27
1.1 ผสู้ อนควรแนะนำหรือช้ีแจงภาพรวมของชุดการสอน เพ่ือเป็นแนวทางให้ผ้เู รียนไดเ้ ข้าใจ เชน่ ลักษณะ
การจดั การเรียนรู้ ส่วนประกอบทส่ี ำคัญ แนะนำการใชบ้ ตั รคำสง่ั การใช้สอ่ื ต่าง ๆ เป็นต้น
1.2 ใหผ้ เู้ รยี นศึกษาดว้ ยตนเองจากบัตรคำสง่ั และดำเนินตามกิจกรรมของบตั รคำส่ังจนครบกระบวนการ โดย
มกี ารประเมนิ ตนเองท้งั ก่อนและหลังการใช้ชุดการสอน
2. ชุดการสอนแบบกล่มุ กจิ กรรมหรือชุดการสอนสำหรับการเรียนเป็นกลมุ่ ย่อย โดยปกติชดุ การสอนชนดิ น้ี มักจะ
ใชใ้ นการสอนแบบศูนย์การเรียน ดงั นั้น การใชช้ ุดการสอนควรดำเนนิ การดังนี้
2.1 แนะนำหรอื ชี้แจงการใชช้ ุดการสอน เพ่ือเปน็ แนวทางให้ผเู้ รียนเข้าใจวิธีใช้
2.2 แบง่ กลุ่มย่อยผู้เรียนตามจำนวนชดุ การสอน
2.3 ให้ผู้เรยี นทำกจิ กรรมตามบัตรคำสงั่ ที่อย่ใู นชดุ การสอนโดยเรม่ิ ตน้ พร้อม ๆ กนั ภายในชดุ การสอนจะ
กำหนดคำสั่ง กิจกรรม การประเมินภายในเวลาที่กำหนด
2.4 เม่ือผู้เรียนกลุ่มใดประกอบกจิ กรรมเสร็จตามเวลาทก่ี ำหนดแล้วให้สลบั หมนุ เวียนกบั กลมุ่ อ่ืน ๆ ในกรณี
ทยี่ ังสลับกลุม่ ไมไ่ ด้ใหป้ ฏบิ ัติกิจกรรมในศูนย์การเรียนรสู้ ำรอง
3. ชุดการสอนประกอบคำบรรยายของผูส้ อนควรดำเนนิ การ ดงั นี้
3.1 ผสู้ อนต้องทำความเข้าใจอยา่ งดกี บั บัตรคำสง่ั เน้ือหา สอื่ ใบงานและกจิ กรรม
3.2 ผสู้ อนต้องเตรียมวัสดอุ ปุ กรณ์หรือสื่อในการนำเสนอหรือการสาธิต โดยฝึกให้เกิดทักษะก่อนนำไปปฏิบัติ
จรงิ
3.3 ผสู้ อนตอ้ งประเมินการใชช้ ดุ การสอนเพ่ือเปน็ ขอ้ มูลสำหรบั การปรบั ปรุงในโอกาสต่อไปจากการศกึ ษา
จากการศกึ ษาสว่ นประกอบและวิธีใช้ชดุ การสอน จะใชช้ ุดการสอนจะใชต้ ามประเภทและจุดประสงค์
ทีท่ ำข้นึ มีขน้ั ตอนโดยสรุป ได้วา่ มีทดสอบก่อนเรยี น นำเขา้ ส่บู ทเรียน เพอื่ เป็นการสรา้ งแรงจงู ใจให้ผ้เู รียนเกิด
ความกระตือรือรน้ ท่จี ะเรยี นรู้ประกอบกจิ กรรมการเรยี น ผู้สอนจะต้องช้แี จงหรอื อธบิ ายใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจอยา่ ง
ละเอยี ดทกุ ข้นั ตอนก่อนลงมอื ทำกจิ กรรมสรปุ บทเรียน ผสู้ อนนำสรุปบทเรียน ซ่งึ อาจทำไดโ้ ดยการถามหรือให้
ผูเ้ รียนสรปุ ความเขา้ ใจหรอื สาระท่ไี ด้จากการเรยี นรู้ เพ่ือให้แนใ่ จว่าผูเ้ รียนมคี วามคิดรวบยอดตามหลักการท่ี
กำหนดประเมนิ ผลการเรียน โดยการทำข้อทดสอบหลงั เรยี นเพอ่ื ประเมนิ ดูว่า ผู้เรยี นบรรลุตามจดุ ประสงคห์ รอื ไม่
เพอ่ื จะได้ปรับปรงุ แกไ้ ขขอ้ บกพร่องของ
4. ข้ันตอนการใช้ชดุ การสอน เร่อื ง งานประดิษฐท์ ่ีเป็นเอกลักษณ์ไทย ประเภท งานใบตอง
4.1 ชุดการสอน เรื่อง งานประดิษฐ์ท่เี ป็นเอกลกั ษณ์ไทย ประเภทงานใบตอง กลุ่มสาระการเรียนรู้การงาน
อาชีพและเทคโนโลยี รายวิชางานประดษิ ฐ์ รหัสวชิ า ง 31102 ระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาปี ท่ี 4 ผลิตขนึ้ เพ่อื เป็น
28
ชุดฝกึ ทกั ษะ ประกอบการเรยี นการสอน เพื่อใหน้ ักเรียนเกดิ การพัฒนาทงั้ ความรู้ ทักษะ และเจตคติ สามารถนำ
ความรู้ไปใช้ในชีวติ ประจำวัน และเป็นความรู้พ้ืนฐานในการประกอบอาชีพต่อไป แตล่ ะชุดประกอบด้วย คูม่ ือ
การใชช้ ดุ การสอน แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบก่อนเรยี น – หลงั เรียน ใบความรู้ ใบกจิ กรรมและ
บรรณานกุ รม
4.2 ครผู สู้ อนสามารถนำไปปรบั ใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั บริบทของโรงเรียนและศักยภาพของ ผ้เู รยี นในชัน้ เรยี น
ของทา่ น ชดุ การสอนมที ้งั หมดจำนวน 3 ชดุ ดังนี้
ชดุ ท่ี 1 เร่ือง การพบั กลีบใบตอง เวลาเรยี น 4 ชวั่ โมง
ชุดที่ 2 เร่ือง การเยบ็ ถาดใบตอง เวลาเรยี น 4 ช่ัวโมง
ชดุ ท่ี 5 เรอ่ื ง บายศรีปากชาม เวลาเรยี น 4 ชั่วโมง
4.3 การเรียนการสอน งานประดษิ ฐ์ทเี่ ปน็ เอกลักษณไ์ ทย ประเภทงาน ใบตอง ต้องมีความสมั พนั ธ์กนั
ทุกขัน้ ตอน จากง่ายไปหายาก ทัง้ ภาคทฤษฎี และภาคปฏบิ ัติ โดยนกั เรียนจะเรียนรู้ด้วยการศึกษาจากใบความรู้
พร้อมภาพประกอบ ของจรงิ ให้ฝึกปฏิบตั ทิ ้งั รายกลุ่ม และรายบคุ คล
4.4 การจัดการเรยี นการสอนจะเกิดประสทิ ธภิ าพได้เมื่อผสู้ อนและผู้เรียนดำเนนิ กจิ กรรมไป ตามข้นั ตอนตาม
แผนการจัดการเรียนรู้ โดยมขี ้ันตอนดงั นี้
ขนั้ นำ เป็นการทดสอบก่อนเรียนหรอื แสดงตวั อย่างการประดิษฐ์ งานใบตองของครู
ขนั้ สอน เปน็ ขน้ั ที่มคี วามสำคัญในการเรยี นรู้การประดษิ ฐง์ านใบตอง โดยครูผู้สอนใหน้ ักเรยี นได้ศึกษาใบ
ความรู้ ทดลองฝึกปฏิบัติตามขนั้ ตอนในใบกิจกรรม โดยครูคอยให้ คำแนะนำช่วยเหลอื นักเรยี นทมี่ ีปัญหาในการ
ปฏิบัติงานการเรียนรู้
ขน้ั สรุป เป็นขัน้ ทผ่ี ู้เรยี นและครูรว่ มกันสรปุ ความร้ทู ี่ไดเ้ รยี นจากชุดการสอน การประดษิ ฐ์งานใบตอง
ตามความคิดเหน็ และประสบการณ์ของผเู้ รียน ทัง้ ด้านการสรา้ ง ผลงานอยา่ งมีความคิดสร้างสรรค์และมีทกั ษะ
การทำงานร่วมกัน มคี ุณธรรมและลกั ษณะนสิ ยั ใน การทำงานและใชพ้ ลังงาน ทรัพยากร ในการทำงานอยา่ งคุ้มค่า
และยง่ั ยืน เพ่ือการอนรุ ักษ์ ส่ิงแวดล้อม
4.5 ครูควรช้ีแจงใหผ้ ูเ้ รยี นที่ได้รับการแบง่ กล่มุ แล้วปฏบิ ัติหน้าท่ีทไี่ ด้รบั
มอบหมาย ท้งั ผู้นำ และผู้ตาม รวมทั้งช่วยเหลอื เพือ่ นรว่ มกลุ่มที่เรียนอ่อน
4.6 ครผู ู้สอนควรดูแลนกั เรียนท่ียังไมเ่ ข้าใจใหไ้ ดร้ ับการแนะน า และอธิบาย
จนเขา้ ใจ ก่อนท่ีจะเรม่ิ ชดุ การสอนชดุ ต่อไป
29
8. ชดุ การสอนมีส่วนประกอบท่ีสำคัญ คือ
8.1 คู่มอื ครสู ำหรบั ครูผสู้ อนที่จะนำชุดการสอนไปใช้ ซึ่งมรี ายละเอยี ดเก่ยี วกับ ขั้นตอนในการใชช้ ดุ การ
สอน สิ่งทตี่ อ้ งเตรียม ตลอดจนกระบวนการของการเรียนการสอน
8.2 คู่มือการเรยี นสำหรบั ผูเ้ รยี น ประกอบดว้ ยคำแนะนำในการเรียน คำส่งั กิจกรรมท่ีผเู้ รยี นตอ้ งปฏบิ ตั ิ
ตลอดจนวิธีการเรียน
8.3 เนอื้ หาสาระ และส่ือ โดยจัดให้อยูใ่ นรูปของส่ือการสอนแบบส่ือประสม มีกจิ กรรมการเรียนการสอน
แบบกลุม่ และรายบุคคลตามวัตถุประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม ซ่ึงจะบรรจเุ นื้อหาต่าง ๆ ไวใ้ ห้ผเู้ รียนได้ศึกษาผา่ นสอื่
เหล่าน้นั
8.4 แผนการสอน ประกอบด้วยหวั เรือ่ งทส่ี อน เวลาที่ใช้สอน สาระสำคัญ มาตรฐานการเรยี นรู้ ผลการ
เรยี นรทู้ ่คี าดหวงั หรอื จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ เน้ือหาสาระที่เรยี น การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน สอื่ แหล่งเรียนรู้
การวดั ผลประเมินผล เป็นแนวทางการสอนของครไู ดอ้ ยา่ งถกู ต้องตามขั้นตอนการเรยี นรู้ เพื่อชว่ ยใหผ้ ู้เรียนได้
เรียนรู้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ
8.5 แบบทดสอบสำหรับการประเมินผล เป็นแบบทดสอบองิ เกณฑ์ทส่ี อดคล้องกับจดุ ประสงคเ์ ชิง
พฤติกรรม ซึง่ ครูจะใชเ้ ปน็ แบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรยี น โดยมกี ระดาษคำตอบไว้ให้พรอ้ ม
9. ขอ้ จำกัดในการใช้ชดุ การสอน
9.1 การสรา้ งชดุ การสอนใหม้ ีประสิทธภิ าพต้องอาศัยผรู้ ูแ้ ละลงทุนสงู
9.2 การใชช้ ุดการสอนผู้ใช้ต้องมคี วามเขา้ ใจและมวี ินัยในการเรยี น หากขาดไปก็ไม่ไดผ้ ลตามท่ีต้องการ
9.3 ชุดการสอนท่ที ำอยา่ งขาดหลักเกณฑ์และประสิทธิภาพน้อยจะส่งผลทำให้ประสทิ ธิภาพในการเรียนต่ำ
จากความหมายที่นกั การศึกษาได้ให้คำจำกดั ความไวน้ ัน้
สรุปได้ว่า ชดุ การสอนคือการนำเอาสอ่ื การเรยี นการสอนทจี่ ดั อยา่ งมีระบบเปน็ ชดุ ๆ ใหส้ อดคล้องกับเนื้อหา
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้และประสบการณ์ทจ่ี ัดไวใ้ นแต่ละหน่วย มาช่วยในการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมของผู้เรยี นให้
บรรลจุ ดุ มุง่ หมาย เพื่อให้การเรียนการสอนเกิดประสทิ ธภิ าพสูงสดุ ซ่ึงผูว้ ิจยั ได้ใช้ชดุ การสอนแบบกลุ่มกจิ กรรม
เป็นชุดการสอนสำหรับให้ผู้เรียนเรยี นร่วมกันเป็นกล่มุ เล็ก ๆ ประมาณ 5 – 7 คน โดยใชส้ ่อื การสอนทีบ่ รรจไุ ว้ใน
ชดุ การสอนแต่ละชดุ เพื่อมงุ่ ท่ีฝึกทักษะในเนื้อหาวชิ าที่เรียนและให้ผูเ้ รยี นมโี อกาสท างานร่วมกนั ชุดการสอนชนิด
นมี้ กั จะใช้ในการสอนแบบกิจกรรมกลมุ่ เช่น การสอนแบบศูนยก์ ารเรยี น การสอนแบบกลุม่ สมั พันธ์
10. แนวคดิ หลกั การ และทฤษฎที เ่ี ก่ยี วข้องกับชุดการสอน แนวคดิ และหลกั การของชดุ การสอนแนวคิดและ
หลักการในการนาชดุ การสอนมาใช้ในระบบการศึกษาได้มนี ักวชิ าการได้ให้หลักการดังนี้
30
บุญเกื้อ ควรหาเวช (2543 : 92-94) ได้ใหห้ ลกั การไว้5 ประการ ดังนี้
1. การประยกุ ต์ทฤษฎีความแตกตา่ งระหว่างบุคคลการเรยี นการสอนจะต้องคำนึงถงึ ความต้องการ
ความถนัด และความม่ันใจของผู้เรยี นเปน็ สำคญั วธิ กี ารสอนที่เหมาะสมท่สี ุดก็คือการจดั การสอนรายบคุ คลหรือ
การศกึ ษาตามเอกัตภาพและการศึกษาดว้ ยตนเองซึ่งจะเปิดโอกาสใหผ้ ้เู รยี นมีอิสระในการเรยี นตามระดับสตปิ ัญญา
ความสามารถและความสนใจโดยมคี รูคอยแนะนำ ชว่ ยเหลอื ตามความเหมาะสม
2. ความพยายามทีจ่ ะเปล่ียนแนวการเรยี นการสอนไปจากเดิมการจดั การเรียนการสอนแต่เดิมนัน้ เรายดึ ครู
เป็นหลกั เปลยี่ นมาเปน็ จัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้ศกึ ษาเองโดยการให้แหล่งความรจู้ ากสือ่ หรือวธิ กี ารต่าง ๆ การ
นำสือ่ การสอนมาใชจ้ ะต้องจดั ให้ตรงเนือ้ หาและประสบการณ์ตามหน่วยการสอนของวิชาตา่ ง ๆ โดยนยิ มจัดในรูป
ของชุดการสอนการเรียนในลักษณะนผ้ี เู้ รียนจะเรยี นจากครูเพียงประมาณ 1 ใน 4 สว่ น สว่ นทเี่ หลอื ผู้เรียนจะ
เรียนจากส่ือด้วยตนเอง
3. การใชส้ ่ือการสอนไดเ้ ปลี่ยนแปลงและขยายตัวออกไปการใชส้ ่ือการสอนในปจั จุบัน ไดค้ รอบคลมุ ไปถงึ
การใชว้ สั ดสุ ิ้นเปลืองเครื่องมือตา่ ง ๆ รวมทงั้ ประบวนการและกจิ กรรมต่าง ๆ แตเ่ ดิมน้ัน การผลิตตา่ งคนต่างใช้เป็น
สื่อเดีย่ ว ๆ มไิ ด้มีการจดั ระบบการใชส้ อ่ื หลายอย่างมาผสมผสานกนั ใหเ้ หมาะสม และใชเ้ ปน็ แหล่งความรู้สำหรบั
ผู้เรียนแทนการใช้ครเู ปน็ ผู้ถา่ ยทอดความรู้ให้กับผู้เรยี นตลอดเวลา แนวโน้มใหมจ่ ึงเป็นการผลิตส่ือการสอน
ประสมใหเ้ ปน็ ชุดการสอนอนั จะมีผลตอ่ การใชข้ องครูคือเปลี่ยนจาการทค่ี รเู ปน็ ผหู้ ยิบใช้อุปกรณ์ตา่ ง ๆ มาใช้เปน็
สื่อการสอน เพือ่ ช่วยผูเ้ รยี น เรียนเปน็ ให้ผู้เรียนหยบิ และใช้สื่อการสอนต่าง ๆ ด้วยตนเอง โดยอย่ใู นรูปของ
ชุดการสอน
4. ปฏกิ ริ ยิ าสัมพนั ธร์ ะหว่างผู้สอนกบั ผูเ้ รียน ผู้เรยี นกับผู้เรยี นและผู้เรยี นกบั สภาพแวดล้อม แต่ก่อน
ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งผ้สู อนกับผู้เรียนในหอ้ งเรียนมีลักษณะเปน็ ทางเดียว คือ ผสู้ อนเป็นผู้นำและผู้เรียนเป็นผูต้ าม
ผู้สอนมไิ ด้เปิดโอกาสให้ผูเ้ รียนมโี อกาสพูดผู้เรียนจะได้พดู ก็ต่อเมื่อผสู้ อนให้พดู การตัดสินใจของผ้เู รียนส่วนใหญ่
มักจะตามผู้สอน ผูเ้ รยี นเปน็ ฝ่ายเอาใจผสู้ อนมากกวา่ ผูส้ อนเอาใจผู้เรียน ผสู้ อนวิจารณห์ รือพูดเยาะเยย้ ผเู้ รียนในชัน้
โดยเฉพาะผเู้ รยี นที่ตอบไม่ถกู ตอ้ งตามผ้สู อนชอบ หรอื กระทำอะไรผดิ พลาดแต่ถ้าผ้เู รียนทำอะไรดี ควรแกก่ าร
ชมเชยผู้สอนจะนิง่ เฉยเสียเพราะหากชมกลัวผเู้ รียนจะเหลิงตัว ดังน้ันผูเ้ รียนไทยส่วนใหญ่จงึ พกเอาประสบการณ์ที่
ไมน่ า่ พอใจ เม่อื เติบโตขึ้นในส่วนท่ีเกยี่ วกบั ความสัมพันธ์ระหว่างผเู้ รียนกับผ้เู รยี นน้ันแทบจะไม่มเี อาเลย เพราะ
ผู้สอนส่วนใหญจ่ ะไมช่ อบให้ผู้เรยี นคยุ กนั ผ้เู รยี น จงึ ไมม่ โี อกาสฝกึ ฝนทางานรว่ มกันเปน็ หมคู่ ณะ เช่อื ฝงั และเคารพ
ความคิดเหน็ ของผู้อืน่ เมื่อเติบโตจงึ ทำงานร่วมกันไม่ได้ นอกจากนป้ี ฏิสัมพันธ์ระหว่างผ้เู รียนกับสภาพแวดลอ้ มก็
มกั อยู่กับเพยี งชอลก์ กระดานดำ และแบบเรียนในห้องเรยี นส่ีเหล่ียมแคบ ๆหรอื ในสนามหญ้า ซงึ่ สว่ นใหญถ่ ูกปลอ่ ย
ใหร้ กร้างเฉอะแฉะตามฤดูกาล ผ้สู อนไม่เคยพาผู้เรยี นออกไปสู่สภาพนอกโรงเรยี น การเรียนการสอนจึงจัดให้อย่ใู น
31
ห้องเรยี นเปน็ ส่วนใหญ่ แนวโนม้ ในปจั จุบันและอนาคตของกระบวนการเรยี นรู้ จงึ ต้องนาเอากระบวนการกลุ่ม
สมั พันธม์ าใชใ้ นการเปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนประกอบกิจกรรมร่วมกัน ทฤษฎีกระบวนการกลุ่มจึงเป็นแนวคดิ ทาง
พฤติกรรมศาสตร์ ซง่ึ นามาส่กู ารจัดระบบการผลิตสื่อออกมาในรูปแบบของชดุ การสอน
5. การจัดสภาพสง่ิ แวดล้อมการเรยี นรู้ได้ยึดหลักจิตวทิ ยาการเรยี นมาใชโ้ ดยจัดสภาพการณ์ ออกมาเปน็
การสอนแบบโปรแกรม หมายถงึ ระบบการเรยี นการสอนท่ีเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นได้มสี ่วนรว่ มในกจิ กรรมการเรยี น
ด้วยตนเอง มีการทราบวา่ การตัดสินใจหรือการทำงานของตนถูกหรือผดิ อยา่ งไร มีการเสริมแรงบวกให้ผเู้ รยี น
ภาคภูมิใจที่ได้ทำถูกหรือคิดถูก อันจะทำให้กระทำพฤตกิ รรมน้นั ซ้ำอีกในอนาคต และค่อยให้เรยี นรทู้ ลี ะข้นั ตอน
ตามความสามารถและความสนใจของผเู้ รียนเอง โดยไมม่ ีใครบังคบั การจัดสภาพการณ์ทีเ่ อ้อื อำนวย
ต่อการเรียนรู้ ตามนัยดงั กล่าวข้างต้น จะมีเคร่ืองมือช่วยใหบ้ รรลุตามจดุ มุ่งหมายปลายทางโดย
การจดั การสอนและโปรแกรมและใชช้ ุดการสอนเปน็ เครื่องมือสำคัญ
ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2533 : 199) ไดใ้ หห้ ลกั การไว้ดงั น้ี
1. ทฤษฎีที่เกย่ี วกบั ความแตกต่างระหว่างบุคคล ชดุ การสอนนี้เปน็ สอ่ื และกจิ กรรมการเรยี นจัดทำขน้ึ เพ่ือสนอง
ความสามารถความสนใจและความต้องการของผเู้ รยี นเปน็ สำคญั ทฤษฎที ่ีว่าดว้ ยความแตกตา่ งระหว่างบุคคล จึง
นำมาใชเ้ ปน็ ทฤษฎีพื้นฐานในการจดั ทำและใชช้ ุดการสอน
2. หลกั การเกย่ี วกับสือ่ ประสมชดุ การสอน ซึง่ หมายถงึ การใชส้ ่อื หลาย ๆอยา่ งที่เสรมิ ซ่งึ กันและกนั อย่างมีระบบ
มาใช้เปน็ แนวทางการเรยี นรู้และกิจกรรมการเรียนทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากส่ือ
3. ทฤษฎีการเรยี นรชู้ ดุ การสอนเป็นสอ่ื การเรียนที่มุ่งผเู้ รียนได้มสี ว่ นรว่ มในการเรียนอย่างแขง็ ขนั และได้รับข้อมูล
ย้อนกลบั อยา่ งฉับพลัน
4. หลกั การวเิ คราะหร์ ะบบชดุ การสอน จัดท าโดยอาศัยวิธีวิเคราะห์ระบบมีการทดลองสอนและปรับปรงุ แกไ้ ขจน
เปน็ ที่นา่ เชอ่ื ถือได้ จงึ นำออกใชแ้ ละเผยแพร่กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใชช้ ุดการสอน ท้ังเพื่อใหก้ จิ กรรมการ
เรียนการสอนด าเนนิ ไปอยา่ งสมั พนั ธ์กนั
ชม ภมู ิภาค (2524 : 100-101) กล่าวว่า การจัดทำชดุ การสอนเพื่อนำมาใช้ในการเรียนการสอนน้ันมี
แนวคิดและหลกั การจากสิง่ ต่อไปนี้
1. ทฤษฎคี วามแตกตา่ งระหว่างบคุ คลในทางจติ วทิ ยาเป็นท่ียอมรับแล้ววา่ คนเรามีความแตกตา่ งกนั ไมว่ า่
จะเปน็ ทางด้านความสามารถความตอ้ งการความถนัดความสนใจ ฯลฯ ดังนนั้ นักการศึกษาจึงไดน้ ำเอาหลัก
จิตวิทยาดังกล่าวมาประยกุ ต์ใช้การเรยี นการสอนโดยคำนึงถงึ ความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล
2. การใช้ส่ือประสมหรอื ใชส้ ่อื หลายชนดิ โดยการนำเอาสอ่ื การสอนหลาย ๆ ชนดิ มาสัมพนั ธก์ นั และมี
คุณคา่ ทีส่ ่งเสรมิ กนั และกนั อย่างเปน็ ระบบ เช่น สอื่ การสอนอย่างหนึง่ อาจใชเ้ พื่อเร้าความสนใจในขณะทส่ี อื่ อีก
32
อยา่ งหน่ึงใช้เพอ่ื อธิบายข้อเท็จจรงิ ของเน้ือหาเป็นต้น การใช้สอ่ื ประสมน้ีจะช่วยให้ผูเ้ รียนได้รบั ประสบการณห์ ลาย
ๆ ทางที่ผสมผสานกันซึ่งชว่ ยใหผ้ ้เู รียนได้คน้ พบวธิ ีการในสง่ิ ทีต่ ้องการดว้ ยตนเองมากย่งิ ขึ้น
3. การใชก้ ระบวนการกลมุ่ ความสมั พันธ์ระหวา่ งครูกับนกั เรยี นแตเ่ ดมิ นั้นมลี ักษณะทางเดยี ว คือ ครเู ป็น
ผนู้ ำนกั เรยี นเป็นผู้ตามครูไม่เปิดโอกาสให้นกั เรยี นไดแ้ สดงความคดิ เหน็ อย่างเสรี นักเรยี นจะมโี อกาสพดู กต็ อ่ เมื่อครู
ให้โอกาสพูดเทา่ น้ัน การตัดสินใจของนักเรียนสว่ นใหญ่มักจะตามใจครู ความสมั พันธร์ ะหว่างนกั เรียนดว้ ยกนั ก็แทบ
ไม่มเี ลยเพราะครูไมเ่ ปิดโอกาสใหน้ ักเรียนท างานรว่ มกัน ดังนั้นแนวโนม้ ของการเรียนการสอนในปจั จบุ ัน
จงึ นำเอากระบวนการกลมุ่ มาใชเ้ พื่อฝกึ ฝนให้นกั เรียนไดท้ ำงานร่วมกัน แนวคิดนี้ก็ได้นำมาใช้ในชดุ การสอนด้วย
4. การใช้ทฤษฎกี ารเรยี นร้โู ดยยดึ หลกั จิตวทิ ยาการเรียนรู้ โดยเปดิ โอกาสใหน้ ักเรียนไดเ้ ขา้ รว่ มกิจกรรม
ดว้ ยตนเอง ได้ทราบผลการเรียนของตนเองในทันที มีการเสรมิ แรงในอันท่จี ะใหน้ ักเรยี นกระทำพฤตกิ รรมนัน้ ซ้ำ
หรอื หลีกเล่ยี งการไม่กระทำได้เรยี นรไู้ ปทลี ะขนั้ ตามความสามารถและความสนใจของนักเรยี นแต่ละคน
5. การนำเอาการวเิ คราะหร์ ะบบมาใช้ในชุดการเรียนการสอนโดยการจดั เน้ือหาใหส้ อดคล้องกับ
สภาพแวดลอ้ มวัยของผเู้ รยี นและอืน่ ๆ รายละเอียดเหล่านี้ได้นำไปทำการทดลองและปรับปรงุ จนมีคณุ ภาพเชอ่ื ถอื
ได้ แลว้ จงึ น ามาใชซ้ ึ่งมีการเสนอแนะสำหรับครูตง้ั แตจ่ ุดมุ่งหมายเชงิ พฤติกรรมขั้นตอนการจัดกิจกรรม สือ่ การ
เรยี นการสอนเครื่องมือและวิธีการประเมนิ ผลทุกอย่างในระบบจะต้องสร้างข้นึ มาเป็นแบบบูรณาการ มีความ
เก้ือกลู และสอดคล้องกันเป็นอยา่ งดี
ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ (2526 : 119-200) ได้กล่าวถงึ แนวคดิ และหลกั การของชดุ การสอน ไว้วา่
1. การประยกุ ต์ใช้ทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบคุ คลนักการศึกษาได้นำหลักจติ วทิ ยามาประยุกต์ใชใ้ น
การเรียนการสอน โดยคำนงึ ถึงความตอ้ งการความถนดั และความสนใจของผเู้ รียนเปน็ สำคัญ มนุษยแ์ ตล่ ะคนมี
ความแตกตา่ งกนั ในดา้ นความสามารถสตปิ ญั ญา ความตอ้ งการ ความสนใจ รา่ งกาย อารมณ์ สังคม และความ
แตกตา่ งปลีกย่อยอื่น ๆ
ดังนัน้ ในการนำเอาหลักความแตกต่างเหล่านมี้ าใช้ในกระบวนการเรยี นรู้ ต้องคำนงึ ถงึ ความแตกตา่ ง
ระหว่างบคุ ล วธิ กี ารทเ่ี หมาะสมทส่ี ุดคอื การจัดการเรยี นการสอนรายบคุ คลหรือการศึกษาตามเอกัตภาพ และ
การศกึ ษาด้วยตนเอง ซ่ึงล้วนแต่เป็นการเปิดโอกาสให้ผเู้ รียนอิสระในการเรียนตามสตปิ ัญญา ความสามารถและ
ความสนใจโดยมคี รคู อยแนะน าชว่ ยเหลอื ตามความเหมาะสม ปจั จบุ นั ได้มกี ารทดลองและวิจัยคน้ ควา้ เกี่ยวกบั การ
สอนรายบุคคล อยา่ งกว้างขวางในทกุ ระดบั การศึกษา จนเป็นท่ยี อมรับวา่ การสอนวธิ ีนกี้ าลงั จะกา้ วหนา้ ออกไป
โดยเทคโนโลยที างการศึกษาใหม่ ๆ เป็นเครอื่ งมือชว่ ยในการสอนรายบุคคลด าเนินไปตามจุดหมายปลายทาง
2. ความพยายามที่จะเปลย่ี นการเรียนการสอนไปจากเดมิ ทเ่ี คยยดึ “ครู” เป็นแหล่งความรู้หลัก มาเป็นการ
จดั ประสบการณใ์ ห้ผเู้ รียนด้วยการใชแ้ หล่งความรจู้ ากสอ่ื การสอนแบบตา่ ง ๆ ซ่ึงประกอบดว้ ยวัสดอุ ุปกรณ์และ
33
วธิ ีการ การนำสอ่ื การสอนมาใช้จะต้องจัดให้ตรงกับเน้ือหา และประสบการณ์ตามหน่วยการเรียนของวิชาต่าง ๆ
โดยนยิ มจัดในรปู ของชดุ การเรียนการสอน ดว้ ยวธิ ีน้คี รจู ะถ่ายทอดความรูใ้ หแ้ ก่นักเรยี นเพียงหนงึ่ ในสามส่วน อีก
สองในสามผ้เู รียนจะตอ้ งศึกษาดว้ ยตนเอง จากทค่ี รูเตรียมไว้ให้ในรปู ของชดุ การสอนและทีผ่ สู้ อนชี้แหล่งและชีท้ าง
3. การใช้โสตทศั นปู กรณแ์ ละขยายออกไปเปน็ ส่ือการสอนซ่งึ ครอบคลมุ ถงึ การใช้ส่ิงส้ินเปลอื ง (วัสด)ุ
เครอ่ื งมือต่าง ๆ (อุปกรณ์) และกระบวนการอันไดแ้ ก่การสาธติ ทดลองและกิจกรรมตา่ ง ๆ เดมิ นัน้ การผลิตและ
การใช้ส่อื การสอนมักออกมาในรปู ต่างคนต่างผลติ ตา่ งคนต่างใช้ เปน็ ส่ือเดยี วมิได้มรี ะบบการใช้สื่อหลายอย่าง
บูรณาการให้เหมาะสมและการใช้แหลง่ ความรแู้ ทนการใหค้ รเู ป็นผถู้ า่ ยทอดความรูแ้ ก่นักเรยี นอยูต่ ลอดเวลา
แนวโน้มจึงเปน็ การผลิตสอ่ื การสอนแบบประสมให้เป็นชุดการสอนอนั จะมีผลต่อการใชข้ องครูคือเปลีย่ นจากการใช้
สื่อ“เพื่อชว่ ยครสู อน” คอื ครเู ปน็ ผหู้ ยิบใชอ้ ปุ กรณต์ ่าง ๆ มาเป็นส่ือการสอน“เพ่ือชว่ ยนักเรยี นเรียน” คอื นักเรียนได้
หยิบฉวยและใช้สื่อการสอนต่าง ๆ ด้วยตนเอง
4. ปฏกิ ริ ยิ าสมั พันธ์ระหวา่ งครูกับนกั เรยี น นักเรียนกบั นักเรยี น และนักเรียนกับสงิ่ แวดลอ้ ม แต่ก่อน
ความสัมพันธ์ระหวา่ งครูกับนักเรียนในหอ้ งเรยี นมลี ักษณะเป็นทางเดยี วคือ ครูเปน็ ผนู้ ำและนกั เรียนเปน็ ผตู้ ามครู
มไิ ดเ้ ปดิ โอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเหน็ อยา่ งเสรี นกั เรียนอาจจะมีโอกาสพดู ก็ต่อเมื่อครใู ห้พูด การตดั สินใจ
ของนักเรียนส่วนใหญ่มักจะตามใจครู นกั เรียนเป็นฝ่ายเอาใจครมู ากกวา่ ครูเอาใจนักเรียน จึงปรากฏอยู่บ่อย ๆ วา่
ครวู ิจารณห์ รอื พูดยืดเย้อื นักเรยี นในชัน้ โดยเฉพาะในกรณีที่นกั เรยี นตอบไม่ถกู ต้องตามใจครชู อบหรือกระทำอะไร
ผดิ พลาด แตถ่ า้ นักเรียนทำอะไรดีควรแก่การชมเชยครจู ะนิ่งเฉยเสยี เพราะหากชมแล้วนักเรียนจะเหลงิ ตวั ดังนัน้
นกั เรยี นสว่ นใหญ่จึงพกเอาประสบการณ์ที่ไมพ่ งึ พอใจไว้ เม่ือเติบใหญ่ข้นึ ในส่วนทีเ่ ก่ียวกับความสมั พันธร์ ะหวา่ ง
นกั เรยี นกับนักเรยี นในหอ้ งเรียนแทบไม่มเี ลย เพราะสว่ นใหญ่ไมช่ อบนักเรียนคยุ กัน นกั เรียนจงึ ไมม่ โี อกาสฝึกฝน
ทำงานร่วมกนั นักเรียนจะมโี อกาสพดู ก็ต่อเมือ่ ครใู ห้พดู การตัดสินใจของนักเรียนสว่ นใหญม่ ักจะตามใจครนู กั เรียน
เปน็ ฝ่ายเอาใจครูมากกวา่ ครเู อาใจนกั เรียน นอกจากนี้ปฏกิ ิรยิ าสมั พันธร์ ะหว่างนกั เรยี นกับส่งิ แวดลอ้ ม ก็มกั จะอยู่
เพยี งชอลค์ กระดานดำและแบบเรยี นในหอ้ งเรยี นส่ีเหลย่ี มแคบ ๆ หรือในสนามหญ้า ท่ีสว่ นใหญ่จะถกู ปล่อยให้รก
รา้ งเฉอะแฉะตามฤดูกาล ครไู ม่พานักเรียนออกสูน่ อกสนามนกั การเรยี นการสอนจึงจัดอยใู่ นหอ้ งเรยี นเปน็ สว่ น
ใหญ่ แนวโน้มปัจจบุ นั และอนาคตของกระบวนการเรียนรู้ ต้องน ากระบวนการกลมุ่ สัมพันธม์ าใช้ในการเปิดโอกาส
ใหเ้ ด็กนกั เรียนไดป้ ระกอบกิจกรรม รวมกบั ทฤษฎีกลมุ่ สัมพันธ์ จงึ เปน็ แนวคิดทางพฤติกรรมศาสตรซ์ ่งึ นำมาสูก่ าร
จัดระบบการผลติ ส่ือออกมาในรูปของชุดการสอน
5. การจัดสภาพแวดล้อมการเรียนร้นู ้นั ได้ยดึ หลกั จิตวิทยามาใชโ้ ดยจดั สถานการณ์ออกมาเปน็ การสอนแบบ
โปรแกรม ซ่งึ หมายถงึ ระบบการเรียนการสอนทเี่ ปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นได้เข้ารว่ มกิจกรรมด้วยตนเอง มที างทราบวา่
การตดั สินใจหรอื การทำงานของตนเองถูกหรือผดิ อย่างไร มีการเสริมแรงบวกท่ที ำให้นักเรียนภาคภมู ิใจท่ีได้ทำถูก
34
อันจะทำพฤติกรรมนนั้ ซ้ำอีกในอนาคต และได้คอ่ ยเรียนรู้ไปทีละขัน้ ตามความสามารถและความสนใจของนักเรยี น
เอง โดยไม่ต้องมกี ารบังคบั การจัดสถานการณ์จะเอื้ออำนวยตอ่ การเรียนรตู้ ามนัยดังกลา่ วขา้ งต้นจะเป็นเครอื่ งชว่ ย
ให้บรรลจุ ุดมุ่งหมายปลายทางโดยจัดสอนโปรแกรมในรปู ของกระบวนการและใช้ชุดการสอนเป็นเครื่องมือสำคัญ
จากแนวคิดดังกลา่ วสรปุ ไดว้ า่ การสรา้ งชดุ การสอนได้ยดึ หลักการทฤษฎที างการศึกษาหลายอยา่ ง เช่น
ทฤษฎคี วามแตกต่างระหวา่ งบคุ คลยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การใชส้ ื่อการเรยี นการสอน กระบวนการกลุ่มสมั พันธ์
จิตวทิ ยาการเรยี นรู้ เปน็ ต้น ดังน้ันการทจ่ี ะสรา้ งชดุ การสอนใหไ้ ด้ดีมปี ระสิทธิภาพ ควรคำนึงถงึ หลักการตา่ ง ๆ
ดังกล่าวดว้ ย การเรียนการสอนใช้ชุดการสอนจึงจะบรรลตุ ามวตั ถปุ ระสงค์ท่ตี ั้งไว้
ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น
ผลสัมฤทธ์ิ หมายถงึ ความสำเร็จทไี่ ดร้ บั จากความพยายาม เพือ่ ให้บรรลุเปา้ หมายท่ีต้องการ หรือระดบั ของ
ความสำเร็จที่ได้รับในแตล่ ะด้าน โดยเฉพาะหรือโดยทวั่ ไป
(เดโช สวนานนท์. 2512 : 3-4)
1. ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นเป็นวิธกี ารหนึง่ ที่แสดงให้เห็นถงึ ความสามารถทางเชาว์ปัญญาของบุคคล เด็กที่มี
เชาวป์ ัญญาดี ส่วนใหญแ่ ล้วยอ่ มมผี ลการเรียนที่ดีดว้ ย เนือ่ งจากผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นมสี าเหตุจากการทดสอบ
บคุ คลในดา้ นความรู้ ทกั ษะ และศักยภาพของสมองดา้ นตา่ ง ๆ แต่ในบางครั้งเดก็ ท่ีมผี ลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นต่ำก็
ไม่ไดม้ เี ชาวป์ ัญญาต่ำการที่มผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นต่ำน้นั อาจมีสาเหตุจากสิ่งแวดลอ้ มต่าง ๆ ท่อี ยูร่ อบตวั เดก็ เปน็
อุปสรรคขดั ขวางการเรยี นรู้ เชน่ ความวติ กกังวลในความยากจน ความเบื่อหน่ายหรือเครยี ดจากทางบ้าน ขาดการ
เอาใจใสจ่ ากผ้ปู กครองเนื่องจากพ่อแม่แยกทางกนั ขาดความรบั ผดิ ชอบในการเรียนเนอื่ งจากทางบ้านตามใจมาก
เป็นตน้ (สุธดิ า พลชาน.ิ 2546 : 21)
2. ความหมายของผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน
Good (1973 : 7) ได้ให้ ความหมาย คำวา่ ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน หมายถงึ การเข้าถึงความรู้สกึ หรือพัฒนา
ทกั ษะทางการเรียน ซ่งึ โดยปกตพิ จิ ารณาจากคะแนนสอบจากการอบรมหรือคะแนนท่ีได้จากงานท่ีครมู อบหมายให้
หรือท้ังสองฝา่ ย
ไพศาล หวังพานิช (2545 : 89) ทีใ่ ห้ ความหมาย ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนว่า หมายถงึ คุณลักษณะและ
ความสามารถของบุคคล อนั เกิดจากการเรยี นการสอน เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรม และประสบการณ์การเรียน
ทเี่ กิดขนึ้ จากการฝึกอบรม หรือการสอบจึงเปน็ การตรวจสอบระดับความสามารถของบุคคลวา่ เรยี นแล้วมคี วามรู้
เทา่ ใด สามารถวัดได้โดยการใชแ้ บบทดสอบต่าง ๆ เช่น ใช้ข้อสอบวดั ผลสัมฤทธขิ์ ้อสอบวัดภาคปฏบิ ตั ิ เปน็ ต้น
35
บุญชม ศรสี ะอาด (2545 : 52) ไดใ้ ห้ ความหมาย ของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ว่าหมายถึง แบบทดสอบท่ี
ใช้ความร้คู วามสามารถของบุคคลในดา้ นวชิ าการ ซึง่ เป็นผลจากการเรียนรใู้ นเน้ือหาสาระและตามจดุ ประสงค์ ของ
วิชาหรอื เนื้อหาท่ีสอบนนั้ การเรียนรู้ที่เกดิ จากการฝึกอบรมหรือจากการสอนการวดั ผลสัมฤทธิ์ จงึ เป็นการ
ตรวจสอบความสามารถหรือความสมั ฤทธิผ์ ลของผ้เู รยี น
สมนกึ ภัททิยธนี (2544 : 73-98) ได้ให้ ความหมาย เกยี่ วกบั แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นไวว้ ่า
แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น หมายถึง แบบทดสอบที่วดั สมรรถภาพของสมองดา้ นต่าง ๆ ทน่ี ักเรียน
ไดร้ บั การเรียนรู้ผา่ นมาแลว้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียนประเภทท่คี รสู รา้ งข้ึนจากทีก่ ลา่ วมาข้างต้น
สรุปได้วา่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น หมายถึง แบบทดสอบทว่ี ดั สมรรถภาพของสมองดา้ นตา่ ง ๆ ทำ
ใหบ้ คุ คลเกิดการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมหลังจากได้รบั การฝกึ ฝน อบรมมาแลว้ เช่น วัดความรคู้ วามสามารถของ
บุคคลในดา้ นวิชาการซ่ึงเป็นผลจากการเรียนรเู้ น้ือหาสาระตามจุดประสงคร์ ายวิชาที่สอบน้นั ดงั น้ันการวดั ผล
สมั ฤทธิ์ในการเรยี นจึงเปน็ การตรวจสอบการเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมทางสมองของบุคคลวา่ เรยี นรอู้ ะไรบ้าง และมี
ความสามารถด้านใดมากน้อยเท่าไร
3. การวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน
ภทั รา นคิ มานนท์ (2543 : 23) ได้กลา่ วไวว้ ่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงแบบทดสอบ
ที่ใช้วดั ปรมิ าณความรคู้ วามสามารถทักษะเกีย่ วกับด้านวชิ าการทเ่ี ด็กไดเ้ รยี นรู้มาในอดีต วา่ รับรูไ้ ดม้ ากน้อยเพยี งใด
โดยท่วั ไปแลว้ มักใชห้ ลงั จากทำกจิ กรรมเรยี บร้อยแล้ว เพื่อประเมนิ การเรยี นการสอนว่าได้ผลเพยี งใด สรปุ คำจำกัด
ความผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี น หมายถึง คุณลักษณะและความสามารถของผูเ้ รยี นอันเกดิ จากการเรยี นการสอนเปน็ การ
เปลีย่ นแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์
4. ประเภทของแบบทดสอบผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน
ภพ เลาหไพบูลย์ (อา้ งถึงใน ปญั ญา สุขศริ ิ. 2545 :45 - 46) ไดก้ ล่าวถึงการทดสอบผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน
วา่ สามารถทำได้ 2 ลกั ษณะ คือ
1. การทดสอบแบบองิ กลุ่มหรือการวัดผลแบบอิงกลมุ่ เกิดจากความเชื่อม่นั ในเร่ืองความแตกตา่ ง
ระหว่างบคุ คล โดยถือวา่ บคุ คลมคี วามสามารถในการกระทำหรือปฏบิ ัติในเรื่องใด ๆ น้ันไม่เทา่ กัน การวดั
แบบองิ กลุม่ จงึ ใช้ในการแยกกลุ่มคนและจดั ประเภทกลุ่มคนใช้ในการเรียงลำดับที่การเปรียบเทยี บความสามารถ
ของนักเรียนในด้านความถนัดทางการเรยี น ความสามารถในการใชภ้ าษา และความสามารถทางวชิ าการ
การวัดผลสัมฤทธ์ิแบบอิงกลุ่มจะเปน็ ข้อสอบท่ีครอบคลมุ เนื้อหาวชิ าการทง้ั หมดเปน็ ส่วนใหญ่ ข้อสอบแตล่ ะ
ขอ้ ควรเป็น
36
ข้อสอบท่สี ามารถจำแนกนักเรยี นได้ และสร้างความตรงตามตารางวเิ คราะห์หลกั สตู ร การทดสอบแบบน้ยี ดึ เอา
นักเรยี นส่วนใหญเ่ ปน็ หลกั ในการเปรยี บเทยี บกับคนอื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกนั
2. การทดสอบแบบอิงเกณฑ์หรือการวัดผลแบบองิ เกณฑ์ ยึดตามแนวความเชื่อเรือ่ งการเรียนรู้
เพอ่ื รอบรู้ นักเรียนทุกคนควรไดร้ บั การสง่ เสรมิ และพฒั นาให้ถึงขดี ความสามารถสงู สุดของแต่ละคน การวัดผล
แบบอิงเกณฑใ์ ช้ในการวดั ว่า นักเรยี นแตล่ ะคนมคี วามก้าวหน้าหรือเรียนได้ผลตามวัตถุประสงคข์ องกระบวนวชิ า
เพียงใด เป็นการประเมินความรู้และทักษะทน่ี ักเรยี นได้มีการพฒั นาขึ้นในแต่ละวิชา แบบทดสอบ สร้างขึ้นตาม
วัตถปุ ระสงค์ของการสอนอย่างละเอียด ความสำเรจ็ ของนกั เรียนในการทำแบบทดสอบพิจารณาเทียบกับเกณฑท์ ่ี
กำหนดไวห้ รอื มาตรฐาน การวดั ผลแบบองิ เกณฑ์ จงึ เปน็ การวดั โดยเปรยี บเทยี บคะแนนของนกั เรยี นแต่ละคนกับ
เกณฑห์ รือมาตรฐานทกี่ ำหนดไว้ บุญเชดิ ภญิ โญอนนั ตพงษ์ (อ้างถงึ ใน ปัญญา สุขศริ .ิ 2545 :46 - 47) กล่าวว่า
ผเู้ ชีย่ วชาญทางการศกึ ษาสว่ นมาก มักจะใช้การทดสอบผลสมั ฤทธิว์ ธิ ีใดวิธีหนง่ึ ใน 4 วธิ ี ดงั นี้
1. การทดสอบแบบอิงกล่มุ เปน็ การทดสอบ ซึง่ แปลความหมายของคะแนน โดยการนำเอาผลการ
ปฏิบตั งิ านนนั้ เปรียบเทียบกับผลการปฏิบัตงิ านของคนอ่ืน ๆ ภายในกลมุ่ การแปลความหมายจงึ มีลักษณะ
เชงิ สมั พนั ธ์ คอื ขน้ึ อยู่กบั ผลการปฏิบตั ิของคนอืน่ ๆ วา่ เป็นอย่างไร เป็นประการสำคัญ ไม่วา่ ผลงานของนักเรียนคน
น้นั จะอยูใ่ นระดบั สูงหรือต่ำกว่ากต็ าม แต่ถ้านำไปเปรียบเทียบกับผลงานคนอื่น ๆ แลว้ ดกี วา่ คนอื่น กส็ รุปว่าผลงาน
ของนักเรยี นนนั้ ดีมาก
2. การทดสอบแบบอิงเกณฑ์ เปน็ การทดสอบ ซึง่ แปลความหมายของคะแนน โดยการนำเอาผลการ
ปฏิบตั ิงานนนั้ ไปเทียบกบั มาตรฐานทีแ่ ท้จริง (Absolute Standard) ซงึ่ เปน็ เกณฑ์ภายนอกกลมุ่ ทีก่ ำหนดไว้อย่าง
รอบคอบ โดยไมเ่ ปรยี บเทยี บกับผลงานของคนอน่ื ๆ ภายในกลุม่ ดงั นน้ั ผลงานของนกั เรียนจะอยู่ในระดับ
มาตรฐานหรือไม่ ต้องพจิ ารณาหรือเปรียบเทียบกับมาตรฐานท่แี ทจ้ รงิ เท่านนั้
3. การทดสอบแบบองิ จดุ ประสงค์ เป็นการทดสอบ ซ่งึ แปลความหมายของคะแนน โดยการนำเอาผล
การปฏิบตั งิ านนั้นไปเทยี บกับจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ซึง่ ใช้เปน็ แนวในการเขียนข้อสอบหรอื จดุ ประสงคข์ องการ
สอนเน้ือหานน้ั วา่ ผู้เรยี นเกดิ การเรยี นรูต้ ามจุดประสงค์ไปมากน้อยเพียงใด ซึง่ เป็นการบรรยายความรูข้ องนักเรียน
ไปตามจดุ ประสงค์ แตม่ ไิ ดร้ ะบุหรือตัดสินว่าผเู้ รยี นมคี วามรู้ถงึ ระดบั มาตรฐานหรือไม่
4. การทดสอบแบบอิงมวลความรู้ เป็นการทดสอบ ซ่งึ แปลความหมายของคะแนน โดยการนำเอาผลการ
ปฏิบัตงิ านไปเปรียบเทยี บกับกลุม่ ของงานท่สี ุ่มมาจากจกั รวาลของงานที่นิยามไวอ้ ย่างดแี ล้วว่า นักเรียนมี
ความสามารถเทา่ ไร จากนนั้ จะพยากรณ์ผลงานจากกล่มุ ตวั อย่างหรือแบบทดสอบ ไปประมวลความรู้หรอื จักรวาล
ของงานท้งั หมดนัน้ สถติ ิท่ใี ช้วิเคราะหเ์ ปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธกิ์ ่อนเรยี นและหลงั เรียนงานประดษิ ฐ์ใบตองช้นั
37
ประถมศึกษาปี ท่ี 4 ของกลุ่มทดลองที่เรียนโดยใช้ชุดการสอนใชส้ ถติ ิทดสอบแบบ t – test ในรูป Dependent
Score ซึ่งวิเคราะหด์ ว้ ยโปรแกรมสำเรจ็ รูปทางสถิตเิ พื่อการวิจัยทางสงั คมศาสตร์
5. การหาค่าประสิทธิภาพแบบทดสอบ
5.1 ค่าความยากงา่ ย (Difficulty) แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นโดยใชส้ ูตรของ Brennan
(บญุ ชม ศรีสะอาด. 2535 : 8) ดังนี้
เม่อื P แทน ระดบั ความยากงา่ ย
R แทน จำนวนผู้ตอบถูกท้ังหมด
N แทน จำนวนคนในกลมุ่ สงู และกลุ่มต่ำ
5.2 คา่ อำนาจจำแนก (Discrimination) แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
โดยใชส้ ตู ร ของ Brennan (บุญชม ศรสี ะอาด. 2535 : 81) ดงั นี้
เมอื่ r แทน คา่ อำนาจจำแนก
Ru แทน จำนวนคนกลมุ่ สูงที่ตอบถูก
Rl แทน จำนวนคนกลุ่มตำ่ ท่ีตอบถกู
n แทน จำนวนคนในกลุ่มสงู หรือกลมุ่ ต่ำซง่ึ เท่ากัน
5.3 คา่ ความเชือ่ มั่น (Reliability) แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นโดยใช้สูตร KR -20
(Kuder Richardson) (บุญชม ศรีสะอาด. 2535 : 85-86) ดังนี้
เมอ่ื ru แทน สมั ประสิทธ์ิความเชื่อมัน่
K แทน จำนวนข้อสอบในแบบทดสอบ
p แทน สัดสว่ นของคนท าถูกในขอ้ หน่ึง ๆ (R/N เมื่อ R แทน จำนวนผูต้ อบถูกในข้อนัน้ และ N แทน
จำนวนผเู้ ขา้ สอบ)
q แทน สัดส่วนของคนทำผิดในข้อหน่ึง ๆ =l – P แทน ความแปรปรวนของคะแนนทั้งหมด
4. สถติ ทิ ่ีใชใ้ นการตรวจสอบสมมติฐาน ไดแ้ ก่ วเิ คราะห์ความแตกต่างของคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อน
และหลังเรยี น ของกลุ่มทดลอง โดยใชส้ ูตร t – test แบบ Dependent (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2535 : 109)
t = เมื่อ t แทน ค่าสถิติทใี่ ช้เปรยี บเทียบกับค่าวิกฤติเพ่ือทราบความมีนัยสำคัญ
D แทน ค่าผลต่างระหวา่ งคคู่ ะแนน
N แทน จำวนกลมุ่ ตัวอย่าง
38
สรปุ ได้วา่ การใช้เครื่องมือรวบรวมข้อมูลในการศึกษาคน้ ควา้ เพ่ือให้ไดข้ ้อมูลทต่ี ้องการ จงึ จำเปน็ ต้องใช้
เครื่องมอื ที่เปน็ มาตรฐาน ซง่ึ ผ่านกระบวนการอย่างมีระบบเครอื่ งมือรวบรวมข้อมูลท่ีประกอบด้วยข้อย่อย ๆ
หลาย ๆ ขอ้ รวมกนั ทุกข้อ ตอ้ งมีคณุ ภาพเข้าเกณฑใ์ นดา้ นระดบั ความยากมีอำนาจจำแนกและมีความเทย่ี งตรงตาม
เน้ือหาและเมอ่ื น าทุกขอ้ มารวมกนั เปน็ ฉบบั เครื่องมือท้ังฉบับนั้น ต้องมีคณุ ภาพในดา้ นความเท่ยี งตรงและความ
เชือ่ มั่น
ทกั ษะปฏิบัตงิ านประดิษฐ์
1. ความหมายทักษะปฏิบัติงานด้านทักษะปฏิบัตเิ ป็นจดุ ม่งุ หมายในการเรยี นรู้ เพราะการทำกจิ กรรม
บางอย่างต้องมีการสาธติ การปฏบิ ตั ใิ ห้ผเู้ รียนเกดิ การเรียนร้สู ามารถปฏิบัติตาม พร้อมทั้งการวดั ผลตาม
พฤติกรรมของผู้เรยี น นกั การศึกษาหลายทา่ นได้ให้ความหมายของทกั ษะปฏบิ ัติ ดงั น้ี สมคิด สร้อยน้ำ (2542 : 96)
ไดใ้ หค้ วามหมายของทักษะไว้ดังน้ี ทักษะ หมายถงึ ความคล่องแคลว่ ความชำนาญ และความสามารถในการ
เคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ หรือ การใชอ้ วยั วะสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย ในการทำกจิ กรรมอย่างใดอยา่ งหนง่ึ ได้อยา่ ง
คลอ่ งแคล่ว ถกู ต้อง รวดเรว็ และมีประสทิ ธิภาพ คนท่ีมคี วามสามารถในการทำงานอย่างใดอย่างหนง่ึ ได้
รวดเร็ว คล่องแคล่ว ชานชิ านาญ และถูกต้อง เราเรยี กคน ๆ นั้นวา่ เป็นคนท่ีมที ักษะในการทำงานน้นั ๆ และใน
การเรยี นการสอน ครูมีความจำเปน็ ในการฝกึ ทกั ษะบางอย่างให้นักเรียนเพือ่ นำไปใช้ปฏิบัติงานในชวี ติ ประจำวันได้
เชน่ ฝกึ ทักษะในการอา่ น และเขียนหนังสือ การคิดคำนวณ การเล่นกีฬา การเลน่ ดนตรี เป็นต้น วิชาหรือกล่มุ วิชา
ที่จัดสอนในระดบั ประถมศึกษา จะมวี ชิ า กลุ่มทักษะที่เป็นเคร่ืองมือแห่งการเรยี นรู้ กลุ่มการงานพ้นื ฐานอาชพี กลมุ่
สร้างเสริมลกั ษณะนสิ ัย ในระดับมธั ยมศกึ ษาจะมรี ายวชิ า การงานอาชีพ ดนตรี นาฏศลิ ป์ พลศึกษา เป็นตน้
ศรมี งคล เทพเรณู (2548 : 35) ให้ความหมายของทักษะปฏบิ ัตวิ ่า ความสามารถ ความชำนาญในการ
กระทำบางส่ิงบางอย่างไดเ้ ปน็ อยา่ งดดี ้วยความถูกต้อง แมน่ ยำ ในระยะเวลาท่รี วดเรว็ เช่น การความสามารถใน
การคดิ เลขเรว็ การวาดภาพเร็ว จะต้องเป็นกระบวนการ โดยมขี น้ั ตอนการสอนดงั น้ี
ข้ันท่ี 1 ขัน้ วิเคราะห์ทกั ษะ เนน้ แยกแยะรายละเอียดของเนื้อหาทีจ่ ะนำทักษะเข้าสอดแทรกขณะสอน ซ่งึ
การแยกแยะรายละเอียดอาจทำได้ เช่น การเล่าเรื่องประกอบบทเรยี น ผสู้ อนจะตอ้ งแยกทกั ษะที่จะฝึก
ขนั้ ที่ 2 ข้นั ตรวจสอบความสามารถเบ้ืองต้นเกย่ี วกับทกั ษะที่ผู้สอนควรมกี ารเลือกทดสอบปฏิบตั เิ บือ้ งต้น
กอ่ นว่าผเู้ รียนมที ักษะมาก – น้อย เพียงใด ยงั ขาดอะไร ในวนั แรกควรทา่ ทางวาจา น้ำเสียงในการเล่าเร่ืองความขั้น
ท่ี 1 จะฝึกหดั ส่วนท่ีบกพร่องซ้ำใหม่
ขน้ั ท่ี 3 ขั้นลงมอื ฝกึ ปฏิบัติ คือข้นั ทผี่ สู้ อนลงมือปฏิบตั ิแตล่ ะทักษะในหน่วยยอ่ ย ๆ จนครบบริบรู ณ์
ขนั้ ท่ี 4 ขั้นอธิบายและขนั้ สาธติ ให้กับผ้เู รยี น เป็นข้ันแสดงตวั อย่างและสาธติ ใหผ้ ู้เรยี นดู เชน่ สไลด์
ภาพยนตร์ ฯลฯ
39
อาภรณ์ ใจเทย่ี ง (2550 :67) ได้ใหค้ วามทักษะ คือ ความสามารถในการกระทำสิ่งใดสง่ิ หนึ่งได้อยา่ งถูกต้อง
คลอ่ งแคลว่ ชำนาญและประสิทธภิ าพจากการศกึ ษาความหมายของทกั ษะปฏิบัตกิ ารเรียนรดู้ ้วยกระบวนการ
เรยี นรู้ทกั ษะปฏิบตั ิตามแนวคิดของเดวสี ์
สรปุ ไดว้ า่ เป็นทกั ษะปฏิบตั ิ หมายถงึ การพัฒนาความสามารถของบุคคลใหเ้ กิดความชำนาญในการปฏบิ ตั ิ
กจิ กรรมใดกจิ กรรมหนง่ึ ซึ่งจะตอ้ งใช้การปฏบิ ัตติ ่อเนอ่ื ง ทักษะของบคุ คลจะเกิดข้ึนไดต้ ้องใชก้ ารฝึกปฏบิ ตั บิ อ่ ย ๆ
ทำมาก ๆ และทำอย่างต่อเน่ืองสม่ำเสมอ และเปน็ กระบวนการเรยี นรู้ที่เนน้ ทักษะการปฏิบัติงานท่ีครผู สู้ อนจะต้อง
แบง่ เน้ือหาย่อยมากที่สดุ เพอ่ื ให้ผูเ้ รยี นฝึกทักษะเหล่าน้นั ให้ได้ดจี นเกิดความชำนาญ ในระหวา่ งข้ันตอนการฝึก
ทักษะย่อยแตล่ ะสว่ นนัน้ ครจู ะตอ้ งเป็นผสู้ าธิตการปฏบิ ัติงานและปลอ่ ยให้นักเรยี นฝึกปฏิบตั ิงานด้วยตนเอง โดยไม่
มกี ารสาธติ ใหด้ เู ปน็ ตวั อยา่ ง เมอ่ื ครูผู้สอนเหน็ วา่ นักเรยี นปฏิบตั ิงานแลว้ จงึ สอนเทคนิคและวธิ กี ารท่จี ะช่วยให้
ปฏิบตั งิ านไดร้ วดเรว็ และมีคุณภาพดีขนึ้ เมอ่ื นักเรียนฝกึ ทักษะย่อย ๆ ตา่ ง ๆ ทเี่ ปน็ องค์ประกอบย่อยของงาน
ทงั้ หมดแล้ว จงึ นำประสบการณ์ยอ่ ยเหลา่ นั้นมาสู่วงการปฏบิ ตั งิ านเต็มรปู แบบ
2. รูปแบบการเรยี นการสอนทักษะปฏิบัติทิศนา แขมมณี (2554 : 243 -247) ได้สรุปรูปแบบการเรียนการ
สอนทกั ษะปฏิบตั ิไว้ 3 รปู แบบ ดังน้ี
1. รปู แบบการเรยี นการสอนตามแนวคดิ การพัฒนาทักษะปฏิบัตขิ อง Simpson (Instructional Modal
Based on Simpson’s Processes for Psycho – Motor Skill Development)
1.1 ทฤษฎี / หลักการ / แนวคิด ของรปู แบบ Simpson กลา่ ววา่ ทกั ษะเปน็ เร่ืองท่ีมคี วาม
เกยี่ วขอ้ งกับพัฒนาการทางกายของผ้เู รียน เป็นความสามารถในการประสานทางทำงานของกล้ามเน้ือ หรือ
ร่างกายในการทำงานท่มี ีความซับซ้อน และต้องอาศัยความสามารถในการใช้กลา้ มเน้ือหลาย ๆ ส่วน การทำงาน
ดงั กลา่ วเกิดข้นึ ได้ด้วยการฝึกฝน ซึง่ หากได้รับการฝึกฝนทดี่ ีแลว้ จะเกิดความถูกต้อง ความคลอ่ งแคลว่
ความเชี่ยวชาญชำนาญการ และความคงทน ผลของพฤติกรรมหรือการกระทำ สามารถสังเกตได้จากความรวดเรว็
ความแมน่ ยำ ความแรงหรือความราบร่ืนในการจัดการ
1.2 วัตถุประสงค์ของรปู แบบเพ่ือชว่ ยให้ผูเ้ รียนสามารถปฏิบัติหรือทำงานที่ต้องอาศัยการเคลื่อนไหว
หรอื การประสานงานของกลา้ มเนอ้ื ทั้งหลายได้อย่างดี มีความถกู ต้อง และมีความชำนาญ
1.3 กระบวนการเรยี นการสอนของรปู แบบ
ขนั้ ที่ 1 ข้นั การรบั รู้ (Perception) เปน็ ขั้นการให้ผเู้ รยี นรบั รใู้ นสงิ่ ทจ่ี ะทำโดยการใหผ้ ู้เรียน
สังเกตการณท์ ำงานนน้ั อยา่ งต้ังใจ
40
ขั้นที่ 2 ขัน้ เตรยี มความพรอ้ ม (Readiness) เป็นข้นั การปรับตัวให้พร้อมเพ่ือการทำงานหรอื แสดง
พฤติกรรมนั้น ทัง้ ทางดา้ นรา่ งกาย จติ ใจ และอารมณ์ โดยการปรบั ตัวให้พรอ้ มที่จะทำการเคล่อื นไหวหรือแสดง
ทักษะน้นั ๆ และมจี ติ ใจและสภาวะอารมณ์ที่ดตี ่อการจะทำหรือแสดงทักษะน้ัน ๆ
ขน้ั ท่ี 3 ขั้นการสอนตอบภายใต้การควบคุม (Guided Response) เปน็ ขน้ั ทใ่ี ห้โอกาสแกผ่ ูเ้ รียนใน
การตอบสนองต่อส่งิ ท่ีรับรู้ ซงึ่ อาจใชว้ ิธกี ารให้ผเู้ รยี นเลยี นแบบการกระทำหรือแสดงทักษะนนั้ หรอื อาจใชว้ ธิ กี ารให้
ผ้เู รยี นลองผิดลองถูก (Trial and Error) จนกระท่ังสามารถตอบสนองได้อยา่ งถูกต้อง
ขน้ั ที่ 4 ขั้นการใหล้ งมอื กระทำจนกลายเปน็ กลไกท่ีสามารถกระทำไดเ้ อง (Mechanism) เป็นขนั้ ท่ี
ชว่ ยใหผ้ เู้ รียนประสบผลสำเรจ็ ในการปฏบิ ตั ิ และเกิดความเช่ือมน่ั ในการทำสิง่ นั้น ๆ
ขน้ั ท่ี 5 ขัน้ การกระทำอยา่ งชำนาญ (Complex Overt Response) เปน็ ขั้นท่ชี ่วยใหผ้ ้เู รยี นได้
ฝกึ ฝนการกระทำนน้ั ๆ จนผูเ้ รยี นสามารถทำได้อย่างคล่องแคลว่ ชำนาญเป็นไปอย่างอัตโนมัติ และดว้ ยความ
เชือ่ มนั่ ในตนเอง
ข้นั ที่ 6 ขัน้ การปรบั ปรงุ และประยุกต์ใช้ เป็นขัน้ ท่ชี ่วยใหผ้ เู้ รยี นปรบั ปรงุ ทกั ษะหรือการปฏิบตั ิของ
ตนให้ดยี ิง่ ข้ึน และประยุกต์ใช้ทกั ษะทีต่ นได้รับการพัฒนาในสถานการณ์ต่าง ๆ
ขน้ั ท่ี 7 ขนั้ การคิดริเรม่ิ เมื่อผู้เรยี นสามารถปฏบิ ัติหรือกระทำสง่ิ ใดสิง่ หนึ่งอยา่ งชำนาญ และสามารถ
ประยุกต์ใชใ้ นสถานการณท์ ี่หลากหลายแลว้ ผ้ปู ฏบิ ตั จิ ะเริม่ เกดิ ความคิดใหม่ ๆ ในการกระทำนน้ั ให้เป็นไปตามที่
ตอ้ งการ
1.4 ผลทผี่ เู้ รยี นจะไดร้ บั จากการเรยี นตามรูปแบบ ผ้เู รยี นจะสามารถกระทำหรือแสดงออกอย่าง
คล่องแคลว่ ชำนาญในสิง่ ที่ต้องการให้ผู้เรยี นทำได้ นอกจากน้นั ยังชว่ ยพฒั นาความคิดสรา้ งสรรค์และความอดทน
ให้เกดิ ขึ้นในตวั ผูเ้ รียนดว้ ย
2. รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏบิ ตั ิของ Harrow (Harrow’s Instructional Modal for
Psychomotor Domain)
2.1 ทฤษฎี/หลักการ/แนวคดิ ของรูปแบบ Harrow (1972 : 96 – 99) ได้จดั ลำดับข้ันของการเรียนรู้
ทางดา้ นทักษะปฏบิ ตั ไิ ว้ 5 ขัน้ โดยเรม่ิ จากระดบั ท่ีซับซ้อนน้อยไปจนถงึ ระดับท่ีมีความซบั ซ้อนมาก ดงั น้ันการ
กระทำจึงเร่ิมจากการเคลอื่ นไหวกลา้ มเนือ้ ใหญ่ไปถึงการเคล่ือนไหวกลา้ มเนื้อย่อย ลำดับข้นั ดงั กลา่ ว ได้แก่
การเลียนแบบ การลงมอื กระทำตามคำสัง่ การกระทำอยา่ งถูกต้องสมบูรณ์ การแสดงออกและการกระทำอยา่ งเป็น
ธรรมชาติ
2.2 วัตถุประสงค์ของรปู แบบรปู แบบน้มี ุ่งให้ผ้เู รยี นเกิดความสามารถทางด้านทักษะปฏบิ ัติต่าง ๆกลา่ วคือ
ผ้เู รียนสามารถปฏบิ ตั ิหรอื กระทำอย่างถูกต้องสมบรู ณ์และชำนาญ
41
2.3 กระบวนการเรียนการสอนของรปู แบบ
ข้นั ท่ี 1 ข้นั การเลียนแบบ เปน็ ขน้ั ท่ใี หผ้ เู้ รียนสังเกตการณ์กระทำที่ต้องการให้ผู้เรียนทำได้ ซ่งึ ผู้เรยี น
ย่อมจะรับรู้หรือสงั เกตเห็นรายละเอยี ดต่าง ๆ ได้ไม่ครบถ้วนแต่อย่างน้อยผเู้ รยี นจะสามารถบอกไดว้ ่า ขั้นตอนหลัก
ของการกระทำนั้น ๆ มีอะไรบ้าง
ขน้ั ที่ 2 ขนั้ การลงมอื กระทำตามคำสั่ง เม่ือผู้เรียนได้เห็นและสามารถบอกขั้นตอนของการกระทำที่
ตอ้ งการเรียนร้แู ล้ว ให้ผู้เรียนลงมอื ทำโดยไมม่ ีแบบอย่างให้เห็นผู้เรียนอาจลงมอื ทำตามคำสง่ั ของผู้สอน หรอื ทำ
ตามคำสั่งทีผ่ ู้สอนเขียนไวใ้ นคู่มือก็ได้ การลงมอื ปฏบิ ัติตามคำส่งั น้ี แมผ้ ู้เรียนจะยังไม่สามารถทำได้อยา่ งสมบรู ณ์
แตอ่ ย่างน้อยผ้เู รยี นก็ได้ประสบการณ์ในการลงมือทำและค้นพบปญั หาต่าง ๆ ซ่งึ ชว่ ยใหเ้ กดิ การเรียนรูแ้ ละปรบั การ
กระทำให้ถูกตอ้ งสมบูรณข์ ึ้น
ขนั้ ที่ 3 ขนั้ การกระทำอยา่ งถูกต้องสมบูรณ์ (Precision) ขั้นนเี้ ป็นข้นั ทผี่ เู้ รียนจะต้องฝึกฝนจนสามารถ
ทำสิง่ นั้น ๆ ได้อย่างสมบรู ณ์ โดยไม่จำเป็นต้องมแี บบอยา่ งหรอื มคี ำสัง่ นำทางการกระทำ การกระทำท่ีถูกต้อง แม่น
ตรง พอดี สมบรู ณ์แบบ เปน็ ส่ิงท่ีผเู้ รียนจะต้องสามารถทำไดใ้ นข้ันน้ี
ข้นั ท่ี 4 ขั้นการแสดงออก (Articulation) ขน้ั น้ีเป็นขัน้ ท่ผี ้เู รียนมโี อกาสไดฝ้ กึ ฝนมากขนึ้ จนกระท่ัง
สามารถกระทำสง่ิ นนั้ ไดถ้ ูกต้องสมบูรณแ์ บบอย่างคลอ่ งแคล่ว รวดเร็วราบร่ืน และดว้ ยความมนั่ ใจ
ข้ันท่ี 5 ขนั้ การกระทำอย่างเป็นธรรมชาติ (Naturalization) ขัน้ นี้เปน็ ขั้นท่ีผู้เรยี นสามารถกระทำสิ่ง
นนั้ ๆ อยา่ งสบาย ๆ เป็นไปอยา่ งอัตโนมัติโดยไม่รูส้ ึกว่าต้องใชค้ วามพยายามเป็นพิเศษ ซึ่งตอ้ งอาศัยการปฏบิ ัติตน
บ่อย ๆ ในสถานการณต์ า่ ง ๆ ทห่ี ลากหลาย
2.4 ผลทผี่ ูเ้ รยี นจะไดร้ ับจากการเรยี นตามรูปแบบผเู้ รยี นจะเกิดการพัฒนาทางด้านทักษะปฏิบตั ิ
จนสามารถกระทำได้อย่างถูกต้องสมบรู ณ์
3. รูปแบบการเรยี นการสอนทักษะปฏิบตั ิของ Davies (Davies’ Instructional Modal for Psychomotor -
Domain)
3.1 ทฤษฎหี ลกั การแนวคิดของรปู แบบ Davies (1971 : 50 – 56) ไดน้ ำเสนอแนวคิดเกย่ี วกับการพฒั นา
ทักษะปฏบิ ัติไว้วา่ ทักษะส่วนใหญจ่ ะประกอบไปดว้ ยทักษะยอ่ ย ๆ จำนวนมาก การฝึกให้ผู้เรียนสามารถทำทักษะ
ย่อย ๆ เหลา่ น้นั ได้กอ่ นแลว้ ค่อยเชื่อมโยงต่อกนั เปน็ ทกั ษะใหญ่ จะช่วยใหผ้ ู้เรยี นประสบความสำเรจ็ ไดด้ แี ละเรว็
ข้นึ
3.2 วตั ถุประสงค์ของรูปแบบรูปแบบนี้ มุง่ ช่วยพัฒนาความสามารถด้านทักษะปฏิบตั ิของผู้เรียน โดยเฉพาะ
อย่างยง่ิ ทักษะทีป่ ระกอบดว้ ยทกั ษะยอ่ ยจำนวนมาก
3.3 กระบวนการเรยี นการสอนของรปู แบบ
42
ขัน้ ท่ี 1 ขนั้ สาธติ ทักษะหรือการกระทำ ข้ันน้เี ปน็ ขัน้ ทใ่ี ห้ผู้เรียนได้เห็นทักษะหรือการรกระทำท่ี
ตอ้ งการให้ผูเ้ รยี นที่ ได้ในภาพรวม โดยสาธติ ใหผ้ ูเ้ รยี นดูทัง้ หมดตงั้ แต่ตน้ จนจบ ทักษะหรอื การกระทำท่สี าธติ ให้
ผเู้ รยี นดูนัน้ จะต้องเปน็ การกระทำในลักษณะทีเ่ ปน็ ธรรมชาติ ไมช่ ้าหรือเรว็ เกนิ ปกติ ก่อนการสาธิตครคู วรให้
คำแนะนำแก่ผู้เรยี นในการสังเกต ควรชีแ้ นะจุดสำคัญทีค่ วรใหค้ วามสนใจเปน็ พเิ ศษในการสังเกต
ขั้นท่ี 2 ขั้นสาธติ และใหผ้ ู้เรยี นปฏิบตั ิทักษะย่อย เมือ่ ผเู้ รียนไดเ้ ห็นภาพรวมของการกระทำหรือ
ทักษะท้ังหมดแลว้ ผสู้ อนควรแตกทักษะทง้ั หมดใหเ้ ป็นทักษะย่อย ๆ หรอื แบง่ สิง่ ทีก่ ระทำออกเป็นส่วนยอ่ ย ๆ และ
สาธิตสว่ นย่อยแตล่ ะส่วนให้ผ้เู รียนสังเกตและทำตามไปทลี ะสว่ นอยา่ งช้า ๆ
ข้นั ที่ 3 ข้ันให้ผเู้ รียนปฏบิ ตั ทิ ักษะยอ่ ย ผูเ้ รยี นลงมือปฏบิ ัตทิ ักษะยอ่ ยโดยไม่มกี ารสาธิตหรอื มี
แบบอย่างใหด้ ู หากตดิ ขดั จดุ ใด ผู้สอนควรให้คำชี้แนะ และช่วยแก้ไขจนกระท่ังผเู้ รยี นทำได้ เมือ่ ไดแ้ ล้วผสู้ อนจึง
เรม่ิ สาธติ ทกั ษะย่อยส่วนตอ่ ไป และให้ผเู้ รียนปฏบิ ตั ทิ ักษะน้นั จนทำได้ ทำเช่นนเ้ี ร่ือยไปจนกระทงั่ ครบทุกส่วน
ขนั้ ที่ 4 ขั้นให้เทคนคิ วธิ กี าร เมอ่ื ผู้เรยี นปฏิบัติได้แล้ว ผ้สู อนอาจแนะนำ
เทคนิควิธกี ารทจ่ี ะชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นสามารถทำงานนน้ั ได้ดีย่ิงข้ึน เชน่ ทำได้ประณตี สวยงามข้นึ ทำไดร้ วดเร็วขน้ึ ทำได้
งา่ ยขน้ึ หรือสน้ิ เปลอื งน้อยลง เปน็ ต้น
ขั้นท่ี 5 ข้นั ใหผ้ เู้ รียนเชื่อมโยงทกั ษะย่อย ๆ เป็นทกั ษะท่สี มบรู ณ์ เม่ือผ้เู รียนสามารถปฏิบัติแตล่ ะสว่ น
ไดแ้ ล้ว จงึ ให้ผู้เรยี นปฏบิ ัตทิ กั ษะย่อย ๆ ต่อเนื่องกันตงั้ แต่ต้นจนจบ และฝกึ ปฏิบัตหิ ลาย ๆ ครัง้ จนกระท่ังสามารถ
ปฏบิ ัติทกั ษะทีส่ มบูรณไ์ ด้อย่างชำนาญ
3.4 ผลทผ่ี เู้ รียนจะไดร้ ับจากการเรยี นตามรูปแบบนี้ ผเู้ รียนจะสามารถปฏิบัติทักษะได้เป็นอย่างดี มี
ประสิทธภิ าพจากท่กี ลา่ วมาข้างต้นสรปุ ได้วา่ รปู แบบการเรียนการสอนทักษะปฏบิ ัตทิ ั้ง 3 รปู แบบ เป็กระบวนการ
เรียนรทู้ ม่ี งั่ พฒั นาความสามารถของผู้เรยี นในดา้ นการปฏิบัติ การกระทำหรอื การแสดงออกอย่างคล่องแคลว่
ชำนาญ มปี ระสิทธิภาพอยา่ งสมบูรณ์ ซง่ึ ผ้ศู กึ ษาค้นควา้ ไดเ้ ลือกรูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏบิ ัตติ ามแนวคดิ
ของเดวีส์ มาใช้ในการพฒั นาทักษะปฏิบัติโดยใชก้ ิจกรรมการเรยี นรแู้ บบโครงงาน กลมุ่ สาระการเรยี นรู้การงาน
อาชพี และเทคโนโลยี เรือ่ ง การประดิษฐ์ของเล่นจากเศษวัสดุ ชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 4 ซ่ึงเป็นกระบวนการ
เรยี นรูท้ ี่เนน้ ทกั ษะปฏบิ ัติ จากทักษะสว่ นใหญ่ จะประกอบไปด้วยทักษะย่อยจำนวนมาก การฝกึ ใหผ้ ูเ้ รยี น
สามารถท าทักษะย่อย ๆ เหล่านั้น แล้วคอ่ ยเชอื่ มโยงต่อกันเปน็ ทักษะใหญจ่ ะช่วยใหผ้ ู้เรยี นประสบผลสำเรจ็ ได้ดี
และรวดเร็วขน้ึ
4. ประเภทของทกั ษะปฏบิ ตั ิ ศรีมงคล เทพเรณู (2548 : 36) ไดจ้ ำแนกประเภทของทักษะตามระดบั
การเรยี นรทู้ ักษะไว้ 2 ประเภท คือ
43
1. ทักษะทางกลไกการสมั ผสั (Sensorimotor Skills) เปน็ กลไกท่เี กิดข้ึนโดยอตั โนมตั ิ เช่น การเดนิ
การฟ้อนรำ การขบั รถ ฯลฯ เป็นต้น
2. ทักษะทางกลไกการรับรู้ (Perceptual Motor Skills) เปน็ ทักษะระดับที่ซับซ้อน เช่น ขณะท่นี ้วิ เขียน
หนงั สือ วิธกี ารเรยี นทกุ ข้นั ตอน ตอ้ งการใชค้ วามคลาดเคลอื่ นไหวของนวิ้ และมือ การจำการคดิ และสายตา
จากการจำแนกประเภทของทักษะเปน็ การจำแนกตามลกั ษณะการนำทักษะไปใชก้ ับสภาพการณ์ตา่ ง ๆ แตเ่ ม่อื
นำทกั ษะไปใชฝ้ กึ ควรดำเนนิ การตามลำดบั 3 ข้นั ตอน ดังนี้
ขน้ั ที่ 1 ขัน้ ความรู้ เป็นขั้นทผี่ ูเ้ รยี น เรยี นจนเกิดความเข้าใจเป็นการเรียนรู้ขั้นตอนต่าง ๆ ในการปฏบิ ัติ
ตนไดถ้ ูกต้อง
ขน้ั ท่ี 2 ขัน้ ปฏิบัติดี เปน็ ขนั้ ทต่ี ้องลงมือปฏิบัติเบ้อื งต้น ซ่ึงอาจมีขอ้ ผดิ พลาดมากน้อยแลว้ แตค่ วาม
ลำบาก ความถนัด ความสนใจของแตล่ ะบุคคล จนกระทงั่ ไมม่ ีข้อผดิ พลาด
ขั้นที่ 3 ขัน้ เพิ่มพูนความชำนาญถึงขน้ั อัตโนมัติ จะมปี ระสบการณม์ ากและทำไดถ้ ูกต้องในระยะเวลา
อนั รวดเรว็ และมีโอกาสทีจ่ ะผิดพลาดนอ้ ยมาก เชอื่ ว่าเป็นข้ันผเู้ ชีย่ วชาญสำหรบั ข้ันการฝกึ ทกั ษะนนั้ ต้องทำเป็น
ลำดบั จงึ จะได้ผลตามที่ต้องการ แต่ต้องอาศยั สภาพการณ์สำคัญทีม่ ผี ลต่อการฝึกทกั ษะเพื่อให้เกดิ ความชำนาญ
แมน่ ยำจงึ ควรคำนึงถงึ สง่ิ ต่อไปน้ี
1. การมสี ิง่ เรา้ และการตอบสนองควรเกดิ ข้นึ พร้อม ๆ กนั จึงตอ้ งมคี วามสัมพันธก์ ันโดยจะตอ้ งมกี ารจดั
อนั ดับการประสานสัมพนั ธท์ ่ีเหมาะสมจะช่วยให้การฝกึ ทักษะได้ผล
2. การฝึกปฏบิ ัติจัดวา่ เปน็ สภาพการณ์ภายนอกท่ชี ว่ ยทบทวนบางสว่ น หรอื ชว่ ยประสานย่อย ๆ เพ่อื ให้
การปฏบิ ตั เิ กิดข้ึนตามลำดบั เหมาะสมกับเวลาสามารถป้องกันการเสยี เวลา แต่ถ้าต้องการฝึกจนชำนาญการปฏิบตั ิ
สามารถแบง่ ได้ 2 ประเภท คือ
2.1 การฝึกปฏบิ ตั ิแบบยาว โดยไมม่ ีการหยดุ พกั
2.1 การฝกึ ปฏิบตั ิแบบสัน้ สลับกบั การหยดุ พกั จะชว่ ยใหเ้ กิดผลดีมากกวา่ การฝึกแบบระยะยาว
ที่ไม่มีการหยุดพัก
3. การรับร้ผู ลการฝึกปฏิบัติ จะเปน็ ผลช่วยให้เกิดการเสริมแรงทางด้านการให้รางวลั หรือความพึงพอใจใน
ด้านการเรียนรู้ จากการศึกษาค้นควา้ เรอ่ื งประเภทของทกั ษะปฏบิ ตั จิ งึ สรปุ ไดว้ า่ การฝึก
ปฏบิ ตั ทิ กั ษะจำแนกได้ 2 ประเภท คอื ทักษะทางกลไกการสัมผสั และทักษะทางกลไกการรบั รู้
4. ลำดบั ขัน้ ในการสอนเพอ่ื ให้เกดิ ทักษะกระบวนการสอนทีท่ ำให้ผ้เู รียนเกิดทักษะ จงึ จำเปน็ อยา่ งย่ิงที่ครู
จะตอ้ งทราบขั้นตอน เพ่ือนำไปดำเนินการจดั กิจกรรมใหน้ ักเรยี นเกิดทกั ษะในเรือ่ งทีจ่ ะสอน โดยพิจารณาจาก
ขนั้ ตอนต่อไปน้ี
44
ข้นั ที่ 1 ผู้สอนจะต้องแสดงการประกอบทักษะที่ตอ้ งการสอนใหผ้ ้เู รยี นเกิดทักษะได้ดูก่อนเป็นอนั ดบั แรก
ข้นั ท่ี 2 ผสู้ อนจะต้องแสดงข้นั ตอนของการประกอบทักษะทจ่ี ะสอนน้ันใหผ้ ูเ้ รียนมองเหน็ เป็นข้นั ตอน
อยา่ งชดั เจน
ขน้ั ที่ 3 ผสู้ อนแสดงสาธิตการประกอบทักษะที่จะสอนให้ผู้เรียนดูอย่างช้า ๆ พร้อมท้ังอธิบายเทคนคิ วิธี
ตามลำดบั ขนั้ ตอนให้ฟงั อกี คร้ัง
ข้ันที่ 4 ผสู้ อนเปดิ โอกาสใหผ้ ้เู รียนฝกึ ทกั ษะตามข้ันตอนดว้ ยตนเองอยา่ งต่อเนื่องหรอื ฝึกทกั ษะอยู่บ่อย ๆ
จนเกดิ ความชำนาญ
ข้ันท่ี 5 ผูส้ อนช้ีแจงใหผ้ ้เู รียนทราบถงึ เกณฑ์และการประเมนิ ผลด้านทักษะว่ามีอย่างไร เชน่ นับได้
เทา่ ไหร่จึงจะถือวา่ มีทักษะตามเกณฑ์ หรือใช้เวลาเท่าใดทำสำเรจ็ จึงจะถือวา่ มที ักษะ ฯลฯ เปน็ ตน้ ซงึ่ เกณฑ์น้ี
มักจะเกี่ยวข้องกับเวลาและปริมาณ หรือคุณภาพอยดู่ ว้ ยเสมอ
สุพนิ บญุ ชูวงศ์ (2544 : 32 ) ไดอ้ ธบิ ายถึงการสอนทักษะเพ่ือให้เกิดทักษะตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. วิเคราะห์ทักษะน้ัน โดยพิจารณาแยกแยะรายละเอียดของทักษะนนั้ ออกมาให้ชัดเจน เชน่ การสอนตี
เทนนิส
1.1 ตำแหนง่ การยนื ยนื ทใี่ ด ยืนอยา่ งไร
1.2 การตีลกู ขา้ งหน้า ถือไม้อย่างไร ตาดูทใ่ี ด
1.3 การตีลูกหลัง ยนื อยา่ งไร ถือไมท้ ่าใด
2. ตรวจสอบความสามารถเบ้อื งตน้ ท่เี กี่ยวกบั ทกั ษะของนกั เรียนว่ามอี ะไรเพียงใด เชน่ ทดสอบการปฏบิ ัติ
เบือ้ งต้นต่าง ๆ ตามลำดบั กอ่ นหลงั การยืน การจบั ไม้ การตีลูก และอ่ืน ๆ
3. การจัดฝกึ เรอ่ื งต่าง ๆ โดยเฉพาะต้องฝกึ เร่ืองท่นี ักเรียนยังทำไมไ่ ด้
4. อธบิ ายและสาธิตทกั ษะให้นักเรยี นดูและสงั เกต
5. จัดการเรียนใหเ้ กดิ ทักษะ โดยก าหนดเวลาของการปฏบิ ัติใหด้ ี จะใช้เวลาแตล่ ะคร้ังนานเพียงใด จะหยดุ พัก
มากน้อยเพยี งใด การฝึกแบง่ เป็นก่คี ร้ัง และข้อสำคญั ควรให้รู้ผลของการปฏิบตั ิเพ่ือนักเรยี นจะได้แก้ไขได้ถกู ตอ้ ง
จากการศึกษาคน้ ควา้ การสอนเพ่อื ให้เกดิ ทักษะจึงสรปุ ได้วา่ การสอนทักษะจะต้องประกอบไปด้วยขน้ั ตอนหลาย
ขั้นตอนอยา่ งต่อเนื่องภายในเวลาทก่ี ำหนด จงึ จะทำใหผ้ เู้ รียนเกดิ ความชำนาญในการปฏิบตั ทิ ักษะประสบผลสำเร็จ
ในการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ กระบวนการเรยี นร้ดู ้านทกั ษะ การกระทำต่าง ๆ ของผเู้ รียน จากการปฏิบัตซิ ง่ึ
กอ่ ให้เกดิ กระบวนการเรียนรู้ด้านทกั ษะ ทผ่ี สู้ อนกำหนดเพ่ือใหผ้ ู้เรียนได้ปฏบิ ัติตามขนั้ ตอนท่ถี ูกต้องจงึ มผี ู้ให้
ความสำคญั ถึงกระบวนการเรียนรู้ไว้
45
6. กระบวนการเรียนรสู้ มคิด สร้อยน้ำ (2542 : 98) ได้ให้ความสำคัญของกระบวนการเรียนร้ดู ้วย ทกั ษะวา่ การท่ี
นักเรียนจะเกดิ ทักษะทีน่ ักเรียนจะเกดิ ทกั ษะในการกระทำส่ิงต่าง ๆ ได้ ต้องอาศัยกระบวนการเรยี นรดู้ า้ นทักษะใน
ตวั ของนกั เรยี นเอง ดังนี้
ขั้นที่ 1 นักเรยี นจะต้องเลยี นแบบจากการที่ผู้สอนทำให้ดู
ขนั้ ท่ี 2 นกั เรยี นจะทดลองทำด้วยตนเอง ตามแบบทผี่ ู้สอนทำใหด้ แู ละให้นักเรียนเลยี นแบบแล้วในขั้นท่ี 1
ขั้นที่ 3 นักเรยี นจะทดสอบหาความถกู ต้อง แม่นยำของการประกอบทักษะของตน ซ่ึงผสู้ อนอาจจะชว่ ยให้
เกิดความกระจา่ ง หรือแสดงเทคนคิ วิธปี ระกอบทกั ษะอยา่ งชา้ ๆ พรอ้ มท้ังอธบิ ายขนั้ ตอนให้ผู้เรยี นทราบ
ขน้ั ท่ี 4 นักเรยี นจะตอ้ งฝึกทำทักษะด้วยตนเองอยา่ งตอ่ เนือ่ งอยบู่ ่อย ๆหรอื เป็นประจำเพื่อให้เกิดความ
ชำนาญเพม่ิ ย่งิ ข้นึ
ข้นั ท่ี 5 เม่ือถึงขั้นนี้ นักเรยี นฝกึ ทักษะจนมีความชำนาญมาก ถึงขัน้ ท่สี ามารถปฏบิ ตั ิได้อยา่ งอตั โนมัตโิ ดยไม่
ตอ้ งคำนึงถึงขั้นตอนของทักษะท่ีจะตอ้ งทำอีกต่อไป
สพุ นิ บุญชูวงศ์ (2544 : 31) ได้ให้ความหมายและความสำคัญของขั้นตอนในการสอนทักษะไวว้ ่า การสอนทักษะ
คอื การทีใ่ หน้ กั เรียนใชร้ า่ งกายทำสิ่งต่าง ๆ เช่น ทำงาน เล่นแต่งตวั ทำงานบ้าน และทักษะน้เี ปน็ สว่ นสำคญั ทท่ี ำ
ให้คนเรามงี านอดเิ รกและใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชน์ ธรรมชาติของงานทุกประเภทต้องการทักษะท้ังสิ้นมี
ผลการวิจัยยนื ยนั ว่า เดก็ ท่ีมีทักษะทางดา้ นการใชร้ า่ งกายจะเป็นผูท้ ี่มีความเช่ือมน่ั และเป็นท่ียอมรบั ของเพ่ือนฝงู
ท้งั ยังเปน็ ผ้ทู ่เี รียนเน้ือหาวิชาได้ดอี ีกดว้ ย ข้ันต่าง ๆ ของการเรียนทักษะมี 3 ขนั้ คอื
1. ข้นั ความรู้ เป็นขน้ั ท่ีนกั เรยี นจะต้องศึกษาใหเ้ ข้าใจว่าข้ันต่าง ๆ ในการฏบิ ตั ิทักษะนน้ั กระทำอยา่ งไร
2. ขน้ั ลงมอื ปฏิบตั ิ จนกระทงั่ ไม่มีความผดิ พลาด
3. ขน้ั เพิม่ พนู ความชำนาญจนถึงข้ันทำได้โดยอตั โนมัติ เปน็ ขั้นทท่ี ำไดร้ วดเรว็ ถูกต้อง De Cecco (1968 :
309-319) กล่าววา่ ทักษะ คือ การกระทำท่ีมีการตอบสนองต่อส่งิ เรา้ โดยการตอบสนองนน้ั ๆ มีลักษณะ
ตอ่ เนอ่ื งกัน การตอบสนองนน้ั ๆ เปน็ การประสานงานกนั ของการเคล่ือนไหวของกล้ามเน้ือ ต้ังแต2่ สว่ นขน้ึ ไป การ
ตอบสนองนนั้ ๆ มีการแสดงออกท่เี ปน็ กระบวน (Response Patten) Simpson (1972) กล่าวว่า ทักษะปฏบิ ตั ิน้ี
สามารถพฒั นาได้ด้วยการฝกึ ฝน ซงึ่ หากได้รับการฝึกฝนทีด่ ีแล้ว จะเกดิ ความถกู ต้อง ความคลอ่ งแคล่ว ความ
เช่ียวชาญชำนาญการ และความคงทน ผลของพฤติกรรมหรือการกระทำสามารถสังเกตไดจ้ ากความรวดเร็ว
ความแม่นยำ ความแรง หรอื ความราบรนื่ ในการจัดการ ซง่ึ กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบ มที ัง้ หมด 7 ขั้น
คือ
46
1. ขั้นการรบั รู้ (Perception) เป็นขนั้ การใหผ้ ้เู รยี นรับรใู้ นส่ิงที่จะทำโดยการให้ผู้เรยี นสังเกตการณท์ ำงาน
นัน้ อยา่ งตง้ั ใจ
2. ขั้นการเตรียมความพร้อม (Readiness) เป็นข้ันการปรบั ตัวให้พร้อมเพือ่ การทำงานหรอื แสดง
พฤติกรรมน้ันทัง้ ทางด้านร่างกาย จติ ใจ และอารมณ์ โดยการปรบั ตัวให้พรอ้ มทจ่ี ะทำการเคล่อื นไหวหรอื แสดง
ทักษะนนั้ ๆ และมจี ติ ใจ สภาวะอารมณ์ ทดี่ ตี ่อการท่จี ะทำหรอื แสดงทักษะน้ัน ๆ
3. ขนั้ การสนองตอบภายใต้การควบคุม (Guided Response) เปน็ ขน้ั ทีใ่ ห้
โอกาสแก่ผ้เู รียนในการตอบสนองต่อสิง่ ทร่ี บั รู้ ซ่งึ อาจใช้วิธกี ารให้ผู้เรยี นเลียนแบบการกระท า
หรือการแสดงทกั ษะน้ัน หรืออาจใช้วธิ ีการใหผ้ เู้ รยี นลองผดิ ลองถกู (Trial and Error) จนกระท่ังสามารถ
ตอบสนองได้อย่างถูกต้อง
4. ขัน้ การให้ลงมอื กระทำจนกลายเป็นกลไกทส่ี ามารถกระทำได้เอง
(Mechanism) เปน็ ขน้ั ทช่ี ่วยให้ผูเ้ รยี นประสบผลสำเร็จในการปฏิบัติและเกดิ ความเชอ่ื มน่ั ในการกระทำสิ่งน้นั ๆ
5. ข้ันการกระทำอยา่ งชำนาญ (Complex Overt Response) เป็นข้นั ทช่ี ว่ ย
ใหผ้ เู้ รยี นได้ฝกึ ฝนการกระทำนน้ั ๆ จนผเู้ รยี นสามารถทำได้อยา่ งคล่องแคลว่ ชำนาญ เป็นไปโดยอตั โนมัติ และด้วย
ความเชอื่ ม่ันในตนเอง
6. ขน้ั การปรับปรงุ และประยุกตใ์ ช้ (Adaptation) เป็นขั้นที่ชว่ ยให้ผเู้ รยี นปรบั ปรงุ ทักษะ หรือการปฏบิ ัติ
ของตนให้ดีย่ิงข้ึน และประยุกต์ใชท้ ักษะท่ตี นได้รับการพฒั นาในสถานการณต์ า่ ง ๆ
7. ขน้ั การคดิ รเิ ริ่ม (Origination) เม่อื ผ้เู รียนสามารถปฏิบัตหิ รือกระทำสงิ่ ใดส่งิ หน่ึงอยา่ งชำนาญ และ
สามารถประยุกตใ์ ชใ้ นสถานการณท์ ่หี ลากหลายแล้ว ผู้ปฏิบตั ิจะเกิดความคิดใหม่ ๆ ในการกระทำนน้ั ใหเ้ ปน็ ไป
ตามที่ตนต้องการ
Harrow (1972 :96-99) ได้จดั ลำดับขน้ั ของการเรียนรูท้ างด้านทกั ษะปฏิบัติ โดยเรมิ่ จากระดบั ที่ซับซอ้ นน้อยไป
จนถงึ ระดบั ทมี่ ีความซบั ซ้อนมาก ซงึ่ กระบวนการเรยี นการสอนของรปู แบบ มีทั้งหมด 5 ขั้น คือ
1. ข้นั การเลยี นแบบ เป็นขนั้ ท่ีใหผ้ ู้เรยี นสงั เกตการกระทำที่ต้องการใหผ้ เู้ รยี นทำได้ซ่งึ ผู้เรยี นย่อมจะรับรู้
หรือสังเกตเหน็ รายละเอียดต่าง ๆ ไดไ้ ม่ครบถว้ น แต่อย่างน้อยผู้เรียนจะสามารถบอกได้ว่า ขนั้ ตอนหลักของการ
กระทำนั้น ๆ มีอะไรบ้าง
2. ข้ันการกระทำลงมอื ตามคำสั่ง เมื่อผู้เรยี นได้เห็นและสามารถบอกข้นั ตอนของการกระทำทีต่ อ้ งการ
เรยี นรแู้ ล้ว ให้ผเู้ รียนลงมอื ทำโดยไมม่ ีแบบอยา่ งใหเ้ หน็ ผูเ้ รยี นอาจลงมือทำตามคำสงั่ ของผู้สอนเขยี นไวใ้ นคมู่ ือก็ได้
การลงมอื ปฏิบัตติ ามคำสั่งนแ้ี มผ้ เู้ รยี นจะไม่สามารถทำได้อยา่ งสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยผู้เรียนก็ไดป้ ระสบการณใ์ น
การลงมอื ทำและค้นพบปัญหาต่าง ๆ ซงึ่ ช่วยให้เกิดการเรยี นรู้ และการปรับการกระทำใหถ้ ูกต้องสมบรู ณ์
47
3. ขนั้ การกระทำอย่างถกู ต้องสมบูรณ์ (Precision) ขนั้ นเ้ี ปน็ ข้นั ที่ผูเ้ รียนจะต้องฝกึ ฝนจนสามารถทำสิ่งน้ันๆ
ได้อย่างถูกต้องสมบรู ณ์ โดยไม่จำเปน็ ต้องมีแบบอยา่ งหรือมคี ำสั่งนำทางการกระทำการกระทำท่ีถูกต้องแมน่ ยำตรง
พอดี สมบูรณแ์ บบ เปน็ ส่งิ ทีผ่ ู้เรียนจะต้องสามารถทำได้ในขั้นนี้
4. ขั้นการแสดงออก (Articulation) ขัน้ น้ีเปน็ ขน้ั ที่ผเู้ รยี นมโี อกาสได้ฝึกฝนมากขึน้ จนกระทงั่ สามารถกระทำ
ส่งิ นนั้ ไดถ้ ูกตอ้ งสมบูรณแ์ บบอยา่ งคล่องแคล่ว รวดเร็ว และด้วยความมั่นใจ
5. ขัน้ การกระทำอย่างเปน็ ธรรมชาติ (Naturalization) ข้ันนเี้ ป็นขนั้ ท่ผี ู้เรียนสามารถกระทำส่ิงนั้น ๆ อยา่ ง
สบาย เป็นไปอยา่ งอัตโนมตั ิ โดยไม่รสู้ กึ วา่ ต้องใชค้ วามพยายามเป็นพเิ ศษ ซงึ่ ต้องอาศยั การปฏบิ ัตบิ ่อย ๆ ใน
สถานการณต์ ่าง ๆ ที่หลากหลาย Fitts (1964) ไดใ้ ห้ขอ้ แนะนำในการพัฒนาทักษะการกระทำทชี่ ำนาญจะ
เกิดข้ึนภายใต้ขัน้ ตอนการพัฒนาทกั ษะไว้ 3 ข้นั ตอน คือ
1. ข้นั ความรคู้ วามเข้าใจ (The Cognitive Phase) เปน็ ขั้นตอนท่ีจะบอกถึงทักษะและความรทู้ างทฤษฎที ี่
เกี่ยวข้อง ซึ่งผสู้ อนควรใหข้ ้อมลู แกผ่ เู้ รียนในด้านต่าง ๆ ได้แก่ตอ้ งทำอะไรบ้าง ต้องดูและหลีกเล่ยี งอะไรบา้ ง
กระบวนการที่ตอ้ งทำงาน อะไรที่จำเปน็ ท่ีต้องรู้ ต้องระมัดระวงั อะไรบ้าง และระดับมาตรฐานทีต่ ้องการ ผู้เรียน
ควรจะใหค้ วามสนใจเปน็ พเิ ศษในด้านการวิเคราะห์ขอ้ ผิดพลาดต่าง ๆ ขั้นความรู้ความเข้าใจน้ี ควรจะกระทำใน
ชว่ งเวลาสน้ั ๆ
2. ข้ันปฏิบตั ิ (The Associative Phase) เป็นการกระทำพื่อให้ไดพ้ ฤติกรรมในรูปแบบท่ีถูกต้อง ทกั ษะจะ
เกิดขึน้ ได้เมื่อลงมือปฏิบตั กิ าร ข้อผดิ พลาดหรือพฤติกรรมท่ีไม่ถูกต้องควรไดร้ บั การจำกัด ขั้นปฏบิ ตั ิการนี้ผู้สอนควร
จัดให้ผู้เรียนในดา้ นต่าง ๆ ได้แก่ การสาธิตทักษะทจ่ี ะฝกึ เปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ ลียนแบบทักษะ ฝึกหัดทักษะนั้น
ดว้ ยสถานการณจ์ รงิ และสถานการณจ์ ำลอง ให้ความรู้และขอ้ มูลเก่ยี วกบั ผลของทักษะ และให้คำแนะนำชว่ ยเหลือ
ตามความจำเปน็ ขั้นตอนน้ีควรจะเริม่ ต้นต่อจากขนั้ ความรู้ ความเข้าใจ และควรกระทำติดตอ่ ไปเป็นระยะ
3. ขั้นชำนาญ (The Autonomous Phase) เปน็ ขน้ั ที่ปฏบิ ตั ิทกั ษะน้ันรวดเรว็ และถูกตอ้ ง ตลอดจนโอกาสจะ
กระทำผดิ ก็จะไม่เกดิ ขึน้ ทกั ษะที่เกิดข้ึนเปน็ การเพ่ิมพูนความชำนาญเป็นอตั โนมัติมากขึ้น ในขั้นนเ้ี ราเรยี กว่าขนั้
ผเู้ ช่ยี วชาญ ซึง่ ตอ้ งใชก้ ารปฏิบตั ิมาก ๆ การฝกึ ทักษะในข้ันนี้ถือวา่ ได้บรรลขุ น้ั สดุ ท้ายของระดับ Taxonomy
ในทักษะพิสัย ซึ่งในข้นั นผี้ สู้ อนควรจดั ให้ผู้เรยี นได้กระท าในด้านตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ การฝึกทกั ษะจนถึงระดบั เกนิ พอ
เรียนร้วู ิธีการเอาชนะความเครียดและการสอดแทรกตา่ ง ๆ เพิ่มพูนความเรว็ และความถูกต้อง และบรรลถุ งึ
ประสบการณ์ในระดบั มาตรฐานท่ีต้องการ ในขนั้ นี้ผู้เรยี นแตล่ ะคนอาจจะแสดงผลสำเรจ็ ท่ีแตกตา่ งกนั ซง่ึ ความ
แตกตา่ งกนั นี้มักจะขน้ึ อยู่กับ ความสามารถ ความสนใจ นสิ ัย อารมณ์ และความขยนั หมั่นเพยี รของผเู้ รยี น
Joyce and Weil (1972) ได้กลา่ วถึง องคป์ ระกอบทค่ี วรมีในการะบวนการเรียนการสอนทักษะปฏบิ ตั ิ ดังน้ี
48
1. มีชิ้นงานตน้ แบบ
2. อธิบายข้นั ตอนการปฏิบัติอยา่ งละเอียดและชดั เจน
3. การสาธิต การปฏบิ ตั ิงานอยา่ งละเอียดและชัดเจน
4. การสาธิต การทำงานซ้ำอีกครงั้ ต้งั แต่ต้นจนจบ
5. การแสดงการปฏิบตั ิแตล่ ะขัน้ ตอนอย่างงา่ ย ๆ และทำใหด้ ูอย่างช้า ๆ
6. การเปิดโอกาสให้ผเู้ รียนไดล้ งมือทำเอง ตัง้ แตต่ น้ จนจบในสายตาครแู ละครเู ปน็ พเี่ ลีย้ ง
7. การเปดิ โอกาสใหแ้ กผ่ ู้เรยี นทำงานเองตามลำพัง แลว้ นำผลงานท่ที ำได้มาตรวจสอบกับชิ้นงานต้นแบบ
จากการศึกษากระบวนการเรียนร้ดู า้ นทกั ษะสรุปไดว้ า่ การสอนทกั ษะ หมายถงึ การสง่ เสริมใหผ้ ู้เรยี นกระทำโดยใช้
สว่ นต่าง ๆ ของร่างกาย ใหเ้ กิดความสัมพนั ธ์กันอย่างมีขั้นตอน ดงั น้ี
ขน้ั ท่ี 1 ขนั้ เลยี นแบบ
ขน้ั ที่ 2 ขน้ั ปฏิบัติ
ขัน้ ที่ 3 ข้ันเกดิ ความชำนาญ จึงจะทำให้ผเู้ รียนสามารถเรียนรู้ไดด้ ี
7. ขอ้ ควรคำนึงถึงในการสอนทักษะ
7.1 สถานการณใ์ นการฝกึ ถ้าใช้สถานการณ์ทเ่ี ป็นจรงิ ได้ ก็ควรใช้สถานการณจ์ ริง เชน่ เรียนภาษาจากการฟัง
ภาษานัน้ จรงิ ๆ หดั ขับรถดว้ ยรถจรงิ ๆ หดั พายเรือดว้ ยเรอื ในน้ำจรงิ ๆแต่ถา้ ต้องใช้สถานการณจ์ ำลองในการฝกึ
ทักษะจำลองบางอยา่ ง เช่น การขบั เคร่ืองบิน ควรสร้างสถานการณ์ใหเ้ หมือนสถานการณ์จรงิ อยา่ งทส่ี ุด
7.2 ผเู้ รียนควรมีโอกาสได้ฝึกฝนในสถานการณ์หลาย ๆ แบบเปน็ การเพ่ิมพูนความแมน่ ยำ คลอ่ งแคล่ว ในการฝึก
ทกั ษะนัน้
7.3 การสาธติ ให้ดกู ่อน หรือการใหเ้ ห็นข้นั ตอนในการปฏบิ ัติจากภาพยนตร์ เปน็ การประหยัดเวลา และไมท่ ำให้
เกดิ ความเขา้ ใจผดิ
7.4 ใหผ้ ูเ้ รียนลงมือฝึกหดั ทนั ทีหลงั จากท่ีไดด้ ูการสาธิตแลว้ การสาธติ จะได้ไมเ่ สียเวลาเปล่า ถา้ ไมม่ ีโอกาสได้
ฝึกหดั ทดลองทำ
7.5 ผู้ฝึกทักษะต้องไดร้ ับคำแนะนำ เพ่ือปรับปรงุ ทักษะนน้ั ๆ ถึงแม้ว่าผูเ้ รียนจะสังเกตผลที่เกดิ ขนึ้ ดว้ ยตนเองก็
ตาม การตักเตอื นชี้แนะใหเ้ ห็นข้อที่บกพร่อง และแนวปฏิบัติทีด่ ียงั มีความจำเป็นมากเพราะผู้เรียนอาจประเมินผล
การปฏิบตั ขิ องตนผดิ พลาด เช่น การพิมพด์ ดี ผเู้ รียนมักจะประเมนิ ผลจากการคำนวณคำท่ผี ิดไดว้ ่านอ้ ยลง แต่
แท้จรงิ ลักษณะการนั่ง การวางน้ิว การเคลอ่ื นและการกา้ วน้ิวยงั ไมถ่ ูก ครูผสู้ อนสามารถเตือนใหแ้ กไ้ ขได้
7.6 การใหค้ ำแนะนำในการฝึกหัด ผสู้ อนตอ้ งใจเย็นไม่วจิ ารณ์ ไมด่ ดุ ่า ไม่ทำใหผ้ ู้เรยี นเกิดความตงึ เครียดหวาดกลัว
ควรย่วั ยใุ หผ้ ู้เรยี นเกดิ ความพยายามท่จี ะลอง สรา้ งบรรยากาศให้เป็นบรรยากาศที่สบายใจ
49
7.7 ตอ้ งคำนึงถึงชว่ งเวลาฝกึ การเรยี นทกั ษะต้องฝึกใหเ้ หมาะกบั เวลา ต้องมีการเว้นช่วงเวลา ถา้ ฝกึ หัดต่อเนื่อง
อาจเมื่อยล้า หรือทำให้เกิดความเบื่อหนา่ ยได้จากทก่ี ลา่ วมาทั้งหมดจากการศึกษาขอ้ ควรคำนงึ ถึงในการสอนทักษะ
จึงสรปุ ไดว้ ่า ทักษะจะเกดิ ขึ้นได้ดว้ ยการปฏิบัติ ในหลักของการปฏิบตั นิ ัน้ การปฏิบตั ิแบบแบง่ ระยะเวลาปฏบิ ัตใิ หม้ ี
เวลาหยุดพักเป็นช่วง ๆ จะก่อใหเ้ กดิ ผลดกี วา่ การปฏิบัติที่ไม่มีการหยดุ พกั และการรผู้ ลของการปฏิบตั ิจะส่งผลให้
เกิดทักษะได้ดี การปฏิบัตติ ามขั้นตอนจากการสงั เกต การสาธติ หรือการชมภาพยนตร์จะเปน็ การประหยดั เวลาได้
ดกี ว่า การฟังคำอธิบายแต่เพียงอยา่ งเดยี ว
ดังน้ัน การสอนทกั ษะจึงตอ้ งเนน้ การลงมือฝึกปฏบิ ัตอิ ย่างมหี ลักการสำคญั ลำดบั ขั้นของการสอนหรือ
กระบวนการสอนเพื่อให้นักเรียนเกิดทกั ษะและกระบวนการเรียนรดู้ ้านทกั ษะของนักเรยี น จะเห็นว่ามี
ความสมั พันธก์ ันอย่างยิ่งแผนการจัดการเรียนรู้
1. ความหมายของแผนการจัดการเรยี นรู้
สำลี รกั สุทธิ (2554 : 78) ใหค้ วามหมายของแผนการสอนไวว้ า่ แผนการสอน คือ การนำรายวชิ าหรอื กลมุ่
ประสบการณ์ท่ีจะต้องการสอนตลอดภาคเรียน มาสรา้ งเป็นแผนการสอน จัดกจิ กรรมการมาเรยี นการสอน การใช้
ส่อื อปุ กรณ์ และการวัดผลประเมนิ ผล เพ่ือใชส้ อนในชว่ งเวลาหนึ่ง ๆ โดยกำหนดเน้อื หาสาระ และจุดประสงค์การ
เรียนยอ่ ย ๆ ให้สอดคล้องกบั วตั ถุประสงค์ หรือจดุ หมายของหลกั สูตร สภาพของผเู้ รยี น ความพร้อมของโรงเรียน
ในดา้ นวัสดอุ ุปกรณ์และตรงกับชีวติ จรงิ ในทอ้ งถน่ิ สถาบันพัฒนาความก้าวหนา้ (2545 : 69) ใหค้ วามหมายของ
แผนการจัดการเรยี นรู้ไวว้ ่า หมายถงึ แผนงานหรือโครงการทคี่ รูผสู้ อนไดเ้ ตรยี มการจัดการเรยี นรไู้ วล้ ่วงหน้า
เปน็ ลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้ปฏิบตั ิการเรยี นรู้ในรายวชิ าใดรายวิชาหนง่ึ อยา่ งเป็นระบบระเบยี บโดยใช้เคร่ืองมือ
สำหรบั การจัดการเรยี นรู้ เพ่ือนำผเู้ รยี นไปสจู่ ุดประสงค์การเรยี นรู้และจุดหมายของหลักสูตรอย่างมปี ระสิทธภิ าพ
รุจริ ์ ภ่สู าระ (2545 :159) ได้ให้นิยามไวว้ ่า แผนการจดั การเรียนรู้ หมายถึง เคร่ืองมือการจดั ประสบการณ์การ
เรียนรใู้ ห้ผู้เรยี นตามที่ก าหนดไวใ้ นสาระการเรียนรูข้ องแต่ละกลมุ่
ณัฐวุฒิ กิจรงุ่ เรือง และคณะ (2545 : 53) ได้ให้นยิ ามไวว้ ่า แผนการจดั การเรียนรู้หมายถงึ การเตรยี มการ
จัดการเรียนร้ไู วล้ ว่ งหน้าอย่างเป็นระบบ และเปน็ ลายลักษณอ์ กั ษร เพ่ือใชเ้ ป็นแนวทางในการจัดการเรียนรใู้ น
รายวิชาใดวชิ าหนง่ึ ใหบ้ รรลุผลตามจุดหมายทีห่ ลักสตู รกำหนดสำนกั งานประถมศกึ ษาแห่งชาติ (2545 : 22)
ไดใ้ หน้ ิยามว่า แผนการจดั การเรียนร้คู ือ การวางแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนข้ันสดุ ทา้ ย โดยกำหนดการ
สอนมาขยายรายละเอียดใหเ้ กดิ ความชดั เจนและสะดวกในการสอน องค์ประกอบท่สี ำคัญของแผนการจัดการ
เรยี นรู้คือ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ เนอ้ื หา กิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการเรยี นการสอน การวัดผลและประเมนิ
และอาจมภี าคผนวกซงึ่ เป็นรายละเอียดประกอบองค์ประกอบขา้ งตน้ ซึ่งจะทำใหแ้ ผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้มี
ความชดั เจนยง่ิ ขนึ้ แผนการจัดการเรยี นรทู้ ดี่ ตี ้องเน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง
50
กระทรวงศึกษาธิการ (2546 : 22) ได้ให้ความหมายของแผนการสอน หมายถงึ การวางแผนการจัดกิจกรรม
การเรยี นการสอนขัน้ สดุ ท้าย โดยกำหนดการสอนมาขยายรายละเอยี ดใหเ้ กดิ ความชัดเจนและสะดวกในการสอน
องค์ประกอบทสี่ ำคัญของแผนการจัดการเรยี นรู้ คือ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ เนือ้ หา กิจกรรมการเรยี นการสอน สอื่
การเรียนการสอน การวดั ผลประเมนิ ผลแผนการจดั การเรียนการสอนทดี่ ีตอ้ งเน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง
สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา (2549 : 290) ให้ความหมายของแผนจดั การเรียนรู้ หมายถึง การ
วางแผน การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน เพ่ือเปน็ แนวทางดำเนินการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนแต่ละคร้ัง
โดยกำหนดสาระสำคญั จดุ ประสงค์ เนื้อหา กจิ กรรมการเรียนการสอนสือ่ อุปกรณ์ ตลอดจนการวัดและประเมินผล
วิมลรัตน์ สนุ ทรโรจน์ (2549 : 54) ใหค้ วามหมายของแผนการสอนไวว้ ่าแผนการสอน คือ แผนการจดั กิจกรรม
การเรยี นการสอน การใชส้ อ่ื การวัดและประเมินผลใหส้ อดคลอ้ งกับเนอื้ หาและจุดประสงคท์ ่ีกำหนดไว้ในหลกั สตู ร
หรือกลา่ วอกนยั หนึง่ ไดว้ ่า แผนการสอนเปน็ แผนทีผ่ สู้ อนจดั ทำขนึ้ จากคมู่ ือครหู รือแนวการสอนของกรมวิชาการ
ทำใหผ้ ้สู อนทราบว่าจะสอนเน้ือหาใด เพอื่ จดุ ประสงค์สอนอยา่ งไร ใชส้ ื่ออะไร และวัดผลประเมินผลโดยวิธีใดจาก
การศกึ ษา
ความหมายของแผนการจดั เรยี นรูส้ รุปได้วา่ แผนการจัดการเรยี นรู้หมายถึง การวางแผนการจัดกจิ กรรมการ
เรยี นการสอนดว้ ยการน าวชิ าท่ีต้องสอนตลอดปีการศึกษามาสรา้ งเครือ่ งมอื สำหรับใช้ในการสอน โดยกำหนด
วธิ ีการสอน ส่ืออุปกรณ์ การวัดผลประเมนิ ผล เพอ่ื ให้นักเรยี นมีคณุ ลักษณะที่พงึ ประสงค์ตามหลักสตู รกำหนด โดย
มกี ารเตรยี มเป็นลายลักษณอ์ ักษรลว่ งหน้า
2. ความสำคญั ของแผนการจัดการเรยี นรู้
สพุ ล วงั สนิ ธุ์ (2536 : 6) กล่าวว่า แผนจัดการเรยี นรูเ้ ปน็ กุญแจดอกสำคญั ท่จี ะทำใหก้ ารเรียนการสอนมี
ประสทิ ธภิ าพยง่ิ ขึ้น ดังนี้ คือ
1) ทำให้เกิดการวางแผนวธิ ีการสอนวิธีการเรียนท่ดี ี ท่ีเกิดจากการผสมผสานความรู้ทางจิตวิทยาทางการ
ศึกษา
2) ชว่ ยให้ครมู คี ู่มือการสอนท่ีตวั เองทำลว่ งหนา้ ทำให้ครูมีความม่นั ใจการสอนได้ตรงเป้าหมาย
3) ส่งเสริมใหค้ รูศึกษาหาความรทู้ งั้ หลักสูตร และการจดั การเรยี นการสอนตลอดจนการวัดผลและ
ประเมนิ ผล
4) ใชเ้ ปน็ คู่มือสำหรับครูที่มาสอนแทน
5) เปน็ หลักฐานแสดงข้อมลู ท่ีถูกต้อง เท่ยี งตรง เปน็ ประโยชน์ตอ่ วงการการศกึ ษา
6) เปน็ ผลงานทางวิชาการแสดงความชำนาญการและเช่ียวชาญของผูจ้ ัดทำ
สำลี รักสทุ ธิ (2544 : 78) ใหค้ วามสำคัญของแผนการสอนดงั น้ี
51
1. ชว่ ยให้ครูไดม้ โี อกาสศึกษาหลกั สูตร แนวการสอน วิธวี ัดและประเมินการศกึ ษาเอกสารทเี่ กีย่ วขอ้ ง
และการบรู ณาการกับวชิ าอนื่
2. ช่วยใหค้ รผู ู้สอนสามารถจดั เตรียมกระบวนการสอน ใหส้ อนคลอ้ งกบั สภาพความเป็นจรงิ ทัง้ ทางเรื่อง
ทรัพยากรของโรงเรยี น ทรพั ยากรของท้องถ่ิน ค่านิยม ความเช่ือและสภาพความเป็นจรงิ ของทอ้ งถิ่น ตลอดจนการ
เชือ่ มโยง สัมพันธ์กบั วิชาอื่นด้วย
3. เปน็ เครือ่ งมือของครูในการจัดการเรียนการสอนได้อยา่ งมีคณุ ภาพ มีความม่ันใจในการสอนมากข้นึ
ทา่ นจะเหมือนนักรบท่ีเดนิ ลงสนามอยา่ งองอาจกลา้ หาญ
4. ผสู้ อนสามารถใชเ้ ป็นข้อมูลท่ีถกู ต้อง เทีย่ งตรง เสนอแนะแก่บุคลากรที่เก่ียวข้องและหน่วยงานที่
เกีย่ วข้อง รวมท้ังเพ่ือนครู
5. ใชค้ ่มู ือสำหรบั ครูทส่ี อนแทนได้
6. เปน็ การพัฒนาวชิ าชีพครแู ละมาตรฐานวชิ าชพี ครูท่ีแสดงว่างานสอนตอ้ งไดร้ บั การฝกึ ฝน โดยเฉพาะมี
เคร่อื งมอื และเอกสารท่จี ำเป็นสำหรบั การประกอบวิชาชีพด้วย
1. สามารถนำไปใช้ได้จริง
2. ตรวจสอบสื่อการสอนทีจ่ ะใชว้ า่ ใช้ได้จรงิ ก่อนทำการสอน
3. ได้ทำการวางแผนไว้อย่างรอบคอบ โดยครทู มี่ ีความชำนาญในการสอนและจะนำไปใช้ไดจ้ ริง
4. มีการกำหนดเวลาท่ีเหมาะสม
5. วิธีการเขียนและแบบฟอร์มทีเ่ หมาะสม
6. มีความเชอื่ งโยงเกีย่ วเน่ืองกนั ดใี นทุก ๆ สว่ นภายในหนว่ ยการสอนและระหว่างหน่วยสารสอนอนื่ ๆ
7. ใหส้ งั เกตของวิธกี ารสอนของครแู ละวิธีการเรียนของนกั เรยี น
ณัฐวฒุ ิ กจิ รุ่งเรอื ง และคณะ (2545 :53) ไดใ้ หน้ ยิ ามถึงความสำคัญของประโยชน์ของแผนการจัดกจิ กรรมการ
เรยี นรวู้ า่
1. เพื่อใหเ้ หน็ ความต่อเน่ืองของการจัดการเรยี นรูต้ ามหลักสตู ร
2. เพื่อให้จดั การเรยี นร้ใู หส้ อดคลอ้ งกบั ความถนัดความสนใจและความตอ้ งการของผู้เรยี น
3. เพื่อให้สามารถเตรียมวสั ดุ อุปกรณ์ แหลง่ เรยี นรู้พรอ้ มก่อนการทำการสอน
4. เพื่อให้ผสู้ อนมีความมัน่ ใจและเชอ่ื ม่ันในการเรียนรู้
5. เพอ่ื ให้เกิดการปรบั ปรุงวธิ ีการจัดการเรียนรู้จากข้อจำกัดท่ีพบ
6. เพื่อใหผ้ อู้ น่ื สอนแทนได้ในกรณจี ำเป็น
7. เพอ่ื เป็นหลกั ฐานในการพิจารณาผลงานและคุณภาพในการปฏบิ ตั กิ ารสอน
52
8. เพือ่ เป็นข้อบ่งชค้ี วามจำเป็นวชิ าชพี ครู
กรมวชิ าการ (2546 : 5) ใหค้ วามสำคญั ของแผนการสอนดงั นี้
1. ชว่ ยให้ครูได้มโี อกาสศึกษาหาความรู้ในเรื่องหลักสตู ร แนวการสอนการทำหาจดั ส่ือประกอบการสอน ตลอดจน
วธิ กี ารวัดผลประเมินผลอยา่ งละเอียดทกุ แง่มุม
2. ช่วยให้เกดิ การวางแผนวธิ กี ารสอน วิธกี ารเรียนให้มีความหมายยงิ่ ข้ึน เพราะทำแผนการสอนเปน็ การผสมผสาน
เนื้อหาสาระ และจดุ ประสงค์การเรยี นจากหลกั สูตรกบั หลกั สตู รจิตวยิ าการศึกษาหรือนวัตกรรมการเรยี นใหม่ ๆ
ตลอดจนปัจจัยการอำนวยความสะดวกของโรงเรยี นและสภาพปญั หา ความสนใจ ความตอ้ งการของนกั เรยี น
ผู้ปกครองและทรัพยากรในท้องถิ่น โดยใชว้ ิธีเชิงระบบ เพ่ือใหก้ ารเรยี นการสอนเปน็ ไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
3. ช่วยให้ครมู คี มู่ อื ที่ท าดว้ ยตัวเองไวล้ ่วงหน้า เพ่ือใหเ้ กิดความสะดวกในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่าง
มีคณุ ภาพ ตามเจตนารมณข์ องหลกั สูตร ส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรียนรู้อย่างครบถว้ น สอดคลอ้ งกับระยะเวลา
และจำนวนคาบท่ีมอี ยูจ่ ริง ในแตล่ ะภาคเรียนน้นั คือสอนได้ครบถ้วน และทันเวลาชว่ ยให้ครูมคี วามมัน่ ใจในการ
สอนมากย่ิงขึน้
4. ทำให้การประเมินผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นเปน็ ไปตามจุดประสงค์ท่ีกำหนดไวช้ ว่ ย ใหค้ รสู ามารถวนิ จิ ฉยั จดุ อ่อน
ของนักเรียนท่ีได้รบั การแก้ไข และทราบจุดเดน่ ที่ควรรบั การเสริมตอ่ ไป นอกจากนยี้ ังช่วยใหค้ รเู ห็นภาพการทำงาน
ของของตนเองให้เดน่ ชัดขึ้น
วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549 :289) ไดใ้ ห้ความสำคญั ของแผนการสอนไว้ว่า แผนการสอนเปน็ งานสำคัญของ
ครู การสอนจะประสบความสำเร็จดว้ ยดมี ากน้อยเพียงใดข้ึนอยกู่ บั การวางแผนการสอนเป็นสำคญั ถ้าผู้สอนวาง
แผนการสอนดีกเ็ ท่ากบั บรรลจุ ดุ มงุ่ หมายปลายทางไปแลว้ คร่งึ หน่งึ การวางแผนการสอนจึงมีความสำคัญ ดงั นี้
1. ทำให้ผสู้ อนสอนดว้ ยความมั่นใจ เมอื่ เกิดความมนั่ ใจในการสอนกจ็ ะสอนดว้ ยความคล่องแคล่ว เป็นไปตามลำดบั
ขน้ั ตอน อยา่ งราบร่ืน ไม่ตดิ ขัด เพราะไดเ้ ตรียมทกุ อยา่ งไว้พร้อมแลว้ การสอนก็จะดำเนินไปสจู่ ุดหมายปลายทาง
อย่างสมบรู ณ์
2. ทำให้เป็นการสอนทมี่ ีคุณคา่ คมุ้ กบั เวลาท่ีผ่านไป เพราะผสู้ อนสอนอยา่ งมีแบบแผนมเี ปา้ หมาย มที ศิ ทางในการ
สอน ทำใหผ้ ู้เรยี นเกิดประสบการณ์ใหม่ตามท่ผี สู้ อนวางไว้
3. ทำใหเ้ ป็นการสอนท่ตี รงตามหลักสูตร เพราะในการวางแผนการสอนผสู้ อนต้องศึกษาหลกั สูตร ทง้ั จุดประสงค์
การสอน เนอ้ื หากิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการสอน การวัดผลและประเมินผลแลว้ จัดทำแผนการสอน
เมือ่ ผู้สอนสอนตามแผนการสอนที่วางไว้กย็ ่อมทำให้เป็นแผนการสอนตรงตามจดุ ม่งุ หมายและทิศทางของหลักสูตร
ช่วยให้ความสะดวกแกค่ รผู สู้ อนแทนในกรณีท่ผี สู้ อนไม่สามารถเข้าสอนได้
4. ทำให้การสอนบรรลผุ ลอย่างมปี ระสิทธิภาพดกี ว่าการสอนท่ไี ม่ไดว้ างแผน
53
5. ทำให้ผู้สอนมเี อกสารเตือนความจำ สามารถนำมาใชใ้ นแนวทางการสอนต่อไปทำใหไ้ ม่เกดิ ความซ้ำซ้อน และ
เปน็ แนวทางในการทบทวนหรือการออกข้อสอบ เพอ่ื วัดผลการเรียนรู้ได้และยังเปน็ เอกสารไวเ้ ป็นแนวทางแกผ่ สู้ อน
แทน ผู้เรยี นจะได้รับความรูต้ ่อเนอ่ื ง
6. ทำใหผ้ ู้เรียนเกดิ เจคติทดี่ ตี ่อผู้สอน และวชิ าทีเ่ รียนเพราะผู้สอนสอนดว้ ยความพร้อม ด้วยความมัน่ ใจ ผู้สอนได้
เตรียมการสอนไว้อย่างพร้อมเพรียงทำให้ผ้เู รยี นเรยี นด้วยความเข้าใจสง่ ผลใหม้ เี จตคติทด่ี ีต่อครผู สู้ อนและวชิ าที่
เรยี นจาการศกึ ษาความสำคัญของแผน การจดั การเรียนรสู้ รุปไดว้ า่ แผนการจดั การเรยี นรู้มคี วามสำคัญต่อการ
เรยี นการสอนใหบ้ รรลุตามจดุ ประสงค์ของหลกั สตู ร เพราะแผนการจัดการเรียนรู้ เปน็ การวางแผนการจดั กจิ กรรม
ทงั้ หมดที่เอื้อและตอบสนองต่อความต้องการ ความรูค้ วามสามารถของนักเรียน การวางแผนการจัดการเรยี นรู้
ลว่ งหน้า ทำใหผ้ ู้สอนเกิดความมัน่ ใจ
3. องคป์ ระกอบของแผนการจัดการเรียนรู้
ณัฐวฒุ ิ กิจรุ่งเรอื่ ง และคณะ (2545 : 54) ได้เสนอแนะว่า องคป์ ระกอบของแผนการจดั การเรียนรู้
ประกอบดว้ ย
1. หัวเรอื่ ง (Heading)
2. สาระสำคัญ (Concept)
3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ (Objective)
4. เนื้อหาสาระ (Content)
5. กิจกรรมการเรียนรู้ (Activities)
6. สอื่ การเรยี นรู้ (Material Media)
7. การวดั ผลและประเมินผล (Assessment)
ชวลิต ชูกำแพง (2550 : 56) ได้กลา่ วถึง องคป์ ระกอบของแผนการจดั การเรียนร้ไู ว้ดังนี้
1. ผลการเรียนร้ทู ่คี าดหวงั
2. สาระการเรยี นรู้
3. กระบวนการจัดการเรียนรู้
4. สือ่ การเรียนร/ู้ แหล่งการเรยี นรู้
5. การวดั ผลประเมินผล
6. ความคดิ เหน็ /ข้อเสนอแนะของผบู้ รหิ าร
7. บันทกึ ผลหลงั การใชแ้ ผนการเรียนรู้
8. ภาคผนวก/หมายเหตุ
54
วมิ ลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2551 : 282) ได้สรปุ ถึง องค์ประกอบของแผนการจดั การเรยี นรไู้ วด้ งั นี้
1. กลมุ่ สาระการเรียนรู้ หนว่ ยที่สอนและสาระสำคญั (ความคิดรวบยอด) ของเร่ือง
2. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
3. สาระการเรียนรู้
4. กจิ กรรมการเรียนการสอน
5. ส่อื การเรยี นการสอน
6. วดั ผลและประเมินผล
จากการศึกษาองค์ประกอบของแผนการจัดการเรยี นรู้สรุปได้ว่า องค์ประกอบของแผนการจดั การเรียนรู้
ประกอบดว้ ย สาระการเรยี นรู้ จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม กิจกรรมการเรยี นการสอน สือ่ การเรียนการสอน
การวดั ผลและประเมนิ ผล จงึ จะสง่ ผลใหก้ ารจดั การเรยี นการสอนเป็นไปอย่างมปี ระสิทธิภาพ
4. รปู แบบและขั้นตอนการจดั ทำแผนการจดั การเรียนรู้
เขมรัฐ โตไทยะ (2540 :12) กล่าววา่ ขั้นตอนในการจัดทำแผนการจดั การเรยี นรู้ ดังน้ี คือ
1) ศึกษาหลกั สูตรและเอกสารค้นคว้า เช่น ศึกษาหลักสูตรและเอกสารการคน้ คว้า เชน่ ศึกษาหลักสูตร คมู่ ือ
หลกั สตู ร
2) ศกึ ษาแนวการสอน การวัดผลและประเมนิ ผล
3) เขียนแผนการจดั การเรียนรูต้ ามท่ีกำหนดไว้ในหลักสูตร
สนุ ันทา สุนทรประเสริฐ (ม.ป.ป : 81) ไดเ้ สนอไวว้ ่า ในการจัดทำแผนการสอนหรือการจดั การเรียนรู้ มขี ้นั ตอน
การจดั ทำดังนี้
1. ศึกษาหลกั สตู รและเอกสารท่เี กี่ยวข้องทั้งในดา้ นจดุ หมายโครงสร้างเนอื้ หาสาระอัตราเวลาเรยี น จุดประสงค์ใน
หลักสูตร จดุ ประสงค์รายวชิ า จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้แนวทางการในการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน แนวการ
วัดผลประเมนิ ผลในรายวชิ านน้ั ๆ
2. วิเคราะหห์ ลักสตู ร ทำการวเิ คราะห์หลักสตู รเพ่ือแยกแยะเนอื้ หา จดุ ประสงค์และกจิ กรรม โดยทำการพิจารณา
ถ้อยคำท่ปี รากฏในหลักสูตร แยกลงในตารางเพ่ือความสะดวก
3. แบง่ คาบเวลาเรยี น
4. จัดทำกำหนดการสอน
5. การวิเคราะห์เน้ือหา จุดประสงค์และกิจกรรม
6. เขยี นแผนการสอน
55
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแหง่ ชาติ (2542 : 34 - 36) กล่าววา่ รูปแบบของแผนจดั การเรยี นรู้
มี ดังน้ี
1. รูปแบบตาราง โดยจดั รายละเอียดของเนื้อหาไว้ในตาราง ตวั อย่างแผนการจดั การเรียนรู้แบบตาราง
2. รูปแบบบรรยาย เขยี นรายละเอียดและขัน้ ตอนการจดั กิจกรรมการเรียนเปน็ ข้อ ได้แก่ การจดั หวั ขอ้ ของ
จดุ ประสงค์ เนื้อหา กิจกรรม สอ่ื การเรียน และการประเมนิ ผลเรียงตามลำดับก่อนหลังขน้ั ตอนการจัดกจิ กรรม
กลมุ่ สาระ……………………………………ชน้ั ……………..ภาคเรียนที…่ …………………
ชือ่ แผน………………………………………………….เวลา………………..………..ชวั่ โมง
1.จุดประสงค์……………………………………………………………………………….
2. สาระการเรยี นรู…้ ………………………………………………………………………..
3. กระบวนการจดั การเรียนรู้…………………………………………………………………
4. กระบวนการวดั และประเมนิ ผล…………………………………………………………
5. แหลง่ การเรยี นร้…ู ………………………………………………………………………
* ตัวอย่างแผนการจดั การเรียนรรู้ ูปแบบบรรยาย
3. รปู แบบผสม เป็นการเขยี นแผนรายละเอยี ดของแผนการจดั การเรยี นรเู้ รยี ง
ตามลำดบั
ชั้น……………………………………………กลมุ่ ประสบการณ์………………………………
หน่วยท่ี……………………………….หนว่ ยย่อยท…่ี ………………..เวลา……………….คาบ
วนั เดอื น ป…ี …………………………
รายการ……………………………
หมายเหต…ุ …………………………
เรือ่ ง………………………….
สาระสำคัญ……………………
จดุ ประสงค…์ …………………
กจิ กรรม………………………
ส่อื …………………………….
การวดั ผลและประเมินผล…………………………..
กจิ กรรมเสนอแนะ……………………….
***ตวั อย่างแผนการจัดการเรียนรูแ้ บบผสม
56
สรุปได้ว่า การจัดทำแผนการจดั มาเรยี นรเู้ ป็นการผสมผสานเน้ือหาและจุดประสงค์ของหลกั สตู ร หลกั จติ วทิ ยา
นวัตกรรมการเรยี นใหม่ และปจั จัยความพร้อมของโรงเรียน ตลอดจนความต้องการของชมุ ชนที่เกีย่ วขอ้ ง การ
จดั ทำแผนการจดั การเรยี นรู้ชว่ ยให้ครูมีทศิ ทางในการกิจกรรมการเรียนการสอนท่ชี ดั เจนและเกิดประโยชน์กบั
ผู้เรยี นไดม้ ากทีส่ ุด
5. ส่วนประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้
เขมรฐั โตไทยะ (2540 : 13- 41) กลา่ ววา่ การเขียนแผนการจดั การเรียนรมู้ ีส่วนประกอบ ดังน้ี
1. สาระสำคัญ / ความคดิ รวบยอด หรือสรุปเนื้อ สาระสำคัญหรอื ความคิดรวบยอด หมายถึง ความคิดความเขา้ ใจ
ของบุคคลเกยี่ วกับวตั ถสุ ิ่งของ เหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ โดยสรุปเป็นแก่นสารหรือเน้ือหาที่สำคญั เพอ่ื ให้เป็นแนวทางหรือ
จดุ เน้นของเร่ืองท่ีเรียน ดังนั้น การเขียนสาระสำคญั ควรเขียนเป็นขอ้ ความสน้ั ๆ ให้หาสรปุ เนอื้ หา อ่านแล้วเข้าใจ
2. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ หมายถึง สิง่ ทมี่ ่งุ หวังใหเ้ กิดขนึ้ กับตวั ผู้เรยี นเปน็ คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ของผูเ้ รียน
3. เนือ้ หา หมายถึง มวลประสบการณท์ จี่ ดั ใหผ้ ้เู รยี นมี 2 ลกั ษณะ คือ เนอ้ื หาหลักและเน้ือหายอ่ ยหรือเนอ้ื หาโดย
ละเอียด กำหนดขึ้นโดยศึกษาเอกสารตา่ ง ๆ ทเี่ ก่ยี วข้องและตอ้ งคำนึงถึงความยากงา่ ยของเนอื้ หา ความสัมพนั ธ์
ของเน้ือหา ระดับผ้เู รียนและเวลาเรยี น
4. กิจกรรมการเรยี นการสอน หมายถงึ พฤติกรรมระหวา่ งครกู ับนักเรียนจดั ข้นึ เพื่อใหน้ กั เรียนเกดิ ความรู้
และได้รับประสบการณต์ ามความมุง่ หมายของการสอน การจดั กจิ กรรมควรคำนงึ ถงึ หลักการทส่ี ำคญั คือ การให้
ผเู้ รยี นเปน็ ผู้กระทำ เป็นประสบการณต์ รง ผ้สู อนทำหน้าท่ีชว่ ยเหลอื และดำเนนิ กจิ กรรมไปตามจุดหมายทม่ี ี
องค์ประกอบ 3 ประการ คือ
1) ขัน้ นำหรือการนำเขา้ สบู่ ทเรยี น เป็นกิจกรรมทบทวนความร้เู ดิมเรา้ ความสนใจเขา้ สบู่ ทเรยี นบทใหม่
2) ข้นั สอน เป็นกิจกรรมทีก่ ำหนดไว้เพ่ือสนองจดุ ประสงค์ของแผนการจัดการเรียนรู้ และ
3) ข้ันสรปุ หรอื การสรปุ เป็นบทสรุปบทการเรียนเพิม่ พนู ประสบการณ์แก่ผู้เรยี น
5. ทกั ษะกระบวนการที่นักเรยี นได้ฝกึ สรุปได้เปน็ 11 กระบวนการ คือ
1) ทกั ษะกระบวนการ 9 กระบวนการ เป็นทักษะกระบวนการทรี่ วบรวมวธิ ีการสอนตา่ ง ๆ เข้าดว้ ยกัน การสอนไม่
จำเป็นต้องเรยี งตามลำดบั ข้นั
2) กระบวนการสร้างความคิดรวบยอดมกั ใช้สอนคำนยิ ามศัพทแ์ ละแนวคดิ
3) กระบวนการสร้างความตระหนกั เป็นกระบวนการหนึ่งของทักษะกระบวนการ 9 ประการ เพ่ือใหผ้ ู้เรียนรับรู้
เหน็ ความจำเปน็ ความสำคัญของปญั หา
4) กระบวนการปฏิบัติให้ผูเ้ รียนได้ลงมือสัมผัสกบั ปญั หาด้วยตัวเอง
5) กระบวนการคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณ
57
6) กระบวนการแก้ปัญหา เป็นกระบวนการการหาคำตอบหรือปัญหา
7) กระบวนการกลมุ่ ฝกึ ใหผ้ เู้ รยี นมที กั ษะในการทำงานร่วมกนั
8) กระบวนการทางคณิตศาสตร์ ประกอบด้วยการสอนทักษะการคดิ คำนวณ และการสอนทักษะการแกโ้ จทย์
9) กระบวนการสร้างเจตคติเปน็ การสร้างความรสู้ กึ ความพึงพอใจ ชื่นชมตอ่ ส่งิ ใดสิง่ หนงึ่
10) กระบวนการสรา้ งค่านยิ ม เปน็ การปลูกฝังคุณธรรม จรยิ ธรรม เพ่อื ให้ผเู้ รยี นสามารถวเิ คราะห์ แยกแยะการ
กระทำทด่ี หี รือไมด่ ีได้
11) กระบวนการเรียนรูค้ วามเข้าใจ
6. สื่อการเรยี นการสอน ส่ือการเรยี นการสอน หมายถึง วัสดุอปุ กรณ์หรือวิธีการตา่ ง ๆ ท่ีใช้ในการจดั กิจกรรม
การเรียนการสอนให้บรรลตุ ามจุดประสงค์ทตี่ ้งั ไว้ สือ่ การการสอนมีความสำคญั ในการจัดกจิ กรรมการเรยี นการ
สอน ดังน้ี คอื
1) กระตุ้นความสนใจของนักเรียนท่จี ะเรียน
2) ชว่ ยให้นกั เรยี นไดเ้ รยี นรู้โดยการสังเกตและปฏบิ ัติจริง
3) ใหป้ ระสบการณท์ เี่ ปน็ รูปธรรมแก่นักเรียน
4) ช่วยให้นักเรียนไดเ้ รยี นรเู้ ร็วขน้ึ
5) สรา้ งบรรยากาศทด่ี ใี นการเรียนการสอน และ
6) สรา้ งสถานการณท์ เ่ี ปิดกวา้ งต่อการเรยี นรู้
7. การวดั ผลและประเมินผล การประเมินผล หมายถึง การตรวจสอบหลังจากการเรยี นไปแล้ว วา่ นกั เรยี นมี
การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมดังที่คาดหวังหรอื ไม่ เนื่องจากการประเมนิ ผล เปน็ กระบวนการต่อเน่อื งของการเรียน
การสอน ครูผูส้ อนจงึ ต้องมีการประเมินเปน็ ระยะโดยมจี ุดมุ่งหมาย เพื่อปรับปรุงการเรยี นการสอน และวธิ ีการสอน
เพ่อื ตัดสินผลการเรยี นเพ่ือพัฒนาพฤติกรรมของผูเ้ รยี น
8. เครอ่ื งมือและวธิ กี ารวัดผลและประเมนิ ผล การวดั และประเมนิ ผลเป็นกระบวนการหน่ึงของการเรียนการ
สอน เปน็ การตรวจสอบว่าผเู้ รียนเกดิ การเรียนรู้มคี ณุ ลักษณะ มที ักษะตามจดุ มุ่งหมายของแผนการจัดการเรยี นรู้
ท่ีตงั้ ไว้หรอื ไม่ แผนการจัดการเรียนรทู้ ีด่ ตี ้องบอกวธิ ีการวดั ผล เช่น การสงั เกต การสมั ภาษณ์ การทดสอบ แบบ
สังเกต เป็นต้น
9. ภาคผนวก การเขียนภาคผนวกเปน็ การจดั ทำในส่วนท่ีเพิ่มเตมิ ให้แผนการจัดการเรยี นรแู้ ต่ละแผน มีความ
สมบูรณแ์ ละชว่ ยอำนวยความสะดวกแก่ผู้สอน ไดแ้ ก่ รายละเอียดเน้ือหาหรือใบความรู้ วธิ กี ารดำเนินกจิ กรรมตา่ ง
ๆ รูปภาพ บตั รคำ ข้อสอบ แผนภูมิ แผนท่ี ใบงาน รายชือ่ เอกสารอา้ งอิง เพลง เป็นต้น ดงั นน้ั ครูผ้สู อนรู้ดวี า่ ส่ิงที่
ควรเพิม่ อะไรมากหรอื น้อยเพียงใดให้เหมาะสมที่สุด
58
10. ผลการใชแ้ ผนการจัดการเรยี นรู้ ปญั หาและข้อเสนอแนะหลังการใช้แผนการจัดการเรยี นรู้ โดยบันทกึ
ข้อมลู สภาพความเป็นจริงทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั ผ้สู อน พฤติกรรมของนักเรยี น กิจกรรมสื่อการเรียน เคร่ืองมือการวัดและ
ประเมนิ ผล รวมทั้งระยะเวลาในการจดั กิจกรรมแตล่ ะอย่าง แนวทางบนั ทกึ ผลการใชแ้ ผนมี 2 ลกั ษณะ คือ เขยี น
เป็นความเรยี งหรอื เขยี นเปน็ ข้อ ๆ เก่ียวกับปัญหาและอปุ สรรค พร้อมทง้ั สิ่งท่ีควรแก้ไขเพ่ิมเติม เพ่ือใช้เปน็
แนวทางมาเขียนปัญหาและข้อเสนอแนะจากการศึกษาสว่ นประกอบของแผนการจัดการเรียนรสู้ รปุ ไดว้ า่ แผนการ
จดั การเรยี นรู้มสี ่วนประกอบ ได้แก่ จุดประสงค์ สาระการเรียนรู้กระบวนการจัดการเรียนรู้ และกระบวนการวดั
และประเมนิ ผล แผนการจัดการเรียนรู้ที่มคี วามสมบูรณ์ จะชว่ ยอำนวยความสะดวกแก่ผู้สอน แผนการจดั การ
เรียนรมู้ ีความสำคญั ต่อการจัดการเรยี นการสอนให้บรรลุตรงตามจดุ ประสงค์ของหลกั สูตร เพราะแผนการจัดการ
เรียนรู้ เปน็ การวางแผนการจัดกจิ กรรมทง้ั หมดท่เี อื้อและตอบสนองต่อความต้องการ ความร้คู วามสามารถของ
นกั เรยี น การวางแผนการจัดการเรยี นร้ลู ่วงหน้า ทำให้ผูส้ อนเกิดความมนั่ ใจ เมื่อจัดทำแผนการจดั การเรียนรู้
เรยี บร้อยแล้วควรมกี ารประเมินแผนการจดั การเรียนรู้ เพ่ือตรวจสอบความถูกต้อง เหมาะสม ครอบคลุม เพ่ือการ
ปรับปรงุ แก้ไขแผนการจัดการเรยี นรูใ้ ห้เหมาะสมยิ่งขึน้ การหาประสทิ ธภิ าพ
บุญชม ศรสี ะอาด (2546 : 153-155)อธบิ ายถงึ การวิเคราะห์หาประสทิ ธิภาพของสอื่ วิธีสอนหรอื
นวตั กรรมไว้ว่า เม่อื ครูทำการพฒั นาสอื่ การเรียนการสอน หรือวิธสี อนหรอื นวัตกรรม จำเป็นอยา่ งยง่ิ ทจี่ ะต้องทำ
การทดลองใช้และหาประสิทธิภาพของสง่ิ ที่พฒั นาเพ่ือทจ่ี ะม่ันใจในการท่ีจะน าไปใชต้ อ่ ไปการหาประสทิ ธภิ าพ
นิยมใช้เกณฑ์ 80/80 ซ่งึ มีวิธกี าร 2 แนวทาง ดงั นี้
แนวทางท่ี 1 พิจารณาจากผเู้ รียนจำนวนมาก (ร้อยละ80) สามารถบรรลุผลในระดับสูง (รอ้ ยละ 80) กรณี
นเ้ี ป็นนวัตกรรมส้ัน ๆ ใชเ้ วลาน้อย เนื้อหาท่สี อนมเี ร่ืองเดียว เช่น ชุดการสอน 1 บท ใชส้ อน 1 ชว่ั โมง เปน็ ต้น
เกณฑ์ 80/80 หมายถึง 80 % ของผเู้ รียนทท่ี ำได้ไม่ตำ่ กวา่ 80 % ของคะแนนเตม็
แนวทางท2ี่ พิจารณาจากผลระหวา่ งดำเนินการ และผลเมือ่ ส้ินสุดการดำเนนิ การโดยเฉลีย่ อยู่ในระดับสงู
(เชน่ ร้อยละ80) กรณีใช้การสอนหลายคร้ัง มีเน้ือหาสาระมาก (เชน่ 3 บทขึ้นไป) มีการวดั ผลระหวา่ งเรียน
(Formative) หลายครงั้ เกณฑ์ 80/80 มีความหมาย ดังนี้
80 ตวั แรก เป็นประสิทธภิ าพของกระบวนการ (E1)
80 ตัวหลัง เป็นของผลโดยรวม (E2)
59
การหาประสทิ ธิภาพ
1. การหาประสทิ ธภิ าพใชส้ ตู รดังนี้
เม่อื E1 แทน ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการ
แทน คะแนนของแบบฝึกหัดหรอื ของแบบทดสอบย่อยทุกชดุ รวมกนั
A แทน คะแนนเตม็ ของแบบฝึกหัดทกุ ชดุ รวมกนั
N แทน จำนวนนกั เรียนทัง้ หมด
เมื่อ E2 แทน ประสทิ ธิภาพของผลลัพธ์
แทน คะแนนรวมของแบบทดสอบหลงั เรียน
B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลงั เรียน
N แทน จำนวนนกั เรยี นทงั้ หมด
ประสิทธภิ าพจงึ เป็นร้อยละของคา่ เฉล่ียเมือ่ เทยี บกับคะแนนเตม็ ซง่ึ ตอ้ งมีค่าสงู จงึ จะช้ีถึงประสิทธิภาพได้
กรณนี ้ใี ชร้ ้อยละ80
80 ตวั แรก ซึ่งเป็นประสิทธภิ าพของกระบวนการ เกดิ จากการนำคะแนนทีส่ อบได้ระหว่างดำเนนิ การ (น่ันคือ
ระหว่างเรยี น หรอื ระหวา่ งการทดลอง) มาหาค่าเฉล่ียแล้วเทียบเปน็ ร้อยละ ซึ่งต้องได้ไม่ต่ำกวา่ ร้อยละ80
80 ตวั หลงั ซง่ึ เปน็ ประสทิ ธภิ าพของผลโดยรวม เกิดจากการนำคะแนนจากการวัดโดยรวม เมอื่ สิน้ สุดการสอนหรอื
สน้ิ สุดการทดลองมาหาค่าเฉลี่ยแลว้ เทียบเปน็ ร้อยละซ่งึ ตอ้ งได้ไมต่ ่ำกวา่ ร้อยละ80 เหตุผลการกำหนดเกณฑ์ 80/80
ในกรณีน้ีกค็ ือ การทสี่ ่ิงทคี่ รผู ู้วิจัยสรา้ งข้ึนสามารถชว่ ยให้ผูเ้ รยี นมีผลการเรียนทัง้ ระหว่างเรียนและหลงั เรียน โดย
เฉลี่ยร้อยละ80 ของคะแนนเต็ม ย่อมช้ถี ึงการมปี ระสทิ ธภิ าพสูง บญุ ชม ศรสี ะอาด (2546 : 156) ได้กล่าวถึง แงค่ ิด
เกีย่ วกับการกำหนดเกณฑป์ ระสิทธภิ าพดงั ต่อไปนี้
1. การกำหนดเกณฑ์ประสทิ ธภิ าพสามารถกำหนดไดห้ ลากหลายขึ้นกบั ครผู ู้ศกึ ษาค้นควา้ จะกำหนด
ถ้าต้องการประสทิ ธิภาพสงู ก็กำหนดค่าไว้สูง เชน่ 90/90 แตก่ ารกำหนดเกณฑ์ไวส้ งู อาจพบปญั หาว่า ไม่สามารถ
บรรลุเกณฑท์ ่ีกำหนดไวไ้ ด้ การที่จะทำให้ผ้เู รียนส่วนมากทำคะแนนได้จวนเตม็ มีคา่ เฉลี่ยจวนเตม็ คือรอ้ ยละ90 ขนึ้
ไป ไม่ใช่เร่อื งงา่ ย ดังนั้น จึงไม่คอ่ ยพบว่ามีการตั้งเกณฑ์ 90/90 ในงานวจิ ัย บางเรอ่ื งตัง้ เกณฑ์ไว้ต่ำกวา่ 80 ทั้งด้าน
กระบวนการและผลโดยรวม เชน่ ต้งั เกณฑ์ 70/70 ท้งั น้ีเน่ืองจากเหน็ ว่าเรอื่ งน้นั โดยธรรมชาติแล้วเป็นเรือ่ งท่ยี าก
เช่น วชิ าเรขาคณติ เปน็ ตน้ การตงั้ เกณฑไ์ ว้สูงจะพบว่า ไม่อาจบรรลุผลไดอ้ ยา่ งไรก็ตาม ไมค่ วรต้ังเกณฑ์ไวต้ ่ำ
เกนิ ไป เช่น ต่ำกวา่ 70/70 ทั้งน้ีเพราะถา้ ส่งิ ที่ครูพฒั นาขึ้นมีประสทิ ธภิ าพจรงิ แล้ว จะต้องสามารถพฒั นาผเู้ รียนให้
บรรลุผลระดับสงู เป็นสว่ นใหญ่ไดก้ ารตง้ั เกณฑ์ 50/50 หรือ 60/60 แสดงถึงว่า สามารถพัฒนาผู้เรยี นได้ โดยเฉล่ยี
คร่งึ หนงึ่ ของคะแนนเต็มหรอื มากกวา่ คร่ึงหนง่ึ เลก็ น้อย (60 %) ซงึ่ ไม่นา่ จะเพียงพอ ควรพัฒนาได้มากกวา่ น้นั
60
2. การเขียนเกณฑ์ 80/80 ไม่ไดห้ มายถึงอตั ราสว่ นหรอื สดั สว่ นระหวา่ ง 2 สว่ นโดยทั่วไปไม่ได้แปล
ความหมายโดยน ามาเปรยี บเทยี บกัน ดังนั้นครผู ูว้ จิ ัยอาจไม่เขยี นในรูป80/80 แตเ่ ขยี นในรปู อ่ืน เช่น 80,80 หรอื
แมก้ ระทัง่ เขียนว่าใช้เกณฑ์ 80 % ทั้งกระบวนการและผลโดยรวมกไ็ ด้การเขียน 80/80 เปน็ เพียงการแยกสว่ นของ
ประสทิ ธิภาพของกระบวนการซ่ึงเป็นเลข80 ตัวหนา้ กับประสทิ ธิภาพของผลโดยรวม ซง่ึ เปน็ เลข80 ตัวหลงั
3. ครผู วู้ จิ ยั อาจต้งั เกณฑ์2 ส่วนไมเ่ ทา่ กันก็ได้ เชน่ ตั้งเกณฑ์เป็น 70/80 ซ่ึงหมายถึง ประสทิ ธิภาพของ
กระบวนการใช้ 70 % สว่ นประสทิ ธภิ าพของผลโดยรวมใช้ 80 % ซงึ่ ไมน่ ยิ มกำหนดในลักษณะดงั กล่าว แตอ่ ยา่ งไร
กต็ าม ไม่จำเป็นทจี่ ะทำอะไรให้สอดคลอ้ งกบั ความนิยม ข้อสำคัญคือเหตุผลเบอื้ งหลงั ของการตัง้ เกณฑ์ ซึง่ สามารถ
อธิบายไดว้ า่ การตั้งเกณฑแ์ บบน้นั มคี วามเหมาะสมมีเหตุผลทดี่ ีกวา่
ดัชนีประสิทธิผล (Effectivenesss Index : E.I.)
ดัชนปี ระสทิ ธิผล หมายถงึ ตวั เลขท่ีแสดงถงึ ความก้าวหนา้ ในการเรียนของผู้ เรียนโดยเปรียบเทียบ
คะแนนทเ่ี พิ่มจากคะแนนการทดสอบก่อนเรยี น กบั คะแนนทไ่ี ดจ้ ากการทดสอบหลังเรียน และคะแนนเตม็ หรือ
คะแนนสูงสดุ กับคะแนนท่ีได้จากการทดสอบก่อนเรียน เมื่อมีการประเมนิ ส่ือการสอนท่ีผลติ ข้นึ จะดปู ระสทิ ธผิ ล
ทางการสอน และการวัดผลประเมนิ ผลสอ่ื การสอนน้ัน ตามปกติการประเมนิ ความแตกตา่ งของค่าคะแนนใน
2 ลักษณะ คือ
ความแตกต่างของคะแนนทดสอบก่อนเรยี น และคะแนนการทดสอบหลังเรยี น หรือเปน็ การทดสอบ
ผลสมั ฤทธิ์การเรยี นระหว่างกลมุ่ ทดลองกบั กลุ่มควบคุม ในการหาคา่ ดชั นีประสิทธิผล ศุภสริ ิ โสมาเกตุ(2544 : 54-
56 ; อา้ งถึงใน เผชิญ กิจระการ. ม.ป.ป. : 1-6) ได้กลา่ วถงึ ดัชนปี ระสิทธิผลว่า ดชั นปี ระสทิ ธผิ ล คอื ความแตกต่าง
ของคะแนนการทดสอบก่อนเรียน และคะแนนการทดสอบหลังเรยี น หรอื เปน็ การทดสอบหลงั เรยี น หรือเป็นการ
ทดสอบความแตกตา่ งเกี่ยวกับผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน ระหวา่ งกลุ่มทดสอบกับกลุ่มควบคุม ดัชนปี ระสิทธิผลหามา
ได้จากการหาความแตกต่างของการทดสอบก่อนการทดลอง และการทดสอบ หลงั การทดลองด้วยคะแนนพ้นื ฐาน
(คะแนนทดสอบก่อนเรยี น) และคะแนนทีส่ ามารถทำได้ สูงสุดดัชนีประสิทธผิ ลจะเป็นตวั บง่ ชี้ถึงขอบเขตและการ
หาประสทิ ธภิ าพสูงสดุ ของสือ่ การเรยี นการสอน สถติ ทิ ใ่ี ช้ในการหาค่าดชั นปี ระสิทธผิ ลตามวิธีของ (Goodman
and Schnider) (เผชญิ กิจระการ. 2548 : 31) ดชั นีประสิทธผิ ล = ผลรวมของคะแนนทดสอบหลงั เรยี น –ผลรวม
ของคะแนนทดสอบก่อนเรียน (จำนวนนกั เรียน Xคะแนนเต็ม) – ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรยี นดชั นี
ประสิทธผิ ลจะมคี า่ อยรู่ ะหว่าง -1.00ถึง 1.00 ในสภาพของการเรยี น เพ่ือรอบรู้ ซึง่ นักเรียนแต่ละคนจะต้องเรียนให้
ถงึ เกณฑท์ ่ีกำหนดไว้ สำหรับเกณฑ์ท่ยี อมรบั ไดว้ ่าสื่อหรือนวตั กรรมมีประสิทธผิ ล ชว่ ยใหผ้ ู้เรียนเกิดประสบการณ์
การเรียนรไู้ ดจ้ ริง คือ มีค่าต้งั แต่ 0.05ดงั น้ันจึงกลา่ วไดว้ า่ ดัชนีประสทิ ธผิ ลสามารถนำมาประยุกตใ์ ชเ้ พื่อประเมิน
นวัตกรรม โดยเรมิ่ จากการทดสอบก่อนใชน้ วตั กรรม ซึ่งเป็นการวัดว่าผ้เู รยี นมคี วามรูพ้ ้นื ฐานในระดับใดก่อนแล้ว
61
แปลงใหเ้ ปน็ รอ้ ยละ เปรียบเทียบกบั การทดสอบหลงั เรียน แล้วนำคะแนนที่ได้มาหาดชั นีประสิทธผิ ล โดยอยู่ในร้อย
ละ ทำใหก้ ารเปรียบเทยี บใกล้เคียงความจรงิ มากข้ึน
ความพึงพอใจ
1. ความหมายความพึงพอใจ ความพึงพอใจเปน็ กระบวนการทางจิตวิทยา ไม่สามารถมองเหน็ ไดช้ ดั เจน แต่
สามารถคาดคะเนไดว้ ่า มหี รือไม่มี จากการสังเกตพฤตกิ รรมของคนเหล่านน้ั ไดม้ ีการศึกษาถงึ ปจั จยั และ
องคป์ ระกอบท่ีทำใหเ้ กดิ ความพงึ พอใจหรือไมพ่ งึ พอใจ สุรพงษ์ บรรจสุ ุข (2547 : 62) สรุปความหมายของความ
พงึ พอใจว่า ความรู้สึกนึกคิด หรือเจตคติของบุคคลที่มตี อ่ การทำงานหรือการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมในเชิงบวก ดงั นัน้
ความพอใจในการเรียนร้จู งึ หมายถึง ความรสู้ ึกพอใจ ชอบใจ ในการรว่ มปฏบิ ัติกจิ กรรมการเรยี นการสอน และ
ต้องการด าเนนิ กิจกรรมน้ัน ๆ จนบรรลุผลสำเร็จประสาท อศิ รปรีดา (2541 : 300) กลา่ วว่า ความพึงพอใจ
หมายถึง พลงั ทเี่ กิดจากพลังทางจิตที่มีผลไปสูเ่ ปา้ หมายท่ีต้องการ และหาส่งิ ทีต่ ้องการมาตอบสนอง
ศุนิชา เลิศการ (2547 : 39) สรปุ ความหมายความพงึ พอใจในการเรยี นวา่ การตอบสนองทางอารมณ์ของแตล่ ะ
บคุ คล สภาพความร้สู กึ ทางด้านจิตใจ ความรสู้ ึกชอบ ทำให้มีความสุขในการเรียน เตม็ ใจทจี่ ะเรียนใหป้ ระสบ
ผลสำเร็จตามจุดประสงค์จากความหมายดงั กล่าวความพึงพอใจสรุปไดว้ ่า ความพึงพอใจจะทำให้บุคคล
เกิดความสบายใจหรือสนองความต้องการทำใหเ้ กิดความสุขเป็นผลดตี ่อการปฏิบัตงิ าน
1. ประโยชน์ของความพึงพอใจในการเรียน
พมิ ลรตั น์ ธนรตั นพิมลกลุ (2541 : 10) ไดก้ ล่าววา่ ในการจดั การเรียนการสอนนัน้ ความพึงพอใจเป็น
สิ่งทม่ี คี วามสำคญั และมีประโยชนเ์ ป็นอยา่ งย่ิง เพราะ ถ้านักเรยี นมคี วามพึงพอใจในการเรยี นก็จะเปน็ แรงหนุนให้
นักเรยี นตั้งใจเรียนอยา่ งเต็มท่ี มีความสุขในการเรยี น มคี วามขยนั ขนั แข็งในการเรยี น มคี วามคิดรเิ ริม่ สร้างสรรคใ์ น
การเรยี น อยา่ งสนุกสนาน ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นก็สูงตามไปด้วย ตรงกันขา้ มหากนักเรียนไม่มีความพึงพอใจใน
การเรยี น กจ็ ะเป็นมลู เหตุท่ที ำใหไ้ มส่ นใจในการเรยี น ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นต่ำสอดคล้องกบั ปรยี าพร วงศ์อนุตร
โรจน์ (2539 : 141-143) ทก่ี ลา่ วว่า ความพงึ พอใจในการเรยี นมีความสำคญั ต่อการปฏบิ ัตงิ าน ความรบั ผิดชอบ
ปฏิกิรยิ าโตต้ อบตลอดจนแรงจูงใจในการเรียนล้วน สายยศ และคณะ (2543 : 54) ได้กล่าวถึง ประโยชนข์ องความ
พึงพอใจวา่ เป็นคำยอ่ ของการอธิบายความรู้สกึ เปน็ อยา่ ง ๆ คมุ พฤติกรรมต่าง ๆ ได้มาก เชน่ พดู วา่ เขามคี วามพงึ
พอใจในการเรยี น มีความหมายถงึ เขารักการเรยี น มีความสุข สนกุ สนานทีไ่ ด้เรียน ทำอะไรได้หลายอย่างเพ่ือการ
เรียน ความพงึ พอใจใชพ้ จิ ารณาเหตุของพฤติกรรมของบคุ คลทีม่ ีต่อบุคคลอื่นหรอื ส่งิ อื่นน้นั คอื ความพงึ พอใจของ
คนสามารถส่งเสรมิ หรือยบั ยัง้ ส่งิ ที่เขาจะแสดงออกได้
62
สรุปไดว้ า่ ความพงึ พอใจในการเรยี นของนักเรียนมีความสำคญั และมปี ระโยชนม์ าก หากนกั เรยี นมคี วามพึงพอใจ
ในการเรียน แล้วย่อมก่อให้เกิดผลดังนี้ คอื ผู้เรยี นเกดิ ความกระตือรือร้นในการทำงาน มีความคดิ รเิ ร่ิมสรา้ งสรรค์
ในการเรียน สนใจ เห็นคุณค่าของการเรยี น มผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นสงู
2. แนวคดิ และทฤษฎที ่ีเกย่ี วกับความพงึ พอใจ
ศนุ ิชา เลิศการ (2547 : 40 – 41) กลา่ วถึง ความต้องการของมนุษย์ โดยได้สรปุ เนื้อความมาจากแนวคิด
ของมาสโลว์ (Maslow) สรุปได้วา่ ความต้องการขน้ั พ้นื ฐานของมนษุ ย์แบ่งเป็น 5 ขน้ั ตามลำดับจากตำ่ สุดไปสูงสุด
ดงั น้ี
1. ความตอ้ งการสง่ิ จำเป็นในชีวิต หรอื ความตอ้ งการทางรา่ งกาย เปน็ ความต้องการอันดบั แรกของมนุษย์ท่ี
ขาดไมไ่ ด้ ได้แก่ ความต้องการอาหาร เครื่องน่งุ ห่ม ยารักษาโรคและท่ีอยู่อาศยั
2. ความตอ้ งการความปลอดภยั และความม่ันคง เปน็ ความตอ้ งการพืน้ ฐานทางจิตใจ มี 2 แบบ คือ ความ
ตอ้ งการความปลอดภัยทางด้านรา่ งกายและความม่ันคงทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ เม่ือคนเรามสี ขุ ภาพดี ร่างกายปกติ
และดำรงชวี ติ ไดเ้ หมือนบุคคลทว่ั ไป คนเราจะตอ้ งการความม่ันคงในสังคมเพิม่ ขึ้น ต้องการมีอำนาจซ้ือ ตอ้ งการ
ประกนั สุขภาพ ตอ้ งการทำงานทม่ี ั่นคง กลา่ วโดยสรุปคือ ต้องการความมนั่ คงทางเศรษฐกจิ ของตนเองน่ันเอง
3. ความต้องการความรักและความเปน็ เจ้าของ หรือ ความตอ้ งการทางสงั คม เม่อื ความต้องการ 2 ขนั้ แรก
ได้รบั การตอบสนองอย่างเปน็ ที่พอใจแล้วความต้องการความรกั ต้องการเปน็ สว่ นหนึ่งของกลมุ่ หรอื สงั คม ต้องการ
เป็นทีย่ อมรับของพวกพ้องกจ็ ะเกิดข้นึ ตามMaslow กลา่ วว่า ความต้องการขน้ั นี้ สามารถทำให้เกดิ ผลต่อเนอ่ื งท่ี
เลวร้ายของการปรบั ตัวไปในทางท่เี ลว
4. ความต้องการเกยี รติยศชอื่ เสยี งและการได้รับการยกย่องในสังคม ซ่ึงความต้องการด้านน้ี ถือไดว้ ่าเปน็
เรื่องปกติของมนษุ ย์ท่ีอยากได้การยอมรับนับถือหรอื เปน็ ทีย่ กยอ่ งของคนอน่ื เม่อื ทำสิง่ หน่ึงสิง่ ใดประสบผลสำเรจ็
ซงึ่ ส่ิงเหล่านีจ้ ะนำไปส่คู วามเช่ือม่ันในตนเอง และรู้สกึ ตนเองมคี ุณคา่
5. ความตอ้ งการความสำเรจ็ สมหวงั ในชวี ิต หรอื ความต้องการท่ีจะพฒั นาคนใหส้ มบรู ณ์หรอื ความตอ้ งการที่
จะบรรลถุ งึ ความปรารถนาของตนเองอยา่ งแทจ้ รงิ เมื่อความตอ้ งการข้ันท่ี 1 2 3 และ 4 ได้รับการตอบสนองแล้ว
อกี ไมน่ านคนเรากจ็ ะมคี วามรสู้ ึกไม่พึงพอใจเกดิ ขนึ้ หากว่าเขาไมส่ ามารถทำอะไรไดต้ ามทต่ี นเองอยากทำ แต่ถ้า
หากได้ทำตามความปรารถนาของตนเองท่ีอยากจะทำแลว้ ก็ถอื วา่ เปน็ ความสำเร็จสดุ ยอดของชวี ติ ความต้องการ
ขนั้ นี้ เปน็ ความต้องการข้นั สูงสดุ ยอด ซงึ่ รวมไปถงึ ความรู้จักพอ ความเรียบงา่ ย ความยุติธรรม ความดคี วามชอบ
อกี ด้วยลำดบั ขนั้ ความต้องการของ Maslow จะมผี ลตอ่ การสรา้ งแรงจูงใจในการจดั การเรยี นรู้ อันจะนำมาสู่ความ
พงึ พอใจในการเรียนของนักเรียนได้
63
บรบิ ทโรงเรยี น
โรงเรียนโซพ่ สิ ัยพิทยาคม ต้ังอยู่ถนนเทศบาล 6 เลขที่ 394 ตำบลโซ่อำเภอโซ่พิสัย จงั หวัดบึงกาฬ
สำนักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 21 โทรศพั ท์ 042 -775167 โทรสาร 043 – 771020
1. บุคลากร
1.1 ฝา่ ยบรหิ าร จำนวน 4 คน
1.2 ฝา่ ยสายการสอน จำนวน 118 คน
1.3 ฝ่ายสนับสนนุ การสอน จำนวน 12 คน
รวมบุคลากรท้งั หมด จำนวน 134 คน
2. วสิ ัยทศั น์ (VISION)
เปน็ โรงเรียนดีมคี ณุ ภาพ ที่จดั การศกึ ษามาตรฐานสากล บนพืน้ ฐานความเปน็ ไทย
3. ปรัชญา
ปญั ญา ชีวติ ํ วิโรเจติ ปญั ญา คือ แสงสวา่ งแหง่ ชวี ิต
4. พันธกจิ
4.1 พัฒนาระบบบริหารจดั การใหม้ คี ณุ ภาพ
4.2 สง่ เสริมให้ครเู ป็นครมู ืออาชพี
4.3 ส่งเสริมให้นกั เรยี นมีความเปน็ เลศิ ในทุกด้าน
4.4 พฒั นาผเู้ รยี นใหม้ ีคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
4.5 พัฒนานักเรียนใหม้ ีศกั ยภาพและทักษะด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศ
5. เปา้ ประสงค์
5.1 โรงเรยี นได้มาตรฐานตามระบบประกันคุณภาพ
5.2 ครมู ีผลงานทางด้านวชิ าการ
5.3 นกั เรยี นมีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสงู สามารถศึกษาต่อในระดับอดุ มศึกษาและ
ประกอบอาชีพได้อย่างมีความสขุ
5.4 นักเรียนมีวินัย รับผดิ ชอบ ประหยัด ซอ่ื สัตย์ และมคี วามเปน็ ไทย
5.5 ครูและนักเรียนมที กั ษะในการใชเ้ ทคโนโลยี ICT
6. อตั ลกั ษณ์ของสถานศึกษา
ศึกษาดี มีวนิ ยั ใฝ่กีฬา รกั ษาสตั ย์
64
7. โอกาสและข้อจำกดั ของโรงเรยี น
โรงเรียนโซพ่ ิสัยพิทยาคม เป็นสถานทอ่ี ยู่ใกล้ย่านชุมชน รา้ นคา้ และตลาดสด ที่มีความเจรญิ มีเสียงรบกวนจาก
การใชย้ านพาหนะ เสียงโฆษณา อกี ท้งั ใกล้ถนนซึง่ มีการสัญจรไปมาสะดวก ดงั นนั้ จงึ ยากแก่การควบคุม ดแู ล
นักเรียนได้อยา่ งทวั่ ถึง
8. จุดเดน่
8.1 ด้านผลการจดั การศึกษา
ผ้เู รยี นมสี ุขภาพและสุขภาพจิตทด่ี ี มีน้ำหนัก สว่ นสงู และสมรรถภาพทางกายตามเกณฑ์รวมทง้ั รจู้ ักดูแลตนเองให้
มคี วามปลอดภยั มสี ุนทรียภาพ มีคุณธรรม จรยิ ธรรม และค่านยิ มท่ีพงึ ประสงค์ เปน็ ลูกทดี่ ขี องพ่อแม่ ผูป้ กครอง
เป็นนักเรยี นที่ดีของโรงเรยี น บำเพ็ญประโยชนต์ ่อสังคม มีความใฝ่ รู้ และเรียนรอู้ ย่างต่อเนอ่ื ง คน้ ควา้ ความรจู้ าก
การอ่านและใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ เรยี นรู้ผ่านประสบการณ์ตรงรว่ มกบั ผู้อ่นื ทง้ั ในและนอกสถานศึกษา
คิดเปน็ ทำเปน็ มีความสามารถดา้ นการคิด มีความสามารถในการปรบั ตวั เข้ากบั สงั คม และได้บรรลตุ ามปรัชญา
ปณธิ าน วิสัยทศั น์ พนั ธกจิ และวัตถปุ ระสงค์ของการจัดต้งั สถานศกึ ษาและบรรลุพฒั นาตามจุดเน้นและจุดเด่นท่ี
ส่งผลสะทอ้ นเปน็ เอกลักษณ์ของสถานศกึ ษา มีการดำเนินงานโครงการพเิ ศษเพ่ือสง่ เสรมิ บทบาทของสถานศึกษา
8.2 ดา้ นการจัดการเรยี นการสอนท่ีเน้นผ้เู รียนเปน็ สำคญั
ครมู กี ารจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ จัดการเรียนรโู้ ดยกำหนดเป้าหมาย วิเคราะห์ข้อมลู เปน็
รายบคุ คล ออกแบบการเรยี นรแู้ ละจัดการเรียนรู้ทีเ่ หมาะสม จัดเตรยี มและใชส้ อื่ เหมาะกับกิจกรรม ประเมิน
ความกา้ วหน้าของผเู้ รียนด้วยวิธีท่ีหลากหลาย
8.3 ด้านการประกันคุณภาพภายใน
สถานศกึ ษามีการวางระบบประกันคุณภาพภายใน ไดร้ ับการตรวจสอบและ
รบั รองจากหน่วยงานตน้ สังกดั ผลการประเมนิ ตนเองของสถานศึกษา 3ปี ทผี่ ่านมา มีพัฒนาการ
อย่างต่อเนื่อง
ตารางที่ 1 ตัวบง่ ชีท้ ่ีมีคณุ ภาพต่ำกว่าระดับดี
ลำดับท…ี่ …
ตัวบง่ ช้ีที่……..
ช่อื ตวั บ่งชี้…….
ระดับคุณภาพ…….
ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นของผูเ้ รียน……..
ตอ้ งปรับปรุง………….
65
โรงเรียนมผี ลการประเมนิ ระดับคุณภาพ ดี โดยมีคา่ เฉลยี่ 84.84ผลการรับรองมาตรฐานคุณภาพ .......
รับรอง………..
ไม่รบั รอง ...........
กรณีที่ไม่ได้รับการรบั รอง เนื่องจาก รอผล
การสอบ O-Net ของนกั เรยี นระดับชั้น ม. 3, ม. 6 ประจำปี การศกึ ษา 2554 และการประกาศผล
การสอบของ สทศ. แลว้ ผลการสอบของโรงเรียนบรบอื มีผลการสอบเฉล่ียเพมิ่ ข้ึนจากเดิม
9. จุดท่คี วรพัฒนา
9.1 ผเู้ รียนมีความรแู้ ละทักษะที่จำเป็นตามหลักสตู รในระดับทไ่ี มน่ า่ พอใจ
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นต่ำกว่าระดบั ดใี นทุกกลุ่มสาระการเรยี นรู้
9.2 การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนของครขู าดวจิ ยั เพ่ือพัฒนาท่ีหลากหลาย
งานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง
1. งานวิจยั ในประเทศ
สาคร อาจารยางกรู (2545 : 83-88) ศึกษาผลการใชช้ ุดการเรยี นงานประดิษฐเ์ กล็ดปลา เพื่อมงุ่ สูอ่ าชีพ กลุ่มสาระ
การเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศึกษาปี ท่ี 5โดยมีวัตถปุ ระสงค์
1) เพื่อสร้างและศึกษาผลการใช้ชดุ การเรยี นงานประดิษฐ์เกลด็ ปลา
2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นของนักเรยี นทีเ่ รียนด้วยชุดการเรียนกบั การเรยี น
แบบปกตแิ ละ
3) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนกั เรียนที่มตี ่อชุดการเรยี น ผลการวิจัยพบว่า ชดุ การเรียนทผ่ี ้ศู ึกษาสร้างขึ้นมี
ประสิทธิภาพเท่ากับ 84.7/86.2 นกั เรยี นทเ่ี รยี นโดยใช้ชุดการเรียนกับนกั เรียนที่เรียนแบบปกติ มีผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรียนแตกตา่ งกันอยา่ งมีนยั สำคัญ ทางสถิตทิ ร่ี ะดบั 0.05 และนักเรยี นท่ีเรียนดว้ ยชุดการเรยี นมีความพึง
พอใจในระดับมาก
สริ ิพร วยั สุวรรณ (2547 : 87-92) ศึกษาการพฒั นาชุดการสอนกลมุ่ การงานและพืน้ ฐานอาชพี งานประดษิ ฐ์ใบตอง
ชน้ั ประถมศึกษาปี ที่ 4 มีวัตถุประสงคเ์ พือ่ 1) เพื่อพัฒนาชุดการสอน กลุม่ การงานพนื้ ฐานอาชพี งานประดิษฐ์
ใบตอง ช้ันประถมศกึ ษาปี ท่ี 4 2) เพ่ือปรียบเทียบผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนก่อนเรยี นและหลงั เรยี น ของนกั เรยี นท่ี
ได้รบั การสอนโดยใช้ชดุ การสอน 3) เพ่ือเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นก่อนเรียนและหลงั เรยี น ของนักเรียน
ท่ไี ดร้ บั การสอนโดยใชช้ ุดการสอนกบั นักเรียนที่ไดร้ บั การสอนตามแผนการสอนปกติ ผลการกษาวิจัยพบว่า
1) ชดุ การสอนกล่มุ การงานและพนื้ ฐานอาชพี งานประดษิ ฐ์ใบตองมีประสิทธิภาพ 82.50/83.60
66
2) นกั เรยี นที่เรยี นด้วยการเรียนรูด้ ้วยกระบวนการชุดการสอนวชิ างานประดิษฐ์ใบตอง มีผลสมั ฤทธิห์ ลงั เรียนสูง
กวา่ กอ่ นเรียน อยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถติ ิท่ีระดบั 0.05 และผลสัมฤทธิท์ างการเรียนของนักเรยี นที่ได้รับการสอนโดย
ใชช้ ดุ การสอนสูงกวา่ นกั เรียนทีเ่ รยี นทไี่ ด้รับการสอนตามแผนการสอนปกติ อย่างมนี ยั สำคญั ทางสถิติที่ระดับ 0.05
กาญจนา สีลาไหม (2549 : 69-74) ไดศ้ ึกษาการพฒั นาชุดการสอนแบบศูนย์การเรียน กล่มุ สาระการเรยี นรูก้ าร
งานอาชีพและเทคโนโลยี เรอื่ ง งานประดษิ ฐผ์ ลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น โดยมวี ตั ถุประสงคเ์ พ่ือพฒั นาชุดการสอนแบบ
ศูนยก์ ารเรยี นกลุ่มสาระการเรียนรูก้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี เร่ือง งานประดิษฐผ์ ลิตภัณฑ์ในท้องถิน่ และเพอ่ื
เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรยี นทเี่ รยี นดว้ ยชดุ การสอนแบบศนู ย์
การเรยี น กลุม่ ตวั อย่างทีใ่ ช้ในการวจิ ัย คือ นักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปี ท่ี 1/2 โรงเรียนทา่ โพธศ์ิ รีพิทยา สังกดั
สำนกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาอบุ ลราชธานี เขต 5 ปี การศึกษา 2548 โดยการสุ่มอย่างง่าย เครอื่ งมือท่ีใช้ในการ
วิจยั ประกอบดว้ ย ชุดการสอนแบบศนู ยก์ ารเรยี น จำนวน 4 ชดุ และแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น
จำนวน 40 ขอ้ มคี ่าความยากงา่ ยตั้งแต0่ .31-0.79คา่ อำนาจจำแนก ตง้ั แต่ 0.22 - 0.72และคา่ ความเชื่อมน่ั เท่ากบั
0.94 ผลการวจิ ัยพบวา่ ชดุ การสอนแบบศูนย์การเรียน มปี ระสิทธิภาพเทา่ กบั 84.25/83.18 และผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรยี นหลังเรยี นของนักเรียน สูงกว่าก่อนเรยี นอย่างมีนยั สำคัญทางสถิติทร่ี ะดบั 0.01
นฤมล รำจวน (2549 : 86-91) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้แบบโครงงาน เรอ่ื ง การประดิษฐ์
ดอกไมจ้ ากใบไม้ วชิ างานประดิษฐ์กล่มุ สาระการเรยี นรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศึกษาปี ท่ี 1
การศกึ ษาครัง้ นีจ้ ึงมคี วามมงุ่ หมาย เพื่อพฒั นาแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยกจิ กรรมโครงงาน เรอื่ ง การ
ประดิษฐ์ดอกไมจ้ ากใบไม้ วชิ างานประดิษฐก์ ล่มุ สาระการเรียนรกู้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศกึ ษาปี ท1่ี
ท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 85/85 หาดัชนีประสิทธิผลของแผนการเรียนร้แู บบโครงงานและเพื่อศึกษาความพึง
พอใจในการเรียนรู้ของนักเรยี น กลมุ่ ตัวอย่างทีใ่ ชใ้ นการศึกษาคน้ ควา้ คร้ังนค้ี ือ นกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 1
โรงเรียนนาดวี ทิ ยา สังกดั ส านกั งานเขตพื้นที่การศึกษาเขต 1 จงั หวดั สรุ นิ ทร์ ภาคเรยี นที1่ ปี การศึกษา 2548
จำนวน 40 คน จาก1 ห้องเรียน ซึง่ ได้มาโดยวธิ ีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) ผลการศึกษา
คน้ คว้าปรากฏดงั นี้
1) แผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบโครงงานเรื่องการประดษิ ฐ์ดอกไมจ้ ากใบไมว้ ิชางานประดิษฐช์ ัน้
มธั ยมศกึ ษาปี ที่1 มีประสิทธิภาพเทา่ กบั 88.52/91.92 ซงึ่ เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด
2) ดัชนีประสทิ ธิผลของแผนการจัดกจิ กรรมเรียนร้แู บบโครงงาน เร่อื ง การประดิษฐด์ อกไมจ้ ากใบไมว้ ชิ า
งานประดิษฐ์ ช้นั มัธยมศึกษาปี ที่ 1 มคี ่าเท่ากบั 0.7723 หรอื คดิ เป็นร้อยละ 77.233. นักเรียนมคี วามพงึ พอใจต่อ
การจดั กิจกรรมการเรยี นรูแ้ บบโครงงาน โดยรวมและเป็นรายดา้ น 4 ด้าน คอื ดา้ นแผนการจดั การเรียนรู้ ดา้ น
67
โครงงาน ด้านวสั ดุอปุ กรณก์ ารประดษิ ฐต์ ามโครงงาน ด้านผลงานการประดิษฐ์ตามโครงงาน และด้านประโยชน์ที่
เกิดกับนักเรียนอยู่ในระดับมากทส่ี ุด ส่วนด้านการจดั เวลาเรียนคาบเรียนนกั เรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
เทียมจันทร์ เรอื งเกษม (2553 : 97-102) ได้ใชช้ ุดการสอนแบบศนู ยก์ ารเรยี นวิชางานประดษิ ฐท์ ีเ่ ปน็ เอกลักษณ์
ไทย เรอ่ื ง การประดษิ ฐด์ อกไม้สด ของ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 เป็นเคร่ืองมือในการจัดกจิ กรรมการเรียน
การสอนพบวา่ ความรวู้ ิชางานประดิษฐท์ ีเ่ ป็นเอกลกั ษณ์ไทย เร่ือง การประดษิ ฐ์ดอกไม้สด ของ นกั เรยี นชั้น
ประถมศกึ ษาปีที่ 6 ท่ีได้รับการจัดการเรยี นร้ดู ้วยกระบวนการกลุ่ม จากชดุ การสอนแบบศูนย์การเรยี นหลงั เรียน
สูงกว่าก่อนเรยี นอย่างมีนยั สำคัญทางสถิตทิ ีร่ ะดบั 0.05
นจุ รีพร อนสุ ตั ย์ (2555 : 97-101) การพฒั นาแผนการเรียนรู้ท่เี น้นทักษะกระบวนการ เรื่อง งานประดษิ ฐ์ของใช้
จากวสั ดธุ รรมชาติ กลมุ่ สาระการเรียนรกู้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี สำหรับนกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 1 จาก
ผลการวิจัยพบว่า แผนการเรียนรูท้ เ่ี น้นทักษะกระบวนการ เรอื่ ง งานประดิษฐข์ องใชจ้ ากวสั ดธุ รรมชาติ กลุม่ สาระ
การเรียนร้กู ารงานอาชพี และเทคโนโลยี สำหรบั นักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปี ที่ 1 มีประสิทธิภาพสงู กว่าเกณฑ8์ 0/80
ทีต่ งั้ ไว้ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนหลงั เรียนของนักเรยี นทเ่ี รยี นดว้ ยแผนการเรยี นร้ทู เ่ี น้นทักษะกระบวนการ
เร่ือง งานประดษิ ฐ์ของใช้จากวสั ดุธรรมชาติ สูงกวา่ กอ่ นเรยี น อย่างมนี ัยสำคัญทางสถติ ทิ ่ีระดบั 0.05 และผ้เู รยี นมี
ความพึงพอใจต่อแผนการเรยี นร้ทู ่ีเน้นทกั ษะฃกระบวนการ เร่อื งงานประดิษฐ์ของใชจ้ ากวสั ดุธรรมชาติ
อยใู่ นระดบั ดีมาก
2. งานวิจยั ต่างประเทศ
Rasanen (2005 : 53–63) อภปิ รายเก่ยี วกับการเปลย่ี นแปลงบทบาทของการเปน็ ผชู้ ำนาญหลายดา้ น
และผูช้ ำนาญเฉพาะด้าน เก่ียวกับศิลปศึกษาในประเทศฟินแลนด์ โดยคน้ หาวิธีการทีน่ กั วิชาการดา้ นศลิ ปะจะ
บูรณาการบทบาทของผู้ปฏบิ ัตงิ าน ทางดา้ นวฒั นธรรม ครู ศลิ ปนิ และนกั วิจยั โดยให้ผทู้ ่ีมีส่วนเกยวขอ้ งนั้น
อธบิ ายเก่ยี วกบั การสอนศิลปะในโรงเรียน และความคาดหวงั ในการสอนศลิ ปะของพวกเขา เก็บข้อมูลโดยการใช้
อภิปรายบนเครือขา่ ยอินเทอร์เนต็ และรายงานเกยี่ วกับงานศลิ ปะที่ช่วยใหเ้ กิดความชำนาญเฉพาะดา้ น ในระหวา่ งที่
เรยี นวธิ ีวจิ ยั เชิงคุณภาพ พบวา่ นกั การศึกษาชาวฟนิ แลนด์ แสดงแนวคดิ เกี่ยวกับบทบาทในการท่จี ะสอนศิลปะครั้ง
หนึ่งหลายบทบาท การวจิ ยั เชิงปฏบิ ตั กิ ารด้านศิลปะชว่ ยใหค้ ้นพบแนวทางแก้ปญั หา และความเขา้ ใจเกี่ยวกับ
ศิลปะในแงท่ จ่ี ะเปน็ แนวทางในการค้นพบ จะช่วยเช่ือมต่อช่องว่างระหว่างความเปน็ ผเู้ ช่ียวชาญเฉพาะด้าน และ
ความเปน็ ผูเ้ ชย่ี วชาญท่ีหลากหลาย นอกจากนีย้ ังพบว่า นกั ศึกษาด้านศลิ ปะใหค้ ุณค่าการสอน และการวิจัยเกีย่ วกับ
การสร้างการผลิตงานศลิ ปะอย่างเทา่ เทยี มกัน
Nimkulrat. N (2010 :63–84) ศกึ ษาแนวคิดเก่ียวกับวสั ดุท่ีใชใ้ นการปฏบิ ตั กิ ารวจิ ัย เกี่ยวกบั งานศลิ ปะ
เครือ่ งทอ สามารถกระต้นุ ความคดิ สร้างสรรค์ของนักเรียน ในสว่ นท่เี กี่ยวข้องกบั วสั ดุศาสตร์ กบั กายภาพของวัสดุ
68
และความสามารถในการนำวัสดุเหล่านั้น มาออกแบบให้มีความหมาย และมีสุนทรียศาสตร์ ใหเ้ ป็นสากลมากยิง่ ขนึ้
ไดอ้ ยา่ งไร พบวา่ ในการแสดงให้เด็กเห็นว่า การนำวัสดุไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการทำสิง่ ทอ ชว่ ยใหเ้ ดก็ สามารถแสดงออก
ถึงความหมายของชนิ้ งานที่พวกเขาสรา้ งขึน้ และยงั เปน็ แนวทางใหพ้ วกเขามองเหน็ แนวทางกระบวนสุนทรยี ศาสตร์
ซ่ึงสงิ่ เหล่านีเ้ ป็นองค์ประกอบท่ีจะกระตนุ้ ความคิดสรา้ งสรรคข์ องเด็ก ชว่ ยใหเ้ ด็กเกิดแนวคดิ ท่ีมีความหมาย
สามารถวางรปู แบบ วิธกี าร และตีความของชน้ิ งานได้
Haanstra (2010 :271-282) ศกึ ษารูปแบบเนื้อหาของการสร้างสรรคช์ ้ินงานศิลปะด้วยตนเอง ของ
นักเรยี นกลุม่ ตวั อยา่ งเปน็ นกั เรียนชาวดัส อายุ 10-14 ปี จำนวน 52 คน จากโรงเรียนประถมศึกษา และ
มัธยมศกึ ษา รวมทงั้ ไปถึงครทู ่ีสอนศิลปะนักเรียนเหล่านี้ดว้ ย เก็บรวบรวมข้อมลู โดยการสมั ภาษณ์โดยใหน้ ักเรยี น
ยกตัวอยา่ งงานศลิ ปะที่พวกเขาสรา้ งสรรค์ข้ึนที่บ้าน และทโี่ รงเรยี น พบวา่ การสรา้ งสรรค์ศิลปะของตนเอง ของ
นักเรยี นนนั้ มีอยู่4
รูปแบบ ไดแ้ ก่ ศลิ ปประยุกต์ วัฒนธรรมที่เปน็ ทนี่ ิยม ประสบการณส์ ว่ นบุคคล และงานศิลปะท่เี กีย่ วกับวัฒนธรรม
ขนบธรรมเนียม นอกจากนยี้ ังพบวา่ การเรียนรใู้ นการเรียนศลิ ปะนอกหอ้ งเรยี นนน้ั นักเรียนจะเรยี นโดยการลงมือ
ปฏบิ ัติ หรอื คดั ลอกจากงานต้นแบบ นกั เรยี นมีความตระหนักในความแตกตา่ งของงานศิลปะ ทง้ั ในเรื่องของ
รูปแบบวสั ดุท่ีใช้ในการสร้างสรรค์ และขอบเขตงาน ส่วนในการทำงานศลิ ปะท่ีสร้างสรรค์ด้วยตนเองไปใชใ้ น
โรงเรียน อาจจะไม่ถูกต้องนัก ครูศลิ ปะควรเพิกเฉย สว่ นครศู ิลปะพึงกระทำ คือ ตระหนักถงึ วัฒนธรรมของ
ทศั นศิลป์ ที่เด็กสร้างข้ึนด้วยตนเอง และนำงานเหล่านั้นมาใชใ้ นบทเรยี น
Kettley (2012 :33–51) ไดน้ าเสนอแนวทางการสร้างงานประดิษฐ์ 7 แบบ ซึง่ ไดม้ าจากการวิจัย
เพอ่ื ท่จี ะหาวิธกี ารในการออกแบบช้ินงาน ซ่งึ ในการออกแบบนไ้ี ดใ้ ชอ้ งคค์ วามรูเ้ ก่ยี วกบั การออกแบบงานประดิษฐ์
หลายอยา่ ง รวมทง้ั การลงมือปฏิบตั ิในการสร้างสรรค์ชนิ้ งาน และความเข้าใจในศกั ยภาพ ทจี่ ะใช้ออกแบบช้ินงาน
อยา่ งมีความหมาย พบว่ามี 7 ขน้ั ตอนซ่ึง ได้แก่
1. ศกึ ษาความเสยี่ ง และคุณคา่ ของงานทจ่ี ะสร้าง
2. ขยายขอบเขตของการนาํ วัสดุมาใช้สร้างสรรคช์ ้นิ งาน
3. วิเคราะห์แหลง่ ของวสั ดทุ ่ีน มาใช้งานไดด้ ี
4. ออกแบบขนั้ ตอนการสร้างชนิ้ งาน โดยการวาดภาพ หรอื การสร้างชิน้ งานตน้ แบบ
5. ลงมือสร้างสรรคช์ น้ิ งานของจริง
6. เติมจดุ สำคัญ และความเฉพาะให้แกช่ ิ้นงาน
7. พิจารณาผลงานทสี่ รา้ งข้นึ ทั้งในแง่ของจุดมงุ่ หมาย และส่วนท่ีเก่ียวขอ้ งกบั วัฒนธรรม
69
จากการศึกษารายงานวิจยั ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เก่ียวกบั การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้เร่ืองงาน
ประดิษฐน์ ัน้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชช้ ดุ การสอนทเี่ นน้ ทกั ษะปฏิบัติ ไมว่ ่าจะเป็นรปู แบบใดกต็ าม สง่ ผลให้
นกั เรยี นมผี ลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นสงู กว่ากล่มุ นกั เรยี นท่ีเรียนดว้ ยวิธปี กติ นักเรียนมคี วามพึงพอใจต่อชดุ การสอน
เน่อื งจากมรี ูปภาพและขัน้ ตอนในการปฏิบัตอิ ย่างชดั เจนสร้างความเข้าใจในบทเรยี นได้ง่ายและรวดเร็วยิง่ ขึ้น การ
จดั กจิ กรรมการเรียนรูโ้ ดยใชช้ ุดการสอนเป็นนวัตกรรมหนึง่ ที่ชว่ ยครูผู้สอนได้อย่างมีประสิทธิภาพผู้วจิ ยั จึงได้
นำความรูจ้ ากการศึกษางานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง มาเป็นแนวทางในการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ เพือ่ พัฒนาทักษะ
ปฏิบัติงานประดิษฐ์ท่ีเป็นเอกลกั ษณ์ไทย โดยใชช้ ุดการสอน สำหรบั นกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปี ท่ี4 เพ่ือให้กิจกรรม
การเรยี นรบู้ รรลตุ ามวัตถปุ ระสงค์ ของหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551ยงิ่ ข้นึ
บทที่ 3
วิธีดำเนนิ กำรวจิ ยั
การวิจัยการพัฒนาทักษะปฏิบตั ิงานประดษิ ฐ์ท่ีเป็นเอกลกั ษณ์ไทยประเภทงานใบตองโดยใช้ชุดการสอน
สาหรบั นกั เรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปี ที่ 4 มีวิธดี าเนินการ ตามขัน้ ตอนดังต่อไปนี้
1. ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง
2. เครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการวิจยั
3. การสร้างและหาคุณภาพเครอ่ื งมือ
4. วธิ ีดเนนิ การวิจัยและเก็บรวบรวมขอ้ มูล
5. รูปแบบการวจิ ยั
6. การวเิ คราะหข์ ้อมูล
7. สถิติทีใ่ ช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมูล
ประชำกรและกลุ่มตวั อย่ำง
1. ประชำกร
ประชากร ได้แก่ นักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปี ที่ 4 โรงเรยี นโซพ่ ิสยั พิทยาคม อาเภอโซ่พสิ ัย จังหวัดบึงกาฬ
สานกั งานเขตพนื้ ท่ีการศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 21 ปกี ารศึกษา 2564 จานวน 60 คน จากท้ังหมด 2 ห้องเรียน
2. กลุม่ ตัวอย่ำง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ท่ี 4/1 โรงเรยี นโซ่พิสยั พิทยาคม อาเภอโซ่
พสิ ัย จงั หวัดบึงกาฬ สานักงานเขตพนื้ ทกี่ ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 21 ปี การศกึ ษา 2564 จานวน 60 คน ซงึ่ ได้มา
จากด้วยวธิ กี ารส่มุ แบบกลุม่ (Cluster Random Sampling) เครือ่ งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั
เครือ่ งมือท่ใี ชใ้ นกำรศึกษำ ประกอบด้วย
1. ชดุ การสอน วชิ างานประดิษฐท์ เ่ี ป็นเอกลกั ษณไ์ ทย เรื่อง งานประดษิ ฐ์ด้วยใบตอง สาหรับนกั เรียนชน้ั
มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 4 จานวน 6 ชุด ใช้จดั กิจกรรมการเรยี นรู้ 12 ชั่วโมง
ชุดที่ 1 เรอื่ ง การพบั กลบี ใบตอง เวลาเรียน 4 ชว่ั โมง
ชุดท่ี 2 เรอื่ ง การเย็บถาดใบตอง เวลาเรียน 4 ชวั่ โมง
ชุดที่ 3 เร่ือง บายศรปี ากชาม เวลาเรยี น 4 ชวั่ โมง
2. แผนการจดั การเรยี นรปู้ ระกอบชุดการสอนทกั ษะปฏิบัติ เรือ่ ง งานประดิษฐ์ท่ีเปน็ เอกลักษณไ์ ทย
ประเภทงานใบตอง โดยใช้ชดุ การสอน สาหรับนักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปี ท่ี 4 จานวน 3 แผนการเรียนรู้ ทาการ
สอนแผนการเรยี นรู้ละ 4 ช่ัวโมง จานวน 1 แผนการดงั นี้
69
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 1 เรอื่ ง การพบั กลบี ใบตอง 4 ชัว่ โมง ชุดที่ 1 เรอื่ ง การพบั กลีบใบตอง
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 2 เรือ่ ง การเย็บถาดใบตอง 4 ชั่วโมง ชุดที่ 2 เร่อื งการเยบ็ ถาดใบตอง
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรอื่ ง บายศรปี ากชาม 4 ชั่วโมง ชุดที่ 5 เร่อื ง บายศรปี ากชาม
รวมเวลาเรยี นทัง้ หมด 16 ชั่วโมง
3. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นกอ่ นเรียนและหลงั เรยี นด้วยชดุ การสอนทง้ั 6 ชดุ จานวน 60
ข้อคัดเลอื กเหลอื จานวน 40 ข้อ เป็นแบบปรนัยเลือกตอบชนดิ 4 ตวั เลอื ก
4. แบบประเมนิ ทักษะปฏบิ ัตใิ นการประดิษฐ์งานใบตองเป็นแบบรบู ริค(Rubric score)5ระดับจานวน5 ข้อ
5. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรยี นทม่ี ตี ่อ ชุดการสอนวิชางานประดิษฐ์ท่ีเปน็ เอกลกั ษณ์ไทย
เร่ือง งานประดษิ ฐ์ด้วยใบตองชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 เป็นแบบมาตราส่วนประมาณคา่ (Rating scale) 5 ระดับ
จานวน 20ขอ้
กำรสรำ้ งและหำคณุ ภำพของเครอ่ื งมือ
1. กำรสร้ำงชุดกำรสอน
ผวู้ จิ ัยได้ดาเนนิ การสรา้ งชดุ การสอนทักษะปฏบิ ตั ิ เรื่อง งานประดิษฐ์ท่ีเป็นเอกลักษณ์ไทย ประเภทงาน
ใบตอง สาหรับนกั เรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปี ที่ 4 มีขนั้ ตอน ดงั นี้
1.1 ศกึ ษาเน้ือหา และหลักสูตรกลุม่ สาระการเรยี นรกู้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี ตามหลักสตู ร
สถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน โรงเรยี นโซพ่ สิ ัยพทิ ยาคม ระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย พทุ ธศักราช 2546
ศกึ ษาคมู่ ือครู หนงั สอื และเอกสารตา่ ง ๆ ทเ่ี ก่ยี วกบั จุดมงุ่ หมายของหลักสตู ร ขอบขา่ ยเน้ือหา จุดประสงค์
การเรยี นรู้ วิธีการสอน การวัดผลและการประเมนิ ผล และตามแนวทางการสอนตรงตามหลักสูตรแกน
กลางการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551และศกึ ษาการจัดสาระการเรยี นรู้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้การ
งานอาชพี และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศกึ ษาปี ท่ี 4 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช
2551
1.2 กาหนดขอบข่ายเน้ือหาและตวั ชี้วัดชว่ งชนั้ เพ่ือกาหนดขอบเขตเน้อื หาในการเรยี นจัดทาชดุ
การสอน เพื่อใหเ้ ป็นไปตามจุดม่งุ หมายของหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551
ของกระทรวงศึกษาธิการ
1.3 วเิ คราะห์เนอ้ื หาโดยแตกเนื้อหาออกเปน็ หนว่ ยการเรียนยอ่ ย ๆ เพ่ือนาไปสู่รายละเอียดของ
เนือ้ หา และสอดคล้องกับตัวชี้วดั ช่วงชั้นโดยเรยี งเน้ือหางา่ ยไปหายาก
1.4 เขียนชุดการสอนวชิ างานประดษิ ฐท์ ีเ่ ป็นเอกลักษณไ์ ทย ประเภทงานใบตองสาหรับนักเรยี น
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 4
1.5 ศึกษาหลักการ แนวคดิ เทคนคิ และวธิ ีการสร้างชดุ การสอน
70
1.6 วิเคราะหแ์ ละออกแบบการนาเสนอเนื้อหา จดั ทาโครงสร้างเน้อื หาเพอ่ื นาไปประกอบการ
เขยี นผงั การสรา้ งชดุ การสอน พร้อมแบบฝึกหัดระหว่างเรียน แล้วนาเสนออาจารย์ทปี่ รึกษาเพื่อตรวจสอบ
ความเหมาะสมของชดุ การสอน
1.7 ปรบั ปรงุ แก้ไขตามคาแนะนาของอาจารยท์ ป่ี รึกษาและนาเสนอตอ่ อาจารย์ท่ีปรกึ ษาอกี คร้ัง
แลว้ นาเสนอผู้เชยี่ วชาญด้านหลกั สูตร เน้ือหา และเทคโนโลยีทางการศึกษาเพ่ือขอคาแนะนาแก้ไข
ปรบั ปรุง โดยผูเ้ ช่ยี วชาญ จานวน 5 ท่าน ประกอบดว้ ย
1.7.1 นายสมจติ เมอื งนาม กศ.ม. การวดั และประเมนิ ผลการศึกษา ครูชานาญการพเิ ศษ
โรงเรยี นโซ่พิสยั พทิ ยาคม อาเภอโซ่พิสัย จังหวดั บึงกาฬ ผเู้ ชี่ยวชาญดา้ นสถติ ิ การวัดผล และการวิจยั
1.7.2 นางธนั วภรณ์ สารผล ศษ.ม. นวตั กรรมหลกั สตู รและการจดั การเรียนรู้ครูชานาญการพิเศษ
โรงเรียนโซพ่ ิสยั พิทยาคม อาเภอโซ่พิสัย จังหวัดบงึ กาฬ ผ้เู ชี่ยวชาญดา้ นหลักสตู ร
1.7.3 นางสภุ าพ ทองนุช กศ.ม. จิตวิทยาการศกึ ษา ครชู านาญการพิเศษ
โรงเรียนโซพ่ สิ ยั พิทยาคม อาเภอโซพ่ ิสัย จงั หวัดบงึ กาฬ ผู้เชยี่ วชาญดา้ นภาษากลุม่ สาระการเรียนรู้
ภาษาไทย
1.7.4 นางดาหวัน ชินณะวงศ์ กศ.ม. หลักสูตรและการสอน ครูชานาญการ
พิเศษ โรงเรียนโซ่พสิ ัยพิทยาคม อาเภอโซ่พสิ ยั จงั หวัดบึงกาฬ ผ้เู ช่ยี วชาญดา้ นการเรยี นการสอน
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี
1.7.5 นางภัทรานี พลลา กศ.ม. เทคโนโลยีการศกึ ษา ครูชานาญการพิเศษ โรงเรียนโซพ่ สิ ัยพิทยา
คม อาเภอโซพ่ ิสยั จังหวดั บึงกาฬ ผเู้ ชยี่ วชาญดา้ นการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรกู้ ารงานอาชพี และ
เทคโนโลยี ในการพิจารณาตรวจสอบความเหมาะสมของชดุ การสอนน้ีใชแ้ บบประเมนิ ความเหมาะสมของชุดการ
สอนใน 5 ประเด็น คือ
1) องค์ประกอบเบื้องต้นทเี่ ป็นความคดิ รวบยอดและจุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม
2) ดา้ นเนือ้ หาสาระในปริมาณความสอดคลอ้ งกับจดุ ประสงคค์ วามยากงา่ ยเหมาะสมกับผู้เรียนและดับดบั
ขัน้ ตอนท่ีดี
3) ด้านกิจกรรมต้ังแต่การนาเข้าสู่บทเรียนการดาเนนิ กิจกรรมตามลาดบั ขนั้ ตอนการสรุปบทเรยี นและ
การทดสอบหลงั เรยี น
4) ดา้ นสื่อการเรียนพจิ ารณาในด้านปริมาณความเหมาะสมกับผเู้ รยี นและกจิ กรรมการเรยี น
5) ดา้ นภาษาดูความถูกตอ้ งเข้าใจง่ายตลอดจนขนาดของตัวอักษรที่เหมาะสม สาหรบั เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการ
ประเมินเป็นแบบมาตราสว่ นประมาณค่า (Rating Scale) โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนระดบั ความเหมาะสมคะแนน
71
เหมาะสมมากท่สี ุด 5
เหมาะสมมาก 4
เหมาะสมปานกลาง 3
เหมาะสมน้อย 2
เหมาะสมน้อยท่สี ดุ 1
และตอนท้ายของแบบประเมินเปิดโอกาสใหผ้ ปู้ ระเมินได้แสดงข้อคดิ เห็นเสนอแนะเพิ่มเติมในการ
ปรับปรุงแผนการสอน (ดรู ายละเอียดในภาคผนวก)
1.8 การวเิ คราะห์ผลการประเมินแผนการสอนของผูเ้ ช่ยี วชาญผูว้ ิจัยไดน้ าคะแนนการประเมนิ ของ
ผู้เช่ยี วชาญ ทัง้ 5 ชุด มาวเิ คราะห์หาค่าเฉลี่ย ( ) และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) โดยกาหนดคา่ ไว้ 5 ระดบั
(ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ. 2540 :239) มคี า่ ความหมายดงั นี้
คา่ เฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึงเหมาะสมมากท่ีสดุ
คา่ เฉลย่ี 3.51 – 4.50 หมายถงึ เหมาะสมมาก
คา่ เฉลย่ี 2.51 – 3.50 หมายถึงเหมาะสมปานกลาง
ค่าเฉลีย่ 1.51 – 2.50 หมายถงึ เหมาะสมน้อย
ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถงึ เหมาะสมนอ้ ยที่สดุ
โดยชดุ การสอนตอ้ งมีคา่ เฉล่ียต้ังแต่ 3.51 ขน้ึ ไป จึงถือว่าเป็นชดุ การสอนท่ีเหมาะสมได้ค่าความเหมาะสมอยู่ใน
ระดับมาก ( =4.35, S.D.= 0.32)
1.9 นาชุดการสอนมาปรับปรุงแก้ไข จัดพิมพเ์ ป็นฉบับสมบูรณ์กอ่ นนาไป
ทดลองใชก้ ับนกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 4/1 โรงเรียนบรบือ จานวน 45คน ซง่ึ เป็นกลุ่ม
ตัวอยา่ งตอ่ ไป
2. แผนกำรจัดกำรเรียนรู้
ผวู้ ิจยั ได้ดาเนินการสรา้ งแผนการจัดการเรยี นรตู้ ามข้ันตอนต่อไปน้ี
2.1 ศกึ ษาหลักสูตรวสิ ยั ทัศน์ คุณภาพของผู้เรียน คุณลักษณะที่พึงประสงค์มาตรฐานและตัวชวี้ ัด การ
เรียนร้กู ลุม่ สาระการเรียนร้กู ารงานอาชพี และเทคโนโลยี ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พุทธศกั ราช
2551 (กระทรวงศกึ ษาธิการ. 2551 : 204-219)
2.2 วเิ คราะหเ์ นอ้ื หาทใี่ ชใ้ นการสรา้ งแผนการจดั การเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรทู้ ักษะปฏบิ ัติเนื้อหาใน
การวจิ ัยคร้ังน้ี เป็นเน้อื หาจากเอกสารทางวิชาการ เอกสารประกอบการสอน โดยอ้างองิ เนือ้ หาจากกลมุ่ สาระการ
เรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551
2.3 วเิ คราะหแ์ ละสรา้ งจุดประสงค์การเรียนรตู้ ามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน พุทธศักราช
2551
72
2.4 ศกึ ษาวิธกี ารหลกั การ หลักทฤษฎแี ละเทคนคิ การเขยี นแผนการจดั การเรยี นรู้ ของกรมวิชาการ
ความรู้เก่ยี วกับกระบวนการเรียนรูท้ กั ษะปฏิบตั ิของดเี ชคโค ซึง่ (ณฐั วฒุ ิ กิจรงุ่ เรือง และคณะ. 2545 : 54) ได้
เสนอแนะวา่ องค์ประกอบของแผนการจดั การ
เรยี นรู้ประกอบด้วย
2.4.1 หัวเรือ่ ง (Heading)
2.4.2 สาระสาคญั (Concept)
2.4.3 จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ (Objective)
2.4.4 เนอ้ื หาสาระ (Content)
2.4.5 กจิ กรรมการเรยี นรู้ (Activities)
2.4.6 ส่อื การเรยี นรู้ (Material Media)
2.4.7 การวัดผลและประเมินผล (Assessment)
2.5 เลือกสาระที่เป็นองค์ความรู้กลมุ่ สาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีสาระที่ 1 การดารงชีวติ
และครอบครวั งานประดิษฐท์ ่เี ป็นเอกลักษณ์ไทย ประเภทงานใบตองเพื่อกาหนดเป็นกจิ กรรมการเรียนรู้
2.6 เขยี นแผนการจัดการเรียนร้ตู ามสาระท่ีกาหนด ซ่ึงผูว้ ิจัยไดแ้ บ่งเน้ือหาออกเปน็ 3 แผน ใชเ้ วลาทาการ
สอนแผนละ 4 ชวั่ โมง จานวน 3 แผน ทาการสอนแผนละ 4 ชว่ั โมง จานวน 3 แผน รวมเวลาทใี่ ช้สอน 16 ชวั่ โมง
ทัง้ นี้ไม่รวมเวลาทดสอบวัดผลสัมฤทธ์กิ ่อนเรยี นและหลงั เรยี น
2.7 เขยี นแผนการจัดการเรียนรตู้ ามเน้อื หาจุดประสงค์ทีว่ ิเคราะห์โดยดาเนนิ การตามนี้
2.7.1 เขียนสาระสาคัญโดยให้สมั พันธ์กับเนื้อหา
2.7.2 เขยี นจดุ ประสงค์การเรียนรู้
2.7.3 กาหนดกิจกรรมการเรยี นการสอนท่เี น้นทกั ษะปฏบิ ัติงาน
2.7.4 กาหนดส่ือการเรยี น
2.7.5 กาหนดวธิ กี ารวัดผลและประเมินผล
2.8 นาแผนการจัดการเรยี นรู้ท่ีสร้างข้นึ เสนอต่ออาจารย์ท่ีปรึกษาเพ่ือตรวจสอบความเหมาะสม
2.9 นาแผนการจดั การเรียนรู้มาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของอาจารยท์ ีป่ รึกษา
2.10 สร้างแบบประเมนิ แผนการจดั การเรียนรู้สาหรบั ผ้เู ชี่ยวชาญ เพื่อประเมินความเหมาะสมของ
แผนการจดั การเรียนรู้ เป็นแบบมาตราส่วนประเมนิ ค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ตามวิธีของ (Likert) โดย
กาหนดการให้คะแนนดงั นี้ (บุญชม ศรสี ะอาด. 2545 : 69-71)
73
คะแนนควำมเหมำะสม
5 เหมาะสมมากที่สดุ
4 เหมาะสมมาก
3 เหมาะสมปานกลาง
2 เหมาะสมน้อย
1 เหมาะสมน้อยท่ีสดุ
2.11 นาแผนการจดั การเรียนรู้พรอ้ มแบบประเมิน เสนอผู้เชี่ยวชาญชุดเดมิ เพอื่ ตรวจสอบความถูกต้อง
ความเหมาะสม
2.12 นาคะแนนที่ได้จากการประเมินของผเู้ ช่ยี วชาญทงั้ 5 ท่าน มาหาคา่ เฉลี่ยโดยใช้เกณฑก์ ารประเมิน
และการแปลความหมาย ดังน้ี (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2545 : 162)
คา่ เฉล่ยี 4.51 – 5.00 หมายถึงเหมาะสมมากที่สดุ
ค่าเฉลีย่ 3.51 – 4.50 หมายถงึ เหมาะสมมาก
ค่าเฉล่ยี 2.51 – 3.50 หมายถึงเหมาะสมปานกลาง
ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถงึ เหมาะสมน้อย
คะแนนเฉล่ยี 1.00 – 1.50 หมายถงึ เหมาะสมน้อยท่สี ุด
โดยแผนการจัดการเรียนรตู้ ้องมีคา่ เฉลยี่ ตั้งแต3่ .51 ขึ้นไป จงึ ถือว่าเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ทเี่ หมาะสม
ได้คา่ ความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( = 4.24, S.D.= 0.32)
2.13 นาแผนการจดั การเรียนรูม้ าปรับปรุงแก้ไข ตามข้อเสนอแนะของผูเ้ ชีย่ วชาญแล้วไปทดลองใช้ (Try-
Out) กับนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 โรงเรยี นโซ่พสิ ยั ท่ีไม่ใชก่ ลุ่มตัวอยา่ ง จานวน 30 คน เพือ่ ดคู วามเหมาะสม
ของเวลา เน้อื หาการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ สอ่ื และการประเมนิ ผล ได้ปรบั ลดเน้ือหาให้เหมาะสมกับเวลา
2.14 นาแผนการจัดการเรยี นรู้ มาปรบั ปรงุ แก้ไข จดั พิมพเ์ ป็นฉบับสมบูรณ์ก่อนนาไปทดลองใช้กบั
นักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปี ท่ี 4/1 โรงเรียนบรบือ จานวน 30 คน ซ่ึงเป็นกลมุ่ ตวั อยา่ งต่อไป
3. แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
ผู้วจิ ัยไดศ้ กึ ษาคน้ คว้าดาเนนิ การสรา้ ง และคุณภาพตามลาดับขนั้ ตอน ดงั นี้
3.1 ศกึ ษาทฤษฎแี ละวิธีการสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนแบบองิ เกณฑ์ ของ (บุญชม ศรี
สะอาด. 2543 : 56-23) การวดั ผลการศึกษา ของ (สมนึก ภัททิยธน.ี 2556 : 73-97) และเอกสารประกอบ
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 (แนวปฏบิ ตั ิการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู.้
2552 : 1-33)
74
3.2 วิเคราะหห์ ลกั สตู ร วิเคราะห์ความสัมพนั ธร์ ะหว่างจดุ มุ่งหมายของหลักสตู ร จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ของ
กลุม่ สาระการเรยี นรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี โดย
ครูผู้สอนเป็นผูก้ าหนดเน้ือหา วิธีวดั และเคร่อื งมือในการวัดและประเมนิ ผล
3.3 สรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นที่เป็นแบบปรนยั ชนิดเลือกตอบ 4 ตวั เลือก โดยให้
ครอบคลุมเน้ือหา และจุดประสงค์ จานวน 60 ขอ้
3.4 นาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นทส่ี ร้างขึ้น เสนออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อตรวจสอบความ
เหมาะสม ความถูกต้องแลว้ นาไปให้ผูเ้ ชี่ยวชาญชุดเดมิ เพื่อประเมินความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกบั เนื้อหาและ
จดุ ประสงค์การเรียนรู้หรือค่า IOC (Index of Item Objective Congruence) โดยมเี กณฑ์การให้คะแนน ดังน้ี
ให้คะแนน +1 เม่ือแน่ใจว่าข้อสอบข้อนน้ั วดั ได้ตรงตามจุดประสงคก์ ารเรยี นรใู้ หค้ ะแนน 0 เม่ือไม่แน่ใจว่าข้อสอบ
ขอ้ นั้นวดั ได้ตรงตามจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจวา่ ข้อสอบขอ้ น้นั ได้ไม่ตรงตามจุดประสงค์ การ
เรยี นรู้ คา่ ความสอดคลอ้ ง (IOC) ระหวา่ งข้อสอบกบั จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรขู้ องผู้เช่ียวชาญ 5 ท่าน ตอ้ งมีคะแนน
เฉล่ียตั้งแต0่ .50 ถงึ 1.00 จึงถือวา่ ใชไ้ ด้ (สมนึก ภัททิยธนี. 2551 : 220)
3.5 นาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน จานวน 60 ข้อ ไปทดลองใช้ (Try-Out) กบั นกั เรียนช้ัน
มธั ยมศึกษาปี ที่ 4 โรงเรยี นโซพ่ สิ ยั ทีไ่ มใ่ ชก่ ลุ่มตวั อยา่ ง จานวน 30 คน เพือ่ หาคณุ ภาพของแบบทดสอบ
3.6 นาแบบทสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน มาวิเคราะห์หาคา่ ความยากคา่ อานาจจาแนกรายข้อ ตาม
วธิ ีการของเบรนแนน (Brennan) โดยยึดเกณฑ์คา่ ความยากตั้งแต0่ .20 ถงึ 0.80 ถือวา่ ใช้ได้ ค่าอานาจจาแนก
ตั้งแต่0.20 ถึง 1.00 ถือวา่ ใช้ได้ ได้ข้อสอบที่มคี า่ ความยาก (P) ตั้งแต่0.31-0.87 คา่ อานาจจาแนก (B) ตง้ั แต่
0.22-0.75
3.7 แบบทสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน มาวเิ คราะหห์ าคา่ ความเช่อื ม่นั ทงั้ ฉบับ ด้วยวธิ ีการของโลเวท
(Lovett) (สมนกึ ภทั ทิยธนี. 2546 : 55-77) มคี ่าความเช่อื มัน่ เทา่ กบั 0.80
3.8 จัดพิมพ์แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นเปน็ ฉบับสมบรู ณ์ จานวน 40 ขอ้ เพ่ือนาไปใชก้ บั
นกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 4/1 โรงเรยี นโซ่พิสยั จานวน 30 คน ซ่งึ เป็นกลุม่ ตวั อย่างต่อไป
4. แบบประเมนิ ทักษะปฏิบัติงานประดษิ ฐ์
ผูว้ ิจัยได้ดาเนนิ การสร้างแบบประเมินทักษะปฏบิ ตั ซิ ึง่ เป็นแบบ (Rubric Score)5 ระดับ จานวน 5 ข้อ
4.1 ศึกษาเน้ือหาและวิธีการสร้างแบบประเมนิ ทักษะปฏบิ ัติจากเอกสารและคู่มือครู
4.2 วิเคราะหต์ ัวชว้ี ดั ช่วงชน้ั และจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ของเน้ือหาที่ใช้ทดลองท้ัง 6 เร่ือง
4.3 สร้างแบบประเมนิ ทักษะปฏบิ ตั โิ ดยสรา้ งแบบสงั เกตและแบบตรวจผลงานสาหรบั ผู้ประเมนิ ให้คะแนน
ทกั ษะปฏบิ ัติ และมเี กณฑใ์ นการประเมนิ ทักษะปฏบิ ัติ
4.4 นาแบบประเมนิ ทกั ษะปฏิบัติท่ไี ด้ไปให้ผูเ้ ช่ียวชาญตรวจสอบความ
สอดคล้องกับรายการประเมนิ และวัตถปุ ระสงคท์ ่ีต้องการวดั แล้วนามาปรับปรงุ แก้ไขก่อนแล้วนาไปใชจ้ ริง