ตะ ันตก ... เปล ไฟท่ีลุกขึ้นจากพื้นล่างย่อมกระทบเพดาน เปล ไฟที่ลุกจากเพดานย่อมกระทบพื้น”
( า� เนยี ง เลอื่ มใ , ผแู้ ปล, 2553: 15-17) คมั ภรี ม์ า ั ตอุ ทานไดก้ ลา่ ถงึ กรรมท่ี ตั น์ รกเคยทา� เมอ่ื ครงั้
ยงั เปน็ มนุ ย์ และกลา่ ถงึ ผลกรรมที่ได้รบั ในนรกแต่ละขมุ ( า� เนยี ง เล่ือมใ , ผแู้ ปล, 2553: 12-17) ดงั นี้
ตำรำงท่ี 1 แ ดงกรรมท่ีเคยทา� ในอดตี ชาตแิ ละผลกรรมที่ ัต น์ รกไดร้ บั ในคัมภีร์ม า ั ตุอ ทาน
ท่ี ชอื่ นรก กรรมทเ่ี คยท�ำอดีตชำติ ผลกรรมทไ่ี ด้รบั
1 ัญชี ะ เมื่อยงั เป็นมนุ ย์ เป็น ัตรกู นั จองเ รกัน รังเกียจ เกดิ ในนรกช่อื ัญชี ะ
การทา� ไรไ่ ถนา เปน็ ทรราชย์ เปน็ โจร เปน็ นกั รบ และ
มจี ติ ประทุ ร้ายกัน เปน็ ต้น
ตดั ฟนั เชอื ดเฉอื น งิ่ มชี ี ติ ด้ ยมดี ข าน และจอบ ถูกนายนิรยบาลตัด และเฉอื นร่างกาย
เล้ยี ง ัต ์ เชน่ ุนัข ค าย กุ ร และไก่ เปน็ ตน้ เพ่ือ ถกู ลมท่ี นา เยน็ พดั
ฆา่ เปน็ อา าร
จดั าอา ธุ และยานพา นะใ ้แก่คน รือ ตั ์ เพื่อ - มเี ลบ็ เ ลก็ รอื ทอ่ นเ ลก็ เกดิ ขนึ้ ในมอื ของ ตั ์
ไปโจมตี มบู่ า้ น เมอื ง รอื ตา� บลด้ ยอา ธุ ทง้ั ลาย เ ลา่ นนั้
- ประ ตั ประ ารกนั จนล้มลงแล้ ฟ้ืนขึ้นอกี เพ่อื
ไปเกิดในนรกขมุ ตอ่ ไป
2 กาล ตู ระ - ใช้โซล่ า่ ม ตั ์ เช่น ชา้ ง เปน็ ต้น - ถูกนายนริ ยบาลตัดร่างกายเป็น 8 ่ นบา้ ง 6
- บงั คบั ใ ค้ นทา� กรรม เชน่ ใ ต้ ดั มอื ตดั เทา้ ตดั จมกู ่ นบ้าง 4 ่ นบ้าง ด้ ยด้าย ดี า�
ตัดเอน็ ตัดเน้อื เฉอื นเนอ้ื ลังของ ัต ์ - ถกู นายนริ ยบาลผา่ รา่ งกาย ตงั้ แต่ น้ เทา้ ไปจนถงึ
- ทา� ลายชี ิต ัต ์ คอและตั้งแต่คอจนถงึ ้นเท้า เ มอื นผา่ ลา� อ้อย
- เป็นขอทาน เปน็ บณั เฑาะก์ เปน็ อาชญากร เป็น -เ ยทกุ ขเ ทนามากแตไ่ มต่ ายเพราะยงั ไม่ น้ิ กรรม
นกั บ ชทุ ีล ใช้ อยจี รและประคตเอ ของภกิ ุ
- รมค นั ตะก ด ลงิ นู แม แล้ ปดิ ทางเข้าในถา�้ - มีกลมุ่ ค ันปกคลมุ มี นามแ ลมแทงทะลุผิ
โพรง ลุม นัง เนอื้ เอน็ กระดูก และเย่ือในกระดกู แล้
- รมค นั งใู นรแู ล้ อุดรูไ ้ รือรมค ันฝงู ผึง้ เปน็ ต้น เพกิ ออก
- รา่ งกาย มดค ามรู้ ึก กล้งิ ไปกระทบ
กระแทกกัน ลายร้อยโยชน์ แตย่ งั ไม่ตาย
เพราะยังไม่ ิ้นกรรม
3 ังฆาตะ - ใ ค้ นอ่ืนขยี้แมลง รือใ ้ขุดดินเป็นเ ตใุ ้ ัต ์ - นายนริ ยบาลตอ้ นเขา้ ไปในระ า่ งภเู ขาเ ลก็ ท่ี
ตายจา� น นมาก ลุกเป็นไฟ 2 ลูก มีไฟลุกโชติช่ งดักทั้งข้าง น้า
- เฆยี่ นตี ตั ์ด้ ยกระบอง ข้าง ลัง
- บต้ี ั เรอื ด เลน็ รือเ าด้ ยเล็บมอื เป็นตน้ - ภูเขาเคลื่อนเข้า ากัน บีบทับ ัต ์เ ล่าน้ัน
เ มอื น บี ออ้ ย
- ภูเขาลอยข้ึนแล้ ตกทับ ัต ์เ ล่านั้นจนเกิด
แม่นา้� เลือดไ ลนอง เ ลือแตก่ องกระดูก แตย่ งั
ไม่ตาย เพราะยังไม่ ้ินกรรม
- แทง ตั ์มีชี ติ ด้ ย อก รอื ทบุ ตี ัต ม์ ชี ี ติ ด้ ย - กองกระดูกร มอยู่ในเ ล็กที่มีไฟลุกโพลง
กระบองจนตาย รือไล่ ัต ์ท่ีมีชี ิตลงในครกแล้ ถูกต�าด้ ย ากเ ล็กท่ีมีไฟลุกโพลงเ มือนกับ
ตา� ด้ ย ากทมี่ ีไฟลกุ โพลง า่ ฝนเ ล็ก เป็นเ ลา 500 ปี
489
นัง ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนอื่ งในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ท่ี ชือ่ นรก กรรมทีเ่ คยท�ำอดีตชำติ ผลกรรมทีไ่ ด้รับ
4 เราร ะ - บงั คบั ใ ค้ นไม่มีทพ่ี ่ึงและคนไร้ท่ีอย่อู า ยั ทา� งาน - ถกู ขงั แยกใน อ้ งแคบ ๆ ท่มี ีขนาดเล็ก ขยับตั
- จุดไฟเผาบา้ น เผาปา่ เผาถา้� โพรง ลมุ างกบั เปลยี่ นอิรยิ าบถกไ็ ม่ได้
ดักจบั ตะก ด ลิง นู แม จุดไฟเผารทู ีม่ งี อู ยู่อา ยั - มีเปล ไฟลุกโพลงขึ้นในมือเผาไ ม้ท�าใ ้ ัต ์
รอื เผาลนค นั ฝูงผึ้ง รือมดแดง นรกรอ้ งระงมด้ ยค ามทกุ ขท์ รมาน เมอื่ ไฟดบั จงึ
พากนั เงยี บ
5 ม าเราร ะ - รา้ งเรือนจา� ทมี่ ิดชดิ และมดื นทิ แบบไมใ่ ้เ ็น - ถกู นายนริ ยบาลไลต่ อ้ นไปร มกนั แล้ ทบุ ตดี ้ ย
เดือน รอื เ ็นตะ นั แล้ จับคนอ่ืนขังไ ้ ค้อนเ ล็กจนร่างแ ลกละเอียด เ มือนกับทุบ
ม้อนมเปรี้ย
- บบี ทบั รี ะของ งิ่ มีชี ติ เชน่ งู แมงป่อง รอื - ถูกบีบทับ ีร ะ ถูกโยนข้าไปในไฟที่ลุกโพลง
ตะขาบ เป็นตน้ เมอ่ื ร้อนระอุจึงร้องคร�่าคร ญโ ย น มเี ียงดงั
ะท้อนไปกระทบภูเขาจ้กร าลและภูเขา
ม าจกั ร าล
6 ตปนะ - ร้างเรือนท่ีไม่มีประตูและทาฝาเรือนด้ ยน�้ามัน - ถูกนกแร้งรุมจิกกินจนไม่มีเน้ือติดร่างกาย
ลอ่ ตั เ์ ขา้ ไปฆา่ ในเรอื นนนั้ ด้ ยมดี พราน รอื ทา� ใ ้ เ ลอื แตโ่ ครงกระดกู มเี พยี งเอน็ ยดึ เกาะไ ้ จนลม้
งิ โต เ อื โครง่ เ อื ดา มี และ มาปา่ กดั กนิ ตั ์ ฟบุ ลง
อื่น ๆ ทมี่ ชี ี ิต - บางพ กถูกเผาเ มือนกับกองไฟ
- เลีย้ ง ัต ์ เช่น ก าง ค าย ุกร และไก่ เป็นตน้ - ถูกลมท่ี นา เย็นพัด ได้รับทุกข์ทรมาน
เพอื่ ฆา่ เอาเน้อื จากนนั้ ผิ นงั เนอื้ และโล ติ กลบั งอกขน้ึ มาใ ม่
7 ประตาปนะ - จับแม่แพะเ ียบยา่ งไฟท้งั เป็น - ถกู เ ยี บยา่ งไฟด้ ย ลา เ ล็กอันรอ้ น องอัน
ถึง บิ อันแล้ พลิกกลบั ไปกลับมา จึงด้นิ
ทรุ นทุราย เ มือนปลาดน้ิ อยูบ่ นพ้ืนทราย
8 อ จี ิ - ฆา่ มารดา ฆา่ บดิ า ฆา่ พระอร นั ต์ มจี ติ ประทุ รา้ ย - ไม่มีนายนิรยบาลบังคับและไม่มีลมเย็นพัด
พระตถาคต รือท�าโล ิตุปบาท (ในที่น้ีไม่ได้ระบุ เ มือนนรกขุมอืน่ ๆ
เรื่องทา� ังฆเภทคอื การทา� งฆ์ใ แ้ ตกแยกกัน) - ถูกเผาด้ ยเปล ไฟท่ีพ ยพุ่งมาจากทุกทิ ทุก
ทาง ทงั้ ดา้ นลา่ ง ดา้ นบนและดา้ นขา้ ง เ มอื นกบั
ก้อนเ ล็กที่ถูกเผาในไฟ อยาก นีออกไปก็ นี
ออกไปไม่ได้ จ�าต้องได้รับทุกขเ ทนาที่เร่าร้อน
เจ็บแ บ กลา้ แข็ง รนุ แรง จนก ่าจะ ิน้ กรรม
พระม าเมาทคลั ยายนะไมไ่ ดท้ อ่ งเทย่ี ไปในนรกเทา่ นน้ั แตย่ งั จารกิ ไปในโลกของ ตั เ์ ดรจั ฉานด้ ย
( า� เนยี ง เลอื่ มใ , ผแู้ ปล, 2553: 17-18) คมั ภรี แ์ ดงค ามรู้ กึ ของพระเถระทเ่ี น็ ภาพ ตั เ์ ดรจั ฉานมคี าม
เปน็ อยอู่ ยา่ งลา� บากนา่ เ ทนา ตอ่ จากนน้ั คอื โลกของเปรต งิ่ ทพ่ี ระเถระไดเ้ น็ กไ็ มต่ า่ งอะไรกบั ตั น์ รกเพราะ
มคี ามทกุ ขไ์ มแ่ พก้ นั ดงั ค าม า่ “เปรตโลกมที กุ ขอ์ ยา่ งยง่ิ มรี า่ งกายใ ญโ่ ต มปี ากเทา่ รเู ขม็ ... กนิ อา ารเปน็
นติ ย์ แตไ่ มร่ จู้ กั อม่ิ เพราะไมไ่ ดท้ า� บญุ ไ ้ ... เมอื่ ถกู ค าม ิ กระ ายรมุ เรา้ จงึ ดม่ื กนิ อจุ จาระ ปั า ะ นา้� ลาย
นา�้ มกู นอง และเลอื ด” ( า� เนยี ง เลอ่ื มใ , ผแู้ ปล, 2553: 18) คา� บรรยายโลกของเปรตนมี้ ี ่ นคลา้ ยกบั ใน
พระไตรปฎิ ก (ข.ุ เปต. 26/116-133/173-174) ตอ่ มาคอื แดนอ รู พระเถระเ น็ า่ เ ลา่ อ รู มคี ามทกุ ขเ์ พราะ
มแี ตค่ ามโกรธ ค ามเกรยี้ กราด ค ามอาฆาต รปู รา่ งของอ รู เองกด็ นู า่ กลั ม า ั ตอุ ทานกลา่ า่ อ รู
มบี า้ นเมอื งของตนเอง มกี องทพั เชน่ เดยี กบั ท ยเทพ อ รู เ ลา่ นนั้ คดิ รา้ ยตอ่ เ ลา่ เท ดาชนั้ ดา ดงึ ผ์ ทู้ า� บญุ
ไ ด้ ี ลงั จากตายจงึ ไปบงั เกดิ ในอบาย ทคุ ติ และ นิ บิ าต ( า� เนยี ง เลอ่ื มใ , ผแู้ ปล, 2553: 16)
490
�า รับภาค รรค์ พระม าเมาทคลั ยายนะไดท้ ่ งเทยี่ ไป รรคช์ นั้ ตา่ ง ๆ ตง้ั แตช่ น้ั จาตมุ า
ราชิกา ดา ดึง ์ ยามา ดุ ติ นมิ มานรดี ปรนิมมติ ตั ดี ชน้ั พร มกายกิ า จนถงึ ชั้น ทุ ธา า ไดเ้ ็นเ ล่า
เท ดามีค าม นุก นานบันเทิงเพียบพร้ มด้ ยกามคุณ 5 โดยเฉพาะ รรค์ช้ันดา ดึง ์ แต่พระเถระก็
เ น็ า่ รรคแ์ ละ ายขุ งเท ดาไมจ่ รี งั ยงั่ ยนื นา่ งั เกต า่ ม า ั ตุ ทานไมไ่ ดบ้ รรยายภาพ รรค์ ยา่ ง
ละเ ียดเม่ื เทียบกบั การบรรยายเกีย่ กับนรก
การทพ่ี ระม าเมาทคลั ยายนะไดท้ ่ งเทย่ี ไปยงั โลกนรกทา� ใ ม้ ขี ้ มลู นา� มาเปน็ ทุ า รณแ์ ดง
ธรรมแกพ่ ทุ ธบริ ทั ไดเ้ ปน็ ยา่ งดี ดงั ค าม า่ “ ตั ท์ ง้ั ลายเ ยค ามทกุ ขเ ทนามากมาย ลายพนั แตก
ต่างกันไปในม านรกทั้ง 8 ขุมซง่ึ มนี รกบริ าร ยา่ งละ 16 ขมุ ดงั นัน้ ข้าพเจ้าจงึ ข เตื น า่ ทุกคนค รรู้
ค รเข้าถึง ค รรู้แจ้ง ค รร้พู ร้ ม ค รทา� แตค่ ามดี ค รประพฤตพิ ร มจรรย์ และไม่ค รท�ากรรมชั่ ใด ๆ
ในโลกน้ี” ( �าเนียง เล่ื มใ , ผู้แปล, 2553: 7) แมด้ นิ แดน รรค์ที่พระเถระไปเ น็ มาแล้ ก็ยังไม่ รุป า่
เปน็ ถานทที่ ดี่ ที ี่ ดุ เพราะยงั ตก ยใู่ นค ามไมจ่ รี งั ยง่ั ยนื พระเถระจงึ แนะนา� ใ ท้ า� กุ ลกรรมและประพฤติ
พร มจรรยใ์ ม้ ากยง่ิ ขนึ้ เพ่ื จะไดก้ า้ ขา้ ม ง่ิ เ ลา่ นน้ั ดงั ค าม า่ “ ตั ท์ ง้ั ลายย่ มเ ย มบตั ขิ งเท ดา
ใน มูเ่ ท ดาเพราะ บิ ากแ ่งกุ ลกรรม ย่างน้ี แม้ ่งิ นั้นก็ไม่เทย่ี งแท้ เปน็ ทกุ ข์ และมคี ามเปล่ยี นแปลง
เปน็ ธรรมดา ... ฉะนน้ั ขา้ พเจา้ จงึ ข บ ก า่ กุ ลกรรมและพร มจรรยเ์ ปน็ งิ่ ทค่ี รรู้ ค รเขา้ ถงึ ค ร ยง่ั รู้
ค รประพฤตแิ ละปฏิบตั ิ และไมค่ รท�าบาปกรรมใด ๆ ในโลก” ( �าเนียง เลื่ มใ , ผู้แปล, 2553: 18-21)
7.2 บทบำทของพระมำลัย
คมั ภรี เ์ ร่ื งพระมาลยั ทุก า� น นกลา่ ถึงพระมาลยั ่าเปน็ พระภกิ ุที่ า ยั ยใู่ น มูบ่ ้านกัมโพช
โร ณชนบทในลังกาท ปี เนื้ เร่ื งไมไ่ ด้กล่า ถึงเ ตกุ ารณ์ก่ นพระมาลยั กบ ช ดังนั้นประ ัตขิ งพระ
มาลัยจึงเร่ิมต้นท่ีเป็นพระภิก ุ แล้ ต่ ด้ ยเรื่ งท่ีท่านมีฤทธิ์ท่ งเท่ีย ไปยังนรกและ รรค์ได้เ มื นกับ
พระโมคคัลลานะ บทบาทการท่ งเท่ีย ไปยังนรกและ รรค์ท�าใ ้พระมาลัยมีช่ื เ ียงในเรื่ งการแ ดง
ฤทธแ์ิ ละเปน็ ทเี่ ลื่ มใ รทั ธาข งคนทั่ ไป โดยพระมาลยั จะเขา้ ฌาน มาบตั แิ ดงฤทธชิ์ า� แรกพน้ื ดนิ ไปยงั
ดนิ แดนนรก ่ นเ ลาทท่ี า่ นจะท่ งเทย่ี ไปบน รรค์ เพยี งเขา้ ฌาน มาบตั แิ ดงฤทธเ์ิ าะขนึ้ ไปบน ากา
ลัดมื เดยี ก็ถึง รรค์ ในคมั ภรี ์มาลยั ย ัตถุทปี นฎี ีกา ธิบายการเขา้ ฌาน มาบัติแ ดงฤทธิ์ า่ มี 2 ยา่ ง
ย่างแรกคื ารัมมณปู นิชฌาน เปน็ การเพง่ ารมณพ์ ร้ มกบั ปุ จารทงั้ 8 คื รปู ฌาน 4 และ รูปฌาน
4 ยา่ งท่ี งเรยี ก า่ ลกั ขณปู นชิ ฌาน คื การเพง่ ลกั ณะเปน็ ารมณ์ (พระม าภริ ฐั กรณ์ � มุ าล,ี 2549:
164) คัมภีร์กล่า ่าพระมาลัยได้รับด กบั 8 ด กจากชายเข็ญใจจึงปรารถนาจะน�าด กบั น้ันไปบูชา
พระเจดีย์จุ ามณี เมื่ ท่ งเทย่ี ไปบน รรคท์ า� ใ ้พระมาลยั เ น็ พระเจดยี ์จุ ามณที ่ีบรรจพุ ระเมาลีข ง
พระพุทธเจ้า ซ่งึ ประดับตกแตง่ ด้ ยรัตนะ ยา่ งงดงาม
บริเ ณท่ีพระมาลัยท่ งเที่ย ไปบน รรค์น้ันเป็นท่ีตั้งข งพระเจดีย์จุ ามณี ตามคติพระพุทธ
า นาถื ่ามีค าม ักด์ิ ิทธิ์ ย่างยิ่ง พระเจดีย์น้ันเป็น ูนย์กลางท่ีเ ล่าเท ดาพากันมาบูชาเป็นประจ�า
การท่ งเที่ย ไปบน รรค์ท�าใ ้พระมาลัยมีโ กา ได้พบกับพระ ินทร์และพระ รี ริยเมตไตรย ในบท
นทนาข งพระมาลัยกบั พระ รี รยิ เมตไตรย ( ุภาพร มากแจง้ , 2521: 209-210) พบ า่ มี าระค�า น
ทชี่ กั จูงใ ผ้ คู้ นท�าบุญใ ม้ ากเพ่ื จะได้เกดิ ในยคุ พระ รี รยิ เมตไตรยใน นาคตกาล เนื้ าต นนน้ี ับ ่า
491
นงั ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวชิ าการ เนือ่ งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
เป็น ั ใจข งคัมภีร์มาเลยยเท ัตเถร ัตถุและมาลัยย ัตถุทีปนีฎีกา เพราะมี ิทธิพลต่ คติค ามเช่ื ที่
ืบท ดในงาน รรณกรรมพระพุทธ า นาชั้น ลัง และเป็นค ามเช่ื ข งผู้คนใน ังคมไทย ่ายุคพระ รี
ริยเมตไตรยจะเป็นยุคแผ่นดินธรรมแผ่นดินท ง ย่างแท้จริง ในต น ุดท้ายข งคัมภีร์กล่า ถึงบทบาท
ข งพระมาลยั า่ ได้ทา� น้าที่แนะนา� คนทั้ง ลายใ ้ ร้างค ามดี ทา� บุญทา� ทาน เพราะผลแ ง่ การท�าบญุ
ด้ ยค ามเลื่ มใ จะทา� ใ ไ้ ปเกดิ ในเท โลก ดงั ค าม า่ “พระเถระนนั้ เมื่ กลบั มาจากบณิ ฑบาตไดเ้ ลา่ เร่ื งรา
ข งพระ ริยเมตไตรยแก่มนุ ย์ชา ชมพูท ีป มู่มนุ ย์ฟังถ้ ยค�าข งพระเถระแล้ มีจิตเลื่ มใ พากัน
ท�าบุญมใี ท้ านเป็นตน้ ในเ ลา ิ้น ายกุ ็พากันไปเกดิ ในเท โลก” ( ุภาพร มากแจง้ , 2521: 215)
น กจาก รรค์ พระมาลยั ยังได้ท่ งเทยี่ ไปในนรกเนื ง ๆ เมื่ ได้พบ ัต ์นรกก็มกั จะน�าข่า
ข ง ัต ์นรกมาบ กแก่ญาติข งพ กเขาเพ่ื ท�าบุญ ุทิ ไปใ ้ เนื้ เรื่ งคัมภีร์มาเลยยเท ัตเถร ัตถุไม่ได้
บรรยายรายละเ ียดข งนรกมากนัก ผู้แต่งคัมภีร์มาลัยย ัตถุทีปนีฎีกาจึงต้ งขยายค ามภาพข งนรก
แทน โดยใ ้รายละเ ยี ดเกีย่ กบั ัญชี นรก กา ุตตนรก ตาปนนรก เ จนี รก และม า เ จนี รก ไ ้ ่า
ัญชี นรก เป็นดินแดนท่ีร งรับ ัต ์นรกท้ัง ลาย มู่ ัต ์นรกในขุมน้ีถูกโท ะโม ะคร บง�า เป็นพ ก
ยาบชา้ ลามก และโ ดร้าย (พระม าภิรฐั กรณ์ � ุมาล,ี 2549: 191) กา ตุ ตนรก เปน็ ดนิ แดนนรกที่
นายนริ ยบาลถื า ธุ ตา่ ง ๆ มไี ฟลกุ โพลง ทา� นา้ ทต่ี ามประ าร ตั น์ รกทกี่ า� ลงั งิ่ นี นรกขมุ นม้ี พี น้ื เ ลก็
ทล่ี ุกเปน็ ไฟโชติช่ ง นายนริ ยบาลถื ข านตดิ ไฟ บั มู่ ตั ์นรก ซง่ึ ร้ งระงมด้ ยค ามเจ็บป ด (พระม า
ภิรฐั กรณ์ � ุมาล,ี 2549: 191) ตาปนนรก เป็นดนิ แดนทม่ี ไี ฟเผาไ ม้ ัต น์ รกไมใ่ ก้ ระดิกตั พ กนาย
นริ ยบาลบงั คบั ใ ้ ตั น์ รกน่ังบน ลา เ ล็กท่ีมไี ฟเผาไ ม้ ลา เ ล็กมีขนาดเทา่ ลา� ตาล ่ นดา้ นล่างกม็ ี
ลา เ ลก็ ลกุ โพลง ยู่ พ กนายนริ ยบาลประ าร มู่ ตั น์ รกแล้ จบั โยนไปยงั ภเู ขาเ ลก็ ทม่ี ไี ฟลกุ ไ ม้ กี
เม่ื ัต ์นรกยนื ยบู่ นย ดภูเขาจะมีลม ันมกี รรมเปน็ ปัจจยั พัดมากระทบ ัต น์ รกไมใ่ ย้ นื ยู่ได้ เมื่ ลม
พดั ตั น์ รกตกลงไปเบื้ งลา่ ง ตั น์ รกจะมเี ทา้ ชข้ี น้ึ มี ั ปกั ลงขา้ งลา่ ง ลา เ ลก็ ทล่ี กุ โพลงกผ็ ดุ ขนึ้ จาก
แผน่ ดนิ ั ข ง ตั น์ รกกป็ ะทะกบั คม ลา เ ลก็ รา่ งกายกถ็ กู เ ยี บ ยทู่ ี่ ลา เ ลก็ นน้ั (พระม าภริ ฐั กรณ์
� มุ าล,ี 2549: 192) เ จนี รก นน้ั มเี ปล ไฟลกุ ขนึ้ ทกุ ทิ ทกุ ทาง ไมม่ ที ่ี า่ งจากเปล ไฟ ่ น ม า เ จนี รก
กเ็ ต็มไปด้ ย ตั ์นรกไม่มที ี่ ่าง เปรียบเ มื นทะนานที่ ัดแน่นไปด้ ยนา�้ นมและแป้ง (พระม าภริ ัฐกรณ์
� มุ าล,ี 2549: 193)
บทบาทท่ีโดดเด่น ีกประการ น่ึงข งพระมาลัยคื ค ามเป็นผู้ใฝ่รู้และมีปฏิภาณ เ ็นได้จาก
เ ตุการณท์ ่พี ระมาลัยก�าลัง นทนา ย่กู บั นิ ทร์ เม่ื มเี ทพบตุ ร 12 ตนมา ักการะพระเจดีย์จุ ามณี ยา่ ง
ต่ เน่ื ง พระมาลยั จงึ บถามพระ นิ ทร์ า่ เท ดาเ ลา่ นน้ั ทา� บญุ ะไรซง่ึ พระ นิ ทรก์ ไ็ ด้ ิ ชั นาพระมาลยั
ไปตามลา� ดบั ( ภุ าพร มากแจง้ , 2521: 197) เม่ื พระ รี รยิ เมตไตรยเ ดจ็ มาถงึ บรเิ ณพระเจดยี จ์ ุ ามณี
พระ ินทรก์ ็ได้ ธบิ ายใ ้พระมาลยั ทราบถงึ บุญบารมขี งพระโพธิ ตั ท์ ี่ งั่ มมานับไมถ่ ้ น ครัน้ มีโ กา
นทนากบั พระ รี รยิ เมตไตรยพระมาลยั กไ็ ดซ้ กั ถามถงึ า นาข งพระ งคท์ จ่ี ะ บุ ตั ขิ นึ้ ในภายภาค นา้ ด้ ย
492
7.3 เปรยี บเทยี บบทบำทของพระมหำเมำทคลั ยำยนะกบั พระมำลยั
บทบาทข งพระม าเมาทคัลยายนะกับพระมาลัยมีลัก ณะใกล้เคียงกันมาก โดยเฉพาะการ
จาริกไปโปรด ตั ใ์ นนรกและ รรค์ การท่ีโครงเรื่ งมคี าม ดคล้ งกนั คงไม่ใชเ่ ปน็ เพราะค ามบังเ ิญ
เพราะ ลกั ฐานในคมั ภรี ม์ าลยั ย ตั ถทุ ปี นฎี กี าต นตน้ ระบุ า่ มกี ารยกเ าพระม าโมคคลั ลานะมาเปน็ ตน้
แบบข งพระมาลยั ดังค าม ่า “พระเถระรปู น้ัน (พระมาลัย) เปน็ ผมู้ ี ุปการะต่ มู่ ตั เ์ มื นกบั พระ
ม าโมคคลั ลานะ เพราะเ ตนุ น้ั ทา่ นจงึ กลา่ า่ พระเถระไปนรก ยเู่ นื ง ๆ เพ่ื ทจ่ี ะใ ้ มู่ ตั น์ รกรคู้ าม
เปน็ ไป พระ (มาลัย)เท ตั เถระนเ้ี มื นกับพระโมคคัลลานะ แ ดงธรรม นั ย ดเยยี่ มเพื่ เปล้ื งทุกขใ์ ้
มู่ ตั น์ รก ก็พระโมคคัลลานะทา� ลายขมุ นรกทง้ั ลายใ ้ธารน้�าฝนตกไปทั่ แมฉ้ ันใด พระ (มาลัย) เท ตั
เถระนี้ก็ฉันนั้น ...” (พระม าภิรัฐกรณ์ � ุมาลี, 2549: 158-159) จากข้ ค ามน้ีจะเ ็น ่าผู้แต่งคัมภีร์
มาลัยย ัตถุทีปนีฎีกาได้ ้างถึงพระม าโมคคัลลานะใ ้เป็นต้นแบบท่ีพระมาลัยด�าเนินตามในทุกด้าน
การ ร้างบทบาทข งพระมาลัยใ ้มีรูปแบบเ มื นพระม าโมคคัลลานะก็เพื่ ใ ้เร่ื งรา ข งพระมาลัย
เปน็ ทนี่ ยิ มใน มชู่ า บา้ นไดก้ า้ งข าง เพราะพทุ ธ า นกิ ชนรเู้ รื่ งพระม าโมคคลั ลานะมาก่ นแล้ นน่ั เ ง
ตำรำงท่ี 2 เปรียบเทยี บการท่ งเท่ยี ไปในนรกข งพระม าเมาทคลั ยายนะกบั พระมาลยั
ที่ กำรท่องเที่ยวไปในนรกของพระมหำเมำทคลั ยำยนะกบั พระมำลัย
พระมหำเมำทคลั ยำยนะ พระมำลัย
1 พระม าเมาทคลั ยายนะจาริกไปยังนรกเปน็ ประจา� พระมาลยั เถระนา� เร่ื งรา ข ง ตั น์ รกทที่ นทกุ ขท์ รมาน
ยู่ในนรกมาบ กแก่เ ล่าญาติข ง ัต ์นรก ยู่เนื ง ๆ
เม่ื ัต ์นรกได้รับบุญกุ ลจากญาติข งตนก็ช่ ย
ปลดเปลื้ งค ามทุกข์แล้ ไปบงั เกิดในเท โลก
2 ขณะท่ีพระม าเมาทคัลยายนะท่ งเที่ย ไปในนรก ได้ ขณะที่พระมาลยั ท่ งเทยี่ ไปในนรกไดเ้ น็ ทกุ ข์ ันใ ญ่
เ ็น ตั ์นรกเ ยผลกรรมมากมาย ลายพัน ยา่ ง และ ล งข ง ตั น์ รกทีเ่ กิดจากผลกรรม ันทนทุกข์ได้ยาก
ดินแดนนรกเตม็ ไปด้ ยค ามน่ากลั ย่างยิ่ง น่าเ ทนา
3 นรกทพ่ี ระม าเมาทคลั ยายนะจารกิ ไปนนั้ มี 8 ขมุ ไดแ้ ก่ คมั ภรี ม์ าเลยยเท ตั เถร ตั ถไุ มไ่ ดร้ ะบชุ ื่ นรกครบทงั้ 8 ขมุ
นรก ญั ชี ะ กาล ตู ระ ังฆาตะ เราร ะ ม าเราร ะ แตใ่ นคมั ภรี ม์ าลยั ตั ถทุ ปี นฎี กี าไดข้ ยายค ามโดย า้ งพระ
ตปนะ ประตาปะ จี มิ านรก และนรกแตล่ ะขมุ มี ตุ ุตตันตปฎิ ก ขทุ ทกนิกาย นับ นุน ่านรกมี 8 ขุม ได้แก่
ทนรกเป็นบริ าร ญั ชี นรก กา ตุ ตนรก ังฆาฎนรก โรรุ นรก
ม าโรรุ นรก ปตาปนรก ม าปตาปะ เ จี และมี ุ ท
นรก 16 ขมุ เป็นบริ าร
4 ค�าบรรยายนรกทพ่ี ระม าเมาทคลั ยายนะได้พบเ ็นน้นั การบรรยายลกั ณะข งนรกในคัมภรี ม์ าลัยย ัตถทุ ปี นี
มลี กั ณะทางกายภาพตามช่ื ข งนรกแตล่ ะขมุ ค่ นขา้ ง ฎีกาเปน็ การกลา่ พ งั เขป
ละเ ยี ด
5 ัต ์นรกล้ นมี ิบากกรรมที่ได้กระท�ามาเม่ื คร้ังยังเป็น ในคัมภีร์มาลยั ย ัตถทุ ีปนีฎกี ากล่า ถงึ บท เิ คราะ ์
มนุ ย์ เน้ื าคัมภีร์มีการต้ังค�าถามถึง ิบากกรรมข ง ตั ์นรก ่า ล้ นมี ิบากกรรมทีไ่ ด้กระท�ามาแตค่ รัง้ ยงั
ัต ์นรกแต่ละขุม และมีค�า ธิบายถึง ิบากกรรมเ ล่า เปน็ มนุ ย์ เมื่ กระทา� กรรมช่ั จงึ ไดร้ บั ผลกรรม ยใู่ นนรก
น้ัน ยา่ งละเ ยี ด
493
นัง อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เนอื่ งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
จากตารางข้างตน้ จะเ ็น า่ ล�ำดับท่ี 1 พระเถระทงั้ งแ ดงฤทธิท์ ่ งเทยี่ ไปยังดินแดนนรก
ภูมเิ ปน็ ประจา� เ มื นกนั คัมภีรพ์ ระมาลัยระบชุ ดั ถงึ น้าทขี่ งพระมาลยั า่ มีการท่ งเทีย่ ไปยังนรกเพื่
ช่ ยเ ลื ัต ์นรกใ ้พ้นจากค ามทุกข์ทรมาน และเป็นผู้น�าข่า ารข ง ัต ์นรกมาบ กแก่ญาติเพื่
ท�าบุญ ุทิ ไปใ ้ แต่ม า ั ตุ ทาน ่าพระม าเมาทคัลยายนะไม่ได้ช่ ยปลดเปลื้ งค ามทุกข์ข ง ัต ์
นรก รื นา� ค ามทกุ ข์ข ง ัต น์ รกไปบ กแกญ่ าติเพื่ ท�าบญุ ุทิ ไปใ ้ เพยี งแตพ่ ระเถระน�าเรื่ งทเ่ี ็น
ไปเป็น ุทา รณ์เท นา นพทุ ธบริ ัทเทา่ น้ัน ลำ� ดบั ท่ี 2 ่งิ ทีพ่ บเ มื นกัน คื ค ามนา่ กลั ข งภาพ
นรกทพี่ ระเถระทง้ั งรปู ไดพ้ บเ น็ ม า ั ตุ ทานแ ดงค ามทกุ ขท์ รมานข ง ตั น์ รกผา่ น ายตาข ง
พระม าเมาทคลั ยายนะ ยา่ งละเ ยี ดพิ ดาร แตค่ มั ภรี พ์ ระมาลยั ชใ้ี เ้ น็ ค ามทกุ ขท์ รมานข ง ตั น์ รก
ไ ้เพียง นั้ ๆ เทา่ นน้ั ล�ำดบั ที่ 3-4 มคี ามเชื่ เร่ื งนรก 8 ขุมใ ญ่และนรกบริ าร 16 ขมุ เ มื นกัน ม า
ั ตุ ทานกลา่ ถึงช่ื ม านรกทั้ง 8 ขมุ ในขณะที่คมั ภรี ม์ าเลยยเท ตั เถร ัตถไุ มแ่ ดงรายละเ ยี ดเกีย่
กบั นรก กลา่ เพยี ง ่าพระมาลัยท่ งเท่ีย ไปยงั นรกบ่ ย ๆ ขณะทค่ี ัมภรี ์มาลยั ย ัตถุทปี นฎี ีกาได้ ้างพระ
ไตรปิฎกเกี่ย กับนรกท้ัง 8 ขุม และมีบท ิเคราะ ์ชื่ นรกแต่ละขุม ร มท้ังผลกรรมท่ี ัต ์นรกได้รับซ่ึง
ดคล้ งกับเนื้ าในม า ั ตุ ทาน ล�ำดบั ท่ี 5 เน้ื าคัมภีรท์ ง้ั งฝา่ ยระบถุ งึ กรรมและผลกรรมท่ี
ท�าใ ้ ัต ์นรกต้ งชดใชใ้ นนรกเ มื นกัน
น่ึงลัก ณะร่ มท่ี ดคล้ งกันคื พระเถระทั้ง งรูปได้แ ดงฤทธ์ิจาริกไปยังดินแดนเท โลก
แล้ นา� งิ่ ทเี่ น็ มาถา่ ยท ดใ ม้ นุ ยโ์ ลกไดฟ้ งั เ มื นกนั แตผ่ ู้ จิ ยั กพ็ บ งิ่ ทแี่ ตกตา่ งคื คมั ภรี ม์ า ั ตุ ทาน
กลา่ ถงึ เท โลกทพี่ ระม าเมาทคลั ยายนะจารกิ ไปครบทกุ ชื่ แตไ่ มเ่ นน้ ธบิ ายรายละเ ยี ดมากเ มื นกบั นรก
ขณะทค่ี มั ภรี ม์ าเลยยเท ตั เถร ตั ถบุ รรยายภาพ รรค์ ยา่ งละเ ยี ด โดยเฉพาะ ยา่ งยงิ่ รรคช์ นั้ ดา ดงึ ์
ทีพ่ ระมาลัยน�าด กบั 8 ด กจากชายเข็ญใจไปบชู าพระเจดียจ์ ุ ามณี
ตำรำงท่ี 3 เปรยี บเทยี บการท่ งเทีย่ ไปใน รรค์ข งพระม าเมาทคลั ยายนะกับพระมาลยั
ที่ กำรทอ่ งเทย่ี วไปในนรกของพระมหำเมำทคลั ยำยนะกับพระมำลยั
พระมหำเมำทคลั ยำยนะ พระมำลยั
1 พระม าเมาทคัลยายนะจาริกไป รรค์ช้ัน จาตุม า พระมาลัยท่ งไปยัง รรค์ชั้นดา� ดงึ ์เพื่ นา� ด กบั ไป
ราชกิ า ดา ดงึ ์ ยามา ดุ ติ นมิ มานรดี ปรนมิ มติ ตั บชู าพระเจดยี ์จุ ามณี
ดี พร มกายิกา และ ุทธา า เป็นประจา�
2 ขณะทพี่ ระม าเมาทคลั ยายนะท่ งเทย่ี ไปบน รรค์ ขณะท่ีพระมาลยั ท่ งเท่ยี ไปยงั รรค์ช้นั ดา ดงึ ์ไดเ้ ็น
ชั้นต่าง ๆ ได้เ ็นเท ดาผู้ท�าบุญมามาก มี ักดิ์ใ ญ่ เทพบตุ รและเทพธดิ า� ผทู้ า� บญุ กุ ลมากมายพากันมาบชู า
มี ายุยนื มผี ิ พรรณงดงาม และมีค าม ุขมาก พระจุ ามณเี จดีย์ ยู่ตล ดเ ลา
3 รรคท์ พี่ ระม าเมาทคลั ยายนะท่ งเทยี่ ไปนนั้ เปน็ ดนิ รรค์ชั้นดา ดึง ์ที่พระม�าลัยท่ งไปน้ันเป็นดินแดนท่ี
แดนทเ่ี พยี บพร้ มด้ ยกามคณุ า้ มคี าม ขุ เตม็ เปย่ี ม เพยี บพร้ มไปด้ ยทพิ ย มบตั ิ นั นา่ นกุ นานเพลดิ เพลนิ
4 พระม าเมาทคลั ยายนะท่ งไปใน รรคแ์ ล้ ได้ นทนา พระมาลยั นทนา บถามพระ นิ ทร์ถึง านิ ง ผ์ ลบญุ
กบั เท ดาชน้ั ทุ ธา า เม่ื กลบั มายงั พระ ิ ารเชต นั ทเ่ี ท ดาทงั้ ลายได้รับร มถงึ บุพกรรมทเ่ี ลา่ เท ดาเคย
แล้ ไดเ้ ลา่ เรื่ ง รรคใ์ พ้ ทุ ธบริ ทั ฟงั โดยเนน้ ผลแ ง่ ท�า เม่ื คร้งั ยงั เปน็ มนุ ย์
กุ ลกรรมทเ่ี ท ดาแตล่ ะตนไดร้ บั เปน็ ทพิ ย มบตั ิ
5 พระเถระพบค ามจรงิ า่ แม้ รรคจ์ ะเปน็ ดนิ แดนทรี่ งุ่ เรื ง พระมาลัย นทนากับพระ รี ริยเมตไตรยโพธิ ัต ์
ด้ ยทพิ ย มบตั ติ า่ ง ๆ แตก่ ม็ คี ามไมเ่ ทย่ี งแทแ้ นน่ น เร่ื งการท�ากุ ลท่ีจะท�าใ ้เกิดทัน �า น�าข งพระ งค์
จงึ เนน้ ยา�้ เร่ื งนก้ี บั พทุ ธบริ ทั ทกุ ครงั้ ทแี่ ดงเท นา เมื่ กลับมายังโลกมนุ ย์แล้ ได้เล่าเรื่ งท่ีได้ นทนากับ
494 พระ รี รยิ เมตไตรยแกช่ า ชมพทู ปี
จากตารางจะเ น็ ่า ลำ� ดบั ท่ี 1 พระเถระทงั้ งรปู ไดจ้ ารกิ ไปยงั รรคเ์ มื นกนั แตม่ า ั
ตุ ทานกลา่ ถงึ พระม าเมาทคลั ยายนะ า่ ไดไ้ ปยัง รรค์ชั้นต่าง ๆ คื จาตุม าราชกิ า ดา ดึง ์ ยามา
ดุ ิต นิมมานรดี ปรนิมมิต ัตดี พร มกายิกา และ ุทธา า ่ นคัมภีร์พระมาลัยเจาะจง รรค์ช้ัน
ดา ดึง ์ที่มีพระเจดีย์จุ ามณีเป็น ูนย์ร ม รัทธาข งเท ดา แต่ม า ั ตุ ทานไม่ได้กล่า ถึงพระเจดีย์
จุ ามณี ลำ� ดบั ท่ี 2-3 บรรยายภาพทพิ ย มบตั แิ ละค าม ขุ า� ราญทเี่ ท ดาไดร้ บั บน รรคเ์ มื นกนั แต่
คมั ภรี พ์ ระมาลยั จะบรรยายรายละเ ยี ดมากก า่ ลำ� ดบั ท่ี 4 จะเ น็ ค ามแตกตา่ งในบทบาทข งพระเถระ
ทั้ง ง คื พระม าเมาทคัลยายนะได้ นทนาธรรมกับเท ดาช้ัน ุทธา า แล้ กลับมายังโลกมนุ ย์และ
นพทุ ธบริ ัท ่ นพระมาลยั ได้ แ ดงบทบาท นทนาถามปัญ ากบั พระ ินทรเ์ ก่ยี กับ านิ ง ผ์ ลบุญ
ท่ีเท ดาไดร้ ับ ลำ� ดบั ที่ 5 พระม าเมาทคัลยายนะไมไ่ ดพ้ บกับพระ รี ริยเมตไตรย แตท่ ่านไดข้ ้ รุปใน
การ นธรรม ่า รรค์ทุกชั้นก็ไม่จีรังยั่งยืน มนุ ย์จึงค รเพียรพยายามท�าดีใ ้มากข้ึน ่ นพระมาลัย
น กจากได้พบพระ ินทรแ์ ล้ ยงั ได้ นทนาธรรมกับพระ รี รยิ เมตไตรยโพธิ ตั ์ และไดน้ �าคา� แนะนา� มา
นชา โลกถงึ ธิ ที า� บญุ ทจี่ ะทา� ใ เ้ กดิ ทนั ใน า นาข งพระ รี รยิ เมตไตรย จดุ เนน้ คา� นข งพระเถระ
ทง้ั งจงึ แตกต่างกัน กไป
7.4 คตคิ วำมเช่อื เรื่องนรกและสวรรค์
คมั ภรี ม์ า ั ตุ ทานกลา่ า่ ม านรกคื ถานทที่ ี่ ตั ผ์ ทู้ า� บาปทงั้ ลายจะต้ งไปเ ยค าม
ทกุ ข์ ลังจาก ิน้ ชี ติ แบง่ เป็น 8 ขุม คื 1. ญั ชี ะ 2. กาล ูตระ 3. งั ฆาตะ 4. เราร ะ 5. ม าเราร ะ
6. ตปนะ 7. ประตาปนะ 8. จี ิ ม านรกทั้ง 8 ขมุ มีนรกบริ ารซงึ่ เรียก ่า ุต ทนรก ีก ย่างละ 16 ขมุ
เม่ื ร มม านรกและนรกบริ ารเข้าด้ ยกันจึงมีจ�าน นท้ัง ้ิน 128 ขุม น กจากน้ียังได้ ธิบายลัก ณะ
รื ัณฐานข งนรกไ ้ า่ นรกแตล่ ะขุมมี 4 มมุ มี 4 ประตู มี ดั ่ นเท่ากัน ูง 100 โยชน์ และก ้าง 100
โยชน์ พืน้ ข งนรกเ ลา่ นั้นเปน็ แผน่ เ ล็กท่มี ไี ฟลกุ โชติช่ ง ร้ นระ ุ มกี �าแพงเ ลก็ ล้ มร บและมเี พดาน
เ ลก็ ปกคลมุ ยขู่ า้ งบน นรกแตล่ ะขมุ มเี ปล ไฟลกุ โชตชิ ่ งแผไ่ ปไกลถงึ 100 โยชน์ และในนรกนน้ั ยงั มพี ก
นายนิรยบาลท่ีโ ดเ ้ียมค ยประ ัตประ าร ัต ์นรกผู้ท�าบาป ย่างทารุณ ีกด้ ย ( �าเนียง เล่ื มใ ,
ผู้แปล, 2553: 8)
่ นในคมั ภรี ม์ าเลยยเท ตั เถร ตั ถไุ มไ่ ดก้ ลา่ ถงึ รายละเ ยี ดข งนรกไ ท้ งั้ 8 ขมุ กลา่ ถงึ ช่ื นรก
บางชื่ เท่าน้ัน ดังน้ันคัมภีร์มาลัยย ัตถุทีปนีฎีกาจึงได้ ธิบายรายละเ ียดเพ่ิมเติมเกี่ย กับนรกทั้ง 8 ขุม
โดย า้ งพระดา� รั ข งพระพทุ ธเจา้ ทปี่ รากฏในคมั ภรี พ์ ระ ตุ ตนั ตปฎิ ก ขทุ ทกนกิ าย ฏั ฐกนบิ าต นบั นนุ
แน คิดเร่ื งนรก า่ มี ยู่ 8 ขมุ คื 1. ัญชี นรก 2. กา ตุ ตนรก 3. งั ฆาฏนรก 4. โรรุ นรก 5. ม าโร
รุ นรก 6. ปตาปนรก 7. ม าปตาปนรก 8. เ จมี านรก พร้ มกบั แ ดงผลกรรมที่ ัต น์ รกไดร้ บั และ
กรรมท่ีเคยกระท�าใน ดีต (พระม าภิรฐั กรณ์ � ุมาล,ี 2549: 191-194) ดังนี้
495
นงั ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เน่อื งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ตำรำงที่ 4 แ ดงผลกรรมที่ ัต ์นรกไดร้ บั และกรรมท่เี คยทา� ใน ดีตชาติในคัมภรี ์มาลัยย ัตถุทปี นีฎีกา
ที่ ชอื่ นรก กรรมทีเ่ คยท�ำในอดีตชำติ ผลกรรมทไี่ ดร้ ับ
1 ญั ชี ะ มีโท ะและโม ะคร บง�า ฆ่า ตั ์ ถกู ประ ตั ประ าร ลายพันปี
ท่มี ีชี ติ ด้ ยค ามโ ดรา้ ย
2 กา ตุ ตะ ไม่ระบุ - นายนิรยบาลถื า ุธต่าง ๆ ท่ีมีไฟลุกโพลง ติดตาม
ประ ัตประ าร ัต ์นรกทก่ี า� ลงั ่งิ นี
- นายนิรยบาลถื ข านตดิ ไฟ ับ มู่ ตั น์ รกทรี่ ้ งระงม
เป็น 8 ท่ นบ้าง 16 ท่ นบา้ ง
3-5 ังฆาฏะ, โรรุ ะ, ไม่ระบุ ไมร่ ะบุ
ม าโรรุ ะ
6 ปตาปะ ไม่ระบุ นายนริ ยบาลบงั คับใ ้นั่งบน ลา เ ล็กทีม่ ีไฟเผาไ ม้
ท่ภี าคพืน้ มีไฟลุกไ มเ้ ผา ตั น์ รกไม่ใ ้กระดกิ ได้
7 ม าปตาปะ ไม่ระบุ - นายนิรยบาลประ ารด้ ย า ธุ ทีล่ กุ ติดไฟแล้ โยนข้นึ
ภเู ขาเ ล็กทีม่ ไี ฟลกุ ไ ม้ กี
- บนภเู ขานนั้ ถกู ลมพดั ตกลงไปขา้ งล่าง ตั น์ รกมเี ทา้
ชีฟ้ ้า มี ั ปักลงล่าง กระแทกกบั ลา เ ลก็ รา่ งกาย
เ ียบเขา้ กบั ลา เ ล็กที่มไี ฟลุกโพลง
6 ม า เ จี ไม่ระบุ - ถูกเผาด้ ยเปล ไฟ นั ใ ญ่ที่ไม่มชี ่ ง ่าง เปล ไฟพ่งุ
มาจากทุกทิ ทุกทางโดยไม่มชี ่ ง ่างเลย
- ัต ์นรกเบียดเ ียดยัดเยียดกันและถูกเผาได้รับ
ค ามทกุ ข์ทรมานแ น า ั
่ น รรค์คื ภพภูมิที่บุคคลผู้ ร้างคุณงามค ามดีเม่ื ครั้งเป็นมนุ ย์จะได้รับ ลังจากตายไป
คัมภีร์ม า ั ตุ ทานกล่า ถึง รรค์ช้ันต่าง ๆ ประก บด้ ย 1. จาตุม าราชิกา 2. ดา ดึง ์ 3. ยามา
4. ดุ ิต 5. นมิ มานรดี 6. ปรนมิ มิต ตั ดี และพร มโลกบางช้ัน ไดแ้ ก่ ช้นั พร มกายกิ ากับชนั้ ทุ ธา า
( �าเนียง เล่ื มใ , ผู้แปล, 2553: 19-21) โดยแ ดงรายละเ ียดเกี่ย กับ านิ ง ์ท่ีได้รับใน รรค์และ
กรรมท่พี กเขาเคยกระทา� ใน ดตี ชาติ รุปเปน็ ตารางได้ดงั น้ี
496
ตำรำงที่ 5 แ ดงกุ ลกรรมทเ่ี ท ดาเคยทา� ในอดีตชาตแิ ละอานิ ง ์ที่ไดร้ ับในคมั ภรี ์ม า ั ตอุ ทาน
ที่ ช่อื สวรรค์ กรรมทเ่ี คยทำ� ในอดีตชำติ อำนสิ งสท์ ่ีได้รับ
1 จาตมุ าราชกิ า เป็นผู้ท�าบุญมาดี - มี ักดใิ์ ญ่ อายุยืน ผิ พรรณงดงาม มี
ค าม ขุ มาก มีอายุ รรณะ ขุ ะ มบัติ
และบริ ารเปน็ ทิพย์ มีรปู เ ยี ง กลนิ่ ร
มั ผั มอี า าร เครอื่ งแตง่ กายและเครอ่ื ง
ประดับเปน็ ทพิ ย์
- ไมม่ เี งา มีแ ง า่ งในตนเอง เ าะไปได้
ทุกที่ท่ีต้องการ ถึงพร้อมด้ ยกามคุณ ้า
อันเป็นทิพย์ มีนางอัป รปรนนิบัติใน
มิ านแก้ อนั เป็นทพิ ย์
- แต่ทุกอย่างกม็ ี นั ิน้ ุด ไม่ยงั่ ยืน
2 ดา ดงึ ์ เปน็ ผู้ท�าบุญมาดี และทา� กุ ลกรรม - มี กั ดิ์ใ ญ่ มอี ายุยืน มีกา� ลังเข้มแข็ง มี
มากมาย ค าม ขุ มาก มอี ายุ พละ ขุ ะ มบตั ิ และ
บริ ารอันเปน็ ทิพย์ มีรูป เ ยี ง กลน่ิ ร
ัมผั ผา้ อาภรณ์ มอี า าร อันเป็นทพิ ย์
- มีแ ง ่างในตนเอง เ าะไปได้ทุกแ ง่
ที่ต้องการ พร้อมด้ ยกามคุณ ้าอันเป็น
ทิพย์ มีนางอัป รปรนนิบัติใน ิมานแก้
อันเปน็ ทพิ ย์
- มีม าอุทยาน 8 แ ่ง คือ ไ ชยันตะ
นนั ทาปุ กรณิ ี ปารปิ าตระ โก ทิ าระ ม า
นะ ปารุ ยกะ จิตรรถะ นันทนะ และ
มิ รกา นะ
- มีท้า กั ระเป็นจอมเท ดา มีนางอปั ร
แปด ม่นื แ ดล้อม ประทับในปรา าทไ
ชยนั ตะ
- แตท่ กุ อย่างก็มี นั ้นิ ุด ไมย่ ่ังยืน
3-7 ยามา, ดุ ติ , นิมมานรด,ี ไม่ระบุ ไมร่ ะบุ
ปรนมิ มติ ัตด,ี
พร มกายกิ า
8 ทุ ธา า เป็นผทู้ �าบญุ มาดี - มี ักดิ์ใ ญ่ มีอายุยนื มี รรณะงดงาม มี
ค าม ุขมาก
- มีแ ง า่ งในตนเอง เ าะไปในอากา
ไปทกุ แ ง่ ไดต้ ามท่ปี รารถนา
- มีค ามปตี เิ ปน็ อา าร
- ไมม่ รี าคะ เปน็ ผบู้ ริ ทุ ธิ์ จะไดน้ พิ พานใน
ระ า่ งทอี่ ยู่ รรคโ์ ดยไมก่ ลบั มา โู่ ลกอกี
- ไมเ่ ก่ีย ขอ้ งกบั คนโง่และปุถุชน
497
นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เน่อื งในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
คัมภีร์มาเลยยเท ัตเถร ัตถุและคัมภีร์มาลัยย ัตถุทีปนีฎีกาได้ใ ้ค�า ธิบายเก่ีย กับ รรค์ไ ้
เ มื นกนั แตเ่ นน้ บรรยายภาพข ง รรคช์ น้ั ดา ดงึ ท์ พ่ี ระมาลยั นา� ด กบั ไปบชู าพระเจดยี จ์ ุ ามณเี ปน็
พิเ โดยผูแ้ ตง่ ได้แทรกไ ใ้ นบท นทนาข งพระมาลยั กบั พระ นิ ทร์ ขณะทพ่ี ระมาลัยถามถึงการท�าบญุ
ข งเ ลา่ เท ดาและ านิ ง ผ์ ลบุญที่เท ดาทงั้ ลายไดร้ บั ( ุภาพร มากแจ้ง, 2521: 199-205) รปุ เป็น
ตารางไดด้ งั นี้
ตำรำงท่ี 6 แ ดงกุ ลกรรมทเ่ี ท ดาเคยทา� ใน ดตี ชาตแิ ละ านิ ง ท์ ไ่ี ดร้ บั ในคมั ภรี ม์ าเลยยเท ตั เถร ตั ถุ
ที่ บญุ ทีท่ ำ� ในอดตี ชำติ อำนสิ งสท์ ่ไี ด้รบั ในสวรรค์ชน้ั ดำวดึงส์
1 ใ ้ขา้ ก้ น นง่ึ แก่กา ใ ้ทานแก่ ัต ์เดรจั ฉาน เกิดเปน็ เทพบุตรมบี ริ าร นงึ่ ร้ ย
2 ใ ้ทานเพ่ื นมนุ ย์ แม้ไม่มี ีล ไม่มปี ญั ญา เกิดเปน็ เทพบุตรมบี ริ าร นึ่งพนั
3 ถ าย า ารแก่ ามเณรผู้ทรง ลี เกิดเป็นเทพบตุ รมีบริ าร นง่ึ ม่ืน
4 ถ าย า ารแกพ่ ระภิก ุ งฆ์ ผู้ถื บณิ ฑบาตเป็น ตั ร เกดิ เปน็ เทพบตุ รมีบริ าร ง มนื่
5 ท�าบญุ มาก เลย้ี งชี ติ ด้ ย าชพี บริ ทุ ธิ์ เผา พไม่มีญาติ เกดิ เปน็ เทพบตุ รมีบริ าร าม มืน่
ถ ายยา า าร จี รและท่ี ยู่ า ยั แก่พระ งฆ์ผูท้ รง ีล
6 มี ีลบรบิ รู ณ์ เลี้ยงชี ติ ด้ ย าชพี บริ ทุ ธ์ิ ถ ายยา จี ร า าร เกิดเปน็ เทพบุตรมีบริ าร ี่ ม่ืน
และนา�้ แกพ่ ระ งฆ์
7 ถื ีล ้า ีลแปดใน นั โุ บ ถ และใ ้ทานคนยากจน เกดิ เป็นเทพบุตรมีบริ าร า้ ม่นื
ไมต่ ระ นี่
8 ท�าทาน ุปถมั ภพ์ ระรตั นตรยั ทา� นบุ า� รุงพระ า นา ร้าง ถปู เกิดเป็นเทพบุตรมีบริ าร ก มื่น งค์
ปลกู ต้นโพธิ์ ุปถัมภ์บิดา มารดา ปดั ก าดกฏุ ิ ถ ายจตุปัจจยั
ไทยทาน ถ ายทานพระ งฆ์ ใ ท้ านคนยากจน
9 บ ชเปน็ ามเณร รัก า ลี ภบิ าล ปุ ชั ฌาย์ ปรนนบิ ตั ดิ ้ ย เกดิ เป็นเทพบุตรมบี ริ ารเจด็ ม่ืน
การน ดเฟ้น ก าดผงเ นา นะ ตักนา�้ กลางคนื เรียนธรรม
กลาง นั ปรนนบิ ัติพระ าจารยแ์ ละเคารพครู าจารย์
10 บ กบุญใ ้ประชาชนใ บ่ าตรพระ งฆด์ ้ ยค�าพูดทไ่ี พเราะ และ เกิดเปน็ เทพบตุ รมบี ริ ารแปด มืน่
ถ ายบณิ ฑบาต
11 มี รทั ธาไ พ้ ระ ถปู บรรจพุ ระบรมธาตุ บชู าด้ ยด กกรรณกิ าร์ เกดิ เปน็ เทพบตุ รมบี ริ ารเกา้ ม่ืน
ด้ ยตาเปรียบดังประทีป ด้ ย ีร ะเปรียบดังด กไม้บาน
ด้ ยใจเปรียบดังเครื่ ง ม
12 รกั า ลี า้ ตง้ั ยู่ใน รณะ เก็บกร ดทรายมาก่ เปน็ เจดียแ์ ล้ เกดิ เปน็ เทพบุตรมีบริ าร นึ่งแ น
บชู าด้ ยกาย าจา ใจ และด กไม้ ถ าย งั ฆทาน กราบไ บ้ ชู า
เจดีย์
13 ร้างกุ ลและทา� ทานด้ ย ิง่ ข งที่มี ตี า่ ง ๆ เกดิ เปน็ เทพบตุ รและเทพธดิ ามรี ั มี ตี า่ ง ๆ เชน่
ขา เ ลื ง แดง และ ีท ง
14 ถ ายด กบั แปดด กแก่พระ ร ันต์ เกิดเปน็ บุ ลเท ินทรเ์ ทพบตุ ร
498
นอกจากนี้คัมภีร์มาเลยยเท ัตเถร ัตถุยังกล่า ถึงการ ร้างบุญบารมีในอดีตชาติของ
พระ รีอริยเมตไตรยโพธิ ตั แ์ ละอานิ ง ท์ พี่ ระองค์ไดร้ ับไ ด้ ังนี้
ตำรำงที่ 7 แ ดงกุ ลกรรมในอดีตชาติและอานิ ง ์ทไ่ี ด้รบั ใน รรค์ของพระ รอี ริยเมตไตรย
ท่ี กศุ ลกรรมทีไ่ ดท้ ำ� ในอดีตชำติ อำนิสงสท์ ี่ได้รับในสวรรค์
1 บูชาพระรัตนตรัยด้ ย ่ิงของ ีเดีย ล้ น เช่น ถ ายผ้า อา าร เปน็ พระ รีอาริยเมตไตรย มผี ิ กาย ตี ่าง ๆ
และผลไม้แกพ่ ระ งฆ์จ
2 บา� เพ็ญบารมี 4 อ งไขยแ นกลั ป์ บงั เกดิ เปน็ ปญั ญาธกิ โพธิ ัต ์
3 บา� เพญ็ บารมี 8 อ งไขยแ นกัลป์ บงั เกดิ เปน็ รัทธาธกิ โพธิ ตั ์
4 บา� เพญ็ บารมี 16 อ งไขยแ นกัลป์ บังเกดิ เปน็ ิรยิ าธิกโพธิ ตั ์
5 บา� เพ็ญ มตึ บารมี คอื ท บารมี ท อปุ บารมี และท ปรมัตถ บงั เกดิ เปน็ ิรยิ าธิกโพธิ ตั ์ ตรั รเู้ ป็น
บารมี กระทา� ปญั จม าบรจิ าค คอื ทรพั ย์ บตุ ร ภรรยา เลอื ดเนอื้ พระ รอี ารยิ เมตไตรย ัมมา ัมพุทธเจ้า
และชี ิต
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงคุณค่าของ รรค์ถึงแม้จะยอมรับ ่าเป็นดินแดนท่ีมีค าม ุขถึง
พร้อมด้ ยของทิพย์นานาประการ แต่ก็ไม่ได้ มายค าม ่า รรค์เป็นเป็น ่ิงท่ีดีที่ ุด รือเป็นเป้า มาย
ูง ดุ ของชี ิต เพราะ รรค์ก็ตกอยภู่ ายใตก้ ฎไตรลัก ณ์ ดังนน้ั คัมภรี ์ม า ั ตุอ ทานจงึ ไดน้ �าเ นอผ่าน
ค�าพูดของพระม าเมาทคลั ยายนะ า่ บุคคลค ร รา้ งกุ ลกรรมและประพฤตพิ ร มจรรยเ์ พอ่ื ค ามร้แู จง้
เ น็ จรงิ และไมท่ า� บาปโดยประการทงั้ ป ง ซง่ึ ผู้ จิ ยั เ น็ า่ คมั ภรี ม์ า ั ตอุ ทานไมไ่ ด้ อนใ ผ้ ฟู้ งั ปรารถนา
เพียง รรค์ รอื พร มโลก แตช่ ี้ า่ ยงั มีเปา้ มาย งู ดุ คอื นิพพานรออยูข่ ้าง น้านัน่ เอง
7.5 อทิ ธิพลของคมั ภรี ์ทปี่ รำกฏในบรบิ ทสังคมไทย
จากการ ึก าพบ ่าเรือ่ งของพระม าเมาทคลั ยายนะมอี ิทธิพลใน ังคมไทยในฐานะทท่ี ่านเปน็
พระอคั ร า กทไี่ ดร้ บั การยกยอ่ งจากพระพทุ ธเจา้ ในดา้ นมฤี ทธซิ์ งึ่ ผู้ กึ าพระพทุ ธ า นารจู้ กั กนั ดี เราจงึ
มักพบเ ็นรูป ล่อ รือรูปปั้นของพระม าเมาทคัลยายนะ อยู่ข้างพระพุทธรูปท่ีเป็นพระประธานในพระ
อุโบ ถตาม ดั ต่าง ๆ แต่ถา้ พดู ถงึ อิทธิพลต่อประเพณี รอื พิธกี รรมใน ังคมไทยจะพบ า่ เรือ่ งพระมาลัย
ก่อใ เ้ กดิ คติค ามเชื่อ ประเพณี และพธิ ีกรรมมากก า่ อย่างเ น็ ได้ชดั อกี ทั้งเรอ่ื งพระมาลยั ยังมอี ทิ ธพิ ล
ต่อการ ร้าง รรค์งานดา้ น ิลปกรรมอกี ด้ ยดงั ตั อยา่ งต่อไปนี้
7.5.1 กำรสวดและกำรเทศนเ์ รือ่ งพระมำลยั
ในพธิ แี ตง่ งานของคนใน มัยโบราณ กอ่ น ง่ ตั บา่ า เข้า อ นิยมใ ม้ กี าร ดพระมาลยั เพอ่ื
่ัง อนคู่บ่า า ใ ้รู้จักเกรงกลั บาป ตอนท่ีนิยม ดคือตอนมีชู้ขึ้นต้นง้ิ เพื่ออบรมคู่บ่า า มิใ ้ล่ ง
ละเมดิ ผิดประเ ณี ามี รือภรรยาผอู้ ่ืน ค ามเชอื่ เกี่ย กบั การ ดพระมาลัยในงานแตง่ งาน เ ฐียรโกเ
กล่า ไ ้ในเรือ่ งประเพณีเร่ืองแตง่ งานบ่า า ของไทย (เ ฐยี รโกเ , 2514: 267) ปัจจุบันนีไ้ มม่ กี าร ด
มาลัย ูตรในพิธีแต่งงานแล้ มีการปรับเปล่ียนน�ามาใช้ ดในงาน พเพียงอย่างเดีย นอกจากการ ด
พระมาลยั แล้ ยงั มปี ระเพณกี ารเท นม์ าลยั อกี ด้ ย ปกตนิ ยิ มเท นใ์ นโอกา ตา่ ง ๆ เปน็ การเท น์ 3 ธรรมา น์
499
นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
แบ่งบทพระผู้ ดเจรจาโตต้ บกนั เช่น เมื่ จะเท น์ภาคนรก พระรปู น่ึงจะรับบทเปน็ พระมาลยั กี รปู
นึง่ เท นบ์ ท ตั น์ รก และ กี รปู น่งึ แทนพระยายม ากเท น์ภาค รรค์ก็จะมพี ระ 3 รูป รับบทเป็น
พระมาลยั พระ นิ ทร์ และพระ รี ารยิ เมตไตรย ระ า่ งการเท นจ์ ะมกี ารโตต้ บ ซกั ถาม มกั แทรกเรื่ ง
เล่าเพ่มิ เติม เช่น เ ตกุ ารณ์บ้านเมื ง บุคคลทนี่ ่า นใจ โดยนา� มาเปน็ ตั ยา่ งเทียบเคยี ง เปน็ ุทา รณใ์ ้
เ น็ ลกั ธรรมเดน่ ชดั ขน้ึ ประเพณกี ารเท นม์ าลยั ยงั คงมี ยใู่ นปจั จบุ นั โดยเฉพาะตามชนบท ( ฒั นา ณ นคร,
2525: 142-143)
7.5.2 ประเพณีกำรเทศน์มหำชำติ
เน่ื งจากเนื้ เรื่ งในคัมภีร์มาเลยยเท ัตเถร ัตถุและมาลัยย ัตถุทีปนีฎีกากล่า ่าผู้ท่ีฟังเท น์
ม าชาติจบท้งั 13 กัณฑ์ภายใน ันเดยี พร้ มทัง้ บริจาคทาน เช่น ด กไม้ ธปู เทยี น ฉัตร ธง ง่ิ ละพนั จะ
มีโ กา ไปเกิดทัน า นาพระ รี ริยเมตไตรย ดังน้ันชา พุทธในประเท ไทยท่ั ทุกภาคจึงนิยมจัดใ ้มี
ประเพณกี ารเท น์ม าชาตขิ น้ึ ภาคกลางนิยมเท นร์ ะ ่างเท กาล กพรร าถึงเดื น ิบ ง ( ฒั นา
ณ นคร, 2525: 92) ภาคตะ ัน กเฉียงเ นื มีการเท น์ม าชาติในเดื น ี่เรียก ่า งานบุญผะเ ด
ภาคเ นื มกี ารตง้ั ธรรม ล งเท นม์ าชาตเิ ดื นยเ่ี นื รื เดื นพฤ จกิ ายน และประเพณเี ท นม์ าชาติ
ในเดื น ามเ นื คื เดื นธัน าคม ภาคใตน้ ัน้ นิยมเท นม์ าชาตใิ นเดื น ้าย ( ร นงค์ พดั พาที, 2522:
106) แมท้ ุก ันนี้การเท นม์ าชาตกิ ็ยงั เปน็ ประเพณีท่ีไดร้ บั ค ามนิยม และยังมกี าร ืบ าน นรุ กั ์ไ ้ใ ้
คง ยู่ ย่างต่ เนื่ ง
7.5.3 ประเพณีกำรทำ� บญุ อทุ ศิ ให้กับผตู้ ำย
ประเพณีการท�าบุญกร ดน�้า ุทิ ่ นกุ ลมีมาต้ังแต่ มัยพุทธกาลแล้ ( ุดมพร คัมภิรานนท์,
2551: 104) การท�าบญุ ทุ ิ ใ แ้ กผ่ ตู้ ายด้ ยการทา� บญุ ตกั บาตรแกพ่ ระภกิ ุ งฆ์แล้ กร ดน�้า ุทิ ใ แ้ ก่
ผู้ตาย เป็นประเพณีท่ีชา พุทธไทยได้ยึดถื ปฏิบัติกันมานาน ด้ ยเช่ื ่าเป็น ิธีที่คนเป็นจะติดต่ กับคน
ตายได้ ในเรื่ งพระมาลัย ผู้ท่ีถ ายบิณฑบาตแก่พระ งฆ์เม่ื ตายไปก็ได้ไปเกิดบน รรค์เป็นเทพบุตร
มีบริ ารถงึ แปด มืน่ ชายเขญ็ ใจผู้ถ ายด กบั 8 ด ก แกพ่ ระมาลัยกบ็ งั เกิดเป็น ุบลเท นิ ทรเ์ ทพบุตร
และคนโบราณบางคนยงั เชื่ า่ การทา� บญุ ตกั บาตรจะเปน็ ปจั จยั ทา� ใ ไ้ ปเกดิ ใน า นาพระ รี รยิ เมตไตรย
ใน นาคตด้ ย
7.5.4 ประเพณจี ัดดอกไม้ใหผ้ ตู้ ำยถอื
ใน มคู่ นไทยทน่ี บั ถื พระพทุ ธ า นาและผกู พนั ยกู่ บั เร่ื งพระมาลยั เมื่ มคี นเจบ็ ใกลต้ าย ญาติ
พนี่ ้ งจะนา� ด กไม้ ธูป เทยี น บรรจกุ ร ยใบต งใ ้คนเจบ็ ถื พนมไ ้ เพ่ื น้ มน�าจิตคนเจ็บใ ม้ ี ติและใ ้
ระลึกถึงกุ ลกรรมที่เคยกระท�า และ ุดท้ายคื ใ ้น�ากร ยด กไม้นั้นไปบูชาพระเจดีย์จุ ามณีบน รรค์
จะได้บูชาพระ รี รยิ เมตไตรย เ มื นกับเรื่ งรา ท่ปี รากฏในเร่ื งพระมาลัย ิธปี ฏบิ ตั ิ คื เมื่ ผปู้ ่ ย น้ิ
ชี ิตก็จะท�าพิธี พตามขั้นต นและน�ากร ยใบต งบรรจุ มากพลูและด กไม้ ดไ ้ในมื พซ่ึง ยู่ใน
ทา่ ประนมมื โดยเชื่ า่ เคร่ื ง กั การะนผี้ ตู้ ายจะไดน้ า� ไป กั การะพระเจดยี จ์ ุ ามณใี น รรคช์ น้ั ดา ดงึ ์
( ุดมพร คมั ภิรานนท์, 2551: 103) เรื่ งดงั กลา่ เกีย่ เน่ื งกับเร่ื งพระมาลยั โดย ้ ม
500
เร่ื งพระมาลยั น กจากจะก่ ใ เ้ กดิ แน คดิ ค ามเช่ื จนนา� ไปปฏบิ ตั เิ ปน็ ประเพณแี ละพธิ กี รรมตา่ ง ๆ
แล้ ยงั มี ทิ ธพิ ลต่ งาน ลิ ปะ ลาย าขา เชน่ จติ รกรรม ประตมิ ากรรม เพราะ ลิ ปนิ ไดน้ า� เ าเร่ื งพระมาลยั
ไป าดตามฝาผนงั พระ โุ บ ถ เชน่ ภาพจติ รกรรมฝาผนงั ทพ่ี ระ โุ บ ถ ดั ระฆงั โฆ ติ าราม รื พระ โุ บ ถ
ดั ดุ ติ าราม กรงุ เทพฯ เปน็ ตน้ ภาพจติ รกรรมดงั กลา่ น กจากเพ่ื ค ามงามแล้ ยงั เปน็ ่ื ธรรมใ ค้ นทไ่ี ด้
ชมเขา้ ใจถงึ เรื่ งบาปบญุ คณุ โท และชกั นา� ใ ้ รา้ ง มคณุ งามค ามดดี ้ ย น กจากงานจติ รกรรมแล้ ยงั มงี าน
ประตมิ ากรรม เช่น รูป ล่ พระมาลัย เป็นตน้ ง่ิ เ ลา่ นี้ ะท้ นใ ้เ ็น า่ งั คมไทยใน ดตี มคี ามรเู้ ร่ื ง
พระมาลยั เปน็ ยา่ งดี ในทนี่ จ้ี ะกลา่ ถงึ งานดา้ น ลิ ปกรรมทเี่ กยี่ ข้ งพ เปน็ ตั ยา่ งดงั นี้
1) ด้ำนจติ รกรรม
ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่พบตาม ัดต่าง ๆ ่ นใ ญ่เป็นภาพที่แ ดงเร่ื งรา ทาง า นา ได้แก่
เรื่ งข งพทุ ธประ ตั ิ ชาดกท ชาติ และม าเ ันดรชาดก เป็นต้น โดยธรรมเนียมข งชา่ งไทยในการ
าดภาพตกแตง่ พระ โุ บ ถและพระ ิ ารนน้ั มกั าดต นพระพทุ ธ งคผ์ จญมาร าดภาพไตรภมู ปิ ระก บ
ด้ ยเขาพระ ุเมรุ ฝาผนังโบ ถ์ ิ าร ลายแ ่งมีภาพ าดเร่ื งพระมาลัยโปรด ัต ์นรก เป็นการเล่าเรื่ ง
ด้ ยภาพ ื่ ารด้ ยเ น้ แ ง ี และเงา นั เปน็ ่ นประก บในการ รา้ งจติ รกรรม จติ รกรรมดง้ั เดมิ ข ง
ไทยนน้ั เปน็ ลิ ปะทใี่ ชเ้ ชดิ ชพู ระพทุ ธ า นา มใิ ชเ่ ปน็ งานทมี่ ี ตั ถปุ ระ งคท์ าง ลิ ปะ ยา่ งเดยี เทา่ นน้ั (เคลา้ ์
เ ง้ ค,์ 2511: 2) ในการ ร้าง รรคผ์ ลงาน ลิ ปนิ บางคนจะ าดภาพพระมาลยั โปรด ัต ์นรก ภาพทมี่ ีช่ื
เ ยี งมากคื ภาพจติ รกรรมฝาผนงั ทพ่ี ระ โุ บ ถ ดั ดุ ติ าราม เพราะจติ รกรจนิ ตนาการภาพนรกไ ้ ยา่ งนา่
ะพรึงกลั ( ิลป พรี ะ รี, 2502: 25) ยา่ งไรก็ตาม ิลปนิ ก็ไม่ไดเ้ พยี งนา� ภาพพระมาลยั โปรด ัต น์ รก
มาแทรก ยใู่ นเรื่ งไตรภมู เิ ทา่ นนั้ แตไ่ ดน้ า� ค ามคดิ เรื่ งพระมาลยั ขน้ึ ไปนมั การพระเจดยี จ์ ุ ามณมี าแทรก
ไ ้ด้ ย ดังปรากฏบนภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ ัดระฆังโฆ ิตาราม รม า ิ าร (ชนิดา เรื งจรูญ, 2546:
155) ซงึ่ แ ดงใ เ้ น็ า่ เร่ื งพระมาลยั กม็ ี ทิ ธพิ ลต่ งานจติ รกรรมไมน่ ้ ยเลยทเี ดีย
2) ด้ำนประติมำกรรม
ในประเท ไทย ามารถพบเ น็ งานประตมิ ากรรมรปู ข งพระม าเมาทคลั ยายนะ รื พระโมคคลั ลานะ
ใน ดั ต่าง ๆ เกื บทกุ ดั โดยเฉพาะในพระ ุโบ ถทีม่ กี ารประดิ ฐานพระพุทธรูปไ เ้ ป็นพระประธานจะ
ต้ งมีรูปประติมากรรมข งพระ ัคร า ก 2 งค์ ยู่เบ้ื งซ้ายและเบ้ื งข าข งพระประธานเ ม
งค์ที่ ยู่เบ้ื งซ้ายข งพระพุทธรูปได้แก่พระม าโมคคัลลานะ ่ นเบื้ งข าได้แก่ พระ ารีบุตร การท่ี
ชา พุทธ ร้างประติมากรรมข งพระเถระทั้ง งไ ้เป็นท่ีเคารพบูชาก็เพราะร�าลึกถึงคุณค ามดีข งท่าน
และถื า่ เปน็ พระ า กคู่บารมีข งพระพุทธเจา้ ในการประกา พระ า นานน่ั เ ง
่ นประติมากรรมเกี่ย กับพระมาลัยพบ ลักฐาน ่ามี ายุเก่าแก่ก ่างานจิตรกรรม กล่า คื
มี ายุตั้งแต่พุทธ ต รร ท่ี 21-22 เป็นต้นมา ทั้งน้ีคงเนื่ งจากการ ร้างด้ ย ั ดุคงทนเ นื ก ่างาน
จิตรกรรมจึงพบ ลงเ ลื มาจนถึงปัจจุบัน (เด่นดา ิลปานนท์, 2553: 73) ลักฐานที่พบมีทั้งงาน
ประติมากรรมนูนต�่าและประติมากรรมล ยตั ประติมากรรมนูนต่�า ได้แก่ งานไม้แกะ ลัก งานปูนปั้น
ประดับ าคาร า น ถาน และ า น ัตถุ เช่น ปูนปั้นและไม้ประจ�า ลักประดับ น้าบัน าคารที่พบ
กระจายในภูมภิ าคตา่ ง ๆ เปน็ ต้น ่ นประติมากรรมล ยตั พบมากในเขตภาคกลาง แพร่กระจายไปยงั
ภาคเ นื ต นล่างและภาคตะ ัน ก ใน มัย ยุธยานิยมท�าประติมากรรมพระมาลัยเพียงปางเดีย
501
นัง ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เนอ่ื งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ต่อมาใน มัยรัตนโก ินทร์ตอนต้นจึงมีการ ร้างพระมาลัยขึ้นอีก ลายปาง ท้ังน้ีคงเป็นเพราะเร่ือง
พระมาลัย ูตรเฟื่องฟูข้ึนในระยะเ ลาดังกล่า (เด่นดา ลิ ปานนท,์ 2553: 74) ประตมิ ากรรมพระมาลยั
เท่าที่พบในปัจจุบันอาจแบ่งเป็นปางต่าง ๆ เช่น 1) พระมาลัยปางโปรด ัต ์ 2) พระมาลัยปางโปรดนรก
3) พระมาลยั ปางถ ายดอกบั 4) พระมาลยั ปางโปรด รรค์ (เดน่ ดา ลิ ปานนท,์ 2553: 75-86) ปจั จบุ นั
มี ิลปะดา้ นประติมากรรมท่ีเกี่ย ขอ้ งกบั เรื่องพระมาลัยอยูบ่ า้ ง แตเ่ ปน็ ฝมี อื ชา่ ง มัยใ ม่ ไม่ประณตี นกั
เช่น ท่ี ัดไผโ่ รง ั จงั ดั ุพรรณบุรี เปน็ ต้น ซึ่งประติมากรรมรูปแบบต่างๆ เ ล่านแ้ี ดงถงึ แกน่ ปรัชญา
ของเรือ่ งพระมาลยั ทใี่ ค้ าม า� คัญของการกระทา� ค ามดแี ละผลของกรรมดีนัน่ เอง
จากทก่ี ลา่ มาจะเ น็ า่ เรอื่ งรา ของพระมาลยั มอี ทิ ธพิ ลตอ่ แน คดิ ของ ลิ ปนิ ไทยใน มยั โบราณ
คอ่ นข้างมาก ิลปินจงึ ได้นา� พลงั แ ่งค าม รทั ธาในจริยา ตั รอนั งดงามของพระมาลยั มา รา้ ง รรค์เป็น
ผลงาน ลิ ปะทท่ี รงคณุ คา่ จนกลายเปน็ มรดกของชาตมิ าถงึ ทกุ นั น้ี ่ นเรอ่ื งรา ของพระม าเมาทคลั ยายนะ
ทไ่ี มป่ รากฏอทิ ธพิ ลเ มอื นเรอ่ื งพระมาลยั นั นิ ฐาน า่ นา่ จะเปน็ เพราะไมม่ กี ารนา� เรอื่ งมาประยกุ ตใ์ เ้ ขา้
กบั ิถีชี ิต งั คมไทย รือนา� มา ดในงานพธิ ีต่าง ๆ ดังนัน้ เรื่องจึงไม่เปน็ ทน่ี ิยมแพร่ ลายเ มอื นกบั เรื่อง
พระมาลัย
8. สรุป อภิปรำยผล และข้อเสนอแนะ
8.1 สรปุ อภปิ รำยผล
จากการ ึก าบทบาทของพระม าเมาทคัลยายนะในคัมภีร์ม า ั ตุอ ทานกับบทบาทของ
พระมาลยั ในคมั ภรี ม์ าเลยยเท ตั เถร ตั ถแุ ละคมั ภรี ม์ าลยั ย ตั ถทุ ปี นฎี กี า ทา� ใ ท้ ราบ า่ พระม าเมาทคลั ยายนะ
ในคัมภีร์ม า ั ตุอ ทาน กับพระม าโมคคัลลานะในพระไตรปิฎกและอรรถกถาน้ันคือพระเถระ
รปู เดีย กนั มปี ระ ัตคิ ามเป็นมาตรงกัน แต่เดมิ มีช่อื ่า โกลติ ะ เป็นบุตรพรา มณ์ค บดี เกดิ ที่ ม่บู า้ น
โกลิตะนอกเขตเมืองราชคฤ ์ มีเพื่อน นิทช่ืออุปติ ยะ (บาลีเรียก ่า อุปติ ะ) คัมภีร์ม า ั ตุอ ทาน
กล่า ถึงโกลิตะและอุปติ ยะต้ังแต่ตอนที่ยังไม่ออกบ ชไปจนออกบ ชแล้ ได้เป็นพระอัคร า กของ
พระพุทธเจ้าไม่ต่างกันนักกับพระไตรปิฎกและอรรถกถา ดังน้ันจึงถือได้ ่าพระม าเมาทคัลยายนะเป็น
บุคคลท่ีมีอยู่จริงในประ ัติ า ตร์พระพุทธ า นา ในคัมภีร์ม า ั ตุอ ทานพระม าเมาทคัลยายนะมี
บทบาทโดดเด่นมากคือ ได้แ ดงฤทธิ์เ าะไปเยี่ยมโลกนรกและ รรค์ ร มถึงโลกของ ัต ์อ่ืน ๆ ได้แก่
เดรจั ฉาน เปรต อ รุ กาย การไปปรากฏตั ของทา่ นในภพภมู ติ า่ ง ๆ นนั้ กเ็ พอื่ โปรด ตั ท์ งั้ ลายทงั้ ทมี่ ที กุ ข์
และมี ขุ แล้ นา� ง่ิ ทเี่ น็ มาเท นา ง่ั อนชา โลกใ เ้ กรงกลั ตอ่ บาป ไมค่ ดิ ทา� ช่ั จะไดไ้ มเ่ กดิ ในนรก รอื
อบายภมู ทิ น่ี า่ กลั อกี ทง้ั แนะนา� คนทง้ั ลายใ ต้ ง้ั อยใู่ นค ามดแี ละ มน่ั รา้ งกุ ล เพอื่ จะไดไ้ ปเกดิ ใน รรค์
อนั เปน็ แดนแ ง่ ค าม ขุ คา� บรรยายบทบาทของพระม าเมาทคลั ยายนะทเ่ี นน้ มากเปน็ พเิ คอื ตอนจารกิ
ไปเยอื นนรก มีการแจกแจงช่ือนรกท้ัง 8 ขุมและนรกที่เป็นบริ ารด้ ย นอกจากน้ียังกล่า ถึงกรรมที่
ัต ์นรกเคยท�าและผลกรรมทไ่ี ดร้ บั อยา่ งละเอยี ด ทา� ใ ผ้ อู้ า่ น รอื ผฟู้ งั เ น็ ภาพตามการพรรณนาไดอ้ ยา่ ง
ชัดเจน
502
อยา่ งไรก็ตาม เมือ่ กลา่ ถึงโลก รรค์ คมั ภีรม์ า ั ตุอ ทานก็ไม่ไดบ้ รรยายไ ล้ ะเอยี ดมากนัก
เมื่อเทยี บกับการบรรยายภาพของนรก ท้ังน้อี าจเปน็ เพราะผ้แู ตง่ ต้องการเน้นค ามนา่ กลั ของบาปกรรม
และผลของบาปกรรมทจี่ ะไดร้ บั ในนรกกเ็ ปน็ ได้ จงึ กลา่ ได้ า่ บทบาทของพระม าเมาทคลั ยายนะทท่ี อ่ งเทยี่
ไปในโลกของ ตั น์ รก เดรจั ฉาน เปรต อ รุ กาย และโลก รรค์ เปน็ การไป กึ าและ มั ผั ดนิ แดนตา่ ง ๆ
ที่แตกต่างไปจากโลกมนุ ย์และ ิถีชี ิตปกติของชา โลก ดินแดนเ ล่าน้ันจ�าแนกไปตามกรรมท่ี ัต ์โลก
ท้ัง ลายได้กระท�าเม่ือครั้งยังเป็นมนุ ย์ ผู้ท�ากรรมช่ั ก็ได้จะได้รับทุกข์ในดินแดนอบายภูมิซ่ึงเต็มไปด้ ย
ค ามล�าบาก ากท�ากรรมดีก็จะได้เ ยค าม ุขในดินแดนที่เรียก ่า รรค์อันมีค าม ุข คัมภีร์
ม า ั ตอุ ทานไมไ่ ดถ้ อื า่ รรคเ์ ปน็ เปา้ มาย งู ดุ เพราะในท่ี ดุ แล้ รรคก์ ไ็ มจ่ รี งั ยง่ั ยนื ดงั จะเ น็ ได้
จากคา� บอกเลา่ ของพระม าเมาทคลั ยายนะตอ่ พทุ ธบริ ทั เมอื่ กลบั มาถงึ ดั พระเชต นั า่ รรคท์ ง้ั ลาย
กไ็ มเ่ ทยี่ ง เปน็ ทกุ ข์ และมคี ามเปลย่ี นแปลงเปน็ ธรรมดา ง่ิ ที่ า� คญั ก า่ นนั้ จงึ เปน็ การประพฤตพิ ร มจรรย์
เพอื่ กา้ ไป ู่เป้า มาย ูง ุดคอื พระนิพพาน
�า รับบทบาทและเรื่องรา ของพระมาลัยนัน้ ไม่มีปรากฏในคมั ภรี พ์ ระไตรปฎิ กและอรรถกถา
นัก ิชาการท้ัง ลาย ันนิ ฐาน ่า เป็นเรื่องของพระเถระชา รีลังกาใน มัยโบราณบ้าง เป็นเร่ืองที่แต่ง
ขนึ้ โดยปราชญช์ า รลี งั กาเพอ่ื เปน็ อบุ าย อนธรรมพทุ ธบริ ทั บา้ ง โดย รา้ งตั ละครทมี่ บี ทบาทคลา้ ยกบั
พระม าโมคคลั ลานะในพระไตรปฎิ กซง่ึ มฤี ทธเิ์ าะได้ ตอ่ มาเมอ่ื เรอื่ งดงั กลา่ แพร่ ลายมาถงึ ดนิ แดนพมา่
และลา้ นนา พระ งฆช์ า ลา้ นนาจงึ นา� มาแตง่ ใ มใ่ ร้ ายละเอยี ดมากขน้ึ ดงั เชน่ คมั ภรี ม์ าเลยยเท ตั เถร ตั ถุ
ทแี่ ต่ง มัยล้านนาและคัมภีรม์ าลัยย ัตถทุ ีปนฎี กี าที่แตง่ ใน มยั ุโขทัยเป็นตั อยา่ ง คมั ภีร์เล่ม ลังนั้นแตง่
ขยายค ามคมั ภรี เ์ ลม่ แรกใ ช้ ดั เจนขึ้น เนน้ ยา�้ าระ า� คญั ของเรอ่ื งและอธบิ ายข้อธรรมใ ล้ ะเอยี ดพิ ดาร
มากขนึ้ คมั ภรี ท์ ง้ั องกไ็ มไ่ ดก้ ลา่ ถงึ ชี ติ เยา ์ ยั รอื ชี ติ กอ่ นบ ชของพระมาลยั แตอ่ ยา่ งใด เราจงึ ไมท่ ราบ
ทไี่ ปทม่ี าของพระมาลยั า่ เปน็ ลกู ใคร เ ตใุ ดจงึ ออกบ ช เปน็ ลกู ิ ยข์ องใคร เปน็ ตน้ จะเ น็ า่ การดา� เนนิ
เรอ่ื งคอ่ นขา้ งกระชบั โดยกลา่ แตเ่ พยี ง า่ พระมาลยั เปน็ พระภกิ ทุ อี่ า ยั อยใู่ น มบู่ า้ นกมั โพช โร ณชนบท
ลังกาท ีป มีอานุภาพทาง �าแดงฤทธ์ิท่องไปในนรกและ รรค์เ มือนกับพระม าโมคคัลลานะ
ฉากบรรยายโลกมนุ ย์ก็เจาะจง ่าเป็นดินแดนในเกาะลังกา จากข้อมูลดังกล่า น้ีจึงท�าใ ้เ ็น ่า
พระม าเมาทคลั ยายนะกบั พระมาลยั ไมใ่ ชบ่ คุ คลคนเดยี กนั อยา่ งแนน่ อน ากแตเ่ รอ่ื งรา ของพระมาลยั
ถกู แต่งขึ้นโดยอา ัยโครงเรอื่ งและบทบาทตั ละครคล้ายกับพระม าเมาทคัลลายนะนน่ั เอง
จากข้อ ัง ัยที่ ่าเรื่องพระมาลัยได้รับอิทธิพลมาจากเรื่องพระม าเมาทคัลยายนะในคัมภีร์
ม า ั ตุอ ทาน รือไม่ เพราะคัมภีร์ม า ั ตุอ ทานแต่งขึ้นก่อนคัมภีร์พระมาลัย ลาย ต รร และ
ปรากฏโครงเรอ่ื งทพี่ ระม าเมาทคลั ยายนะจารกิ ไปโปรด ตั น์ รกและเท ดาใน รรคอ์ ยา่ งชดั เจน เพราะ
ถึงแม้ผู้แต่งเรื่องพระมาลัยจะอ้าง ่าได้อา ัยข้อมูลจากพระไตรปิฎกภา าบาลีแล้ ตาม แต่ก็อาจจะได้
ตั อย่างจากเร่ืองพระม าเมาทคัลยายนะในคัมภีร์ม า ั ตุก็เป็นได้ เร่ืองน้ีแม้จะพยายามค้น าค�าตอบ
แตก่ ย็ งั ไมพ่ บ ลกั ฐานทแ่ี ดงค ามเชอื่ มโยง จงึ ไมอ่ าจชชี้ ดั ได้ า่ ผแู้ ตง่ คมั ภรี พ์ ระมาลยั ไดอ้ ทิ ธพิ ลจากคมั ภรี ์
ม า ั ตุอ ทาน รือไม่ แต่ก็ ันนิ ฐานได้ ่าอาจเป็นไปได้ เพราะในลังกาท ีปแต่โบราณก็มีการนับถือ
พระพทุ ธ า นาทง้ั แบบเถร าทและม ายาน ดงั เชน่ า� นกั อภยั ครี ี ิ ารกเ็ ชอื่ า่ เปน็ า� นกั ของฝา่ ยม ายาน
พระ งฆล์ งั กาจงึ อาจเคยเรยี นรคู้ มั ภรี ม์ า ั ตอุ ทานกเ็ ปน็ ได้ จงึ ทา� ใ เ้ กดิ การ รา้ งโครงเรอ่ื งใ พ้ ระมาลยั ไป
503
นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
เยื นนรกและ รรคท์ ค่ี ล้ายคลงึ กันมาก แต่เ ตุผลดังกลา่ กเ็ ปน็ ได้เพียงข้ นั นิ ฐานเทา่ นน้ั เพราะไม่
าจ า ลกั ฐานทช่ี ช้ี ดั ไดแ้ ละคมั ภรี พ์ ระมาลยั กไ็ มไ่ ดบ้ กข้ มลู ใด ๆ เกยี่ กบั คมั ภรี ม์ า ั ตุ ทานใ ท้ ราบ
น กจากบ ก ่าพระมาลยั เปน็ พระเถระทีม่ ี ิทธิฤทธ์ิเก่งกลา้ คลา้ ยกบั พระม าโมคคัลลานะ ซึ่งเปน็ การ
บ กไปคัมภีร์พระมาลัย ิง า ัยข้ มูลจากพระไตรปิฎกฝ่ายบาลี าใช่คัมภีร์ ื่นไม่ ซึ่งผู้ ิจัยเ ็น ่าถ้าไม่
ตดิ ใจเร่ื งโครง ร้างข งเร่ื งทีค่ ลา้ ยกบั ในคมั ภรี ม์ า ั ตุ ทานแล้ กต็ ้ งย มรบั ่าเป็นเช่นน้ัน
เมื่ ึก ารายละเ ียดข งคัมภีร์ก็พบ ่ามีท้ังข้ ท่ีเ มื นกันและแตกต่างกัน ยู่ ลายประการ
มีการกลา่ ถงึ การไปเยื นนรกและ รรค์เ มื นกัน แตใ่ ร้ ายละเ ยี ดและมีจุดเนน้ ไม่เ มื นกัน คัมภีร์
ม า ั ตุ ทานจะเนน้ ภาคนรกและใ ร้ ายละเ ยี ดมากเปน็ พเิ ่ นคมั ภรี ม์ าเลยยเท ตั เถร ตั ถแุ ละมา
ลยั ย ตั ถทุ ปี นฎี กี ากลา่ ถงึ ภาคนรกเพยี งเลก็ น้ ย แตเ่ นน้ ภาค รรคแ์ ละใ ร้ ายละเ ยี ดภาค รรคม์ ากก า่
น กจากจากนย้ี งั กลา่ ถงึ บทบาทข งพระมาลยั า่ ไดน้ า� ด กบั ไป กั การะบชู าพระเจดยี จ์ ุ ามณบี น รรค์
ชนั้ ดา ดงึ ์ ได้ นทนากบั พระ นิ ทรแ์ ละพระ รี ารยิ เมตไตรยผจู้ ะมาตรั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ ใน นาคตด้ ย
ประเดน็ ดงั กลา่ นถี้ ื า่ มคี ามแตกตา่ งจากบทบาทข งพระม าเมาทคลั ยายนะ ยา่ งชดั เจน ซงึ่ าจเปน็
ไปได้ ่าผู้แต่งต้ งการน�าเ น ภาค รรค์ ันเป็นดินแดนแ ่งค าม ุขและโลกใน นาคตในยุคข ง
พระ รี าริยเมตไตรยท่ีผู้คนจะมีแต่ค าม ุข เป็นการปลูก รัทธาและ ุดมคติใ ้คนใฝ่ดีและ ร้าง ม
คุณงามค ามดเี พ่ื ใ ไ้ ด้รับ านิ ง ด์ งั กล่า
บทบาทข งพระม าเมาทคลั ยายนะกบั บทบาทพระมาลยั าจมี ทิ ธพิ ลต่ พทุ ธ า นกิ ชนทไี่ ด้
เรียนรู้เรื่ งรา ข งท่านทั้ง งแตกต่างกันตามยุค มัย เมื่ กล่า ถึง ิทธิพลในบริบท ังคมไทยเรื่ งข ง
พระม าเมาทคัลยายนะก็มีไม่มากนัก น กจากการเคารพนับถื ในฐานะเป็นพระ ัคร า กข ง
พระพุทธเจ้าผู้มีเ ตทัคคะในทางแ ดงฤทธิ์ แต่บทบาทและเร่ื งรา ข งพระมาลัยน้ันถื ่ามี ิทธิพลต่
ังคมไทยมากก ่านับต้ังแต่ ดีตเป็นต้นมา เพราะคัมภีร์นี้เคยถูกน�ามาใช้เท นา ่ัง นประชาชนใ ้รู้จัก
บาปบุญคุณโท ท้ังในงานมงคลและงาน มงคล ถูกน�ามาแต่งขยายค ามใ ้มี �าน นน่า ่าน ลายยุค
ลาย มัย ต้ังแต่ มัย โุ ขทยั ยุธยา จนถึงรัตนโก ินทร์ ดงั ปรากฏ ิทธพิ ลใน งั คมไทย เช่น การเท น์
และการ ดพระมาลัยในงาน พ ประเพณีการฟังเท นม์ าชาติ การนา� เรื่ งพระมาลยั มา รา้ ง รรค์งาน
จิตรกรรมและประติมากรรม เป็นต้น จึงกล่า ได้ ่าใน ดีตนั้นคัมภีร์พระมาลัยมี ิทธิพลท�าใ ้คนมีค าม
เชื่ เร่ื งนรกและ รรค์มาก แต่ในปัจจุบันยุค มัยเปล่ียนแปลงไป ังคมก็เปลี่ยนแปลงตาม ผู้คน นใจ
เทคโนโลยีและ ิทยา า ตร์มากขึ้นจึงท�ามีแน คิดค ามเช่ื เรื่ งนรกและ รรค์ลดลง โดยเฉพาะ ังคม
เมื ง าจม งไม่เ ็นค าม า� คญั เลย ยกเ น้ ใน ังคมชนบททย่ี งั มีค ามเชื่ เกยี่ กบั เร่ื งน้มี ากก า่
จากท่ีกล่า มาท�าใ ้ได้ข้ รุป ่า การ นใ ้คนใน ังคมท�าค ามดีและละค ามชั่ ยังเป็น
่งิ จา� เป็นเ ม งั คมไทยมคี ามค้นุ เคยกับพระพทุ ธ า นาเปน็ ทนุ เดิม ยูแ่ ล้ ก็ค รนา� ลกั ค�า นและ
เรื่ งรา เกี่ย กับการท�าบุญและการละบาปมาน�าเ น เนื ง ๆ โดยผ่าน ่ื ต่าง ๆ ท่ีทัน มัยในปัจจุบัน
ซง่ึ จะช่ ยกระตนุ้ เตื นใ ค้ นมี ตไิ มล่ มื ค ามดี ดงั เชน่ ใน ดตี ทม่ี กี ารนา� เ น เรื่ งพระมาลยั ผา่ นการเท น์
การ ด และผูกโยงเขา้ กบั พธิ ีกรรมต่าง ๆ ใน ถิ ีชี ิตท่ใี กล้ตั จงึ ท�าใ ้ผู้คนตระ นกั ในค ามดี ย่เู ม
504
8.2 ข้อเสนอแนะ
นอกจากเรื่องบทบาทของพระม าเมาทคัลยายนะกับพระมาลัยในคัมภีร์พระพุทธ า นาท่ี
เลือกมา ึก าแล้ ยังมีเรื่องที่ค ร ึก าอีก ลายประเด็น เช่น เปรียบเทียบแน คิดเรื่องนรกและ รรค์
กับคัมภีร์ใน า นาอื่น ๆ รือ ึก า ิธีประยุกต์ค�า อนเร่ืองนรก รรค์เพื่อใ ้เ มาะกับบริบท ังคม
ในปจั จบุ นั รอื กึ า า� น นภา าทใ่ี ชแ้ ตง่ เรอื่ งพระม าเมาทคลั ยายนะในม า ั ตุอ ทานกับเรื่องพระ
ม าโมคคัลลานะในพระไตรปิฎกและอรรถกถา รืออาจ ึก าเปรียบเทียบบทบาทของพระมาลัยใน
�าน นต่าง ๆ ที่แต่งข้ึนในยุค มัยล้านนา ุโขทัย อยุธยา และรัตนโก ินทร์ เป็นต้น
505
นงั ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บรรณำนกุ รม
ภำ ำไทย
เก ม บุญ รี. (2507). “มูลเ ตุท่ีนิยมมีเท น์ม าชาติ.” ใน เท น์ม ำชำติกัณฑ์ชูชกต่ำง �ำน น.
ธนบุรี: โรงพิมพป์ ระยรู ง .์
เคล้า ์ เ ้งค.์ (2511). จิตรกรรมไทยเดิม. แปลจาก Thailandische miniaturemalereien. แปลโดย
เจตนา นาค ชั ระ. พระนคร: า� นักพมิ พ์ ิ พร.
ชนดิ า เรื งจรูญ. (2546). “การ กึ าเชงิ ิเคราะ เ์ รื่ งมาลัย ูตร.” ิทยานิพนธ์ ลิ ป า ตรม าบัณฑิต
าขา ิชาภา าไทย ม า ทิ ยาลยั บรู พา.
เด่นดา ิลปานนท์. (2549). “จิตรกรรมฝาผนังเร่ื งพระมาลัยในภาคกลางข งประเท ไทย.”
ทิ ยานพิ นธ์ปริญญาม าบัณฑติ าขา ชิ าประ ัติ า ตร์ ลิ ปะ ม า ิทยาลยั ลิ ปากร.
_______. (2553). แกะรอยพระมำลัย. นนทบุร:ี มิ เซยี มเพร .
นทิ ำนพระมำลยั . (2515). กรุงเทพฯ: ลิ ปาบรรณาคาร.
บรรจบ บรรณรจุ .ิ (2532). “การ กึ าเชงิ เิ คราะ เ์ รื่ ง ตี มิ า า กกบั การบรรลธุ รรม.” ทิ ยานพิ นธ์
ปริญญาม าบณั ฑติ ภาค ิชาภา าตะ ัน ก คณะ กั ร า ตร์ จุ าลงกรณ์ม า ิทยาลยั .
พระธรรมโก าจารย์ (ช บ นจุ ารี). (2528). ต�ำนำนพระอร ันต์แปดทิ . กรุงเทพฯ: ประยรู ง จ์ �ากดั .
พระธรรมปฏิ ก (ป. . ปยุตโฺ ต). (2546). นรก– รรค์ในพระไตรปิฎก. กรุงเทพฯ: พิมพ์ ย.
พระม าภิรัฐกรณ์ � ุมาลี. (2549). “มาลัยย ัตถุทีปนีฎีกา: การตร จช�าระและ ึก า ิเคราะ ์.”
ิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธ า ตรม าบัณฑิต าขา ิชาภา าบาลี ม า ิทยาลัยม า
จุ าลงกรณราช ิทยาลัย.
พระม า มจินต์ มฺมาป ฺโญ ( ันจันทร์). (2533). “นรกและ รรค์ในพระพุทธ า นาเถร าท.”
ิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธ า ตรม าบัณฑิต าขา ิชาพระพุทธ า นา ม า ิทยาลัย
ม าจุ าลงกรณราช ทิ ยาลัย.
พระม า ุชญา โรจนญาโณ (ยา ุกแ ง). (2540). “การ ึก าบทบาทข งพระม าโมคคัลลานะ
ในการเผยแผ่.” ิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธ า ตรม าบัณฑิต าขา ิชาพระพุทธ า นา
ม า ทิ ยาลยั ม าจุ าลงกรณ-ราช ทิ ยาลยั
506
ม าจุ าลงกรณราช ทิ ยาลยั . (2539). รรถกถำภำ ำบำลี ฉบบั ม ำจุ ำ ฎฐฺ กถำ. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์
ม าจุ าลงกรณราช ิทยาลยั .
ม ามกุฏราช ิทยาลัย. (2545). ธมฺมปทฏฺฐกถำ ปฐโม ภำโค. พิมพ์คร้ังท่ี 34. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์
ม ามกฏุ ราช ทิ ยาลยั .
________. (2557). ธมมฺ ปทฏฐฺ กถำ จตตุ โฺ ถ ภำโค. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 34. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พม์ ามกฏุ ราช ทิ ยาลยั .
________. (2523). ฺยำมรฏฺ ฺ เตปิฏก�. กรงุ เทพฯ: ม ามกุฏราช ิทยาลัย.
รัชนกี ร เ ร ฐโฐ. (2523). ังคมและ ฒั นธรรมไทย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพพ์ ิฆเณ .
ราชบณั ฑติ ย ถาน. (2556). พจนำนกุ รมฉบบั รำชบณั ฑติ ย ถำน พ. . 2554. กรงุ เทพฯ: บริ ทั ริ ิ ฒั นา
นิ เต ร์พริน้ ท์ จ�ากดั (ม าชน).
ฒั นา ณ นคร. (2525). “ลกั ณะร่ มข งเรื่ งพระมาลยั ใน รรณกรรมพน้ื บา้ นและพระมาลยั คา� ล ง.”
ิทยานิพนธ์ ัก ร า ตรม าบัณฑิต าขา ิชา รรณคดีเปรียบเทียบ บัณฑิต ิทยาลัย
จุ าลงกรณม์ า ิทยาลยั .
ลิ ป พรี ะ ร.ี (2502). ิ ฒั นำกำรแ ง่ จิตรกรรมฝำผนงั ข งไทย. กรงุ เทพฯ: กรม ิลปากร.
ิราพร ณ ถลาง. (2522) ทฤ ฎีคติชน ิทยำ: ิธี ิทยำในกำร ิเครำะ ์ต�ำนำน-นิทำนพื้นบ้ำน.
พมิ พ์คร้งั ท่ี 2. กรงุ เทพฯ: า� นกั พมิ พแ์ ง่ จุ าลงกรณม์ า ทิ ยาลัย.
ภุ าพรรณ ณ บางชา้ ง. (2529). ิ ฒั นำกำรงำนเขยี นทเี่ ปน็ ภำ ำบำลใี นประเท ไทย ประเภท เิ ครำะ ์
ธรรมในพระ ตุ ตนั ตปฏิ ก. ภาค ชิ าภา าตะ นั ก คณะ กั ร า ตร์ จุ าลงกรณม์ า ทิ ยาลยั .
ุภาพร มากแจ้ง. (2521). “มาเลยฺยเท ตฺเถร ตฺถุ: การตร จ บช�าระและการ ึก าเชิง ิเคราะ ์.”
ทิ ยานพิ นธ์ กั ร า ตรม าบณั ฑติ ภาค ชิ าภา าตะ นั กบณั ฑติ ทิ ยาลยั จุ าลงกรณม์ า ทิ ยาลยั .
เ ฐียรโกเ . (2514). ประเพณเี รื่ งแต่งงำนบ่ำ ำ ข งไทย. พระนคร: กรมการ า นา.
________. (2509). พระมำลัยค�ำ ล ง. พระนคร: กรม ลิ ปากร.
�าเนียง เล่ื มใ , ผแู้ ปล. ม ำ ั ตุ ทำน เล่ม 1. กรงุ เทพฯ: มูลนธิ ิ นั กฤต กึ าในพระราชูปถัมภ์
มเดจ็ พระเทพรตั นราช ดุ าฯ ยามบรมราชกุมารี, 2553.
________. ม ำ ั ตุ ทำน เล่ม 2. กรุงเทพฯ: มูลนิธิ ัน กฤต ึก าในพระราชูปถัมภ์ มเด็จ
พระเทพรตั นราช ุดาฯ ยามบรมราชกุมารี, 2557.
507
นงั อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
________. ม ำ ั ตุอ ทำน เล่ม 3. กรุงเทพฯ: มูลนิธิ ัน กฤต ึก าในพระราชูปถัมภ์ มเด็จ
พระเทพรัตนราช ุดาฯ ยามบรมราชกุมาร,ี 2561.
ร นงค์ พัดพาที. (2522) “พระนิพนธ์ประเภทค�า ล งข งเจ้าฟ้าธรรมาธิเบ ร.” ิทยานิพนธ์
ม าบณั ฑติ แผนก ิชาภา าไทย บัณฑติ ทิ ยาลัย จุ าลงกรณม์ า ทิ ยาลัย.
ุดมพร คัมภิรานนท์. (2551) “การ ึก า ลักธรรมทางพระพุทธ า นาที่ปรากฏในเ งพระมาลัย
ค�า ล ง.” ิทยานิพนธ์พุทธ า ตรม าบัณฑิต าขา ิชาพระพุทธ า นา ม า ิทยาลัย
ม าจุ าลงกรณราช ทิ ยาลัย.
ภำ ำตำ่ งประเท
Bagchi, Sitansusekhar. (1970). Mahāvastu Avadāna. Vol. 1. Darbhanga, Mithila
Institute of Post-Graduate Studies and Research in Sanskrit Learning.
Basak, Radhagovinda. (1965). Mahāvastu Avadāna. Vol. 3. Calcutta, Calcutta Sanskrit
College.
Malalasekera, G.P. (1958). The Pali Literature of Ceylon. Colombo: M.D.Gunaserna.
Winternitz, Maurice. (1993). A History of Indian Literature. Vol.II. Reprint. Delhi:
Motilal Banarsidass.
508
คติความเช่อื ในคมั ภีร์วษิ ณุปุราณะ
ดร.ชัยณรงค์ กลน่ิ น้อย*
และ ดร.อเุ ทน วงศส์ ถติ ย*์ *
Chainarong Klinnoi
and U-tain Wongsathit
* ผูช้ ่ ย า ตราจารยป์ ระจ�าภาค ิชาภา าตะ นั ออก คณะโบราณคดี ม า ทิ ยาลัย ลิ ปากร
** อาจารย์ประจ�าภาค ิชาภา าตะ นั ออก คณะโบราณคดี ม า ิทยาลยั ลิ ปากร
509
นงั ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เนื่องในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทคัดย่อ
บทค ามน้ีมี ัตถุประ งค์เพื่อ ึก า ิเคราะ ์คติค ามเชื่อท่ีปรากฏในคัมภีร์ ิ ณุปุราณะและ
เพือ่ ึก าอิทธพิ ลค ามเชื่อตามแน ทางของ า นาพรา มณ-์ ฮินดทู ี่ บื ทอดมาอยา่ งยา นานและการ ง่
อทิ ธิพลตอ่ ังคมไทย
ผลการ กึ าพบ า่ คตคิ ามเชอ่ื ตา่ ง ๆ ทปี่ รากฏใน ิ ณปุ รุ าณะนนั้ แบง่ ไดเ้ ปน็ 5 ั ขอ้ ลกั คอื
1) ค ามเชอื่ เรอ่ื งเทพเจา้ , ิ ณปุ รุ าณะชใ้ี เ้ น็ า่ พระ ิ ณุ รอื พระนารายณเ์ ปน็ เทพเจา้ ทมี่ อี า� นาจ งู ดุ
นอกจากน้ียังมีการอ้างถึงเทพเจ้าองค์อื่นๆ ตามค ามเช่ือใน า นาพรา มณ์-ฮินดู มีทั้ง พระพร ม
พระรทุ ระ รอื พระ ิ ะ เทพี นุ ทรา รอื เทพปี ฤถิ ี และพระทกั ะ เปน็ ตน้ 2) ค ามเชอ่ื เรอื่ งนรก รรค,์
ถึงแม้ ิ ณุปุราณะจะไม่ได้กล่า เร่ืองนรกและ รรค์มากนัก แต่ก็ท�าใ ้เราเข้าใจได้ ่าในยุค มัยนั้น
ค ามเชื่อในเรื่องคนท�าบาป และท�าค ามดีเป็นตั ก�า นดการเ ยค าม ุขและค ามทุกข์ในโลก น้า
3) ค ามเชื่อเร่ืองการ ร้างและการท�าลายโลก, พระนารายณ์มีบทบาท �าคัญในการเป็นผู้ ร้างและเป็น
ผู้ท�าลายโลกและจักร าลไม่ได้คงอยู่ตลอดไปเพราะจะมีค ามเปล่ียนแปลงไปตามกาลเ ลา เมื่อถึงครา
โลก ิน้ ดุ ก็เกิดจากพระประ งค์ของพระผู้เป็นเจ้า ต่อจากนัน้ เมือ่ เริ่มการ รา้ ง งิ่ ใ ม่ พระเปน็ เจา้ กท็ รง
รบั นา้ ทใ่ี น รา้ งโลกและจกั ร าลเ มอื นเดมิ อกี ครงั้ 4) ค ามเชอื่ เรอื่ งอ ตาร, พระนารายณม์ ี ลายรปู ลกั ณ์
คงเป็นเพราะการอ ตารของพระองค์ในแต่ละช่ งเ ลา การอ ตารที่ถือ ่า �าคัญของพระผู้เป็นเจ้าก็
คือการอ ตารเพอื่ คมุ้ ครองและรกั าโลกใ ้พน้ จากค ามเดือดรอ้ นจากอ รู รา้ ย และ 5) ค ามเชอื่ อื่นๆ
ฯลฯ ิ ณุปุราณะช้ีใ ้เ ็นค ามเช่ือเรื่องอ่ืน ๆ อีกมากมายเป็นต้น ่า ค ามเชื่อเร่ืองพระเ ท ค ามเช่ือ
เร่ืองระบบ รรณะ และค ามเชื่อเรื่องการทา� พธิ ีบ ง ร ง ฯลฯ
คัมภีร์ ิ ณุปุราณะยังแ ดงใ ้เ ็นอิทธิพลค ามเช่ือตามแน ทางของ า นาพรา มณ์-ฮินดู
ที่ บื ทอดมาอยา่ งยา นานและได้ ง่ อทิ ธพิ ลตอ่ งั คมไทยอกี ด้ ย ดงั นค้ี อื 1) ค ามเชอ่ื ในเรอ่ื งพระตรมี รู ต,ิ
ค ามเช่ือในเรื่องน้ีท่ีพบใน ิ ณุปุราณะถึงจะไม่ได้แ ดงใ ้เ ็นชัดเจน แต่ก็เป็นการอธิบายรูปลัก ณ์ของ
พระนารายณ์ ่าเป็นองค์ร มของพระพร มและพระ ิ ะ ังคมไทยเราได้รับเอาแน คิดน้ีมาปรับเปล่ียน
ใ เ้ ขา้ กบั กระแ ค าม นใจของม าชน ฉะนน้ั พระตรมี รู ตใิ น งั คมไทยจงึ เปน็ เทพเจา้ แ ง่ ค ามรกั 2) ค าม
เชอ่ื ในเรอื่ งการอ ตาร, ค ามเชอ่ื ในลกั ณะนปี้ รากฏชดั เจนในคมั ภรี ์ ิ ณปุ รุ าณะและ งั คมไทยกไ็ ดร้ บั คติ
ค ามเชื่อมาจาก ัฒนธรรมอินเดีย โดยน�ามา ัมพันธ์กับระบบการปกครองท่ีเก่ีย กับค ามเชื่อท่ี ่า
พระม าก ตั รยิ ท์ รงเปน็ อ ตารของเทพเจา้ 3) ค ามเชือ่ ในเรื่องโลกและจกั ร าล, ค ามเชือ่ ในลัก ณะนี้
เราจะพบ า่ คมั ภรี ไ์ ตรภมู พิ ระร่ ง นา่ จะไดร้ บั แน ค ามคดิ ในเรอ่ื งโลก และระบบจกั ร าลมาจาก ฒั นธรรม
อนิ เดยี และคมั ภรี ์ ิ ณปุ รุ าณะกเ็ ปน็ นง่ึ ในคมั ภรี ์ า� คญั ของ า นาพรา มณ-์ ฮนิ ดทู ใ่ี ข้ อ้ มลู เรอื่ งโลกและ
จักร าลอย่างละเอียดและก็มีค ามคล้ายคลึงกับคัมภีร์ไตรภูมิพระร่ งของไทยด้ ย 4) ค ามเชื่อท่ีมีต่อ
การ ร้าง รรค์ รรณคดีไทย จากการ ึก าค ามเช่ือในคัมภีร์ ิ ณุปุราณะที่มีอิทธิพลต่อการ ร้าง รรค์
รรณคดีไทย พบ ่ามี รรณคดีไทยท่ี ันนิ ฐาน ่าได้รับอิทธิพลมาจากแน คิดของคัมภีร์ ิ ณุปุราณะท่ี
เดน่ ชดั คือ รรณคดีเร่ืองอนริ ุทธคา� ฉันทแ์ ละลลิ ติ นารายณ์ บิ ปาง ซึง่ เป็น รรณคดที ก่ี ล่า ถงึ การอ ตาร
ของพระผู้เปน็ เจา้ โดยเฉพาะ
ค�ำสำ� คญั : คติค ามเชือ่ , ปุราณะ, ิ ณุปุราณะ
Abstract
The purposes of the paper have twofold as follows: firstly, to analyze believes
in Viṣṇupurāṇa and secondly to study influence of beliefs since that time along with
the influence connected to Thailand.
The result of the paper was found; 1) Beliefs in gods, in Viṣṇupurāṇa, it
indicated that Viṣṇu was the Supreme God. There was also minor God, like Brahma,
Śiva, Pṛthivī and Dakṣa etc. 2) Beliefs in Hell and Heaven, even though the name of
hell and heaven did not often specify in Viṣṇupurāṇa, but it can be resumed that in
those days beliefs in these things are mentioned in good deeds and bad. 3) Beliefs
in construction and destruction of the world, in Viṣṇupurāṇa Nārāyaṇa has paid
important role in construction and destruct of the world and universe. It did not
eternally remain; it should always be changed. When world was dissolved by the will
of god, there was again reconstruction of world by god. 4) Beliefs in incarnations,
Nārāyaṇa has occupied many postures according to time and purpose to protect his
people to release from disturbance of demons. And 5) other beliefs, Viṣṇupurāṇa also
showed other beliefs such as belief in Vedas, racial and in sacrifices etc.
Apart from beliefs mentioned above, there are also beliefs for long in Hinduism
which is influenced to Thai community. It has four 4 points as follows; 1) beliefs in
Trinity, in Viṣṇupurāṇa, it described that the Nārāyaṇa was the hole postures of Brahma
and Siva. It was well known as Trinity. The Thai society adopted and adapted this idea
to please to peoples. Then the trinity in Thailand was the god of love. 2) Beliefs in
incarnations, this clearly presented in both Viṣṇupurāṇa and Thai community. For Thai
culture, we adopted this influence by believe that kings are incarnation of god.
3) Believes in construction and destruction of the world, we found that Thai literature
entitled ‘Taibhumpraruang’ has been got influences from Indian culture. Because
both of Viṣṇupurāṇa and ‘Taibhumpraruang’ had clearly given description on the
system of world and universe. So we can assume that the concept of universe in
‘Taibhumpraruang’ was derived from Viṣṇupurāṇa. 4) Believes in creativity of
Thai literature, while study on Thai literature we found that the story of Aniruddha
Kamchan and Lilit Narai-sippang are the best example of story discussing on gods as
the incarnations.
Keywords: Believes, Purāṇa, Viṣṇupurāṇa
511
นงั ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนือ่ งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทน�ำ
ปรุ าณะถอื ได้ า่ เปน็ คมั ภรี ์ กั ดิ์ ทิ ธป์ิ ระเภท นง่ึ ของ า นาฮนิ ดเู ทยี บไดก้ บั คมั ภรี พ์ ระเ ท (มณปี น่ิ
พร ม ุทธิรกั ,์ 2551: 45) มีจุดประ งค์เพอ่ื ขยายคา� อนในพระเ ท และเพอื่ แ ดงการแยกนิกายออก
เป็น 3 นิกาย คือ พร มนกิ าย ( า� รบั ผทู้ น่ี ับถอื พระพร มเป็นเทพเจ้า ูง ดุ ) ไ ณ นกิ าย ( า� รับผู้ท่ี
นับถอื พระ ิ ณุเปน็ เทพเจ้า ูง ดุ ) และไ นิกาย ( า� รับผู้ทน่ี บั ถือพระ ิ ะเป็นเทพเจ้า งู ดุ ) (จ�าลอง
ารพดั นกึ , 2530: 51) ปรุ าณะจัดเป็น รรณคดี นั กฤตในยคุ ตันติ ัน กฤต (Classical Sanskrit) เช่น
เดยี กบั รามายณะและม าภารตะ มลี กั ณะคา� ประพนั ธแ์ บบรอ้ ยกรอง แตถ่ งึ อยา่ งนนั้ กต็ ามกย็ งั มบี ทรอ้ ย
แก้ แทรกอยู่ด้ ย ซึ่งลัก ณะเช่นนี้ ันนิ ฐานได้ ่าเป็น รรณคดีซ่ึงมีรูปแบบประเภทอิติ า ะ เป็นบท
นทนาระ า่ งผเู้ ลา่ เรอื่ งและผฟู้ งั รอื บท นทนาระ า่ งผตู้ อบกบั ผถู้ าม พรอ้ มทงั้ แทรกด้ ยบท นทนา
ของบคุ คลอน่ื ๆ คัมภรี ป์ ุราณะจะแ ดงใ เ้ ็นถงึ ค ามโนม้ เอียงไปในทางลัทธนิ กิ ายฮินดูลัทธใิ ดลทั ธิ น่งึ
อยู่เ มอ ซึ่งอาจจะโน้มเอียงไปในลัทธิไ ะท่ีนับถือพระ ิ ะเป็นใ ญ่1 รือโน้มเอียงไปในลัทธิไ ณพ
ท่ีนับถือพระ ิ ณุ รือพระนารายณ์เป็นใ ญ่ นอกจากน้ีคัมภีร์ปุราณะ เช่น ิ ณุปุราณะก็จะเน้น น้าท่ี
ของคนแตล่ ะ รรณะ เรอื่ งพธิ กี รรมตา่ ง ๆ ปรชั ญา างขยะและโยคะ เรอ่ื งรา ในปรุ าณะยงั เกยี่ กบั เทพเจา้
ตา่ ง ๆ ตลอดจนประ ตั ขิ องเทพเจา้ และ ธิ กี ารบชู าเทพเจา้ ทงั้ ลาย ดงั นน้ั ปรุ าณะจงึ จดั เปน็ คมั ภรี ์ กั ด์ิ ทิ ธิ์
ของ า นาฮินดู รือเรียกอีกอย่าง น่ึง ่า เ ทท่ี 5 จึงนับได้ ่าปุราณะมีค าม �าคัญเทียบได้กับคัมภีร์
พระเ ทของ า นาพรา มณ์
ำรัตถะแ ่งคัมภรี ์วิ ณปุ ุรำณะ
ในมั ยะปุราณะ (Masya Purāṇa) ได้ใ ้ค�าอธิบายถึงองค์ประกอบ 5 ประการ รือ
ปัญจลกั ณะ ซึง่ เปน็ เนื้อ า ลักทปี่ รากฏอยใู่ นปุราณะทัง้ มด ดังนี้
1. รฺค (Sarga) เรอื่ งการ รา้ งโลก
2. ปฺรติ รฺค (Pratisarga) เรอื่ งการทา� ลายโลก และการ รา้ งโลกขน้ึ มาใ ม่
3. � (Vaṁśa) เรอ่ื ง ง ์ตระกลู ของเทพและฤ ที ง้ั ลาย
4. นฺมนฺตร (Vanmantara) เรื่องประ ัติค ามเป็นมาของพระมนุซึ่งเป็นมนุ ย์
คนแรกของโลก
5. � านจุ รติ (Vaṁśānucarita) เรื่องของก ัตริย์จันทร ง ์ และ ุริย ง ์ของอินเดีย
คมั ภรี ป์ รุ าณะทีม่ ชี ือ่ เ ียงเป็นท่ีรับร้โู ดยทั่ ไป เรียก ่า ม าปรุ าณะ มีท้ัง มด 18 คมั ภีร์ ดงั น้ี
1 รรณคดี ัน กฤตในยคุ ตนั ติ นั กฤตอยใู่ นช่ ง 50 ปกี ่อนพ. . ถึง พ. .1643 รอื ถึง มัยปจั จบุ นั เป็นช่ ง
ที่ต่อเน่ืองจาก รรณคดี นั กฤต มยั พระเ ท แต่กม็ ลี ัก ณะทีแ่ ตกต่างอย่างชัดเจน ท้ังในด้านเนอ้ื า เจตนา ( ัตถปุ ระ งค์
การแต่ง) และรปู แบบ รรณคดี ัน กฤต มยั พระเ ทนัน้ าระอยูท่ ีเ่ รอ่ื งรา ทาง า นา ตรงกันข้ามกับ รรณคดี ัน กฤต
ในยุคตันติ นั กฤต คือ มคี ามเจริญไปในด้านอืน่ ๆ ทงั้ เพ่อื ค ามเพลดิ เพลนิ ในทางโลกแล้ กม็ เี รื่องม ั จรรย์ เรือ่ งรา ใน
ทาง า นาก็ในกลุ่ม รรณคดี ัน กฤตยุคนี้นั้นก็ต่างจากในยุคพระเ ท เช่นในด้านเทพเจ้า ใน รรณคดียุคตันติ ัน กฤต
เทพเจ้าที่ยงิ่ ใ ญม่ ี 3 องค์ คอื พระพร ม พระ ิ ณุ และพระ ิ ะ ่ นเทพเจ้าเช่นพระอนิ ทร์ซ่งึ เป็นเทพทยี่ ่ิงใ ญใ่ นยคุ
พระเ ทกลับมฐี านะรองลงมา (จา� ลอง ารพดั นึก, 2530: 41)
512
1. พร มปุราณะ 10. พร มไ รตปุราณะ
2. ปทั มปุราณะ 11. ลิงคปุราณะ
3. ิ ณปุ ุราณะ 12. รา ปุราณะ
4. ายุ รอื ิ ปรุ าณะ 13. กนั ธปุราณะ
5. ภาค ตปุราณะ 14. ามนปรุ าณะ
6. นารทยี ปุราณะ 15. กรู มปุราณะ
7. มารกณั เฑยปรุ าณะ 16. มั ยปรุ าณะ
8. อคั นิปรุ าณะ 17. ครฑุ ปุราณะ
9. ภ ิ ยปุราณะ 18. พรา มาณฑปรุ าณะ
คมั ภรี ป์ รุ าณะทก่ี ลา่ มาทงั้ มดนอ้ี าจมเี นอื้ าไมค่ รบปญั จลกั ณะ บางปรุ าณะอาจมเี พยี งลกั ณะเดยี
บางปุราณะมอี งค์ประกอบแ ง่ ปญั จลกั ณะครบถ้ น เชน่ ิ ณุปรุ าณะ เป็นต้น ถึงอย่างไรก็ตามเนือ้ าในคมั ภรี ์
ปรุ าณะทกุ คมั ภรี ม์ งุ่ เนน้ เรอื่ งรา เกย่ี กบั เทพเจา้ ทมี่ คี าม า� คญั ใน า นาพรา มณ-์ ฮนิ ดู ตลอดจนถงึ เรอื่ งพธิ กี รรม
ต่าง ๆ ฒั นธรรม งั คม ถานที่ กั ด์ิ ิทธ์ใิ นการแ งบุญ ร มถึง ลักปรชั ญาและแน คดิ ในการด�าเนนิ ชี ติ ของ
ชา ฮนิ ดูเปน็ ลกั อีกด้ ย
ิ ณุปรุ าณะจัด ่าเปน็ คมั ภรี ป์ รุ าณะทม่ี ีค าม า� คญั ของลทั ธไิ ณพนิกายคมั ภรี ์ นึ่ง มจี �าน น
โ ลกท้ัง มด 23,000 โ ลก นกั ปรัชญาอนิ เดยี ชื่อ รามานชุ ผูก้ อ่ ต้งั ลัทธไิ ณพนิกาย กล่า ยกยอ่ ง ิ ณุ
ปรุ าณะ า่ เป็นคัมภีร์ ลกั ของเขา (มณีปิ่น พร ม ุทธิรัก ,์ 2551:47) นบั ได้ ่ามีเพยี งปรุ าณะนี้เท่าน้นั ที่มี
เน้ือ าครบตามปัญจลัก ณะ ิ ณปุ ุราณะแบง่ ออกได้เปน็ 6 ตอน ซึง่ เรยี ก ่า อัง ะ (Aṅśa) (Gupta
Śrīmunilāla; 1990, 19-36) โดยเนอื้ เรอ่ื งไดด้ า� เนนิ ไปโดยทป่ี รา ระไดเ้ ลา่ เรอื่ งรา ใ ก้ บั ไมเตรยะผเู้ ปน็
ิ ย์ได้รับฟัง เน้ือ าใน ิ ณุปุราณะ ามารถ รุปได้ ่า เป็นการใ ้ค าม �าคัญเร่ืองการอ ตารของพระ
ิ ณุ และยอมรับนบั ถอื า่ พระ ิ ณุเป็นเทพเจ้า งู ดุ องค์ น่ึง และบรรดาปรุ าณะทงั้ มด ิ ณปุ ุราณะ
จัดได้ ่ามคี ามเกา่ แก่มากท่ี ดุ จงึ ได้ชื่อ ่า “ปรุ าณรัตนะ” ซง่ึ แปล ่า แก้ แ ่งปุราณะท้งั ลาย (Vettam
Mani, 1975: 617)
ิ ณุปุราณะแ ดงใ ้เ ็นถึงค ามเชื่อที่ปรากฏใน ังคมอินเดียในยุค มัยนั้นได้เป็นอย่างดี
โดยค ามเชอ่ื ในปุราณะนี้ ได้แก่ การ ร้างโลก นรก รรค์ เท ดา อ ุร ีรบรุ ุ บรรพบรุ ุ ผู้เปน็ ตน้ ก�าเนดิ
มนุ ย์ พระอาทติ ย์ ดา เคราะ ต์ ่าง ๆ ท ปี ม า มุทร น้าท่ขี องคนใน รรณะทั้ง 4 อา รม 4 พธิ กี รรม
เก่ีย กับการใ ้ก�าเนิดและการแต่งงาน ุริย ง ์และจันทร ง ์ และท่าทีทางด้าน า นาและ ัฒนธรรม
ทาง ังคม เป็นต้น ซึ่งค ามเช่ือท่ีปรากฏเ ล่านี้จะเป็นข้อมูลในการ ึก า ิเคราะ ์ ่า ามารถ ่งอิทธิพล
ถึง งั คม ฒั นธรรมทแ่ี ตกต่างกันอยา่ งไร
513
นัง ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เน่ืองในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ควำมเชอ่ื ทีป่ รำกฏในวษิ ณปุ รุ ำณะ
คมั ภรี ์ ิ ณุปรุ าณะได้รบั การยอมรับ ่าเป็น ารานุกรมของเร่อื งรา ท้งั มด ร มถงึ ค ามเชื่อใน
ด้านต่าง ๆ ที่ปรากฏใน ัฒนธรรมอินเดีย ในท่ีน้ีจึงได้ท�าการ ึก า ิเคราะ ์ค ามเช่ือท่ีปรากฏในคัมภีร์
ิ ณปุ ุราณะในประเด็นต่อไปน้ี
1. ค ามเชอ่ื เรื่องเทพเจ้า
2. ค ามเช่ือเร่อื งนรก รรค์
3. ค ามเชอ่ื เรอ่ื งการ ร้างและการทา� ลายโลก
4. ค ามเชอ่ื เรอื่ งอ ตาร ฯลฯ
1. ควำมเช่อื เรือ่ งเทพเจำ้
คัมภีร์ ิ ณุปุราณะนอกจากมีเน้ือ ากล่า ถึงพระนารายณ์เป็นเทพเจ้า ูง ุดแล้ ยังได้ระบุถึง
เทพองค์อ่ืน ๆ ไ ้ในคมั ภรี ์อกี จา� น นมาก เช่น พระนางลกั มี เทพี นุ ทรา รอื เทพีปฤถิ ี และพระทกั ะ
ในที่นี้จะยกตั อยา่ งรายละเอียดของเทพ คือ พระนารายณ์ พระพร ม พระรทุ ระ รอื พระ ิ ะ ท่ีกลา่ ถงึ
ในคัมภรี ์ ิ ณปุ รุ าณะพอ งั เขปแล้ จะอธบิ ายรายละเอียดทยี่ กมาดงั นี้
1.1 พระนำรำยณ์ หรือพระวิษณุ
คัมภีร์ ิ ณุปุราณะยกยอ่ งพระนารายณ์ รอื พระ ิ ณุเป็นเทพเจ้า ูง ดุ เ นอื เทพเจ้าองคอ์ ่นื ๆ
ซึ่งจะเ น็ ได้จากตอนเร่มิ ตน้ เน้ือเร่ือง ผรู้ บร มได้กล่า บทนอบนอ้ มแดพ่ ระนารายณ์ไ เ้ ป็นอนั ดับเรม่ิ ต้น
แล้ ก็ได้พรรณนาคณุ ลกั ณะของพระนารายณไ์ อ้ ย่างละเอยี ดในแงต่ ่าง ๆ ในแตล่ ะตอน จะแ ดงใ เ้ ็น
จากตารางดงั นี้
ตวั อยำ่ งทีป่ รำกฏในวิษณุปรุ ำณะ ค�ำอธบิ ำย
1. บทนอบนอ้ มพระนำรำยณ์ เนอ้ื าใน ่ นน้ี ปรากฏอยู่ตอนต้นของคมั ภีร์ ิ ณุปรุ าณะ
ขอนอบนอ้ มแด่พระนารายณผ์ ู้เลิ ท่ี ุด เพ่อื ค ามเปน็ ิรมิ งคล ก ีผแู้ ต่งก็ไดก้ ลา่ นอบน้อมแด่
คัมภีร์ ิ ณปุ ุราณะอันเป็นมงคล พระนารายณ์ข้ึนตน้ ก่อน
514
ตั อยำ่ งท่ีปรำกฏใน ิ ณุปรุ ำณะ ค�ำอธิบำย
2. พระนำรำยณท์ รงเป็นพระเปน็ เจำ้ ูง ดุ จากตั อยา่ งบทแปลทย่ี กมานแี้ ดงใ เ้ น็ อยา่ งชดั เจน า่
ขอนอบนอ้ มแดพ่ ระ ิ ณผุ ทู้ รงคณุ ลกั ณะ นงึ่ เดยี พระนารายณท์ รงเป็นพระเป็นเจา้ งู ุด ทรงมีคณุ ลัก ณะ
และ ลายอยา่ ง ลายประการ พระ รกายมคี ามยง่ิ ใ ญ่ มพี ระทยั ละเอยี ดออ่ น
ผมู้ พี ระ รกายยง่ิ ใ ญแ่ ละมพี ระทยั ขุ มุ ละเอยี ดออ่ น และที่ า� คญั พระ รกายของพระองคจ์ ะปรากฏใ เ้ น็ รอื
ผ้มู ีพระรูปไม่ปรากฏก็ได้ ปรากฏก็ได้ (และ) ทรงเปน็ ไมป่ รากฏใ เ้ น็ กไ็ ด้ แตท่ งั้ นพี้ ระองคเ์ ปน็ มลู เ ตแุ ง่ ค าม
เ ตแุ ่งค าม ลุดพน้ ||3 ลดุ พ้น
ขอนอบนอ้ มแดอ่ งคพ์ ระ ิ ณผุ ทู้ รงเปน็ โลก เปน็ มลู เ ตุ ลกั ณะของพระนารายณท์ ยี่ ง่ิ ใ ญเ่ น็ ไดจ้ ากทพี่ ระองค์
แ ่งการ ร้าง การรกั าและการทา� ลายโลก ผู้เป็นเทพเจ้า ทรงเปน็ ผู้ทเ่ี กี่ย ข้องกับโลกใบนี้ คอื พระองค์ทรงเปน็ โลก
งู ดู พระองคน์ นั้ ||4 ทรงเป็นผู้ รา้ ง รัก า และท�าลายโลกด้ ย
ครัน้ นอบนอ้ มพระองค์ผทู้ รงเป็นทีต่ ง้ั แ ่ง รรพ ิ่ง นอกจากน้ี พระนารายณ์ยังทรงเป็นที่ต้งั ของ รรพ ่ิง มี
ผลู้ ะเอยี ดก า่ ง่ิ ทลี่ ะเอยี ดทงั้ ลาย ผทู้ รง ถติ อยใู่ น รรพ งิ่ ค ามละเอียดก ่า ่ิงใด คุณลัก ณะของพระนารายณ์
ผู้เที่ยงแท้ถา ร ผู้เปน็ ปรุ ุ ะอัน งู ดุ ||5 ในบทแปลนี้ ยังบ่งบอกเกี่ย กับพระปัญญาของพระองค์
ผมู้ พี ระปญั ญาญาณ ผทู้ รงบริ ทุ ธทิ์ ่ี ดุ ด้ ยพระปญั ญา ในฐานะทอ่ี ยเู่ นือ ดุ ด้ ย
ูง ุด ผู้ทรงมีพระลัก ณะแ ่งค ามรู้ตามค ามเป็นจริง
ผา่ นทางภาพมายา ||6
ครั้นนอบน้อมพระ ิ ณุผู้ทรงเป็นผู้ท�าลายโลก
ทรง ามารถในการรกั าและ รา้ งโลก ผเู้ ปน็ เจา้ โลก ผไู้ มม่ ี
การเกดิ ผไู้ มท่ รงเ อื่ ม ลาย (และ) ผไู้ มท่ รงเปลย่ี นแปลง ||7
3. พระนำรำยณ์ทรงอย่ใู นรปู ของพระพร ม เนื้อ าบทแปลท่ียกมาน้ีแ ดงใ ้เ ็น า่ พระนารายณ์
อนึง่ พระเปน็ เจา้ ผู้ย่ิงก า่ พระเป็นเจา้ ทุกพระองคค์ อื รือพระ ิ ณุนั้นอยู่ในรูปของพระพร ม ในคัมภีร์ ิ ณุ
พระ ิ ณนุ ัน้ ยอ่ มทรงปรากฏรปู ลัก ณะของพระองคโ์ ดย ปรุ าณะเมอ่ื จะกลา่ ถงึ พระนารายณใ์ นตอนเรม่ิ รา้ งโลกนนั้
เปน็ ธรรมชาติทแี่ ผข่ ยายและที่เปน็ อณู และทรงปรากฏรปู ก็ได้กล่า ถึงพระองค์ในรูปลัก ณ์ของพระพร มอยู่เ มอ
ลกั ณะของพระองค์โดยเป็นรูปแ ง่ พระพร มเปน็ ตน้ จงึ ทา� ใ เ้ ขา้ ใจได้ า่ พระนารายณท์ รงเปลย่ี นรปู รา่ งเปน็ เทพ
||32 ผู้ รา้ งคือพระพร มน่ันเอง
ณ เ ลานัน้ พระ ิ ณุผทู้ รงเปน็ เจ้าแ ่งโลกพระองค์
เองทรงไมป่ รากฏพระรปู แตท่ รงมีพระรปู ปรากฏอยใู่ นรูป
ของพระพร ม ||56
4. พระนำรำยณท์ รงเป็นผู้ รำ้ ง รรคโ์ ลกและทรงเปน็ นอกจากพระนารายณท์ รงดา� รงรปู ลกั ณใ์ นรปู ของพระ
องค์ร มของพระพร มและพระ ิ ะ พร มแล้ บทแปลน้ีแ ดงใ ้เ ็น ่าพระนารายณ์ทรง คอื
พระ ิ ณผุ เู้ ปน็ เจา้ ผมู้ พี ลงั อนั นบั ไมไ่ ด้ ผทู้ รงไ ซ้ ง่ึ ค ามดี ทงั้ 3 พระองคท์ รงเปน็ องคร์ มของพระพร มและพระ ิ ะ
( ตั ะ) ทรงรัก าไ ซ้ ึง่ การ รา้ งตามยุคท้ัง 4 จนกระท่งั ถึง เปน็ นง่ึ เดยี กนั แตท่ รงอยใู่ น ถานภาพทแ่ี ตกตา่ งกนั ดงั นี้
การ ิน้ กลั ป์ ||62
โอ้ ไมเตรยะ พระชนารทนะ (พระ ิ ณ)ุ ผูท้ รงกอ่ ใ ้
เกิดตมั คุณ ผู้ทรงมีรูปดุร้าย ย่อมทรงกลืนกิน รรพ ัต ์
เมื่อ นิ้ กัลป์ ||63
เมอ่ื โลกถกู ทา� ใ เ้ ปน็ ม า มทุ ร ลงั จากไดก้ ลนื กนิ ตั ์
ทงั้ ลาย พระผูเ้ ปน็ เจ้า ูง ดุ ทรงนอนอยู่บนทนี่ อนบลั ลงั ก์
นาค ||64
515
นัง ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เน่ืองในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ตัวอยำ่ งทีป่ รำกฏในวิษณปุ ุรำณะ คำ� อธบิ ำย
ลังจากทรงต่ืนแล้ ทรงด�ารงไ ้ซึ่งเพ ของพร ม พระนารายณ์
ไดท้ รงกระทา� การ รา้ งโลกอกี ครงั้ ||65 (เทพผู้รกั าค ามดี และการ ร้างตามยคุ ทงั้ 4)
พระองค์ทรงได้รับพระนาม ่าพระพร มผู้ ร้าง
พระ ิ ณผุ รู้ กั า และพระ ิ ะผทู้ า� ลาย (ตาม นา้ ทขี่ องตน) พระนารายณ์ในรปู ของพระพร ม
พระชนารทนะคือพระผเู้ ปน็ เจ้าองคเ์ ดยี เทา่ นั้น ||66 (เทพผู้ รา้ ง รรพ ่งิ )
พระ ิ ณุผู้ ร้างย่อมทรง ร้างซึ่งตนเอง พระ ิ ณุ
ผู้รัก าย่อมทรงรัก าพระองค์เอง และในที่ ุด พระ ิ ณุ พระนารายณใ์ นรปู ของพระ ิ ะ
ผทู้ รงท�าลายยอ่ มทา� ลายพระองคเ์ อง ||67 (เทพผทู้ �าลาย)
ง่ิ ทเี่ รยี ก า่ โลกเกดิ ขนึ้ เพราะแผน่ ดนิ นา�้ ไฟ ลม อากา
และอ ัย ะในการรบั รูท้ ง้ั มด ท่ีเรียก ่า ปุรุ ะ ||68 รูปลัก ณ์ของพระนารายณ์ซ่ึงเป็นองค์ร มของ
เพราะพระองคน์ นั้ ทรงเปน็ อาตมนั ของ รรพ งิ่ ในรปู ของ พระพร มและพระ ิ ะตามแผนภมู ขิ า้ งตน้ แ ดงใ เ้ น็ า่
จกั ร าลไมม่ กี ารเ อื่ ม ลาย และการ รา้ งเปน็ ตน้ การดา� รง คัมภีร์ ิ ณุปุราณะมีแน ค ามคิดในเรื่อง “ตรีมูรติ”แล้
อยขู่ อง ตั แ์ ละการช่ ยเ ลอื กเ็ ปน็ ของพระองคน์ นั่ เอง ||69 โดยได้เน้นจุด ูนย์กลางของเทพท้ัง ามอยู่ท่ีพระนารายณ์
พระ ิ ณผุ ้มู รี ูปที่ มบูรณ์ (ท้งั 3) มี พระพร ม เปน็ ตน้ เป็น ลกั
ผปู้ ระเ รฐิ ดุ ทรงเปน็ ผใู้ ้ ง่ิ ประเ รฐิ ผยู้ อดเยย่ี มด้ ยการ
ปรากฏกายท้ัง มด ||70
5. พระนำรำยณ์ทรงแบง่ ภำคอวตำรลงมำเพือ่ คำ�้ จุนโลก ตั อย่างบทแปลที่ยกมาน้ี แ ดงใ ้เ ็นได้ ่าพระ
ให้อยรู่ อดปลอดภัย นารายณท์ รงมี นา้ ท่ี า� คญั ประการ นงึ่ คอื จะทรงแบง่ ภาค
อนึ่ง ในตอนเร่ิมตน้ กลั ป์ กลั ปก์ ่อน พระองค์ทรงแ ดง อ ตารเพอ่ื กอบกคู้ าม งบ ขุ ของโลกทพ่ี ระองคท์ รงเปน็ ผู้
พระ รกายของพระองคใ์ ต้ า่ งออกไปเปน็ ปลา (มั ยา ตาร) รา้ งขน้ึ โดยคมั ภรี ์ ิ ณปุ รุ าณะไดก้ ลา่ า่ ในตอนเรมิ่ กลั ป์
เปน็ เตา่ (กรู มา ตาร) เปน็ ตน้ จากนนั้ กท็ รงแ ดงพระ รกาย พระนารายณ์ ได้ทรงอ ตารลงมาเป็นปลา เต่า และเป็น
เป็น มปู่ า่ ( รา า ตาร) || 8 มูปา่
ในการทา� ใ โ้ ลกทงั้ มดดา� รงอยไู่ ด้ พระประชาบดที รง
ดา� รงพระรปู เปน็ พระเ ทและการบชู ายญั ทรงเปน็ อาตมนั
ที่ งบนงิ่ ทรงเปน็ อาตมนั ของ รรพ ง่ิ ทรงเปน็ ปรมาตมนั || 9
6. อำวธุ ประจำ� องคพ์ ระนำรำยณ์ คัมภีร์ ิ ณุปุราณะยังใ ้ข้อมูล �าคัญประการ น่ึงเกี่ย กับ
ขา้ แตพ่ ระเก ะ ผเู้ ปน็ ที่ ุด ผยู้ ่งิ ใ ญ่แ ่งเทพทงั้ ลาย อา ุธประจ�าองค์พระนารายณ์ไ ้ด้ ย คือ คฑา ังข์ ดาบ
ขอชยั ชนะจงมแี ก่พระองค์ ขา้ แตพ่ ระองค์ผู้ทรงไ ซ้ ง่ึ คฑา และจักร อา ุธทั้ง 4 น้ีประจ�าอยู่ในพระกรทั้ง ่ีกรของ
ังข์ ดาบ และจักร พระองค์นั่นแ ละทรงเป็น ิญญาณ พระนารายณน์ ัน่ เอง
ูง ุด (เทพผู้ย่ิงใ ญ่) ทรงเป็น าเ ตุแ ่งการ ร้าง
การท�าลายและการรัก า ไม่มี ิ่งอ่ืนใดประเ ริฐก ่า
พระองค์ ||31
516
1.2 พระพร ม
บทบาทของพระพร มในคัมภีร์ ิ ณุปุราณะน้ันถือ ่าเป็นเทพผู้ ร้าง เน้ือ าของคัมภีร์ ิ ณุ
ปรุ าณะไดก้ ลา่ ถงึ พระพร มอยเู่ มอ ถงึ แม้ า่ เราจะทราบตามทค่ี มั ภรี ์ ิ ณปุ รุ าณะบอก า่ พระพร มทรง
เปน็ รา่ ง นงึ่ ของพระนารายณ์ แตถ่ า้ จะกลา่ ถงึ บทบาทและค าม า� คญั ของพระพร มในฐานะทที่ รงเปน็
เทพอกี องค์ นึ่งต่าง าก ก็จะไดร้ ายละเอียดท่ีปรากฏในตารางตอ่ ไปน้ี
ตั อยำ่ งท่ปี รำกฏในคัมภรี ์ ิ ณปุ รุ ำณะ ค�ำอธิบำย
1. บทนอบนอ้ มพระพร ม เน้ือ าใน ่ นน้ี เป็นบทนอบน้อมต่อพระพร ม รอื ท่ี
ข้าแต่พระพร ม โลกน้ปี ระกอบไปด้ ย ิง่ ท่เี คล่ือนทีไ่ ด้ ผู้แต่งคัมภีร์ ิ ณุปุราณะเรียก ่า เป็นมุนีผู้ประเ ริฐ
และ ่ิงที่เคลื่อนท่ีไม่ได้ เป็น ถานที่ซ่ึง ิ่งท่ีไม่มีก็มีได้และ บทนอบนอ้ มตอ่ พระพร มมใี จค าม า� คญั คอื โลกและ รรพ
เปน็ ถานทซ่ี ่ึง ง่ิ ท่มี ีนั้นจะถงึ การย่อยยับไป ||5 งิ่ ตา่ ง ๆ ล้ นเกยี่ ขอ้ งกบั พระพร ม เพราะพระพร มทรง
เพราะ ตั ถธุ าตทุ ง้ั ลายทม่ี ปี รากฏ เปน็ จดุ กา� เนดิ ของเทพ เป็นเทพผู้ ร้างโลก เริ่มต้ังแต่เม่ือ ัตถุธาตุท้ัง ลายเร่ิม
เปน็ ตน้ อกี ทง้ั ยงั เปน็ ทตี่ ง้ั ของม า มทุ ร ภเู ขา และของโลก ||6 ปรากฏใ ้เ ็น ก็เป็นจุดก�าเนิดเทพเจ้า ท่ีต้ังต่าง ๆ ทั้ง
ขา้ แตพ่ ระมนุ ผี ปู้ ระเ รฐิ ท่ี ดุ นอกจากนี้ ตั ถธุ าตยุ งั เปน็ ม า มทุ ร ภเู ขา ทตี่ ง้ั ของโลก ขอบเขตของด งอาทติ ย์ ง ์
ท่ีตั้งและเป็นขอบเขตของด งอาทิตย์เป็นต้นตลอดจนเป็น ของเทพเจา้ และ ง ข์ องพระมนุ ตั ถธุ าตนุ เี้ องกค็ อื งิ่ ทพี่ ระ
ง ข์ องเทพ ร มทั้ง ง ข์ องพระมนู และระยะเ ลาที่เรียก พร มไดท้ รง รา้ ง รรคข์ ้ึนมานนั่ เอง
่า “มัน นตระ” ||7
2. พระพร มทรง ำมำรถท�ำใ ้โลกมอดไ ม้ได้เพรำะ เน้ือ าที่ �าคัญอีก ่ น น่ึงในคัมภีร์ ิ ณุปุราณะคือ
ค ำมโกรธ บทบาทของพระพร มท่ีมักไมเ่ ป็นทรี่ ้จู ักกนั กค็ ือ เ ลาพระ
ค ามโกรธของพระพร มเป็น ิ่งที่ยิ่งใ ญ่เพราะโลก พร มทรงโกรธ จะ ่งผลกระทบตอ่ โลกโดยตรง เรามกั จะ
ท้ัง 3 ามารถมอดไ ม้ได้เพราะค ามโกรธของพระองค์ เข้าใจกัน ่าพระพร มนั้นทรงมีจิตใจท่ีเมตตาต่อผู้ท่ีบูชา
พระองคท์ รงทา� ใ เ้ กดิ แ งประทีปท่ีก�าลงั ลุกไ ม้ ดกู รท่าน ังเ ยแด่พระองค์ แต่ในคัมภีร์ ิ ณุปุราณะได้กล่า ถึง
มนุ ี ในเ ลานน้ั โลกทง้ั ามจงึ ไดม้ แี กพ่ ระพร มทงั้ มด ||11 อารมณโ์ กรธของพระพร ม โดยที่ ากพระพร มทรงโกรธ
ในทันใดนั้นค ามร้ายกาจที่มีแ ง ่างเ มอกับ ขน้ึ มากจ็ ะทา� ใ โ้ ลกมอดไ มไ้ ด้ และยงั พรรณนาด้ ย า่ เ ลา
พระอาทิตย์ตอนเท่ียง ันเกิดข้ึนแล้ จาก น้าผากของ พระพร มทรงโกรธ น้าผากจะมีรอยย่นแล้ ไฟก็จะลุก
พระองค์ทม่ี รี อยย่นทล่ี กุ โพลงเพราะค ามโกรธ ||12 โพลงขนึ้ มา
3. พระพร มทรงเป็นต้นเช้ือ ำย ง ์ ำนของเ ล่ำเทพ เนื้อ าคัมภีร์ ิ ณุปุราณะท่ียกมาในตอนน้ี เป็นเพียง
ตำ่ งๆ ตั อย่างบาง ่ นเท่าน้ันซ่ึงเน้ือ าได้กล่า ถึงบทบาทของ
ดูกรทา่ นพรา มณต์ อ่ จากนั้นพระพร มผเู้ ปน็ เจ้ากท็ รง พระพร ม ่า ทรงเป็นต้นเช้ือ าย ง ์ านของเ ล่าเทพ
ร้างพระมนูผู้เป็น ยมภู ซ่ึงเกิดจากพระพร มใ ้เ มือน ทงั้ ลาย พระพร มทรงไดเ้ ลอื ก ญงิ ทจ่ี ะใ ก้ า� เนดิ ง ์ าน
กบั พระองคเ์ องไ ใ้ นตา� แ น่งผปู้ กครอง มู่ ตั ์ ||16 ของพระพร มกค็ อื นาง ตรปู าแล้ กท็ รงมบี ตุ รชาย 2 คน
และพระมนผู เู้ ปน็ เจา้ ผทู้ รงเปน็ พระ ยมภกู ท็ รงเลอื ก ตรี คือ ปริยพรต และอุตตานบาท มีบุตร า 2 คน คือ
นาม ่า ตรูปาน้ัน ผู้ท�าลายบาปได้แล้ ด้ ยตบะใ ้ด�ารง นางประ ูติและนางอากูติ โดยพระพร มประทานนาง
ตา� แ นง่ เป็นชายา ||17 ประ ตู แิ กพ่ ระทกั ะ และประทานนางอากตู แิ กพ่ ระรจุ ิ ซง่ึ
และจากบุรุ นัน้ นาง ตรปู ากใ็ ้ก�าเนิดบตุ ร 2 คนนาม ่า เปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ของการใ ก้ า� เนดิ เทพเจา้ องคอ์ นื่ ๆ ตอ่ ๆ กนั ไป
ปรยิ พรตและอตุ ตานบาท และธดิ า 2 คนนาม า่ ประ ตู แิ ละ
อากตู ิ ||18
517
นงั ือรวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เน่อื งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ตัวอยำ่ งท่ปี รำกฏในคมั ภีร์วิษณุปรุ ำณะ คำ� อธบิ ำย
ดูกรทา่ นผู้รู้แจง้ ลักธรรม อนงึ่ ธดิ าทัง้ 2 คนนน้ั เพยี บ
พร้อมไปด้ ยรปู มบัติ และคุณ มบตั คิ อื ค ามเอ้อื เฟ้ือเผอื่
แผ่ ในเบ้ืองต้นพระมนูได้ประทานนางประ ูติใ ้แก่ทัก ะ
(และ) ประทานนางอากูติแก่พระรุจิ (นาม น่ึงของพระ
ประชาบด)ี ||19
ดกู รทา่ นผมู้ โี ชคมาก บตุ รนาม า่ ยชั ญะ พรอ้ มทงั้ ธดิ านาม
า่ ทกั ณิ า กไ็ ดถ้ อื กา� เนดิ จากคู่ ามภี รรยาทงั้ 2 นนั้ จากนน้ั
พระประชาบดนี นั้ กท็ รงเลอื กใ เ้ ขาทงั้ 2 มร กนั ||20
และแล้ บตุ ร 12 คนของยชั ญะกถ็ อื กา� เนดิ ในนางทกั ณิ า
ในยคุ ของพระมนผู เู้ ปน็ พระ ยมภเู ทพทงั้ ลายชอื่ า่ ยาม ||21
อนง่ึ ทัก ะได้ใ ้กา� เนิดธดิ า 24 คนจากนางประ ูติ และ
ท่านจงต้งั ใจฟงั ชื่อของธดิ าเ ล่านั้นจากข้าพเจา้ ||22
ธิดา 13 คนมชี ่ือ ่า รัทธา ลกั มี ธฤติ ตุ ฏิ เมธา ปุ ฎิ
กรยิ า พุทธิ ลัชชา ปุ านติ ทิ ธิ และกรี ติ ||23
พระเปน็ เจ้านาม ่าธรรมะได้เลือกธดิ าของทกั ะมาเปน็
ภรรยา ่ นธดิ าผอู้ ่อนเยา ก์ า่ อกี 11 คนที่เ ลอื จากธดิ า
ทง้ั 13 คนน้นั เป็นผมู้ นี ยั น์ตางดงาม ||24
(ธิดาทง้ั 11 คนนน้ั ) ได้แก่ ขยาติ ตี ัมภตู ิ มฤติ ปรีติ
ก มา นั ตติ อน ูยา อูรชชา า า ธา ||25
ดูกรท่านมนุ ีผูป้ ระเ ริฐ พระมนุ ที ั้ง ลาย ได้แก่ พระฤ ี
ภฤคุ ภ ะ มรีจิ อังคีร ปลุ ั ตยะ ปลุ ะ กรตุ ||26
พระฤ ีอัตริ ฏิ ฐะ นิ และพระฤ ีปติ ฤกไ็ ดแ้ ตง่ งาน
กับลูก า (ของทัก ะ) มีนางขยาตเิ ป็นตน้ ตามลา� ดับ ||27
(ตอ่ มา) นาง รัทธากใ็ ก้ �าเนดิ บตุ รชื่อกามะ จลา ทรปะ
นิยมะ ธฤติ นั โต ตุ ฏิ โลภะ และปุ ฏิ ||28
และบตุ รชอ่ื เมธา รตุ ะ กรยิ า ทณั ฑะ นยะและ นิ ยะ ||29
และนางก็ยงั ใ ก้ า� เนิดบุตรช่อื โพธะ พทุ ธิ ลัชชา ินยะ
ปุ ย ยา ะ ่ นนาง านตกิ ใ็ ก้ า� เนดิ บตุ รชอ่ื เก มะ ||30
นาง ทิ ธใิ ้ก�าเนิดบตุ รชอ่ื ขุ ะ นางกรี ตใิ ก้ า� เนดิ บุตรชอื่
ย ะ ตามท่ีกล่า มานีเ้ ป็นบตุ รของธรรมะ รติใ ก้ า� เนิดบุตร
ชอ่ื ร ะจากกามะ และใ ก้ �าเนิด ลานแกธ่ รรมะ ||31
ิม าเป็นภรรยาของอธรมะ ใ ้ก�าเนิดลูกชายชื่อ
อนฤตะและนิกฤติเป็นลูก า และทั้ง องใ ้ก�าเนิด ภยา
และนรก และตอ่ มาลกู ||32
มายาและเ ทนาเปน็ บตุ รแฝดของคนทงั้ อง และตอ่ จาก
นนั้ มายาได้ใ ก้ �าเนิดมฤตยุ ผูป้ ระ าร ัต ์ท้งั ลาย ||33
เ ทนาและทกุ ขไ์ ดถ้ อื ซง่ึ เปน็ ทกุ ขข์ องตนไดถ้ อื กา� เนดิ จาก
เราร ะและจากมฤตยไู ด้กา� เนดิ ยาธิ ชรา โ กะ ตฤ ณะ
โกรธะ ||34
518
1.3 พระรุทระ รอื พระ ิ ะ
แม้ ่าคมั ภีร์ ิ ณปุ ุราณะยกย่องลทั ธไิ ณ นกิ ายเปน็ ลกั แตก่ ย็ ังคงกล่า ถึงพระ ิ ะ
ซง่ึ เปน็ เทพผเู้ ปน็ ใ ญใ่ นลทั ธไิ นกิ ายไ ด้ ้ ย โดยกลา่ ถงึ พระ ิ ะในฐานะทรงเปน็ เทพผทู้ า� ลายลา้ ง และทรง
เปน็ ่ น น่ึงในองค์พระนารายณ์ อย่างไรก็ตาม มขี อ้ มลู ่ นทกี่ ล่า ถงึ พระรุทระ รอื
พระ ิ ะทไ่ี ดท้ รงแต่งงานกบั พระนาง ตีด้ ย ดังตารางตอ่ ไปน้ี
ตั อยำ่ งท่ปี รำกฏในคมั ภรี ์ ิ ณุปรุ ำณะ ค�ำอธบิ ำย
กลา่ ถงึ พระรทุ ระกบั พระ ต-ี พระอุมาพระรุทระผมู้ ี ตั อยา่ งบทแปลท่ยี กมานี้ เปน็ ตอน นึ่งท่ี า� คญั เพราะ
ลกั ณะดังทกี่ ลา่ มานี้น้นั ได้อภิเ ก มร กบั พระนาง ตี ได้กล่า ถึงประ ตั ิของพระ ิ ะ เพราะองค์ทรงมพี ระชายา
ธิดาผ้งู ดงามของพระประชาบดนี าม า่ ทัก ะนั่นเอง ||12 คือ พระนาง ตี บทแปลแ ดงใ ้เ ็น ่าพระธิดาผู้งดงาม
ดกู รท่านพรา มณผ์ ูป้ ระเ รฐิ และเพราะค ามโกรธ ของพระทัก ะ มีนาม ่าพระนาง ตีได้ทรง มร กับ
ของพระทัก ะ นาง ตีนั้นก็ ละชี ติ ตั เอง นางไปเกดิ เป็น พระ ิ ะ แต่พระนางก็ได้ ละชีพตนเองเพราะค ามโกรธ
ธิดาของพระ มิ ัตและนางเมนา (นาม า่ อุมา) ||13 ของพระทกั ะ เมอื่ พระนาง ตี นิ้ ชพี ไปแล้ กไ็ ดท้ รงมาเกดิ
และพระ ระผู้เป็นเจ้า (รุทระ) กไ็ ดอ้ ภเิ ก มร กับ เป็นพระอุมาธิดาพระ ิม ัตและพระนางเมนาแล้ ก็ได้
นางอุมาอีกครัง้ น่ึง ||14 มร กับพระ ิ ะอีกครงั้
2. ค ำมเชือ่ ในเรือ่ งนรก รรค์
คัมภีร์ ิ ณุปุราณะนอกจากกล่า ถึงแน คิดเรื่องโลกและจักร าลอย่างละเอียดแล้ ยังได้กล่า
ถึงค ามเชื่อในเรื่องนรกและ รรค์ซ่ึงเป็นมุมมองที่น่า นใจอีกมุมมอง นึ่ง จากท่ีได้พิจารณาเนื้อ าของ
คัมภีร์ ิ ณุปุราณะแม้ ่าข้อมูลที่แ ดงใ ้เ ็นเก่ีย กับค ามเชื่อในเร่ืองนรกและ รรค์มีไม่มากนัก แต่ก็
พอทีจ่ ะท�าใ ้เข้าใจได้ ่านรกและ รรค์เปน็ ่ น น่งึ ของระบบโลกและจักร าลอนั เกิดจากอานภุ าพของ
องค์พระนารายณ์ ดังนี้
2.1 ค ำมเชอ่ื ในเร่ืองนรก
เนอ้ื าคมั ภรี ์ ิ ณปุ รุ าณะไดแ้ ดงถงึ ค ามเชอื่ ในเรอ่ื งนรก า่ เปน็ อกี ดนิ แดน นงึ่ ทพ่ี ระผเู้ ปน็ เจา้
ร้างขึ้นมา ลังจากท่ี ร้างโลกทงั้ 4 เ ร็จ ้นิ แล้ ดงั ท่ี ่า
ลังจากจัดแผ่นดินใ ้เรียบแล้ พระเป็นเจ้า ูง ุดผู้ทรงไม่ปรากฏเบื้องต้น
พระองค์นน้ั กท็ รงจดั รรภูเขาทงั้ ลายไ บ้ นแผ่นดนิ ตาม ดั ่ น ||47
ด้ ยพลานภุ าพอนั ไมม่ ที ่ี น้ิ ดุ พระองคผ์ ทู้ รงมพี ระประ งคซ์ ง่ึ จะ มั ฤทธผิ์ ล
แนน่ อนจงึ ทรง รา้ ง รรคภ์ เู ขาทง้ั มดทถี่ กู เผาผลาญไปในครา รา้ งโลกครง้ั กอ่ นไ บ้ น
พืน้ แผ่นดนิ ||48
519
นงั ือรวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เนือ่ งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
และยังได้กล่า ถึงช่ือนรกขุมต่าง ๆ และผู้ที่ท�าค ามผิดที่ มค รลงมาอยู่ในนรกเอาไ ้ด้ ย
ดงั โ ลก า่
ถานะ (นรก) ทชี่ อ่ื า่ ตามิ ระ อนั ธตามิ ระ ม าเราร ะ เราร ะ อ ปิ ตั ร นะ
โฆระ กาล ูตร อ ีจิ ดังกล่า มานี้ได้รับการก�า นด ่าเป็น ถานะของผู้ต�า นิคัมภีร์
พระเ ท ผกู้ ระทา� การคัดค้านการบูชาบ ง ร ง ผู้ละเลย ลักปฏิบัติของตน || 41-42
ตั อยา่ งบทแปลขา้ งตน้ ทย่ี กมานี้ ไดอ้ ธบิ ายไ ้ า่ ผทู้ จ่ี ะลงมาอยใู่ นนรกทง้ั 8 ขมุ ทช่ี อื่ า่ ตามิ ระ
อันธตามิ ระ ม าเราร ะ เราร ะ อ ปิ ตั ร นะ โฆระ กาล ตู ร อ จี ิ เปน็ ผูท้ ีไ่ ม่เคารพบชู าคมั ภรี พ์ ระเ ท
คดั คา้ นการประกอบพธิ บี ง ร งตอ่ เทพเจา้ และไมป่ ฏบิ ตั ติ าม นา้ ทขี่ องตนเอง นอกจากบทแปลทยี่ กมา
เป็นตั อย่างมาน้ี ในคัมภีร์ ิ ณุปุราณะก็ได้กล่า ถึงการท�าบาปที่ท�าใ ้ตกอยู่ในขุมนรกต่าง ๆ ไม่ ่าจะ
เป็นการท�าบาปโดยเป็นพยานเท็จ กล่า เท็จ ลอกล ง ผู้ที่ท�าแท้ง ท�าใ ้คนตาย ฆ่าโค กระท�าผิดต่อ
กฎระเบยี บ ดม่ื รุ า ล่ งเกนิ ภรรยาครู มคี าม มั พนั ธท์ างเพ กบั บคุ คลทไี่ มเ่ มาะ ม ดู มนิ่ ครบู าอาจารย์
ร มทง้ั เทพเจา้ พรา มณ์ และพอ่ เปน็ โจร รอื ตดั ตน้ ไมก้ น็ บั า่ เปน็ ค ามผดิ ด้ ย (รายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ ใน
ุภาพร พลายเล็ก, 2557: 141-142)
2.2 ควำมเชอ่ื ในเรอื่ งสวรรค์
เนื้อ าคัมภีร์ ิ ณุปุราณะได้แ ดงถึงค ามเชื่อในเรื่อง รรค์จะอยู่ตรงกันข้ามกับค ามเชื่อใน
เรือ่ งนรก จะเ น็ ได้ ่า รรค์เปน็ ท่ีอยขู่ องเทพเจ้า ่ นนรกเป็นท่ีอยขู่ องคนท่ที �าบาป รรคเ์ ป็นดินแดน
รือภูมิ นึ่งท่ีพระพร ม ร้างขึ้นมาเช่นเดีย กับที่ได้ ร้างโลกมนุ ย์ ด้ ยประการฉะน้ี รรค์จึงมีค าม
เปลยี่ นแปลงอยใู่ นตั ไมอ่ าจจะตง้ั อยตู่ ลอดไปได้ ในขน้ั ตน้ รรคจ์ งึ เปน็ ดนิ แดนทพ่ี ระเปน็ เจา้ ทรงกา� นด
ไ แ้ ล้ า่ จะตอ้ งทรง รา้ งขนึ้ เพอื่ รองรบั ผทู้ ไี่ ด้ ง่ั มบญุ กุ ลมาในโลกมนุ ยใ์ นเ ลาทต่ี ายไปกไ็ ดม้ าเกดิ เปน็
เทพเจา้ เ ยทิพยอ์ ย่บู น รรค์ ดงั ท่ีกล่า ในโ ลก า่
ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ ปน็ ทพ่ี ง่ึ ผทู้ รงทา� ใ ผ้ า่ นพน้ อปุ รรค มณฑลของโลกทง้ั มด
ถูกเ ็น ่าอยทู่ ป่ี ลายเขี้ย ประดุจดังใบบั ท่ีเป้อื นโคลนซึ่งตดิ อยใู่ น ระบั ||36
ขา้ แตพ่ ระองคผ์ ทู้ รงมกี า� ลงั ซงึ่ ไม่ ามารถเทยี บเทา่ ได้ ชอ่ ง า่ งระ า่ ง รรค์
และแผ่นดินถูกปกคลุมด้ ยร่างกายของท่านนั่นเอง ข้าแต่เทพเจ้า โลกถูกปกคลุมไป
ด้ ยแ ง ่างอันรุ่งโรจน์ ขอพระองค์จงเป็นไปเพ่ือประโยชน์ของชา โลก ||37
และนอกจากน้ันยงั กล่า ไ ด้ ้ ย ่า รรค์ รา้ งขน้ึ มาจากเ ียรของพระพร ม ดงั โ ลกท่ี ่า
ลม ายใจของ ง่ิ มชี ี ติ กเ็ กดิ จากลมภายในของพระองค์ ไฟเกดิ จากพระโอ ฐ์
ท้องฟ้าเกดิ จากพระนาภี รรคก์ เ็ กิดมาจากพระเ ยี รของพระองค์ ||63
ทิ ทง้ั ลายเกดิ จากพระกรรณ ผนื แผน่ ดนิ เกดิ จากพระยคุ ลบาทของพระองค์
ทุก งิ่ ทกุ อย่างนเ้ี กิดจากพระองค์ทัง้ น้ัน ||64
520
3. ควำมเชือ่ เร่อื งกำรสรำ้ งและกำรทำ� ลำยโลก
ดังทีไ่ ดก้ ลา่ แล้ า่ คัมภีร์ ิ ณุปุราณะประกอบด้ ย “ปญั จลัก ณะ” ซงึ่ นึง่ ในปญั จลัก ณะ
ได้แก่ เรื่องการ ร้างและการท�าลายโลกโดยมีพระนารายณ์เป็นประธาน โดยเน้ือ าใน ่ นน้ีได้กล่า ถึง
เรอ่ื งการ รา้ งจกั ร าล การประลยั และการ รา้ ง งิ่ ตา่ ง ๆ ภาย ลงั จากการประลยั ของจกั ร าล ซงึ่ มเี นอ้ื า
ละเอยี ดมาก โดยจะกล่า ่าตง้ั แต่ทจี่ กั ร าลยังมีลัก ณะเปน็ ปฐมธาตุ คอื ไมม่ ีช่ งเ ลาทชี่ ัดเจนท้ังเ ลา
กลาง นั กลางคนื และไมม่ ี รรพ ่งิ ทเี่ ป็นทงั้ ทอ้ งฟา้ แผน่ ดนิ ค ามมดื แ ง า่ ง คัมภีร์ ิ ณปุ รุ าณะกลา่
า่ มเี พียงพร มมนั และปุรุ ะซึง่ ไม่ ามารถรับร้ไู ด้ด้ ยประ าท ัมผั ใด ๆ ในช่ งเ ลาทเี่ รม่ิ การ ร้างโลก
พระนารายณ์จะมรี ูปอยู่ 2 ่ น คือ ประธานะและปุรุ ะ แตก่ ระนัน้ กต็ ามคมั ภีร์ ิ ณปุ รุ าณะก็ยงั กลา่ ่า
พระนารายณท์ รงมรี ปู อน่ื อกี ซงึ่ เรยี ก า่ กาละ ซง่ึ ไมม่ ขี อบเขตในเบอ้ื งตน้ และไมม่ ที ่ี นิ้ ดุ และในเ ลาการ
ร้างโลกปุรุโ ตตมะ2 จะทรง ถิตย์อยู่ในภา ะเป็นประธานโดยเกิดการ ั่นตั ดตั และก็ขยายตั
พระนารายณ์ทรงเปน็ ธรรมชาตทิ ีแ่ ผข่ ยายเปน็ อณู และทรงปรากฏรปู ลัก ณ์เป็นพระพร ม และกเ็ กิดข้นั
ตอนคุณภา ะแ ่งธาตแุ ละการรบั ร้มู ัต3 ถูก อ่ มุ้ ด้ ยประธานะ อ ังการถูก ่อ มุ้ ด้ ยม ตั ิ่งต่าง ๆ
ก็จะ รา้ งขึ้นมาจากธาตุน้ัน ๆ มลู ฐานของธาตุคอื ตันมาตรตา โดยกอ่ นที่ธาตุอากา ลม ไฟ น�้า ดิน ยังไม่
ร มตั กนั จะมพี ลงั งานแตกตา่ งกนั ไม่ ามารถ รา้ ง รรพ งิ่ ขนึ้ มาได้ ตอ่ เมอ่ื ธาตแุ ตล่ ะธาตรุ มกนั เปน็ นงึ่
เดีย และอา ัยปุรุ ะและประธานะ โดยมีม ัตเป็นจุดเร่ิมต้น มี ิเ ะ4 เป็นที่ ุดแล้ จึงได้เกิดเป็นไข่
เจริญเติบโตขึน้ มามีรูปรา่ งเ มอื นกบั ฟองนา้�
คมั ภรี ์ ิ ณปุ รุ าณะกลา่ า่ ในเ ลาทเี่ กดิ ไขข่ นึ้ มาพระนารายณท์ รงอยใู่ นรปู รา่ งพระพร ม และ
พรรณนา ่ นประกอบตา่ ง ๆ เ มอื นอ ัย ะภายในของมนุ ย์คอื เขาพระ ุเมรใุ นเ ลานัน้ เปน็ มดลกู ภูเขา
ตา่ ง ๆ เปน็ เปลือกนอกของมดลูก และม า มทุ รก็เป็นนา้� คร�่า ภายในไขก่ บ็ รรจุ ิ่งตา่ ง ๆ มีภูเขา แผ่นดิน
รือท ีป ม า มุทร ระบบดา นพเคราะ ์ มีเทพอ ูรและมนุ ย์ร มกันอยู่ภายในไข่ใบเดยี ไขข่ นาด
ใ ญล่ อ้ มรอบด้ ยนา�้ ไฟ ลม อากา และภตู าท5ิ เ มอื นกบั รปู รา่ งของจา มะพรา้ ทถี่ กู อ่ มุ้ ด้ ยกะลา
และเปลือกช้ันนอก ขณะท่ีภูตาทิกจ็ ะถูกลอ้ มด้ ยม ตั คมั ภรี ์ ิ ณุปรุ าณะได้อธบิ ายเก่ียกบั ม ตั ที่ร มกับ
รรพ ง่ิ า่ อยใู่ นลกั ณะของอ ยกั ตะ คอื ง่ิ ทไ่ี มแ่ ตกแยก ร มกนั เปน็ นงึ่ การ รา้ ง ง่ิ ตา่ ง ๆ มาจากพลงั
อา� นาจของพระนารายณ์ พระองคเ์ ปน็ ผู้ทรงค ามดี รือท่ีเรยี ก า่ ตั คุณ ได้รกั ายุคท้งั 4 จนกระท่งั ถึง
การ น้ิ กลั ป์ ในช่ งท่ี นิ้ กลั ป์ คมั ภรี ์ ิ ณปุ รุ าณะไดบ้ รรยาย า่ พระเปน็ เจา้ งู ดุ นท้ี รงมรี ปู ทดี่ รุ า้ ย โดยทรง
2 ในคมั ภรี ์ ิ ณปุ รุ าณะกลา่ ถงึ ภา ะของพระนารายณ์ า่ ทรงเปน็ ปรุ โุ ตตมะ มายถงึ อา� นาจในการ รา้ ง ง่ิ
ต่างๆ ซ่งึ ไม่มีขอบเขต ในบทนอบนอ้ มพระนารายณก์ ล่า ถึงพระองค์ ่า
ขา้ แต่ปุรโุ ตตมะ พระองค์ทรงเปน็ ่งิ ท่ีมีมาแล้ ในอดตี ทั้งยงั ทรงเปน็ งิ่ ที่จะมตี ่อไป
ในอนาคตแน่นอน ริ าฏ ( ตั ถุทง้ั ป ง) ราฏ (พระพร มผู้ รา้ ง) มราฏ (พระมน)ู และ
อธปิ ุรุ ะ(อาตมนั ูง ดุ ) ล้ นถอื กา� นดจากพระองค์ ||57
3 คา� ่า ม ตั เปน็ พั ทท์ างปรชั ญา างขยะ-โยคะ มายถงึ อา� นาจในการ รา้ งของพระเป็นเจ้า
4 คา� า่ ิเ ะ เป็น พั ท์ทางปรชั ญา างขยะ-โยคะ มายถึง อา� นาจในการ ร้างของพระเปน็ เจา้
5 มายถึง ัต ์ต่าง ๆ ทพ่ี ระพร ม (ในร่างพระนารายณ)์ ได้ รา้ งข้ึน
521
นัง ือรวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนือ่ งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
อยใู่ นลกั ณะของตมั คณุ 6 กลนื กนิ ตั ต์ า่ ง ๆ เมอื่ จะ น้ิ กลั ปแ์ ล้ พระองคก์ จ็ ะทรงกลบั ไปนอนบนบงั ลงั ก์
นาค ลังจากทรงตนื่ ขึน้ มาพระองค์ก็ทรงทา� น้าท่ี รา้ งโลกตอ่ ไป ด้ ยเ ตนุ ค้ี มั ภรี ์ ิ ณปุ รุ าณะจงึ กลา่ า่
พระนารายณเ์ ปน็ ผทู้ ี่ รา้ งโลกด้ ยพระองคเ์ อง เปน็ ผทู้ ร่ี กั าโลกด้ ยพระองคเ์ อง และเปน็ ผู้ทที่ �าลายโลกด้ ย
พระองค์เอง ดังบทแปลทีย่ กมาต่อไปนี้
ไมม่ กี ลาง ัน ไมม่ ีกลางคนื ไมม่ ีทอ้ งฟ้า ไม่มีแผน่ ดิน ไม่มคี ามมืด ไม่มีแ ง
่าง และไมม่ ี ิ่งอื่นๆ มเี พยี งปฐมธาตุ พร มัน (และ) ปรุ ุ ะเทา่ น้ันซ่งึ ไมอ่ าจรับรไู้ ด้
โดยทางประ าท มั ผั อันมโี ตประ าท เป็นตน้ ||23
ดูกรทา่ นพรา มณ์ รปู ลัก ณ์ของพระ ิ ณุทรงมี 2 รูปเท่านน้ั คือ ประธานะ
และปุรุ ะ ดกู รทา่ นพรา มณ์ พระ ิ ณุนนั้ ยงั ทรงมรี ปู อน่ื อีกท่ีร มกับพระองค์ และ
แยกกับพระองค์ซึง่ เรียก ่า กาละ ||24
แต่เพราะในครา ทคี่ ามพนิ า ผ่านไป ยกั ตะยังคงมีอยใู่ นประกฤติ ดังนั้น
ัฏจักรนี้ จงึ ไดร้ บั การเรยี กขาน า่ ปรากฤตะ (ธรรมชาติ) ||25
ดกู รทา่ นพรา มณ์ พระเป็นเจ้าคอื กาละ ไมม่ เี บอื้ งต้น ไมม่ ีที่ ิ้น ดุ ท่านไม่
อาจจะรูไ้ ด้ การ ร้าง การดา� รงรัก าและการทา� ลายเ ล่านี้ เกดิ มาจากพระองค์อย่าง
ตอ่ เนอื่ ง ||26
ต่อมาพร มัน ูง ุดนั้นคือปรมาตมันจึงมีอยู่ท่ั โลก | ทรงอยู่ใน รรพ ่ิง
ทรงเปน็ เจา้ แ ง่ รรพ ตั ์ ทรงเปน็ จติ ญิ ญาณของ รรพ ง่ิ ทรงเปน็ พระผเู้ ปน็ เจา้ งู ดุ
||28
และเม่ือถึงเ ลา ร้างโลก ริ (พร มัน) ด้ ยพระประ งค์ของพระองค์เอง
คร้ันทรงเข้าไปในประธานะ (ธาตุ) และปุรุ ะแล้ ก็จะท�า ่ิงท่ีเ ื่อมและไม่เ ่ือมใ ้ ั่น
ไ ||29
กลิ่น อมเพียงแค่เข้าไปใกล้เท่าน้ันก็ย่อมเกิดเคล้ากับจิตใจ | โดยปรา จาก
ผู้น�าเข้าไปฉันใด พระเปน็ เจ้า ูง ุดนน้ั ก็ทรงมอี า� นาจในการ ร้างโลกฉันน้นั ||30
อน่ึงพระเป็นเจ้าผู้ทรงเ นือก ่าพระเป็นเจ้าทุกพระองค์คือพระ ิ ณุนั้น
ย่อมทรงปรากฏรูปลัก ณะของพระองค์โดยเป็นธรรมชาติที่แผ่ขยายและที่เป็นอณู
และทรงปรากฏรูปลกั ณะของพระองค์โดยเปน็ รูปแ ง่ พระพร ม เป็นตน้ ||32
6 จะเ น็ า่ ในคมั ภรี ์ ิ ณปุ รุ าณะไดก้ ลา่ ถงึ ภา ะของพระนารายณ์ า่ มที งั้ ในดา้ น ตั คณุ คอื ดา้ นดใี นการรกั า
โลก และดา้ นตมั คณุ คอื อา� นาจของพระผเู้ ปน็ เจา้ ทา� ใ เ้ กดิ โลกขนึ้ มา คอื ค ามลมุ่ ลง ค ามมั เมา มี ดี า� เปน็ ญั ลกั ณ์
522
จากน้ันภา ะที่แท้จริงคือประธานะที่ปรากฏขึ้นจึง ่อ ุ้มม ัต (mahat)
ม ตั มคี ณุ 3 ประการ คอื าตต ะ (ค ามดงี าม) รชั (กเิ ล ตณั า) ตมั (ค ามโงเ่ ขลา)
||34
ม ัตถูก ่อ ุ้มด้ ยด้ ยภา ะที่แท้จริงคือประธานะ เ มือนกับเมล็ดพืชที่
ถูก ่อ มุ้ ด้ ยเปลือก จากภา ะท่แี ท้จรงิ คอื ม ตั | อ งั การซงึ่ เป็นผลมาจากค ามไมร่ ู้
(tāmasa) จงึ มี 3 ชนิด คอื | ไ การิกะ (vaikārika) ไตช ะ (taijasa) และภตู าทิ
(bhūtadi) ||35
พระองค์ทรงได้รับพระนาม ่าพระพร มผู้ ร้าง พระ ิ ณุผู้รัก า และ
พระ ิ ะผู้ท�าลาย (ตาม น้าที่ของตน) พระชนารทนะคือพระผู้เป็นเจา้ องค์เดีย เท่านั้น
||66
พระ ิ ณุผู้ ร้างย่อมทรง ร้างซึ่งตนเอง พระ ิ ณุผู้รัก าย่อมทรงรัก า
พระองคเ์ อง และในท่ี ุดพระ ิ ณุผทู้ า� ลายย่อมทรงท�าลายพระองค์เอง ||67
ิ่งที่เรียก ่าโลกเกิดขึ้นเพราะแผ่นดิน น�้า ไฟ ลม อากา และอ ัย ะ
ในการรับรู้ทั้ง มดที่เรียก า่ ปรุ ุ ะ ||68
เพราะพระองค์นั้นทรงเป็นอาตมันของ รรพ ่ิงในรูปของจักร าลที่ไม่มี
การเ ่ือม ลายและการ รา้ งเปน็ ต้น การดา� รงอยู่ของ ัต แ์ ละการช่ ยเ ลอื กเ็ ปน็ ของ
พระองค์นั่นเอง ||69
พระ ิ ณุผู้ทรงมีรูปที่ มบูรณ์ (ท้ัง 3) มีพระพร มเป็นต้น ผู้ประเ ริฐ ุด
ทรงเปน็ ผ้ใู ้ ิง่ ประเ รฐิ ผู้ยอดเยี่ยมด้ ยการปรากฏกายทง้ั มด ||70
อทิ ธพิ ลควำมเช่ือในคัมภรี ์วษิ ณปุ ุรำณะท่มี ตี อ่ สงั คมไทย
ใน งั คมไทยนั้น อาจกล่า ได้ ่า ัฒนธรรมประเพณี ค ามเชอ่ื ต่างๆ ภา าและ รรณคดี ร มท้งั
ลิ ปะแขนงตา่ งๆ ทป่ี รากฏในทกุ นั นลี้ ้ นไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากอนิ เดยี ฒั นธรรมอนิ เดยี มอี ทิ ธพิ ลตอ่ ระบบ
การปกครองของไทยมาตง้ั แตโ่ บราณกาลแล้ กลา่ คอื ค ามเชอ่ื ในลทั ธิ มมตเิ ท ราชาของอนิ เดยี ซงึ่ มผี ล
ตอ่ การร มจติ ใจของประชาชนใ เ้ กดิ ค าม รทั ธาตอ่ ระบบการปกครองเปน็ เอกภาพเดยี กนั ในช่ งแรก
การรับ ัฒนธรรมอินเดียอาจจะมาจากการติดต่อทางการค้า และต่อมาก็มีพรา มณ์เข้ามาเป็นผู้ ่ัง อน
อารยธรรม ฒั นธรรมอนิ เดยี จงึ เรม่ิ ง่ ผลตอ่ ค ามคดิ ในการปกครอง การทถี่ อื า่ ก ตั รยิ เ์ ปน็ เทพเจา้ ปรากฏ
ลักฐานใน ลิ าจารกึ พระนามของก ตั ริย์ทเ่ี ป็นดงั เช่นพระนามของเทพเจ้าตา่ ง ๆ เปน็ เ ตใุ ร้ บั อิทธิพล
ทางดา้ นภา าและ ฒั นธรรมในดา้ นอนื่ ๆ เชน่ รรณคดี เรอ่ื งรา เกยี่ กบั เทพเจา้ แตใ่ นขน้ั ตน้ นน้ั อทิ ธพิ ล
เ ลา่ นนั้ ยงั อยู่เฉพาะในราช �านกั เ ลาต่อมาก็ขยายมาถงึ ขุนนางและประชาชน (กรุณา กุ ลา ยั , 2543:
523
นงั อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เน่อื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
14-15) อยา่ งไรก็ตาม ่ิงทีพ่ ึงกลา่ ไ ใ้ นทน่ี เี้ กยี่ กบั อทิ ธิพลของ ฒั นธรรมอินเดยี ใน ังคมไทยนัน้ ก็คือเรา
ไม่ได้รับอิทธิพลจากอินเดียมาโดยตรง เพราะ ่าเรารับผ่านประเท เพื่อนบ้าน ประชาชนในแถบน้ีจึงมี
โอกา เลือกรับเอา ง่ิ ทีเ่ มาะ มกับตน (กรุณา กุ ลา ยั , 2543: 16)
อทิ ธพิ ลค ามเชอ่ื เกย่ี กบั เรอื่ งตา่ ง ๆ ทป่ี รากฏในคมั ภรี ์ ิ ณปุ รุ าณะ เปน็ ไปได้ า่ มคี าม มั พนั ธ์
และ ง่ อทิ ธพิ ลตอ่ งั คมและ ฒั นธรรมไทยมาเปน็ ระยะเ ลายา นาน ดงั จะเ น็ ไดจ้ ากประเดน็ เ ลา่ นี้ คอื
1. ค ามเช่อื ในเรอ่ื งพระตรีมูรติ
2. ค ามเช่ือในเร่อื งการอ ตาร
3. ค ามเช่อื ในเร่ืองโลกและจกั ร าล
4. ค ามเช่ือทีม่ ีตอ่ การ รา้ ง รรค์ รรณคดีไทย
1. ควำมเช่ือเร่อื งพระตรมี ูรติ
ค าม มายของค�า ่า “ตรีมูรติ” โดยพยัญชนะน้ัน มายถึง รูปแบบทั้ง าม รือรูปแบบของ
พระเป็นเจ้าทั้ง ามพระองค์ ่ นค าม มายโดยอรรถตามที่ชา ฮินดูเข้าใจกันก็คือ การอ ตารของ
พระเป็นเจ้า ูง ุดทั้ง ามพระองค์ใน า นาพรา มณ์-ฮินดู (พระครูปลัดบุญทัน ธีรงฺกุโร, 2558: 22)
ค ามเชื่อในเรื่องพระตรมี ูรตใิ น า นาพรา มณ์ฮินดูมีมานานแล้ และค่อย ๆ พฒั นาเปน็ ค ามเชื่อโดยมี
เทพเจา้ ทย่ี งิ่ ใ ญ่ 3 พระองค์ คอื พระพร ม พระ ิ ณุ และพระ ิ ะเปน็ จดุ เดน่ โดย จริ พฒั น์ ประพนั ธ์ ทิ ยา
(2546: 10) ได้อธิบายเกี่ย กบั ิ ัฒนาการเรื่องตรมี รู ติ า่ ก�าเนิดจากทม่ี า ลายแ ลง่ และมคี ามแตกตา่ ง
กนั ในรายละเอยี ดพอ มค ร ซงึ่ ไดแ้ ดงใ เ้ น็ ถงึ ค ามแตกตา่ งของเ ลา ถานที่ และจดุ ประ งคข์ องแ ลง่
ที่มาทเี่ กีย่ กบั ลทั ธนิ ับถอื พระทัตตาเตรยะ7
ใน งั คมไทยนนั้ ค ามเชอื่ เกยี่ กบั เรอื่ งตา่ ง ๆ ของคนไทยทน่ี บั ถอื า นาพทุ ธไมไ่ ดข้ ดั แยง้ ตอ่ กบั
ค ามเชอ่ื ของ า นาพรา มณ-์ ฮนิ ดู มยั โบราณทง้ั ประเพณแี ละค ามเชอื่ ตา่ ง ๆ ของคนไทยไดผ้ มผ าน
เขา้ ด้ ยกนั เป็นอยา่ งดีระ า่ ง า นาท้งั อง งั คมไทยจะมี ลักฐานยนื ยนั แน่นอน ่า เทพเจ้าใน า นา
พรา มณ์-ฮินดูได้ปรากฏในดินแดนประเท ไทยต้ังแต่ใน มัยครึ่ง ลังพุทธ ต รร ที่ 9 โดยมี า นา
พรา มณ์-ฮนิ ดู นิกายภาค ตั ทถ่ี ายค ามภักดแี ด่พระ า ุเทพ และถึงมรี ปู ิ ลงึ ค์ปรากฏอยูด่ ้ ย (บ�ารุง
ค�าเอก, 2558: 2420) �า รับค ามเช่ือในเทพท้ัง ามพระองค์ใน า นาพรา มณ์-ฮินดู รือที่เรียก ่า
“ตรีมูรติ” น้ันปรากฏใ ้เ ็นอย่างชัดเจนใน ังคมไทยในยุคปัจจุบัน โดยได้มีการ ร้างเท รูปตรีมูรติ
ประดิ ฐานไ ้ตามเท ถานและ ถานที่ต่าง ๆ �า รับใ ้บุคคลท่ั ไปได้เคารพบูชา และใน ังคมไทย
ปจั จบุ นั “พระตรมี รู ต”ิ ไดร้ บั การเคารพนบั ถอื ในฐานะเทพผทู้ รงเปน็ ทพ่ี ง่ึ ของผู้ รทั ธาในค ามรกั ทง้ั ลาย
7 พระทตั ตาเตรยะเปน็ รปู อ ตารของกลมุ่ เทพมรู ตทิ ช่ี า ฮนิ ดนู บั ถอื โดยใ พ้ ระนาม า่ ทตั ตาเตรยะ คมั ภรี ป์ รุ าณะ
ลายฉบบั แ ดงใ เ้ น็ า่ เทพมรู ตไิ ดอ้ ตารลงมายงั โลกมนุ ยเ์ ปน็ บตุ รของพระฤ อี ตั รแิ ละนางอน ยู า เทพตรมี รู ตไิ ดก้ ลาย
ร่างร มกนั เปน็ รา่ งเดีย แตม่ ี 3 เ ยี ร เพอื่ คงไ ้ซง่ึ ัญลัก ณ์ของเทพผู้ยง่ิ ใ ญท่ ้งั าม คือ พระพร มา พระ ิ ณุ และพระ
ิ ะ (ผา ุข อนิ ทรา ธุ , 2546: 47)
524
ภำพท่ี 1 เท รูปพระตรมี ูรติ ณ เท ถานโบ ถ์พรา มณ์ ในปี พ. . 2545
ท่มี า: อกั รชนนี [นามแฝง].(2553). ตอบ: บทค าม เรื่อง "พระบาท มเดจ็ พระเจ้าอยู่ ั กับ า นาพรา มณ-์ ฮินดูใน
ประเท ไทย." จากกระดาน นทนา Hindu นทนา / ชุมชนคนรัก...ฮนิ ดู. เขา้ ถึงเม่ือ 5 พฤ ภาคม เขา้ ถึงไดจ้ าก
http://www.hindumeeting.com/forum/index.php?action=profile;u=10;sa=showPosts;start=1720
525
นัง อื รวมบทความวิจยั และบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
2. ควำมเชือ่ ในเร่ืองกำรอวตำร
คตคิ ามเชอ่ื เร่ืองเท ราชาใน ังคมไทยมี ลกั ฐานแ ดงชัดเจน ่า ใน มัยอยธุ ยา ถาบันก ตั รยิ ์
ไดร้ บั ค ามเคารพยกยอ่ งเปรยี บประดจุ เทพเจา้ รอื กลา่ ได้ า่ เทพเจา้ ไดอ้ ตารลงมาเปน็ พระม าก ตั รยิ ์
เพ่อื ดแู ลค าม งบ ขุ ในผืนแผน่ ดนิ ุภ ฒั ย์ เก ม รี (2554: 8) ได้อธบิ ายไ ้ า่
“ใน มัยอยุธยา พระราช ถานะของพระม าก ัตริย์เปลี่ยนแปลงไปบ้าง
เมอ่ื มคี ตคิ ามคดิ เกยี่ กบั มมตเิ ท ราชมาผ มผ าน พระม าก ตั รยิ ท์ รงเปน็ เ มอื น
เทพเจา้ ดงั ปรากฏพระนามของพระม าก ตั รยิ ์ มัยอยุธยา เช่น มเด็จพระรามาธบิ ดี
มเดจ็ พระรามราชา มเดจ็ พระอนิ ทรราชา มเดจ็ พระเอกาท รถ มเดจ็ พระนารายณ์
ม าราช เปน็ ต้น ซ่ึงล้ นแต่เป็นพระนามของเทพเจา้ ของพรา มณ์ฮนิ ดแู ละเทพเจ้าใน
ค ามเชอ่ื พนื้ ถน่ิ ทง้ั น้ิ ...”
จากคตคิ ามเชอ่ื ดงั กลา่ ใน งั คมไทย แ ดงใ เ้ น็ ถงึ การรบั อทิ ธพิ ลแน ค ามคดิ เรอื่ งการอ ตาร
ของเทพเจา้ มาปรบั ใชใ้ ้ อดคลอ้ งกบั การปกครอง ซงึ่ แน ค ามคดิ เรอ่ื งการอ ตารของเทพเจา้ นมี้ ปี รากฏ
ใ เ้ น็ อยา่ งชดั เจนในคมั ภรี ์ ิ ณปุ รุ าณะและแน ค ามคดิ นเ้ี ปน็ แน ค ามคดิ ที่ า� คญั มากประการ นงึ่ ใน
า นาพรา มณ-์ ฮินดู
3. ควำมเชื่อในเรอ่ื งของโลกและจักรวำล
ค ามเชอ่ื บาง ่ นในเรอ่ื งของโลกและจกั ร าลในคมั ภรี ์ ิ ณปุ รุ าณะและในคมั ภรี ไ์ ตรภมู พิ ระร่ ง
ดงั จะแ ดงในรูปตารางต่อไปน้ี
ควำมเชอ่ื ในเร่อื งของโลกและจักรวำลวทิ ยำ
คมั ภรี ว์ ษิ ณปุ รุ ำณะ ไตรภมู ิพระรว่ ง
- จักร าลปรากฏในช่ือเรียก ่า พฺร ฺมาณฺฑะ ิ ะ โลก - จกั ร าลปรากฏในชอื่ เรยี ก า่ ไตรภมู ิ ไตรภพ ภมู ิ 3 ไตรภพ
และชคัต โลกและภพจักร
- จักร าลมีลัก ณะของการเปลย่ี นแปลงตามอา� นาจของ - กา� เนดิ ของจกั ร าลมกี าร รา้ งใ ม่ภาย ลงั จากการ
พระผเู้ ปน็ เจ้า คอื เกิดขน้ึ ตั้งอยู่ และดบั ไป ประลัย
- ลัก ณะจักร าลเป็นรูปไข่ ่อ ุ้มด้ ยน้�าและลม พ้ืนที่ - ลัก ณะจักร าลเป็นรูปทรงกระบอกท่ีน�ามาผูกติดกัน
จกั ร าลแบ่งออกเป็นชนั้ คอื ชนั้ บน ชั้นกลาง และช้ันลา่ ง อนนั ตจกั ร าลมชี อ่ ง า่ งตรงกนั จกั ร าลถกู รองรบั ด้ ยนา้� ลม
และอัชดากา พ้ืนที่จักร าลแบ่งออกเป็นช้ัน คือ ชั้นบน
ชนั้ กลาง และชนั้ ลา่ ง
จากตารางขา้ งตน้ จงึ อาจ รปุ ได้ า่ ค ามเชอื่ ในเรอื่ งของโลกและจกั ร าลตามทกี่ ลา่ ถงึ ในคมั ภรี ์
ิ ณุปุราณะ เป็นค ามคิดเร่ืองจักร าล ิทยาของชา อินเดียท่ีมีการจัดระบบไ ้อย่างดีแล้ ด้ ยเนื้อเร่ือง
ิ ณุปุราณะที่เป็นคัมภีร์เก่าแก่จึงน่าจะเข้าใจได้ ่า ผู้ร บร มน�าเอาค ามเช่ือในเร่ืองนี้มาจากค ามรู้
ลายแ ล่งมาร มไ ้ในที่เดีย กัน โดยเน้นใ ้เก่ีย ข้องกับพระ ิ ณุในฐานะเทพผู้ ร้างจักร าล และ
526
เมื่อเปรียบเทียบกับเนื้อ าของไตรภูมิพระร่ ง พบ ่ามีลัก ณะบาง ่ นท่ีมีค ามคล้ายคลึงกันจึงเป็น
ขอ้ นั นิ ฐานได้ า่ ค ามเชอ่ื นมี้ ี ่ นทเ่ี กยี่ ขอ้ งกบั ระบบจกั ร าลในคมั ภรี ไ์ ตรภมู พิ ระร่ งซง่ึ เปน็ รรณกรรม
พระพุทธ า นาท่ีมีอิทธิพลต่อ ังคมไทย โดยมีการเปล่ียนค ามเชื่อเรื่องพระ ิ ณุมาเป็นค ามเชื่อ
ทางพระพทุ ธ า นาเนน้ เปา้ มายคอื พระนพิ พาน และบรรยายโลกและจกั ร าลตามทพี่ รรณนาไ ใ้ นภพภมู ิ
ทง้ั 3 นน่ั เอง
4. ควำมเช่อื ที่มีต่อกำรสร้ำงสรรค์วรรณคดไี ทย
จากเนอ้ื าของคมั ภรี ์ ิ ณปุ รุ าณะพอทจ่ี ะ นั นิ ฐานได้ า่ คมั ภรี ์ ิ ณปุ รุ าณะได้ ง่ อทิ ธคิ ามเชอื่
ตอ่ การ ร้าง รรค์ รรณคดีไทยซ่ึงปรากฏชัดเจนคือ รรณคดีเร่อื งอนริ ุทธค�าฉนั ท์ใน มยั อยธุ ยา และเรื่อง
ลิลิตนารายณ์ ิบปางใน มัยรัตนโก ินทร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระราชนิพนธ์ค�าน�าลิลิตนารายณ์ ิบปาง
ของ พระบาท มเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยู่ ั กลา่ ถงึ เรือ่ งกฤ ณา ตารที่ปรากฏอยูใ่ นคมั ภีรม์ าภารตะ
และในคมั ภรี ป์ รุ าณะ และพระองคย์ งั ไดท้ รงกลา่ ถงึ คมั ภรี ์ ิ ณปุ รุ าณะเกยี่ กบั เรอื่ งรา ของพระกฤ ณะด้ ย
ดงั น้ี
เรื่องกฤ ณา ตารมีอยู่ในม าภารตะและปุราณะ ลายคัมภีร์, แต่น่า
ประ ลาดทไ่ี มไ่ ดม้ ใี ครแปล รอื เกบ็ มาแตง่ ขนึ้ เปนภา าไทยอยา่ งเชน่ รามเกยี รตน์ิ นั้ เลย.
ทีไ่ ด้เอามาแต่งขน้ึ เปนเรอื่ งละครก็มีอย่แู ต่เร่อื ง “พระอุณรทุ ”, คือ อนริ ทุ ธ ผเู้ ปนโอร
ของพระปรัทยุมน์, โอร ของท้า กฤ ณะผู้ทรงราชย์ในนครท ารกา ( รือท ารา ดี).
ในลิลติ ต่อไปนี้ ฃ้าพเจ้าจะได้แถลงประ ตั ขิ องพระกฤ ณา ตาร โดย งั เขป, เพราะถา้
จะแถลงโดยพิ ดารจะตอ้ งแตง่ เปน นัง อื อกี เล่ม ๑ ตา่ ง ากทเี ดยี . พระกฤ ณะนนั้
กา� เนดิ ใน กลุ ก ตั รยิ ย์ าทพ, อนั เปน าฃา ๑ แ ง่ จนั ทร ง .์ จนั ทร ง น์ น้ั , ตาม “ ิ ณุ
ปรุ าณะ” กลา่ า่ ตน้ ง ค์ อื พระอตั รพิ ร มฤ ,ี โอร ของพระพร มา. พระอตั รมิ โี อร
คือ พระจนั ทร, โอร พระจนั ทรคอื พระพธุ , โอร พระพธุ คอื ปรุ ูระ ั , โอร ปรุ รู ะ ั คอื
อายุ โอร ของอายุ คอื นะ ุ , และโอร ของนะ ุ คอื ยะยาต.ี ยะยาตมี โี อร ององค์
ที่ไดเ้ ปนก ัตร์, คือ ยะท,ุ ผู้เปน็ ต้น กุลยาทพ, กับปรุ ผุ ้เู ปนตน้ กลุ โปรพ. กลุ ยาทพ
ครองนครตา่ ง ๆ, มที าระกาเปนที่ ดุ ; กลุ โปรพครองนครประดิ ฐานและ ั ตนิ าปรุ ะ
ตลอดมา. ยังมีจันทร ง ์อีก าฃา ๑ ซ่ึงครองแค ้นกา ี (พาราณ ี), ืบ กุลลงทาง
ท้า ก ัตระพฤทธะ, โอร ของท้า อายุ . ใน กุลโปรพมีก ัตริย์อันบรร เกียรติอยู่
ลายองค์ เช่นท้า ทุ ยันต์ผู้เปนพระ ามีของนาง กุนตลา เปนต้น, และม าภารตะ
กก็ ลา่ ถงึ เรอื่ ง งครามซงึ่ ทา้ ยฐุ ิ เฐยี รไดม้ ชี ยั . ใน กลุ ยาทพมกี ตั รยิ อ์ นั บรร เกยี รติ
อยู่มากที่ ุดก็คือ ท้า กฤ ณะ, ซ่ึงเรียก ่าพระกฤ ณา ตาร, เปนพระม าก ัตร์
องค์ ุดท้ายแ ่ง กุลน้ี. ซ่ึงบางต�า รับก็จัดเอาเปนพระนารายณ์อ ตารปางที่ ๘
แทนท้า กฤ ณะ ซ่ึงจัดเปนองค์พระนารายณ์แบ่งภาคทีเดีย . ด้ ยเ ตุนี้เองบางที
พรา มณจ์ ึงออกพระนามพระนารายณ์ า่ “กฤ ณะ”, ซึง่ เปนเ ตทุ �าใ ช้ า เราผู้มไิ ด้รู้
ตน้ ายปลายเ ตพุ ลอย ลงตามไปด้ ย, ดงั ปรากฏอยใู่ นก นี พิ นธข์ องไทยเรา ลายแ ง่ ...”
(พระบาท มเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยู่ ั , 2466: [16]-[17])
527
นัง อื รวมบทความวิจัยและบทความทางวชิ าการ เน่ืองในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
เน้อื าของข้อค ามข้างบนแ ดงใ เ้ น็ ่า คมั ภีร์ ิ ณุปุราณะได้เปน็ ท่รี ู้จกั ใน งั คมไทยมาเป็น
เ ลาช้านานแล้ และเนอ้ื า าระของคัมภรี ์ก็ได้รับการกลา่ อ้างถึงอยา่ งถูกต้องไม่ผิดเพ้ียน ร มถึงได้ ง่
อทิ ธพิ ลค ามเช่อื ต่อการ รา้ ง รรค์ รรณคดไี ทยไดเ้ ปน็ อยา่ งดี
สรุป
คัมภีร์ ิ ณุปุราณะเป็นคัมภีร์ปุราณะเล่ม �าคัญ �า รับไ ณพนิกาย ที่นับถือพระ ิ ณุ รือ
พระนารายณเ์ ปน็ เทพเจา้ งู ดุ คมั ภรี เ์ ลม่ นม้ี คี ามเกา่ ไมอ่ าจกา� นดอายไุ ดอ้ ยา่ งแนน่ อน า่ แตง่ ขนึ้ ในเ ลาใด
คมั ภรี ์ ิ ณปุ รุ าณะนน้ั ไดร้ บั การยอมรบั า่ เปน็ ารานกุ รมในเรอ่ื งคตคิ ามเชอ่ื ตา่ ง ๆ ใน งั คมอนิ เดยี โบราณ
โดยเฉพาะอย่างย่ิงค ามเชอื่ ทเี่ กี่ย กบั การ รา้ งโลก นรก รรค์ เท ดา อ ุร รี บรุ ุ บรรพบุรุ ผ้เู ปน็ ตน้
ก�าเนิดมนุ ย์ พระอาทิตย์ ดา เคราะ ์ต่าง ๆ ท ีป ม า มุทร น้าที่ของคนใน รรณะท้ัง 4 อา รม
4 พิธีกรรมต่าง ๆ ง ์ของก ัตริย์ ุริย ง ์และจันทร ง ์ เป็นต้น เน้ือ าในแต่ละ ่ นของคัมภีร์ ิ ณุ
ปรุ าณะมคี รบ มบรู ณต์ ามการจดั ระบบ “ปญั จลกั ณะ” ของคมั ภรี ป์ รุ าณะ คอื องคป์ ระกอบทงั้ 5 ประการ
ไดแ้ ก่ (1) รคฺ เรอื่ งการ ร้างโลก (2) ปรตฺ ิ รฺค เรื่องการ รา้ งโลกข้ึนใ ม่ ลงั จากโลกถูกท�าลาย ้ินแล้
(3) � เร่ือง ง ์ของเทพและฤ ีท้ัง ลาย (4) นฺมนฺตร เร่ือง มัยของพระมนุ มนุ ย์คนแรกของโลก
(5) � านุจริต เร่ืองประ ัติ ุริย ง ์ และจันทร ง ์ของอินเดีย เนื้อ าที่มีรายละเอียดครบถ้ นดังเช่น
ารานุกรมน้ี จงึ เ มาะ มกับที่ ิ ณปุ ุราณะไดช้ ่อื ่า “ปรุ าณรตั นะ” ท่แี ปล า่ แก้ แ ่งปุราณะทง้ั ลาย
อทิ ธพิ ลค ามเชอ่ื ของคมั ภรี ์ ิ ณปุ รุ าณะทมี่ ตี อ่ งั คมไทยมที งั้ ในดา้ นแน คดิ และการรบั อทิ ธพิ ล
จากเนื้อ า ใน ังคมไทยมีการบูชาเทพเจ้าของ า นาพรา มณ์-ฮินดู โดยจะเ ็นได้ตาม ถานที่ต่าง ๆ
ไดม้ กี าร รา้ งเทพเจา้ ของ า นาพรา มณ-์ ฮนิ ดปู ระดิ ฐานใ บ้ คุ คลทั่ ไปไดเ้ คารพบชู า ซง่ึ ในกลมุ่ เท รปู
ของเทพเจ้าทัง ลายน้ันก็มี “พระตรีมูรติ” โดยมีข้อ ันนิ ฐาน ่า ังคมไทยได้รับค ามเช่ือเรื่องเทพ
ทั้ง ามพระองค์ ผู้เป็นใ ญ่มาจากฝ่ายพรา มณ์ซ่ึงแน คิดนี้ได้มีปรากฏในคัมภีร์ ิ ณุปุราณะท่ี ่า
พระ ิ ณทุ รงเป็นองค์ร มของพระพร มและพระ ิ ะ อยา่ งไรกต็ ามค ามเช่อื ในพระตรมี รู ตใิ น งั คมไทย
นนั้ เปน็ ค ามเชอ่ื ทปี่ รากฏขนึ้ มาในเ ลาไมน่ านนกั และยงั ไดป้ รบั เปลย่ี นค ามเชอื่ เกยี่ กบั พระตรมี รู ตเิ ปน็
เทพเจ้าแ ่งค ามรกั โดยใน งั คมไทยพระตรมี รู ติทรงได้รับการเคารพบูชาในฐานะเทพเจา้ แ ง่ ค ามรัก
�า รับค ามคิดค ามเชื่อเกี่ย กับเร่ืองอ ตารของเทพเจ้าที่ปรากฏในคัมภีร์ ิ ณุปุราณะ
ก็มีปรากฏอยู่ใน ังคมไทยด้ ยเช่นเดีย กัน โดยเฉพาะอย่ายิ่งในด้านการปกครอง ตั้งแต่อดีต ังคมไทย
ได้มีค ามเช่ือ ่าพระม าก ัตริย์เป็นองค์อ ตารของเทพเจ้า ซึ่งค ามเชื่อนี้ปรากฏใ ้เ ็นอย่างชัดเจนใน
มัยอยธุ ยา นอกจากน้แี น ค ามคิดและค ามเชอ่ื เกยี่ กบั เรือ่ งโลกและจกั ร าลท่ีมีในคัมภีร์ ิ ณุปรุ าณะ
กไ็ ด้ ง่ อทิ ธพิ ลตอ่ ค ามคดิ ค ามเชอื่ ของคนไทย โดยเ น็ ไดจ้ ากเนอ้ื าใน รรณคดไี ทย คอื ไตรภมู พิ ระร่ ง
ร มถึงค ามเช่ือเกี่ย กับเทพเจ้าในคัมภีร์ ิ ณุปุราณะก็ได้ ่งอิทธิพลไปยังการ ร้าง รรค์ รรณคดีไทย
ดังจะเ ็นไดจ้ าก รรณคดีไทยเร่ือง อนริ ุทธคา� ฉนั ท์ และลลิ ิตนารายณ์ บิ ปาง
528
บรรณำนกุ รม
ภำ ำไทย
กรณุ กุ ล ย. (2543). ฒั นธรรม มั พันธ์: ไทย-อินเดีย. กรงุ เทพ : ย ม.
. (2547). ภำรต ทิ ยำ: ค ำมรู้เร่อื งอินเดยี ทำง ฒั นธรรม. กรงุ เทพ : ย ม.
กุ มุ รก มณ.ี (2549). กำร เิ ครำะ ์ รรณคดไี ทยตำมทฤ ฎี รรณคดี นั กฤต. พมิ พค์ รง้ ที่ 2 กรงุ เทพ
ภ ค ชิ ภ ต น ก คณ โบร ณคดี ม ิทย ลย ลิ ป กร.
จ� ล ง รพดนึก. (2530). ประ ัติ รรณคดี ัน กฤต. กรุงเทพ : ภ ค ิช ภ ต น ก
คณ โบร ณคดมี ิทย ลย ลิ ป กร.
จิรพฒน์ ปร พนธ์ ิทย , บรรณ ธกิ ร. (2546). พระตรมี ูรต.ิ กรุงเทพ : เท ถ น โบ ถพ์ ร มณ์.
จริ พฒน์ ปร พนธ์ ิทย . (2547). “ ิทธพิ ลข ง น พร มณ์ในปร เท ไทยจ ก ลกฐ นก รจ รึก
แล รรณคดีไทยบ ง ่ น.” ำร ำรอินเดีย ึก ำ 9 (2547).
ชลด เรื งรก ์ลิขิต. (2547). รรณคดีอยุธยำตอนต้น: ลัก ณะร่ มและอิทธิพล. กรุงเทพ :
โครงก รเผยแพรผ่ ลง น ชิ ก ร คณ ก ร ตร์ จุ ลงกรณ์ม ิทย ลย.
. (2548). “เ น่ ์ข งบทล ครในเรื่ ง ุณรุท พร ร ชนิพนธ์ข งพร บ ท มเด็จ
พร พุทธย ดฟ้ จุ โลกม ร ช.” ใน นำฎย รรณคดี โม ร, 47-90. กรุงเทพ : บริ ท
มรินทร์พริ้นติ้งแ นด์พบลิชช่ิง จ� กด (ม ชน). (จดพิมพ์เน่ื งในก รปร ชุม ิช ก ร
ร ดบช ติเรื่ ง “เฉลิมบรมร ชกุม รี น ฏย รรณคดี โม ร”: ิทย ก รแ ่ง รรณคดี
ก รแ ดง โดยภ ค ิช รรณคดี ภ ค ิช ดนตรี แล คณ กรรมก ร ิจย คณ มนุ ย ตร์
ม ิทย ลยเก ตร ตร์ ร่ มกบ � นก รรณกรรมแล ปร ติ ตร์ กรม ิลป กรแล
ทิ ย ลยน ฏ ลิ ป ่ งท ง ถ บนบณฑิตพฒน ิลป์ กร ทร ง ฒนธรรม).
นพิ ทธ์ แยม้ เดช. (2558). “ ทิ ธพิ ลค มเช่ื ข ง น พร มณท์ ี่ ง่ ผลต่ ก ร ร้ ง รรค์ รรณคดไี ทย.”
ำร ำรมนุ ย ำ ตรแ์ ละ งั คม ำ ตร์ ม ำ ทิ ยำลยั รำชพฤก ์ 1, 3 (ตลุ คม 2558–มกร คม
2559).
นิย ด เ ล่ ุนทร. ไตรภูมพิ ระร่ ง: กำร กึ ำทมี่ ำ. พิมพค์ รง้ ท่ี 2. กรุงเทพ : แม่ค� ผ ง, 2543.
บ� รุง ค� เ ก. (2558). “ ิทธิพลข ง น พร มณ์- ินดูใน มยรตนโก ินทร์ต นต้น.” Veridian
E-Journal, Silpakorn University ฉบบภ ไทย ข มนุ ย ตร์ งคม ตร์ แล
ิลป 8, 2 (เดื นพฤ ภ คม– งิ คม): 2399-2421.
529
นงั อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนอ่ื งในงานประชมุ วิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
ปร จก ์ ปร ภ พทิ ย กร. (2529). เท ดำนุกรมใน รรณคด.ี กรุงเทพ : ย ม.
ป รชิ ต กณฑ ทรพย.์ (2559). “เท ร ช ใน รรณคดไี ทย มย ยธุ ย .”. ำร ำร ชิ ำกำรม ำ ทิ ยำลยั
รำชภฏั อตุ รดิตถ์ 11, 1 (มกร คม-มิถนุ ยน): 153-167.
ผ ขุ นิ ทร ธุ . (2546) “ตรมี รู ต.ิ ” ใน พระตรมี รู ต.ิ จริ พฒน์ ปร พนธ์ ทิ ย , บรรณ ธกิ ร. กรงุ เทพ :
เท ถ นโบ ถ์พร มณ.์
พร ครูปลดบุญทน ธีรงฺกุโร (จ� ป ท ง). (2558). “ ึก เปรียบเทียบตรีมูรติใน น พร มร์- ินดู
กบตรกี ยในพทุ ธ น ม ย น.” ทิ ย นพิ นธพ์ ทุ ธ ตรม บณฑติ ข ชิ น เปรยี บเทยี บ
บณฑิต ทิ ย ลย ม ิทย ลยม จุ ลงกรณร ช ทิ ย ลย.
พระรำชพิธี ิบ องเดือน. (2503).พร นคร: ิลปบรรณ ค ร.
มงกฎุ เกล้ เจ้ ยู่ , พร บ ท มเด็จพร . (2466). ลิลิตนำรำยณ์ ิบปำง. พร นคร: ิลป บรรณ ค ร.
. (2512). บอ่ เกดิ แ ่งรำมเกยี รต.ิ์ พมิ พค์ รง้ ท่ี 2. กรุงเทพ : งคก์ รค้ ข งครุ ุ ภ .
. (2513). บอ่ เกดิ รำมเกยี รต.ิ์ พร นคร: ลิ ปบรรณ ค ร.
. (2516). เทพเจ้ำและ งิ่ นำ่ ร.ู้ กรุงเทพ : ธรรมบรรณ ค ร.
มณปี น่ิ พร ม ทุ ธริ ก .์ (2551) ประ ตั ิ รรณคดี นั กฤต นครปฐม ภ ค ชิ ภ ไทย คณ ก ร ตร์
ม ทิ ย ลย ลิ ป กร.
ร ชบณฑิตย ถ น. (2544). พจนำนุกรม ัพท์ รรณคดีไทย มัย ุโขทัย : ไตรภูมิกถำ. กรุงเทพ :
ร ชบณฑิตย ถ น.
. (2546). พจนำนกุ รมฉบบั รำชบณั ฑติ ย ถำน พ. . 2542. กรุงเทพ : น นมบี คุ๊ พบลเิ คช่น .์
. (2550). พจนำนกุ รม พั ท์ รรณคดไี ทย มยั โุ ขทยั : อนริ ทุ ธคำ� ฉนั ท.์ กรงุ เทพ ร ชบณฑติ ย ถ น.
. (2552). พจนำนุกรม ัพท์ ำ นำ ำกล ฉบบั รำชบัณฑติ ย ถำน พิมพค์ รง้ ท่ี 3 กรุงเทพ :
ร ชบณฑิตย ถ น.
รื่นฤทย จจพนธุ.์ (2553). ค ำมร้ทู ั่ ไปทำงภำ ำไทย ตอนท่ี 3 รรณคดีไทย. กรงุ เทพ : โรงพิมพ์
ม ิทย ลยร มค� แ ง.
รลก ณ์ พบบรรจง. (2545). คมั ภีร์ก�ำเนดิ จักร ำล ำ ตร์แ ง่ ชี ติ . คณ มนุ ย ตร์ ม ิทย ลย
รนี ครนิ ทร โิ รฒ ปร นมติ ร.
530
รี ุรางค์ พูลทรัพย์. (2545). ประ ัติ ำ ตร์ภูมิปัญญำอินเดีย. กรุงเทพฯ: �านักพิมพ์ ม า ิทยาลัย
ธรรม า ตร์.
ภุ ัฒย์ เก ม รี, มอ่ มราช ง ์. (2554). “ ถาบนั พระม าก ตั รยิ ์กบั ประเท ไทย.” ใน นำมำนกุ รม
พระม ำก ตั รยิ ไ์ ทย. กรุงเทพฯ: มูลนิธิ มเด็จพระเทพรตั นราช ุดา.
�านักงานคณะกรรมการ ิจัยแ ่งชาติ. (2531). ำรัตถะปรัชญำอินเดีย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุ ภา
ลาดพร้า .
า� เนยี ง เลื่อมใ . (2553). ม ำ ั ตอุ ทำน เลม่ 1. กรงุ เทพฯ: นิตธิ รรมการพิมพ.์
ภุ าพร พลายเล็ก. (2557). “การ ึก าเปรยี บเทยี บเรือ่ งจักร าล ิทยาในคัมภรี ์ ิ ณปุ ุราณะและไตรภูมิ
พระร่ ง.” ิทยานิพนธ์ปริญญาดุ ฏีบัณฑิต าขา ิชาภา า ัน กฤต บัณฑิต ิทยาลัย
ม า ทิ ยาลัย ิลปากร.
. (2558). “ก�าเนิดจักร าลในคัมภีร์ ิ ณุปุราณะ: การผน กค ามเชื่อเพื่อเพิ่มค ามนับถือ
รัทธาในพระ ิ ณ.ุ ” รรณ ิทั น์ 15 (พฤ จิกายน): 1-29.
อดิ กั ด์ิ ทองบญุ . (2524). ปรชั ญำอนิ เดยี . กรุงเทพฯ: ราชบณั ฑติ ย ถาน.
อนุมานราชธน, พระยา. (2531). ร มเร่อื งเกยี่ กับรำมเกยี รต.ิ์ กรุงเทพฯ: องค์การค้าของครุ ุ ภา.
อกั รชนนี [นามแฝง]. (2553). ตอบ: บทค ามเรอื่ ง "พระบาท มเดจ็ พระเจา้ อยู่ ั กบั า นาพรา มณ-์
ฮนิ ดใู นประเท ไทย." จากกระดาน นทนา Hindu นทนา/ชมุ ชนคนรกั ...ฮนิ ด.ู เมอื่ 5 พฤ ภาคม
เข้าถึงได้จาก http://www.hindumeeting.com/forum/index.php?action=pro
file;u=10;sa=showPosts;start=1720
ภำ ำองั กฤ
Gupta Śrī munilāla. (1990). ŚrīviṣṇuPurāṇa. Gorakhapura: Gītāpresa.
Pushpendra Shastri. (1995). Introduction to Purāṇa. Rashtriya Sanskrit Sansthan.
Vettam Mani. (1975). Purāṇic Encyclopaedia: A comprehensive dictionary with
special reference to the epic and Purāṇic literature [1st ed. in English].
Delhi: Motilal Banarsidass.
Winternitz, Maurice. (1991). History of Indian Literature. Vol. II: Buddhist Literature
and Jaina Literature. Translated from the original German by S. Ketkar and
H. Khon. 3rd ed. Delhi: Munhiram Manoharlal Publishers Pvt Ltd.
531
นัง ือรวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เน่ืองในงานประชมุ วชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
532
การ ึก าเปรยี บเทียบพชื มนุ ไพรในคัมภรี จ์ รก มั ติ า
กับต�าราแพทยแ์ ผนไทย
A Comparative Study of Herbal Plants in Caraka Samḥ itā
and Thai Traditional Medicine Texts
ดร.อุเทน วงศส์ ถติ ย*์
U-tain Wongsathit
* อาจารยป์ ระจ�าภาควชิ าภาษาตะวนั ออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
533
นงั อื รวมบทความวจิ ัยและบทความทางวชิ าการ เนื่องในงานประชุมวชิ าการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทคดั ย่อ
บทค ามนี้เปน็ การ ึก าเปรียบเทียบพืช มนุ ไพรในคัมภีร์จรก มั ิตา กับต�าราแพทย์แผนไทย
มจี ดุ ประ งคเ์ พอื่ กึ าชอ่ื พชื มนุ ไพรในคมั ภรี จ์ รก มั ติ า ร มถงึ ธิ กี ารใชแ้ ละ รรพคณุ ของพชื มนุ ไพร
นนั้ เพอ่ื เปรยี บเทยี บการใชก้ บั ตา� ราแพทยแ์ ผนไทย โดย ธิ กี าร บื คน้ จากตน้ ฉบบั ตั บท นั กฤตแล้ นา� มา
เปรียบเทียบกับการใชพ้ ชื มุนไพรชนดิ เดีย กันท่ีใช้ในตา� ราแพทย์แผนไทย
การ กึ าพบพชื มนุ ไพรในคมั ภรี จ์ รก มั ติ าทง้ั มด 336 ชนดิ มพี ชื มนุ ไพรทม่ี ชี อ่ื ภา าไทย
มจี า� น น 232 ชนิด ยังไม่พบช่ือในภา าไทยจ�าน น 104 ชนดิ พชื มนุ ไพรในคมั ภีร์จรก มั ติ าเ ล่าน้นั
เมอื่ นา� มาเปรียบเทยี บการใช้ มนุ ไพรในตา� ราการแพทยไ์ ทย พบการใชจ้ �าน น 82 ชนิด พืช มุนไพรทพ่ี บ
การใช้มากท่ี ุดในตา� รับยาแพทยแ์ ผนไทย คือ 1. พริกไทย 2. แ ้ มู 3. ชะเอมเท 4. อบเชยตน้ และ
5. ะเดา
นอกจากนย้ี ังพบค ามเ มอื นและค ามต่าง ในการใชพ้ ืช มุนไพรในคมั ภรี ์จรก มั ติ ากับต�ารา
แพทย์แผนไทย มุนไพรท่ีใช้ ่ นใ ญ่มักมี รรพคุณเป็นไปในแน ทางเดีย กัน คัมภีร์จรก ัม ิตาซึ่ง
่ น น่ึงแต่งเป็นโ ลกร้อยกรอง ใ ้รายละเอียดในทาง รรพคุณได้น้อยก ่าต�าราแพทย์แผนไทยท่ี
่ นใ ญ่แต่งเป็นร้อยแก้ ซึ่งเ มาะแก่การพรรณนามากก ่า ในด้านการประกอบยาจะพบ ่าคัมภีร์
จรก ัม ิตามีการใช้เป็นยาเด่ีย จ�าน นมาก แต่ต�าราแพทย์แผนไทยนิยมใช้เป็นยาต�ารับ ่ นการใช้
่ นตา่ ง ๆ ของพืช มุนไพรน้นั พบ ่า แพทย์แผนไทยมีการใช้ ่ นตา่ ง ๆ ที่ ลาก ลายมากก ่าในคมั ภีร์
จรก มั ติ า อาจเป็นเพราะยคุ มัยทีต่ า่ งกันนบั พันปี
คำ� ส�ำคัญ : พืช มนุ ไพร, อายรุ เ ท, คมั ภรี จ์ รก ัม ติ า, แพทยแ์ ผนไทย
534
Abstract
This article aims to study names, therapies and properties of herbal plants in
the well-known medicine texts of India entitled Caraka Saṃhitā, originally written in
Sanskrit in order to compare with those in Thai traditional medicine texts.
The study shows 336 medicinal plants discovered in Caraka Saṃhitā, out of
which 232 have Thai names and 104 are not available in Thai. Among those herbal
plants, 82 are regularly engaged in Thai traditional medicine. The top 5 herbs frequently
found in Thai traditional medicine are namely; 1) Black pepper 2) Nut grass
3) Liquorice 4) Cinnamon and 5) Margosa tree.
It is noteworthy here that there are both similarity and difference between the
therapies of herbal plants in Caraka Saṃhitā and in Thai traditional medicine. In the
term of similarity, most of herbal plants are used in the same manners. Caraka Saṃhitā,
which was composed partly in verses, provides lesser details of herbal properties than
Thai traditional medicine texts, which was in proses. In the term of differences, the
therapy in Caraka Saṃhitā is mostly Mono-herbal. On the contrary, the Multi-herbal
therapy is prevalent in Thai traditional medicine texts. According to Thai traditional
medicine all parts of herbal plants are utilized, not like that in Caraka Saṃhitā, in which
only some parts are used. It is likely due to the difference of periods, i.e. nearly
millennium of years.
Keywords: Herbal plants, Ayurveda, Caraka Saṃhitā, Thai traditional medicine texts
535
นัง อื รวมบทความวิจัยและบทความทางวิชาการ เนือ่ งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
บทน�ำ
อายุรเ ท (Ayurveda) เป็น า ตรแ์ ขนง นึง่ ของอนิ เดียโบราณที่ ่าด้ ยการด�ารงชี ติ ใ ม้ ีอายุ
ยนื ยา ซง่ึ มอี ทิ ธิพลตอ่ ถิ ชี ี ิตของชา อนิ เดยี จ บจนถงึ ปจั จบุ นั ค�า ่า “อายุรเ ท” มาจากค�า นั กฤต ่า
อายุ ฺ + เ ท มคี าม มายตามพยญั ชนะ า่ “ า ตรแ์ ง่ ชี ติ ” ในปจั จบุ นั ใช้ มายถงึ การแพทยแ์ ผนโบราณ
ของอนิ เดยี และถกู ยอมรบั ในฐานะแพทยท์ างเลอื ก (Alternative Medicine) อายรุ เ ทของอนิ เดยี มปี ระ ตั ิ
ค ามเป็นมานับพันปี จัดเป็นอุปเ ท รือคัมภีร์ช้ันรองท่ีช่ ยเ ริมและอธิบายค ามในคัมภีร์อาถรรพเ ท
ใน ่ นท่ี า่ ด้ ยคาถารกั าโรคตา่ ง ๆ นอกจากเปน็ อปุ เ ทของอาถรรพเ ทแล้ อายรุ เ ทยงั ถอื า่ เปน็ คมั ภรี ์
ขยายค าม รือภา ยะของคัมภีร์ครโภปนิ ัทอีกด้ ย คัมภีร์อายุรเ ท ่ นใ ญ่มีเน้ือ ากล่า ถึง โรค,
าเ ตุ, อาการ, ยา และข้อปฏบิ ตั ติ า่ ง ๆ ายของ �านกั คดิ ของอายรุ เ ทมอี ยู่ 2 �านักคือ า� นกั ค ามคิด
ทางเ ช า ตร์ และ า� นกั ค ามคดิ ทาง ลั ย า ตร์ โดยมีคัมภีรจ์ รก มั ติ าและ ุ รตุ มั ิตาเป็นคมั ภรี ์
ลกั ของ า� นกั ทงั้ 2 โดยล�าดับ (Lochan, 2557: 23)
จรก ัม ิตาเป็น นึ่งในคัมภีร์อายุรเ ทท่ีเรียก ่า “พฺฤ ตฺตฺรยี” คือ คัมภีร์ที่ยิ่งใ ญ่ ามคัมภีร์
อันประกอบด้ ย จรก ัม ิตา, ุ รุต ัม ิตา, และ อั ฎางค ฤทย ัม ิตา คัมภีร์จรก ัม ิตาถือ ่าเป็น
คมั ภรี ์เกา่ แกท่ ี่ ุด ตา� นานกล่า า่ พระพร มเป็นผใู้ ก้ า� เนดิ อายุรเ ทขึน้ โดยแบง่ เปน็ ามกอง ( ฺกนฺธ) คือ
าเ ตุ (เ ต)ุ , อาการ (ลงิ ฺค) และ การรัก า (เอา ธ) ค ามรดู้ งั กลา่ ได้ถกู ถา่ ยทอดมา ่ทู า้ ทกั ะ ผูเ้ ปน็
ประชาบดี และ ู่เทพอั นิ , พระอนิ ทร์ และจากพระอินทร์ า ตร์นไี้ ดถ้ ูกถา่ ยทอด ูโ่ ลกมนุ ยโ์ ดยฤ ี
ภารท าชะ ซงึ่ ขอ้ นต้ี า่ งกบั ทเ่ี ลา่ ไ ใ้ น ุ รตุ มั ติ าท่ี า่ า ตรด์ งั กลา่ ไดถ้ กู ถา่ ยทอดจากพระอนิ ทร์ โู่ ลก
มนุ ยโ์ ดยเทพธนั นั ตริ จากนั้นฤ ีอาเตรยะ ปนุ ร ุ ผู้เป็น ิ ยแ์ ง่ ฤ ีภารท าชะได้ ืบทอด า ตรแ์ ง่
อายุรเ ท ต่อมาฤ ีท่านนี้ได้ อนอายุรเ ทแก่ ิ ย์ทั้ง 6 คน คือ อัคนิเ ะ, เภละ, ชตูกรณะ, ปรา ระ,
ารีตา และ ก ารปาณี ในบรรดา ิ ย์ทั้ง 6 คนนี้ ปรากฏ า่ อัคนเิ ะเปน็ ผทู้ ่ีมีค ามเฉลยี ฉลาดที่ ดุ
และได้แต่งคัมภีร์จรก ัม ิตาน้ีข้ึนเพ่ือประโยชน์แก่มนุ ยชาติ แต่อย่างไรก็ตามคัมภีร์นี้กลับได้ช่ือ ่า
“จรก ัม ิตา” ตามชื่อของจรกะ ผู้เรียบเรียงคัมภีร์นี้ในภาย ลัง ซึ่งจรกะได้เพิ่มเติมงานของท่านอื่น ๆ
เขา้ ในงานเดมิ ของอคั นเิ ะด้ ย คมั ภรี จ์ รก มั ติ านม้ี เี นอ้ื าแบง่ เปน็ 8 ถาน รอื บรรพ จา� น น 120 บท
คัมภีร์จรก ัม ิตามีคัมภีร์อธิบายค ามท่ี �าคัญคือ อายุรเ ททีปิกา แต่งโดยจักรปาณิทัตตะ (Ayurveda
Dipika of Cakrapani Datta) ซึง่ แต่งขนึ้ ในรา คริ ต์ ต รร ที่ 11
536
ยคุ สมัยทแ่ี ต่ง
คัมภีร์จรก ัม ิตาได้แ ดงมูลเ ตุของการแต่งขึ้นตามขนบอินเดียโบราณท่ีจะต้องอ้างถึงเ ล่า
เทพเจ้าและฤ ีไ ใ้ นบรรพท่ี 1 ่า เ ล่าฤ ใี นเทอื กเขา ิมาลยั ไดป้ ระชุมกนั ด้ ย ัตถปุ ระ งคท์ ีจ่ ะบรรเทา
ค ามทกุ ขท์ รมานของมนุ ย์ ซง่ึ มผี ลทา� ใ ม้ ชี ี ติ ทยี่ นื ยา และแขง็ แรงอนั เปน็ งิ่ ทที่ กุ คนปรารถนา ฤ เี ลา่ นนั้
ไดต้ ดั นิ ใจทจี่ ะแ ดงถงึ ขนั้ ตอนตา่ ง ๆ ทจี่ ะนา� ใ บ้ รรลเุ ปา้ มายการมอี ายยุ นื ยา เนอ้ื าของจรก มั ติ าได้ถกู
แ ดงในรูปแบบการถาม-ตอบระ ่าง ิ ย์คอื อคั นเิ ะกับอาจารย์คอื อาเตรยะ
ชอื่ ของอาเตรยะและอคั นเิ ะไม่ได้ช่ ยในการก�า นดอายเุ ลย เพราะอย่างชอื่ อาเตรยะกไ็ ด้มา
จากช่อื อตั ริ (อตฺริ) มายค ามถงึ ผู้เปน็ เทือกเถาเ ล่ากอแ ง่ อตั ริ ซงึ่ อาจ มายถงึ า ก รือผ้ตู ดิ ตามแ ่ง
อัตริก็ได้ ทั้งชื่อนี้ก็ปรากฏใน ลายคัมภีร์ต้ังแต่ฤคเ ทลงมา คัมภีร์จรก ัม ิตาก็ใ ้รายละเอียดเพียง ่า
อาเตรยะ ปนุ ร ุ นเี้ ปน็ บตุ รของจนั ทรภาค (จนทฺ รฺ ภาค ( .ู 13, 99)) และ ไดเ้ ดนิ ทางไปยงั เมอื งกามปลิ ยะ
(กามปิลฺย) ( ิ. 3, 3) เมือง น่ึงท่ีต้ังอยู่บนแม่น�้าคงคาเท่านั้น ่ นช่ือ “อัคนิเ ะ” นั้นพบในอาทิ
บรรพโ ลกที่ 5, 107 และ 5, 108 ของม าภารตะในฐานะผทู้ ไ่ี ดร้ บั ค ามรแู้ ง่ ธนรุ ทิ ยา ( า ตรแ์ ง่ ธน)ู
จากฤ ภี รท าชะ (ภรทฺร าช) แต่ก็เปน็ การยากทจี่ ะเชอื่ มโยงบคุ คลผนู้ ี้กบั อัคนเิ ะในจรก ัม ติ า
ดังน้ันนัก ิชาการ ่ นใ ญ่ ันนิ ฐานไ ้ก ้าง ๆ ่า คัมภีร์จรก ัม ิตาน่าจะถูกแต่งข้ึนในรา
ต้นคริ ตกาล เพราะคัมภีร์อายุรเ ททีปิกาของจักรปาณิทัตตะและคัมภีร์ตัต จันทริกาของ ิ ทา เ นา
ที่แตง่ ขนึ้ ในรา คริ ต์ ต รร ท่ี 12 ได้อ้าง า่ “ปตญั ชลี” (ปตญฺชล)ิ นกั ไ ยากรณ์ผู้แต่งคัมภีร์อั ฏาธยายี
ได้ปรับปรุงแก้ไขคัมภีร์จรก ัม ิตา ซึ่งปตัญชลีนี้มีอายุอยู่ในรา ต้นคริ ตกาล ่ นคัมภีร์พระไตรปิฎก
ฉบบั ภา าจนี ไดก้ ลา่ ถงึ ชอ่ื เท ์ โล เกยี (Teh lo kia) า่ เปน็ แพทยท์ มี่ ชี อ่ื เ ยี งในราช า� นกั ของพระเจา้ กนิ กะ
(ค. . 120-144) แ ่งราช ง ์กุ าณะของอินเดีย ซึ่งนัก ิชาการบางท่านได้เทียบ ่าชื่อน้ีน่าจะถอดเป็น
นั กฤต า่ “จรกะ” และคง มายถงึ ทา่ นผเู้ รยี บเรยี งคมั ภรี จ์ รก มั ติ านน่ั เอง (Ray and Gupta, 1965:2)
แตค่ มั ภรี จ์ รก มั ติ าจะตอ้ งแตง่ ขน้ึ อยา่ งชา้ ที่ ดุ ไมเ่ กนิ ค. . 600 กอ่ นทท่ี ฤฒพละ (ทฤฺ ฒพล) จะแตง่ คมั ภรี ์
ขยายค ามขึน้ ในคริ ต์ รร ท่ี 9
คมั ภรี จ์ รก มั ติ าเปน็ คมั ภรี ์ า� คญั ใน ายของอายรุ เ ททมี่ คี ามเกา่ แกก่ า่ คมั ภรี อ์ ายรุ เ ททงั้ มด
เป็นต้นแบบใ ้กับคัมภีร์อ่ืน ๆ แน คิดต่าง ๆ ท่ีปรากฏในจรก ัม ิตาได้รับ ืบต่อในคัมภีร์ในยุคต่อมา
โดยเฉพาะปรัชญาและการจัด ม ด มู่ค ามรู้ ( ิภาค ิทฺยา) ตั อย่างเช่น การจัดที่คัมภีร์จรก ัม ิตาได้
จา� แนกอายรุ เ ท เป็น 8 าขา ดังค าม า่
“อายรุ เ ทน้นั มอี งค์ 8 กล่า คือ (1) กายจกิ ิตฺ า : การรกั าบ�าบัด,
(2) ลกฺย : า ตร์แ ่งโรคเฉพาะทางตา, ู, จมูก, ปาก, คอ และอ่ืน ๆ,
(3) ลฺยาป รตฺฤก : ัลย า ตร์, (4) ิ ครไ โรธิกปฺร มน : พิ ิทยา,
537
นงั อื รวมบทความวจิ ยั และบทความทางวิชาการ เนอื่ งในงานประชุมวิชาการ ครบรอบ 65 ปี คณะโบราณคดี
(5) ภูต ิทยา : ค ามรู้เกีย่ กับอาการทางจติ , (6) เกามารภฤตยฺ : กุมารเ ช,
(7) ร ายน : การฟืน้ ฟูค ามอ่อนเยา ,์ (8) าชกี รณ : ค ามรู้ า� รบั การเพมิ่
ค ามแข็งแรง” ( .ู 30, 28)
ค ามรู้ด้านอายุรเ ทน้ีต่อมาได้แพร่กระจายไป ู่ภูมิภาคอื่น ๆ ท่ีได้รับอารยธรรมของอินเดีย
ร มทั้งดนิ แดนของรฐั โบราณในเอเชียตะ นั ออกเฉียงใต้ เกดิ การผ มผ านกบั ค ามร้กู ารใช้ มนุ ไพรของ
คนในพ้ืนทท่ี า� ใ ้ า ตร์การแพทย์พน้ื บ้านมีปรชั ญาและแน คิดที่เป็นระบบระเบยี บมากขน้ึ ร มทง้ั กรณี
ของแพทยแ์ ผนไทย
การแพทย์แผนไทยเป็นมรดกทาง ัฒนธรรมท่ีทรงคุณค่ายิ่ง มีการต้ังข้อ ังเกตถึงที่มาของการ
แพทย์แผนไทยไ ้ ลายแน ทาง นัก ิชาการ ่ นใ ญ่เช่ือ ่ามีพัฒนาการมาจากการเผยแพร่ า นาจาก
ประเท อินเดียทง้ั พรา มณแ์ ละพทุ ธตั้งแตโ่ บราณ โดยน�าทฤ ฎีการแพทย์อายรุ เ ทเขา้ มาผ มผ านกบั
ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ เพม่ิ เตมิ ด้ ยกระแ ฒั นธรรมจากภายนอกเชน่ จนี และเปอรเ์ ซยี ดงั จะเ น็ ไดจ้ ากตา� รา
พระโอ ถพระนารายณ์ เอก ารต�ารายาของไทยที่เก่าท่ี ุดซึ่งเชื่อ ่าแต่งขึ้นในรัช มัยของพระนารายณ์
ม าราช (พ. . 2199–2231) ซงึ่ ปรากฏ า่ ในคณะแพทย์ ล ง มแี พทยต์ า่ งชาตปิ ระกอบด้ ย แพทยจ์ นี ชอ่ื
ขุนประ ิทธิโอ ถจีน, แพทย์อินเดียช่ือ ออกพระ ิทธิ ารพรา มณ์เท และแพทย์ฝร่ังชื่อ มอเม ี
พระแพทยโ์ อ ถฝร่ัง (ชยันต์ พิเชียร นุ ทร, แม้นมา ช ลิต และ เิ ชยี ร จีร ง ,์ 2558: ค�าน�า)
จากค าม �าคัญของคัมภีร์จรก ัม ิตาดังกล่า ข้างต้น กอปรกับท่ีต�าราแพทย์แผนไทยได้รับ
อทิ ธพิ ลมาจากค ามรดู้ า้ นอายรุ เ ทของอนิ เดยี ผู้ จิ ยั จงึ นใจ กึ า เิ คราะ พ์ ชื มนุ ไพรในคมั ภรี จ์ รก มั ติ า
โดย ิธีการ ืบค้นชื่อพืช มุนไพรจากต้นฉบับตั บท ัน กฤต แล้ แปล รุปจากตั บท ัน กฤตเพื่อ า ิธี
การใชแ้ ละ รรพคณุ ยาทใี่ ชร้ กั าโรค จากนน้ั เิ คราะ ์ าชอื่ ทิ ยา า ตรแ์ ล้ นา� มา บื คน้ ชอ่ื ในภา าไทย
แล้ คดั เลอื กนา� มาเปรยี บเทยี บกบั การใชพ้ ชื มนุ ไพรชนดิ เดยี กนั ทใี่ ชใ้ นตา� ราแพทยแ์ ผนไทย เพอ่ื เปน็ การ
ร้างองค์ค ามรเู้ กยี่ กับอายุรเ ทของอนิ เดียเชอ่ื มโยงกับการแพทยแ์ ผนไทย อกี ทง้ั ข้อมูลการใช้ มุนไพร
ชนดิ เดยี กนั ใน องภมู ภิ าคทมี่ ปี ระ ตั กิ ารใชท้ ยี่ า นาน ยอ่ มเปน็ ลกั ฐานทชี่ ่ ยยนื ยนั รรพคณุ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี
อาจนา� มาพัฒนาองค์ค ามรใู้ น า ตรด์ งั กล่า ได้ในอนาคต
538