดีซ่ึงทา� ใ ้ ันนิ ฐานได้
า่ นา่ จะมกี ารตดิ ตอ่ แลกเปลยี่ น (exchange) กบั ดนิ แดนอนื่ รอื เกย่ี ขอ้ งอยา่ งใดอยา่ ง นง่ึ กบั เครอื ขา่ ย
การตดิ ตอ่ แลกเปลย่ี น ท้งั ใน มยั แรกเรม่ิ ประ ัติ า ตร์และ มัยอยุธยา และพบชุมชนโบราณใช้พื้นท่ีตั้ง
ถ่ินฐานบนเนินเขาท่ีอยู่บนท่ีราบน้�าทะเลขึ้นถึงเก่า คือ ชุมชนโบราณภูเขาทอง ซงึ่ นั นิ ฐาน า่ เปน็ ถานี
การคา้ ท่ี า� คญั ทางฝง่ั อนั ดามนั และเปน็ แ ลง่ ผลติ เครอ่ื งประดบั ประเภทแก้ และ นิ กง่ึ อญั มณี ่ นชมุ ชน
โบราณทางฝั่งอ่า ไทยท่ีเป็น ถานีการค้า �าคัญแ ล่งผลิตเคร่ืองประดับประเภทแก้ และ ินกึ่งอัญมณี
ได้แก่ แ ล่งโบราณคดีเขา ามแก้ และแ ล่งโบราณคดีเขาเ กน้ัน ต้ังอยู่บนเนินเขาบนที่ราบน้�าท่ มถึง

140

และมที างนา้� ทเ่ี ชอื่ ม ทู่ ะเลได้ นอกจากนยี้ งั พบ า่ มแี ลง่ โบราณคดบี นแ ลง่ เ นิ เชงิ เขาทตี่ ง้ั อยใู่ นบรเิ ณ
ที่มีคลอง ลาย ายมาบรรจบกัน ซึ่งอาจจะเป็นจุดแ ะพัก �า รับผู้คนในเครือข่ายการติดต่อแลกเปล่ียน
ในช่ งเ ลานนั้ คอื แ ลง่ โบราณคดี ดั ปทมุ ธารารามทางฝง่ั ตะ นั ตก และแ ลง่ โบราณคดใี น ยานทางฝง่ั
ตะ ันออกของคาบ มุทร ทัง้ ยังพบโบราณ ัตถุจากดินแดนอื่นในถ�้าต่าง ๆ เช่น ถ้�าเ ือ ซึ่งเปน็ ถ�้าบนภูเขา
ินปูนทางฝง่ั ตะ นั ตก และกลุ่มถ�้าใกลร้ อยเล่ือนบนแ ลง่ เ นิ เชงิ เขาทางฝง่ั ตะ ันออก คอื กลมุ่ ถ้�าใน
ต�าบลเขาค่ายและเขาทะลุ ซ่ึงอาจท�าใ ้ ันนิ ฐานได้ ่า เป็นการใช้ถ�้าของกลุ่มคนที่อยู่ในเครือข่าย
การตดิ ตอ่ แลกเปลยี่ น โดยอาจมบี ทบาทเปน็ ผู้ า ง่ิ ของ รอื ตั ถดุ บิ จากปา่ เพอื่ นา� มาแลกเปลย่ี นกบั ชมุ ชน
โบราณที่เป็น ถานีการค้า ท้ังน้ีอาจมีการใช้ประโยชน์จากช่องเขา และที่ราบอันเกิดจากรอยเล่ือนเป็น
เ ้นทางคมนาคมในการเดนิ ทางข้ามคาบ มทุ ร

สรปุ

จากการ ึก าพบ ่าบริเ ณคาบ มุทรมลายูตอนบนมีการตั้งถิ่นฐาน รือการใช้พ้ืนทใี่ นธรณี
ณั ฐานทง้ั ทเี่ ปน็ ชายฝง่ั (ยกเ น้ ชาย าด) ธรณี ณั ฐานทเี่ กดิ จากการกระทา� ของนา้� และธรณี ณั ฐานทเี่ ปน็
ท่ี งู โดยแ ลง่ โบราณคดยี คุ กอ่ นประ ตั ิ า ตร์ ่ นใ ญพ่ บบนเขตที่ งู คอื ถา้� และเพงิ ผาในเทอื กเขา นิ ปนู
ซงึ่ ปรากฏทั้งดา้ นตะ นั ตกและดา้ นตะ ันออกของคาบ มุทรมลายูตอนบน ่ นแ ล่งโบราณคดี มยั แรก
เริ่มประ ัติ า ตร์พบในธรณี ัณฐานที่ ลาก ลายมากก ่ายุคก่อนประ ัติ า ตร์กล่า คือ พบแ ล่ง
โบราณคดบี รเิ ณเขา นิ ปนู ทพ่ี บรอ่ งรอยการอยอู่ า ยั รอื การใชพ้ น้ื ทตี่ ามถา้� และเพงิ ผา ซง่ึ ปรากฏทง้ั ดา้ น
ตะ นั ตกและดา้ นตะ นั ออกของคาบ มทุ รมลายตู อนบน บรเิ ณพน้ื ทล่ี กู คลนื่ ลอนลาด รอื weathering
hills บนที่ราบน�้าท่ มถึงใกล้แ ล่งน้�า ซึ่งพบการต้ังถ่ินฐานของมนุ ย์ มัยแรกเร่ิมประ ัติ า ตร์ เช่น
ทแี่ ล่งโบราณคดเี ขา ามแก้ แ ล่งโบราณคดีเขาเ ก และแ ลง่ โบราณคดบี นเนินเขาใกล้ชายฝง่ั ไดแ้ ก่
แ ลง่ โบราณคดภี เู ขาทอง ซง่ึ แ ลง่ โบราณคดเี ลา่ นนี้ า่ จะเปน็ ชมุ ชนโบราณทม่ี บี ทบาท า� คญั ในเครอื ขา่ ย
การตดิ ต่อแลกเปลีย่ น (exchange) ใน มัยแรกเรม่ิ ประ ัติ า ตร์

กติ ตกิ รรมประกาศ

ผู้ จิ ยั ขอขอบคณุ คณะโบราณคดี คณาจารย์ นกั จิ ยั และนกั กึ าภาค ชิ าโบราณคดี ตลอดจน
บคุ ลากรของคณะโบราณคดี ม า ทิ ยาลยั ลิ ปากร พพิ ธิ ภณั ฑ ถานแ ง่ ชาติ ชมุ พร น่ ยงานและบคุ คล
ในท้องถิน่ ที่จัง ัดระนองและจงั ัดชมุ พร ที่ใ ้ค ามช่ ยเ ลือในการเกบ็ ขอ้ มลู ภาค นามอย่างดยี ่ิง

141

นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนอื่ งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

บรรณานกุ รม

ภา าไทย

กรมทรัพยากรธรณ.ี (2555). ธรณี ณั ฐานชายฝง่ั ไทย. กรงุ เทพฯ: กรมทรัพยากรธรณี.

โครงการ ิจยั โบราณคดีไทย-ฝรั่งเ บนคาบ มทุ รไทย-มลาย.ู (2557). “พัฒนาการข งประชากรและ
ระบบนิเ ท่ี ัมพันธ์กับการค้าระยะทางไกลบนคาบ มุทรไทย-มลายู ต นบน (1000 ปี
ก่ นคริ ตกาล- ค. .1000.” ใน รายงาน รุปผลการด�าเนินงานตามโครงการ ิจัยระยะ 4 ปี
ระ ่างปี พ. .2554-2557. แปลโดย ชล ทิ ย์ ท งเจรญิ ชยั กจิ .

เชา ณา ไข่แก้ . (2552). “รายงานการขุดค้นเบ้ื งต้นแ ล่งโบราณคดีกะเป ร์ ( ัดปทุมธาราราม)
ตา� บลกะเป ร์ า� เภ กะเป ร์ จัง ดั ระน ง พ. . 2552.” �านัก ิลปากรท่ี 15 ภเู ก็ต.

_______. (2553). “รายงานการขุดค้นเบ้ื งต้นแ ล่งโบราณคดีปากจ่ัน ต�าบลปากจ่ัน �าเภ กระบุรี
จงั ัดระน ง พ. . 2553.” า� นัก ิลปากรท่ี 15 ภูเกต็ .

บณุ ยฤทธิ์ ฉาย ุ รรณ และเรไร นยั ฒั น.์ (2552). ทุง่ ตึก จดุ เชอ่ื มโยงเ น้ ทาง ายไ มทางทะเล. งขลา:
Trio Creation.

บณุ ยฤทธ์ิ ฉาย ุ รรณ. (2559). “ภเู ขาท งเมื งทา่ ยคุ แรกใน ุ รรณภมู .ิ ” าร าร มาคมประ ตั ิ า ตรฯ์
38: 101-125.

ประทมุ ชมุ่ เพง็ พนั ธุ์. (2545). ประ ัติ า ตร์อารยธรรมภาคใต้ : แ ลง่ ประ ตั ิ า ตรแ์ ละโบราณคดีท่ี
า� คญั ในประเท ไทย. กรุงเทพฯ: ุ รี ยิ า า ์น.

ประ ร ลิ าพนั ธ.์ุ (2557). “การตดิ ต่ แลกเปลย่ี นระ า่ งชมุ ชนโบราณในภาคใตข้ งประเท ไทยและ
ชมุ ชนโบราณในภาคกลางและภาคใตข้ งเ ียดนาม.” เ ก ารประก บการประชุม ิชาการ
เรื่ ง ค ามก้า นา้ ทาง ชิ าการโบราณคดีและการจดั การทรัพยากรทาง ฒั นธรรมข งชาติ
ระ า่ ง นั ท่ี 3-4 มนี าคม 2557 จดั โดยกรม ลิ ปากรร่ มกบั ภาค ชิ าโบราณคดี คณะโบราณคดี
ม า ทิ ยาลยั ลิ ปากร ณ ้ งประชุมใ ญ่ า� นกั มดุ แ ง่ ชาติ ท่า า ุกรี.

มนตรี ชู ง ์ และ โิ รจน์ ดา ฤก ์. (2546). “ ิ ฒั นาการธรณี ัณฐานชายฝ่งั ทะเล ่า ไทยและทะเล
ันดามนั .” รายงานผลการ จิ ยั ทุน ิจัยก งทุนรชั ดาภเิ ก มโภช จุ าลงกรณม์ า ิทยาลยั .

ิ ันธนี โพธิ ุนทร. (2542). พิพิธภัณฑ ถานแ ่งชาติ ชุมพร. กรุงเทพฯ: �านักโบราณคดีและ
พิพิธภัณฑ ถานแ ่งชาติ กรม ลิ ปากร.

142

ารทั ชลอ นั ติ กลุ , อภริ ฐั เจะเ ลา่ และชาครติ ทิ ธฤิ ทธ.ิ์ (2557). รายงานการ า� ร จแ ลง่ โบราณคดี
กอ่ นประ ตั ิ า ตร์ชมุ พร เล่ม 1. นคร รีธรรมราช: า� นกั ลิ ปากรที่ 14 นคร รธี รรมราช
กรม ลิ ปากร.

�านกั งานคณะกรรมการ ิจยั แ ่งชาต.ิ (2538). ธรณี ัณฐานประเท ไทยจาก ้ งอ กา . กรุงเทพฯ:
ด่าน ุทธาการพิมพ.์

ิน ิน กุล และคณะ. (2544). การเปลี่ยนแปลงพ้ืนที่ชายฝั่งทะเลด้านทะเลอันดามัน. กรุงเทพฯ:
กองธรณี ทิ ยา กรมทรัพยากรธรณี.

_______. (2545). การเปลี่ยนแปลงพื้นท่ีชายฝั่งทะเลด้านอ่า ไทย. กรุงเทพฯ: กองธรณี ิทยา
กรมทรัพยากรธรณี.

ภา าตา่ งประเท

Bellina, B. and Silapanth, P. (2006a). “Khao Sam Kaeo and the Upper Thai Peninsula:
Understanding the Mechanisms of Early Trans-Asiatic Trade and Cultural
Exchange.” In Uncovering Southeast Asia’s Past - Selected Papers from
the 10th International Conference of the European Association of
Southeast Asian Archaeologists, 379-392. Edited by L. A. Bacus, I. C. Glover
and V. C. Pigott. London, Septeber 14-17, 2004. Singapore: NUS Press.

_______. (2006b). “Weaving Cultural Identities on Trans-Asiatic Networks: Upper Thai-
MalayPeninsula–an Early Socio-Political Landscape.” Bulletin de l’Ecole
Française d’Extrême-Orient 93 (2006): 257–293.

Sinsakul, S., Chaimanee, N. and Tiyapirach, S. (2002). Quaternary Geology of Thailand.
In the proceedings of the Symposium on Geology of Thailand, 170-180. Bangkok,

Thailand, August 26-31.

ัมภา ณ์

พระอนุพง ์ อนภุ ทั โธ. (2554). มั ภา ณ์, 22 พฤ ภาคม.
อรญั กุ ใ . (2554). ัมภา ณ,์ 22-23 พฤ ภาคม.
เตยี้ เ ลาคณุ และ เุ ทพ เ ลาคณุ . (2558). ัมภา ณ์, 14 กรกฎาคม.

143

นงั ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ตารางท่ี 1 ประเภทของธรณี ัณฐานทเ่ี ป็นทต่ี ง้ั ของแ ลง่ โบราณคดีในพ้นื ที่ กึ า

ประเภทธรณี ันฐาน

ชายฝ่งั ธรณี นั ฐานทเ่ี กดิ จาก ท่ี ูง แ ล่งโบราณคดี
การกระทา� ของน�้า

ทร่ี าบนา้� ทรี่ าบนา�้ ทีร่ าบ ท่รี าบ ภเู ขา ไ ล่เขา เ นิ ชอื่ แ ลง่ อายุ มยั
ทะเลขนึ้ ถงึ ทะเลขนึ้ เกา่ น้า� ท่ มถึง ตะกอนนา� พา เชิงเขา

ถา้� ถา้� พระชยางค์ ก่อนประ ัติ า ตร์

ถา�้ ถ�้าถ้ ย แรกเริ่มประ ัติ า ตร,์
ประ ัติ า ตร์

เนินเขา ภูเขาทอง แรกเริ่มประ ตั ิ า ตร์

ปัง าน ก่อนประ ตั ิ า ตร์

(บา้ นทนพง )์

เนินเขา เขา ามแก้ แรกเรมิ่ ประ ัติ า ตร์

เนนิ เขา เขาเ ก แรกเริ่มประ ัติ า ตร์

เพิงผา เขา มาแ งน แรกเริ่มประ ตั ิ า ตร์

ถ�้า ถา�้ ถนัดได ก่อนประ ัติ า ตร์

ถ�้า ถ�้าเ อื แรกเริม่ ประ ตั ิ า ตร์

ถ�า้ ถ�้านา�้ ลอด ก่อนประ ัติ า ตร์

ถา้� ถา้� ประกายเพชร ก่อนประ ัติ า ตร์

ถ�า้ ถา้� รับรอ่ ก่อนประ ตั ิ า ตร,์

( ัดเทพเจริญ) อยุธยา

ถ้�า ถ�า้ ฉานเรน กอ่ นประ ัติ า ตร์

ถา้� ถ้�า นา้ ก่อนประ ัติ า ตร์
าลช้างเลน่

ถา้� ถ�้าซอยร่ มมติ ร ก่อนประ ตั ิ า ตร์

ถ้�า ถ�้า ้ ยทับทอง กอ่ นประ ัติ า ตร์

�านกั งฆ์ ก่อนประ ตั ิ า ตร์
เขาค่าย

ถา�้ ถ�้าตาเช้า แรกเริ่มประ ตั ิ า ตร์

ถา้� ถ�้าโคง้ ปราบเซยี น แรกเริ่มประ ตั ิ า ตร์

ถา้� ถา้� นตาจรัญ แรกเริ่มประ ัติ า ตร์

ถา้� ถา้� อนามยั เกา่ แรกเรม่ิ ประ ตั ิ า ตร์

บ้านรงุ่ เรือง แรกเริ่มประ ตั ิ า ตร์

ปากจ่นั แรกเริ่มประ ัติ า ตร์,
ประ ัติ า ตร์

ดั ปทุมธาราราม แรกเรม่ิ ประ ัติ า ตร์

ใน ยาน แรกเริ่มประ ัติ า ตร์

ภาพท่ี 1 แผนท่ธี รณี ัณฐานและท่ีต้งั ของแ ล่งโบราณคดยี ุคก่อนประวตั ิศา ตร์

145

นัง อื รวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ภาพที่ 2 แผนที่ธรณี ณั ฐานและที่ต้ังของแ ล่งโบราณคดี มัยแรกเริม่ ประวัตศิ า ตร์

146

การประยกุ ตใ์ ชเ้ คร่อื งมือ �ารวจธรณีฟิ กิ ์
ประเภทการ ยั่งความลึกด้วย ัญญาณเรดาร์ (GPR)

ในการปฏบิ ัตงิ านภาค นามทางโบราณคดี

Application of Ground penetrating radar (GPR)
survey for archaeological field works

ชวลิต ขาวเขียว* และบรสิ ทุ ธิ์ บริพนธ*์ *
Borisut Boripon and Chawalit Khaokhiew

* ผูช้ ่วยศา ตราจารย์ประจา� ภาควชิ าโบราณคดี คณะโบราณคดี ม าวทิ ยาลยั ศิลปากร
** นักวิจยั ปฏิบตั กิ ารประจา� ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี ม าวิทยาลยั ศลิ ปากร

147

นัง ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

บทคัดยอ่
“ธรณีฟิ ิก ์” เป็นการน�า ลักการทางด้าน ิทยา า ตร์ประดิ ฐ์เป็นเครื่องมือ �า รับตร จ
าค ามผิดปกติ รือค ามแตกต่างของ ัตถุและ ิ่งแ ดล้อมโดยรอบท่ีอยู่ใต้ผิ ดินโดยไม่ท�าลายชั้นดิน
ในปัจจุบันการ �าร จทางธรณีฟิ ิก ์มีเคร่ืองมืออยู่ ลายประเภทแบ่งตามคุณ มบัติในการตร จ ัด
ค ามผิดปกติ นึ่งในประเภทที่มีบทบาทในงานโบราณคดี คือ เครื่องมือ �าร จธรณีฟิ ิก ์ประเภท
การ ย่ังค ามลกึ ด้ ย ญั ญาณเรดาร์ (Ground Penetrating Radar) นกั โบราณคดเี ลง็ เ น็ ถงึ ค าม ามารถ
ของ GPR ในการระบุตา� แ น่งของ ลักฐานและค ามแตกตา่ งของชั้นทบั ทมทางโบราณคดี
การด�าเนินงานทางโบราณคดีในครั้งนี้มีจุดประ งค์ในการตร จ อบและเปรียบเทียบผลการ
า� ร จด้ ยเครอ่ื งมอื า� ร จธรณฟี ิ กิ ์ ประเภทการ ยง่ั ค ามลกึ ด้ ย ญั ญาณเรดาร์ (Ground Penetrating
Radar) ในประเดน็ ดา้ นการระบตุ า� แ นง่ ของ ตั ถแุ ละค ามแตกตา่ งของชนั้ ทบั ถมทางโบราณคดี ณ แ ลง่
โบราณคดีบ้านท่าโปะ๊ จัง ดั กาญจนบุรี ค่าค ามผิดปกติต่าง ๆ ที่ปรากฏจะถูกประม ลผล เพอื่ ก�า นด
ต�าแ น่ง ลุมขุดค้นและด�าเนินการขุดค้นตาม ลัก ิชาการตามล�าดับ โบราณ ัตถุและนิเ ัตถุท่ีพบ
จะถูกบันทึกต�าแ น่งท่ีพบโดยละเอียด ิเคราะ ์และเปรียบเทียบเพื่อตร จ อบประ ิทธิภาพ
ของเครอ่ื งมือ า� ร จธรณีฟิ กิ ์กบั การประยุกตใ์ ชใ้ นงานโบราณคดี
คา� สา� คัญ : ธรณฟี ิ ิก ,์ การ ยัง่ ค ามลึก, เรดาร์, การขดุ ค้น

148

Abstract
“Geophysics” is the use of the principle of the scientific method to create a
nondestructive survey instrument to detect anomaly and surroundings under the soil
surface. Nowadays, the geophysics survey method had many kinds of instruments, divided
by their physical properties of anomaly’s detection. One of geophysics instrument which
has a key role in archaeological fieldwork is Ground Penetrating Radar or GPR, archaeologist
known this potential to indicate the position of archaeological remains and diversity of
soil stratigraphy without any damage.
This research aims to verify and compare the result from Ground Penetrating
Radar proficiency of objects position indication and diversity of soil stratigraphy of
Ban Tha Po archaeological site, Kanchanaburi province. All of the anomalies will be
processed to determine the potential area for excavation. The location of archaeological
remains will be recorded carefully, for analysis and comparison with the geophysical
survey results.
Keyword : Geophysics, Penetrating, Radar, Excavation

149

นัง อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เน่อื งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

บา้ นทา่ โปะ๊
ในช่ งเดือนเม ายน 2559 า� นกั ิลปากรท่ี 2 ุพรรณบรุ ี ได้รบั แจง้ า่ มีการพบ ลักฐานทาง

โบราณคดีในพื้นที่โรงเรียนบ้านท่าโป๊ะ ต�าบลบ้านเก่า อ�าเภอเมือง จัง ัดกาญจนบุรี เบื้องต้น �านัก
ลิ ปากรที่ 2 ุพรรณบุรไี ด้เข้าด�าเนนิ การตร จ อบ ลกั ฐานทางโบราณคดีดังกลา่ พบช้นิ ่ นของเ
ภาชนะดินเผาและโครงกระดูกมนุ ย์ ( ภุ มา ด ง กลุ , 2561) เบื้องตน้ คาด ่ามอี ายใุ นช่ ง มยั เดีย กับ
แ ลง่ โบราณคดี า� คญั ในแถบลมุ่ แมน่ า�้ แค เชน่ แ ลง่ โบราณคดนี ายบาง-นายลอื รอื ทร่ี จู้ กั กนั ในชอื่ แ ลง่
โบราณคดบี า้ นเก่า แ ลง่ โบราณคดีถา้� พระไทรโยค (ชิน อยดู่ ,ี 2512, 2529) แ ลง่ โบราณคดีบ้านลุม่ มุ่
(ปรชี า กาญจนาคม และคณะ, 2521) แ ลง่ โบราณคดีถา้� องบะ แ ลง่ โบราณคดีถ้�าเมน่ แ ลง่ โบราณคดี
ถ้�า ีบ แ ล่งโบราณคดีถ�้าเขาทะลุ ( ุรินทร์ ภู่ขจร, 2522, 2524) แ ล่งโบราณคดีบ้าน นามแดง
(พจนก กาญจนจันทร, 2554) เป็นต้น เ ล่านี้คือแ ล่งโบราณคดีแ ล่ง �าคัญท่ีมีการด�าเนินงานทาง
โบราณคดมี าแล้ ในอดีต

ในเ ลาต่อมา �านัก ิลปากรที่ 2 ุพรรณบุรีได้เข้าด�าเนินการขุดค้นทางโบราณคดี โดยมี
ัตถุประ งค์ที่จะเก็บกู้ ลักฐานและข้อมูลทางโบราณคดีใ ้มากที่ ุด ภาย ลังการด�าเนินการขุดค้น
ทางโบราณคดี ทมี นักโบราณคดีพบ ลักฐานทางโบราณคดีท่ี �าคญั ใน ลุมขุดคน้ ที่ 1 (TP 1) พบ ลกั ฐาน
ทางโบราณคดี ามญั และ ลมุ ฝงั พของมนุ ยใ์ นอดตี ประกอบด้ ยโครงกระดกู มนุ ยฝ์ งั ในทา่ นอน งาย
เ ยยี ดยา ฝงั ร่ มกบั ของอทุ ิ โดยโครงกระดกู มนุ ยท์ ขี่ ดุ คน้ พบมอี ายขุ ณะเ ยี ชี ติ อยใู่ น ยั เดก็ จากการ
ิเคราะ ์โบราณ ัตถุและการก�า นดอายุทาง ิทยา า ตร์ แ ล่งโบราณคดีบ้านท่าโป๊ะมีอายุอยู่ในช่ ง
ประมาณ 3,100 ปีมาแล้ ( ุภมา ด ง กุล, 2561)

ภาพท่ี 1 ลมุ ขดุ คน้ ที่ 1 พบ ลกั ฐานทางโบราณคดปี ระเภทประเพณกี ารฝงั พของคนในอดีต

150

การ า� รวจธรณีฟิ ิก ์ ณ แ ล่งโบราณคดีบ้านท่าโป๊ะ

“ธรณีฟิ กิ ”์ เปน็ การ ึก าด้านองค์ประกอบและโครง ร้างทางธรณใี ตผ้ ิ ดิน โดยใช้ ลกั การ
ทาง ิทยา า ตร์ในด้านการเปล่ียนแปลงของ าร พลังงาน การเคล่ือนไ และแรงท่ีเกี่ย ข้องกับ ัตถุ
ประกอบของเปลอื กโลก โดยใช้ ลักการท่ี ่า “ ัตถตุ ่างชนดิ กัน ย่อมมคี ณุ มบัติทางกายภาพที่แตกตา่ ง
กนั ” โดยอา ัยการตร จ ดั คา่ ค ามผิดปกติ (anomaly) จากค ามแตกตา่ งดา้ นคณุ มบตั ิทางกายภาพ
ของ ตั ถุ ตั อย่างเช่น คณุ มบัตดิ า้ น นามแม่เ ลก็ (magnetic), คณุ มบัตดิ า้ นแรงโน้มถ่ ง (gravity),
คุณ มบตั ดิ ้านการต้านทานไฟฟ้า (resistivity) เปน็ ต้น (เพยี งตา าตรัก ์ 2550: 1-2)

เครอื่ งมอื า� ร จธรณฟี ิ กิ ป์ ระเภทการ ยง่ั ค ามลกึ ด้ ย ญั ญาณเรดาร์ (Ground Penetrating
Radar รือ GPR) เป็นตั เลือกที่น�ามาใช้ในการเก็บข้อมูลภาค นามของการ ิจัยในคร้ังนี้ เนื่องจาก
ตั เครอ่ื งมจี ดุ เดน่ ในการตร จ อบลกั ณะใตผ้ ิ ดนิ โดยทไ่ี มท่ า� ลายโครง รา้ ง (Nondestructive testing)
ต่าง ๆ ใต้ผิ ดิน อา ัย ลักการของช่ งระยะเ ลาของการเคลื่อนที่และ ะท้อนกลับของ ัญญาณเรดาร์
ที่ถูกปล่อยจากตั ่ง ัญญาณ เม่ือกระทบกับ ัตถุที่มีคุณ มบัติทางกายภาพท่ีแตกต่างจาก ัตถุแ ดล้อม
และ ะท้อนกลับเขา้ มายงั เคร่ืองรบั ญั ญาณ ระยะเ ลาที่ ัญญาณ ะทอ้ นกลบั มานน่ั มายถึงระยะทาง
จากเคร่ือง ่ง-รับ ัญญาณ ถึง ัตถุน้ัน ๆ ที่อยู่ใต้ดิน ลัก ณะของการต้าน ัญญาณ มายถึง ม ล รือ
ค าม นาแนน่ ของ ัตถุทแ่ี ตกตา่ งจาก ง่ิ ท่ีอยแู่ ดลอ้ ม ัตถุเ ล่าน้ันอยู่ (Oswin, 2009; Blake, 1995)

ัตถุประ งคข์ องการด�าเนนิ งานในครัง้ น้ี เพ่อื ตอ้ งการตร จ อบและคาดการณล์ กั ณะของชนั้
ลกั ฐานทางโบราณคดีใตผ้ ิ ดิน ผลการ ิเคราะ จ์ ะน�ามาใช้ในการพิจารณา างแผนก�า นดต�าแ น่งของ
ลมุ ขดุ คน้ ทางโบราณคดี การดา� เนนิ งานเรมิ่ ตน้ ด้ ยการกา� นดขอบเขตพนื้ ที่ า� ร จด้ ยเครอื่ ง GPR พรอ้ ม
กับก�า นดแน เ ้น �าร จตามแน แกนทิ และระยะทางในแต่ละแน เ ้น �าร จ พร้อมทั้งระบุค่าพิกัด
เพอื่ ะด กในการดา� เนนิ งานและการอา้ งองิ เชงิ พน้ื ที่ การ กึ าในครง้ั นไี้ ดแ้ บง่ พนื้ ที่ กึ าออกเปน็ 3 พน้ื ที่
ดงั น้ี

พื้นท่ี ึก าที่ 1 (Area 1) อยู่ในพื้นท่ีอาคาร ลุมขุดค้นที่ 1 ติดกับผนังด้านทิ ตะ ันออก
เนอ่ื งด้ ย ภาพพ้นื ทท่ี ี่จ�ากดั ภายในอาคาร ลมุ ขุดคน้ ที่ 1 เ ลอื พนื้ ทีท่ ่ี ามารถดา� เนินการได้เพียงพ้นื ทฝ่ี ง่ั
ด้านทิ ตะ ันออก จึงได้ก�า นดแน เ ้น �าร จจ�าน น 2 แน เ ้น �าร จ ในแน แกนทิ เ นือ-ใต้
แน เ น้ ละ 5 เมตร โดยมจี ดุ ประ งคเ์ พอื่ ตร จ อบค ามตอ่ เนอื่ งของ ลกั ฐานทางโบราณคดที พี่ บบรเิ ณ
มมุ ด้านทิ ตะ ันออกเฉยี งใตภ้ ายใน ลุมขุดคน้ ท่ี 1 ต่อเนื่องมายงั ด้านทิ ตะ ันออก

พ้ืนท่ี ึก าท่ี 2 (Area 2) อยู่ถัดจากอาคาร ลมุ ขุดคน้ ที่ 1 มาทางด้านทิ ตะ ันออก ในบริเ ณ
ระ ่างอาคาร ลุมขุดค้นท่ี 1 และโรงเพาะเ ็ดของโรงเรียน ลัก ณะเป็นพ้ืนที่โล่ง โดยได้ก�า นดพ้ืนท่ี
า� ร จขนาด 10x10 เมตร แบ่งเป็น 21 แน เ ้น า� ร จในแกนทิ เ นอื -ใต้ แน เ ้นละ 10 เมตร โดยมี
จุดประ งค์เพอื่ าขอบเขตการกระจายตั ของ ลักฐานทางโบราณคดีในบรเิ ณทางดา้ นทิ ตะ ันออก

151

นงั อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

พื้นที่ ึก าท่ี 3 (Area 3) อยูท่ างด้านทิ เ นือของ ลมุ ขุดคน้ ที่ 1 เปน็ พื้นทโี่ ล่งระ า่ งอาคาร
ลมุ ขุดค้นทางโบราณคดีและพน้ื ท่ขี อง ดั ท่าโปะ๊ กา� นดพื้นที่ �าร จขนาด 10x10 เมตร แบ่งเป็น 21
แน เ ้น �าร จในแกนทิ เ นือ-ใต้ แน เ ้นละ 10 เมตร และ ่ นต่อขยายเพิ่มเติมอีก 5x8 เมตร
ทางด้านทิ ตะ ันตกของพ้ืนท่ี ึก าเดิม (เนื่องจากในการ �าร จในฝั่งด้านทิ ตะ ันตกของพ้ืนท่ี ึก า
พบค ามตอ่ เนอ่ื งของคา่ ค ามผดิ ปกตใิ นดา้ นฝง่ั ทิ ตะ นตก) แบง่ เปน็ 10 แน เ น้ า� ร จ ในแน แกนทิ
เ นอื -ใต้ แน เ น้ ละ 8 เมตร มจี ดุ ประ งคเ์ พอ่ื าขอบเขตของการกระจายตั ของ ลกั ฐานทางโบราณคดี
ในบริเ ณทางดา้ นทิ เ นอื

ภาพที่ 2 ต�าแ นง่ พืน้ ทดี่ �าเนนิ งาน กึ าด้ ยเคร่ืองธรณีฟิ ิก ์และตา� แ นง่ ลมุ ขดุ คน้ ทางโบราณคดี

ผลการ �าร จด้ ยเคร่ืองธรณีฟิ ิก ์ของพื้นที่ท้ัง 3 พื้นที่ จะน�าไป ิเคราะ ์และประม ลผล
เพ่ือคาดการณ์และก�า นดต�าแ น่งของ ลุมขุดค้นทางโบราณคดี จ�าน น 8 ลุม (TP4-TP11)
โดยพจิ ารณาจากลกั ณะของคา่ ค ามผดิ ปกตทิ ปี่ รากฏ เชน่ รปู รา่ งของคา่ ค ามผดิ ปกตทิ มี่ คี ามนา่ นใจ
ในประเด็น ต�าแ น่ง จ�าน นและค าม นาแน่นของค่าค ามผิดปกติท่ีได้จากการ �าร จด้ ยเคร่ืองธรณี
ฟิ กิ ์ ร มไปถงึ ลกั ณะค ามต่อเน่อื งของคา่ ค ามผดิ ปกตใิ นต�าแ นง่ เดยี รอื ใกลเ้ คยี งกันตา่ งแน เ น้
า� ร จ

เมอ่ื ามารถกา� นดตา� แ นง่ ของ ลมุ ขดุ คน้ อา้ งองิ จากผลการ า� ร จด้ ยเครอื่ งธรณฟี ิ กิ แ์ ล้ นนั้
ในข้ันตอนการขุดค้นทางโบราณคดี จะด�าเนินภายใต้โครงการเพ่ิมพูนประ บการณ์ภาค นามทาง
โบราณคดีของภาค ิชาโบราณคดี โดยมีนัก ึก าชั้นปีท่ี 1-3 ภาค ิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี
ม า ิทยาลัย ิลปากรเปน็ ผู้ขุดค้น และมคี ณาจารยข์ องภาค ชิ าโบราณคดีค บคมุ การด�าเนนิ งาน โดยได้
ดา� เนนิ งานในช่ งเดือนมถิ ุนายน 2561

152

ภาพท่ี 3 การดา� เนินงานขุดคน้ ทางโบราณคดโี ดยนกั กึ าภาค ชิ าโบราณคดีในช่ งเดอื นมถิ นุ ายน 2561

ผลการขุดคน้ ทางโบราณคดีในพ้นื ที่ ึก าท้งั 3 พื้นท่ี จ�าน น 8 ลุมขดุ คน้ พบ ลกั ฐานทาง
โบราณคดที ีแ่ ดงถึงกจิ กรรมของคนในอดตี ท้ัง 3 พ้นื ท่ี ในพ้นื ที่ ึก าท่ี 1 ประกอบด้ ย ลุมขดุ คน้ ทาง
โบราณคดีที่ 4 พบ ลักฐานทางโบราณคดที ี่ต่อเน่อื งและ ัมพันธก์ ับ ลักฐานทางโบราณคดใี น ลุมขดุ คน้
ทางโบราณคดที ี่ 1 ลกั ฐานทพ่ี บมคี ามลกึ ใกลเ้ คยี งกนั ในเบอ้ื งตน้ ลกั ฐานทางโบราณคดที พ่ี บมรี ปู แบบ
อดคลอ้ งในช่ ง มยั เดีย กัน

พ้นื ท่ี กึ าที่ 2 ประกอบด้ ย ลมุ ขุดคน้ ทางโบราณคดที ี่ 5, 6 และ 7 ลกั ฐานทางโบราณคดี
ท่ีพบมีค าม นาแน่น ต่อเน่ืองและ อดคล้องกับ ลักฐานทางโบราณคดีท่ีพบ ลุมขุดค้นที่ 1 ได้แก่
ลุมฝัง พ พบโครงกระดกู มนุ ย์ ัยเดก็ ฝังร่ มกับของอุทิ ประเภทภาชนะดินเผา และโครง รา้ งดนิ เผา
ขนาดใ ญ่ ลกั ณะคลา้ ยโครง รา้ งของเตาเผา ่ นในพน้ื ท่ี กึ าที่ 3 ลกั ฐานทางโบราณคดี ามญั ทั่ ไป
ไม่ นาแน่น เชน่ เ ภาชนะดินเผาและนเิ ตั ถุอ่นื ๆ

ภาพที่ 4 ลมุ ขุดคน้ ทางโบราณคดีที่ 4

153

นงั อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนอื่ งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

TP5 TP6 TP7

ภาพท่ี 5 ลมุ ขดุ คน้ ทางโบราณคดีท่ี 5, 6 และ 7 ในพ้ืนที่ ึก าท่ี 2

ใน ่ นของผลการขดุ คน้ ทางโบราณคดใี นพน้ื ที่ า� ร จท่ี 3 ประกอบด้ ย ลมุ ขดุ คน้ ทางโบราณคดี
ที่ 8, 9, 10 และ 11 ผลการขุดค้นได้เป็นไปตามทผ่ี ู้ ิจัยไดค้ าดการณ์ไ ้ในเบื้องต้น จากผลการ ิเคราะ ์
ด้ ยเคร่ืองธรณีฟิ ิก ์ ผลการขุดค้นไม่พบร่อยรอย รือ ลักฐานทางโบราณคดีท่ีเด่นชัดแต่อย่างใด
พบเพยี งโบราณ ตั ถุ ามญั กระจายตั อยา่ งไม่ นาแน่นและไมม่ นี ัย �าคัญในทางโบราณคดี
ธรณฟี ิ กิ ์ กบั ลักฐานทางโบราณคดี

พ้ืนที่ กึ าที่ 1
ในการตร จ อบในพ้ืนที่ ึก าที่ 1 มีจุดประ งค์เพื่อตร จ าค ามต่อเนื่องของ ลักฐาน
ทางโบราณคดจี าก ลมุ ขดุ คน้ ที่ 1 ผลการ เิ คราะ ด์ ้ ยเครอ่ื งธรณฟี ิ กิ ์ พบคา่ ค ามผดิ ปกตอิ ยทู่ ตี่ า� แ นง่
ด้านทิ เ นือของ ลุมขุดค้นทางโบราณคดีที่ 4 (พื้นที่กรอบเ ้น ีเ ลืองในภาพคือต�าแ น่งของ ลุมขุด
คน้ ทางโบราณคดที ี่ 4) ในระดบั ค ามลกึ ประมาณ 90-100 เซนตเิ มตร จากระดบั ผิ ดนิ 2 คา่ ค ามผดิ ปกติ
เม่ือเปรียบเทียบกับผลการขุดค้นทางโบราณคดี พบ ่าในต�าแ น่งท่ีแ ดงค่าค ามผิดปกติของ ัญญาณ
มีค ามใกล้เคียงกับตา� แ น่งที่พบภาชนะดินเผาเตม็ ใบจากการขดุ คน้ ทางโบราณคดี

154

ภาพที่ 6 ต�าแ น่งค่าค ามผดิ ปกติเปรียบเทียบกับ ลักฐานทางโบราณคดีทพี่ บใน ลมุ ขดุ ค้นที่ 4

พน้ื ท่ศี ึกษาที่ 2
ผลการ า� ร จด้ ยเคร่อื งธรณฟี ิ กิ ใ์ นพ้นื ท่ี ึก าท่ี 2 ผลท่ีไดจ้ ากการ ิเคราะ ข์ อ้ มูลท่ีไดจ้ าก
การ า� ร จด้ ยเครอ่ื งธรณฟี ิ กิ ม์ ลี กั ณะแตกตา่ งจากในพนื้ ท่ี กึ าท่ี 1 โดยพบกลมุ่ ของคา่ ค ามผดิ ปกติ
ใน ลายลัก ณะ ท้ังในลัก ณะแบบต่อเน่ืองและที่มีขนาดใ ญ่แตกต่างจากค่าค ามผิดปกติโดยทั่ ไป
ตั อย่างเช่นในบริเ ณแน ด้านทิ ตะ ันตกของพ้ืนที่ขุดค้นทางโบราณคดี พบค ามต่อเน่ืองของค่า
ค ามผิดปกติในแน ทิ ตะ ันออก-ตะ ันตก ( มายเลข 1) เม่ือเปรียบเทียบกับ ลักฐานทางโบราณคดี
ท่พี บจากการขดุ คน้ ทางโบราณคดี ในพน้ื ท่ี กึ าที่ 2 ( ลุมขดุ คน้ ท่ี 5, 6 และ7) ตรงกบั ต�าแ นง่ ของ ลมุ
ฝัง พท่ีพบใน ลมุ ขดุ ค้นที่ 6 างตั ในลกั ณะเดีย กนั คอื แน ทิ ตะ นั ออก-ตะ นั ตก
ในบริเ ณด้านทิ ตะ ันออกของพ้ืนที่ขุดค้นทางโบราณคดี พบค่าค ามผิดปกติ างตั ในแน
ทิ เ นอื -ใต้ ( มายเลข 2) เมอ่ื เปรียบเทียบกับผลการขดุ คน้ ทางโบราณคดีตรงกับต�าแ นง่ ของโครง รา้ ง
ดนิ เผาใกลก้ บั ผนงั ดา้ นทิ ตะ นั ออก ทพี่ บในบรเิ ณพนื้ ที่ ลมุ ขดุ คน้ ที่ 7 ตา� แ นง่ ตอ่ มาทพ่ี บลกั ณะของ
คา่ ค ามผดิ ปกตใิ นบรเิ ณผนงั ดา้ นทิ ตะ นั ออกของพนื้ ท่ี ลมุ ขดุ คน้ ท่ี 6 และ 7 เปรยี บเทยี บกบั ลกั ฐาน
ทางโบราณคดีท่ีพบจากการขุดค้น ในต�าแ น่งใกล้เคียงกับบริเ ณดังกล่า พบภาชนะดินเผาเต็มใบ
( มายเลข 3)

155

นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนอื่ งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

1 2
1
2 1
3
3

ภาพท่ี 7 เปรยี บเทยี บผลการ กึ าด้ ยเครอื่ งธรณฟี ิ กิ ก์ บั ผลการขดุ คน้ ทางโบราณคดใี นพนื้ ท่ี กึ าท่ี 2

ผลการเปรยี บเทยี บในพน้ื ที่ กึ าที่ 3 จากขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากเครอ่ื ง า� ร จธรณฟี ิ กิ ์ พนื้ ท่ี กึ าท่ี 3
พบคา่ ค ามผดิ ปกตเิ ปน็ จา� น นมาก แต่ ากเมอื่ เปรยี บเทยี บกบั ผลการขดุ คน้ ทางโบราณคดใี น ลมุ ขดุ คน้
ทง้ั 4 ลมุ ในพน้ื ที่ กลบั ไมพ่ บ ลกั ฐานทางโบราณคดี นาแนน่ เ มอื นทปี่ รากฏในผลการ า� ร จธรณฟี ิ กิ ์
แต่อย่างใด ดังน้ันในกรณีน้ีผู้ ิจัยจ�าเป็นต้องทบท น ถึงกระบ นการในการท�างานต้ังแต่ในขั้นตอนการ
า� ร จด้ ยเคร่อื ง �าร จธรณฟี ิ กิ ์ การใช้งานเครอ่ื งมือ รือการตง้ั ค่าร มไปถึงค ามผิดพลาดทเ่ี กดิ จาก
ผูใ้ ช้งานเอง า่ มปี จั จัยใดทีท่ า� ใ เ้ กิดลัก ณะเชน่ น้นั

156

ภาพที่ 8 ตั อย่างของผลการ า� ร จธรณฟี ิ กิ ์ ่ น นง่ึ ของพื้นท่ี ึก าท่ี 3 ในภาพแ ดงคา่ ค ามผิดทีพ่ บเปน็ จา� น นมาก

157

นงั ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวิชาการ เนือ่ งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ภาพที่ 9 ผลการขุดคน้ ทางโบราณคดี ไมพ่ บ ลกั ฐานทางโบราณคดี

ประเด็นทีน่ ่าสนใจจากการใช้งานเครอื่ งมือส�ารวจธรณฟี ิสิกส์
การประยุกต์ใชเ้ ครอ่ื ง GPR ณ แ ล่งโบราณคดีบา้ นท่าโปะ๊ ในครง้ั น้ี ถอื า่ เป็นการประยุกตใ์ ช้

งานอปุ กรณท์ าง ทิ ยา า ตรใ์ นลกั ณะงานโบราณคดเี ชงิ ทดลอง ผลการ กึ าทา� ใ ท้ ราบถงึ ค าม ามารถ
และ มรรถนะของเครอ่ื งมอื ร มไปถงึ ขอ้ ดอ้ ยและขอ้ ผดิ พลาดทเี่ กดิ ขน้ึ ผลทไ่ี ดจ้ ากการดา� เนนิ การในครง้ั นี้
ผู้ จิ ยั ไดป้ ระเมนิ ประเดน็ ทนี่ า่ นใจทไ่ี ดจ้ ากการทดลองใชง้ านเครอื่ งมอื ในครงั้ น้ี แบง่ ออกเปน็ ประเดน็ ตา่ ง ๆ
ดงั น้ี

ประเดน็ ที่ 1 ค าม ามารถในการระบุตา� แ นง่ ของคา่ ค ามผดิ ปกติโดยเคร่ือง GPR เครื่องมือ
ามารถระบุต�าแ น่งของ ัตถุใต้ผิ ดิน ซึ่งในที่น้ี มายถึง ลักฐานทางโบราณคดีได้อย่างเป็นที่น่าพอใจ
โดยอย่างย่ิงในด้านระยะทางที่ต้ังของ ัตถุในแน เ ้น �าร จ แต่ทั้งน้ีอาจยังมีข้อผิดพลาดบางประการ
ในด้านระดบั ค ามลึกของตา� แ น่ง ขออภิปรายในประเดน็ ถดั ไป ดงั ตั อย่างการ ึก าในพื้นที่ ึก าที่ 1
และ 2 ค่าค ามผิดปกติท่ี เิ คราะ ไ์ ด้ อดคลอ้ งกบั ตา� แ นง่ ของ ลักฐานทางโบราณคดีท่พี บการจากขดุ
ค้นทางโบราณคดี

158

ลัก ณะและรูปแบบของค่าค ามผิดปกติจากการ ึก าในคร้ังน้ี ผู้ ิจัยจะร บร มเป็นข้อมูล
รายการดรรชนเี ชงิ เทยี บรปู แบบคา่ ญั ญาณค ามผดิ ปกตขิ อง ตั ถแุ ตล่ ะประเภท เชน่ ั ดปุ ระเภทดนิ เผา
โล ะ รือในบริบทประเภท ลุมฝงั พ เปน็ ตน้ เพือ่ ใช้เป็นฐานขอ้ มูลในการอ้างองิ การ เิ คราะ ข์ ้อมูลท่ี
ได้จากการ า� ร จด้ ย GPR ประเภทการ ยงั่ ค ามลึกด้ ย ญั ญาณเรดาร์ในอนาคต

ประเดน็ ที่ 2 ขอ้ ผิดพลาด รอื ค ามคลาดเคล่อื นของเคร่ือง GPR พบ า่ ระดบั ค ามลึกของ ัตถุ
ท่ีตร จ ัดได้ ยงั คลาดเคล่อื นอยู่บ้าง แต่อยู่ในเกณฑท์ ่ี ามารถยอมรบั ได้ ทัง้ นีอ้ าจเปน็ ผลท่เี กิดข้นึ ไดจ้ าก
อัตราการกระจัดของดิน (soil velocity) ที่แตกต่างตามประเภทของดิน ตั อย่างผลการ ึก าในพื้นท่ี
ึก าที่ 3 ผลการ �าร จแ ดงค่าค ามผิดปกติในปริมาณท่ี นาแน่น เมื่อด�าเนินการการขุดค้นทาง
โบราณคดีกลับไม่พบ ลักฐานท่ีแ ดงลัก ณะของกลุ่มของ ลักฐาน รือแม้แต่ลัก ณะของร่องรอย
ค ามผิดปกตทิ ่ชี ัดเจนตามทเ่ี ครอ่ื ง GPR ได้แ ดงค่าค ามผิดปกติไ ้

ประเด็นที่ 3 เปน็ ประเด็น �าคญั ประเด็น นึง่ คือ ประเด็นเกยี่ ข้องกับตั ผู้ใช้งาน (user) ที่อาจ
จะยงั ขาดประ บการณใ์ นการใชง้ านเครอื่ งมอื รอื การปรบั ตง้ั คา่ การใชง้ านของอปุ กรณท์ อี่ าจยงั ไมเ่ มาะ ม
ต่อลัก ณะของพ้ืนท่ี �าร จท่ีด�าเนินการอยู่ ประเด็นนี้เป็นประเด็น �าคัญท่ีผู้ ิจัยจะน�าไปปรับปรุง
การใช้งานของเคร่ืองมอื ในครง้ั ตอ่ ไป

ประเด็นต่าง ๆ ที่กล่า มาในข้างต้นมีค าม �าคัญในทุกประเด็น เป็น ิ่งท่ีผู้ ิจัยจ�าต้องน�าไป
ทบท นถงึ ขอ้ ผดิ พลาดทเี่ กดิ ขนึ้ ทงั้ จากขอ้ จา� กดั รอื การใชง้ านของเครอ่ื งมอื ยงั ไมถ่ กู ตอ้ งเ มาะ ม ร มไป
ถึงการเพ่ิมพูนประ บการณ์ในการใช้งานของตั ผู้ใช้งาน เพ่ือใ ้ ามารถใช้งานเคร่ืองมือได้อย่างเต็ม
ประ ทิ ธภิ าพและ นบั นุนการทา� งานดา้ นโบราณคดไี ด้อย่างเตม็ ท่ี

บทสรุปของ “ธรณีฟิสิกส์ บา้ นทา่ โปะ๊ โบราณคดภี าคสนาม”

ธรณีฟิ ิก ์กับโบราณคดีภาค นามที่แ ล่งโบราณคดีบ้านท่าโป๊ะ การได้ทดลองใชง้ านเคร่ือง
GPR ในภาค นาม เิ คราะ แ์ ละแปลค ามค่าค ามผิดปกติ น�าไป ู่การคาดการณ์เพื่อก�า นดพืน้ ทีก่ าร
ขุดค้นทางโบราณคดีในครั้งนี้ ถือได้ ่าเป็นจุดเร่ิมต้นของการประยุกต์ใช้เคร่ืองมือประเภทธรณีฟิ ิก ์
เพม่ิ พนู ค ามรแู้ ละทกั ะในการใชง้ านเครอ่ื งมอื า� ร จในการปฏบิ ตั งิ านภาค นามใ แ้ กน่ กั จิ ยั ประกอบ
กบั ลกั ฐานทางโบราณคดขี องแ ลง่ โบราณคดบี า้ นทา่ โปะ๊ ทม่ี ี กั ยภาพและค ามนา่ นใจในเชงิ องคค์ าม
รู้ทางโบราณคดี เครื่อง GPR ามารถช่ ยใ ้นักโบราณคดีคาดการณ์โครง ร้างชั้นดินและต�าแ น่งของ
ตั ถุใตผ้ ิ ดนิ น�าผลทีไ่ ด้ช่ ยในการตัด นิ ใจ างแผนการดา� เนินงานขุดคน้ ทางโบราณคดี แม้ า่ ผลทไี่ ด้จะ
มที ง้ั แ ดงผลไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งและไมถ่ ูกตอ้ งบ้างก็ตาม

159

นงั อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เน่อื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ผลจากการด�าเนินงานในคร้ังนี้ผู้ ิจัยเล็งเ ็นถึง ักยภาพ �าคัญประการ นึ่งของเคร่ือง GPR
ที่ ามารถตร จ อบค ามแตกตา่ งของม ล รือ ัตถุ โครง รา้ ง รือองคป์ ระกอบขนาดใ ญ่ รอื ลัก ณะ
ค ามผิดปกติของชั้นดิน ในกรณีการตร จ อบ ัตถุขนาดเล็กผู้ ิจัยเชื่อ ่า ค ามถูกต้องแม่นย�า ามารถ
แปรผันตามตั แปรและปัจจัยที่ ลาก ลาย ท้ังจากตั ัตถุเองที่ลัก ณะทางกายภาพแตกต่างจาก ัตถุ
แ ดล้อมมากเพียงใด ร มถึงขนาดของ ัตถุร มไปถึงปัจจัยจากอุปกรณ์และตั ผู้ใช้งานด้ ยเช่นกัน
จากกรณีทแ่ี ลง่ โบราณคดบี ้านทา่ โป๊ะ ในกรณีของพ้นื ท่ี กึ าท่ี 2 เครอื่ งมอื ามารถตร จ ัดและแ ดง
ผลกลมุ่ ลกั ฐานขนาดใ ญ่ ร มไปถงึ รอ่ งรอยผดิ ิ ยั ไดเ้ ปน็ ทป่ี ระจกั ์ ในทางกลบั กนั ผลการ กึ าในพนื้ ที่
ึก าที่ 3 กลับแ ดงผลไม่ อดคล้องกับ ลักฐานต่าง ๆ เท่าใดนัก ผู้ ิจัยเ ็น ่าอาจเกิดได้ทั้งจาก
ประ บการณ์ในงานอุปกรณ์และประ บการณ์ในการใช้งานเคร่ืองมือ ผู้ใช้งานต้องมีการ ึก าเพิ่มพูน
ประ บการณ์ เพื่อใ ้เกิดค ามเช่ีย ชาญและแก้ไขขอ้ บกพร่องดงั กล่า

่ นตั ผู้ จิ ยั มีค ามคดิ เ ็นเพมิ่ เตมิ เกยี่ กบั การใชง้ านของเคร่ือง GPR ก่อนการดา� เนินงานผูใ้ ช้
งานจ�าเป็นต้องอา ัยการ ึก าข้อมูลพื้นท่ีในเบ้ืองต้น ท้ังการใช้ข้อมูลโทร ัมผั (remote sensing)
ประเภทต่าง ๆ ิเคราะ ์ร่ มกับการใช้งานโปรแกรม าร นเท ภูมิ า ตร์ (GIS) ข้อมูลต่าง ๆ เ ล่านี้
ามารถช่ ยในการก�า นดขอบเขตของพื้นท่ี �าร จ คาดการณ์ต�าแ น่งและลัก ณะของค่าค ามปกติท่ี
จะปรากฏได้ดีมากยิ่งขึ้น ตั อย่างเช่นการ �าร จในพ้ืนที่แ ล่งโบราณคดีบ้านท่าโป๊ะเองน้ัน เป็นการใช้
เครื่องมือเพื่อ �าร จในลัก ณะ ุ่มพ้ืนที่ เพ่ือดูค่าค ามผิดปกติของ ัตถุใต้ผิ ดิน และก�า นดพื้นท่ีจาก
ค ามนา่ จะเปน็ และนา่ นใจของค่าค ามผดิ ปกตเิ ลา่ นั้น

ผู้ จิ ยั เชอื่ า่ กั ยภาพของเครอ่ื ง GPR ามารถมี ่ นช่ ยในงานโบราณคดภี าค นามไดเ้ ปน็ อยา่ งดี
ผลทไี่ ดจ้ ากการ า� ร จและ เิ คราะ แ์ ปลค าม ช่ ยใ น้ กั โบราณคดตี ดั นิ ใจในการ างแผนการดา� เนนิ งาน
ลีกเล่ียงอุป รรคในการท�างาน ลดค ามเ ีย ายต่อช้ันดินและชั้น ลักฐานทางโบราณคดี อีกท้ังเพื่อ
ประ ยัดเ ลาและงบประมาณในการดา� เนินงาน

160

บรรณานกุ รม
ชิน อยู่ดี. (2512). คนกอ่ นประวัติศา ตรใ์ นประเทศไทย. กรงุ เทพฯ: กรม ลิ ปากร.
_______. (2529). มยั กอ่ นประวัติศา ตร์ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: กรม ลิ ปากร.
ปรีชา กาญจนาคม และคณะ. (2521). รายงานเบ้อื งตน้ การ า� รวจโบราณคดลี ุ่มนา�้ แควน้อยตอนบน

อา� เภอทองผาภมู แิ ละอา� เภอ งั ขละบรุ ี จงั วดั กาญจนบรุ .ี กรงุ เทพฯ: การไฟฟา้ ฝา่ ยผลติ แ ง่
ประเท ไทย.
พจนก กาญจนจันทร. (2554). แ ล่งโบราณคดีบ้าน นามแดง: ุ านยุคโล ะริมแม่น�้าแม่กลอง.
กรุงเทพฯ: คณะ งั คม ทิ ยาและมานุ ย ิทยา ม า ทิ ยาลยั ธรรม า ตร์.
เพียงตา าตรัก ์. (2550). ธรณีฟิ ิก ์เพื่อการ �ารวจใต้ดิน. ขอนแก่น: ภาค ิชาเทคโนโลยีธรณี
คณะเทคโนโลยี ม า ทิ ยาลัยขอนแกน่ .
ภุ มา ด ง กลุ . (2561). “ ุ านเด็ก มยั โล ะท่บี า้ นเก่า.” เอก ารประกอบการ ัมมนา จิ ัย จิ กั ณ์
การนา� เ นอผลงานทาง ชิ าการ กรม ลิ ปากร ประจา� ปี พ. . 2561, 24-25 กันยายน.
ุรินทร์ ภู่ขจร. (2522). รายงานผลการวิเคราะ ์ทางวิทยาศา ตร์และผล รุปทางโบราณคดีของ
โครงการ า� รวจและขดุ คน้ วฒั นธรรมยคุ นิ ทพ่ี บในถา้� บรเิ วณ ต.บา้ นเกา่ จ.กาญจนบรุ ี ประจา�
ปี 2520. กรุงเทพฯ: คณะโบราณคดี ม า ทิ ยาลัย ิลปากร.
_______. (2524). การ า� รวจและขดุ คน้ วฒั นธรรมยคุ นิ ใ มท่ พี่ บในถา้� บรเิ วณบา้ นเกา่ จ.กาญจนบรุ .ี
กรุงเทพฯ: ถาบันไทยคดี ึก า ม า ทิ ยาลัยธรรม า ตร์.
Blake, Vanessa S. (1995). “Image processing and interpretation of ground penetrating radar
data.” In Computer applications and quantitative methods in archaeology,
1994. 175-180. Edited by Huggett, J. and Ryan, Nick S. Oxford: Tempvs Reparatvm.
Oswin, John. (2009). A field guide to geophysics in archaeology. Chichester, UK :
Praxis Publishing

161

นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
162

แ ล่งเรยี นรู้นอก อ้ งเรยี น ณ ร้านบ�ารุงชาติ า นายาไทย*
Learning Space at Bumrungchat Sassana Yathai

ดร.ผุสดี รอดเจรญิ **
Putsadee Rodchareon

* บทค ามน้ีเปน็ ่ น น่ึงของงาน จิ ัยเรื่อง “การ กึ าประ ตั ิ และภมู ิปญั ญาการแพทยแ์ ผนไทย ณ ร้านยา
บา้ น มอ าน (บ�ารุงชาติ า นายาไทย) ในการจดั การใ เ้ ปน็ แ ล่งเรียนรตู้ ามรปู แบบพพิ ิธภณั ฑ ถาน”

** อาจารย์ประจ�าภาค ชิ าโบราณคดี คณะโบราณคดี ม า ทิ ยาลัย ลิ ปากร

163

นงั ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

บทคดั ยอ่

กระบ นการด้านการ ึก านั้นมีท้ังการ ึก าในระบบ (Formal Education) และการ ึก า
นอกระบบ (Non-formal Education) จากการประชุมของ UNESCO เรื่อง The World Educational
Crisis ในปี ค. . 1967 นยิ ามการ กึ านอกระบบ ไ ้ ่าเปน็ “การจดั การกจิ กรรมการเรยี นร้อู ย่างเปน็
ระบบ แต่นอกกรอบของการจัดการ ึก าในระบบโรงเรียนปกติ โดยมุ่งบริการใ ้คนกลุ่มต่าง ๆ ของ
ประชากร ทง้ั ทเี่ ปน็ ผใู้ ญแ่ ละเดก็ ” ในปจั จบุ นั ตามพระราชบญั ญตั กิ าร กึ าแ ง่ ชาติ พ. . 2542 มาตรา
15 รุปนิยามการ ึก านอกระบบไ ไ้ ด้ ่า “เปน็ การ ึก าซึ่งจดั ขึ้นนอกระบบปกติ ใ ้กบั ประชาชนทกุ
เพ ทุก ัย โดยมีจุดมงุ่ มายใ ้ผู้เรยี นได้รับค ามรู้ในดา้ นพ้ืนฐานแก่การดา� รงชี ติ ค ามรทู้ างด้านทัก ะ
การประกอบอาชีพและค ามรู้ด้านอ่ืน ๆ เป็นการจัดการ ึก าท่ีมีค ามยืด ยุ่นท้ังรูปแบบและ ิธีการ
จัดการ” ด้ ยนิยามนี้ ่งผลใ ้ น่ ยงานต่าง ๆ ท้ังภาครัฐและเอกชน จัดพื้นท่ีเพื่อเป็น ่ น น่ึงของ
การเรยี นรนู้ อก อ้ งเรยี น เชน่ นู ย์ รา้ ง รรคง์ านออกแบบ (TCDC) า� นกั งานอทุ ยานการเรยี นรู้ (Thailand
Knowledge Park – TK Park) มิ เซยี ม ยาม (Museum Siam) อ ลิ ป ฒั นธรรมแ ง่ กรงุ เทพม านคร
(Bangkok Art and Culture Centre – BACC)

นาย าน รอดม่ ง ซงึ่ เปน็ แพทยแ์ ผนโบราณ กอ่ ต้ังรา้ น “บ�ารุงชาติ า นายาไทย” ตั้งแต่ มัย
รชั กาลพระบาท มเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่ ั ตอ่ เนอ่ื งมาจนถงึ ปจั จบุ นั ดา� เนนิ การตร จรกั าโรคและ
ผลิตยา มุนไพร เพอ่ื รกั าท้ังประชาชนท่ั ไปและขนุ นางในราช �านัก โดยมีตา� รบั ยาเปน็ ของตั เอง และ
ยงั คงผลติ ยาในตา� รบั ดง้ั เดมิ ภายใตก้ ารดแู ลของทายาทรนุ่ ที่ 4 ด้ ยประ ตั ิ า ตร์ บื ทอดมายา นานของ
รา้ นยาบา้ น มอ าน ร มไปถงึ ลกั ณะทาง ถาปตั ยกรรมของรา้ น ซง่ึ มคี าม ยงามบอกค ามนยิ มผา่ น
กาลเ ลามาจนถึงปัจจุบัน กระทั่งได้รับราง ัลอนุรัก ์ ิลป ถาปัตยกรรมดีเด่น ประจ�าปี พ. . 2557
เมอื่ กึ าเรอ่ื งรา เ ลา่ นร้ี ่ มกบั ประ ตั ิ า ตรพ์ น้ื ทข่ี า้ งเคยี งบรเิ ณเ าชงิ ชา้ ง่ ผลใ ร้ า้ นยาบา้ น มอ าน
มคี ณุ มบัตเิ ปน็ แ ลง่ เรียนรูน้ อกระบบ โดยเฉพาะดา้ นภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยท่คี รบถ้ น ามารถ
จดั ประเภท ถานที่แ ่งน้ีเป็นพิพธิ ภัณฑท์ อ้ งถนิ่ ท่บี อกเล่าเรือ่ งรา ในอดตี ผา่ นชดุ ค ามรู้ซ่ึง ะ มไ ท้ งั้ ใน
ตั อาคาร ข้า ของเคร่ืองใช้ และ ถานท่รี อบ ๆ ไดอ้ ย่าง มบรู ณ์

คำ� สำ� คญั : มอ าน, บ�ารงุ ชาติ า นายาไทย, แพทยแ์ ผนไทย, การ กึ านอกระบบ

164

Abstract

The concept of education, as defined by UNESCO at the international conference
on “The World Education Crisis” in 1967, includes the formal and non-formal learning.
Non-formal education is recognised as “the systematic management of learning activity
outside the structural framework of formal education, with an aim to serve both adults
and youths”. The Section 15 of the National Education Act B.E. 2542 describes non-formal
education as an education without fixed forms and organisational structures with the
purpose of providing basic knowledge and skills for citizens of all ages.

Influenced by these defined characteristics of out-of-classroom idea, both
governmental and private sectors have opened various learning spaces such as Thailand
Creative & Design Center (TCDC), Thailand Knowledge Park (TK Park), Museum Siam,
Bangkok Art and Culture Centre (BACC).

Bumrungchat Sassana Yathai was established by Mr. Waan Rod-Muang, the Thai
traditional pharmacist, whose profession spanned from the reigns of King Rama V to
Present. During his active years, his routines included diagnosis of patients coming from
various social backgrounds, construction of drug formularies, and compounding. These
practices that have still been carried on by the current fourth generation. Praised by
a long history and exceptional architecture of the store, Bumrungchat Sassana Yathai has
been honoured by various institutions, including The Architectural Conservation Award
2014.

Considering its eventful past together with local history of neighbourhood,
Bumrungchat Sassana Yathai, though being a Thai traditional pharmacy, can also be
recognised as another space to promote out-of-school learning activity and local museum,
especially for the history of the practice of Thai traditional medicine and this part of Old
Bangkok. The stories can colourfully and thoroughly be narrated and learned through
both architecture and objects.

Keywords: Mowaan, Bumrungchat Sassana Yathai, Thai Traditional Medicine, Non-formal
Education

165

นงั ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนือ่ งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

แ ลง่ เรียนรนู้ อก ้องเรยี น ณ ร้ำนบำ� รุงชำติ ำ นำยำไทย

มากก ่าครึง่ ต รร ทก่ี าร ึก าทุกระดบั ช้นั ไมเ่ พยี งจา� กดั อยู่แคใ่ น ้องเรยี น รอื ท่เี รยี กกัน ่า
การ ึก าในระบบ (Formal Education) แต่เพื่อเ ริมค ามรู้และประ บการณ์เร่ืองต่าง ๆ จึงมีระบบ
การ กึ าทีเ่ รยี ก า่ การ ึก านอกระบบ (Non-formal Education) การประชุมของ UNESCO เรื่อง
The World Educational Crisis ใน ค. . 1967 นยิ ามการ กึ านอกระบบ ไ ้ า่ เปน็ “การจดั การกจิ กรรม
การเรยี นรูอ้ ยา่ งเปน็ ระบบ แตน่ อกกรอบของการจดั การ ึก าในระบบโรงเรยี นปกติ โดยม่งุ บริการใ ค้ น
กลุม่ ตา่ ง ๆ ของประชากร ทั้งท่เี ป็นผู้ใ ญ่และเดก็ ” (Coombs, 1968: 138-139) ในปจั จุบัน พระราช
บัญญัตกิ าร ึก าแ ่งชาติ พ. . 2542 กา� นดใ ้มกี ารจดั การ กึ าไ ้ 3 รปู แบบ คือ การ ึก าในระบบ
โรงเรียน การ กึ านอกระบบโรงเรียน และการ ึก าตามอธั ยา ัย โดยมเี จตนาใ ้เปน็ การจดั การ ึก า
เพื่อ นองต่อ ลักการท่ีถือ ่าผู้เรียนมีค าม �าคัญท่ี ุด นิยามการ ึก านอกระบบและการ ึก าตาม
อัธยา ัย ในมาตรา 15 ระบุ ่า “การ ึก านอกระบบ” เป็นการ ึก าท่ีมีค ามยืด ยุ่นในการก�า นด
จุดมงุ่ มาย รปู แบบ ิธีการจดั การ ึก า ระยะเ ลาของการ ึก า การ ัดและประเมนิ ผล ซ่งึ เป็นเงอ่ื นไข
า� คญั ของการ า� เรจ็ การ กึ า โดยเนอ้ื าและ ลกั ตู รจะตอ้ งมคี ามเ มาะ ม อดคลอ้ งกบั ภาพปญั า
และค ามต้องการของบุคคลแต่ละกล่มุ และ “การ ึก าตามอัธยา ยั ” เป็นการ ึก าที่ใ ้ผเู้ รียนได้เรียน
รู้ด้ ยตนเองตามค าม นใจ ักยภาพ ค ามพร้อม และโอกา โดย ึก าจากบคุ คล ประ บการณ์ ังคม
ภาพแ ดล้อม ่อื รอื แ ลง่ ค ามรู้อนื่ ๆ (พระราชบัญญตั กิ าร กึ าแ ่งชาติ พ. . 2542, 2542: 6)

นอกจากนน้ี ยิ ามของ “การ กึ าตลอดชี ติ ” ในรา่ งพระราชบญั ญตั กิ าร กึ าตลอดชี ติ มาตรา 4
ามารถ รุปได้ ่า เป็นการ ึก าท่ีผ มผ านระ ่างการ ึก าในระบบ การ ึก านอกระบบ และ
การ ึก าตามอธั ยา ัย เพ่อื ใ ้ ามารถพฒั นาคุณภาพชี ติ ได้อยา่ งต่อเน่ืองตลอดชี ิต และ “การเรียนรู้
ตลอดชี ิต” มายค าม ่า การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาท่ีเกิดขึ้นในบุคคล อันเป็นผลมาจากการได้รับ
ค ามรู้ ทัก ะ รือประ บการณ์ และเจตคติอย่างต่อเนื่องทุกช่ ง ัยของชี ิต (ร่างพระราชบัญญัติ
การ ึก าตลอดชี ิต พ. . ..., ม.ป.ป.: 2)

จากนยิ ามข้างตน้ จงึ เกิดแ ล่งการเรียนรตู้ ลอดชี ติ ซึ่ง มายถึง แ ลง่ ถานที่ รอื นู ย์ร มที่
ประกอบด้ ยขอ้ มูล ข่า าร ค ามรู้ และกจิ กรรมทีม่ ีกระบ นการเรียนรู้ รือกระบ นการเรยี นการ อน
ในรูปแบบที่แตกต่างไปจากกระบ นการเรียนการ อนทมี่ ีครูเปน็ ผู้ อน รือเปน็ นู ยก์ ลางการเรียนรู้ทมี่ ี
ก�า นดเ ลาเรียนยืด ยุ่น อดคล้องกับค ามต้องการและค ามพร้อมของผู้เรียน การประเมินและ
การ ดั ผลการเรยี นมีลกั ณะเฉพาะ ท่ี ร้างขน้ึ ใ ้เ มาะ มกับการเรียนรอู้ ย่างต่อเนือ่ ง ไม่จ�าเป็นตอ้ งเป็น
รปู แบบเดยี กนั กบั การประเมนิ ผล ใน อ้ งเรยี น ทง้ั ยงั เปน็ แ ลง่ เรยี นรไู้ ดด้ ้ ยตนเองโดยไมจ่ า� กดั เพ และ ยั
เ ริมการเรียนการ อนในระบบ ใ ้ผู้เรียนรู้เกิดประ บการณ์ตรงจากการลงมือปฏิบัติจริง และช่ ย
เปลี่ยนแปลงทั นคติ คา่ นิยม เพอ่ื เกิดการยอมรบั ่ิงใ ม่ แน คดิ มุมมองใ ม่ (อลงกรณ์ จฑุ าเกตุ, 2556:
23-24)

166

ด้ ยเ ตผุ ลตา่ ง ๆ เ ลา่ นี้ จงึ มี น่ ยงานทงั้ ภาครฐั และเอกชนจดั พน้ื ทเี่ พอื่ เปน็ ่ น นงึ่ ของการ
เรียนรู้นอก อ้ งเรยี น ทีเ่ อ้ือตอ่ การ กึ าและเรียนรตู้ ลอดชี ิต เชน่ นู ย์ ร้าง รรค์งานออกแบบ (TCDC)
ทเ่ี นน้ การ รา้ ง แรงบนั ดาลใจ และค ามคดิ รา้ ง รรคใ์ นการผลติ งานดา้ นการออกแบบ า� นกั งานอทุ ยาน
การเรียนรู้ (Thailand Knowledge Park – TK Park) เปน็ พื้นทเ่ี รยี นรู้ ปลกู ฝัง และ ง่ เ รมิ นิ ยั รักการ
อา่ น เป็นแ ลง่ ขอ้ มลู าธารณะท่ีง่ายต่อการเข้าถึง และ ะด กในการใชเ้ พอ่ื การเรยี นรอู้ ยา่ ง รา้ ง รรค์
ตลอดชี ติ มิ เซยี ม ยาม (Museum Siam) เปน็ พพิ ธิ ภณั ฑฯ์ ที่จัดแ ดงใ ้ผู้ชมเรียนรู้ข้อมูลเก่ีย กับค าม
เป็นไทย ท้ังยังท้ิงประเด็นใ ้คิดตามและต่อยอดค ามคิดไปได้อีก ลายเรื่องรา อ ิลป ัฒนธรรมแ ่ง
กรงุ เทพม านคร (Bangkok Art and Culture Centre – BACC) เปน็ พน้ื ทจ่ี ดั แ ดงงาน ลิ ปะ ลาก ลาย
าขา และเปิดก ้างใ ้กับ ิลปินรุ่นใ ม่ได้มาเรียนรู้และร่ มจัดแ ดงผลงาน เป็นต้น อีกท้ังยังมี ถานท่ี
�าคัญทางประ ัติ า ตร์และโบราณคดีอีก ลายแ ่ง ที่จัดเป็นแ ล่งเรียนรู้นอก ้องเรียนได้เช่นเดีย กัน
เช่น พิพิธภัณฑ์ต�าร จ ังปารุ ก ัน พิพิธภัณฑ์ธนาคารแ ่งประเท ไทย ังบางขุนพร ม พระราช ัง
พญาไท ตา� นกั เจา้ นายฝา่ ยใน ลายพระองคภ์ ายใน งั น นุ นั ทา (ปจั จบุ นั เปน็ ทตี่ งั้ ของม า ทิ ยาลยั ราชภฏั

น นุ นั ทา)
“ร้านบ�ารุงชาติ า นายาไทย” เป็นอีก ถานที่ นึ่ง ที่มีคุณ มบัติตรงกับแ ล่งเรียนรู้นอก

อ้ งเรยี น และแ ลง่ เรยี นรูต้ ลอดชี ติ ามารถ ึก าเรือ่ งรา ทางประ ตั ิ า ตร์ของยาไทย ลกั ณะทาง
ถาปัตยกรรมของร้านค้า และค าม า� คัญของ ัตถุ ่ิงของต่าง ๆ ภายในรา้ นได้ ดังนี้

167

นัง อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

บ�ำรุงชำติ ำ นำยำไทย (ร้ำนยำบ้ำน มอ วำน)
ร้านบ�ารุงชาติ า นายาไทย รือร้านยาบ้าน มอ วาน ก่อต้ังโดย นาย วาน รอดม่วง

(พ.ศ. 2411-2488) ตา� รบั ยาตา่ ง ๆ ตกทอด ทู่ ายาท ทย่ี งั คงทา� นา้ ทด่ี แู ลรา้ นยา ซงึ่ เปน็ ทงั้ บา้ นพกั ถานที่
ปรงุ ยาแผนโบราณ และ ถานท่จี า� น่ายยาแผนโบราณมาถึงปจั จุบนั รวมท้ัง ้ิน 4 รนุ่ ปัจจุบนั ผู้ บื ทอด
รุ่นท่ี 4 คือ นาง าวภา ินี ญาโณทัย เป็นทายาทรุ่นเ ลนตา ในช่วงแรก มอ วานเปิดร้านขายยาใน
ชอื่ “รา้ นจา� นา่ ยยาไทยตราเฉลว” อยบู่ รเิ วณถนนเจรญิ กรงุ ใกล้ แ่ี ยกอณุ ากรรณ จากนน้ั จงึ ยา้ ยมา รา้ ง
รา้ นขายยาและทพ่ี กั ใ มอ่ ยใู่ กลก้ บั ถนนบา� รงุ เมอื ง เมอื่ พ.ศ. 2467 และตง้ั ชอื่ วา่ “บา� รงุ ชาติ า นายาไทย”
ท้ังนี้คนทัว่ ไปมกั เรยี กรา้ นนี้วา่ “รา้ นยาบ้าน มอ วาน”

ภำพที่ 1 ร้านบ�ารุงชาติ า นายาไทย

168

ลกั ษณะสถำปัตยกรรมของร้ำนบำ� รุงชำตสิ ำสนำยำไทย

รา้ นบา� รงุ ชาติ า นายาไทย มลี กั ณะทาง ถาปตั ยกรรมทไ่ี ดร้ บั อทิ ธพิ ลจากตะ นั ตกแบบคลา กิ
นั นิ ฐาน า่ ออกแบบโดย ถาปนกิ ชา ตา่ งชาติ ซงึ่ อาจเปน็ ชา อติ าเลยี น ทเ่ี ขา้ มารบั ราชการในไทยขณะนนั้
โครง รา้ งของบา้ น มอ านแบง่ ออกเปน็ อง ่ นคอื ดา้ น นา้ เปน็ อาคารปนู า� รบั ขายยา มบี านประตู งู
ด้านข้างมีการจดั างข ดยาไ ใ้ เ้ น็ ชัดเจน ภายในรา้ นมีเคาน์เตอรย์ า ข้าง ลงั เคาน์เตอรจ์ ะเปน็ ตู้ยา าง
แ ดงข ดยา รือตั ยาต่าง ๆ และด้าน ลังเป็นอาคารไม้เรือนพักอา ัย บริเ ณ น้าอาคารมีระบบเ า
แบบดอรคิ (Doric) เพอ่ื รองรบั คาน ทผ่ี นงั ของอาคารชน้ั 1 และ 2 พบรปู แบบการใชเ้ าแบบแบน (pilaster)
เพื่อมใิ ้มนี ้�า นักมากเกนิ ไป บริเ ณ นา้ จ่ั ไมไ่ ดม้ ีลัก ณะเป็น ามเ ล่ยี ม นา้ จ่ั (pediment) แตเ่ ป็น
เี่ ลย่ี มผนื ผ้า ันนิ ฐาน ่าเป็นการปรับเปล่ยี นตาม ตั ถปุ ระ งค์ เพ่ือตอบรบั กบั ดาดฟ้าบรเิ ณชนั้ อง
ของอาคาร ซึง่ ใชเ้ ปน็ จุดตาก ัตถดุ บิ ประกอบการท�ายา มนุ ไพร

ภำพท่ี 2 เ าดอรคิ (Doric) รองรับนา้� นัก

169

นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เน่อื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ภำพที่ 3 น้าจั่ว เี่ ล่ยี มผืนผ้าบรเิ วณดา้ น นา้ อาคาร
ภำพท่ี 4 ลานตากยาบริเวณดาดฟา้

170

ภำพที่ 5 บรเิ ณเคานเ์ ตอรข์ ายยาภายในรา้ นบา� รงุ ชาติ า นายาไทย

อาคารร้านยาบ้าน มอ านมีค ามโดดเด่นเม่ือเทียบกับอาคารบริเ ณใกล้เคียงบนถนน
บา� รงุ เมอื ง (เ าชงิ ชา้ ) ซงึ่ เปน็ อาคารกอ่ อฐิ ถอื ปนู 2 ชน้ั โครง รา้ งเปน็ แบบกา� แพงรบั นา้� นกั จงึ มลี กั ณะ
อาคารท่ีค่อนข้างทึบ ลังคามงุ กระเบื้องดนิ เผา น้าต่างแคบ มีกัน าดเฉพาะ น้าตา่ งโดยบริเ ณปลาย
กนั าดประดับด้ ยไม้ฉลลุ าย ช่องลมเ นอื ประตชู น้ั ล่างก่อเป็นรปู โค้ง ภายในโครงประดบั ด้ ยไมฉ้ ลลุ าย
บานประตเู ปน็ บานเฟย้ี มตดิ บานพบั ทางเดนิ ชน้ั ลา่ งเชอื่ มตอ่ กนั ตลอดทกุ คู าโดยไมม่ กี นั าด ลกั ณะทาง
เดนิ ดา้ น นา้ ตกึ มี ลงั คาโคง้ คลมุ เ มอื นตกึ แถ ทภ่ี เู กต็ และปนี งั ซง่ึ ลกั ณะอาคารเ มาะแก่ ภาพอากา
แบบเขตรอ้ น ท ่าในปัจจุบนั ทางเดินชัน้ ลา่ งได้ ายไป เนอ่ื งด้ ยแต่ละคู าขยายพืน้ ท่ีภายในรา้ นค้ารกุ ล้�า
ออกมาจนถึงริมถนน ช่องทางเดินผ่าน น้าร้านปิดทึบ มด ่ นตึกแถ ริมถนน ายอื่นล้ น ร้างขึ้น ลัง
รชั มยั พระบาท มเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่ ั รัชกาลที่ 5 ทงั้ ้ิน เชน่ ตึกแถ ามชัน้ ตรง ั มมุ ถนน
บ�ารุงเมืองตัดกับถนนดนิ อ เปน็ ตึกแถ ที่ ร้างขนึ้ ในภาย ลัง แทนทต่ี ลาดเ าชิงช้าด้งั เดมิ ซ่ึงเป็นแ ล่ง
ขายเครอ่ื ง งั ฆภณั ฑ์ เครอื่ งอฐั บรขิ าร และของใชน้ านาชนดิ เกย่ี กบั พธิ ที าง า นา ไดช้ อ่ื า่ เปน็ ยา่ นการคา้
เครอ่ื ง ังฆภณั ฑท์ ่ีเกา่ แก่และ า� คญั ท่ี ุดมาจนถึงปจั จุบนั

ภำพท่ี 6 ภาพตึกแถ บรเิ ณถนนบา� รุงเมืองในอดตี และปจั จบุ นั

171

นงั อื รวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เนือ่ งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ต�ำรบั ยำของหมอหวำน
มอ านปรงุ ยาแผนโบราณ ลายตา� รบั ท้ังยาระบาย ยาก าดคอเด็ก ยา อม ยาแก้ป ด ั

ตั รอ้ น เปน็ รา้ นยา า� รบั ชา บา้ นในพระนครทั่ ไป*** มคี นไขม้ ารกั าทบี่ า้ นบา้ ง มาซอ้ื ยาไปรกั าเองบา้ ง
บา้ น มอ านจงึ เปน็ ทง้ั คลนิ กิ รกั าและ ถานทปี่ รงุ ยา เมอ่ื ยา้ ย ถานทอี่ ยอู่ า ยั และปรงุ ยาจากมมุ แี่ ยก
อณุ ากรรณมาทถ่ี นนตที องและบา� รงุ เมอื ง ฉลากยากเ็ ปลย่ี นโดยในฉลากยาเขยี นไ ้ า่ ขาย ง่ ขายปลกี และ
ันนิ ฐาน ่าขายดีมากเพราะมีการปลอมเกิดข้ึน ต้องท�าฉลากยาท่ีบางชิ้นเขียน ่า “ของ มอ านแท้
ตอ้ งมตี รา มอ าน” ลงในเอก ารกา� กบั ยาซง่ึ เ น้ ทไ่ี ้ เขา้ ใจ า่ เตรยี มไ ้ า� รบั ประทบั ตราลงไป พบตรา
ประทับประมาณ 4-5 แบบ แบบแรก ๆ จะเป็นแบบลายมือ แล้ พัฒนามาเป็นแบบกึ่งพิมพ์ ซึ่งพิมพ์ท่ี
ถนนตีทอง ยาของ มอ านจงึ มตี ราประทบั เครือ่ ง มายรา้ นคา้ ข้ึนมาในช่ งน้นั

ภำพท่ี 7 ฉลากยาร้าน มอ าน มัยยังอยถู่ นนเจรญิ กรุง ยงั ใช้ชื่อ า่
“รา้ นจ�า น่ายยาไทย์ตราเฉล ” และระบุข้อค าม า่ “จงระ งั ตรา..........เปนยาแท้”

ตรง ่ นทเี่ น้ า่ งคงเตรียมไ ้ า� รบั ประทับตราเครือ่ ง มายร้านค้า

ภำพที่ 8 ฉลากยารา้ น มอ านในช่ งย้ายมาทีถ่ นนบา� รงุ เมอื ง
ในฉลากระบชุ อ่ื รา้ น ่า “บา� รงุ ชาติ า นายาไทย”
และแจง้ เร่อื งยา้ ยรา้ นไ ท้ ตี่ อนทา้ ยของฉลาก

***พระนคร มายถึง พื้นที่ ่ นในเขตเกาะเมืองของกรุงเทพม านคร ซึ่งชา ไทย มัยนั้นเรียก ‘พระนคร’
ครอบคลุมพื้นท่ีมากก ่า ‘เขตพระนคร’ ในปัจจุบัน กล่า คือ เกาะกรุงรัตนโก ินทร์ มี 3 ช้ัน : ชั้นใน (คลอง ลอดชน
คลอง ลอด) ชน้ั กลาง (คลองบางลา� พู ปอ้ มพระ เุ มรุ) ชนั้ นอก (คลองผดุงกรุงเก ม)

172

ตา� รับยายอดนิยมของ มอ วาน ได้แก่ ยา อม 4 ต�ารับ ซง่ึ ปัจจุบันยงั คงมกี ารผลติ ตามต�ารา
ดั้งเดิมคือ

1. ยา อม ุรามฤทธิ์ แก้อาการใจ ั่น เป็นลม บ�ารุง ัวใจ ทานเมื่อมีอาการครั้งละ 1 เม็ด
ตวั ยา �าคัญ ไดแ้ ก่ โ มเกา ลี พมิ เ นเกลด็ อา� พันทอง ญา้ ฝรนั่ ชะมดเช็ด คุลิก่า

2. ยา อมอนิ ทรโอ ถ แกเ้ นอ่ื ยออ่ นเพลยี แกไ้ อ แกเ้ ม ะ ทานเมอ่ื มอี าการ ครง้ั ละ 3-5 เมด็
ตัวยา า� คญั ได้แก่ รากฝาก อม อบเชยญวน เ ็ดนมเ ือ ญ้าฝรน่ั ชะมดเชด็ โคโรค

3. ยา อมประจักร์ แก้จุกเ ียดแน่นท้อง คลื่นไ ้อาเจียน ทานเม่ือมีอาการ ครั้งละ 5-9 เม็ด
ตวั ยา า� คัญ ได้แก่ โ มเกา ลี พิมเ นเกล็ด ชะมดเชด็ ญ้าฝรนั่ เ งา้ ขิงแ ง้

4. ยา อม วา่ งภพ แกอ้ าการวงิ เวยี น นา้ มดื แกไ้ ข วงิ วาย ทานเมอื่ มอี าการ ครงั้ ละ 5-7 เมด็
ตัวยา า� คญั ได้แก่ ใบพิมเ น พิมเ นเกลด็ ญา้ ฝรัน่ โ มเกา ลี ชะมดเช็ด

ยา อมท้ัง 4 ต�ารับ มี รรพคุณท่ีคล้ายคลึงกัน คือ เน้นการบ�ารุง ัวใจ บ�ารุงธาตุในร่างกาย
ใ ท้ า� งานเปน็ ปกติ แตเ่ พอื่ ความ ะดวกในการเลอื กใชข้ องคนในปจั จบุ นั จงึ ระบขุ อ้ ความและ รรพคณุ ของยา
แต่ละขนานใ เ้ ฉพาะเจาะจง เช่น ยา อม ุรามฤทธิ์ มี รรพคุณแกอ้ าการใจ ่ัน เป็นลม มด ติ จุกแน่น
น้าอก

ภำพท่ี 9 ยา อมทั้ง 4 ตา� รบั ของร้านยาบ้าน มอ วาน

173

นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

นอกจากยาทง้ั 4 ตา� รบั แล้ มอ านคดิ คน้ และปรงุ ยา ตู รใ มข่ นึ้ มาด้ ย เชน่ “ยาแมแ่ ปลกลกู ”
เป็นยา �า รับเปลี่ยนแปลงธาตุโล ิตใ ้บริ ุทธ์ิ บ�ารุงอ ัย ะ รรพางค์กาย ใ ้เด็กมีก�าลังแข็งแรงขึ้น
มอ านได้คิดค้นและปรุงยาน้ีข้ึนมา อีกทั้งการันตี ่าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เ มาะ �า รับดับพิ
ของ งิ่ กปรก ใชไ้ ดท้ ง้ั เดก็ ญงิ และชาย เมอ่ื เดก็ รบั ประทานยานแี้ ล้ จะแขง็ แรง ผิ พรรณผอ่ งใ เปน็ ทม่ี า
ของชื่อยาแมแ่ ปลกลกู เพราะเมื่อลูกรับประทานยาน้แี ล้ จะเปลย่ี นไปจนผู้เปน็ แม่แปลกใจ

ภำพท่ี 10 ข ดบรรจุยาแม่แปลกลกู

ปจั จบุ นั ตั ถดุ บิ ในการผลติ ยาบางอยา่ งไม่ ามารถ าไดแ้ ล้ จงึ ยกเลกิ การผลติ ยาแมแ่ ปลกลกู ไป
แต่ยงั ผลติ ยาตามตา� ราแพทย์แผนไทย ตู รอน่ื อยู่ คือ “ยาลกู แปลกแม”่ เปน็ ยาอายุ ฒั นะซึง่ เปน็ ที่รู้จกั ดี
ใน งการแพทยแ์ ผนไทย ปรงุ จากตา� นานมะตมู นม่ิ พระนพิ นธใ์ น มเดจ็ พระม า มณเจา้ กรมพระยาป เร -
รยิ าลงกรณ์ ตามตา� นานกลา่ ถงึ ลกู ชายทป่ี รงุ ยาขนาน นง่ึ เกบ็ ไ ้ แล้ เดนิ ทางจากบา้ นไป เมอื่ แมม่ าพบ
ยานเ้ี ขา้ จงึ กนิ เขา้ ไป อกี ลายปตี อ่ มาลกู ชายกลบั มาบา้ น ปรากฏ า่ จา� แมข่ องตนไมไ่ ดเ้ พราะแมด่ ดู ขี น้ึ ผดิ ตา
จึงเป็นท่ีมาของช่ือยาต�ารบั นี้

ภำพท่ี 11 ข ดบรรจยุ าลกู แปลกแม่

174

ภา นิ ี ไมเ่ พยี งแตป่ รงุ ยาตามตา� รบั ของ มอ านเทา่ นนั้ แตย่ งั คดิ คน้ และปรงุ ลกู อมชนื่ จติ ตข์ น้ึ
โดยมีพื้นฐานมาจาก ูตรยา อมที่ผลิตอยู่แล้ เนื่องจากต้องการใ ้ยา อมเป็นยาที่คนทุก ัย ามารถรับ
ประทานได้ง่าย เข้ากับ ิถีชี ิตในปัจจุบัน จึงได้น�ายา อมมาปรุงใ ม่เป็นเม็ดอม มี รรพคุณช่ ยย่อย
แกท้ อ้ งอดื ทอ้ งเฟอ้ แกไ้ อ แกเ้ ม ะทั่ ไป และเ ม ะของผทู้ เ่ี ลกิ บุ รี่ แก้ งิ เ ยี น เมารถ เมาเรอื ใ ค้ าม ดชน่ื
และขบั ลมในเ น้ อมกอ่ นน ด เมอ่ื ต้องการใ ล้ มในเ ้นเดนิ ะด กขึน้

ภำพท่ี 12 ลกู อมชน่ื จติ ต์

นอกจากน้ี มอ านมีโอกา ได้ถ ายการรัก า มเด็จพระเจ้าบรม ง ์เธอ กรมพระยา
เท ะ ง ์ โรปการ เ นาบดกี ระทร งการตา่ งประเท และไดร้ บั พระราชทานกลอ่ งไมจ้ ากพระธดิ าทา่ น นง่ึ
ในพระองค์ ภายในกล่องไม้มีข้อค ามเขียน ่า “ขอบใจ มอ วาน ที่ช่วยปรนนิบัติเ ด็จพ่อ เม่ือคราว
ประชวร” ลกั ฐานนเี้ ปน็ อกี นง่ึ ง่ิ ทชี่ ่ ยยนื ยนั ถงึ ค าม ามารถดา้ นการรกั าของ มอ านไดเ้ ปน็ อยา่ งดี

ภำพที่ 13 กลอ่ งไมพ้ ระราชทานจากพระธดิ าใน มเด็จฯ กรมพระยาเท ะ ง ์ โรปการ

175

นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เน่ืองในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

อุปกรณก์ ำรตรวจโรค-กำรผลิตยำ ของหมอหวำน
มอ านไม่เพียง ึก า า ตร์การรัก าและการปรุงยาในแบบแพทย์แผนไทย ต้ังแต่ปลาย

รชั มยั พระบาท มเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่ ั รชั กาลที่ 5 เทา่ นนั้ แตท่ า่ นยงั นา� า ตรก์ ารแพทยแ์ ผน
ตะ นั ตกมาประยุกต์ใชก้ ับการตร จโรคและการผลิตยาของตนเองด้ ย ภายในรา้ นยาบ�ารุงชาติ า นายา
ไทยจงึ มขี า้ ของทเี่ กยี่ ขอ้ งกบั ประ ตั ิ า ตรก์ ารรกั าโรคของ มอ านอยมู่ ากมายซง่ึ งิ่ ทนี่ า่ นใจ เชน่

1. แทน่ พมิ พย์ าเมด็ เปน็ แทน่ พมิ พไ์ มแ้ บง่ เปน็ 2 ่ น คอื ่ นฐาน า� รบั ใ ย่ า และ ่ นประกบ
ด้านบน า� รับบดกลงิ้ ยาใ ้ออกมาเปน็ เม็ด ามารถผลิตยาเม็ดไดเ้ ร็ และจา� น นมากก ่าปั้นด้ ยมือ

ภำพท่ี 14 แท่นพมิ พย์ าเมด็

2. แทน่ บดยา รางใ ย่ าและลกู กลงิ้ บดยาเปน็ โล ะ ่ นแกนยดึ เปน็ ไมเ้ นอื้ แขง็ โดย าดลายมกร
ไ ้ท่มี ุมบนของแกนยึด ่ นลกู กลง้ิ บดยา เป็น ัญลกั ณเ์ พื่อปกปักรัก าตั ยาจาก ่ิงชั่ รา้ ย

ภำพที่ 15 แท่นบดยาและลายมกรท่ีแทน่

176

3. เขีย้ ตั ์ กราม ัต ์ เพอ่ื ใชเ้ ปน็ ตั ถุดบิ เพื่อผลิตยา

ภำพที่ 16 เข้ยี ตั ์และกราม ัต ์

4. ข ดแก้ แบบ LUB “Label Under Glass Bottle” เปน็ ข ดแก้ แบบมฉี ลากฝังในเน้อื แก้
นยิ มใชร้ า กลางคริ ต์ ต รร ที่ 19 จนถงึ ตน้ คริ ต์ ต รร ท่ี 21 ซงึ่ ตอ้ ง งั่ ผลติ โดยเฉพาะจากตา่ งประเท
เพราะต้องน�าฉลากยาฝังไ ้ในเนื้อแก้ บางคร้ัง ระ รือพยัญชนะภา าไทยจึงมีรูปผิดเพ้ียนไปบ้าง
ในปัจจุบันแม้จะไม่ได้ใช้ข ดชนิดน้ีบรรจุยาแล้ แต่ทายาทของ มอ านยังคงเก็บรัก าข ดยาต่าง ๆ
ไ ้อย่างดี และในบางข ดยังปรากฏยาท่ี มอ านผลติ บรรจอุ ยู่อกี ด้ ย

ภำพที่ 17 ข ดยาจากบา้ น มอ าน

177

นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนือ่ งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

ภำพที่ 18 ยาเม็ดท่เี ลอื อยู่ภายในข ดยา

5. ูฟังทางการแพทย์ (Stethoscope) ประดิ ฐ์ขึ้นช่ งต้นคริ ต์ ต รร ที่ 19 โดย René
Laennec นายแพทยช์ า ฝรั่งเ เป็นกระบอกไม้ ใชฟ้ ังโดยการแนบเข้ากบั นา้ อก กระทง่ั ใน พ. . 2394
นายแพทย์ Arthur Leared ชา ไอรชิ ได้ประดิ ฐ์เครือ่ งช่ ยฟังแบบ อง ขู ้ึน (Lyons and Joseph,
1987: 511) ฟู งั ทางการแพทยร์ นุ่ แรก ๆ น้ี ปรากฏ ลกั ฐานทร่ี า้ นบา� รงุ ชาติ า นายาไทยเชน่ กนั เนอ่ื งจาก
มอ าน ่ังน�าเข้ามาจากต่างประเท เพ่ือน�ามาใช้ ินิจฉัยอาการป่ ยของคนไข้ และจัดยาใ ้เ มาะ ม
กับอาการ แ ดงใ ้เ ็น ่า มอ านประยุกต์ า ตร์การแพทย์แผนตะ ันตกมาใช้กับแพทย์แผนไทยได้
อย่างมปี ระ ิทธภิ าพ

ภำพที่ 19 ชุด ฟู ังทางการแพทย์และปรอท ดั ไขข้ อง มอ าน
ซง่ึ เป็นแบบเดยี กบั ูฟงั ทางการแพทยแ์ บบ อง ทู ี่

พัฒนาข้ึน ลัง พ. . 2394 (Lyons and Joseph, 1987: 510)

178

6. ตราประทับเครื่อง มายร้านค้า จาก ลักฐานท่ีปรากฏในยุโรป ันนิ ฐาน ่ารูปแบบของ
ตราประทบั เครอ่ื ง มายรา้ นคา้ เรม่ิ ตน้ ขนึ้ ในช่ งคริ ต์ ต รร ท่ี 16 เพอ่ื ใชก้ บั นิ คา้ ประเภทผา้ และข ดยา
โดยช่ งแรกใช้เขียนด้ ยลายมือ จนกระท่ังในคริ ต์ ต รร ท่ี 18 จึงมีการพิมพ์ฉลากการค้าใน ินค้า
ประเภทยาขนึ้ รา้ นบา� รงุ ชาติ า นายาไทย มตี ราประทบั เครอ่ื ง มายรา้ นคา้ ประมาณ 4-5 แบบ แบบแรก ๆ
จะเปน็ แบบลายมอื แล้ พัฒนามาเป็นแบบก่งึ พมิ พ์ ซ่งึ พิมพ์ข้นึ ที่ถนนตที อง ตราประทบั เ ลา่ นี้นอกจาก
ช่ ยบอกชือ่ ร้านแล้ ยังแ ดงเอกลัก ณข์ องรา้ นคา้ ที่ผา่ นยคุ มยั ต่าง ๆ ไดด้ ้ ย

ภำพที่ 20 ตราประทับแบบต่าง ๆ ของรา้ นยา มอ าน

ประ ัติของ มอ าน รอดม่ ง ต�ารับยาของ มอ าน อุปกรณ์ที่เกี่ย ข้องกับการรัก าโรค
และลกั ณะ ถาปตั ยกรรมของบา้ น ดงั ทกี่ ลา่ ขา้ งตน้ แ ดงใ เ้ น็ ถงึ ค ามรคู้ าม ามารถของ มอ าน
ค ามต้ังใจรัก าต�ารับยา พร้อมท้ังรัก าประ ัติ า ตร์บ้าน มอ านของทายาทท้ัง 4 รุ่น ่งผลใ ้
ณ ปจั จบุ นั ไมเ่ พยี งรกั าค ามเปน็ รา้ นขายยาแผนไทยทมี่ คี ณุ ภาพ แตย่ งั เปน็ แ ลง่ เรยี นรดู้ า้ นประ ตั ิ า ตร์
ท่ดี ี มีชี ติ ชี า อกี ท้งั การไดร้ บั ราง ัลอนุรกั ์ ลิ ป ถาปตั ยกรรมดีเดน่ ประจ�าปี พ. . 2557 ช่ ยยนื ยนั
คณุ คา่ และค ามทมุ่ เทของทายาทตอ่ การบา� รงุ รกั า ถาปตั ยกรรมของรา้ นบา� รงุ ชาติ า นายาไทยอกี ด้ ย

จากชุดข้อมูลของร้านบ�ารุงชาติ า นายาไทย แ ดงใ ้เ ็นถึงค าม �าคัญต่อการอนุรัก ์
ภูมิปัญญาการรัก าด้ ยยาไทย การเก็บรัก า ัตถุ ิ่งของที่เกี่ย เน่ืองกับการผลิตและรัก าโรค ร มทั้ง
การอนรุ กั ์ ถาปตั ยกรรมของตั บา้ น ถอื เปน็ เอกลกั ณท์ โี่ ดดเดน่ และนา่ นใจ เ มาะ มและมคี ณุ มบตั ิ
ในการจดั เปน็ แ ลง่ เรยี นรนู้ อก อ้ งเรยี น ช่ ยเออ้ื ประโยชนใ์ เ้ กดิ การ กึ าตลอดชี ติ ของบคุ คลทกุ เพ ยั
และผทู้ ม่ี คี าม นใจเฉพาะทงั้ ดา้ นประ ตั ิ า ตรแ์ ละโบราณคดี ดา้ นแพทยแ์ ผนไทย รอื ดา้ น ถาปตั ยกรรม
ใชเ้ ปน็ พน้ื ทเ่ี รยี นรเู้ ฉพาะบคุ คลตามค าม นใจได้ ทง้ั ยงั มลี กั ณะของการ กึ าตามอธั ยา ยั ซงึ่ เมอ่ื บคุ คล
เ ลา่ นนั้ ไปเรยี นรกู้ ช็ ่ ยเพม่ิ ทกั ะ ประ บการณ์ ค ามรู้ ทั นคติ ่ นบคุ คล และตอ่ ยอดค ามรู้ าขาตา่ ง ๆ
ออกไปได้ ด้ ยข้อมูลด้านประ ัติ า ตร์และโบราณคดีของบ้าน มอ าน ่งผลใ ้ ถานที่แ ่งน้ีมี
ค ามเ มาะ มทจ่ี ะจดั เปน็ แ ลง่ เรยี นรนู้ อก อ้ งเรยี น ซงึ่ ถอื เปน็ การ กึ านอกระบบ การ กึ าตามอธั ยา ยั
อกี ทงั้ ยังเป็นแ ล่งเรียนรู้ตลอดชี ิตทด่ี ีมากอกี แ ง่ น่ึง

179

นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนอื่ งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

บรรณำนุกรม
“พระราชบัญญัติการ ึก าแ ่งชาติ พ. . 2542.” (2542). รำชกิจจำนุเบกษำ เล่ม 116, ตอน 74 ก

(19 งิ าคม): 1-23.
“ร่างพระราชบญั ญัตกิ าร ึก าตลอดชี ติ พ. . ... .” (ม.ป.ป.). ม.ป.ท.: 1-14.
อลงกรณ์ จุฑาเกตุ. (2556). “การมี ่ นร่ มของชุมชนในการพัฒนาแ ล่งการเรียนรู้ตลอดชี ิต:

พพิ ธิ ภณั ฑท์ อ้ งถน่ิ กรงุ เทพม านคร.” ดุ ฎนี พิ นธ์ าขา ชิ าการ กึ าตลอดชี ติ และการพฒั นา
มนุ ย์ บัณฑิต ทิ ยาลยั ม า ิทยาลยั ลิ ปากร.
Coombs, Phillip H. (1968). The World Education Crisis A Systems Analysis. New York:
Oxford University Press.
Lyons, Albert S. and Joseph, R. (1987). Medicine: an illustrated history. New York:
Abradable Press.

180

บางประเด็นเกยี่ วกบั ทรงผมและ
ศริ าภรณใ์ นศลิ ปะเอเชยี อาคเนย์ภายใต้อทิ ธพิ ลอนิ เดีย

Some topics about the coiffure and
the headdress in Southeast Asian art

with the Indian Influences

ดร.เชษฐ์ ตงิ สัญชล*ี
Chedha Tingsanchali

* รองศา ตราจารย์ประจา� ภาควชิ าประวตั ิศา ตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี ม าวิทยาลยั ศลิ ปากร

181

นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

บทคัดยอ่
บทค าม จิ ยั น้ี เปน็ ผลการ กึ า ่ น นงึ่ จากงาน จิ ยั เรอ่ื ง “บทบาทของ ลิ ปะอนิ เดยี ตอ่ เครอ่ื ง
แต่งกายประติมากรรมบุคคลในเอเชียอาคเนย์” ซ่ึงได้รับทุนอุด นุนการ ิจัยจาก ถาบัน ิจัยและพัฒนา
ม า ทิ ยาลยั ลิ ปากร ประจา� ปีงบประมาณ 2559
บทค ามนไ้ี ดย้ กตั อยา่ งปรากฏการณท์ ค่ี น้ พบในงาน จิ ยั ขน้ึ มา 3 กรณี คอื 1. การแพรก่ ระจาย
ของอิทธิพลอินเดียเป็น งก ้าง ซึ่งบทค ามน้ียกกรณี ึก าการแพร่กระจายของ “ตาบเพชรพลอย”
ทก่ี ระจายไปทั่ เอเชยี อาคเนย์โดยไม่จา� กดั า นาและประติมาน ิทยา 2. การปรากฏข้นึ ของทรงผม รอื
ริ าภรณ์ “เฉพาะกลมุ่ ” อนั แ ดงการเลอื กรบั ปรบั ใชแ้ ละการปฏเิ ธอทิ ธพิ ลอนิ เดยี ของประตมิ ากรเอเชยี
อาคเนย์ ในบทค ามน้ไี ด้ยกตั อยา่ งการปรากฏข้ึนของทรงผมแบบชฎาภารในเอเชียอาคเนย์ ซงึ่ เป็นทรง
ผมท่ีถูกใช้น้อยมาก โดยปรากฏใน ิลปะท าร ดีและเขมรก่อนเมืองพระนครเท่านั้น และใช้จ�ากัดกับ
ประตมิ ากรรมในกฑู แุ ละพระ ิ ะในภาคโยคทกั ณิ ามรู ติ 3. การปรบั เปลย่ี น นา้ ทขี่ องทรงผม รอื ริ าภรณ์
ในเอเชียอาคเนย์ ซง่ึ บทค ามนไ้ี ด้ยกกรณี กึ าเกย่ี กับทีม่ าของรดั เกลา้ รูปกร ยใน ิลปะเขมร มยั เมอื ง
พระนคร า่ ค รมที มี่ าจาก “กรณั ฑมกฏุ ” ใน ลิ ปะช าภาคกลางซง่ึ มพี นื้ ฐานมาจาก ลิ ปะอนิ เดยี ใตอ้ กี ที นงึ่
ค�ำส�ำคญั : ทรงผม, ริ าภรณ,์ อนิ เดีย, เอเชยี อาคเนย,์ ชฎาภาร, กริ ฏี มกฏุ , กรัณฑมกฏุ

182

Abstract

This article is the part of the research entitled “The Role Indian Influence to the Dress
of Sculpture in Southeast Asian Art” funded by Silpakorn University Research Institute during
the fiscal year 2016.

There are three cases exemplified in this article
1. The study of the scattering of Indian artistic influence throughout Southeast Asia:
This article exemplifies the influence of the jewelry decorations at the headgear for sculptures
from India to Southeast Asian art. The study reveals that the jewelry fashion has been popular
throughout the region without any limit from the religions nor iconographic rules.
2. The study of the less-popular type of the coiffure or headdress in Southeast Asia:
This article focuses on the particular coiffure entitled Jatābhāra with its limitation of usage in
Southeast Asian iconography. The study reveals that this particular coiffure is found only in
Dvāravatī and Pre-Angkorian Khmer schools and is limited either to the figures decorating the
horseshoed arches or to the hermit representation of Śiva
3. The study of the changing of function of the coiffure or headdress in Southeast
Asia: This article focuses on the stylistic influence of the pointed crown called Karaṇḍamakuṭa
from South India to Javanese art and finally to the early Angkorian Khmer art. The study
reveals that the immediate conversion of the Kirīṭamakuṭa in Khmer is the result of the
insertion of Karaṇḍamakuṭa form Javanese art.
Keywords: coiffure, headdress, Indian art, Southeast Asian art, Jatābhāra

Kirīṭamakuṭa, Karaṇḍamakuṭa

183

นงั ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เนือ่ งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

บทค าม จิ ยั นี้ เปน็ ผลการ กึ า ่ น นงึ่ จากงาน จิ ยั เรอื่ ง “บทบาทของ ลิ ปะอนิ เดยี ตอ่ เครอื่ ง
แต่งกายประติมากรรมบุคคลในเอเชียอาคเนย์” ซ่ึงได้รับทุนอุด นุนการ ิจัยจาก ถาบัน ิจัยและพัฒนา
ม า ทิ ยาลัย ิลปากร ประจา� ปงี บประมาณ 2559

ดังที่ทราบกันแล้ ่า เครื่องแต่งกายใน ิลปะอินเดียเป็นพ้ืนฐาน �าคัญแก่ ิลปะเอเชียอาคเนย์
ก่อนพทุ ธ ต รร ที่ 19 อยา่ งไรกต็ าม การ ึก าทผี่ ่านมาล้ นแตใ่ ช้ “การแบง่ พื้นท่ี” รือ “แบ่ง กุล
ลิ ปะ” ในการ กึ า ซงึ่ การ กึ าเชน่ นท้ี า� ใ ไ้ ม่ ามารถทา� ค ามเขา้ ใจอทิ ธพิ ลอนิ เดยี ทมี่ ตี อ่ เครอื่ งแตง่ กาย
ในเอเชยี อาคเนยไ์ ด้ งาน จิ ยั เรอ่ื งนจี้ งึ พยายาม กึ า“แยก ่ น” ทางดา้ นรปู แบบแตม่ องภาพร มโดยไมม่ ี
การแบง่ พน้ื ที่ รอื กลุ ลิ ปะ ทงั้ นเี้ พอ่ื ตอบปญั าทงั้ ทางดา้ นรปู แบบและประตมิ าน ทิ ยาของประตมิ ากรรม
บคุ คลในเอเชียอาคเนย์ใ ้ชัดเจนขนึ้

ในงาน ิจัยได้ตร จ อบเครื่องแต่งกายถึง 3 ่ น คือ “มกุฏ- ิราภรณ์” “เคร่ืองแต่งกายที่
พระ รกายท่อนบน” และ “เครื่องแต่งกาย �า รับพระ รกายท่อนล่าง” อย่างไรก็ตามบทค ามน้ีจะ
ขอนา� เ นอเฉพาะบางประเดน็ ที่นา่ นใจเก่ีย กับ “มกฏุ - ริ าภรณ์” มาใช้ในการ กึ า

จากการ กึ ามกี ารคน้ พบ “ปรากฏการณท์ าง ลิ ปกรรมตา่ ง ๆ” จา� น นมาก โดยในบทค ามน้ี
จะขอนา� เ นอ 3 ปรากฏการณท์ ่ี า� คัญ ได้แก่

1. ปรากฏการณก์ ารแพร่กระจายทาง ิลปกรรมใน “ งก า้ ง” ภายใตอ้ ิทธิพลอินเดีย ตั อยา่ ง
เชน่ การกระจายของตาบเพชรพลอย

2. ปรากฏการณก์ ารเกดิ ทรงผม- ริ าภรณ์ “เฉพาะกลมุ่ ” ซงึ่ ถกู จา� กดั เฉพาะบางพน้ื ที่ รอื เฉพาะ
ประติมาน ิทยาบางมูรติเท่านน้ั อนั แ ดงการ “เลอื กรบั ” รอื “ปฏิเ ธ”อิทธพิ ลจาก ิลปะอนิ เดียของ
ประตมิ ากรเอเชยี อาคเนยต์ ั อยา่ งทจี่ ะนา� เ นอในบทค ามนี้ ไดแ้ ก่ ชฎาภาร อนั เปน็ ทรงผมทป่ี รากฏนอ้ ย
มากในเอเชียอาคเนย์

3. ปรากฏการณ์ “การเปลยี่ นผา่ น นา้ ทขี่ องเครอื่ งทรง จาก “ นา้ ท่ี นง่ึ ” ไป อู่ กี “ นา้ ท่ี นงึ่ ”
ซึง่ ประเด็นนี้แ ดงใ เ้ ็น “การปรับใช้” ของเอเชียอาคเนยเ์ อง ตั อย่างท่ี า� คญั ได้แก่ การเปล่ียนแปลง
นา้ ท่ีของกรณั ฑมกุฏใน ลิ ปะช าและ ลิ ปะเขมร มยั เมืองพระนคร

ปรำกฏกำรณท์ ่ี 1: กำรแพร่กระจำยทำงศลิ ปกรรมใน “วงกวำ้ ง” ภำยใตอ้ ทิ ธิพลอินเดยี กรณศี ึกษำ
กำรแพร่กระจำยของตำบเพชรพลอย

ดังท่ีทราบกันดีแล้ ่า ิราภรณ์ใน ิลปะอินเดียมีอิทธิพล “เป็น งก ้าง” ต่อเอเชียอาคเนย์
ไม่ ่าจะเป็น ชฎามกุฏแบบคุปตะ กุลช่าง ารนาถ ม กทรงกระบอกเรียบแบบปัลล ะตอนต้น และ
กระบัง น้าที่ประดับตาม ามเ ล่ียมแบบปาละ นอกจากนี้ “การประดับตาบเพชรพลอย” ก็พบเป็น
งก า้ งในเอเชยี อาคเนยเ์ ชน่ กนั ทงั้ เอเชยี อาคเนยภ์ าคพน้ื ท ปี คาบ มทุ รและ มเู่ กาะ การ จิ ยั พบ า่ การ
ประดบั ตาบเพชรพลอยไม่ได้เกดิ จากผลทางประตมิ าน ทิ ยาแตอ่ ย่างใด คอื ไมไ่ ดจ้ �ากัดกบั เทพเจา้ องค์ใด

184

และไม่ได้บ่งบอกประเด็นประติมาน ิทยาใด แต่ ามารถประดับมกุฏได้ทุกแบบ น่าจะเป็นเร่ืองของ
“เครือ่ งเพชร” “ค ามนยิ มค าม รู รา” และ “ fashion” เพียงอย่างเดยี

ตาบใน ิลปะอินเดีย ามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ (1) ตาบชายผ้า (ตาบท่ีเกิดจาก
ผา้ โพก ั ) (2) ตาบเพชรพลอย (ตาบทเ่ี กดิ จากการใช้ “เรือนฝังเม็ดพลอย”) และ (3) ตาบ ามเ ลี่ยม
(ตาบ ามเ ลี่ยมขนาดเล็กติดกระบัง น้า ได้รับค ามนิยมใน ิลปะปาละ) จากการ ึก าพบตาบท้ัง าม
ประเภทกระจายกันอยู่ในเอเชียอาคเนย์ แต่ในการ ึก านี้จะขอยกตั อย่างเฉพาะ “ตาบชายผ้า” และ
“ตาบเพชรพลอย” ขน้ึ มา ึก า

ตำบชำยผ้ำ คือตาบกลมซ่ึงเกิดขึ้นมาจากชายเ ลือของผ้าโพก ั เป็นตาบที่มีค ามเป็น
ผ้าชัดเจน เช่น มีชายผ้ามัดข้ึนไปเป็น ามเ ล่ียม มีขอบผ้ายับ ฯลฯ โดยไม่มีการประดับเม็ดพลอย รือ
ขอบเรอื นโล ะลายกนกใด ๆ เปน็ ปรากฏมาตง้ั แต่ ลิ ปะอนิ เดยี โบราณ ตอ่ มาไดเ้ พมิ่ จา� น นเปน็ 3 ตา� แ นง่
ใน ลิ ปะคปุ ตะ (รปู ที่ 1) ตาบแบบน้ี พบใน ลาก ลายพนื้ ท่ี ไม่ า่ จะเปน็ ลิ ปะท าร ดี รอื ลิ ปะจาม1
(รปู ที่ 2) โดยตั อยา่ ง ลงั ค ามเก่ยี ขอ้ งกบั ลิ ปะคุปตะอยา่ งชัดเจน

ตำบเพชรพลอย เป็นตาบท่ีเริ่มปรากฏคร้ังแรกในคุปตะและต่อมานิยมแพร่ ลายท่ี ุดท้ังใน
ิลปะอนิ เดยี และในเอเชียอาคเนย์ พบกระจายโดยไมจ่ �ากดั ่าเป็น ลิ ปะ กุลใด โดยในเอเชียอาคเนย์
ภาคพนื้ ท ปี เลยลงไปถงึ คาบ มทุ รกอ่ นพทุ ธ ต รร ที่ 15 ไดร้ บั ค ามนยิ มมาก ไม่ า่ จะเปน็ ลิ ปะท าร ดี
รี ชิ ยั เขมรกอ่ นเมืองพระนคร จาม ฯลฯ

ตาบประเภทน้ี พบ า่ มตี น้ เคา้ มาจากการประดบั ตาบเพชรพลอย 3 ตา� แ นง่ ใน ลิ ปะคปุ ตะ กลุ
ช่างมถุรา และ ิลปะ กาฏกะ-จาลุกยะตะ ันตกระยะแรก โดยมุขลึงค์ที่เท าลัยภุมรา (Bhumara)2
ถอื เปน็ ตั อยา่ งท่ีดีท่ี ุด (รูปท่ี 3) ตาบใน ิลปะคุปตะ คงเปน็ การออกแบบมาจากการประดับเครื่องเพชร
พลอย (jewelry) จรงิ อนั มตี าบท่ปี ระกอบด้ ย “เรอื นโล ะรูป งรี รอื รปู ยดน�า้ ” ตรงกลางเรอื นมกี าร
ฝงั เมด็ พลอยทเี่ จยี ระไนเปน็ รปู กลมและ/ รอื รปู เี่ ลย่ี ม โดยมกี ารประดบั 3 ตาบตามทน่ี ยิ มใน มยั คปุ ตะ
มีการจัด างใ ้ตาบกลาง งู ก ่าตาบข้าง นอกจากน้ยี งั มกี ารแทรกอุบะตุ้งต้งิ ด้ ย

1 Emmanuel Guillon เช่ือ า่ ประติมากรรมนีเ้ ป็นยัก ะ (Ogre) และกา� นดอายอุ ยใู่ นรา พทุ ธ ต รร ท่ี 16
อย่างไรก็ตาม ตาบชายผา้ ซึ่งประดบั ริ าภรณ์น่าจะมอี ายเุ กา่ แกไ่ ปถึงพุทธ ต รร ที่ 12-13 ได้ โปรดดู Guillon (2001:
162).

2 ประติมากรรมนไี้ ด้รบั การกา� นดอายุอย่ใู น มยั คปุ ตะตอนปลาย โปรดดู Harle (1996: 28).

185

นัง ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

รูปท่ี 1 ตาบชายผา้ ใน ลิ ปะคปุ ตะ กลุ ชา่ งมถุรา รปู ที่ 2 ตาบชายผา้ ใน ิลปะจาม
พระ ิ ณุจากเอราน รูปบคุ คลในพิพิธภัณฑด์ านงั

รูปที่ 3 ตาบเพชรพลอยประดับมขุ ลงึ คท์ เ่ี ท าลัยภมุ รา ลิ ปะคปุ ตะ แ ดงใ เ้ น็ องค์ประกอบ
ของตาบท่ีมเี รอื นกนกและเมด็ พลอยร มถงึ อุบะตุง้ ตง้ิ อยา่ งชดั เจน

186

ตั อย่างการแพร่ ลายของตาบเพชรพลอยใน ิลปะเอเชียอาคเนย์ อาจยกตั อย่างพระพักตร์
จากคูบั ใน ิลปะท าร ดี (รูปท่ี 4) ซึ่งประดับตาบเพชรพลอย 3 จุด โดยจัดใ ้ต่างระดับกันตามแบบ
คุปตะ- กาฏกะ ตาบประกอบด้ ย เรือนตาบที่ประดับด้ ยกนกผักกูด ตรงกลางเรือนประดับเม็ดพลอย
กลม (ดา้ นบน) ซอ้ นด้ ยเมด็ พลอย เี่ ลยี่ ม (ดา้ นลา่ ง) นอกจากนยี้ งั ปรากฏการประดบั อบุ ะตงุ้ ตงิ้ โดยรอบ
ซ่ึงท�าใ ้นึกไปถึงท่ีภุมรา ตั อย่างตาบเพชรพลอยแบบนี้ยังปรากฏกับเท รูปพระ ูรยะจ�าน นมากที่
เมอื ง รเี ทพใน ิลปะเขมร มยั ก่อนเมืองพระนคร

อกี ตั อยา่ ง นง่ึ คอื ตาบเพชรพลอยใน ลิ ปะ รี ชิ ยั ทางคาบ มทุ รภาคใตข้ องไทย ซง่ึ ถกู ดดั แปลง
ใ ้กลายเป็นตาบ �า รับบรรจุพระธยานิพุทธ (รูปที่ 5) จากการ ิจัยพบ ่าระเบียบเช่นนี้พบท้ังใน ิลปะ
ช าและ ิลปะ รี ิชยั โดยเก่ีย ข้องกับ ลิ ปะ กาฏกะ (เช ฐ์ ตงิ ัญชลี, 2562: 113-114, 126)

ในกรณขี อง ลิ ปะอนิ เดยี ดงั ทที่ ราบกนั ดี า่ พระโพธิ ตั ใ์ นพทุ ธ า นาม ายาน ตอ้ งมี ญั ลกั ณ์
“ทัดพระเ ียร” เ มอ อย่างไรก็ดี ิลปะอินเดียเ นือฝั่งตะ ันออกกับฝั่งตะ ันตกกลับมีการออกแบบ
“ ัญลัก ณ์ทัดพระเ ียร”แตกต่างกัน คือ ิลปะอินเดียเ นือฝั่งตะ ันออกมัก าง ัญลัก ณ์ทับลงไป
บนม ยผมของชฎามกุฏโดยตรง ในขณะที่ ิลปะอินเดียเ นือฝั่งตะ ันตก เช่น ิลปะ กาฏกะ กลับมี
การดัดแปลงเรือนของตาบเพชรพลอยทรงกลม โดยใ ่ธยานิพุทธ รือ ัญลัก ณ์อ่ืน ๆ เข้าไปแทนท่ีเม็ด
พลอยกลางตาบ

รูปที่ 4 พระเ ียรจากคูบั ซึ่งแ ดการประดับตาบ รปู ท่ี 5 การดัดแปลงตาบเพชรพลอยใ ้กลายเป็น
เพชรพลอยตามแบบคปุ ตะ- กาฏกะ เรอื น �า รบั บรรจพุ ระอมิตาภะ ตั อยา่ งจาก
พระโพธิ ัต ์อ โลกิเต รใน ลิ ปะ รี ชิ ยั

187

นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เนอื่ งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี

แม้ ่าจะได้อิทธิพลมาจาก ิลปะ กาฏกะ แต่ที่น่า นใจก็คือ ิลปะช าและ รี ิชัยได้ใช้
“ตาม ามเ ลี่ยมตดิ กระบงั น้า” แบบปาละมาค บค่กู ับตาบเพชรพลอยประดับ ญั ลกั ณแ์ บบ กาฏกะ
ซง่ึ แ ดงใ ้เ ็นภมู ปิ ัญญาของประตมิ ากรเอเชยี อาคเนย์ในการ “เลอื กรับ-ปรบั ใช้” อิทธพิ ลทไี่ ด้รบั มาจาก
อนิ เดียจนเกิด “ค ามลงตั ” ใ ม่

ปรำกฎกำรณท์ ี่ 2 : กำรเกิดทรงผมกลมุ่ ย่อยในเอเชียอำคเนย์ กรณีศึกษำทรงผมแบบ “ชฎำภำร”

จากการ ิจัยพบการเกิดทรงผม รือ ิราภรณ์ “กลุ่มย่อย” ในเอเชียอาอาคเนย์ ซ่ึงเป็น
ปรากฏการณย์ อ่ ยทคี่ ขู่ นานไปกบั การแพรก่ ระจายของอทิ ธพิ ลอนิ เดยี เปน็ งก า้ งอนั เปน็ ปรากฏการณ์ าย ลกั
อยา่ งไรกต็ ามการเกดิ ทรงผมกลมุ่ ยอ่ ยนน้ั กลบั เปน็ ประเดน็ ทนี่ า่ นใจก า่ เนอื่ งจากแ ดงใ เ้ น็ า่ ประตมิ ากร
เอเชียอาคเนย์ มัยโบราณได้ “เลือกรับ” รือ “ปฏิเ ธ” รปู แบบทรงผม/ ริ าภรณบ์ างแบบใ ถ้ กู จ�ากดั
อยเู่ ฉพาะพนื้ ที่ รอื เฉพาะประตมิ าน ทิ ยาบางภาค อันเปน็ ค าม มั พันธร์ ะ า่ ง ิลปะอนิ เดียและเอเชีย
อาคเนยแ์ บบที่ยงั ไมไ่ ดร้ บั การ ึก ามากนัก

บทค ามน้ีขอยกตั อย่างการรับอิทธิพลของทรงผมแบบ “ชฎาภาร” และการน�ามาปรับใช้ใน
เอเชียอาคเนย์ โดย “ทรงผมชฎาภาร” (Jaṭābhāra)3* รือ “ชฎามณฑล” (Jaṭāmaṇḍala) ถอื เปน็
ทรงผมทีแ่ ดงค ามเปน็ นักบ ชเช่นเดีย กับชฎามกฏุ พบเชน่ กนั ในเอเชียอาคเนย์ แต่กลบั เปน็ “ทรงผม
กลุ่มย่อย” ทีไ่ มไ่ ด้รับการ ึก ามากนัก

ชฎาภาร รือ ชฎามณฑล คอื ทรงผมขม ดกน้ อยท่ีมีการแ กกลางและจดั ผมใ แ้ ผ่กระจาย
ออกไปด้านข้างท้ัง อง (เ มือน “ผลฟักทอง”) (รูปท่ี 6) ่ นด้านบนไม่ได้มีการ “เกล้าม ยผม ูง”
แต่อยา่ งใด ซงึ่ ประเด็น ลังนท้ี า� ใ ้ชฎาภารแตกตา่ งไปจากชฎามกุฏอยา่ งมาก จากการ กึ าพบ า่ ทรงผม
ชฎาภารอาจเกิดข้ึนจากการจ�าลองทรงผมจริงของชา ฑรา ิทในอินเดียใต้บางคนที่มีผม “ ยิกฟู”
จน “ไม่ ามารถจดั ทรงได้” ตั อยา่ งท่ีน่าจะเทยี บเคยี งได้ เชน่ ผมของท่าน รี ัตยไ บาบา (รูปท่ี 7)

ทรงผมชฎาภารเรม่ิ ไดร้ บั ค ามนยิ มครง้ั แรกใน ลิ ปะคปุ ตะ โดยปรากฏกบั อายธุ บรุ ุ องค์ นงึ่ คอื
“จักรบุรุ ” เท าลัยเท คฤ ะ (Deogarh) ในพุทธ ต ร ท่ี 10-114**(รูปท่ี 6) ซง่ึ มกี ารแ กกลางเ น้ ผม
และจดั ผมใ แ้ ผก่ ระจายออกไปดา้ นขา้ งทงั้ อง ทรงผมดงั กลา่ ยงั ปรากฏกบั นา้ บคุ คลทโ่ี ผลอ่ อกมาจาก
กฑู ุบน ลังคาลาด ที่ถ้�าอชนั ตา ิลปะ กาฏกะ (รปู ท่ี 8) แ ดงใ เ้ น็ า่ ใน ลิ ปะอนิ เดยี ช่ งพทุ ธ ต รร
ท่ี 10-11 ทรงผมน้ไี ดร้ ับค ามนยิ มพอ มค รกับเทพเจ้าชนั้ รอง

3 ทรงผมชฎาภาร อาจเรียกได้อีกช่ือ น่ึง ่า “ชฎามณฑล” ปรากฏในคัมภีร์ ิลป า ตร์เช่น คัมภีร์อัง ุมัทเภ
ทาคมท่ีกล่า ถงึ พระ ิ ะในภาคภกิ าฏนมรู ติ โปรดดู เช ฐ์ ตงิ ัญชลี (2558: 40) และยังใชเ้ ปน็ ทรงผมของพระ ิ ะในอกี
ลายมรู ติ โปรดดู Gopinath Rao (1997: 191, 253, 261, 275).

4 โปรดดกู าร กึ าเพ่มิ เติมเกี่ย กับเท าลัยเท คฤ ะได้ใน ใน Williams (1982: 130-136).

188


Click to View FlipBook Version