อันดากู ตน้ กาเนิดพระเครอ่ื งขนาดเล็ก
487
อันดากู นอกจากจะแกะสลกั เปน็ พระพทุ ธรปู แนววิจติ รพสิ ดาร บอกเลา่ เรอ่ื งราวพทุ ธประวัติ ทั้งแกะสลกั จากหินกอ้ นเดียวและแกะสลักเป็น
หลายช้ินมาประกอบกันแล้ว อันดากูยังมีพระพุทธรูปขนาดเล็ก ขนาดพอห้อยคอได้ ด้วยขนาดของหินอันดากูมีขนาดที่ไม่ใหญ่มาก เราจึงไม่เห็ น
พุทธศลิ ป์อนั ดากทู ม่ี ขี นาดใหญม่ าก โดยอนั ดากขู นาดที่ใหญ่ทสี่ ดุ ทผ่ี ้เู ขียนเคยเหน็ มีขนาดความสูงประมาณ 14 นวิ้
อันดากูขนาดเล็กถือเป็นต้นกาเนิดพระเครื่องขนาดเล็กที่มีพุทธศิลป์ที่สวยงามที่สุด นอกจากพุทธประวัติจะถูกต้องทุกอย่างแล้ว
การออกแบบของคนโบราณท่แี กะสลกั ยงั บง่ บอกถงึ จนิ ตนาการท่ีสูงส่ง เป็นงานแกะสลักที่ทาด้วยจิตศรัทธาอย่างสูง ต้องมีสมาธิข้ันสูง จึงจะทางาน
แบบนี้ได้
อนั ดากพู ระแม่พิมพต์ ้นแบบพระรอดมหาวนั มาจากอาณาจักรพกุ าม(Pagan) แกะสลักจากหนิ แบลค็ โคโรไลท์ มีอายุกว่า 800 ปี 488
489
490
491
492
493
494
495
496
497
498
499
500
501
502
503
504
505
506
507
508
509
510
511
512
513
514
515
516
517
518
อนั ดากกู บั เรอ่ื งราวของพระแมธ่ รณี
พระธรณี, พระแม่ธรณี หรือ พระศรีวสุนธราเป็นเทพีแห่งพื้นแผ่นดิน ปรากฏในตานานของศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ สันนิษฐานว่าแนวคิดพระธรณีมี
วิวัฒนาการมาจากแนวคิดเทพเจา้ และพระแมแ่ ห่งพ้ืนดนิ พระแม่ปฤธวใี นศาสนาฮนิ ดยู คุ พระเวท และต่อมาได้วิวัฒนาการเป็นแนวคิดพระภูเทวี ในฐานะพระชายา
ของพระวิษณุ พระภูเทวมี พระนามต่าง ๆ ทเี่ รียกอย่างหลากหลาย หนึ่งในนน้ั คอื พระนามพระศรวี สุนธรา หรือพระพสุธา ซึ่งมีการกล่าวถึงพระนามนี้บ่อยครั้งในพุทธ
ประวัติของพระโคตมพุทธเจ้า โดยเฉพาะในตอนท่ีพระพุทธเจ้าทรงชนะมารหรือตอน "พระแม่ธรณีบีบมวยผม" ปรากฏในความเชื่อของศาสนาพุทธในแถบเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้ สาหรับในประเทศไทยมีการบันทึกเหตุการณ์น้ีไว้อย่างชัดเจนในปฐมสมโพธิกภา ฉบับพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิต
ชโิ นรสซึ่งทรงแปลในสมยั รชั กาลท่ี 3
ในคัมภีร์และงานเขียนยุคแรกของศาสนาพุทธ เช่น พระไตรปิฎก, อรรถกถา ไม่มีการระบุถึงบทบาทของพระธรณีในตอนมารวิชัย อย่างไรก็ตามหลักฐาน
เก่าแก่ที่สุดท่ีมีการระบุถึงพระธรณีในตอนมารวิชัยคือลลิตวิสตระในนิกายมหายานแต่งขึ้นราวพุทธศตวรรษท่ี 8 โดยระบุว่าพระธรณีได้เสด็จมาแสดงความยินดี
ร่วมกับเทวดาองคอ์ ่ืน ๆ หลงั พระพทุ ธองคไ์ ดต้ รัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแลว้ ในศลิ ปะอินเดียยุคราชวงศ์คุปตะปรากฏการสร้างพระธรณีในรูปสตรีน่ังอยู่ประกอบฉากการ
ตรสั รู้ของพระพทุ ธเจา้ ในฐานะของเทพเจ้าแหง่ พนื้ ดนิ (ซึง่ อาจหมายถงึ พระภูเทวหี รือเทพเจ้าที่คล้ายคลึงกันองค์อ่ืน ๆ ) ในท่าทางพนมมือหรือถือหม้อกลัศ อาจารย์
เชษฐ์ ตงิ สัญชลไี ด้ให้ความเห็นว่าเป็นหม้อซ่ึงบรรจุน้าทักษิโณทกของพระพุทธเจ้าในชาติต่าง ๆ ก่อนตรัสรู้ คติลักษณะการบีบมวยผมของพระแม่ธรณีนั้นปรากฏพบ
เฉพาะในภูมิภาคไทย ลาว พม่า และเขมรเทา่ น้ัน อยา่ งไรกต็ ามไม่ปรากฏชัดเจนวา่ เริ่มตน้ มีความเชอ่ื นตี้ ั้งแต่เมอ่ื ใด
519
พระแม่ธรณีบีบมวยผม
ลักษณะของพระแม่ธรณีบีบมวยผมเพื่อขับไล่พญามารนั้นเป็นที่
แพร่หลายเฉพาะในแถบไทย ลาว พม่า และเขมร อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏ
หลักฐานแน่ชัดว่าคติการบีบมวยผมของพระแม่ธรณีเริ่มต้นเมื่อใด สันนิษฐาน
ว่าเริ่มมีในพุทธศตวรรษท่ี 17-18 เป็นต้นมา ส่วนในประเทศไทยพบหลักฐาน
ชัดเจนต้ังแต่สมัยอยุธยาเป็นต้นมา ทั้งในลักษณะของงานประติมากรรมและ
จิตรกรรมบนฝาผนังของวัด อีกหลักฐานหน่ึงในโคลงของศรีปราชญ์ก่อนถูก
ประหารท่ีได้กล่าวถึง "ธรณีน่ีน้ี เป็นพยาน..." แสดงให้เห็นถึงความเชื่อเรื่อง
พระธรณีที่ปรากฏในสมัยอยุธยา ในปัจจุบันพระแม่ธรณีบีบมวยผมเป็น
สัญลักษณ์ของหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทย เช่น การประปา
นครหลวง, การประปาส่วนภมู ภิ าค และพรรคประชาธิปตั ย์ เป็นตน้
520
ธรรมะปริศนาจากพระพทุ ธรปู
คงไมม่ ีใครไม่เคยเห็นพระพุทธรูป แต่คงจะมีน้อยคนท่ี
รู้ว่ำ ลักษณะของพระพุทธรูปที่เรำเห็นกันอยู่บ่อยคร้ังน้ัน
แฝงข้อคิดอันประเสริฐสุดในชีวิตเอำไว้ ถึง 5 ประกำร..
1. พระเศยี รแหลม
มีคำถำมวำ่ ทำไมพระพุทธรปู จงึ มีพระเศยี รแหลมในเมื่อ
พระพทุ ธเจำ้ ของเรำก็เป็นมนุษย์ ท่ีเปน็ เชน่ น้ีกเ็ พรำะเขำสร้ำง
พระพทุ ธรปู เพือ่ ให้คิดเปน็ ปริศนำธรรม พระเศยี รแหลมน้ัน
หมำยถึง สตปิ ัญญำท่ีเฉยี บแหลมในกำรดำเนนิ ชีวติ สอนให้เรำ
ใชช้ ีวติ และรู้จกั แก้ปัญหำตำ่ ง ๆ ด้วยสติปญั ญำไม่ใชใ่ ช้แต่
อำรมณ์ ปัญหำตำ่ ง ๆ ท่เี กดิ ขน้ึ ในโลกน้ไี ม่มีอะไรแก้ไขไมไ่ ด้
ค่อยๆคดิ ค่อยๆแก้ ใช้ปญั ญำพจิ ำรณำไตรต่ รองให้รอบคอบ
เสยี กอ่ น แล้วควำมผดิ พลำดจะเกิดข้ึนนอ้ ย หรือแมม้ ันเกิดขนึ้
เรำกจ็ ะเรยี นรู้จำกมันได้อยำ่ งรวดเรว็ ปญั ญำคือที่สดุ แหง่ ธรรม
หำกมปี ญั ญำ ชีวิตจะไม่มีปัญหำ เพรำะทกุ สง่ิ ทผ่ี ำ่ นเขำ้ มำจะ
กลำยเป็นเครื่องมอื ทสี่ ำมำรถนำไปใช้พฒั นำจติ ใจได้เสมอ
521
2. พระกรรณยำน
หูยำนเป็นปริศนำธรรมให้ชำวพุทธเป็นคนหูหนัก คือมีควำมหนักแน่นม่ันคง ไม่เช่ืออะไรง่ำย ๆ แต่หม่ันคิดพิจำรณำไตร่ตรองด้วย
สติปญั ญำอนั แยบคำย แล้วจึงเชื่อในหลักฐำนและข้อพิสูจน์ที่ตัวเองได้นำไปทดสอบแล้ว เรำต้องเช่ือมั่นในหลักเหตุและผล (Cause & Effect)
เชื่อว่ำบคุ คลหวำ่ นพชื เช่นใดยอ่ มไดร้ บั ผลเช่นนั้น เชื่อว่ำสุดทำ้ ยคนๆเดียวท่ีจะสำมำรถทำให้เรำสุขหรือทุกข์ ดีหรือเลวได้คือตัวเรำเอง และชีวิต
เรำจะเส่ือมทรำมหรือเจริญรุ่งเรือง ก็ไม่ได้ข้ึนอยู่กับอำนำจภำยนอกหรือส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ แต่ขึ้นอยู่กับควำมคิด คำพูด และกำรกระทำของเรำเอง
ฉะน้ัน ในกำรใช้ชีวิต ให้มีควำมสุขุมเยือกเย็น มีสติ และมีเหตุผลเข้ำไว้ อย่ำปล่อยใจไปยึดตำมสิ่งท่ีได้ยิน เช่ือตำมคนอื่น หรือตัด สินใจอย่ำง
หุนหันพลันแล่นจนเกินไป ลองพิสูจน์สิ่งต่ำง ๆ ด้วยตัวเองเสียก่อนจะเช่ือ ตำมหลัก “กำลำมสูตร” เพื่อฝึกฝนกำรเป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่น
มัน่ คง ด่ังองค์พระพทุ ธฯ
522
3. พระเนตรมองต่ำ
พระพุทธรูปที่สร้ำงโดยท่ัวไปจะมีพระเนตรมองลงท่ีพระ
วรกำยของพระองค์ ไม่ได้มองดูหน้ำต่ำง หรือมองดูประตูพระอุโบสถ
ว่ำจะมีใครเข้ำมำไหว้บ้ำง น่ีเป็นปริศนำธรรม สอนให้มองตนเองและ
พจิ ำรณำตนเองเสมอ ตักเตือนแก้ไขตนเองก่อนจะไปคอยจับผิดผู้อื่น
ตำมปกตคิ นเรำมักจะมองเห็นแตค่ วำมผิดพลำดของบุคคลอ่ืน โดยลืม
มองขอ้ บกพร่องของตนเอง มวั แตเ่ อำเวลำไปนนิ ทำว่ำร้ำยและจ้องแต่
จะคอยวิจำรณ์หรือเปล่ียนแปลงคนรอบข้ำงอย่ำงเดียว ทำให้สูญเสีย
โอกำสในกำรปรับปรุงพฒั นำตัวเอง ใครเล่ำจะตักเตือนตัวเรำได้ดีกว่ำ
ตัวเรำเอง จงึ มีพุทธพจนต์ รสั ให้เตอื นตนเองวำ่
“อตฺตนำ โจทยตฺตำน” ซ่ึงแปลเป็นกลอนได้ว่ำ... “จงเตือนตนของ
ตนให้พ้นผิดตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือนตนเตือนตนไม่ได้ใครจะ
เตอื น ตนแชเชือนรบี เตอื นตนให้พ้นภัย”
นอกจำกนั้น พระเนตรท่ีมองต่ำคือกำรสอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับ
ปัจจุบัน ไม่ใช่เหม่อมองฟ้ำจนฝันเฟื่องถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดข้ึน หรือ
มัวหลงล่องลอยอยู่ในอดีตที่ผ่ำนพ้นไปแล้วและไม่มีวันหวนกลับมำ
ตำท่ีมองลงต่ำจะช่วยย้ำเตือนใจเรำว่ำ “กลับมำก่อนเถิด... กลับบ้ำน
มำอยู่กับลมหำยใจที่ปลำยจมูก... เพรำะน่ันคือดินแดนแห่งสวรรค์ที่
แทจ้ ริง”
523
4. พระพกั ตรอ์ ันสงบน่ิง 524
ไม่ว่ำใครจะด่ำว่ำพระพุทธรูปอย่ำงไร ท่ำนก็ยังสงบนิ่ง ไม่ว่ำน้ำจะท่วม แผ่นดินจะไหว หรือใครจะเตะ ต่อย นินทำ หรือทำร้ำย
พระพุทธรูปมำกแค่ไหน ท่ำนก็น่ิงสงบรับแรงกระทบต่ำง ๆ เหล่ำนั้นอย่ำงมั่นคง เบิกบำน และไม่หวั่นไหวไปกับปัญหำท้ังเล็กและใหญ่ ให้
ควำมรู้สึกเย็นสบำยต่อผู้พบเห็นอยู่เสมอ ในชีวิตของเรำ ไม่ใช่ว่ำเรำจะต้องยอมคนอยู่เสมอ แต่ถ้ำเรำสำมำรถฝึกรับแรงกระแทกทุกรูปแบบ
ด้วยควำมน่ิงสงบได้ เรำก็จะสำมำรถตอบโต้อย่ำงสร้ำงสรรค์และทรงพลังย่ิงกว่ำเดิม เพรำะคนบ้ำจะโต้ตอบแบบหน้ำมืด และคนโง่จะตอบโต้
ตอนที่ตัวเองกำลังโกรธ ส่งผลให้ตัวเองและคนอื่นตกตำยไปตำมกัน หำกเรำรู้จักนิ่งสงบรับแรงกระแทกต่ำง ๆ ในชีวิตได้เหมือนพระพุทธรูป
ขัน้ ตอนต่อไปของกำรตอบโต้จะเกิดจำกสติ เกิดจำกปัญญำ และเกิดจำกพลังอันยิ่งใหญ่ท่ีมำจำกใจที่สงบนิ่ง ซ่ึงจะก่อให้เกิดกำรเปล่ียนแปลงท่ี
ไมส่ รำ้ งบำดแผลใหก้ ับคนอ่ืนหรือตวั เอง
5. รอยยมิ้ ของผ้ทู ่เี ข้ำใจโลก
สุดทำ้ ย คือปริศนำจำกพระโอษฐ์ทีแ่ ย้มยิ้มอย่เู สมอ ซงึ่ เป็น
สญั ลักษณข์ องผทู้ รี่ กั สรรพสงิ่ รักโลก และเขำ้ ใจควำมจรงิ ของโลก... ควำมจริง
ทว่ี ่ำ... ทุกสิง่ ยอ่ มเกดิ ข้ึน ต้ังอยู่ และดบั ไปเปน็ ธรรมดำ ควำมจริงทว่ี ่ำ... ไมม่ ี
อะไรแนน่ อน ควำมจริงท่ีว่ำ... ไมม่ ีอะไรคงทนถำวร ควำมจรงิ ทวี่ ่ำ... ไมม่ ี
อะไรเปน็ ของเรำอยำ่ งแท้จรงิ ควำมสุขและควำมทุกข์ เป็นของคู่กันเสมอ
ฉะน้นั “ผทู้ เี่ ข้ำใจควำมจริง” จะสำมำรถสงบนงิ่ อยู่ไดใ้ นธรรมชำติของสรรพส่ิง
ไม่วิ่งตำมกระแสโลกจนเหนือ่ ยเกินไป และสำมำรถใชช้ วี ติ อยำ่ งเบิกบำนได้
ท่ำมกลำงพำยุที่โหมกระหนำ่ เพรำะมสี จั ธรรมเป็นที่พกั พิง นอกจำกนน้ั
รอยยิม้ ของพระพทุ ธรปู คือรอยย้ิมของผู้ท่ีถ่อมตวั แต่ในขณะเดยี วกนั ก็เขำ้
ใจควำมยิ่งใหญแ่ ละคุณค่ำของควำมเป็นมนุษย์ รวู้ ่ำแมต้ วั เองจะเปน็ เพยี งเศษ
ผงธลุ ีหนง่ึ ในจักรวำล แต่กเ็ ปน็ เศษผงธลุ ีที่สำมำรถเข้ำใจควำมจรงิ ของจกั รวำล
ได้ จึงทั้งเป็นสิง่ ท่ีพเิ ศษและไม่พิเศษ ในเวลำเดยี วกัน... อย่ำลมื นะครับวำ่ ใน
จิตใจของพวกเรำทุกคน มีควำมเป็นพุทธะ (ผู้รู้ ผู้ต่ืน ผู้เบิกบำน) ซ่อนอยโู่ ดย
ไม่มีข้อยกเวน้ เพรำะหลำยคนอำจไม่ทรำบวำ่ แทจ้ รงิ คำวำ่ “พระพุทธเจำ้ ”
(ผตู้ ่ืนร)ู้ ไมใ่ ช่ “ชอ่ื ” แต่เป็น “คำนำหน้ำชือ่ ” และในอดตี กเ็ คยมีพระพุทธเจ้ำ
มำแลว้ หลำยพระองค์ โดยองคป์ ัจจบุ ันท่เี รำรู้จักกนั ดมี ีพระนำมว่ำ “โคตมะ”
ซง่ึ แปลวำ่ “ผขู้ ับไลค่ วำมมืด (อวชิ ชำ) ดว้ ยแสงสวำ่ งแห่งปญั ญำ” ดงั นัน้ จึง
อำจกล่ำวไดว้ ำ่ ไม่วำ่ ใครก็สำมำรถไปถงึ จุดของควำมเปน็ “พทุ ธะ” ไดท้ ้ังน้นั
หำกคนคนน้ันหมั่นใชช้ วี ติ อย่ำงมีสติและมปี ญั ญำอยู่เสมอ ฉะนน้ั เมอื่ ใดที่เรำ
กม้ ลงกรำบพระพุทธรูป นอกจำกจะระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจำ้ แลว้ ก็
อยำ่ ลืมระลกึ ถึงควำมจริงอีกประกำรหนึ่งด้วยว่ำ... “ในหัวใจของเรำ ก็มคี วำม
เปน็ พทุ ธะซอ่ นอยเู่ ชน่ กัน...”
บทควำมจำก : สงกรำนต์ นุชม่วง
525
พระพทุ ธรปู กับพทุ ธลกั ษณะอันประเสริฐ 5 ประกำร...
1. พระเศียรแหลม
2. พระกรรณยำน
3. พระเนตรมองต่ำ
4. พระพกั ตรอ์ ันสงบนิ่ง
5. รอยยิ้มของผู้ที่เข้ำใจโลก
526
บทสรปุ
ศิลปะท่ีแกะจากแผ่นหินที่ประกอบด้วยปรัชญาทางธรรม ทาให้เห็นถึงสายวิวัฒนาการของศิลปะอันดากูว่ามีการ
ความศรัทธาและช่ือหินอันดากู จนคาว่า อันดากู กลายมาเป็นคา พัฒนามาอย่างต่อเน่ืองติดต่อกันมาอย่างไม่ขาดสายมาจนถึงทุก
เรียกรวมท้ังสามอย่างเป็นหน่ึงความหมายรวมกัน ซ่ึงความ วันนี้ ซง่ึ สงิ่ ทีเ่ กิดขึ้นน้ีต้องขอช่ืนชมแรงศรัทธาของชาวเมียนมาร์ท่ีมี
หมายความเข้าใจของคาว่า อันดากู คงจะเกิดขึ้นมานานและใน บทบาทสาคัญในการต่อชีวิตให้กับศิลปะอันดากูที่พวกเขารัก
สังคมของชาวเมยี นมาร์ ตงั้ แต่สมยั อาณาจักรพุกาม (Pagan) ศิลปะ เคารพ นิยม ศรัทธาเป็นอย่างสูง ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถกล่าวได้ว่า
อันดากูเป็นศิลปะที่ได้รับต้นแบบมาจากศิลปะอินเดียตะวันออก งานศลิ ปะการแกะหินเพ่ือศลิ ปะเกี่ยวกบั พทุ ธประวตั ิที่มีมาแต่ต้ังแต่
โดยเฉพาะศลิ ปะปาละทสี่ ่งอทิ ธพิ ลไปท่ัวทุกแคว้นในอินเดีย รวมไป สมยั ศิลปะคันธราฐท่ีส่งให้กับอินเดียทุกยุคทุกสมัย และจะเป็นการ
ถึงประเทศหรืออาณาจักรอื่น ๆ ท่ีอยู่ใกล้เคียง ด้วยเหตุน้ี ศิลปะ โชคดีก็ได้ท่ีในช่วงสุดท้ายก่อนศิลปะทางพระพุทธศาสนาจะจาง
แบบอันดากู ไม่ใช่จะมีเฉพาะถูกส่งออกจากอินเดียสู่เมียนมาร์ หายไปจากสังคมของชาวอินเดีย ศิลปะชนิดนี้ได้ถูกส่งต่อให้ชาว
เท่านั้น แต่ในประเทศเนปาล ภูฏาน ท้ังยังรวมไปถึงการเขียนภาพ เมียนมาร์สมัยอาณาจักรพุกามได้พอดีและทันท่วงที ทาให้ศิลปะ
พระบทในทเิ บตที่อยู่รว่ มสมยั เดยี วกนั ก็ไดร้ ับศลิ ปะแนวนี้ดว้ ย” อันดากูตามที่ชาวเมียนมาร์เรียกน้ีถูกต่อยอดและสืบทอดมาตลอด
ถงึ ปจั จุบันซงึ่ นับไดว้ า่ มอี ายุมากกวา่ 2,000 ปี และสามารถกล่าวได้
ข้อพิเศษของศิลปะอันดากูในเมียนมาร์จะมีความแตกต่าง ว่าเป็นศิลปะชนิดหน่ึงท่ีมีจานวนน้อยมากที่มีอายุยาวนานมาถึง
จากประเทศอื่น ๆ ตรงท่ีเป็นศิลปะที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง จึงได้รับเอา ขนาดน้ี ท้ังยังมีลมหายใจของศิลปะเองอยู่จนถึงทุกวันน้ีและกาลัง
ปรชั ญาด้านศลิ ปะจากหลากหลายสาขา รวมทัง้ ของศาสนาเชนท่ียัง จะถูกพัฒนาตอ่ ไปอีกในโครงสร้างแห่งยุคโลกาภิวัฒน์ที่ต้องช่วยกัน
อยู่ในกรอบแนวเดียวกันเอามาผสมผสานและถูกนามาใช้จนมีการ จับตามอง
พัฒนารูปแบบออกไปอย่างกว้างขวางจนกลายเป็นศิลปะประจา
ชาติท่ีมีเอกลักษณ์ของตนเองที่นักประวัติศาสตร์ศิลปะต้องยอมรับ ช่วงที่พระเจ้าอโนรธาครองราชย์นั้น (33 ปี) ช่วงเวลานั้น
ในระดับสากล คือ ยคุ ทองของการสรา้ งเจดีย์ มองไปทางไหน มีแต่เจดีย์ เล่ากันว่า
ในสมัยนั้นเคยมีเจดีย์มากกว่า 4,000 องค์ (ปัจจุบันเหลือประมาณ
แต่ส่ิงหน่ึงท่ีต้องนามาอธิบายให้ทุกคนเข้าใจคือ ศิลปะ 2,000 กว่าองค์) กษัตริย์ทุกพระองค์ ล้วนมีความศรัทธาใน
อันดากูไม่ได้สิ้นสุดที่ยุคสมัยอาณาจักรพุกามหรือในช่วงต้น พระพทุ ธศาสนา ประสงค์จะสรา้ งเจดียเ์ พือ่ เสรมิ สิริมงคล
คริสต์ศตวรรษท่ี 11 - 14 อย่างท่ีเคยเข้าใจมาแต่เดิม แต่จาก
การศึกษารปู แบบศลิ ปะและการพสิ จู น์ทางวิทยาศาสตร์
527
เจดยี ์แหง่ แรกของพกุ ามคอื “เจดีย์ชเวซีโกน” สร้างโดยพระ สาหรับแนวคิดใหมค่ งไมใ่ ช่เรือ่ งสาคญั เพราะศิลปะอันดากูมี
เจา้ อโนรธามังช่อ ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรพุกาม ธรรมเนียมการ ความหมายความสาคัญอยู่ในตัวปฏิมากรรมของตนเองอยู่แล้ว
สร้างเจดีย์…. “เจดีย์องค์ใหญ่สุด” จะเป็นเจดีย์ที่กษัตริย์ทรงสร้าง เพราะเป็นศิลปะท่ีไม่มีใครจะหักล้างได้ แต่ส่ิงท่ีพอจะทาได้คือการ
และองค์ทมี่ ขี นาดเล็กถดั มา เปน็ การสร้างโดยเหลา่ ขนุ นาง อามาตย์ สร้างเอกภาพแห่งความเข้าใจในตัวศิลปะแบบอันดากู ให้ทุกคนได้
ลดลงมาตามบรรดาศักด์ิหลักฐานช้ีชัดในคติความเช่ือน้ี คือ จารึกที่ รั บ รู้ พ ร้ อ ม กั บ ก า ร เ ส น อ แ น ะ แ น ว ท า ง ก า ร ใ ช้ ภ า ษ า เ รี ย ก ห า
เจดีย์ชเวกูจี ของพระเจ้าอลองซีตู กษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์ องค์ประกอบท่ีอยู่ในโครงสร้างของศิลปะอันดากูให้เรียบง่ายต่อ
พุกาม เคยตรัสว่า “การสร้างเจดีย์ย่อมได้บุญมาก... ข้าฯ ความเข้าใจ ภาษาสามัญที่ใช้เรียกง่ายอย่างถูกต้องแต่ตรงตาม
ปรารถนาจะสร้างทาง เพียงเพื่อข้ามไปสู่แม่น้าแห่งสังสารวัฏ เป้าหมายของผู้สร้างสิ่งน้ันสาคัญย่ิง และท่ีสาคัญท่ีสุดนอก
เพื่อผคู้ นทงั มวลจะเร่งขา้ มไปกระทั่งบรรลุถึงนิพพาน ขา้ ฯ เองจะ เหนือกว่านั้นคือความยาวของชีวิตศิลปะอันดากูที่คล้ายกับชีวิตที่
ข้ามไป และดงึ ผทู้ ีจ่ ะจมน้าให้ขา้ มไปดว้ ย…” เป็นอมตะ ที่พวกเรานักประวัติศาสตร์ศิลปะชาวต่างชาติต้อง
ช่วยกันจับตามองให้มีการพัฒนาในทิศทางที่ถูกต้องไม่กลายเป็น
หากอ่านหนังสือเล่มน้ีได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ท่ีจะได้พบกับ ศิลปะเพ่ือการพาณิชย์มากเกินไป ซ่ึงแน่นอนท่ีสุดคือนัก
ปรัชญาของการสร้างศิลปะอันดากูที่แสนจะลึกซึ้งและเต็มไปด้วย ประวัติศาสตร์ศิลปะและประชาชนชาวเมียนมาร์ที่เป็นเจ้าของ
คุณค่าของความหมายอย่างที่สามารถกล่าวได้ว่า พวกครูช่างหรือ ศิลปะอนั ดากูท่ีน่าจะอนุรักษ์ส่ิงที่แสนจะมีคุณค่าสิ่งน้ีไว้และควรจะ
ใครก็ตามเหตุใดจึงสามารถคิดปรัชญาท่ีลึกซึ้งเหล่าน้ีข้ึนมาได้ ได้รับการศึกษาค้นคว้าจากสถาบันที่เกี่ยวข้องเพ่ือการพัฒนาและ
ท่ีสาคัญท่ีสุดคือการสามารถรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างท่ีอยู่ในแนว การก้าวต่อไปอย่างมั่นคงและถูกต้องตามลีลาของประเพณีและ
ศิลปะเดียวกันกับศิลปะแขนงนี้ให้กลายเป็นแบบฉบับย่อแล้วบรรจุ ศิลปะวัฒนธรรมของตนเองที่เข้าใจศิลปะอันดากูได้ลึกซึ้งท้ังยัง
อยู่ในแผ่นเหล็กเหล่าน้ีได้ คล้าย ๆ กับจอมปราชญ์นักประดิษฐ์ เขา้ ถึงมากอย่างจรงิ ๆ ไดด้ ีกว่าทุกชนชาติ
อย่าง สตีฟ จอบส์ เจ้าของความคิดของไอโฟนกับไอแพด ท่ีได้
รวบรวมเร่ืองคอมพิวเตอร์ท่ียุ่งยาก ที่กระจัดกระจายและมีขนาด 528
ใหญใ่ หอ้ ยใู่ นส่ิงประดิษฐ์ช้ินเล็ก ๆ ที่มีวิธีการบริหารใช้งานง่ายและ
สะดวกมากข้ึนกว่าเดิมด้วย ที่สาคัญที่สุดคือการสามารถรวบรวม
ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในแนวศิลปะเดียวกันกับศิลปะแขนงน้ีให้
กลายเปน็ แบบฉบบั ยอ่ แลว้ บรรจุอย่ใู นแผ่นเหลก็ เหล่านไ้ี ด้
บรรณานุกุ รม
กรมศิิลปากร กระทรวงวััฒนธรรม. (2552). พระพุุทธรูปู ปางต่่าง ๆ (Vols. 5,000). (ส. บริิสุุทธิ์�, Ed.) กรุุงเทพมหานคร: กรมศิิลปากร
กระทรวงวัฒั นธรรม.
ขุุนเขา สินิ ธุุเสน เขจรบุตุ ร. (25 กรกฎาคม 2560). เข้า้ ถึึงได้้จาก www.facebook.com/KhunkhaoWriter
ธงชััย สิทิ ธิิกรณ์์. (25 กรกฎาคม 2560). เข้้าถึึงได้้จาก http://www.birdkm.com/outside-classroom/budha-story/buddha-
statue
ศรัณั ยูู นกแก้้ว. (11 July 2019). เพื่�่อนเดิินทาง. เข้า้ ถึึงได้้จาก www.tcompanion.com:
https://tcompanion.com/TravellersCompanion/secretcontent/40
สมเกีียรติิ โล่่ห์์เพชรัตั น์.์ (2559). อัันดากูู รััตนชาติิแห่่งพระพุุทธศาสนา. มูลู นิธิ ิสิ ่ง่ เสริิมและอนุรุ ักั ษ์ศ์ ิลิ ปะไทย.
สุภุ าวรรณ. (2553). อานัันทวิหิ าร. (23 ตุลุ าคม 2560), เข้้าถึึงได้้ จาก
http://oknation.nationtv.tv/blog/supawan/2010/07/19/entry-5
อานัันทวิหิ าร. (2557). อานันั ทวิิหาร. (23 ตุลุ าคม 2560), เข้้าถึึงได้จ้ าก
https://www.thaifly.com/index.php?route=news/news&news_id=1260
Claudine Bautze-Picron. (2010). THE BEJEWELLED BUDDHA From India to Burma (1). New Delhi 110 002:
Sanctum Books.
Ebmaster. (30 ธัันวาคม 2021). palanla. เข้า้ ถึึงได้้จาก www.palanla.com:
https://palanla.com/index.php?op=abroadLocation-detail&id=146
Moonfleet. (3 กันั ยายน 2554). Bloggang. เข้้าถึึงได้้จาก www.bloggang.com:
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=moonfleet&month=09-2011&date=24&group=163&gblog=273
529
สนใจสอบถามเรอ่ื งราวพระอนั ดากูเพ่มิ เติม
530