385
ภาคผนวก
หมายเหตุ ภาคผนวกประกอบด้วย
1. สื่อการเรียนรู้ เช่น ใบความรู้ ใบกิจกรรม ใบงาน แบบฝึกทักษะ เป็นต้น (เฉพาะที่
ปรากฎในแผนการจัดการเรียนรนู้ ี้)
2. เครื่องมือที่ใช้วัดผลประเมนิ ผล เช่น แบบทดสอบก่อนเรยี น / หลงั เรยี น แบบประเมิน
ทักษะกระบวนการ แบบประเมินคุณลักษณอันพึงประสงค์ เป็นต้น (เฉพาะที่ปรากฎในแผนการจัด
การเรียนรนู้ ี้)
3. เกณฑก์ ารวดั ผลประเมนิ ผล เชน่ เกณฑ์การใหค้ ะแนนด้านทักษะและกระบวนการทาง
คณิตศาสตร์ เกณฑ์การให้คะแนนด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เป็นต้น (เฉพาะที่ปรากฎใน
แผนการจดั การเรยี นรู้นี้
386
ใบงานท่ี 4.1
เรอื่ ง ระบบภูมคิ มุ้ กนั
คำชแี้ จง: จงตอบคำถามเก่ยี วกับระบบภูมิค้มุ กนั ตอ่ ไปน้ี
1. จงยกตัวอย่างและอธบิ ายการต่อตา้ นทางกายวิภาคและการต่อตา้ นทางสารเคมใี นร่างกาย
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................... ......
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
2. จากภาพเซลลเ์ ม็ดเลือดขาวข้างต้น มีการทำลายเชื้อโรคทเี่ ข้าสู่ร่างกายดว้ ยวธิ ีใด และมกี ลไก
อย่างไร
.........................................................................................................
.........................................................................................................
.........................................................................................................
.........................................................................................................
.........................................................................................................
.........................................................................................................
........................................................................................... ..............
3. จงอธิบายกลไกการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ เมื่อได้รับแอนติเจนที่มีความจำเพาะ
เข้าสู่ร่างกาย
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
387
ใบงานที่ 4.1
เรอ่ื ง ระบบภูมิคุ้มกัน
คำชี้แจง: จงตอบคำถามเก่ียวกบั ระบบภูมิคมุ้ กันต่อไปนี้
1. จงยกตัวอยา่ งและอธบิ ายการต่อต้านทางกายวิภาคและการต่อตา้ นทางสารเคมีในร่างกาย
ตัวอย่างการต่อต้านทางกายวิภาค เช่น เยื่อเมือกที่พบตามอวัยวะภายในของร่างกายจะทำหน้าท่ี
ดักจับเช้ือโรคและสิ่งแปลกปลอมดว้ ยการเคลือบ และบางอวัยวะจะพบซิเลียทำหน้าที่พักโบกเชื้อโรค
และสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกาย ผิวหนังมีสารเคราตินป้องกันเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่
รา่ งกาย มตี ่อมเหง่อื และต่อมไขมันทห่ี ลังสารทำให้มสี ภาวะเป็นกรด ซงึ่ ไม่เอ้ืออำนวยต่อการเจริญของ
เชื้อโรคบางชนิด ตัวอย่างการต่อต้านทางสารเคมีในร่างกาย เช่น น้ำตาที่สร้างจากต่อมน้ำตา
เอนไซม์ไลโซโซม ซึ่งทำลายผนงั เซลล์ของแบคทเี รีย น้ำลายที่สร้างจากต่อมน้ำลายมฤี ทธิ์เป็นเบสและ
มีเอนไซมไ์ ลโซโซม ซงึ่ ช่วยยับยัง้ การเจริญเติบโตหรือทำลายเช้ือจลุ ินทรีย์ เหงื่อทส่ี ร้างจากต่อมเหงื่อมี
ฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งทำลายแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิด น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารประกอบด้วยกรด
ไฮโดรคลอรกิ ซง่ึ ทำลายแบคทเี รียบางชนดิ
2. จากภาพเซลล์เม็ดเลือดขาวข้างต้น มีการทำลายเช้ือโรคท่เี ขา้ สูร่ ่างกายดว้ ยวธิ ีใด และมีกลไก
อยา่ งไร
จากภาพเป็นเซลลเ์ ม็ดเลือดขาวชนิดโมโนไซต์
มนี วิ เคลียสรปู ร่างคล้ายเกอื กม้า มีการทำลายเชือ้ โรคดว้ ย
วิธฟี าโกไซโทซิส โดยการโอบล้อมเชอ้ื โรคแล้วกลายเปน็ ฟาโกโซม
ภายในเซลล์ จากนั้นไลโซโซมจะเขา้ มารวมและยอ่ ยสลายเชอ้ื โรค
ภายในฟาโกโซม กอ่ นจะปล่อยซากเช้อื โรคหลังการย่อยออกนอกเซลล์
ด้วยวธิ ีเอกโซไซโทซสิ
3. จงอธิบายกลไกการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ เมื่อได้รับแอนติเจนที่มีความจำเพาะ
เขา้ สู่รา่ งกาย
เม่ือร่างกายไดร้ ับแอนตเิ จนของเช้ือโรคที่มีความจำเพาะ เซลล์เมด็ เลอื ดขาวกลุ่มฟาโกไซต์ (นิวโทรฟิล
โมโนไซต)์ จะเข้าทำลายเชื้อโรค ทำให้แอนติเจนของเช้ือโรคปรากฏบนผิวเม็ดเลือดขาวกลุ่มฟาโกไซต์
ซึ่งจะส่งสัญญาณกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ชนิดเซลล์ทีผู้ช่วย จากนั้นเซลล์ทีผู้ช่วยจะส่ง
สัญญาณต่อไปยังเซลล์บีให้พัฒนาเป็นเซลล์พลาสมาและสร้างแอนติบอดีเข้าทำลายเชื้อโรค อีกทั้ง
เซลล์พลาสมาบางเซลล์จะพัฒนาเป็นเซลล์เมมอรีที่มีความสามารถจดจำชนิดของแอนติเจนที่เข้าสู่
ร่างกายได้ ซึ่งหากร่างกายได้รับแอนติเจนชนิดเดิม เซลล์พลาสมาจะสร้างแอนติบอดีเข้าทำลายเช้ือ
โรคไดท้ ันที
แบบประเมินผังมโนทศั น์ 388
คำชแี้ จง ให้ผ้สู อนประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน แล้วขดี ลงในช่องท่ีตรงกบั ระดบั คะแนน 1
ระดบั คะแนน
ลำดับที่ รายการประเมนิ 432
1 ความสอดคล้องกบั จุดประสงค์
2 ความสอดคล้องกบั เนอ้ื หา
3 ความคิดสรา้ งสรรค์
4 ความตรงต่อเวลา
รวม
ลงชื่อ…………………………………………………………. ผู้ประเมิน
………../………………../………………
389
เกณฑ์การประเมนิ ผังมโนทัศน์
ประเด็นท่ี 4 ระดับคะแนน 2 1
ประเมนิ 3
1. ความ ผลงานสอดคลอ้ งกบั ผลงานสอดคลอ้ งกับ ผลงานสอดคลอ้ งกับ ผลงานไมส่ อดคล้องกับ
สอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงคท์ ุกประเดน็ จดุ ประสงค์เปน็ ส่วนใหญ่ จุดประสงคบ์ าง จดุ ประสงค์
จุดประสงค์ ประเด็น
2. ความถกู ต้อง เนื้อหาสาระของผลงาน เน้ือหาสาระของผลงาน เนอื้ หาสาระของ เนื้อหาสาระของผลงาน
ผลงาน ถูกตอ้ งบาง ไม่ถูกต้องเป็นสว่ นใหญ่
ของ เนื้อหา ถูกต้องครบถว้ น ถูกต้องเปน็ ส่วนใหญ่ ประเดน็
3. ความคิด ผลงานแสดงถงึ ความคิด ผลงานแสดงถงึ ความคดิ ผลงานมีความ ผลงานไมม่ ีความ
สร้างสรรค์ น่าสนใจ และไม่แสดง
สรา้ งสรรค์ แปลกใหม่ สรา้ งสรรคแ์ ปลกใหม่ แต่ นา่ สนใจ แต่ ยงั ไม่มี ถงึ แนวคิด แปลกใหม่
และเปน็ ระบบ ยงั ไม่เปน็ ระบบ แนวคิดแปลกใหม่
4. ความตรงต่อ สง่ ชิน้ งานภายในเวลาที่ ส่งชนิ้ งานชา้ กวา่ เวลาท่ี สง่ ช้ินงานชา้ กว่าเวลา สง่ ชิ้นงานชา้ กว่าเวลาที่
เวลา กำหนด กำหนด 1 วนั ที่ กำหนด 2 วัน กำหนด 3 วันขึ้นไป
เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดมี าก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ำกว่า 8 ปรบั ปรงุ
แบบประเมนิ การนำเสนอผลงาน 390
คำช้ีแจง : ใหผ้ ูส้ อนสังเกตพฤตกิ รรมของนักเรียนในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในชอ่ งทตี่ รงกบั ระดบั คะแนน
ลำดับที่ รายการประเมิน ระดบั คะแนน
321
1 เนอื้ หาละเอยี ดชัดเจน
2 ความถกู ตอ้ งของเนอ้ื หา
3 ภาษาที่ใชเ้ ขา้ ใจง่าย
4 ประโยชน์ที่ไดจ้ ากการนำเสนอ
5 วธิ ีการนำเสนอผลงาน
ลงชอ่ื …………………………………………………………. ผ้ปู ระเมิน
………../………………../………………
เกณฑ์การใหค้ ะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณช์ ดั เจน ให้ 3 คะแนน
ผลงานหรือพฤตกิ รรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นสว่ นใหญ่ ให้ 2 คะแนน
ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ บางสว่ น ให้ 1 คะแนน
เกณฑก์ ารตัดสนิ คณุ ภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคณุ ภาพ
14-16 ดมี าก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ำกวา่ 8 ปรบั ปรุง
391
แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงาน
กลมุ่
คำชแี้ จง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขดี ลงในชอ่ งทตี่ รงกับระดบั คะแนน
ลำดบั ช่ือ–สกลุ การแสดง การยอมรับ การทำงาน ความมีน้ำใจ การมี รวม
ท่ี ของนกั เรยี น ความคิดเห็น ฟงั คนอ่นื ตามท่ีได้รบั 321 สว่ นรว่ มใน 15
มอบหมาย การปรับปรงุ คะแนน
1. นายกรวกิ นอ้ ยยะ 321 321 ผลงานกลุ่ม
2. นายนทั ธพงศ์ สนุ ทรชัย 321
3. นายบัญญวตั ปอ้ มเชียงพิณ 321
4. นายวงศธร แสงนิกุล
5. นายภาณุพงศ์ พรมสชี า
6. นายพัสกร พันละเกตุ
7. นายฑนวฒั น์ มัน่ ศกั ดิ์
8. นายสริ ภพ แซ่ภู่
9. นายนราธิป เสนจนั ทร์ฒิไชย
10. นายปยิ วฒั น์ รอดชมภู
11. นายอนชุ า สลาพมิ พ์
12. นายจณิ ภทั ร สงิ หเสน
13. นายชนาธปิ กำพระบาง
14. นายรชต บตุ รโคตร
15. นายชนุวรรธน์ อภิรักษเ์ มธาวงศ์
16. นายปราบปวร ปทั มสนธิ์
17. นายกิตตภิ ัฏ เจอื จนั ทึก
18. นายสมุ ติ ร มาตสุทธิ์
19. น.ส.วันนิสา กิตตกิ ุลธร
20. น.ส.ญาณภทั ร เทศศรีเมือง
21. น.ส.นภสั รา รตั นคุณ
22. น.ส.สุชาวดี ผาระนตั ร
23. น.ส.พรทิพ เตนากลุ
24. น.ส.พรนภสั ชัยอาวธุ
25. น.ส.วาสนา ปติ ะสตุ
26. น.ส.นราพร พุฒฝอย
27. น.ส.วนันพร ตนั นารตั น์
28. น.ส.ศลษิ า มลู มงั่
29. น.ส.ศิรภสั สร ดอนชุม
30. น.ส.กัณฐิกา อินทะวงศ์
ลำดบั ชื่อ–สกลุ การแสดง การยอมรบั การทำงาน ความมีนำ้ ใจ การมี 392
ท่ี ของนกั เรียน ความคดิ เห็น ฟงั คนอื่น ตามทไี่ ด้รบั 321 สว่ นรว่ มใน
มอบหมาย การปรับปรุง รวม
31. น.ส.ณัฐวรา ชัยเดช 321 321 ผลงานกลมุ่ 15
32. น.ส.ธญั มาส อะตะมะ 321 คะแนน
33. น.ส.ปาณิศา โฉมกระโทก 321
34. น.ส.ศุภดิ า นามบรุ ี
35. น.ส.อธชิ า คำภมู ี
36. น.ส.มาตา บทไธสง
37. น.ส.ณฏั ฐณิชา บญุ ตาระวะ
38. น.ส.พรพิชญ์ เพ็งคำศรี
39. น.ส.ชาลสิ า หลา้ ก่ำ
40. น.ส.ภัทรนันท์ ภนู าปี
41. น.ส.ลลนา เข็มเลศิ
42. น.ส.มทุ ติ า คณะโท
43. น.ส.ธนัญญา นามวงษ์
44. น.ส.พัดชา วงไชยยา
45. น.ส.อาภาสิริ ฟุ้งกล่นิ
ลงชอ่ื …………………………………………………………. ผปู้ ระเมิน
………../………………../………………
เกณฑ์การใหค้ ะแนน
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤติกรรมบ่อยคร้ัง ให้ 2 คะแนน
ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤตกิ รรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตดั สนิ คณุ ภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ำกวา่ 8 ปรับปรุง
แบบประเมนิ การปฏิบตั ิการ
393
คำช้แี จง : ให้ผ้สู อนประเมินการปฏิบัติการของนักเรยี นตามรายการท่ีกำหนดแล้วขดี ✓ลงในชอ่ งทีต่ รงกับระดบั คะแนน
ลำดับท่ี รายการประเมิน ระดบั คะแนน
4321
1 การปฏิบตั ิการทดลอง
2 ความคล่องแคลว่ ขณะปฏิบตั ิการ รวม
3 การนำเสนอ
ลงช่อื ................................................... ผูป้ ระเมิน
................./................../..................
เกณฑ์การประเมินรายงาน
ประเด็นท่ปี ระเมิน 4 ระดับคะแนน 2 1
3
1. การปฏิบัติการ ทำตามทดลองตามขั้นตอน ทำตามทดลองตามขั้นตอน ต้องให้ความช่วยเหลือบ้าง ต้องให้ความช่วยเหลืออยา่ ง
ทดลอง และใชอ้ ุปกรณ์ได้อยา่ งถกู ต้อง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง ในการทำการทดลอง และ มากในการทำการทดลอง
ถูกต้อง แต่อาจต้องได้รับ การใชอ้ ุปกรณ์ และการใช้อุปกรณ์
คำแนะนำบา้ ง
2. ความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่วในการทำ มีความคล่องแคล่วในการ ข า ด ค ว า ม ค ล ่ อ ง แ ค ล่ ว ทำการทดลองเสร็จไม่
ขณะปฏิบัติการ การทดลองโดยไม่ตอ้ งได้รบั คำ ทำการทดลองแต่ต้องได้รับ ในขณะการทำการทดลอง ทันเวลา และทำอุปกรณ์
ชแ้ี นะ และทำการทดลองเสรจ็ คำแนะนำบ้าง และทำการ จึงทำการทดลองเสร็จไม่ เสียหาย
ทันเวลา ทดลองเสรจ็ ทันเวลา ทันเวลา
3. การบันทึก สรุป บันทกึ และสรุปผลการทดลอง บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คำแนะนำในการ ต้องให้ความช่วยเหลืออยา่ ง
และการนำเสนอ ไดถ้ ูกต้อง รัดกมุ นำเสนอผล ทดลองได้ถูกต้อง แต่การ บันทึก สรุป และนำเสนอ มากในการบันทึกสรุป และ
ผลการทดลอง การทดลองเป็นขน้ั ตอนชดั เจน นำเสนอผลการทดลองยงั ไม่ ผลการทดลอง นำเสนอผลการทดลอง
เปน็ ข้นั ตอน
เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
11-12 ดีมาก
9-10 ดี
6-8 พอใช้
ต่ำกว่า 6 ปรบั ปรุง
394
แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 21
โดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E
รหัสวิชา ว32242 วิชา ชีววิทยาเพิ่มเติม 4 ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 5
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 15 เรอ่ื ง ระบบภมู คิ ้มุ กัน เวลา 12 ชวั่ โมง
แผนการจัดการเรียนรู้เรอื่ ง ภมู ิคุ้มกนั แบบจำเพาะ เวลา 1 ชว่ั โมง
ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564 ผูส้ อน นางสาวศศิธร นันทอง
กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนปทุมเทพวทิ ยาคาร
_________________________________________________________________________
1. สาระชีววิทยา
เข้าใจการย่อยอาหารของสัตว์และมนุษย์ การหายใจและการแลกเปลี่ยนแก๊สการลำเลียง
สารและการหมุนเวียนเลือด ภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขับถ่าย การรับรู้และการตอบสนอง การ
เคลื่อนท่ี การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต ฮอร์โมนกับการรักษาดุลยภาพ และพฤติกรรมของสัตว์
รวมทัง้ นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
ผลการเรียนรู้
สืบค้นข้อมูล อธิบาย และเปรียบเทียบกลไกการต่อต้านหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมแบบไม่
จำเพาะและแบบจำเพาะ
2. สาระสำคญั
กลไกที่ร่างกายต่อต้านหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบจำเพาะและแบบไม่
จำเพาะ ต่อมไขมัน ตอ่ มเหง่ือ ที่ผวิ หนงั ช่วยปอ้ งกันและยับยั้งการเจริญของจุลินทรยี บ์ างชนดิ และเมื่อ
เชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลและโมโนไซต์จะมีการ
ต่อต้านทำลายสิ่งแปลกปลอมโดยกระบวนการฟาโกไซโทซิส ส่วนอีโอซิโนฟิลเกี่ยวข้องกับการทำลาย
ปรสิต เบโซฟิลเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาการแพ้ ซึ่งเป็นการต่อต้านหรือทำลายสิ่งแปลกปล อมแบบไม่
จำเพาะ การต่อต้านหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมแบบจำเพาะจะเกี่ยวข้องกับการทำงานของลิมโฟไซต์
ชนดิ เซลล์บแี ละเซลลท์ ี
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K) นักเรียนสามารถอธิบายกลไกการต่อต้านหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมแบบ
จำเพาะได้
395
3.2 ด้านทักษะและกระบวนการ (P) นกั เรยี นสามารถปรยี บเทียบกลไกการต่อต้านหรือทำลายสิ่ง
แปลกปลอมแบบจำเพาะและไมจ่ ำเพาะได้
3.3 ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (A) นกั เรยี นมีความรับผิดชอบตอ่ หนา้ ที่และงานทไ่ี ดร้ ับมอบหมาย
4. สาระการเรยี นรู้
ร่างกายมีอวัยวะและเนื้อเย่ือทีท่ ำหนา้ ทีป่ อ้ งกัน ดักจับ และทำลายสิ่งแปลกปลอม โดยมีเซลล์เมด็
เลือดขาวในหลอดเลือด หลอดน้ำเหลือง และยังสะสมอยู่ในอวัยวะ และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทำหน้าที่เปน็
หน่วยป้องกันที่สำคัญของร่างกาย เมื่อมีเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายและก่อให้เกิด
อันตราย ร่างกายจะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ตอบสนอง โดยมีกลไกต่อต้าน/ทำลายเชื้อโรคหรือส่ิง
แปลกปลอมในร่างกายมี 2 แบบ คือ แบบไม่จำเพาะ และ แบบจำเพาะ ซึ่งทั้งสองแบบจะทำงาน
ร่วมกัน
1. กลไกตอ่ ตา้ นหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมแบบไมจ่ ำเพาะ
กลไกนี้เปรียบเสมือนแนวป้องกันที่ช่วยต่อต้านหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่
เนื้อเยื่อหรือที่อยู่ในเนื้อเยื่อของร่างกายแล้ว แต่ถ้าแนวป้องกันนี้ถูกทำลาย เช่น มีบาดแผลที่ผิวหนัง
รา่ งกายยงั มกี ลไกการตอ่ ต้านแบบไม่จำเพาะอีกอย่างคือ การอกั เสบและการทำงานของเซลลเ์ ม็ดเลือด
ขาวกลุ่มที่คอยดกั จับและทำลายเชื้อโรคท่ีผ่านเขา้ มาในรา่ งกาย
396
2. กลไกต่อต้านหรอื ทำลายส่ิงแปลกปลอมแบบจำเพาะ
เมื่อแอนติเจน (antigen) ซึ่งอาจเป็นเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่เนื้อเยื่อในร่างกาย
จะกระตุ้นกลไกการต่อต้านหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมแบบจำเพาะ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานของ
เซลล์เม็ดเลือดขาว 2 ชนิด คือ เซลล์บี (B cell) และ เซลล์ที (T cell) เซลล์บีและเซลล์ทีจะจับกับ
แอนตเิ จนอยา่ งจำเพาะ และจะกระตุน้ ให้เซลลบ์ ีพัฒนาไปเป็นเซลล์พลาสมา (plasma cell) ทำหนา้ ท่ี
สร้างและหลั่งแอนติบอดี (antibody) สำหรับเซลล์ทีที่ถูกกระตุ้นมีหลายชนิดและทำหน้าที่ต่างกัน
เช่น เซลล์ทีที่ทำลายเซลล์แปลกปลอมหรือเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส (cytotoxic T cell) เซลล์ทีผู้ช่วย
(helper T cell) ซงึ่ กระตุ้นการทำงานและการแบ่งเซลล์ของเซลล์เมด็ เลือดขาว
5.1 สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี น (เฉพาะทเ่ี กิดในแผนการจัดการเรียนรูน้ ้ี)
1) ความสามารถในการสื่อสาร
2) ความสามารถในการคิด
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา
4) ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
397
5.2 สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียนของโรงเรยี นมาตรฐานสากล
(เฉพาะทเ่ี กิดในแผนการจดั การเรยี นรู้น)้ี
1) เป็นเลศิ ทางวิชาการ
2) ส่ือสารได้อยา่ งน้อย 2 ภาษา
3) ล้ำหน้าทางความคดิ
4) ผลติ งานอย่างสร้างสรรค์
5) รว่ มกันรับผดิ ชอบต่อสังคมโลก
6. คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A) (เฉพาะท่ีเกิดในแผนการจัดการเรียนรนู้ )ี้
1) รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ 5) อยูอ่ ย่างพอเพียง
2) ซอ่ื สตั ย์ สุจริต 6) มุง่ มน่ั ในการทำงาน
3) มวี นิ ยั 7) รักความเป็นไทย
4) ใฝ่เรียนรู้ 8) มีจติ สาธารณะ
7. การบรู ณาการตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (เฉพาะทีเ่ กิดในแผนการจัดการเรียนรูน้ ้ี)
บูรณาการกบั หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
หลกั ความพอประมาณ
หลกั ความมเี หตผุ ล
หลักการมภี ูมิคมุ้ กัน
เงือ่ นไขความรู้
เงอ่ื นไขคณุ ธรรม
บรู ณาการกบั การจดั การศึกษาเพือ่ อาชีพ
บูรณาการกับหลกั สูตรต้านทุจรติ ศึกษา
การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์สว่ นรวม
ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจรติ
STRONG : จติ พอเพยี งต้านทุจรติ
พลเมืองกับความรบั ผดิ ชอบต่อสังคม
บูรณาการข้ามกลมุ่ สาระการเรียนรู้
(ระบุ)…………………………………………………………………….......................................................
............................................................................................................................. ...................................
398
อ่นื ๆ
(ระบุ)…………………………………………………………………….......................................................
............................................................................................................................. ...................................
8. กิจกรรมการเรียนรู้
วิธสี อนแบบสบื เสาะหาความรู้ 5E (Inquiry Method : 5E)
ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
1.1) ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยใหน้ ักเรียนรว่ มกนั อภปิ รายเกยี่ วกับกลไกการต่อตา้ นหรือทำลาย
ส่ิงแปลกปลอมแบบจำเพาะ โดยใช้คำถามต่อไปนี้
- ถ้าเชือ้ โรคหรือส่ิงแปลกปลอมผ่านเข้าสู่เนื้อเยื่อได้ นอกจากเกิดการอักเสบแล้วร่างกาย
ยังมีกลไกการตอบสนองอยา่ งไรไดอ้ ีก (เปิดกว้างให้นักเรยี นตอบ)
1.2) ครูอธิบายให้นักเรียนฟังว่า “หากร่างกายได้รับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่มี
ความจำเพาะต่อแอนตเิ จน (Antigen) ร่างกายมกี ลไกต่อตา้ นหรือทำลายเช้อื โรคและส่ิงแปลกปลอมท่ี
เข้าสู่ร่างกายโดยการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ชนิดเซลล์บีและเซลล์ที (B
Lymphocyte, T Lymphocyte)”
ข้ันสำรวจคน้ หา (Exploration)
2.1) ครใู หน้ กั เรียนศึกษาการทำงานของระบบภูมคิ ุ้มกันแบบจำเพาะ โดยการทำงานของเซลล์
เม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ชนิดเซลล์บีและเซลล์ที (B Lymphocyte, T Lymphocyte) จากหนังสือเรียน
ชีววิทยา ม.5
2.2) ครูให้นักเรยี นแบง่ กลุ่ม กลุ่มละ 5-7 คน สืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม เรื่อง การทำงานของเซลล์
เม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ชนิดเซลล์บีและเซลล์ที (B lymphocyte, T lymphocyte) ร่วมกันสร้าง
แผนผังแสดงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะของเซลลเ์ มด็ เลือดขาวลมิ โฟไซต์ชนิดเซลล์บี
และเซลลท์ ลี งในปา้ ยนิเทศ เพอื่ นำเสนอหนา้ ชัน้ เรียน โดยมปี ระเด็นตา่ ง ๆ ดงั นี้
- ลักษณะและหน้าที่ของเซลล์เม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ชนิดเซลล์บีและเซลล์ที (B
Lymphocyte, T Lymphocyte)
- การสร้างและการเจริญเติบโตของเซลล์เม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ชนิดเซลล์บีและเซลล์ที (B
Lymphocyte, T Lymphocyte)
- กลไกการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) ชนิดเซลล์บีและเซลล์
ที (B Lymphocyte, T Lymphocyte)
399
ขัน้ อธบิ ายความรู้ (Explanation)
3.1) ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอแผนผังการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว
(White blood cell) ลิมโฟไซต์ชนิดเซลลบ์ ีและเซลลท์ ี (B lymphocyte, T lymphocyte)
3.2) นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะ
เมื่อร่างกายได้รับแอนติเจนที่จำเพาะ เซลล์ทีผู้ช่วยจะสร้างสารกระตุ้นเซลล์บีให้เปลี่ยนเป็นเซลล์
พลาสมา (Plasma cell) ซง่ึ ทำหน้าทสี่ ร้างแอนติบอดี (Antibody) เขา้ ทำลายแอนติเจน (Antigen) ท่ี
ได้รับ และเซลล์บีบางเซลล์จะพัฒนาเป็นเซลล์เมมอรี (Memory cell) ที่สามารถจดจำแอนติเจนท่ี
ร่างกายได้รบั ซึง่ หากรา่ งกายไดร้ ับแอนติเจนชนิดเดิม เซลล์บีจะสร้างแอนติบอดเี ข้าทำลายแอนติเจน
ไดท้ นั ที
ข้ันขยายความเขา้ ใจ (Elaboration)
4.1) ครถู ามคำถามชวนคิด โดยมแี นวคำถาม ดังน้ี
- คางทูม อีสุกอีใส มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส สามารถติดต่อได้ผ่านทางระบบหายใจ
จากการไอหรือจาม การหายใจรดกัน หรอื การสัมผสั สารคัดหล่งั ทมี่ ีเชื้อไวรสั ปะปนอยู่ เช่น
น้ำลาย นำ้ มกู แตผ่ ู้ทเ่ี คยปว่ ยและรักษาจนหายดีแลว้ หากได้รับเชื้อไวรัสชนิดเดิมจะไมเ่ ป็น โรคหรือมี
อาการไมร่ ุนแรง เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นน้ัน (แนวคำตอบ : เพราะในการติดเชื้อไวรสั ครั้งแรกร่างกาย
มกี ารสร้างเซลล์ความจำาจำานวนมากไว้ ซ่ึงมีความจำเพาะตอ่ เชือ้ ไวรสั เมื่อไดร้ บั เช้อื ไวรสั ชนดิ เดิมอีก
ครั้งเซลล์ความจำเหล่านี้จะไปกระตุ้น เซลล์บี เซลล์ทีชนิด CD4 และ CD8 เพื่อทำลายเซลล์ที่ติดเชอ้ื
ไวรัสได้อยา่ งรวดเรว็ ขน้ึ ทำใหไ้ ม่เกดิ โรคดงั กลา่ วอีก หรือถ้าเกิดโรคก็มอี าการไมร่ ุนแรง)
ขั้นประเมนิ (Evaluation)
5.1) ครตู ง้ั คำถามเพ่อื ทดสอบความเข้าใจของนักเรยี น โดยมแี นวคำถามดังนี้
- ระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะ (Specific defense mechanism) เป็นการทำงานของ
เซลล์เม็ดเลือดขาว (White blood cell) ชนิดใด (แนวคำตอบ: เซลล์เม็ดเลือดขาว (White blood
cell) ชนดิ ลมิ โฟไซต์ (Lymphocyte) มี 2 ชนิด ได้แก่ เซลล์บีและเซลลท์ )ี
- ระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะ (Specific defense mechanism) มีกลไกการทำงาน
อย่างไร (แนวคำตอบ: เมื่อร่างกายได้รับแอนติเจน (Antigen) ที่จำเพาะ เซลล์ทีผู้ช่วยสร้างสารไป
กระตุ้นเซลล์บีให้พัฒนาเป็นเซลล์พลาสมา (Plasma cell) ซึ่งทำหน้าที่สร้างแอนติบอดีเข้าทำลาย
แอนติเจนที่ได้รับ และเซลล์บีบางเซลล์พัฒนาเป็นเซลล์เมมอรี (Memory cell) ที่สามารถจดจำชนิด
ของแอนติเจนที่เขา้ ส่รู ่างกายได้ ซ่ึงหากรา่ งกายได้รับแอนติเจนชนดิ เดมิ เซลลบ์ จี ะสรา้ งแอนติบอดีเข้า
ทำลายแอนตเิ จนได้ทันที)
- เซลล์ทีแต่ละชนิดมีหน้าที่แตกต่างกันอย่างไร (แนวคำตอบ: เซลล์ที แบ่งออกเป็น 3
ชนิด ได้แก่ เซลล์ทีผู้ช่วยทำหน้าที่สร้างสารกระตุ้นเซลล์บีให้สร้างแอนติบอดี (Antibody) ที่มี
400
ความจำเพาะต่อแอนติเจน (Antigen) ท่ีไดร้ ับเซลลท์ ที ำลายสิ่งแปลกปลอมทำหน้าที่ทำลายแอนติเจน
ที่เข้าสู่ร่างกายและสามารถพัฒนาเป็นเซลล์เมมอรี (Memory cell) เพื่อจดจำชนิดของแอนติเจนที่
เข้าส่รู า่ งกาย และเซลลท์ ีกดภูมิคุ้มกันทำหน้าท่ีควบคุมการทำงานของเซลล์ที เซลลท์ ีผู้ช่วย และเซลล์
ทที ำลายสิ่งแปลกปลอมให้อยู่ในสภาวะสมดลุ )
9. สอ่ื การเรียนรูแ้ ละแหล่งการเรียนรู้
9.1 สือ่ การเรียนรู้
1 .หนังสือเรียนชีววิทยา สสวท. ม.5 เลม่ 4
2. PowerPoint
9.2 แหลง่ การเรยี นรู้
1. หอ้ งเรยี น
2. ห้องสมุด
10. การวดั และประเมนิ ผล
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ วิธกี าร เครื่องมอื ที่ใช้ เกณฑ์
-แบบประเมินการ ร้อยละ 80%
ด้านความรู้ (K) ) นักเรียนสามารถ -การนำเสนอเกีย่ วกับ นำเสนองาน ผา่ นเกณฑ์
อธิบายกลไกการต่อต้านหรือทำลาย หวั ข้อที่ได้รบั มอบหมาย
สง่ิ แปลกปลอมแบบจำเพาะได้
ด้านทักษะและกระบวนการ (P) -นำเสนอผลงาน -แบบประเมนิ การ รอ้ ยละ 80 %
นักเรียนสามารถปรียบเทียบกลไก -แบบประเมนิ ปฏิบตั ิการ นำเสนอผลงาน ผ่านเกณฑ์
ก า ร ต ่ อ ต ้ า น ห ร ื อ ท ำ ล า ย ส่ิ ง -แบบประเมินปฏบิ ตั ิการ
แปลกปลอมแบบจำเพาะและไม่
จำเพาะได้
ด้านคุณลกั ษณะ (A) -สงั เกตพฤตกิ รรม การ -แบบสังเกตพฤติกรรม ระดับคุณภาพ
2 ผา่ นเกณฑ์
นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อหน้าท่ี ทำงาน ความมวี นิ ยั ใฝ่ การทำงาน
และงานทไี่ ด้รับมอบหมาย เรยี นรู้ และมงุ่ ม่นั ในการ
ทำงาน
401
บนั ทึกผลหลงั การสอน
รหสั วชิ า ..................... วิชา ............................... หน่วยการเรียนรู้ที่ ..... เรอ่ื ง .............................
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ .... เรื่อง .................................................................. เวลา ..... ชั่วโมง
1. สรปุ ผลการเรยี นการสอน
……......................................................................................................................................... .................
…….............................................................................................................. ............................................
……......................................................................................................................................... .................
……..........................................................................................................................................................
……......................................................................................................................................... .................
……......................................................................................................................................... .................
2. ปญั หา / อุปสรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………….......................................................................................................... ……………
……......................................................................................................................................... .................
…….............................................................................................................. ............................................
3. แนวทางแก้ไข / แนวทางการพัฒนา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………….......................................................................................................... ……………
……......................................................................................................................................... .................
……......................................................................................................................................... .................
ลงช่อื …………………………………………..ผสู้ อน
(นางสาวศศธิ ร นันทอง)
นกั ศกึ ษาฝกึ ประสบการณ์วิชาชพี ครู
วนั ท่ี.........เดอื น......................พ.ศ..............
402
ความคดิ เหน็ ของครูพ่ีเลี้ยง
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................... .................................................................
……......................................................................................................................................... .................
……..........................................................................................................................................................
……......................................................................................................................................... .................
ลงชื่อ................................................................ผู้ตรวจสอบ
(นางสาวลภัสชวลั วิจิตพรวงศ์)
ครูพเ่ี ลี้ยง
ความคดิ เหน็ ของหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................. ...................................
……..........................................................................................................................................................
…….............................................................................................................. ............................................
ลงชื่อ................................................................ผูต้ รวจสอบ
(นางนติ ยาภรณ์ ศรภี าแลว)
หวั หนา้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ความคดิ เห็นของผู้บริหารสถานศกึ ษาหรือผทู้ ่ีไดร้ ับมอบหมาย
............................................................................................................................. ...................................
........................................................................................................................................... .....................
……........................................................................................................... ...............................................
……......................................................................................................................................... .................
……..........................................................................................................................................................
……......................................................................................................................................... .................
……......................................................................................................................................... .................
……......................................................................................................................................... .................
……............................................................................................................... ...........................................
ลงช่ือ................................................................
(นางสาวสุธธี ดิ า บรรณารกั ษ์)
หวั หน้ากลมุ่ งานการจดั การเรยี นรู้
วนั ที่.........เดอื น......................พ.ศ. .........
403
ภาคผนวก
หมายเหตุ ภาคผนวกประกอบด้วย
1. สื่อการเรียนรู้ เช่น ใบความรู้ ใบกิจกรรม ใบงาน แบบฝึกทักษะ เป็นต้น (เฉพาะที่
ปรากฎในแผนการจัดการเรียนรนู้ ี้)
2. เครื่องมือที่ใช้วัดผลประเมนิ ผล เช่น แบบทดสอบก่อนเรยี น / หลงั เรยี น แบบประเมิน
ทักษะกระบวนการ แบบประเมินคุณลักษณอันพึงประสงค์ เป็นต้น (เฉพาะที่ปรากฎในแผนการจัด
การเรียนรนู้ ี้)
3. เกณฑก์ ารวดั ผลประเมนิ ผล เชน่ เกณฑ์การใหค้ ะแนนด้านทักษะและกระบวนการทาง
คณิตศาสตร์ เกณฑ์การให้คะแนนด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เป็นต้น (เฉพาะที่ปรากฎใน
แผนการจดั การเรยี นรู้นี้
แบบประเมินผังมโนทศั น์ 404
คำชแี้ จง ให้ผ้สู อนประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน แล้วขีด ลงในช่องท่ีตรงกบั ระดบั คะแนน 1
ระดบั คะแนน
ลำดับที่ รายการประเมนิ 432
1 ความสอดคล้องกบั จุดประสงค์
2 ความสอดคล้องกบั เนอ้ื หา
3 ความคิดสรา้ งสรรค์
4 ความตรงต่อเวลา
รวม
ลงช่อื …………………………………………………………. ผู้ประเมิน
………../………………../………………
405
เกณฑ์การประเมนิ ผังมโนทัศน์
ประเด็นท่ี 4 ระดับคะแนน 2 1
ประเมนิ 3
1. ความ ผลงานสอดคลอ้ งกบั ผลงานสอดคลอ้ งกับ ผลงานสอดคลอ้ งกับ ผลงานไมส่ อดคล้องกับ
สอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงคท์ ุกประเดน็ จดุ ประสงค์เปน็ ส่วนใหญ่ จุดประสงคบ์ าง จดุ ประสงค์
จุดประสงค์ ประเด็น
2. ความถกู ต้อง เนื้อหาสาระของผลงาน เน้ือหาสาระของผลงาน เนอื้ หาสาระของ เนื้อหาสาระของผลงาน
ผลงาน ถูกตอ้ งบาง ไม่ถูกต้องเป็นสว่ นใหญ่
ของ เนื้อหา ถูกต้องครบถว้ น ถูกต้องเปน็ ส่วนใหญ่ ประเดน็
3. ความคิด ผลงานแสดงถงึ ความคิด ผลงานแสดงถงึ ความคดิ ผลงานมีความ ผลงานไมม่ ีความ
สร้างสรรค์ น่าสนใจ และไม่แสดง
สรา้ งสรรค์ แปลกใหม่ สรา้ งสรรคแ์ ปลกใหม่ แต่ นา่ สนใจ แต่ ยงั ไม่มี ถงึ แนวคิด แปลกใหม่
และเปน็ ระบบ ยงั ไม่เปน็ ระบบ แนวคิดแปลกใหม่
4. ความตรงต่อ สง่ ชิน้ งานภายในเวลาที่ ส่งชนิ้ งานชา้ กวา่ เวลาท่ี สง่ ช้ินงานชา้ กว่าเวลา สง่ ชิ้นงานชา้ กว่าเวลาที่
เวลา กำหนด กำหนด 1 วนั ที่ กำหนด 2 วัน กำหนด 3 วันขึ้นไป
เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดมี าก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ำกว่า 8 ปรบั ปรงุ
แบบประเมนิ การนำเสนอผลงาน 406
คำช้ีแจง : ใหผ้ ูส้ อนสังเกตพฤตกิ รรมของนักเรียนในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในชอ่ งทตี่ รงกบั ระดบั คะแนน
ลำดับที่ รายการประเมิน ระดบั คะแนน
321
1 เนอื้ หาละเอยี ดชัดเจน
2 ความถกู ตอ้ งของเนอ้ื หา
3 ภาษาที่ใชเ้ ขา้ ใจง่าย
4 ประโยชน์ที่ไดจ้ ากการนำเสนอ
5 วธิ ีการนำเสนอผลงาน
ลงชอ่ื …………………………………………………………. ผ้ปู ระเมิน
………../………………../………………
เกณฑ์การใหค้ ะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณช์ ดั เจน ให้ 3 คะแนน
ผลงานหรือพฤตกิ รรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นสว่ นใหญ่ ให้ 2 คะแนน
ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ บางสว่ น ให้ 1 คะแนน
เกณฑก์ ารตัดสนิ คณุ ภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคณุ ภาพ
14-16 ดมี าก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ำกวา่ 8 ปรบั ปรุง
407
แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงาน
กลมุ่
คำชแี้ จง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขดี ลงในชอ่ งทตี่ รงกับระดบั คะแนน
ลำดบั ช่ือ–สกลุ การแสดง การยอมรับ การทำงาน ความมีน้ำใจ การมี รวม
ท่ี ของนกั เรยี น ความคิดเห็น ฟงั คนอ่นื ตามท่ีได้รบั 321 สว่ นรว่ มใน 15
มอบหมาย การปรับปรงุ คะแนน
1. นายกรวกิ นอ้ ยยะ 321 321 ผลงานกลุ่ม
2. นายนทั ธพงศ์ สนุ ทรชัย 321
3. นายบัญญวตั ปอ้ มเชียงพิณ 321
4. นายวงศธร แสงนิกุล
5. นายภาณุพงศ์ พรมสชี า
6. นายพัสกร พันละเกตุ
7. นายฑนวฒั น์ มัน่ ศกั ดิ์
8. นายสริ ภพ แซ่ภู่
9. นายนราธิป เสนจนั ทร์ฒิไชย
10. นายปยิ วฒั น์ รอดชมภู
11. นายอนชุ า สลาพมิ พ์
12. นายจณิ ภทั ร สงิ หเสน
13. นายชนาธปิ กำพระบาง
14. นายรชต บตุ รโคตร
15. นายชนุวรรธน์ อภิรักษเ์ มธาวงศ์
16. นายปราบปวร ปทั มสนธิ์
17. นายกิตตภิ ัฏ เจอื จนั ทึก
18. นายสมุ ติ ร มาตสุทธิ์
19. น.ส.วันนิสา กิตตกิ ุลธร
20. น.ส.ญาณภทั ร เทศศรีเมือง
21. น.ส.นภสั รา รตั นคุณ
22. น.ส.สุชาวดี ผาระนตั ร
23. น.ส.พรทิพ เตนากลุ
24. น.ส.พรนภสั ชัยอาวธุ
25. น.ส.วาสนา ปติ ะสตุ
26. น.ส.นราพร พุฒฝอย
27. น.ส.วนันพร ตนั นารตั น์
28. น.ส.ศลษิ า มลู มงั่
29. น.ส.ศิรภสั สร ดอนชุม
30. น.ส.กัณฐิกา อินทะวงศ์
ลำดับ ช่ือ–สกลุ การแสดง การยอมรับ การทำงาน ความมนี ำ้ ใจ การมี 408
ที่ ของนักเรยี น ความคดิ เห็น ฟังคนอ่ืน ตามท่ีได้รับ 321 สว่ นร่วมใน
มอบหมาย การปรับปรุง รวม
31. น.ส.ณัฐวรา ชยั เดช 321 321 ผลงานกลมุ่ 15
32. น.ส.ธัญมาส อะตะมะ 321 คะแนน
33. น.ส.ปาณศิ า โฉมกระโทก 321
34. น.ส.ศภุ ดิ า นามบุรี
35. น.ส.อธิชา คำภูมี
36. น.ส.มาตา บทไธสง
37. น.ส.ณฏั ฐณชิ า บญุ ตาระวะ
38. น.ส.พรพิชญ์ เพ็งคำศรี
39. น.ส.ชาลสิ า หล้ากำ่
40. น.ส.ภทั รนันท์ ภูนาปี
41. น.ส.ลลนา เขม็ เลศิ
42. น.ส.มทุ ิตา คณะโท
43. น.ส.ธนญั ญา นามวงษ์
44. น.ส.พดั ชา วงไชยยา
45. น.ส.อาภาสริ ิ ฟุ้งกลน่ิ
ลงชอื่ …………………………………………………………. ผปู้ ระเมิน
………../………………../………………
เกณฑ์การใหค้ ะแนน
ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตดั สนิ คณุ ภาพ
ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ตำ่ กว่า 8 ปรบั ปรงุ
409
แบบประเมินการปฏิบัตกิ าร
คำชี้แจง : ให้ผสู้ อนประเมินการปฏิบัติการของนักเรียนตามรายการทีก่ ำหนดแล้วขดี ✓ลงในชอ่ งทีต่ รงกับระดบั คะแนน
ลำดบั ท่ี รายการประเมนิ ระดบั คะแนน
4321
1 การปฏิบัติการทดลอง
2 ความคลอ่ งแคล่วขณะปฏบิ ตั ิการ รวม
3 การนำเสนอ
ลงช่อื ................................................... ผูป้ ระเมิน
................./................../..................
เกณฑก์ ารประเมินรายงาน
ประเดน็ ทปี่ ระเมิน 4 ระดบั คะแนน 2 1
3
1. การปฏิบัติการ ทำตามทดลองตามขั้นตอน ทำตามทดลองตามขั้นตอน ต้องให้ความช่วยเหลือบ้าง ต้องให้ความช่วยเหลืออยา่ ง
ทดลอง และใช้อปุ กรณไ์ ด้อย่างถกู ต้อง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง ในการทำการทดลอง และ มากในการทำการทดลอง
ถูกต้อง แต่อาจต้องได้รับ การใชอ้ ุปกรณ์ และการใช้อุปกรณ์
คำแนะนำบา้ ง
2. ความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่วในการทำ มีความคล่องแคล่วในการ ข า ด ค ว า ม ค ล ่ อ ง แ ค ล่ ว ทำการทดลองเสร็จไม่
ขณะปฏบิ ตั ิการ การทดลองโดยไม่ตอ้ งไดร้ ับคำ ทำการทดลองแต่ต้องได้รับ ในขณะการทำการทดลอง ทันเวลา และทำอุปกรณ์
ช้ีแนะ และทำการทดลองเสรจ็ คำแนะนำบ้าง และทำการ จึงทำการทดลองเสร็จไม่ เสียหาย
ทันเวลา ทดลองเสร็จทันเวลา ทันเวลา
3. การบันทึก สรุป บนั ทึกและสรุปผลการทดลอง บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คำแนะนำในการ ต้องให้ความช่วยเหลืออยา่ ง
และการนำเสนอ ไดถ้ กู ตอ้ ง รดั กมุ นำเสนอผล ทดลองได้ถูกต้อง แต่การ บันทึก สรุป และนำเสนอ มากในการบันทึกสรุป และ
ผลการทดลอง การทดลองเปน็ ขนั้ ตอนชัดเจน นำเสนอผลการทดลองยงั ไม่ ผลการทดลอง นำเสนอผลการทดลอง
เปน็ ขน้ั ตอน
เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ
ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ
11-12 ดีมาก
9-10 ดี
6-8 พอใช้
ต่ำกวา่ 6 ปรบั ปรงุ
410
แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี 22
โดยจดั กิจกรรมการเรยี นรู้แบบ 5E
รหัสวชิ า ว32242 วิชา ชีววิทยาเพ่ิมเติม 4 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5
หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 15 เรอ่ื ง ระบบภูมคิ มุ้ กนั เวลา 12 ช่วั โมง
แผนการจดั การเรียนร้เู รอ่ื ง การสร้างภูมคิ มุ้ กัน เวลา 2 ชัว่ โมง
ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 ผสู้ อน นางสาวศศธิ ร นนั ทอง
กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร
_________________________________________________________________________
1. สาระชีววิทยา
เข้าใจการย่อยอาหารของสัตว์และมนุษย์ การหายใจและการแลกเปลี่ยนแก๊สการลำเลียง
สารและการหมุนเวียนเลือด ภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขับถ่าย การรับรู้และการตอบสนอง การ
เคลื่อนที่ การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต ฮอร์โมนกับการรักษาดุลยภาพ และพฤติกรรมของสัตว์
รวมทง้ั นำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์
ผลการเรียนรู้
สืบคน้ ข้อมลู อธิบาย และเปรียบเทียบการสร้างภูมคิ ้มุ กนั กอ่ เองและภูมิคุ้มกันรับมา
2. สาระสำคญั
การสร้างภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะของร่างกาย มี 2 แบบ คือ ภูมิคุ้มกันก่อเองและภูมิคุ้มกัน
รบั มา การไดร้ ับวัคซีนหรือทอกซอยด์เปน็ ตัวอยา่ งของภูมิคุม้ กนั ก่อเอง โดยการกระตุ้นให้รา่ งกายสร้าง
ภูมิคุ้มกันขึ้น ด้วยวิธีการให้สารที่เป็นแอนติเจน เข้าสู่ร่างกาย ส่วนภูมิคุ้มกันรับมาเป็นการรับ
แอนตบิ อดีโดยตรง เช่น การไดร้ บั ซีรมั การได้รบั นำ้ นมแม่
3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K) นกั เรียนสามารถอธบิ ายการสร้างภูมคิ ้มุ กันกอ่ เองหรอื ภมู ิคุ้มกันแบบรับมาได้
3.2 ด้านทักษะและกระบวนการ (P) นักเรียนสามารถเขียนแผนผังแสดงการทำงานของระบบ
ภมู ิคุม้ กันแบบจำเพาะไดถ้ กู ตอ้ ง
3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) นักเรียนมีความรบั ผิดชอบตอ่ หนา้ ท่แี ละงานทไ่ี ด้รับมอบหมาย
4. สาระการเรยี นรู้
การสรา้ งภมู คิ ุ้มกนั หมายถึง กระบวนการที่ทำให้รา่ งกายมีความสามารถในการจดจำและกำจัดสิ่ง
แปลกปลอมที่เข้ามาให้ร่างกาย โดยอาศัยกลไกต่อต้านสิ่งแปลกปลอมแบบจำเพาะเจาะจง ซึ่งอาจ
411
เกิดขึ้นชั่วคราวหรอื ถาวรก็ได้ และสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ตามแหล่งการสรา้ งแอนติบอดี
ท่ีร่างกายนำมาใช้ ได้แก่ ภมู คิ ุม้ กนั แบบกอ่ เอง และภูมิค้มุ กนั แบบรบั มา
1. ภูมิค้มุ กันแบบก่อเอง (Active immunity)
ภูมิคุม้ กันแบบกอ่ เองสามารถแบ่งย่อยได้เปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่
1.1. ภมู ิคมุ้ กนั ก่อเองเกดิ ตามธรรมชาติ (Natural Active immunity) จะเกิดขึน้ เม่ือได้รับ
แอนติเจนหรือเชื้อโรคที่ทำให้ร่างกายป่วย เช่น โรคคางทูม โรคอีสุกอีใส โดยร่างกายจะสร้าง
แอนตบิ อดีเพื่อจดจำและกระตุ้นใหเ้ กิดการทำลายหรือทำให้แอนติเจนเหล่านี้เป็นกลางและไม่เป็นพิษ
ทำใหเ้ ราไม่ปว่ ยโรคเดมิ ซำ้ อกี ครง้ั หรืออาการไม่รนุ แรงเทา่ คร้งั แรก
1.2. ภูมิคุ้มกันก่อเองที่สร้างขึ้น (Artificial active immunity) ภูมิคุ้มกันนี้จะเกิดขึน้ หลงั
การให้วัคซีน การทา หรือการให้ยากระตุ้นการสร้างแอนติบอดี้เพื่อจดจำแอนติเจนเหล่านั้นและ
ป้องกันล่วงหน้าเมื่อได้รับแอนติเจนเหล่านี้มาก็จะไม่เกิดอาการ เช่น การปลูกฝี การรักษาโรคฝีดาษ
โรคคอตบี บาดทะยกั วัคซนี ป้องกนั โรคโปลิโอ โรคมะเร็งปากมดลูก (HPV) เป็นต้น
2. ภูมิคุม้ กันแบบรบั มา (Passive immunity)
ภูมิคมุ้ กันแบบรับมานสี้ ามารถแบง่ ได้เป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่
2.1. ภูมิคุ้มกันรับมาตามธรรมชาติ (Natural passive immunity) เป็นภูมิคุ้มกันที่
ถ่ายทอดตามธรรมชาติจากแม่สู่ทารกผ่านทางรกและน้ำนมแม่ โดยถ้าแม่มีภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี
กับโรคก่อนการ ตั้งครรภ์ ลูกก็จะได้รับภูมิคุ้มกันไปด้วย แต่เมื่อคลอดออกมา ภูมิคุ้มกันโรคตาม
ธรรมชาติคงอยไู่ ดป้ ระมาณ 3 เดอื นหลังคลอดเท่านน้ั จากนน้ั ทารกจะมภี ูมคิ ้มุ กันโรคลดลง
2.2. ภูมิคุ้มกันรับมาที่สร้างขึ้น (Artificial passive immunity) โดยรับแอนติบอดีจาก
สงิ่ มีชวี ิตอนื่ ๆ อย่างการฉดี เซรมุ่ หรอื ซรี ่ัม ซึง่ ได้มาจากการฉีดแอนติเจนท่ีอ่อนกำลังหรือทีต่ ายแล้วเข้า
ไปในสัตว์ เช่น หนูกระต่ายเพื่อกระตุ้นให้สร้างแอนติบอดี จากนั้นจะนำเลือดของสัตว์มาสกัดแอนติ
บอดี้ ก่อนจะนำไปฉดี เขา้ สู่รา่ งกายมนุษย์ การฉีดเซร่มุ นี้ จะทำใหร้ า่ งกายไดร้ ับแอนตบิ อดที ี่จำเพาะต่อ
แอนติเจนโดยตรง ทำให้สามารถกำจดั แอนตเิ จนชนิดนัน้ ได้ทนั ที โดยท่รี ะบบภมู คิ ้มุ กันไม่ต้องสร้างเอง
เชน่ คนถกู งูกัดต้องฉีดเซรุ่มเพื่อป้องกันพิษงูทันที (แตอ่ าจมผี ู้ปว่ ยบางคนมีอาการต่อต้านหรือแพ้เซรุ่ม
จากสตั วไ์ ด)้
5.1 สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น (เฉพาะที่เกิดในแผนการจดั การเรียนรูน้ ้ี)
1) ความสามารถในการส่ือสาร
2) ความสามารถในการคิด
3) ความสามารถในการแก้ปญั หา
4) ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ
412
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
5.2 สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียนของโรงเรียนมาตรฐานสากล
(เฉพาะทเ่ี กิดในแผนการจดั การเรียนรูน้ )้ี
1) เปน็ เลิศทางวิชาการ
2) สอื่ สารได้อย่างน้อย 2 ภาษา
3) ล้ำหนา้ ทางความคิด
4) ผลติ งานอยา่ งสรา้ งสรรค์
5) รว่ มกนั รบั ผดิ ชอบต่อสังคมโลก
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) (เฉพาะที่เกดิ ในแผนการจดั การเรยี นรู้นี)้
1) รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 5) อย่อู ยา่ งพอเพียง
2) ซ่อื สัตย์ สจุ ริต 6) มุ่งม่นั ในการทำงาน
3) มวี ินยั 7) รกั ความเป็นไทย
4) ใฝ่เรยี นรู้ 8) มีจิตสาธารณะ
7. การบรู ณาการตามพระราชบญั ญัติการศกึ ษาแหง่ ชาติ (เฉพาะทีเ่ กิดในแผนการจัดการเรยี นรู้น)้ี
บูรณาการกับหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง
หลกั ความพอประมาณ
หลักความมีเหตุผล
หลักการมภี ูมิคุม้ กัน
เง่ือนไขความรู้
เงอื่ นไขคุณธรรม
บูรณาการกับการจดั การศกึ ษาเพอ่ื อาชีพ
บูรณาการกับหลักสูตรต้านทุจริตศกึ ษา
การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม
ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทุจริต
STRONG : จติ พอเพยี งต้านทุจริต
พลเมืองกบั ความรับผดิ ชอบต่อสงั คม
บรู ณาการขา้ มกลมุ่ สาระการเรียนรู้
413
(ระบุ)…………………………………………………………………….......................................................
............................................................................................................................. ...................................
อน่ื ๆ
(ระบุ)…………………………………………………………………….......................................................
............................................................................................................................. ...................................
8. กจิ กรรมการเรยี นรู้
วธิ ีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E (Inquiry Method : 5E)
ขน้ั สร้างความสนใจ (Engagement)
1.1) ครูทบทวนความรู้เดิมเกี่ยวกับกลไกการต่อต้านหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมแบบจำเพาะ
โดยใชค้ ำถามกระตุ้นความสนใจของนักเรยี น ครูถามถึงประสบการณก์ ารได้รับวัคซีนหรือเซรุ่ม แล้วให้
นกั เรยี นรว่ มกันอภิปรายโดยใช้คำถามดังน้ี
- การไดร้ ับวัคซีน เซรุม่ มีประโยชนอ์ ย่างไร
- วัคซีนและเซรมุ่ เหมือนหรือแตกต่างกนั อย่างไร (เปดิ กวา้ งใหน้ กั เรยี นตอบ)
ขั้นสำรวจคน้ หา (Exploration)
2.1) ครูให้นักเรียนทำกิจกรรม “สำรวจการฉีดวัคซีน” โดยมีจุดประสงค์ เพื่อให้ตระหนักถึง
ความสำคัญในการฉดี วคั ซนี เพอื่ ปอ้ งกนั โรค
2.2) มีแนวทางการจดั กจิ กรรม “ใหน้ กั เรียนสำรวจสมาชกิ ในห้องเรียนวา่ เคยได้รับวัคซีนชนิด
ใดมาบ้าง และได้รับเมื่ออายุเท่าใด สำหรับการสำรวจสมาชิกในครอบครัวของนักเรียนควรให้นักเรียน
ไปสอบถามมาล่วงหน้าแล้วจึงนำข้อมูลการสำรวจมาจดั กระทำข้อมูลสำหรับนำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ
เช่น แผนภูมวิ งกลม แผนภูมิแท่ง
2.3) นกั เรยี นตอบคำถามทา้ ยกจิ กรรม โดยมแี นวคำถาม ดงั นี้
- วัคซีนป้องกันโรคใดที่นักเรียนส่วนใหญ่จะได้รับเหมือนกัน (แนวคำตอบ: วัณโรค
ไวรัสตบั อกั เสบบี หัดเยอรมนั คางทมู )
- การไดร้ บั วคั ซนี สามารถไดร้ ับโดยวธิ ใี ดบ้าง (แนวคำตอบ : การฉีด การรับประทาน
การพน่ ทางช่องจมูก
- หากไดร้ บั วคั ซนี ป้องกันโรคใดโรคหน่งึ แล้ว ยงั มีโอกาสเปน็ โรคนน้ั อกี หรอื ไม่ เพราะ
เหตุใด (แนวคำตอบ : ยังมีโอกาสเป็นหรือไม่เป็นก็ได้ โดยในกรณีที่ป่วยเป็นโรคนั้นแต่ร่างกายยังมี
ภูมิคุ้มกันที่ได้ จากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคนั้นอยูอ่ าการป่วยอาจจะไม่รนุ แรงเหมือนคนท่ีไม่ได้รับการ
ฉีดวัคซีนป้องกนั โรคนัน้ )
414
- เหตุใดจึงควรฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไข้หวัดใหญ่ทุกๆ ปี (แนวคำตอบ : เพราะในแต่
ละปีมีการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่แตกต่างกันไป และวัคซีนที่ผลิตออกมานั้นไม่
สามารถป้องกนั ไดค้ รอบคลุมทกุ สายพันธุ์)
ขั้นอธบิ ายความรู้ (Explanation)
3.1) นักเรียนและครูรว่ มกนั อภิปรายเกย่ี วกบั ภูมิคมุ้ กันแบบก่อเอง (Passive
immunization) โดยมปี ระเด็นดงั ต่อไปน้ี “ภมู คิ ุ้มกนั แบบก่อเอง (Passive immunization) แบ่ง
ออกเปน็ 2 ประเภท ได้แก่ วคั ซนี ซึง่ เป็นแบคทีเรียหรือไวรัสที่ถูกทำใหต้ ายหรืออ่อนฤทธ์ลิ ง เมื่อฉดี
ใหก้ ับรา่ งกายจะกระตุ้นใหส้ ร้างแอนตบิ อดเี ข้าทำลายเชื้อโรคหรือสงิ่ แปลกปลอม และทอกซอยด์
(Toxoid) ซ่งึ เปน็ สารพิษของแบคทเี รยี ท่ีถูกทำใหห้ มดฤทธิ์ เม่อื ฉีดให้กบั ร่างกายจะทำให้รา่ งกาย
สรา้ ง (Antibody) เข้าทำลายเชอ้ื โรคหรอื สิ่งแปลกปลอม”
3.2) นกั เรยี นและครรู ว่ มกนั อภิปรายเก่ยี วกับภูมคิ ้มุ กนั รับมา ซง่ึ เป็นแอนติบอดี (Antibody)
ท่ีแยกไดจ้ ากจากสัตว์ โดยการฉีดเชื้อโรคท่ีออ่ นกำลงั ใหก้ ับสตั ว์ ทำใหส้ ตั ว์สร้างแอนตบิ อดีตอ่ ต้านเช้ือ
โรค แลว้ จงึ แยกแอนติบอดดี ังกล่าวออกมาจากสตั ว์ เม่ือนำแอนติบอดที ีแ่ ยกได้มาฉดี ใหก้ ับผู้ปว่ ย จะ
สามารถต่อตา้ นหรือทำลายเชือ้ โรคได้ทนั ที
ขน้ั ขยายความเข้าใจ (Elaboration)
4.1) ครูถามคำถามชวนคิด โดยมีแนวคำถาม ดังน้ี
- เพราะเหตุใดเมื่อถูกงูกัดจึงต้องจดจำลักษณะของงูที่กัด (แนวคำตอบ : เพราะงูแต่ละ
ชนิดมีสว่ นประกอบของสารที่เป็นพิษแตกต่างกนั ดังนั้น หากจดจำลกั ษณะของงหู รือนำซากงูที่กัดมา
ด้วยจะทำใหส้ ามารถระบุชนดิ ของงไู ด้ถูกต้อง และให้เซรุ่มหรือแอนติบอดีทจี่ ำเพาะต่อพิษงูชนิดน้ันได้
ทนั ทว่ งท)ี
ข้นั ประเมิน (Evaluation)
5.1) ครูต้ังคำถามเพอ่ื ทดสอบความเข้าใจของนกั เรียน โดยมแี นวคำถามดังนี้
- วัคซีนและเซรุ่มเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร (แนวคำตอบ : วัคซีนเป็นการให้
แอนติเจนที่เป็นส่วนประกอบของเชื้อโรคเพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันสามารถตอบสนองต่อเชือ้ โรค
ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคบางชนิดไว้ล่วงหน้าทำให้เม่ือได้รบั เชื้อโรคหลังจากได้รับวัคซีนแล้วก็จะมีอาการ
ป่วยเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีอาการเลย ส่วนการได้รับเซรุ่ม จะช่วยร่างกายกำจัดเชื้อโรคได้ทันที เช่น
เซรุ่มป้องกนั โรคพษิ สุนขั บา้ เซรุ่มแกพ้ ิษง)ู
- เพราะเหตุใดจึงต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ ตั้งแต่แรกเกิดและวัยทารก (แนว
คำตอบ: เนื่องจากวคั ซีนเป็นเชื้อโรคที่ถูกทำให้ตายหรืออ่อนฤทธิ์ลง เมื่อฉีดเข้าสู่รา่ งกายจะกระตุ้นให้
415
สร้างแอนติบอดี (Antibody) ขึ้นมาต่อต้านหรือทำลายเชื้อโรค ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการสร้าง
แอนตบิ อดี จึงต้องฉีดตง้ั แรกเกดิ และวยั ทารก)
- หากต้องเดินทางไปในพื้นที่ท่ีมีปัญหาด้านสาธารณสุข เพราะเหตุใดจึงควรฉีดวัคซีน
ป้องกันอหิวาต์ก่อนการเดินทางอย่างน้อย 7 วัน (แนวคำตอบ: เนื่องจากเชื้อโรคอหิวาต์มีระยะฟักตัว
ในร่างกายสั้นมาก (น้อยกว่า 24 ชั่วโมง) การฉีดวัคซีนป้องกันโรคอหิวาต์ก่อนการเดินทางเป็นการ
กระตุ้นระบบภมู ิค้มุ กนั ของร่างกายให้สร้างภูมิคมุ้ กันก่อนได้รับเชื้อโรคอหิวาต์)
9. สอ่ื การเรียนรูแ้ ละแหล่งการเรียนรู้
9.1 ส่อื การเรยี นรู้
1 .หนงั สอื เรียนชีววทิ ยา สสวท. ม.5 เลม่ 4
2. PowerPoint
9.2 แหล่งการเรยี นรู้
1. หอ้ งเรยี น
2. ห้องสมุด
416
10. การวัดและประเมนิ ผล
จุดประสงค์การเรยี นรู้ วธิ กี าร เครื่องมอื ที่ใช้ เกณฑ์
-แบบประเมนิ การ ร้อยละ 80%
ด้านความรู้ (K) ) นักเรียนสามารถ -การนำเสนอเกี่ยวกบั นำเสนองาน ผ่านเกณฑ์
อธิบายการสรา้ งภูมิคุ้มกันก่อเองหรือ หวั ขอ้ ทไ่ี ดร้ ับมอบหมาย
ภมู คิ ุม้ กนั แบบรบั มาได้
ด้านทักษะและกระบวนการ (P) -นำเสนอผลงาน -แบบประเมนิ การ ร้อยละ 80 %
นักเรียนสามารถเขียนแผนผังแสดง -แบบประเมนิ ปฏิบตั ิการ นำเสนอผลงาน ผา่ นเกณฑ์
การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันแบบ -แบบประเมนิ ปฏิบตั ิการ
จำเพาะได้ถูกต้อง
ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (A) -สงั เกตพฤตกิ รรม การ -แบบสงั เกตพฤติกรรม ระดับคุณภาพ
2 ผ่านเกณฑ์
นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำงาน ความมวี ินัย ใฝ่ การทำงาน
และงานที่ได้รับมอบหมาย เรียนรู้ และมุ่งม่นั ในการ
ทำงาน
417
บนั ทกึ ผลหลงั การสอน
รหสั วิชา ..................... วชิ า ............................... หน่วยการเรียนรู้ที่ ..... เรื่อง .............................
แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี .... เรื่อง .................................................................. เวลา ..... ชั่วโมง
1. สรปุ ผลการเรยี นการสอน
……......................................................................................................................................... .................
……..........................................................................................................................................................
……......................................................................................................................................... .................
……............................................................................................................................................. .............
…….................................................................................................................. ........................................
……..........................................................................................................................................................
2. ปญั หา / อุปสรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………..........................................................................................................……………
……......................................................................................................................................... .................
……..........................................................................................................................................................
3. แนวทางแก้ไข / แนวทางการพัฒนา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………..........................................................................................................……………
……......................................................................................................................................... .................
……..........................................................................................................................................................
ลงชือ่ …………………………………………..ผสู้ อน
(นางสาวศศธิ ร นันทอง)
นกั ศึกษาฝกึ ประสบการณ์วิชาชพี ครู
วนั ท่ี.........เดือน......................พ.ศ..............
418
ความคดิ เห็นของครูพเี่ ลี้ยง
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................. ...................................
……..........................................................................................................................................................
……......................................................................................................................................... .................
……..........................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ................................................................ผ้ตู รวจสอบ
(นางสาวลภัสชวลั วจิ ติ พรวงศ์)
ครูพ่เี ลี้ยง
ความคิดเหน็ ของหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้
............................................................................................................................. ...................................
.......................................................................................................................................................... ......
…….......................................................................................................................... ................................
……......................................................................................................................................... .................
ลงชอ่ื ................................................................ผู้ตรวจสอบ
(นางนติ ยาภรณ์ ศรภี าแลว)
หวั หน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศกึ ษาหรือผทู้ ี่ไดร้ บั มอบหมาย
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................. ...................................
……..........................................................................................................................................................
……......................................................................................................................................... .................
……......................................................................................................................................... .................
…….............................................................................................................. ............................................
……......................................................................................................................................... .................
……..........................................................................................................................................................
……......................................................................................................................................... .................
ลงช่อื ................................................................
(นางสาวสุธธี ดิ า บรรณารักษ์)
หวั หน้ากลุม่ งานการจดั การเรยี นรู้
วันที่.........เดอื น......................พ.ศ. .........
419
ภาคผนวก
หมายเหตุ ภาคผนวกประกอบดว้ ย
1. สื่อการเรียนรู้ เช่น ใบความรู้ ใบกิจกรรม ใบงาน แบบฝึกทักษะ เป็นต้น (เฉพาะที่
ปรากฎในแผนการจัดการเรยี นรู้นี้)
2. เครื่องมือทีใ่ ช้วัดผลประเมนิ ผล เช่น แบบทดสอบก่อนเรยี น / หลงั เรยี น แบบประเมิน
ทักษะกระบวนการ แบบประเมินคุณลักษณอันพึงประสงค์ เป็นต้น (เฉพาะที่ปรากฎในแผนการจัด
การเรยี นรนู้ ้ี)
3. เกณฑก์ ารวัดผลประเมนิ ผล เชน่ เกณฑ์การใหค้ ะแนนด้านทักษะและกระบวนการทาง
คณิตศาสตร์ เกณฑ์การให้คะแนนด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เป็นต้น (เฉพาะที่ปรากฎใน
แผนการจัดการเรยี นรนู้ ี้
แบบประเมินผังมโนทศั น์ 420
คำชแี้ จง ให้ผ้สู อนประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน แล้วขีด ลงในช่องท่ีตรงกบั ระดบั คะแนน 1
ระดบั คะแนน
ลำดับที่ รายการประเมนิ 432
1 ความสอดคล้องกบั จุดประสงค์
2 ความสอดคล้องกบั เนอ้ื หา
3 ความคิดสรา้ งสรรค์
4 ความตรงต่อเวลา
รวม
ลงช่อื …………………………………………………………. ผู้ประเมิน
………../………………../………………
421
เกณฑ์การประเมนิ ผังมโนทัศน์
ประเด็นท่ี 4 ระดับคะแนน 2 1
ประเมนิ 3
1. ความ ผลงานสอดคลอ้ งกบั ผลงานสอดคลอ้ งกับ ผลงานสอดคลอ้ งกับ ผลงานไมส่ อดคล้องกับ
สอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงคท์ ุกประเดน็ จดุ ประสงค์เปน็ ส่วนใหญ่ จุดประสงคบ์ าง จดุ ประสงค์
จุดประสงค์ ประเด็น
2. ความถกู ต้อง เนื้อหาสาระของผลงาน เน้ือหาสาระของผลงาน เนอื้ หาสาระของ เนื้อหาสาระของผลงาน
ผลงาน ถูกตอ้ งบาง ไม่ถูกต้องเป็นสว่ นใหญ่
ของ เนื้อหา ถูกต้องครบถว้ น ถูกต้องเปน็ ส่วนใหญ่ ประเดน็
3. ความคิด ผลงานแสดงถงึ ความคิด ผลงานแสดงถงึ ความคดิ ผลงานมีความ ผลงานไมม่ ีความ
สร้างสรรค์ น่าสนใจ และไม่แสดง
สรา้ งสรรค์ แปลกใหม่ สรา้ งสรรคแ์ ปลกใหม่ แต่ นา่ สนใจ แต่ ยงั ไม่มี ถงึ แนวคิด แปลกใหม่
และเปน็ ระบบ ยงั ไม่เปน็ ระบบ แนวคิดแปลกใหม่
4. ความตรงต่อ สง่ ชิน้ งานภายในเวลาที่ ส่งชนิ้ งานชา้ กวา่ เวลาท่ี สง่ ช้ินงานชา้ กว่าเวลา สง่ ชิ้นงานชา้ กว่าเวลาที่
เวลา กำหนด กำหนด 1 วนั ที่ กำหนด 2 วัน กำหนด 3 วันขึ้นไป
เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดมี าก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ำกว่า 8 ปรบั ปรงุ
แบบประเมนิ การนำเสนอผลงาน 422
คำช้ีแจง : ใหผ้ ูส้ อนสังเกตพฤตกิ รรมของนักเรียนในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในชอ่ งทตี่ รงกบั ระดบั คะแนน
ลำดับที่ รายการประเมิน ระดบั คะแนน
321
1 เนอื้ หาละเอยี ดชัดเจน
2 ความถกู ตอ้ งของเนอ้ื หา
3 ภาษาที่ใชเ้ ขา้ ใจง่าย
4 ประโยชน์ที่ไดจ้ ากการนำเสนอ
5 วธิ ีการนำเสนอผลงาน
ลงชอ่ื …………………………………………………………. ผ้ปู ระเมิน
………../………………../………………
เกณฑ์การใหค้ ะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณช์ ดั เจน ให้ 3 คะแนน
ผลงานหรือพฤตกิ รรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นสว่ นใหญ่ ให้ 2 คะแนน
ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ บางสว่ น ให้ 1 คะแนน
เกณฑก์ ารตัดสนิ คณุ ภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคณุ ภาพ
14-16 ดมี าก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ำกวา่ 8 ปรบั ปรุง
423
แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงาน
กลมุ่
คำชแี้ จง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขดี ลงในชอ่ งทตี่ รงกับระดบั คะแนน
ลำดบั ช่ือ–สกลุ การแสดง การยอมรับ การทำงาน ความมีน้ำใจ การมี รวม
ท่ี ของนกั เรยี น ความคิดเห็น ฟงั คนอ่นื ตามท่ีได้รบั 321 สว่ นรว่ มใน 15
มอบหมาย การปรับปรงุ คะแนน
1. นายกรวกิ นอ้ ยยะ 321 321 ผลงานกลุ่ม
2. นายนทั ธพงศ์ สนุ ทรชัย 321
3. นายบัญญวตั ปอ้ มเชียงพิณ 321
4. นายวงศธร แสงนิกุล
5. นายภาณุพงศ์ พรมสชี า
6. นายพัสกร พันละเกตุ
7. นายฑนวฒั น์ มัน่ ศกั ดิ์
8. นายสริ ภพ แซ่ภู่
9. นายนราธิป เสนจนั ทร์ฒิไชย
10. นายปยิ วฒั น์ รอดชมภู
11. นายอนชุ า สลาพมิ พ์
12. นายจณิ ภทั ร สงิ หเสน
13. นายชนาธปิ กำพระบาง
14. นายรชต บตุ รโคตร
15. นายชนุวรรธน์ อภิรักษเ์ มธาวงศ์
16. นายปราบปวร ปทั มสนธิ์
17. นายกิตตภิ ัฏ เจอื จนั ทึก
18. นายสมุ ติ ร มาตสุทธิ์
19. น.ส.วันนิสา กิตตกิ ุลธร
20. น.ส.ญาณภทั ร เทศศรีเมือง
21. น.ส.นภสั รา รตั นคุณ
22. น.ส.สุชาวดี ผาระนตั ร
23. น.ส.พรทิพ เตนากลุ
24. น.ส.พรนภสั ชัยอาวธุ
25. น.ส.วาสนา ปติ ะสตุ
26. น.ส.นราพร พุฒฝอย
27. น.ส.วนันพร ตนั นารตั น์
28. น.ส.ศลษิ า มลู มงั่
29. น.ส.ศิรภสั สร ดอนชุม
30. น.ส.กัณฐิกา อินทะวงศ์
ลำดับ ช่ือ–สกลุ การแสดง การยอมรับ การทำงาน ความมนี ำ้ ใจ การมี 424
ที่ ของนักเรยี น ความคดิ เห็น ฟังคนอ่ืน ตามท่ีได้รับ 321 สว่ นร่วมใน
มอบหมาย การปรับปรุง รวม
31. น.ส.ณัฐวรา ชยั เดช 321 321 ผลงานกลมุ่ 15
32. น.ส.ธัญมาส อะตะมะ 321 คะแนน
33. น.ส.ปาณศิ า โฉมกระโทก 321
34. น.ส.ศภุ ดิ า นามบุรี
35. น.ส.อธิชา คำภูมี
36. น.ส.มาตา บทไธสง
37. น.ส.ณฏั ฐณชิ า บญุ ตาระวะ
38. น.ส.พรพิชญ์ เพ็งคำศรี
39. น.ส.ชาลสิ า หล้ากำ่
40. น.ส.ภทั รนันท์ ภูนาปี
41. น.ส.ลลนา เขม็ เลศิ
42. น.ส.มทุ ิตา คณะโท
43. น.ส.ธนญั ญา นามวงษ์
44. น.ส.พดั ชา วงไชยยา
45. น.ส.อาภาสริ ิ ฟุ้งกลน่ิ
ลงชอื่ …………………………………………………………. ผปู้ ระเมิน
………../………………../………………
เกณฑ์การใหค้ ะแนน
ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน
ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตดั สนิ คณุ ภาพ
ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ตำ่ กว่า 8 ปรบั ปรงุ
425
แบบประเมินการปฏิบัตกิ าร
คำชี้แจง : ให้ผสู้ อนประเมินการปฏิบัติการของนักเรียนตามรายการทีก่ ำหนดแล้วขดี ✓ลงในชอ่ งทีต่ รงกับระดบั คะแนน
ลำดบั ท่ี รายการประเมนิ ระดบั คะแนน
4321
1 การปฏิบัติการทดลอง
2 ความคลอ่ งแคล่วขณะปฏบิ ตั ิการ รวม
3 การนำเสนอ
ลงช่อื ................................................... ผูป้ ระเมิน
................./................../..................
เกณฑก์ ารประเมินรายงาน
ประเดน็ ทปี่ ระเมิน 4 ระดบั คะแนน 2 1
3
1. การปฏิบัติการ ทำตามทดลองตามขั้นตอน ทำตามทดลองตามขั้นตอน ต้องให้ความช่วยเหลือบ้าง ต้องให้ความช่วยเหลืออยา่ ง
ทดลอง และใช้อปุ กรณไ์ ด้อย่างถกู ต้อง และใช้อุปกรณ์ได้อย่าง ในการทำการทดลอง และ มากในการทำการทดลอง
ถูกต้อง แต่อาจต้องได้รับ การใชอ้ ุปกรณ์ และการใช้อุปกรณ์
คำแนะนำบา้ ง
2. ความคล่องแคล่ว มีความคล่องแคล่วในการทำ มีความคล่องแคล่วในการ ข า ด ค ว า ม ค ล ่ อ ง แ ค ล่ ว ทำการทดลองเสร็จไม่
ขณะปฏบิ ตั ิการ การทดลองโดยไม่ตอ้ งไดร้ ับคำ ทำการทดลองแต่ต้องได้รับ ในขณะการทำการทดลอง ทันเวลา และทำอุปกรณ์
ช้ีแนะ และทำการทดลองเสรจ็ คำแนะนำบ้าง และทำการ จึงทำการทดลองเสร็จไม่ เสียหาย
ทันเวลา ทดลองเสร็จทันเวลา ทันเวลา
3. การบันทึก สรุป บนั ทึกและสรุปผลการทดลอง บันทึกและสรุปผลการ ต้องให้คำแนะนำในการ ต้องให้ความช่วยเหลืออยา่ ง
และการนำเสนอ ไดถ้ กู ตอ้ ง รดั กมุ นำเสนอผล ทดลองได้ถูกต้อง แต่การ บันทึก สรุป และนำเสนอ มากในการบันทึกสรุป และ
ผลการทดลอง การทดลองเปน็ ขนั้ ตอนชัดเจน นำเสนอผลการทดลองยงั ไม่ ผลการทดลอง นำเสนอผลการทดลอง
เปน็ ขน้ั ตอน
เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ
ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ
11-12 ดีมาก
9-10 ดี
6-8 พอใช้
ต่ำกวา่ 6 ปรบั ปรงุ
426
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 23
โดยจัดกิจกรรมการเรยี นรู้แบบ 5E
รหสั วชิ า ว32242 วชิ า ชีววิทยาเพมิ่ เติม 4 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 5
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 15 เรอื่ ง ระบบภูมคิ ้มุ กนั เวลา 12 ชั่วโมง
แผนการจดั การเรียนรู้เร่ือง ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกนั เวลา 1 ชั่วโมง
ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ผู้สอน นางสาวศศธิ ร นันทอง
กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรยี นปทุมเทพวทิ ยาคาร
_________________________________________________________________________
1. สาระชีววทิ ยา
เข้าใจการย่อยอาหารของสัตว์และมนุษย์ การหายใจและการแลกเปลี่ยนแก๊สการลำเลียง
สารและการหมุนเวียนเลือด ภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขับถ่าย การรับรู้และการตอบสนอง การ
เคลื่อนที่ การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต ฮอร์โมนกับการรักษาดุลยภาพ และพฤติกรรมของสัตว์
รวมท้ังนำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์
ผลการเรียนรู้
สืบค้นข้อมลู และอธบิ ายเกี่ยวกับความผดิ ปกตขิ องระบบภูมิคมุ้ กันทที่ ำใหเ้ กดิ โรคเอดส์ ภูมแิ พ้
การสรา้ งภมู ติ า้ นทานตอ่ เน้ือเยอ่ื ตนเอง
2. สาระสำคญั
ระบบภูมิคุ้มกันมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ แต่บางครั้งระบบภูมคุ้มกันอาจมี
การตอบสนองที่ผิดปกติ จนก่อให้เกิดโรคในระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคภูมิแพ้ โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง
โรคเอดส์ หรอื กลุ่มอาการภมู คิ ้มุ กันบกพร่อง เปน็ ต้น
3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K) นักเรียนสามารถอธิบายลักษณะของโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบ
ภมู คิ ุ้มกนั ได้
3.2 ด้านทักษะและกระบวนการ (P) นักเรียนสามารถปฏิบัติตนตามแนวทางป้องกันการติดเช้ือ
HIV ไดอ้ ย่างถูกต้อง
3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) นกั เรยี นมีความรับผดิ ชอบตอ่ หนา้ ทแี่ ละงานท่ีได้รบั มอบหมาย
427
4. สาระการเรยี นรู้
การได้รับวัคซีนหรือทอกซอยด์เป็นตัวอย่างของภูมิคุ้มกันก่อเอง โดยการกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง
ภมู คิ ุ้มกันข้นึ ดว้ ยวธิ กี ารใหส้ ารทเี่ ปน็ แอนตเิ จนเข้าสรู่ ่างกาย ส่วนภูมคิ มุ้ กนั รับมาเปน็ การรบั แอนติบอดี
โดยตรง เชน่ การได้รบั ซรี มั การไดร้ บั น้ำนมแม่
เอดส์ ภูมิแพ้ และการสรา้ งภูมิต้านทานต่อเน้ือเย่ือตนเอง เปน็ ตัวอย่างของอาการที่เกิดจากระบบ
ภมู คิ มุ้ กันของร่างกายท่ีทำงานผดิ ปกติ
5.1 สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น (เฉพาะทีเ่ กิดในแผนการจดั การเรยี นรู้น้)ี
1) ความสามารถในการสื่อสาร
2) ความสามารถในการคิด
3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา
4) ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ติ
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
5.2 สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียนของโรงเรียนมาตรฐานสากล
(เฉพาะทีเ่ กิดในแผนการจัดการเรยี นรนู้ ้)ี
1) เป็นเลศิ ทางวชิ าการ
2) ส่ือสารได้อยา่ งน้อย 2 ภาษา
3) ล้ำหนา้ ทางความคดิ
4) ผลติ งานอย่างสร้างสรรค์
5) รว่ มกนั รบั ผิดชอบตอ่ สังคมโลก
6. คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) (เฉพาะท่ีเกดิ ในแผนการจดั การเรยี นรู้น้)ี
1) รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 5) อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง
2) ซื่อสตั ย์ สุจรติ 6) มุ่งม่นั ในการทำงาน
3) มีวนิ ัย 7) รักความเปน็ ไทย
4) ใฝเ่ รยี นรู้ 8) มจี ติ สาธารณะ
7. การบูรณาการตามพระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ (เฉพาะที่เกิดในแผนการจดั การเรยี นรูน้ )ี้
บูรณาการกับหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
หลักความพอประมาณ
หลกั ความมีเหตผุ ล
428
หลกั การมภี มู ิคมุ้ กัน
เงอื่ นไขความรู้
เงอ่ื นไขคณุ ธรรม
บูรณาการกบั การจัดการศึกษาเพอ่ื อาชีพ
บรู ณาการกับหลกั สูตรต้านทจุ ริตศกึ ษา
การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม
ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ ริต
STRONG : จติ พอเพียงต้านทจุ ริต
พลเมอื งกับความรับผิดชอบตอ่ สังคม
บรู ณาการขา้ มกลุ่มสาระการเรยี นรู้
(ระบุ)…………………………………………………………………….......................................................
............................................................................................................................. ...................................
อื่น ๆ
(ระบุ)…………………………………………………………………….......................................................
............................................................................................................................. ...................................
8. กิจกรรมการเรียนรู้
วธิ ีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E (Inquiry Method : 5E)
ขน้ั สร้างความสนใจ (Engagement)
1.1) ครูกระตุ้นความสนใจของนักเรียนโดยนำภาพอาการป่วยจากโรคที่เกิดจากความผิดปกติ
ของระบบ ภูมิคุ้มกัน เชน่ ผปู้ ่วยโรคเอดส์ ผปู้ ว่ ยโรคแพภ้ มู คิ ุ้มกนั ตนเอง โรคภมู แิ พ้
429
1.2) ครถู ามคำถามนกั เรียน โดยมีแนวคำถามดงั นี้
- ร่างกายมีระบบภมู ิคุ้มกันต่าง ๆ แต่ทำไมยังพบผู้ป่วยเปน็ โรคที่ไมส่ ามารถรักษาให้หายขาด
ได้ (แนวคำตอบ: เนื่องจากร่างกายของบางคนมีความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ทำงานได้
อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สามารถต่อต้านหรือทำลายเชื้อโรคบางชนิดได้ จึงพบผู้ป่วยเป็นโรคที่ไม่
สามารถรักษาใหห้ ายขาดได้)
- นักเรยี นรู้จกั โรคทเ่ี กิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกนั หรือไม่ พรอ้ มยกตวั อย่างโรคท่ี
รู้จัก (แนวคำตอบ: คำตอบขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของครูผู้สอน โรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบ
ภูมิคุ้มกันที่รู้จักกัน ได้แก่ โรคเอดส์ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HIV (human immunodeficiency
virus) ซ่ึงเป็นเชอื้ โรคทเี่ ข้าทำลายระบบภูมิคุ้มกันของรา่ งกาย ทำให้ระบบภมู ิคมุ้ กนั ไม่สามารถทำงาน
ได้หรือทำงานอย่างไมม่ ปี ระสิทธภิ าพ)
1.3) ครูสอบถามนักเรียนในชน้ั เรียน โดยมีแนวคำถามดงั นี้
- ในชน้ั เรยี นมนี กั เรยี นคนใดหรือคนในครอบครัวของนักเรียนเป็นโรคภมู ิแพห้ รือไม่
- ถา้ มใี ห้นักเรยี นออกมาอธบิ ายลักษณะอาการของโรค และการดูแลรกั ษาโรค
ขน้ั สำรวจคน้ หา (Exploration)
2.1) ครใู ห้นกั เรียนแบ่งกลุ่มเปน็ 3 กลมุ่ จบั สลากโรคในระบบภูมคิ ุ้มกนั โดยมีหัวข้อดังน้ี
- โรคภมู แิ พ้ (Allergy)
- โรคแพภ้ มู ิคมุ้ กันตนเอง (Systemic lupus erythematosus; SLE)
- โรคภูมคิ ุม้ กนั บกพร่อง (Acquired immune deficiency syndrome หรือ AIDS)
2.3) จากนั้นให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่เกิดจากความผิดปกติ
ของระบบภูมิคุ้มกันในประเด็นต่าง ๆ ทั้งสาเหตุ อาการ การดูแลรักษา และการป้องกันโรค โดยให้
นักเรยี นทำป้ายนิเทศนำเสนอหน้าชนั้ เรียน
430
ขั้นอธิบายความรู้ (Explanation)
3.1) ครใู ห้นักเรยี นแตล่ ะกล่มุ ออกมานำเสนอปา้ ยนิเทศ เรือ่ ง โรคในระบบภูมิคมุ้ กัน
3.2) นักเรยี นและครูร่วมกนั อภปิ รายเกยี่ วกบั โรคในระบบภูมิคุ้มกนั เช่น โรคภมู แิ ก้ (Allergy)
เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อแอนติเจนบางชนิดอย่างรุนแรง โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตนเอง
(Systemic lupus erythematosus; SLE) เกิดจากภูมิคุ้มกันต่อตา้ นและทำลายเซลล์หรือเน้ือเย่ือใน
ระบบต่าง ๆ ของร่างกาย และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องเกิดจากการได้รับเชื้อไวรัส HIV (Human
immunodeficiency virus) ทำใหล้ ิมโฟไซต์ชนดิ เซลล์ที (T-lymphocyte) ลดลง จึงตดิ เช้อื โรคอื่น ๆ
ไดง้ ่าย
ขนั้ ขยายความเข้าใจ (Elaboration)
4.1) ครูอธิบายเพิ่มเต็ม เกี่ยวกับ ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร้อง ดังนี้ ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
(immunodeficiency) แบง่ ตามสาเหตกุ ารเกดิ ไดเ้ ปน็ 2 แบบ คอื
1. ภาวะภมู คิ มุ้ กันบกพร่องแต่กำเนิด (primary immunodeficiency) สว่ นใหญ่มสี าเหตุ
จากความผิดปกติของพนั ธุกรรมหรือยีนซึ่งได้รับการถ่ายทอดตอ่ มา มักแสดงอาการตั้งแต่แรกเกดิ ทำ
ให้เซลล์ที่เกี่ยวข้องในระบบภูมิคุ้มกัน เช่น เซลล์บี เซลล์ที ฟาโกไซต์ หรือโปรตีน ในระบบคอมพลี
เมนตไ์ มส่ ามารถทำงานได้หรอื ทำงานได้ไม่เป็นปกติ
2. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เกิดขึ้นภายหลัง (secondary immunodeficiency)
เกดิ ขน้ึ จากหลายสาเหตุ เชน่
- การได้รบั เชอ้ื ไวรสั บางอยา่ ง เชน่ เชือ้ HIV
- มะเร็ง เช่น โรคมะเรง็ เมด็ เลอื ดขาว (leukemia) ที่ไขกระดูก
- การได้รบั ยาทม่ี ผี ลตอ่ ระบบภูมิคุ้มกนั เช่น ยากดภมู ิคุ้มกนั กลุ่มสเตอรอยด์ ยาเคมีบำบดั
- ทุพโภชนาการ (malnutrition) คือ การขาดสารอาหารบางอย่างโดยเฉพาะโปรตีนซึ่งเป็น
สว่ นประกอบหลักของอิมมูโนโกลบูลนิ หรือแรธ่ าตุอน่ื ๆ
- การไดร้ ับสารพษิ หรอื สารเคมจี ากสาเหตุดงั กล่าวทำให้ภมู คิ ุม้ กันของรา่ งกายลดตำ่ ลงและทำ
ใหเ้ สยี่ งต่อการตดิ โรคอ่นื ๆ ไดง้ า่ ยกวา่ ปกติ
ขัน้ ประเมนิ (Evaluation)
5.1) ครถู ามคำถามนักเรียน เพือ่ ประเมนิ ความเขา้ ใจ โดยมีแนวคำถาม ดังน้ี
- โรคภมู แิ พ้ (Allergy) มกี ลไกการเกิดอย่างไร (แนวคำตอบ: เมอื่ รา่ งกายได้รับแอนติเจน
(Antigen) ที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น เชื้อราในอากาศ อาหารทะเล ขนสัตว์ เกสรดอกไม้
แอนติเจนดังกล่าวกระตนุ้ เซลลบ์ ีให้สร้างแอนตบิ อดี (Antibody) ชนิด IgE และเข้าจับกับผิวเซลล์เม็ด
เลือดขาวชนิดเบโซฟิล (Basophil) ทำให้มีการสร้างสารฮิสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้
431
ร่างกายจงึ แสดงอาหารแพ้ เช่น มผี ่นื ข้ึนบริเวณผวิ หนงั มกี ารจามอยา่ งรนุ แรง มกี ารอักเสบบรเิ วณเยื่อ
เมอื กและผวิ หนงั )
- โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตนเอง (Systemic lupus erythematosus; SLE) เกิดจากสาเหตุใด
สามารถรักษาได้ อยา่ งไร (แนวคำตอบ: โรคแพ้ภูมิคุ้มกนั ตนเอง (Systemic lupus erythematosus;
SLE) เกิดจากระบบภูมิคมุ้ กนั ของตนเองต่อตา้ นหรือทำลายเซลลแ์ ละอวยั วะตา่ ง ๆ ของร่างกาย ทำให้
เกิดการอักเสบของอวัยวะ โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตนเองเกิดได้จากพันธกุ รรมท่ีมียนี ผดิ ปกติ การรับยาหรือ
สารเคมีที่กระตุ้นให้เกิดความผิดปกติของเอนไซม์ (Enzyme) ซึ่งปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคให้
หายขาด ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่าง
เครง่ ครดั และหลีกเล่ยี งการสมั ผสั สารหรือสิ่งแวดล้อมที่กระต้นุ อาการของโรค)
- เชื้อไวรัส HIV (Human immunodeficiency virus) เพิ่มจำนวนในร่างกายได้อย่างไร
(แนวคำตอบ: เชื้อไวรัส HIV (Human immunodeficiency virus) เข้าจับกับเซลล์เจ้าบ้าน
(Host)และปล่อยสารพันธุกรรม (RNA) เข้าสู่เซลล์เจ้าบ้าน จากนั้นเอนไซม์รีเวอร์สทรานสคริปเทส
(Reverse transcriptase enzyme) จะเปล่ียน RNA ของไวรัสให้กลายเปน็ DNA โดยใชน้ วิ คลีโอไทด์
(Nucleoside) ของเซลล์เจ้าบ้าน และ DNA ของไวรัสจะรวมตัวกับ DNA ของเซลล์เจ้าบ้าน ซึ่งมีการ
สังเคราะห์โปรตีนในส่วนที่สารพันธุกรรมของไวรัสแทรกอยู่ โดยโปรตีนที่สังเคราะห์ขึ้นจะถูกตัดแยก
เอาโปรตีนทีเ่ ป็นส่วนประกอบของไวรัสและนำมาสร้างไวรสั HIV ตัวใหม่ จากนั้นไวรัส HIV จะใช้ผนงั
เซลล์ของเซลล์เจ้าบ้านสร้างผนังเซลล์ของไวรัสและแยกตัวออกจากเซลล์เจ้าบ้าน ซึ่งจะแพร่กระจาย
ไปยังเซลล์อืน่ ๆ ทำให้มกี ารเพ่ิมจำนวนอยา่ งรวดเร็ว)
- เมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัส HIV (Human immunodeficiency virus) มีการ
เปลี่ยนแปลงของปริมาณเซลล์ที ปริมาณแอนติบอดี และปริมาณ ไวรัส HIV อย่างไร (แนวคำตอบ:
เมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัส HIV ร่างกายจะสร้างเซลล์ทีผู้ช่วยซึ่งกระตุ้นเซลล์บีให้สร้างแอนติบอดีเข้า
ทำลายเชือ้ ไวรัส HIV ทำให้ในช่วงแรกท่ีไดร้ ับเชื้อไวรสั HIV จะมปี ริมาณเซลล์ทีและแอนติบอดีสูงมาก
แต่ปริมาณเชื้อไวรัส HIV จะลดลงอย่างรวดเร็วและยังคงแฝงอยู่ในร่างกาย แต่เมื่อเวลาผ่านไป เช้ือ
ไวรัส HIV จะค่อย ๆ เพิ่มจำนวนกลับขึ้นมาอีกครั้งและเข้าทำลายเซลล์ทีผู้ช่วยซึง่ เป็นเซลล์เปา้ หมาย
ทำใหเ้ ซลล์ทีผชู้ ่วยมีปรมิ าณลดลงอยา่ งรวดเร็ว)
- ผู้ติดเชื้อไวรัส HIV (Human immunodeficiency virus) และผู้ป่วยโรคเอดส์
(Acquired immune deficiency syndrome หรอื AIDS) มลี ักษณะเหมือนหรอื แตกต่างกนั อย่างไร
(แนวคำตอบ: แตกต่างกัน ผู้ติดเชื้อไวรัส HIV (Human immunodeficiency virus) ไม่ใช่ผู้ป่วย ซึ่ง
ร่างกายอาจมีอาการคลา้ ยไขห้ วดั เจบ็ คอ ปวดศีรษะ ต่อมนำ้ เหลอื งโต จากนน้ั อาการตา่ ง ๆ จะหายไป
ส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อ ซึ่งเป็นระยะที่ 1 หรือระยะไม่มีอาการ ผู้ท่ีอยู่ในระยะนี้ เรียกว่า ผู้มี
เชื้อเอชไอวี ส่วนผู้ป่วยโรคเอดส์ (Acquired immune deficiency syndrome หรือ AIDS) เป็น
432
ผู้ป่วยที่เชื้อ HIV เข้าทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว (White Blood Cell) ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำ
กว่าปกตจิ งึ ตดิ เชื้อโรคฉวยโอกาสตา่ ง ๆ เชน่ วัณโรค ปอดบวม หรือเป็นมะเร็งบางชนิด ได้ง่ายกว่าคน
ปกต)ิ
9. สอ่ื การเรยี นรูแ้ ละแหล่งการเรยี นรู้
9.1 สื่อการเรยี นรู้
1 .หนงั สือเรียนชีววิทยา สสวท. ม.5 เลม่ 4
2. PowerPoint
9.2 แหลง่ การเรียนรู้
1. ห้องเรยี น
2. หอ้ งสมดุ
10. การวัดและประเมินผล
จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการ เคร่อื งมือท่ีใช้ เกณฑ์
-แบบประเมินการ ร้อยละ 80%
ด้านความรู้ (K) ) นักเรียนสามารถ -การนำเสนอเกี่ยวกับ นำเสนองาน ผ่านเกณฑ์
อธิบายลักษณะของโรคที่เกิดจาก หัวข้อท่ไี ด้รับมอบหมาย
ความผิดปกติของระบบภูมคิ ุ้มกันได้
ด้านทักษะและกระบวนการ (P) -นำเสนอผลงาน -แบบประเมนิ การ ร้อยละ 80 %
นักเรียนสามารถปฏิบัติตนตาม -แบบประเมนิ ปฏบิ ัติการ นำเสนอผลงาน ผา่ นเกณฑ์
แนวทางป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้ -แบบประเมนิ ปฏบิ ัติการ
อย่างถกู ตอ้ ง
ด้านคุณลักษณะ (A) -สังเกตพฤตกิ รรม การ -แบบสังเกตพฤติกรรม ระดับคุณภาพ
2 ผา่ นเกณฑ์
นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อหน้าท่ี ทำงาน ความมวี นิ ยั ใฝ่ การทำงาน
และงานท่ีได้รับมอบหมาย เรียนรู้ และมุ่งมน่ั ในการ
ทำงาน
433
บันทกึ ผลหลงั การสอน
รหสั วชิ า ..................... วชิ า ............................... หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ..... เรอื่ ง .............................
แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี .... เรอ่ื ง .................................................................. เวลา ..... ชั่วโมง
1. สรุปผลการเรยี นการสอน
……......................................................................................................................................... .................
…….............................................................................................................. ............................................
……......................................................................................................................................... .................
……............................................................................................................... ...........................................
……......................................................................................................................................... .................
……..........................................................................................................................................................
2. ปัญหา / อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………..........................................................................................................……………
……......................................................................................................................................... .................
……..........................................................................................................................................................
3. แนวทางแก้ไข / แนวทางการพฒั นา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………..........................................................................................................……………
……......................................................................................................................................... .................
……..........................................................................................................................................................
ลงชอื่ …………………………………………..ผสู้ อน
(นางสาวศศธิ ร นันทอง)
นักศกึ ษาฝึกประสบการณว์ ิชาชพี ครู
วันท่ี.........เดอื น......................พ.ศ..............
434
ความคิดเห็นของครูพี่เล้ียง
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................. ...................................
……..........................................................................................................................................................
……......................................................................................................................................... .................
……..........................................................................................................................................................
ลงชื่อ................................................................ผูต้ รวจสอบ
(นางสาวลภสั ชวลั วิจติ พรวงศ์)
ครูพี่เลี้ยง
ความคดิ เห็นของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรยี นรู้
............................................................................................................................. ...................................
.......................................................................................................................................................... ......
…….......................................................................................................................... ................................
……......................................................................................................................................... .................
ลงชื่อ................................................................ผู้ตรวจสอบ
(นางนิตยาภรณ์ ศรภี าแลว)
หวั หน้ากลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ความคดิ เห็นของผบู้ รหิ ารสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รบั มอบหมาย
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................... .................................................................
……......................................................................................................................................... .................
……..........................................................................................................................................................
……......................................................................................................................................... .................
…….............................................................................................................. ............................................
……......................................................................................................................................... .................
……..........................................................................................................................................................
……......................................................................................................................................... .................
ลงชอ่ื ................................................................
(นางสาวสุธธี ิดา บรรณารกั ษ์)
หวั หนา้ กลมุ่ งานการจดั การเรยี นรู้
วันท่ี.........เดอื น......................พ.ศ. .........