The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมเล่มบทที่ 6 การเขียนเค้าโครงการวิจัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by suphang.pi62, 2021-11-02 18:23:29

รวมเล่มบทที่ 6 การเขียนเค้าโครงการวิจัย

รวมเล่มบทที่ 6 การเขียนเค้าโครงการวิจัย

การเขียน
เค้าโครงการวิจัย

ผู้จัดทำ
1.นางสาวศุภางค์ พิมพ
์นาจ 62115267101
2.นางสาวรสา ช่วยกายตูม 62115267104
3.นายณัฐวุฒิ ศรีสิทธิ์ 62115267108
4.นายดุชกาล จันทรังษี 62115267109

นักศึกษาสาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ ชั้นปีที่ 3
มหาวิทยาลัยราชภัฎสกลนคร

บทท่ี 6
การเขียนเค้าโครงการวิจยั

รองศาสตราจารย์ ดร. ธนานนั ต์ กลุ ไพบตุ ร
คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สกลนคร

สารบัญ หน้า
1
เนื้อหา 1
ความหมายและความสำคญั ของเค้าโครงวิจัย 3
รปู แบบการเขยี นเคา้ โครงวิจยั 5
แนวทางการเขียนเค้าโครงวจิ ัย 19
การเขยี นเค้าโครงวจิ ยั บทท่ี 1 21
การเขียนเค้าโครงวจิ ยั บทท่ี 2 26
การเขยี นเค้าโครงวิจยั บทที่ 3
ตัวอย่างการเขียนเคา้ โครงการวจิ ยั

1

บบบทททททท่ี่ีี่ 626

การเขยี นเค้าโครงวิจัย

ความหมายและความสาคัญของเค้าโครงวจิ ยั

เคา้ โครงวิทยานิพนธ์ เคา้ โครงการคน้ ควา้ อิสระ หรือเคา้ โครงวจิ ยั เป็นเอกสารแสดง
รายละเอียดของการวางแผนการวจิ ยั ท่ีผวู้ ิจยั หรือนกั ศึกษาระดบั บณั ฑิตศึกษาไดจ้ ดั ทาข้ึนเพื่อเป็ น
กรอบและแนวทางการทาวิจยั ต้งั แต่ต้นจนจบ การเขียนเคา้ โครงการวิจยั มีความสาคญั และจาเป็ น
ต่อการทาวจิ ยั ดงั น้ี

1. ทาให้ผวู้ จิ ยั ไดเ้ รียบเรียงจดั ลาดบั เชื่อมโยงและขดั เกลาความคดิ อยา่ งเป็นระเบียบ
ชดั เจนและถกู ตอ้ งตามระเบียบวธิ ีวิจยั ก่อนท่ีจะดาเนินการวจิ ยั จริง

2. ทาให้ผวู้ ิจยั มีแผนปฏิบตั ิการวจิ ยั ท่ีชดั เจนและสามารถควบคุมการวจิ ยั ใหบ้ รรลุ
เป้ าหมายของการวจิ ยั

3. เป็นเอกสารสาหรับผวู้ ิจยั เพื่อเสนอขออนุมตั ิ และหรือขอรับการสนบั สนุนการ
ดาเนินการวิจยั หรือการทาวิทยานิพนธแ์ ละการคน้ ควา้ อสิ ระจากคณะกรรมการที่ปรึกษาหรือผเู้ก่ียวขอ้ ง

4. เป็นเอกสารสาหรับคณะกรรมการหรือผเู้กี่ยวขอ้ งใชต้ รวจสอบความสาคญั ประโยชน์
ที่ได้รับ และความเหมาะสมกบั ระดบั และสาขาวิชาท่ีศึกษา ซ่ึงเป็ นการยืนยนั ว่าผเู้ สนอเคา้ โครง
มีศกั ยภาพ ไดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจยั ที่เก่ยี วขอ้ งมากพอท่ีจะดาเนินการวิจยั ใน
หวั ขอ้ ท่ีเสนอน้นั ให้สาเร็จตามเป้ าหมายได้

5. เป็ นเอกสารสาหรับการสื่อสารสร้างความเขา้ ใจใหผ้ ูส้ นใจทว่ั ไปไดท้ ราบรายละเอียด
ของลกั ษณะงานวิจยั ซ่ึงจะเป็ นขอ้ มูลในการตดั สินใจศึกษางานวิจยั น้นั ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ใน
โอกาสต่อ ๆ ไป

รูปแบบการเขยี นเค้าโครงวจิ ยั

รูปแบบการเขียนเคา้ โครงวิจยั เขียนได้หลายรูปแบบ แต่ท้งั น้ีควรเป็ นไปตามลาดบั
เหตุผลของการวิจยั การนาเสนอรูปแบบการเขียนเคา้ โครงวิจยั มีจุดมุ่งหมายเพ่อื ให้ผวู้ ิจยั เขียน
เคา้ โครงวิจยั ไดถ้ กู ตอ้ งตามข้นั ตอนและเขา้ ใจกระบวนการการทาวิจยั รูปแบบการนาเสนอเคา้ โครงวจิ ยั

2

8

มีความสาคญั อยา่ งยงิ่ ต่อข้นั ตอนการทาวิจยั สาหรบั มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั พระนคร ไดก้ าหนดรูปแบบเคา้
โครงวิจยั ประกอบดว้ ย 3 บทดงั น้ี

บทที่ 1 บทนา
ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหาการวิจยั
คาถามวจิ ยั
วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั
ประโยชนข์ องการวจิ ยั
ขอบเขตของการวจิ ยั
ตวั แปรท่ีใชใ้ นการวิจยั
นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ
กรอบแนวคิดในการวจิ ยั
สมมติฐานการวิจยั (ถา้ มี)
ขอ้ พจิ ารณาดา้ นจรรยาบรรณและจริยธรรมในการวจิ ยั (ถา้ มี)

บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกย่ี วข้อง
แนวคดิ และทฤษฎีท่ีเกย่ี วขอ้ ง
งานวจิ ยั ท่ีเกีย่ วขอ้ ง

บทที่ 3 วิธีดาเนินการวิจัย
แบบของการวจิ ยั
ประชากรและหน่วยวิเคราะห์
การเลอื กกลุ่มตวั อยา่ งและแผนการสุ่มตวั อยา่ ง
เครื่องมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
การวเิ คราะหข์ อ้ มูล

บรรณานกุ รม
ภาคผนวก

1. ตวั อยา่ งเคร่ืองมือวิจยั
2. ระยะเวลาดาเนินการวจิ ยั (Research timeline)
3. แผนการจดั การทรัพยส์ ินทางปัญญา (ถา้ มี)
4. แผนการใชง้ บประมาณในการวิจยั
5. อื่น ๆ (ถา้ มี)

3

9

แนวทางการเขยี นเค้าโครงวิจยั

เคา้ โครงวจิ ยั มีความสาคญั อยา่ งยงิ่ ในการดาเนินการวจิ ยั เนื่องจากเป็นข้นั ตอนแรกของ
งานวจิ ยั ท่ีแสดงถงึ การศึกษาคน้ ควา้ แนวคิด หลกั การทฤษฎีเพ่อื บูรณาการสู่กรอบความคิด ตวั แปร
การวจิ ยั และการออกแบบวิจยั เพื่อให้คณะกรรมการพจิ ารณาวา่ ผูว้ จิ ยั มีความสามารถและแนวทางทา
การวจิ ยั ไดจ้ นประสบผลสาเร็จหรือไม่ และคณะกรรมการจะช่วยให้ขอ้ เสนอแนะเพมิ่ เติมเพ่ือให้
ผวู้ ิจยั มีความชดั เจนและไดเ้ คา้ โครงวิจยั ท่ีมีความสมบูรณ์ ถกู ตอ้ งและมีคุณภาพตามมาตรฐานของ
มหาวทิ ยาลยั

กรณีเป็ นวทิ ยานิพนธห์ รือการคน้ ควา้ อสิ ระของนกั ศึกษา มหาวิทยาลยั จะจดั ให้มี
คณะกรรมการควบคมุ หรือกรรมการท่ีปรึกษาวิทยานิพนธใ์ หค้ าปรึกษาแนะนา อาจารยท์ ่ีปรึกษา
วทิ ยานิพนธแ์ ละการคน้ ควา้ อิสระมีความสาคญั ต่อนกั ศึกษามากในการใหค้ าแนะนาและกากบั ดูแล
คุณภาพการทาวิจยั ให้แก่นกั ศึกษา ดงั น้นั นกั ศึกษาตอ้ งดาเนินการวจิ ยั และพบอาจารยอ์ ย่างต่อเนื่อง
ตามประกาศมหาวิทยาลยั ราชภฏั พระนคร

ต่อไปน้ีเป็ นคาแนะนาการเขียนเคา้ โครงวิจยั สาหรับคณาจารย์ บุคลากร นกั วิจยั
รวมท้งั นกั ศึกษาทว่ั ไป สามารถนาหลกั เกณฑก์ ารเขียนเคา้ โครงวิจยั ไปใช้ไดโ้ ดยอนุโลม

1. หลกั เกณฑ์การกาหนดหัวข้อวิจยั
การกาหนดหวั ขอ้ วจิ ยั ผวู้ ิจยั ตอ้ งมีปัญหาหรือขอ้ สงสยั อยากรู้ และตอ้ งการแสวงหา

คาตอบ โดยมีหลกั เกณฑด์ งั น้ี
1.1 เร่ืองท่ีจะศึกษาควรเป็ นเร่ืองที่ผวู้ ิจยั มีความรู้ความสนใจและมีความเป็ นไป

ไดใ้ นการดาเนินการศึกษา
1.2 ศึกษาและทบทวนวรรณกรรมหรือผลงานวจิ ยั ท่ีเกย่ี วขอ้ งที่อยใู่ นประเดน็ หรือ

ขอบเขตท่ีจะศกึ ษา
1.3 นาหวั ขอ้ หรือเร่ืองที่จะศึกษาไปปรึกษาที่ปรึกษา
1.4 หวั ขอ้ ท่ีจะศกึ ษาเป็นหวั ขอ้ ที่เป็นบริบทในสาขาวิชาท่ีสนใจหรือศึกษาอยู่

2. หลกั เกณฑ์การต้ังช่ือเรื่องวิจัย
ชื่อเร่ืองวจิ ยั ที่ดีมีลกั ษณะ ดงั น้ี
2.1 สอดคลอ้ งและสะทอ้ นประเดน็ ปัญหาที่ผวู้ จิ ยั สนใจ
2.2 ระบุตวั แปรที่สาคญั รวมอยูด่ ว้ ย ตวั แปรท่ีสาคญั คือตวั แปรตามและหากช่ือ

เรื่องสามารถระบุได้ถึงประชากรและพ้ืนที่ในการศึกษา กจ็ ะเป็ นช่ือเรื่องการวิจยั ที่สมบูรณย์ งิ่

4

10

2.3 ส้ันกะทดั รัด ไดใ้ จความและเป็ นภาษาที่เขา้ ใจง่าย ไม่ซ้าซ้อน มีความหมาย
เฉพาะและสะทอ้ นประเด็นปัญหาการวิจยั ไดช้ ดั เจน

3. หลกั เกณฑ์การเรียบเรียงและการนิพนธ์
การเรียบเรียงและการนิพนธ์ มีหลกั เกณฑ์ ดงั น้ี
3.1 หลกั ความรบั ผดิ ชอบในเน้ือหาสาระและสานวนโวหาร งานวิจยั ถือเป็นการ

นิพนธแ์ ละการใชส้ านวนโวหารของผวู้ จิ ยั โดยตรง
3.2 หลกั การบูรณาการและการสังเคราะห์ การนาเสนอขอ้ มูลและผลการทบทวน

เอกสารที่ผูว้ ิจยั รวบรวม ควรเรียบเรียงจากการประมวลความรู้ โดยการบูรณากา รและ
สังเคราะห์ผลงานและแนวคิดทฤษฎีน้ัน ไม่ควรตดั ต่อข้อความจากเอกสารหรือตาราต่าง ๆ ที่
ผวู้ ิจยั คน้ ควา้ มาเรียงเป็นช้นั ๆหรือต่อติดเป็นท่อน ๆ

3.3 หลกั การสรุปผลเน้นสู่ประเด็นการศึกษา ผูว้ ิจยั ต้องระวงั การสรุปประเด็น
ต่างไปจากประเด็นที่ผวู้ ิจยั กาลงั สนใจศึกษาอยู่ และระวงั ไม่ใหห้ ลงทิศทางไปสู่เรื่องที่ไม่เกี่ยวขอ้ งกบั
ประเดน็ ที่ตอ้ งการศึกษา

3.4 หลกั การตอ้ งไม่นาเสนอซ้าซาก การนาเสนอขอ้ มูลหรือประเดน็ ต่าง ๆ ตอ้ ง
กระชบั กะทดั รัด เรียบง่าย ไม่นาเสนอซ้าอีกจนเกินความจาเป็ น

5

11

การเขยี นเค้าโครงวจิ ยั บทที่ 1

ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหาการวจิ ยั

การเขียนหวั ขอ้ น้ีมุ่งตอบคาถามวา่ ทำไมจงึ ศึกษำวิจัยเรื่องนี้ ศึกษำแล้วจะได้อะไร จึงเป็ น
การเขียนที่แสดงถึงความสาคญั ของปัญหาหรือเรื่องท่ีเสนอจะทาวิจยั โดยจะต้องพยายามเขียนให้
ทราบที่มาของปัญหาและเหตุผลความจาเป็ นท่ีจะต้องศึกษาวิจยั ให้ละเอียดชดั เจน ซ่ึงอาจจะตอ้ ง
กล่าวถึงปรากฏการณ์หรือเรื่องราวท่ีผา่ นมาของปัญหาที่จะวิจยั พร้อมระบุขอ้ มูลผลงานวจิ ยั ท่ีมี
ผอู้ นื่ ไดศ้ กึ ษาไวแ้ ลว้ ท่ีอาจมีจุดอ่อนหรือประเดน็ ขอ้ สงสยั ท่ีควรจะตอ้ งศึกษาเพิม่ เติม

รูปแบบการเขยี นอาจเขียนได้ 2 ลกั ษณะคอื การเขยี นเป็นขอ้ ความทางบวก โดยระบุ
เหตุผลว่าปัญหาน้นั มีความสาคญั หรือถา้ ไดท้ าวิจยั เรื่องน้นั แลว้ จะมีประโยชนอ์ ยา่ งไร หรือเขียน
เป็นขอ้ ความทางลบ ถา้ ไม่ไดท้ าวิจยั เรื่องน้ี จะเกดิ ผลเสียหายอะไรบา้ ง

หลักเกณฑ์การเขียนความเป็ นมาและความสาคัญของปญั หาการวิจัย
1. ระบุความสาคญั ของเร่ืองที่จะศึกษาและช้ีให้เห็นปรากฏการณ์หรือที่มาของปัญหา

ให้ชดั เจน ตลอดจนระบุเหตุผลท่ีจะตอ้ งศึกษาวิจยั อยา่ งสมเหตุสมผล
2. ควรนาทฤษฎีและหรือแนวคดิ ของผทู้ ี่เชื่อถือไดเ้ ป็นท่ียอมรบั เก่ยี วกบั เรื่องที่จะ

ศกึ ษามากล่าวเพ่อื เป็นขอ้ มูลสนบั สนุน
3. ช้ีใหเ้ ห็นวา่ คาถามวจิ ยั หรือปัญหาการวจิ ยั (Research problem) หรือปัญหาทจ่ี ะ

ศึกษาน้นั คอื อะไร ระบุปัญหาหรือเรื่องที่จะวจิ ยั วา่ มีความสาคญั อยา่ งไร
4. เขยี นใหต้ รงประเดน็ ใชภ้ าษาที่ถกู ตอ้ ง กะทดั รัด ไดใ้ จความ และสามารถเรียบ

เรียงลาดบั ความคิดอยา่ งต่อเนื่องและชดั เจน
5. มีการอา้ งอิงแหลง่ ขอ้ มูลถูกตอ้ งตามรูปแบบท่ีกาหนด

คาถามวจิ ยั

คาถามวจิ ยั คือ ประเด็นปัญหาเฉพาะท่ีผวู้ จิ ยั ตอ้ งการแสวงหาคาตอบ ประเดน็ ปัญหา
ตอ้ งสอดคลอ้ งกบั หวั ขอ้ วจิ ยั ท่ีกาหนดไว้ และผวู้ จิ ยั ตอ้ งมีความชดั เจนวา่ ในการทาวิจยั เร่ืองน้ี ผวู้ จิ ยั
ตอ้ งการคาตอบเกยี่ วกบั อะไรบา้ ง คาถามวจิ ยั จะถูกนาไปเขียนเป็นวตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั คาถาม

12 6

วิจยั อาจกาหนดเป็นคาถามรวม (ขอ้ ใหญ่) และอาจมีคาถามวจิ ยั (ขอ้ ยอ่ ย ๆ ) กไ็ ด้ หรืออาจจะกาหนด
เป็นคาถามวิจยั ขอ้ ยอ่ ย ๆ ซ่ึงสะดวกกบั ผวู้ ิจยั ท่ีจะนาไปกาหนดเป็นวตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั ต่อไป

ตัวอย่างคาถามวจิ ยั

1. ปัจจยั อะไรที่สมั พนั ธก์ บั ความพึงพอใจของผใู้ ชบ้ ริการทางพเิ ศษเฉลิมมหานคร
2. ลูกค้าของธนาคารออมสิน สานักงานพหลโยธิน มีพฤติกรรมการใช้บริการด้าน
ต่าง ๆ ของธนาคารออมสินอยา่ งไร
3. ปัจจยั เก้ือหนุนในการทางานมีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏบิ ตั ิงานของพนกั งาน
บริษทั วริ ิยะซพั พลายจากดั หรือไม่

วตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั

วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั เป็นทิศทางของการดาเนินการวจิ ยั เพื่อทาให้เกดิ ความชดั เจนว่า
การวิจยั เรื่องน้นั ๆ ตอ้ งการศึกษาอะไรและดา้ นใดบา้ ง มีวตั ถุประสงคห์ ลกั หรือวตั ถุประสงคย์ อ่ ย ๆ
อะไรบา้ ง โดยปกตวิ ตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั เป็นส่วนหน่ึงท่จี ะชว่ ยทาใหช้ ่ือเร่ืองหรือปัญหาการวจิ ยั
มีความชดั เจนมากข้นึ การต้งั วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั ควรจดั เรียงตามลาดบั ความสาคญั โดยขอ้ แรก ๆ
ควรเป็ นวตั ถุประสงคท์ ่ีตรงหรือสอดคลอ้ งกบั ชื่อเรื่องหรือหวั ขอ้ วิจยั ส่วนขอ้ ต่อ ๆ ไปจึงเป็ น
วตั ถุประสงคท์ ี่ตอ้ งการศึกษารองลงมา

หลกั เกณฑ์การเขียนวตั ถุประสงค์ของการวิจยั
1. เขยี นให้สอดคลอ้ งหรืออยใู่ นขอบข่ายของประเดน็ ปัญหาการวจิ ยั
2. เขียนเป็นประโยคบอกเลา่ ใหช้ ดั เจน และใชภ้ าษาท่ีเขา้ ใจงา่ ย
3. เขียนใหค้ รอบคลุมเร่ืองหรือประเด็นปัญหาท่ีตอ้ งการศกึ ษา และช้ีเฉพาะเจาะจง

ว่าผวู้ จิ ยั ตอ้ งการจะทาอะไร ตอ้ งการคน้ หาคาตอบอะไร
4. มีความเป็นไปได้ มีขอบเขตที่พอเหมาะและสามารถหาขอ้ มูลเพอ่ื ตอบคาถาม

หรือทดสอบได้
5. เป็ นแนวทางในการต้งั สมมติฐานการวิจยั การพิจารณาเลือกกลุ่มตวั อย่างและ

การเลอื กใชส้ ถติ ิเพ่อื การวเิ คราะห์ขอ้ มูลได้

13 7

ตัวอย่าง

1. เพ่ือศกึ ษาทศั นคติของผบู้ ริโภค ในเขตกรุงเทพมหานครท่ีมีต่อการใชบ้ ริการศนู ยฝ์ ึ กสอน
กายบริหารแบบโยคะ 5 ดา้ น ดงั ต่อไปน้ีคือ

1.1 ดา้ นการใชบ้ ริการทว่ั ไป
1.2 ดา้ นบุคลากรผใู้ หบ้ ริการ
1.3 ดา้ นสถานที่ให้บริการ
1.4 ดา้ นราคาค่าบริการ
1.5 ดา้ นการประชาสมั พนั ธ์
2. เพื่อเปรียบเทียบทศั นคติของผบู้ ริโภคในเขตกรุงเทพมหานครที่เขา้ มาใชบ้ ริการศูนย์
ฝึกสอนกายบริหารแบบโยคะ จาแนกตามตวั แปร เพศ อายุ สถานภาพ อาชีพ ระดบั การศกึ ษา
รายได้ ส่วนสูง และน้าหนกั ตวั ปัจจุบนั

ท่ีมา : ชูศรี วงศร์ ัตนะ. (2549 : 24)

ประโยชน์ของการวจิ ยั

การเขยี นประโยชนข์ องการวจิ ยั เป็นการสื่อสารให้ทราบว่า เม่ือไดศ้ ึกษาเสร็จเรียบร้อย
แลว้ สามารถนาผลการวิจยั ไปใชป้ ระโยชนอ์ ะไรได้บา้ ง ประเด็นน้ีอาจนบั ได้ว่าเป็ นประเด็นที่
สาคญั มากประเดน็ หน่ึงของเคา้ โครงวจิ ยั เพราะเป็นประเดน็ ท่ีใชป้ ระเมินวา่ งานวจิ ยั เร่ืองน้ีจะมีผล
อะไรที่นามาใชป้ ระโยชน์ได้ และหรือมีประโยชนม์ ากน้อยเพียงใด ประโยชนท์ ี่ไดร้ ับจากการ
วิจยั ท่ีระบุไวจ้ ะเป็ นส่วนบ่งช้ีถึงความสาคญั และความจาเป็นที่ตอ้ งทาการวิจยั ปัญหาน้นั ๆ การวจิ ยั
ท่ีให้ประโยชนใ์ นการนาไปใชไ้ ดม้ าก ถือว่าเป็ นการวิจยั ที่สาคญั และควรดาเนินการกอ่ น การกล่าวถึง
ความสาคญั ของการวิจยั มกั จะอยู่ในรูปของการคาคคะเนว่าถา้ การวิจยั น้นั ได้ผลตรงตาม
วตั ถปุ ระสงคแ์ ลว้ จะไดค้ วามรู้อะไร และหรือใครหรือส่วนงานใดจะสามารถนาไปใช้ในลกั ษณะใดไดบ้ า้ ง

ประโยชนห์ รือความสาคญั ของการวจิ ยั จาแนกเป็น 2 ประเภทคอื
1. ประโยชนท์ างวิชาการ หมายถึงองคค์ วามรู้ที่ช่วยเพ่ิมพูนความรู้ในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง
2. ประโยชนท์ างนโยบายหรือการนาไปใชแ้ กป้ ัญหา หมายถึงความรู้หรือขอ้ คน้ พบ

ที่ไดส้ ามารถนาไปสู่การแกป้ ัญหา หรือการกาหนดนโยบายของหน่วยงานหรือองคก์ ร
หลักเกณฑ์การเขียนประโยชน์ของการวิจัย
1. เขยี นในแง่ความรู้ท่ีจะไดร้ บั จากการวิจยั วา่ จะให้ขอ้ เทจ็ จริง หรือช่วยเพ่มิ พนู

14 8

ความรู้เรื่องใดไดบ้ า้ ง
2. เขยี นในแง่ของการนาผลการวจิ ยั ไปประยกุ ตใ์ ช้ โดยการกล่าวถึงผลที่ไดจ้ ากการ

วิจยั น้นั ว่าจะเป็ นประโยชนต์ ่อใคร เป็ นประโยชนอ์ ยา่ งไร ใครหรือส่วนงานใดจะนาขอ้ ค้นพบไป
ใชป้ ระโยชน์ ในลกั ษณะใดไดบ้ า้ ง

3. ขอ้ คน้ พบ ตามขอ้ 1. และขอ้ 2. ตอ้ งสอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั
กล่าวคือ ผเู้ ขียนจะต้องพิจารณาวตั ถุประสงคข์ องการวิจยั แต่ละขอ้ วา่ ก่อให้เกิดความรู้อะไร แลว้
จึงพิจารณาต่อไปว่า ความรู้น้นั เป็ นประโยชนต์ ่อใครและสามารถนาไปใชใ้ นเรื่องใดได้โดยไม่เขียน
จนเกินความเป็ นจริง

ตัวอย่าง

ประโยชน์ของการวจิ ยั
การศึกษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบรรยากาศองคก์ ารกบั การมีส่วนร่วมในการประหยดั พลงั งาน

ของพนกั งานธนาคารนครหลวงไทย อาคาสวนมะลิ คร้ังน้ีมีประโยชนด์ งั น้ี
1. นาขอ้ มูลความคิดเห็นต่อบรรยากาศองคก์ ารของพนกั งานธนาคารนครหลวงไทย อาคาร

สวนมะลิ ไปพฒั นาบรรยากาศองคก์ ารใหด้ ีข้ึน
2. นาขอ้ มูลการมีส่วนร่วมของพนกั งานธนาคารนครหลวงไทย อาคารสวนมะลิ ไป

ปรับปรุงกระบวนการให้พนกั งานมีส่วนร่วมมากข้ึน
3. เป็นแนวทางในการวางแผนเก่ียวกบั บรรยากาศองคก์ ารให้สอดคลอ้ งกบั การมีส่วนร่วม

ของพนกั งาน เพือ่ ใหก้ ารดาเนินการในโครงการต่าง ๆ ขององคก์ ารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ท่ีมา : วชั ระ ภิรมยไ์ กรภกั ด์ิ. (2551 : 3)

ขอบเขตของการวจิ ยั

เป็นการกาหนดกรอบของการดาเนินการวิจยั โดยกาหนดขอบเขตของการวิจยั ว่าจะ
ศกึ ษาประเด็นอะไร กวา้ งขวางเพยี งใด

หลกั เกณฑ์การเขียนขอบเขตของการวิจยั
การเขยี นขอบเขตของการวิจยั ตอ้ งระบุสิ่งต่าง ๆ ดงั ต่อไปน้ี

1. ขอบเขตของประชากรท่ีจะใชใ้ นการศึกษาวิจยั ใหช้ ดั เจนว่าประชากรคืออะไร มี
จานวนเท่าไร ถา้ ระบุได้

15 9

2. ขอบเขตของเน้ือหาว่าจะศึกษาเรื่องอะไร กวา้ งขวางหรือลกึ ซ้ึงมากนอ้ ยเพยี งใด
3. ขอบเขตของพ้ืนที่หรือสถานที่ในการศึกษา ซ่ึงจะสะทอ้ นถึงแหลง่ เกบ็ ขอ้ มูล
หรือประเด็นสาคญั ของปัญหาการวิจยั อาจลงลึกถึงลกั ษณะสาคญั ของตวั แปรเบื้องต้นได้แต่
ไม่จาเป็นตอ้ งจาแนกรายละเอียด
4. ช่วงระยะเวลาในการดาเนินการศึกษาวจิ ยั
5. ขอบเขตที่จาเป็นอ่ืน ๆ หรือขอ้ จากดั ต่าง ๆ (ถา้ มี)
ตัวอย่าง

ขอบเขตของการวิจยั
การศึกษาเรื่องความตอ้ งการไดร้ ับสวสั ดิการของผสู้ ูงอายใุ นตาบลเสาธงหิน อาเภอบางใหญ่

จงั หวดั นนทบุรี ผวู้ ิจยั ไดก้ าหนดขอบเขตของการวิจยั ดงั ต่อไปน้ี
1. ขอบเขตประชากร
การวิจยั คร้ังน้ีเป็นการศึกษาความตอ้ งการการไดร้ บั สวสั ดิการของผสู้ ูงอายทุ ี่มีอายตุ ้งั แต่

60 ปี ข้นึ ไป ท้งั เพศชายและหญิงท่ีอาศยั และมีทะเบียนบา้ นอยใู่ นเขตตาบลเสาธงหิน อาเภอบางใหญ่
จงั หวดั นนทบุรี จานวน 1,810 คน

2. ขอบเขตเน้ือหา
การวจิ ยั คร้ังน้ี เป็นการศึกษาความตอ้ งการการไดร้ ับสวสั ดิการของผูส้ ูงอายุ ในดา้ นต่าง ๆ

ดงั น้ี
2.1 ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุข
2.2 ดา้ นการศกึ ษา และขอ้ มูลข่าวสาร
2.3 ดา้ นอาชีพและรายได้
2.4 ดา้ นสิ่งอานวยความสะดวก และความปลอดภยั
2.5 ดา้ นที่อยอู่ าศยั อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และสาธารณูปโภค
2.6 ดา้ นกจิ กรรมทางสงั คม และศาสนา และ
2.7 ดา้ นการสงเคราะห์เบ้ียยงั ชีพและการจดั การศพตามประเพณี

3. ขอบเขตพ้นื ท่ี
พ้นื ที่ในการดาเนินการวจิ ยั คร้งั น้ีคอื ตาบลเสาธงหิน อาเภอบางใหญ่ จงั หวดั นนทบุรี

4. ขอบเขตระยะเวลา
ระยะเวลาท่ีใชใ้ นการวิจยั ต้งั แต่เดือนมีนาคม 2551 ถงึ เดือนตุลาคม 2551

ท่ีมา : ชาญวทิ ย์ บ่วงราบ. (2551 : 3-4)

10

16

ตวั แปรทใี่ ช้ในการวจิ ยั

ตวั แปร (variable) หมายถงึ คาหรือ ขอ้ ความท่ีแสดงขอ้ มูลที่แปรเปลย่ี นได้ หรือ
แสดงขอ้ มูลท่ีมีค่าไดม้ ากกว่า 1 คา่ เช่น เพศ เป็นตวั แปร เพราะมี 2 เพศ คือ เพศหญิงและเพศชาย
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เป็นตวั แปร เพราะนกั เรียนแต่ละคนมีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนต่างกนั
หรือนกั เรียนคนเดียวอาจจะมีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนเปล่ยี นแปลงไดเ้ มื่อไดร้ บั การพฒั นา

ในการวจิ ยั ตวั แปร คอื ส่ิงที่ผวู้ จิ ยั มุ่งศกึ ษา ตวั แปรมีหลายประเภท โดยทว่ั ไปตวั แปร
ท่ีใชใ้ นการวจิ ยั แบ่งเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่

1. ตัวแปรอิสระ หรือตัวแปรต้น (Independent variable) เป็นตวั แปรตน้ เหตุ ทจ่ี ะทา
ให้เกิดการเปล่ียนแปลงหรือการผนั แปรของตวั แปรอกี ตวั หน่ึงท่ีเรียกวา่ ตวั แปรตาม

2. ตัวแปรตำม (Dependent variable) เป็ นตวั แปรที่เป็นผลจากการกระทาของตวั แปรอสิ ระ

หลักการเขียนตัวแปร
1. ถา้ สามารถระบุประเภทของตวั แปรได้ ใหร้ ะบุไวอ้ ยา่ งชดั เจตวา่ ตวั แปรใดเป็นตวั แปร
อสิ ระ ตวั แปรใดเป็นตวั แปรตาม แต่ถา้ ไม่สามารถระบุประเภทของตวั แปรได้ ใหใ้ ชค้ าว่า ตวั แปร
ท่ีศึกษา ตวั อยา่ ง ชื่อเร่ือง การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพฒั นาแหล่งน้าของชุมชน…..
วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจยั เพื่อศกึ ษาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพฒั นาแหล่งน้า
ของชุมชน
ตัวแปรที่ศึกษา คอื การมีส่วนร่วมของประชาชน มี 4 ดา้ น ไดแ้ ก่

1. การมีส่วนร่วมในการศกึ ษาและให้ขอ้ มูล
2. การมีส่วนร่วมในการวางแผน
3. การมีส่วนร่วมในการปฏิบตั ิหรือดาเนินงาน
4. การมีส่วนร่วมในการติดตามและประเมินผล
จากตวั อย่างถา้ กาหนดวตั ถุประสงคเ์ พ่ิมเติมว่า เพ่ือเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของ
ประชาชน จาแนกตามเพศ การศึกษา และอาชีพ การเขียนตวั แปรตอ้ งระบุประเภทของตวั แปร เช่น
ตัวแปรอิสระ ไดแ้ ก่ เพศ การศกึ ษา และอาชีพ
ตัวแปรตาม คือ การมีส่วนร่วมของประชาชน มี 4 ดา้ น ไดแ้ ก่
1. การมีส่วนร่วมในการศึกษาและใหข้ อ้ มูล
2. การมีส่วนร่วมในการวางแผน
3. การมีส่วนร่วมในการปฏิบตั ิหรือดาเนินงาน
4. การมีส่วนร่วมในการติดตามและประเมินผล

11

17

2. ตวั แปรท่ีเลือกมาศกึ ษาตอ้ งมีเหตุผล หรือขอ้ มูลสนบั สนุนเพยี งพอ เช่น ตวั แปรอสิ ระ
เพศ การศึกษา และอาชีพ จากตวั อยา่ งขอ้ 1 ผวู้ จิ ยั ตอ้ งมีเหตุผล หรือขอ้ มูลสนบั สนุนเพยี งพอว่า
ทาไมถงึ เช่ือวา่ ประชาชนท่ีมีเพศ การศกึ ษา และอาชีพ ตา่ งกนั มีความร่วมมือต่างกนั เหตุผล
หรือขอ้ มูลสนบั สนุนตอ้ งมาจากการศึกษามาแลว้ อยา่ งละเอียด

ตัวอย่าง

ตัวแปรท่ีใช้ในการวจิ ัย
การศกึ ษาปัจจยั ท่ีส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบตั ิงานของขา้ ราชการรมควบคมุ

การปฏิบตั ิทางอากาศ กองทพั อากาศ มีตวั แปร ดงั น้ี
1. ตวั แปรอิสระ (Independent Variables) ไดแ้ ก่ ปัจจยั ท่ีเกยี่ วขอ้ งกบั ประสิทธิภาพ

ในการปฏบิ ตั ิงานไดแ้ ก่
1.1 ความรู้ ความเขา้ ใจเกีย่ วกบั การปฏิบตั ิงาน
1.2 ความพงึ พอใจในการปฏบิ ตั ิงาน
1.3 ขวญั ในการปฏิบตั ิงาน
1.4 ความกา้ วหนา้ ในการปฏิบตั ิงาน
1.5 ความมนั่ คงและความปลอดภยั ในการปฏบิ ตั ิงาน
1.6 ความสมั พนั ธก์ บั เพ่อื นร่วมงาน
1.7 การบริหารงานของผบู้ งั คบั บญั ชา
1.8 นโยบายและกฏ ระเบยี บของหน่วยงาน
1.9 สภาพแวดลอ้ มในการปฏบิ ตั ิงาน

2. ตวั แปรตาม (Dependent Variables) ไดแ้ ก่ ประสิทธภิ าพในการปฏบิ ตั ิงานของ
ขา้ ราชการกรมควบคมุ การปฏิบตั ิทางอากาศ มี 3 ดา้ น ไดแ้ ก่

2.1 ดา้ นความรบั ผดิ ชอบ
2.2 ดา้ นความสาเร็จ
2.3 ดา้ นการยอมรบั นบั ถือ

ที่มา : ประชิด ป้ องเคน. (2552 : 4)

12

18

นิยามศัพท์เฉพาะ

นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ เป็นการเขียนอธิบายความหมายของคา กลุ่มคา ขอ้ ความ หรือ
ตวั แปรที่ศึกษาเพอ่ื ส่ือความหมายให้เขา้ ใจตรงกนั ระหว่างผวู้ จิ ยั กบั ผอู้ า่ น การนิยามศพั ทเ์ ฉพาะถือ
เป็ นส่วนหน่ึงในการนิยามหรือการช้ีเฉพาะเจาะจงปัญหาการวิจยั

การนยิ ามศัพท์เฉพาะ มี 2 แบบ คอื
1. นิยามศพั ทต์ ามทฤษฎี (Constitutive definition) หรือนิยามศพั ทท์ วั่ ไป (General
definition) เป็ นการอาศยั ความคดิ เดิมที่เป็นท่ียอมรับกนั ทวั่ ไปหรือใชค้ วามตามทฤษฎี ตามผเู้ ช่ียวชาญ
มาให้ความหมายที่เป็นการบอกคุณลกั ษณะเฉพาะท่ีสาคญั ของตวั แปร คาศพั ท์ หรือขอ้ ความเฉพาะ
น้นั ๆ ทานองเดียวกบั การใหน้ ิยามตามพจนานุกรม
2. นิยามศพั ทป์ ฏิบตั ิการ (Operational definition) เป็นการให้ความหมายในเชิงรูปธรรม
หรืออธิบายลกั ษณะกิจกรรมท่ีสามารถวดั ได้ สังเกตได้ของตวั แปรน้นั การใหน้ ิยามระดบั น้ีถือว่า
จาเป็นมากสาหรับศพั ทเ์ ฉพาะของตวั แปรที่เป็นนามธรรม ผเู้ สนอเคา้ โครงอาจนานิยามทวั่ ไปมา
อธิบายความหมายอยา่ งละเอียดอกี คร้งั หน่ึง โดยกาหนดสถานการณ์ เงือ่ นไขหรือสิ่งที่เป็นตน้ เหตุ
ทาให้เกิดคุณลกั ษณะน้นั พร้อมท้งั ระบุพฤติกรรมท่ีสามารถสงั เกตและวดั ได้

หลักเกณฑ์การเขียนนยิ ามศัพท์เฉพาะ
1. ตวั แปรที่เป็นนามธรรมจะตอ้ งให้นิยามท้งั ระดบั นิยามศพั ทท์ ว่ั ไป และนิยามศพั ท์

ปฏบิ ตั ิการ
2. กรณีที่ใชน้ ิยามของผอู้ ืน่ ใหเ้ ขียนอา้ งอิงไวด้ ว้ ย
3. ให้นิยามศพั ท์ คาหรือขอ้ ความท่ีตอ้ งการใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจตรงกบั ผวู้ ิจยั
4. การเขียนนิยามศพั ทเ์ ฉพาะไม่ตอ้ งมีตวั เลขกากบั คา หรือขอ้ ความท่ีนิยามศพั ท์เฉพาะ

ตัวอย่าง

เจตคติต่อวชิ าคอมพิวเตอร์ หมายถึง ความรู้สึกหรือความคิดเห็นท่ีมีต่อวิชาคอมพิวเตอร์
เกี่ยวกบั คณุ ประโยชน์ ความสาคญั ของเน้ือหาและกิจกรรม โดยวดั ไดจ้ ากแบบวดั เจตคติต่อวิชา
คอมพวิ เตอร์ท่ีผวู้ ิจยั สร้างข้นึ ซ่ึงผเู้ รียนอาจมีเจตคติต่อดา้ นต่าง ๆ ในทางบวกหรือทางลบ อยา่ งใด
อยา่ งหน่ึง ดงั น้ี เจตคติดา้ นคุณประโยชน์ เจตคติดา้ นเน้ือหา เจตคติดา้ นกิจกรรม

ท่ีมา : ชูศรี วงศร์ ัตนะ. 2549 : 39

13

19

กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั

กรอบแนวคิดในการวิจยั หมายถึง การระบุความสัมพนั ธร์ ะหว่างตวั แปรชุดต่าง ๆ
เป็ นอย่างไร กรอบแนวคิดในการวิจัยจึงแตกต่างจากขอบเขตของการวิจัย ผวู้ ิจยั จะพบเห็นการ
วางกรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั ไวห้ ลายท่ีด้วยกนั วทิ ยานิพนธ์บางเลม่ นาเสนอกรอบแนวคดิ ในบทท่ี 1
แต่การนาเสนอที่มีเหตุผลควรนาเสนอในบทที่ 2 เพราะกรอบแนวคิดในการวิจยั ไม่ได้เกดิ ข้ึนจาก
สูญญากาศหรือโดยอตั โนมตั ิ แต่เกิดจากการศึกษาแนวคดิ ทฤษฎีต่าง ๆ รวมท้งั งานวิจยั ท่ีมีมาแลว้
หรือท่ีใกลเ้ คียงท้งั ในสาขาวิชาที่เก่ียวขอ้ งหรือสาขาวิชาอ่ืน ๆ กรอบแนวคิดในการวิจยั ท่ีสมบูรณ์
ตอ้ งผา่ นกระบวนการทาความชดั เจนในประเด็นคาถามของการวจิ ยั และการทบทวนแนวคดิ ทฤษฎีและ
ผลงานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ งมาแลว้ อยา่ งไรกต็ าม เพ่ืออานวยความสะดวกในการศกึ ษากรอบแนวคิดใน
การวิจยั จึงกาหนดให้ผวู้ จิ ยั นาเสนอกรอบแนวคิดในการวิจยั ดงั กลา่ วไวใ้ นบทท่ี 2 ซ่ึงการนาเสนอ
กรอบแนวคิดในการวจิ ยั สามารถนาเสนอได้ 4 รูปแบบ ดงั ต่อไปน้ี

1. การนาเสนอเชิงบรรยาย เป็นการพรรณนาดว้ ยประโยคขอ้ ความต่อเน่ืองเพอ่ื แสดง
ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งตวั แปร 2 ชุดคอื ตวั แปรอิสระหรือตวั แปรตน้ กบั ตวั แปรตามหรือตวั แปรผล
แต่ในการวจิ ยั บางประเภท เช่น การวจิ ยั เชิงสารวจไม่มีการกาหนด ว่าตวั แปรใดเป็นตวั แปรอิสระ
และตวั แปรใดเป็นตวั แปรตาม การบรรยายจึงเป็นการอธิบายความสมั พนั ธ์ของตวั แปรท่ีศกึ ษาชุดน้นั

2. การนาเสนอเชิงภาพ เป็นการนาเสนอดว้ ยแผนภาพจากการกลน่ั กรองความเขา้ ใจของ
ผวู้ จิ ยั เก่ียวกบั ความสมั พนั ธ์ของตวั แปรท่ีใชใ้ นการศึกษาของผวู้ จิ ยั ไดอ้ ยา่ งชดั เจน ซ่ึงผอู้ ื่นที่อ่าน
เรื่องน้ีเพียงแต่เห็นแผนภาพแลว้ เขา้ ใจ ผวู้ ิจยั ควรนาเสนอเฉพาะตวั แปรหลกั ไม่จาเป็นตอ้ งมีรายละเอยี ด
ของตวั แปรในแผนภาพ

3. การนาเสนอแบบจาลองคณิตศาสตร์ เป็นการนาเสนอด้วยสมการทางคณิตศาสตร์
เพื่อให้เห็นความสัมพนั ธ์ระหว่างตวั แปร 2 ชุดไดช้ ดั เจนและช่วยให้สามารถเลอื กใชเ้ ทคนิคการวิเคราะห์
ขอ้ มูลไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

4. การนาเสนอแบบผสม เป็ นการนาเสนอผสมกนั ท้งั 3 แบบหรือ ผสมกนั 2 แบบ
ท่ีกลา่ วมาขา้ งตน้

งานวิจัยบางประเภทไม่จาเป็ นต้องนาเสนอกรอบแนวคิดในการวิจัยท่ีแสดง
ความสมั พนั ธ์ระหว่างตวั แปรอิสระและตวั แปรตาม งานวิจัยประเภทน้ีต้องการจดั กลุ่มหรือจดั
โครงสร้างของตวั แปร เช่นงานวิจยั ท่ีใช้เทคนิคการวเิ คราะหป์ ัจจยั (Factors analysis) หรืองานวจิ ยั
เชิงคุณภาพ เป็นตน้

20 14

การนาเสนอกรอบแนวคิดในการวิจยั ตอ้ งยึดหลกั ว่า “นาเสนอแต่นอ้ ย เรียบง่ายและ
ไม่รกรุงรัง” ดงั น้นั ผูว้ ิจยั ไม่จาเป็ นต้องบอกรายละเอียดของตวั แปรท่ีใช้ในการศึกษาท้งั หมด
เพราะจะตอ้ งนาเสนอในหัวขอ้ ต่อไปอยแู่ ลว้ ดงั ตวั อยา่ ง

การวจิ ยั เรื่อง คณุ ภาพชีวิตการทางานของพนกั งานขบั รถโดยสารประจาทางองคก์ ารขนส่งมวลชน

กรุงเทพ

กรอบแนวคดิ ของการวจิ ยั

องค์ประกอบของคุณภาพชีวิตการทางานของพนักงานขบั รถโดยสารประจาทาง

องคก์ ารขนส่งมวลชนกรุงเทพ ตามแนวคิดของวอลตนั (Wolton. 1973 : 12 – 16) มี 8 ดา้ น ส่วน

ปัจจยั ที่เกย่ี วขอ้ งกบั คุณภาพชีวติ การทางาน จากการศกึ ษาเอกสารและงานวิจยั ที่เก่ียวขอ้ ง พบว่า มี

2 ปัจจยั คือ ปัจจยั บุคคล ไดแ้ ก่ อายุ ระดบั การศึกษา สถานภาพสมรส ตาแหน่ง และอายกุ าร

ทางาน และปัจจยั การปฏิบตั ิงาน ไดแ้ ก่ ลกั ษณะงาน การปกครองบงั คบั ยญั ชา และสัมพนั ธภาพ

ในการทางาน สรุปดงั ภาพ

ตัวแปรอสิ ระ ตัวแปรตาม

ปัจจัยทีเ่ ก่ยี วข้องกบั คุณภาพชีวิตการทางานของพนักงาน
คณุ ภาพชีวิตการทางาน ขบั รถโดยสารประจาทาง ขององค์การ

มี 2 ปัจจยั คือ ขนส่งมวลชน มี 8 ดา้ น ไดแ้ ก่

1. ปัจจยั ส่วนบคุ คล ไดแ้ ก่ 1. การไดร้ ับค่าตอบแทนท่ีเพยี งพอและ
1.1 อายุ ยุตธิ รรม
1.2 ระดบั การศกึ ษา
1.3 สถานภาพสมรส 2. สภาพการทางานท่คี านึงถงึ ความ
1.4 ตาแหน่ง ปลอดภยั ถกู สุขลกั ษณะและสุขภาพของ
1.5 อายกุ ารทางาน พนกั งาน

2. ปัจจยั การปฏิบตั งิ าน ไดแ้ ก่ 3. ความกา้ วหนา้ และความมน่ั คงในงาน
2.1 ลกั ษณะงาน 4. โอกาสพฒั นาขีดความสามารถของตนเอง
2.2 การปกครองบงั คบั บญั ชา 5. การปฏิบตั ิงานร่วมกนั และความสมั พนั ธ์
2.3 สัมพนั ธภาพในการทางาน
กบั ผอู้ นื่ ภายในองคก์ าร
6. สิทธิส่วนบคุ คล
7. การดาเนินชวี ติ ที่สมดลุ ระหวา่ งชีวติ การ

ทางานกบั ชวี ติ ส่วนตวั
8. ลกั ษณะงานที่มีคณุ คา่ ต่อสงั คม

ท่ีมา : วริ ชั ณถั ฤทธ์ิ. (2550 : 61 – 62)

21 15

ตัวอย่างที่ 1 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั เร่ือง สภาพ ปญั หาและความต้องการในการพฒั นาระบบ
เทคโนโลยสี ารสนเทศเพอื่ การศึกษาของผู้บริหารและอาจารย์ในสถานศึกษา สังกดั
กรมอาชีวศึกษา เขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล

ตัวแปรอสิ ระ ตัวแปรตาม

1. ตาแหน่งหนา้ ท่ีการปฏิบตั ิ 1. สภาพการพฒั นาระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ
งานของบคุ ลากร คือ 1.1 ดา้ นฮาร์ดแวร์
1.1 ผบู้ ริหาร 1.2 ดา้ นซอฟทแ์ วร์
1.2 อาจารย์ 1.3 ดา้ นบคุ ลากร

2. กองสงั กดั ของบคุ ลากร คือ 2. ปัญหาการพฒั นาระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ
2.1 กองวิทยาลยั เทคนิค 2.1 ดา้ นฮาร์ดแวร์
2.2 กองวิทยาลยั อาชีวศกึ ษา 2.2 ดา้ นซอฟทแ์ วร์
2.3 กองการศกึ ษาอาชีพ 2.3 ดา้ นบคุ ลากร

3. ความตอ้ งการในการพฒั นาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
3.1 ดา้ นฮาร์ดแวร์
3.2 ดา้ นซอฟทแ์ วร์
3.3 ดา้ นบคุ ลากร

ท่ีมา : วีระชาติ จริตงาม. 2545 : 5

ตัวอย่างที่ 2 กรอบแนวคดิ ในการวิจยั เร่ือง ปจั จัยที่มีอิทธิพลต่อการเกิดอุบตั ิเหตุจากการทางาน
ของพนักงานระดับปฏิบตั ิการในอตุ สาหกรรมเซรามิก จังหวดั ปทุมธานี

ตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม

ปัจจยั ดา้ นภมู ิหลงั การเกิดอุบตั ิเหตุจากการทางาน
ของพนกั งานระดบั ปฏิบตั ิการใน
ปัจจยั ดา้ นเคร่ืองจกั ร
ปัจจยั ดา้ นสภาพแวดลอ้ มทางกายภาพ อุตสาหกรรมเซรามิก
- บุคคลบาดเจบ็

ที่มา : สุราษ คงศิริ. 2544 : 53

22 16

ตัวอย่างที่ 3 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั เร่ือง สภาพการจดั การความรู้และความต้องการเพิม่ พูนความรู้
สู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ของบคุ ลากรสานกั พฒั นาระบบบริการสุขภาพ กรมสนับสนุน
บริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข

ตัวแปรอสิ ระ ตัวแปรตาม

ขอ้ มูลพ้ืนฐาน สภาพการจดั การความรู้

1. เพศ 1. การแสวงหาความรู้และการสร้างความรู้
2. อายุ 2. การจดั เกบ็ และการประมวลความรู้
3. อายรุ าชการ 3. การถา่ ยโอนและการเผยแพร่ความรู้
4. สถานภาพ 4. การประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้
5. วฒุ กิ ารศึกษา
6. ตาแหน่ง ความตอ้ งการเพ่ิมพูนความรู้
7. สานกั พฒั นาระบบบริการสุขภาพ 1. ดา้ นวชิ าการ การวิจยั การพฒั นา และ

การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ
2. ดา้ นการบริหารจดั การแนวใหม่
3. ดา้ นคณุ ธรรมจริยธรรมในการปฏบิ ตั ิงาน
4. ดา้ นการประเมินผลการปฏบิ ตั ิงาน

แนวทางการพัฒนาการจดั การความรู้สู่องค์กรแห่งการเรียนรู้
ท่ีมา : เพียงใจ มุสิกะพงษ.์ 2550 : 96

23 17

ตัวอย่างที่ 4 กรอบแนวคดิ เชิงภาพแบบเส้นทาง กรอบแนวคดิ นีใ้ ช้ควบคู่กบั เทคนิคการวเิ คราะห์
เส้นทาง(Path analysis) ซ่ึงแสดงความสัมพันธ์ของตัวแปรตาม (ผล Y) กบั ตัวแปรต้น
( เหตุ X1…X4)

b1 X4 b2 b4
X1 b3

b6 X2 b7 Y

b5

X3

กรอบแนวคิดเชิงภาพน้ี เป็ นความสมั พนั ธ์เชิงสาเหตุ เรียกว่าแบบจาลองเชิงสาเหตุ
(Causal model) ตวั แปรตาม(Y)เป็นผล ตวั แปรอิสระ(X1…X4) เป็นตวั แปรสาเหตุ และบางตวั แปรแม้
จะเป็นเหตุของตวั แปรหน่ึงแต่กเ็ ป็นผลของอีกตวั หน่ึงในขณะเดียวกนั ตวั แปรน้นั จึงเป็นไดท้ ้งั ตวั แปร
ตน้ และตวั แปรตามในสถานการณ์เดียวกนั เช่น X1…X4 เป็นตวั แปรเหตุของตวั แปรY แตต่ วั แปร X2
เป็นตวั แปรผลของ X1 ส่วน X4 เป็นตวั แปรผลของ X1 และ X3 ในภาพมีตวั แปรท้งั หมด 5 ตวั แปร
โดยมีเสน้ ทางความสมั พนั ธ์ 7 เสน้ ทาง คือ b1…b7 จากเสน้ ทางท่ีระบุในแผนภาพผวู้ ิจยั สามารถ
แปลงเป็ นสมการไดเ้ ป็นช่วง ๆ โดยระบุความสมั พนั ธว์ า่ ตวั แปรใดมีผลต่อตวั แปรใด โดยการนาเสนอ
แบบจาลองคณิตศาสตร์ ดงั น้ี

ตัวอย่าง การนาเสนอกรอบแนวคดิ แบบจาลองเชิงคณติ ศาสตร์

X4 = a1+b1 X1+b6 X3 (1)
X2 = a2+b3 X1 (2)
Y = a3+b2 X1+b4 X4+ b7X2+b5 X3 (3)

กลา่ วโดยสรุป การกาหนดกรอบแนวคดิ ในการวิจยั ผวู้ ิจยั จะสามารถกาหนดไดช้ ดั เจน
ต่อเม่ือผวู้ ิจยั ไดผ้ า่ นข้นั ตอนทาความเขา้ ใจอยา่ งชดั เจนในประเดน็ ของปัญหา และการทบทวนแนวคดิ
ทฤษฎีและผลงานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ ง ความชดั เจนดงั กล่าวมีความสาคญั อยา่ งยง่ิ ต่อความถูกตอ้ งในการ
สร้างเครื่องมือ การกาหนดสมมติฐานและการออกแบบการวจิ ยั ซ่ึงความเท่ียงตรง (Validity) ข้นึ อยกู่ บั
การทบทวนวรรณกรรมท่ีดี (เป็นการทบทวนแนวคดิ ทฤษฎแี ละผลงานวิจยั ที่เก่ยี วขอ้ งมาอย่างดี)

24 18

สมมตฐิ านการวิจยั (ถ้าม)ี

สมมติฐานการวิจยั เป็นขอ้ ความท่ีคาดคะเนคาตอบของปัญหาการวจิ ยั ไวล้ ว่ งหนา้ โดย
คาตอบน้นั เป็ นการคาดคะเนอย่างมีเหตุผลบนพ้ืนฐานของทฤษฎี ประสบการณ์ หรือความเชื่อต่าง ๆ
ของผวู้ จิ ยั สมมติฐานการวจิ ยั ที่ดีตอ้ งประกอบดว้ ยเกณฑ์ 2 ประการ คือ เป็นขอ้ ความท่ีแสดง
ความสมั พนั ธร์ ะหว่างตวั แปรและมีความชดั เจนท่ีสามารถทดสอบความสมั พนั ธด์ งั กล่าวได้

การเขียนสมมติฐานการวจิ ยั ท่ีดีจะตอ้ งกระทาภายหลงั ที่ไดศ้ กึ ษาเอกสารและงานวิจยั ท่ี
เก่ยี วขอ้ งแลว้ ผวู้ ิจยั เห็นแนวทางวา่ ในเรื่องน้นั ๆ ควรคาดหวงั ผลการวิจยั ว่าน่าจะเป็ นอย่างไร จึงจะ
เขียนสมมติฐานการวจิ ยั ได้

หลักเกณฑ์การเขียนสมมติฐานการวิจัย
1. ตอ้ งสอดคลอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั และตอบปัญหาการวจิ ยั ได้
2. สามารถทดสอบดว้ ยขอ้ มูลและหลกั ฐานต่าง ๆ ได้
3. มีความชดั เจนและเฉพาะเจาะจง
4. ต้งั สมมติฐานจากหลกั ของเหตุผลตามทฤษฎี ความรู้พ้ืนฐาน และหรือผลงานวจิ ยั ที่
ผา่ นมา มิใช่การต้งั สมมติฐานข้นึ มาโดยปราศจากหลกั ของเหตุผล
5. เขียนเป็ นประโยคบอกเล่าท่ีระบุความสมั พนั ธ์ระหว่างตวั แปร ระบุทิศทางของ
ความสมั พนั ธห์ รือความแตกต่างระหว่างตวั แปร
ตัวอย่าง

(1) วัตถุประสงค์ของกำรวจิ ยั : เพอื่ เปรียบเทียบความเขา้ ใจเก่ียวกบั ระเบียบวิธีวิจยั ระหวา่ ง
นิสิตท่ีมีประสบการณ์ทางานแตกต่างกนั

สมมติฐำนกำรวจิ ัย : นิสิตท่ีมีประสบการณ์ทางานแตกต่างกนั มีความเขา้ ใจเกยี่ วกบั
ระเบียบวิธีวจิ ยั แตกต่างกนั

(2) วัตถปุ ระสงค์ของกำรวิจัย : เพื่อศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความถนดั ทางตวั เลขกบั
ผลการเรียนวชิ าสถติ ิของนิสิตระดบั บณั ฑิตศกึ ษา

สมมติฐำนกำรวิจยั : ความถนดั ทางตวั เลขกบั ผลการเรียนวชิ าสถิติของนิสิตระดบั
บณั ฑิตศึกษา มีความสมั พนั ธก์ นั ทางบวก

ที่มา : ชูศรี วงศร์ ัตนะ. 2549 : 53

25 19

การเขียนเค้าโครงวจิ ยั บทที่ 2

ในบทนกี้ าหนดให้แบ่งเป็ น 2 ส่วน ประกอบด้วย
แนวคิดและทฤษฎีท่ีเก่ยี วขอ้ ง
งานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ ง

แนวคดิ ทฤษฎี และงานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วข้อง

เป็นการเขยี นรายงานผลการศกึ ษาเอกสารและงานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ งโดยมีวตั ถุประสงค์
เพื่อใหเ้ ห็นวา่ งานวิจยั เรื่องน้ีมีแนวคดิ ทฤษฎี หรือผลงานวจิ ยั อ่ืน ๆ เป็นพ้นื ฐานการวางแผนการวิจยั
อยา่ งไร และเพยี งใด ความสาคญั ของการนาเสนอเน้ือหาในบทน้ี นอกเหนือจากจะช้ีใหเ้ ห็นแนวคิด
ทฤษฎีและผลงานวจิ ยั ที่เป็นพ้นื ฐานของงานวจิ ยั เร่ืองน้นั แลว้ ยงั จะเป็นขอ้ มูลท่ีช่วยให้คณะกรรมการ
ท่ีปรึกษาวิทยานิพนธม์ ีความมนั่ ใจว่า ผเู้ สนอเคา้ โครงวจิ ยั น้นั ๆ มีขอ้ มูลและแนวทางเพยี งพอท่ีจะ
ดาเนินการวจิ ยั ได้

การเขยี นรายงานผลการศึกษาเอกสารและงานวจิ ยั ที่เกีย่ วขอ้ งน้ี ผเู้ สนอเคา้ โครงวิจยั ตอ้ ง
คดั สรรส่ิงท่ีจะเขียนให้ดีท้งั ส่ิงที่ไดจ้ ากเอกสารท่ีเป็ นงานวจิ ยั และเอกสารท่ีไม่ใช่งานวิจยั โดยเขียนใน
ลกั ษณะสงั เคราะห์ส่ิงที่คน้ ควา้ มา ไม่ใช่เป็นเพยี งการนาสิ่งที่คน้ ควา้ มาเขียนเรียงต่อ ๆ กนั ไปเรื่อย ๆ
ก่อนลงมือเขยี นจริงควรเริ่มดว้ ยการวางโครงเรื่องใหส้ อดคลอ้ ง เหมาะสมกบั ปัญหาวิจยั โดยกาหนด
โครงเร่ืองเป็ นหวั ขอ้ ต่าง ๆ ซ่ึงมีท้งั หวั ขอ้ ใหญ่ หวั ขอ้ รอง และ หวั ขอ้ ยอ่ ย การนาเสนอรายละเอียด
ควรเริ่มตน้ ด้วยความนาหรืออารัมภบทวา่ จะนาเสนออย่างไร แบ่งเป็ นกี่ตอน แต่ละตอนมีหวั ขอ้
ใดบา้ ง เป็นตน้

หลักเกณฑ์การเขียนเอกสารและงานวิจัยท่ีเกีย่ วข้อง
1. บทท่ี 2 จะต้องประกอบด้วยอยา่ งน้อย 2 ส่วนคือ แนวคิดทฤษฎีท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั หวั ขอ้
วิจยั และผลงานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ งกบั หวั ขอ้ วิจยั กรณีงานวิจยั ท่ีเสนอเคา้ โครงวจิ ยั ที่ตอ้ งต้งั สมมติฐานการ
วิจยั ให้เขียนสมมติฐานการวิจยั ไวใ้ นบทที่ 1 ต่อทา้ ยกรอบแนวคดิ ในการวิจยั
2. การเขียนแนวคิดทฤษฎีท่ีเก่ยี วขอ้ ง จะตอ้ งประกอบดว้ ย

2.1 ความหมายของส่ิงที่จะวิจยั (หรือเรื่องท่ีจะวจิ ยั )
2.2 แนวคดิ ทฤษฎี เกี่ยวกบั ส่ิงที่จะวิจยั
2.3 ระเบียบวธิ ีหรือเทคนิควธิ ีการวจิ ยั เฉพาะเรื่อง (ถา้ มี)

26 20

3. การเขยี นผลงานวจิ ยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง จะตอ้ งประกอบดว้ ยผลงานวจิ ยั ท้งั ในประเทศ และ
ต่างประเทศ

4. การนาเสนอที่ดีเป็นการนาเสนอในลกั ษณะสงั เคราะห์เน้ือหาตามประเดน็ การศึกษา
ท่ีเป็ นวตั ถปุ ระสงคห์ รือสมมติฐานการวิจยั ไมใ่ ช่การนาเสนอผลเป็นรายบุคคลตามลาดบั ตวั อกั ษร
หรือตามรายปี

5. การเขยี นสรุปตอนทา้ ยของแต่ละประเด็นท่ีนาเสนอ ผูว้ จิ ยั ตอ้ งใชภ้ าษาของผวู้ จิ ยั เอง
6. การอา้ งอิงแหล่งที่มาของเอกสาร และผลงานวิจยั ท่ีเก่ียวขอ้ งตอ้ งเขียนให้ถูกต้อง
ตามรูปแบบท่ีกาหนด

27 21

การเขียนเค้าโครงวจิ ยั บทที่ 3

ในบทน้ี เป็นการนาเสนอวิธีดาเนินการวจิ ยั เพือ่ ให้สามารถเชื่อมโยงจากบทที่ 1 และ 2
ผวู้ จิ ยั ควรเริ่มดว้ ยความนาเช่นเดียวกบั ท่ีไดแ้ นะนาไวใ้ นบทที่ 2 ท้งั น้ีเพอื่ เชื่อมเร่ืองราวและลาดบั
เหตุผลเขา้ ดว้ ยกนั กบั หวั ขอ้ ที่ผวู้ จิ ยั จะนาเสนอซ่ึง ประกอบดว้ ย 6 หวั ขอ้ ดงั น้ี

แบบของการวิจยั
ประชากรและหน่วยวเิ คราะห์
การเลอื กกลุ่มตวั อยา่ งและแผนการสุ่มตวั อยา่ ง
เครื่องมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
การวิเคราะหข์ อ้ มูล

แบบของการวจิ ยั

การเขียนแบบของการวจิ ยั ให้เขียนบรรยายในเชิงเกร่ินนา และระบุแบบการวจิ ยั เช่น
การวิจยั เชิงสารวจ การวจิ ยั เชิงทดลอง การวจิ ยั เชิงคุณภาพ การวิจยั เชิงเปรียบเทียบ ฯลฯ เป็นตน้

ประชากรและหน่วยวเิ คราะห์

1. ประชากร
ประชากร (Population) หมายถงึ หน่วยต่าง ๆ ท่ีผวู้ จิ ยั ทาการศกึ ษา หน่วยท่ีนามา

ศึกษาผวู้ ิจยั ตอ้ งระบุเจาะจงใหช้ ดั เจน ตวั อยา่ ง
1.1 เรื่อง “ลกั ษณะและสาเหตุความยากจนในครัวเรือนชนบท” ประชากรคือ

ครอบครวั ยากจนในชนบทซ่ึงระบุท้งั หน่วยประชากรและพ้นื ที่คือชนบท
1.2 เร่ือง “การใชส้ ิทธิของผตู้ อ้ งหาในการแต่งต้งั ทนายเขา้ รบั ฟังในกระบวนการ

สอบสวนเบ้ืองตน้ ตามรัฐธรรมนูญราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2540” ประชากรคือ ผตู้ อ้ งหาที่ผา่ น
การสอบสวนของพนกั งานเจา้ หนา้ ท่ีแลว้

22

28

2. หน่วยวิเคราะห์

หน่วยวิเคราะห์ (Unit of analysis) หมายถงึ หน่วยที่ผวู้ จิ ยั จะนามาใชใ้ นการวเิ คราะห์
กรณีตอ้ งการวิเคราะหใ์ นภาพรวม คุณสมบตั ิหน่วยวเิ คราะหซ์ ่ึงเป็ นคุณสมบตั ิรวมของหน่วยน้ัน
ตวั อยา่ งหน่วยวิเคราะหแ์ ละคณุ สมบตั ิ

2.1 เรื่อง “ลกั ษณะและสาเหตุความยากจนในครวั เรือนชนบท” หน่วยวเิ คราะห์ คอื
ครวั เรือนยากจน คุณสมบตั ิหน่วยวเิ คราะห์คอื ขนาดของครัวเรือน รายไดค้ รัวเรือน จานวน
สมาชิก อาชีพครวั เรือน ระดบั การศึกษาโดยเฉลย่ี ของแต่ละบุคคลของครัวเรือน ฯลฯ

2.2 เร่ือง “การใชส้ ิทธิของผตู้ อ้ งหาในการแต่งต้งั ทนายเขา้ รับฟังในกระบวนการ
สอบสวนเบ้ืองตน้ ตามรฐั ธรรมนูญราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2540” หน่วยวิเคราะหค์ ือ หน่วยบุคคล
คุณสมบตั ิของหน่วยวิเคราะห์คือ เพศ ระดบั การศกึ ษา ถิน่ กาเนิด อาชีพ อายุ ฯลฯ

สาหรับหน่วยวิเคราะห์ส่วนใหญ่ใช้กบั การวิจยั ทางสงั คมศาสตร์ ส่วนการวิจยั สาขาวิชา
อื่น ๆ อาจไม่ตอ้ งระบุหน่วยวิเคราะห์

การเลอื กกลุ่มตวั อย่างและแผนการสุ่มตวั อย่าง

1. การเลอื กกลุ่มตัวอย่าง

การพจิ ารณาเลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ งตอ้ งคงไวซ้ ่ึงความเป็นตวั แทนของประชากร คือ

1.1 คณุ สมบตั ิและคณุ ลกั ษณะของความเป็นตวั แทน

1.2 ขนาดของกลุ่มตวั อยา่ งท่ีเหมาะสม กลุ่มตวั อยา่ งควรมีจานวนเท่าใดจึงจะถือว่า

เป็นตวั แทนที่ดีที่สุด โดยมีความคลาดเคล่อื นผลการทานายนอ้ ยท่ีสุด หลกั เกณฑน์ ้ีมีอยใู่ นตารา

สถิติและตาราระเบียบวิธีวิจยั ซ่ึงผวู้ จิ ยั สามารถหาอา่ นและทาความเขา้ ใจไดไ้ ม่ยาก

2. การสุ่มตัวอย่างและแผนการสุ่ม

การศกึ ษาจากประชากรเป็ นเร่ืองยาก ดงั น้นั ผวู้ ิจยั จึงตอ้ งเลือกกลุ่มตวั อย่างมา

ทาการศึกษาแทน การเลือกกลุ่มตวั อยา่ งมาวเิ คราะห์ตอ้ งสมั พนั ธ์และสอดคลอ้ งกบั หน่วย

วเิ คราะห์ การสุ่มตวั อยา่ งตอ้ งมหี ลกั เกณฑ์ เพ่ือให้ตวั อยา่ งท่ีเลอื กมาศกึ ษาเป็นตวั แทนของประชากร

อยา่ งแทจ้ ริง

3. ขนาดของกล่มุ ตัวอย่างท่ีเหมาะสม

การระบุขนาดกลมุ่ ตวั อยา่ งโดยทวั่ ไปใชก้ ารกาหนดและการเปิ ดตารางสาเร็จรูป

Taro Yamane หรือ ตารางกาหนดกล่มุ ตวั อยา่ งของ Krejci and Morgan หรือวิธีอ่นื ๆ

29 23

เครื่องมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ยั

การเขียนรายละเอียดเกีย่ วกบั เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวิจยั จะตอ้ งระบุวา่ มีอะไรบา้ ง พร้อมท้งั
บอกลกั ษณะและคณุ ภาพของเคร่ืองมือ

หลักเกณฑ์การระบุเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

กรณีที่ 1 กำรนำเครื่องมือทีม่ ีผู้สร้ำงไว้มำใช้ในกำรวจิ ยั ควรเขียนดงั น้ี
1. ใหร้ ะบุวา่ เป็นเคร่ืองมือของใคร สร้างเมื่อใดและมีคา่ สถติ ิแสดงคุณภาพดว้ ย
2. ให้ระบุเหตุผล และความสมเหตุสมผลที่จะใชเ้ ครื่องมือน้นั ๆ ในการวิจยั เช่น เป็น
เคร่ืองมือที่ใชว้ ดั คุณลกั ษณะเดียวกบั ท่ีผวู้ จิ ยั จะวดั และกลมุ่ ตวั อยา่ งของงานวจิ ยั สอดคลอ้ งกบั กลุ่ม
ตวั อยา่ งท่ีเจา้ ของเครื่องมือไดท้ ดลองใชแ้ ลว้ ไดแ้ ก่ วดั ระดบั ช้นั เดียวกนั หรือวดั กบั กลุ่มตวั อยา่ ง
ประเภทเดียวกนั ฯลฯ

กรณที ี่ 2 ผู้วจิ ยั สร้ำงเคร่ืองมือเองหรือพฒั นำและปรับจำกเครื่องมือของผ้อู ื่นควรเขยี นดังน้ี
1. อธิบายข้นั ตอนในการสร้างเคร่ืองมือตามหลกั การและวธิ ีการสร้างอยา่ งชดั เจน
2. ให้ระบุช่ือหรือแหล่งท่ีมาของข้อมูลพ้ืนฐานประกอบการยกร่างข้อคาถาม อาทิ
หลกั สูตร คู่มือ เทคนิคการเขียนคาถาม ตลอดจนตวั เคร่ืองมือของบุคคลอ่ืนท่ีสร้างไว้
3. ระบุรายละเอียดการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ

3.1 ผเู้ ช่ียวชาญหรือผชู้ านาญการ ควรระบุชื่อ ตาแหน่งทางวชิ าการ ตาแหน่งหนา้ ท่ี
การงาน สถานท่ีทางาน

3.2 กล่มุ ตวั อยา่ งทดลองใชเ้ คร่ืองมือ ใหร้ ะบุจานวน คุณสมบตั ิพ้ืนฐาน และสถานที่
ทดลอง

3.3 ระบุโครงสร้างของเคร่ืองมือ เช่น โครงสร้างในการวดั ลกั ษณะที่วดั การแบ่งเป็น
ตอนยอ่ ย ๆ ตลอดจนจานวนขอ้ คาถามที่เขียนเพื่อทดลองใช้ และจานวนขอ้ คาถามท่ีตอ้ งการจริง
ของแต่ละตอน

3.4 แสดงตวั อยา่ งลกั ษณะของเคร่ืองมือที่ใชว้ ดั ตวั อยา่ งการตอบ อธิบายวธิ ีตรวจ
ให้คะแนนและเกณฑก์ ารใหค้ ะแนน

4. ถา้ เป็ นการวิจยั เชิงทดลองให้ผวู้ จิ ยั จาแนกเป็ น 2 หวั ขอ้ ยอ่ ยคือ เคร่ืองมือท่ีใช้ใน
การทดลอง และเครื่องมือท่ีใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล

30 24

การเก็บรวบรวมข้อมูล

ให้ระบุวิธีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลว่ามีข้นั ตอนและวิธีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลอยา่ งไร ใช้
วธิ ีการใดและเครื่องมืออะไร เช่น ใชว้ ิธีการส่งทางไปรษณีย์ เกบ็ ดว้ ยตนเองหรือให้ผอู้ ่ืนช่วยเก็บ
ขอ้ มูล กรณีเป็นการวิจยั เชิงทดลองให้ระบุหวั ขอ้ การดาเนินการทดลองและเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล

หลักเกณฑ์การระบกุ ารเกบ็ รวบรวมข้อมูล
1. ระบุข้นั ตอนและวิธีการท่ีจะเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล และระบุเหตุผลที่เลือกใชว้ ิธีการน้นั ๆ
2. ระบุวธิ ีการตรวจสอบติดตาม และควบคมุ คณุ ภาพขอ้ มูลและเหตุผลท่ีเลอื กใชว้ ธิ ีน้นั
3. ระบุช่วงเวลาการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
4. กรณีการวจิ ยั เชิงทดลอง ให้ระบุเป็นหวั ขอ้ การดาเนินการทดลองและเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล

การวเิ คราะห์ข้อมลู

การวิเคราะห์ขอ้ มูล ให้ระบุตามกรณีของขอ้ มูล ดงั น้ี
1. กรณีขอ้ มูลเชิงปริมาณ ให้ระบุวิธีการวิเคราะห์ และสถิติท่ีใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล
2. กรณีขอ้ มูลเชิงคณุ ภาพ ใหร้ ะบวุ ธิ ีการวิเคราะหเ์ น้ือหาเรื่องราว โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ
เกีย่ วกบั รูปแบบ (pattern) ประเดน็ (theme) และส่ิงท่ีจะใชเ้ ชอื่ มโยงเรื่องราวเขา้ ดว้ ยกนั
หลักเกณฑ์การระบุการวเิ คราะห์ข้อมูล
1. ระบุวธิ ีการวเิ คราะห์ขอ้ มูลโดยบรรยายแยกตามลกั ษณะขอ้ มูลและตวั แปรแต่ละตวั
2. สถิติท่ีใชใ้ นการวิเคราะห์ ใหร้ ะบุว่าใชส้ ูตรอะไร ในกรณีที่แสดงรายละเอียดของ
สูตรให้อา้ งอิงแหล่งท่ีมาดว้ ย
ท้งั น้ี การวิเคราะห์ขอ้ มูลจะตอ้ งสอดคลอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั สมมติฐานการ
วิจยั และระดบั ของการวดั ขอ้ มูล

สถติ ิท่ีใช้ในการวิจยั
สถิติที่เหมาะสมในการวจิ ยั มีความสาคญั ไม่นอ้ ยกว่าข้นั ตอนอนื่ ๆ การนาเสนอเคา้ โครงวจิ ยั
ผวู้ จิ ยั ตอ้ งนาเสนอสถติ ิท่ีใชใ้ นการวิจยั เป็น 2 ส่วนคอื (พิชิต ฤทธ์ิจรูญ. 2549 : 255-256)

25

31

ส่วนท่ี 1 สถติ ิบรรยาย (descriptive statistics)
เป็ นสถิติท่ีใช้บรรยายหรืออธิบายลกั ษณะต่าง ๆ ของกลุ่มตวั อย่างหรื อประชากร

ที่ศึกษาเท่าน้ัน โดยไม่นาไปใช้อธิบายหรือสรุปอ้างอิงไปยงั กลุ่มตัวอย่างหรือประชากรอ่ืน
วิธีการทางสถิติประเภทน้ี ไดแ้ ก่ การแจกแจงความถ่ี การจดั ตาแหน่งเปรียบเทียบ การวดั แนวโน้ม
เขา้ สู่ส่วนกลาง การวดั การกระจาย การวดั ความสมั พนั ธ์ เป็นตน้

ส่วนที่ 2 สถิติอ้างองิ (inferential statistics)
เป็ นสถิติที่ใช้ในการประมาณค่าประชากร และทดสอบสมมติฐานโดยอาศยั

ทฤษฎีความน่าจะเป็ น โดยการศึกษากบั กลุ่มตวั อยา่ ง เพ่ือที่จะสรุปอา้ งอิงไปยงั ประชากร สถิติ
ประเภทน้ีจาเป็ นที่จะตอ้ งมีการสุ่มตวั อยา่ งที่มีขนาดเหมาะสม และกลุ่มตวั อยา่ งตอ้ งมีความเป็ น
ตวั แทนของประชากร โดยเป็ นการอนุมาน หรือสรุปอา้ งอิงจากค่าสถิติ (statistics) ของกลุ่ม
ตวั อย่างไปยงั ค่าพารามิเตอร์ (parameter) ของประชากร

บรรณานุกรม

เคา้ โครงวิจยั ตอ้ งมบี รรณานุกรม เพอ่ื แสดงใหเ้ ห็นวา่ ผูว้ จิ ยั ไดม้ ีการศึกษาคน้ ควา้ เอกสาร
ต่าง ๆ มาพอสมควรในระดบั หน่ึง แต่มิได้หมายความวา่ มีเอกสารเพียงเท่าท่ีเสนอน้ี ผวู้ ิจยั
เขียนเพ่มิ เติมไดอ้ กี เมื่อไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ เพิ่มเติม

ภาคผนวก

ภาคผนวกในเคา้ โครงวิทยานิพนธแ์ ละการคน้ ควา้ อิสระ ควรมีสิ่งต่อไปน้ี
1. ตวั อยา่ งเครื่องมือวจิ ยั
2. ระยะเวลาดาเนินการวจิ ยั (Research timeline)
3. แผนการจดั การทรพั ยส์ ินทางปัญญา (ถา้ มี)
4. แผนการใชง้ บประมาณในการวิจยั
5. อ่ืน ๆ (ถา้ มี)

อ้างองิ

ผ่องพรรณ ตรัยมงคลกลู , สภุ าพ ฉัตราภรณ์. การออกแบบการวจิ ยั . กรงุ เทพมหานคร
: มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์, 2541.

ประพนธ์ เจยี กูล และคณะ. การเรียนรกู้ ารทำวิจัยดว้ ยตนเอง. กรงุ เทพมหานคร : สถาบันวิจยั และพฒั นา
มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช, 2543.

ชูศรี วงศ์รตั นะ. เทคนิคการวจิ ยั . กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ, 2544.
______. เทคนคิ การเขยี นเค้าโครงการวจิ ยั . กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ, 2549.
บุญธรรม กิจปรีดาบริสทุ ธ.ิ์ ระเบียบวิธีวจิ ัยทางสังคมศาสตร์. กรุงเทพมหานคร

: โรงพมิ พ์จามจรุ ีโปรดักท์, 2549.

แบบฝกึ หดั
คำช้แี จง ใหน้ ักศึกษาแบ่งกลุ่ม กล่มุ ละ 3 คน พรอ้ มเขยี นเคา้ โครงการวิจยั ใหค้ รบองคป์ ระกอบมา 1 เร่ือง

บทท่ี 6
การเขียนเค้าโครงการวจิ ยั

สมาชิกในกลุ่ม

1. นางสาวศุภางค์ พิมพ์นาจ รหัสนักศึ กษา 62115267101
2.นางสาวรสา ช่วยกายตมู รหัสนักศึ กษา 62115267104
3.นายณัฐวุฒิ ศรสี ิทธ์ิ รหัสนักศึ กษา 62115267108
4.นายดชุ กาล จนั ทรังษี รหัสนักศึ กษา 62115267109

นักศึ กษาสาขาวชิ าคหกรรมศาสตร์ ชั้นปีท่ี 3

1

ความหมายและความสําคัญของเค้าโครงวจิ ยั

เค้าโครงวิทยานิพนธ์ เค้าโครงการค้นควา้ อสิ ระ หรอื เค้าโครงวิจัย
เป็นเอกสารแสดงรายละเอียดของการวางแผนการวิจัย ท่ีผวู้ จิ ยั
หรอื นักศึ กษาระดบั บณั ฑิตศึ กษาไดจ้ ดั ทําข้ึน เพื่อเป็นกรอบและ
แนวทางการทาํ วิจยั ตงั้ แต่ตน้ จนจบ การเขียนเค้าโครงการวิจัย มคี
วามสําคัญและจาํ เป็น ตอ่ การทําวจิ ยั ดังน้ี

2

1. ทําให้ผ้วู ิจยั ไดเ้ รียบเรยี งจดั ลาํ ดบั เช่ือมโยงและขัดเกลา

ความคิดอยา่ งเป็นระเบยี บ ชัดเจนและถูกตอ้ งตามระเบียบวธิ ี
วจิ ยั กอ่ นท่จี ะดําเนินการวิจยั จริง

2. ทําให้ผู้วจิ ยั มีแผนปฏิบตั กิ ารวิจัยท่ชี ัดเจนและ วิจัย

สามารถควบคุมการวจิ ยั ให้บรรลเุ ป้าหมายของการ
วจิ ยั

3. เป็นเอกสารสําหรับผู้วิจยั เพ่ือเสนอขออนุมตั ิ และหรือขอรับการ

สนับสนนุ การดําเนินการวจิ ัย

3

4. เป็นเอกสารสําหรบั คณะกรรมการหรือผูเ้ ก่ียวข้องใช้ตรวจ

สอบความสําคัญ ประโยชน์ท่ไี ด้รบั และความเหมาะสมกบั ระดับ
และสาขาวชิ าท่ศี ึ กษา

5. เป็นเอกสารสําหรบั การส่ือสารสรา้ งความเข้าใจให้ผู้

สนใจทวั่ ไปไดท้ ราบรายละเอียด ของลักษณะงานวจิ ยั

รูปแบบการเขียนเค้าโครงวจิ ยั 4

บทท่ี 1 บทนํา

-ความเป็นมาและความสําคัญของปัญหาการวจิ ัย
-คําถามวิจัย
-วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย
-ประโยชน์ ของการวิจยั
-ขอบเขตของการวิจัย
-ตวั แปรท่ีใช้ในการวิจัย

5

-นิยามศั พทเ์ ฉพาะ
-กรอบแนวคิดในการวจิ ยั
-สมมตฐิ านการวจิ ยั (ถ้ามี)
-ข้อพิจารณาด้านจรรยาบรรณและจริยธรรมในการวจิ ยั (ถ้าม)ี

บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ยี วข้อง

-แนวคิดและทฤษฎที ่ีเก่ียวข้อง
-งานวจิ ยั ท่ีเก่ียวข้อง

6

บทท่ี 3 วธิ ดี ําเนินการวจิ ยั

-แบบของการวจิ ยั
-ประชากรและหน่ วยวิเคราะห์
-การเลอื กกลุ่มตวั อย่างและแผนการส่มุ ตัวอยา่ ง
-เคร่ืองมอื ท่ีใช้ในการวจิ ัย
-การเก็บรวบรวมข้อมลู
-การวเิ คราะห์ข้อมูล

7

บรรณานุกรม
ภาคผนวก

1. ตวั อยา่ งเครอ่ื งมอื วิจยั
2. ระยะเวลาดําเนินการวิจัย (Research timeline)
3. แผนการจัดการทรัพย์สินทางปัญญา (ถ้ามี)
4. แผนการใช้งบประมาณในการวิจัย
5. อื่น ๆ (ถ้าม)ี

8

การเขียนเค้าโครงวจิ ยั บทท่ี 1

ความเป็นมาและความสํ าคัญของปัญหาการวิจัย

การเขียนแสดงถึงความสําคัญของปัญหาหรือเรอ่ื งท่ีเสนอจะ
ทําวิจัย โดยจะต้องพยายามเขียนให้ทราบท่ีมาของปัญหาและ
เหตผุ ลความจาํ เป็นท่ีจะตอ้ งศึ กษาวจิ ยั ให้ละเอียดชัดเจน

9

คําถามวจิ ัย

คําถามวิจัย คือ ประเดน็ ปัญหาเฉพาะท่ีผู้วจิ ัยตอ้ งการแสวงหา
คําตอบ ประเด็นปัญหา ตอ้ งสอดคลอ้ งกบั หัวข้อวิจัยท่ีกําหนด
ไว้ และผูว้ จิ ัยต้องมีความชัดเจนว่าในการทําวิจยั เร่ืองน้ี ผวู้ จิ ัย
ตอ้ งการคําตอบเก่ียวกบั อะไรบ้าง คําถามวจิ ยั จะถูกนําไป
เขียนเป็นวัตถุประสงค์ของการวิจัย

10

ตวั อย่างคําถามวิจยั

1. ปัจจัยอะไรท่สี ัมพันธก์ ับความพึงพอใจของผู้ใช้บรกิ าร
ทางพิเศษเฉลิมมหานคร
2. ลกู ค้าของธนาคารออมสิน สํานักงานพหลโยธนิ มพี ฤตกิ รรม
การใช้บริการด้านตา่ ง ๆ ของธนาคารออมสินอย่างไร
3. ปัจจยั เก้อื หนนุ ในการทางานมผี ลตอ่ ประสิทธภิ าพในการ
ปฏิบตั งิ านของพนักงานบรษิ ัทวริ ิยะซัพพลายจาํ กัดหรือไม่

11

วัตถุประสงค์ของการวิจยั

วตั ถุประสงค์ของการวิจัยเป็นทิศทางของการดาํ เนินการวจิ ัย
เพื่อทาํ ให้เกิดความชัดเจน

วัตถุประสงค์ของการวิจัยเป็นส่วนหน่ึงท่ีจะช่วยทาํ ให้ชื่อเร่อื ง
หรือปัญหาการวิจยั มีความชัดเจนมากข้ึน การตงั้ วตั ถุประสงค์
ของการวจิ ัยควรจัดเรยี งตามลําดับความสําคัญ

12

หลกั เกณฑก์ ารเขียนวัตถุประสงค์ของการวจิ ัย

1. เขียนให้สอดคลอ้ งหรืออย่ใู นขอบข่ายของประเดน็ ปัญหาการวจิ ยั

2. เขียนเป็นประโยคบอกเลา่ ให้ชัดเจน และใช้ภาษาท่ีเข้าใจง่าย

3. เขียนให้ครอบคลุมเรือ่ งหรือประเด็นปัญหาท่ี
ต้องการศึ กษาและช้ีเฉพาะเจาะจงว่าผู้วิจยั
ตอ้ งการจะทาํ อะไร ต้องการค้นหาคําตอบอะไร

13

4. มคี วามเป็นไปได้ มขี อบเขตท่ีพอเหมาะและสามารถหาข้อมลู
เพื่อตอบคําถาม หรือทดสอบได้

5. เป็นแนวทางในการตงั้ สมมตฐิ านการวจิ ัยการพิจารณาเลอื ก
กลุ่มตัวอยา่ งและการเลือกใช้สถิติเพ่ือการวเิ คราะห์ข้อมูลได้

14

ประโยชน์ของการวจิ ยั

การเขียนประโยชน์ของการวจิ ยั เป็นการสื่อสารให้เราทราบวา่
เมื่อได้ศึ กษาเสร็จเรยี บร้อยแล้วสามารถนําผลการวจิ ัยไปใช้
ประโยชน์อะไรไดบ้ า้ ง ประเด็นน้ีอาจนับไดว้ า่ เป็นประเดน็ ท่ี
สําคัญมากประเดน็ หน่ึ งของเค้าโครงวจิ ัยเพราะเป็นประเดน็ ท่ี
ใช้ประเมนิ วา่ งานวิจัยเรอื่ งน้ี จะมีผลอะไรท่ีนํามาใช้ประโยชน์
ได้

15

ประโยชน์หรอื ความสําคัญของการวิจยั

จาํ แนกเป็น 2 ประเภทคือ
1. ประโยชน์ทางวิชาการ หมายถึงองค์ความรู้ท่ีช่วย

เพ่ิมพนู ความรู้ในเรื่องใดเรอื่ งหน่ึ ง

2. ประโยชน์ทางนโยบายหรือการนําไปใช้แกป้ ัญหา
หมายถึงความรูห้ รอื ข้อค้นพบ ท่ีไดส้ ามารถนําไปส่กู ารแก้
ปัญหา หรือการกาํ หนดนโยบายของหน่วยงานหรือองค์กร

16

ตวั แปรท่ีใช้ในการวิจัย

ตวั แปร (variable) หมายถึง ค่าหรอื ข้อความท่แี สดงข้อมลู
ท่ีแปรเปล่ียนได้ หรอื แสดงข้อมลู ท่ีมคี ่าไดม้ ากกว่า 1 ค่า เช่น
เพศ เป็นตวั แปร เพราะมี 2 เพศ คือ เพศหญิงและเพศชาย ผล
สัมฤทธ์ิทางการเรียน เป็นตัวแปร เพราะนักเรียนแต่ละคนมผี ล
สัมฤทธ์ิทางการเรยี นตา่ งกนั หรอื นักเรยี นคนเดยี วอาจจะมผี ล
สัมทธ์ิทางการเรยี นเปล่ียนแปลงไดเ้ มอ่ื ไดร้ บั การพัฒนา

2 ประเภท ได้แก่ 17

1. ตัวแปรอสิ ระ หรอื ตัวแปรต้น (Independent variable)
เป็นตัวแปรต้นเหตุ ท่ีจะทําให้เกดิ การเปล่ียนแปลงหรือการ
ผนั แปรของตัวแปรอกี ตวั หน่ึ งท่ีเรยี กว่า ตวั แปรตาม

2. ตวั แปรตาม (Dependent variable) เป็นตัวแปรท่เี ป็นผล
จากการกระทาํ ของตวั แปรอิสระ

หลกั การเขียนตวั แปร 18

1. ถ้าสามารถระบุประเภทของตวั แปรได้ ให้ระบุไว้อย่างชัดเจน
วา่ ตัวแปรใดเป็นตวั แปร อิสระ ตัวแปรใดเป็นตวั แปรตาม

ตวั แปรท่ีศึ กษา

คือ การมีส่วนรว่ มของประชาชน มี 4 ด้าน ไดแ้ ก่
1. การมีส่วนร่วมในการศึ กษาและให้ข้อมูล
2. การมีส่วนรว่ มในการวางแผน
3. การมีส่วนร่วมในการปฏิบัตหิ รือดาํ เนินงาน
4. การมสี ่วนร่วมในการตดิ ตามและประเมินผล


Click to View FlipBook Version