8
2.2 ตวั แปรตาม ไดแ้ ก่
2.2.1 ประสิทธิภาพของกจิ กรรมการเรยี นการสอน
2.2.2 ประสิทธิผลของกจิ กรรมการเรยี นการสอน
2.2.3 ความรูเ้ กยี่ วกบั การจดั ตกแต่งบ้าน
2.2.4 ทักษะการจัดตกแต่งบ้าน
2.2.5 ความพงึ พอใจตอ่ การเรียน
3. ขอบเขตดา้ นเนื้อหา
กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้สือ่ ประสม เรื่องการจัดตกแต่งบ้าน กลุ่มสาระ
การเรียนรู้การงานอาชพี ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 4 มีขอบขา่ ยเนื้อหาสาระการเรยี นรู้ ดังน้ี
3.1 หลักการจดั ตกแตง่ บา้ น
3.2 การจัดตกแต่งห้องต่างๆ ภายในบา้ น
3.3 การจัดตกแต่งบริเวณบ้าน
3.4 การประดษิ ฐข์ องใชแ้ ละของตกแต่งบา้ น
4. ขอบเขตด้านระยะเวลาในการทดลองใช้กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้ส่ือ
ประสม เรื่องการจดั ตกแตง่ บา้ น
ผวู้ จิ ยั ดำเนนิ การทดลองใช้กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้ส่ือประสม เรื่องการ
จัดตกแต่งบ้าน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ในภาคเรียนที่ 2 ปี
การศึกษา 2563 รวมเวลาทั้งสิ้น 12 ชั่วโมง โดยเริ่มทดลองตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือน
มีนาคม
กรอบแนวคดิ ของการวิจยั
การวิจยั คร้ังนี้ ผวู้ ิจัยได้กำหนดกรอบแนวคิดของการวิจัย ดงั น้ี
9
ตวั แปรอิสระ ตวั แปลตาม
ไดแ้ ก่ กิจกรรมการเรยี นการสอนโดยใช้ 1.ประสทิ ธิภาพของกจิ กรรมการเรยี น
ส่ือประสม เร่ืองการจดั ตกแต่งบ้าน การสอน
2.ประสิทธิผลของกจิ กรรมการเรียนการ
สอน
3.ความรู้เก่ียวกับการจัดตกแต่งบา้ น
4.ทักษะการจดั ตกแต่งบา้ น
นิยามศพั ท์เฉพาะ
การวิจยั คร้ังนี้ ผวู้ ิจยั ได้นิยามศพั ท์เฉพาะ ดังน้ี
1. การพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน หมายถึง การออกแบบกิจกรรมสำหรับใช้
ประกอบการเรียนการสอน เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาที่ดีขึ้น และมี
ประสิทธิภาพเปน็ ไปตามเกณฑ์ที่กำหนด
2. สื่อการสอนแบบโมเดล หมายถึง สื่อการสอนที่สร้างขึ้นเพื่อใช้แทนของจริง เพื่อให้
งา่ ยต่อการศกึ ษาทำความเขา้ ใจในการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน
3. ประสทิ ธิภาพของการพัฒนาผลการจัดกจิ กรรมทางการเรียน หมายถงึ ผลท่ีเกิดจาก
การใชก้ ารจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนโดยใชส้ อื่ ประสม การสอนตามขั้นตอนท่ี
กำหนดไว้ ซึง่ ผลนั้นเปน็ ตวั แปรท่ีระบุว่าการพัฒนาผลการจัดกจิ กรรมทางการเรยี นนี้
มปี ระสทิ ธิภาพเปน็ ไปตามท่ีกำหนดเกณฑท์ ่ผี ู้สอนคาดหมายว่า ผู้เรียนจะต้องเปน็ ไป
ตามเกณฑ์มาตรฐานที่ต้งั ไว้ 75/75 กลา่ วคือ
75 ตวั แรก หมายถึง คะแนนเฉล่ียรอ้ ยละของระหวา่ งการทดลองด้วยการจดั
กิจกรรมทางการเรยี น โดยใช้รปู แบบการเรยี นการสอนโดยใชส้ อื่ ประสม
10
75 ตัวหลงั หมายถึง คะแนนเฉล่ียรอ้ ยละของผลการทดสอบหลงั การทดลองดว้ ย
การจดั กิจกรรมทางการเรียน โดยใชร้ ูปแบบการเรยี นการสอนโดยใชส้ ่ือประสม
4. การจัดตกแต่งบ้าน หมายถึง การทำให้บา้ นและบริเวณบ้านสะอาดสวยงาม นา่ อยู่
อาศัย โดยการจัดองคป์ ระกอบทุกสว่ นทัง้ ภายในและภายนอกของบ้านให้สอดคล้อง
ตามความเหมาะสมกบั ประโยชน์ใชส้ อย
บทท่ี 2
เอกสารและงานวิจยั ทเี่ กี่ยวข้อง
ในการวิจัยเรื่องการพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้สื่อผสม เรื่องการจัดตกแต่ง
บ้านกลุ่มสาระการงานอาชีพชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารแนวคิด หลักการ
ทฤษฎี ตลอดจนงานวจิ ัยทเ่ี ก่ยี วข้องตามลำดับดังนี้
1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ
2. สื่อผสม
3. หลกั การจัดตกแตง่ บา้ น
4. แผนการจัดการเรียนรู้
5. งานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวขอ้ ง
6.ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน
1หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้การงาน
อาชพี และเทคโนโลยีกลมุ่ สาระการเรียนรกู้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี
เป็นกลุ่มสาระที่ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจมีทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อการ
ดำรงชีวติ และรู้เทา่ ทันการเปลีย่ นแปลง สามารถนำความรเู้ กี่ยวกับการดำรงชีวติ การอาชีพ และ
เทคโนโลยีมาใช้ประโยชนใ์ นการทำงาน อย่างมีความคิดสร้างสรรค์ และแข่งขันในสังคมไทยและ
สากลเห็นแนวทางในการประกอบอาชีพ รักการทำงาน และมีเจตคติที่ดีต่อการทำงาน สามารถ
ดำรงชวี ิตอย่ใู นสังคมไดอ้ ย่างพอเพยี งและมีความสุข
1. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
12
สาระท่ี 1 การดำรงชีวติ และครอบครัว
การดำรงชีวิต เป็นการทำงานในชีวิตประจำวันเพื่อช่วยเหลือตนเอง ครอบครัว ชุมชน
และสงั คมท่ีว่าด้วยงานบ้าน งานเกษตร งานชา่ งงานประดิษฐ์ งานธุรกจิ และงานอน่ื ๆ
มาตรฐาน ง 1.1 เข้าใจการทำงาน มีความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะกระบวนการทำงาน
ทักษะ การจดั การ ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา ทกั ษะการทำงานร่วมกัน และทักษะการแสวงหา
ความรู้ มีคุณธรรม และลักษณะนิสัยในการทำงาน มีจิตสำนึกในการใช้พลังงาน ทรัพยากรและ
สง่ิ แวดลอ้ ม เพอื่ การดำรงชีวติ และครอบครวั
สาระที่ 2 การออกแบบและเทคโนโลยี
การออกแบบและเทคโนโลยี เป็นการเรียนรูเ้ พื่อพัฒนาความสามารถของมนุษย์ในการแกป้ ัญหา
และสนองความต้องการอย่างสร้างสรรค์ โดยนำความรู้มาใช้กับกระบวนการเทคโนโลยีสร้าง
สง่ิ ของเคร่อื งใช้ วธิ กี ารหรือเพม่ิ ประสิทธภิ าพในการดำรงชีวิตและกจิ กรรมต่าง ๆ ของมนษุ ย์
มาตรฐาน ง 2.1 เข้าใจเทคโนโลยีและกระบวนการเทคโนโลยี ออกแบบและสร้าง
สิ่งของเครื่องใช้ หรือวิธีการตามกระบวนการเทคโนโลยีอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ เลือกใช้
เทคโนโลยีในทางสร้างสรรค์ต่อชีวิต สังคมสิ่งแวดล้อมและมีส่วนร่วมในการจัดการเทคโนโลยีที่
ยั่งยนื
สาระที่ 3 เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นการนำวิทยาการที่ก้าวหน้าด้านคอมพิวเตอร์
และการสื่อสาร มาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสารสนเทศ ทำให้สารสนเทศมีประโยชน์ และใช้งานได้
กว้างขวางมากขึ้น เทคโนโลยีสารสนเทศรวมถึงการใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ในการรวบรวม
จัดเก็บ ใช้งานส่งต่อ หรือสื่อสารระหว่างกัน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเกี่ยวข้อง
โดยตรงกบั 2 สงิ่ คือ
13
1. เครื่องมอื เคร่ืองใช้ในการจัดการสารสนเทศ เช่น เครือ่ งคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์รอบ
ขา้ ง และอปุ กรณ์ส่ือสารและการโทรคมนาคม
2. ขั้นตอนวิธีการดำเนนิ การซ่งึ เกี่ยวข้องกบั ซอฟต์แวร์ ขอ้ มลู บุคลากร และ บุคลากร
และกรรมวธิ กี ารดำเนนิ งาน เพอ่ื ใหข้ อ้ มลู นั้นเกดิ ประโยชนม์ ากที่สดุ
มาตรฐาน ง 3.1 เข้าใจ เห็นคุณค่า และใช้กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ
ในการสืบค้นข้อมูล การเรียนรู้ การสื่อสารการแก้ปัญหาการทำงานและอาชีพอย่างมี
ประสทิ ธิภาพ ประสทิ ธิผล และมคี ณุ ธรรม
สาระที่ 4 การอาชีพ
เป็นสาระที่เกี่ยวข้องกับทักษะที่จำเป็นต่ออาชีพ เห็นความสำคัญของคุณธรรม จริยธรรม และ
เจตคติที่ดตี ่ออาชีพใช้เทคโนโลยไี ด้เหมาะสม เห็นคุณค่าของอาชีพสจุ ริต และเห็นแนวทางในการ
ประกอบอาชีพ
มาตรฐาน ง 4.1 เข้าใจ มที กั ษะทีจ่ ำเปน็ มปี ระสบการณ์ เหน็ แนวทางในงานอาชีพ
ใชเ้ ทคโนโลยี เพ่อื พฒั นาอาชพี มคี ุณธรรม และมีเจตคติที่ดตี ่ออาชีพ
2. ตวั ช้ีวดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
สาระที่ 1 การดำรงชวี ติ และครอบครวั
มาตรฐานง 1.1 เข้าใจการทำงาน มีความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะกระบวนการ
ทำงาน ทักษะการจัดการทักษะกระบวนการแก้ปัญหา ทักษะการทำงานร่วมกัน และทักษะ การ
แสวงหาความรู้มีคุณธรรม และลักษณะนิสัยในการทำงาน มีจิตสำนึก ในการใช้ พลังงาน
ทรัพยากร และส่ิงแวดลอ้ ม เพ่ือการดำรงชวี ติ และครอบครวั
สาระที่ 2 การออกแบบและเทคโนโลยี
14
มาตรฐาน ง 2.1 เข้าใจเทคโนโลยีและกระบวนการเทคโนโลยี ออกแบบและสร้าง
สิ่งของเครื่องใช้หรือวิธีการ ตามกระบวนการเทคโนโลยีอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ เลือกใช้
เทคโนโลยีในทางสร้างสรรค์ต่อชีวิต สังคมสิ่งแวดล้อมและมีส่วนร่วมในการจัดการเทคโนโลยีที่
ย่ังยืน
สาระที่ 3 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร
มาตรฐาน ง 3.1 เข้าใจ เห็นคุณค่า และใช้กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศในการ
สืบค้นข้อมูลการเรียนรู้ การสื่อสารการแก้ปัญหา การทำงานและอาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ
ประสิทธผิ ล มคี ณุ ธรรม
สาระท4่ี การอาชพี
มาตรฐาน ง 4.1 เข้าใจ มีทักษะที่จำเป็น มีประสบการณ์ เห็นแนวทางในงานอาชีพ
ใชเ้ ทคโนโลยี เพื่อพฒั นาอาชพี มคี ณุ ธรรม และมเี จตคติทด่ี ีต่ออาชีพ
ในการวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะปฏิบัติงานประดิษฐ์ที่เป็นเอกลักษณ์ไทย ประเภท
งานใบตอง โดยใช้ชุดการสอน เป็นเนื้อหาในสาระที่ 1 การดำรงชีวิตและครอบครัว มาตรฐาน ง
1.1เข้าใจการทำงาน มีความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะกระบวนการทำงาน ทักษะการจัดการ ทักษะ
กระบวนการแก้ปัญหา ทักษะการทำงานร่วมกัน และทักษะการแสวงหาความรู้มีคุณธรรม และ
ลักษณะนิสัยในการทำงาน มีจิตสำนึก ในการใช้พลังงาน ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม เพื่ อการ
ดำรงชีวิตและครอบครัว และสาระที่ 4 การอาชีพมาตรฐาน ง 4.1 เข้าใจ มีทักษะที่จำเป็น มี
ประสบการณ์ เห็นแนวทางในงานอาชีพ ใช้เทคโนโลยี เพื่อพฒั นาอาชีพ มคี ุณธรรม และมีเจตคติ
ที่ดีตอ่ อาชพี
3. การจดั ตกแต่งบ้าน
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้การ
งานอาชีพและเทคโนโลยี จะประกอบด้วย 4 สาระ ไดแ้ ทรกรายละเอยี ดงานบ้าน งานเกษตร งาน
ประดิษฐ์ งานธุรกิจ และงานช่างไว้ในสาระที่ 1 การดำรงชีวิตและครอบครัว และสาระที่4 การ
15
อาชีพ ส่วนการจัดการเรียนรู้ไม่ได้บังคับให้โรงเรียนจัดการเรียนรู้ ครบทั้ง 5 งาน แต่ต้องจัดการ
เรียนรู้ให้ครบทัง้ 4 สาระ ตามตัวชี้วัดนั้น ๆ ในแต่ละปี จะประเมินผลจากตัวชี้วัดเป็นหลัก โดยมี
จุดเน้นว่าต้องสอนให้ครบทกุ ตัวชี้วัดตามหลักสูตรฯ ส่วนการจัดการเรียนรู้ สาระที่ 2 และสาระที่
3 เป็นการขยายความให้มีรายละเอยี ดมากขน้ึ จากตัวช้วี ัด
4. คณุ ภาพผ้เู รียน
เพื่อให้การศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีบรรลุผลตาม
เป้าหมายที่วางไว้สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551 : 3 – 4)
จึงได้กำหนดคณุ ภาพของผู้เรียนกลุ่มสาระการเรยี นรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีท่ีจบการศึกษา
ช้นั ประถมศึกษาปีที่6 ไว้ดังน้ี
4.1 เข้าใจการทำงานและปรับปรุงการทำงานแต่ละขั้นตอน มีทักษะการจัดการ
ทักษะการทำงานร่วมกัน ทำงานอย่างเป็นระบบและมีความคิดสร้างสรรค์ มีลักษณะนิสัยการ
ทำงานที่ขยัน อดทน รับผิดชอบ ซื่อสัตย์ มีมารยาท และมีจิตส านึกในการใช้น้ำ ไฟฟ้าอย่าง
ประหยดั และค้มุ ค่า
4.2 เข้าใจความหมาย วิวัฒนาการของเทคโนโลยี และส่วนประกอบของระบบ
เทคโนโลยีมีความคิดในการแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการอย่างหลากหลาย นำความรู้และ
ทักษะการสร้างช้ินงานไปประยุกต์ในการสร้างส่ิงของเครื่องใช้ตามความสนใจอย่างปลอดภัย โดย
ใช้กระบวนการเทคโนโลยี ได้แก่ กำหนดปัญหาหรือความต้องการ รวบรวมข้อมูลออกแบบโดย
ถ่ายทอดความคิดเป็นภาพร่าง 3 มิติ หรือแผนที่ความคิดลงมือสร้าง และประเมินผล เลือกใช้
เทคโนโลยีในชีวติ ประจำวันอยา่ งสรา้ งสรรคต์ ่อชีวิต สังคม และมีการ
จัดการเทคโนโลยีดว้ ยการแปรรูปแล้วนำกลบั มาใชใ้ หม่
4.3 เข้าใจหลักการแก้ปัญหาเบื้องต้น มีทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ในการค้นหาข้อมูล
เก็บรักษา ข้อมูล สร้างภาพกราฟิก สร้างงานเอกสาร น าเสนอข้อมูล และสร้างชิ้นงานอย่างมี
จติ สำนึกและรบั ผดิ ชอบ
16
4.4 รู้และเข้าใจเก่ียวกับอาชีพ รวมทั้งมีความรู้ ความสามารถและคุณธรรมทีส่ มั พันธ์
กับอาชีพสำหรับเจตนารมณ์ของหลักสูตร เพื่อให้ศึกษาเรียนรู้ ให้มีความรู้ความเข้าใจเบื้องต้น
และปลูกฝังในเรื่อง ของหลักการทำงานเพื่อการดำรงชีวิต หลักการการทำงานให้ประสบ
ความสำเร็จ ทักษะในการทำงาน คุณธรรมจริยธรรม และลักษณะนิสัยที่ดีในการทำงาน การใช้
พลังงานและทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน ให้มีทักษะในการใช้อุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ รู้จัก
พึ่งตนเองตลอดเวลา มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ผลิตชิ้นงานใหม่หรือปรับปรุงผลงานและ
กระบวนการทำงานให้ดขี ึ้น (คู่มือครูรายวชิ าพืน้ ฐาน การงานอาชีพและเทคโนโลย.ี 2555 : 1-14
)
ชุดการสอน คือ การนำเอาระบบสื่อประสม (Multi-Media) ที่สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาและ
ประสบการณ์ของแต่ละหน่วย มาช่วยในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ ให้เป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ชุดการสอนนิยมจัดไว้ในกล่อง หรือซองเป็นหมวด ๆ ภายในชุดการสอน
ประกอบด้วยคู่มือการใช้ชุดการสอน สื่อการสอนที่สอดคล้องกับเนื้อหา และประสบการณ์ อาทิ
เช่น รูปภาพ สไลด์ เทป แผ่นคำบรรยาย ฯลฯในการสร้างชุดการสอนนี้จะใช้วิธีระบบเป็นหลัก
สำคัญด้วย จึงท าให้มั่นใจได้ว่าชุดการสอนจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนได้รับความรู้อย่างมี
ประสทิ ธิภาพ และยงั ชว่ ยให้ผูส้ อนเกิดความมน่ั ใจพรอ้ มที่จะสอนอีกดว้ ย
2.สอ่ื ผสม
1ความหมายสือ่ ผสม
ชุดสื่อประสมเกิดขึ้นในครั้งแรกในโรงเรียนสหรัฐอเมริกาในปีค.ศ 1930 โดย เดวิด สเเตนฟิลด์
(Mr.David Stanficld)แห่งสถาบันOntario Instiute for Studies in Education ได้คิดกล่อง
อเนกประสงค์ขึ้นมาโดยใช้กับนักเรียนโดยให้วัตถุไปตามวัตถุประสงค์ของการสอนอันมีพื้นฐาน
และประสบการณจ์ ากการเรียนรู้ในการสอนสำเร็จรูปกล่องทผี่ ลิตขึ้นมาน้ีเรียกวา่ บล็อกบล็อกและ
17
การพัฒนาต่อมากล่องนี้เขาเรียกรวมกันว่า The 1930 Smulit-medai kit ปรากฏว่าเป็นที่ชื่น
ชอบของเด็กๆถึงกับเรียกกลอ่ งวิเศษและต่อมาได้พฒั นาเปน็ ชดุ การสอน
(หทัย ตันหยง 2525 :456) ระบบการผลิตชุดการสอนในประเทศไทยได้พัฒนาปี
การศึกษา 2556 ภาคโสตทัศนวัสดุคณะครุศาสตร์จุฬาฯโดยชัยยงค์พรหมวงศ์ได้ทำการทดลอง
สอนในวิชาเทคโนโลยีและการศึกษาร่วมสมัยและต่อมาได้มีการอบรมหลายแห่งกล่าวคือท่ี
มหาวิทยาลยั ขอนแก่นมหาวิทยาลัยมหดิ ลจฬุ าลงกรณเ์ ป็นตน้ (ชัยยงค์ พรหมวงศ์ 2523 :123)
สุวิทย์ มูลคา่ และ สุนันทา สนุ ทรประเสรฐิ (2550 : 99) ใหค้ วามหมายของชุดการสอน
ว่า เป็นการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับผู้เรียนอย่างเป็นระบบโดยใช้สื่อประเภทต่าง ๆ ที่
สอดคล้องกับเนื้อหาและกิจกรรมมาช่วยในการเปลี่ยนแปลงพฤติ กรรมของผู้เรียนให้บรรลุ
จุดมุ่งหมายจากความหมายที่กล่าวมาข้างต้นพอสรุปไค้ว่า ชุดการสอนหมายถึง สื่อที่ใช้จัด
กิจกรรมการเรียนการสอน โดยมีกระบวนการให้ผูเ้ รียนศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง มีขั้นตอนท่จี ัดไว้
เป็นระบบ และใช้สื่อหลายชนิดมาใช้ในการจัดกิจกรรม ครั้งหนึ่งมีเน้ือหาเป็นเรื่องเฉพาะมี
รายละเอียด และขั้นตอนการจัดกิจกรรม การเรียนการสอน รวมทั้งสื่อประกอบบรรจุไว้ในกลอ่ ง
ให้นักเรียนสามารถศกึ ษาได้ หรอื ปฏิบัตกิ ิจกรรมตามทร่ี ะบุไว้ได้
(อิริคสัน 1968 :32 )กล่าวว่าสื่อผสมหมายถึงการใช้โสตทัศนูปกรณ์และประสบการณ์
ต่างๆสัมผัสกับวสั ดุการเรียนการสอนอื่นๆซ่ึงเป็นการเสรมิ ค่าซึ่งกันและกันกับวัสดบุ างอันอาจจะ
ใช้กระตุ้นความสนใจอกี อันอาจจะใช้บอกข้อเท็จจริงทีเ่ ปน็ ฐานและอันอื่นๆอาจจะใชแ้ ก้มโนมติที่
ผดิ ทำใหเ้ กิดความเขา้ ใจยง่ิ ข้ึน
Good 1973 377 ได้ให้ความหมายว่าการใช้สือ่ ผสมคือการใช้สูตรทัศนูปกรณ์หลายๆอย่างอย่าง
เหมาะสมเพื่อนำมาสัมพันธ์กับการเรียนโดยใช้สื่อมากกว่า 1 อย่างเพื่อสอนเนื้อหาหรือสอนใน
เวลา 1 คาบ
(ไชยยศ เรืองสุวรรณ 2526 :141) ได้ใหค้ วามหมายของส่ือประสมหมายถึงการนำเอาส่ือ
ประเภทต่างๆทั้งที่เป็นเครื่องมือวัสดุและวิธีการใช้ร่วมกันอย่างสัมพันธ์กันในลักษณะที่สื่อแต่ละ
18
ชนิดส่งเสริมและสนับสนุนซึ่งกันและกัน (สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ
2531:3) ได้ให้ความหมายของสื่อประสมหมายถึงการนำเอาสื่อการสอนหลายๆอย่างมาสัมพันธ์
กันมีคุณค่าที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ซึ่งการสอนอย่างหนึ่งอาจใช้เร้าความสนใจในขณะอีกอย่าง
หนึ่งอธิบายข้อเท็จจริงของเนื้อหาหรือชนิดหนึ่งอาจใช้เพื่อเกิดความเขา้ ใจลึกซ้ึง และป้องกันการ
เข้าใจผิดการใช้สื่อประสมจะช่วยผูเ้ รียนมีประสบการณ์ประสาทสัมผัสทีผ่ สมผสานไดค้ ้นวธิ ีการท่ี
จะเรียนในส่ิงทตี่ ้องการได้ด้วยตนเองมากขน้ึ
จากความหมายของสือ่ ประสมที่กล่าวมาสรุปได้ว่าส่ือประสมหมายถึงการทำสื่อการสอน
หลายๆอย่างที่สัมพันธ์กันมาใช้ในการเรียนการสอนอย่างมีระบบมีคุณค่าส่งเสริมซึ่งกันและกัน
ด้วยสื่อประสม 1 อาจใช้เพื่อความเราสนใจในขณะที่อีกอย่างหนึ่งใช้เพื่ออธิบายข้อเท็จจริงของ
เนอื้ หาและปอ้ งกนั ความเขา้ ใจผิดซ่งึ จะช่วยให้นักเรียนประสบการจากประสาทสัมผสั ที่ผสมผสาน
จนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถปุ ระสงค์ทต่ี งั้ ไวอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ
2 ประเภทสอ่ื ผสม
สอื่ ประสมนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภทซึ่งได้มีผแู้ บ่งประเภทของส่ือผสมออกลักษณะ
ตา่ งๆดังน้ี
สพุ รรณ ตนั ตพิ ลาผล (25-26 14-16) ไดจ้ ำแนกสื่อผสมออกตามลกั ษณะการประชุมของสื่อ
และคุณลักษณะการทใ่ี ชส้ ำหรับเภทใหญๆ่ ดังน้ี
1 สื่อประสมที่เป็นวัสดุอุปกรณ์ และกระบวนการร่วมกันโดยใช้สำหรับการเรียนการสอนปกติ
ทั่วไปเช่นอุปกรณ์ชุดการเรียนการสอนบทเรียนโปรแกรมโปรแกรมสำเร็จรูปสไลด์ศูนย์การเรียน
เป็นต้นซึ่งผสมแต่ละชนิดที่จัดอยู่ในประเภทนี้และหลักการและลักษณะเด่นแตกต่างกันออกไป
ไดแ้ ก่
1.1 สามารถให้ผู้เรียนไดป้ ระสบการณ์ด้วยตนเองคือได้รว่ มกนั ทำงานหรือรว่ มกันทำกิจกรรมเป็น
การเร้าใจใหแ้ ก่ผู้เรยี นเช่นบทเรยี นโปรแกรมศูนย์การเรยี นชุดอุปกรณเ์ ปน็ ต้น
19
1.2 สามารถใหผ้ ้เู รียนได้เรียนรู้ตามความสามารถและความแตกต่างของแตล่ ะบุคคลเช่นบทเรียน
โปรแกรมชุดการสอนเปน็ รายบคุ คลเป็นต้น
1.3 สามารถให้ผู้เรยี นใช้เรยี นได้ดว้ ยตนเองหรือสามารถใชเ้ มือ่ ขาดครไู ดเ้ ชน่ บทเรยี นโปรแกรมชุด
การเรยี นการสอนรายบคุ คลเป็นตน้
1.4 สามารถให้ผู้เรียนได้รับผลตอบกลับทันทีและได้รับความรู้สึกภาคภูมิใจในความสำเร็จเช่น
บทเรียนโปรแกรมศูนยก์ ารเรยี นเปน็ ต้น
1.5 สามารถช่วยให้ประกอบการศึกษาระยะไกลและดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพเช่นชุดการ
สอนทางไกลสำหรับการศกึ ษามวลชนเปน็ ต้น
1.6 สามารถใช้ส่งเสริมสมรรถภาพของครูเชน่ ชดุ การสอนประกอบคำบรรยายเป็นต้น
1.7 สามารถให้ผู้เรียนได้ฝึกความรับผิดชอบและการทำงานเป็นกลุ่มศูนย์การเรียนกลุ่มสัมพันธ์
เป็นต้น
2 สื่อประสมประเภทฉาย เป็นการผสมโดยมีข้อจำกัดที่มีความสามารถและคุณสมบัติเฉพาะตัว
ของอุปกรณ์เครื่องฉายเป็นที่สำคัญเช่นสไลด์ประกอบเสียงไตรภาพประกอบเสียงสไลด์และ
แผ่นใสเป็นต้นและใช้บนจอตั้งแต่ 2 จอขึ้นไปโดยปกติจะนิยมใช้บนจอขนาด 3 จอเป็นจุดสูงสุด
การฉายใชก้ บั ผชู้ มเป็นกลุ่มสอ่ื ประสมประเภทนีแ้ มว้ า่ บางคร้ังคราวราคาในการผลิตอาจจะสูงกว่า
การผลิตซับซ้อนกว่าสื่อประสมบางชนิดในประเภทแรกแต่ผลที่ได้รับจากการสื่อประสมประเภท
ชายนี้ทำให้ผลมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่สื่อประสมอื่นไม่สามารถทำได้คือผลในความรู้สึกอารมณ์
และสุนทรีแก่ผชู้ มช่วยดึงดูดความสนใจ ให้แก่ผูช้ มไดต้ ิดตามอย่างต่ืนตาตนื่ ใจและมีประสิทธิภาพ
ซึ่งเป็นการชว่ ยในการเรยี นการสอน
2 สอื่ ประสมประเภทฉาย
เป็นการผสมโดยมีข้อจำกัดที่มีความสามารถและคุณสมบัติเฉพาะตัวของอุปกรณ์เครื่อง
ฉายเป็นทีส่ ำคัญเชน่ สไลด์ประกอบเสยี งไตรภาพประกอบเสียงสไลด์และแผ่นใสเป็นต้นและใช้บน
20
จอตัง้ แต่ 2 จอข้ึนไปโดยปกตจิ ะนยิ มใชบ้ นจอขนาด 3 จอเป็นจดุ สูงสุดการฉายใช้กับผู้ชมเป็นกลุ่ม
สื่อประสมประเภทนี้แม้ว่าบางครั้งคราวราคาในการผลิตอาจจะสูงกว่าการผลิตซับซ้อนกว่าส่ือ
ประสมบางชนิดในประเภทแรกแต่ผลที่ได้รับจากการสื่อประสมประเภทชายนี้ ทำให้ผลมี
คุณสมบัติเฉพาะตัวที่สื่อประสมอื่นไม่สามารถทำได้คือผลในความรู้สึกอารมณ์และสุนทรีแก่ผู้ชม
ช่วยดงึ ดดู ความสนใจ ใหแ้ กผ่ ชู้ มได้ติดตามอย่างตื่นตาตน่ื ใจและมีประสทิ ธิภาพซ่ึงเป็นการช่วยใน
การเรียนการสอน
3 สอ่ื ผสมระบบการสอื่ สาร
ระบบการสื่อสารคมนาคมเป็นสิ่งที่สำคัญในการคำนึงถึงเช่นระบบโทรเลขโทรศัพท์และ
การสื่อสารผ่านดาวเทียมเป็นต้นโดยใช้ร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆเช่นโทรทัศน์วิทยุและสิ่งพิมพ์
ไมโครคอมพิวเตอร์เป็นต้นซึ่งผสมประเภทนี้พี่เล็กเป็นการรวบรวมระบบโทรทัศน์และโทรศัพท์
พิมพเ์ ข้าดว้ ยกนั สามารถรบั และสง่ ข้อความจากแทน่ พมิ พ์จากแท่งหน่ึงไปยังอีกท่านหนึง่ ได้ video
Take เป็นการรวมสือ่ โทรทศั น์คอมพวิ เตอร์และระบบสือ่ สารทางโทรทัศน์เช่นซ่ึงเป็นกำลังในการ
สอนทางไกลในประเทศแคนาดา teltel ในประเทศฝรง่ั เศสและในประเทศองั กฤษเปน็ ต้น
3. หลกั การเลอื กใช้และผลิตสอ่ื ประสม
(ยุพิน พิพิธกุล 2523:975) ได้กล่าวว่าการสอนโดยใช้สื่อผสมนั้นครูควรจะคำนึงถึงเรื่อง
ต่างๆดังต่อไปนี้
1 ตรวจสอบดูความสามารถของนักเรยี นเสียก่อนโดยให้นักเรยี นทำการทดสอบก่อนเรยี นทั้งน้ีเพ่ือ
ครตู รวจดพู น้ื ฐานความรขู้ องนักเรียน
2 กำหนดจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมวา่ ใหน้ ักเรียนเกิดการเรียนรู้อะไร
3 เลือกเนอื้ หาใหเ้ หมาะสมสอดคลอ้ งกบั จุดประสงคท์ ต่ี ั้งไว้
21
4 เลือกวิธีการสอนกลวิธีและเทคนิคการสอนพร้อมกับเรื่องสื่อที่จะนำมาใช้ว่าจะสื่ออะไรจึงจะ
เหมาะกับเนื้อหาสอดคล้องกับวิธีการสอนดังน้ันในการสอนแต่ละครั้งทั้งวิธีการสอนและการ
เลือกใช้ถ้าเมื่อสอนจบแล้วครูควรจะได้มีการประเมินผลการใช้สื่อประสมว่าทำให้เกิดการเรียนรู้
ตามจุดประสงคน์ ั้นหรอื ไม่
(ฉลอง สรุ วฒั นบูรณ2์ 528:148) ไดก้ ลา่ วไว้ถึงหลกั การพิจารณาใช้สื่อประสมสรปุ ไดด้ งั น้ี
1 การใช้สื่อประสมจะตอ้ งม่นั ใจวา่ สื่อผสมนัน้ จะไมท่ ำใหน้ กั เรียนเกดิ ความสับสนยุ่งยาก
2 การจัดการลำดับใช้สื่อจากชนิดหนึ่งไปยังอีกชนิดหนึ่งจะต้องเป็นไปอย่างเหมาะสมและมี
ประสิทธภิ าพ
3 การเลือกส่ือตา่ งๆให้เหมาะสมกับบทเรียนจะทำให้เกิดการเรยี นรู้ได้อย่างกว้างขวาง
(สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ 2531:4-5) ได้เสนอเกณฑ์การ
พิจารณาเลอื กหรอื ผลิตสื่อผสมดงั นี้
1 ท่ีเลอื กหรือผลิตตอ้ งตอบสนองตามจดุ มุ่งหมายได้อยา่ งแทจ้ รงิ
2 ในการผลิตสื่อประสมต้องกำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ให้ชัดเจนและควรเขียนเป็น
จดุ ม่งุ หมายเชิงพฤติกรรม
3 คู่มือการใช้สื่อประสมต้องมีคำอธิบายคำแนะนำการใช้อย่างชัดเจนเปิดโอกาสให้ผู้เรียน
ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมได้บันทึกข้อสังเกตต่างๆและตอบคำถามและซักถามปัญหาต่างๆอย่าง
ชัดเจน
4 ซอ้ื ทเ่ี ลอื กต้องพิจารณาให้เหมาะสมกบั เน้ือหา
5 ควรเลือกใช้สื่อหลายๆประเภททั้งภาพและเสียงตลอดจนสื่อที่นักเรียนมีโอกาสสัมผัสได้
ด้วยมือเพราะถ้าอวยั วะรบั สมั ผสั ได้สง่ิ เร้าไดห้ ลายทางการเรยี นรู้ก็จะเพมิ่ มากข้นึ
22
6 การใช้สื่อหลายๆชนิดควรจะให้สื่อแต่ละชนิดส่งเสริมซึ่งกันและกันและต้องแน่ใจว่าส่ือ
ชนิดหนง่ึ จะไม่ขัดขวางการเรียนรูจ้ ากส่อื ชนดิ
7 สื่อที่ต้องใช้ชุดสื่อประสมจะต้องมคี ุณคา่ ในตวั เองเมื่อใชอ้ ย่างอิสระและเมื่อใช้ร่วมกับสอ่ื
จะมีคณุ ค่าของตวั เองโดยเฉพาะอีกด้วย
8 เครือ่ งมอื อุปกรณท์ ีใ่ ชช้ ุดสือ่ ประสมควรเป็นอุปกรณท์ ่ีหางา่ ย
9 ส่อื ในชุดสอื่ ประสมควรจะกระตนุ้ ใหผ้ ู้เรียนไดเ้ ปน็ ผกู้ ระทำ
10 ชุดสื่อประสมควรกระตุ้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตัวเองสามารถตัดสินใจได้เองว่าเลือก
เรยี นเน้อื หาไดต้ ามควาสนใจและความถนัดของตนเอง
11 ชุดส่อื ประสมควรออกแบบให้มปี ระสิทธิภาพในการเรียนรู้
จากข้อความข้างต้นสรุปได้ว่าในการเลือกใช้สื่อประสมจะต้องคำนึงถึงความเหมาะสม
ของเนื้อหากับสภาพของผู้เรียนโดยใช้สื่อผลิตภัณฑ์นั้นจะต้องมีความหลากหลายสอดคล้อง
สัมพันธ์กันเพือ่ ให้เกิดความเขา้ ใจความสัมพันธ์ของเนื้อหาบรรลตุ ามจุดมุง่ หมายของผูเ้ รียนอีกทงั้
ต้องเร้าความสนใจและกระตุ้นให้ผู้เรียนได้เป็นผู้นำโดยครูเลือกใช้วิธีการสอนแบบผสมผสาน
กลมกลืนไปกับการใชส้ อ่ื ประสมและมกี ารจดั ลำดับของส่ือเพื่อไม่ให้เกดิ ความยุ่งยาก
4 ประโยชน์ของสอ่ื ผสม
(ชยั ยงคพ์ รหมวงศ์และคณะ 2521:195) ได้กลา่ วถึงประโยชน์ของส่ือผสมดังนี้
1 ผู้เรยี นสามารถเรยี นร้ดู ้วยตนเองตามความต้องการจะแหลง่ ความรูห้ ลายแหล่ง
2 ช่วยประหยัดเวลาไม่จำเป็นต้องเรยี นส่ิงที่ผู้เรียนเรียนรู้แล้วตามช่วยลดจำนวนนกั เรยี นสอบตก
เพราะทง้ั นกั เรยี นเกง่ และนักเรียนอ่อนก็เรยี นสำเรจ็ แม้จะใชเ้ วลาตา่ งกัน
23
3 ความสามารถวดั ไดว้ า่ ประสบการณใ์ ดในสื่อการสอนประสบความสำเรจ็ และประสบการณ์ใดไม่
ประสบผลสำเรจ็ เพือ่ แกไ้ ขใหด้ ขี น้ึ
ยพุ ินพพิ ธิ กุล (2524:295) ไดก้ ลา่ วถึงคณุ ค่าของสอื่ ประสมดังนี้
1 ทำใหผ้ ู้เรยี นเกิดความสนใจไมเ่ บอ่ื หนา่ ยเพราะมกี ารเปลย่ี นสงิ่ เรา้ อยตู่ ลอดเวลา
2 ทำใหน้ ักเรียนไดร้ บั ความรู้กว้างขวางและเข้าใจบทเรยี นดีย่ิงข้ึน
3 เปน็ การประหยัดเวลาทำใหผ้ เู้ รียนเกดิ ความรู้ได้อย่างรวดเร็วและไดเ้ รยี นรูจ้ ากส่ือการเรียนการ
สอนที่แตกต่างกันหลายๆอย่างที่เป็นแนวทางในการปรับการเรียนการสอนทั้งวิธีการสอนกลวิธี
และการเลอื กใช้สื่อการเรยี นการสอนทีผ่ สมผสานกนั
(จรยิ า เนยี นเฉลย 2546:137) ไดก้ ลา่ วถึงประโยชนแ์ ละคณุ ค่าของสื่อประสมดงั น้ี
1 ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้เนื้อหาต่างๆได้เกือบทุกเรื่องจากแหล่งร้ายแรงโดยถือว่าสื่อแต่ละอย่างมี
เนือ้ หาตา่ งกันและรูปแบบต่างกัน
2 ช่วยประหยัดเวลาทั้งผู้เรียนและผู้สอนสามารถช่วยให้นักเรียนเกิดความรู้ความสามารถและ
ความพรอ้ มของแตล่ ะบุคคล
3 ช่วยดึงดูดความสนใจเพราะสื่อประสมจะเป็นการผสมผสานของสื่อที่มีการนำเอาเทคนิคการ
ผลิตต่างๆมาใช้ทำให้น่าสนใจถ้าช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเรียนรู้จากข้อได้เปรี ยบในหลายรูปแบบ
ของสือ่ ประสม
จากขอ้ ความขา้ งต้นสรุปประโยชนข์ องส่ือประสมได้ดงั น้ี
1 ช่วยให้ผเู้ รียนเข้าใจบทเรียนมากขน้ึ
2 ช่วยให้ผเู้ รยี นเกดิ การเรยี นรูไ้ ด้อยา่ งรวดเร็วเพราะเรียนจากสอ่ื การสอนท่ีหลากหลายตาม
3ชว่ ยจูงใจให้ผ้เู รียนเกดิ ความสนใจในการเรยี นไม่เหมือนหน่าย
4 ช่วยประหยัดเวลาในการสอน
24
3.หลักการจัดตกแต่งบา้ น
การตกแต่งบ้าน ให้นา่ อยู่ มีปัจจยั หลายๆ อย่างประกอบกนั โดยแบ่งหลกั การ
สำคัญๆ คร่าวๆ ดังต่อไปน้ี
(1). ความปลอดภยั ในการจัดตกแตง่ บา้ นควรคำนึงถึงความปลอดภัยของสมาชิกในบ้าน
โดยการเลอื กเครื่องตกแต่งบา้ นที่ไม่มมี มุ แหลม ไม่แตกหักง่าย ไมเ่ กะกะทางเดิน และควรป้องกัน
อันตรายที่เกิดจากความอยากรอู้ ยากเหน็ เช่น จกั วา่ งตู้ยาไว้ในทส่ี ูง และจดั เกบ็ สารเคมี ยาฆา่
แมลงในบ้านให้พ้นมือเด็ก รวมทง้ั ไม่จัดของขวางทางเดนิ ไม่ขดั พืน้ จนเป็นเงามนั เพราะว่าจะลน่ื
หกล้มหรือตกบันไดได้ นอกจากนี้ การติดต้ังอุปกรณ์ไฟฟ้าตลอดการเดนิ สายไฟฟา้ จะต้องอยู่ใน
สภาพทปี่ ลอดภัย
(2). ถูกสขุ ลกั ษณะและสะอาด ในการจดั บา้ นจะต้องจดั ให้อากาศถ่ายเทสะดวกไม่ควร
จักวา่ งสงิ่ ของปิดบังทิศทางลม และจดั ให้มีแสงสวา่ งเพียงพอ ไม่มืดทบึ รวมรวมท้ังควรทำความ
สะอาดเคร่อื งตกแต่งบา้ นใหส้ ะอาดอย่เู สมอ เพ่ือสขุ อนามยั ของคนในบา้ น
(3). สะดวกในการใชส้ รอ้ ย ในการจดั ตกแต่งบา้ นควรคำนงึ ถึงความสะดวกในการทำ
กจิ กรรมต่างๆ โดยการจดั ทางเดินต่างๆ ชองบา้ นใหส้ มั พันธ์กันสามารถเดินไปมาได้สะดวกจัดหา
เครอ่ื งท่มี ขี นาดและจำนวน เหมาะสมสมกบั เนื้อท่ี เลอื กเครือ่ งทสี่ ะดวกในการใชส้ ร้อยและทำ
ความสะอาดได้งา่ ย เช่น เคร่ืองเรือนทมี่ ลี ้อ สามารถเคลอ่ื นย้ายได้และจัดอปุ กรณ์ เครื่องมอื
เครื่องใชใ้ หส้ ะดวกต่อการหยิบใช้ เช่น ไมว่ า่ งเครอื่ งมอื เครื่อง ใช้ท่ใี ชบ้ ่อยๆ ในท่ีสงู เกนิ มือเอ้ือมถงึ
และจัดอปุ กรณ์ให้เป็นหมวดหมู่ เป็นต้น
(4). ความสบาย การจัดตกแต่งบา้ นใหใ้ ห้มเี ครอ่ื งชว่ ยปอ้ งกันความจา้ ของแสงแดด เชน่
มา่ น มู่ล่ี มชี ่องระบายความร้อน และให้อากาศถ่ายเทไดส้ ะดวก สามารถมองเหน็ ทวิ ทัศนใ์ นบา้ น
หรอื นอกบา้ นทีท่ ำให้เกิดความเพลินได้ เปน็ ต้น
(5).ความมีระเบยี บและความสวยงาม ในการจัดตกแต่งเครอ่ื งเรือนควรมีความเป็น
ระเบยี บเรยี บรอ้ ย ส่งิ ของทีจ่ ดั วา่ งมากเกินไป และสงิ่ ของท่จี ัดวา่ งไมเ่ ปน็ ระเบยี บจะทำให้ความ
สวยงามลดลงนอกจากน้ีนอกจาก การตกแต่งบ้าน ควรนำเร่อื งการใชส้ ีซ่ึงเปน็ หลกั การศิลปะมาใช้
จะทำใหบ้ า้ นสวยงามน่าอย่ยู ่ิงข้ึนควรนำไม้ ดอกไมป้ ระดบั มาใชต้ กแตง่ บา้ น เพื่อเพ่ิมความ
สวยงาม เชน่ ใส่แจกนั ดอกไม้สด ไม้ประดับแบบแชวน
2.1.1 ความเปน็ สดั ส่วน
25
ความสมดลุ ของการตกแต่งบ้านอยู่การจดั แจงอุปกรณ์ตกแต่งบา้ น เฟอร์นเิ จอร์
ให้คงความเป็นสดั สว่ นกับเนอื้ ท่ีของบา้ น โดยจำเปน็ ตอ้ งกำหนดโซนของพน้ื ท่ใี ชส้ อยให้เหมาะสม
สว่ นไหนเปน็ จุดรบั แขก ส่วนไหนเป็นมมุ ส่วนตัว ซึ่งหากไม่มีความเปน็ สดั ส่วนบา้ นก็จะไม่นา่ อยู่
และการตกแต่งบา้ นให้เปน็ สัดสว่ นจะช่วยให้มพี ืน้ ทใี่ ช้สอยท่ีเพมิ่ ขนึ้ การจดั ระเบยี บ การทำความ
สะอาดกจ็ ะง่ายขน้ึ อีกดว้ ย
2.1.2 แสงและสี
ความสำคญั ของแสงและสีน้ันช่วยใหก้ ารตกแต่งบ้านสมบูรณ์มากย่ิงขึ้น แสง
หมายถงึ การความคมุ แสงสวา่ งภายในบ้านใหเ้ หมาะสมท้ังในชว่ งกลางวันและกลางคืน การวาง
จุดของหน้าต่าง การเลือกรบั แสงยามเช้าหรอื บ่ายจากดวงอาทิตย์ วิธีแก้ไข เช่น การใชม้ ่านปรับ
แสง ปลูกต้นไม้ใหญ่เพือ่ ใหร้ ่มเงากับบา้ น สี มอี ิทธิพลเป็นอยา่ งมากในเรือ่ งของอารมณ์และ
ความรสู้ กึ เชน่ กลุ่มสีในโทนร้อน และกลุ่มสีในโทนเยน็ นอกจากน้ันสยี งั บ่งบอกถึงความเปน็ ยุค
สมัยของการตกแต่งบา้ นซ่งึ จะมีการเปลย่ี นแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยจะมคี ำถามอยูป่ ระจำวา่ สี
ท่มี าแรงใน พ.ศ.นี้ คอื สีอะไร ซึง่ สมารถเป็นแนวทางแกผ่ รู้ ักในการตกแต่งบา้ นไดม้ ากพอสมควร
2.1.3 ประเภทวัสดุ
ปัจจบุ ันนัน้ วัสดทุ ใ่ี ชใ้ นการตกแตง่ บา้ นมมี ากมายหลายอย่างมาก รวม ท้ัง
แบบวสั ดุธรรมชาติ เชน่ ไม้ หรือวัสดสุ ังเคราะหต์ ่างๆ การจะเลอื กวสั ดุนั้นจำเปน็ ต้องเลือกให้
เหมาะสมกบั การตกแต่งบ้านซ่งึ ควรจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตามรปู แบบของการตกแตง่ ของ
เจ้าของบ้าน เชน่ โตะ๊ เป็นไม้ แตใ่ ช้ เก้าอเ้ี ปน็ พลาสติก ซ่ึงจะทำให้ดูขัดแย้งกัน
2.1.4 สรา้ งจดสนใจ
ในการตกแตง่ บ้านนั้น การจะสรา้ งความภาคภมู ใิ จให้แกเ่ จ้าของบ้านนัน้
จำเป็นต้องมี สงิ่ ท่ถี ือว่าเปน็ ไฮ เป็นของรักของหวง เพ่ือไว้ประดบั ภายในบา้ น อาจจะเป็นสิง่ ของ
หายาก หรือ รางวัลท่ไี ดม้ าอย่างยากลำบาก ซึ่งส่ิงเหล่านเ้ี ราลว้ นจะพบเห็นได้ท่ัวไป เชน่ การตู้
โชว์ ของสะสมตา่ งๆ หรือแม้กระท้งั ของตกแต่งบา้ นแปลกๆท่ีไม่ค่อยคน้ เคยสายตาคนทัว่ ไป สิ่งน้ี
สามารถสรา้ งเปน็ จดุ สนใจได้
นี่เป็นเพียงองคป์ ระกอบเบื้องต้นทจี่ ะทำใหก้ ารตกแตง่ บ้านของคณุ มีความสมบูรณ์ ยงั มีอีก
หลายองค์ประกอบหลายอยา่ งทแี่ ตกตา่ งออกไป ตามขนาดของรูปแบบบ้าน รวมทงั้ องค์ประกอบ
เลก็ ๆน้อยๆซ่งึ มีการเปลีย่ นแปลงไปตามค่านยิ มและระยะเวลา ซ่งึ ขนึ้ อยู่กบั รสนยิ มและความชอบ
ของเจ้าของบ้าน
26
2.2 การจัดตกแตง่ ห้องตา่ งๆ ภายในบ้าน
การจดั ตกแต่งบ้านห้องต่างๆ จะทำให้บ้านของเราสวยงาม ไม่น่าเบ่ือ และยัง
ตอบสนองความต้องการ และการใชช้ วี ิตของผู้อาศัยอกี ดว้ ย ดงั นน้ั เราควรออกแบบวางแผนการ
จดั บา้ น ตกแตง่ บ้านเพื่อให้ได้บา้ นท่ีน่าอยู่ สวยงามเป็นระเบียบ
2.2.1 การจดั ตกแต่งโซนบ้านอยา่ งเปน็ สัดสว่ น
บ้าน ควรมีการวางแผนผังของบบ้าน ตำแหน่งของหอ้ ง และการใช้ประโยชน์
ของแต่ละพน้ื ทใี่ ห้เหมาะสม เชน่ ห้องรบั แขก ควรอยูด่ ้านหนา้ สุดของตัวบา้ น เพ่ือใชต้ อ้ นรบั
แขกที่มาหา ส่วนห้องนำ้ ควรอยูใ่ กล้กับห้องรบั แขก ใหส้ ามารถเข้าใช้งานได้สะดวก ห้องนอน
ควรอยบู่ รเิ วณด้านหลงั ของตวั บ้าน เพื่อป้องกันเสยี งรบกวนในขณะที่นอนหลบั ห้องครวั ควรอยู่
บริเวณดา้ นหลังของตัวบา้ น เพื่อป้องกนั กล่นิ และควนั จากการทำอาหาร แต่ไมค่ วรสรา้ งตดิ กับ
ห้องนอน เพราะจะเป็นการรบกวนการนอนหลับของคณุ
2.2.2 การจดั ตกแตง่ ผนังห้อง
ไม่ ควรกนั้ ผนงั หอ้ งมากเพราะทำให้ดูอึดอัด ห้องทส่ี ามารถใชร้ ่วมกันได้
เชน่ หอ้ งนั่งเลน่ ห้องรับแขก ห้องทางขา้ วอยใู่ นโซนเดียวกัน จะทำให้บ้านดโู ลง่ สามารถมองเหน็
ววิ ภายนอก ยงั ไดร้ ับแสงแดด สว่ นผนงั สามารถทาสี หรอื เปล่ยี นวสั ดุตามกว้างของพนื้ ที่ใช้
ประโยชน์ เพื่อแบ่งโซนการใช้งานได้ นอกจากน้นั ยังสามารถตกแต่งหนา้ ตา่ ง ดว้ ยผา้ มา่ นเพอ่ื
ความสวยงาม กันแสง และเพ่ือความเปน็ ส่วนตวั ส่วนผนงั ตกแตง่ ด้วยภาพหรือกระจกเงา สว่ น
พนื้ ทม่ี ุมหอ้ งให้ต้งั กระถางดอกไมป้ ระดบั เพอ่ื ความสวยงามและสบายตา
2.2.3 พนื้ สามารถแบ่งโซนสัดสว่ นการทำกจิ กรรมในบ้านได้
พ้นื บา้ นควรแตง่ พนื้ บา้ นโดยเน้นให้เขา้ กับตัวบ้าน แลว้ เราสามารถเลือก
ตกแตง่ พนื้ บา้ น โดยใช้ความต่างของวสั ดุ สี ลวดลายสามารถแบ่งโชนสดั ส่วนการใช้ประโยชน์ของ
พื้นที่ การแบ่งเสน้ ตกี รอบลวดลายทีแ่ ตกต่าง หรือความต่างของระดบั ย่อมช่วยแสดงอาณาเขต
ของสว่ นที่ตัง้ ใจใหด้ แู ยกส่วนกัน ได้ หากพน้ื ทีม่ ีขนาดเลก็ ก็ไมค่ วรมีลวดลายสีสันตา่ งกนั มากเพราะ
ทำให้ขาดการต่อ เนื่องของพ้ืนท่ี นำไปสู่ความรู้สึกขัดตาได้ ควรใชร้ ปู แบบเดยี วกนั หรอื โทนสีไป
ในทางเดยี วกันกไ็ ด้ หรือการปูพรมผืนกเ็ ป็นลูกเลน่ บนพ้ืนอีกอยา่ งหนึง่ ที่ช่วยจำกดั ขอบเขตและ
แบง่ กลมุ่ ของกจิ กรรมได้ชดั เจน และสามารถเปล่ยี นลายใหมไ่ ด้เมื่อต้องการ
สว่ น วสั ดุพื้นไม้บาไก้ ข้อดีคือไมจ้ ะไม่ดูดซบั ความเยน็ เวลาเดินจะรสู้ ึกไมเ่ ย็นเท้า เหมาะกับ
หอ้ งนอน ข้อเสียคือ การแตง่ บ้านดว้ ยพืน้ ไม้เวลาโดนนำ้ ทำใหพ้ ้นื บา้ นร่อนได้ง่าย และสขี องเนอ้ื ไม้
27
ก็จะซดี ได้งา่ ยดว้ ย สว่ นพืน้ กระเบอ้ื ง ข้อดีคือ มคี วามแข็งแรง ทนทาน กันนำ้ ไดด้ ี ทำความสะอาด
ง่าย มใี หเ้ ลอื กหลายสหี ลายแบบ แต่ขอ้ เสียคือ แบบกระเบื้องมักล้าสมยั อยากเปล่ียนใหมต่ ้องรื้อ
ทำใหม่หมด หากมีกระเบ้ืองแตกอาจหาลายเดิมไม่ได้ หรือหายาก
2.2.4 การวางตำแหน่งเฟอร์นเิ จอร์
แบง่ เน้ือท่แี ละจดั เคร่ืองเรือนใหส้ อดคลอ้ งกับกจิ กรรมในบ้าน และตอ้ งไม่
ทำใหผ้ อู้ ยู่อาศยั รสู้ ึกอึดอดั การจดั วางชดุ รบั แขก โต๊ะกิจขา้ ว การหันของโซฟา เก้าอี้ เข้าหาโต๊ะ
กลางจะชว่ ยกำหนดขอบเขตของกจิ กรรมนน้ั ๆ หรอื วงเคานเ์ ตอร์ครวั ทกี่ นั้ กบั พน้ื ท่ีภายนอกชว่ ย
บอกให้รู้ได้เป็นอย่างดี ว่าเขตของกจิ กรรมทำครัวควรจะอยู่ในพน้ื ทใ่ี ดบา้ ง กรณีห้องขนาดกว้างก็
ไมค่ วรจดั เคร่ืองเรือนกระจดั กระจาย ซง่ึ จะทำใหเ้ ปลืองแรงและเสยี เวลาเกินความจำเปน็ การ
เลอื กใช้เครื่องเรือนควรเลอื กท่งี ่ายต่อการดูแลรักษาและทำความสะอาด เม่ือใช้แล้วควรจัดเก็บ
อุปกรณ์เคร่ืองใชใ้ ห้เป็นทเ่ี ปน็ ทาง โดยจัดเกบ็ ไว้ในห้องเก็บของตู้ หรือชั้นวางของ เพ่ือให้บ้านดู
สะอาด ไม่รกรุงรัง มีระเบยี บ และไมต่ ้องเสียเวลาในการค้นหา
2.3 การจดั ตกแต่งบรเิ วณบา้ น
บริเวณบา้ นจดั เปน็ สว่ นหนงึ่ ของบ้าน เพราะเป็นสว่ นแรกทสี่ ามารถสร้างบรรยากาศ
และความรสู้ กึ ที่ดขี องผทู้ ่ีพบเห็นหรอื มาเยย่ี มเยือน ฉะน้นั จึงควรดแู ลจัด ตกแต่งและทำความ
สะอาดเพื่อสง่ เสรมิ ใหต้ วั บ้านสวยงามอยเู่ สมอ บรเิ วณบา้ นทคี่ วรไดร้ บั การจัด ตกแต่ง แบ่งออกได้
เป็น 3 ส่วนคอื
(1). บริเวณหน้าบ้าน หมายถงึ บริเวณทส่ี ามารถมองเห็นได้จากภายนอกบา้ น เป็นดา้ นหนา้
ของบ้าน ไดแ้ ก่ ร้ัวบ้าน หนา้ บา้ น
(2). บริเวณที่ตอ้ งใช้เนื้อทใ่ี หค้ วามสะดวกแก่สมาชกิ ในบา้ น หมายถึง บรเิ วณพื้นท่ีท่ีใช้เปน็
ถนนทางเดินเข้าบ้าน ทางเดนิ รอบบา้ น ทีจ่ อดรถ
(3). บรเิ วณหลังบ้าน หมายถึง บรเิ วณท่ีจัดไว้สำหรบั พกั ผอ่ นนอนเล่น นั่งเลน่ ซง่ึ ควรเป็นที่
ไม่มีพนื้ ทีส่ ำหรับเล่นกีฬาในบ้าน ได้แก่ สนาม สวนดอกไม้ และรวมถึงบรเิ วณท่ใี ชส้ ำหรบั ทำแปลง
ผักสวนครัว
2.3.1 ตกแต่งดว้ ยต้นไม้
เปน็ การจดั บริเวณให้สวยงามร่มรนื่ โดยใชต้ ้นไม้ประเภทตา่ งๆได้แกไ่ ม้ผลไม้
ยืนต้นใหร้ ่มเงา
2.3.2 ตกแต่งด้วยการจดั สวน
28
เปน็ การจัด ตกแต่ง โดยเลยี นแบบธรรมชาติ เชน่ จำลองป่า เขา นำ้ ตก มาไว้
ในบริเวณบ้าน ท่เี รยี กว่า สวนหยอ่ ม เปน็ วิธกี ารจัดตกแต่งท่ีเพิ่มความสวยงาม ให้คุณค่าแก่อาคาร
บา้ นเรอื น
2.3.3 ตกแต่งด้วยส่ิงประดษิ ฐ์
ส่งิ ท่คี ิดค้นสร้างขนึ้ ไวใ้ ช้สำหรับตกแต่ง ได้แก่ โคมไฟสนาม รูปปน้ั ตกุ๊ ตาปัน้
เกา้ อส้ี นาม กระถางรปู ทรงแปลกตา
2.4 การประดิษฐข์ องใชแ้ ละของตกแตง่ บ้าน
การประดิษฐก์ ระปอ๋ งใส่ของ กระป๋องใสข่ อง เป็นกระป๋องประดษิ ฐ์สำหรบั วางเพื่อ
ประดับตกแตง่ บา้ น และสามารถใสอ่ ุปกรณ์หรอื ของจุกจิกได้ เหมาะสำหรับวางในตู้ ห้องรับแขก
ช้นั วางของท่ีต้องการความสวยงาม ทำมาจากกระป๋องขนมและถงุ กระดาษ ที่ไม่ใชแ้ ลว้ สามารถ
ใสข่ องได้ ทนทาน สวยงาม
การประดิษฐท์ ี่แขวนเข็มขัด ที่แขวนเข็มขดั เป็นงานประดิษฐจ์ ากเศษไม้ เปน็ ชน้ิ งาน
ทสี่ ามารถทำได้ง่าย ใช้แขวนผนงั ขั้นตอนการทำไมย่ ่งุ ยาก สามารถนำไปใช้ประโยชนไ์ ดด้ ี เช่น ใช้
แขวนเขม็ ขดั แขวนสรอ้ ย คอ หรือสิง่ อ่ืนๆเมื่อประดษิ ฐ์เสรจ็ แลว้ ถ้าตอ้ งการให้สวยงาม อาจจะขดั
เงาด้วยการพน่ แลดเกอร์ หรอื ใช้สติ๊กเกอร์ทีเ่ ปน็ ลวดลายตา่ งๆ ปดิ ทับ เพื่อความสวยงาน
การประดษิ ฐ์ภาพประดับผนัง ภาพแขวนผนัง สามารถทำได้จากวัสดหุ ลายชนิด
ขนึ้ อยกู่ ับความคิดสร้างสรรค์ ภาพแขวนผนงั ที่ประดษิ ฐ์ จากกระดาษแขง็ สามารถทำไดง้ ่าย
ขั้นตอนไมย่ งุ่ ยาก แตข่ ณะทำจะตอ้ งรู้จักออกแบบในขณะทากาว ถา้ ภาพเป้ือนกาวเลอะเทอะ จะ
ทำใหภ้ าพไมส่ วยงาม
ในการตกแต่งบ้านใหส้ ะอาด สวยงามและน่าอยู่จะตอ้ งคำนงึ ถงึ หลักการต่างๆ เชน่
หลกั ความปลอดภยั และความสะดวกสบาย ความเปน็ ระเบียบเรียบร้อยและความประหยดั เปน็
ต้น นอกจากนใี้ นการจัดตกแตง่ ห้องตา่ งๆ ไมว่ า่ จะเปน็ ห้องนอน หอ้ งรบั แขก ห้องอาหาร หอ้ งนำ้
และบรเิ วณอื่นๆของบ้าน ควรคำนึงถึงประโยชน์ในการใชส้ อยในการทำกิจกรรมต่างๆ ของ
สมาชกิ ในครอบครวั ท้งั นเ้ี พอ่ื ใหส้ มาชิกในครอบครัวอาศยั อยู่อย่างมีความสุข
29
4.แผนการจดั การเรยี นรู้
คามหมายของแผนการจัดการเรียนรู้
สำลี รักสุทธิ (2554 : 78) ให้ความหมายของแผนการสอนไว้วา่ แผนการสอน คือ การนำ
รายวชิ าหรอื กลุ่มประสบการณท์ จ่ี ะต้องการสอนตลอดภาคเรยี น มาสรา้ งเป็นแผนการสอน จัด
กจิ กรรมการมาเรียนการสอน การใช้สอ่ื อุปกรณ์ และการวัดผลประเมินผล เพ่อื ใชส้ อนใน
ช่วงเวลาหน่ึง ๆ โดยกำหนดเนอ้ื หาสาระ และจุดประสงค์การเรยี นยอ่ ย ๆ ใหส้ อดคลอ้ งกับ
วตั ถปุ ระสงค์ หรือจุดหมายของหลกั สูตร สภาพของผูเ้ รยี น ความพร้อมของโรงเรียนในด้านวสั ดุ
อปุ กรณ์และตรงกับชวี ิตจริงในทอ้ งถ่นิ สถาบนั พัฒนาความก้าวหนา้ (2545 : 69) ใหค้ วามหมาย
ของแผนการจดั การเรยี นรู้ไว้ว่า หมายถึง แผนงานหรือโครงการท่ีครผู ู้สอนไดเ้ ตรียมการจัดการ
เรยี นรู้ไว้ล่วงหนา้
เป็นลายลกั ษณ์อกั ษร เพ่ือใช้ปฏบิ ัติการเรยี นรใู้ นรายวิชาใดรายวชิ าหนึ่ง อยา่ งเปน็ ระบบระเบยี บ
โดยใชเ้ ครื่องมือสำหรบั การจัดการเรยี นรู้ เพื่อนำผ้เู รียนไปสู่จดุ ประสงค์การเรียนรู้และจุดหมาย
ของหลกั สูตรอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ
รจุ ริ ์ ภสู่ าระ (2545 :159) ได้ให้นยิ ามไว้วา่ แผนการจดั การเรยี นรู้ หมายถึง เครือ่ งมือการจัด
ประสบการณ์การเรียนรูใ้ หผ้ ้เู รียนตามทก่ี าหนดไวใ้ นสาระการเรยี นรู้ของแต่ละกล่มุ
ณัฐวุฒิ กจิ รุง่ เรือง และคณะ (2545 : 53) ได้ให้นิยามไวว้ ่า แผนการจัดการเรียนรู้หมายถงึ
การเตรียมการจดั การเรยี นรู้ไว้ลว่ งหน้าอยา่ งเปน็ ระบบ และเปน็ ลายลกั ษณ์อักษร เพือ่ ใช้เปน็
แนวทางในการจัดการเรยี นรใู้ นรายวิชาใดวิชาหนึง่ ให้บรรลผุ ลตามจุดหมายทห่ี ลักสตู รกำหนด
สำนักงานประถมศกึ ษาแหง่ ชาติ (2545 : 22) ได้ให้นิยามวา่ แผนการจดั การเรยี นรู้คอื การ
วางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนขั้นสุดท้าย โดยกำหนดการสอนมาขยายรายละเอยี ดให้
เกิดความชัดเจนและสะดวกในการสอน องคป์ ระกอบทส่ี ำคญั ของแผนการจัดการเรยี นรู้คอื
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ เน้ือหา กิจกรรมการเรียนการสอน ส่ือการเรยี นการสอน การวัดผลและ
ประเมิน และอาจมีภาคผนวกซง่ึ เปน็ รายละเอียดประกอบองคป์ ระกอบข้างตน้ ซง่ึ จะทำให้
แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรมู้ ีความชดั เจนย่ิงข้ึน แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ดตี ้องเน้นนักเรียน
เป็นศนู ยก์ ลาง
กระทรวงศกึ ษาธิการ (2546 : 22) ได้ให้ความหมายของแผนการสอน หมายถึงการวาง
แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนขัน้ สุดท้าย โดยกำหนดการสอนมาขยายรายละเอียดให้เกดิ
ความชัดเจนและสะดวกในการสอน องคป์ ระกอบท่ีสำคัญของแผนการจดั การเรียนรู้ คือ
30
จุดประสงค์การเรยี นรู้ เนื้อหา กจิ กรรมการเรยี นการสอน ส่ือการเรียนการสอน การวัดผล
ประเมินผลแผนการจัดการเรียนการสอนทีด่ ีตอ้ งเนน้ นักเรียนเป็นศูนย์กลาง
สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2549 : 290) ให้ความหมายของแผนจดั การเรียนรู้
หมายถงึ การวางแผน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อเปน็ แนวทางดำเนินการจัดกิจกรรม
การเรยี นการสอนแต่ละครงั้ โดยกำหนดสาระสำคญั จุดประสงค์ เน้ือหา กจิ กรรมการเรียนการ
สอนสื่ออุปกรณ์ ตลอดจนการวดั และประเมนิ ผล
วมิ ลรตั น์ สนุ ทรโรจน์ (2549 : 54) ให้ความหมายของแผนการสอนไว้วา่ แผนการสอน คือ
แผนการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน การใช้สอ่ื การวัดและประเมินผลให้สอดคล้องกับเนอ้ื หา
และจุดประสงค์ที่กำหนดไวใ้ นหลักสตู รหรอื กลา่ วอกนัยหนง่ึ ได้วา่ แผนการสอนเป็นแผนท่ีผู้สอน
จดั ทำขึ้นจากคมู่ ือครหู รือแนวการสอนของกรมวชิ าการ ทำให้ผสู้ อนทราบวา่ จะสอนเนื้อหาใด
เพอื่ จุดประสงค์สอนอย่างไร ใชส้ ่ืออะไร และวดั ผลประเมนิ ผลโดยวิธใี ดจากการศกึ ษา
ความหมายของแผนการจดั เรยี นร้สู รปุ ไดว้ า่ แผนการจัดการเรียนรหู้ มายถึง การวางแผน
การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนด้วยการน าวิชาท่ตี ้องสอนตลอดปกี ารศึกษามาสร้างเครอื่ งมือ
สำหรับใชใ้ นการสอน โดยกำหนดวธิ กี ารสอน สอื่ อปุ กรณ์ การวดั ผลประเมนิ ผล เพ่ือให้นกั เรยี นมี
คณุ ลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ตามหลกั สตู รกำหนด โดยมีการเตรียมเปน็ ลายลกั ษณ์อักษรลว่ งหน้า
2. ความสำคัญของแผนการจดั การเรียนรู้
สุพล วังสนิ ธ์ุ (2536 : 6) กลา่ วว่า แผนจดั การเรียนรูเ้ ป็นกุญแจดอกสำคญั ทีจ่ ะทำใหก้ าร
เรียนการสอนมปี ระสิทธภิ าพยงิ่ ข้ึน ดงั นี้ คือ
1) ทำใหเ้ กิดการวางแผนวธิ กี ารสอนวิธีการเรยี นทด่ี ี ท่ีเกดิ จากการผสมผสานความรู้
ทางจิตวิทยาทางการศกึ ษา
2) ช่วยใหค้ รมู ีคมู่ ือการสอนท่ีตัวเองทำล่วงหน้า ทำให้ครูมคี วามมัน่ ใจการสอนไดต้ รง
เป้าหมาย
3) สง่ เสรมิ ให้ครศู ึกษาหาความรู้ท้งั หลกั สูตร และการจดั การเรียนการสอนตลอดจน
การวดั ผลและประเมนิ ผล
4) ใชเ้ ป็นคูม่ ือสำหรบั ครูท่ีมาสอนแทน
5) เปน็ หลักฐานแสดงข้อมลู ที่ถูกต้อง เท่ียงตรง เปน็ ประโยชนต์ ่อวงการการศึกษา
6) เปน็ ผลงานทางวชิ าการแสดงความชำนาญการและเชย่ี วชาญของผู้จัดทำ
สำลี รักสทุ ธิ (2544 : 78) ใหค้ วามสำคัญของแผนการสอนดงั น้ี
31
1. ชว่ ยให้ครูไดม้ โี อกาสศึกษาหลกั สูตร แนวการสอน วธิ ีวัดและประเมนิ การศึกษา
เอกสารท่ีเกีย่ วข้องและการบรู ณาการกบั วชิ าอื่น
2. ช่วยให้ครูผู้สอนสามารถจัดเตรยี มกระบวนการสอน ให้สอนคล้องกับสภาพความ
เปน็ จรงิ ทัง้ ทางเรื่องทรัพยากรของโรงเรียน ทรัพยากรของท้องถ่นิ ค่านยิ ม ความเชือ่ และสภาพ
ความเปน็ จริงของท้องถนิ่ ตลอดจนการเช่ือมโยง สมั พนั ธ์กับวชิ าอ่ืนดว้ ย
3. เป็นเคร่ืองมือของครูในการจัดการเรยี นการสอนได้อย่างมคี ณุ ภาพ มคี วามม่ันใจใน
การสอนมากข้นึ ท่านจะเหมือนนกั รบทเ่ี ดนิ ลงสนามอยา่ งองอาจกลา้ หาญ
4. ผู้สอนสามารถใช้เปน็ ข้อมูลท่ีถูกต้อง เทีย่ งตรง เสนอแนะแก่บคุ ลากรทีเ่ กย่ี วขอ้ ง
และหนว่ ยงานทเ่ี กีย่ วข้อง รวมท้งั เพ่ือนครู
5. ใชค้ มู่ ือสำหรับครูทสี่ อนแทนได้
6. เป็นการพัฒนาวิชาชีพครูและมาตรฐานวชิ าชพี ครทู ่ีแสดงวา่ งานสอนต้องไดร้ บั การ
ฝึกฝน โดยเฉพาะมเี ครื่องมือและเอกสารที่จำเป็นสำหรบั การประกอบวิชาชพี ดว้ ย
1. สามารถนำไปใช้ไดจ้ ริง
2. ตรวจสอบส่ือการสอนท่ีจะใชว้ ่าใชไ้ ด้จรงิ ก่อนทำการสอน
3. ได้ทำการวางแผนไวอ้ ย่างรอบคอบ โดยครูทม่ี ีความชำนาญในการสอนและจะนำไปใชไ้ ด้จรงิ
4. มกี ารกำหนดเวลาทเ่ี หมาะสม
5. วธิ ีการเขียนและแบบฟอร์มทเ่ี หมาะสม
6. มคี วามเชอ่ื งโยงเก่ยี วเนื่องกนั ดใี นทุก ๆ ส่วนภายในหนว่ ยการสอนและระหว่างหนว่ ยสารสอน
อ่ืน ๆ
7. ใหส้ งั เกตของวธิ กี ารสอนของครแู ละวิธีการเรยี นของนกั เรยี น
ณัฐวฒุ ิ กจิ รงุ่ เรือง และคณะ (2545 :53) ไดใ้ หน้ ยิ ามถึงความสำคญั ของประโยชนข์ อง
แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรวู้ า่
1. เพอ่ื ให้เห็นความตอ่ เน่ืองของการจัดการเรยี นรตู้ ามหลักสตู ร
2. เพื่อให้จดั การเรยี นรู้ใหส้ อดคล้องกับความถนัดความสนใจและความต้องการของผู้เรยี น
3. เพอื่ ให้สามารถเตรยี มวสั ดุ อปุ กรณ์ แหลง่ เรยี นรู้พรอ้ มก่อนการทำการสอน
4. เพื่อให้ผสู้ อนมีความมน่ั ใจและเชือ่ มั่นในการเรยี นรู้
5. เพื่อให้เกิดการปรบั ปรงุ วิธีการจดั การเรียนรู้จากข้อจำกัดท่พี บ
6. เพอ่ื ใหผ้ อู้ นื่ สอนแทนได้ในกรณีจำเป็น
7. เพื่อเป็นหลกั ฐานในการพิจารณาผลงานและคุณภาพในการปฏบิ ตั กิ ารสอน
32
8. เพ่อื เปน็ ข้อบง่ ช้คี วามจำเป็นวิชาชีพครู
กรมวชิ าการ (2546 : 5) ให้ความสำคัญของแผนการสอนดังน้ี
1. ช่วยให้ครไู ด้มโี อกาสศึกษาหาความรใู้ นเร่ืองหลกั สูตร แนวการสอนการทำหาจดั ส่อื
ประกอบการสอน ตลอดจนวิธกี ารวดั ผลประเมินผลอย่างละเอียดทุกแง่มมุ
2. ชว่ ยใหเ้ กดิ การวางแผนวิธกี ารสอน วิธกี ารเรยี นใหม้ ีความหมายย่งิ ขน้ึ เพราะทำแผนการสอน
เปน็ การผสมผสานเนื้อหาสาระ และจดุ ประสงค์การเรยี นจากหลกั สูตรกับหลักสตู รจติ วยิ า
การศึกษาหรอื นวตั กรรมการเรยี นใหม่ ๆ ตลอดจนปัจจยั การอำนวยความสะดวกของโรงเรียน
และสภาพปัญหา ความสนใจ ความต้องการของนักเรยี น ผปู้ กครองและทรัพยากรในท้องถิ่น โดย
ใช้วธิ ีเชงิ ระบบ เพื่อให้การเรียนการสอนเปน็ ไปอย่างมีประสิทธภิ าพ
3. ช่วยให้ครูมคี มู่ ือท่ที าด้วยตวั เองไวล้ ่วงหน้า เพื่อให้เกิดความสะดวกในการจัดกิจกรรมการเรียน
การสอนได้อย่างมีคุณภาพ ตามเจตนารมณ์ของหลักสตู ร สง่ เสรมิ ให้ผู้เรยี นเกิดการเรียนรู้อย่าง
ครบถ้วน สอดคล้องกับระยะเวลาและจำนวนคาบทมี่ ีอยูจ่ ริง ในแต่ละภาคเรยี นน้นั คือสอนได้
ครบถ้วน และทันเวลาชว่ ยให้ครมู ีความมั่นใจในการสอนมากยิง่ ขนึ้
4. ทำให้การประเมนิ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนเปน็ ไปตามจุดประสงคท์ ่ีกำหนดไว้ช่วย ใหค้ รู
สามารถวนิ ิจฉยั จดุ อ่อนของนักเรยี นทีไ่ ดร้ ับการแกไ้ ข และทราบจดุ เด่นทีค่ วรรับการเสรมิ ตอ่ ไป
นอกจากนย้ี ังช่วยใหค้ รูเหน็ ภาพการทำงานของของตนเองให้เดน่ ชัดขึน้
วมิ ลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549 :289) ไดใ้ หค้ วามสำคญั ของแผนการสอนไวว้ า่ แผนการสอน
เป็นงานสำคญั ของครู การสอนจะประสบความสำเรจ็ ด้วยดีมากน้อยเพียงใดขน้ึ อยูก่ ับการวาง
แผนการสอนเปน็ สำคญั ถ้าผู้สอนวางแผนการสอนดกี เ็ ท่ากับบรรลุจุดมุ่งหมายปลายทางไปแล้ว
คร่ึงหน่ึง การวางแผนการสอนจงึ มคี วามสำคัญ ดังนี้
1. ทำให้ผสู้ อนสอนดว้ ยความมนั่ ใจ เม่อื เกิดความม่ันใจในการสอนก็จะสอนด้วยความคล่องแคล่ว
เป็นไปตามลำดับขัน้ ตอน อยา่ งราบรน่ื ไม่ตดิ ขัด เพราะไดเ้ ตรยี มทกุ อย่างไวพ้ ร้อมแล้ว การสอนก็
จะดำเนินไปสู่จุดหมายปลายทางอยา่ งสมบูรณ์
2. ทำใหเ้ ปน็ การสอนท่ีมีคุณค่าคุม้ กบั เวลาท่ผี า่ นไป เพราะผู้สอนสอนอยา่ งมแี บบแผนมี
เป้าหมาย มที ิศทางในการสอน ทำให้ผู้เรียนเกิดประสบการณ์ใหมต่ ามท่ีผู้สอนวางไว้
3. ทำใหเ้ ป็นการสอนทตี่ รงตามหลักสูตร เพราะในการวางแผนการสอนผู้สอนต้องศกึ ษาหลักสูตร
ทงั้ จดุ ประสงค์การสอน เน้อื หากจิ กรรมการเรียนการสอน ส่อื การสอน การวัดผลและประเมินผล
แลว้ จดั ทำแผนการสอน เม่อื ผสู้ อนสอนตามแผนการสอนท่วี างไวก้ ย็ ่อมทำใหเ้ ป็นแผนการ
33
สอนตรงตามจุดม่งุ หมายและทศิ ทางของหลกั สูตรชว่ ยใหค้ วามสะดวกแกค่ รูผสู้ อนแทนในกรณีท่ี
ผ้สู อนไม่สามารถเข้าสอนได้
4. ทำใหก้ ารสอนบรรลผุ ลอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพดีกวา่ การสอนทไ่ี ม่ได้วางแผน
5. ทำให้ผ้สู อนมเี อกสารเตือนความจำ สามารถนำมาใชใ้ นแนวทางการสอนต่อไปทำใหไ้ ม่เกิด
ความซ้ำซ้อน และเปน็ แนวทางในการทบทวนหรอื การออกข้อสอบ เพื่อวดั ผลการเรยี นรู้ได้และยงั
เปน็ เอกสารไว้เปน็ แนวทางแก่ผูส้ อนแทน ผู้เรยี นจะไดร้ ับความรตู้ ่อเน่ือง
6. ทำใหผ้ ู้เรยี นเกดิ เจคติท่ีดีต่อผู้สอน และวิชาทเ่ี รียนเพราะผ้สู อนสอนดว้ ยความพร้อม ด้วย
ความมั่นใจ ผูส้ อนไดเ้ ตรยี มการสอนไว้อยา่ งพร้อมเพรียงทำให้ผ้เู รยี นเรียนด้วยความเข้าใจสง่ ผล
ให้มเี จตคติทดี่ ตี ่อครูผู้สอนและวชิ าที่เรยี นจาการศึกษาความสำคญั ของแผน การจดั การเรยี นรู้
สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรยี นรมู้ คี วามสำคัญตอ่ การเรยี นการสอนให้บรรลุตามจดุ ประสงค์ของ
หลกั สตู ร เพราะแผนการจัดการเรยี นรู้ เปน็ การวางแผนการจัดกิจกรรม
ทั้งหมดทีเ่ อื้อและตอบสนองต่อความต้องการ ความรคู้ วามสามารถของนักเรยี น การวางแผนการ
จัดการเรียนรู้ลว่ งหน้า ทำให้ผู้สอนเกิดความม่ันใจ
3. องค์ประกอบของแผนการจดั การเรียนรู้
ณัฐวฒุ ิ กิจรุ่งเรื่อง และคณะ (2545 : 54) ไดเ้ สนอแนะว่า องคป์ ระกอบของแผนการจดั การ
เรยี นรู้ประกอบดว้ ย
1. หัวเร่ือง (Heading)
2. สาระสำคัญ (Concept)
3. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ (Objective)
4. เนอ้ื หาสาระ (Content)
5. กจิ กรรมการเรียนรู้ (Activities)
6. สื่อการเรยี นรู้ (Material Media)
7. การวัดผลและประเมนิ ผล (Assessment)
ชวลิต ชูกำแพง (2550 : 56) ได้กลา่ วถึง องคป์ ระกอบของแผนการจดั การเรยี นรไู้ ว้ดังน้ี
1. ผลการเรยี นรูท้ ค่ี าดหวงั
2. สาระการเรียนรู้
3. กระบวนการจัดการเรยี นรู้
4. สอ่ื การเรียนร/ู้ แหล่งการเรียนรู้
5. การวัดผลประเมนิ ผล
34
6. ความคดิ เห็น/ข้อเสนอแนะของผบู้ ริหาร
7. บนั ทกึ ผลหลังการใช้แผนการเรียนรู้
8. ภาคผนวก/หมายเหตุ
วมิ ลรตั น์ สุนทรโรจน์ (2551 : 282) ไดส้ รปุ ถงึ องคป์ ระกอบของแผนการจดั การเรยี นรไู้ ว้
ดังนี้
1. กล่มุ สาระการเรยี นรู้ หนว่ ยทีส่ อนและสาระสำคญั (ความคิดรวบยอด) ของเรื่อง
2. จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
3. สาระการเรยี นรู้
4. กจิ กรรมการเรียนการสอน
5. สื่อการเรียนการสอน
6. วัดผลและประเมินผล
จากการศึกษาองค์ประกอบของแผนการจดั การเรียนรสู้ รปุ ไดว้ า่ องค์ประกอบของ
แผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบดว้ ย สาระการเรยี นรู้ จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม กิจกรรมการ
เรียนการสอน สอื่ การเรยี นการสอน การวดั ผลและประเมนิ ผล จึงจะส่งผลใหก้ ารจัดการ
เรยี นการสอนเปน็ ไปอยา่ งมีประสิทธภิ าพ
4. รูปแบบและขนั้ ตอนการจดั ทำแผนการจดั การเรยี นรู้
เขมรัฐ โตไทยะ (2540 :12) กล่าววา่ ขั้นตอนในการจัดทำแผนการจัดการเรยี นรู้ ดังนี้ คือ
1) ศกึ ษาหลักสตู รและเอกสารค้นควา้ เชน่ ศกึ ษาหลักสตู รและเอกสารการคน้ คว้า เชน่ ศกึ ษา
หลักสตู ร คมู่ ือหลักสูตร
2) ศกึ ษาแนวการสอน การวัดผลและประเมินผล
3) เขียนแผนการจัดการเรียนรูต้ ามท่กี ำหนดไว้ในหลักสตู ร
สนุ ันทา สนุ ทรประเสรฐิ (ม.ป.ป : 81) ได้เสนอไวว้ ่า ในการจดั ทำแผนการสอนหรือการ
จัดการเรยี นรู้ มขี น้ั ตอนการจัดทำดงั นี้
1. ศกึ ษาหลักสูตรและเอกสารท่เี กยี่ วข้องทง้ั ในด้านจดุ หมายโครงสรา้ งเนือ้ หาสาระอตั ราเวลา
เรียน จุดประสงคใ์ นหลกั สูตร จดุ ประสงค์รายวิชา จดุ ประสงค์การเรยี นรแู้ นวทางการในการจดั
กิจกรรมการเรยี นการสอน แนวการวัดผลประเมนิ ผลในรายวิชาน้นั ๆ
2. วิเคราะห์หลักสูตร ทำการวิเคราะหห์ ลักสตู รเพ่ือแยกแยะเนื้อหา จดุ ประสงค์และกิจกรรม
โดยทำการพจิ ารณาถ้อยคำท่ีปรากฏในหลักสูตร แยกลงในตารางเพ่ือความสะดวก
3. แบง่ คาบเวลาเรยี น
35
4. จัดทำกำหนดการสอน
5. การวเิ คราะหเ์ นอ้ื หา จุดประสงคแ์ ละกจิ กรรม
6. เขยี นแผนการสอน
สำนกั งานคณะกรรมการการประถมศึกษาแหง่ ชาติ (2542 : 34 - 36) กลา่ ววา่ รปู แบบของ
แผนจดั การเรียนร้มู ี ดงั น้ี
1. รูปแบบตาราง โดยจดั รายละเอยี ดของเนื้อหาไว้ในตาราง ตวั อย่างแผนการจัดการเรียนรู้แบบ
ตาราง
2. รูปแบบบรรยาย เขยี นรายละเอยี ดและขัน้ ตอนการจดั กิจกรรมการเรยี นเปน็ ข้อ ได้แก่ การจัด
หวั ขอ้ ของจดุ ประสงค์ เนอ้ื หา กิจกรรม สอ่ื การเรยี น และการประเมินผลเรียงตามลำดบั กอ่ นหลัง
ขัน้ ตอนการจัดกจิ กรรม
กลุ่มสาระ……………………………………ชัน้ ……………..ภาคเรียนที่……………………
ช่อื แผน………………………………………………….เวลา………………..………..ชวั่ โมง
1.จดุ ประสงค…์ …………………………………………………………………………….
2. สาระการเรยี นร…ู้ ………………………………………………………………………..
3. กระบวนการจัดการเรยี นรู้…………………………………………………………………
4. กระบวนการวดั และประเมินผล…………………………………………………………
5. แหล่งการเรยี นรู…้ ………………………………………………………………………
* ตวั อยา่ งแผนการจดั การเรยี นรูร้ ปู แบบบรรยาย
3. รปู แบบผสม เป็นการเขียนแผนรายละเอียดของแผนการจดั การเรียนรเู้ รยี ง
ตามลำดับ
ชัน้ ……………………………………………กลุ่มประสบการณ์………………………………
หน่วยที…่ …………………………….หนว่ ยย่อยท…่ี ………………..เวลา……………….คาบ
วนั เดอื น ป…ี …………………………
รายการ……………………………
หมายเหตุ……………………………
เร่อื ง………………………….
สาระสำคญั ……………………
จุดประสงค…์ …………………
กิจกรรม………………………
36
ส่อื …………………………….
การวดั ผลและประเมนิ ผล…………………………..
กจิ กรรมเสนอแนะ……………………….
***ตวั อย่างแผนการจดั การเรียนรูแ้ บบผสม
สรปุ ได้วา่ การจัดทำแผนการจดั มาเรยี นรูเ้ ปน็ การผสมผสานเนอ้ื หาและจุดประสงค์ของหลักสูตร
หลกั จิตวทิ ยา นวตั กรรมการเรียนใหม่ และปัจจัยความพร้อมของโรงเรยี น ตลอดจนความตอ้ งการ
ของชุมชนท่ีเกย่ี วขอ้ ง การจัดทำแผนการจดั การเรียนรู้ช่วยให้ครูมีทิศทางในการกิจกรรมการเรียน
การสอนทีช่ ัดเจนและเกดิ ประโยชน์กบั ผู้เรียนไดม้ ากทีส่ ุด
5. ส่วนประกอบของแผนการจัดการเรยี นรู้
เขมรฐั โตไทยะ (2540 : 13- 41) กล่าวว่า การเขียนแผนการจัดการเรยี นรูม้ สี ว่ นประกอบ
ดงั นี้
1. สาระสำคัญ / ความคิดรวบยอด หรอื สรปุ เนื้อ สาระสำคัญหรอื ความคิดรวบยอด หมายถงึ
ความคิดความเขา้ ใจของบคุ คลเก่ยี วกับวัตถสุ ่ิงของ เหตุการณ์ต่าง ๆ โดยสรปุ เปน็ แกน่ สารหรอื
เนอ้ื หาทสี่ ำคัญ เพ่ือใหเ้ ป็นแนวทางหรือจดุ เนน้ ของเรื่องท่ีเรียน ดังนนั้ การเขียนสาระสำคัญควร
เขยี นเป็นข้อความสน้ั ๆ ใหห้ าสรปุ เนื้อหา อ่านแล้วเขา้ ใจ
2. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ หมายถึง ส่งิ ทมี่ ุ่งหวงั ใหเ้ กดิ ข้นึ กับตวั ผูเ้ รยี นเป็นคณุ ลกั ษณะอันพึง
ประสงค์ของผ้เู รยี น
3. เน้อื หา หมายถึง มวลประสบการณท์ ี่จัดให้ผู้เรียนมี 2 ลักษณะ คือ เน้อื หาหลกั และเนื้อหา
ย่อยหรือเนื้อหาโดยละเอยี ด กำหนดขึน้ โดยศึกษาเอกสารต่าง ๆ ทีเ่ กย่ี วข้องและต้องคำนึงถงึ
ความยากงา่ ยของเนื้อหา ความสัมพนั ธข์ องเน้ือหา ระดับผู้เรยี นและเวลาเรยี น
4. กิจกรรมการเรียนการสอน หมายถึง พฤติกรรมระหวา่ งครูกับนักเรยี นจัดขนึ้ เพื่อให้
นกั เรยี นเกดิ ความรู้และไดร้ ับประสบการณ์ตามความมุง่ หมายของการสอน การจดั กจิ กรรมควร
คำนงึ ถึงหลักการทส่ี ำคญั คือ การให้ผ้เู รียนเปน็ ผู้กระทำ เป็นประสบการณ์ตรง ผสู้ อนทำหนา้ ที่
ชว่ ยเหลือและดำเนนิ กิจกรรมไปตามจุดหมายที่มีองค์ประกอบ 3 ประการ คือ
1) ขน้ั นำหรือการนำเข้าสู่บทเรียน เป็นกจิ กรรมทบทวนความรเู้ ดิมเรา้ ความสนใจเขา้ สูบ่ ทเรียน
บทใหม่
2) ขั้นสอน เป็นกจิ กรรมทีก่ ำหนดไวเ้ พ่ือสนองจดุ ประสงค์ของแผนการจัดการเรียนรู้ และ
3) ขน้ั สรุปหรือการสรุป เป็นบทสรุปบทการเรียนเพิ่มพนู ประสบการณ์แกผ่ ู้เรยี น
5. ทกั ษะกระบวนการที่นกั เรียนไดฝ้ ึก สรปุ ไดเ้ ปน็ 11 กระบวนการ คือ
37
1) ทกั ษะกระบวนการ 9 กระบวนการ เปน็ ทักษะกระบวนการทรี่ วบรวมวิธกี ารสอนต่าง ๆ เขา้
ด้วยกนั การสอนไมจ่ ำเปน็ ต้องเรียงตามลำดบั ข้ัน
2) กระบวนการสรา้ งความคิดรวบยอดมักใชส้ อนคำนยิ ามศัพทแ์ ละแนวคิด
3) กระบวนการสรา้ งความตระหนกั เปน็ กระบวนการหนึ่งของทักษะกระบวนการ 9 ประการ
เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นรับรู้ เหน็ ความจำเป็น ความสำคญั ของปัญหา
4) กระบวนการปฏบิ ัตใิ หผ้ ู้เรียนได้ลงมือสัมผัสกบั ปัญหาดว้ ยตวั เอง
5) กระบวนการคดิ อย่างมีวิจารณญาณ
6) กระบวนการแก้ปัญหา เป็นกระบวนการการหาคำตอบหรือปัญหา
7) กระบวนการกลุ่ม ฝกึ ให้ผเู้ รยี นมที ักษะในการทำงานร่วมกัน
8) กระบวนการทางคณิตศาสตร์ ประกอบด้วยการสอนทกั ษะการคิดคำนวณ และการสอนทกั ษะ
การแกโ้ จทย์
9) กระบวนการสรา้ งเจตคติเปน็ การสร้างความรู้สึกความพึงพอใจ ชนื่ ชมต่อสิ่งใดสง่ิ หนึ่ง
10) กระบวนการสร้างค่านิยม เป็นการปลูกฝงั คุณธรรม จรยิ ธรรม เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ รียนสามารถ
วิเคราะห์ แยกแยะการกระทำท่ีดีหรอื ไม่ดีได้
11) กระบวนการเรยี นรคู้ วามเขา้ ใจ
6. สือ่ การเรยี นการสอน สอ่ื การเรยี นการสอน หมายถึง วสั ดอุ ุปกรณห์ รือวิธกี ารตา่ ง ๆ ทใี่ ช้
ในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนให้บรรลุตามจุดประสงค์ทตี่ งั้ ไว้ ส่ือการการสอนมีความสำคัญ
ในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ดงั น้ี คือ
1) กระตนุ้ ความสนใจของนักเรียนทีจ่ ะเรยี น
2) ชว่ ยใหน้ กั เรยี นได้เรียนร้โู ดยการสังเกตและปฏิบตั จิ รงิ
3) ใหป้ ระสบการณ์ที่เปน็ รูปธรรมแกน่ ักเรยี น
4) ช่วยใหน้ กั เรยี นไดเ้ รียนร้เู ร็วขน้ึ
5) สรา้ งบรรยากาศทด่ี ีในการเรียนการสอน และ
6) สร้างสถานการณท์ เี่ ปดิ กว้างต่อการเรยี นรู้
7. การวดั ผลและประเมินผล การประเมินผล หมายถึง การตรวจสอบหลังจากการเรยี นไป
แลว้ วา่ นกั เรยี นมีการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมดังท่ีคาดหวังหรอื ไม่ เนื่องจากการประเมนิ ผล เป็น
กระบวนการต่อเนื่องของการเรยี นการสอน ครูผูส้ อนจงึ ตอ้ งมกี ารประเมินเป็นระยะโดยมี
จุดมงุ่ หมาย เพ่ือปรับปรุงการเรยี นการสอน และวิธกี ารสอน เพ่อื ตัดสนิ ผลการเรยี นเพ่ือพัฒนา
พฤติกรรมของผเู้ รียน
38
8. เคร่อื งมอื และวธิ ีการวดั ผลและประเมินผล การวัดและประเมนิ ผลเป็นกระบวนการหนง่ึ
ของการเรยี นการสอน เปน็ การตรวจสอบวา่ ผ้เู รียนเกิดการเรียนรมู้ ีคุณลกั ษณะ มีทักษะตาม
จดุ ม่งุ หมายของแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีตงั้ ไว้หรือไม่ แผนการจัดการเรียนรทู้ ด่ี ตี ้องบอกวิธีการ
วัดผล เช่น การสงั เกต การสมั ภาษณ์ การทดสอบ แบบสังเกต เปน็ ต้น
9. ภาคผนวก การเขียนภาคผนวกเปน็ การจดั ทำในสว่ นท่ีเพมิ่ เติมให้แผนการจดั การเรยี นรู้
แต่ละแผน มคี วามสมบรู ณแ์ ละชว่ ยอำนวยความสะดวกแก่ผู้สอน ได้แก่ รายละเอยี ดเนอ้ื หาหรอื
ใบความรู้ วธิ กี ารดำเนินกิจกรรมตา่ ง ๆ รูปภาพ บตั รคำ ขอ้ สอบ แผนภูมิ แผนท่ี ใบงาน รายชอื่
เอกสารอา้ งองิ เพลง เป็นตน้ ดงั นน้ั ครผู สู้ อนรูด้ วี ่าสงิ่ ทค่ี วรเพิม่ อะไรมากหรือน้อยเพยี งใดให้
เหมาะสมท่สี ุด
10. ผลการใชแ้ ผนการจัดการเรยี นรู้ ปญั หาและขอ้ เสนอแนะหลงั การใชแ้ ผนการจัดการ
เรยี นรู้ โดยบนั ทกึ ขอ้ มูล สภาพความเปน็ จรงิ ทีเ่ กยี่ วข้องกบั ผ้สู อน พฤติกรรมของนักเรยี น
กิจกรรมสื่อการเรียน เครื่องมือการวดั และประเมนิ ผล รวมท้ังระยะเวลาในการจดั กิจกรรมแตล่ ะ
อยา่ ง แนวทางบันทึกผลการใช้แผนมี 2 ลักษณะ คือ เขียนเปน็ ความเรียงหรอื เขียนเป็นข้อ ๆ
เก่ยี วกับปญั หาและอุปสรรค พรอ้ มทั้งสิ่งที่ควรแก้ไขเพมิ่ เติม เพอ่ื ใช้เปน็
แนวทางมาเขียนปัญหาและข้อเสนอแนะจากการศึกษาส่วนประกอบของแผนการจดั การเรียนรู้
สรุปไดว้ ่า แผนการจดั การเรียนรูม้ สี ว่ นประกอบ ได้แก่ จุดประสงค์ สาระการเรียนรู้กระบวนการ
จดั การเรียนรู้ และกระบวนการวัดและประเมินผล แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ีมีความสมบูรณ์ จะ
ช่วยอำนวยความสะดวกแกผ่ ู้สอน แผนการจดั การเรยี นรู้มีความสำคญั ต่อการจดั การเรยี นการ
สอนใหบ้ รรลตุ รงตามจุดประสงค์ของหลกั สูตร เพราะแผนการจดั การเรยี นรู้ เปน็ การวางแผนการ
จัดกิจกรรมทั้งหมดท่ีเอ้ือและตอบสนองตอ่ ความต้องการ ความรคู้ วามสามารถของ
นักเรยี น การวางแผนการจดั การเรยี นรูล้ ว่ งหนา้ ทำให้ผูส้ อนเกดิ ความมน่ั ใจ เมื่อจัดทำแผนการ
จดั การเรียนรู้เรียบร้อยแล้วควรมกี ารประเมินแผนการจดั การเรียนรู้ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
เหมาะสม ครอบคลุม เพ่ือการปรบั ปรงุ แกไ้ ขแผนการจดั การเรยี นร้ใู หเ้ หมาะสมยิ่งขนึ้ การหา
ประสิทธภิ าพ
บญุ ชม ศรสี ะอาด (2546 : 153-155)อธบิ ายถงึ การวเิ คราะห์หาประสทิ ธภิ าพของส่ือวธิ ี
สอนหรอื นวตั กรรมไว้ว่า เมื่อครูทำการพัฒนาสื่อการเรยี นการสอน หรอื วธิ สี อนหรือนวัตกรรม
จำเปน็ อย่างยง่ิ ท่ีจะต้องทำการทดลองใชแ้ ละหาประสทิ ธภิ าพของสง่ิ ที่พฒั นาเพ่ือที่จะม่ันใจในการ
ที่จะน าไปใช้ตอ่ ไปการหาประสทิ ธิภาพ นิยมใช้เกณฑ์ 80/80 ซ่งึ มวี ิธีการ 2 แนวทาง ดังนี้
39
แนวทางที่ 1 พิจารณาจากผู้เรียนจำนวนมาก (ร้อยละ80) สามารถบรรลุผลในระดับสงู
(รอ้ ยละ 80) กรณีนีเ้ ปน็ นวัตกรรมสน้ั ๆ ใชเ้ วลาน้อย เนอื้ หาทส่ี อนมเี รื่องเดียว เชน่ ชดุ การสอน 1
บท ใชส้ อน 1 ชว่ั โมง เปน็ ตน้ เกณฑ์ 80/80 หมายถงึ 80 % ของผเู้ รยี นทีท่ ำได้ไม่ตำ่ กวา่ 80 %
ของคะแนนเตม็
แนวทางท่ี2 พิจารณาจากผลระหว่างดำเนนิ การ และผลเมือ่ สิ้นสุดการดำเนนิ การโดย
เฉลย่ี อยใู่ นระดบั สูง (เช่น ร้อยละ80) กรณใี ช้การสอนหลายคร้ัง มเี นอื้ หาสาระมาก (เชน่ 3 บทข้นึ
ไป) มีการวัดผลระหวา่ งเรียน (Formative) หลายครง้ั เกณฑ์ 80/80 มีความหมาย ดังนี้
80 ตวั แรก เป็นประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1)
80 ตวั หลัง เปน็ ของผลโดยรวม (E2)
ตวั อยา่ งแผนการจัดการเรยี นรู้
กลุม่ สาระการเรียนรู้ การงานอาชพี
สาระการเรียนรู้พ้นื ฐาน ง33101 การงานอาชีพ ระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี1 งานบา้ น เรอ่ื ง การจดั และตกแตง่ บ้านเวลา 3 ช่วั โมง
เขยี นแผนโดย นางเครอื จนั ทร์ ภาณนู ฤมติ โรงเรียนหอวงั ปทุมธานจี งั หวดั ปทุมธานี
**************************************************
1. มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวช้วี ดั
1.1 มาตรฐานการเรยี นรูง้ 1.1 เขา้ ใจการทำงาน มีความคดิ สร้างสรรค์ มที ักษะกระบวนการ
ทำงาน ทกั ษะการจัดการทกั ษะกระบวนการแก้ปัญหา ทักษะการทำงานรว่ มกัน และทักษะการ
แสวงหาความรู้ มคี ุณธรรม และลกั ษณะนสิ ยั ในการทำงาน มีจติ สำนกึ ในการใช้พลังงาน
ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อม เพ่ือการดำรงชีวิตและครอบครวั
1.2 ตัวชวี้ ัด
ง 1.1 ม.4 ข้อ2 สรา้ งผลงานอยา่ งมีความคดิ สรา้ งสรรค์ และมีทักษะการทำงานรว่ มกัน
ง 1.1 ม.4 ขอ้ 3 มีทักษะการจดั การในการทำงาน
ง 1.1 ม.4 ขอ้ 4 มีทักษะกระบวนการแก้ปญั หาในการทำงาน
ง 1.1 ม.4 ขอ้ 5 มีทักษะในการแสวงหาความร้เู พ่ือการดำรงชวี ิต
ง 1.1 ม.4 ข้อ6 มคี ุณธรรมและลักษณะนิสยั ในการทำงาน
ง 1.1 ม.4 ขอ้ 7 ใชพ้ ลงั งาน ทรพั ยากร ในการทำงานอย่างคุ้มค่าและย่ังยนื เพ่ือการอนุรกั ษ์
ส่ิงแวดล้อม
40
1.2.1 จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. อธิบายแนวทางในการจัดและตกแต่งบ้านได้ (K)
2. จดั และตกแต่งบ้านตามแนวทางที่ถูกต้องเหมาะสมได้ (P)
3. อธบิ ายประโยชนข์ องการจัดและตกแต่งบ้านได้ (A)
2. สาระสำคัญ
การจัดและตกแต่งบ้านจะทำใหบ้ า้ นเป็นระเบยี บเรยี บร้อย สวยงาม มปี ระโยชน์ใชส้ อยคุ้มค่า
ประหยดั พลงั งาน ประหยัดค่าใชจ้ ่าย และประหยัดเวลาในการทำงาน
2.1 สาระการเรยี นรเู้ รื่อง การจดั และตกแตง่ บา้ น
2.2 ทักษะ กระบวนการ
2.2.1 ทกั ษะการแสวงหาความรู้
2.2.2 ทักษะการจัดการ
2.2.3 ทักษะกระบวนการทำงาน
2.2.4 ทกั ษะกระบวนการแก้ปญั หา
2.2.5 ทกั ษะการทำงานรว่ มกัน
2.3ทกั ษะการคดิ
2.3.1 การใหเ้ หตุผล
2.3.2 การสรุปความรู้
2.3.3 การประยุกตใ์ ช้
2.3.4 การประเมนิ ค่า
2.4 คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
มีวินัย ใฝ่เรียนรอู้ ย่อู ยา่ งพอเพยี ง มุ่งมัน่ ในการทำงาน มีจิตสาธารณะ
3. หลกั ฐานการเรียนรู้
3.1 ผลงานหรอื ชนิ้ งาน
3.1.1 ผลงานกลุม่ จากการศึกษาค้นคว้าเรอื่ ง การจัดและตกแตง่ บ้าน
3.1.2 ผลงานกลุ่มจากการค้นคว้าเกีย่ วกับการจดั และตกแตง่ บา้ น
3.1.3 การสาธิตวิธีการการจัดและตกแต่งบ้าน
3.2 ทกั ษะกระบวนการ
3.2.1 การทำงานกลุ่มชว่ ยกนั ศกึ ษาคน้ ควา้ เกี่ยวกบั การจัดและตกแต่งบ้าน
3.2.2 การทำงานกลุ่ม รว่ มกันอภิปรายเก่ียวกับการจดั และตกแต่งบ้าน
41
3.3 คุณลักษณะอันพึงประสงค์
มีวินยั ใฝเ่ รยี นรู้ ม่งุ มน่ั ในการทำงาน
3.4 ความรู้ความเข้าใจ
3.4.1 จากการศึกษาเรื่องการจดั และตกแต่งบ้าน
3.4.2 จากการอภิปรายเก่ียวกับการจัดและตกแตง่ บ้าน
4. แนวทางการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้
วธิ กี ารประเมนิ ผล
4.1ด้านผลงาน
4.1.1 ผลงานกล่มุ จากการศกึ ษาค้นควา้ เร่อื งการจดั และตกแตง่ บา้ น
4.1.2 ผลงานกลมุ่ จากการคน้ ควา้ เกีย่ วกับการจัดและตกแต่งบา้ น
4.2 ด้านกระบวนการข้นั ตอนการปฏิบตั งิ าน
4.2.1 สังเกตพฤติกรรมของนักเรยี นในการเข้ารว่ มกิจกรรม (ในช้ันเรียน)
4.2.2สงั เกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลุ่ม
4.3 ด้านคุณลักษณะอนั พึงประสงค์
4.3.1 การอา่ น เขยี น คิดวิเคราะห์
4.3.2 ความมีวินยั ใฝ่เรยี นรู้ ม่งุ ม่ันในการทำงาน เปน็ ผูม้ ีคุณธรรม จรยิ ธรรมและมีค่านิยมทด่ี ี
งาม มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มภี าวะผ้นู ำ ภูมิใจในความเป็นไทย
5. การจดั กิจกรรมการเรยี นรู(้ 3 ชั่วโมง )
5.1 ข้ันนำ
5.1.1 ให้นักเรยี นสังเกตภาพห้องหอ้ งหนึ่งในบา้ นท่จี ัดไม่เป็นระเบยี บเรียบร้อย แลว้ ร่วมกันแสดง
ความคิดเห็น โดยครูใชค้ ำถามดังนี้
ภาพน้ีเปน็ ห้องอะไร (ตวั อยา่ งคำตอบ หอ้ งรับแขก)
หอ้ งในภาพจัดตกแต่งได้ถกู ต้องเหมาะสมหรอื ไม่ อย่างไร (ตวั อยา่ งคำตอบ ไม่
เหมาะสม เพราะมเี ครื่องเรือนขนาดใหญ่ไม่เหมาะกับขนาดของห้อง สขี องผ้ามา่ นทบึ ทำให้หอ้ ง
มดื )
ถา้ ต้องการใหห้ ้องน้มี ีความสวยงามเหมาะสมต้องทำอยา่ งไร (ตัวอย่างคำตอบ จัด
และตกแต่งอย่างมหี ลักการ)
5.1.2 ใหน้ กั เรียนทำแบบทดสอบก่อน จำนวน 10 ข้อ 5 คะแนน
42
5.1.3 แจง้ จุดประสงคเ์ มือ่ นักเรียน เรียนจบภายใน 3 ช่วั โมงนนี้ กั เรียนจะสามารถอธบิ ายแนวทาง
ในการจัดและตกแตง่ บา้ นจดั และตกแตง่ บา้ นตามแนวทางทีถ่ กู ต้องเหมาะสมและอธบิ าย
ประโยชน์ของการจดั และตกแต่งบ้านได้
5.2 ขน้ั ดำเนนิ กจิ กรรมเนน้ ผเู้ รียนเป็นสำคัญ
5.2.1 ให้นักเรยี นแบ่งกลุ่มๆละ 7 คน แลว้ รว่ มกนั ออกแบบและสร้างแบบจำลองห้องต่างๆ
ภายในบา้ น กล่มุ ละ 1 ห้อง โดยใชค้ วามรเู้ รื่องการจดั และตกแต่งบา้ นท่ศี กึ ษาผา่ นมาและนำวัสดุ
เหลอื ใช้ในท้องถ่ินมาประดิษฐ์ เช่น กระดาษ ไม้ พลาสติก โลหะ แกว้ ผ้า เป็นตน้
5.2.2 ใหน้ กั เรยี นศกึ ษาเน้ือหาเรอื่ งการจดั และตกแตง่ บ้าน จากเอกสารประกอบการเรียนรู้ ง
33101 การงานอาชพี แล้วร่วมกันแสดงความคิดเหน็ ดงั น้ี
กลมุ่ ท่ี 1 ศึกษาเรื่อง การจดั และตกแต่งบา้ นมีหลกั การอยา่ งไร (ตัวอย่างคำตอบ เปน็ ระเบียบ
เรียบร้อย สวยงาม มปี ระโยชนใ์ ชส้ อยคมุ้ ค่า และประหยัด)
กลมุ่ ที่ 2 ศึกษาเร่ือง การเลือกใชเ้ คร่อื งเรือนมแี นวทางอยา่ งไร (ตวั อยา่ งคำตอบ เลอื กขนาดให้
เหมาะสมกับขนาดของห้อง มีสกี ลมกลืนกบั ห้อง หรือสตี ัดกัน และทำความสะอาดไดง้ ่าย)
กลุ่มท่ี 3 ศึกษาเรื่อง การจดั วางเคร่อื งเรอื นและของตกแต่งมีแนวทางอยา่ งไร (ตัวอย่างคำตอบ
จัดวางใหส้ ะดวกต่อการเดินเข้า-ออก ไม่บังทศิ ทางลมหรอื แสงแดด และไม่ควรวางมากจนดบู ้า
นรก)
กลุ่มท่ี 4 ศึกษาเร่ือง ภาพติดผนงั ท่ใี ชต้ กแต่งห้องแต่ละห้องควรมลี กั ษณะอยา่ งไร (ตวั อยา่ ง
คำตอบ เหมาะสมกบั ห้อง และเป็นภาพชุดเดยี วกัน)
กลมุ่ ท่ี 5 ศึกษาเรื่อง การจดั จุดสนใจในแต่ละห้องมีแนวทางอย่างไร (ตัวอย่างคำตอบ จัดในมมุ ท่ี
มดื โดยวางกระถางตน้ ไมห้ รอื ภาพวาด หรอื แจกนั หรือรูปปั้น แลว้ จดั ไฟส่อง เพื่อให้ดูมีมิต)ิ
กลมุ่ ท่ี 6 ศึกษาเรื่อง หอ้ งทค่ี ับแคบควรตกแต่งอย่างไร (ตัวอยา่ งคำตอบ เลอื กใช้เคร่ืองเรอื นหรอื
ของตกแตง่ สีออ่ น)
กลมุ่ ท่ี 7 ศึกษาเร่ือง ถ้ามแี สงแดดส่องเข้ามาในหอ้ งมากเกินไปควรแก้ไขอย่างไร (ตวั อย่าง
คำตอบ ตดิ ต้ังม่ลู ่ีหรือผา้ มา่ น)
จากน้ันนำเสนอผลงานหน้าช้ันเรียนพรอ้ มบรรยายประกอบตามหวั ขอ้ ต่อไปน้ี
1.ห้องนค้ี ือห้องอะไร
2.ห้องนใ้ี ช้หลกั การจัดตกแต่งอย่างไร
3.ห้องนี้มีจดุ เดน่ อย่างไร
5.2.3 ใหน้ กั เรียนรว่ มกันสนทนาแลกเปลยี่ นความคิดเห็นเกี่ยวกับแบบจำลองห้องตา่ ง ๆ ที่
43
แต่ละกลมุ่ นำเสนอวา่ ถูกตอ้ งเหมาะสมหรือไม่ ถ้าไมถ่ ูกต้องเหมาะสมควรปรบั เปลย่ี นอย่างไร
5.2.4 ให้นกั เรยี นรว่ มกนั แสดงความคิดเห็น โดยครูใช้คำถามท้าทายวา่ บา้ นประหยดั พลังงานต้อง
มลี ักษณะอย่างไร
5.3 ขนั้ สรุป
5.3.1ใหน้ ักเรยี นร่วมกันสรุปความรู้ จากการจดั และตกแต่งบา้ นอย่างมหี ลักการจะทำให้บ้านเปน็
ระเบยี บเรียบร้อย สวยงาม มีประโยชน์ใชส้ อยคุ้มค่าและประหยัด
5.3.2 ให้นกั เรียนทำแบบทดสอบหลังเรยี น จำนวน 10 ขอ้ 5 คะแนน
5.3.3 นกั เรยี นทำแบบฝกึ หัดในใบงาน
5.งานวิจัยท่เี กย่ี วข้องกับการจดั การเรยี นรู้โดยใชส้ ่ือประสม
บมั พ์ (Bump. 2004:422-A) ได้ศึกษาผลของการใช้คอมพวิ เตอรแ์ ละสอื่ ประสมทาง
คอมพิวเตอร์ในโปรแกรมการสอนคณิตศาสตร์ทม่ี ผี ลสัมฤทธ์ิตอ่ การเรียนคณติ ศาสตร์ของนกั เรยี น
ในมหาวทิ ยาลัยท่ีมีการพฒั นาด้านคณิตศาสตร์โดยวทิ ยาลยั และมีการยอมรับใหม้ ีการจดั หลักสูตร
ขึน้ ซงึ่ หลักสูตรน้ีใชค้ อมพวิ เตอร์มาช่วยในการจดั การเรียนการสอนโดยจุดม่งุ หมาย โครงการ
ศกึ ษาคน้ คว้าคร้ังนีเ้ พื่ออธิบายผลของการใชส้ อื่ ประสมทางคอมพิวเตอร์การทำงานรว่ มกับ
โปรแกรมคณิตศาสตร์ที่มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นในวิทยาลัยทีม่ กี ารพัฒนาดา้ นคณติ ศาสตรใ์ น
งานครั้งนี้ตวั แปรอิสระคือวิธีการสอน 2 วิธี
ลโู ก(Lugo. 2004:Online)ไดท้ ำการวจิ ัยเกย่ี วกบั การนำสื่อประสมทางคอมพิวเตอร์หลายชนิด
มาเป็นเทคนิคพนื้ ฐานในการสอนทกั ษะแก้ไขปัญหาในวชิ าคณติ 1 สำหรบั นกั เรียนทมี่ ีความ
บกพร่องทางการเรียนระดบั 7-9 ถงึ 72 เพ่ือตรวจสอบวา่ เทคโนโลยีสอื่ ประสมทางคอมพิวเตอร์
จะช่วยเพิม่ ศักยภาพในการสอนให้กบั ครูในห้องเรียนปกตไิ ด้หรือไมโ่ ดยสนใจที่จะศึกษาเฉพาะ
นักเรียนทมี่ ีความบกพรอ่ งในการเขา้ ใจคณิตศาสตรใ์ นระดับเกรด 9-12 เครื่องมือที่ใชใ้ น
การศกึ ษาคน้ คว้าได้แก่แบบสอบถามความเข้าใจวชิ าคณิตศาสตรแ์ บบสอบถามเกี่ยวกับสอ่ื ประสม
ขอ้ สอบคณิต 1 ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลายและแบบ B ในปี 1998
ชวลติ มินพิมาย (2541: บทคัดย่อ ) ไดศ้ ึกษาการใช้ชุดการสอนสอ่ื ประสมวทิ ยาศาสตร์
สําหรบั นกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มตวั อยางที่ใชใ้ นการวิจยั เป็นนักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปี
ที่ 6 โรงเรียน
44
บ้านซับเปิบ อําเภอวังโป่ ง จังหวดั เพชรบรู ณ์ จํานวน 30 คน เครือ่ งมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ชดุ การ
สอนสอ่ื
ประสมวิชาวทิ ยาศาสตร์ที่ผู้วิจยั ได้สรา้ งข้ึน วิเคราะหข์ ้อมูลจากคะแนนผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรยี น
ของ
นกั เรียน โดยหาวธิ คี ่าเฉล่ยี ร้อยละ ผลการวิจยั ปรากฏวา นักเรยี นท้ังหมด 30 คน สามารถเรียน
จนกระทัง่
รอบรูแ้ ละมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนตามหัวข้อวัตถปุ ระสงค์กาหนดไว้เฉล่ยี ร้อยละ ํ 91.56
สมชาย แกว้ เจริญ. ( 2555:บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการใชส้ อื่ ประสมเพอื่ พัฒนาความสามารถ
ดา้ น
การอ่านทํานองเสนาะของนักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปี ที่ 1 โรงเรยี นวดั ลําตะเคียน (วิริยศึกษา)
จํานวน 20
คน เคร่อื งมือทใี่ ชใ้ นการวิจยั ได้แก่1) สื่อประสมประสมเพื่อพฒั นาความสามารถด้านการอา่ น
ทํานอง
เสนาะของนกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาป่ี ที่ 1 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนภาคทฤษฎี
และ
ภาคปฏิบตั กิ ่อน และหลังเรียน และ 3) แบบสอบถามความคดิ เหน็ ของนักเรียนทม่ี ีต่อส่ือประสม
วิเคราะหข์ ้อมลู โดยใช้ค่าเฉลีย่ (x) ค̅ า่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D) และทดสอบค่าสถิตทิ ดสอบแบบ
ไม่เป็น
อสิ ระต่อกน ผลการวจิ ัยมดี งั ต่อไปนปี้ ระสทิ ธภิ าพของสื่อประสมเพ่ือพัฒนาความสามารถดา้ นการ
อ่าน
ทํานองเสนาะของนักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปี ที่ 1 มีคา่ เท่ากบ ั 80.90/81.30 ซึง่ เปน็ ไปตามเกณฑ์
80/80
คะแนนผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี นหลงั เรียนด้วยสอื่ ประสมสูงกว่ากอ่ นเรยี น อยางมีนัยสาํ คัญ ่ ทาง
สถิตทิ ี
ระดับ .01 นกั เรียนมีความคดิ เหน็ ต่อสือ่ ประสมประเภทคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอนอย่ใู นระดับมาก มี
ค่าเฉล่ยี เท่ากบ ั 4.46 และค่าเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากบ ั .59
จากงานวิจัยทีได้ศกึ ษามาสรปุ ไดว้ า่ การจดั การเรยี นการสอนด้วยสอ่ื ประสม สามารถพัฒนา
45
ผลสมั ฤทธิ์ ทางการเรยี นแก่ผ้เู รียนใหด้ ขี ึ้นได้ รวมทั้งเสริมทักษะทางดา้ นการคิดวเิ คราะห์ให้แก่
ผเู้ รยี น
อย่างเปน็ ระบบ เป็นรูปธรรม ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ประหยดั เวลาในการสอน ผู้เรยี นให้
ความ
สนใจและพึงพอใจในการใชส้ ื่อประสม อกี ทงั้ มเี จตคติท่ีดตี ่อสือ่ การสอนท่ีเป็นสื่อประสมทถี่ อื ไดว้ า่
มี
ความหลากหลายในการใช้ประกอบการเรียนรู้
Rasanen (2005 : 53–63) อภปิ รายเก่ียวกับการเปล่ียนแปลงบทบาทของการเป็นผู้
ชำนาญหลายดา้ น และผ้ชู ำนาญเฉพาะดา้ น เก่ียวกบั ศิลปศึกษาในประเทศฟินแลนด์ โดยค้นหา
วธิ กี ารทนี่ กั วิชาการดา้ นศลิ ปะจะบูรณาการบทบาทของผูป้ ฏบิ ัตงิ าน ทางดา้ นวฒั นธรรม ครู
ศิลปิน และนักวิจยั โดยให้ผทู้ ่ีมีส่วนเกยวขอ้ งนน้ั อธบิ ายเกี่ยวกับการสอนศิลปะในโรงเรียน และ
ความคาดหวังในการสอนศลิ ปะของพวกเขา เกบ็ ข้อมลู โดยการใช้อภิปรายบนเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตและรายงานเก่ยี วกบั งานศลิ ปะทชี่ ่วยให้เกดิ ความชำนาญเฉพาะด้าน ในระหว่างท่ี
เรียนวธิ ีวิจัยเชิงคณุ ภาพ พบวา่ นกั การศึกษาชาวฟนิ แลนด์ แสดงแนวคดิ เก่ยี วกับบทบาทในการที่
จะสอนศิลปะครั้งหนึ่งหลายบทบาท การวิจยั เชงิ ปฏิบัตกิ ารด้านศิลปะช่วยใหค้ น้ พบแนวทาง
แกป้ ัญหา และความเขา้ ใจเกี่ยวกบั ศลิ ปะในแง่ทีจ่ ะเป็นแนวทางในการค้นพบ จะช่วยเช่อื มต่อ
ชอ่ งวา่ งระหวา่ งความเปน็ ผ้เู ชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และความเปน็ ผเู้ ชีย่ วชาญท่ีหลากหลาย
นอกจากนี้ยงั พบว่า นกั ศึกษาดา้ นศลิ ปะให้คณุ คา่ การสอน และการวจิ ยั เกีย่ วกับการสรา้ งการผลิต
งานศิลปะอยา่ งเท่าเทียมกนั
Nimkulrat. N (2010 :63–84) ศกึ ษาแนวคิดเก่ียวกับวัสดุทใ่ี ช้ในการปฏิบตั ิการวจิ ยั
เก่ียวกบั งานศลิ ปะเคร่ืองทอ สามารถกระตนุ้ ความคดิ สรา้ งสรรค์ของนักเรียน ในสว่ นท่ีเกี่ยวข้อง
กับวัสดุศาสตร์ กบั กายภาพของวัสดุ และความสามารถในการนำวัสดเุ หลา่ นัน้ มาออกแบบให้มี
ความหมาย และมีสนุ ทรียศาสตร์ ใหเ้ ป็นสากลมากยง่ิ ขนึ้ ไดอ้ ย่างไร พบวา่ ในการแสดงให้เดก็ เหน็
วา่ การนำวสั ดุไปประยุกต์ใชใ้ นการทำสง่ิ ทอ ช่วยใหเ้ ด็กสามารถแสดงออกถึงความหมายของ
ช้นิ งานท่ีพวกเขาสรา้ งข้ึนและยงั เปน็ แนวทางให้พวกเขามองเหน็ แนวทางกระบวนสนุ ทรียศาสตร์
ซง่ึ สงิ่ เหลา่ น้เี ป็นองคป์ ระกอบท่จี ะกระตนุ้ ความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ชว่ ยให้เด็กเกดิ แนวคดิ ท่มี ี
ความหมาย สามารถวางรูปแบบ วิธกี าร และตคี วามของชิ้นงานได้
Haanstra (2010 :271-282) ศกึ ษารูปแบบเน้ือหาของการสร้างสรรค์ชน้ิ งานศลิ ปะ
ด้วยตนเอง ของนักเรยี นกลุม่ ตวั อย่างเป็นนกั เรยี นชาวดัส อายุ 10-14 ปี จำนวน 52 คน จาก
46
โรงเรียนประถมศกึ ษา และมธั ยมศกึ ษา รวมท้ังไปถึงครูท่สี อนศลิ ปะนกั เรียนเหล่านี้ดว้ ย เก็บ
รวบรวมขอ้ มูลโดยการสมั ภาษณโ์ ดยใหน้ ักเรียนยกตัวอยา่ งงานศลิ ปะที่พวกเขาสรา้ งสรรค์ขึ้นที่
บ้าน และท่โี รงเรียน พบวา่ การสร้างสรรคศ์ ลิ ปะของตนเอง ของนักเรยี นนัน้ มอี ยู่4
รูปแบบ ได้แก่ ศิลปประยุกต์ วฒั นธรรมท่ีเป็นท่นี ิยม ประสบการณส์ ่วนบคุ คล และงานศิลปะท่ี
เกี่ยวกบั วฒั นธรรมขนบธรรมเนยี ม นอกจากนยี้ ังพบว่า การเรียนร้ใู นการเรียนศิลปะนอก
หอ้ งเรยี นน้ัน นกั เรยี นจะเรียนโดยการลงมอื ปฏิบัติ หรือคัดลอกจากงานตน้ แบบ นักเรยี นมีความ
ตระหนกั ในความแตกตา่ งของงานศลิ ปะ ท้ังในเรื่องของรูปแบบวัสดทุ ่ใี ชใ้ นการสรา้ งสรรค์ และ
ขอบเขตงาน ส่วนในการทำงานศิลปะทีส่ รา้ งสรรค์ดว้ ยตนเองไปใช้ใน
โรงเรยี น อาจจะไมถ่ ูกตอ้ งนัก ครูศลิ ปะควรเพิกเฉย สว่ นครศู ลิ ปะพึงกระทำ คือ ตระหนักถึง
วฒั นธรรมของทัศนศิลป์ ท่เี ด็กสรา้ งขนึ้ ด้วยตนเอง และนำงานเหล่าน้ันมาใชใ้ นบทเรยี น
Kettley (2012 :33–51) ได้น าเสนอแนวทางการสร้างงานประดิษฐ์ 7 แบบ ซึง่ ได้มา
จากการวจิ ยั เพื่อทีจ่ ะหาวธิ ีการในการออกแบบชนิ้ งาน ซงึ่ ในการออกแบบน้ีไดใ้ ชอ้ งค์ความรู้
เก่ยี วกบั การออกแบบงานประดษิ ฐ์หลายอยา่ ง รวมทั้งการลงมือปฏบิ ัติในการสรา้ งสรรคช์ ิ้นงาน
และความเข้าใจในศักยภาพ ทจ่ี ะใช้ออกแบบช้ินงานอยา่ งมคี วามหมาย พบวา่ มี 7 ขน้ั ตอนซงึ่
ไดแ้ ก่
1. ศกึ ษาความเส่ียง และคุณคา่ ของงานที่จะสรา้ ง
2. ขยายขอบเขตของการนําวสั ดมุ าใชส้ รา้ งสรรคช์ ิน้ งาน
3. วิเคราะห์แหลง่ ของวสั ดทุ ี่น มาใชง้ านได้ดี
4. ออกแบบขน้ั ตอนการสร้างช้นิ งาน โดยการวาดภาพ หรอื การสรา้ งช้นิ งานตน้ แบบ
5. ลงมือสร้างสรรค์ชนิ้ งานของจรงิ
6. เตมิ จดุ สำคัญ และความเฉพาะให้แก่ช้นิ งาน
7. พิจารณาผลงานท่สี ร้างข้นึ ทัง้ ในแง่ของจุดมงุ่ หมาย และสว่ นทเี่ ก่ียวข้องกับวัฒนธรรม
จากการศกึ ษารายงานวิจัยทงั้ ภายในประเทศและต่างประเทศ เกี่ยวกับการจดั กจิ กรรม
การเรยี นรู้เรอื่ งงานประดิษฐ์นั้นการจัดกจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้ชดุ การสอนทีเ่ น้นทักษะปฏิบตั ิ
ไมว่ ่าจะเปน็ รปู แบบใดก็ตาม ส่งผลใหน้ กั เรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นสูงกวา่ กลุ่มนักเรียนที่
เรียนด้วยวิธปี กติ นักเรยี นมคี วามพึงพอใจต่อชดุ การสอน เนือ่ งจากมีรูปภาพและข้นั ตอนในการ
ปฏบิ ตั ิอยา่ งชัดเจนสร้างความเข้าใจในบทเรียนได้ง่ายและรวดเรว็ ยง่ิ ขึ้น การจดั กจิ กรรมการ
เรียนรโู้ ดยใชช้ ุดการสอนเป็นนวัตกรรมหนง่ึ ทชี่ ่วยครูผสู้ อนไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพผวู้ ิจยั จึงได้
47
นำความร้จู ากการศึกษางานวิจยั ที่เกย่ี วขอ้ ง มาเป็นแนวทางในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ เพอื่
พัฒนาทกั ษะปฏบิ ตั ิงานประดิษฐ์ที่เปน็ เอกลกั ษณไ์ ทย โดยใช้ชดุ การสอน สำหรับนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปี ที่4 เพือ่ ใหก้ จิ กรรมการเรยี นรบู้ รรลตุ ามวตั ถุประสงค์ ของหลักสตู รแกนกลาง
การศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551ยิง่ ขน้ึ
4. ปฏกิ ริ ยิ าสมั พันธ์ระหว่างผสู้ อนกับผู้เรียน ผู้เรียนกับผ้เู รยี นและผู้เรียนกับ
สภาพแวดลอ้ ม แต่ก่อนความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผูส้ อนกับผูเ้ รยี นในห้องเรยี นมลี ักษณะเปน็ ทางเดียว
คอื ผสู้ อนเปน็ ผนู้ ำและผู้เรยี นเปน็ ผู้ตาม ผสู้ อนมิได้เปดิ โอกาสให้ผู้เรยี นมโี อกาสพูดผู้เรยี นจะได้
พูดก็ต่อเม่ือผ้สู อนให้พดู การตดั สินใจของผเู้ รยี นส่วนใหญ่มกั จะตามผู้สอน ผู้เรยี นเป็นฝ่ายเอาใจ
ผู้สอนมากกวา่ ผ้สู อนเอาใจผ้เู รยี น ผูส้ อนวิจารณห์ รอื พดู เยาะเยย้ ผู้เรยี นในชั้น
โดยเฉพาะผเู้ รียนท่ตี อบไม่ถูกตอ้ งตามผ้สู อนชอบ หรอื กระทำอะไรผดิ พลาดแต่ถา้ ผเู้ รียนทำอะไรดี
ควรแก่การชมเชยผสู้ อนจะนิง่ เฉยเสยี เพราะหากชมกลวั ผูเ้ รยี นจะเหลิงตัว ดังน้ันผเู้ รยี นไทยส่วน
ใหญจ่ งึ พกเอาประสบการณ์ท่ีไมน่ ่าพอใจ เมอ่ื เติบโตข้ึนในส่วนที่เกี่ยวกบั ความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง
ผเู้ รยี นกบั ผูเ้ รยี นน้นั แทบจะไม่มเี อาเลย เพราะผู้สอนสว่ นใหญ่จะไมช่ อบใหผ้ เู้ รียนคุยกันผเู้ รียน จึง
ไม่มโี อกาสฝึกฝนทางานรว่ มกันเป็นหมูค่ ณะ เช่ือฝงั และเคารพความคิดเห็นของผู้อืน่ เมื่อเตบิ โตจงึ
ทำงานรว่ มกนั ไม่ได้ นอกจากนป้ี ฏิสมั พันธ์ระหวา่ งผูเ้ รยี นกับสภาพแวดล้อมกม็ กั อยู่กับเพียงชอลก์
กระดานดำ และแบบเรียนในห้องเรยี นส่เี หล่ยี มแคบ ๆหรือในสนามหญา้ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกปล่อยให้
รกร้างเฉอะแฉะตามฤดกู าล ผู้สอนไม่เคยพาผู้เรียนออกไปสู่สภาพนอกโรงเรยี น การเรยี นการสอน
จึงจดั ใหอ้ ยใู่ นห้องเรยี นเปน็ ส่วนใหญ่ แนวโน้มในปจั จบุ ันและอนาคตของกระบวนการเรียนรู้ จงึ
ต้องนาเอากระบวนการกลมุ่ สัมพันธ์มาใช้ในการเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นประกอบกจิ กรรมร่วมกนั
ทฤษฎีกระบวนการกลมุ่ จึงเป็นแนวคิดทาง
พฤติกรรมศาสตร์ ซ่งึ นามาสกู่ ารจัดระบบการผลติ ส่ือออกมาในรปู แบบของชุดการสอน
5. การจัดสภาพส่ิงแวดล้อมการเรียนรู้ได้ยึดหลักจิตวทิ ยาการเรยี นมาใชโ้ ดยจดั
สภาพการณ์ ออกมาเป็นการสอนแบบโปรแกรม หมายถงึ ระบบการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้
ผู้เรยี นไดม้ สี ่วนรว่ มในกจิ กรรมการเรยี นด้วยตนเอง มกี ารทราบวา่ การตัดสนิ ใจหรอื การทำงาน
48
ของตนถกู หรือผิดอย่างไร มีการเสริมแรงบวกให้ผเู้ รยี นภาคภมู ิใจทีไ่ ด้ทำถูกหรอื คิดถกู อันจะทำ
ใหก้ ระทำพฤติกรรมน้นั ซำ้ อีกในอนาคต และค่อยใหเ้ รยี นรู้ทีละขน้ั ตอนตามความสามารถและ
ความสนใจของผเู้ รยี นเอง โดยไมม่ ใี ครบงั คับการจดั สภาพการณท์ ีเ่ อ้ืออำนวย
ต่อการเรยี นรู้ ตามนัยดงั กล่าวขา้ งต้น จะมเี คร่ืองมือช่วยให้บรรลตุ ามจุดมุ่งหมายปลายทางโดย
การจัดการสอนและโปรแกรมและใชช้ ุดการสอนเปน็ เครื่องมือสำคัญ
ไชยยศ เรอื งสวุ รรณ (2533 : 199) ได้ให้หลักการไวด้ งั น้ี
1. ทฤษฎที เี่ กย่ี วกับความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล ชุดการสอนน้เี ป็นสือ่ และกจิ กรรมการเรยี น
จัดทำขึน้ เพื่อสนองความสามารถความสนใจและความต้องการของผู้เรยี นเปน็ สำคัญทฤษฎที ว่ี ่า
ด้วยความแตกต่างระหวา่ งบุคคล จึงนำมาใชเ้ ปน็ ทฤษฎพี ื้นฐานในการจัดทำและใชช้ ุดการสอน
2. หลกั การเกย่ี วกบั สื่อประสมชดุ การสอน ซ่ึงหมายถึง การใชส้ ื่อหลาย ๆอยา่ งท่ีเสริมซ่ึงกันและ
กัน อยา่ งมีระบบมาใช้เปน็ แนวทางการเรียนรู้และกจิ กรรมการเรยี นทำให้ผ้เู รยี นไดเ้ รยี นรจู้ ากสื่อ
3. ทฤษฎีการเรียนรู้ชดุ การสอนเป็นสือ่ การเรยี นท่มี ุ่งผู้เรยี นได้มีส่วนร่วมในการเรียนอย่างแข็งขนั
และไดร้ ับขอ้ มูลย้อนกลบั อยา่ งฉบั พลนั
4. หลกั การวิเคราะหร์ ะบบชดุ การสอน จัดทำาโดยอาศยั วธิ ีวเิ คราะห์ระบบมกี ารทดลองสอนและ
ปรบั ปรงุ แก้ไขจนเปน็ ท่ีน่าเช่ือถือได้ จงึ นำออกใช้และเผยแพร่กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้ชุด
การสอน ท้งั เพื่อใหก้ ิจกรรมการเรียนการสอนด าเนินไปอย่างสัมพนั ธ์กนั
6.ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น
ผลสัมฤทธ์ิ หมายถงึ ความสำเร็จทไี่ ด้รบั จากความพยายาม เพอ่ื ใหบ้ รรลุเปา้ หมายทต่ี ้องการ หรือ
ระดับของความสำเรจ็ ท่ีไดร้ ับในแตล่ ะด้าน โดยเฉพาะหรือโดยทั่วไป
(เดโช สวนานนท์. 2512 : 3-4)
1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
49
ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนเปน็ วิธีการหนึง่ ที่แสดงใหเ้ หน็ ถึงความสามารถทางเชาว์
ปญั ญาของบคุ คล เดก็ ท่ีมีเชาว์ปญั ญาดี สว่ นใหญแ่ ล้วยอ่ มมผี ลการเรียนที่ดดี ้วย เน่อื งจาก
ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นมสี าเหตจุ ากการทดสอบบุคคลในด้านความรู้ ทักษะ และศักยภาพของ
สมองด้านต่าง ๆ แต่ในบางคร้ังเดก็ ที่มีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนตำ่ กไ็ ม่ได้มีเชาว์ปญั ญาต่ำการที่มี
ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนตำ่ นั้น อาจมสี าเหตุจากสิ่งแวดลอ้ มต่าง ๆ ที่อยูร่ อบตวั เด็กเป็น
อุปสรรคขดั ขวางการเรยี นรู้ เช่น ความวิตกกงั วลในความยากจน ความเบ่ือหนา่ ยหรือเครียดจาก
ทางบา้ น ขาดการเอาใจใส่จากผู้ปกครองเนื่องจากพ่อแม่แยกทางกนั ขาดความรบั ผดิ ชอบในการ
เรียนเนอ่ื งจากทางบา้ นตามใจมาก เปน็ ต้น (สธุ ดิ า พลชาน.ิ 2546 : 21)
2. ความหมายของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
Good (1973 : 7) ได้ให้ ความหมาย คำวา่ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น หมายถึง การเข้าถึง
ความร้สู กึ หรือพัฒนาทักษะทางการเรียน ซ่งึ โดยปกติพจิ ารณาจากคะแนนสอบจากการอบรมหรอื
คะแนนที่ได้จากงานทค่ี รมู อบหมายให้หรอื ทั้งสองฝ่าย
ไพศาล หวงั พานชิ (2545 : 89) ทใ่ี ห้ ความหมาย ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนวา่ หมายถงึ
คุณลักษณะและความสามารถของบุคคล อันเกิดจากการเรยี นการสอน เป็นการเปลย่ี นแปลง
พฤติกรรม และประสบการณ์การเรียนทเ่ี กิดขึ้นจากการฝกึ อบรม หรอื การสอบจึงเปน็ การ
ตรวจสอบระดบั ความสามารถของบุคคลวา่ เรยี นแลว้ มคี วามรู้เทา่ ใด สามารถวัดได้โดยการใช้
แบบทดสอบต่าง ๆ เชน่ ใชข้ ้อสอบวดั ผลสมั ฤทธขิ์ ้อสอบวดั ภาคปฏิบัติ เป็นต้น
บญุ ชม ศรสี ะอาด (2545 : 52) ไดใ้ ห้ ความหมาย ของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิว่า
หมายถึง แบบทดสอบท่ใี ชค้ วามรู้ความสามารถของบุคคลในดา้ นวิชาการ ซึ่งเป็นผลจากการ
เรียนรใู้ นเนอ้ื หาสาระและตามจดุ ประสงค์ ของวิชาหรอื เน้ือหาท่ีสอบน้ัน การเรียนรู้ทเ่ี กดิ จากการ
ฝึกอบรมหรือจากการสอนการวัดผลสัมฤทธ์ิ จึงเปน็ การตรวจสอบความสามารถหรือความสมั ฤทธ์ิ
ผลของผเู้ รยี น
สมนึก ภัททยิ ธนี (2544 : 73-98) ได้ให้ ความหมาย เก่ียวกับแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรยี นไว้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น หมายถงึ แบบทดสอบท่ีวดั
สมรรถภาพของสมองดา้ นต่าง ๆ ที่นักเรยี นไดร้ ับการเรียนรู้ผา่ นมาแล้ว แบบทดสอบวัด
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นประเภทที่ครสู ร้างขึ้นจากท่ีกลา่ วมาขา้ งตน้ สรุปได้ว่า แบบทดสอบวดั
ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่วัดสมรรถภาพของสมองด้านต่าง ๆ ทำให้บุคคล
เกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมหลงั จากไดร้ บั การฝกึ ฝน อบรมมาแล้ว เช่น วดั ความรู้
ความสามารถของบุคคลในดา้ นวชิ าการซึ่งเป็นผลจากการเรียนรู้เน้ือหาสาระตามจดุ ประสงค์
50
รายวชิ าทสี่ อบน้ัน ดังนน้ั การวัดผลสมั ฤทธใ์ิ นการเรยี นจึงเป็นการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมทางสมองของบุคคลวา่ เรียนรู้อะไรบา้ ง และมีความสามารถดา้ นใดมากนอ้ ยเท่าไร
3. การวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียน
ภัทรา นิคมานนท์ (2543 : 23) ได้กลา่ วไว้วา่ แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน
หมายถงึ แบบทดสอบท่ีใช้วัดปริมาณความรู้ความสามารถทักษะเกยี่ วกบั ด้านวชิ าการท่เี ด็กได้
เรยี นรมู้ าในอดีต วา่ รับรไู้ ดม้ ากน้อยเพยี งใด โดยทั่วไปแลว้ มักใช้หลังจากทำกิจกรรมเรยี บรอ้ ยแล้ว
เพื่อประเมินการเรยี นการสอนวา่ ไดผ้ ลเพียงใด สรุปคำจำกัดความผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรยี น หมายถงึ คุณลักษณะและความสามารถของผ้เู รียนอนั เกิดจากการเรียนการสอน
เปน็ การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์
4. ประเภทของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ภพ เลาหไพบูลย์ (อา้ งถงึ ใน ปญั ญา สขุ ศริ .ิ 2545 :45 - 46) ไดก้ ล่าวถึงการทดสอบ
ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นวา่ สามารถทำได้ 2 ลักษณะ คอื
1. การทดสอบแบบองิ กลุ่มหรือการวดั ผลแบบอิงกลุม่ เกดิ จากความเชื่อมนั่ ในเรอื่ ง
ความแตกตา่ งระหว่างบุคคล โดยถือว่า บคุ คลมีความสามารถในการกระทำหรือปฏิบตั ิในเรื่องใด
ๆ น้ันไม่เทา่ กนั การวดั แบบองิ กลุ่มจงึ ใช้ในการแยกกลุ่มคนและจดั ประเภทกลุ่มคนใช้ใน
การเรียงลำดบั ท่ีการเปรียบเทียบความสามารถของนักเรยี นในดา้ นความถนัดทางการเรยี น
ความสามารถในการใช้ภาษา และความสามารถทางวิชาการ การวัดผลสัมฤทธแ์ิ บบองิ
กลมุ่ จะเปน็ ข้อสอบท่ีครอบคลุมเนอ้ื หาวิชาการท้ังหมดเปน็ ส่วนใหญ่ ขอ้ สอบแต่ละ ขอ้ ควร
เป็น
ขอ้ สอบท่ีสามารถจำแนกนักเรียนได้ และสรา้ งความตรงตามตารางวเิ คราะห์หลกั สูตร การ
ทดสอบแบบน้ียึดเอานักเรียนสว่ นใหญเ่ ป็นหลกั ในการเปรียบเทยี บกบั คนอืน่ ๆ ในกล่มุ เดยี วกนั
2. การทดสอบแบบอิงเกณฑ์หรือการวัดผลแบบอิงเกณฑ์ ยดึ ตามแนวความเช่ือเร่ือง
การเรยี นรู้ เพ่อื รอบรู้ นักเรยี นทุกคนควรไดร้ ับการส่งเสรมิ และพฒั นาใหถ้ ึงขดี
ความสามารถสงู สดุ ของแตล่ ะคน การวัดผล แบบอิงเกณฑใ์ ช้ในการวัดวา่ นกั เรียนแตล่ ะคนมี
ความก้าวหนา้ หรือเรียนได้ผลตามวตั ถปุ ระสงคข์ องกระบวนวชิ าเพียงใด เปน็ การประเมินความรู้
และทกั ษะทน่ี ักเรยี นได้มีการพฒั นาข้ึนในแต่ละวชิ า แบบทดสอบ สร้างขึ้นตาม
วตั ถปุ ระสงค์ของการสอนอยา่ งละเอียด ความสำเร็จของนกั เรยี นในการทำแบบทดสอบพิจารณา
เทียบกับเกณฑ์ทกี่ ำหนดไว้หรือมาตรฐาน การวัดผลแบบอิงเกณฑ์ จึงเป็นการวดั โดยเปรยี บเทียบ
51
คะแนนของนักเรยี นแต่ละคนกับเกณฑ์หรอื มาตรฐานที่กำหนดไว้ บญุ เชดิ ภิญโญอนันตพงษ์ (อา้ ง
ถงึ ใน ปญั ญา สขุ ศิริ. 2545 :46 - 47) กลา่ วว่า
ผเู้ ช่ยี วชาญทางการศกึ ษาส่วนมาก มักจะใช้การทดสอบผลสัมฤทธว์ิ ธิ ีใดวธิ ีหนงึ่ ใน 4 วิธี ดงั น้ี
1. การทดสอบแบบองิ กลมุ่ เป็นการทดสอบ ซึง่ แปลความหมายของคะแนน โดยการ
นำเอาผลการปฏบิ ตั ิงานนน้ั เปรยี บเทยี บกบั ผลการปฏิบัตงิ านของคนอ่ืน ๆ ภายในกล่มุ การแปล
ความหมายจงึ มีลักษณะ เชิงสัมพันธ์ คอื ขึน้ อยู่กับผลการปฏบิ ตั ิของคนอ่นื ๆ วา่ เป็นอยา่ งไร
เปน็ ประการสำคัญ ไม่วา่ ผลงานของนักเรยี นคนนั้นจะอยู่ในระดับสูงหรือตำ่ กว่าก็ตาม แต่ถา้ นำไป
เปรยี บเทียบกับผลงานคนอนื่ ๆ แลว้ ดีกว่าคนอนื่ กส็ รปุ วา่ ผลงานของนักเรียนนน้ั ดมี าก
2. การทดสอบแบบอิงเกณฑ์ เป็นการทดสอบ ซง่ึ แปลความหมายของคะแนน โดยการ
นำเอาผลการปฏิบตั ิงานนน้ั ไปเทียบกับมาตรฐานทแี่ ทจ้ ริง (Absolute Standard) ซงึ่ เป็นเกณฑ์
ภายนอกกลุ่มท่กี ำหนดไว้อยา่ งรอบคอบ โดยไม่เปรียบเทียบกับผลงานของคนอนื่ ๆ ภายในกล่มุ
ดงั น้ันผลงานของนักเรียนจะอยู่ในระดับมาตรฐานหรือไม่ ต้องพจิ ารณาหรอื เปรียบเทยี บกับ
มาตรฐานทแี่ ทจ้ รงิ เท่าน้ัน
3. การทดสอบแบบองิ จดุ ประสงค์ เป็นการทดสอบ ซ่ึงแปลความหมายของคะแนน โดย
การนำเอาผลการปฏบิ ัตงิ านน้ันไปเทียบกับจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ซ่ึงใชเ้ ปน็ แนวในการเขยี น
ขอ้ สอบหรือจดุ ประสงคข์ องการสอนเนื้อหาน้ันว่า ผู้เรียนเกิดการเรียนร้ตู ามจุดประสงค์ไปมาก
น้อยเพยี งใด ซงึ่ เป็นการบรรยายความรู้ของนกั เรยี นไปตามจดุ ประสงค์ แต่มไิ ด้ระบหุ รือตัดสนิ วา่
ผูเ้ รยี นมคี วามร้ถู งึ ระดับมาตรฐานหรอื ไม่
4. การทดสอบแบบอิงมวลความรู้ เป็นการทดสอบ ซึ่งแปลความหมายของคะแนน โดย
การนำเอาผลการปฏบิ ตั ิงานไปเปรยี บเทียบกับกลุ่มของงานท่สี ุ่มมาจากจักรวาลของงานทน่ี ิยามไว้
อยา่ งดแี ล้ววา่ นกั เรยี นมีความสามารถเท่าไร จากนนั้ จะพยากรณผ์ ลงานจากกลุ่มตวั อย่างหรือ
แบบทดสอบ ไปประมวลความรหู้ รือจกั รวาลของงานท้งั หมดนนั้ สถิติที่ใชว้ ิเคราะห์เปรยี บเทียบ
ผลสมั ฤทธิ์ก่อนเรยี นและหลงั เรยี นงานประดษิ ฐใ์ บตองชน้ั ประถมศกึ ษาปี ที่ 4 ของกลุ่มทดลองที่
เรียนโดยใชช้ ดุ การสอนใชส้ ถิตทิ ดสอบแบบ t – test ในรูป Dependent Score ซ่ึงวเิ คราะห์ดว้ ย
โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิตเิ พ่ือการวิจยั ทางสงั คมศาสตร์
5. การหาคา่ ประสทิ ธภิ าพแบบทดสอบ
5.1 คา่ ความยากงา่ ย (Difficulty) แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นโดยใช้
สูตรของ Brennan (บุญชม ศรสี ะอาด. 2535 : 8) ดงั นี้
เมอ่ื P แทน ระดบั ความยากง่าย
52
R แทน จำนวนผ้ตู อบถูกท้ังหมด
N แทน จำนวนคนในกลุ่มสูงและกลมุ่ ต่ำ
5.2 ค่าอำนาจจำแนก (Discrimination) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น
โดยใชส้ ตู ร ของ Brennan (บุญชม ศรีสะอาด. 2535 : 81) ดงั น้ี
เมือ่ r แทน คา่ อำนาจจำแนก
Ru แทน จำนวนคนกลุม่ สูงท่ตี อบถูก
Rl แทน จำนวนคนกลมุ่ ต่ำท่ีตอบถูก
n แทน จำนวนคนในกลมุ่ สูงหรือกลุ่มต่ำซง่ึ เท่ากนั
5.3 คา่ ความเช่ือม่นั (Reliability) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนโดยใช้
สตู ร KR -20 (Kuder Richardson) (บุญชม ศรีสะอาด. 2535 : 85-86) ดงั นี้
เมือ่ ru แทน สัมประสทิ ธิ์ความเช่อื มน่ั
K แทน จำนวนขอ้ สอบในแบบทดสอบ
p แทน สดั ส่วนของคนท าถูกในขอ้ หนึ่ง ๆ (R/N เม่ือ R แทน จำนวนผตู้ อบถูกในข้อน้ัน
และ N แทน จำนวนผูเ้ ข้าสอบ)
q แทน สัดส่วนของคนทำผิดในข้อหน่ึง ๆ =l – P แทน ความแปรปรวนของคะแนน
ท้งั หมด
4. สถิติที่ใชใ้ นการตรวจสอบสมมตฐิ าน ไดแ้ ก่ วิเคราะห์ความแตกต่างของคะแนนผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนก่อน และหลงั เรียน ของกลุ่มทดลอง โดยใชส้ ูตร t – test แบบ Dependent (บุญ
ชม ศรสี ะอาด. 2535 : 109)
t = เมอื่ t แทน คา่ สถติ ทิ ใ่ี ช้เปรยี บเทยี บกับค่าวกิ ฤติเพ่ือทราบความมีนยั สำคัญ
D แทน ค่าผลต่างระหว่างคู่คะแนน
N แทน จำวนกลุ่มตวั อย่าง
สรุปไดว้ า่ การใช้เคร่ืองมือรวบรวมข้อมลู ในการศกึ ษาคน้ คว้า เพ่ือให้ได้ข้อมลู ท่ีต้องการ จึง
จำเปน็ ต้องใชเ้ ครอ่ื งมือที่เป็นมาตรฐาน ซงึ่ ผ่านกระบวนการอย่างมีระบบเคร่ืองมือรวบรวมข้อมูล
ท่ปี ระกอบด้วยข้อย่อย ๆ
53
หลาย ๆ ข้อรวมกันทุกข้อ ตอ้ งมีคณุ ภาพเข้าเกณฑ์ในดา้ นระดบั ความยากมีอำนาจจำแนกและมี
ความเท่ียงตรงตามเนื้อหาและเม่ือน าทุกขอ้ มารวมกนั เปน็ ฉบับเคร่ืองมือทงั้ ฉบับนน้ั ต้องมี
คุณภาพในด้านความเทย่ี งตรงและความเช่ือมั่น
54
บทท่ี 3
วิธกี ารวจิ ัย
การวจิ ัยเรื่อง การพฒั นากจิ กรรมการเรียนการสอนโดยใชส้ ื่อประสม เรื่องการจัดตกแต่ง
บา้ นกลุ่มสาระการเรยี นร้กู ารงานอาชีพชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 4 ผ้วู ิจยั ดำเนนิ การดังนี้
ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง
1.ประชากร
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนท่านผู้หญิงจันทิมาพึ่งบารมี สังกัดสำนักงาน
เขตพื้นท่ีมัธยมศึกษาสกลนคร เขต 23 ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 256- จำนวน 5 ห้องเรียน รวม
นกั เรยี นท้ังหมด 200 คน
2.กลมุ่ ตวั อย่าง
กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนท่านผู้หญิงจันทิมาพึ่ง
บารมี
พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 23 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 1 ห้องเรียน มี
นกั เรียนทง้ั หมด 40 คนซ่ึงได้มาโดยใช้วิธีการสมุ่ แบบแบง่ กลุ่ม ( Cluster random sampling)
ผู้วิจัยใช้วิธกี ารสุ่มแบบกลุ่ม ( Cluster random sampling) ด้วยวิธีจับสลาก จำนวน 1
ห้องเรียน โดยใช้กลมุ่ ที่มีอยู่ (intact group) จากทัง้ หมด 10 ห้องเรียน ซ่งึ ทง้ั 10 ห้องเรียนไม่ได้
จัดแบ่งห้องตามความสามารถในการเรียนรู้ จึงถือได้ว่านักเรียนทั้ง 10 ห้องเรียนมีความรู้
ความสามารถใกลเ้ คียงกัน
การสร้างและทดสอบเครอื่ งมือวจิ ัย
1. เครอื่ งมอื ที่ใชใ้ นการวิจยั
เคร่อื งมอื ทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย ได้แก่
1.1 กิจกรรมการเรยี นการสอนโดยใช้สื่อผสม เร่ือง การจดั ตกแต่งบ้าน
1.2 แบบทดสอบผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นของนักเรียน
55
การสรา้ งและทดสอบเคร่อื งมือวิจัย
2. เคร่อื งมือท่ใี ช้ในการวิจัย
เคร่อื งมอื ทใี่ ชใ้ นการวิจยั ไดแ้ ก่
1.1 กจิ กรรมการเรียนการสอนโดยใชส้ อ่ื ผสม เรอ่ื ง การจดั ตกแตง่ บ้าน
1.2 แบบทดสอบผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นของนกั เรยี น
3. การสรา้ งและหาคณุ ภาพเคร่ืองมอื วิจยั
3.1 กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้สื่อผสม เรื่องการจัดตกแต่งบ้าน ช้ัน
มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 มีข้ันตอนการสรา้ งและหาคุณภาพ ดงั นี้
3.1.1 ศกึ ษาหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐานพุทธศกั ราช 2551
และการจัดการเรียนรกู้ ลมุ่ สาระการงานอาชพี ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 2
3.1.2 ศกึ ษาวิธีการ หลักการ ทฤษฏแี ละเทคนิคการสร้างชดุ การเรยี น
การสอนจากเอกสารงานวจิ ัยทีเ่ กย่ี วขอ้ ง
3.1.3 ศึกษาและวิเคราะห์เนื้อหา เรื่อง การจัดตกแตงบ้าน พร้อมวิเคราะห์
และคดั เลือกสอื่ ประสมให้สอดคล้องกับเนือ้ หา โดยจำแนกเนอื้ หาไดด้ งั น้ี
แผนจำนวน 3 แผน รวมเปน็ 4 ชวั่ โมง รวมเวลาทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน
1. แผนท่ี 1 เรอ่ื ง การดูแลรักษาบ้าน
2. แผนที่ 2 เรอื่ ง ความปลอดภยั ในการทำงานบ้าน
3. แผนที่ 3 เรอื่ ง การจดั ตกแต่งบา้ นและบริเวณบา้ น
56
ดงั ตารางท่ี 1
ตารางท่ี 1 โครงสร้างกิจกรรมการเรยี นการสอนโดยใช้สื่อผสม เร่อื งการจดั ตกแตง่ บ้าน
ครั้งท่ี เรื่อง สือ่ ทใ่ี ช้
1 การดูแลรักษาบ้าน 1.หนงั สือเรียนรายวิชา
งานบ้าน
2.โมเดลบ้าน
3. ภาพการจัดตกตางหอ้ ง
2 ความปลอดภัยในการทำงานบ้าน 1.หนังสือเรียนรายวิชา
งานบา้ น
2.อุปกรณเ์ คร่ืองใช้ภายใน
บา้ น เช่น เตารีด หมอ้ หุง
ข้าว
3 การจัดตกแต่งบ้านและบรเิ วณบา้ น 1.หนังสือเรยี นรายวิชา
งานบ้าน
2.โมเดลบ้าน
2.1.4 นำกิจกรรมการเรียนการสอนที่สร้างขึ้นจำนวน 3 ชุด เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพ่ือ
ตรวจสอบความถูกต้องด้าน คำชี้แจง จุดมุ่งหมาย การประเมินผลเบื้องต้น การกำหนดกิจกรรม การ
ประเมนิ ผลครง้ั สุดท้าย ในแตล่ ะการเรยี นการสอน นำมาปรบั ปรงุ แกไ้ ขตามข้อเสนอแนะ
2.1.5 นำกิจกรรมการเรียนการสอนที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว จำนวน 3 ชุด เสนอผู้เชี่ยวชาญ 5
ท่าน เพื่อตรวจคุณภาพของชุดการเรียนการสอน โดยใช้แบบสอบถามเป็น มาตราส่วน 5 ระดับ ซ่ึง
กำหนดเกณฑใ์ นการพิจารณาให้คะแนน ดงั นี้
5 หมายถึง เหมาะสมมากที่สดุ
57
4 หมายถึง เหมาะสมมาก
3 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง
2 หมายถึง เหมาะสมนอ้ ย
1 หมายถึง เหมาะสมน้อยที่สุด
ผู้เชย่ี วชาญประกอบด้วย
1.) อาจารย์ อาจารย์ สมศกั ด์ิ ศริ ิขนั ธ์ อาจารยป์ ระจำหลักสตู รสาขาวชิ า
เทคโนโลยกี ารเกษตร คณะเทคโนโลยีการเกษตร
2.) ผู้ช่วยศาตราจารย์ฐิติรัตน์ แว่นเรืองรอง อาจารย์ประจำหลักสูตรสาขา
วสิ าขาวชิ าเทคโนโลยกี ารเกษตร คณะเทคโนโลยีการเกษตร
3.) อาจารย์ ศศิธร มชี ยั ตระกูล อาจารยป์ ระจำหลกั สูตรสาขาวชิ า
เทคโนโลยกี ารอาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร
4.) อาจารย์ สรชา ผูกพัน อาจารย์ประจำหลักสตู รสาขาวิชา
มนุษย์กับศิลปการดำเนินชีวิต คณะครศุ าสตร์
5.) อาจารย์ นะกะวี ดา่ นลาพล อาจารย์ประจำหลกั สูตรสาขาวชิ า
เทคโนโลยกี ารอาหาร คณะเทคโนโลยกี ารเกษตร
2.1.8 นำคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญมาหาค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผู้วิจัยได้กำหนดเกณฑ์การประเมินความคิดเห็นของกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นมาตราส่วน
ประมาณคา่ 5 ระดับ ตามวิธีของลเิ คอร์ท (Llikert)
ค่าเฉลย่ี 4.5-5.00 หมายถงึ เหมาะสมมากท่สี ุด
คา่ เฉลีย่ 3.51-4.50 หมายถงึ เหมาะสมมาก
คา่ เฉลี่ย 2.51-3.50 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง
คา่ เฉลย่ี 1.5-2.50 หมายถึง เหมาะสมน้อย
คา่ เฉล่ยี 1.00-1.50 หมายถึง เหมาะสมน้อยทส่ี ดุ
ถ้าค่าเฉลี่ยความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญมีค่าตั้งแต่ 3.51 ขึ้นไป และค่าเบี่ยงเบน
มาตรฐานไมเ่ กนิ 1.00 ถือวา่ องค์ประกอบของชุดการเรยี นการสอนมีความสอดคลองกัน
2.1.6 ทำการปรบั ปรงุ แก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชย่ี วชาญโดยปรบั ปรุงในเรื่องลำดับข้ัน
ในการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน