87
88
89
90
ปางปฐมเทศนา ปรินิพพาน
ทรมานช้้างนาฬาคิริ ีี มหาปาฏหิ าริยท์ ่ีเมืองสาวัตถี
ตอนตรัสรู้ เสด็จลงจากดาวดงึ ส์
ตอนประสูติ ทรงรับบาตรจากพญาวานร
91 งานประดับฐาน
ปรนิ พิ พาน เสดจ็ ลงจากดาวดึงส์
มหาปาฏิหาริยท์ ีเ่ มอื งสาวตั ถี
ทรมานช้า้ งนาฬาคิริ ีี ทรงรับบาตรจากพญาวานร
ปางปฐมเทศนา งานประดับฐาน
ตอนตรัสรู้ 92
ตอนประสูติ
นาคนันทะและอปุ นนั ทะ
รองรบั ฐานบวั
ทีป่ ระทบั พระพทุ ธเจ้า
พระอนั ดากูสิบหกปาง
พระอันดากสู บิ หกปางไดเ้ พิ่มเร่ืองในพุทธประวัตอิ กี สองตอน การเรียงภาพเล่าเรื่องพุทธประวตั ขิ องพระอนั ดากสู ิบหกปางมีดงั น้ี
เจดียแ์ ละพระพทุ ธรูปปางปรินพิ พาน
พระพุทธรูปประทับ สัปดาหท์ ี่ 2 พระพุทธรปู ตอนอนิมสิ เจดยี ์ พระพุทธรูปปาง
ยนื ปางปราบชา้ ง พระพทุ ธรปู ประทบั ยืนยกพระหตั ถข์ นึ้ สอง สปั ดาห์ที่ 3 พระพทุ ธรูปตอนรตั นจงกรมเจดยี ์ ประทับยนื ปางเสด็จ
นาฬาคิิรีี ข้าง
ลงจากดาวดึงส์
พระพุทธรูปประทบั นง่ั สัปดาหท์ ่ี 5 พระพทุ ธรปู ปางมาร สัปดาหท์ ี่ 4 พระพทุ ธรูปประทบั นั่ง
ปางปฐมเทศนา พระพุทธรูปปางสมาธิ วิชยั แสดงภาพพุทธ พระพุทธรปู ประทบั น่ัง ปางยมกปาฏหิ าริย์
ตอนอชปาลนโิ ครธ ประวตั ติ อนชนะมาร
ตรัสรู้ และเสวยวมิ ตุ ติ ตอนรัตนฆรเจดยี ์
พระพทุ ธรูปปางรับ สปั ดาหท์ ี่ 7 พระโพธิสตั ว์ สุขในสัปดาหท์ ่ี 1 พระโพธิสตั ว์ สปั ดาห์ท่ี 6 พระพทุ ธรูปปางนาค
รวงผง้ึ จากพญาวานร พระพุทธรปู ปางสมาธิ โพธิบลั ลงั ก์ พระพทุ ธรูปปางนาค ปรก
ปรกตอนนาคมจุ ลินท์
ตอนราชายตน พระพุทธรูปประทับนง่ั
เหนือปัทมะอาสน์
พระพุทธรปู ปาง พระสาวก พระสาวก พระพุทธรูปปาง
ประสูติ ทกุ รกริ ิยา
มนุษยน์ าคหรือนาคราชา 2 ตน รองรับปัทมะบัลลงั ก์
บลั ลงั ก์ยกเก็จ ประดบั ภาพของชา้ ง มกร(MAKARA) วยาล(Vyala) เป็นตน้ บางครัง้ ทาเป็นภาพชาดกหรอื ภาพมานุษยโพธิสตั ว์
93
พระอันดากูสบิ หกปาง 94
ตอนตรสั รู้
พระพุทธรปู ทรงเคร่ือง ประทบั ขดั สมาธิเพชร ทาปางมารวิชัยบนฐานบัว มีพระโพธิสัตว์ประทับยืนขนาบทั้งสองข้างตามแบบศิลปะปาละ
เหนอื เศยี รพระโพธิสตั ว์ทาภาพกองทัพพญามารทย่ี กมาทวงโพธิบลั ลงั ก์
พระพทุ ธรปู ทรงเคร่อื งปางมารวชิ ยั ประทับเป็นประธาน ขนาบข้างด้วยพระโพธสิ ัตวเ์ หนอื พระเศียรของพระโพธสิ ัตว์สลกั ภาพทัพพญามาร
95
ตอนประสตู ิ
ภาพเหตุการณ์ตอนประสูติมีตาแหน่งอยู่ทางด้านล่างของพระอันดากู อาจอยู่ด้านซ้ายหรือขวา ทาเป็นภาพของพระนางมายาเทวีประทับยืน
กบั พระนางปชาบดี พระนางมายาประทบั ยืนตริภงั ค์ พระกรขวาโนม้ ก่ิงไม้ พระกรซ้ายพาดพระพาหาพระนางปชาบดี พระกรขวาของพระนางปชาบดี
ถือของส่งิ หนึ่ง สนั นษิ ฐานวา่ เป็นแสป้ ัดแมลงเพราะพบหลกั ฐานภาพจติ รกรรมวหิ ารโลกาเทยี กพนั พกุ าม อายุราวพทุ ธศตวรรษท่ี 17
ตอนประสตู ิ
96
ปางปฐมเทศนาและอชปาลนิโครธ
พระพุทธรูปด้านซ้ายประทับนั่งขัดสมาธิเพชร พระหัตถ์ท้ังสองข้างยกข้ึนเสมอพระอุระ น้ิวพระหัตถ์ขวาจีบเป็นวงเป็นสัญลักษณ์แทน
ธรรมจกั ร ฐานบัวด้านลา่ งมีภาพธรรมจกั รและกวางหมอบ หมายถึงการแสดงปฐมเทศนาเกิดขึ้นที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พระพุทธรูปทางด้านขวา
ประทับนง่ั ขดั สมาธิเพชร ปางสมาธภิ ายใต้ซุ้มไม้ ไมม่ ีสัญลักษณใ์ ดท่บี ง่ บอกวา่ เปน็ ภาพพุทธประวัติตอนใด อาจตีความได้ว่าหมายถึงภาพตอนอชปาล
นิโครธ เม่อื พระพุทธเจ้าประทบั ใต้ต้นอชปาลนิโครธของคนเลี้ยงแพะ ซง่ึ ท้ังสองปางน้ีอาจจะสลบั ตาแหน่งกันได้
ปฐมเทศนาและอชปาลนโิ ครธ
97
ทรมานช้า้ งนาฬาคิิรีแี ละตอนอนิมิ ิิสเจดีีย์์
พระเทวทััต พระญาติิของพระพุุทธเจ้้า เกิิดความต้้องการมีีอำนาจเหนืือคณะสงฆ์์ทั้้�งหลาย จึึงหาทางกำจััดพระพุุทธองค์์ เมื่�่อพระพุุทธองค์์
ประทัับที่่�เมืืองราชคฤห์์ พระเทวทััตได้้ปล่่อยช้้างนาฬาคิิรีีที่่�ดุุร้้ายออกมา เพื่�่อหวัังให้้สัังหารพระพุุทธเจ้้า พระอานนท์์จึึงจะเข้้าขวางเพื่�่อปกป้้อง
พระพุุทธองค์์ ๆ ทรงห้้าม เมื่�่อช้้างนาฬาคิิรีีที่่�ดุุร้้ายมุ่�งตรงเข้้ามา พระองค์์จึึงแตะพระหััตถ์์ขวาลงที่่�หััวช้้าง ทำให้้ช้้างนาฬาคิิรีีหมอบอยู่�เบื้้�องหน้้า
พระพุุทธองค์์ แต่่ในศิิลปะพุุกาม มัักทำภาพพระสาวกหลายองค์์อยู่่�ร่่วมในเหตุุการณ์์ ดัังได้้กล่่าวถึึงโดยละเอีียดไว้้ในตอนที่�่ว่่าด้้วยพระอัันดากููปาง
ปราบช้า้ งนาฬาคิิรีี
ปราบช้้างนาฬาคิริ ีีและตอนอนิิมิิสเจดีีย์์ 98
ตอนรตนฆระเจดียแ์ ละมหาปาฏิหาริยท์ ่ีเมืองสาวตั ถี
ภาพตอนรัตนฆระเจดีย์ อยู่ในตาแหน่งตรงข้ามภาพตอนอชปาลนิโครธและทาเป็นภาพพระพุทธรูปประทับน่ังขัดสมาธิเพชรปางสมาธิ
เหมือนกัน แต่ท่ีแตกต่างกัน คือ ตอนอชปาลนิโครธมีซุ้มไม้เหนือเศียรพระพุทธรูป ส่วนรตนฆระเจดีย์ไม่มีซุ้มไม้เพราะพระพุทธเจ้าประทับในเรือน
แก้วทเ่ี ทวดาเนรมติ ข้ึนเปน็ ท่ีประทับ เหตุทท่ี าเปน็ พระพทุ ธรูปปางสมาธเิ หมือนกนั อาจเพราะท้ังสองเหตุการณ์แสดงถึงการพิจารณาธรรมที่พระองค์
ได้ทรงตรสั รู้
ดา้ นขา้ งของตอนรตนฆระเจดยี ์ ทาภาพพระพุทธรปู ประทบั นั่งขัดสมาธิเพชร ปางแสดงธรรม เปน็ สัญลกั ษณ์หมายถงึ การแสดงมหาปาฏิหาริย์
ที่เมอื งสาวัตถี ทม่ี าจากการที่พระพทุ ธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้พระภกิ ษแุ สดงปาฏิหารยิ ์ พวกเดยี รถีย์จงึ แสดงฤทธ์หิ ลอกลวงชาวบ้านด้วยประการต่าง ๆ
แอบอ้างว่าเหตุที่พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตให้พระภิกษุแสดงปาฏิหาริย์เพราะพระพุทธเจ้าไม่กล้าแข่งกับพวกตน พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงทูลขอ
พระพุทธเจ้าแสดงปาฏหิ ารยิ เ์ พอื่ การาบเดียรถีย์ การแสดงมหาปาฏหิ าริยเ์ รียกอีกอยา่ งหนึ่งวา่ ยมกปาฏหิ าริย์
99 ตอนรตนฆระเจดีย์ และตอนมหาปาฏิหารยิ ์ทเี่ มอื งสาวตั ถี
ทรงรับรวงผง้ึ จากพญาวานรและตอนราชายตน
เหตุการณ์ในพุทธประวัติตอนหน่ึงว่า คร้ังหน่ึงคณะสงฆ์เกิดความแตกแยกกัน พระพุทธองค์จึงเสด็จเข้าป่าท่ีเมืองเวสาลี โดยมีลิงฝูงหน่ึงมา
ปรนนบิ ตั ิดแู ล พญาวานรไดน้ ารวงผึ้งมาถวายพระองค์ จะสังเกตว่าเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนไม่มีช้างเข้ามาเก่ียวข้อง แต่เมื่อมาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พบว่ามีการเพม่ิ เร่ืองราวของชา้ งเข้ามา
จากภาพจิตรกรรมฝาผนังในวิหารโลกาเทียกพัน สมัยพุกามแสดงภาพเหตุการณ์ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปอยู่ในป่า หลีกการทะเลาะ
วิวาทกันของหมู่สงฆ์ ได้มีพญาวานรและช้างเข้ามาปรนนบิ ัติพระองค์ เปน็ ลักษณะพิเศษท่แี ตกตา่ งไปจากศิลปะปาละ และศิลปะทิเบตที่ได้รับอิทธิพล
ศิลปะปาละ ซ่งึ พระอนั ดากกู ็มักทาภาพชา้ งคู่กบั พญาวานรด้วยเช่นกัน และนิยมทาเป็นภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งห้อยพระบาทเหมือนคนน่ังเก้าอ้ี
หรือพระลัมพปาทสนะ พระหัตถ์สองข้างประคองบาตรมีภาพพญาวานรและช้างอยู่เคียงข้าง พญาวานรกาลังปีนต้นไม้แสดงความยินดีท่ีพระพุทธ
องค์ทรงรับบิณฑบาต แตต่ กตน้ ไมล้ งมาตายแล้วไปจุติเป็นเทวดามาถวายบงั คมพระพุทธเจา้ โดยมีภาพศรีษะช้างอยู่เบ้ืองล่าง พระสาวกสองพระองค์
เคยี งข้างพระพทุ ธรปู หมายถึงการมารบั เสดจ็ พระพทุ ธเจ้าออกจากป่า
ดงั น้ัน ภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งห้อยพระบาทสองข้างท่ีปรากฏในพระอันดากู จึงควรหมายถึงตอนทรงรับรวงผ้ึงจากพญาวานร โดยปกติ
มักวางภาพเร่ืองการรับรวงผึ้งจากพญาวานรในตาแหน่งด้านล่าง ตรงข้ามกับภาพตอนประสูติ และภาพท้ังสองตอนอาจวางสลับ
ตาแหนง่ กนั กไ็ ด้
พระอันดากูที่นามาศึกษาปรากฏว่ามีการนาภาพตอนราชายตน ตอนที่พระพุทธเจ้าทรงประสานบาตรท่ีได้รับจากจตุโลกบาลให้เป็นบาตร
เดียว เพื่อรับบณิ ฑบาตจากพ่อค้าสองพี่น้อง ทาเป็นภาพพระพุทธเจา้ ประทบั ขดั สมาธเิ พชรปางสมาธิ มีบาตร 1 ใบ บนพระเพลา
ทรงรับรวงผง้ึ จากพญาวานรและตอนราชายตน (ประสานบาตร) 100
รตั นจงกรมเจดียแ์ ละตอนเสรจ็ ลงจากดาวดึงส์
รตั นจงกรมเจดีย์ เปน็ เหตกุ ารณท์ ีเ่ กิดข้นึ ในสปั ดาหท์ ่ี 3 ของการเสวยวิมตุ ตสิ ุข ในขณะท่คี มั ภีรอ์ น่ื ๆ กล่าวถึงการเดินจงกรมของพระพุทธเจ้า
ทรงนาเอาทรายจากหมนื่ จกั รวาลมาเปน็ ทางจงกลม นิทานกถาท่แี ต่งขึ้นในราวพทุ ธศตวรรษที่ 10 ได้กล่าวถึงเหตกุ ารณ์น้ีว่า พระพุทธเจ้าทรงเนรมิต
ทางจงกลมแลว้ พาดจากทิศตะวันออกไปยงั ทศิ ตะวันตก ระหวา่ งบัลลังก์แห่งชยั ชนะกบั ภาพตอนอนมิ ิสเจดีย์ โพธิบัลลังก์ และรัตนจงกรมเจดีย์ วาง
อยู่ในระนาบเดยี วกัน ตรงตามท่รี ะบไุ ว้ในนทิ านกถา
รตั นจงกรมเจดยี ์
101
ภาพตอนเสด็จจากดาวดึงส์ พระพุทธเจ้าประทับยืนปางลีลา พระอินทร์มักประทับยืนทางด้านขวาของพระพุทธเจ้าถือบาตร ในขณะท่ีทาง
ด้านซ้ายมักเป็นพระพรหมถือฉัตรกางก้ันเหนือเศียรพระพุทธเจ้า มีเทวดาน้อมส่งทั้งสองข้าง พระสารีบุตรหมอบเฝ้ารับเสด็จกพระพุทธเจ้าอยู่ เบื้อง
ล่าง รายละเอยี ดของเร่ืองราวไดก้ ลา่ วไว้ในตอนพระอันดากปู างเสด็จลงจากดาวดึงส์
เสด็จลงจากดาวดึงส์ 102
ปรนิ พิ พาน
สลักเป็นภาพพระพุทธเจ้าในอิริยาบถบรรทมสีหไสยาสน์ อยู่เหนือพระแท่นที่สลักเป็นลายดอกไม้ ซึ่งดอกไม้เป็นสัญลักษณ์แทนต้นสาละ คือ
มกุฎพันธเจดีย์ สัญลักษณ์ของการเข้าสู่นิพพานและรูปเทวดาสององค์ สองข้างพระแท่นสลักภาพต้นไม้ มีภาพพระภิกษุหลายองค์ในท่าทางท่ีสื่ อถึง
ความโศกเศรา้ รายละเอียดของเร่อื งราวได้กล่าวไว้ในตอนพระอนั ดากูแบบรวมเรือ่ ง กอ่ นและหลังปรนิ ิพพาน
ปรนิ ิพพาน
103
ตอนพเิ ศษ 2 ตอน : นาคปรกและทุกรกรยิ า
การศึกษาเร่ืองตาแหน่งภาพ และเร่ืองราวท่ีปรากฏของพระอันดากูแปดปางและสิบส่ีปาง ได้มีผู้ทาการศึกษาไว้หลายท่าน แต่พระอันดากู
ปรากฏภาพเหตกุ ารณ์เพิม่ ขน้ึ มาเป็นพิเศษอกี 2 ตอน คอื ตอนนาคปรกและทกุ รกรยิ า รวมท้งั สิ้น 16 ปาง
พระพทุ ธรูปประทับน่ังปางนาคปรก(บนขวา) และพระพุทธรูปปางทุกรกริยา(ลา่ งขวา) เป็นพทุ ธประวัติทถี่ ูกเพ่ิมเตมิ เขา้ มา
พระพุทธรูปปางทุกรกริยาไม่มีปัญหาในด้านการศึกษาตีความ เพราะมักทาพระวรกายพระพุทธรูปให้ผ่ายผอมเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก อ่าน
รายละเอียดได้ในพระอันดากูปางทุกรกริยา แต่อีกภาพหน่ึงท่ีทาเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งนาคปรก นาคมี 3 เศียร ยากท่ีจะศึกษาตีความว่าตรงกัน
ตอนใดในพุทธประวตั ิ เพราะพระองค์ทรงเข้าไปเก่ียวขอ้ งกบั นาคและพภิ พของนาคหลายครงั้ อน่ึง การทไ่ี มต่ ีความว่าภาพนาคปรกหมายถึงเหตุการณ์
ในพุทธประวัติตอนเสวยวิมุตติสุข เพราะว่า ภาพตอนเสวยวิมุตติสุขถูกวางไว้ในตาแหน่งล้อมรอบองค์พระพุทธรูปปางมารวิชัยท่ีเป็นประธาน
ขณะเดียวกนั การทาภาพพุทธประวตั ติ อนเดยี วกนั ซ้ากนั สองครง้ั กไ็ มเ่ คยปรากฏมากอ่ น
ผ้ศู กึ ษาขอตั้งข้อสังเกตวา่ พระพุทธรปู ปางนาคปรกดังกล่าวหมายถึงเหตุการณ์ในปุณโณวาทสูตร พระพุทธเจ้าเสด็จริมฝั่งแม่น้านัมมทามหานที
อันเป็นถิ่นทอ่ี ยู่ของพญานาค และพญานาคทั้งหลายได้อาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จลงไปยังนาคพิภพ เพ่ือแสดงพระธรรมเทศนา พระพุทธรูปปางนาค
ปรก (นาคมี 3 เศยี ร) และอาราธนาให้ประทบั รอยพระบาททรี่ ิมแม่น้านมั มทา ไว้เปน็ ที่เคารพบชู า ดงั จะไดก้ ล่าวถึงตอ่ ไปในตอนมหานาคาพิทักษ์
104
พระอนั ดากูสิบหกปาง
105
106
107
108
109
110
111
112
113
114
115
116
ทรมานช้า้ งนาฬาคิิรีี ปรินพิ พาน
และอนมิ ิสเจดีย์ รตั นจงกรมเจดีย์และ
เสดจ็ ลงจากดาวดงึ ส์
ปางปฐมเทศนา
และอชปาลนโิ ครธ รตนฆระเจดียแ์ ละ
ทรงรับรวงผง้ึ จากพญาวานร มหาปาฏิหารยิ ์ท่ีเมืองสาวัตถี
และตอนราชายตน พระพทุ ธรูปประทับ
ตอนตรสั รู้ นั่งปางนาคปรก
ทรงประสูติ
พระพทุ ธรปู
ปางทกุ รกริยา งานประดับฐาน
นาคนันทะและอุปนันทะ
รองรบั ฐานบวั
ที่ประทบั พระพุทธเจ้า
117
ปรินิพพาน รตั นจงกรมเจดียแ์ ละ
เสด็จลงจากดาวดงึ ส์
ทรมานช้า้ งนาฬาคิิรีี
และอนิมสิ เจดีย์ รตนฆระเจดียแ์ ละ
มหาปาฏิหารยิ ์ทเี่ มืองสาวัตถี
ปางปฐมเทศนา
และอชปาลนิโครธ พระพุทธรปู ประทับ
ทรงรับรวงผง้ึ จากพญาวานร น่งั ปางนาคปรก
พระพุทธรปู
และตอนราชายตน ปางทกุ รกรยิ า
ตอนตรสั รู้
ทรงประสูติ งานประดบั ฐาน
118
นาคนันทะและอุปนันทะ
รองรบั ฐานบวั
ทป่ี ระทับพระพุทธเจา้
มหานาคาพิทักษ์
คติความเชือ่ เรอื่ งพญานาค กับการสรา้ งพระอนั ดากู
ความเชื่อเรื่องนาคเป็นความเชื่อท่ีแพร่หลายในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาแต่โบราณ พญานาคท่ีมีช่ือเสียงที่สุด คือ เศษะนาค (อนันต
นาคราช) ซึ่งเป็นที่ประทับของพระวิษณุเม่ือทรงเข้าสู่โยคะนิทราในระหว่างกัลป์ เศษะนาคอวตารลงมาเป็นพระลักษณ์อนุชาพระราม และอวตารลงมา
เป็นพลภัทรรามะพี่ชายของพระวิษณุ รวมท้ังอวตารลงมาเป็นโยคีปตัญชลี คนคร่ึงนาค ผู้นาความเชื่อเร่ืองโยคะที่เกิดข้ึนราว 3,000 – 4,000 ปีมาแล้ว
แต่งเป็นโยคะสูตรขนึ้ ในราวพุทธศตวรรษท่ี 4 - 5 การผสานเร่ืองราวของนาคเข้ากับพระพุทธศาสนาจึงเป็นความพยายามปรองดองความเชื่อด้ังเดิมของ
อินเดียเข้ากบั ปรชั ญาพระพุทธศาสนาท่ีเกิดข้ึนภายหลัง หลกั ฐานเรอ่ื งนาคท่ีเข้ามาเกี่ยวขอ้ งกบั พุทธศาสนาเกิดขึ้นตั้งแตส่ มัยอินเดยี โบราณ ยุคที่ยังไม่มีการ
สรา้ งพระพทุ ธรูป เชน่ ทีถ่ ้าภารหุต ไดพ้ บภาพสลักเปน็ รปู บลั ลังก์ที่มีนาคอยู่เบื้องหลัง พร้อมมจี ารกึ “พระยามจุ ลนิ ท์” มอี ายใุ นราวพทุ ธศตวรรษท่ี 4
พระพุทธรูปบางองค์ที่สร้างข้ึนในสมัยพุกาม เช่น ปางบาเพ็ญทุกรกริยา ปางทรงแสดงธรรม มีการทารูปพญานาคแผ่พังพอนปกป้องพระวรกาย
ของพระพุทธเจ้า ท้ังที่คัมภีร์ทางพุทธศาสนาไม่ได้กล่าวถึงบทบาทของพญานาคเมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม อาจเก่ียวข้องกับการนับถือพุท ธศาสนา
นิกายอารี ซงึ่ เป็นพุทธศาสนาในนิกายมหายาน – ตันตระ ท่ีสนใจในเวทมนต์คาถา ไสยศาสตร์ และนับถือพญานาค งู พระวิษณุ พระในอารีปฏิเสธ
คาสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และถือปฏิบัติตามแนวทางของตนเอง พระในนิกายอารีบูชาเทพเจ้า 30 องค์ และปฏิบัติตามหลักธรรมของตนเอง 66,000
ข้อ ศูนย์กลางของนิกายอยู่ที่เมืองถมาติ(Thamati) ชอบบูชานาค พระราชพงศาวดารพม่าฉบับกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ระบุว่าเอกสารยาชะเวงคญี
ของพม่าเขียนไว้ว่า การนมัสการนาคะเป็นศาสนาในพม่าระหว่าง พ.ศ. 1400 - 1500 พระเจ้าอนุรุทธทรงเลิกเสีย นิกายอารีเคยรุ่งเรืองในพุกามมาก่อน
การยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทอย่างเป็นทางการ ในสมัยพระเจ้าอนุรุทธ พระในนิกายอารีถูกบวชแปลงเป็นเถรวาท อย่างไรก็ดีเช่ือว่า
การนับถือพระในนิกายอารียังคงมีอยู่ต่อมา เพราะช่วงปลายพุกามเกิดคณะสงฆ์ใหม่เรียกว่าอรัญวาสีหรือพระป่า ท่ีมีหลักปฏิบัติสามข้อ คือ จะอาศัยอยู่
แต่ในป่าเท่านั้น จะเข้ามาในเมืองเมื่อต้องการน้าด่ืม ฟืน เดินธุดงค์ และประการสุดท้ายจะต้องมีความรู้ทางจันทรคติ เช่ียวชาญฤกษ์ยา ม สันนิษฐานว่า
กลุ่มพระอรัญวาสีเกิดข้ึนจากกลุ่มสงฆ์ในพุกามที่ไม่ได้อุปสมบทใหม่เป็นพระสงฆ์ลังกาวงศ์ และจะมีแนวความคิดว่าพระอรัญวาสีคือพระในนิ กายอารีท่ี
พระเจ้าอนุรุทธทรงปราบปรามเม่ือสมัยต้นพุกาม หรือแม้แต่ความเช่ือเร่ืองนัต (Nat) ซึ่งเป็นความเชื่อดั้งเดิมของพุกาม ก็ได้รับการปรับเปลี่ยนจน
กลายเป็นสว่ นหน่ึงของพระพุทธศาสนา และยงั คงมีบทบาทอยู่ในสังคมวัฒนธรรมพม่าในปัจจุบัน ทาให้เกิดการสร้างพระอันดากูปางต่าง ๆ ท่ีมีนาคปรก
ขน้ึ เปน็ จานวนมาก
119
อน่งึ พระพทุ ธรปู แบบนาคปรกในศลิ ปะพกุ ามมรี ูปแบบแตกต่างไปจากพระพทุ ธรูปปางนาคปรกทพี่ บโดยทวั่ ไป เช่น พระพทุ ธรูป
Kyaukku Onhmin ทาเปน็ พระพุทธรปู ปางสมาธิประทับน่งั บนดอกบวั มีหางนาคเปน็ รปู โคง้ ไปมาอยู่ด้านขา้ งพระวรกายทัง้ สองข้าง และแผ่
พงั พานออกเบ้ืองบน สร้างขึ้นพทุ ธศตวรรษท่ี 16 หรือที่ Nakayon สร้างพระพทุ ธรูปประทับยืนปางประทานอภัย มนี าคเศียรนาคปรกอยู่ 113
เศียร สนั นษิ ฐานว่าสร้างขนึ้ ตามความเชอ่ื ทว่ี า่ พญานาคเป็นผูช้ ะลอแผน่ ดนิ ทต่ี งั้ เจดยี ข์ ึน้ มาจากน้า นอกจากคตกิ ารนบั ถอื พญานาค และงทู สี่ ืบ
เนือ่ งมาจากนิกายอารี คัมภรี ์ทางศาสนาบางเล่ม เช่น พุทธจริต เขยี นโดยพระพทุ ธโกษาจารย์ ราวพุทธศตวรรษท่ี 7 มหี ลายตอนท่กี ล่าวถงึ
บทบาทของนาค ก็อาจจะเปน็ แรงบนั ดาลใจในการสรา้ งพระอันดากปู างต่าง ๆ เช่น ปางทกุ รกริยาปางนาคปรก ปางมารวิชยั นาคปรก หรือ
คัมภีรท์ ิวยาวทานของนกิ ายสรรวาสตวิ าทในการสร้างพระอันดากูปางทรงแสดงยมกปาฏหิ ารยิ ์ เปน็ ต้น
พระอันดากูปางทกุ รกริยานาคปรก
พระพทุ ธรูปปางทุกรกริยาโดยทั่วไป มักทาเป็นพระพุทธรูปประทับน่ังปางสมาธิ พระวรกายผ่ายผอม เหลือเพียงพระตจะ(หนัง) และพระอัฐิ
(กระดูก) เพราะพระลสิกา (ไขมัน) พระมังสา (เน้ือ) และพระโลหิต (เลือด) เหือดแห้งไปหมดสิ้น พุทธจริตกล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ
เสด็จหนีออกจากพระราชวงั พระองค์ได้เสด็จไปถึงอาศรมที่อาศัยของฤาษีทั้งหลาย ตรัสถามฤาษีตนหน่ึงว่ามีหนทางแห่งการบรรลุธรรมอย่างไรบ้าง
ฤาษีให้คาตอบแก่พระองคถ์ งึ วิธีการต่าง ๆ ทเ่ี หล่าฤาษีปฏิบัตเิ พื่อบรรลุธรรม ตอนหนงึ่ ว่า
“... ฤาษีบางพวกเป็นอยู่ด้วยอาหารท่ีเก็บเอาจากพื้นเหมือนกับนก บางพวกเคี้ยวหญ้าเหมือนกับกวาง บางพวกใช้ชีวิต
ร่วมกับงู เหมือนกับเป็นจอมปลวกท่ีอยู่ร่วมกับลมในป่า … ด้วยการบาเพ็ญตบะท่ีสืบต่อมาตามกาลเวลาอย่างนั้น พวกเขาจึงได้
ไปสู่สวรรค์ด้วยตบะชั้นสูง ไปสูโ่ ลกมนุษยด์ ้วยตบะชน้ั ตา่ ลงมา เพราะบุคคลยอ่ มเข้าถึงความสุขด้วยหนทางท่ีลาบาก คนทั้งหลายจึง
กลา่ ววา่ ความสุขเป็นรากเหง้าแหง่ ธรรม …”
แม้ว่าในทส่ี ุดเจา้ ชายสิทธัตถะจะมิไดป้ ฏบิ ัติตามแนวทางของฤาษี พระองค์เลอื กแสวงหาธรรมด้วยพระองค์เอง แต่เน้ือหาของพุทธจริตแสดงให้
เห็นว่าการทรมานกายโดยอาศยั อยูร่ ว่ มกับงเู ปน็ วธิ ีการหนงึ่ ท่ผี ้แู สวงหาการบรรลธุ รรมนามาใช้
120
พระอันดากปู างมารวิชัยนาคปรก
ภาพพุทธประวัติตอนตรสั รู้ พระพทุ ธเจา้ แสดงปางมารวชิ ยั ขณะที่พญานาคกาลงั แผ่พังพานแสดงอาการปกป้องพระองค์อยู่ด้านบนพระเศียร
เป็นภาพตอนตรัสรู้ท่ีแปลกกว่าปรกติ แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นภาพท่ีสร้างขึ้นจากแรงบันดาลใจในคัมภีร์พุทธจริต เมื่อพระพุทธเจ้าจะ เสด็จไป
ประทบั ที่โคนตน้ โพธิ์ ดงั นี้
“ จอมภุชงค์ (งใู หญ่) ช่อื กาละ ผู้มีกาลังแข็งแรงดุจพญาช้าง ก็ได้ต่ืนข้ึนเพราะเสียงพระบาทที่ไม่มีอะไรเปรียบปาน เม่ือ
เช่ือม่ันว่าพระมหามุนีจะได้บรรลุพระโพธิญาณ จึงได้กล่าวคาสดุดีนี้ว่า “ข้าแต่พระมุนี เนื่องจากแผ่นดินเป็นเหมือนกับส่งเสียง
ร้องซา้ แล้วซ้าอกี ขณะทถี่ กู ประทบั ด้วยพระบาทของพระองค์ และเนอื่ งจากพระรัศมขี องพระองคเ์ ปลง่ ประกายเจิดจรสั เหมือนกบั
พระอาทิตย์ วันน้ีพระองคจ์ ะได้เสวยผลทที่ รงปรารถนาอย่างแน่นอน” “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงมีพระเนตรดังดอกบัว เนื่องจากฝูง
นกตะขาบสนี า้ เงินพากันบินทาประทักษิณาพระองค์อยู่บนท้องฟ้า และเน่ืองจากลมอ่อน ๆ พัดไปในท้องฟ้า วันนี้พระองค์จะได้
ตรัสรูเ้ ปน็ พระพุทธเจ้าอยา่ งแนน่ อน” เม่ือจอมภุชงค์กล่าวคาสดุดีจบลง พระมุนีจึงรับเอาหญ้าอันสะอาดบริสุทธ์ิจากคนตัดหญ้า
เสด็จเข้าไปอาศยั ยงั โคนตน้ ไมใ้ หญ่อันสะอาดบริสทุ ธ์ิ และเม่อื จะทรงกลา่ วคาปฏญิ าณพระองค์จงึ ประทับน่งั ลง จากนน้ั พระมุนีจึง
ประทับนั่งขัดสมาธิอย่างดีเลิศ ซ่ึงเป็นการนั่งที่ไม่มีส่ิงใดมาทาให้เคล่ือนไหว และสอดประสานกันเข้าเหมือนกับขนของงูที่กาลัง
นอนหลบั พรอ้ มกับตรัสว่า “เราจะไม่ยอมละท้ิงการนั่งบนภาพพื้นนี้ตราบเทา่ ทเี่ รายงั ไม่ไดบ้ รรลุเป้าหมายท่ตี ง้ั ไว้ ”....
พระกามเทพที่คัมภีร์พุทธจริตระบุว่าเป็นพญามารได้เกิดความหว่ันเกรงขึ้นจับใจ เพราะหากพระพุทธเจ้าตรัสรู้และประกาศหนทางแห่ง
ความหลดุ พ้นแกช่ าวโลก อาณาจกั รของพญามารย่อมว่างเปล่าดังน้ันพญามาร พร้อมบุตร ธิดา ได้เดินเข้าไปหาพระพุทธเจ้าท่ีโคนต้นโพธิ์ พญามาร
ข่มขูพ่ ระพทุ ธเจา้ ดว้ ยคาพูดแต่พระพุทธองค์มไิ ด้หว่ันไหว ดังนั้นพญามารจึงได้ราลกึ ถึงเหลา่ บริวารของตนทเี ป็นภตู ผิ ี คมั ภีร์พทุ ธจรติ อธบิ ายวา่
“…หมู่ผีท่ีมีลักษณะดังกล่าวน้ี ต่างยืนแวดล้อมโคนต้นโพธิพฤกษ์รอบด้าน เม่ือต้องการจะจับ และต้องการจะฆ่าพระ
ศากยมุนีต่างจึงยืนรอคอยคาส่ังของเจ้านายอยู่ ในปฐมกาลแห่งราตรีน้ันครั้นเห็นเวลาสู้รบกันระหว่างพญามารกับบุรุษผู้กล้า
หาญแหง่ ราชวงศ์ศากยะ ท้องฟา้ ก็พลันอบั แสง แผน่ ดินก็สะเทือนเลอื นล่นั และทิศทั้งหลายก็ลุกโชติช่วงพร้อมกับส่งเสียงคาราม
ร้อง ลมท่ีมีกาลังแรงได้พัดโหมกระหน่าไปในทิศต่าง ๆ ดวงดาวทั้งหลายก็ไม่ปรากฏ พระจันทร์ก็ไม่ส่องแสง ราตรีได้แผ่ขยาย
ความมืดออกไปมากย่ิง และมหาสมุทรทั้งหมดก็ส่ันสะเทือนอย่างรุนแรง พญานาคทั้งหลายผู้ฝักใฝ่ในธรรม ผู้แบกรับพื้นโลก
เอาไว้ เม่ือจะป้องกันอุปสรรคไม่ให้เกิดข้ึนแก่พระมหามุนีจึงพากันขู่ฟ่อ ๆ พร้อมกับแผ่พังพาน โดยมีดวงตากรอกไปมาเพราะ
ความโกรธเคอื งตอ่ พญามาร …”
121
พระอันดากปู างมารวชิ ยั องค์นี้สูง 2 น้วิ จากมหาโพธเิ จดยี ์ สร้างขึ้นใน
รัชสมัยพระเจ้าทีโลเมนโล (1211 - 1234) แหง่ อาณาจกั รพกุ าม(Pagan)
122
เสวยวมิ ตุ ติสุขใต้ต้นมุจลนิ ท์
สัปดาห์ท่ี 5 แห่งการตรัสรู้ พญานาคมุจลินท์ได้มาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ และทูลเชิญให้เสด็จไปยังพิภพของตนเอง โดยกล่าวว่าอดีตพุทธเจ้า
พระองคก์ ่อนหน้านี้เคยเสดจ็ ไปประทบั พระพุทธองคจ์ งึ เสด็จไปประทบั ในพิภพของนาคมุจลินท์ ขณะน้ันเกิดฝนหลงฤดขู น้ึ พญานาคมจุ ลินท์จึงใช้ขนด
นาคของตนขดรอบองค์พระพทุ ธเจ้าไว้ 7 รอบ และปรกด้วยพงั พาน ขณะน้นั มีพญานาคอีกตนหนง่ึ ช่ือวนิ ิปาตะกไ็ ด้เข้ามาปรกพระองคด์ ้วย
อนั ดากนู าคปรก
123
เสด็จไปโปรดพญานาคในนาคพภิ พ
คมั ภีร์ปปัญจนสทู นี อรรถกถามัชฌมิ นกิ าย ซง่ึ เป็นคมั ถีร์ทางศาสนาของลังกา แตง่ ข้นึ โดยพระพุทธโฆษาจารย์ในราวพทุ ธศตวรรษที่ 10
ในอรรถกถาปณุ โณวาทสูตรทเ่ี ป็นส่วนหน่ึงของคัมภรี ์ กล่าวถึงพระพทุ ธเจา้ เสด็จไปยงั ริมฝั่งแม่นา้ ชอ่ื นิมมทานที (นมั มทา) พญานมิ มทาพญานาค
ราชไดเ้ ชิญเสด็จพระองค์ลงไปยงั นาคพภิ พ เพือ่ ทาการสักการะบูชา ตลอดจนแสดงพระธรรมเทศนาแกเ่ หล่านาค หลังจากน้นั เมอ่ื พระพทุ ธองค์
เสดจ็ ออกจากนาคพภิ พ พญานาคนมั มทาไดท้ ูลขอใหพ้ ระราชทานสิง่ ที่จะสักการะบชู าแทนพระองค์ พระพทุ ธเจา้ จึงทรงประทับรอยพระบาทไว้
ท่รี ิมฝง่ั น้านมั มทา
“... ไดเ้ สดจ็ ไปถงึ ฝง่ั ของแม่นา้ นัน้ นัมมทานาคราชถวายการต้อนรบั พระศาสดาทลู เสดจ็ เขา้ สพู่ ิภพนาคได้กระทา
สักการะพระรัตนตรยั แล้ว พระศาสดาทรงแสดงธรรมแกน่ าคราชนั้นแลว้ ก็เสด็จออกจากนาคพิภพ นาคราชน้นั กราบทลู
ขอว่าได้โปรดประทานสง่ิ ท่ีพึงบาเรอแกข่ ้าพระองค์ด้วยเถดิ พระพุทธเจา้ ข้า พระผมู้ พี ระภาคเจา้ จงึ ทรงแสดงบทเจดยี ์
รอยพระบาท ไวท้ ฝ่ี ่ังแม่น้านัมมทา รอยพระบาทนั้น เมอ่ื คลืน่ ซดั มาก็ถูกปดิ เมอ่ื คล่ืนเลยไปแล้วก็ถกู เปิด กลายเป็นรอย
พระบาทท่ีถงึ สักการะอย่างใหญ่ …”
พระพุทธรูปนาคปรก ปางปฐมเทศนา 124
พระอันดากู ทาเป็นพระพุทธรูปประทับขัดสมาธิเพชรอยู่ภายในขนดนาค สองพระหัตถ์ยกข้ึนไขว้กันที่พระอุระ แสดงปางปฐมเทศนา อาจ
ตีความหมายได้ 2 ประการ คือ พระพุทธองค์ขณะเสวยวิมุตติสุขใต้โคนต้นมุจลินท์ เกิดพายุฝน นาคมุจลินท์ข้ึนมาแผ่พังพานปรกพระองค์หรือพระ
พุทธองคท์ รงแสดงธรรมแก่เหลา่ นาคแห่งแม่นา้ นมั มทา
ภาพเหตุการณ์เสด็จไปโปรดพญานาคพิภพคงประทับใจชาวพุกาม ที่ยังคงมีความเชื่อเร่ืองการบูชางูหรือพญานาคท่ีมีอยู่ก่อนแล้ว ทาให้มี
สร้างพระอนั ดากูปางนาคปรกรูปแบบตา่ ง ๆ มากมาย รวมท้ังนาเอาภาพพระพุทธรูปปางนาคปรกไปใส่ในพระอันดากูสิบหกปางโดยวางไว้คู่กับตอน
นาคมจุ ลินท์
พระพทุ ธรูปนาคปรก ทรงเครอ่ื ง ทรงบาตร หมายถงึ เหตุการณท์ พี่ ระพทุ ธเจ้าประทบั ในนาคพิภพ
125
พระพทุ ธรูปนาคปรก ทรงเครอ่ื ง ทรงบาตร หมายถึงเหตกุ ารณท์ พ่ี ระพุทธเจา้ ประทบั ในนาคพภิ พ
จติ รกรรมฝาผนงั ทว่ี ดั สุลามนี (จุฬามณ)ี เมืองพกุ าม องคเ์ จดยี ์สรา้ งในรชั สมัยพระเจ้านรปติส่ตี ู่ แห่งอาณาจักรพุกาม ปคี .ศ. 1183ในปีทีไ่ ป 126
ถ่ายภาพ ยอดพระเจดียห์ กั พงั ลงมาจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ แตภ่ ายในยงั ไมเ่ สยี หายนกั มีจิตรกรรมฝาผนงั ในยคุ โกนบอง เม่ือศตวรรษท่ี 18 - 19
(และบางสว่ นจากยคุ กอ่ นหน้าน้ัน) วาดไว้ทโ่ี ถงระเบยี งชัน้ ใน ภาพจิตรกรรมสว่ นใหญ่มีขนาดใหญ่โตมาก เชน่ ภาพพระพุทธเจ้าปางตา่ ง ๆ ท่ีกะจาก
สายตานา่ จะสูงกว่า 2 เมตร
127 พระพทุ ธรูปแสดงธรรม นาคปรก ทรงเครอื่ ง
อนั ดากูบอกเลา่ เร่อื งราวเหตกุ ารณ์ท่พี ระพุทธเจ้าประทบั ในนาคพภิ พ 128
พระพุุทธศิิลป์อ์ ันั ดากูชู ุดุ นี้้�มีี 3 องค์์ มีีส่ว่ นสููงจากฐานไปจรดยอดสุุด 8 นิ้้�ว องค์์แรกนาคชั้้น� เดีียวเป็น็ ปางประจำวัันพุุธ “อุ้้�มบาตร”(ด้้านซ้า้ ย)
องค์ท์ ี่ส�่ องเป็็นนาค 2 ชั้น� เป็น็ ปาง “โปรดช้า้ งนาฬาคิิรีี”(ตรงกลาง) องค์์ที่�่ 3 เป็็นนาคปรกสามชั้้�นเป็็นปาง “พิจิ ารณาธรรม”(ด้า้ นขวา)
129
พระพทุ ธศิลปอ์ นั ดากู
กบั ภาพวาดจากพระวหิ ารพกุ าม
นาคปรก ซุ้มนาค
ในดินแดนนาคพภิ พ
130
131 พระพทุ ธรูปนาคปรก ทรงเคร่อื ง พรอ้ มเหลา่ พุทธสาวก
มหศั จรรยแ์ หง่ นาคปรก พระพุทธรปู นาคปรก แบบจตรุ ทศิ เจดีย์ ทรงเคร่อื ง ที่มนี าคปรกถงึ 600 ตน หมายถงึ เหตกุ ารณ์ท่พี ระพุทธเจา้ ประทบั ในนาคพภิ พ
132
133 พระพทุ ธรูปนาคปรก ทรงบาตร หมายถึงเหตกุ ารณ์ท่ีพระพุทธเจา้ ประทับในนาคพิภพ และปางป่าลไิ ลยก์ นาคปรก
พระพทุ ธรปู นาคปรก ทรงเคร่อื ง ทรงแสดงธรรม หมายถงึ เหตกุ ารณ์ท่พี ระพทุ ธเจ้าประทบั ในนาคพิภพ และปางเปดิ โลก นาคปรก
134
พระพทุ ธรูปนาคปรก หมายถงึ เหตกุ ารณท์ ่พี ระพุทธเจ้าประทับในนาค พระพุทธรูปนาคปรก ปางมารวิชัย พร้อมซมุ้ นาคปรก
พภิ พ ในซุ้มท้งั ๔ พระพทุ ธเจา้ แสดงปางแตกตา่ งกนั คือ
135 ปางมารวิชัย , ปางแสดงธรรม , ปางสมาธิ , ปางประทานพร
อนั ดากูบอกเลา่ เร่อื งราวเหตกุ ารณ์ท่พี ระพุทธเจ้าประทบั ในนาคพภิ พ
136