The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พุทธศิลป์มหัศจรรย์อันดากู

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by eengteepakorn, 2022-05-07 00:03:51

พุทธศิลป์มหัศจรรย์อันดากู

พุทธศิลป์มหัศจรรย์อันดากู

Keywords: พุทธศิลป์มหัศจรรย์อันดากู,อันดากู

อัันดากูู

อันั ดากูู สลักั ขึ้น้� จากจิติ ศรัทั ธาที่ม่� ีีต่อ่ องค์ส์ มเด็จ็ พระสัมั มาสัมั พุทุ ธเจ้า้ เพื่อ่� ถวาย
เป็น็ พุทุ ธบูชู า ช่า่ งที่แ่� กะสลักั ต้อ้ งมีสี มาธิขิั้น� สูงู การออกแบบองค์ป์ ระกอบ ต้อ้ งใช้จ้ ินิ ตนา
อย่า่ งสูงู ส่ง่ ผลงานที่�่ออกมาจึึงมหัศั จรรย์์ยิ่�งนััก
อัันดากูู เป็็นศิิลปะที่่�แกะจากแผ่่นหิินที่�่ประกอบด้้วยปรััชญาทางธรรม
ความศรัทั ธาและชื่�่อหิินอันั ดากูู จนคำว่า่ อันั ดากูู กลายมาเป็็นคำเรีียกรวมทั้้�งสามอย่่าง
เป็็นหนึ่่ง� ความหมายรวมกันั
อัันดากูู เป็็นปฏิิมากรรมทางพระพุุทธศาสนาฉบัับย่่อเกี่�่ยวกัับ เหตุุการณ์์
การดำเนิินชีีวิิตและบอกเล่่าความเป็็นมาของการได้้มาซึ่�่งศาสนาพุุทธและองค์์สมเด็็จ
พระสััมมาสััมพุุทธเจ้้า งานศิิลปะประเภทนี้้�แม้้จะเป็็นงานศิิลปะขนาดเล็็กแต่่มากด้้วย
ปรััชญา และงานช่่างฝีีมืือที่่�หาสิ่�งอื่่�นใดมาเปรีียบเทีียบได้้ อัันดากููถึึงแม้้จะมีีขนาดเล็็ก
แต่ก่ ลับั ซ่่อนเร้้นความศรัทั ธาขนาดใหญ่ไ่ ว้ภ้ ายใน เหตุเุ พราะอัันดากููถููกรังั สรรค์์ขึ้้�นจาก
ปรััชญาที่่�ลุ่่�มลึึกไม่่เหมืือนใคร หากผู้�ใดเข้้าถึึงปรััชญาการสร้้างนี้้�แล้้ว เป็็นธรรมดาที่�่
จะต้้องเกิิดแรงศรัทั ธาที่ม่� ีีต่อ่ ปฏิิมากรรมชิ้้�นเล็ก็ เหล่า่ นี้้�

........นายช่่างเนย์์........

คำนำ

พระหินแกะสลกั ศลิ ปะพุกามถือกาเนิดขึ้นในประเทศเมียนมาร์ หรือท่ีเรียกว่าดินแดนแห่งทะเลเจดีย์ แหล่งของศิลปะช้ันสูง ท่ีมีความอ่อนช้อย
งดงาม ซึ่งไดร้ วมเอาพทุ ธประวัตทิ ั้งหมดไวใ้ นงานแกะสลักน้ี ซง่ึ มีความสาคญั อย่างย่ิงในการสืบทอดประวัติความเป็นมาของพุทธศาสนา เนื่องด้วยศิลปะ
พุกามเป็นศิลปะท่ีหาดูได้ยาก ควรแก่การรักษาและสืบทอดไว้เป็นอย่างย่ิง จึงเป็นการดีท่ีผู้จัดทานาเสนอรายละเอียดประวัติความเป็นมาข องพระหิน
แกะสลักศลิ ปะพุกาม ยุคสมัยของพระหนิ แกะสลักศิลปะพุกามตา่ ง ๆ การผสมผสานของศิลปะพุกามในสมัยปัจจุบัน และการสืบทอดแก่อนุชนรุ่นหลัง

อันดากู เป็นปฏิมากรรมทางพระพุทธศาสนาฉบับย่อเกี่ยวกับ เหตุการณ์การดาเนินชีวิตและบอกเล่าความเป็นมาของการได้มาซึ่งศาสนาพุทธ
และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า งานศิลปะประเภทน้ีแม้จะเป็นงานศิลปะขนาดเล็กแต่มากด้วยปรัชญา และงานช่างฝีมือที่หาสิ่งอื่นใดมา
เปรียบเทียบได้ ถึงแม้ว่าศิลปะการสร้างอันดากูจะยังคงมีอยู่ จนถึงปัจจุบัน แต่ความสวยงามที่เกิดจากความศรัทธาอย่างสูงยิ่งในอดีต น้ั นมีความ
แตกต่างห่างไกลกนั มากกบั อันดากใู นระยะหลงั จนยากท่จี ะนามาบรรยาย เหตเุ พราะอนั ดากใู นปจั จุบนั ถกู รังสรรค์จากการขับเคล่ือนทางเศรษฐกิจในเชิง
พาณิชย์มากกว่าจะเกิดจากผลงานท่ีถูกส่งผ่านเข้ามาทางด้านความศรัทธาที่เกิดจากทางจิตใจ จึงทาให้งานสร้างสรรค์อันดากูในอดีตดูคล้า ยกับมีชีวิต
และจิตวิญญาณที่เคล่ือนไหวได้ หรือควรจะเปรียบได้เหมือนกับศิลปะบริสุทธิ์แบบอมตะ ท่ีมีองค์ประกอบแห่งความงามอยู่คู่กับพระพุทธศาส นา
นอกเหนือจากนั้นในตัวองค์ปฏิมากรรมอันดากูเอง ยังเป็นตาราทางประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าถึงเหตุการณ์ทางด้านการเมืองในอดีตที่ผ่านมาได้ อย่าง
ชัดเจน หากผู้สนใจในอันดากูผู้น้ันมีความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศเมียนมาร์ในอดีตจนถึงปัจจุบันมากพอ เพราะฉะนั้นชิ้นหินหรือ
แผน่ หินเลก็ ๆ เหล่าน้ีจงึ ถกู บรรจเุ ต็มดว้ ยปรัชญาและบอกเล่าเหตุการณ์ทั้งทางด้านนามธรรม และรูปธรรมขององค์พระศาสดาในพระพุทธศาสนาร่วม
กับเหตุการณ์อื่น ๆ ทีบ่ คุ คลผู้นน้ั สามารถจินตนาการใหเ้ หน็ ภาพไดไ้ มย่ ากนัก

อันดากู เป็นปฏิติมากรรมขนาดเล็กมาก สืบเนื่องมาจากการที่เป็นหินธรรมชาติขนาดเล็กท้ังยังขาดซึ่งเทคโนโลยีในการขุดในสมัยนั้น จึงทาให้
ขนาดของอนั ดากจู ึงเป็นเอกลักษณ์อกี ชนิดหนึ่งของศลิ ปะชนิดน้ี เพราะโดยปกตปิ ฏิมากรรมชาวเมียนมาร์นิยมการแกะสลักหินขนาดใหญ่ท่ีเรามักจะพบ
เห็นพระพุทธรูปที่แกะจากหินชนิดอ่ืน ๆ ที่มขี นาดใหญ่มาก ท่มี ีอยู่จานวนมากตามสถานทต่ี ่าง ๆ แต่สาหรับชาวเมียนมาร์แล้ว อันดากูถึงแม้จะมีขนาด
เล็ก แต่กลับซ่อนเร้นความศรัทธาขนาดใหญ่ไว้ภายใน เหตุเพราะอันดากูถูกรังสรรค์ข้ึนจากปรัชญาที่ลุ่มลึกไม่เหมือนใคร หากผู้ใดเข้าถึ งปรัชญาการ
สร้างนี้แล้ว เป็นธรรมดาท่ีจะต้องเกิดแรงศรัทธาท่ีมีต่อปฏิมากรรมช้ินเล็กเหล่าน้ี แต่เป็นท่ีน่าแปลก เหตุเพราะจากข้อมูลที่ได้มาจากประสบการณ์ที่
ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน คาว่า อันดากู กลับไม่เป็นท่ีรู้จักของนักประวัติศาสตร์ศิลปะ นักสะสมศิลปะโบราณวัตถุ หรือแม้กระทั่งชาวเมียน มาร์เอง
ความหมายและช่อื หินทชี่ าวเมยี นมาร์กลุ่มหนง่ึ เรยี กว่า อนั ดากู นี้กลับรู้จกั อยใู่ นวงสงั คมทไี่ ม่กวา้ งขวางนกั

แม้แตใ่ นปจั จบุ ัน หากพูดถงึ อนั ดากูท่ยี ิ่งใหญ่นี้ น้อยคนนกั ท่จี ะร้จู ักและเข้าใจ แมแ้ ตร่ ้านค้าศลิ ปะวตั ถโุ บราณในเมียนมาร์ จงึ พอจะสรปุ ได้
ว่าหินท่ีชาวเมียนมาร์เรียกแบบควบรวมด้วยความศรทั ธาว่า อันดากู น้ันยังเป็นท่ีรู้จักกันน้อยมาก คล้ายกับเป็นศัพท์เฉพาะสาหรับสังคมกลุ่มหน่ึง ท่ี
มีความสนใจในเชิงของรายละเอียดเฉพาะจุดเท่าน้ันคล้ายกับคาเรียก พระเคร่ืองชุดเบญจภาคี ของสังคมไทยท่ีรู้จักกันในกลุ่มผู้นิยมพระเคร่ือง
เทา่ น้ัน แตห่ ลงั จากได้มีการเขา้ ไปวเิ คราะห์ วิจัย และศกึ ษามาทกุ ๆ ดา้ น อยา่ งแทจ้ รงิ จงึ ทราบไดว้ า่ ศิลปะแบบอันดากูไม่ได้เกิดข้ึนในประเทศเมียน
มาร์แต่เพียงแห่งเดียว แต่เป็นศิลปะและมีปรัชญาร่วมสมัยในรูปแบบเดียวกันหรือคล้ายคลึงกัน ที่อาจจะต่างกันเล็กน้อยในรายละเอียด แต่เป็น
ศลิ ปะของเกือบทกุ ชนชาตทิ ีน่ ับถือศาสนาพทุ ธในทวีปเอเชียในระยะเวลานัน้ โดยมีตน้ แบบท่ีถูกจุดประกายมาจากแผ่นศลิ าทีแ่ กะสลักแบบก่ึงลอยตัว
บนแผ่นศิลารูปกลีบบัวของศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน ท่ีอยู่ทางดินแดนด้านทิศตะวันออกของประเทศอินเดีย ในขณะน้ันมีราชวงศ์
ปาละเป็นผู้นา โดยท่ีพระราชอาณาเขตของอาณาจักรปาละติดกับอาณาจักรพุกามของประเทศเมียนมาร์ จึงเป็นเหตุที่ทาให้พระพุทธรูปในศิลปะ
อันดากู รวมทั้งพระพุทธรูปท่ัวไปในระยะต้นยุคอาณาจักรพุกาม จึงมีรูปพระพักตร์คล้ายกับศิลปะปาละของอินเดีย จนคร้ังหน่ึงในอดีตปฏิมา กรรม
อันดากถู ูกนกั โบราณคดชี าวตะวนั ตกเข้าใจคลาดเคล่อื น สรปุ ว่าเป็นศิลปะโบราณวัตถุท่ีถูกนาเข้ามาจากอินเดีย กับศิลปะลพบุรีของประเทศไทยท่ี
คร้ังหน่ึงในอดีตเคยถูกนักโบราณคดีชาวตะวันตกระบุและเรียกว่าศิลปะเขมรที่ค้นพบในประเทศไทย ซึ่งคล้ายกับทุกวันนี้ความรู้เร่ืองอันดากูได้ถูก
พฒั นาในแนวทางวิชาการด้าน ประวัติศาสตร์ศิลปะมากยิ่งข้ึนและดูชัดเจนกว่าเดิม รวมทั้งยังได้มีการค้นพบข้อมูลใหม่ ๆ เช่น สายวิวัฒนาการของ
ศิลปะแขนงนีท้ ่มี ีความต่อเน่ือง ยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน สายพัฒนาและการได้มาซึ่งกรรมวิธีการแกะสลักอันทรงคุณค่าน้ี สีหินท่ีนิยมใช้ในแต่ละ
ยุคสมัย ฯลฯ และที่สาคัญ ท่ีสุดคือรูปแบบของศิลปะท่ีมีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปตามศิลปะของแต่ละชนชาติ แต่ถึงอย่างไรก็ตามคาว่า อันดา กู
ก็ยังคงเป็นที่รจู้ ักท่ีอยู่ในวงแคบมากหากเปรียบเทียบในอัตราส่วนกับศิลปะประเภทอ่ืนในวงการนี้ทั่วโลก จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลเมียนมาร์และผู้ท่ี
เก่ียวข้องท้ังบุคคลที่มีความช่ืนชอบกับศิลปะแขนงน้ีจะต้องช่วยกันอนุรักษ์และเผยแพร่ขยายองค์ความรู้เก่ียวกับคาว่า อันดากู ให้ผู้ คนได้รับรู้ถึง
ความหมายท่ีเกิดจาก แรงศรัทธาที่ควบรวมกับชื่อพนื้ ถิน่ ของหนิ ชนิดน้ี ให้ผ้ทู ีอ่ ยากจะใฝ่รใู้ หร้ ู้ อย่างถูกต้องมากยิ่งข้ึน

จำกใจผู้เขียน ( 1 )

กอ่ นท่ีจะเขา้ ส่เู นอ้ื หาของหนังสือพทุ ธศิลป์มหศั จรรยอ์ นั ดากู ผมขออนุญาตเล่าประวัตคิ วามเป็นมาของพระอันดากูสูส่ ยามประเทศ ให้ท่าน
ผอู้ ่านได้รับทราบเบอื้ งตน้ ก่อนนะครบั อนั ดากูเป็นศิลปะปาละสกุลช่างอนิ เดีย พระอนั ดากเู ปน็ พระขนาดเลก็ ทส่ี วยที่สุดในโลกและมอี ายมุ ากท่ีสุดใน
โลก เปน็ พระต้นแบบเป็นพระแม่พมิ พข์ องพระขนาดเลก็ ท่ัวโลก สิ่งเราเห็นมันไมใ่ ช่แคง่ านศลิ ปะ แต่เราเห็นไปถงึ จิตวิญญาณของช่าง เราเห็นเข้าไป
ถงึ จิตใจท่ดี ีงามบรสิ ุทธ์ิ เราเหน็ ไปถงึ การใชช้ ีวิตท่ีมีหลักธรรม เราเห็นไปถึงความประเสรฐิ ของจิตใจมนุษยท์ มี่ ีศีลธรรม เปน็ ศิลปะปาละเสนะสกลุ ชา่ ง
อินเดยี บรรจุอยใู่ นกรุเจดียพ์ กุ ามหรอื ทเี่ รยี กวา่ ดนิ แดนแหง่ ทะเลเจดีย์ มีเจดยี ์เป็นพนั ๆ หมืน่ ๆ องค์

ต่อไปเราจะมาพูดถงึ เร่ืองการค้นพบอนั ดากูให้ฟงั นะครับ เมอ่ื ประมาณปี 2544 มชี าวพมา่ คนหนง่ึ เอาพระองคเ์ ล็ก ๆ แบบมหศั จรรย์มาใหผ้ มดู
เอาเขา้ มาทางท่าขเ้ี หลก็ ข้ามมาทาง อาเภอแมส่ าย จังหวัดเชยี งราย ผมเห็นแลว้ สะดุง้ เลย เอ๊ะทาไมพทุ ธศิลป์มนั มหัศจรรย์เชน่ น้ี ทาไมมันสวยขนาดน้ี
มันทาจากอะไร ทายังไงถงึ จะรูว้ า่ อนั นีม้ นั เกา่ หรอื มนั ใหม่อย่างไร ผมกน็ กึ ข้ึนไดเ้ ลยวา่ พระอนั ดากูเป็นพระแกะสลกั ก็มีทางเดียวคือต้องไปหาชา่ งท่ี
แกะสลักที่เก่งทสี่ ุด ผมกเ็ อาพระองคเ์ นยี่ ไปหาช่างเล็กหรอื พี่เลก็ นริศ รตั นวมิ ล ท่านเปน็ ชา่ งแกะสลักทีเ่ กง่ ท่ีสุดในประเทศไทย ทา่ นมีผลงานแกะสลัก
พระนอนท่ีวดั ป่าภกู ้อน จงั หวัดสกลนคร ในเมอื งไทยดา้ นงานแกะสลักถอื ว่าหาตวั จับยากมาก ผมก็เอาพระองคน์ ีว้ ิ่งไปหาพ่เี ลก็ ให้พ่เี ลก็ ช่วยดูพระองคน์ ี้
ใหผ้ มหนอ่ ย มันเก่ามนั ใหม่หรือยังไงครบั พเ่ี ลก็ ช่วยดใู ห้หนอ่ ย พเี่ ล็กดูแล้วพ่เี ล็กก็บอกว่าโออ้ ันนี้มนั เปน็ งานบ้าเลอื ด ไอค้ นแกะนมี่ นั ใช้เวลาแกะเป็น
อกาลโิ ก คือแกะไปเร่อื ย ๆ ไมจ่ ากดั เวลาแลว้ เสรจ็ คอื แกะไปเรอื่ ย ๆ เสรจ็ เมื่อไหรก่ เ็ มอ่ื นน้ั ไมม่ ีกาลเวลาแลว้ เสรจ็ ทาไปเรือ่ ย ๆ แลว้ ท่านก็ย้ามาว่า
แม้แตท่ า่ นเองกท็ าไม่ได้ แล้วผมก็เลยต้ังคาถามพี่นริศว่า แล้วมนั ใชอ้ ะไรแกะ ท่านก็บอกว่า Wood Cut ครับ ใช้ Wood Cut ธรรมดานเ่ี อง
Wood Cut กค็ ือเครือ่ งมือแกะสลกั ไมน้ ี่เอง เครอ่ื งมอื แกะสลักไม้น่มี ันจะต้องเลก็ เท่าปลายเข็ม ถึงจะแกะงานละเอยี ดอย่างนอี้ อกมาได้ แล้วกต็ ้องคม
มาก ๆ ด้วยเพราะเปน็ งานที่ตอ้ งทาช้า ๆ เปน็ อกาลิโก เท่านน้ั แหละผมก็เกิดความมนั่ ใจในพระอนั ดากู พอได้รบั ความมน่ั ใจจากพ่เี ลก็ นรศิ รตั นวิมล
แลว้ ผมก็ไปหาชาวพม่าคนเดิม แลว้ บอกมนั วา่ เฮ้ยมึงมีเท่าไหรเ่ อามาขายให้กูให้หมด ตงั้ แตผ่ มมีความม่นั ใจในพระอนั ดากูแลว้ ตานานพระอันดากูก็
เริ่มตน้ ขน้ึ ในประเทศไทย ณ บัดนน้ั

แล้วทีนีพ้ อผมไดพ้ ระอันดากเู ข้ามามาก ๆ ผมก็ว่ิงเขา้ ไปหาท่านอาจารย์ ดร.บวรศักดิ์ อวุ รรณโณ แลว้ ผมก็เอาพระอันดากูน่ไี ปให้อาจารย์
ดร.บวรศกั ด์ฯิ ดู อาจารย์ๆ ช่วยดูพระแบบน้ใี หผ้ มหนอ่ ยมันสวยมาก ๆ เลย อาจารย์ ดร.บวรศักดฯ์ิ ก็บอกว่าโอ้พระนีส่ วยมาก ๆ เลย ของแท้ท้ังนน้ั
เลยสกุลช่างอนิ เดยี น่ี แล้วผมก็บอกว่าอาจารย์ฯ ลองหาทางพิสจู น์สวิ ่าพระองค์นีเ้ ป็นอยา่ งไรมันเป็นของแทห้ รือของปลอมของเก่าหรือของใหมท่ ่าน
อาจารย์ ดร.บวรศกั ดิ์ฯ ก็ไปสบื หามาหมดเลย สืบหาความจริงเกยี่ วกบั พระอันดากูแลว้ ก็ไปหากานันชชู าติ มากสัมพันธ์ พลตารวจเอกสนอง วชั รานกุ รู
ไปกระท่ังอธิบดีกรมศิลปากร อาจารย์ไปหาหมดเลย

ทุกคนต่างบอกว่าพระน้ีเป็นพระอินเดียทั้งนั้น ท่านสนองบอกว่าเป็นพระอันดากูมีหนังสือ หนังสือน้ีถูกเขียนโดยท่านศาสตราจารย์ Claudine
Bautze–Picron ท่านเอาหนังสือให้อาจารย์บวรศักดิ์ฯ ดูท่านอาจารย์บวรศักดิ์ฯ ก็เลยส่งตั๋วเคร่ืองบินไปเชิญท่านศาสตราจารย์ Claudine Bautze – Picron
มาพิสจู น์พระอันดากูทั้งหมด แล้วท่านศาสตราจารย์ Claudine Bautze – Picron ก็เดินทางมาถึงเมืองไทย ท่านก็ดูพระท้ังหมดแล้วท่านก็บอก
วา่ พระพวกนี้เป็นพระอันดากูทงั้ หมด โดนทา่ นให้เหตผุ ลวา่ ศิลปะถูกต้องท้ังหมด ท่านให้เหตุผลว่าพระแต่ละองค์มันไม่มีซ้ากันเลยเพราะเป็นงาน Hand
Made แต่ละองค์มีหน่ึงเดียวในโลก วันนั้นถือเป็นการชุมนุมใหญ่ของผู้สะสมพระอันดากูท้ังหมดในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นเซียน ดอน ลาพูน ผู้สะสม
พระเคร่ือง แล้วก็ตระกูลใหญ่ที่ค้าข้าวที่ใหญ่ท่ีสุดในเมืองไทย น่ันก็คือตระกูลเหล่าธรรมทัศน์ นาโดยด็อกเตอร์เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ ดอกเตอร์อนันต์
เหลา่ ธรรมทศั น์ แลว้ ก็ผู้ท่ีทาเรือขนส่งสินค้าท่ีท่าเรือคลองเตยท่านสุวิทย์ รัตนจินดา มากันหมดเลยแล้วก็เอาพระอันดากูมาด้วย โอ้โห วันน้ันก็เป็นการ
รวบรวมพระอนั ดากทู ีใ่ หญ่ทสี่ ุดในเมอื งไทย มีเปน็ หลาย 100 องค์เลย ดอกเตอร์ Claudine Bautze – Picron ก็บอกว่ามันใช่แล้ว มันถูกต้องแล้วมัน
คอื ของจรงิ ทง้ั หมด ทา่ นอาจารย์ ดร.บวรศกั ดฯ์ิ กถ็ ามต่อวา่ มนั ใชย่ งั ไงล่ะ ท่านก็บอกว่าพระแต่ละองค์ไม่มีซ้ากันเลย แล้วก็ศิลปะแม่นยาเป็นศิลปะปา
ละเสนะท้ังหมด มนั หาทีผ่ ิดไม่ไดเ้ ลย แล้วก็บางปางพวกเซยี นพระแทบจะไม่รู้จักเลย อยา่ งเช่นปางพระพุทธเจ้ากอดหน้าอก เป็นปางพิจารณาบัวสี่เหล่า
ทา่ นบอกวา่ พระแบบนค้ี นทาพระปลอมมันไม่รู้จักหรอกเพราะมันแกะสลักอยู่ที่หน้าผาที่ประเทศศรีลังกา ท่านก็ให้เหตุผลมาแล้ว ดร.บวรศักด์ิฯ ก็ถาม
ว่าแล้วทาไมพระมันถึงสมบูรณ์แบบเช่นน้ี ไม่มีแตกไม่มีหักเลย ท่านบอกว่าดินรักษา แล้วก็จริง ๆ ดินรักษาจริง ๆ อย่างที่ผมเคยลง Facebook ให้
หลายหลายท่านได้ดูครับก็คือดินรักษาอันดากูจริง ๆ “ดินรักษา” พระอันดากูทุก ๆ องค์จะถูกห่อหุ้มด้วยดินท่ีผสมกับเปลือกข้าวหรือ “แกลบ” แล้ว
บรรจุลงในช่องกรุอีกช้ันหนงึ่ พระทุก ๆ องคจ์ งึ อยู่รอดปลอดภัยเหนอื กาลเวลามานับพันปีแล้วยังคงความสมบูรณ์ นับว่าเป็นภูมิปัญญาของคนโบราณ
อยา่ งแท้จริงทม่ี องเห็นถึงอนาคต หลายท่านกค็ งไดด้ ูนะครับก็คอื มดี นิ เหนียวพอกเปน็ กอ้ นดินเลย แล้วกภ็ ายในกจ็ ะมีแกลบที่เจา้ นายพม่าส่งรูปมาให้ผม
ดู ภาพเหล่านี้ก็อยู่ใน Facebook ของผมนะครับ น่ันก็คือดินรักษาพระอันดากูจึงได้สมบูรณ์แบบและสวยไม่มีที่ติแบบนี้สมบูรณ์แบบท่ีสุดเลย ไม่มี
แตกไม่มีหกั ใด ๆ ทัง้ สิ้น ทีแ่ ตกที่หกั บางส่วนเรามาทาแตกทหี ลังอย่างเช่นทาตกทาหล่นมั้ง ก็เลยมีแตกบ้างนิดหน่อย ภูมิปัญญาของคนโบราณสมัยก่อน
เม่ือ 800 ปีล่วงมาแล้วในการเก็บรักษา อนุรักษ์พระพุทธปฏิมามหาอันดากู โดยนาเอาดินเหนียวผสมคลุกเคล้ากับแกลบเปลือกข้าวแล้วนามาห่อหุ้ม
องคพ์ ระ แล้วจงึ นาไปบรรจุในชอ่ งกรอุ ีกชน้ั หน่ึง เมือ่ แกลบผสมกบั ดินเหนียวเป็นการป้องกันการจับตัวกลายเป็นหินเม่ือเวลาล่วงไปอีกเป็นร้อยเป็นพัน
ปีเพราะแกลบจะมีชอ่ งอากาศแฝงอยู่ เปน็ ตวั ป้องกนั ไมใ่ ห้ดนิ เหนียวเซ็ตตัวกลายเป็นหนิ คนในโลกปจั จบุ นั จงึ นาออกมาลา้ งทาความสะอาดได้โดยงา่ ย

บางองค์กเ็ ป็นหินสดี านะครบั หินทใี่ ชแ้ กะสลกั พระอนั ดากชู นิดน้ีเปน็ หนิ สดี า เรยี กวา่ แบคโคโรไลท์ หินสดี าจะพบหายากมากพบเพียงแค่ 1% ของ
พระอนั ดากูทง้ั หมด พระอนั ดากนู ้ีผทู้ ี่ไดค้ รอบครอง มเี กบ็ ถือเป็นผทู้ ี่มบี ุญเก่ามาก ผมนาเขา้ มาเปน็ พนั ๆ องคเ์ ลยนะ แลว้ ผมก็ปล่อยออกไป ปล่อย
ออกไป ออกไป และผทู้ ม่ี าซ้อื อันดากูส่วนมากจะเป็นผู้ท่มี ีความรู้ทั้งนัน้ เปน็ พวก ดร. ทั้งนนั้ เลย หรือไม่กพ็ วกเชื้อเจา้ ทง้ั นนั้ เลยเช่นท่านจรญู เทพ เทวกลุ
ทา่ น ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ท่านเทพฤทธิ์ เทวกุล ท่านพินิจ จารุสมบัติ และพวกศิลปิน ท่ชี น่ื ชอบงานพุทธศิลป์ กส็ ะสมพระอันดากู กม็ ีมาก หรอื ท่าน
ท่มี ีมากในตอนนีก้ ็คอื ท่านปรีชา เลาหพงศ์ชนะ พวกท่านเหล่านี้มีความรสู้ งู ๆ ทง้ั นั้นเลย และอกี คนท่มี มี ากทีส่ ดุ ในตอนนี้ท่เี พ่ิงขึน้ มาซือ้ กค็ อื
เซยี นป๊อบ รงั สติ ปอ๊ บ เป็นเซียนพระทว่ั ไปน่แี หละแต่แกเลน่ หนุ้ รวยหนุ้ เปน็ พัน ๆ ลา้ น มีโชคเกี่ยวกบั เล่นหนุ้ มาก เซียนปอ๊ บ รงั สติ เคยบอกว่ายง่ิ ซอื้
พระอนั ดากู ย่งิ รวย ซ่งึ เปน็ ยุคทองของพระอันดากเู ลยทเี ดียว เซยี นปอ๊ บ รังสิต ท่านได้พระสวยที่สุดในโลกไปครอบครองหลายองค์ มีเท่าไหร่แกก็ใหผ้ ม
ขนไปให้แกที่รงั สิตหมดครบั องคว์ ิจติ รพิสดารเซยี นป๊อบ รังสติ ท่านรบั ซื้อทงั้ หมดเลยมเี ทา่ ไหรใ่ ห้ขนไปให้หมด

สว่ นพระองคเ์ ล็ก ๆ องค์แบบพิสดารกจ็ ะมภี าษาเตลกู ู จารไว้ด้านหลังขององค์พระ ภาษาเตลกู ู เปน็ ภาษาอนิ เดยี โบราณไม่มีใครอ่านออก เปน็
ภาษาท่ตี ายแลว้ ศิลปะตอ้ ง 100% จะหาทผ่ี ิดไม่ได้เลย บางองค์เล็ก ๆ ภาษาเตลกู ทู ีจ่ ารไวต้ าเราแทบจะมองไมเ่ หน็ ไม่รจู้ ารเข้าไปไดย้ ังไง แล้วกแ็ กะได้
อย่างไร มหัศจรรยม์ ากมีเซียน ดอน ลาพูน ท่านบอกว่ามนั เปน็ งานแกะสลักทมี่ หศั จรรย์มากเปน็ มหาสตปิ ฏั ฐาน คือ กาย เวทนา จิต และธรรม ช่างท่ี
แกะสลักงานแบบนจี้ ะตอ้ งทางานดว้ ยมหาสตปิ ฏั ฐาน 4 คอื กาย เวทนา จติ และธรรม ถึงจะทางานอย่างนไ้ี ด้ พระอนั ดากแู บบพิสดารมคี นใหน้ ยิ ามว่า
รอ้ ยศิลป์ พันแบบ พระอนั ละกูนจ่ี ะไมซ่ ้ากันเลย 1,000 องคก์ ็ 1,000 แบบ บางคนก็กล่าวหาว่าไอพ้ รศิวะเนยี่ มันไปให้ศิลปินแกะ ไอพ้ วกท่วี าดรปู เกง่ ๆ
มนั เปน็ คนช่วยแกะ ผมฟังแลว้ ผมกข็ า แล้วถา้ ให้พวกศิลปินแกะไอ้พวกศลิ ปินมนั จะเอารปู มาแลกกับพระผมทาไม ศลิ ปนิ ทางเหนือทัง้ หมด เจออันดากู
ตา่ งยอมแพท้ นั ทเี ลย และมักจะเอารปู มาแลกกบั พระของผมทั้งนั้น ผมก็เลยเป็นพวกทชี่ อบสะสมรูปภาพของศิลปินตา่ ง ๆ ตอนน้ีเตม็ บ้านไปหมดเลย

พระอนั ดากูโดยเฉพาะปางมารวิชัย สรีระสมบูรณ์ทุกอยา่ งเลยใหด้ ูที่น้วิ นว้ิ ของท่านจะแตะทพี่ ระพน้ื ธรณหี รอื ทเี่ รียกว่า ภมู ิสปรศสมทุ รา เสน้ เกศา
จะตอ้ งเป๊ะหมดไมม่ มี วั่ ไม่มีผิดไม่มีเพี้ยนเลย เปน็ พระตน้ แบบสิงห์หนงึ่ บ้านเรา อย่างหินแบคโคโรไลท์มนั แขง็ มาก มันหายาก การแกะสลักจะแกะยากกวา่
หินสงี าชา้ งหนอ่ ยเพราะว่ามนั แขง็ กวา่ แตห่ นิ ชนิดน้ีหายากมากกวา่ มีเพยี งแค่1% ของพระอนั ดากูท้ังหมด

งานอันดากู ไอพ้ วกช่างมัณฑะเลย์ มันไม่เอาเลยนะมนั บอกว่าแกะยากไม่เอาดว้ ย พระทกุ องค์เลยนะถา้ สงั เกตใหด้ จี ะมีรูจมกู มีก้อนเนอ้ื ทกุ องค์
มหศั จรรยม์ ากเลย ไม่รู้แกะเข้าไปไดย้ งั ไง มแี กะเป็นพระพทุ ธบาทก็มี พระพทุ ธบาทกจ็ ะมี 108 ห้อง เรียกว่ามงคลจักรวาล 108 ในจานวน 108 หอ้ งก็
จะต้องถกู ตอ้ งตามตาราทง้ั หมดเลยนะ ผิดอะไรไม่ไดเ้ ลยนะ พระบาทข้างขวากับพระบาทข้างซ้ายเมื่อเอามาประกบกัน จะ Mirror กนั โดยธรรมชาตเิ ลย

การดูอันดากู คุณตอ้ งจับผิดอย่างเดยี ว ถ้ามอี ะไรผดิ ใหค้ ณุ เห็นนน่ั แหละช่างมณั ฑะเลย์แกะ อนั ดากทู ีแ่ ทจ้ ริงจะต้องถกู ตอ้ ง 100% มนั ไมม่ ี
อะไรผดิ เพ้ยี นเลย อยา่ งพระโพธิสตั วเ์ น่ียท่อี ยขู่ ้างพระพุทธองค์จะต้องยกมอื คนละข้างกันมันจะเกิดความสมดลุ ศริ าภรณ์จะตอ้ งเป๊ะ จมูกหน้าตาจะตอ้ ง
หน้าอนิ เดยี ชัด ๆ ศลิ ปะปาละ เสนะ ยกตวั อย่างพระปางทกุ รกริ ิยา พทุ ธศิลปท์ ่ถี กู ต้องจะตอ้ งไม่มีฐานบัวมารองรับ ซึง่ อันดากูไดถ้ า่ ยทอดออกมาไดอ้ ยา่ ง

ชัดเจนมาก ท้งั พุทธศิลป์และพทุ ธประวัตถิ ูกตอ้ งไม่มผี ดิ เพยี้ น อนั ดากปู างทุกรกิรยิ าจะตอ้ งไมม่ ีฐานบัวมารองรบั ซ่ึงเป็นปางเดยี วท่ีไมม่ ฐี านบวั มารองรับ
พระพวกน้นี าออกมาจากมหาโพธิเจดียพ์ ุกาม เมยี นมาร์ สมยั พระเจ้าฉตั รต้งั ใครที่ครอบครองอันดากูอยู่ให้รเู้ ลยวา่ ท่านไดค้ รอบครองสงิ่ ลา้ ค่า
ทส่ี ุดในโลกแลว้ ผมจะนาเข้ามาใหม้ ากทีส่ ดุ จนกวา่ ผมจะตาย "พระแบบนถี้ า้ วงการเซียนพระไม่ยอมรับก็ช่างเขาเถอะครบั แตค่ นทศ่ี รัทธาเขายอมรับ
กนั ด้วยจติ ใจอยแู่ ล้ว จะมใี ครคนใดในปจั จบุ นั ทสี่ ามารถแกะได้ละ่ ครบั ถา้ มีผมอยากจะรู้เหมอื นกันว่าคนน้นั เป็นใคร เหตทุ ี่คนสว่ นใหญ่ไม่ยอมรับหรือไม่
รจู้ กั อาจเป็นเพราะพทุ ธศลิ ป์ท่ีเหนอื ชน้ั บวกกับราคาทส่ี ูงพอควร อีกทั้งหายากยง่ิ กว่าพระในประเทศ ท่ีเหล่ากลุ่มคนเลน่ น้ันไดป้ ่ันกระแสทิง้ ไวใ้ น
วงการกระมัง ในสว่ นตวั ผมอายุในการสร้างไมส่ าคัญท่ีสดุ แต่ความศรทั ธาในการแกะเพ่ือถวายเป็นพุทธบชู า ตอ่ องคพ์ ระสมั มาสัมพทุ ธเจ้านี่แหละ่ ครับ
ทเี่ ปน็ แกน่ แทข้ องความหมายในศลิ ปะวัตถนุ นั้ ๆ หากการสร้างพระโดยทต่ี ัวเรานั้น ไร้หลักธรรมคาสอนของพระพทุ ธองค์หนุนนาละก็ พระท่ีสร้างน้นั คง
เหมอื นกบั การป้ันนา้ เป็นตวั ไรค้ วามหมายและไร้ความศรทั ธา" อาจารย์สายวิปสั สนาท่านหนง่ึ บอกว่าอันดากูไมต่ ้องไปว่งิ ขายให้ใคร เจ้าของเขาจะมา
เอาเอง

ดว้ ยจิตคำรวะ

คงกฤตย ประเสริฐ ( พรศวิ ะ )

จำกใจผู้เขยี น ( 2 )

ผมได้มีโอกาสรู้จักกับคุณคงกฤตย ประเสริฐ เม่ือประมาณเดือนกรกฎาคม 2564 โดยการประสานงานของน้องชายคนหน่ึง ( ไม่ขอเอ่ยนาม )

เพื่อดาเนินการซื้อภาพวาดของอาจารย์สุวัฒน์ แสนขัติยรัตน์ ในราคา 70,000 บาท ซ่ึงภาพดังกล่าวเป็นของคุณคงกฤตย ประเสริฐ ท่ีอาจารย์สุวัฒน์

แสนขตั ิยรัตน์ นามาแลกกบั พระอนั ดากู ตอนผมไปซื้อภาพคร้ังแรกผมได้พบกับพระอันดากูจานวนมากท่ีคุณคงกฤตยฯ สะสมเอาไว้ นั่นจึงเป็นที่มาท่ี

ทาให้ผมค้นพบพระอันดากูครั้งแรก จากน้ันผมได้ติดต่อคุณคงกฤตยฯ เร่ือยมา ( ผมจะเรียกคุณคงกฤตยฯ ว่า ป๋า ) โดยเข้ามาขอบูชาพระอันดากู

พระองค์แรกท่ผี มบชู าคอื พระอันดากูปางเปดิ โลก แล้วผมกห็ อ้ ยคอติดตัวเป็นประจา
จากการทผี่ มไดค้ น้ พบพระอนั ดากคู ร้ังแรกมันเหมอื นกับการไดพ้ บเจอเพอ่ื นเก่าที่จากกนั มานาน ผมท้ังหลงรักทั้งอศั จรรย์ใจกับงานพทุ ธศลิ ป์ที่

ไดถ้ ่ายทอดออกมาดว้ ยจติ ศรัทธาในพระพทุ ธเจ้าของคนโบราณ ผ่านงานแกะสลกั หินชนดิ หนงึ่ ซงึ่ มีท้งั สีขาวงาช้างกบั สดี าซงึ่ เราเรยี กหินชนิดน้วี ่า

หนิ อนั ดากู ความคิดครั้งแรกจากการไดเ้ หน็ พุทธศิลปม์ หศั จรรยน์ ้ี คอื ทาอย่างไรจงึ จะถ่ายทอดพระอันดากนู ้ใี หช้ าวโลกได้รับรู้ และทาอย่างไรจึงจะนา

พระอันดากเู ขา้ สู่สยามประเทศให้ไดม้ ากที่สดุ จากน้นั ผมไดข้ ออนุญาตป๋า(คุณคงกฤตย ประเสริฐ) นาภาพจากเฟสบุค๊ ของแกมาโพสตใ์ ห้ความรู้บ้าง

โพสต์ใหบ้ ูชาบ้างในกลุ่มเส้นศิลป์ไทย จากการโพสตค์ ร้ังแรกมีคนเขา้ มากดไลท์มากกว่าพนั คนผมถงึ กบั อง้ึ เนอ่ื งจากมีคนตดิ ตามและเข้ามาคอมเมนต์

เปน็ จานวนมาก มอี ยวู่ นั หนงึ่ ผมไดร้ ับการตดิ ต่อจากท่านพระอาจารยธ์ รรมกะ บุญญพลัง ท่านตามหาพระอนั ดากมู านานแล้ว ท่านเคยได้รับพระอัน

ดากู จากเพอื่ นชาวพม่าคนหนงึ่ เมือ่ หลายสบิ ปกี อ่ น แต่พระองคน์ นั้ ไดห้ ายไปนานแล้วพอทา่ นตดิ ต่อบูชาพระอนั ดากจู ากผมประมาณ 4 - 5 องค์ ท่าน

ถกู ใจมากท่านบอกผมว่าท่านชอบเสพงานศิลปะแบบน้ี แลว้ ทา่ นก็บอกว่าให้นาพระอนั ดากูท้งั หมดทม่ี ีอยู่นาไปให้ท่านดูท่จี งั หวดั กาญจนบรุ ี ผมจึงได้นา

พระอันดากูทงั้ หมดของปา๋ คงกฤตยฯ เดนิ ทางไปจงั หวดั กาญจนบุรรี ว่ มกับป๋าคงกฤตยฯ 2 คน ระหวา่ งเดินทางเราไดพ้ ดู คุยแลกเปล่ยี นความรเู้ กีย่ วกับ

พระอนั ดากู ทาให้ผมไดร้ ับความรู้เกี่ยวกับพระอันดากูอย่างมากมาย จึงเกิดความคิดว่า ควรจะรวบรวมข้อมูลของพระอันดากูท้ังหมดที่มีอยู่มาทา

หนงั สอื เพื่อสบื ทอดตานานของพระอนั ดากไู ม่ใหส้ ญู หาย ให้คนรุ่นหลงั ได้ศกึ ษาต่อไปและถวายเปน็ พุทธบูชา แดอ่ งคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า แม้

วิธกี ารสร้าง การแกะสลักพระอันดากูจะสูญหายไปแล้ว แตพ่ ทุ ธศิลป์ยงั คงอยูศ่ ลิ ปะยังคงอย่แู มจ้ ะผา่ นกาลเวลามามากกว่า 800 ปีแลว้ กต็ าม ซ่งึ ผทู้ ่ีมี

พระอันดากูถือว่าท่านเปน็ ผู้มบี ญุ มีบุญสัมพนั ธก์ ันจึงได้ครอบครอง ผู้ท่ไี ด้ครอบครองมักจะเกบ็ เงียบเก็บไวบ้ ูชาเองหรือขน้ึ หงิ้ พระไว้ท่ีบ้าน จงึ ไมม่ พี ระ

หมนุ เวยี นในทอ้ งตลาด ทาใหพ้ ระหายากมากมพี ระอาจารยท์ ่านหนึง่ เคยบอกไวว้ ่า พระอันดากไู ม่ตอ้ งว่ิงขายให้ใครเจ้าของเขาจะตามหาเอง ดงั นั้น ผม

จึงไดข้ ออนุญาตปา๋ คงกฤตยฯ จัดทาหนังสือ “พุทธศิลปม์ หศั จรรย์อนั ดากู” ซึ่งทา่ นก็อนุญาต และพร้อมสนับสนนุ ขอ้ มลู และภาพถ่ายพระอันดากู

ทัง้ หมดใหผ้ มไปดาเนนิ การ ปา๋ คงกฤตยฯ ท่านดใี จมากที่ผมจะมาชว่ ยดาเนินการเขยี นหนังสอื เล่มน้ีให้ ท่านบอกว่าตอ่ ไปหนงั สอื เลม่ น้ีจะเปน็ หนังสอื

แนวพุทธศิลป์ท่สี วยท่สี ดุ จะเป็นหนังสอื ท่เี ปน็ ตานานระดับโลก น่จี ึงเป็นท่ีมาในการจดั ทาหนงั สอื เล่มแรกในชีวติ ของผม เคยมีพระโพธิสตั ว์ท่านหนึ่ง
( ขอสงวนนาม ) ทผี่ มเคารพนบั ถือ ท่านได้สอื่ สารเรื่องนใี้ หผ้ มฟงั วา่ พระพรหมท่านหนงึ่ เป็นคนสัง่ ใหผ้ มจดั ทาหนงั สอื เลม่ นี้ เนื่องจากในอดตี ชาติบิดา
ของผมเป็นครสู อนช่างแกะสลกั พระอันดากู สว่ นตวั ผมก็เปน็ ช่างแกะสลักพระอนั ดากูดว้ ย แต่ไม่ชอบงานแกะสลกั ชอบไปเรียนคาถาอาคมแทน แต่ใน
ภายหลังก็กลับมาแกะสลกั เหมือนเดมิ ส่วนบิดาของผมซ่งึ เปน็ ครูสอนงานแกะสลกั อันดากูเมื่อเสยี ชวี ิตแลว้ ก็ไปเกิดเป็นพรหม พอมาถึงชาตนิ ี้ ท่านจึง
เปน็ ผู้สงั่ ใหผ้ มจดั ทาหนงั สือเล่มนีใ้ ห้สาเรจ็ โดยใหห้ มนั่ รกั ษาศีล เจรญิ สมาธิ แล้วข้อมลู จะมาหาเอง และกเ็ ป็นจริงดงั วา่ พอผมเร่ิมรักษาศีลและนั่งสมาธิ
ก่อนนอน (เกอื บทุกวัน) ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ เก่ียวกับพระอันดากู ก็หลงั่ ไหลเข้ามาหาผมอย่างมากมายเป็นขอ้ มูลสาคัญ ๆ ทั้งนั้น ผมจงึ ไดร้ วบรวมขอ้ มลู
ทง้ั หมดนามาเรียบเรยี งใหม่ใหเ้ หมาะสมในแบบฉบับของตนเอง ข้อมูลแตล่ ะแหง่ ลว้ นแตกตา่ งกัน ขอ้ มลู จากคาบอกเล่าของชาวพม่าโดยผา่ นทาง
ปา๋ คงกฤตยฯ ก็สาคญั หลายสว่ น ซง่ึ เป็นความลับท่ีไมส่ ามารถเปิดเผยได้ ( เพื่อความปลอดภยั ) จากการไดศ้ กึ ษาขอ้ มลู เกีย่ วกบั พระอันดากูและ
ราชอาณาจกั รพกุ าม ทาใหผ้ มตกผลกึ ทางข้อมลู จึงไดข้ อถา่ ยทอดออกมาเปน็ บทกลอนท่กี ลนั่ ออกมาจากความรสู้ ึกก้นบงึ้ ของจติ ใจ

พทุ ธศลิ ป์ มหัศจรรย์ อันดำกู แคไ่ ด้เหน็ กเ็ ป็นบุญตำ
บรรจุอยู่ กรุพกุ ำม นำมเมยี นมำร์ มโี อกำส ควำ้ มำ เปน็ บญุ ใจ
ช่ำงหลวงแกะ สลกั ไว้ ให้ตรงึ ตรำ อนั ดำกู พุทธศิลป์ อนั ยิ่งใหญ่
ช่ำงเทวดำ ฝำกผลงำน สะท้ำนเทือน จำกพกุ ำม สู่ไทย ให้ครอบครอง
……..นำยชำ่ งเนย์……..
อศั จรรย์ เหนอื คำ พรรณนำ
ศิลปพ์ ทุ ธำ สลกั ไว้ หำใดเทยี ม
พุทธประวตั ิ มมิ ี ท่ีผดิ เพ้ยี น
แมก้ ำลเปล่ียน ดนิ รักษำ อนั ดำกู

........นำยชำ่ งเนย์..........

ดว้ ยจติ คำรวะ
อัษฎำกร รกั ษำภำยใน (นำยชำ่ งเนย์)

คำปรำรภ

ผมรู้จักคุณคงกฤตยหรือท่ีผมเรียกว่า “หนิด” มา 20 ปีเศษแล้ว 1.ศิลปะต้องถูกต้อง เช่น ลักษณะของพระเครื่องศิราภรณ์ประดับ
เมื่อปี 2546 ผมได้พระหินแกะขนาดเล็กกว่าฝ่ามือเล็กน้อยเป็นหินสีขาว พระเศยี รและพระกรรณ และรปู แบบศิลปะอนื่ ๆ
คล้ายงาช้างแกะมาจากหนิด เป็นภาพพุทธประวัติ 8 เหตุการณ์สาคัญโดย
มีปางมารวชิ ัยอยกู่ ลาง ผมกลับมาติดตอ่ อธบิ ดกี รมศิลปากรเวลานั้น ท่านส่ง 2.พุทธประวัติต้องถูกต้องเพราะผู้แกะต้องมีความรู้พุทธประวัติจริง
ผู้เชย่ี วชาญมาหาผม 3 คน ทุกคนบอกว่าเคยเห็นแต่พระหินเผาหุ้มทองเป็น พูดถึงตรงนี้ ท่านให้ผมเอากล้องส่องพระมาดูรูปแกะจิ๋ว ด้านขององค์พระ
พระพิมพ์ 8 ปาง ขนาดพอ ๆ กัน แต่ไม่เคยเห็นหินแกะ แต่ผู้เช่ียวชาญการ เป็นรปู แกะปางปาลิไลย์ ท่านช้ีให้ดูท่ีผนังด้านใน ซึ่งผมดูรูปจิ๋วอีกรูปเป็นรูป
อ่านจารึกแห่งหนึ่ง ท่านแนะนาว่าถ้าไม่แพงเกินไปให้ผมบูชาเก็บไว้ เทวดา พร้อมบอกว่า เม่ือลิงตายหลังจากถวายรวงผึ้งก็ไปเป็นเทวดา ท่าน
เพราะศลิ ปะถูกต้องและองค์พระสวยงาม บอกว่า คนทาปลอม “They don”t mind detail” คือไม่ทารายละเอียด
แบบน้เี พราะเสยี เวลาทามาหากิน
ด้วยความอยากรู้ ผมจึงลงมือค้นคว้า ไปพบบทความของ
Claudine Bautze – Picron เรื่อง The Andagu Stalae ซ่ึงศาสดาจารย์ 3.ดูฝีมือ ท่านวินิจฉัยว่าคนแกะต้องมีฝีมือสูงมากเพราะหินมีความ
ทางประวัตศิ าสตร์ศลิ ปะท่านนโ้ี ต้แยง้ นักเขยี นคนอ่นื ๆ ซง่ึ เสนอว่าพระพมิ พ์ เปราะ หักง่าย ต้องใช้สมาธิและใช้เวลาแบบไม่จากัด ซ่ึงคนในยุคน้ันมี แต่
อันดากูมีท่ีมาจากพุทธคยา ที่ผู้แสวงบุญพม่าไปแสวงบุญแล้วนากลับมา คนในยุคน้ีไม่มีฝีมอื และเวลาขนาดนน้ั
บูชาแต่ ศาสดาจารย์ Claudine Bautze – Picron เห็นว่าพระนี้สร้างใน
พมา่ เพราะศลิ ปะได้อทิ ธิพลจากอินเดยี จรงิ แต่มีลักษณะอ่ืนของพม่าเจือปน นอกจากน้นั ทา่ นไดไ้ ปพิพธิ ภัณฑท์ ยี่ ่างกุ้งกับพุกามกับผมพอเอา
มาก เชน่ ลกั ษณะพระเมาลรี ปู หัวใจ พระศอส้นั กวา่ พระสกลุ อนิ เดีย ที่สาคัญ ภาพให้ภัณฑารกั ษ์ที่นน่ั ชม ภัณฑารักษน์ งิ่ อึ้ง และไมย่ อมพูดจาอะไรกบั
คือใช้หินงาช้างที่ฝร่ังเรียกว่า Pyrophyllite ซึ่งผู้เช่ียวชาญจากกรม ท่านอีก ท้ังทก่ี ่อนหน้าน้นั ภัณฑารักษ์นั้นสนทิ กับท่านมาก
ทรัพยากรธรณีอธิบายให้ผมฟังว่าเป็นหินที่มีเน้ือละเอียดและความแข็งอยู่
ระหว่างหนิ ทัลส์กทใ่ี ชท้ าแป้งผดั หน้า กบั หินสบู่ และพบมากในพมา่ ผมเก็บพระอนั ดากมู ากว่า 20 ปแี ละม่ันใจว่าเป็นของกษัตริย์ที่สร้าง
บรรจุกรุไว้ในพุกามระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 11-13 โดยไม่ฟังเสียงเซียน
เม่ือผู้เชี่ยวชาญไทยตอบไม่ได้ผมจึงติดต่อศาสดาจารย์ Claudine พระเครือ่ งเมืองไทย ทอ่ี าศยั พทุ ธพาณิชยย์ ังชีพไปวนั ๆ เพราะเชอื่ ว่าศิลปะ
Bautze – Picron ซึ่งดูรูปภาพท่ีผมส่งไปและวิเคราะห์ให้อย่างละเอียด นี้ควรเป็นสมบัติของมนุษยชาติและลูกหลานได้สืบทอดให้คนรุ่นหลังรู้จัก
ผมจงึ เชิญท่านมาเมืองไทย ท่านมาตามคาเชิญพร้อมสามี มาชมพระอันดากู ผมเคยไปมัณฑะเลย์ พบการทาใหม่ออกมาขาย แต่ฝีมือคนละชั้น ทา
ที่ผมเก็บสะสมไว้ ถ่ายภาพไป และไปเขียนบทความและหนังสือ เราเป็น อย่างไรก็ไม่เหมือน ศิลปะผิด พุทธประวัติผิด และไม่มีความประณีต
เพื่อนกันมาตั้งแต่น้ันผมถามท่านว่า ท่านรู้อย่างไรว่าพระน้ีสร้างที่พุกาม ออ่ นชอ้ ยเลย จึงทาให้ผมยงิ่ เหน็ คณุ คา่ ของส่งิ ท่ผี มบูชาไวม้ ากข้นึ
ระหวา่ งครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 11-13 ทา่ นตอบว่า มหี ลักเกณฑ์ 3 ขอ้ ท่ที ่านใช้คือ

ผมเรยี กพระเหล่านี้เองว่า “พระพทุ ธเทวปฏิมา” อันมีความหมายว่า พระพุทธพิมพ์ที่เทวดาสร้างเพื่อบูชาคุณพระพุทธองค์ โดยยืมนาม
พระประธาน “พระพุทธเทวปฏมิ ากร” ซง่ึ ประดิษฐานอยใู่ นพระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(วัดโพธ์ิ กรุงเทพฯ) มาขานบางส่วนด้วย
เดชะพุทธานุภาพอันยิ่งใหญ่หาประมาณมิได้ ของให้พุทธานุภาพนั้นคุ้มครอง อภิบาลท่านผู้บูชาพระพุทธปฏิมาด้วยจิตบริสุทธ์ิ พ้นจาก
ทกุ ขภ์ ัย โรคทัง้ ปวง และพบแตป่ ระโยชนส์ ุขตลอดกาลนานเทอญ

ดร.บวรศักดิ์ อวุ รรณโณ

สำรบญั

▪ คำนำ .............................................................................................................................................................................
▪ จำกใจผ้เู ขียน (1) ............................................................................................................................................................
▪ จำกใจผเู้ ขียน (2) ............................................................................................................................................................
▪ คำปรำรภ .......................................................................................................................................................................
▪ สำรบัญ ..........................................................................................................................................................................
▪ อำณำจักรพุกำม ...........................................................................................................................................................1
▪ หนิ อันดำกู ..................................................................................................................................................................15
▪ ปฏมิ ำกรรมศิลปะตน้ แบบอนั ดำกู ................................................................................................................................27
▪ พทุ ธศิลป์มหัศจรรยอ์ ันดำกู .........................................................................................................................................43
▪ ดินรักษำอนั ดำกู .......................................................................................................................................................139
▪ ภำษำเตลกู ู ...............................................................................................................................................................147
▪ อนั ดำกูดำ ................................................................................................................................................................171
▪ อนั ดำกู กับ พระอำจำรยธ์ รรมกะ บุญญพลงั .............................................................................................................205
▪ อันดำกู กบั ครูบำโต .................................................................................................................................................219
▪ อันดำกู กบั ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ........................................................................................................................227
▪ อนั ดำกู กับ อำจำรยช์ ัยวฒั น์ วรรณำนนท์ ................................................................................................................245
▪ อนั ดำกู กับ อำจำรย์นคิ ม พรหมมำเทพย์ ..................................................................................................................253
▪ ปำงทกุ รกิริยำ ..........................................................................................................................................................299
▪ ปำงมำรวชิ ัย ............................................................................................................................................................313

สำรบัญ

▪ ปำงปฐมเทศนำ ..........................................................................................................................................................321
▪ ปำงสมำธิ ..................................................................................................................................................................329
▪ ปำงอมุ้ บำตร ..............................................................................................................................................................337
▪ ปำงรับสัตตกู ้อน สัตตผู ง ............................................................................................................................................345
▪ ปำงห้ำมแก่นจันทร์ ....................................................................................................................................................353
▪ ปำงหำ้ มสมุทร ...........................................................................................................................................................357
▪ ปำงเสด็จจำกดำวดึงส์หรอื ปำงลีลำ ............................................................................................................................359
▪ ปำงหำ้ มญำติ .............................................................................................................................................................367
▪ พระทีปังกรพระพทุ ธเจำ้ .............................................................................................................................................371
▪ จตุรทศิ เจดยี ์ ..............................................................................................................................................................375
▪ พระพทุ ธบำท .............................................................................................................................................................391
▪ ปำงเปิดโลก ...............................................................................................................................................................397
▪ ปำงไสยำสน์ ...............................................................................................................................................................401
▪ อันดำกแู บบวิจติ รพิสดำร ...........................................................................................................................................411
▪ อันดำกู ต้นแบบพระเครอ่ื งขนำดเล็ก ..........................................................................................................................487
▪ พระแมธ่ รณี ...............................................................................................................................................................519
▪ ปริศนำธรรม ..............................................................................................................................................................521
▪ บทสรปุ ......................................................................................................................................................................527
▪ บรรณำนุกรม .............................................................................................................................................................529

1

2

เรอ่ื งราวของอาณาจักรพุกาม

อาณาจักรพุกาม สถาปนาข้ึนในสมัยพุทธศตวรรษท่ี 16 อาณาจกั รพุกามถงึ คราวล่มสลายลงในปี พ.ศ. 1830 เม่ือกุบไลข่าน
จอมทััพแห่่งมองโกลยกทััพมายึึดครองอาณาจัักรแห่่งนี้้� ส่่งผลให้้เจดีีย์์กว่่า
โดยพระเจ้าอโนรธา กษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์พุกาม ซึ่งสามารถ 10,000 องค์์ที่�่สร้้างขึ้้�นมาถููกปล่่อยให้้ทิ้้�งร้้าง เมื่่�อรวมกัับเหตุุการณ์์
รวบรวมดินแดนขนาดใหญ่ซ่ึงกินพ้ืนที่ไปถึงบริเวณตอนกลางของประเทศ แผน่ ดินไหวที่เกิดขึ้นบ่อยคร้ังในพ้ืนที่แถบนั้น ทาให้เจดีย์ส่วนใหญ่พังทลาย
พม่า และเมืองประเทศราชอื่น ๆ เข้ามาเป็นหน่ึงเดียวกันได้ท้ังหมด ลงมาตามกาลเวลา แต่จานวนเจดีย์กว่า 4,000 องค์ท่ีหลงเหลืออยู่ใน
เมอื งพกุ าม (Bagan) ในยุคทีร่ ุ่งเรอื ง มกี ารสร้างเจดีย์ไว้นับพันแห่งสร้างโดย ปัจจุบันก็ยังคงทาให้พุกามเป็นหนึ่งในสถานท่ีท่องเท่ียวที่มีความสวยงาม
ทุกช้ันชน นบั แต่พระราชาเร่ือยลงมาจนถึงชาวนาชาวไร่ เมืองพุกาม ตั้งอยู่ และมชี ื่อเสียงในระดับโลก โดยปัจจุบันทางการพม่าก็ได้อยู่ระหว่างการย่ืน
ในเขตมณั ฑะเลย์ เปน็ เมืองทไ่ี ดร้ ับการขนานนามวา่ “ทะเลแหง่ เจดีย์” เรอ่ื งใหเ้ ขตเมืองเกา่ พกุ าม เปน็ หนงึ่ ในมรดกโลกจากองค์กรยเู นสโก้อีกดว้ ย

อาณาจกั รพุกาม เปน็ ถ่นิ ทอี่ ยู่ของคนในยุคแรกของแผ่นดินพม่าเดิม
เป็นเมืองเล็ก ๆ เมื่อก้าวมาถึงยุคของพระเจ้าอโนรธา มีพระนิกายเถรวาท
มาเผยแพร่ธรรมให้แก่พระเจ้าอโนรธา พระเจ้าอโนรธาเลื่อมใสใน
พระพุทธศาสนามาก ต้องการให้ชาวเมืองพุกามเลิกนับถือผีซ่ึงเป็นความ
เช่ือดั้งเดิมให้หันมาศรัทธาในพระพุทธศาสนา จึงได้เดินทางเพ่ือไปขอ
พระไตรปิฎกกับพระเจ้ามนูหะที่เมืองสะเทิม(มอญ) พระเจ้ามนูหะปฏิเสธ
ท า ใ ห้ พ ร ะ เ จ้ า อ โ น ร ธ า สั่ ง ก อ ง ทั พ ไ ป ตี เ มื อ ง ส ะ เ ทิ ม แ ต ก แ ล ะ ไ ด้ น า
พระไตรปิฎก รวมท้ังพระ ช่างฝีมือและทาสอีกนับหม่ืนกลับมาท่ีพุกาม
นอกจากความรุ่งเรืองของอาณาจักรพุกามแล้ว พุทธศาสนาในอาณาจักร
แห่งน้ีก็มีความเจริญรุ่งเรืองควบคู่กัน เนื่องจากพระเจ้าอโนรธาต้องการให้
ชาวเมืองเลิกนับถือผีซ่ึงเป็นความเช่ือดั้งเดิมและหันมาศรัทธาใน
พระพุทธศาสนาแทน นามาสู่ธรรมเนียมการสร้างเจดีย์จานวนมากเพ่ือ
ความเป็นสิริมงคลและความศรัทธาของกษัตริย์พระองค์ต่าง ๆ ที่ข้ึนมา
ปกครองอาณาจกั รพกุ าม

3

ช่วงที่พระเจ้าอโนรธาครองราชย์น้ัน (33 ปี) ช่วงเวลานั้น คือ เจดีย์ที่พุกามส่วนใหญ่ยังคงทน เนื่องจากพื้นดินพุกามเป็นดินปน
ยุคทองของการสร้างเจดีย์ มองไปทางไหนมีแต่เจดีย์ เล่ากันว่าในสมัยน้ัน
เคยมีเจดีย์มากกว่า 4,000 องค์ (ปัจจุบันเหลือประมาณ 2,000 กว่าองค์) ทรายท้ัง ๆ ท่ีมีแม่น้าอิรวดีไหลผ่าน แต่มีเทือกเขาทอดตัวยาวเหยียดเป็น
กษัตรยิ ์ทกุ พระองคล์ ว้ นมคี วามศรทั ธาในพระพุทธศาสนา ประสงค์จะสร้าง กาแพงป้องกันลมมรสุมจากอ่าวเบงกอล จนพุกามจัดเป็นเขตเงาฝน (Rain
เจดีย์เพ่ือเสริมสิริมงคล เจดีย์แห่งแรกของพุกามคือ “เจดีย์ชเวสิกอง” Shadow) มีปริมาณน้าฝนต่ากว่า 30 น้ิวต่อปี ภูมิอากาศจัดอยู่ในประเภท
สร้างโดยพระเจ้าอโนรธามังช่อ ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรพุกาม แห้งแล้งกึ่งทะเลทราย (Dry Zone) มีความชื้นน้อยไม่เอ้ืออานวยให้วัชพืช
ธรรมเนยี มการสรา้ งเจดีย์…. “เจดียอ์ งคใ์ หญ่สดุ ” จะเป็นเจดยี ์ทกี่ ษตั ริย์ทรง เติบโตไปทาลายโบราณสถานได้เหมือนปราสาทตาพรหมในกัมพูชา
สร้างและองค์ที่มีขนาดเล็ก ถัดมาเป็นการสร้างโดยเหล่าขุนนาง อามาตย์ ภูมิปัญญาในการเรียงอิฐของช่างสมัยพุกาม ทาให้โครงสร้างของวัดและ
ลดลงมาตามบรรดาศักดิ์หลักฐานช้ีชัดในคติความเชื่อนี้ คือ จารึกท่ีเจดีย์ เจดีย์มีความแข็งแกร่ง คงทน อีกทั้งชาวพม่ายังเคารพสักการะศาสนสถาน
ชเวกูจีของพระเจ้าอลองซีตู กษัตริย์องค์ท่ี 4 แห่งราชวงศ์พุกามเคยตรัสว่า อยา่ งเครง่ ครดั มกี ารจดั ต้ังคณะกรรมการดูแลวัดและเจดีย์ดังมีภาษิตท่ีชาว
“การสรา้ งเจดีย์ย่อมได้บุญมาก... ข้าฯ ปรารถนาจะสร้างทาง เพียงเพ่ือ พมา่ พูดกนั ติดปากว่า
ขา้ มไปสู่แมน่ ้าแหง่ สังสารวัฏ เพ่ือผู้คนท้ังมวลจะเร่งข้ามไปกระทั่งบรรลุ
ถงึ นพิ พาน ข้าฯ เองจะข้ามไปและดึงผทู้ ี่จะจมน้าใหข้ ้ามไปด้วย…” “พงึ่ เจดีย์ อายยุ ืน พ่งึ ธรรมะ โทสะหาย ขณะเดียวกันก็
หวาดกลวั คา้ สาปแช่งของบูรพกษตั รยิ ์แห่งพุกามทว่ี ่า มนั ผ้ใู ด
มีนักโบราณคดีเข้าไปสารวจ พบว่าเจดีย์ท่ีพุกามสร้างด้วยอิฐต่าง ทา้ ลายเจดยี แ์ ละศาสนสถาน มันผู้นัน้ จะไม่ไดพ้ านพบพระศรี
จากปราสาทหรือเทวสถานในอาณาจักรขะแมร์โบราณสร้างด้วยศิลาทราย อรยิ เมตไตรยไปเจด็ ช่ัวโคตร…”
สถาปัตยกรรมของเจดีย์ในพุกามอันน่าท่ึง ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะมอญ
และอินเดีย ทาส ชาวเมือง ช่าง เก่งการก่อสร้างขนาดใหญ่ โครงสร้าง
พระวิหารจะมีแกนสี่เหลี่ยมทึบตรงกลางเพ่ือรับน้าหนัก จึงสามารถขยาย
ขนาดให้กว้างออกไปจะมีระเบียงและเจาะช่องทางเดินสู่แกนกลางได้
ทง้ั สี่ด้านทกุ ช่องจะนาไปสู่ทป่ี ระดษิ ฐานพระพุทธรูปทงั้ สที่ ศิ

4

5

5 เจดีย์สา้ คญั แห่งพุกาม

เจดียช์ เวสิกอง : เจดีย์ทเี่ กา่ แก่ท่สี ดุ

ตามบนั ทึกของพงศาวรดารพมา่ ได้กล่าวว่าเจดีย์ชเวสิกอง ถูกสร้าง ส่ิงท่ีน่าสนใจคือบริเวณลานหน้าบันไดทางขึ้นสู่เจดีย์ทิศตะวันออก
ข้ึนในช่วงปี พ.ศ.1602 - 1603 หรือกว่า 900 ปีมาแล้ว โดยผู้สร้างเจดีย์
แหง่ นค้ี ือพระเจา้ อโนรธามังชอ่ กษัตรยิ ์องคแ์ รกของราชวงศพ์ ุกาม และเป็น มีหลุมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 นิ้ว ลึก 2 น้ิว ใส่น้าไว้สาหรับ
ผู้รวบรวมแผ่นดนิ แถบน้นั จนเป็นปกึ แผ่นและตงั้ อาณาจักรพุกามขึ้นมา จุด น่ังคุกเข่ามองเงายอดเจดีย์ที่สะท้อนลงผิวน้า หลุมนี้ทาขึ้นใหม่เม่ือมีการเท
ท่สี รา้ งพระเจดยี ์เกิดจากเสี่ยงทายดว้ ยชา้ งเผือก ซ่งึ พระเจา้ อโนรธาได้ต้ังจิต ปูนท่ีลานรอบองค์เจดีย์ แต่ชาวพม่าเล่าขานว่าตรงจุดนี้เคยมีหลุมมาต้ังแต่
อธิษฐานไว้ว่า ถ้าช้างเผือกหยุดเดินลงท่ีใดจะสร้างเจดีย์ไว้ที่นั่น ช้างเผือก สมัยพุกามแล้ว เจดีย์ชเวสิกองถูกบูรณะในสมัยต่อมาอีกหลายคร้ัง
ของพระองค์เดินมาหยุดอยู่ ณ หาดทรายริมฝั่งแม่น้าอิรวดี พระองค์จึง เ จ ดี ย์ ช เ ว ส ิ ก อ ง เ ป็ น เ จ ดี ย์ ท ร ง ร ะ ฆั ง ค ว่ า พื้ น ผิ ว ภ า ย น อ ก ถู ก ปิ ด ด้ ว ย
ดาริให้สร้างพระเจดีย์ ณ ที่ตรงนั้น ดังนั้นชื่อเจดีย์ชเวสิกอง จึงหมายถึง ทองคาเปลว
"เจดีย์ทองบนพื้นทราย" ในภาษาพม่า การก่อสร้างเจดีย์ใช้เวลายาวนาน ความอศั จรรยข์ องพระมหาธาตุชเวสิกอง
กว่ายี่สิบปี จนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 1629 ซ่ึงเป็นรัชสมัยของ ▪ ยอดพระเจดีย์ไม่มีการใช้เหลก็ เสรมิ
พระเจ้าจานสิตา ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันนั้น เจดีย์ชเวสิกองได้รับความ ▪ กระดาษห่อแผ่นทองคาเปลวที่นาไปปิดส่วนยอดพระเจดีย์
เสียหายจากเหตกุ ารณ์แผน่ ดินไหวหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ได้รับการบูรณะ จะไมป่ ลวิ พ้นฐานส่ีเหลีย่ มของพระเจดยี ์
ซ่อมแซมเปน็ อยา่ งดมี าโดยตลอด โดยการบูรณะคร้ังล่าสุดในปี พ.ศ. 2527 ▪ เงาพระเจดีย์จะไม่ล้าออกนอกฐานสี่เหล่ียมของพระเจดีย์
นั้นใช้แผ่นทองคาจานวนกว่า 30,000 จากการบริจาคของผู้คนท่ัวประเทศ (ถา้ เงาล้าออกไป ถือวา่ เป็นลางร้าย)
จงึ ทาใหม้ หาเจดีย์แห่งน้ียังคงมีสีทองอร่ามมาจนถึงปัจจุบัน เจดีย์ชเวสิกอง ▪ ภายในเขตองคพ์ ระเจดยี ์ สามารถรองรับผู้แสวงบุญได้ไม่จากัดจานวน
มีรูปทรงเป็นระฆังคว่าแบบศิลปะมอญบรรจุพระธาตุสาคัญ 3 ส่วน คือ มีการให้ทานด้วยข้าวสุกร้อน ๆ ทุกเช้า (ไม่ว่าจะต่ืนเช้าสักเพียงใด
พระเขี้ยวแก้ว ท่ีกษัตริย์แห่งศรีลังกาได้นามาถวาย พระธาตุกระดูกไหล่ ที่ จะพบข้าวสุกในบาตรอยู่ก่อนหนา้ เสมอ)
นามาจากเมืองศรีเกษตร (ใกล้เมืองแปร) และพระธาตุพระนลาฏ ▪ เมื่อตีกลองใบใหญ่จากด้านหนึ่งของพระเจดีย์ จะไม่สามารถได้ยิน
(หน้าผาก) องค์พระเจดีย์สูงราว 53 เมตร หรือ 160 ฟุต มีลวดลายปูนป้ัน เสยี งกลองจากดา้ นตรงขา้ ม
อยู่ 3 แถว และมเี จดยี เ์ ล็ก ๆรูปทรงวิจิตรงดงามเรียงรายเป็นองค์บริวารอยู่ ▪ แม้พระเจดีย์จะตั้งอยู่บนพ้ืนราบ แต่เมื่อมองจากภายนอกจะเกิด
โดยรอบ ภาพลวงตาคลา้ ยพระเจดียต์ ั้งอย่บู นทสี่ ูง
▪ ฝ น จ ะ ต ก ห นั ก เ พี ย ง ใ ด จ ะ ไ ม่ มี น้ า ฝ น ขั ง อ ยู่ ใ น อ า ณ า เ ข ต
ขององค์พระเจดยี ์
▪ มีตน้ พกิ ลุ ซึง่ จะออกดอกตลอดทัง้ ปี (ปกติจะออกปลี ะครง้ั ) 6

7

5 เจดยี ์ส้าคัญแหง่ พกุ าม

อานันทเจดยี ์ : เจดยี ท์ ี่สวยที่สุด

อานันทวิหาร ได้รับการยกย่องว่าเป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ท่ี ภายในวหิ ารมีลกั ษณะเป็นอุโมงค์เดินถึงกันโดยรอบแต่ละด้านมีซุ้ม
งดงามมากท่ีสุดในพุกามและได้รับยกย่องว่าเป็น “เพชรน้าเอกของพุทธ คหู า เป็นทีป่ ระทบั ของพระพุทธรูปประทับยนื แกะสลักจากไม้ ขนาดสูง 31
ศิลป์สกุลช่างพุกาม” เป็นวัดที่สร้างในสมัยพระเจ้าจันสิตตา (ครองราชย์ ฟุต ตามคติความเชื่อของชาวพม่าท่ีว่า โลกของเรามีพระพุทธเจ้ามาแล้ว
ระหว่างปี พ.ศ.1627-1656) กษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์พุกาม พระองค์ 3 พระองค์ แล้วเพิ่มพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่สี่ พระพุทธรูปท้ัง
เคยเป็นทหารคู่พระทัยของพระเจ้าอโนรธามหาราช อีกท้ังได้รับการยกย่อง 4 ทิศแต่ละองคจ์ ะวางพระหัตถ์แตกต่างกัน และไม่เหมือนกับพระปางใด ๆ
ว่าเปน็ กษตั ริย์ทย่ี ่งิ ใหญ่อีกพระองคห์ นึง่ ของไทย มีช่ือเรียกแทนพระพุทธเจ้า คือ ทิศเหนือ พระกกุสันโธพุทธเจ้า
ทิศตะวันออก พระโกนาคมน์พุทธเจ้า ทิศใต้ พระ กัสสปพุทธเจ้า
มีเรื่องเล่าว่า กาลคร้ังหน่ึง อินเดียซึ่งเป็นดินแดนต้นกาเนิด ทศิ ตะวนั ตก พระโคตมพทุ ธเจ้า พระกกสุ ันโธพุทธเจ้า เป็นพระพุทธรูปองค์
พุทธศาสนาถูกกองทัพชาวมุสลิมเข้าโจมตี ทาลายพระพุทธศาสนา ดั้งเดิมของอานันทวิหาร ถือเป็นศิลปะพุกามยุคแรกท่ีนิยมแกะสลักให้จีวร
พระภิกษุอินเดียบางส่วนหนีภัยเข้ามายังพุกามประเทศ ในจานวนน้ันมี แนบพระวรกายขององค์พระ ปลาจีวรหยักเป็นรูปเข้ียวตะขาบ ลักษณะ
พระภิกษุ 8 รูปท่ีพร้อมด้วยจริยวัตรงดงาม เดิมอาศัยอยู่ท่ีวิหาร การวางพระหัตถใ์ กล้เคยี งกับพระพทุ ธรปู ปางปฐมเทศนาของไทย
“นันทมูล” บริเวณเทือกเขาหิมาลัยจึงพรรณนาถึงนันทมูลวิหารอยู่บ่อย ๆ
พระเจ้าจันสิตตาทรงทราบเร่ืองจึงเกิดความเล่ือมใสและเกิดแรงบันดาลใจ ความงามของอานันทวิหารแบบเต็มองค์ เม่ือมองจากด้านนอก ซุ้ม
ให้พระองค์ดาริจะสร้างวิหารน้ีข้ึน จึงทรงขอให้พระภิกษุเหล่าน้ันร่างภาพ ประตูและหน้าต่างของวิหาร เป็นตัวอย่างที่ดีและสมบูรณ์ของซุ้ม
วิหารนันทมูลขึ้นมาเป็นแบบ แล้วโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวิหารตามแบบนั้น ศิลปะพุกาม ซ่ึงนักประวัติศาสตร์เรียกว่า “เคล็ก” (Clec) หมายถึง ซุ้มก่อ
ในปี พ.ศ. 1634 ขนานนามว่า “อานันทวิหาร” ซ่ึงคาว่า “อนันต์” อิฐวงโคง้ ประดับแถวครบี สงู ซึง่ เป็นเอกลกั ษณโ์ ดดเด่นของศิลปะพุกาม ซึ่ง
มคี วามหมายว่า วหิ ารน้จี ะคงอย่คู ่พู กุ ามตลอดไป ส่งผลต่อศิลปะของพม่าทุกสมัย รวมถึงแพร่หลายในอาณาจักรสุโขทัย ที่
เรยี กวา่ “ซ้มุ ฝกั เพกา”
อานันทวิหารได้ชอื่ ว่างดงามที่สดุ เพราะเต็มไปด้วยเชิงช้ันทางศิลปะ
ครบทุกแขนง เป็นวิหารท่ีมีอิทธิพลของอินเดียอยู่มาก วิหารสร้าง นอกจากนยี้ ังมที างเดินสมู่ ณฑปหลังหนึ่ง ภายในมีจิตรกรรมฝาผนัง
ในรูปแบบทรงสี่เหล่ียมจัตุรัส กว้างด้านละ 175 ฟุต สูงจากฐานช้ันล่างถึง เล่าเรื่องวิถีชีวิตและศิลปะวัฒนธรรมในสมัยพุกามประดับอยู่โดนรอบ ทา
ยอดฉัตร 172 ฟุต ตัววิหารที่เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีมุมยื่นออกไปเท่ากันท้ัง ใหท้ ราบถงึ ชวี ิตความเป็นอยู่ของชาวพุกามโบราณ
4 ทิศ เช่นเดียวกับผังกางเขนกรีก หลังคายกระดับทีละชั้น จนถึงจุด
กึ่งกลางจึงประดิษฐานส่วนยอดซึ่งเป็นรูปเจดีย์เอาไว้ ซ่ึงสัดส่วนของเจดีย์ 8
น้ันงดงามไดส้ ดั ส่วนไมม่ ที ี่ติ เม่ือมองจากภายนอกแล้วคลา้ ยมี 2 ชนั้

9

5 เจดยี ส์ า้ คัญแห่งพุกาม

วิหารสพั พญั ญู : ศาสนสถานทีส่ ูงทส่ี ดุ

เจดียส์ ัพพัญญู นับวา่ เปน็ เจดยี ท์ ม่ี ีความสูงท่ีสุดในเมืองพุกาม โดยมี เจดีย์สัพพัญญูแห่งนี้นั้น แบ่งลักษณะของเจดีย์ออกเป็นระดับ
ความสูงอยู่ท่ี ประมาณ 61 เมตร ด้วยศิลปะแบบปาละของอินเดียถือเป็น จานวน 5 ชัน้ ประกอบดว้ ย
แมแ่ บบของสถาปตั ยกรรมพม่าตั้งอย่ใู จกลางเมืองถัดจาก วดั อนันดา
วิหารช้ันบน เป็นที่ประดิษฐานพระประธาน องค์พระหันหน้าไป
ความเปน็ มายาวนานกลางศตวรรษท่ี 12 ถ้าเลา่ ถงึ ความเป็นมาของ ทางทิศตะวันออก วิหารแต่ละชั้นมีหน้าต่างสองแถวซ้อนกัน ทาให้วิหาร
เจดยี แ์ หง่ น้ี พระเจา้ อลองสิทธูทรงท่านสร้างวัดน้ีขึ้น ในกลางศตวรรษที่ 12 ภายในจึงสวา่ งและมีลมพดั ผา่ นเข้ามาได้
ตัววิหารชั้นบนสร้างเป็นทรงสี่เหล่ียมขนาดเล็ก ด้านในวิหาร “กลวง”
ซ้อนอยู่ บนวิหารชั้นล่างท่ีมีขนาดใหญ่กว่านับเป็นเอกลักษณ์ของวัดพม่า วหิ ารสองชั้นแรก เคยเป็นทีพ่ านักของบรรดาพระภกิ ษุ
โดยเฉพาะ ตา่ งจากวัดมอญที่นยิ มสรา้ งเป็นวหิ ารช้นั เดียว วิหารช้ันสาม เป็นท่ปี ระดษิ ฐานพระพุทธรูป
วหิ ารชัน้ สี่ ทาเป็นหอพระไตรปิฎก
เจดีย์สัพพัญญูแสดงให้เห็นถึงความเจริญก้าวหน้าของการ วิหารส่วนยอด ท่ีทาเป็นสถูปองค์ปรางค์นัน้ ใช้เป็นทบี่ รรจุ
ก่อสร้างวิหาร เพราะว่ามีความสูงถึง 5 ช้ัน และยังได้รับการยกย่องว่าเป็น พระบรมสารรี กิ ธาตุ
วิหารท่ีมีอากาศถ่ายเท มีแสงสว่างมากกว่าวิหารอ่ืน ๆ ในพุกาม จึงถือเป็น
แบบอย่างท่ดี ีของสถาปัตยกรรมพมา่ และในปัจจบุ นั เจดีย์สพั พญั ญูสามารถ
เดินดูได้รอบ ๆ บริเวณด้านนอกเท่าน้ัน ไม่สามารถขึ้นไปบนองค์พระเจดีย์
ได้ เพราะเกดิ รอยรา้ วและอาจพังลง

10

11

5 เจดยี ์สา้ คัญแห่งพุกาม

วหิ ารอเภยะทะนะ : ศาสนสถานที่มภี าพเขยี นฝาผนงั ทเ่ี กา่ ทสี่ ุด

วิหารอเภยะตะนะ (Abeyadana Paya) ตั้งอยู่แถบหมู่บ้านแห่ง
เครอ่ื งเขยี น "มยนิ กบา (Myinkaba)" ที่นี่เป็นหน่ึงในวิหารท่ีมีความโดดเด่น
ด้านงานจติ รกรรมฝาผนัง และเป็นวหิ ารรุน่ แรกๆ ในพุกามซงึ่ มลี ักษณะเด่น
ตรงท่ีเปน็ วหิ ารชั้นเดียว

สาหรบั งานจิตรกรรมฝาผนังนั้นนอกจากจะมีเร่ืองราวเก่ียวกับพุทธ
ประวัติ และพระโพธิสัตว์ขนาดใหญ่แล้ว ยังมีภาพของเทพเจ้าใน
ศาสนาฮนิ ดู อยา่ งพระวษิ ณุ และพระศิวะ

12

13

5 เจดยี ์สา้ คัญแหง่ พกุ าม

วิหารธรรมยางยี : ศาสนสถานท่ใี หญ่ทีส่ ดุ

พุทธสถานที่ใหญ่ที่สุดในพุกามและสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจาก
ทุกมุมในพุกามด้วยเช่นกัน วิหารแห่งน้ีสร้างโดยพระเจ้านรถู (Narathu)
เพ่ือล้างบาปท่ีพระองค์ได้ทาปิตุฆาตพระบิดาและพี่ชายเพ่ือข้ึนครองราชย์
ตามตานานเล่าว่าระหว่างการก่อสร้างนั้นพระองค์ได้เสด็จมาตรวจงานอยู่
ตลอด โดยทรงถือเข็มเล่มเล็กไว้ในมือแล้วสอดไปตามรอยต่อของก้อนอิฐ
หากพบวา่ อฐิ กอ้ นไหนก่อไม่สนิทมชี อ่ งแม้แต่เพียงเข็มสอดได้ พระองค์ก็จะ
ทรงนาช่างก่ออิฐผู้น้ันไปทาโทษด้วยการตัดมือ ดังนั้นวิหารธรรมยางยี
(Dhammayangyi) จึงเป็นวิหารท่ีมีงานเรียงอิฐที่ละเอียด มั่นคง และ
แขง็ แรงมากทาให้ยังคงความสมบูรณ์มาจนปจั จบุ ัน

สุดท้ายแล้ววิหารแห่งนี้สร้างไม่เสร็จ เหตุจากพระเจ้านรถูถูกลอบ
ปลงพระชนม์เสียก่อน วิหารนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาก เริ่มต้ังแต่รูปทรง
วิหารที่ดูเหมือนพิรามิด แถมสร้างด้วยอิฐแดงเป็นล้านๆ ก้อน ด้านหน้าวัด
จะแขวนตุ๊กตาหุ่นเชิดสไตล์พม่าไว้เต็มไปหมด แม้บรรยากาศภายในวิหาร
อาจจะดอู ับๆ บ้าง แตน่ ีค่ อื หนงึ่ ในวิหารทีน่ ่าสนใจมากในพกุ าม

14

15

16

หนิ อันดากู

หากกล่าวถึง อันดากู สาหรับสังคมของผู้ที่นับถือศาสนาพุทธชาวเมียนมาร์(พม่า)แล้ว หมายถึงองค์ปฏิมากรรมขนาดเล็กซ่ึงเป็นส่ิงศักด์ิสิทธิ์ท่ีมี
ความสาคัญยง่ิ ในพระพุทธศาสนา ทั้ง ๆ ท่ีคาว่าอันดากู เป็นช่ือของหินสบู่ชนิดหน่ึงท่ีมีแหล่งกาเนิดอยู่ในประเทศเมียนมาร์ แต่ด้วยความยาวของอายุศิลปะ
ชนดิ นท้ี ี่มีความต่อเน่ืองมาจนถึงปัจจุบันทาให้คาว่า อันดากู กลายเป็นสรรพนามของการเรียกสิ่งศักด์ิสิทธิ์ชนิดหน่ึงในพระพุทธศาสนา และวัฒนธรรมการ
เรียกอันดากู กลายเป็นสรรพนามท่ีมีความหมายทั้งชื่อของวัสดุ(หิน) และศิลปะเพื่อศาสนาพุทธที่เก่ียวกับปรัชญาทางพุทธประวัติท่ีถูกยอมรับโดยนัก
ประวตั ศิ าสตร์ศิลปะและนกั โบราณคดที ่ัวโลกในทกุ วนั นี้

อนั ดากเู ปน็ ปฏิมากรรมขนาดเล็กมาก สืบเน่อื งมาจากการท่ีเปน็ แผ่นหินธรรมชาติขนาดเล็กท้ังยังขาดซึ่งเทคโนโลยีในการขุดในสมัยนั้น จึงทาให้
ขนาดของอันดากูจึงเป็นเอกลักษณ์อีกชนิดหนึ่งของศิลปะชนิดน้ี เพราะโดยปกติปฏิมากรชาวเมียนมาร์นิยมการและสลักหินขนาดใหญ่อย่างท่ีเรามักจะพบ
เห็นพระพุทธรูปทแี่ กะจากหินชนดิ อื่น ๆ ทมี่ ีขนาดใหญม่ ากในเมยี นมาร์ทีม่ อี ยู่จานวนมากตามสถานที่ต่าง ๆ แต่สาหรับชาวเมียนมาร์แล้ว อันดากูถึงแม้จะมี
ขนาดเล็กแต่กลับซ่อนเร้นความศรัทธาขนาดใหญ่ไว้ภายใน เหตุเพราะ อันดากูถูกรังสรรค์ขึ้นจากปรัชญาท่ีลุ่มลึกไม่เหมือนใคร หากผู้ใดเข้ าถึงปรัชญาการ
สร้างนี้แลว้ เป็นธรรมดาทีจ่ ะต้องเกดิ แรงศรัทธาท่มี ีต่อปฏมิ ากรรมชิน้ เล็กเหล่าน้ี

เพราะคาวา่ อนั ดากใู นสงั คมของชาวเมียนมาร์หมายถึงคาศักด์ิสิทธ์ิ คล้ายกับการเปลี่ยนพระนามของ
องคพ์ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทาให้ผู้เอ่ยคาน้ีเกดิ ความเปน็ สิรมิ งคลให้กับตนเอง คล้ายกับการเอ่ยคาว่า อะ อุ มะ
หรือ โอม ของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน อันหมายถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะฉะน้ันคาว่าอัน
ดากู ในความหมายความเข้าใจของชาวเมียนมาร์คือคาศักด์ิสิทธิ์ท่ียิ่งใหญ่ที่เปี่ยมล้นเต็มไปด้วยจิตแห่งความ
เคารพ และศรัทธา ทหี่ มายถึงธรรมวตั ถุช้ินน้นั เป็นจุดศูนย์กลางหรอื หัวใจของพระพุทธศาสนา

หากจะศึกษาถึงรากเหง้าอันเป็นสาเหตุของการเกิดความรู้สึกอันสูงย่ิงของ อันดากู ท่ีมีศิลปะทางแนว
พุทธประวัติฝังตัวอยู่ภายใน จนเกิดเน้ือหาขององค์ปฏิมากรรมชนิดนี้ครอบคลุมท้ังรูปธรรมและนามธรรมจน
กลายเป็นหลายความหมายแต่ถูกบรรจุอยู่ในคาเดียวได้นั้น สาเหตุสาคัญอาจเกิดจากฐานของจิตใจท่ีมี
จุดเร่ิมต้นตั้งแต่สมัยบรรพชน เหตุเพราะชาวเมียนมาร์แต่เดิมเป็นชนชาติชาวดาวิเดียนอีกกลุ่มหนึ่งที่หนีภัย
คุกคามจากชาวอารยันในอินเดีย ขึ้นไปตั้งถ่ินฐานอยู่บนที่ราบสูงทิเบตเม่ือประมาณ 4,000 ปีล่วงมาแล้ว ชาว
เมียนมาร์กลุ่มนี้ถูกย้อมด้วยกล่ินอายของศาสนาพุทธนิกายมหายานลัทธิตันตระ มาตลอดตั้งแต่สมัยหลัง
พุทธกาล ชาวทิเบตจะเน้นหนักในการใช้รูปเคารพเป็นกสินขณะที่ทาการภาวนา โดยเฉพาะความคุ้นเคยกับ
ภาพจติ รกรรมพระบท ทีส่ ่วนใหญ่จะมเี รอ่ื งพุทธประวัติเป็นองค์ประกอบหลักสาคัญ ซ่ึงมีพระบทบางภาพจะมี
โครงสร้างคล้ายกับปฏิมากรรมอันดากูมาก เพียงแต่พระบทมีเพียง 2 มิตินอกจากน้ันส่ิงแวดล้อมในเกือบทุก
17 ด้านล้วนเก่ยี วกับความศรทั ธาอย่างแรงกลา้ ในพระพุทธศาสนา

ในระยะตอ่ มาชาวเมยี นมาร์กลมุ่ นไ้ี ดข้ ยายตัวมีจานวนมากข้ึน จนต้องอพยพลงมายังดินแดนทางใต้ท่ีอบอุ่นและสมบูรณ์มาก โดยล่องแม่น้าลงมาตาม
ลาน้าอิรวดีและลาน้าสาละวินท่ีมีแหล่งกาเนิดอยู่ในบริเวณท่ีราบสูงทิเบต การเข้ามาตั้งถ่ินฐานครั้งแรกบริเวณป่าพุกามอันกว้างใหญ่จึงทาให้ต่อมาชาวเมียน
มาร์กลุ่มน้ีจึงถูกนักมนุษย์วิทยาเรียกว่า TIBETO-BURMAN เหตุเพราะอพยพมาจากที่ราบสูงทิเบต ซ่ึงภายในบริเวณป่าพุกามแห่งนี้ยังมีชนเผ่าเล็กเผ่าน้อย
จานวนมากถึง 36 ชนเผ่าท่ีอาศัยมาก่อนหน้านี้ แต่เผ่าต่าง ๆ ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้เพราะมีศัตรูคนเดียวกันคือ ชาวมอญโบราณ ที่ในขณะน้ันมีอานาจการ
ปกครองสูงสุด โดยเฉพาะมีศูนยก์ ลางการปกครองอยู่ในบริเวณทางตอนใต้ของสาธารณรัฐสหภาพเมียนมาร์(พม่า)ในปัจจุบัน แต่ในระยะต่อมาชาวพยู(PYU)
แห่งเมอื งศรเี กษตรไดถ้ กู ชาวมอญรุกรานขับไล่จนต้องหนีภยั หลบเข้ามาอาศยั ในปา่ พกุ าม ทาให้ตอ่ มาชนท้งั 2 กลุ่มใหญ่นี้สามารถรวมตัวกันได้อันเกิดจากการ
อภิเษกสมรสระหวา่ งพระโอรสพระธิดาของท้ังสองฝา่ ย จงึ ทาให้ชนกลมุ่ ลกู ผสมเมยี นมาร์มีความแข็งแกร่งมากยิ่งข้ึน ทั้งระยะต่อมายังมีการพัฒนาเสริมสร้าง
ความสามารถทางด้านการรบที่เกิดจากนโยบายและระบบการปกครองของพระเจ้าอโนรธามหาราช จนสามารถสถาปนาอาณาจักรขึ้นตามช่ือเรียกของป่า
ใหญ่ทช่ี นกล่มุ ตา่ ง ๆ เหล่าน้ีเคยอาศัยพักพงิ ตั้งแตส่ มยั ก่อนคริสต์ศตวรรษท่ี 10
ต่อมาพระเจ้าอโนรธามหาราชทรงกรีฑาทัพลงใต้เข้าตีอาณาจักรของ
ชาวมอญ และสามารถพิชิตเมืองราชธานีทาทอน(THATON) ลงได้ ทั้งยัง
สามารถจับตัวพระเจ้ามณูห่าเม็ง กษัตริย์ของชาวมอญไว้ได้ ทรงนาพระเจ้ามณู
หา่ เมง็ และพระบรมวงศานุวงศ์ไปกักบริเวณอยู่ที่เมืองพุกาม นอกจากนี้พระเจ้า
อโนรธามหาราชยังทรงกวาดต้อนนักปราชญ์ ราชบัณฑิต พระสงฆ์ พร้อมกับ
เหล่าเสนาอามาตย์และช่างฝีมือแขนงต่าง ๆ ไปยังเมืองพุกามเป็นจานวนมาก
ทง้ั ยังนาวัฒนธรรมการนบั ถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเข้ามาสู่อาณาจักรพุกาม
จนทาให้สังคมชาวพุกามหันมานับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท แต่ก็ยังท้ิง
ร่องรอยของศาสนาพุทธนิกายมหายานไว้ เช่น พระพุทธรูปส่วนใหญ่จะมี
อุนาโลม การสร้างพระพุทธรูปแบบทรงเครื่องหรือแบบทรงมงกุฎ ทั้ง ๆ ที่ใน
ปัจจุบันพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนชาวเมียนมาร์(พม่า) มีวัตรปฏิบัติในทาง
นกิ ายเถรวาทอย่างเคร่งครดั มากที่สดุ ประเทศหน่งึ ในเอเชีย
หลังจากพระเจ้าอโนรธามหาราชทรงพิชติ อาณาจกั รมอญได้แลว้ ทรงขยายพระราชอาณาเขตเข้าปกครองอาณาจักรอารข่านทางด้านทิศตะวันตกที่ติด
กับอินเดีย (สมัยน้ันยังไม่มีประเทศบังคลาเทศและยังไม่มีอาณาจักรไท-ใหญ่ในเมียนมาร์) ทาให้อาณาจักรพุกามมีพระราชอาณาเขตติดกับแคว้นอัสสัมกับ
แควน้ เบงกอลทางด้านทิศตะวันออกของอินเดยี ทั้งยงั ไดร้ ับวัฒนธรรมจากแคว้นอื่น ๆ รวมทั้งประเทศต่าง ๆ ใกล้เคียงเช่น แคว้นพิหาร แคว้นโอรสา เป็นต้น
ส่วนประเทศท่ีมีสายวัฒนธรรมเดียวกันที่อยู่ใกล้เคียงกันคือ ประเทศเนปาลและประเทศภูฏาน และทิเบต เพราะประเทศเหล่าน้ันล้วนแต่นับถือศาสนาพุทธ
นิกายมหายานในขณะท่ีทาให้อาณาจักรพุกามได้รับอารยธรรม วัฒนธรรม และประติมานวิทยา รวมทั้งศิลปะทางด้านพุทธศาสนามาจากอินเดีย โดยเฉพาะ
ศลิ ปะปาละ จากแควน้ เบงกอลก่อนทก่ี าลงั มีอทิ ธิพลครอบคลมุ ตลอดท่ัวทั้งดนิ แดนแถบทีไ่ ดก้ ล่าวถึง
18

ส่ว่ นศิลิ ปะแกะสลักั แนวพุทุ ธประวัตั ิบิ นแผ่น่ ศิลิ าได้ร้ ับั
การตอบรับั จากสัังคมของชาวพุุกามอย่า่ งรวดเร็็ว แต่่ปัจั จััย
ทางวัตั ถุุดิบิ พื้้น� ถิ่�นของหิินอัันดากูชู ่ว่ ยเป็น็ ตัวั เร่ง่ และอำนวย
ให้ต้ ่อ่ การสร้า้ งทำวัตั ถุเุ หล่า่ นี้้ใ� ห้ส้ ะดวกและง่า่ ยกว่า่ การแกะ
บนหิินแข็็งธรรมดา จึึงกลายเป็็นสาเหตุุสำคััญทั้้�งยัังเป็็น
แรงจููงใจที่�่ส่่งเสริิมให้้ปฏิิมากรชาวเมีียนมาร์์ได้้พััฒนาศิิลปะ
แนวนี้้�ไปได้้อย่่างรวดเร็ว็ จนมีเี อกลักั ษณ์เ์ ป็น็ ของตนเองและ
ดููแตกต่่างจากศิิลปะต้้นแบบดั้้�งเดิิม ที่�่ได้้รัับจากอิินเดีีย
นัับตั้้�งแต่่นั้้�นเป็็นต้้นมา ชาวเมีียนมาร์์จะเรีียกปฏิิมากรรม
ชนิิดนี้้�ว่่า อัันดากูู ศิิลปะอัันดากููไม่่ได้้สร้้างความประทัับใจ
ให้้กัับชาวเมีียนมาร์์ เพราะความประณีีตงดงามแต่่เพีียง
อย่า่ งเดีียว สาเหตุเุ พราะชาวเมียี นมาร์เ์ ข้า้ ใจถึึงแนวทางปรัชั ญา
ของปฏิิมากรรมชนิิดนี้้�ได้้อย่่างลึึกซึ้�้ง เพราะอัันดากููเป็็น
ปฏิมิ ากรรมทางพุทุ ธประวัตั ิฉิ บับั ย่อ่ แต่ค่ รบถ้ว้ นด้ว้ ยเนื้้อ� หา
ตั้ง� แต่ท่ รงพระประสูตู ิิ จนถึึงทรงพระปรินิ ิพิ พาน ส่ว่ นเนื้้อ� แท้้
สำคัญั คืือปรัชั ญาที่เ่� กี่ย่� วกับั พระพุทุ ธรูปู องค์ป์ ระธานตรงกลาง
ที่่�เป็็นพระพุุทธรููปปางมารศรีีวิิชััย อัันเป็็นองค์์สื่�่อหลััก
แสดงถึึงช่ว่ งวิิกฤตของพระโพธิสิ ัตั ว์์สิิทธัตั ถะจะต้้องเอาชนะ
มารในหััวใจของพระองค์์เองได้้อย่่างเด็็ดขาดแบบถอนราก
ถอนโคน หรืืออีีกนััยหนึ่่�งคืือต้้องตายจากกิิเลสทั้้�งปวงก่่อน
จึึงสามารถเข้้าถึึงสภาวะการตรััสรู้�จนกลายเป็็นองค์์สมเด็็จ
พระสััมมาสััมพุุทธเจ้้า และทำให้้เกิิดศาสนาพุุทธขึ้้�นในโลก
ส่่วนเรื่่�องราวการชนะมารในแนวพุุทธชาดก ที่่�เกี่่�ยวกัับ
พระแม่ธ่ รณีีและพระพญามารวัสั วดีีนั้้น� เป็็นอีีกแนวหนึ่่�งใน
การอธิิบายให้้ดููเป็็นรููปประธรรมเกี่่�ยวกัับการได้้มาของ
พระพุุทธเจ้้าและพระพุุทธศาสนา
19

ด้ว้ ยเหตุดุ ังั กล่่าวข้้างต้น้ จึึงเป็น็ คำตอบที่ส่� ามารถอธิิบายได้้ว่า่ เพราะเหตุุใดชาวเมีียนมาร์จ์ ึึงมีีความเคารพและมีอี งค์์ศรััทธาสูงู ยิ่�งต่่อคำว่่าอันั ดากูู ซึ่่�งเป็น็
สรรพนามแบบครอบจัักรวาลที่่ใ� ช้้เรีียกธรรมวััตถุชุ นิดิ หนึ่่ง� ของตน เพราะชาวเมียี นมาร์เ์ ข้้าถึึงแก่่นแท้เ้ กี่ย่� วกับั ความหมายทางด้้านปรััชญาของศิิลปะชนิดิ นี้้�อย่า่ ง
ลึึกซึ้ง้� เพราะอันั ดากูเู ป็น็ เอกลักั ษณ์ต์ ่อ่ การต่อ่ สู้้�กับั กิเิ ลสของตนเองที่แ่� สนจะยากลำบาก เพราะเหตุกุ ารณ์ข์ องปางมารวิชิ ัยั เป็น็ ช่ว่ งสำคัญั มากที่ส่� ุดุ ในช่ว่ งเหตุกุ ารณ์์
ทางพระพุุทธประวััติิเป็็นเพราะช่่วงของจุุดหัักเหและเป็็นจุุดแตกหัักต่่อการตััดสิินพระทััยของพระโพธิิสััตว์์สิิทธััตถะ ว่่าจะทรงสู้�จนชนะเหล่่ามัันทั้้�งปวงหรืือจะ
กลับั ไปสู่่�ฐานัันดรเดิิม ที่ม�่ ีพี ระราชวัังและสิ่�งอำนวยความสุขุ ทางโลกนานานััปการเป็น็ เดิิมพััน

20

คุณสมบัติของหินอันดากู

หินเป็นวัสดุชนิดหน่ึงที่มีค่านิยมและถูกนามาใช้เพ่ือวัตถุประสงค์ หินอันดากู (ANDAGU) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ไพโรฟิไรท์
ต่าง ๆ ในวงจรชีวิตของมนษุ ยชาติมาตงั้ แต่สมัยดึกดาบรรพ์ หินถูกใช้ในการ (Pyrophyllite stone) บางประเทศไมเ่ รียกว่าหินแต่จะเรียกว่าแร่ไพโรฟิไรท์
กอ่ สร้างอาคารทาเป็นเครื่องมือในชีวิตประจาวนั รวมทั้งส่ิงอื่น ๆ อีกมากมาย เนื่องจากถูกนามาใช้ในผลิตภัณฑ์ด้านอุตสาหกรรมชนิดต่าง ๆ มากกว่า
แตห่ นิ ทีส่ งั คมมนษุ ย์รู้จักและคุ้นเคยมากท่สี ดุ คอื สิ่งที่ถูกใช้ในการสร้างสรรค์ ทางด้านปฏิมากรรม หินอันดากูถูกนักธรณีวิทยาจัดอยู่ในหมวดของหินสบู่
งานศิลปะรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะงานประติมากรรมนอกจากหินอ่อน เนื่องจากมีอัตราของ Talc และ Mohs อยู่ในเกณฑ์ของหินสบู่ท่ีถูกกาหนดไว้
( Mable ) แล้ว หินทราย (Sand Stone) หินแกรนิต ( Granite Stone ) เป็นมาตรฐานสากล ทั้ง ๆ ที่หินอันดากูไม่มีความรู้สึกคล้ายหินสบู่ทั่วไปดังที่
หินฌิชท ( Schist Stone ) โดยเฉพาะกลุ่มหินสบู่ ( Soup Stone ) ท่ีมี ได้กล่าวมาแล้ว หินอนั ดากเู ริ่มแสดงบทบาทสาคญั ในอินเดยี มาก
หลากหลายสี ได้ถูกนามาใช้ในหลายรูปแบบเพราะขึ้นรูปและเก็บ
รายละเอียดได้ง่ายคล้ายสบู่แต่จะแข็งตัวเม่ือถูกอากาศนาน ๆ เพราะฉะนั้น เหตุเพราะในช่วงคริสต์ศตวรรษ
หินสบู่จึงเหมาะกับงานประณีตท่ีซับซ้อน และหินสบู่บางชนิดยังเป็นหินที่ถูก ท่ี 8 - 13 แคว้นเบงกอลของราชวงศ์ปา
นักธรณีวิทยากาหนดให้เป็นแร่หินพิเศษท่ีถูกนามาใช้ในกิจกรรมทาง ละ ในอินเดียตะวันออกและแคว้น
อุตสาหกรรมระดับสูง สว่ นหินสบูใ่ นอดตี ที่ชาวเอเชียรู้จักส่วนใหญ่จะถูกใช้ใน ใกล้เคียงได้นาหินชนิดน้ีไปให้ปฏิมากร
ด้านปฏิมากรรมหรืองานประณีตศิลป์อื่น ๆ มากกว่าทางด้านอุตสาหกรรม นาไปแกะงานปฏิมากรรมรูปเคารพใน
เช่น หินอาราบัสเตอร์ หนิ ภูเขาไฟ หินไดโรไมค์ และหินอันดากู เป็นตน้ ศาสนาต่าง ๆ โดยเฉพาะในศาสนาพุทธ
ที่เกยี่ วขอ้ งกับเร่อื งขององค์ปฏิมากรรม
คุณสมบัติของหินสบู่ คือเม่ือนาข้ึนมาจากใต้ดินใหม่ๆจะอ่อนนุ่ม ชุดพุทธประวัติ แล้วศิลปะชนิดนี้ได้ส่งอิทธิพลเข้ามาให้กับอาณาจักรพุกาม
คว้านแกะขึ้นรูปทรงต่าง ๆ ได้ง่ายจนมีความรู้สึกคล้ายแกะก้อนสบู่เลยถูก ที่มีพระราชอาณาเขตที่ติดต่อกันในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10 - 11 เน่ืองจาก
เรียกว่าหินสบู่ให้เป็นไปตามลักษณะและความรู้สึก แต่หินสบู่จะแข็งตัวเม่ือ หินอันดากูเป็นหินพื้นถ่ินท่ีหาง่ายและมีจานวนมาก จึงกลายเป็นแรงผลักดัน
เกิดการแห้งตัวเมื่อถูกอากาศและมีบางชนิดแห้งแล้วจะเกิดการเปล่ียนสี ซึ่งมี อีกด้านหน่ึงที่ทาให้ปฏิมากรชาวพุกามรับเอาทั้งประติมานวิทยา และปรัชญา
ทั้งแบบเปลี่ยนสีเร็วและช้า สาหรับหินอันดากูที่เป็นภาษาพ้ืนถ่ินที่ถูกเรียก ทางศิลปะเข้าสู่อาณาจักรอย่างเต็มท่ี และด้วยสิ่งแวดล้อมทางด้านการเมือง
จากชาวเมียนมาร์มานานกวา่ พนั ปี หนิ ชนิดนถ้ี งึ แม้จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มของหิน การปกครองที่เพ่ืออานวยให้ ทาให้ปฏิมากรชาวพุกามได้รังสรรค์พัฒนา
สบู่แต่ข้อแตกต่างของหินอันดากูจะไม่มีความรู้สึกล่ืนไหลคล้ายสบู่ในเวลา ศิลปะแบบพุทธประวัติน้ีให้แตกต่างออกไปจากศิลปะต้นแบบเดิมจนมี
แกะสลัก แต่ก็เป็นหินที่อ่อนตัวท่ีสามารถขึ้นรูปทรงได้ง่ายเหมือนก้อนสบู่ เอกลักษณ์เป็นของตนเอง และด้วยความเป็นชาวพุทธท่ีมีจิตศรัทธาและ
ทวั่ ไป มนั จะแขง็ ตวั และมีผิวนวลข้ึนทั้งยังไม่เปลี่ยนไปจากสีเดิมมากคือจากสี เข้าใจถึงแนวปรัชญาของงานแกะสลักหินอันดากู ทาให้คาว่าอันดากู
ขาวจะเปลี่ยนไปคล้ายสีของงาช้างเก่า หินอันดากูทั่วโลกจะมีคุณสมบัติท่ี กลายเป็นสรรพนามทใ่ี ช้เรยี กชอื่ ของหินและปรัชญาท่ีศักดิ์สิทธ์ิทางงานศิลปะ
แตกต่างกันบ้างเล็กน้อยมีหลายสี สีที่หายากและมีจานวนน้อยมาก คือหิน แนวพุทธประวัติมาตลอดจนถึงทุกวนั น้ี
อันดากูสดี า ทีพ่ บในประเทศเมียนมาร์

21

สาหรับการสรุปเก่ียวกับคุณสมบัติของหินอันดากูทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะแตกต่างจากหินสบู่ส่วนใหญ่ที่อุดมไปด้วยแร่แมกนีเซียมที่เกิดจาก
สามารถนามากล่าวย่อ ๆ แต่พอสังเขปได้ดังน้ี แต่ก่อนอ่ืนต้องขอทาความ กระบวนการของไดนาโมเทอร์มอร์ แมทาโมพริซ่ัม และเมทาโซมาทริซั่ม
เข้าใจกอ่ นวา่ การเรยี กหนิ อนั ดากู หรืออันดากูหมายถึงหินไพโรฟิไลต์ ซึ่งเป็น เพราะส่วนใหญ่หินสบู่จะเกิดในพื้นที่ท่ีมีการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก
ชื่อเรียกทางด้านธรณีวิทยา หรือทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นสรรพนามระดับ และท่ีสาคัญจะต้องมีองค์ประกอบของแรงอัดและตัวความร้อนท่ีสูงมากดังท่ี
สากล เพราะหินอันดากูก็มีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงจากหินแข็งธรรมดา กล่าวมาแลว้ ข้างต้น เพราะฉะน้ันจะเหน็ ว่าหินสบู่อนั ดากจู ะมีความแตกต่าง
ทั่วไปจนกลายเป็นหนิ อนั ดากคู ล้ายกับหินสบู่อ่ืน ๆ ทั่วไป หินอันดากูไม่ใช่หิน ขององค์ประกอบของเน้อื ผงแร่เหล่าน้ี ทางภาษาวิทยาศาสตร์จะเรียกผงแร่
ที่เกิดจากเปลือกโลกมาแต่ต้น แต่เกิดจากกระบวนการเปล่ียนแปลงของ เหล่าน้ีว่า TALC ท่ีจะแทรกตัวอยู่ทั่วทุกอณูของหินและทาให้หินนิ่มส่วนการ
โครงสรา้ งหินเกา่ ท่ีมีมากอ่ นหน้าน้ีหลายครง้ั จนครง้ั สุดท้ายได้กลายเป็นหินสบู่ ทห่ี นิ อนั ดากูถกู จัดอยใู่ นประเภทหินสบูท่ ้ังท้ังท่ีไม่มีความรู้สึกลื่นไหลคล้ายสบู่
อนั ดากู เหตเุ พราะชน้ั หินของแผน่ หินถูกแรงอัดความร้อนที่สูงมากในปริมาณ เพราะหินอนั ดากูมี TALC สงู
มหาศาล จนทาให้แร่ชนิดต่าง ๆ ท่ีแทรกตัวอยู่ในเน้ือหินเดิมหลอมละลาย แ ต่ เ ป็ น ผ ง แ ป้ ง แ ร่ ที่
กลายเป็นของเหลว แต่หลังจากเย็นตัวลงแล้วของเหลวเหล่าน้ีได้แปรสภาพ มีอลูมิน่ัมกับผงแป้งซิลิเกสสูง
กลายเป็นผงแร่คล้ายผงแป้งแต่ไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างหรือคุณสมบัติด้ังเดิม มาก เหตเุ พราะผงแรท่ ั้ง 2 ตัว
ก่อนจะละลายตัว แตก่ บั เปลีย่ นรปู ทรงกลายเป็นผงแป้งแร่ของตนเองแต่เดิม นี้ไม่มีลักษณะทาให้เกิดการ
ผงแร่เหล่านี้จะแทรกตัวอยู่ทั่วไปในแผ่นหินจึงเป็นสาเหตุสาคัญทาให้เกิด ลื่นไหลเหมือนสบู่ทั่วไปจึงมี
ลักษณะหินท่ีมีความอ่อนตัว ง่ายต่อการตัดแต่งในรูปทรงต่าง ๆ ตามที่ เฉพาะความนิ่มสามารถข้ึน
ต้องการ รูปง่ายและความนุ่มดังกล่าว
น้ี อ ยู่ ใ น เ ก ณ ฑ์ ม า ต ร ฐ า น ที่
ส่วนหินสบู่ประเภทอันดากูจะแตกต่างจากหินสบู่ท่ัวไป เนื่องจากไม่ ก า ห น ด ไ ว้ ที่ นั ก ธ ร ณี วิ ท ย า
ลื่นไหลเหมือนก้อนสบู่ เหตุเพราะหินอันดากูเป็นหินสบู่ท่ีมีผงแร่ เรียกว่าค่า MOHS SCALE
ซิลิกอนไดออกไซด์มากเป็นพิเศษถึง 66.60 % จึงเป็นอีกสาเหตุหน่ึงท่ีทาให้ ดงั ท่ีจะขอสรุปขอ้ กาหนด
หินอันดากมู ีสีขาวนวล
กฎเกณฑข์ องคาวา่ หนิ สบ่ไู ว้ดังนี้
1.หินสบู่จะต้องมีปริมาณของผงแป้งแร่ชนิดใดก็ตามท่ีเรียกว่า TALC
มากกวา่ 30% แต่ต้องไมเ่ กิน 80 % ของปรมิ าตรของเน้ือหินโดยรวม
2.ก้อนหินสบู่หากถูกกดหรือตัดโดยแรงกดตามมาตรฐานที่กาหนดไว้
จะตอ้ งไม่แข็งเกินกว่าระหว่าง 2.5 - 5.5 ของ MOHS SCALE หากความแข็ง
เกินกว่า 5.5 จะไม่ใช่หินสบู่แต่ถูกจัดในหินทั่วไปเช่น หินอ่อนหรือหินชนิด
อืน่ ๆ 22

ซ่ึงในอดีตอาจจะไม่มีการกาหนดมาตรฐานจนเป็นหลักตายตัว หรือไม่ได้ถูก 1.หินอนั ดากู ตามชอื่ วิทยาศาสตรค์ อื หิน ไพโรฟไิ รท์ (Pyrophyllite)
เผยแพร่อยา่ งกว้างขวางจึงทาให้นักประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ปะเรียกหินชนิดเดียวกัน 2.หินอันดากู ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของหินสบู่ ท้ัง ๆ ท่ีไม่มีความลื่นไหล
แต่แตกต่างออกไป เช่น บางท่านเรียกว่า MUD STONE (หมายถึงหินที่อ่อน เหมือนสบู่ แต่ปริมาณผงแร่ TALC กับ MOHS SCALE อยู่ในข้อกาหนดท่ี
เหมือนดินเหนียว) บางท่านเรียกว่า ALABASTER STONE (หมายถึงหินสบู่ เป็นมาตรฐานสากล เหตุที่ไม่มีความลื่นไหลเนื่องจากผงแป้งแร่ เป็นผงแร่
อาราบาสเตอร์) ส่วนปฏิมากรรมในอินเดียตะวันออกบางช้ินที่เป็นสีดาเงาแต่ อลูมินั่มและผงแร่ซิลิเกส ท่ีมีความแข็งมากถึง 60% - 70% ของปริมาณของ
ถกู เรียกเปน็ ช่ืออ่ืน ๆ ปฏิมากรรมชนิ้ นั้นอาจเป็นหนิ อันดากูสีดาก็ได้เพราะนัก หินแต่ละก้อน
ประวัติศาสตร์ศิลปะไม่ใช่นักธรณีวิทยาจะไปกล่าวหาว่าท่านผิดก็ไม่ถูกนัก 3.หินอันดากู ไม่ใช่มีเพียงสีขาวสีเดียวอย่างที่คนท่ัวไปเข้าใจ แต่หิน
เหตุเพราะท่านเหลา่ นั้นอาจจะไดม้ าซง่ึ ขอ้ มูลทไ่ี ม่ถูกต้องก็ได้แต่ก็เป็นหินที่จัด อันดากู มีหลายสี ส่วนสีที่หายากท่ีสุดคือสีดาท่ีพบเฉพาะในประเทศ
อยู่ในกลุ่มของหินสบู่เหมือนกัน เพราะหินสบู่บางชนิดจะมีแร่เงินหรือแร่ เมยี นมาร์
โครเมียมสูงมาก เม่ือแข็งตัวจะกลายเป็นสีดาเงามันจนดูคล้ายหินอันดากู 4.หินอันดากู มีคุณสมบัติชนิดหนึ่งที่ไม่แตกหักง่ายจนเกินไปหาก
สดี า แข็งตัวแลว้ จะไมเ่ ปล่ียนสจี ากสีเดิมมากเหมือนหินสบู่ชนดิ อ่ืน ๆ
5.หินสบู่อันดากู มีคุณสมบัติพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือเป็นหินสบู่ท่ีมีแร่
ด้วยเหตุนี้เพ่ือให้ได้ข้อสรุปถึงคุณสมบัติของหินสบู่ทั่วไปแล้วจึงขอ เหลก็ น้อยกวา่ 1% ทาใหไ้ ม่เกดิ คราบสนมิ จนทาให้ดสู กปรก ทนต่อความร้อน
กระชับเข้าหาบทสรุปคุณสมบัติของหินสบู่อันดากู และข้อมูลท่ัวไปของการ สงู มากมีการขยายตัวและหดตัวน้อยมาก หากใช้ในกิจกรรมงานประณีตศิลป์
ใช้งานท่ีสามารถลาดบั โดยยดึ ถือจากขอ้ มลู ทีม่ ีมาตง้ั แตต่ ้นไวด้ ังน้ี จะไม่เกิดรอยร้าวหรือบิดงอเหมือนกับหินชนิดอ่ืน ๆ หากมีการเปลี่ยน
23 อณุ หภมู อิ ยา่ งรวดเรว็
6.หินสบู่อนั ดากใู นประเทศอนื่ ๆ ทีม่ ีแหล่งหินชนิดนี้มาก หินอันดากู
จะถูกเรียกและรู้จักกันในนามของ แร่ไพโรฟิไรท์มากกว่าคาว่าหิน เพราะแร่
อันดากูเป็นแร่เศรษฐกิจสาคัญ มีประโยชน์เพื่อใช้ผลิตสินค้าท่ีเอื้ออานวยต่อ
การดารงชีวิตของมนุษย์อย่างมหาศาล โรงอุตสาหกรรมรู้จักหินชนิดน้ีมา
นานและเปน็ สนิ ค้าดา้ นผลิตผลทางอตุ สาหกรรมทีส่ าคัญ
ส่วนประเทศไทยและประเทศสาธารณรัฐสหภาพเมียนมาร์ ยังไม่
ปรากฏข่าวการสารวจแหล่งหินชนิดน้ีอย่างจริงจัง จึงทาให้หินอันดากูเป็น
เพียงหินศักดิ์สิทธ์ิที่ใช้แกะศิลปะอันดากู(พุทธประวัติ) เป็นเครื่องหล่อเล้ียง
จิตใจของชาวพทุ ธในประเทศเมยี นมาร์ท่ียังคงมีอยู่จนถงึ ทุกวันนี้

แหล่งหนิ อนั ดากูทัว่ โลก

ทาไมเราต้องทราบถึงแหล่งหินอันดากูทั้ง ๆ ที่ไม่มีส่วนเก่ียวข้องกับ เจ้าของแหล่งหินอันมีคา่ นี้ การศกึ ษาแหล่งหินกนั ดากเู พียงเพื่อต้องการข้อมูล
ปฏิมากรรมศิลปะอันดากูในเมียนมาร์ เหตุเพราะข้อมูลในอดีตระบุว่าหิน เพ่ือยืนยันว่าแหล่งหินอันดากูมีอยู่ในเมียนมาร์จริงหรือไม่ เพื่อจะได้นาไป
อันดากูในเมียนมาร์เป็นหินที่นาเข้ามาจากอินเดียตะวันออก ประการต่อมา ศึกษาคู่ขนานไปกับสายวิวัฒนาการของศิลปะอันดากู ที่ยังไม่ลงตัว จึง
ตามหลักทฤษฎีท่ัวไป คือหาประเทศหรือชนชาติใดมีแหล่งวัตถุดิบเป็นของ จาเป็นต้องสรุปตัดสินโดยการเลือกใช้ข้อมูลท่ีมีหลักฐานท่ีเรียบง่ายแต่ตรง
ตนเอง กิจการชนิดนั้นจะคงอยู่และมีอายุยืนยาวตามจานวนปริมาณของ ตามเปา้ หมายที่สามารถยืนยนั ว่าหินอันดากู มีหรือไมม่ ใี นสาธารณรัฐสหภาพ
วัตถุดิบชนิดน้ัน ๆ หากวัตถุดิบเหล่าน้ันใช้เพื่องานประณีตศิลป์หรืองาน เมียนมาร์ งานวิจัยของ MR.TADAKATA HIDO และ MR.RJUJI KITAKAWA
ปฏิมากรรมต่าง ๆ ก็หมายถึงความต่อเน่ืองยาวนานรวมท้ังยังมีการพัฒนา และคณะซ่ึงถูกคัดเลือกเพื่อนามาใช้ประกอบการพิจารณา เพราะข้อมูลของ
ศิลปะที่ทาจากวัตถุดิบชนิดนั้นเช่นเดียวกัน คาถามจึงมีอยู่ว่าเพราะเหตุใด ท่านเหลา่ นีม้ คี วามละเอยี ดพอดกี บั ความต้องการของนักประวัติศาสตร์ศิลปะ
หากหินอันดากูนาเข้ามาจากอินเดียตะวันออกจริง ทาไมทุกวันน้ีจึงไม่มี ที่อยู่ในขอบเขตเท่าท่ีควรจะรู้ เพราะนอกจากจะมีแผนท่ีระบุตาแหน่งของ
สิ่งประดิษฐ์ใด ๆ ที่ทามาจากหินอันดากูในดินแดนทางทิศตะวันออกของ แหล่งหินอันดากูที่เราต้องการแล้ว งานวิจัยยังระบุการใช้งานแต่ละประเภท
อินเดียแม้แต่น้อย แต่สาหรับในสาธารณรัฐสหภาพเมียนมาร์กลับมี ของหินอันดากูของแต่ละประเทศ รวมท้ังผู้ผลิตรายใหญ่ท่ีมีตัวเลขระบุไว้
ปฏิมากรรมที่ทาจากหินอันดากูหลากหลายรูปแบบ ท้ังแบบอนุรักษ์ของเก่า อย่างชัดเจนถึงปริมาณการส่งออกและนาเข้าเพราะหินอันดากูอยู่ในสายตา
และแบบแนวความคิดใหมท่ ีท่ าจากหนิ อนั ดากู มวี างจาหน่ายอยู่ในท้องตลาด ของประเทศอุตสาหกรรมคือแร่หินชนิดหนึ่งที่พวกเรารู้จักกันในนาม
ในเมืองใหญ่ๆสาคัญหรือตามสถานท่ีต่าง ๆ ที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ของแร่หินไพโรฟิไรท์ (Pyrophyllite ore) ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกนาไปบดอัดเป็นกลุ่ม
รวมทั้งตลาดสาคัญและตามจุดผ่านชายแดนต่าง ๆ ระหว่างประเทศไทยกับ แป้งเพื่อเป็นส่วนประกอบท่ีใช้ในวงจรการผลิตของอุตสาหกรรม หากนามา
สาธารณรัฐสหภาพเมียนมาร์ แต่จากการศกึ ษาวเิ คราะห์และเปรียบเทียบงาน เปรียบเทียบการใช้หินอันดากูทั่วโลกจะเห็นว่าการใช้หินอันดากูเพ่ืองาน
ศิลปะแนวพุทธประวัติที่ชาวเมียนมาร์เรียกว่าอันดากู ปรากฏว่าศิลปะงาน ศิลปะทางปฏิมากรรมเพ่ือศาสนาพุทธในเมียนมาร์น้ัน จะเป็นจานวนหรือ
แกะสลักแบบหินอันดากูขนาดเล็กมีสายงานศิลปะท่ีแตกต่างแต่ต่อเนื่องกัน ปริมาณที่น้อยมากจนไม่ปรากฏอยใู่ นตารางของผู้ใช้หนิ อนั ดากูรายใหญ่
มาจนถึงปัจจุบัน แต่เพ่ือให้เกิดความม่ันใจย่ิงขึ้นจึงมีความจาเป็นต้อง
ค้นคว้าเพ่ือหาข้อยุติเกี่ยวกับแหล่งหินอันดากู เพ่ือความแม่นยาทางด้าน สาหรับแหล่งและเหมืองหินอันดากู หากจะพูดให้ใกล้ตัวเข้ากับ
ประวตั ิศาสตร์ศลิ ปะที่เกี่ยวกบั แหลง่ หินอนั ดากู ประวัติศาสตร์ศิลปะ หินอันดากูชนิดนี้ในยุคร่วมสมัยระหว่างอาณาจักรปา
ละและอาณาจักรพุกามในช่วงคริสต์ศตวรรษท่ี 11 - 14 แล้ว จะเห็นว่า
การคน้ ควา้ จากแหล่งข้อมูลท่ัวไปทาให้ทราบในหลายสิ่งหลายอย่างที่ ตาแหน่งของแหล่งหนิ อนั ดากูในอนิ เดยี อยทู่ างด้านประเทศท่ีเย้ืองไปทางด้าน
คนนอกวงการยังไม่รู้เก่ียวกับหินชนิดน้ี ที่มีอยู่มากมายกระจัดกระจายท่ัว ทิศตะวนั ตกของประเทศทห่ี ่างไกลจากแควน้ เบงกอลมาก
โลก ทั้งยังเป็นหินแรเ่ ศรษฐกจิ ที่ถูกนามาใช้นานแล้วจากหลายชนชาตทิ เี่ ป็น
24

ส่วนในสาธารณรัฐสหภาพเมียนมารแ์ หล่งหนิ อนั ดากูจะอยู่ระหวา่ งทิศ เพราะเหตุน้ีการทราบถึงแหล่งหินอันดากูทาให้สามารถทราบถึงสาย
ตะวันออกของเมืองมัณฑะเลย์กับเมืองพุกาม และยังมีอีกแหล่งหนึ่งที่กินลึก วิวัฒนาการของศลิ ปะแนวพทุ ธประวตั ิไดม้ ากยิ่งข้ึน ทั้งยังเป็นการสนับสนุน
เข้าไปในแผ่นดินของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเสียส่วนใหญ่ สาหรับ งานค้นคว้าทางภาคสนามที่ได้นาเอาปฏิมากรรมที่แกะจากหินอันดากูของ
แหลง่ หนิ อนั ดากูแหล่งนีใ้ นเมียนมาร์น่าจะเป็นส่วนหางของสายแร่อันดากู ท่ี จริงที่มีรูปแบบศิลปะท่ีแตกต่างจากของแต่ละสมัยรวมทั้งการศึกษาถึงคราบ
ต่อลงมาจากแผ่นดินของประเทศจีน และถ้าจะปรึกษาถึงระยะการเดินทาง สนิมของปฏิมากรรมของแต่ละช้ินเพ่ือนามาวิเคราะห์เปรียบเทียบในหลายๆ
หรอื ขนส่งจะเห็นวา่ แคว้นเบงกอลจะอยู่ห่างไกลจากแหล่งหินในประเทศของ ดา้ นเพื่อหาขอ้ สรปุ ระดบั หนงึ่ ในระยะตน้ ไดว้ ่า
ตนเองมาก และจะเป็นการง่ายกว่ามากหากจะนาเข้าหินอันดากูมาจาก ▪ หินอันดากู เปน็ หินพื้นถน่ิ ของเมยี นมาร์
สาธารณรฐั สหภาพเมยี นมารห์ รืออาณาจักรพกุ ามในระยะเวลานั้น ▪ จากการท่ีมแี หลง่ วตั ถุดบิ เปน็ ของตนเองทาให้ง่ายต่อการจดั หาและสงั คม

เพราะฉะน้ันจากข้อมูลและเหตุผลดังกล่าวจึงกลายเป็นคาตอบท่ี ชาวพทุ ธในพกุ าม มคี วามนยิ มศรัทธาในปฏิมากรรมศิลปะแบบอันดากูนี้
สามารถอธิบายให้เห็นภาพท่ีค่อนข้างจะชัดเจนได้ว่า ตามความเป็นจริงแล้ว ทาใหส้ ายววิ ฒั นาการศลิ ปะทางด้านน้ีมีการพัฒนามาอย่างต่อเน่ือง สวน
อาณาจักรพุกามในสมัยนั้นเป็นผู้ส่งออกหินอันดากูให้กับแคว้นต่าง ๆ ใน กระแสการขึ้นลงมากน้อยก็เป็นไปตามสภาพทางส่ิงแวดล้อมของ
อินเดียตะวันออกในรูปของวัตถุดิบแต่กลับมีการนาเข้าในลักษณะของสินค้า บ้านเมืองแต่ละยุคสมัย ซึ่งศิลปะรูปแบบน้ีกลายเป็นศิลปะแนวพุทธ
สาเร็จรูปคอื ศิลปะทางดา้ นปฏิมากรรมอันดากู ท่ีทาจากปฏิมากรชาวอินเดีย ประวัติท่ีมีอายุยาวนานสืบทอดมาตั้งแต่สมัยคันธราฐของอินเดียจนถึง
จึงไม่น่าแปลกท่ีมีการพบอันดากูศิลปะแบบอินเดียในเมียนมาร์ โดยเฉพาะ สมัยปาละ - เสนะ แล้วส่งต่อมาให้กับอาณาจักรพุกาม จนมีการพัฒนา
ศิลปะแบบปาละ ด้วยเหตุดังกล่าวจึงมีการวิเคราะห์ในหลายๆด้านและมีการ เป็นเอกลักษณ์แบบเมียนมาร์ซึ่งกินระยะเวลาเกือบ 2000 ปี ( สาหรับ
สรุปเป็นหลายทฤษฎที ่ถี กู นามาสนั นษิ ฐาน ดังน้ี การนับเฉพาะอายุของศิลปะชนิดนี้ในเมียนมาร์ จะมีอายุประมาณ
▪ ปฏิมากรรมแบบอันดากู ในระยะต้นน่าจะเป็นการนาเข้ามาจากประเทศ 1000 ปี )

อินเดยี
▪ เนื่องจากมีอาณาเขตต่อเน่ืองกัน ทาให้ในระยะต่อมาเม่ือเกิดความ

ต้องการด้านอุปสงค์ และทั้งยังมีแหล่งวัตถุดิบในเมียนมาร์ ทาให้ช่าง
หรอื ปฏมิ ากรชาวอินเดียเข้ามาต้ังถ่นิ ฐานและแกะสลกั ปฏมิ ากรรมชนิดนี้
เพื่อตอบสนองดา้ นอุปทานใหก้ บั สงั คมชาวพุกาม
▪ พระราชสานักพุกามนาปฏิมากรชาวอินเดียมาแกะสลักศิลปะแบบ
อันดากูในอาณาจักรของตน เพ่ือจะได้ให้ช่างชาวพุกามได้ศึกษาเพื่อ
เรียนรู้ ต้งั แต่สมัยพระเจ้าอโนรธามหาราชท่ีได้กวาดต้อนนักปราชญ์ ราช
บัณฑิตและช่างฝีมือประเทศต่าง ๆ จากเมืองราชธานีทาทอน ของชาว
มอญมาอยู่ที่อาณาจักรพุกามเปน็ จานวนมาก
25

จึงเหน็ ไดว้ า่ ศิลปะอันดากูเป็นศิลปะแนวพุทธประวัติท่ีมีอายุยาวนานและเป็น ส่วนคาว่าหิน ไพโรฟิไรท์ (Pyrophyllite) มาจากศัพท์ภาษากรีกโบราณ
สายวิวัฒนาการทางศิลปะที่มีความต่อเน่ืองยาวนานท่ีหาได้น้อยมากในโลก Pyro หมายถึงไฟหรือความร้อน ส่วนคาว่า Phylon หมายถึงแผ่น และ
แห่งศิลปะ และหินอันดากูกลายเป็นหินพิเศษเฉพาะเพื่อเป็นหินท่ีใช้สาหรับ Lithas หมายถึง หิน อาจจะแปลตามความหมายโดยรวมหมายถึงแผ่นหินท่ี
งานสร้างสรรคธ์ รรมะวตั ถทุ างพทุ ธศิลปะท่ีแตกต่างจากประเทศอื่นท่ีนามาใช้ เกิดจากการหลอมละลายด้วยความร้อนคือไฟ ที่เกิดจากภัยธรรมชาติเช่น
ทางด้านอุตสาหกรรม จึงขอกล่าวถึงรายละเอียดแต่พอสังเขปเก่ียวกับข้อมูล แผน่ ดนิ ไหว ภูเขาไฟระเบิด เป็นต้น จึงสามารถต้ังข้อสังเกตได้ว่าชนชาติกรีก
การใช้และหินชนิดนี้มาเปรียบเทียบกับการใช้หินอันดากูในเมียนมาร์เพ่ือ รู้จักหินอันดากูมานานมากแล้วกว่า 3000 ปี ส่วนในประเทศอ่ืน ๆ ก็รู้จักหิน
ประกอบกบั คาบรรยายดังน้ี ชนิดเดยี วกันน้ีมานานแล้วเช่นในประเทศญี่ปุ่นจะเรียกหินชนิดน้ีว่า Rosckie
ในเกาหลีเรยี กว่า Nub-suk ในประเทศสหภาพเมียนมาร์จะเป็นประเทศเดียว
หินอันดากูหรือไพโรฟิไรท์ (Pyrophyllite) เป็นแร่หินชนิดหน่ึงที่ชน ท่ีเรียกหินชนิดนี้แบบเป็นความหมายควบรวมทั้งช่ือหินและความศักด์ิสิทธิ์
ชาติต่าง ๆ ท่ัวโลกรู้จักกันมานานแล้ว หินชนิดนี้มีมากในแถบทวีปยุโรป ของงานศิลปะในคาเดียวว่า อันดากู ซ่ึงเป็นการยากต่อการคาดเดาว่าใน
รัสเซีย จีน และตอนบนของตะวันออกกลางรวมทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ ซ่ึง อนาคตข้างหน้าหินอันดากูในเมียนมาร์ จะถูกใช้เพ่ืองานเศรษฐกิจอย่างอื่น
การผลิตเพื่อส่งออกหรือการนาเข้าเพื่อการผลิตเป็นสินค้ามีจานวนมหาศาล หรอื ไม่ เพราะปัจจุบนั การใช้ทรัพยากรธรรมชาติของหินชนิดน้ียังอยู่ในระดับ
และนบั ไดว้ ่าหินดากูเป็นหินเศรษฐกิจสาคัญในภาคอุตสาหกรรมของโลก หิน ท่ีน้อยมาก หรือจะเรียกว่าเป็นงานประณีตศิลป์ท่ีอยู่ระดับอุตสาหกรรม
อันดากูเป็นหินท่ีมีความสาคัญและมีคุณค่าอย่างมากเช่นในประเทศญี่ปุ่น ครัวเรือนเทา่ นน้ั
การใช้แร่หินชนิดนี้จะใช้อย่างระมัดระวัง โดยมีการนามาคัดเลือกแยกการ
ใช้งานออกเป็น 3 ประเภท ตามความเหมาะสมของการใช้งานเพื่อให้เกิด 26
ความคุ้มค่าและการสูญเสียน้อยท่ีสุด เพราะในประเทศญ่ีปุ่นหินอันดากูมี
บทบาทในอุตสาหกรรมเซรามิกเกรดสูง และเป็นส่วนประกอบของช้ินส่วน
อิเล็กทรอนกิ ส์และงานผลิตเกีย่ วกับสินคา้ เชงิ เทคโนโลยีชั้นสูงไมใ่ ชน่ ้อย

27

28

ปฏมิ ากรรมศลิ ปะตน้ แบบอนั ดากูของอินเดยี กบั สายววิ ัฒนาการศิลปกรรม
ของเมียนมารแ์ ละศิลปะแบบอันดากูของประเทศอื่น ๆ

ปรชั ญาคา่ นยิ มการแกะสลักพุทธประวัติโดยมีองค์ประกอบของแต่ละเหตุการณ์ครบถ้วน มีมานานตั้งแต่สมัยท่ีมีการสร้างองค์พระพุทธรูปแล้ว เป็น
งานศิลปะแนวปฏิบัติธรรมที่มีอายุยาวนานมาแล้วประมาณ 2000 ปี และด้วยเวลาอันยาวนานที่ต้องสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมท่ัวไปที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตและ
โครงสร้างของสังคมของแต่ละยุคสมัย โดยมีอานาจทางการเมืองการปกครองของผู้นาแต่ละพ้ืนที่เป็นตัวชี้นา เป็นเหตุทาให้วัฒนธรรมและอัตราค่านิยมของ
ศลิ ปะแนวแกะสลกั รูปปฏมิ ากรรมดา้ นพทุ ธประวัติเกิดการเปลี่ยนแปลงมีปริมาณการผลิตจานวนมากน้อยข้ึนลงคล้ายกับกระแสน้า ด้วยเหตุนี้รูปแบบ ขนาด
รวมทง้ั โครงสรา้ งศลิ ปะแนวนจี้ ึงได้ถกู พัฒนาในทิศทางทีแ่ ตกต่างกนั งานศิลปะแนวพทุ ธประวตั ทิ ี่เปน็ งานด้านจติ รกรรมอีกด้านหน่ึงด้วย สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจต่อ
การศึกษาวิเคราะห์คือคุณค่าของการประกอบแบบพุทธประวัติที่เป็นงานฉบับย่อส่วนนั้นปรากฏอยู่บนแผ่นภาพที่เรียกว่า พระบท ของทิเบตท่ี มาต้ังแต่
ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 10-13 อนั เป็นงานจติ รกรรม 2 มิติ ทสี่ ามารถม้วนแล้วนาตดิ ตัวไปทีต่ ่าง ๆ ไดท้ ี่เกิดข้ึน ร่วมสมัยเดียวกันกับศิลปะพุทธประวัติย่อที่
อย่ใู นระยะกลางของอินเดีย มีโครงสร้างแม้กระท่ังการจัดองค์ประกอบของภาพท่ีมีลักษณะคล้ายปฏิมากรรมแนวพุทธประวัติฉบับย่ออยู่ในหน้าเดียวกันของ
อินเดียทสี่ ง่ ผลต่อมาให้กับอาณาจกั รพุกามที่ถกู เรยี กว่าอนั ดากู เพราะศิลปะแนวพุทธประวัติหากนามาเปรียบเทียบกับการพัฒนาการคอมพิวเตอร์จะเห็นได้
ชัดเจนว่า งานแกะสลักเกี่ยวกับพุทธประวัติในอดีตจะเป็นกรอบของแต่ละเหตุการณ์ท่ีแยกออกเป็นฉาก ๆ แต่เต็มไปด้วยรายละเอียดท่ีมีขนาดใ หญ่มากที่
สามารถสร้างความรู้สึกได้อย่างชัดเจน คล้ายกับเครื่องคอมพิวเตอร์ท่ีแยกการทางานออกเป็นแต่ละตู้ท่ีมีขนาดใหญ่เกือบเท่าตู้เย็นท่ีทา งาน
แต่ละ 1 คาส่ังหรือ 1 โปรแกรมเช่นเดียวกัน ซึ่งต่อมาได้มีการพัฒนากลายเป็นโฮมคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กลงมาก จนกลายเป็นขนาดเล็กที่เรียกว่า โน๊ตบุ๊ค
แต่ทุกวันนี้โน๊ตบุ๊ค ได้ถูกทดแทนด้วยไอแพดและไอโฟนที่สามารถทางานด้วยเพียงน้ิวสัมผัส ซ่ึงศิลปะด้านงานปฏิมากรรมแนวพุทธประวัติที่มีหลังจาก
คริสต์ศตวรรษที่ 8–10 ก็ได้มีการย่อส่วนให้เล็กคล้ายการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ สามารถแกะหรือปั้นปูนตามผนังหรือภายในองค์เจดีย์ได้ตามความยาว
ฉบับยอ่ ท่ีผสู้ รา้ งตอ้ งการ เหตุเพราะระยะหลังคริสต์ศตวรรษที่ 7 ทางฝ่ายพุทธมหายานได้มีการกาหนดรูปแบบปางต่าง ๆ เป็นสัญลักษณ์การเป็นตัวแทนเล่า
ถึงเหตุการณ์ของพุทธประวัติโดยวิธีการแสดงพุทธอิริยาบท เป็นท่าทางของปางต่าง ๆ เหล่านี้จะทาหน้าที่คล้ายเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละเหตุ การณ์
จึงกลายเป็นจุดเร่ิมต้นของการทางานด้านความคิดท่ีสามารถสร้างองค์ปฏิมากรรมเก่ียวกับพุทธประวัติไว้ในแผ่นเดียวกันโดยไม่จาเป็นต้องมี ขนาดใหญ่มาก
แล้วยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถทาให้ในระยะต่อมาในช่วงคริสต์ศตวรรษท่ี 8-10 ก็สามารถพัฒนาการแกะพุทธประวัติที่มีเนื้อหาครบถ้วน
สมบูรณ์ฉบับย่อให้อยู่ในแผ่นเดียวกันได้สาเร็จ แต่ก็ยังมีขนาดใหญ่พอสมควร เหตุเพราะข้ึนอยู่กับวัตถุดิบซ่ึงเป็นชนิดของหินกับเคร่ื องมือที่ใช้ แต่ต่อมา
ศิลปะแนวปฏิมากรรมทางพุทธประวัติถูกย่อให้เล็กลง เพราะปฏิมากรค้นพบเทคนิคและประดิษฐ์เครื่องมือชนิดต่าง ๆ ทาให้งานแกะสลักหินง่ายข้ึ นและ
สามารถลดขนาดให้เลก็ ลงไดม้ าก แต่ศิลปะชนิดน้ีตอ่ มาได้รับการพัฒนาจากชาวเมียนมาร์แห่งอาณาจักรพุกาม ที่มีวัตถุดิบที่เป็นหินอันดากูซึ่งเป็นหินพ้ืนถิ่น
ของตนเอง จึงสามารถเอือ้ อานวยตอ่ การเก็บรายละเอยี ดท่ซี ับซ้อนได้ไมย่ ากนัก
29

ด้วยเหตุนี้จึงทาให้ศิลปะที่ถูกเรียกตามภาษาพ้ืนถ่ินว่าอันดากูท่ีมีขนาดเล็กลงมาก ท้ังยังเต็มด้วยเน้ือหาและมีองค์ประกอบครบถ้วนสมบูรณ์ และมี
หลายขนาด แต่ขนาดท่ีเล็กมากที่เคยพบเห็นจะมีขนาดเล็กเท่าเล็บมือ เป็นพระหินแกะสลักแบบลอยตัวมีนาคล้อมรอบ หากจะเปรียบเทียบกับโล ก
คอมพิวเตอร์ก็จะมีลักษณะขนาดกะทัดรัด เพ่ือการใช้งานและง่ายต่อการพกพาคล้ายกับไอโฟนในปัจจุบัน เพราะฉะน้ันคาถามจึงมีอยู่ว่าแนวปรั ชญาการ
สร้างปฏมิ ากรรมพทุ ธประวตั ิแบบฉบับย่อสว่ น รวมอยู่ในแผ่นหินชิ้นเดียว และมีเนื้อหาครบถ้วนนี้ต้นแบบหรือต้นความคิดมาจากภาพพระบทของทิเบต ท่ี
อยู่ใกล้เคียงกับแคว้นอินเดียตะวันออก โดยเฉพาะแคว้นอัสสัมและแคว้นเบงกอล หรืออาจจะเป็นศิลปะท่ีอยู่ในระยะร่วมสมัยเดียวกัน แต่ห ากมองในทาง
ตรงกันข้าม ภาพพระบทน่าจะคัดลอกแนวโครงสร้างขององค์ประกอบ และปรัชญาชนิดน้ีมาจากงานปฏิมากรรมชนิดเดียวกันนี้มาจากอินเดีย จึงเป็ นเร่ือง
ของงานศกึ ษาวิเคราะห์อยู่ที่จะต้องทาการวจิ ยั อกี ในขัน้ ตอ่ ไป
แต่สิ่งที่สาคัญมากท่ีสุดท่ีขอกล่าวย้าอีกครั้ง เพราะเป็นหัวเช้ือหลักที่ทาให้ก่อเกิดปรัชญาน้ี เม่ือประมาณหลังคริสต์ศตวรรษที่ 7 สังฆจารย์ฝ่ายพุทธ
มหายานได้มกี ารบัญญตั ิปางต่าง ๆ ข้นึ เพอื่ ใชเ้ ป็นสญั ลักษณ์ของการแสดงออก หรือเล่าเร่ืองของเหตุการณ์ในพุทธประวัติ ในขณะที่พระพุทธเจ้าในขณะนั้น
ยังทรงมพี ระชนมช์ ีพอยู่ ให้สอดคล้องกับเร่ืองราวที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก ซ่ึงต่าง ๆ เหล่าน้ีจะถูกกาหนดตายตัวในการแสดงออกถึงท่วงท่าของอิริยาบถใน
ท่าต่าง ๆ และถูกบัญญัติไว้ในพระสูตรเพื่อนาไปใช้เผยแพร่สาหรับพุทธศาสนิกชนที่สามารถเลือกไปสร้างหรือมีไว้ตามความเหมาะสมของแต่ละบุ คคลท่ีมี
ความศรัทธาในปางต่าง ๆ ท่ีแตกต่างกันไปตามความศรัทธาและความเหมาะสมของตนเองตราบถึงทุกวันนี้ เพราะการกาหนดปางพร้อมกับการกากับ
ความหมายได้กลายเป็นปัจจัยท่ีส่งผลกระทบต่อนักคิดให้เกิดจินตนาการ ท่ีมีผลอย่างยิ่งต่อการสร้างงานศิลปะประเภทต่าง ๆ ข้ึนในด้านประ ติมากรรมและ
จิตรกรรมในระยะต่อมา จนงานด้านประติมากรรมในอินเดีย และท่ีส่งผลมาให้กับสังคมชาวเมียนมาร์ที่ถูกเรียกว่า อันดากู จึงทาให้เกิดมีความประณีต มี
รูปแบบและขนาดที่ต่างกับต้นแบบมาจากอินเดียมาก ในช่วงหลังคริสต์ศตวรรษท่ี 13 เพราะมีอิทธิพลการแกะสลักมาจากจักรวรรดิจีนท่ีเข้ามาปกครอง
อาณาจกั รพุกาม
จากแนวทางการศึกษาด้านสายวิวัฒนาการ งานปฏิมากรรมแนวพุทธประวัติฉบับย่อในแผ่นดินเดียวกันในอินเดีย ในระยะต้น ๆ เม่ือประมาณ
คริสต์ศตวรรษท่ี 8 - 9 ยังคงทาแยกเป็นแตล่ ะเหตุการณ์ในอดีต แต่ดูเรียบง่ายและมีหลายเหตุการณ์อยู่ในพื้นท่ีเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้เน้นเรื่องความลุ่มลึกของ
ความหมาย แต่จะเน้นเพ่ิมความสวยงามความลงตัวของศิลปะเป็นสาคัญ แต่ในระยะต่อมาได้มีการจัดองค์ประกอบให้เป็นแนวปรัชญา ที่มีความหม ายโดย
เน้นการสร้างพระพุทธรูปในศิลปะแนวท่ีเกี่ยวกับการสังเวชนียสถานทั้ง 4 เป็นสาคัญ โดยมีองค์พระประธานขนาดใหญ่ที่สุดท่ีทรงแสดงปางมารวิชัยอยู่ตรง
กึ่งกลาง เหตุเพราะปางนเ้ี ป็นการอธิบายช่วงเหตุการณส์ าคญั ทสี่ ดุ ในประวัตศิ าสตรข์ ององคส์ มเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจ้า เพราะหลังจากทรงพระประสูติ ทรง
เจริญวยั จนออกผนวชแล้ว แตถ่ า้ หากพระองค์ไม่สามารถชนะมาร โลกนี้คงไม่มีองค์พระพุทธเจ้าและไม่มีศาสนาพุทธ ซ่ึงรายละเอียดจะขอนาไปบรรยาย
ในบทที่เก่ียวข้องต่อไป สรุปแล้วศิลปะแนวพุทธประวัติที่มีโครงสร้างของรูปแบบดูเรียบง่ายมากข้ึน หลังจากมีการบัญญัติต่าง ๆ สังฆจ ารย์ฝ่ายพุทธนาการ
คริสต์ศตวรรษที่ 7 ซึ่งปางต่าง ๆ กลายเป็นปัจจัยสาคัญต่อการสร้างพุทธศิลป์ โดยเฉพาะการสร้างงานศิลปะแนวพุทธประวัติให้ดูเรียบง่ายท่ีสามารถอธิบาย
สัญลักษณ์แทนการต้องสร้างองค์ประกอบอ่ืน ๆ ท่ีซับซ้อนมากมายประกอบเหตุการณ์แต่ละช่วงสาคัญ เพราะการแสดงปางพระพุทธรูปเพียงองค์เดีย ว
ปางเดียวก็สามารถเล่าเร่ืองราวบ่งบอกเหตุการณ์ได้ท้ังหมด ผู้ที่ดูจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับพุทธประวัติมาก่อน ให้เกิดความท้า ทายงานการสร้าง
จินตนาการแบบเคลือ่ นไหวภาพยนตร์
30

แสดงพระหินสลักอันดากูมีขนาดเล็กเท่าเล็บมือ และเล็กกว่าเหรยี ญบาท แสดงการรวบรวมพทุ ธประวัติมาลงในแผ่นหนิ เดยี วกัน

8 เรือ่ งราวพทุ ธประวตั ิ 8 เรอ่ื งราวพทุ ธประวตั ิ
ของท่านพระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง ของนายชา่ งเนย์
31

ภาพแสดง 8 เร่อื งราวพทุ ธประวตั ิ

32

หลังจากนน้ั คือประมาณคริสตศ์ ตวรรษที่ 8 - 9 ทศั นคตเิ กีย่ วกบั การใชส้ ญั ลักษณ์เก่ียวกับปางต่าง ๆ เกิดมีคนเข้าใจและถูกยอมรับมากขึ้น จึงทาให้ครู
ช่างโบราณจินตนาการงานสร้างเร่มิ ต้นจากงานสร้างศลิ ปะแนวพทุ ธประวัติท่ีมหี ลายเหตกุ ารณท์ ี่อยบู่ นแผน่ หนิ แผ่นเดยี วกันกอ่ น ท้ังยังสามารถทาให้ขนาดเล็ก
ลงกว่าเดมิ ไดไ้ มย่ ากนัก ต่อมาในช่วงคริสตศ์ ตวรรษท่ี 9 - 10 งานสร้างศิลปะและปรัชญาท่ีเต็มเปี่ยมด้วยความหมายและความศรัทธา ซึ่งศิลปะแนวน้ีได้ส่งมา
ให้อาณาจักรพุกามในเมียนมาร์เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 11 ด้านการพัฒนารูปแบบศิลปะแนวพุทธประวัติจะมีอย่างต่อเนื่องและเกิดการก้าวกระโดดในช่วง
คริสต์ศตวรรษที่ 13 หลังจากนน้ั กไ็ มไ่ ดก้ ้าวหน้ามากมายนัก ท้ังยังคงรูปแบบทางด้านปรัชญาและเทคนิคการแกะสลักตลอดมา จนถึงปีที่คริสต์ศตวรรษที่ 15
ภายใตก้ ารดูแลของราชวงศเ์ สนะ กอ่ นท่ีศาสนาทุกสถานท่ีในอินเดียจะถูกคุกคามโดยกองทัพของกษัตริย์อินเดีย - มองโกล ซ่ึงเป็นกษัตริย์ราชวงศ์โมกุลท่ีนับ
ถือศาสนาอิสลามในช่วงคริสต์ศตวรรษท่ี 15-16 เป้าหมายของกษัตริย์มุสลิมคือต้องการทาให้อินเดียในขณะน้ันมีศาสนาอิสลามเพียงศาสนาเดียว และเป็น
เพยี งศาสนาเดียวทส่ี ามารถเปดิ เผยและเผยแพรใ่ นสงั คมของอนิ เดียในท่ีสาธารณะชน ก่อนท่ีอังกฤษจะมาแทรกแซงและกลุ่มอานาจการปกครองอินเดียอย่าง
ไม่เปน็ ทางการอยู่หลายร้อยปี จนถงึ วนั ที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1947 ท่ปี ระเทศอนิ เดยี ไดร้ ับเอกราชหลงั จากสงครามโลกคร้ังที่ 2 ได้ยตุ ิลง

ส่วนสายวิวัฒนาการงานศิลปะแนวพุทธประวัติท่ีทางอาณาจักรพุกามได้รับมาจากอินเดียจึงอยู่ในช่วงตกผลึกและอ่ิมตัวแล้ว จึงทาให้ศิลปะชนิดน้ีท่ี
ชาวเมียนมาร์เรียกว่า อันดากู ได้ถูกตอบรับและมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วที่เป็นเพราะเมียนมาร์มีแหล่งวัตถุดิบหรือหินอันดากูเป็นของตน เอง ท้ังในช่วง
คริสต์ศตวรรษท่ี 13 - 14 ยังได้รับประติมานวิทยารวมทั้งโครงสร้างแบบใหม่ท้ังจีน ลังกา ทิเบต รวมท้ังรูปแบบโครงสร้างท่ีงดงามของปฏิมากรรมท่ีมีลักษณะ
คล้ายอันดากูของศาสนาเชน ท่ีมีองค์ศาสดาทรงพระนามว่า วรรณธมานหรือมหาวีระ ท่ีมีมาก่อนพุทธศาสนามา 11 ปี ซึ่งจากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมดังกล่าว
ศลิ ปะอันดากูในเมียนมาร์ได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วและมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองมีความประณีตละเอียดซับซ้อนมากกว่าศิลปะแม่ของอินเดียแต่ความ
ซับซ้อนเหล่ายังซ่อนอยู่ในโครงสร้างเดิมที่เป็นแผ่นหินรูปลายมนคล้ายกลีบบัวที่มาจากอินเดีย ด้วยเหตุน้ี จะเห็นได้ว่าอันดากูท่ีมีแ หล่งหินในเมียนมาร์ จึง
กลายเป็นปัจจัยสาคัญต่อการพัฒนาและการคงอยู่ของศิลปะแขนงนี้ ซึ่งในท่ีนี้จะขอยกย่องหินอันดากูให้เป็นรัตนชาติพระพุทธศาสนาท่ีคงอยู่และไม่เคย
เปลี่ยนแปลงตลอดมา เพราะในอดีตความเช่ือในทฤษฎีเก่าเก่ียวกับศิลปะอันดากูว่าเป็นงานศิลปะท่ีถูกกาหนดท่ีอยู่ระหว่างช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11-14 ในสมัย
พุกามเทา่ นั้น จึงมคี วามจาเปน็ ท่ีจะตอ้ งถูกนามาแก้ไขเปล่ยี นแปลงตามสายวิวัฒนาการศลิ ปะชนดิ นี้ตามความเปน็ จรงิ ทางประวตั ิศาสตร์ศิลปะท่ีได้มีการศึกษา
วิเคราะห์จากแง่มมุ ทางศลิ ปะและแง่มุมทางวิทยาศาสตร์ ท่ีสามารถพิสูจน์ได้ว่า ศิลปะอันดากู มีจุดเริ่มต้นท่ีปีคริสต์ศตวรรษที่ 10-11 และมีการพัฒนามาตลอด
และยังคงอยู่จนถึงปจั จุบนั ซึง่ ศิลปะอนั ดากูในเมยี นมาร์ได้มียคุ ท่รี งุ่ เรอื งทส่ี ุดดังนี้
33

ศิลปะอนั ดากูสมยั ก่อนอาณาจกั รพุกาม

ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10 - 11 เป็นช่วงเริ่มต้นศิลปะอันดากูสมัยก่อนและในสมัยต้นของอาณาจักรพุกาม ปฏิมากรรมเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็น
ปฏิมากรรมนาเข้าจากอินเดีย เพราะเมยี นมารส์ ่งออกหินอนั ดากูใหก้ บั อินเดยี ตะวนั ออก ท่ีเป็นเพื่อนบ้านแล้วมีการนาเข้างานปฏิมากรรมศิลปะแบบอันดากู
ที่สาเร็จแลว้ กลับเข้าสู่อาณาจักรพุกาม ทาให้ชาวเมียนมาร์สามารถนามาเป็นต้นแบบเพื่อนามาใช้ในการเรียนรู้ถึงประติมานวิทยาและศิลปะอันดากูจากครูช่าง
ชาวอินเดีย ซ่ึงส่ิงสาคัญที่สุดคืออาณาจักรพุกาม ณ ช่วงเวลาน้ันมีแหล่งวัตถุดิบเป็นของตนเอง จึงทาให้มีการพัฒนาศิลปะอันดากูเป็นที่ นิยมและถูกพัฒนา
เจรญิ กา้ วหน้าไปอยา่ งรวดเรว็ สว่ นการใช้สหี นิ ในยุคสมัยน้จี ะนยิ มใช้หินสีดาที่นา่ จะเป็นการรบั เอาค่านยิ มเหล่านจี้ ากอินเดยี

8 เรอ่ื งราวพทุ ธประวตั ทิ แี่ กะสลักจากหนิ อันดากดู า

34

ศลิ ปะอันดากูสมยั ต้นอาณาจักรพกุ ามถึงสมยั กลางอาณาจักรพุกาม

ช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 11 จนถึงปลายคริสต์ศตวรรษท่ี 12 เป็นช่วงรุ่งเรืองศิลปะอันดากูในอาณาจักรพุกาม ชาวเมียนมาร์เรียนรู้และรับศิลปะ
ปาละเข้าสู่สังคมของตนอย่างเต็มท่ีในทุก ๆ ด้าน สังเกตว่าพระพุทธรูปทุกชนิด ทุกสถานท่ีจะมีรูปพระพักตร์คล้ายศิลปะปาละของอินเดียม าก คือจะมี
รูปพระพักตร์ทรงรีสอบเข้าใน และมีพระหนุ(คาง)แหลม พระรัศมีจะข้ึนจากทางท้ายทอยและมีรูปร่างคล้ายกลีบบัว แต่บางคร้ังแข็งตรงงอโค้งงอไป
ด้านหนา้ คลา้ ยเขาสัตว์ พระขนง(ควิ้ ) จะชีข้ น้ึ บนโคง้ ปลาย พระเนตรจะดูคมวาวคล้ายศลิ ปะอินเดียผสมศิลปะทิเบต (พระขนงและพระเนตรต่อมาถึงต้นช่วง
คริสต์ศตวรรษท่ี 13 จะตวัดข้ึนคล้ายศิลปะจีนและยังมีลักษณะคล้ายตาเหยี่ยวอันเป็นศิลปะแสดงถึงความฉลาดของจีน) ส่วนพระนาสิก(จมูก) จะโด่งแหลม
งุ้มงอคล้ายจมูกของมหาบุรุษชาวอินเดีย ส่วนพระโอษฐ์ด้านล่างจะยื่นออกห้อยต่าจนดูคล้ายปากของนก ทรงก้มพระพักตร์เล็กน้อย พระพุทธรู ปสมัยน้ีจะ
ทรงนั่งนัดสมาธิเพชร ทรงจีวรแบบห่มเฉียงและอยู่ในปางมารวิชัย โดยมีนิ้วพระหัตถ์ติดพ้ืนดิน ซึ่งเป็นปรัชญาการสร้างศิลปะพระพุทธประ วัติแนวนี้และ
ปรัชญาตวั น้ีเองทท่ี าใหช้ าวเมยี นมารไ์ ด้เรยี นรูแ้ ละเต็มเปย่ี มด้วยแรงศรทั ธาอยา่ งลึกซึง้

จึงขอสรุปโดยย่อว่า ปรัชญาสาคัญของการสร้างปฏิมากรรมแนวพุทธประวัติศิลปะอันดากู คืองานศิลปะแนวพุทธประวัติขนาดย่อ แต่มีเน้ือห า
ครบถ้วนคือนับตั้งแต่เหตุการณ์ทรงประสูติจนถึงทรงปรินิพพาน โดยมีข้อกาหนดว่าอันดากูจะต้องประกอบด้วยเหตุการณ์ของสัง เวชนียสถานท้ัง 4 อัน
ประกอบด้วย

1.ปางพระประสูติ
2.ปางตรัสรู้
3.ปางปฐมเทศนา
4.ปางปรินพิ พาน
5.-7.ปางอืน่ อกี ถงึ สามปาง(ตามหลักงานศิลปะแบบ SYMMETRY)
8.พระพุทธรปู องคป์ ระธานใหญต่ รงกงึ่ กลางจะต้องเปน็ พระพทุ ธรูปปางมารวิชัย
ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้เป็นข้อกาหนดในช่วงต้นที่หลังจากศิลปะแบบอันดากูได้ตกผลึกลงตัวโดยจะมีทั้งหมด 6 - 8 ปางเหตุการณ์ เหตุที่จะต้องนา
พระพทุ ธรปู ปางมารวิชัย มาเป็นองคป์ ระธานไวต้ รงกง่ึ กลางเหตุเพราะเหตุการณ์ของปางน้ีได้แสดงบทบาทวิกฤตสาคัญ ทั้งยังเป็นจุดหักเหของการตรัสรู้ของ
พระพุทธเจ้ากับการจะมีหรือไม่ของพระพุทธศาสนาในโลก จึงทาให้ปฏิมากรรมอันดากูในช่วงระยะที่ 2 น้ี นับได้ว่าเป็นช่วงสาคัญอย่างย่ิงต่อการปูพื้นฐาน
หลักสาคัญให้กับศิลปะอันดากูในเมียนมาร์ เพราะเป็นช่วงสมัยที่มีการพัฒนาเปล่ียนแปลงอย่างหลากหลาย ที่มีท้ังรูปแบบศิลปะและปรัชญา ทางความ
ศรทั ธารวมอยู่ในศลิ ปะอนั ดากู ทง่ี านศลิ ปะช่วงน้จี ะเริม่ มคี วามแตกตา่ งจากศิลปะตน้ แบบจากอินเดีย โดยเฉพาะการเน้นเนื้อหาทางด้านใส่ใจในรายละเอียด
ทางดา้ นความงามกบั ปรชั ญาของตัวอันดากูเอง โดยเรม่ิ มีการใชน้ าคราชายกฐานทั้งสองข้างตามปรัชญาหรอื ค่านยิ มของชาวลังกา

35

อันดากูในช่วงสมัยนี้เหตุท่ีได้รับการพัฒนามาก เนื่องจากสภาพสิ่งแวดล้อมทางการเมืองเอื้ออานวยให้ เพราะนอกจากศาสนาพุทธจะได้รับแ รง
อุปถัมภ์จากพระราชสานักแล้ว ความเจริญด้านเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อจิตใจของสังคมชาวพุกามกลายเป็นปัจจัยหลักแห่งการผลักดันให้เกิดก ารสร้าง
ธรรมวตั ถเุ ป็นอย่างมากในพระราชอาณาจักร ซึ่งหมายรวมถึงอันดากูที่เป็นศิลปะทางด้านวัตถุธรรมชิ้นเล็กแต่มากด้วยคุณค่าทางปรัชญาที่สิ่งอ่ืนไม่มี ศิลปะ
อันดากูสมัยน้ีเร่ิมปรากฎรายละเอียดของงานศิลปะเมียนมาร์มากข้ึนอย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าจะมีรูปแบบคล้ายกับศิลปะปาละของอินเดียก็ตาม แต่ก็เป็นงาน
ศลิ ปะแบบประยกุ ต์ใช้จุดเดน่ สาคัญ อย่างชาญฉลาด จึงทาใหศ้ ิลปะโดยเฉพาะพระพทุ ธรปู แบบพุกาม (PAGAN) ในสมัยน้ี รวมท้ังพระพุทธรูปท่ีใช้ในอันดากู
น้ันถึงแม้จะมีความคล้ายศิลปะปาละของอินเดีย แต่ก็มีความแตกต่างในรายละเอียดอย่างชัดเจน เป็นความแตกต่างที่ซ่อนตัวอยู่ในความคล้ายท่ีในวงการ
นักประวัตศิ าสตรศ์ ิลปะและนักสะสมศลิ ปะโบราณวตั ถตุ ่างใหก้ ารยอมรับว่าศิลปะปาละกบั ศลิ ปะพุกามนัน้ สามารถแยกแยะได้ง่ายและค่อนข้างจะชัดเจน

จากสภาพสิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเมือง อาณาจักรพุกามในสมัยน้ีมีความสัมพันธ์ทางด้านการเมืองกับอาณาจักรศรีลังกาเป็นอย่างมากโด ย
ผ่านธุรกิจการค้าช้าง โดยเฉพาะในช่วงสมัยของพระเจ้าอลองสิถุกับพระเจ้าปรกรมพาหุที่ 1 แห่งอาณาจักรศรีลังกา เพราะขนาดที่ทางศรีลังกาส่งคณะที่
ปรึกษามาประจาในพระราชสานกั พุกาม ทาให้ศิลปะอันดากูสมัยนี้จึงเกิดการเปล่ียนแปลงไปมากพอสมควร โดยเฉพาะส่วนฐานที่ประทับของพระพุทธรูป
องคก์ ลางของอนั ดากู เพราะอันดากูในเมยี นมารส์ มยั นไ้ี ด้เปล่ยี นแปลงแก้ไขรูปแบบจากฐานปทั มธรรมดาให้เป็นฐานแบบลอยตัว โดยใช้นาคราชาสองตนยก
ฐานบัวคว่าบัวหงายแบบศิลปะศรีลังกา ท่ีนิยมใช้นาคราชาหรือคนแคระและยักษ์ แต่ของเมียนมาร์คงจะใช้นาคราชา เพราะลักษณะของรูปร่างและมีนาค
บนศีรษะอันเป็นสัญลักษณ์ เหตุท่ีเรียกนาคราชาเพราะนาคเป็นชนเผ่าดั้งเดิมเผ่าหน่ึงในศรีลังกาท่ีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมี รับสั่งให้เป็นผู้ช่วย
พิทักษ์พระพุทธศาสนาในศรีลังกาในอนาคต ด้วยเหตุนี้จึงมีปรากฏในองค์ปฏิมากรรมอันดากูซึ่งจะแกะสลักเป็นรูปมนุษย์แต่ด้านหลังบนศรีษะจะมีหัวนาค
(งเู ห่า) แผแ่ มเ่ บ้ยี เหน็ ไดอ้ ยา่ งชดั เจน เพราะฉะนน้ั นาคจงึ เป็นชนเผา่ เฉพาะทนี่ ยิ มใช้พทิ กั ษศ์ าสนสถานของพระพุทธศาสนาในศรีลงั กาตามที่กาหนดไว้ในพระ
คัมภรี ์ทีปวงศท์ ี่กล่าวถึงการประดษิ ฐานพระพุทธศาสนาในลงั กาทวีป ทาให้อาณาจักรพุกามยอมรับปรัชญาน้ีมาบรรจุไว้ในปฏิมากรรมอันดากู ส่วนฐานบัว
คว่าบัวหงายจะถูกบรรจุให้ดูเต็มองค์ฐานด้วยลายก้านบัวและดอกบัวตูมอย่างลงตัวงดงาม ส่วนช้ินภายใต้ฐานนาคราชาจะเป็นฐานท่ีมักจะประดับด้วยสัตว์
มงคลของเมียนมาร์ เช่น ช้างและสิงห์แบบลังกา ส่วนพระพุทธรูปปางปรินิพพานเหนือพระเศียรพระพุทธรูปองค์กลาง แท่นพระบรรทมตอนเสด็จ
ปรินิพพานจะทาเป็นรูปเทวดาหรือคนแคระแบกฐาน 3 - 5 ตนตามความเหมาะสม และอันดากูบางชิ้นยังมีพระสาวกยืนลายล้อมอยู่ข้างหลังและด้านข้าง
อย่างประณีตสวยงาม ที่แตกต่างจากศิลปะปาละของอินเดีย แต่ดูคล้ายพระบทของศิลปะทิเบต ซ่ึงเหตุการณ์ทั้งหมดน้ียังคงโครงสร้างเดิมแ บบอมตะไว้
และแกะสลักอยู่บนแผ่นหินรูปร่างคล้ายกลีบบัวบานเต็มที่ ส่วนงานแก้ไขเพ่ิมเติมอีกส่ิงหน่ึงในยุคสมัยนี้คือการแกะสลักซุ้มโค้งที่อยู่ เหนือองค์พระพุทธรูป
ประธานองค์กลาง แต่ก็เป็นซ้มุ แบบลอยตัวท่ีมหี ลากหลายรูปแบบแตอ่ งค์พระโพธสิ ัตว์ทง้ั สองขา้ งมลี ักษณะการแต่งองคต์ ามแบบศลิ ปะของชาวเมียนมาร์อย่าง
ชัดเจน จึงนับได้ว่ายุคสมัยน้ีเป็นช่วงแห่งการพัฒนาเปล่ียนแปลงคร้ังสาคัญของศิลปะอันดากูของชาวเมียนมาร์อย่างเป็นรูปธรรมเต็มท่ี ท้ังยังเป็นการแสดง
ทักษะทางด้านงานศิลปะและปรัชญาอันเป็นตัวตนของชาวเมียนมาร์เองจนทาให้ปฏิมากรรมแนวพุทธประวัติที่ชาวเมียนมาร์เรียกแบบมีความหมายรวมว่า
อันดากูที่มีเอกลักษณ์ของศิลปะความเป็นชาวเมียนมาร์อย่างชัดเจนที่สามารถสลัดออกจากการครอบงาของศิลปะปาละของอินเดียได้ดี ถึงแม้จ ะคงเค้า
โครงสร้างหลักเดมิ ไว้ก็ตาม

36


Click to View FlipBook Version