The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พุทธศิลป์มหัศจรรย์อันดากู

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by eengteepakorn, 2022-05-07 00:03:51

พุทธศิลป์มหัศจรรย์อันดากู

พุทธศิลป์มหัศจรรย์อันดากู

Keywords: พุทธศิลป์มหัศจรรย์อันดากู,อันดากู

37 8 เรอ่ื งราวพุทธประวตั ิ

16 เรื่องราวพุทธประวัติ 38

ศิลปะอนั ดากูสมยั ปลายอาณาจกั รพกุ าม

อาณาจักรพุกามในช่วงต้นของปีคริสต์ศตวรรษที่ 13 หรือปีคริสต์ศักราชท่ี 1283 - 1303 เป็นช่วงท่ีอาณาจักรพุกามตกอยู่ภายใต้การปกครองของ
จกั รวรรดจิ ีนสมัยราชวงศห์ ยวนของจักรพรรดกิ บุ ไลขา่ น กษัตริย์ชาวจีน-มองโกล ทรงเป็นพระราชนัดดา (หลาน) ของเจงกิสข่านแห่งที่ราบสูงมองโกลที่พิชิต
อาณาจกั รอนื่ เกือบคร่งึ โลก ดว้ ยอานุภาพความเกรียงไกรและขนาดของกองทัพจีนที่กษัตริย์และชาวพุกามไม่เคยเห็น ทาให้อาณาจักรพุกามต้องเปิดประตู
เมอื งและยอมรบั ในพระราชอานาจของจักรวรรดิจีน ทาให้ไม่เกิดสงคราม พระราชสานักอาจจะเกิดความอึดอัดอยู่บ้าง แต่ไม่กระทบต่อความเป็นอยู่ของวิถี
ชีวติ ของชาวเมอื งและระบบการดารงชีพและการศาสนาแตอ่ ยา่ งใด

ส่ิงท่ีนาความเปล่ียนแปลงในทางบวกให้กับศิลปะอันดากูโดยเฉพาะคือ เน่ืองจากเมียนมาร์ (พม่า) เป็นดินแดนที่มีหยกช้ันดีและงาช้างจานวนมาก
อันเปน็ ประเพณีและวัฒนธรรมอนั ช่นื ชอบของจีน ทาให้พระราชสานกั จีนสง่ ชา่ งหลวงที่มฝี มี อื สูงเข้ามาแกะสลักหยกและงาช้างในอาณาจักรพุกาม เพ่ือส่งเข้า
พระราชสานกั จนี เหตเุ พราะงานแกะหยกและงาชา้ งเป็นงานประณตี ศิลปข์ นาดเล็กทค่ี ลา้ ยกบั อนั ดากู ทาให้ปฏมิ ากรรมวิทยาการแกะหยกและการแกะงาช้าง
(เทคโนโลยีการแกะหยกและงาช้าง) รวมทั้งการใช้เคร่ืองมือชนิดต่าง ๆ ได้ถ่ายทอดส่งต่อให้กับปฏิมากรชาวเมียนมาร์อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และด้วย
ความก้าวหน้าทางด้านประติมานวิทยาจึงทาให้งานศิลปะอันดากูได้รับผลจากความก้าวหน้านี้ด้วย ศิลปะอันดากูสมัยน้ีมีความซับซ้อนประณีตสวย งามมากข้ึน
ตามแบบฉบับของชาวจีน ศิลปะอันดากูสมัยนี้จะมีความลึกมากกว่ายุคสมัยที่ผ่านมา โดยเฉพาะการแสดงออกของพระพุทธรูปองค์กลางดังกล่าวถูก แกะให้
ลอยตัวประทับน่ังอยู่ในซุ้มใต้ต้นโพธิ์ บัลลังก์บัวคว่าบัวหงายท่ีมีนาคราชาแบกจะดูชัดเจนลอยตัวมากข้ึน รวมท้ังลักษณะรูปแบบขององค์ฐานช่วงล่างท่ีมีรูป
สตั ว์มงคลมากขึ้น อันดากูบางช้ินจะมฐี านลา่ งทีม่ สี ตั ว์มงคลมากกวา่ สามตวั ส่ิงท่ีน่าประทบั ใจมากทส่ี ุดของการเปลีย่ นแปลงในยุคสมัยน้ีคืออันดากูที่เป็นศิลปะ
แนวปฏิมากรรมพระพทุ ธประวัติในสมยั น้ี นักปราชญ์และปฏมิ ากรชาวเมียนมาร์ได้ขยายความยาวของพุทธประวัติให้ยาวมากย่ิงข้ึน โดยวิธีการเพ่ิมปางอื่น ๆ
เข้าไปในองค์ปฏิมากรรมอันดากู เป็นผลทาให้อันดากูสมัยนี้มีความหนามากข้ึน เพราะเกิดจากการเพิ่มพระพุทธรูปข้ึนอีกหนึ่งแถวทั้งสองข้ างจากของเดิมท่ี
เคยมอี ยู่ แต่จากเหตผุ ลของความสวยงามตามทฤษฎีของการวางระบบ SYMMETRY ที่นิยมกันในสมัยนั้น จึงทาให้อันดากูท่ีพบเห็นซ่ึงมีถึง 18 ปางเหตุการณ์
นั้น มีจานวนน้อยมาก(จะมีพระพุทธรูปมากถึง 18 องค์แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีครบถึง 18 ปาง) โดยปฏิมากรอาจไม่สันทัดทางด้านพระพุทธประวัติ กับ
ปาง จนเป็นเหตุทาให้ปฏิมากรพยายามหรือตั้งใจแกะพระพุทธรูปปางเดียวกันทั้งสองข้างกัน แต่ก็ดูลงตัวและสวยงามดีหากจะไม่คานึงถึงแนวปรั ชญาและ
ความตั้งใจทจี่ ะแสดงออกเพือ่ การต่อความยาวดา้ นพุทธประวัติโดยตรง ซ่ึงแนวความคดิ ในการขยายความยาวของพทุ ธประวัตนิ ้ตี รงกบั ภาพพระบทของทิเบต
ท่กี องทัพจีนนาเขา้ มายงั อาณาจกั รพกุ าม เพราะภาพพระบทจะมโี ครงสร้างขององค์ประกอบเหมอื นกับโครงสร้างของอันดากู เพราะทราบกันอยู่แล้วสาหรับผู้
ที่มีความรู้และคุ้นเคยกับศิลปะทิเบต โดยเฉพาะศิลปะของภาพพระบทที่ส่วนใหญ่จะมีพระพุทธรูปองค์ประธานอยู่ตรงกลางและถูกรายล้อมด้วยเห ตุการณ์
ตา่ ง ๆ ในพุทธประวตั ิหรือไมก่ ็จะถูกรายล้อมด้วยองคพ์ ระโพธิสัตวแ์ ละเหลา่ เทพเทวดา จึงเป็นท่ีถกเถียงในวงการประวัติศาสตร์ศิลปะว่าอันดากูสมัยน้ีได้ลอก
รปู แบบมาจากพระบทของทิเบตหรือไม่ หรือภาพพระบทได้รับแรงบันดาลจากอันดากู แต่ได้สันนิษฐานว่าอันดากูในยุคสมัยน้ีน่าจะได้รับแนวคิดจากภาพพระ
บทของทิเบตมากกวา่ ทีพ่ กุ ามจะส่งรูปแบบด้านปฏมิ ากรรมของตนใหก้ บั ภาพพระบท เหตเุ พราะภาพพระบทท่มี ีองค์ประกอบแบบสมบูรณ์คล้ายอันดากูน้ันมีมา
ก่อนตั้งแตค่ ริสต์ศตวรรษที่ 9 - 10 และจะมพี ุทธประวัติยาวมาก
39

จุดสังเกตของอันดากูสมัยพุกามตอนปลายน้ีจะมีความหนามากข้ึนกว่าเดิม มีการแกะสลักองค์ปฏิมากรรมค่อนข้างลึกและพยายามคว้านลึกแบบ
ลอยตัวและแบบก่ึงลอยตัวของพระพุทธรูปองค์กลาง พยายามทาให้พระพุทธรูปทรงประทับน่ังอยู่ภายในซุ้มต้นโพธ์ิ หรือซุ้ม อื่นๆตามรูปแบบของจีน มี
เรื่องราวของพุทธประวัติยาวข้ึนพร้อมกับการมีองค์พระพุทธรูปจานวนมากข้ึน อันดากูสมัยน้ีจะมีตั้งแต่ 8 - 18 ปางเหตุการณ์ ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ จะมี
ศิลปะไทใหญ่และศลิ ปะจีนซอ่ นตัวผสมผสานอยเู่ ล็กนอ้ ย จดุ สงั เกตทส่ี าคัญคอื รูปพระพกั ตร์ (ใบหนา้ ) ของพระพทุ ธรปู สมัยน้ี จะมลี กั ษณะเคา้ พระพักตร์แบบ
ของปาละเหลืออยู่น้อยลงมาก เพราะมีรูปพระพักตร์คล้ายกับพระพุทธรูปขนาดใหญ่ทั่วไปที่สร้างในสมัยเดียวกันนี้เป็นยุคของศิลปะอันตา ท่ี มีความประณีต
ซับซ้อนและเก็บรายละเอียดได้ดี คล้ายงานแกะหินหยกและงาช้างของจีน จึงนับได้ว่าเป็น อันดากูสมัยอาณาจักรพุกามและเป็นศิลปะอันดากูสมั ยพุกามยุค
สุดท้ายที่น่าชื่นชม เพราะเป็นศิลปะท่ีมีรูปแบบท่ีปราณีตมากเป็นพิเศษ ท้ังยังซ่อนประวัติศาสตร์และการเมืองไว้ภายในอีกด้วย จึงสามา รถนับได้ว่าเป็นงาน
ศลิ ปะแบบอมตะหรือยุคทองของศิลปะอนั ดากใู นสมยั พกุ าม

ภาพวาดพระโพธสิ ัตว์ ภาพพระโพธิสัตว์ อันดากู
จากภาพที่ 1 มาจากวดั อะเปยร์ ัตนะ (Abeyadana temple) เปน็ วดั ในเมืองพกุ าม ประเทศพม่า สร้างสมยั พระเจ้าจันสติ ตา เมอื่ ปีค.ศ. 1090 ณ ตรงจดุ ท่ี
พระนางอะเปย์รัตนะทรงรอพระสวามกี ลบั มา คาดวา่ พระนางอะเปย์รตั นะอาจมาจากแถบเบงกอล ซ่งึ พุทธศาสนาแบบวชั รยานเฟ่อื งฟู และทาให้วัดแห่งนี้
มอี ิทธพิ ลมหายาน-วชั รยานตามไปด้วย ดงั จะเห็นไดจ้ ากภาพจติ รกรรมและการประดบั ภายใน ท่มี ีกลนิ่ อายศลิ ปะแบบปาละท่ีนิยมกนั ในแถบเบงกอล
อย่างไรกต็ าม วัดน้มี กี ารประดบั ที่สะทอ้ นศิลปะแบบเถรวาทเชน่ กัน ในภาพคือจติ รกรรมรปู พระโพธิสัตว์อายรุ าว 1,000 ปี ที่วาดไวภ้ ายในวหิ ารเจดยี ์ สีสัน
ยงั สดใสเหมอื นกบั เพิง่ วาดมาเม่อื ไมน่ านมานี้ ภาพถา่ ยโดย Michael Gunther
ภาพที่ 2 เป็นพระโพธิสตั ว์ ท่ีสลกั ขึ้นจากหนิ แร่อันดากู สูง 4 น้วิ จาก พรศิวะคอลเลคชน่ั
40

8 เรอ่ื งราวพุทธประวตั ิ
41

16 เรื่องราวพุทธประวัติ

42

43

44

พุทธศลิ ป์มหศั จรรย์อันดากู
(Amazing Buddhist Art Andagu)

พุทธศิลปโ์ บราณทมี่ ชี อ่ื เสยี งอยา่ งหนง่ึ ของพม่า ไดแ้ ก่ พระพุทธรูปแกะสลักจากหินไดโลไมต์ (Dolomite) หินสเตียไตท์(Steatite) และหินไพโรฟิลไรท์
(Pyrohylite) ภาษาพม่าเรียกหินเหล่าน้ีว่า “อันดากู” (Andagu) หมายถึงหินที่มีเนื้อละเอียดสีขุ่น มีสีเทาเข้มถึงดาสนิทไปจนถึงสีขาวอมเหลืองคล้ายสี
งาชา้ ง พระอนั ดากูมักพบในแหลง่ โบราณคดสี มัยพุกามราวพุทธศตวรรษที่16–18 และพบในสมัยต่อมา คือ สมัยอังวะ (ราวพุทธศตวรรษที่ 21) โดยมีรูปแบบ
ศิลปกรรมใกล้เคียงกับพระแกะสลักหินในศิลปะปาละ ซ่ึงพบหลักฐานการสร้างในบริเวณรัฐพิหาร (Bihar) และบริเวณรอบอ่าวเบงกอล (Bengal) ทาให้มี
ความเปน็ ไปไดว้ า่ พระอนั ดากถู กู นาเข้ามาในสมัยพุกามพร้อมพอ่ ค้าหรอื ภิกษุชาวอินเดีย เพราะพระอันดากูมกั มขี นาดเล็กเคลอื่ นย้ายได้ง่าย หรือช่างพุกามอาจ
เป็นผู้สร้างพระอันดากูขึ้นเอง เพราะนักวิชาการบางท่านระบุว่าไม่พบแหล่งหินท่ีผลิตพระอันดากูแบบเดียวกับที่พบที่พม่าในบริเวณรอบอ่าวเบงกอลเลย ท้ังน้ี
พระหนิ สลักในศิลปะปาละใชห้ นิ บะซอลต์ (Basait) ซึ่งให้สีเทาถึงสีดา หรือหินจากเหมือง Rajmahal hill ในรัฐพิหาร ซ่ึงให้ความละเอียดของเน้ือหินแตกต่าง
กัน โดยพระอันดากูสลักขน้ึ จากหนิ ทม่ี ีเนอ้ื ละเอียดบางชนิ้ เหมอื นสลักขึ้นจากงาชา้ ง จึงมีการต้งั ข้อสังเกตว่าอาจมีการนาพระอันดากูจากพม่าไปยังอินเดียด้วย
ซ้าไป

การสร้างพระอนั ดากนู ัน้ ชา่ งชาวพกุ ามคงรบั เฉพาะแรงบันดาลใจทางศิลปะจากปาละ แล้วเพิ่มเติมลักษณะพิเศษบางอย่างท่ีไม่เคยปรากฏมาก่อนในท้ัง
ศลิ ปะปาละหรือศิลปะอนิ เดีย จากนน้ั ชา่ งในสมัยองั วะกไ็ ดส้ รา้ งพระอนั ดากสู บื ต่อมา

อกี เหตผุ ลหนง่ึ ทพี่ ระพทุ ธรปู พระพิมพ์ และโบราณวัตถเุ น่อื งในพระพุทธศาสนาจานวนมากทพ่ี บในพกุ ามมอี ิทธิพลศลิ ปะอนิ เดยี แบบปาละ เป็นเพราะ
พุกามได้ครอบครองดินแดนบริเวณปากแม่น้าซ่ึงเป็นทางออกอ่าวเบงกอลทางตะวันตก และเส้นทางท่ีเชื่อมต่อไปยังอินเดียได้ท้ังทางบกและทางน้า เม่ือพระ
เจ้าอนุรุทธทรงยึดครองเมืองในแคว้นอาระกัน และการยกทัพไปตีเมืองสะเทิมหรือสุธรรมวดีของมอญในปี พ.ศ. 1600 ซึ่งเมืองสะเทิมเป็นเมืองยุทธศาสตร์ที่
สาคัญเพราะมีทางออกสู่ทะเลสะดวกในการติดต่อค้าขาย การท่ีพระเจ้าอนุรุทธทรงชนะสงครามคร้ังนี้ ส่งผลให้วัฒนธรรมมอญเข้ามามีบทบาทเป็นท่ีนิยมใน
ราชสานกั พกุ ามและพระพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาทไดเ้ ข้ามามีบทบาทในพุกามแทนทพี่ ุทธศาสนานิกายอารี

ความคล่องตัวในการเดินทางระหว่างอินเดียกับพม่าในสมัยพุกามทาให้รูปแบบศิลปกรรมจากปาละเข้ามาแพร่หลายในพม่ามากยิ่งขึ้น ประกอบกับ
ภายหลังเหตุการณ์ที่พระพุทธศาสนาในอินเดียถูกทาลายโดยกองทัพมุสลิมในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 ทาให้มหาวิทยาลัยนาลันทา พุทธคยา และสารนาถ
ถูกทาลายหมดส้ิน พระสงฆ์จานวนมากท่ีส่วนใหญ่นับถือนิกายมหายานพากันหลบหนีออกจากอินเดีย กระจายกันไปอยู่ตามบ้านเมืองต่าง ๆ ท่ีนั บถือ
พระพุทธศาสนา เช่น ทิเบต พุกาม เป็นต้น จึงปรากฏว่าพุกามที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทเป็นแนวทางหลัก กลับปรากฏงานศิลปกรรมตามแบบศิลปะ
ปาละท่ีนบั ถือพระพทุ ธศาสนาแบบมหายาน เช่น อาคารทรงศขิ ร พระโพธิสัตว์ เปน็ ต้น โดยงานศิลปกรรมแบบปาละท่ีเข้ามาในพุกามถูกปรับเปลี่ยนรูปแบบไป
ตามพื้นฐานทางสงั คมในเวลาน้ัน ทาใหพ้ ระอนั ดากูในพุกามมีรูปแบบทหี่ ลากหลายยง่ิ ข้นึ
45

ศลิ ปะปาละ (แม่แบบ) และพระอนั ดากสู มัยอาณาจักรพุกาม

พระพุทธรูปหนิ แกะสลักในศลิ ปะปาละ พระอันดากูศิลปะปาละ

46

รปู แบบศิลปะพระอันดากู

การหลบหนีออกจากอินเดียของพระสงฆ์ เพ่ือหลบหนีภัยจากกองทัพมุสลิมเข้ามาอยู่ในเขต เปรีียบเทีียบขนาดของพระอัันดากูู
ปกครองของพกุ าม ทาใหต้ อ้ งมีการปรับพื้นฐานทางพุทธศาสนาท่ีมาพร้อมกับพระสงฆ์เหล่าน้ี ให้สามารถ กับั เหรีียญบาท
อย่บู นพื้นฐานความเชอ่ื ด้ังเดมิ ของพุกามท่ีนับถือนัต (NAT) หรือวิญญาณศักดิ์สิทธ์ิ รวมท้ังพระพุทธศาสนา
นิกายอารีซึ่งเป็นพุทธศาสนาในนิกายมหายาน - ตันตระ อาจเป็นปัจจัยหน่ึงท่ีทาให้เกิดพระอันดากูปาง จารึกอักษรภาษาเตลกู ู ทีฐ่ านด้านหลงั
ต่าง ๆ ที่ไม่เคยปรากฏที่ใดในโลกมาก่อน มีลักษณะพิเศษบางอย่างท่ีแตกต่างจากต้นแบบในศิลปะปาละ ของพระอันดากขู นาดเล็ก
โดดเด่นและน่าต่ืนตาตื่นใจพอ ๆ กับสร้างความพิศวงให้แก่ผู้ได้เห็นไปพร้อมกันว่าช่างฝีมือชาวพุกาม
สร้างสรรค์ผลงานเหล่าน้ีออกมาได้อย่างไร หากพิจารณาการเล่าเรื่องท่ีปรากฏในพระอันดากู อาจแบ่ง
ประเภทของพระอนั ดากไู ด้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่

1. พระอนั ดากูแบบเดย่ี ว สร้างขึ้นตามเรื่องราวในพุทธประวัติเร่ืองใดเรื่องหน่ึง เช่น ปางทุกรกริยา
ปางทรงทรมานพระยามหาชมพู เปน็ ต้น

2. พระอนั ดากแู บบรวมเรอ่ื ง สรา้ งข้ึนตามเรื่องราวในพุทธประวัติหลายเรื่องรวมกัน บางคร้ังมีการ
นาภาพชาดกเข้ามาเป็นส่วนประกอบ เช่น “อัษฏมหาปาฏิหาริย์” (ภาษาสันสกฤต) หรือ “อัฐมหา
ปาฏิหารยิ ”์ (ภาษาบาล)ี ซึง่ คัดเฉพาะเรอื่ งที่สาคัญจานวน 8 เร่ือง ในพระชนม์ชีพของพระพุทธเจ้า สร้าง
ข้นึ เป็นพระพุทธรปู สาหรบั ระลกึ ถงึ สถานท่ีและเหตุการณ์สาคญั ในพทุ ธประวัติ เป็นต้น ในกลุ่มนี้ยังพบการ
ทาภาพพระพทุ ธรูปทรงเครือ่ งเปน็ ประธานของภาพ พระพทุ ธรปู ทรงเครือ่ งหมายถึงพระอวโลกเิ ตศวรหรือ
พระไมเตรยะ ซ่งึ เป็นพระอนาคตพทุ ธเจา้

3. พระอันดากูมหานาค สร้างข้ึนตามเรื่องราวในพุทธประวัติ โดยสอดแทรกพญานาคเข้ามาเป็น
ส่วนประกอบของเรื่องราวในตอนนั้น ๆ เช่น พระอันดากูนาคปราสาท พระพุทธรูปปางไสยาสน์บน
พญานาค เปน็ ตน้

พระอันดากูบางคร้ังมีขนาดเล็กกว่าเหรียญบาท บางองค์มีจารึกภาษาเตลูกู ซึ่งเป็นภาษาอินเดีย
โบราณ จารึกภาษาเตลูกูท่ีพบมีอายุย้อนหลังไปถึงพุทธศตวรรษที่ 2 และถูกใช้เป็นภาษาราชการในช่วง
พุทธศตวรรษที่ 4 – 8 เมื่อกษัตริย์ในราชวงศ์สาตวาหนะปกครองอินเดีย น่าเสียดายท่ีขณะนี้ยังไม่มีการ
อา่ นแปลจารกึ ภาษาเตลูกูทีอ่ ยู่ด้านหลงั พระอันดากูทนี่ ามาเป็นตวั อย่าง
47

พระอันดากแู บบเดย่ี ว

พระอันดากปู างทุกรกรยิ า

ต้นแบบของการทาภาพพระโพธิสัตว์ปางทุกรกริยา เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยแรกเริ่มของการทาพระพุทธรูปเป็นรูปมนุษย์ คือในแบบศิลปะคันธาระ
ซ่ึงเจริญรุ่งเรืองในอินเดียราวพุทธศตวรรษที่ 7 ภาพท่ีพระโพธิสัตว์มีพระวรกายผ่ายผอม เหลือเพียงพระตจะ (หนัง) และพระอัฐิ (กระดูก) เพราะ
พระลสกิ า (ไขมัน) พระมังสา (เนื้อ) และพระโลหิต (เลือด) เหือดแห้งไปหมดส้ิน การสร้างภาพพระพุทธเจ้าลักษณะนี้ไม่เป็นที่นิยมสร้างกันในศิลปะ
อนิ เดยี สมยั ต่อมา กลบั ขา้ มมาปรากฏในศิลปะปาละในแคว้นเบงกอลราวพุทธศตวรรษท่ี 16 - 18

พระอันดากูได้แสดงให้เห็นการทรมานร่างกายอย่างแสนสาหัสของพระโพธิสัตว์ แต่ท่ีน่าสังเกตคือพระองค์ทรงประทับภายใต้ซุ้มไม้โค้งมน
ทชี่ า่ งสลกั ให้ยื่นออกมาจากแผน่ หลังอย่างมีมติ ิ ก่ิงก้านของต้นนิโครธพฤกษ์ (ต้นไทร) มีรากไทรเก่ียวคล้องกันอย่างประณีตเป็นร่างแห ที่ฐานแกะสลัก
เปน็ 5 ชอ่ ง มีนักบวชประจาอยู่ช่องละองค์สนั นษิ ฐานวา่ หมายถึงปญั จวคั คียท์ ้ัง 5 ท่ีอยฐู่ านด้านล่าง

พระพุทธรูปปางทุกรกรยิ าตัวอยา่ งต้นแบบในศิลปะคันธาระ ตน้ แบบแรงบันดาลใจ Lahore Museum, Lahore

48

พระอนั ดากปู างทุกรกรยิ า พระอนั ดากูปางทุกรกรยิ า
49

สว่ นพระอนั ดากูอีกรายการหนงึ่ สลกั ภาพพระโพธสิ ตั ว์ประทบั ใตซ้ ้มุ ไม้ สว่ นฐานลา่ งสลกั เปน็ ภาพนักบวชมีท่าทางเบื่อหน่าย 2 คน ในขณะ
ท่ีอีก 3 คนยกมือไหว้พระโพธิสัตว์ นักบวชท้ัง 5 น้ี คือปัญจวัคคีย์ และทางด้านซ้ายมีภาพบุคคลขนาดเล็ก สวมเคร่ืองประดับศรีษะ สองมือ
ยกขึน้ สูงถอื หมอ้ ใบหน่ึง

ปฐมสมโพธิกถา ปริเฉทท่ี 8 พุทธบูชาปริวรรต ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ภาพหลังท่ีพระโพธิสัตว์เลิกบาเพ็ญทุกรกริยาแล้ว ในเช้าวันเพ็ญวิสาขะ
นางสุชาดาปรารถนาจะบูชาเทวดา จึงทาข้าวมธุปายาสจัดใส่ในถาดทองคาไปถวายเทวดา เม่ือนางสุชาดาได้เห็นพระโพธิสัตว์ประทับใต้ต้นนิโครธ
พฤกษ์ คิดวา่ พระโพธิสตั วเ์ ป็นเทวดา จงึ น้อมนาเอาขา้ วมธปุ ายาสพร้อมทงั้ ถาดทองคาไปถวาย ภาพบุคคลท่ีถือภาชนะนี้อาจเป็นนางสุชาดา ผู้ถวาย
ข้าวมธุปายาสแด่พระโพธิสัตว์ แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่าภาชนะท่ีนางสุชาดานามาใส่ข้าวมธุปายาส (ข้าวที่หุงด้วยนมโค)
คือ ถาดไมใ่ ช่หมอ้ จนทาให้เกิดขอ้ สงสยั วา่ บุคคลนีจ้ ะเปน็ นางสุชาดาหรือไม่

นางนันทพลาถวายขา้ วปายาส

พระอนั ดากปู างทุกรกริยา สร้างขึ้นตามมหากาพยพ์ ทุ ธจรติ 50
เปน็ รปู แบบพิเศษที่หาไดย้ ากในศลิ ปะเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้

ในมหากาพย์พุทธจริตกล่าวถึงนางนันทพลา ผู้เป็นธิดาของหัวหน้าคนเล้ียงวัวที่
รมิ แม่นา้ เนรญั ชรา ได้มาพบพระโพธิสัตว์ซ่ึงกาลังอยู่ระหว่างการทรมานพระวรกาย นาง
ได้ถวายข้าวปายาสแก่พระองค์ด้วยความยินดี เพราะแม้ว่าพระโพธิสัตว์จะทรงทรมาน
พระวรกาย แตค่ วามงามของพระองค์มิได้ลดนอ้ ยลง เมอื่ พระองคเ์ สวยขา้ วปายาสท่ีได้รับ
จากนางนันทพลา บรรดานักบวชท้ังห้าที่คอยรับใช้พระองค์เห็นเช่นน้ัน จึงพากันละท้ิง
พระองค์ไป เพราะคิดว่าพระองค์ทรงทิ้งหนทางแสวงหาความหลุดพ้น ดังน้ัน พระอัน
ดากูปางน้ีอาจจะสร้างข้ึนตามเรื่องราวที่ปรากฏในมหากาพย์พุทธจริต ซ่ึงเป็นงานเขียน
ในนิกายมหายาน

อน่ึง พระโพธิสัตว์ปางทุกรกริยาในศิลปะพุกามบางครั้งจะมีภาพเด็กยืนประกอบ
องค์พระโพธิสัตว์ท้ังซ้ายขวา แล้วใช้กิ่งไม้แหย่เข้าไปในพระกรรณ เพราะเข้าใจว่าพระ
โพธิสัตว์เป็นคนบ้า การทาภาพตอนทุกรกริยาเช่นน้ีพบหลักฐานที่บังกลาเทศ และ
อ่าวเบงกอล และพม่าตอนใต้รวมท้ังภาพธังกาของธิเบต พระอันดากูบางองค์ได้ทาภาพ
เหตุการณ์น้ีด้วย

โปรดสังเกตว่าช่างพุกามได้สร้างซุ้มไม้โค้ง ปกคลุมส่วนพระเศียรตามแบบที่นิยม
ในศิลปะปาละ แทนท่ีจะทาเป็นรัศมีรูปวงกลมอยู่ทางด้านหลังพระเศียรตามแบบศิลปะ
คนั ธาระ ซุ้มไม้โค้งลงคลุมองค์พระโพธิสัตว์อย่างสวยงาม ส่วนฐานก็ใช้ตามแบบศิลปะปา
ละ คือ มีเสาประดับมุมฐานอยู่สองเสา ในขณะที่ศิลปะคันธาระยังไม่นิยมการทาเสา
ประดบั มุมฐานประตมิ ากรรม เป็นตน้

พระอนั ดากปู างทุกรกรยิ า
51

พระอนั ดากบู างรายการทาภาพเทวดาเหาะประดับ เพ่อื แสดงฐานะของพระพุทธองคท์ ่ีสูงส่งกว่าเทวดา

พระอนั ดากปู างทกุ รกรยิ า

52

พระอันั ดากููปางปราบช้้างนาฬาคิิรีี

ภาพพระพุุทธเจ้า้ ทรงเคร่ืื�องอย่า่ งกษััตริยิ ์์ ประทับั ยืืนตริภิ ัังค์อ์ ยู่่�ระหว่่างสาวก พระหัตั ถ์ข์ ้้างขวาทอดลงเบื้้อ� งล่่าง ซึ่�ง่ มีีช้้างหมอบหนึ่่�งตัวั สัันนิษิ ฐานว่า่
เป็็นภาพพุุทธประวัตั ิติ อนทรงทรมานช้้างนาฬาคิริ ีี พระหััตถ์ข์ ้้างซ้า้ ยยกขึ้น้� เสมอพระพาหาแสดงการจัับจีีวร

ช้า้ งนาฬาคิิรีีมีีขนาดเล็็กกว่่าพระพุุทธรูปู เพื่่อ� เน้้นพุุทธานุภุ าพ
ในศิิลปะปาละภาพตอนทรมานช้้างนาฬาคิิรีีจะมีีเพีียงพระพุุทธเจ้้าเป็็นประธานของภาพ ภาพช้้างนาฬาคิิรีีและพระอานนท์์ แต่่ปรากฏว่่าจิิตรกรรม
พุุทธประวััติิตอนนี้้�ในศิิลปะทิิเบตและพุุกาม เกิิดการทำภาพพระสาวกองค์์อื่�่นเพิ่่�มเข้้ามาในเหตุุการณ์์นี้้�ด้้วย ที่�่น่่าสัังเกตคืือพระพุุทธรููปประธานตรงกลางสวม
ศิริ าภรณ์์และเครื่่อ� งประดัับอย่่างกษัตั ริยิ ์์ทัับไปบนจีีวร ซึ่�ง่ การสร้้างพระพุุทธรูปู ทรงเครื่�อ่ งในแบบศิลิ ปะอินิ เดีียไม่่มีีการกำหนดว่า่ ต้้องสร้้างเป็น็ พระพุทุ ธรูปู ปาง
ใดหรืือพุุทธประวัตั ิิตอนใดโดยเฉพาะ ดังั นั้้�น จึึงพบพระพุุทธรููปทรงเครื่อ่� งประดับั แสดงปางประทานอภััย ปางประทานพร ปางมารวิชิ ััย เป็น็ ต้น้ ตั้ง� แต่่ในศิิลปะ
ปาละเมื่่�อพุุกามได้้รัับอิิทธิิพลทางศาสนาและศิิลปะจากปาละ จึึงเกิิดพระอัันดากููทรงเครื่�่องหลายปาง พระอัันดากููบางองค์์สลัักภาพช้้างนาฬาคิิรีี 2 ตััว
ตัวั หนึ่่�งชูงู วงขึ้น�้ สูงู หมายถึึงช้้างนาฬาคิิรีีที่่ด� ุุร้้าย อีีกตัวั หนึ่่�งลดงวงลงหมอบกัับพื้้�น หมายถึึงช้า้ งนาฬาคิิรีีที่�ถ่ ููกปราบพยศแล้้ว อนึ่่�ง การทำช้้างนาฬาคิริ ีีสองตัวั
เกิิดขึ้�้นในศิิลปะพุุกามเป็็นแห่่งแรก
53

มหากาพยพ์ ทุ ธจริตได้อธิบายเหตุการณใ์ นตอนนี้ว่า

“...พระเทวทัตเม่ือเห็นความยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์จึงบังเกิดความอิจฉาริษยา และเม่ือไม่สามารถควบคุมจิตใจของตน
ได้ จึงได้ทากรรมที่ไม่เหมาะสมมากมายหลายประการ เพราะมีจิตใจท่ีเป็นมลทิน พระเทวทัตจึงได้ทาสังฆเภท และด้วยเหตุท่ี
ตอ้ งการจะสร้างความแตกแยกแทนทีจ่ ะอทุ ศิ ตนแก่พระพทุ ธองค์ เขากลับพยายามทาร้ายพระองค์ให้ได้รับบาดเจ็บ คร้ังน้ันพระ
เทวทตั ไดอ้ อกแรงกลิ้งก้อนหินลงจากภูเขาคฤธรกูฏะ (คฤธรกฏู ) ถึงแมจ้ ะมุ่งเป้าไปทพี่ ระมหามุนีแต่ก้อนหนิ กไ็ มไ่ ด้ตกถูกพระองค์
แตก่ ลบั แตกออกเปน็ สองเสย่ี ง บนทอ้ งถนนหลวงก็เช่นกัน พระเทวทตั ได้ปล่อยช้างท่ีแผดเสียงร้องแปร๋น ๆ เปรยี บเสมือนกับเสียง
ฟ้าผ่าจากก้อนเมฆท่ีมืดดาในเวลาโลกประลัย ซึ่งวิ่งเร็วดุจพายุพัดในท้องฟ้ายามพระจันทร์มืดมัวไปทางทิศท่ีพระตถาคตประทับ
อยู่ ถนนในกรุงราชคฤห์ไม่อาจใช้สญั จรไปมาได้ เนอ่ื งจากเกลื่อนกลาดไปด้วยซากศพท่ีช้างใช้ตัวของมันพุ่งชน หรือจับฟาดด้วย
งวง หรือท่ิมแทงด้วยงา จนบางศพอวัยวะภายในทะลักออกมากองกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ ถึงแม้ช้างจะว่ิงมาด้วยตั้งใจ
ประหาร แม้ชาวเมืองผู้ร้องไห้ระงมจะยกมือข้ึนเตือน แต่พระพุทธองค์ก็คงเสด็จดาเนินต่อไปด้วยพระอาการสารวมและไม่ทรง
หว่ันไหว พระองค์เสด็จไปตามทางปกติ และไม่ทรงหลบหลีกช้างตัวดุร้ายแม้แต่ก้าวเดียว ขณะท่ีพระมุนีเสด็จดาเนินไปอย่าง
สงบนน้ั ไม่มชี า้ งแม้สกั ตัวท่เี ข้ามาสมั ผัสพระองคไ์ ด้ เน่ืองจากพระองค์ทรงเป่ียมด้วยพระมหากรุณาต่อสรรพสัตว์ และเนื่องจาก
เหล่าทวยเทพเฝ้าติดตามพระองค์ด้วยความศรัทธาเลื่อมใส หมู่พระสาวกทีก่ าลังติดตามพระพุทธองค์เมื่อมองเห็นช้างแต่ไกลก็พา
กันวงิ่ หนไี ปหมด เหลือแตพ่ ระอานันทะ (อานนท์) รูปเดียวเท่าน้ันท่ีติดตามเสด็จพระพุทธองค์ เหมือนกับธรรมชาติซ่ึงเป็นเน้ือ
แท้ ตดิ ตามสตั วโ์ ลกที่มีรูปหลากหลาย ครั้งน้ันขณะทม่ี ันว่งิ เข้ามาใกล้ๆ ช้างตกมันตัวนั้นก็มีอาการสงบลงด้วยพุทธานุภาพ มัน
ไดย้ อ่ ตัวลงและวางศรีษะลงบนพน้ื เหมอื นภูเขาทมี่ ปี ีกสองขา้ งถกู ฟา้ ผ่ากระจยุ กระจาย…”

54

พระอนั ดากปู างปลงพระเกศาธาตุ

ภาพรวมปางปลงพระเกศาธาตุ รายละเอียดพอ่ ค้า

พระอนั ดากู สลกั ภาพพระพทุ ธเจ้าประทบั น่งั ขัดสมาธิเพชรเหนอื ปัทมบ์ ัลลังก์ ภายใต้ซุ้มไม้โค้ง ครองจีวรห่มเฉียง พระหัตถ์ซ้ายวางเหนือหน้าตัก ทรง
บาตร พระหัตถ์ขวายกขึ้นเหนือพระเศียร ทางด้านข้างท้ังซ้ายขวา สลักภาพบุคคลสองคน สวมเครื่องแต่งกาย เช่น ศิราภรณ์และเส้ือคลุมแสดงว่าเป็นผู้มี
ฐานะทั้งสองถือวัตถุอย่างหน่ึงไว้ในมือ กริยาเหมือนจะยกของที่อยู่ในมือถวายพระพุทธเจ้า สันนิษฐานว่าภาพเหตุการณ์นี้มีที่มาจากพุทธประวัติตอนเสวย
วิมุตติสุข ดังปรากฏว่าในสัปดาห์ท่ี 4 พระพุทธเจ้าประทับภายใต้ต้นราชายตนะ มีพ่อค้า 2 คนพ่ีน้องเข้ามาถวายภัตตาหารแด่พระองค์ แต่พระองค์ไม่มี
ภาชนะจะรบั เมื่อท้าวจตุโลกบาลทอดพระเนตรเหน็ จึงปรากฏพระองค์ต่อพระพุทธเจ้าพร้อมท้ังบาตรท้ัง 4 ลูก พระพุทธเจ้าทรงรับบาตรทั้งสี่มาวางซ้อนกัน
เพือ่ รบั บณิ ฑบาต ปรากฏในมหากาพย์พุทธจรติ ดงั น้ี

“... ครัน้ ถงึ เวลาบณิ ฑบาต เทวดาประจาทศิ ได้นาบาตร (ส่ีใบ) มาถวายแด่พระมหามุนี พระพุทธโคตมะเมื่อทรงรับบาตรทั้งสี่ใบ
มาแล้ว จึงได้อธิษฐานรวมเอาบาตรทั้งหมดให้เป็นใบเดียวกันเพื่อความเป็นธรรม ในขณะน้ัน พ่อค้าสองคนซึ่งคุมเกวียนผ่านมาถูก
เทวดาผู้เป็นกัลยาณมิตรดลใจให้ผ่านไปทางน้ัน ท้ังสองจึงได้ถวายสักการะพระมหามุนีด้วยความดีใจอย่างหาท่ีเปรียบมิได้ และได้เป็น
อบุ าสกสองคนแรกที่ไดถ้ วายอาหารบณิ ฑบาตแด่พระมหามุนี…”

55

มหากาพย์พุทธจริตมิได้กล่าวถึงการปลงเกศาธาตุให้แก่พ่อค้าสองพี่น้อง และจากหลักฐานพบในศิลปะคันธาระ ราวพุทธศตวรรษท่ี 6 - 9
และศลิ ปะมถุรา ราวพทุ ธศตวรรษที่ 6 - 9 มีความนยิ มในการสรา้ งภาพเล่าเรื่องการถวายบาตรของจตุโลกบาลแด่พระพุทธองค์ จนเป็นไปได้ว่าการ
ถวายบาตรของจตุโลกบาลเป็นตัวแทนของภาพเหตุการณ์เสวยวิมุตติสุขท้ังหมด แสดงให้เห็นว่ามีการให้ความสาคัญกับเหตุการณ์ท่ีจตุโลกบาลถวา ย
บาตรแต่พระพุทธเจ้ามากกว่าการปลงเกษาธาตุท่ีเกิดข้ึนเป็นคร้ังแรกในโลก ความสาคัญของบาตรพระพุทธเจ้าได้ปรากฏหลักฐานอยู่ในบันทึกของ
หลวงจีนฟาเหียน ทรี่ ะบวุ า่ เมืองปุรุษปุระ (หรือเมืองเปษวัร Pezshawar ปัจจุบันตั้งอยู่ในปากีสถาน) เป็นสถานที่ประดิษฐานบาตรท่ีเช่ือว่าเคยเป็น
ของพระพุทธองค์ โดยมีพระสงฆจ์ านวน 7,000 รปู คอยดแู ลรักษาบาตรดงั กลา่ วยังปรากฏตะเข็บสีร่ อยทีเ่ กิดจากการรวมบาตรของจตุโลกบาลท้ังส่ี

แต่เมื่อพระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปรากฏว่าไม่มีการให้ความสาคัญกับบาตรของพระพุทธเจ้าแต่อย่างใด
พทุ ธศาสนิกชนม่งุ ใหค้ วามสาคัญกบั พระเกศาธาตุ รอยพระพุทธบาท และพระบรมสารีริกธาตุ เช่น ตานานพระเจ้าเลียบโลกหรือพุทธตานานของทาง
ล้านนา ท่ีเกิดขึ้นระหว่างรัชกาลพญากือนาถึงสมัยพญาสามฝั่งแกน (พ.ศ.1899 - 1985) เช่ือกันว่าคัดลอกมาจากพระภิกษุมอญอีกทีหนึ่งได้มีการ
กล่าวถึงสถานท่ีประดิษฐานรอยพระพุทธบาท พระเกศาธาตุ และพระบรมสารีริกธาตุทั้งหลายท่ีมีในดินแดนมอญ พม่า และล้านนา ตานานพระเจ้า
เลียบโลกมีการคัดลอกสบื ต่อกนั ในลา้ นนา และแพรห่ ลายต่อไปยงั ล้านช้าง กล่าวว่าพระเกศาธาตุมีความสาคัญเพราะเป็นพระธาตุที่ได้รับมาจากองค์
พระพุทธเจา้ โดยตรงขณะยงั ดารงพระชนมช์ พี เจดยี ช์ เวดากองนบั เปน็ ตัวอยา่ งสาคัญของการบชู าพระเกศาธาตุที่มีอยู่ในมอญและพม่า ตานานระบุว่า
เจดีย์ชเวดากองถูกสร้างข้ึนโดยพ่อค้าชาวมอญสองพี่น้อง คือ ตะเปา (ตะปุสสะ) และตะป้อ (ภัลลิกะ) ได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ถวายข้าวสัตตุ
พร้อมปวารนาตัวเป็นปฐมอุบาสก พ่อค้าทั้งสองได้นาพระเกศาธาตุ 8 เส้น ที่ได้รับพระราชทานจากพระหัตถ์ มาประดิษฐานไว้ภายใน
เจดยี ช์ เวดากอง

สาหรบั การสร้างพระอันดากูประทับพรอ้ มพอ่ ค้าสองคนแทนท่ีจะเป็นจตุโลกบาลสี่องค์ น่าจะเป็นการสะท้อนให้เห็นความสาคัญของพระเกศา
ธาตุ ที่เกิดขึ้นในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังปรากฏตานานกล่าวถึงพระพุทธเจ้าขณะทรงพระชนม์ชีพได้เสด็จมายังดินแดนของชาวมอญ
พม่า ไทย และลาว โดยในบางครั้งพระองค์ได้พระราชทานพระเกศาธาตุจากพระเศียรของพระองค์ให้กับดินแดนที่ยังไม่ปรากฏร่องรอยของ
พระพทุ ธศาสนา พรอ้ มกับพทุ ธพยากรณ์ถงึ บา้ นเมอื งทจี่ ะตั้งขึ้นมาในอนาคต จากนนั้ ผู้คนในถิ่นน้ันกจ็ ะสร้างเจดียบ์ รรจพุ ระเกศาธาตุของพระองค์เพ่ือ
กราบไหว้ ท้ังนห้ี ากไม่ใช่พระเกศาธาตุ พระพทุ ธเจา้ ก็จะทรงประทับรอยพระพุทธบาทของพระองค์ไว้เป็นหลักฐาน หรือไม่เช่นน้ันก็จะมีการรับสั่ง
ให้นาพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์มาไว้ ณ สถานท่ีแห่งนั้น ร่องรอยของการให้ความสาคัญแก่พระเกศาธาตุที่เห็นได้ชัดของคนไทยเม่ือจะทา ศพ
ก็มักทากรวยดอกไม้ใส่มือศพ เพราะเชื่อว่าดวงวิญญาณจะได้นาไปไหว้พระจุฬามณี เจดีย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ประดิษฐานพระเกศโมลี
(มวยผม) ของพระพทุ ธเจา้ เปน็ ตน้

56

พระอันดากทู รงเคร่อื ง

พระพุทธรูปทรงเคร่ืองในศิลปะอินเดีย เร่ิมสร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยคุปตะ เป็นพระพุทธรูปสวมเคร่ืองทรงของกษัตริย์ท่ีสามารถถอดออกได้ ความ
นยิ มพระพุทธรปู ทรงเครื่องมีมากขน้ึ ในสมยั ปาละ ซ่งึ การสร้างพระพุทธรูปทรงเคร่อื งในแบบศิลปะอินเดียไม่มีการกาหนดว่าต้องสร้างเป็นพระพุทธรูปปางใด
หรือพุทธประวัติตอนใด จึงอาจจะพบพระพุทธรูปทรงเคร่ืองประทับยืนแสดงปางประทานอภัย ปางประทานพร ปางแสดงธรรม ปางมารวิชัย เป็นต้น การ
สรา้ งพระพุทธรูปทรงเครือ่ งในอนิ เดยี เกิดขน้ึ จากความเชื่อเร่ืองฐานะของพระพุทธเจ้าเปล่ียนแปลงไปจากเดิม เคยเช่ือกันว่าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา
ท่ีได้สะสมพระบารมีไว้มากจนสามารถบรรลุพระโพธิญาณ แต่นิกายมหาสังฆิกะซ่ึงต่อมาพัฒนาเป็นนิกายมหายาน มีความเชื่อเรื่องพระพุทธเจ้าแตกต่างไป
จากเดิม คือ เชอ่ื ว่าพระพุทธเจา้ เป็นสิ่งศักดส์ิ ิทธเิ์ หนือธรรมชาติและยกย่องให้พระองค์เป็นโลกุตรผู้พ้นจากกิเลสทั้งปวงอยู่ในภาวะเหนือมนุษย์ พระพุทธเจ้า
เปน็ จกั รวาทิน (Cakravatin) หรอื จักรพรรดิของจักรวาล จงึ มีการถวายเคร่ืองทรงกษัตริย์ ทาด้วยทองคาเพ่ือตกแต่งพระพุทธรูปเป็นพุทธบูชา ในสมัยปาละ
มกี ารสรา้ งพระพมิ พ์พระพุทธรปู ทรงเคร่อื งทม่ี ีแปดปาง และพระพทุ ธรูปทรงเครอ่ื งอาจหมายถงึ พระอนาคตพุทธเจ้า (พระเมตไตรย) ได้อีกดว้ ย ดังปรากฏใน
คัมภีรจ์ ุลวงศข์ องลงั กาท่กี ล่าววา่

“...ในสมัยของพระเจ้าธาตเุ สน ( พ.ศ.1000 – 1016 ) พระองค์ไดท้ รงบาเพ็ญพระราชกุศลโดยทรงโปรดให้สร้าง
เคร่ืองประดบั พระพทุ ธรปู … และเครื่องทรงอย่างพระราชา ถวายแด่พระองค์ พระเมตไตรย…”

พระเมตไตรย เป็นพระโพธิสัตวผ์ ้จู ะไดต้ รสั รเู้ ป็นพระพทุ ธเจ้าพระองคท์ ี่ 5 และองคส์ ุดท้ายแห่งภัทรกปั นี้ พุทธศาสนกิ ชนเชอ่ื ว่าเมื่อศาสนาของพระโค
ตมพุทธเจ้าสิ้นสุดไปแล้ว โลกจะล่วงเข้าสู่ยุคแห่งความเสื่อมถอย อายุขัยของมนุษย์ลดลงจนเหลือ 10 ปี ก็เข้าสู่ยุคมิคสัญญี ผู้สลดใจกับความช่ัวก็หันมา
รวมกลุ่มกันทาความดี จากน้ันอายุขัยเพ่ิมขึ้น 1 อสงไขยปี แล้วจึงลดลงอีกจนเหลือ 80,000 ปี ในยุคนี้จะมีพระโพธิสัตว์ท่ีบาเพ็ญบารมีครบ 16 อสงไขย
แสนมหากัป ลงมาตรัสรู้เป็น พระเมตไตรยพุทธเจ้า พระพุทธรูปทรงเครื่องในศิลปะพม่านิยมสร้างกันสืบต่อมาในรัฐฉาน และถิ่นที่อยู่ของชาว ลัวะ เรียกว่า
“ชมพูบดี” (Zabupati) และยังมกี ารเรียกชอ่ื อ่นื ๆ แตกตา่ งกนั ไปตามกลมุ่ ชน โดยชือ่ ชมภบู ดี หมายถงึ องคพ์ ระพทุ ธเจา้ โดยตรง

ต่อมามีการอธิบายเหตุผลในการสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องว่า สร้างขึ้นตามชมพูบดีสูตร ท่ีปรากฏเฉพาะในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่ีนับ
ถือพระพุทธศาสนาเถรวาท คือ ไทย พม่า และลาว ในพม่าปรากฏตานานเรื่องชมพูบดีในคัมภีร์พุทธศาสนาฉบับภาษามอญ ที่กล่าวถึงการตอบปัญหาขอ ง
พระยาชมพูบดี มีการกล่าวอ้างถึงพระพุทธเจ้า พระอินทร์ และพระยาชมพูบดี แต่มีผู้ไม่เห็นด้วยกับความคิดน้ี โดยกล่าวว่าพุทธศาสนาในพ ม่าสมัยหลังได้
นาเรื่องพุทธประวัติตอนปราบพระยาชมพูบดี ที่ไม่มีในพระไตรปิฎกของพุทธศาสนาลัทธิเถรวาท มาอธิบายพระพุทธรูปทรงเครื่อง ดังน้ัน คติ ความเช่ือใน
การสร้างพระพุทธรูปทรงเคร่ืองในศิลปะพม่าในช่วงแรกคงเป็นการสร้างตามความเชื่อในนิกายมหายาน ดังนั้น พระพุทธรูปทรงเครื่องจึงหมา ยถึง
พระพุทธเจ้าท่ีอยูใ่ นภาวะเหนือมนุษย์ ทรงเป็นจกั รวาทนิ และเปน็ พระเมตไตรย คอื พระอนาคตพุทธเจ้า ไม่ได้หมายถึงพระพุทธเจ้าตอนปราบพระยามหา
ชมพู ความคดิ เหน็ ทแ่ี ตกตา่ งกนั เหล่านยี้ งั ไมม่ ขี ้อสรปุ
57

รููปแบบของศิิลปะของพระพุุทธรููปทรงเครื่�่องในสมััยพุุกามจะสวมเฉพาะกระบัังหน้้าทรงสามเหลี่่�ยมขนาดใหญ่่ และสวมกรองศอที่่�มีีรููปทรง
คล้ายสามเหลี่ยมกลับหัว บางคร้ังในกลุ่มพระพุทธรูปทรงเคร่ืองหล่อสาริด มีการสวมเข็มขัดเพชรพลอยหลังจากน้ันพระพุทธรูปทรงเครื่อง
ได้มีการพัฒนาการรูปแบบเคร่ืองประดับที่ซับซ้อนขึ้น ดังปรากฏว่าในศิลปะพม่าสมัยอังวะ มีการเพิ่มเครื่องประดับพระพุทธรูปทรงเคร่ือง เช่น
สวมมงกฎุ ทรงสงู คลา้ ยมงกฎุ ของนางราชาวมอญ สวมกุณฑลรูปห่วง กรองศอ สงั วาล พาหุรัด ทองพระกร เปน็ ตน้

พระอนั ดากทู รงเครอื่ ง

58

พระอนั ดากูพระพุทธเจา้ ทปี ังกร พระสาวก และสุเมธดาบส

ภาพพระอนั ดากเู ล่าเร่อื งสเุ มธดาบส
ภาพพระพุทธเจ้าประทับยืนโดยมีพระสาวกยืนอยู่เบ้ืองหลัง เบ้ืองหน้าพระพุทธเจ้า เป็นภาพชายสวมเคร่ืองแต่งกายโพกผ้าเป็นดาบส นอน
ทอดตัวเหยยี ดยาว แสดงความเคารพอย่างสูงต่อพระพุทธองค์และคณะ เป็นภาพเหตุการณ์ในสมัยพระพุทธเจ้าทีปังกร เป็นพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้เมื่อ 4
อสงไขยแสนกัปที่แล้ว ถือเป็นพุทธวงศ์ของพระโคตมพุทธเจ้าพระองค์แรก วันหน่ึงชาวนครอมรวดีได้อาราธนาพระพุทธทีปังกรเข้ามาในเมือง สุ เมธ
ดาบสทราบว่าพระพุทธทีปังกรจะเสด็จมา แต่เส้นทางเสด็จน้ันเป็นหลุมเป็นแอ่ง มีน้าท่วมขังมาก สุเมธดาบสจึงทอดตนลงนอนให้พระพุทธทีปังก รและ
พระสาวกทั้งหลายข้ามแอ่งน้าไป พระพุทธทีปังกรจึงได้ทรงพยากรณ์ว่าในอนาคต สุเมธดาบสจะได้บรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง แล ะเป็น
พุทธพยากรณ์คร้ังแรก นางสุมิตตราได้เห็นส่ิงท่ีสุเมธดาบสกระทา จึงแบ่งดอกบัว 5 กา ให้สุเมธดาบสบูชาพระพุทธทีปังกรพร้อมกับนาง โดยนางได้
อธษิ ฐานใหส้ ุเมธดาบสรับนางเป็นภรรยา ช่วยสร้างสมบารมีจนกว่าสุเมธดาบสจะบรรลุธรรม ต่อมาสุเมธดาบสได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้
และนางสมุ ติ ตราไดเ้ กิดเป็นพระนางยโสธราพิมพา
59

พระอันดากปู างเสดจ็ ลงจากดาวดึงส์

พุทธประวัติตอนหน่ึงกล่าวถึงพระพุทธเจ้าเมื่อถึงกาลเข้าพรรษา ในพรรษาท่ี 7
พระองค์เสด็จไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพ่ือโปรดพุทธมารดาตามธรรมเนียมของ
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เม่ือทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้ว จะต้องเสด็จข้ึนไปแสดงธรรม
โปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ตลอดพรรษา 3 เดือน เมื่อส้ินสุดกาลพรรษาได้
เสด็จลงจากดาวดึงส์มายังโลกมนุษย์ที่เมืองสังกัสสะ ภาพเล่าเรื่องพุทธประวัติตอนน้ีเร่ิม
ปรากฏหลักฐานข้ึนในศิลปะคันธาระ ทาเป็นภาพพระพุทธเจ้ากาลังเสด็จลงมาจากสวรรค์
ดาวดึงส์ โดยใช้บันไดแก้ว และมีเทวดาน้อมส่งทั้งสองข้าง พระสารีบุตรหมอบเฝ้ารับ
เสด็จพระพุทธเจ้าอยู่เบื้องล่าง ต่อมาได้มีการเพ่ิมรายละเอียด เช่น ให้พระอินทร์เสด็จ
ลงมาโดยใช้บนั ไดทองทีอ่ ยทู่ างด้านขวาของพระพุทธเจ้าถือบาตรหรือหม้อน้า พระพรหม
เสด็จโดยใชบ้ นั ไดเงนิ ทอ่ี ยู่ทางด้านซ้ายถือฉัตร

สาหรบั ภาพพุทธประวตั ิตอนเสด็จลงจากดาวดึงส์ของพุกาม พระอินทร์มักประทับ
ยืนทางด้านขวาของพระพุทธเจ้าถือบาตรหรือบางคร้ังถือสังข์วิชัยยุทธ ในขณะท่ีทาง
ด้านซ้ายมักเป็นพระพรหมถือฉัตรกางกั้นเหนือเศียรพระพุทธเจ้า อย่างไรก็ดี ตาแหน่งที่
ยนื ของพระอินทร์และพระพรหมอาจจะสลับกันก็ได้หรืออาจเป็นเทพองค์อ่ืนดังปรากฏใน
สรภชาดก ซ่งึ เป็นชาดกของอรรถกถาของนิกายเถรวาท กล่าวถึงรายละเอียดของเทวดา
ทเี่ ฝ้าแหแ่ หนพระพุทธเจ้าและส่งิ ของท่ถี อื วา่

“... ทา้ วสกั กินทรงอุ้มบาตรแลจีวรตามเสด็จมา สุยามเทวบุตรโบ
พักวาลวชิ นีราเพยถวายลม ท้าวสหัมบดพี รหมทรงเศวตฉตั รกางกน้ั …”

อันดากู พุทธประวัติตอนเสด็จลงจากดาวดึงส์
60

พระอันดากู ทางเบื้องหลังพระพุทธเจ้ามีบันได 3 บันได และมี
การทาภาพพระสาวกสององค์ กาลังพนมมือแสดงความเคารพ
พระพุทธเจ้าในท่าท่ีเรียกว่า “นมัสการมุทรา” พระสาวกทั้งสององค์หัน
หน้าเข้าหาพระพุทธเจ้า เน้นให้เห็นความสาคัญของพระพุทธเจ้าท่ีเป็น
ประธานของภาพ และเพม่ิ พระสาวกอีก 1 องค์

น่าสังเกตว่าการเขียนภาพเล่าเร่ืองพุทธประวัติตอนน้ีโดยให้พระ
พรหมอยู่ทางด้านซ้ายและพระอินทร์อยู่ทางด้านขวา ท่ีมักปรากฏอยู่ใน
ศิลปะพม่าเสมอนั้น มีลักษณะเช่นเดียวกับที่ปรากฏในศิลปะสุโขทัย เช่น
ภาพประติมากรรรมปูนปั้นเล่าเร่ืองพุทธประวัติตอนเสด็จลงจากสวรรค์
ช้ันดาวดึงส์ ที่ซุ้มด้านใต้ของมณฑปวัดตระพังทองหลาง จังหวัดสุโขทัย
และที่ภาพพระบทพบในกรุวัดดอกเงิน จัดแสดงในพิพิธภัณฑสถาน
แห่งชาติพระนคร เป็นต้น อาจเป็นไปได้ว่าพุกามได้ส่งต่อแรงบันดาลใจ
ทางศิลปกรรมใหแ้ กส่ ุโขทยั และลา้ นนา

ภาพอนั ดากเู ล่าเรือ่ งพทุ ธประวัตติ อนเสด็จลงจากดาวดึงส์
61

พระอนั ดากูแบบหลายเรอ่ื ง

พระอันดากบู างรายการสามารถแปลความหมายตามเร่ืองราวในพุทธประวัติได้มากกว่า 1 เรื่อง เป็นลักษณะพิเศษของการสร้างพระอันดากูท่ี
ไม่ปรากฏในศลิ ปะลา้ นนา ล้านชา้ ง หรอื ศิลปะสโุ ขทยั และอยุธยาซง่ึ อาจกลา่ วยอ้ นไปไดถ้ ึงการสร้างพทุ ธประวตั ิในสมัยอนิ เดยี โบราณราวพุทธศตวรรษ
ท่ี 3 - 6 ทีน่ ิยมทาภาพพุทธประวตั เิ ปน็ ภาพบรรยายเรอ่ื งราวเพ่อื ให้ผู้ชมเขา้ ใจได้งา่ ย ในงานชนิ้ หนึง่ อาจมีหลายเหตุการณ์ท่ีเกดิ ข้ึน

พระอนั ดากู ปางกอ่ นปรินพิ พาน ปรินิพพาน และเรือ่ งหลงั ปรินิพพาน

พระอนั ดากปู างปรินิพพาน
พระอันดากูปางปรินิพพาน แสดงให้เห็นเร่ืองราวก่อนการปรินิพพานและเร่ืองภายหลังการปรินิพพานของพระพุทธองค์ไว้ดังน้ี ภาพภิกษุ
พนมมอื ที่อยูด่ ้านพระเศียรของพระองค์ ได้แก่ พระสุภัทระ พระสาวกองค์สุดท้ายท่ีพระพุทธเจ้าทรงบวชให้ ส่วนภิกษุท่ีนั่งอยู่ปลายพระบาท คือ พระ
มหากาศยป เหนือองคพ์ ระพทุ ธเจา้ มเี จดยี ์ขนาดเลก็ 1 องค์ (มกฎุ พันธนเจดยี )์ ซ่ึงมกั จะปรากฏเสมอในภาพพทุ ธประวตั ิตอนปรนิ พิ พานในศิลปะปาละ
เจดีย์น้ีเป็นสัญลักษณ์ของการเข้าสู่นิพพาน ส่วนฐานพระพุทธรูปยกเก็จ ทาภาพพระภิกษุ 3 องค์ และภาพบุคคลสวมเคร่ืองประดับ
อยา่ งกษตั รยิ ์จานวน 7 คน

62

เรอ่ื งพระสภุ ทั นะมาขอบรรพชา ปรากฏในมหากาพยพ์ ุทธจริต ความว่า
“... คร้ังนั้น ปริพาชกชื่อสุภัทระ(สุภทฺร) ผู้ถือตรีศูล ผู้ทาแต่กรรมดีและไม่ทาร้ายเบียดเบียนสัตว์อื่น ปรารถนาที่จะเข้าเฝ้าพระสัมมาสัม

พุทธเจ้า เพือ่ จะไดบ้ รรลุทางพ้นทุกข์ในขณะเปน็ ภกิ ษุ … พระพุทธองค์ไดท้ รงแสดงมรรคมีองค์แปดแก่ปริพาชกผนู้ ้อมเข้ามาใกล้ เมื่อเขาได้ฟังพระ
สัทธรรมแล้วจึงเป็นเหมือนคนหลงทางท่ีได้รับการบอกทางท่ีถูกต้อง … จากน้ันสุภัทรปริพาชกจึงถวายบังคมพระมุนี และหมอบนิ่งอย่างสงบ
เหมือนกับงู เพียงช่วั ขณะเขาก็ได้บรรลคุ วามสงบแห่งนริ วาณดุจเมฆถูกลมพัดสลายไป …”

เร่ืองการถวายบังคมพระบรมศพของพระมหากาศยป ปรากฏในมหากาพยพ์ ทุ ธจริต ความว่า
“... พระกาศยปะ (กาศฺยป) ขณะเดินทางมาได้เข้าญาณด้วยจิตที่บริสุทธิ์และด้วยอานาจแห่งการต้ังความปรารถนาเพื่อจะได้เห็นพระบรม
ศพของพระมหามุนผี ทู้ รงดับขนั ธแ์ ล้ว ไฟนั้นจึงไม่ติดคร้ังนั้น พระเถระเดินทางมาอย่างรีบร้อนเพ่ือจะได้ทันเห็นพระบรมศาสดา และเม่ือถวายบังคม
พระผู้ประเสริฐท่ีสุดในบรรดามุนที ัง้ หลายแลว้ ไฟก็ลุกโชตชิ ว่ งขนึ้ เองทันที …”
ภาพหลังพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ กษัตริย์มัลละได้เก็บพระบรมสารีริกธาตุไว้ที่เมืองกุสินารา ต่อมาได้มีราชทูตจาก 7 เมือง เดินทางมาขอ
แบง่ พระบรมสารีริกธาตุ แต่กษัตริย์มัลละไม่ยอมมอบให้ ดังนั้นกองทัพ 7 เมือง จึงยกมาปิดล้อมเมืองกุสินารา ทางเมืองกุสินาราก็เตรียมการพร้อมรบ ใน
กองทัพ 7 เมืองมีพราหมณ์คนหน่ึงช่ือโทณพราหมณ์ กล่าวเตือนสติเหล่ากษัตริย์ท้ังหลาย แล้วมาเข้าเฝ้ากษัตริย์มัลละ เกล้ียกล่อมให้ทรงแบ่งพระบ รม
สารรี กิ ธาตแุ ดก่ ษัตรยิ ท์ ้ัง 7 เมอื ง เพอ่ื มิให้เกดิ สงคราม ดังนั้น ภาพบุคคลแตง่ กายอยา่ งกษตั รยิ ์ท่ฐี านพระพุทธรูปปางปรินิพพานนี้ น่าจะหมายถึงกษัตริย์ท้ัง
7 เมือง ที่ตอ้ งการพระบรมสารรี ิกธาตุ

63

พระอนั ดากูแปดปาง

พระอนั ดากแู ปดปางใชเ้ ทคนิคการแกะสลักที่ซับซอ้ นประณีต เลา่ เรอื่ งพุทธประวตั ติ อนสาคัญแปดเร่ือง ในสมยั อินเดียโบราณ ภาพเล่าเร่ืองพุทธ
ประวัติมักประดับตกแต่งอาคารศาสนสถานในพุทธศาสนา เช่น ประตูโตรนะของมหาสถูปท่ีสาญจี โดยสลักภาพเล่าเรื่องในช่องสี่เหลี่ยมตามแนวตั้ง
และแนวนอน วัตถุประสงคเ์ พ่อื เล่าเรอ่ื งพุทธประวัตใิ ห้พุทธศาสนกิ ชนที่เข้ามาสักการบูชาได้ชื่นชมและศึกษา ต่อมาในสมัยคุปตะ ราวพุทธศตวรรษท่ี
9 - 11 ได้มีการคัดเฉพาะเร่ืองที่สาคัญจานวน 8 เรื่อง ในพระชนม์ชีพของพระพุทธเจ้าเรียกว่า “อัษฎมหาปาฏิหาริย์” (ภาษาสันสกฤต) หรือ “อัฐมหา
ปาฏิหาริย์” (ภาษาบาลี) สร้างขึ้นเป็นพระพุทธรูปสาหรับระลึกถึงสถานท่ีและเหตุการณ์สาคัญในพุทธประวัติ พระพุทธรูปแบบใหม่ที่สร้างขึ้นนี้
เคลื่อนย้ายได้ง่าย ไมไ่ ด้เปน็ ส่วนหนึ่งของอาคารอกี ตอ่ ไป แตย่ งั ไม่เนน้ การทาพระพทุ ธรปู ปางมารวชิ ยั ใหม้ ีขนาดใหญ่ โดดเดน่ เป็นประธานของภาพ

ต่อมาในสมัยปาละราวพุทธศตวรรษที่ 14 - 17 จึงได้เกิดความนิยมทาพระแปดปางที่มีพระพุทธรูปปางมารวิชัยอยู่ตรงกลางเป็นประธานของ
ภาพท่มี ขี นาดใหญ่ท่ีสุด เป็นสัญลักษณ์แทนการตรัสรู้ของพระพุทธรูป จากนั้นจึงทาภาพพุทธประวัติตอนอื่น ๆ ไว้รอบองค์พระพุทธรูปประธาน พุทธ
ประวัติตอนท่ีนิยมกัน ได้แก่ ประสูติ ปฐมเทศนา ทรมานช้างนาฬาคีรี ปรินิพพาน เสด็จลงจากดาวดึงส์ มหาปาฏิหาริย์ ทรงรับรวงผ้ึงจากพญาวานร
หลังจากนนั้ ไดม้ ีการนาเอาภาพพทุ ธประวตั ิแปดปางไปผสมกบั ภาพพุทธประวตั ิตอนอื่น ๆ หรอื ภาพอดีตพุทธเจ้า บุคลาธษิ ฐานในพทุ ธศาสนา เป็นต้น

ช่วงพุทธศตวรรษท่ี 18 เม่ือพระพุทธศาสนาในอินเดียถูกทาลายโดยกองทัพมุสลิม พระสงฆ์นิกายมหายาน ได้หลบหนีภัยสงครามไปยัง
บ้านเมืองท่ีนับถือพระพุทธศาสนา เช่น ทิเบต หรือพุกาม ดังปรากฏว่าพระอันดากูแปดปางในศิลปะพุกามจะมีพระโพธิสัตว์ปรากฏขนาบข้าง
พระพทุ ธเจ้า เชน่ เดยี วกับพระแปดปางท่ีพบในอินเดยี ทิเบต ในขณะท่ีพระพิมพ์แปดปางของพุกามจะไม่มีภาพพระโพธิสัตว์ขนาบองค์พระพุทธเจ้า
และพระพุทธรปู ปางมารวิชยั จะอยใู่ นซมุ้ และมีเจดีย์ทรงศขิ ร (พทุ ธคยา) อยเู่ หนอื พระเศียร ตามความเช่ือในพทุ ธศาสนานิกายเถรวาท

64

การเรียงภาพเล่าเรือ่ งพทุ ธประวตั ขิ องพระแปดปางศิลปะปาละ

พระพุทธรปู ประทบั ยืน พระพุทธรูปปางปรินิพพาน
ปางปราบช้า้ งนาฬาคิิรีี
พระพทุ ธรปู ประทบั นั่ง มีท้งั วงโค้งที่เกิดจากใบไม้ พระพุทธรปู ปางมารวชิ ยั หรือ พระพทุ ธรปู ประทับยนื ปางเสดจ็ ลงจากดาวดงึ ส์
พระพุทธรูปทรงเคร่อื งปางมารวชิ ัยจะประทบั อยู่
ประทบั ขัดสมาธิ และประทับนง่ั ห้อยพระบาท ภายในวงโคง้ ประทับเหนือปทั มะบัลลงั ก์ อยบู่ น พระพุทธรปู ประทบั น่ังมีท้ังประทบั ขดั สมาธิ และ
ปางปฐมเทศนา ผ้าทพิ ย์ ประทับนัง่ หอ้ ยพระบาท ปางยมกปาฏหิ าริย์

พระนางมายาตอนประสตู ปิ ระทับยนื ในท่า … พระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธปิ างปา่ เลไลยก์
สวัสดิกบาท พระพุทธเจา้ รับรวงผึ้งจากพญาวานร
บัลลงั กย์ กเกจ็ ตกแต่งด้วยรูปสิงห์ เรยี กวา่ สงิ หาสน์

การเรียงภาพเลา่ เรอื่ งพทุ ธประวตั ิของพระอันดากแู ปดปาง

เจดยี ข์ นาดเลก็ เหนอื พระพทุ ธรูปปางปรนิ ิพพานและกล่มุ บคุ คลท่ีมคี วามโศกเศรา้

พระพุุทธรูปู ประทัับยืืนปางปราบช้า้ งนาฬาคิิรีี วงโคง้ ที่เกดิ จากใบไม้ พระพทุ ธรูป พระพทุ ธรูปประทับยนื ปางเสด็จลงจาก
ปางมารวิชัยหรอื พระพุทธรปู ดาวดึงส์

พระพุทธรูปประทับนัง่ ปางปฐมเทศนา ทรงเครอ่ื งปางมารวชิ ยั จะประทบั พระพุทธรูปประทบั
อยู่ภายในวงโค้ง น่งั ปางยมกปาฏิหารยิ ์

พระนางมายาและพระนางประชาบดี พระโพธสิ ตั ว์ มนุษยนาคหรือนาคราชา 2 ตน พระโพธิสตั ว์ พระพุทธรปู ประทบั
นงั่ ห้อยพระบาททรง
ตอนประสูติ รองรบั ปัทมะบลั ลังก์ รบั รวงผ้ึงจากพญา
วานร
ฐานด้านลา่ ง เปน็ ฐานปทั ม์ยกเก็จ มภี าพของช้าง มกร(Mahara) วยาล(Vyala) หรือภาพธิดามาร บางครั้งมกี ารประดบั สญั ลกั ษณแ์ ก้ว 7 ประการ
แสดงสถานะพระเจ้าจักรพรรดิของพระพุทธองค์

65

พระอันดากูแปดปาง

66

ตอนตรสั รู้

พระพทุ ธรปู ครองจีวรหม่ เฉยี ง ประทบั ขดั สมาธเิ พชร ทาปางมารวิชัยบนฐานบัว มีพระโพธิสัตว์ประทับยืนขนาบทั้งสองข้าง พระพุทธรูปปางมาร
วิชัยเป็นสัญลักษณ์ของภาพพุทธประวัติตอนตรัสรู้หรือทรงชนะมาร ถูกวางในตาแหน่งศูนย์กลางเป็นประธานของภาพ และมีขนาดพระวรกายใหญ่โต
กว่าภาพบุคคลอ่ืนท่ีอยู่โดยรอบ การปรากฏรูปพระโพธิสัตว์ขนาบข้างพระพุทธเจ้าในฉากประธาน เป็นการสืบทอดความนิยมในศิลปะปาละ ซึ่งนิยม ทา
ภาพพระพุทธเจา้ ประทบั นั่งขัดสมาธปิ างมารวิชัย โดยมพี ระโพธสิ ัตว์ประทบั ยนื ขนาบท้ังสองข้าง แต่ในศิลปะปาละมักทาตอนตรัสรู้แยกต่างหากจากภาพ
อื่น ๆ ทาให้สามารถตีความได้ว่าหมายถึงพระอนาคตพุทธเจ้า หรือพระเมตไตรยต่างจากพี่พบในศิลปะพุกามและ ทิเบต ท่ีพบร่วมกับภาพพุทธประวัติ
ตอนอืน่ ๆ พนกั บัลลังกท์ ป่ี ระดับรูปหงสเ์ ปน็ ความนิยมท่ีเกิดขึน้ ในศลิ ปะปาละและทาสืบต่อมาในศิลปะพุกาม

บางครัง้ พระอันดากแู ปดปาง บางรายการจะทาภาพกองทัพพญามารอยู่เหนอื พระเศยี รของพระโพธิสัตว์ ขนาบข้างพระพุทธเจ้า หากมีพื้นที่ว่าง
มากพอ ทัพของพญามารกจ็ ะย่ิงมีรายละเอียดมากย่ิงขึ้น เช่น พญามารประทับเหนือหลังช้างศึกที่แสดงอาการดุร้าย มีพลมารถือหอก(หรือคฑา) และธนู
เป็นตน้ การทาภาพกองทพั มารในพระแปดปางเคยปรากฏมากอ่ นในศลิ ปะปาละ แต่ทีน่ า่ สนใจคอื แม้จะเป็นภาพตอนปราบพญามาร แต่พระอันดากูจะไม่
ทาภาพพระแม่ธรณี และพระโพธสิ ัตวท์ ้ังสององค์ท่ที รงถือดอกบวั จงึ ไมอ่ าจระบุวา่ เป็นพระโพธสิ ัตว์พระองคใ์ ด

ตอนตรสั รู้
67

กองทพั พญามาร พระโพธสิ ตั วถ์ ือดอกบวั

68

ตอนประสตู ิ

ภาพเหตุการณ์ตอนประสูติมีตาแหน่งอยู่ทางด้านล่างของพระอันดากู อาจอยู่ด้านซ้ายหรือขวา ทาเป็นภาพของพระนางมายาเทวีประทับยืน
กับพระนางปชาบดี พระนางมายาประทับยืนตริภังค์ พระกรขวาโน้มกิ่งไม้ พระกรซ้ายพาดพระพาหาพระนางปชาบดี พระกรขวาของพระนาง
ปชาบดถี ือของสิง่ หนึง่ สนั นิษฐานว่า เปน็ แสป้ ดั แมลงเพราะพบหลกั ฐานภาพจิตรกรรมวหิ ารโลกาเทียกพนั พกุ าม อายรุ าวพทุ ธศตวรรษท่ี 17

ตอนประสตู ิ ภาพคดั ลอกลายเส้นตอนประสูติเปรยี บเทยี บกบั
69 ภาพทีอ่ ยู่ในพระอันดากู

ปางปฐมเทศนา

พระพุทธรูปประทับน่ังขัดสมาธิเพชร พระหัตถ์ท้ังสองข้างยกข้ึนเสมอพระอุระ น้ิวพระหัตถ์ขวาจีบเป็นวงเป็นสัญลักษณ์แทนธรรมจักร นิ้ว
พระหัตถ์ซ้ายนิ้วใดน้ิวหน่ึงแตะวงจีบน้ิวเป็นสัญลักษณ์ของการหมุน ธรรมจักรมุทรามีชื่อเรียกในภาษาสันสกฤตว่า “ธรรมจักรประวรรตนมุทรา”
แปลว่า ปางหมุนธรรมจักร เป็นมุทราที่นิยมกันในศิลปะปาละ แต่บางครั้งในศิลปะอินเดียแบบอ่ืน มีการทาภาพเล่าเร่ืองตอนปฐมเทศนา โดยให้
พระพุทธเจ้าประทับนั่งขัดสมาธิแล้วเอื้อมพระหัตถ์ลงมาสัมผัสกับธรรมจักร ซึ่งทาเป็นรูปล้อเกวียน หรือทาภาพธรรมจักรเป็นล้อเกวียนมีรู ปกวาง
ประกอบ แทนสัญลักษณ์การแสดงปฐมเทศนา ณ ปา่ กวาง (อิสิปตนมฤคทายวนั ) การนาสญั ลักษณ์รูปลอ้ เกวียนมาใช้เป็นธรรมจักรมีการอธิบายไว้ใน
มหากาพย์พุทธจรติ วา่

“... เม่อื ยกั ษท์ ัง้ หลายทอี่ าศยั อยบู่ นพน้ื ปฐพีได้ยินเสียงสาธกุ ารน้ัน จึงพากนั ปา่ วประกาศดว้ ยน้าเสียงอันดังกึกก้องว่า “แน่นอนท่ีสุด วง
ล้อแห่งธรรม (พระธรรมจักร) ได้ถูกหมุนไปแล้วอย่างดีโดยพระผู้เป็นยอดของผู้รู้แจ้ง เพ่ือความสงบอันเป็นอมตะของสรรพสัตว์ท้ังหลาย ล้อ
แห่งธรรมน้ันมศี ลี เป็นซีล่ อ้ มีความสงบและวินัยเป็นวงล้อ กวา้ งขวางดว้ ยความรู้ ม่ันคงด้วยสติ และปัญญา และมีหิริเป็นดุมล้อ ด้วยเหตุที่พระ
ธรรมจักรนั้นมีความลึกซึ้ง ปราศจากข้อผิดพลาดและยอดเยี่ยมกว่าคาสอนอื่นใด เม่ือถูกส่ังสอนในไตรโลก พระธรรมจักรนั้นก็จะไม่มีคาสอน
อยา่ งอนื่ มาหมนุ ทบั รอยได้อีก …”

ตอนปฐมเทศนา ท่ฐี านบวั มภี าพธรรมจกั รและกวางหมอบ

70

มหาปาฏหิ ารยิ ์ท่ีเมืองสาวัตถี

การแสดงมหาปาฏิหาริย์ที่เมืองสาวัตถี มีที่มาจากการที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้พระภิกษุแสดงปาฏิหาริย์ พวกเดียรถีย์จึงแสดงฤท ธ์ิ
หลอกลวงชาวบ้านด้วยประการต่าง ๆ แอบอ้างว่าเหตุที่พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตให้พระภิกษุแสดงปาฏิหาริย์ เพราะพระพุทธเจ้าไม่กล้าแข่งกับ พวกตน
พระเจา้ ปเสนทิโกศลจงึ ทลู ขอพระพุทธเจ้าแสดงปาฏหิ ารยิ เ์ พื่อการาบเดียรถีย์ การแสดงมหาปาฏิหาริย์เรยี กอกี อย่างหนงึ่ ว่ายมกปาฏิหาริย์

เร่ืองราวแสดงมหาปาฏิหาริย์คร้ังน้ีปรากฏในคัมภีร์อรรถกถาภาษาบาลี คือ สรภชาดก ชาดกเร่ืองที่ 483 ในคัมภีร์ชาดกอรรถกถา พระพุทธเจ้า
แสดงมหาปาฏิหาริย์โดยเสด็จดาเนินไปมาบนอากาศ แล้วบันดาลให้เกิดเปลวไฟและคล่ืนลมออกมาจากพระสรีระทั้งเบ้ืองบนและเบ้ืองล่างของพระอง ค์
เปน็ คู่ กบั ทรงบนั ดาลใหม้ ีพระสรีระของพระองค์ปรากฏไปในทกุ สว่ นของทอ้ งฟ้าและรอบ ๆ พระองค์ เปน็ จานวนมากมายเหลอื คณานับ ภาพเล่าเร่ืองพุทธ
ประวัติที่มาจากคัมภีร์ภาษาบาลีมักปรากฏภาพต้นไม้เป็นฉากอยู่เบ้ืองหลัง เน่ืองจากเร่ืองราวส่วนใหญ่เก่ียวข้องกับการแสดงปาฏิหาริย์ ที่โคนต้นมะม่วง
(คณั ฑคามพฤกษ์) กล่าวคือ เมื่อเหล่าเดียรถีย์ทราบว่าพระพุทธองค์จะทรงกระทาปาฏิหาริย์ ก็ได้ให้สาวกของตนกว้านซื้อต้นมะม่วงในรัศมีหนึ่งโยชน์แล้ว
ขุดทาลายทิ้งจนหมดส้ิน พระพุทธองค์จึงทรงให้นาเมล็ดมะม่วงที่คนเฝ้าอุทยานหลวง (คัณฑบุรุษ) นามาถวายนั้นไปเพาะลงในดินและได้เกิดมหัศจรรย์
เมลด็ มะม่วงนั้นเจริญงอกงามแตกกิ่งกา้ นเปน็ ต้นไม้ใหญ่ข้นึ ทนั ที พระองคจ์ ึงทรงแสดงมหาปาฏหิ าริย์โดยมพี ระอินทร์ พระพรหม ตลอดจนเหลา่ เทวดาและ
มนษุ ย์ทั้งหลายได้มาเฝ้าชมเปน็ จานวนมาก

มหาปาฏิหาริย์ที่เมอื งสาวตั ถี
71

การแสดงมหาปาฏิหาริย์ยังปรากฏในคัมภีร์ทิวยาวทานของนิกายสรรวาสติวาทซึ่งเป็นคัมภีร์ภาษาสันสกฤต พระพุทธเจ้าทรงแสดงมหา
ปาฏิหาริย์ขณะประทับเหนือดอกบัวท่ีพญานาคช่ือนันทะและอุปนันทะได้เนรมิตถวาย และมีการพรรณนาการแสดงหาปาฏิหาริย์ไว้อย่างน่าอัศจรรย์
ดงั นี้

“... พระ(พุทธ) องค์ทรงมีประสงค์จะทรงกระทามหาปาฏิหาริย์ท่ีเมืองสาวัตถี เพ่ือประโยชน์แก่สรรพสัตว์ท้ังหลาย ครั้นแล้วท้าวสักกะ
มหาพรหมพร้อมด้วยเทพยดาอื่น ๆ ซง่ึ เปน็ บรวิ ารอีกหลายแสนซ่ึงรู้เท่าพระหฤทัยของพระผู้มีพระภาค มหาพรหมกับเทพยดาอื่น ๆ ได้เดินประ
ทักษณิ าพระตถาคต 3 รอบ ถวายบงั คมพระบาทของพระองคด์ ้วยพระเศียรเกล้า แล้วได้เล่ือนไปน่ังอยู่ข้างขวาของพระองค์ ส่วนท้าวสักกะและ
เทพยดาอ่ืน ๆ เม่ือได้แสดงความเคารพและความนับถือเสร็จแล้ว ก็พากันนั่งอยู่ข้างซ้ายของพระองค์ พระยานาค 2 ตัว ช่ือนันทะและอุปนัน
ทะได้เนรมิตดอกปทุมดอกหน่ึง มีกลีบหลายพันกลีบ ใหญ่เท่าล้อรถ กลีบดอกปทุมท้ังหลายเหล่านี้ล้วนด้วยทองทั้งสิ้น แต่ก้านเป็นเพชรพลอย
แล้วจึงนาดอกปทุมนี้เข้าไปถวายพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคเสด็จขึ้นประทับนั่งขัดสมาธิบนกลีบบัวนั้น ทรงราพึงถึงบารมีของพระองค์
แล้วก็ทรงเนรมิตดอกปทุมเช่นเดียวกันนั้นขึ้นอีกดอกหน่ึง มีพระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างบนเหมือนกันแล้วก็ปรากฏเป็นพระพุทธเจ้าท้ังข้างหน้า
ขา้ งหลงั และรอบ ๆ พระองค์เปน็ จานวนนับมถิ ้วน แผไ่ ปจนถงึ ขัน้ อกนิษฐ์ เปน็ พุทธสภาอันหนง่ึ ซึง่ เกิดจากพระองคพ์ ระผมู้ พี ระภาคเจ้า พระพุทธ
นิมติ บางพระองคจ์ งกรม บางพระองค์ประทับยืน บางพระองคป์ ระทบั นั่ง บางพระองค์บรรทม บางพระองคท์ รงบนั ดาลใหเ้ กิดเป็นแสงสว่าง บาง
พระองค์ทรงบันดาลให้เกิดเป็นเปลวไฟ บางพระองค์ให้เป็นฝน บางพระองค์ให้เป็นฟ้าแลบ พระพุทธนิมิตทั้งหลายได้วิสัชนาปัญหาต่าง ๆ ซึ่ง
เกิดมขี ึ้นเป็นอย่างมาก …”

72

ภาพการแสดงมหาปาฏิหาริย์ท่ีเมืองสาวัตถีในพระอันดากูแปดปาง มักอยู่ตรงข้ามภาพปฐมเทศนา และแสดงธรรมจักรมุทราเหมือนกัน แตกต่าง
กันท่ีถ้าเป็นตอนปฐมเทศนา ท่ีฐานบัวจะมีรูปธรรมจักรและบางครั้งสลักรูปกวางหมอบ ถ้าเป็นตอนแสดงมหาปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าจะทรงปร ะทับ
เหนือฐานบัว และฐานปัทมบัลลังก์จะมีพญานาค 2 ตน สันนิษฐานว่าเป็นพญานาคนันทะและพญานาคอุปนันทะ ประคองฐานปัทมบัลลังก์
อยู่เสมอ

พญานาคนนั ทะและอปุ นันทะรองรบั ฐานบัวทป่ี ระทับพระพุทธเจ้า
73

ทรงรับรวงผง้ึ จากพญาวานร

เหตุการณ์ในพุทธประวัติตอนหน่ึงว่า ครั้งหน่ึงคณะสงฆ์เกิดความแตกแยกกัน พระพุทธองค์จึงเสด็จเข้าป่าที่เมืองเวสาลี โดยมีลิงฝูงหนึ่งมา
ปรนนิบัติดูแล พญาวานรได้นารวงผ้ึงมาถวายพระองค์ จะสังเกตว่าเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนไม่มีช้างเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เม่ือมาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พบวา่ มกี ารเพม่ิ เร่ืองราวของชา้ งเข้ามา

จากภาพจิตรกรรมฝาผนังในวิหารโลกาเทียกพัน สมัยพุกาม แสดงภาพเหตุการณ์ตอนท่ีพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปอยู่ในป่า หลีกการทะเลาะ
วิวาทกันของหมู่สงฆ์ ได้มีพญาวานรและชา้ งเขา้ มาปรนนิบัติพระองค์ เป็นลักษณะพิเศษท่ีแตกต่างไปจากศิลปะปาละ และศิลปะทิเบตที่ได้รับอิทธิพล
ศิลปะปาละ ซึ่งพระอันดากูก็มักทาภาพช้างคู่กับพญาวานรด้วยเช่นกัน และนิยมทาเป็นภาพพระพุทธเจ้าประทับนั่งห้อยพระบาทเหมือนคนน่ังเก้ าอ้ี
หรือพระลัมพปาทาสนะ พระหัตถ์สองข้างประคองบาตรมีภาพพญาวานรและช้างอยู่เคียงข้าง พญาวานรกาลังปีนต้นไม้แสดงความยินดีที่พระพุทธ
องค์ทรงรบั บิณฑบาต แต่ตกตน้ ไมล้ งมาตายแลว้ ไปจุติเป็นเทวดามาถวายบังคมพระพุทธเจ้า โดยมีภาพศีรษะช้างอยู่เบ้ืองล่าง พระสาวกสองพระองค์
เคยี งข้างพระพทุ ธรูปหมายถงึ การมารับเสดจ็ พระพทุ ธเจา้ ออกจากป่า
ภาพตอนทรงรับรวงผ้งึ จากพญาวานรมกั วางตาแหนง่ ดา้ นลา่ ง ตรงขา้ มกับภาพตอนประสูติและภาพทั้งสองตอนอาจวางสลบั ตาแหน่งกันก็ได้

ภาพขณะทรงรับรวงผึ้งจากพญาวานร

74

ทรมานช้า้ งนาฬาคิิรีี

พระเทวทััต พระญาติิของพระพุุทธเจ้้า เกิิดความต้้องการมีีอำนาจเหนืือคณะสงฆ์์ทั้้�งหลาย จึึงหาทางกำจััดพระพุุทธองค์์ เมื่�่อพระพุุทธองค์์
ประทัับที่่�เมืืองราชคฤห์์ พระเทวทััตได้้ปล่่อยช้้างนาฬาคิิรีีที่�่ดุุร้้ายออกมา เพื่�่อหวัังให้้สัังหารพระพุุทธเจ้้า พระอานนท์์จึึงจะเข้้าขวางเพื่�่อปกป้้อง
พระพุทุ ธองค์์ ๆ ทรงห้า้ ม เมื่อ่� ช้า้ งนาฬาคิริ ีีที่ด�่ ุรุ ้า้ ยมุ่�งตรงเข้า้ มา พระองค์จ์ ึึงแตะพระหัตั ถ์ข์ วาลงที่ห่� ัวั ช้า้ ง ทำให้ช้ ้า้ งนาฬาคิริ ีีหมอบอยู่�เบื้้อ� งหน้า้ พระพุทุ ธองค์์
แต่ใ่ นศิิลปะพุุกาม มักั ทำภาพพระสาวกหลายองค์์ อยู่�ร่วมในเหตุกุ ารณ์์ ดังั ได้ก้ ล่่าวถึึงโดยละเอีียดไว้ใ้ นตอนที่่ว� ่า่ ด้ว้ ยพระอัันดากูปู างปราบช้้างนาฬาคิิรีี
พระแปดปางจะวางภาพตอนทรมานช้้างนาฬาคิริ ีีไว้ท้ างด้า้ นบน ตรงข้า้ มกับั ภาพการเสด็จ็ ลงจากดาวดึึงส์์

ตอนทรมานช้้างนาฬาคิริ ีี
75

เสดจ็ ลงจากดาวดึงส์

พระพุทธเจ้าประทับยืนตรภิ ังค์อยูท่ ่ีก่งึ กลาง พระอนิ ทรม์ ักประทับยนื ทางด้านขวาของพระพุทธเจ้าถือบาตร ในขณะท่ีทางด้านซ้ายมักเป็นพระ
พรหมถือฉัตรกางกั้นเหนือเศียรพระพุทธเจ้า มีเทวดาน้อมส่งท้ังสองข้าง พระสารีบุตรหมอบเฝ้ารับเสด็จพระพุทธเจ้าอยู่เบ้ืองล่าง รายละเ อียดของ
เรื่องราวไดก้ ลา่ วไว้ในตอนพระอันดากูปางเสด็จลงจากดาวดึงส์

ปางเสดจ็ ลงจากดาวดงึ ส์

76

ปรินพิ พาน

สลกั เป็นภาพพระพุทธเจ้าในอิริยาบถบรรทมสีหไสยาสน์อยู่เหนือพระแท่นที่สลักเป็นลายดอกไม้ ๆ เป็นสัญลักษณ์แทนต้นสาละ เหนือพระพุทธ
สรรี ะ คอื มกุฎพนั ธนเจดีย์ สัญลกั ษณข์ องการเข้าสูน่ พิ พาน และรูปเทวดาสององค์ สองข้างพระแท่นสลักภาพต้นไม้ มีภาพพระภิกษุหลายองค์ในท่าทางที่
สื่อถงึ ความโศกเศรา้ รายละเอยี ดของเรือ่ งราวได้กล่าวไวใ้ นตอนพระอันดากูแบบรวมเร่อื ง กอ่ นและหลงั ปรนิ ิพพาน

ปรินพิ พาน
77

งานประดบั ฐานพระอันดากูแปดปาง

งานประดับฐานพระอันดากูแปดปาง นอกจากจะมีภาพช้าง มกร (Makara) วยาล(Vyala) หรือภาพธิดามาร ซ่ึงเป็นภาพประดับฐาน
พระพุทธรูปในศิลปะปาละ แต่พระอันดากูจะไม่ทาภาพพระแม่ธรณี และพบว่าพระอันดากูได้ประดับส่วนฐานด้วยภาพแก้ว 7 ประการ อัน
เป็นสง่ิ วเิ ศษที่เกิดข้นึ มาเพ่ือเปน็ เครอื่ งประดบั พระบารมีพระเจา้ จักรพรรดิ แสดงการยกยอ่ งพระพทุ ธเจา้ ซง่ึ ทรงเปน็ จกั รพรรดิทางธรรม ซ่ึงเป็น
ส่งิ ท่ีเกดิ ขนึ้ ใหม่ในศลิ ปะพุกาม

งานประดับฐานพระอนั ดากทู ่ไี ดร้ บั อิทธพิ ลการประดบั ลวดลายฐานพระพทุ ธรปู ศิลปะปาละ

78

ขุนพลแก้ว จักรแกว้ ขนุ คลงั แกว้ มณแี กว้ นางแก้ว

ช้างแก้ว ม้าแกว้

79 แก้ว 7 ประการ ประดบั ฐานพระอันดากู

พระอันดากูแปดปาง

80

81

82

83

84

85

86


Click to View FlipBook Version