The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมเล่มบทที่ 6 การเขียนเค้าโครงการวิจัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by suphang.pi62, 2021-11-02 18:23:29

รวมเล่มบทที่ 6 การเขียนเค้าโครงการวิจัย

รวมเล่มบทที่ 6 การเขียนเค้าโครงการวิจัย

บทท่ี 3 วธิ ีกำรดำเนินกำรวิจัย

การวิจัยเร่ือง การพัฒนาการเรยี นรู้แบบประสบการณก์ ลมุ่ สาระการเรยี นรู้การงานอาชพี เร่ืองการ
ประดิษฐด์ อกไม้จากวัสดธุ รรมชาติและวัสดสุ งั เคราะห์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 โดยมีรายละเอยี ดเก่ียวกับการ
ดาเนนิ การวจิ ัยดงั น้ี

3.1 ประชำกรและกลุ่มตวั อย่ำง
ประชากรท่ใี ช้ในการวจิ ัย คือ นกั เรยี นระดบั ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ของ

โรงเรียนดงมะไฟ นกั เรยี น 30 จานวน
กล่มุ ตัวอยา่ งทใี่ ช้ในการวิจยั คอื นกั เรยี นระดับชั้นประถมศึกษาปที ่ี 6 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564

ของโรงเรยี นดงมะไฟ โดยเลอื กการสมุ่ ตัวอย่างเจาะจงเฉพาะ นกั เรียนระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6

3.2 ระยะเวลำทใี่ ช้ในกำรวจิ ัย
ระยะเวลาที่ใชใ้ นการวิจยั ตลอดภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2564

3.3 เคร่อื งมือทใ่ี ช้ในกำรวดั
-ช้ินงานประดษิ ฐ์ดอกไม้ เปน็ รายบคุ คล

3.4 กำรเกบ็ รวบรวมข้อมลู
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู คณะผ้วู จิ ัยได้ดาเนนิ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ดว้ ยตัวเองกับนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษา

ปที ่ี 6 จานวน 30 คน โดยการสง่ ชน้ิ งานการประดิษฐ์ดอกไมข้ องนกั เรยี นชน้ั ปรถมศกึ ษาปที ่ี 6 และมีแบบประเมิน
ตามเกณฑ์การทางาน เพอ่ื เปรยี บเทียบช้นิ งาน

3.5 กำรวเิ ครำะห์ข้อมูลและสถิตทิ ใ่ี ช้ในกำรวเิ ครำะหข์ ้อมลู
3.5.1 การวเิ คราะห์ข้อมลู คณะผวู้ จิ ัยดาเนินการดังตอ่ ไปนี้

(1) ทาตารางบันทึกการส่งงาน แบบทดสอบ ผลงานช้ินงาน ในช่วงตน้ ภาคเรียนท่ี 2 ของรายวชิ าการงาน
(2) รวบรวบชน้ิ งานและผลงาน
(3) บนั ทกึ การส่งงาน หลังจากการสง่ ชิน้ งานและผลงาน

จัดทำโดย
นำงสำวอินทริ ำ เหลำแตว 62115267105
นำงสำวชลกี ร โสภำ 62115267107
นำงสำวอรวรรณ มณวี รรณ 62115267116

การสอนวชิ าการงานอาชีพเร่ืองอาหารในชีวติ ประจาวนั

สาหรับนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 1

ความเป็ นมาและความสาคัญของปัญหา

กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพเป็นสาระการเรียนรู้ท่ีมุ่งพฒั นานกั เรียนใหม้ ี ความรู้ความเขา้ ใจ
เก่ียวกบั งานอาชีพ มีทกั ษะการทางาน ทกั ษะการจดั การสามารถนามาใชใ้ นการทางานอยา่ งถูกตอ้ ง
เหมาะสมคุม้ คา่ และมี คุณธรรม สร้างและพฒั นาผลิตภณั ฑ์ หรือวธิ ีการใหม่ สามารถทางานเป็นหมู่คณะมี
นิสัยรักการทางาน เห็นคุณค่าและมีเจตคติที่ดีต่องาน ตลอดจนมีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมท่ีเป็น
พ้นื ฐาน ไดแ้ ก่ ความ ขยนั ซ่ือสัตย์ ประหยดั และอดทน อนั จะนาไปสู่การใหน้ กั เรียนสามารถช่วยเหลือ
ตนเองและพ่งึ ตนเองได้ ตามพระราชดาริเศรษฐกิจพอเพยี ง สามารถดารงชีวติ อยใู่ นสังคมไดอ้ ยา่ งมีความสุข
และแขง่ ขนั ระดบั สากลในบริบทของสังคมไทย

กลุ่มสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยปี ระกอบไปดว้ ย 2 สาระ ท่ีจะกล่าวคือ สาระท่ี 1 การดารงชีวติ
และครอบครัว เป็นสาระท่ีเกี่ยวกบั การทางานในชีวติ ประจาวนั ช่วยเหลือตนเอง ครอบครัว และสังคมได้ ใน
สภาพเศรษฐกิจที่พอเพียง ไม่ทาลายสิ่งแวดลอ้ ม เนน้ การปฏิบตั ิจริงจนเกิดความมน่ั ใจและภูมิใจใน ผลสาเร็จ
ของงาน เพื่อใหค้ น้ พบความสามารถ ความถนดั และความสนใจของตนเอง มาตรฐาน ง 1.1 กล่าววา่ เขา้ ใจ
การทางาน มีความคิดสร้างสรรค์ มีทกั ษะกระบวนการทางาน ทกั ษะการจดั การ ทกั ษะ กระบวนการ
แกป้ ัญหา ทกั ษะการท างานร่วมกนั และทกั ษะการแสวงหาความรู้ มีคุณธรรม และลกั ษณะ นิสยั ในการ
ทางาน มีจิตสานึกในการใชพ้ ลงั งาน ทรัพยากรและสิ่งแวดลอ้ ม เพื่อการดารงชีวติ และ ครอบครัว(กรม
วชิ าการ, 2551, น. 210)

นอกจากน้นั ไดศ้ ึกษาปัญหาผเู้ รียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนต่า ซ่ึงเป็นปัญหาหน่ึงที่สะทอ้ นให้ เห็นถึง
คุณภาพของการศึกษาในประเทศไทย โดยการประเมินจากคุณภาพภายนอกสถานศึกษา 17,562แห่ง ทวั่
ประเทศ พบวา่ ร้อยละ 49.10ของโรงเรียนท้งั หมด การจดั การเรียนการสอนมีคุณภาพอยใู่ นระดบั ต่า และการ
ประเมินคุณภาพผเู้ รียน พบวา่ มีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนระดบั ต่ามากในทุกกลุ่มโดยเฉพาะ ความสามารถใน
การคิดวเิ คราะห์ สังเคราะห์ มีวจิ ารณญาณและความคิดสร้างสรรค์ มีคุณภาพระดบั ดี ร้อยละ 11.10 และมี
ทกั ษะในการแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง รักการเรียนรู้และพฒั นาตนเองอยา่ งต่อเนื่อง วารสารวชิ าการและ มี
คุณภาพดี ร้อยละ 26.50ของสถานศึกษาท้งั หมด (อาภรณ์รัตน์มณี, 2560, น.1) รวมท้งั ไดศ้ ึกษาสภาพ การจดั

กิจกรรมการเรียนรู้สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1โรงเรียนนครสวรรค์ ส านกั งานเขตพ้นื ที่ การศึกษา
มธั ยมศึกษา เขต 42 พบวา่ การจดั กิจกรรมการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและ เทคโนโลยยี งั ไม่
ประสบผลสาเร็จเทา่ ท่ีควร โดยเฉพาะดา้ นการจดั กระบวนการเรียนรู้ ซ่ึงครูส่วนใหญ่ ร้อยละ 85 สอนเนน้
เน้ือหาตามที่กาหนดไวใ้ นหลกั สูตร โดยใชว้ ธิ ีสอนตรงหรือสอนบอกความรู้ อธิบาย เน้ือหา ใชส้ ื่อประกอบ
บา้ ง การวดั ผลประเมินผล ใชว้ ธิ ีการทดสอบความรู้โดยใชข้ อ้ ทดสอบที่เนน้ การวดั ความรู้ความเขา้ ใจเทา่ น้นั
และนกั เรียนยงั ขาดทกั ษะในการคิดวเิ คราะห์ วางแผนการทางาน ขาดทกั ษะการ ทางานเป็นกลุ่มจึงทาใหก้ าร
ปฏิบตั ิงานไม่ประสบผลสาเร็จตามจุดมุ่งหมายท่ีวางไว้ ในดา้ นของการใช้ ความรู้นกั เรียนส่วนใหญ่ยงั ขาด
ทกั ษะพ้ืนฐานในการน าความรู้ไปใชก้ ารจดั กิจกรรมการสอนกระบวนการ กลุ่ม ใหน้ กั เรียนไดแ้ สวงหา
ความรู้ ลงมือปฏิบตั ิเพื่อพฒั นาความรู้ ทกั ษะ และสร้างผลผลิตท่ีมีคุณภาพ ท้งั น้ีเนื่องจากวา่ นกั เรียนไม่เขา้ ใจ
ข้นั ตอนในการเรียนของกลุ่มสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี ปฏิบตั ิงานไม่ทนั ตามข้นั ตอน จึงทาให้
นกั เรียนเบื่อหน่ายในกิจกรรมการเรียนการสอน และทาใหผ้ ล สัมฤทธ์ิทางการเรียนต่า

ดงั น้นั จากปัญหาดงั กล่าวในฐานะครูผสู้ อนจึงมีความจาเป็นในการพฒั นาสื่อการสอนท่ีเหมาะสม
ร่วมกบั การพฒั นากิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเนน้ นกั เรียนเป็นสาคญั โดยครูผสู้ อนควรจะลดบทบาท จากผู้
ถ่ายทอดเพยี งผเู้ ดียว เป็นผคู้ อยสนบั สนุนกิจกรรมใหน้ กั เรียนเกิดการแลกเปล่ียนความรู้ความคิดซ่ึง กนั และ
กนั ฝึกฝนการคน้ ควา้ ดว้ ยตนเองท่ีหลากหลายเพอื่ ใหเ้ กิดทกั ษะการเรียนรู้ และไดร้ ับประสบการณ์ ตรงจาก
การฝึกปฏิบตั ิ จดั กิจกรรมท่ีตอบสนองความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล โดยเนน้ ใหน้ กั เรียนไดล้ งมือ ปฏิบตั ิ
กิจกรรมดว้ ยตนเองเป็นกลุ่ม หรือรายบุคคลเพ่ือให้นกั เรียนเกิดความภาคภูมิใจในการทางาน จากการศึกษา
เอกสาร งานวจิ ยั และแนวคิดเก่ียวกบั การพฒั นาสื่อการเรียนการสอนใหม้ ีความเหมาะสมกบั สภาพปัญหา
ดงั กล่าว พบวา่ การจดั การเรียนการสอนที่เนน้ นกั เรียนเป็ นสาคญั เป็นการสอนท่ีเนน้ ให้ นกั เรียนไดค้ ิดคน้
ความรู้และลงมือปฏิบตั ิหรือกระทาจริงทุกข้นั ตอนจนทาใหเ้ กิดการเรียนรู้ดว้ ยตนเองและ เป็นการสอนท่ี
เนน้ ใหน้ กั เรียนไดเ้ รียนรู้วธิ ีการแสวงหาความรู้จึงตอ้ งอาศยั กระบวนการเรียนรู้และเทคนิค วธิ ีการสอนหลาย
รูปแบบ ข้ึนกบั ธรรมชาติของวชิ าและนกั เรียน รูปแบบการสอนที่เนน้ นกั เรียนเป็ นสาคญั เช่น การสอนแบบ
ใชช้ ุดการสอน การสอนแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ การสอนแบบใหศ้ ึกษาคน้ ควา้ ดว้ ย ตนเอง การสอนแบบ
อุปนยั เป็นตน้ (ทิศนา แขมมณี, 2549, น. 119-124) โดยที่การใชช้ ุดการสอน เป็น กระบวนการสอนท่ีอาศยั
ระบบส่ือประสมท่ีสอดคลอ้ งกบั เน้ือหา และประสบการณ์ของแต่ละหน่วยมา ช่วยเปล่ียนแปลงการเรียนรู้
ของนกั เรียนใหเ้ ป็ นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ (ชยั ยงค์ พรหมวงศ,์ 2538, น. 15) ชุดการสอน จดั เป็นนวตั กรรม
ทางการศึกษาท่ีมีประโยชนแ์ ละคุณคา่ ที่ช่วยถ่ายทอดเน้ือหาที่สลบั ซบั ซอ้ น วารสารวชิ าการและวจิ ยั และมี

นามธรรมสูง โดยช่วยเร้าความสนใจในการเรียนฝึกการตดั สินใจ แสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง มีความ
รับผดิ ชอบเรียนรู้ตลอดเวลา (ไชยยศ เรืองสุวรรณ, 2536, น. 235) นอกจากน้นั ชุดการสอน ยงั เป็น
นวตั กรรมครูผสู้ อนในการถ่ายทอดความรู้ดา้ นเน้ือหาที่มีลกั ษณะเป็นนามธรรม ช่วยใหน้ กั เรียนกบั ผสู้ อน มี
โอกาสปฏิบตั ิกิจกรรมร่วมกนั เป็นกิจกรรมการเรียนการสอน โดยเนน้ ใหน้ กั เรียนไดล้ งมือปฏิบตั ิ กิจกรรม
เป็นกลุ่ม ตามความสามารถ รวมท้งั เป็ นส่ิงที่ช่วยตอบสนองความตอ้ งการ ในการจดั กิจกรรมการ เรียนการ
สอน และยดึ นกั เรียนเป็นศูนยก์ ลาง และช่วยใหน้ กั เรียนประสบผลสาเร็จในการเรียนและมีทกั ษะ ในการ
ทางาน (บุญเก้ือ ควรหาเวช, 2543, น.92)

ผวู้ จิ ยั เป็นครูผสู้ อนวชิ าการงานอาชีพ จึงแกป้ ัญหานกั เรียนโดยการพฒั นาชุดการ สอนวชิ าการงานอาชีพ
และเทคโนโลยี เร่ืองอาหารในชีวติ ประจาวนั สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 เพ่ือทาใหน้ กั เรียน
สามารถใชช้ ุดการสอนในการเรียนรู้ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ตรงตามความสามารถ ความสนใจของนกั เรียน
อนั ส่งผลทาใหน้ กั เรียนมีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนดีข้ึน

วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย

การวจิ ยั คร้ังน้ี มีวตั ถุประสงคเ์ พ่อื พฒั นาชุดการสอนวชิ าการงานการงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง
อาหารในชีวติ ประจาวนั โดยมีวตั ถุประสงคเ์ ฉพาะ ดงั น้ี
1. เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพชุดการสอน วชิ าการงานอาชีพและเทคโนโลยี เร่ือง อาหารใน
ชีวติ ประจาวนั สาหรับนกั เรียน ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที 1
2. เพ่อื เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลงั เรียนของนกั เรียน ที่ไดร้ ับการสอน โดยใชช้ ุด
การสอน

ขอบเขตทางการวจิ ัย

เพื่อใหก้ ารวจิ ยั เป็นตามจุดมุง่ หมาที่กาหนดไว้ ผวู้ จิ ยั ไดก้ าหนดขอบเขตวิจยั ไว้ ดงั น้ี

1. ชุดการสอนวชิ าการงานอาชีพ เร่ือง อาหารในชีวติ ประจาวนั สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 ที่
สร้างข้ึน เป็นชุดส่ือประสมท่ีมีความสอดคลอ้ งกบั เน้ือหาวิชา นกั เรียนสามารถใชศ้ ึกษาและ ปฏิบตั ิดว้ ย
ตนเอง มีประสิทธิภาพ

2. นกั เรียนท่ีไดร้ ับการสอนโดยใชช้ ุดการสอนวชิ าการงานอาชีพ มีผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนหลงั เรียนสูง
กวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05

ประโยชน์ทคี่ าดว่าจะได้รับ

เพ่ือทาใหน้ กั เรียนสามารถใชช้ ุดการสอนในการเรียนรู้ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ตรงตามความสามารถ
ความสนใจของนกั เรียน อนั ส่งผลทาใหน้ กั เรียนมีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนดีข้ึน

กรอบแนวคดิ และทฤษฎที ี่เกีย่ วข้อง

ในการวจิ ยั คร้ังน้ีผวู้ ิจยั ไดศ้ ึกษาทฤษฏีและหลกั การและแนวคิดท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การพฒั นา ชุดการสอน
พบวา่ ชุดการสอน เป็นสื่อการเรียนท่ีช่วยใหผ้ เู้ รียนไดศ้ ึกษากิจกรรมการเรียนรู้ จากส่ือได้ อยา่ งเหมาะสม
(ไชยยศ เรืองสุวรรณ, 2536, น. 235) และช่วยฝึกทกั ษะเพอื่ ใหเ้ กิดการเรียนรู้ ผูเ้ รียนสามารถ เรียนรู้ร่วมกนั
เป็นกลุ่ม และสามารถประเมินผลการเรียนดว้ ยตนเองได้ (บุญเก้ือ ควรหาเวช, 2543, น.92) จากแนวคิดต่าง ๆ
เหล่าน้ีผวู้ จิ ยั เห็นวา่ ชุดการสอน ช่วยอานวยความสะดวกใหก้ บั ผเู้ รียนและ ทราบผลสาเร็จทนั ที และใช้
กระบวนการกลุ่มในการเรียน ผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้และคน้ ควา้ ดว้ ยตนเองเมื่อ นามาใชใ้ นการจดั กิจกรรมการ
เรียนการสอนจะทาใหผ้ ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสูงข้ึน ผวู้ ิจยั จึงมาสร้างเป็น กรอบความคิดในการวจิ ยั แสดง
ในภาพท่ี 1

แนวคิด/ทฤษฎี ตวั แปรอิสระ ตวั แปรตาม

ชุดการสอน เป็นสื่อการเรียนที่ช่วยใหผ้ เู้ รียนได้ การสอนโดยใชช้ ดุ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น วิชาการ
ศึกษา กิจกรรมการเรียนรู้ จากสื่อไดอ้ ยา่ ง การสอน งานอาชีพ
เหมาะสม โดยท่ี นกั เรียนสามารถเรียนรู้ได้ ดงั น้ี
1. การเรียนรู้เป็นกลุ่ม ทาใหน้ กั เรียนมโี อกาส
แลกเปล่ียนความรู้ซ่ึงกนั และกนั (บุญเก้ือ ควรหา
เวช, 2543, น.92)
2. สามารถเรียนรู้ตามลาดบั ของเน้ือหา (บุญเก้ือ
ควรหาเวช, 2543, น.92)
3. มโี อกาสพฒั นาทกั ษะการคิดท่ีเป็นระบบตาม
ข้นั ตอน กระบวน และช่วยฝึกทกั ษะการแกป้ ัญหา
ได้ (ไชยยศ เรืองสุวรรณ, 2536, น. 235)
4. ฝึกฝนการมีเหตุผลทาใหน้ กั เรียนตดั สินใจได้
ถูกตอ้ ง (บุญเก้ือ ควรหาเวช, 2543, น.92)

ภาพท่ี 1 กรอบแนวคิดการ
วจิ ยั

ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง

ประชากรท่ีใชใ้ นการวจิ ยั คร้ังน้ี ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 ของโรงเรียนธาตุนารายณ์ ภาคเรียน
ท่ี 1 ปี การศึกษา 2564 สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 42 ซ่ึงเรียนวิชาการ งานอาชีพและ
เทคโนโลยี จานวน 6 หอ้ งเรียน ๆ ละ 40 คน รวมท้งั สิ้น 240คน

กลุ่มตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการวิจยั คร้ังน้ี ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 ซ่ึงเรียนวชิ าการงานอาชีพ
เร่ืองอาหารในชีวติ ประจาวนั โรงเรียนธาตุนารายณ์ ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2564 สงั กดั ปี ท่ี 12 ฉบบั ท่ี 34
สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 23 จานวน 1 หอ้ งเรียน คือนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษา ปี ท่ี 1/5
จานวน 40 คน ซ่ึงไดม้ าโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling)

เครื่องมือทใ่ี ช้ในการวจิ ัย

1. ชุดการสอนวชิ าการงานอาชีพ เร่ือง อาหารในชีวติ ประจาวนั สาหรับนกั เรียน ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1
จานวน 4 ชุดการสอนไดแ้ ก่ ชุดที่ 1 เร่ืองอาหารและโภชนาการเบ้ืองตน้ ชุดที่ 2 เร่ือง อาหารอาเซียน ชุดที่ 3
เร่ืองหลกั การประกอบอาหารเบ้ืองตน้ ชุดที่ 4 เร่ืองหลกั การจดั และตกแตง่ อาหาร แตล่ ะชุดประกอบดว้ ย
องคป์ ระกอบ 2 ส่วนคือ ส่วนท่ี 1 คู่มือครู ประกอบดว้ ย คาช้ีแจงสาหรับครูผสู้ อน แผนการจดั การเรียนรู้
บตั รกิจกรรมสาหรับนกั เรียน ส่ือการเรียนการสอนไดแ้ ก่ วดี ีทศั น์ เพลง เกม สื่อ ของจริง แบบทดสอบก่อน
เรียนและหลงั เรียน เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน ส่วนที่ 2 ชุด กิจกรรมสาหรับนกั เรียน
ประกอบดว้ ย บตั รคาส่ัง บตั รกิจกรรม ส่ือการเรียนการสอนไดแ้ ก่ วดี ีทศั น์ เพลง เกม ส่ือของจริง และ
แบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน กาหนดข้นั ตอนการสอนโดยใชว้ ธิ ีการจดั การเรียน การสอนแบบ
อุปนยั แบ่งเป็ น 5 ข้นั ไดแ้ ก่ 1) ข้นั เตรียม เพื่อเตรียมผเู้ รียนใหพ้ ร้อมที่จะเรียน ดว้ ยการใช้ กิจกรรมหลายๆ
อยา่ ง เช่น ร้องเพลง เกม ดูวดี ีทศั น์ กระตุน้ ความสนใจใหส้ มั พนั ธ์กบั เน้ือหา เพ่อื ทบทวน ความรู้เดิม
เชื่อมโยงกบั ความรู้ใหม่ 2) ข้นั นาเสนอตวั อยา่ ง ผวู้ จิ ยั นาเสนอตวั อยา่ งเป็น วีดีทศั น์ เพลง และ เกม รูปภาพ
ส่ือของจริงท่ีครอบคลุมใหผ้ เู้ รียนไดพ้ จิ ารณาเปรียบเทียบ สรุปเป็นหลกั การดว้ ยตนเอง 3) ข้นั เปรียบเทียบ
แบง่ กลุ่มผเู้ รียน ออกเป็ นกลุ่มยอ่ ย กลุ่มละ 4 คน นกั เรียนร่วมกนั สงั เกต คน้ หา วิเคราะห์ รวบรวม
เปรียบเทียบ ความคลา้ ยคลึงกนั ขององคป์ ระกอบจากตวั อยา่ งหาความสมั พนั ธ์รายละเอียดท่ี เหมือนกนั หรือ
แตกต่างกนั ทากิจกรรมโดยใชช้ ุดการสอน ผูเ้ รียน ศึกษาเน้ือหาอภิปราย และตวั แทนกลุ่ม ออกมาอภิปราย
หนา้ ช้นั เรียน ในข้นั น้ีหากตวั อยา่ งที่ใหแ้ ก่ผเู้ รียน ครอบคลุมคุณลกั ษณะคุณลกั ษณะ สาคญั ๆ หรือหลกั การ

จะช่วยใหผ้ เู้ รียนศึกษาและวเิ คราะห์ไดต้ รงตามจุดประสงคเ์ ร็วข้ึนเนน้ ใหผ้ เู้ รียนมี ส่วนร่วมในการอภิปราย
กลุ่มอยา่ งทวั่ ถึง 4) ข้นั สรุปกฎเกณฑ์ ผเู้ รียนนาขอ้ สงั เกตต่าง ๆ จากตวั อยา่ ง มา สรุป แลว้ ช่วยกนั อภิปราย
จากสิ่งที่นกั เรียนไดศ้ ึกษามาเพ่อื ใหท้ ุกกลุ่มไดช้ ื่นชมของผลงาน 5) ข้นั นาไปใช้ ผเู้ รียนนาขอ้ สรุปที่เขา้ ใจ ไป
ใชใ้ นชีวติ ประจาวนั เป็ นการทดสอบความเขา้ ใจของผเู้ รียนไปใชใ้ นการ แกป้ ัญหา และเป็นการประเมิน
ผเู้ รียนวตั ถุประสงคท์ ี่ต้งั ไว้ โดยไดน้ าไปใหผ้ เู้ ชี่ยวชาญ 3 คน เพ่อื ตรวจสอบ คุณภาพ แลว้ นาไปทดลองกบั
นกั เรียนที่ไมใ่ ช่กลุ่มตวั อยา่ งแบบรายบุคคล เพอื่ ตรวจสอบความถูกตอ้ ง และ เหมาะสมของภาษา หลงั จาก
น้นั นาไปปรับแกไ้ ข แลว้ นาไปทดลองกลุ่มเลก็ และทดลองกลุ่มใหญ่นาผล วารสารวชิ าการและวจิ ยั
สังคมศาสตร์ Social Sciences Research and Academic Journal ปี ท่ี 12 ฉบบั ท่ี 34 มกราคม – เมษายน 2560
162 ที่ไดม้ าหาประสิทธิภาพ พบวา่ ชุดการสอนมีประสิทธิภาพภาพรวมจากการทดลองกลุ่มเล็ก 81.50/80.66
กลุ่มใหญ่ 84.20/82.25 ซ่ึงมีประสิทธิภาพสูงกวา่ เกณฑ์ 80/80 2. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
วชิ าการงานอาชีพและเทคโนโลยี เร่ือง อาหารใน ชีวติ ประจาวนั สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 เป็น
แบบทดสอบปรนยั ชนิด 4 ตวั เลือก จานวน 30ขอ้ ซ่ึงผวู้ จิ ยั สร้างข้ึนโดยพิจาณาจากจุดประสงคก์ ารเรียนรู้
และเน้ือหาในแตล่ ะหน่วย และนาไปใหผ้ เู้ ชี่ยวชาญ ตรวจสอบความตรงเชิงเน้ือหา หลงั จากน้นั นาไปทดลอง
กบั นกั เรียนกลุ่มตวั อยา่ งในการหาประสิทธิภาพ ของแบบทดสอบเพื่อน าคะแนนมาคานวณหาความยากง่าย
และอานาจจาแนกไดค้ า่ ความยากง่ายอยู่ ระหวา่ ง 0.21 – 0.79 และคา่ อานาจจาแนกอยูร่ ะหวา่ ง 0.21 – 0.50
นามาหาค่าความเท่ียงโดยใชส้ ูตร KR-20 ของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน ไดค้ า่ ความเท่ียงของแบบทดสอบ

การเกบ็ รวบรวมข้อมูล

1. ทดสอบก่อนเรียน กบั กลุ่มตวั อยา่ ง จานวน 40 คน โดยใชแ้ บบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียน
วชิ าการงานอาชีพ เร่ืองอาหารในชีวติ ประจาวนั ท่ีผวู้ จิ ยั สร้างข้ึนจานวน 30 ขอ้
2. ดาเนินการทดลอง โดยผวู้ จิ ยั เป็นผสู้ อนเอง ดว้ ยชุดการสอนวชิ าการงานอาชีพ เรื่อง อาหารใน
ชีวติ ประจาวนั สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 ใชเ้ วลาในการทดลองใชเ้ วลา 12 สปั ดาห์ สปั ดาห์ละ 1
ชว่ั โมง รวม 12 ชวั่ โมง
3. หลงั จากเสร็จสิ้นการสอนดว้ ยชุดการสอน ตามท่ีกาหนดไวจ้ ึงทาการทดสอบหลงั เรียนโดยใช้
แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าการงานอาชีพ เร่ือง อาหารในชีวิตประจาวนั ซ่ึงเป็นฉบบั
เดียวกบั ที่ใชท้ ดสอบก่อนเรียนตรวจใหค้ ะแนนและเก็บเป็ นคะแนนทดสอบหลงั เรียน

การวเิ คราะห์ข้อมูล

การพฒั นาชุดการสอนวชิ าการงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่องอาหารในชีวิตประจาวนั สาหรับนกั เรียน ช้นั
มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 ในการวจิ ยั คร้ังน้ี ผวู้ จิ ยั ไดว้ เิ คราะห์ขอ้ มูลดงั น้ี

1. การหาประสิทธิภาพของชุดการสอน ดาเนินการตามลาดบั ดงั น้ี

1.1 นาแบบฝึกหดั ประจาหน่วยและผลงานนกั เรียน แต่ละหน่วยในชุดการสอนของนกั เรียน ทุกคน มา
ตรวจใหค้ ะแนน

1.2 นาคะแนนแบบฝึกหดั ประจาหน่วยและผลงานนกั เรียนแต่ละหน่วย ในชุดการสอนมาหา คา่ เฉล่ีย
และคิดคา่ ร้อยละจากคะแนนเตม็ ท้งั หมดในทุกหน่วยซ่ึงเป็ นประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1 ) ของชุด
การสอนท่ีผวู้ จิ ยั ไดพ้ ฒั นาข้ึน

1.3 นาแบบทดสอบหลงั เรียน ของนกั เรียนทุกคนในกลุ่มตวั อยา่ งมาตรวจใหค้ ะแนน วารสารวชิ าการ
และวจิ ยั สังคมศาสตร์ Social Sciences Research and Academic Journal ปี ที่ 12 ฉบบั ที่ 34 มกราคม –
เมษายน 2560 163

1.4 นาคะแนนจากแบบทดสอบหลงั เรียนของนกั เรียนที่ไมใ่ ช่หน่วยยอ่ ยมาหาคา่ เฉล่ีย และคิด เป็นร้อย
ละจากคะแนนเตม็ ซ่ึงเป็นประสิทธิภาพของผลลพั ธ์ (E2 ) ของชุดการสอน

2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลงั เรียน ของนกั เรียนมธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 ท่ีไดร้ ับการ
สอนโดยใชช้ ุดการสอนวชิ าการงานอาชีพ มาทดสอบความแตกต่างระหวา่ ง คา่ เฉล่ียก่อนเรียนกบั หลงั เรียน
ดว้ ยสถิติทดสอบทีแบบกลุ่มตวั อยา่ งไมเ่ ป็ นอิสระจากกนั (t-test for dependent samples) (บุญชุม ศรีสะอาด,
2543, น.109 )

สมาชิก
นางสาว รัชติกร พรมสถาน 111
นางสาว นุชรินทร์ ทศราช 113
นางเรธิตา งานโคกสูง 207

การพฒั นารูปแบบการเรียนการสอน
เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ทางด้านการงานอาชีพ

ของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนพงั โคนวิทยาคม
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

-----
สมาชิกในกล่มุ
ช่ือ นางสาว นุตประวณี ์ อนิ ธิสิทธ์ิ รหัสนักศึกษา 62115267102
ช่ือ นางสาว วชั ราพร โจมม่ัน รหสั นักศึกษา 62115267110
ช่ือ นางสาว วราภรณ์ เป็ นไทย รหสั นักศึกษา 62115267208

บทท่ี 1

บทนา

1. ความสาคญั และทม่ี าของปัญหา

สงั คมในยคุ ศตวรรษท่ี 21 เป็นสังคมแห่งการเปล่ียนแปลงทางวทิ ยาการและเทคโนโลยที ี่กา้ วหนา้
อยา่ งรวดเร็ว คนถือวา่ เป็นทรัพยากรท่ีมีความสาคญั มากท่ีสุด ดงั น้นั ส่ิงแรกท่ีควรรีบเร่งคือพฒั นาคนรุ่นใหม่
ใหม้ ีศกั ยภาพ เพอ่ื ใหก้ า้ วทนั และพร้อมรับมือกบั การเปล่ียนแปลงที่จะเกิดข้ึน การเตรียมความพร้อมคนใหม้ ี
ศกั ยภาพน้นั ตอ้ งพฒั นาใหเ้ กิดทกั ษะที่จาเป็นต่อการดารงชีวติ ดงั แนวคิดของ วจิ ารณ์ พานิช (2554) ที่กล่าว
วา่ ทกั ษะในโลกแห่งศตวรรษท่ี 21 คือ ทกั ษะการเรียนรู้และนวตั กรรม หรือ 3R และ 4C ซ่ึงประกอบดว้ ย 3
R ไดแ้ ก่ Reading (การอ่าน) การเขียน(Writing) และคณิตศาสตร์ (Arithmetic) และ 4 C ไดแ้ ก่ Critical
Thinking (การคิดวเิ คราะห์) Communication(การสื่อสาร) Collaboration (การร่วมมือ) และ Creativity
(ความคิดสร้างสรรค)์ รวมถึงทกั ษะชีวติ และอาชีพ และทกั ษะดา้ นสารสนเทศสื่อและเทคโนโลยี และการ
บริหารจดั การดา้ นการศึกษาแบบใหม่ดว้ ย สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของ enGauge ไดพ้ ฒั นาและนาเสนอทกั ษะ
ท่ีจาเป็นสาหรับการดารงชีวติ การเรียนรู้ และทางานในโลกยคุ เทคโนโลยไี ว้ 4 ทกั ษะ ไดแ้ ก่1) การรู้หนงั สือ
ในยคุ เทคโนโลยสี ารสนเทศ (Digital – Age Literacy) 2) กระบวนการคิดเชิงประดิษฐอ์ ยา่ งสร้างสรรค์
(Inventive Thinking) 3) การส่ือสารอยา่ งไดผ้ ล (Effective Communication) และ 4) การมีผลิตภาพที่สูง
(High Productivity)

พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติพ.ศ.2542 (ฉบบั ที่2) แกไ้ ขเพ่มิ เติม พ.ศ. 2545 หมวด 4 มาตรา
22 ไดร้ ะบุวา่ การจดั การศึกษาตอ้ งยดึ หลกั วา่ ผูเ้ รียนทุกคนมีความสามารถ เรียนรู้และพฒั นาตนเองได้ และ
ถือวา่ ผเู้ รียนมีความสาคญั ที่สุด กระบวนการจดั การศึกษาตอ้ งส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนสามารถพฒั นาตาม
ธรรมชาติและเตม็ ตามศกั ยภาพ และมาตรา 24 การจดั กระบวนการเรียนรู้ ใหส้ ถานศึกษาและหน่วยงานที่
เก่ียวขอ้ งดา เนินการดงั ต่อไปน้ี 1) จดั เน้ือหาสาระและกิจกรรมใหส้ อดคลอ้ งกบั ความสนใจและความถนดั
ของผเู้ รียน โดยคานึงถึงความแตกต่างระหวา่ งบุคคล 2) ฝึ กทกั ษะกระบวนการคิด การจดั การ การเผชิญ
สถานการณ์ และการประยกุ ตค์ วามรู้มาใชเ้ พื่อป้องกนั และแกไ้ ขปัญหา 3) จดั กิจกรรมใหผ้ เู้ รียนจาก
ประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบตั ิใหท้ าได้ คิดเป็ น ทาเป็ น รักการอ่านและเกิดการใฝ่ รู้อยา่ งตอ่ เนื่อง 4) จดั การ
เรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ดา้ นตา่ ง ๆ อยา่ งไดส้ ัดส่วนสมดุลกนั รวมท้งั ปลูกฝังคุณธรรม
คา่ นิยมท่ีดีงานและคุณลกั ษณะอนั พึงประสงคไ์ วใ้ นทุกวชิ า 5) ส่งเสริมสนบั สนุนใหผ้ สู้ อนสามารถจดั
บรรยากาศ สภาพแวดลอ้ ม สื่อการเรียนและอานวยความสะดวกเพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบ
รู้รวมท้งั สามารถใชก้ ารวจิ ยั เป็ นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรียนรู้และ6)จดั การเรียนรู้ใหเ้ กิดข้ึนไดท้ ุกเวลา
ทุกสถานการณ์ที่มีการประสานความร่วมมือกบั บิดา มารดา ผปู้ กครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่ าย เพื่อ
ร่วมกนั พฒั นาผเู้ รียนตามศกั ยภาพ (พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ, 2545)

หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐานพุทธศกั ราช 2551 ไดก้ าหนดทกั ษะเป็นสมรรถนะสาคญั ท่ี
ผเู้ รียนทุกคนพงึ ไดร้ ับการพฒั นาใหม้ ีคุณภาพตามมาตรฐานที่กาหนด ไมว่ า่ จะเป็นความสามารถในการ
ส่ือสาร เพ่ือแลกเปล่ียนขอ้ มูลขา่ วสารและประสบการณ์อนั จะเป็นประโยชน์ ต่อการพฒั นาตนเองและสงั คม
ใหด้ ีข้ึน มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สงั เคราะห์ คิดอยา่ ง สร้างสรรค์ และคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ
เพอ่ื น าไปสู่การตดั สินใจท่ีถูกตอ้ งและเหมาะสม มี ความสามารถในการแกป้ ัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ท่ี
เผชิญไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง เขา้ ใจความสัมพนั ธ์และ การเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม สามารถ
ประยกุ ตค์ วามรู้มาใชใ้ นการป้องกนั และ แกไ้ ขปัญหา ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ การเรียนรู้ดว้ ย
ตนเอง การท างานและการอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมการจดั การกบั ปัญหาและความขดั แยง้ ตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ ง
เหมาะสม สามารถปรับตวั ใหท้ นั กบั การเปล่ียนแปลงของสังคมและสภาพแวดลอ้ มรวมถึงความสามารถใน
การใชเ้ ทคโนโลยเี พ่อื พฒั นา ตนเองและสังคม ในดา้ นการเรียนรู้ การสื่อสาร การทางาน และการแกป้ ัญหา
อยา่ งสร้างสรรค์ จดั การกบั ชีวติ ของตนเองไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพและสามารถดารงชีวติ อยใู่ นสงั คมไดอ้ ยา่ ง
มี ความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551)

การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคเ์ ป็นวธิ ีการท่ีใชใ้ นการพฒั นาศกั ยภาพดา้ นความคิดสร้างสรรคข์ อง
นกั เรียนโดยผา่ นกรอบทฤษฎีที่ใชใ้ นการพฒั นาและวเิ คราะห์การแกป้ ัญหา โดยมี ข้นั ตอนคือ 1) การทา
ความเขา้ ใจกบั ปัญหา 2) การตดั สินปัญหา 3) การหาแนวทาง 4) การประเมิน ขอ้ มูล และ 5) วธิ ีการแกป้ ัญหา
(Treffinger et al., 2006 อา้ งถึงใน ศิรภสั สร ศรเสนา, 2557) และเป็น การทางานร่วมกนั ระหวา่ งความคิด
สร้างสรรคก์ บั ความคิดวจิ ารณญาณ การแกป้ ัญหาอยา่ ง สร้างสรรคเ์ ป็นการคิดที่สาคญั จะตอ้ งอาศยั ท้งั
องคป์ ระกอบของการแกป้ ัญหาและความคิดสร้างสรรค์ ซ่ึงเป็นความสามารถทางสติปัญญาท่ีตอ้ งอาศยั การ
จดั การเรียนการสอน เพื่อการพฒั นา ผเู้ รียนอยา่ งมีประสิทธิภาพความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคเ์ ป็นความสามารถท่ีมีอยู่ ในตวั นกั เรียนทุกคนและทุกคนสามารถพฒั นาทกั ษะและความสามารถ
ในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคไ์ ด้ (bahr et al., 2006 อา้ งถึงในศิรภสั สร ศรเสนา, 2557)หากจดั สภาพ
แวดลอ้ มในการ เรียนรู้ท่ีเหมาะสมอยา่ งเป็นแนวทางในการพฒั นาความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรค์ ของนกั เรียนไดเ้ ป็ นอยา่ งดี การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ าใหบ้ ุคคลสามารถฟันฝ่ าอุปสรรค
ไปสู่ เป้าหมายที่วางไวไ้ ดเ้ ป็ นการสร้างบุคคลท่ีมีคุณภาพใหแ้ ก่สงั คมสามารถพฒั นาตนเองและ สร้างสรรค์
สงั คมไดอ้ ยา่ งยง่ั ยนื

การงานอาชีพและเทคโนโลยเี ป็นวชิ าที่ช่วยพฒั นาใหผ้ เู้ รียนมีความรู้ ความเขา้ ใจ มีทกั ษะพ้นื ฐาน
ท่ีจาเป็นต่อการดารงชีวติ และรู้เท่าทนั การเปลี่ยนแปลง สามารถนาความรู้เก่ียวกบั การดารงชีวิต การอาชีพ
และเทคโนโลยี มาใชป้ ระโยชน์ในการทา งานอยา่ งมีความคิดสร้างสรรค์ แขง่ ขนั ในสังคมไทยและสากล
เห็นแนวทางในการประกอบอาชีพ รักการทางาน และมีเจตคติที่ดีต่อการทางาน และสามารถดารงชีวิตอยใู่ น
สังคมไดอ้ ยา่ งพอเพยี ง มีความสุข ดว้ ยเหตุน้ี วชิ าการงานอาชีพจึงมีความสาคญั ที่เยาวชนทุกคนตอ้ งเรียน
และมีความจาเป็นที่เยาวชนทุกคนตอ้ งมีความรู้ทางการงานอาชีพ ซ่ึงตามหลกั สูตรการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน

กาหนดคุณภาพผูเ้ รียนจบช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 3 ไว้ ดงั น้ี 1.เขา้ ใจวธิ ีการทางาน เพอื่ ช่วยเหลือตนเอง
ครอบครัว และส่วนรวม ใชว้ สั ดุ อุปกรณ์ และเคร่ืองมือถูกตอ้ งตรงกบั ลกั ษณะงาน มีทกั ษะกระบวนการ
ทางาน มีลกั ษณะนิสัยการทางานที่กระตือรือร้น ตรงเวลา ประหยดั ปลอดภยั สะอาด รอบ คอบ และมี
จิตสานึกในการอนุรักษส์ ่ิงแวดลอ้ ม 2.เขา้ ใจประโยชน์ของสิ่งของเครื่องใชใ้ นชีวติ ประจาวนั มีความคิดใน
การแกป้ ัญหาหรือสนองความตอ้ งการอยา่ งมีความคิดสร้างสรรค์ มีทกั ษะในการสร้างของเล่น-ของใชอ้ ยา่ ง
ง่าย โดยใชก้ ระบวนการเทคโนโลยี ไดแ้ ก่ กาหนดปัญหาหรือความตอ้ งการ รวบรวมขอ้ มูล ออกแบบโดย
ถ่ายทอดความคิดเป็ นภาพร่าง 2 มิติ ลงมือสร้างและประเมินผล เลือกใชว้ สั ดุอุปกรณ์อยา่ งถูกวธิ ี เลือกใช้
สิ่งของเคร่ืองใชใ้ นชีวติ ประจาวนั อยา่ งสร้างสรรค์ และมีการจดั การส่ิงของเคร่ืองใชด้ ว้ ยการนากลบั มาใชซ้ ้า
3.เขา้ ใจและมีทกั ษะการคน้ หาขอ้ มูลอยา่ งมีข้นั ตอน การนาเสนอขอ้ มูลในลกั ษณะตา่ งๆ และวธิ ีดูแลรักษา
อุปกรณ์เทคโนโลยสี ารสนเทศ

การจดั การเรียนการสอนรายวชิ าการการงานอาชีพเพ่อื เสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหา
อยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพ ไดก้ าหนดวธิ ีการ จดั การเรียนการสอนโดยการบรรยาย การศึกษาคน้ ควา้
การปฏิบตั ิกิจกรรมรายบุคคลและกลุ่ม การนาเสนอผล การศึกษาคน้ ควา้ การจดั กิจกรรมกบั นกั เรียนช้นั
มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม โดยผลการประเมินการเรียนรู้ในปี การศึกษา 2564 เทอม 1 และปี
การศึกษา 2564 เทอม 2 พบวา่ ระดบั คะแนนของชิ้นงาน และการปฏิบตั ิกิจกรรมมีการแปรผนั ไปตาม
พฤติกรรมการเรียนรู้ของนกั นกั เรียนในแตล่ ะสปั ดาห์ซ่ึงมีลกั ษณะไมค่ งท่ีและไม่มีพฒั นาการอยา่ งตอ่ เนื่อง
แตเ่ ม่ือพจิ ารณาผลรวม ของการศึกษาแลว้ พบวา่ มีระดบั ผลสมั ฤทธ์ิค่อนขา้ งสูง อนั เป็นเหตุใหค้ ุณครูผสู้ อน
จาเป็นตอ้ งศึกษาและพฒั นา กระบวนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพฒั นาพฤติกรรมการเรียนรู้ใหม้ ี
พฒั นาการอยา่ งต่อเนื่องและมีพฤติกรรม การเรียนรู้ที่มีลกั ษณะคงทน โดยใชก้ ระบวนการกากบั ตนเองใน
การเรียนรู้ตามผลการวจิ ยั เก่ียวกบั การกากบั ตนเองที่พบวา่ ส่งผลใหผ้ ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนรู้สูงข้ึนและเป็น
พฤติกรรมการเรียนรู้ที่คงทนตลอดไป

อีกท้งั ผวู้ จิ ยั เห็นความสาคญั ของรายวชิ าดงั กล่าว ที่มีจุดมุ่งหมายใหน้ กั เรียนมีความรู้ความเขา้ ใจ
เก่ียวกบั ความหมายและความสาคญั ของความคิดสร้างสรรค์ พฒั นาการทางความคิดสร้างสรรคข์ องนกั เรียน
ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม กิจกรรมที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ความรู้รอบตวั ใน
การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ รวมท้งั เห็น ความสาคญั ของความคิดสร้างสรรคส์ ามารถนาองคค์ วามรู้จาก
การเรียนไปพฒั นาความคิดสร้างสรรคข์ องตนเอง เพ่ือนาความรู้ความเขา้ ใจ และความสามารถของตนเองไป
ประยกุ ตใ์ ชไ้ ดต้ อ่ ไปในอนาคต ซ่ึงผลการวจิ ยั น้ีจะทาให้ ผสู้ อนนาไปปรับปรุงการจดั การเรียนการสอนและ
พฒั นารายวชิ าตอ่ ไปเพ่ือใหส้ ามารถจดั การเรียนการสอนอยา่ งมี ประสิทธิภาพและประสิทธิผลบรรลุตาม
วตั ถุประสงคข์ องรายวชิ าและหลกั สูตร ตลอดจนบรรลุตามกรอบ มาตรฐานคุณวุฒิระดบั มธั ยมศึกษา
แห่งชาติต่อไป

2. คาถามการวจิ ัย

1. รูปแบบการเรียนการสอนท่ีเสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงาน
อาชีพของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่5 โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม ควรมีองคป์ ระกอบและลกั ษณะอยา่ งไร

2. ผลการใชร้ ูปแบบการเรียนการสอนที่เสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์
ทางการงานอาชีพของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี5 โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม เป็นอยา่ งไร

3. วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย

1. เพ่ือศึกษาผลของการจดั กระบวนการจดั การเรียนรู้แบบกากบั ตนเองในการพฒั นาความสามารถใน
การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่5 โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม

2. เพอ่ื ศึกษาระดบั ทกั ษะการปฏิบตั ิงานที่สะทอ้ นความคิดความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคท์ างการงานอาชีพของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่5 โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม

3. เพอ่ื ศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาช้นั ปี ที่ 5 โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม ท่ี
ไดร้ ับการจดั กระบวนการจดั การเรียนรู้แบบกากบั ตนเอง

4. เพอื่ ศึกษาระดบั ความพึงพอใจต่อกระบวนการจดั การเรียนรู้แบบกากบั ตนเองในการพฒั นา
ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่5 โรงเรียน
พงั โคนวทิ ยาคม

4. สมมติฐาน

1. นกั เรียนในระดบั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสูง ปานกลาง และต่า ที่ไดร้ ับการจดั การเรียนรู้ดว้ ย
รูปแบบการเรียนการสอนท่ีเสริมสร้างความคิดสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพ มี
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสูงกวา่ นกั เรียนระดบั เดียวกนั ท่ีไดร้ ับการจดั การเรียนรู้ตามปกติ

2. นกั เรียนในระดบั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูง ปานกลาง และต่า ที่ไดร้ ับการจดั การเรียนรู้ดว้ ย
รูปแบบการเรียนการสอนท่ีเสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพ มี
ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคส์ ูงกวา่ นกั เรียนระดบั เดียวกนั ท่ีไดร้ ับการจดั การเรียนรู้
ตามปกติ

3. นกั เรียนในระดบั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสูง ปานกลาง และต่า ท่ีไดร้ ับการจดั การเรียนรู้ดว้ ย
รูปแบบการเรียนการสอนที่เสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพมี
ความคงทนในการเรียนรู้สูงกวา่ นกั เรียนระดบั เดียวกนั ที่ไดร้ ับการจดั การเรียนรู้ตามปกติ

5. ขอบเขตการวจิ ัย

การวจิ ยั ในคร้ังน้ีมุ่งพฒั นารูปแบบการเรียนการสอนท่ีเสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคท์ างการงานอาชีพของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี5 โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคมผวู้ จิ ยั ไดก้ าหนด
ขอบเขตการวจิ ยั ไวด้ ้งั น้ี

ระยะท1ี่ การศึกษาข้อมูลพืน้ ฐาน

กลุ่มเป้าหมาย ไดแ้ ก่ครูที่ปฏิบตั ิหนา้ ที่สอนวชิ าการงานอาชีพระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5
โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม ปี การศึกษา 2564 จานวน 3 คน

ตวั แปรท่ีศึกษา ไดแ้ ก่ความตอ้ งการจาเป็นในการพฒั นาการจดั การเรียนการสอน

ระยะเวลาท่ีใชใ้ นการวจิ ยั คือ ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2564

ระยะท่ี 2 การออกแบบและการพฒั นา

กลุ่มเป้าหมาย ไดแ้ ก่ครูที่ปฏิบตั ิหนา้ ที่สอนวชิ าการงานอาชีพระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5
โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม จานวน 3 คน และนกั เรียนท่ีครูกลุ่มศึกษานาร่องจดั การเรียนการสอนเอง จานวน
90 คน ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2564

ตวั แปรที่ศึกษา ไดแ้ ก่ ประสิทธิภาพรูปแบบการเรียนการสอน

ระยะเวลาท่ีใชใ้ นการวจิ ยั คือ ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2564

ระยะที่ 3 การทดลองใช้

ประชากรไดแ้ ก่ นกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม ปี การศึกษา
2564 จานวน 8 หอ้ งเรียน จานวน 240 คน

กลุ่มตวั อยา่ ง นกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม ปี การศึกษา 2564
จานวน 2 หอ้ งเรียน จานวนนกั เรียน 60 คน จากหอ้ งเรียนท่ีนกั เรียนคละความสามารถจาแนกเป็นกลุ่ม
ทดลองไดแ้ ก่นกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่5/1 จดั การเรียนการสอนดว้ ยรูปแบบการเรียนการสอนที่

เสริมสร้างความสามารถในการสร้างสรรคเ์ ก่ียวกบั ผา้ มดั ยอ้ มจากสีธรรมชาติ จานวน 30 คน และกลุ่ม
ควบคุม ไดแ้ ก่ นกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5/2 ที่ไดร้ ับการจดั การเรียนการสอนดว้ ยรูปแบบปกติ
จานวน 30 คน ซ่ึงไดม้ าโดยใชว้ ธิ ีสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random sampling)

ตวั แปรท่ีศึกษา ประกอบดว้ ย

1. ตวั แปรอิสระ มี 2 ตวั แปร ไดแ้ ก่ วธิ ีการจดั การเรียนการสอน และระดบั ผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรียน

1.1 วธิ ีการจดั การเรียนการสอน ไดแ้ ก่

1.1.1 การจดั การเรียนการสอนตามรูปแบบการเรียนการสอนเพื่อเสริมสร้างความคิด
สร้างสรรคท์ างดา้ นการงานอาชีพ เร่ืองผา้ มดั ยอ้ มจากสีธรรมชาติ 5 ข้นั (C4S MODEL)คือ ข้นั ท่ี 1 ข้นั
นาเสนอสถานการณ์ปัญหาปลายเปิ ด (Challenge: C) ข้นั ที่2 ข้นั สารวจและคน้ หาขอ้ มูลเพอื่ นามาตดั สินใจ
แกป้ ัญหา (Survey: S) ข้นั ที่3 ข้นั ออกแบบวธิ ีการแกป้ ัญหา (Solve: S) ข้นั ท่ี 4 ข้นั นาเสนอวธิ ีการแกป้ ัญหา
ต่อช้นั เรียนเพอ่ื แลกเปล่ียนเรียนรู้ (Share: S)และข้นั ที่5 ข้นั สรุปความคิดรวบยอด (Summarize: S)

1.1.2 การจดั การเรียนการสอนดว้ ยรูปแบบปกติประกอบดว้ ย 1)ข้นั นาเขา้ สู่บทเรียน 2)
ข้นั จดั กิจกรรมการเรียนรู้และ 3)ข้นั สรุปผล

1.2 ระดบั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ไดแ้ ก่ระดบั ระดบั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน สูง ปานกลาง
และต่า

2. ตวั แปรตาม มี3 ตวั แปร ไดแ้ ก่

2.1 ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียน

2.2 ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ ประกอบดว้ ย 5 ดา้ น ไดแ้ ก่

2.2.1 ความสามารถดา้ นความเขา้ ใจปัญหา

2.2.2 ความสามารถดา้ นการสืบคน้ ขอ้ มูล

2.2.3 ความสามารถดา้ นการน าเสนอวธิ ีในการแกป้ ัญหา

2.2.4 ความสามารถดา้ นการปฏิบตั ิ

2.2.5 ความสามารถดา้ นการประเมินผล

2.3 ความคงทนในการเรียนรู้

ระยะเวลาท่ีใชใ้ นการวจิ ยั คือ ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2564

ระยะท่ี4 การประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนการสอน

กลุ่มเป้าหมายไดแ้ ก่ครูที่เป็ นกลุ่มเป้าหมายในระยะที่2 จานวน 3คน

ตวั แปรที่ศึกษา ไดแ้ ก่ความคิดเห็นของครูผสู้ อนท่ีมีต่อการใชร้ ูปแบบการเรียน การสอน

ระยะเวลาที่ใชใ้ นการวจิ ยั คือ ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2561

6. นิยามศัพท์เฉพาะ

เพ่ือใหเ้ ขา้ ใจตรงกนั ผวู้ จิ ยั จึงนิยามความหมายและขอบเขตของศพั ทเ์ ฉพาะสาหรับการ วจิ ยั ในคร้ังน้ี
ดงั น้ี

6.1 การพฒั นารูปแบบการเรียนการสอน หมายถึง กระบวนการเพื่อจดั เตรียม โปรแกรมการสอน
อยา่ งเป็นระบบ โดยใชก้ ระบวนการวจิ ยั และพฒั นา ( Research and Development) ประกอบดว้ ย 4 ข้นั ตอน
คือ 1) การวจิ ยั (Research) เป็นการวเิ คราะห์ (Analysis) 2) การพฒั นา (Development) เป็นการออกแบบและ
พฒั นา (Design and Development) 3) การวจิ ยั (Research) เป็นการนาไปใช้ (Implementation) และ 4) การ
พฒั นา (Development) เป็นการ ประเมินผล (Evaluation)

6.2 รูปแบบการเรียนการสอนที่เสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ ง สร้างสรรคท์ าง
คณิตศาสตร์หมายถึง กระบวนการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ซ่ึงไดร้ ับการจดั ไว้ อยา่ งเป็นระบบ สัมพนั ธ์
และสอดคลอ้ งกบั ทฤษฎี หลกั การ แนวคิดของการจดั การเรียนรู้ท่ีเนน้ ผเู้ รียนสร้างความรู้ตามแนว
Constructivism การสอนคณิตศาสตร์ดว้ ยวธิ ีการแบบเปิ ด (Open Approach) และแนวคิดเกี่ยวกบั การสอน
แบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method) ท่ีสามารถช่วยใหน้ กั เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดมุง่ หมายของ
รูปแบบ มีองคป์ ระกอบ ด้งั น้ีคือ 1)ขอ้ ตกลงเบ้ืองตน้ 2) หลกั การ 3) จุดมุง่ หมาย 4)ข้นั ตอนการจดั การเรียนรู้
5) ระบบสงั คม 6) หลกั การตอบสนอง และ 7)ระบบสนบั สนุน โดยข้นั ตอนการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค5์
ข้นั ที่เรียกวา่ C4S Model ไดแ้ ก่

6.2.1 ข้นั ที่ 1 ข้นั นาเสนอสถานการณ์ปัญหาปลายเปิ ด (Challenge: C) เป็นข้นั ตอนที่ครูผสู้ อน
นา เสนอสถานการณ์ปัญหาปลายเปิ ดใหก้ บั ผเู้ รียนไดเ้ ผชิญปัญหา โดยที่ผสู้ อน ไม่ไดแ้ นะวธิ ีการแกป้ ัญหา
ใหก้ บั นกั เรียน ลกั ษณะของปัญหาอยใู่ นรูปของสถานการณ์ เช่น การเล่ม เกม ปัญหาน้นั ไม่สามารถหา
คาตอบไดใ้ นทนั ท่ีซ้ึงวธิ ีการแกป้ ัญหาน้นั จะข้ึนอยกู่ บั วตั ถุประสงคข์ องผสู้ อนวา่ จะกาหนดปัญหาใหผ้ เู้ รียน
แกไ้ ขสถานการณ์ท่ีกาหนดเป็นปัญหาปลายเปิ ดชนิดใด

6.2.2 ข้นั ท่ี 2 ข้นั สารวจและคน้ หาขอ้ มูลเพือ่ นามาตดั สินใจแกป้ ัญหา (Survey: S) เป็นข้นั ที่
นกั เรียนจะตอ้ งคน้ หาเหตุผลของขอ้ มูลเพ่ือตรวจสอบสมมติฐานที่ต้งั ไวซ้ ่ึง นกั เรียนอาจตอ้ งใชว้ ธิ ีการหลายๆ
วธิ ีรวมท้งั สอบถามจากผสู้ อนดว้ ยครูตอ้ งไม่ตอบปัญหาโดยการ บอกหรือบรรยายใหฟ้ ัง หากจาเป็นจะตอ้ ง
ตอบปัญหาโดยไม่มีทางเลี่ยงใหใ้ ชว้ ธิ ีการใหด้ ูหรือใชว้ ธิ ี รุกคาถาม เพื่อใหน้ กั เรียนไดใ้ ชค้ วามคิดของตนเอง
มากที่สุดเท่าท่ีจะทาได้

6.2.3ข้นั ที่3ขน้ ออกแบบวธิ ีการแกป้ ัญหา (Solve: S) เป็นข้นั ที่ผเู้ รียนหา วธิ ีที่หลากหลายเพ่ือ
นาไปสู่การแกป้ ัญหา โดยผเู้ รียนแต่ละคนเสนอแนวทางในการแกป้ ัญหาท่ี แตกตา่ งกนั ไปตามความสามารถ
และประสบการณ์เดิมของแต่ละบุคคล แลว้ นามาร่วมกนั อภิปราย ในกลุ่มยอ่ ย ถึงแนวทางการแกป้ ัญหาที่ได้
วา่ เหมาะสมกบั สถานการณ์หรือไมเ่ พยี งใด

6.2.4 ข้นั ท่ี 4 ข้นั นาเสนอวธิ ีการแกป้ ัญหาต่อช้นั เรียนเพื่อแลกเปลี่ยน เรียนรู้ (Share: S) หมายถึง
เม่ือนกั เรียนไดค้ าตอบพร้อมกบั เหตุผลแนวคิดและวธิ ีหาคาตอบกจ็ ะ นา เสนอหนา้ ช้นั เรียนเพ่ือใหเ้ พอ่ื น
ไดร้ ับทราบถึงวธิ ีการคิดของนกั เรียน หลงั จากน้นั ครูร่วมอภิปราย เพื่อพฒั นาไปเป็นปัญหาใหม่ เพ่ือนามา
พฒั นาต่อไป

6.2.5 ข้นั ที่ 5 ข้นั สรุปความคิดรวบยอด (Summarize: S) หมายถึง การท่ีครู และนกั เรียนเรียนรู้
ร่วมกนั เพ่ือหาขอ้ สรุปของบทเรียนที่มีความเหมือนและแตกต่างในการหา คาตอบของแตล่ ะกลุ่มเพอ่ื ที่จะ
สรุ ปเป็ นแนวคิดร่วมกนั

6.3 ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ หมายถึง ระดบั พฤติกรรมท่ีแสดงถึง การรับรู้การ
ทาความเขา้ ใจกบั ปัญหา และการคิดหาเหตุผลเพื่อแสวงหาทางเลือกมาปฏิบตั ิในการ แกป้ ัญหา ดว้ ยวธิ ีการ
ใหม่ที่ตา่ งจากสิ่งที่มีอยเู่ ดิม หลากหลายมากกวา่ หน่ึงวธิ ีหรือหน่ึงแนวคิด และ ทาการประเมิน ขอ้ คน้ พบ
สาหรับการแกป้ ัญหา สามารถแกป้ ัญหาไดส้ าเร็จ ประกอบดว้ ย 5 ดา้ น ดงั น้ี

6.3.1 ความสามารถในการทาความเขา้ ใจปัญหา หมายถึง ระดบั พฤติกรรมท่ีแสดง ถึงความ
สามารถในการใชค้ าถาม การอภิปราย และบอกส่ิงที่เป็นปัญหาในลกั ษณะแปลกใหมแ่ ละ อธิบาย สาเหตุ
ของปัญหามากกวา่ หน่ึงแนวคิด ซ่ึงเป็นความสามารถในการตระหนกั รู้ถึงสิ่งท่ีทาให้ เป็นปัญหา การ
รวบรวมขอ้ มูลจากขอ้ เทจ็ จริงหรือคน้ หาสาเหตุของปัญหาท่ีมีอยใู่ นสถานการณ์และ สามารถกาหนด หรือ
ระบุปัญหา

6.3.2 ความสามารถในการสืบคน้ ขอ้ มูล หมายถึง ระดบั พฤติกรรมท่ีแสดงถึงความ สามารถ ใน
การใชว้ ธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มูลไดม้ ากกวา่ หน่ึงอยา่ งในการเก็บรวบรวมหรือสืบคน้ ขอ้ มูล และการนาเสนอ
ผลการสืบคน้ ขอ้ มูลดว้ ยวธิ ีการและเหตุผลท่ีมากกวา่ หน่ึงแนวคิด

6.3.3 ความสามารถในการนาเสนอวธิ ีในการแกป้ ัญหา หมายถึง ระดบั พฤติกรรม ที่แสดงถึง
ความสามารถในการนาเสนอวธิ ีการในการแกป้ ัญหาที่เป็นของตนเอง มีความแปลกใหม่ และอธิบายข้นั
ตอนการแกป้ ัญหาไดต้ ามลาดบั ความสามารถในการพิจารณาหาแนวทางและคิดคน้ หาวธิ ีการ แกป้ ัญหาท่ี
เหมาะสมใหไ้ ดม้ ากมายหลาย ๆ วธิ ี

6.3.4 ความสามารถในการปฏิบตั ิ หมายถึง ระดบั พฤติกรรมความสามารถในการ ปฏิบตั ิ
กิจกรรมดว้ ยวธิ ีการท่ีหลากหลายมากกวา่ หน่ึงวธิ ีตามวธิ ีและข้นั ตอนท่ีวางไวเ้ ป็น ความสามารถในการ
ดาเนินการแกป้ ัญหานาความรู้หรือขอ้ มูลสร้างเป็นความรู้ใหม่

6.3.5 ความสามารถในการประเมินผล หมายถึง ระดบั พฤติกรรมท่ีแสดงถึง ความสามารถใน
การนาเสนอวธิ ีการในการแกป้ ัญหาท่ีเป็ นของตนเอง มีความแปลกใหมแ่ ละอธิบาย ขอ้ สรุปถึงการนาผล การ
ปฏิบตั ิมาปรับใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์มากกวา่ หน่ึงวธิ ีหรือหน่ึงแนวคิด ซ่ึงวดั ไดจ้ ากแบบทดสอบวดั
ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ ่ีผวู้ จิ ยั สร้างข้ึน

6.4 การจดั การเรียนการสอนตามปกติ หมายถึง เป็นการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนที่ เป็นไปตาม
ข้นั ตอนที่กาหนดไวใ้ นแผนการจดั การเรียนรู้ของครูผสู้ อนที่ใชต้ ามปกติ ประกอบดว้ ย ข้นั ตอน ดงั น้ี 1) ข้นั
นาเขา้ สู่บทเรียน 2) ข้นั จดั กิจกรรมการเรียนรู้และ 3) ข้นั สรุปผล

6.5 ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียน หมายถึง ผลของความรู้ความเขา้ ใจของนกั เรียน ซ่ึงเป็นผล มาจากการ
สะสมประสบการณ์จากการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนดว้ ยรูปแบบการเรียนการสอน ท่ีเสริมสร้าง
ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพและตามปกติ ท่ีไดจ้ าก การทดสอบดว้ ย
แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางเรียนที่ผวู้ ิจยั สร้างข้ึน

6.6 ความคงทนในการเรียนรู้หมายถึง ความสามารถที่จะระลึกหรือจาไดซ้ ่ึงความรู้ ความเขา้ ใจของ
นกั เรียนอนั เป็ นผลมาจากการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนดว้ ยรูปแบบการเรียน การสอนท่ีเสริมสร้าง
ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพและตามปกติท่ีไดจ้ ากการทดสอบดว้ ย
แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางเรียนหลงั สิ้นสุดการจดั การเรียนการสอน ไปแลว้ 2 สัปดาห์

6.7 ระดบั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ช่วงคะแนนท่ีไดจ้ ากการนาคะแนนรวม ของ
ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียน จากการทดสอบกลางภาคและปลายภาคดว้ ยแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการ
เรียนซ่ึงใชฉ้ บบั เดียวกนั ทุกห้อง ในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2564ของนกั เรียน แต่ละคน

7. ประโยชน์ทคี่ าดว่าจะได้รับ

7.1 ไดอ้ งคค์ วามรู้ในการจดั การเรียนการสอนเพ่ือเสริมสร้างความสามารถในการ แกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคท์ างการงานอาชีพ

7.2 เป็นแนวทางสาหรับครูในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ เพ่ือพฒั นารูปแบบการเรียน การสอนท่ี
เสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างคณิตศาสตร์ในเน้ือหา ระดบั ช้นั หรือ ช่วงช้นั
อ่ืน ๆ ต่อไป

7.3 สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 23 ไดแ้ นวทางในการพฒั นา ครูผสู้ อนใหม้ ีความรู้
ความสามารถในการจดั การเรียนการสอนเพอ่ื เสริมสร้างความสามารถในการ แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์
ทางการงานอาชีพ

บทที่ 2

เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กย่ี วข้อง

การพฒั นารูปแบบการเรียนการสอนเพ่ือเสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์
ทางการงานอาชีพ ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม ผวู้ ิจยั ไดศ้ ึกษาเอกสารและ
งานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ งดงั ต่อไปน้ี

1. การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเนน้ การแกป้ ัญหาตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ต์
(Constructivism)

2. การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเนน้ การแกป้ ัญหาตามแนวคิดการสอนการงานอาชีพดว้ ย
วธิ ีการแบบเปิ ด (Open Approach)

3. การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเนน้ การแกป้ ัญหาตามแนวคิดเกี่ยวกบั การสอนแบบสืบ
เสาะหาความรู้ (Inquiry Method)

4. แนวคิดเกี่ยวกบั การพฒั นารูปแบบการเรียนการสอน

5. แนวคิดเกี่ยวกบั รูปแบบการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์

6. การจดั การเรียนรู้ตามปกติ

7. ความคงทนในการเรียนรู้

8. งานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง

8.1 งานวจิ ยั ในประเทศ

8.2 งานวจิ ยั ต่างประเทศ

9. กรอบแนวคิดในการวจิ ยั

การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนทเ่ี น้นการแก้ปัญหาตามแนวคิดทฤษฎคี อนสตรัคติวสิ ต์(Constructivism)

ทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ต์ (Constructivism) เป็นปรัชญาการศึกษาท่ีต้งั อยบู่ นฐานความเชื่อท่ีวา่
นกั เรียนสามารถสร้างความรู้ไดด้ ว้ ยตนเอง ซ่ึงความรู้น้ีจะฝังติดอยกู่ บั คนสร้าง ดงั น้นั ความรู้ของแตล่ ะคน
เป็นความรู้เฉพาะตวั เป็นส่ิงท่ีตนสร้างข้ึนเองเท่าน้นั โดยนกั เรียนจะเป็ นผกู้ าหนดหรือมีส่วนร่วมในการ
กาหนดสิ่งท่ีจะเรียนและวธิ ีการเรียนของตนเอง และเป็นผูต้ ดั สินวา่ ตนเองจะไดเ้ รียนรู้อะไร เรียนรู้อยา่ งไร
และพฒั นาการเรียนรู้ของตนเองอยา่ งไร สามารถนาสิ่งท่ีเรียนรู้ไปใชใ้ นบริบทอ่ืนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม เรียนรู้

จากการปฏิบตั ิ มีอิสระในการคิดและทาส่ิงตา่ งๆ เก่ียวกบั เรื่องที่เรียนดว้ ยตนเอง และเรียนรู้บรรยากาศการ
เรียนที่มีการช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั ภายใตก้ ารอานวยความสะดวกของครู

1. ความหมายของแนวคิดทฤษฎคี อนสตรัคติสต์

เน่ืองจากยคุ ปัจจุบนั เป็นยคุ ท่ีขอ้ มูลขา่ วสารเปล่ียนแปลงอยา่ งรวดเร็วมีการปรับเปล่ียน กระบวน
ทศั นก์ ารเรียนรู้ใหม่ท่ีมุ่งเนน้ ใหผ้ เู้ รียนสร้างความรู้ดว้ ยตนเองผา่ นกระบวนการคิด จะเห็นไดว้ า่ สอดคลอ้ งกบั
ทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ต์ (Constructivism) หรือช่ือเรียกอ่ืน ๆ ท่ีแตกตา่ งกนั ไป ไดแ้ ก่ทฤษฎีสร้างสรรคค์ วามรู้
ทฤษฎีเสริมสร้างความรู้ทฤษฎีรังสรรคน์ ิยมในการศึกษาคร้ังน้ีเรียกวา่ “ทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ต”์

Von Glasersfeld (1991) กล่าวถึง คอนสตรัคติวสิ ต์ วา่ เป็นทฤษฎีของความรู้ที่มีรากฐานมาจาก
ปรัชญาจิตวทิ ยาและการศึกษาเกี่ยวกบั การสื่อความหมายและการควบคุมกระบวนการของการส่ือ
ความหมายในตวั คน ทฤษฎีของความรู้น้ีอา้ งถึงหลกั การ 2 ขอ้ คือ 1)ความรู้ไมไ่ ดเ้ กิดข้ึนจากการรับรู้เพียง
อยา่ งเดียวแต่เป็นการสร้างข้ึนโดยบุคคลท่ีมีความรู้ความเขา้ ใจ 2) หนา้ ที่ของการรับรู้คือการปรับตวั และการ
ประมวลประสบการณ์ท้งั หมด แต่ไม่ใช่เพ่ือการคน้ พบส่ิงท่ีเป็นจริง ซ่ึงถา้ นา หลกั การท้งั สองน้ีไปใชจ้ ะมี
ผลเกิดข้ึนมาแผก่ วา้ งไกลในการศึกษาพฒั นาการทางสติปัญญาและการเรียนรู้เช่นเดียวกนั กบั ในการฝึก
ปฏิบตั ิการสอนในจิตวทิ ยาบาบดั ในระหวา่ งการจดั การระหวา่ งบุคคล

Wheatley (1991) ใหค้ วามหมายทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ต์ วา่ มีหลกั การสาคญั 2ประการ คือ (1)
ความรู้ไม่ไดเ้ กิดจากการรับรู้แตม่ นุษยเ์ ป็นผสู้ ร้างความรู้ข้ึนดว้ ยตนเอง ดงั น้นั การสร้างความหมายจากส่ิงที่
รับรู้ของแตล่ ะคน จึงอาจแตกตา่ งกนั ได้ (2) การรับรู้คือ การปรับตวั และการใชป้ ระโยชน์จากการจดั ระบบ
ประสบการณ์ตา่ ง ๆ ที่ไดร้ ับดงั น้นั มนุษยส์ ามารถเรียนส่ิงตา่ งๆ โดยอาศยั ประสบการณ์กบั ส่ิงเหล่าน้นั

Bell (1993) มีทรรศนะเก่ียวกบั การเรียนรู้ตามแนว Constructivism วา่ การเรียนรู้ไม่ใช่การเติม
สมองทีวา่ งเปล่าของผูเ้ รียนใหเ้ ตม็ หรือไม่ใช่การไดม้ าซ่ึงความคิดใหม่ๆ ของผูเ้ รียนแต่เป็น การพฒั นาหรือ
เปล่ียนความคิดท่ีมีอยแู่ ลว้ ของผเู้ รียนการเรียนรู้เป็นการแปลงมโนมติท่ีเป็ นการ สร้างและการยอมรับ
ความคิดใหม่ๆ หรือเป็ นการจดั โครงสร้างของความคิดท่ีมีอยแู่ ลว้ ใหม่ ซ่ึงจะตระหนกั วา่ นกั เรียนเป็นผสู้ ร้าง
ความคิดมากกวา่ ดูดซึมความคิดใหม่ๆ และผเู้ รียนเป็ นผสู้ ร้างความสามารถจากประสบการณ์ดว้ ยตนเอง

Cobb (1994) กล่าววา่ การเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ตเ์ ป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีไม่
หยดุ น่ิงกบั ท่ีในการสร้างการรวบรวมและการตกแต่งความรู้ผเู้ รียนมีโครงสร้างความรู้ที่ ใชใ้ นการ
ตีความหมายและททานายเหตุการณ์ต่าง ๆ รอบตวั เขาโครงสร้างความรู้ของผเู้ รียนอาจแปลก และแตกต่าง
กนั จากโครงสร้างความรู้ของผเู้ ช่ียวชาญ นอกจากน้ีCobb ยงั กล่าวถึงทรรศนะเชิงวฒั นธรรมสงั คมของคอน
สตรัคติวสิ ต์ วา่ การเรียนรู้เป็ นกระบวนการทางสงั คมและเป็นการร่วมมือกนั ระหวา่ งผูส้ อนและผเู้ รียน
นอกจากน้ีผใู้ หญ่ที่อยรู่ อบตวั ผเู้ รียน ภาษาและวฒั นธรรมเป็นปัจจยั สาคญั อยา่ งมากตอ่ กระบวนการเรียนรู้
ของผเู้ รียน

Willson (1996) กล่าววา่ คอนสตรัคติวสิ ต์ เป็ นทฤษฎีของความรู้ที่ใชอ้ ธิบายวา่ เรา

รู้ได้ อยา่ งไรและเรารู้อะไรบา้ ง คอนสตรัคติวสิ ต์ จึงเป็ นวธิ ีการคิดเกี่ยวกบั เรื่องของความรู้และการเรียนรู้

ทิศนาแขมมณี (2542) ไดใ้ หค้ วามหมายทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ต์ วา่ เป็นแนวคิดท่ีบุคคลเรียนรู้
ดว้ ยวธิ ีการตา่ ง ๆ กนั โดยอาศยั ประสบการณ์เดิมตามโครงสร้างทางปัญญาที่มีอยคู่ วามสนใจและแรงจูงใจ
ภายในเป็นพ้ืนฐาน โดยมีแรงจูงใจจากความขดั แยง้ ทางปัญญาทาให้เกิดการไตร่ตรอง (refection) นาไปสู่
การสร้างโครงสร้างใหม่ทางปัญญา (Cognitive Restructuring) ท่ีไดร้ ับการตรวจสอบท้งั โดยตนเองและผอู้ ื่น
วา่ สามารถแกป้ ัญหาตา่ งๆ ซ่ึงอยใู่ นกรอบของโครงสร้างน้นั และ ใชเ้ ป็นเคร่ืองมือสาหรับการสร้างโครง
สร้างใหมอ่ ื่นๆ ต่อไป

สุมาลี ชยั เจริญ (2547) ทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ต์ เชื่อวา่ การเรียนรู้เป็นกระบวนการสร้างความรู้
มากกวา่ รับความรู้โดยที่ความรู้คือโครงสร้างทางปัญญาของบุคคลน้นั ๆ ท่ีสร้างจากประสบการณ์หรือการ
แกป้ ัญหาของตนและสามารถที่จะนาไปแกป้ ัญหาหรือสถานการณ์อ่ืนๆ ไดด้ งั น้นั ในกระบวนการเรียนรู้
ผเู้ รียนจึงเป็นผสู้ ร้างความรู้โดยอาศยั ความรู้หรือประสบการณ์เดิม ครูมีหนา้ ท่ีในการจดั สิ่งแวดลอ้ มเพื่อให้
ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้หรือเกิดการขยายโครงสร้างทางปัญญากระบวนการเรียนการสอนในแนวคอนสตรัคติ
วสิ ตจ์ ึงมกั เป็น ลกั ษณะที่ผเู้ รียนสร้างความรู้จากการร่วมมือกนั แกป้ ัญหากระบวนการเรียนการสอนจะ
เร่ิมตน้ ดว้ ยปัญหาท่ีก่อให้เกิดความขดั แยง้ ทาง ปัญญา (Cognitive Conflict) นนั่ คือประสบการณ์และ
โครงสร้างทางปัญญาที่มีอยเู่ ดิม ไม่สามารถจดั การแกป้ ัญหาน้นั ไดล้ งตวั พอดีเหมือนปัญหาท่ีเคยแกม้ าแลว้
ตอ้ งมีการคิดคน้ เพมิ่ เติมท่ีเรียกวา่ “การปรับโครงสร้าง” หรือ “การสร้างโครงสร้างใหม”่ ทางปัญญา
(Cognitive Restructuring) โดยการจดั กิจกรรมให้ผเู้ รียนไดถ้ กเถียงปัญหาซกั คา้ นจนกระทงั่ หาเหตุผล หรือ
หลกั ฐานในเชิงประจกั ษม์ าขจดั ความขดั แยง้ ทางปัญญาภายในตนเองและระหวา่ งบุคคลได้

จากความหมายที่กล่าวมาสรุปไดว้ า่ การเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ต์ เป็นกระบวนการ
เรียนรู้ที่นกั เรียนแสวงหาความรู้และสร้างองคค์ วามรู้ดว้ ยตนเอง โดยอาศยั ประสบการณ์ความรู้เดิมเป็ น
พ้นื ฐานและเชื่อมโยงกบั ความรู้ใหม่ ดว้ ยการแสวงหาความรู้และสร้างองคค์ วามรู้จากบริบทและส่ิงแวดลอ้ ม
ท่ีอยเู่ รียนรู้จากการลงมือปฏิบตั ิจริงจากสถานการณ์จริงในชีวติ ประจาวนั ครูมีบทบาทเป็นเพยี งผอู้ านวย
ความสะดวกตา่ งๆ ใหก้ บั นกั เรียน

2. แนวคิดและหลกั การของทฤษฎคี อนสตรัคติวสิ ต์

Underhill (1991) ไดก้ ล่าวถึงขอ้ ตกลงเบ้ืองตน้ ของการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีคอน

สตรัคติวสิ ตไ์ วด้ งั น้ี

1. ความขดั แยง้ ทางปัญญา (Cognitive Conflict) และความอยากรู้อยากเห็น(Curiosity) เป็น
กลไกหลกั 2 ประการท่ีจูงใจใหน้ กั เรียนอยากเรียน

2. การมีปฏิสัมพนั ธ์กบั เพอื่ นเป็ นองคป์ ระกอบหลกั ในการสร้างความขดั แยง้ ทางปัญญา

3. ความขดั แยง้ ทางปัญญาก่อใหเ้ กิดกิจกรรมการไตร่ตรอง (Reflective Activity)

4. การไตร่ตรองเป็นองคป์ ระกอบหลกั ซ่ึงกระตุน้ ใหเ้ กิดโครงสร้างใหมท่ างปัญญา(Cognitive
Restructuring)

5. ขอ้ 1, 2, 3, และ 4 เป็นวงจร

6. วงจรขา้ งตน้ น้ีเกิดข้ึนเสมอในประสบการณ์ของนกั เรียน

7. วงจรน้ีใหอ้ านาจแก่นกั เรียนในการควบคุมการเรียนรู้ของตนเอง

ทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ต์ เป็ นทฤษฎีที่เนน้ ในเร่ืองการสร้างความรู้ใหมโ่ ดยเช่ือวา่ ผเู้ รียน มีความรู้
เดิมอยแู่ ลว้ การเรียนรู้เป็นกระบวรการท่ีเกิดข้ึนภายในของผเู้ รียนโดยมีผเู้ รียนเป็นผสู้ ร้างความรู้ความ
สมั พนั ธ์ระหวา่ งส่ิงพบเห็นกบั ความรู้ความเขา้ ใจเดิมท่ีมีมาก่อน โดยพยายามนาความเขา้ ใจเกี่ยวกบั
เหตุการณ์และปรากฏการณ์ที่ตนพบเห็นมาสร้างเป็ นโครงสร้างทางปัญญา(Cognitive Structure) โครงสร้าง
ทางปัญญาน้ีจะประกอบดว้ ย ความหมายของสิ่งต่าง ๆ ที่ใชภ้ าษาหรือเก่ียวกบั เหตุการณ์หรือสิ่งที่แต่ละ
บุคคลมีประสบการณ์หรือเหตุการณ์อาจเป็ นความเขา้ ใจหรือความรู้ของแตล่ ะบุคคล ผูส้ อนไม่สามารถ
ปรับเปล่ียนโครงสร้างปัญญาใหก้ บั ผเู้ รียนไดแ้ ต่ผสู้ อนสามารถช่วยใหผ้ เู้ รียนปรับเปล่ียนโครงสร้างทาง
ปัญญาไดโ้ ดยจดั สภาพการณ์ทาใหเ้ กิดภาวะไม่สมดุลข้ึนคือภาวะที่โครงสร้างทางปัญญาเดิมใชไ้ ม่ไดต้ อ้ งมี
การดูดซึมเขา้ สู่โครงสร้างทางปัญญา(Assimilation) หรือการปรับโครงสร้างทางปัญญา (Accommodation)
ซ่ึงเป็นความสามารถในการปรับโครงสร้างทางปัญญาใหเ้ ขา้ กบั สิ่งแวดลอ้ มโดยการเชื่อมโยงระหวา่ ง
ความรู้เดิมและสิ่งที่ตอ้ ง เรียนเขา้ ดว้ ยกนั ทา ใหเ้ กิดความรู้น้นั เองซ่ึงทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ตเ์ ป็ นทฤษฎีที่มี
รากฐานมาจากทฤษฎีพฒั นาการทางสติปัญญาของเพยี เจต์ (Piaget) เรียกวา่ Cognitive Constructivist และวี
กอ๊ ตสก้ี(Vygotsky) ซ่ึง เนน้ บริบททางสังคมที่เรียกวา่ Social Constructivist (สุมาลี ชยั เจริ ญ, 2545) มี
รายละเอียดดงั น้ี

1) Cognitive Constructivism ซ่ึงมีแนวคิดมาจาก Piaget “คือผเู้ รียนเป็นผสู้ ร้างความรู้โดยการลง
มือกระทา” Piaget เชื่อวา่ ถา้ ผูเ้ รียนถูกกระตุน้ ดว้ ยปัญหาที่ก่อใหเ้ กิดความขดั แยงทางปัญญา (Cognitive
Conflict) หรือเกิดการเสียสมดุลทางปัญญา (Disequilibrium) ผเู้ รียนตอ้ งพยายามปรับปรุงโครงสร้างทาง
ปัญญา (Cognitive Structuring) ใหเ้ ขา้ สู่สภาวะสมดุล (Equilibrium)โดยวธิ ีการดูดซึมความรู้ (Assimilation)
โดยรับขอ้ มูลใหมจ่ ากส่ิงแวดลอ้ มเขา้ ไปไวใ้ นโครงสร้างทางปัญญาเขา้ สู่สภาวะสมดุล หรือสามารถที่จะ
สร้างความรู้ใหม่ข้ึนมาไดห้ รือเกิดการเรียนรู้นน่ั เอง

2) Social Constructivist เป็นทฤษฎีรากฐานมาจาก Vygotsky ซ่ึงมีแนวคิดที่สาคญั ที่วา่
“ปฏิสัมพนั ธ์ทางสังคมมีบทบาทสาคญั ในการพฒั นาดา้ นพุทธิปัญญา” รวมท้งั แนวคิด เก่ียวกบั “Zone of

Proximal Development” ถา้ ผเู้ รียนอยตู่ ่ากวา่ Zone of Proximal Development กจ็ าเป็นที่จะตอ้ งไดร้ ับการ
ช่วยเหลือในการเรียนรู้ที่เรียกวา่ Scaffolding Vygotsky เชื่อวา่ ผเู้ รียนสร้างความรู้โดยผา่ นการปฏิสัมพนั ธ์
ทางสังคมกบั ผอู้ ่ืน ไดแ้ ก่ เดก็ ผใู้ หญพ่ อ่ แม่ครูและเพ่ือน ในขณะท่ีเดก็ อยใู่ นบริบทของสังคมและวฒั นธรรม
(Social Cultural Context) จากแนวคิดขา้ งตน้ พบวา่ หลกั การของ Social Constructivism เนน้ การพฒั นา
ความสามารถในการเรียนรู้ของผเู้ รียนโดยจดั ใหผ้ เู้ รียนไดร้ ับคาช้ีแนะและเสนอแนวทางในการ แกป้ ัญหา
นอกจากน้ีการทา งานร่วมกบั ผอู้ ่ืนท่ีมีความรู้ความชานาญเกี่ยวกบั เรื่องน้นั จะส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนเกิดการ
เรียนรู้ดงั น้นั ในการจดั การเรียนการสอนตามแนวคอนสตรัคติวสิ ต์ นกั การศึกษาจึงไดน้ าฐานการช่วยเหลือ
(Scaffolding) ซ่ึงมาจากแนวคิดท่ีเกี่ยวกบั ช่วงของพฒั นาการท่ีเรียกวา่ Zone of Proximal Development ถา้
ผเู้ รียนต่ากวา่ Zone of Proximal Development จาเป็นที่จะตอ้ งไดร้ ับการช่วยเหลือในการเรียนรู้และการ
เรียนรู้แบบร่วมมือกนั แกป้ ัญหา (Collaborative Learning) ซ่ึงมาจากแนวคิดท่ีเกี่ยวกบั บริบททางภาษา สงั คม
และวฒั นธรรมช่วยส่งเสริมการสร้างความรู้แก่ผเู้ รียน ดงั น้นั จะพบวา่ การเรียนรู้ท้งั สองทฤษฎีมีความแตก
ตา่ งกนั คือ Piaget อธิบายถึงการเรียนรู้ที่เกิดข้ึนภายในตวั ของบุคคล เม่ือมีปฏิสมั พนั ธ์กบั บุคคลหรือส่ิงแวด
ลอ้ มแลว้ บุคคลน้นั จะเกิดการเรียนรู้ส่วน Vygotsky อธิบายวา่ การเรียนรู้เกิดจากการมีปฏิสมั พนั ธ์ทางสังคม
โดยอาศยั ส่ือกลางทางวฒั นธรรมท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึนการช่วยเหลือดว้ ยการช้ีแนะและการทางานร่วมกบั ผูอ้ ่ืนจะ
ส่งเสริมใหเ้ กิดการเรียนรู้

3. การจัดการเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวสิ ต์

Brooks (1993)ไดก้ ล่าววา่ ทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ตน์ ้นั มิใช่ทฤษฎีการสอนแตเ่ ป็นทฤษฎีการ
เรียนรู้(Knowledge and Learning) โดยมีพ้ืนฐานมาจากจิตวทิ ยากลุ่ม Cognitive Psychology ปรัชญาและ
มานุษยวทิ ยาทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ตไ์ ดใ้ หค้ วามหมายของคาวา่ ความรู้(Knowledge) คือ สื่อกลางในการ
พฒั นาทางดา้ นสังคมและวฒั นธรรมดงั น้นั การเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ตจ์ ึงเป็ นกระบวนการแก้
ปัญหาซ่ึงทาใหน้ กั เรียนเกิดประสบการณ์ท่ีเป็น รูปธรรมแมว้ า่ ทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ตจ์ ะไมใ่ ช่ทฤษฎี
เก่ียวกบั การสอนแต่กเ็ ป็นทฤษฎีท่ีเป็นพ้ืนฐาน ในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนสภาครูวทิ ยาศาสตร์
แห่งชาติและสภาวจิ ยั แห่งชาติ(National Council for Teachers of Mathematics and National Research
Council) ไดส้ นบั สนุนใหย้ ดึ นกั เรียนเป็นศูนยก์ ลางในการจดั ประสบการณ์เรียนรู้และนาแนวคิดทฤษฎีคอน
สตรัคติวสิ ตม์ าใชใ้ นการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ซ่ึงเป็ นวธิ ีที่จะช่วยพฒั นาความคิดรวบยอดและช่วยให้
นกั เรียนสามารถแยกแยะปัญหาได้ วธิ ีการสอนแบบน้ีมิไดเ้ นน้ วธิ ีการทอ่ งจา เพ่อื นา ไปหาคาตอบที่ถูกตอ้ ง
แต่เป็นวธิ ีที่ใหน้ กั เรียนไดท้ ดลองสืบสวนสอบสวนต้งั คาถามและต้งั สมมติฐาน

สุนทร สุนนั ชยั (2540) ไดเ้ สนอแนะการนาแนวคิด ทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ตม์ าใชใ้ นการจดั การ
เรียนการสอนดงั น้ี 1) ตอ้ งจดั สิ่งแวดลอ้ มในการเรียนรู้ใหม้ ีทางเลือกลดความกดดนั และส่งเสริมใหม้ ี
ความคิดริเร่ิม 2)จดั บริบทการเรียนรู้ซ่ึงสนบั สนุนความเป็ นอิสระของนกั เรียนในขณะเดียวกนั ครูตอ้ งทา
หนา้ ท่ีเป็นผสู้ นบั สนุนที่ดีเพือ่ พฒั นาเด็กซ่ึงอยรู่ ะหวา่ งการเปลี่ยนจากการพ่ึงพาผูอ้ ื่นมาเป็นพ่งึ พาตนเองให้

สามารถกา้ วหนา้ ข้ึนมาได้ สิ่งแวดลอ้ มในขอ้ น้ียงั หมายรวมถึงเพอ่ื นๆของเด็กซ่ึงจากการทางานดว้ ยกนั ไดด้ ี
มีความเก้ือกลู สนบั สนุนซ่ึงกนั และกนั ยอ่ มเป็นปัจจยั ใหเ้ ดก็ ได้ พฒั นาการเรียนรู้ไดด้ ีดว้ ย 3) เด็กมีโอกาสที่
จะใชค้ วามรู้ท่ีเรียนในบริบทท่ีเหมาะสมเพอ่ื ใหเ้ ด็กไดเ้ ห็นความ เช่ือมโยงระหวา่ งส่ิงที่เรียนรู้กบั โลกท่ีเป็น
จริงภายนอก 4) สนบั สนุนใหเ้ กิดการเรียนรู้ดว้ ยตนเองโดยการสอนใหม้ ีเจตคติที่เหมาะสมในการ แสวงหา
และสร้างความรู้และ 5) เสริมสร้างศกั ยภาพของนกั เรียนใหพ้ ร้อมท่ีจะเรียนรู้รวมท้งั การยอมรับความ
ผดิ พลาดเป็นเรื่องธรรมดาซ่ึงจะช่วยใหแ้ สวงหาส่ิงท่ีดีกวา่ และถูกตอ้ งต่อไป

จึงสรุปไดว้ า่ การจดั การเรียนการสอนตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ต์ ควรเปิ ดโอกาสให้
เด็กไดอ้ ยใู่ นโลกประสบการณ์มีโอกาสผดิ พลาดมีโอกาสแกต้ วั และการเรียนรู้จากการผดิ พลาดน้นั โดยสรุป
คือไม่ควรสอนใหเ้ ด็กทอ่ งจา เน้ือหา แตใ่ ห้รู้จกั คิดและฝึกทกั ษะโดยผา่ นประสบการณ์ต่าง ๆ การเรียนการ
สอนคณิตศาสตร์ควรเป็ นการสอนท่ีใหผ้ เู้ รียนไดล้ งมือกระทาและฝึกคิดดว้ ยตนเองเป็ นสาคญั ครูผสู้ อนจะ
เป็นผจู้ ดั กิจกรรมใหน้ กั เรียนไดศ้ ึกษามากกวา่ จะเป็นผบู้ อกใหน้ กั เรียนจาท้งั น้ีตอ้ งคานึงถึงวฒุ ิภาวะ
ประสบการณ์เดิมส่ิงแวดลอ้ มและขนบธรรมเนียมประเพณีตา่ ง ๆ ท่ีนกั เรียนไดร้ ับมาก่อนเขา้ สู่หอ้ งเรียนการ
เรียนรู้ของนกั เรียนจะเกิดข้ึนระหวา่ งที่นกั เรียนไดม้ ีส่วนร่วมโดยตรงในกิจกรรมการเรียนเหล่าน้นั
นอกจากน้ีเมื่อนกั เรียนผา่ นกิจกรรมไปแลว้ จะเกิด ทกั ษะในการตดั สินแกป้ ัญหาดว้ ยวธิ ีการท่ีเหมาะสมมี
ความคิดวพิ ากษว์ จิ ารณ์อยา่ งมีเหตุผลรวมท้งั มีความสามารถส่ือสารกบั ผอู้ ื่นไดด้ ีท้งั น้ีการจดั กิจกรรมการ
เรียนการสอนแบบน้ีจะตอ้ งคานึงถึงพฒั นาการในวยั ตา่ ง ๆ ของเดก็ อีกดว้ ย

4. บทบาทครูตามแนวคิดทฤษฎคี อนสตรัคติวสิ ต์

J.G.Brooks, & M.G.Brooks (1993) ไดก้ ล่าววา่ บทบาทของครูตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติ
วสิ ตน์ ้นั ควรยดึ หลกั ในการสอน 12 ประการดงั น้ี

1. ครูตอ้ งยอมรับความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลของนกั เรียนและใชค้ าถามกระตุน้ ใหน้ กั เรียนใช้
กระบวนการแกป้ ัญหาเพื่อเกิดการเรียนรู้และช่วยใหน้ กั เรียนไดค้ ิดแกป้ ัญหา

2. ครูตอ้ งใชข้ อ้ มูลวตั ถุดิบที่อยรู่ อบๆ ตวั นกั เรียนมาใชใ้ หเ้ ป็นประโยชน์เพ่ือส่งเสริม และกระตุน้ ให้
นกั เรียนไดเ้ รียนรู้

3. เม่ือจะมอบหมายใหน้ กั เรียนทาครูจะตอ้ งใชค้ าพดู ที่ทาใหน้ กั เรียนไดเ้ กิดความคิด และสติปัญญา
เช่น จาแนก วเิ คราะห์ ทานายและสร้างสรรค์

4. ครูตอ้ งใหโ้ อกาสนกั เรียนไดแ้ สดงความคิดเห็นความรู้สึกนึกคิดที่มีตอ่ บทเรียนวธิ ีการเรียนรู้และ
บทเรียน

5. ครูจะตอ้ งพยายามทาความเขา้ ใจความคิดรวบยอดของนกั เรียนก่อนที่จะร่วมแสดงความคิดเห็น
ของครูเอง

6. ครูจะตอ้ งใหน้ กั เรียนไดม้ ีโอกาสสนทนาเพ่ือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกบั เพ่ือนร่วมช้นั และกบั ครู

7. ครูจะตอ้ งกระตุน้ ใหน้ กั เรียนไดเ้ กิดการเรียนรู้โดยครูใชค้ าถามท่ีสมเหตุสมผลใชค้ าถาม
ปลายเปิ ดและส่งเสริมใหน้ กั เรียนไดใ้ ชค้ าถามกบั เพอื่ นนกั เรียนดว้ ยกนั

8. ครูจะตอ้ งใหน้ กั เรียนไดพ้ ยายามแกไ้ ขขอ้ ผดิ พลาดของตนเอง

9. ครูจะตอ้ งใหค้ วามสนใจประสบการณ์เดิมของนกั เรียนเพ่ือใหน้ กั เรียนไดน้ ามาใชใ้ หเ้ กิด
ประโยชน์ในการต้งั สมมติฐานเพอื่ หาวธิ ีตรวจสอบและกระตุน้ ใหน้ กั เรียนไดร้ ่วมกนั อภิปราย

10. ครูจะตอ้ งใหเ้ วลากบั นกั เรียนเพื่อรอคาตอบ

11. ครูจะตอ้ งใหเ้ วลากบั นกั เรียนเพ่ือหาความสมั พนั ธ์ระหวา่ ความรู้เดิมกบั ความรู้ใหมข่ องนกั เรียน

12. ครูจะตอ้ งตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของนกั เรียน

สุมาลี กาญจนชาตรี (2543) ไดก้ ล่าวถึงบทบาทของครูในการจดั การเรียนรู้ใหน้ กั เรียนสร้าง
ความรู้ดงั น้ี

1. สามารถรับรู้และวนิ ิจฉยั ความรู้เดิมของนกั เรียนไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว

2. เลือกยทุ ธวธิ ีการสอนท่ีช่วยแกแ้ นวคิดท่ีคลาดเคลื่อนของนกั เรียน

3. ใหค้ วามสนใจตอ่ กระบวนการคิดและการกากบั ตนเองของนกั เรียน

4. ส่งเสริมนกั เรียนในการนาแนวคิดท่ีเรียนไปแลว้ มาใชใ้ นบริบทต่างๆ

5. พิจารณาจุดมุ่งหมายในการเรียนของนกั เรียน ความแตกตา่ งระหวา่ ง จุดมุง่ หมายของการเรียน
และการสอน

6. พิจารณาบริบทในการเรียนรู้ของนกั เรียน

สรุปไดว้ า่ บทบาทของครู ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ตค์ ือ ครู จะตอ้ งเขา้ ใจธรรมชาติ
และหลกั การสอนตามทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ตโ์ ดยส่งเสริมและยอมรับความเป็ นอิสระในการคิด และ
ความคิดริเริ่มของนกั เรียน ส่งเสริมการลงมือปฏิบตั ิรวมท้งั จดั ใหม้ ีการแลกเปลี่ยนและปฏิสัมพนั ธ์กนั
ตลอดจนการนาแนวคิดท่ีเรียนไปแลว้ มาใชใ้ นบริบทต่างๆ และในสภาพจริง

5. บรรยากาศของห้องเรียนตามแนวคดิ ทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ต์

J.G.Brooks, & M.G.Brooks (1993) ไดก้ ล่าวถึงบรรยากาศในหอ้ งเรียนตามแนวคิดทฤษฎีคอน
สตรัคติวสิ ตด์ งั น้ี

1.การสอนเริ่มจากภาพรวมไปยงั รายละเอียดยอ่ ย ๆ โดยเนน้ ความคิดรวบยอด

2. ยดึ แนวทางท่ีจะใหน้ กั เรียนแสวงหาคาตอบจากคาถาม

3.กิจกรรมการเรียนการสอนเนน้ ที่ขอ้ มูลและสิ่งที่อยู่ รอบๆ ตวั นกั เรียน

4. นกั เรียนเปรียบเสมือนหน่ึงนกั คิดซ่ึงเป็ นคนคิดทฤษฎีดว้ ยตวั นกั เรียนเอง

5. ครูทาหนา้ ท่ีเป็นผกู้ ระตุน้ ส่งเสริมและจดั สภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสมใหก้ บั นกั เรียน

6. ครูทาหนา้ ท่ีคน้ หาความคิดของนกั เรียนเพือ่ จะไดเ้ ขา้ ใจความคิดรวบยอดของนกั เรียนเพือ่ น
นาไปใชป้ ระกอบการเรียน

7.การวดั ประเมินผลของนกั เรียนไมส่ ามารถแยกออกจากการสอนไดค้ รูใชว้ ธิ ีการ
สังเกตการณ์ทางานการจดั นิทรรศการและการเลือกชิ้นงานท่ีดีท่ีสุดของนกั เรียน

8. นกั เรียนส่วนใหญท่ างานเป็นกลุ่ม

สรุปไดว้ า่ บรรยากาศในการเรียนตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ตเ์ ป็นบรรยากาศในหอ้ งเรียนที่
ส่งเสริมใหน้ กั เรียนไดเ้ กิดการเรียนรู้ที่เนน้ ให้นกั เรียนไดค้ ิดคน้ และสร้างองคค์ วามรู้ดว้ ยตวั นกั เรียนเองรู้จกั
แสวงหาคาตอบจากคาถามเพ่ือคน้ หาความคิดรวบยอดโดยครูเป็นผทู้ าหนา้ ที่คอยกระตุน้ ส่งเสริมและจดั
สภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสมใหก้ บั นกั เรียนรวมท้งั การจดั การวดั และประเมินผลท่ีมีความหลากหลาย

6. รูปแบบการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนทเ่ี น้นการแก้ปัญหาตามแนวคิดทฤษฎคี อนสตรัคติวิสต์

Driver & Bell (1986) ท่ีเสนอแนะการจดั การเรียนรู้ที่เนน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั โดยผเู้ รียนสามารถ
สร้างองคค์ วามรู้ไดด้ ว้ ยตนเอง มีการกาหนดข้นั ตอนการจดั การเรียนรู้ไว5้ ข้นั ไดแ้ ก่

ข้นั ท่ี 1 ข้นั นา เป็นข้นั ท่ีผเู้ รียนไดร้ ับรู้จุดมุ่งหมายและมีแรงจูงใจในการเรียนรู้

ข้นั ท่ี2 ข้นั ทบทวนความรู้เดิม เป็นข้นั ท่ีผูเ้ รียนแสดงออกถึงความรู้ความเขา้ ใจเดิมในรูป
ของผงั มโนทศั น์

ข้นั ที่ 3 ข้นั ปรับเปล่ียนความคิด เป็นข้นั ท่ีสาคญั ท่ีมีการแลกเปล่ียนเรียนรู้ระหวา่ งกนั และ
กนั เกิดการสร้างความคิดใหมจ่ ากการสาธิตหรือการทดลอง

ข้นั ที่ 4 ข้นั นา ความคิดไปใชเ้ ป็นข้นั ท่ีผเู้ รียนนาความคิดใหมไ่ ปใชแ้ กป้ ัญหาในสถานการณ์
ใหมท่ ี่เกิดข้ึน

ข้นั ท่ี5 ข้นั ทบทวน เป็นข้นั เช่ือมโยงความรู้เดิมกบั ความรู้ใหมม่ ีการสร้างองคค์ วามรู้ไดด้ ว้ ย
ตนเอง

โดยเฉพาะข้นั ท่ี2และข้นั ที่5 เป็นข้นั ท่ีผูเ้ รียนสามารถพฒั นาการคิดวเิ คราะห์ไดเ้ ป็ นอยา่ งดี
กล่าวคือ ผเู้ รียนไดร้ ่วมกนั คิดวเิ คราะห์จากการรวบรวมขอ้ มูล จดั กระทาขอ้ มูล และส่ือความหมายขอ้ มูลใน
รูปของผงั มโนทศั น์

การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนทเี่ น้นการแก้ปัญหาตามแนวคิดการสอนการงานอาชีพด้วยวธิ ีการ

แบบเปิ ด (Open Approach)

ในการกล่าวถึงวธิ ีการแบบเปิ ดในงานวจิ ยั น้ีจากเป้าหมายของวธิ ีการแบบเปิ ด เพ่ือสนบั สนุน
ท้งั กิจกรรมเชิงสร้างสรรคโ์ ดยตวั นกั เรียนและการคิดสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพในระหวา่ งการแกป้ ัญหา
ท้งั กิจกรรมของนกั เรียนและการคิดทางคณิตศาสตร์ตอ้ งดาเนินไปใหถ้ ึงศกั ยภาพสูงสุดของนกั เรียน ดงั น้ี

Nohda (1983) กล่าววา่ วธิ ีการแบบเปิ ดท่ีเนน้ ปัญหาไมไ่ ดส้ ิ้นสุดที่คา ตอบเดียวและวธิ ีการเขา้ สู่
ปัญหาหน่ึงๆ ถือเป็นแง่มุมท่ีสาคญั ของวธิ ีการแบบเปิ ด ลกั ษณะของช้นั เรียนท่ีใชว้ ธิ ีการแบบเปิ ด คือ มีการ
อภิปรายเก่ียวกบั แนวคิดและแง่คิดท่ีหลากหลายของนกั เรียนและการ พฒั นาแนวคิดและแง่คิดท่ีหลากหลาย
ผา่ นประสบการณ์เพื่อใหน้ กั เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้การงานอาชีพในแนวทางที่ตอบสนองความสามารถ
ของนกั เรียนขยายต่อกิจกรรมทางการงานอาชีพเปิ ดโอกาส ใหน้ กั เรียนไดเ้ รียนรู้ไดส้ ูงสุดเตม็ ตามศกั ยภาพ
ความชดั เจนอยา่ งหน่ึงสาหรับการเรียน การงานอาชีพ นกั เรียนส่วนมากที่สามารถเรียนการงานอาชีพใน
ระดบั มธั ยมปลายไดด้ ว้ ยตวั เอง

การสอนโดยใชว้ ธิ ีการแบบเปิ ดยดึ หลกั การ 3 ประการ ดงั น้ี

(1) มีความสัมพนั ธ์กบั ความเป็นอิสระของกิจกรรมของนกั เรียน นนั่ คือ ตอ้ งตระหนกั ใน
คุณคา่ ของกิจกรรมของนกั เรียนโดยที่จะพยายามไม่เขา้ ไปสอดแทรกโดยไมจ่ าเป็ น

(2) มีความสัมพนั ธ์กบั ธรรมชาติของความรู้ทางการงานอาชีพท่ีมีลกั ษณะในเชิงววิ ฒั นา การ
และเชิงบูรณาการ เนื่องจากเน้ือหาการงานอาชีพเป็นสิ่งท่ีเป็นระบบและมีความเป็ นงานฝีมือเพราะฉะน้นั
ความรู้เร่ืองใดเรื่องหน่ึงที่มีความสาคญั มากเท่าใดก็ยง่ิ ทาใหเ้ กิดความรู้ ที่มี ลกั ษณะเชิงอุปมา มีความพเิ ศษ
และความเป็นลกั ษณะทวั่ ๆ ไปมากข้ึนเทา่ น้นั

(3) มีความสมั พนั ธ์กบั การตดั สินใจที่มีประโยชนข์ องครูในช้นั เรียนคณิตศาสตร์บ่อยคร้ัง
ที่ครูตอ้ งเผชิญกบั แนวคิดของนกั เรียนท่ีครูไมไ่ ดค้ าดการณ์ มาก่อน ครูตอ้ งมีบทบาท สาคญั ในการทาให้
แนวคิดเหล่าน้นั มีบทบาทอยา่ งเตม็ ที่ในช้นั เรียน พยายามวา่ ทาอยา่ งไรนกั เรียน คนอ่ืนจะสามารถเขา้ ใจได้
แทจ้ ริง และแนวคิดที่ไม่ไดค้ าดการณ์มาก่อนการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนทเ่ี น้นการแก้ปัญหาตาม

การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนทเ่ี น้นการแก้ปัญหาตามแนวคดิ เกยี่ วกบั การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้
(Inquiry Method)

1. ความหมายของการจัดการเรียนรู้ด้วยวธิ ีการสืบเสาะหาความรู้

คาวา่ Inquiry ไดม้ ีผูใ้ หค้ วามหมายและเรียกชื่อหลายแบบ เช่น การสืบสวน สอบสวน (วรี ยทุ ธ
วเิ ชียรโชติ, 2521) การสืบสอบ (สุวมิ ล วอ่ งวาณิช, 2536) การสืบเสาะหาความรู้ (พชั รี แพนลิ้นฟ้า, 2549)
กลวธิ ีสืบสอบ (สมจิต บุญคงเสน, 2549) ซ่ึงทุกช่ือมีความหมายเหมือนกนั เพราะมีหลกั การใหญเ่ หมือนกนั
คือเป็นการจดั การเรียนรู้ท่ีเนน้ การคิด การคน้ ควา้ คือ ต้งั ประเดน็ ปัญหาระบุประเดน็ ปัญหา อธิบายปัญหา
วเิ คราะห์กระบวนการ ต้งั สมมติฐาน รวบรวมขอ้ มูล ทดสอบสมมติฐาน การประเมินขอ้ มูล การนาไป
ประยกุ ตใ์ ช้ (สมจิต บุญคงเสน, 2549) กล่าววา่ การจดั การเรียนรู้จะดาเนินการข้นั ตอนใดก่อนก็ไดข้ ้ึนอยกู่ บั
วตั ถุประสงคแ์ ละข้นั ตอนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ สาหรับการวจิ ยั คร้ังน้ีผวู้ จิ ยั ใชค้ า วา่ “วธิ ีการสืบเสาะ
ความรู้” โดยมีผใู้ หค้ วามหมาย ของการจดั การเรียนรู้ดว้ ยวิธีสืบสอบไวม้ ากมาย ดงั น้ี

Good (1973) ไดใ้ หค้ าจากดั ความของการจดั การเรียนรู้ดว้ ยวธิ ีการสืบเสาะหาความรู้วา่ มี
ลกั ษณะเป็นแบบเดียวกบั การสอนโดยวธิ ีแกป้ ัญหา (Problem Solving Approach) โดยระบุลกั ษณะสาคญั คือ

1) เป็นการเรียนจากกิจกรรมท่ีจดั ข้ึน

2) ผเู้ รียนใชว้ ิธีการทางคหกรรมศาสตร์ในการทากิจกรรม

2. แนวทางการจัดการเรียนรู้ด้วยวธิ ีการสืบเสาะหาความรู้

การจดั การเรียนรู้ดว้ ยวธิ ีการสืบเสาะหาความรู้(Inquiry Method) เป็นกระบวนการจดั การ
เรียนรู้ ที่เนน้ ผเู้ รียนเป็ นเป็นสาคญั เกี่ยวขอ้ งกบั การต้งั คาถามหรือกาหนดสมมติฐานการคิดเชิง วพิ ากษด์ ว้ ย
เหตุและผล (Critical Thinking) และทาใหผ้ เู้ รียนเกิดความสามารถในการคิดแสวงหา คาตอบส่ิงที่สาคญั ที่จะ
นาไปสู่การคน้ พบ ก็คือการใชค้ าถามและการตอบคาถามในการดาเนิน กิจกรรมการเรียนการสอน

3. รูปแบบและข้นั นตอนของการจัดการเรียนรู้ด้วยวธิ ีการสืบเสาะหาความรู้

การจดั การเรียนรู้ดว้ ยวธิ ีการสืบเสาะหาความรู้ประกอบดว้ ยข้นั ตอนต่างๆ ท่ีส่งเสริมให้
ผเู้ รียนเกิดความสามารถในการคิด

แนวคิดเกย่ี วกบั การพฒั นารูปแบบการเรียนการสอน

1. ความหมายของรูปแบบการเรียนการสอน

มีนกั วชิ าการหลายท่านท่ีไดใ้ หค้ วามหมายของรูปแบบการเรียนการสอน ดงั น้ี

Anderson (1997) ไดใ้ หค้ วามหมายของรูปแบบการเรียนการสอนวา่ หมายถึง กระบวนการ
ออกแบบการเรียนรู้เรื่องใดเร่ืองหน่ึงเพื่อใหบ้ รรลุผล ประกอบดว้ ยหลกั การซ่ึงตอ้ ง ระบุแนวคิดทฤษฎี
พ้ืนฐาน วตั ถุประสงคแ์ ละขอ้ มูลอ่ืนๆ ท่ีสนบั สนุนใหก้ ารใชร้ ูปแบบการเรียนการ สอนประสบความสาเร็จ

2. องค์ประกอบของรูปแบบการเรียนการสอน

มีนกั การศึกษาหลายทา่ นไดอ้ ธิบายองคป์ ระกอบของรูปแบบการเรียนการสอน ดงั น้ี

Anderson (1997) อธิบายวา่ รูปแบบการเรียนการสอนประกอบดว้ ยหลกั การ โดยมีแนวคิดหรือ
ทฤษฎีพ้นื ฐาน วตั ถุประสงคเ์ น้ือหาและกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีสนบั สนุน ใหก้ ารใชร้ ูปแบบการเรียน
การสอนเกิดผลสมั ฤทธ์ิ

Joyce and Weil (2000) อธิบายวา่ รูปแบบการเรียนการสอนประกอบดว้ ยทฤษฎี หลกั การและ
มโนทศั น์ ของรูปแบบการเรียนการสอน ข้นั ตอนและกิจกรรมที่ใชใ้ นการเรียนการสอน และผลท่ีเกิดกบั
ผเู้ รียนหลงั การใชร้ ูปแบบการเรียนการสอนน้นั

3. แนวทางการพฒั นารูปแบบการเรียนการสอน

มีนกั การศึกษาไดแ้ นวทางการพฒั นารูปแบบการเรียนการสอน ดงั น้ี

Joyce and Weil (1986) อธิบายแนวทางการพฒั นารูปแบบการเรียนการสอนวา่ การพฒั นารูปแบบ
การเรียนการสอนจะตอ้ งมีทฤษฎีรองรับ เช่น ทฤษฎีดา้ นจิตวทิ ยาการเรียนรู้ และจะตอ้ งมีการศึกษาวจิ ยั
ตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการเรียนการสอนท่ีพฒั นาข้ึน

4. การพฒั นารูปแบบการเรียนการสอนจิตสาธารณะ

จากการศึกษาเอกสารและงานวิจยั ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั จิตสาธารณะ จิตตปัญญาศึกษา และทฤษฎีปัญญา
สงั คม ประมวลสรุป ดงั น้ี

1) ความเชื่อมโยงของแนวคิดจิตตปัญญาศึกษากบั ทฤษฎีปัญญาสงั คม แนวคิดจิตตปัญญาศึกษา
กบั ทฤษฎีปัญญาสงั คม มีความเก่ียวขอ้ งเชื่อมโยงกนั ในส่วนของการพฒั นาจิตสาธารณะ คือการเนน้ ความ
เช่ือมโยงระหวา่ งตวั ผเู้ รียนกบั สังคม โดยจิตตปัญญาศึกษาเนน้ การเรียนรู้ท่ีเป็นองคร์ วม เชื่อมโยงชีวติ กบั
ชุมชนและธรรมชาติ ให้เกิด จิตสานึกต่อส่วนรวม มีจิตเมตตาต่อเพื่อนมนุษยซ์ ่ึงแสดงออกมาโดย กิจกรรม
การทางาน

2) แนวคิดจิตตปัญญาศึกษาและทฤษฎีปัญญาสงั คมท่ีใชใ้ นการพฒั นารูปแบบ การเรียนการ
สอนจิตสาธารณะ

แนวคดิ เกยี่ วกบั รูปแบบการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์

1. ความหมายของการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์

การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ นบั เป็นลกั ษณะหน่ึงของการสร้างสรรคท์ ่ีเกิดจากความสามารถ
ในการแกป้ ัญหาไดม้ ีผใู้ หค้ วามหมายที่ตา่ งแนวคิดไว้ ดงั น้ี

Isaksen (1995) กล่าววา่ การแกป้ ัญหาหาเชิงสร้างสรรคเ์ ป็ นกรอบแนวคิด วธิ ีการที่ไดร้ ับการ
ออกแบบในการช่วยเหลือผแู้ กป้ ัญหาดว้ ยการใชค้ วามคิดสร้างสรรคใ์ นการนาไปสู่เป้าหมายดว้ ยความสาเร็จ
สามารถเอาชนะอุปสรรคและเป็ นการส่งเสริ มพฤติกรรมความคิดสร้างสรรค์

Mitchel and Kowalik (1999) ไดก้ ล่าววา่ การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคเ์ ป็ นวธิ ี การคิดและการ
แสดงพฤติกรรมอยา่ งหน่ึงท่ีประกอบดว้ ย

1. การสร้างสรรค(์ Creative) หมายถึง ความคิดท่ีประกอบดว้ ยลกั ษณะท่ีแปลก ใหมห่ รือ
ลกั ษณะเฉพาะ ซ่ึงผสู้ ร้างสรรคจ์ ะตอ้ งมีอยา่ งนอ้ ยหน่ึงชนิดในการหาคาตอบ

2. ปัญหา (Problem) หมายถึง สภาพการณ์ที่แสดงออกถึงความทา้ ทาย โอกาสหรือส่ิงที่ตอ้ งให้
ความสนใจ

3. การแกไ้ ข (Solving) หมายถึง วธิ ีการในการวางแผนท่ีจะตอบคาถาม ดาเนินการประชุมหรือ
ตดั สินใจกบั ปัญหา

จากแนวคิดดงั กล่าว สรุปไดว้ า่ การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคเ์ ป็นกระบวนการมุ่งหาคาตอบ
และแกป้ ัญหารวมถึงการพฒั นาสภาวะท่ีเป็นอยใู่ ห้ดีข้ึน โดยการทางานร่วมกนั ระหวา่ งการคิด สร้างสรรค์
และการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ การคิดสร้างสรรคท์ าไดโ้ ดยใหค้ ิดลึกและหลากหลายท่สี ุด ปราศจากการ
ตดั สินความคิดต่างๆ วา่ ดีหรือไมจ่ นถึงระยะหน่ึง จึงพิจารณาความคิดเหล่าน้นั ดว้ ยการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ
ในการเลือกและประเมินวธิ ีการแกป้ ัญหา จนไดว้ ธิ ีท่ีดีที่สุดในการแกป้ ัญหา วางแผนการแกป้ ัญหาและนาไป
แกป้ ัญหาหาโดยเช่ือมน่ั วา่ ตนเองสามารถ แกป้ ัญหาหาไดแ้ ละควบคุมตนเองไดเ้ พื่อที่จะไดแ้ กป้ ัญหา ดว้ ย
ความรอบคอบและสมบูรณ์ซ่ึงก่อใหเ้ กิดแนวคิดที่แปลกใหม่มีประโยชน์และมีคุณคา่

2. องค์ประกอบของความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์

ในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคผ์ ทู้ ี่จะแกป้ ัญหาไดใ้ นเบ้ืองตน้ จาเป็ นตอ้ งมีความสามารถ
ในการแกป้ ัญหา

2.1ความสามารถในการทาความเขา้ ใจปัญหา นกั เรียนรับรู้ปัญหาไดจ้ ากการอา่ นและการ
ฟัง นกั เรียนตอ้ งทาความเขา้ ใจปัญหา ซ่ึงตอ้ งอาศยั องคค์ วามรู้เก่ียวกบั ศพั ทบ์ ทนิยาม มโนมติและ ขอ้ เท็จจริง
ตา่ งๆ ที่เก่ียวขอ้ งกบั ปัญหา ซ่ึงแสดงถึงศกั ยภาพทางสมองของนกั เรียนในการราลึกถึงและความสามารถใน
การนาเช่ือมโยงกบั ปัญหาท่ีกาลงั เผชิญอยกู่ ารรู้จกั เลือกใชก้ ลวธิ ีมาช่วยในการทาความเขา้ ใจปัญหา

2.2 ทกั ษะในการแกป้ ัญหา เม่ือนกั เรียนไดฝ้ ึกคิดแกป้ ัญหาอยเู่ สมอ ทาใหไ้ ดพ้ บปัญหา
ตา่ งๆ หลายรูปแบบ มีประสบการณ์ในการเลือกใชย้ ทุ ธวธิ ีตา่ งๆ เพือ่ นาไปใชไ้ ดเ้ หมาะสมกบั ปัญหา สามารถ
นาปัญหาท่ีคุน้ เคยมาเทียบเคียงกบั ปัญหาใหม่ นกั เรียนท่ีมีทกั ษะในการแกป้ ัญหา จะสามารถ วางแผนเพอ่ื
กาหนดยทุ ธวธิ ีในการแกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งรวดเร็วและเหมาะสม

2.3 ความสามารถในการใหเ้ หตุผลในข้นั ตอนการลงมือปฏิบตั ิตามแผนที่วางไวใ้ นการ
แกป้ ัญหานกั เรียนตอ้ งมีการอธิบายใหเ้ หตุผล ซ่ึงถือวา่ เป็นปัจจยั สาคญั ในการแกป้ ัญหาอยา่ งหน่ึง

2.4 ความยดื หยนุ่ นกั แกป้ ัญหาท่ีดีอาจตอ้ งมีการยดื หยนุ่ ในความคิด ไม่ยดึ ติดในรูปแบบท่ี
ตนเองคุน้ เคย แต่จะยอมรับรูปแบบและวธิ ีการใหมๆ่ เสมอ

2.5 ความรู้พ้นื ฐาน ผแู้ ก้ ปัญหาตอ้ งมีความรู้พ้นื ฐานท่ีดีพอและสามารถนา ความรู้
พ้นื ฐานมาใชไ้ ด้ อยา่ งสอดคลอ้ งกบั สาระของปัญหาจึงจะทาใหแ้ กป้ ัญหาได้

2.6 ระดบั สติปัญญา นกั เรียนท่ีมีระดบั สติปัญญาสูง มีความสามารถในการแกป้ ัญหา ดีกวา่
นกั เรียนที่มีระดบั สติปัญญาต่า

2.7 วธิ ีสอนของครู กิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเนน้ ตวั นกั เรียน โดยเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียน
คิดอยา่ งอิสระ มีเหตุผล ยอ่ มจะส่งเสริมใหน้ กั เรียนมีความสามารถในการแกป้ ัญหาดีกวา่ กิจกรรมการเรียน
การสอนแบบที่ครูเป็ นผบู้ อกความรู้(Baroody, 1993; Krulik and Rudnick, 1993)

องคป์ ระกอบของการแกป้ ัญหาเป็นส่วนสาคญั ที่นกั เรียนตอ้ งไดร้ ับการส่งเสริมและ
พฒั นา เพื่อนาไปสู่ความสามารถในการแกป้ ัญหา ซ่ึงองคป์ ระกอบดงั กล่าวเกี่ยวขอ้ งกบั พฒั นาการและ
ความสามารถตามวยั การฝึกฝนใหน้ กั เรียนอยใู่ นสถานการณ์ท่ีใหเ้ ขาเกิดความอยากรู้อยากเห็นมีความทา้
ทาย กระตุน้ ใหน้ กั เรียนตอ้ งการคน้ ควา้ เรียนรู้และฝึกปฏิบตั ิ ตลอดจนครูจาเป็นตอ้ งมีบทบาทที่จะอานวย
ความสะดวก และสนบั สนุนใหน้ กั เรียนไดค้ ิดแกป้ ัญหาในสถานการณ์ท่ีหลากหลาย เพ่อื นาไปสู่ผลของการ
แกป้ ัญหาที่เป็ นส่ิงแปลกใหม่แตกตา่ งจากเดิมหลากหลาย และมีคุณคา่ เกิดประโยชน์

3. ข้นั ตอนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์

การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคไ์ ดม้ ีการวิจยั และพฒั นามากกวา่ 50 ปี เพื่อท่ีจะนามาพฒั นา
ความสามารถในการสร้างสรรคผ์ วู้ จิ ยั และผูพ้ ฒั นารูปแบบการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคจ์ ึงมีความ
หลากหลายและแตกต่างกนั ไปของกลุ่มบุคคล เช่น วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั โรงเรียนมธั ยม โรงเรียนประถม
กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่และเลก็ โดยพิจารณาจากบริบทขององคก์ รที่เกี่ยวกบั จิตวทิ ยา สังคมวทิ ยา ระดบั
การศึกษา โครงสร้างของการพฒั นาที่ต่างกนั การวจิ ยั คร้ังน้ีจึงขอเสนอเฉพาะรูปแบบการแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคท์ ่ีใชก้ นั อยา่ งกวา้ งขวางตามลาดบั ข้นั ของรูปแบบที่การพฒั นา

4. ประเภทของปัญหา

ในการจดั การเรียนเพื่อใหบ้ รรลุผลสู่การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคค์ รูมีบทบาทสาคญั ใน
การเลือกปัญหาใหม้ ีความเหมาะสมกบั นกั เรียน บริบท และสถานการณ์จริง ซ่ึงลกั ษณะของปัญหาท่ีสามารถ
นามาใชม้ ีลกั ษณะดงั น้ี(Baroody, 1993 ; Reys and others, 1992 ; Charies and others,1997)

1. แปลกใหม่ซ้า ซอ้ น นกั เรียนไมค่ ุน้ เคยมาก่อน

2. ดึงดูดความสนใจ ทา้ ทายความสามารถของนกั เรียน

3. เกี่ยวขอ้ งกบั ชีวิตจริงหรือมีความหมาย เหมาะกบั ระดบั ความสามารถของนกั เรียน

4. มีความเช่ือมโยงกบั บทเรียน สามารถหาคาตอบ หรืออธิบายวธิ ีหาคาตอบไดโ้ ดยใชค้ วามรู้
พ้นื ฐาน และเหมาะกบั ยทุ ธวธิ ีแกป้ ัญหาท่ีจะแนะนากบั นกั เรียนในบทเรียนน้นั ๆ

5. เป็นปัญหาปลายเปิ ด ซ่ึงเป็นปัญหาท่ีสร้างข้นั ใหม้ ีคาตอบเปิ ดกวา้ ง มีคาตอบหรือ แนวทาง
วธิ ีการหาคาตอบไดห้ ลายวธิ ี (Becker and Shimada, 1997; Handbook., 1995)

ประเภทของปัญหาดงั กล่าวนามาใชก้ าหนดปัญหาที่จะนาไปสู่การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์
ของนกั เรียน ควรพิจารณาจากปัญหาที่สอดคลอ้ งกบั สภาพท่ีเป็นจริงหรือประสบการณ์การเรียนรู้ในชีวติ จริง
(Provides authentic real-world learning experiences) บริบทของสภาพจริงประยกุ ตไ์ ปสู่ปัญหาในชีวติ จริง
(Real world problems) และเป็นปัญหาที่นกั เรียนมีประสบการณ์เดิม จะช่วยสร้างการเชื่อมโยงที่แขง็ แกร่ง
ยอ่ มส่งผลใหน้ กั เรียนเกิดแรงจูงใจในการแกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งหลากหลายวธิ ีและแปลกใหม่

5. การส่งเสริมการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์

ครูผสู้ อนเป็ นผมู้ ีบทบาทสาคญั ต่อการส่งเสริมการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ ี่ช่วยยวั่ ยใุ ห้
นกั เรียนคิด ตดั สินใจ สื่อสาร และทางานร่วมกนั เป็ นกลุ่มไดป้ ระสบผลสาเร็จ นอกจากน้ีการส่งเสริม การ
แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคจ์ าเป็นตอ้ งมีการจดั เตรียมสภาพแวดลอ้ ม สื่อและแหล่งเรียนรู้ที่ เหมาะสม เพ่ือให้
นกั เรียนไดค้ น้ หาคาตอบที่ถูกตอ้ ง สามารถจดจาความจริงไดก้ ารจดั สภาพแวดลอ้ ม เพื่อส่งเสริมการ
แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ ประกอบดว้ ยลกั ษณะดงั น้ี(Isaksen.1994)

1. จดั เตรียมสภาพแวดลอ้ มท่ีอิสระ เพื่อเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนสร้างงานใหม่โดยมี การติดตาม
และสนบั สนุนใหน้ กั เรียนไดป้ ระสบผลสาเร็จตามสถานการณ์และวธิ ีการใหเ้ ป็ นไปตาม ศกั ยภาพของ
นกั เรียนแตล่ ะคน สนบั สนุนใหน้ กั เรียนเรียนรู้ดว้ ยการคิดที่หลากหลาย โดยจดั เตรียม ขอ้ มูลและหอ้ งเรียน
ใหอ้ ยใู่ นสภาพบรรยากาศท่ีอิสระ ไมม่ ีขอ้ จากดั

2. จดั เตรียมสภาพแวดลอ้ มที่เปิ ดกวา้ งและปลอดภยั ที่จะช่วยสนบั สนุนและสร้างแรง เสริม
ความคิดนอกกรอบ โดยนกั เรียนสามารถสารวจ สร้างสรรคแ์ ละพฒั นาการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ

3. จดั เตรียมกิจกรรมที่เปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนไดป้ ฏิบตั ิอยา่ งหลากหลาย เลือกปฏิบตั ิ หรือทาตาม
ความถนดั ความสนใจท่ีแตกตา่ งกนั ไปในแต่ละบคุคล

4. สนบั สนุนการเรียนรู้และการนาไปใชข้ องทกั ษะการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ ี่ เหมาะสมท้งั
ในช้นั เรียนและกิจกรรมอื่น ๆ

5. สนบั สนุนใหม้ ีการจดั กิจกรรมที่นกั เรียนมีโอกาสเลือกและมีส่วนร่วมในการกาหนด
เป้าหมาย และข้นั ตอนที่ใชใ้ นการตดั สินใจ จะช่วยสร้างความรู้สึกของแตล่ ะบุคคลใหส้ ามารถกาหนด
ตนเองไดว้ า่ เขาจะทาอะไร และทาอยา่ งไรใหด้ ีท่ีสุด

6. จดั เตรียมเวลาใหเ้ หมาะสมกบั งานเพ่อื ใหส้ ามารถปฏิบตั ิไดส้ าเร็จ จดั เตรียมภาระ งานให้
เหมาะสมกบั เวลา เพ่ือใหป้ ฏิบตั ิไดต้ ามความจริง

7. จดั เตรียมสิ่งแวดลอ้ มใหอ้ ยใู่ นสภาพสบาย ไมม่ ีการลงโทษ มีการแนะนาสนทนา กบั
นกั เรียนใหเ้ กิดความมนั่ ใจในตนเอง มีการใหก้ าลงั ใจ ความห่วงใย แมม้ ีการทางานผดิ พลาด หรือลม้ เหลว

8. ใหอ้ ิสระและทางเลือกท่ีหลากหลายแก่นกั เรียนในการแกป้ ัญหาและสร้างงานดว้ ย วธิ ีการ
ใหม่ ๆ

9. สนบั สนุนใหม้ ีการทากิจกรรมเด่ียวและกิจกรรมกลุ่ม

10. ความยงุ่ ยากและความวนุ่ วายจะเกิดนอ้ ยท่ีสุด เมื่อมีการวางแผนท่ีชดั เจนในการกาหนด
เป้าหมาย และมีความยดื หยนุ่ ในบางคร้ัง

11. การสร้างสรรคจ์ ะเกิดข้ึนจากการเคารพที่มีต่อกนั และการยอมรับระหวา่ งบุคคล จึงควร
ใหน้ กั เรียนไดม้ ีการแลกเปล่ียนเรียนรู้และร่วมมือในการทากิจกรรม

12. สนบั สนุนใหม้ ีการสร้างความสัมพนั ธ์ระหวา่ งนกั เรียน มีการเอาใจใส่ ดูแลเปิ ดใจกวา้ ง
ยอมรับวธิ ีการแกป้ ัญหา แมม้ ีการขดั แยง้ บา้ งแตก่ ็จะทาใหเ้ กิดความคิดใหม่ข้ึนมา

การจัดการเรียนรู้ตามปกติ

รูปแบบการเรียนรู้ตามปกติ ในการวิจยั คร้ังน้ีเป็นการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเป็นไปตาม

ข้นั ตอนที่กาหนดไวใ้ นแผนการจดั การเรียนรู้ของครูผสู้ อนที่ใชต้ ามปกติ ประกอบดว้ ยข้นั ตอน ด้งั น้ี

1) ข้นั นา เขา้ สู่บทเรียน

2) ข้นั จดั กิจกรรมการเรียนรู้

3) ข้นั สรุปผล ซ่ึงในการวจิ ยั คร้ังน้ี จะหมายถึง การจดั การเรียนรู้ท่ีเนน้ นกั เรียนเป็ นสาคญั
โดยทวั่ ไป ยดึ หลกั การแนวคิด ทฤษฎีการสร้างความรู้ซ่ึงสรุปประเดน็ สาคญั ไดด้ ้งั น้ี

แนวการจดั การเรียนการสอนที่เน้นใหน้ กั เรียนสร้างความรู้ใหม่และส่ิงประดิษฐใ์ หม่โดยการ
ใชก้ ระบวนการทางปัญญา กระบวนการทางสงั คม และใหผ้ เู้ รียนมีปฏิสัมพนั ธ์และมีส่วนร่วมในการเรียน
สามารถนาความรู้ไปประยกุ ตใ์ ชไ้ ดโ้ ดยผสู้ อนมีบทบาทเป็นผอู้ านวยความสะดวก และจดั ประสบการณ์การ
เรียนรู้ใหน้ กั เรียนไดส้ อดคลอ้ งกบั ความสนใจ ความสามารถและความถนดั ของนกั เรียน โดยเป็ นกิจกรรมท่ี
ส่งเสริมกระบวนการคิด นกั เรียนไดฝ้ ึกวธิ ีคิดในหลายลกั ษณะ เช่น คิดคล่อง คิดหลากหลาย คิดละเอียด คิด
ชดั เจน คิดถูก ทางคิดกวา้ งคิดลึกซ่ึงคิดไกลคิดอยา่ งมีเหตุผล เป็นตน้ (ทิศนา แขมมณี และคณะ, 2543)
ลกั ษณะของการจดั การเรียนรู้ท่ีเนน้ นกั เรียนเป็ นสาคญั น้นั ควรจดั ตามความสนใจความสามารถ ต้งั แต่การ
ร่วมกาหนดวตั ถุประสงคเ์ น้ือหา กิจกรรมการเรียนรู้ส่ือ และการประเมินผลการเรียนรู้นกั เรียนไดล้ งมือทา
กิจกรรม ปฏิบตั ิ แกป้ ัญหาหรือศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง จากส่ือ เพอ่ื น และครู มีโอกาสฝึกทกั ษะต่าง ๆ

ความคงทนในการเรียนรู้

1. ความหมายของความคงทนในการเรียนรู้

ความคงทนในการเรียนรู้ เป็นการคงไวข้ องประสบการณ์หรือความรู้ท่ีไดร้ ับมาในช่วง
ระยะเวลาใดเวลาหน่ึงจากไดเ้ รียนรู้แลว้ ส่ิงที่ควบคู่กบั การเรียนรู้ของมนุษยค์ ือ ความจาเมื่อเกิด ความจาแลว้
จึงจะมีความคงทนในการจาของความรู้และประสบการณ์ที่ไดม้ า นกั วชิ าการและ นกั การศึกษาไดใ้ ห้
ความหมายของความคงทนในการเรียนรู้ไวใ้ กลเ้ คียงกนั หลายทา่ น ดงั น้ี

Adam (1967) ไดก้ ล่าวถึงความหมายของความคงทนในการเรียนรู้วา่ ความคงทนในการ
เรียนรู้(Retention) คือ การคงไวซ้ ่ึงผลการเรียนหรือความสามารถที่จะระลึกไดต้ อ่ สิ่งเร้าที่เคยเรียนหรือเคยมี
ประสบการณ์การรับรู้มาแลว้ หลงั จากท่ีไดท้ ิ้งระยะเวลาไวร้ ะยะหน่ึง ซ่ึงเป็นพฤติกรรมภายในที่เกิดข้ึน
ภายในจิตใจ เช่นเดียวกบั ความรู้สึก การรับรู้ความชอบและจินตนาการของมนุษย์

Gary (1983) กล่าววา่ ความคงทนในการเรียนรู้คือ กระบวนการจาท่ีบุคคล ไดร้ ับรู้และ
ศึกษาสิ่งหน่ึงส่ิงใดไปแลว้ สามารถจดจาสิ่งน้นั ไดไ้ มว่ า่ ระยะเวลาจะผา่ นไปนานเท่าไรก็ตาม ประสาท อิศร
ปรีชา (2531) กล่าววา่ ความคงทนในการเรียนรู้หมายถึง การรักษาไวซ้ ่ึงผลท่ีเกิดจากการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมหรือการเรียนรู้ใหค้ งอยตู่ ่อไป

ชยั พร วชิ ชาวธุ (2541) กล่าววา่ ความคงทนในการเรียนรู้คือ ความคงไวซ้ ่ึงผลการเรียนหรือ
ความสามารถท่ีระลึกไดต้ ่อสิ่งเร้าท่ีเคยเรียนหรือเคยมีประสบการณ์รับรู้มาแลว้ หลงั จากท่ีไดท้ ิ้งระยะไว
ระยะหน่ึง

กมลรัตนห์ ลา้ สุวงษ(์ 2541) สรุปไวว้ า่ ความคงทนในการเรียนรู้หมายถึง การรวบรวม
ประสบการณ์ตา่ งๆ ที่เกิดจากการเรียนรู้ท้งั ทางตรงและทางออ้ ม แลว้ ถ่ายทอดออกมาใน รูปของการระลึกได้
หรือจาได้ จากท่ีกล่าวมาสรุปไดว้ า่ ความคงทนในการเรียนรู้หมายถึง ความสามารถในการท่ีจะ ระลึกถึงส่ิง
ท่ีเคยเรียนรู้หรือมีประสบการณ์มาก่อน ซ่ึงตอ้ งวดั หลงั จากเรียนจบแลว้ และไดท้ ิ้งช่วงเวลา ไวร้ ะยะหน่ึง

2. การวดั ความคงทนในการเรียนรู้

การวดั ความคงทนในการเรียนรู้เป็นการวดั ความจาเม่ือนกั เรียนรู้ไปแลว้ แลว้ หยดุ ไป
ระยะหน่ึง โดยไมม่ ีการปฏิบตั ิอะไรเลย ซ่ึงความคงทนในการเรียนรู้จะมากหรือนอ้ ยเพียงใดน้นั จาเป็ นตอ้ ง
หาวธิ ีการวดั สภาพความคงทนในการเรียนรู้

กมลรัตนห์ ลา้ สุวงษ(์ 2541) ไดก้ ล่าวถึง การวดั ความคงทนในการเรียนรู้วา่ เม่ือนกั เรียน
ไดเ้ รียนรู้แลว้ จะมีการคงไวซ้ ่ึงผลการเรียนรู้หรือสามารถระลึกไดต้ อ่ ส่ิงเร้าท่ีเคยไดเ้ รียนหรือมีประสบการณ์
รับรู้มาแลว้ โดยเวน้ ช่วงเวลาไวร้ ะยะหน่ึง แลว้ จึงทาการวดั อีกคร้ัง จึงเรียกวา่ การวดั ความคงทนในการ
เรียนรู้หรือการทดสอบความจามีวธิ ีการวดั 3 วธิ ีดงั น้ี

1. การจาไดก้ ารระลึกได(้ Recall) หมายถึงการนึกถึงส่ิงท่ีเคยผา่ นการเรียนรู้มา ก่อนหรือ
สิ่งท่ีเคยประสบมาก่อน โดยส่ิงน้นั ไมไ่ ดอ้ ยใู่ นระหวา่ งการเขา้ รหสั ของขอ้ มูล โดยผา่ นประสาท สัมผสั จาก
หูตาจมูกลิ้น ในขณะน้นั แต่เป็นการหารือฟ้ื นเหตุการณ์จากความจานนั่ เอง

2. การจาแบบรู้จกั (Recognition) หมายถึง การรู้สึกวา่ เคยประสบสิ่งใดส่ิงหน่ึงมาก่อน
เมื่อประสบสิ่งน้นั เป็นคร้ังที่2

3. การเรียนซ้า (Relearning) หมายถึง การท่ีสามารถเรียนรู้สิ่งท่ีเคยเรียนรู้มาก่อนได้
รวดเร็วกวา่ เดิมหรือจาไดเ้ ร็วกวา่ เดิม

ระยะเวลาท่ีใชว้ ดั ความคงทนในการเรียนรู้ชยั พร วชิ ชาวธุ (2525) ไดก้ ล่าววา่ การศึกษา
ทบทวนสิ่งท่ีจา ไดอ้ ยแู่ ลว้ ซ้า อีก จะช่วยใหค้ วามจาถาวรมากยงิ่ ข้ึน ช่วงระยะเวลาท่ีความจา ระยะส้ันฝังตวั
กลายเป็นความจาระยะยาวหรือความคงทนในการเรียนรู้ในเวลาประมาณ 2 สปั ดาห์หลงั จากไดเ้ รียนรู้ผา่ น
ไปแลว้ สอดคลอ้ งกบั Nunnaly (1959) ท่ีกล่าววา่ เพ่ือใหเ้ กิดความคลาดเคลื่อนตา่ งๆ นอ้ ยลง ควรเวน้
ช่วงเวลาในการสอบซ้าห่างกนั อยา่ งนอ้ ย 2 สัปดาห์เพราะความเคยชินในการแบบทดสอบจะทาใหค้ า่
สหสมั พนั ธ์ระหวา่ งคะแนนท้งั 2 คร้ังสูง ส่วน ชวาล แพรัตกุล (2536) กล่าววา่ ในการสอบซ้า โดยใช้
แบบทดสอบฉบบั เดียวกนั ไปลองสอบกบั กลุ่มบุคคลเดียวกนั เวลาในการทดสอบคร้ังแรกและคร้ังท่ีสอง
ควรเวน้ ใหห้ ่างกนั ประมาณ 2-4 สัปดาห์

กล่าวโดยสรุป ความคงทนในการเรียนรู้เป็ นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อนกั เรียน เพราะหาก นกั เรียน
จาสิ่งที่เรียนรู้ไปแลว้ ไดอ้ ยา่ งดี ก็จะนาสิ่งท่ีไดเ้ รียนรู้ออกมาใชป้ ระโยชน์ไดเ้ มื่อตอ้ งการ การวจิ ยั คร้ังน้ีจาก
แนวคิดที่กล่าวมา ผวู้ จิ ยั ใชร้ ะยะเวลา 2 สปั ดาห์เพอื่ วดั ความคงทนในการเรียนรู้เพราะเชื่อวา่ หากเวน้ ช่วงตาม
ระยะเวลาดงั กล่าว จะส่งผลใหค้ ่าสหสมั พนั ธ์ระหวา่ งคะแนนท้งั 2 คร้ัง ไมส่ ูง

งานวจิ ัยทเี่ กี่ยวข้อง

1. งานวจิ ัยในประเทศ

จนั ทร์สุดา คาประเสริ ฐ (2553) ไดท้ าการวจิ ยั เรื่อง การพฒั นากิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ท่ี
เนน้ กระบวนการแกป้ ัญหาตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ต์ เรื่อง การหารทศนิยม ช้นั ประถมศึกษาปี ที่6
พบวา่ วงจรที่1 นกั เรียนมีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 59.23 และนกั เรียนจานวน ร้อยละ 15.38 ของจานวนนกั เรียน
ท้งั หมด มีคะแนนต้งั แต่ร้อยละ 70 ข้ึนไป วงจรที่2 นกั เรียนมีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 81.54 และนกั เรียนจานวน
ร้อยละ 92.30 ของจานวนนกั เรียนท้งั หมด มีคะแนนต้งั แต่ร้อยละ 70ข้ึนไปวงจรที่3 นกั เรียนมีคะแนนเฉล่ีย
ร้อยละ 90.77 และนกั เรียนจานวนร้อยละ 84.61 ของจานวนนกั เรียนท้งั หมด มีคะแนนต้งั แต่ร้อยละ 70ข้ึนไป
นกั เรียนมี ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนเฉลี่ยร้อยละ 70.58 และนกั เรียนจานวนร้อยละ 76.92 ของนกั เรียนท้งั หมด
มีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนต้งั แตร่ ้อยละ 70ข้ึนไป

กญั ญารัตน์โคจร (2554) ไดว้ จิ ยั เก่ียวกบั การพฒั นารูปแบบการเรียนรู้การแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคเ์ ร่ือง สารและสมบตั ิของสาร สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่อื 1) พฒั นา
รูปแบบการเรียนรู้การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคเ์ รื่อง สารและสมบตั ิ ของสาร สาหรับนกั เรียนช้มั ธั ยมศึกษา
ปี ที่ 1 และ 2) ศึกษาผลการใชร้ ูปแบบการเรียนรู้การแกป้ ัญหา อยา่ งสร้างสรรคเ์ ร่ือง สารและสมบตั ิของสาร
สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 ซ่ึงพจิ ารณาจาก (1) ปฏิสัมพนั ธ์ของรูปแบบการเรียนรู้และระดบั ความรู้
พ้นื ฐานของนกั เรียนที่ส่งผลตอ่ ทกั ษะการคิด แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค(์ 2) ผลของรูปแบบการเรียนรู้การ
แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคต์ อ่ ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียน ทกั ษะการคิดสร้างสรรคเ์ ชิงวทิ ยาศาสตร์ทกั ษะการคิด
แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคแ์ ละเจตคติเชิงวทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน และ (3) ทกั ษะการคิดแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคข์ องนกั เรียนที่มี ระดบั ความรู้พ้นื ฐานท่ีแตกต่างกนั ที่เรียนรู้ดว้ ยทกั ษะการคิดแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคว์ ธิ ีดาเนินการ วจิ ยั มี 4 ระยะ คือ 1) ศึกษาและวเิ คราะห์ขอ้ มูลพ้ืนฐาน 2) พฒั นารูปแบบการเรียนรู้
การแกป้ ัญหา อยา่ งสร้างสรรค3์ ) ศึกษานาร่องการใชร้ ูปแบบการเรียนรู้การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคแ์ ละ 4)
ทดลองใชร้ ูปแบบการเรียนรู้การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคแ์ บบแผนการทดลองท่ีใชค้ ือ PretestPost Control
Group Design กลุ่มตวั อยา่ งท่ีใชไ้ ดแ้ ก่นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 จานวน 2 ห้องเรียน โดยแบ่งเป็ นกลุ่ม
ควบคุม 1 หอ้ งเรียน นกั เรียน จานวน 48 คน ไดร้ ับการจดั การเรียนรู้แบบ ปกติ และกลุ่มทดลอง 1 หองเรียน
นกั เรียน จานวน 46 คน ไดร้ ับการจดั การเรียนรู้แบบการแกป้ ัญหา อยา่ งสร้างสรรคผ์ ลการวจิ ยั การศึกษาและ
พฒั นารูปแบบการเรียนรู้พบวา่ รูปแบบการเรียนรู้การ แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคม์ ี 5 ข้นั ตอนตามลา ดบั (1)

ข้นั กระตุนความสนใจ (2) ข้นั สารวจตรวจสอบ ทาความเขา้ ใจกบั ปัญหา (3) ข้นั สร้างทางเลือกในการ
แกป้ ัญหา (4) ข้นั วางแผนและดาเนินการ แกป้ ัญหา และ (5) ข้นั ตรวจสอบ ยอมรับและขยายองคค์ วามรู้ และ
ผลจากการทดลองพบวา่ 1) ไมพ่ บ ปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ งรูปแบบการเรียนรู้กบั ความรู้พ้นื ฐานของนกั เรียนท่ีส่ง
ตอ่ ทกั ษะการคิดแกป้ ัญหา อยา่ งสร้างสรรค2์ ) นกั เรียนท่ีมีระดบั ความรู้พ้นื ฐานแตกตา่ งกนั มีทกั ษะการคิด
สร้างสรรคเ์ ชิง วทิ ยาศาสตร์และทกั ษะการคิดแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคแ์ ตกตา่ งกนั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ
ที่ระดบั .05 และ 3) นกั เรียนท่ีมีระดบั ความรู้พ้ืนฐานแตกตา่ งกนั เม่ือไดเ้ รียนรู้ดว้ ยรูปแบบการแกปัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคม์ ีผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน ทกั ษะการคิดสร้างสรรคเ์ ชิงวทิ ยาศาสตร์ทกั ษะการคิดแกป้ ัญหา อยา่ ง
สร้างสรรคแ์ ละเจตคติเชิงวทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียนสูงข้นั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05

สิทธิชยั ชมพพู าทย(์ 2554) ไดว้ จิ ยั เกี่ยวกบั การพฒั นาพฤติกรรม การเรียนการสอน เพอ่ื การ
แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคข์ องครูและนกั เรียนในโรงเรียนส่งเสริมนกั เรียนท่ี มีความสามารถพเิ ศษทาง
วทิ ยาศาสตร์โดยใชก้ ารวจิ ยั ปฏิบตั ิการเชิงวพิ ากษโ์ ดยมีวตั ถุประสงคเ์ พ่อื 1) พฒั นาพฤติกรรมการเรียนการ
สอนเพอื่ การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคข์ องครูและนกั เรียนโดยใชก้ ารวจิ ยั ปฏิบตั ิการเชิงวพิ ากษแ์ ละ 2)
พฒั นารูปแบบการเรียนการสอนเพ่ือการแกป้ ัญหาอยา่ ง สร้างสรรคข์ องครูและนกั เรียนในโรงเรียนส่งเสริม
นกั เรียนที่มีความสามารถพเิ ศษทางวทิ ยาศาสตร์การดาเนินการใชร้ ะเบียบวธิ ีวจิ ยั เชิงคุณภาพและการวจิ ยั
ปฏิบตั ิการเชิงวพิ ากษผ์ เู้ ขา้ ร่วมวจิ ยั เป็น หวั หนา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ครู 3 คน และนกั เรียน 23
คน ผลการวจิ ยั พบวา่ 1) รูปแบบ การเรียนการสอนเพื่อการแกปัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ ี่ไดร้ ับการพฒั นา มี5
ข้นั ตอน ไดแ้ ก่1)ข้นั รับรู้ปัญหา 2)ข้นั ระดมความคิด 3)ข้นั วางแผน 4)ข้นั ปฏิบตั ิและ 5)ข้นั สรปุและกรอง
ความคิดและ 2) ครูและนกั เรียนหลงั จากเขา้ ร่วมการวจิ ยั เพอ่ื พฒั นาพฤติกรรมการเรียนการสอนเพื่อการ
แกป้ ัญหา อยา่ งสร้างสรรคเ์ ปล่ียนแปลงพฤติกรรมดา้ นภาษาและวาทกรรม กิจกรรมและการปฏิบตั ิ
ความสมั พนั ธ์และสงั คมดีข้นั ครูและนกั เรียนมีพฤติกรรมการเรียนการสอนเพ่ือการแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคเ์ พม่ิ ข้ึนในแต่ละวงรอบของการวจิ ยั

รุจิราพร รามศิริ(2556)ไดศ้ ึกษาเกี่ยวกบั การพฒั นารูปแบบการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์โดยใช้
การวจิ ยั เป็นฐาน เพื่อเสริมสร้างทกั ษะการวจิ ยั ทกั ษะการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคแ์ ละจิตตะวทิ ยาของ
นกั เรียนระดบั มธั ยมศึกษา พบวา่ รูปแบบการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์โดยใชก้ ารวจิ ยั เป็ นฐาน เพื่อ
เสริมสร้างทกั ษะการวจิ ยั ทกั ษะการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคแ์ ละจิตวทิ ยาของนกั เรียนระดบั มธั ยมศึกษามี
ช่ือวา่ RPSCSA model มี 5 องคป์ ระกอบไดแ้ ก่1) หลกั การเนน้ ที่เรียนเป็นผสู้ ู้ร้างความรู้ข้ึนเองอยา่ งเป็น
ระบบโดยอาศยั การแสวงหาความรู้ดว้ ยกระบวนการวิจยั และผเู้ รียนมีบทบาทสาคญั ในการเรียนรู้ ผา่ น
กิจกรรมที่เนน้ การร่วมมือกนั เรียนรู้ ร่วมกบั การเรียนรู้แบบนาตนเอง 2) วตั ถุประสงคเ์ พ่ือพฒั นาทกั ษะการ
วจิ ยั ทกั ษะการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคแ์ ละจิตวทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียนระดบั มธั ยมศึกษา 3) กระบวนการ
จดั การเรียนรู้ประกอบดว้ ย 6ข้นั คือ1)ข้นั ตระหนกั ในปัญหา (Raising Awareness of Problem: R) 2)ข้นั
คน้ พบปัญหา (Problem Finding: P) 3)ข้นั คน้ ควา้ หาคาตอบ (Searching Hoe to Solve Problem: S)4) ข้นั

รวบรวมและวเิ คราะห์ขอ้ มูล (Collecting and Analyzing Data: C) 5) ข้นั สรุปและนาเสนอผลการวจิ ยั
(Summarizing and Research Finding: S) และ 6)ข้นั ประเมินผล(Assessing: A) 4) การวดั และประเมินผล 3
ดา้ น คือ ดา้ นทกั ษะการวจิ ยั ดา้ นทกั ษะการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ และดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ และ 5)
เงื่อนไขสาคญั ในการน ารูปแบบไปใชใ้ หป้ ระสบผลสาเร็จ ประกอบดว้ ย ผเู้ รียนมีพ้ืนฐานความสามารถใน
การคิดเชิงระบบ มีความรับผดิ ชอบ มุง่ มนั่ ในการทางาน ใชผ้ ลการวจิ ยั และกระบวนการวจิ ยั เป็ นเคร่ืองมือใน
การเรียนรู้ และใชส้ ถานการณ์ปัญหาในชีวติ ประจาวนั โดยพบวา่ รูปแบบการเรียนการสอวทิ ยาศาสตร์โดย
ใชก้ ารวจิ ยั เป็นฐานมีประสิทธิภาพเท่ากบั 81.36/76.86

กร ประสีระเตสงั (2558) ไดศ้ ึกษาการพฒั นารูปแบบการเรียนรู้ตามทฤษฎีการสร้างความรู้เพ่ือ
การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคส์ าหรับนกั เรียนมธั ยมศึกษาตอนปลาย พบวา่ รูปแบบการเรียนรู้ตามทฤษฎีการ
สร้างความรู้เพอื่ การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคส์ าหรับนกั เรียนมธั ยมศึกษาตอนปลาย มีองคป์ ระกอบท่ีพฒั นา
ข้นั 7องคป์ ระกอบ คือ 1) ขอ้ ตกลงเบ้ืองตน ทางการเรียนรู้ ้้ ของทฤษฎีการสร้างความรู้2) หลกั การ 3)
จุดมุ่งหมาย 4) ข้นั ตอนการจดั การเรียนรู้ มี5 ข้นั ดงั น้ี1) การกาหนดปัญหา (Problem -Finding) 2) การคน้ หา
ความคิด (Idea -Finding) 3) การเลือกกลวธิ ีการแกป้ ัญหา (Strategy -Finding) 4) การร่วมมือกนั ปฏิบตั ิ
(Collaboration practices) และ 5) การประเมินผลและการประยกุ ตใ์ ช(้ Evaluation & Application) 5) ระบบ
สงั คม 6) หลกั การตอบสนอง และ 7) ระบบสนบั สนุน ซ่ึงมีคุณภาพเหมาะสมอยใู่ นระดบั มากท่ีสุด (X
=4.80, S.D. = 0.49) โดยสรุปรูปแบบการเรียนรู้ท่ีพฒั นาข้นั สามารถเสริมสร้างใหน้ กั เรียนมีความสามารถ
ในการ แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคม์ ีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสูงข้ึน ท้งั ยงั ช่วยใหม้ ีความคงทนในการเรียนรู้จึง
ควรส่งเสริมและสนบั สนุนใหครูนารูปแบบการเรียนรู้น้ีไปใชใ้ นการจดั การเรียนรู้ ้้ ต่อไป

2. งานวจิ ัยต่างประเทศ

Herman (2009) ไดว้ จิ ยั เก่ียวกบั กระบวนการทางความคิดแบบ Cognitive เพื่อแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคโ์ ดยผวู้ จิ ยั มุ่งประเดน็ ที่การเกิดของปัญหาแต่ใหน้ กั เรียนไดว้ เิ คราะห์กระบวนการที่มีต่อการรับรู้
การจูงใจของการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคต์ ่อโครงสร้างปัญหาที่ มีผลต่อการเกิดความคิด และการ
ประเมินผลความคิดท้งั ที่เกิดโดยคนเดียวหรือหลายคน จุดประสงคเ์ บ้ืองตน้ ของการศึกษาคร้ังน้ีเพือ่ 1)
ทดสอบผนู้ าเสนอโครงสร้างของปัญหาในการเกิดข้ึนของสถานการณ์และประเมินผลในปัญหาน้นั 2)
สารวจแรงจูงใจของการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคเ์ ช่น การคาดการการประเมินผล การมุ่งความสนใจโดยมี
การควบคุมและจุดประสงคข์ องเป้าหมายใน ความคิดสร้างสรรคร์ วมท้งั จุดประสงคข์ องการกาหนด
ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคด์ ว้ ย โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การจูงใจของการประเมินผลแบบ
คาดหวงั จากแหล่งขอ้ มูลภายนอก ไดค้ ดั กรองในการนาสู่ความสาเร็จดว้ ย แนวโนม้ ของการศึกษาแบบ
Individual น้นั พยายามอยา่ งหนกั เพอื่ ให้เกิดความสาเร็จ กลุ่มตวั อยา่ ง จานวน 219 คน ซ่ึงส่วนใหญ่เป็น
คนทางาน Full-Time ผลการวจิ ยั พบวา่ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งการประเมินผล Regulatory Focus และ Goal

Orientation มีบางส่วนขดั แยง้ กนั จะเห็นไดจ้ ากกลุ่มตวั อยา่ ง ผซู้ ่ึงก่อโครงสร้างและการแกป้ ัญหา แตไ่ มม่ ี
หลกั ฐาน ของปัญหาที่มีความสัมพนั ธ์ระหวา่ งจุดประสงคแ์ ละความคิดสร้างสรรคผ์ ถู้ ูกทดสอบที่แกป้ ัญหา
ไดด้ ีกวา่ จะเป็นผทู้ ่ีสามารถประเมินความคิดของตนไดด้ ีกวา่ ในทางตรงกนั ขา้ ม ผถู้ ูกทดสอบท่ีแกป้ ัญหา
ตน้ เหตุไดด้ ีกวา่ จะสามารถประเมินความคิดของตนเบ้ืองตน้ ไดน้ อ้ ย ในการประเมินความคิดผอู้ ื่น ผถู้ ูก
ทดสอบจะประเมินความคิดของตนเองไดแ้ ม่นยานอ้ ยเช่นกนั ดงั น้นั ในการศึกษาคร้ังน้ีการประเมินผล แบบ
ความคาดหวงั ไมส่ ัมพนั ธ์กบั การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคแ์ ต่Regulatory Focus และ Goal Orientation น้นั
มีความสมั พนั ธ์กนั

Chia-Yi Lin (2 0 1 0 ) ไดว้ จิ ยั เกี่ยวกบั การวเิ คราะห์คุณลกั ษณะรูปแบบของความสามารถ
ในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคข์ องนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาในไตห้ วนั โดยมี จุดมุ่งหมายเพื่อหา
ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งคุณลกั ษณะของความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ ง สร้างสรรคแ์ ละสัมพนั ธ์กบั
ความสามารถในการแกป้ ัญหาทางคณิตศาสตร์นอกจากน้ีเป็นการระบุและ เปรียบเทียบกลุ่มความคิด
สร้างสรรคท์ างคณิตศาสตร์ระดบั สูง ปานกลาง และอ่อน กลุ่มทดลองเป็น นกั เรียนเกรด 5 และ เกรด 6
จานวน 409 คนท่ีไดร้ ับคดั เลือกจากโรงเรียนประถมศึกษา2 โรงเรียน ในไตห้ วนั เครื่องมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั
คร้ังน้ีผวู้ ิจยั สร้างข้ึนใหม่ ประกอบดว้ ย 1) แบบทดสอบวดั ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์
ทางคณิตศาสตร์2) ชุดคาถามประเมินความคิด สร้างสรรค3์ ) แบบทดสอบระดบั การคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ
และ 4) ประเดน็ กรอบแนวคิด กระบวนการวดั ระดบั การคิดสร้างสรรคก์ ลุ่มสูง ปานกลาง และออ่ น
เปรียบเทียบอยา่ งอิสระเป็น รูปแบบรวมที่สาคญั ของคุณลกั ษณะ 5 ประการของความสามารถในการ
แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคผ์ ลการวจิ ยั พบวา่ ความคิดสร้างสรรคเ์ ป็ นหลกั ฐานท่ีมีความหลากหลายและ
โดเมนเฉพาะ ขอ้ มูลจะ แสดงในรูปแบบท่ีแตกต่างกนั 3 รูปแบบตามส่วนประกอบของคุณลกั ษณะและ
ผลกระทบของการ แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคข์ องนกั เรียน นอกจากน้ีผลผลิตของ CPSAI มีความสอดคลอ้ ง
ภายในที่ดี ความตรงเชิงโครงสร้างดี การจาแนก Marginated จาแนกไดถ้ ูกตอ้ งดว้ ยขอ้ มูล ส่วนใหญ่ของ
คะแนน ยอ่ ย ๆ ของ CPSAI มีความสัมพนั ธ์อยา่ งมีนยั สาคญั

Cynthia Burnett (2010) ไดว้ จิ ยั เก่ียวกบั วธิ ีการแบบองคร์ วมเพ่ือการ แกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคซ์ ่ึงเป็ นการวจิ ยั เชิงคุณภาพท่ีศึกษา การสารวจ ปรากฏการณ์ท่ีซบั ซอ้ นของ การหยงั่ รู้ภายใน
กระบวนการการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคโ์ ดยการศึกษาแบง่ ออกเป็ น 2 ส่วน ส่วนท่ี 1กลุ่มเป้าหมายใชศ้ ิษย์
เก่า ศาตราจารยแ์ ละศาสตราจารยพ์ ิเศษ ของ International Center for Studies in Creativity (ICSC) จานวน
100คน ผรู้ ่วมวจิ ยั เหล่าน้ีถูกถามดว้ ยชุดคาถามเพือ่ ช่วยผวู้ จิ ยั ตอบคาถามท่ีวา่ “ผปู้ ระกอบการการคิด
สร้างสรรคต์ ีความการหยง่ั รู้อยา่ งไร” “อะไรคือบทบาทของ การหยง่ั รู้ ในกระบวนการแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรค”์ ส่วนท่ี 2 ของการศึกษา กลุ่มที่เก่ียวขอ้ งเป็นนกั เรียนเกรด 11 ที่ลงทะเบียนเรียนวชิ าเอก
การศึกษาความคิดสร้างสรรคท์ ่ี ICSC เป็นผรู้ ่วมวจิ ยั ในรายวชิ า วธิ ีการแบบองคร์ วมเพ่ือการแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคน์ กั เรียนถูกสารวจดว้ ยคาถาม “เคร่ืองมือการหยงั่ รู้และเทคนิคท่ีมีประสิทธิภาพในการแกป้ ัญหา

อยา่ งสร้างสรรคเ์ ป็นอยา่ งไร” “ถา้ เป็นเช่นน้นั เม่ือไหร่พวกเขาจะมีประสิทธิภาพ, เมื่อการแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคส์ อนจากมุมมอง แบบองคร์ วม, การเปล่ียนแปลงมีแนวโนม้ จะเกิดข้ึนไหม 4 รูปแบบของทฤษฎี
รวมท้งั รูปแบบdefinitional ของการหยง่ั รู้ชุดทกั ษะสาหรับการหยง่ั รู้กระบวนการที่จะปรับปรุงประสิทธิผล
ของ เครื่องมือการหยง่ั รู้และการเปล่ียนแปลงรูปแบบของการเรียน ถูกออกแบบเป็นวธิ ีสาหรับผปู้ ระกอบ
การการคิดสร้างสรรคท์ ี่เขา้ ใจประสบการณ์และรวมเขา้ ดว้ ยกนั ใน การปฏิบตั ิ จากการศึกษาพบวา่ มนุษยจ์ ะ
ไม่ถูกบลอ็ กความคิดไวต้ ายตวั แต่มีความซบั ซอ้ น มีชีวติ แบบ องคร์ วม แลโครงสร้างของความรู้ท้งั หมด
กระบวนการเรียนการสอนตอ้ งสะทอ้ นส่ิงน้ีถึงแมว้ า่ โดย เจตนา สนามของความคิดสร้างสรรคท์ าใหก้ า้ ว
ผา่ นการเนน้ องคป์ ระกอบทางปัญญาของการแกป้ ัญหาผวู้ ิจยั เช่ือวา่ ถึงเวลาแลว้ ท่ีจะนาวสิ ัยทศั นเ์ ดิมของ
ความคิดสร้างสรรคข์ อง Sid Parnes มาเป็นพาหะ สาหรับการเคลื่อนยา้ ยไปสู่เป้าหมายของสุขภาพระดบั สูง
ไม่เพียงแตส่ ุขภาพร่างกาย แต่จิตวทิ ยาสงั คมวทิ ยา การเมือง และสุขภาพจิตที่ดีเช่นกนั ซ่ึงการหยง่ั รู้ จะเป็น
กลไกท่ีจะช่วยใหเ้ ราไปถึง เป้าหมายน้ี

กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย

ในการวจิ ยั คร้ังน้ีผวู้ จิ ยั ไดบ้ ูรณาการแนวคิดท้งั สามกลุ่ม คือ

1. แนวคิดการจดั การเรียนรู้ท่ีเนน้ ผเู้ รียนสร้างความรู้ตามแนว Constructivism โดยพจิ ารณา
จากแนวคิดของ Driver & Bell (1986) เป็นหลกั ร่วมกบั แนวคิดอื่น ๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั บริบทในการศึกษาคร้ังน้ี
พบวา่ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเนน้ การแกป้ ัญหาตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ตน์ ้นั มี5ข้นั ตอน
ไดแ้ ก่1)ข้นั นา เขา้ สู่บทเรียน 2)ข้นั การสารวจและสืบคน้ 3)ข้นั การอภิปราย 4)ข้นั นา ไปใชแ้ ละ5)ข้นั การ
ประเมินผล

2. การสอนคณิตศาสตร์ดว้ ยวธิ ีการแบบเปิ ด (Open Approach) โดยพิจารณาจากแนวคิดของ
Inprasitha (2010) เป็นหลกั ร่วมกบั แนวคิดอื่น ๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั บริบทในการศึกษาคร้ังน้ีสรุปไดว้ า่ การ
จดั การเรียนการสอนในช้นั เรียนท่ีใชว้ ธิ ีการแบบเปิ ดเนน้ การแกป้ ัญหาน้นั มี4ข้นั ตอน ไดแ้ ก่ข้นั ที่1 การน า
เสนอปัญหาปลายเปิ ด (Posing open-ended problem) ข้นั ท่ี 2 การเรียนรู้ดว้ ยตนเองของนกั เรียน ผา่ นการ
แกป้ ัญหาในขณะที่ครูบนั ทึก แนวคิดของนกั เรียน เพื่อใชใ้ นการอภิปราย (Students’ self-learning through
problem solving while the teacher take notes students’ idea for later discussion) ข้นั ท่ี 3 การอภิปรายท้งั ช้นั
และการเปรียบเทียบ (Whole class discussion and comparison) และข้นั ที่4 การสรุปโดยการเช่ือมโยง
แนวคิดทางคณิตศาสตร์ของนกั เรียนท่ีเกิดข้นั ในช้นั เรียน (Summarization through connecting students’
mathematical ideas emerged in the classroom)

3. แนวคิดเกี่ยวกบั การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method) โดยพิจารณาจาก
แนวคิดของ สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท., 2546) เป็นหลกั ร่วมกบั แนวคิด

อ่ืน ๆ ที่เกี่ยวขอ้ งกบั บริบทในการศึกษาคร้ังน้ีสรุปไดว้ า่ การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเนน้ การแกป้ ัญหา
ตามแนวคิดเก่ียวกบั การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method) มี5ข้นั ตอน ไดแ้ ก่1)ข้นั นาเสนอ
ปัญหา2)ข้นั สารวจและคน้ หา3)ข้นั อธิบาย4) ข้นั นาไปใชแ้ ละ 5)ข้นั สรุปผล

ในการพฒั นาข้นั ตอนของรูปแบบการเรียนการสอนที่เสริมสร้างความสามารถในการ
แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างคณิตศาสตร์โดยสงั เคราะห์แนวคิดการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคด์ งั ตารางที่ 4

ตารางที่ 4 ผลการสังเคราะห์ข้นั ตอนของรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเสริมสร้างความสามารถ
ในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงาน

ข้นั ท่ี การสร้างความรู้ วธิ ีการแบบเปิ ด การสอนแบบสืบ สรุปผล

ตามแนว (Open Approach) เสาะหาความรู้

Constructivism (Inquiry Method)

1 ข้นั นา การนาเสนอปัญหา ข้นั สร้าง ข้นั นาเสนอ

ปลายเปิ ด ความสนใจ สถานการณ์ปัญหา

ปลายเปิ ด

2 ข้นั ทบทวนความ การเรียนรู้ดว้ ย ข้นั สารวจและ ข้นั สารวจและ

เดิม ตนเองของนกั เรียน คน้ หา คน้ หาขอ้ มูล

3 ข้นั ปรับเปล่ียน การอภิปรายท้งั ช้นั ข้นั อธิบายและลง ข้นั ออกแบบวธิ ีการ

ความคิด และการ ขอ้ สรุป แกป้ ัญหา

เปรียบเทียบ

4 ข้นั นาความคิด การสรุปโดยการ ข้นั ขยายความรู้ ข้นั นา เสนอ

ไปใช้ เชื่อมโยงแนวคิด วธิ ีการ

แกป้ ัญหา

5 ข้นั นาทบทวน ข้นั ประเมิน ข้นั สรุปความคิด

รวบยอด

จากตารางท่ี 4 ผลการสังเคราะห์ข้นั ตอนของรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเสริมสร้าง
ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างคณิตศาสตร์พบวา่ ข้นั ตอนของรูปแบบการเรียนการสอน
ที่เสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างคณิตศาสตร์5ข้นั ที่เรียกวา่ C4S Model ไดแ้ ก่

ข้นั ท่ี 1 ข้นั นาเสนอสถานการณ์ปัญหาปลายเปิ ด ( Challenge: C) เป็นข้นั ตอนท่ีครูผสู้ อน
นาเสนอสถานการณ์ปัญหาปลายเปิ ดใหก้ บั ผเู้ รียนไดเ้ ผชิญปัญหา โดยท่ีผสู้ อนไมไ่ ดแ้ นะวธิ ีการแกป้ ัญหา
ใหก้ บั นกั เรียน ลกั ษณะของปัญหาอยใู่ นรูปของสถานการณ์ เช่น การเล่มเกม ปัญหาน้นั ไมส่ ามารถหาคา
ตอบไดใ้ นทนั ทีซ่ึงวธิ ีการแกป้ ัญหาน้นั จะข้ึนอยกู่ บั วตั ถุประสงคข์ องผสู้ อนวา่ จะกาหนดปัญหาใหผ้ เู้ รียน
แกไ้ ขสถานการณ์ท่ีกาหนดเป็นปัญหาปลายเปิ ดชนิดใด

ข้นั ที่ 2 ข้นั สารวจและคน้ หาขอ้ มูลเพ่ือนามาตดั สินใจแกป้ ัญหา (Survey: S) เป็นข้นั ท่ีนกั เรียน
จะตอ้ งคน้ หาเหตุผลของขอ้ มูล เพอ่ื ตรวจสอบสมมติฐานท่ีต้งั ไวซ้ ่ึงนกั เรียนอาจตอ้ งใชว้ ิธีการหลายๆ วธิ ี
รวมท้งั สอบถามจากผสู้ อนดว้ ย ครูตอ้ งไมต่ อบปัญหาโดยการบอกหรือบรรยายใหฟ้ ัง หากจาเป็นจะตอ้ งตอบ
ปัญหาโดยไม่มีทางเล่ียงใหใ้ ชว้ ธิ ีการใหด้ ูหรือใชว้ ธิ ีรุกคาถาม เพื่อใหน้ กั เรียนไดใ้ ชค้ วามคิดของตนเองมาก
ที่สุดเท่าท่ีจะทาได้

ข้นั ท่ี3 ข้นั ออกแบบวธิ ีการแกป้ ัญหา (Solve: S) เป็นข้นั ท่ีผเู้ รียนหาวธิ ีท่ีหลากหลายเพือ่
นาไปสู่การแกป้ ัญหา โดยผเู้ รียนแต่ละคนเสนอแนวทางในการแกป้ ัญหาท่ีแตกตา่ งกนั ไปตามความสามารถ
และประสบการณ์เดิมของแต่ละบุคคล แลว้ น ามาร่วมกนั อภิปรายในกลุ่มยอ่ ย ถึงแนวทางการแกป้ ัญหาท่ีได้
วา่ เหมาะสมกบั สถานการณ์หรือไมเ่ พียงใด

ข้นั ที่ 4 ข้นั นาเสนอวธิ ีการแกป้ ัญหาต่อช้นั เรียนเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Share: S) หมายถึง
เมื่อนกั เรียนไดค้ าตอบพร้อมกบั เหตุผลแนวคิดและวธิ ีหาคา ตอบก็จะนา เสนอหนา้ ช้นั เรียนเพ่ือใหเ้ พื่อได้
รับทราบถึงวธิ ีการคิดของนกั เรียน หลงั จากน้นั ครูร่วมอภิปรายเพ่ือพฒั นาไปเป็นปัญหาใหม่ เพือ่ นามาพฒั นา
ต่อไป

ข้นั ท่ี5 ข้นั สรุปความคิดรวบยอด (Summarize: S) หมายถึง การท่ีครูและนกั เรียนเรียนรู้
ร่วมกนั เพื่อหาขอ้ สรุปของบทเรียนที่มีความเหมือนและแตกต่างในการหาคาตอบของแต่ละกลุ่มเพอ่ื ที่จะ
สรุปเป็นแนวคิดร่วมกนั ดงั แผนภาพที่ 2

การจดั การเรยี นรูต้ ามแนว การจดั การเรยี นการสอนเพอ่ื
คอนสตรคั ตวิ สิ ต(์ Constructivism) เสรมิ สรา้ งทกั ษะการแกป้ ัญหาอยา่ ง

ขนั้ นาเขา้ สบู่ ทเรยี น สรา้ งสรรคท์ างการงานอาชีพ
ขนั้ การสารวจและสบื คน้
ขนั้ นาเสนอสถานการณป์ ัญหา
ขนั้ การอภิปราย (Challenge)
ขนั้ นา ไปใช้
ขนั้ สารวจและคน้ หาขอ้ มลู เพ่อื นามา
ขนั้ การประเมนิ ผล ตดั สนิ ใจแกป้ ัญหา (Survey)
ขนั้ ออกแบบและลงมอื แกป้ ัญหา
การสอนการงานอาชีพดว้ ยวิธีการ (Solve)
แบบเปิด (Open Approach) ขนั้ นาเสนอวธิ ีการแกป้ ัญหาตอ่ ชนั้

ขนั้ การนาเสนอปัญหา เรยี นเพ่ือแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ (Share)
ขนั้ การเรยี นรูด้ ว้ ยตนเองของนกั เรยี น ขนั้ สรุปความคิดรวบยอด
ขนั้ การอภปิ รายรว่ มกนั ทงั้ ชนั้ เรยี น (Summarize)
ขนั้ การสรุปโดยการเช่ือมโยงแนวคดิ
C4S Model
การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้
(Inquiry Method) ภาพที่ 2 การสงั เคราะหร์ ูปแบบการเรยี นการสอนเพ่ือ
ขนั้ นาเสนอปัญหา เสรมิ สรา้ งความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสรา้ งสรรค์
ขนั้ สารวจและคน้ หา ทางการงานอาชีพ
ขนั้ อธิบาย
นาขนั้ นาไปใช้
สรุปผล

ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม

รูปแบบการเรียนการสอนเพ่อื เสริมสร้างความสามารถ ใน ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียน
การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างคณิตศาสตร์ ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ ง

รูปแบบการเรียนการสอน สร้างสรรค์
การทาความเขา้ ใจปัญหา
ประกอบดว้ ย
1) ขอ้ ตกลงเบ้ืองตน้ ของรูปแบบการเรียนการสอน การสบื คน้ ขอ้ มลู
2) หลกั การ นาเสนอวธิ ีในการแกป้ ัญหา
3) จดุ มุง่ หมายของรูปแบบการเรียนการสอน
4) ข้นั ตอนการจดั การเรียนการสอน การปฏิบตั ิ
การประเมินผล
ข้นั ท่ี1ข้นั นา เสนอสถานการณ์ปัญหาปลายเปิ ด(Challenge: C) ความคงทนในการเรียนรู้
ข้นั ท่ี2 ข้นั สารวจและคน้ หาขอ้ มูลเพ่อื นามาตดั สินใจ
แกป้ ัญหา (Survey: S) ภาพที่ 3 กรอบแนวคิด
ในการวจิ ยั
ข้นั ที่3ข้นั นออกแบบวธิ ีการแกป้ ัญหา (Solve: s)
ขนั้ ท่4ี ขนั้ นาเสนอวธิ ีการแกป้ ัญหาตอ่ ชนั้ เรยี นเพ่ือแลกเปลย่ี น
เรยี นรู้ (Share: S)

ขนั้ ที5่ ขนั้ สรุปความคดิ รวบยอด (Summarize: S)
5) ระบบสงั คม
6) หลกั การตอบสนอง
7) ระบบสนบั สนนุ

แนวคิดทฤษฎี

1. แนวคิดการจดั การเรียนรู้ที่เนน้ ผเู้ รียนสร้างความรู้ตามแนว
Constructivism
2. การสอนคณิตศาสตร์ดว้ ยวธิ ีการแบบเปิ ด (Open Approach)
3. แนวคิดเกี่ยวกบั การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method)
4. แนวคิดเกี่ยวกบั การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์
5. ความคงทนในการเรียนรู

บทท่ี 3 วธิ ีดาเนินการวจิ ัย

การวจิ ยั น้ีเป็นการวิจยั และพฒั นา (Research & Development) มีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือพฒั นา และ
ศึกษาผลการใชร้ ูปแบบการเรียนการสอนที่เสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการ
งานอาชีพของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคมผวู้ จิ ยั ใช้ วธิ ีดาเนินการตามรูปแบบทว่ั
ไปของการออกแบบและพฒั นาการเรียนการสอน (Generic model, ADDIE model) (Donald Clark, 2003
อา้ งอิงมาจากชวลิต ชูกาแพง, 2555) ซ่ึงมี 5 ระยะ แต่ในการ วจิ ยั และพฒั นาคร้ังน้ีผูว้ จิ ยั ไดห้ ลอมรวมในข้นั
การออกแบบและพฒั นาเป็ นระยะเดียวกนั ระยะการ ดาเนินการวจิ ยั ในคร้ังน้ีจึงมี4ระยะ ดงั รายละเอียดใน
ภาพประกอบ 4 ดงั น้ี

การวจิ ยั ระยะที่ 1 ข้นั ตอนที่ 1 ศึกษาสารวจสภาพปัญหาของการจดั การเรียน
ศึกษาและวเิ คราะห์ขอ้ มูล การสอนวชิ าการงานอาชีพระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5
ข้นั ตอนที่ 2 ศึกษา แนวคิด ทฤษฎีท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การพฒั นา
พ้ืนฐาน รูปแบบการเรียนการสอน ข้นั ตอนที่ 3 ศึกษาขอ้ มูลจาก
แหลง่ ขอ้ มูลบุคคล ข้นั ตอนท่ี 4 วเิ คราะหข์ อ้ มลู พ้ืนฐาน
การวจิ ยั ระยะท่ี 2 ข้นั ตอนที่ 5 ตรวจสอบเพอ่ื
การออกแบบและพฒั นา
ข้นั ตอนท่ี 1 ร่างรูปแบบการเรียนการสอนเพอื่ เสริม สร้าง
ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ ข้นั ตอนที่ 2
ตรวจสอบเพอื่ ยนื ยนั ความเหมาะสมของ ร่าง รูปแบบการ
เรียนการสอนเป็นการประเมินผล (ร่าง) ตน้ แบบ รูปแบบ
การเรียนการสอนโดย ผเู้ ชี่ยวชาญ ข้นั ตอนที่ 3 ศึกษานาร่อง

การวจิ ยั ระยะที่ 3 ข้นั ตอนที่ 1 ดาเนินการทดลองใชร้ ูปแบบการเรียนการ สอน
การทดลองใชร้ ูปแบบ ที่เสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ ง สร้างสรรค์
ทางการงานอาชีพ โดยใชห้ ลกั การของการ วจิ ยั เชิงทดลอง
การสอน ข้นั ตอนท่ี 2 ศึกษาผลการใช้

การวจิ ยั ระยะท่ี 4 ข้นั ตอนที่ 1 ประเมนิ ผลการใชร้ ูปแบบการเรียนการ สอน
การประเมินผลการใช้ ข้นั ตอนที่ 2 ศึกษาผลการใชร้ ูปแบบการเรียน การสอน
ข้นั ตอนท่ี 3 ปรับปรุง/แกไ้ ข

ภาพท่ี 4 ขนั้ ตอนการดาเนินการวจิ ยั

วธิ ีดาเนินการวจิ ยั และพฒั นารูปแบบการเรียนการสอนที่เสริมสร้างความสามารถในการ แกป้ ัญหา
อยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่5 โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม มีรายละเอียด
ดงั น้ี

ระยะท่ี 1 วเิ คราะห์ข้อมูลพืน้ ฐาน (Analysis : A)

ระยะท่ี 1 วเิ คราะห์ขอ้ มูลพ้นื ฐาน (Analysis : A) เพอื่ ศึกษาและวเิ คราะห์ขอ้ มูลพ้นื ฐาน เป็น ข้นั
การวจิ ยั (Research : R) เป็นข้นั ตอนของการวเิ คราะห์ความตอ้ งการจาเป็น โดยการสารวจสภาพ ปัจจุบนั
ปัญหาและความตอ้ งการของผมู้ ีส่วนเก่ียวขอ้ ง เพื่อใหไ้ ดข้ อ้ มูลที่จาเป็นสาหรับการนามาใช้ เป็นแนวทางใน
การกาหนด และตรวจสอบนิยาม ความสามารถ พฤติกรรมบ่งช้ีและแนวทางการ พฒั นาความสามารถในการ
แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 ผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนินการตาม
ข้นั ตอนดงั น้ี

ข้นั ตอนท่ี 1 ศึกษาสารวจสภาพปัญหาของการจดั การเรียนการสอนวชิ าการงานอาชีพระดบั ช้นั
มธั ยมศึกษาปี ท่ี5

1. ศึกษาขอ้ มูลเกี่ยวกบั สภาพปัจจุบนั ของการจดั การเรียนการสอนวชิ า คณิตศาสตร์ระดบั ช้นั
มธั ยมศึกษาปี ท่ี5 ในดา้ นผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียน สภาพปัญหาการจดั การ เรียนการสอนวชิ าการงานอาชีพ
ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่5 ดว้ ยการสอบถามความคิดเห็น โดยใช้ แบบสอบถาม และรวบรวมขอ้ มูลจาก
เอกสาร รายงานการวจิ ยั และรายงานการประเมินคุณภาพ การศึกษา

ข้นั ตอนที่2 ศึกษา แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวขอ้ งกบั การพฒั นารูปแบบการเรียนการสอน

1. ทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ต์ (Constructivism)

2. การสอนคณิตศาสตร์ดว้ ยวธิ ีการแบบเปิ ด (Open Approach)

3. การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method)

4. เอกสารเก่ียวกบั การพฒั นารูปแบบการเรียนการสอน

5. เอกสารเก่ียวกบั ความคงทนในการเรียนรู้

6. งานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง

การศึกษาขอ้ มูลเกี่ยวกบั แนวคิด ทฤษฎีที่เก่ียวขอ้ งดาเนินการวจิ ยั โดยใชก้ ารวิจยั เอกสาร โดยการ
เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลจากเอกสาร รายงาน วิเคราะห์ขอ้ มูล โดยวธิ ีการวเิ คราะห์เน้ือหา (Content Analysis)
นาเสนอผลในเชิงวเิ คราะห์และสงั เคราะห์ตอ่ ยอดองคค์ วามรู้

ข้นั ตอนท่ี 3 ศึกษาขอ้ มูลจากแหล่งขอ้ มูลบุคคล โดยการสมั ภาษณ์ครูผสู้ อนวชิ า การงานอาชีพ
ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่5 โดยใชเ้ ครื่องมือการสมั ภาษณ์แบบเจาะลึกท่ีผวู้ จิ ยั สร้างข้ึน และดาเนินการ
สัมภาษณ์ดว้ ยตนเอง

ข้นั ตอนท่ี4 วเิ คราะห์ขอ้ มูลพ้ืนฐาน โดยวเิ คราะห์ขอ้ มูลจากแหล่งขอ้ มูลเอกสารและขอ้ มูล
บุคคลเกี่ยวกบั พฤติกรรมการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคแ์ ละแนวทางการพฒั นาความสามารถในการ
แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคข์ องนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 มาเปรียบเทียบเพอื่ สร้างขอ้ สรุปยอ่ ย และ
ขอ้ สรุปรวมเก่ียวกบั นิยาม ความสามารถ และพฤติกรรมบ่งช้ีในแตล่ ะความสามารถเพอ่ื กาหนด แนวทางการ
พฒั นาความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ ง สร้างสรรคข์ องนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี5จากการศึกษา
และวเิ คราะห์เอกสารและงานวจิ ยั ที่เกี่ยวกบั การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์

ข้นั ตอนที่ 5 ตรวจสอบเพ่ือยนื ยนั ความสามารถและพฤติกรรมบ่งช้ีในแตล่ ะ ความสามารถและ
แนวทางการพฒั นาความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคข์ องนกั เรียน มธั ยมศึกษาตอนปลาย ดว้ ย
การสมั ภาษณ์เชิงลึกกบั ผเู้ ชี่ยวชาญ ดว้ ยแบบสัมภาษณ์ก่ึงโครงสร้าง แลว้ น าขอ้ มูลมาวเิ คราะห์ดว้ ยการสร้าง
ขอ้ สรุปจากการวเิ คราะห์เน้ือหา จากน้นั ประเมินความสอดคลอ้ งของนิยามความสามารถ พฤติกรรมบง่ ช้ีใน
แต่ละความสามารถและแนวทางการพฒั นา ความสามารถ ในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคข์ องนกั เรียน
ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่5 โดย ผเู้ ชี่ยวชาญ และปรับปรุงแกไ้ ขตามขอ้ เสนอแนะของผเู้ ช่ียวชาญ

เครื่องมือการตรวจสอบประกอบดว้ ย

1. เคร่ืองมือการตรวจสอบที่ใชใ้ นการตรวจสอบเพอื่ ยนื ยนั นิยามความสามารถ พฤติกรรมบ่งช้ี
ในแต่ละความสามารถและแนวทางการพฒั นาความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ ง สร้างสรรคข์ องนกั เรียน
ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี5 ใชแ้ บบสมั ภาษณ์ก่ึงโครงสร้าง

2. เคร่ืองมือการตรวจสอบความเหมาะสมและความสอดคลอ้ งของนิยามความสามารถ
พฤติกรรมบง่ ช้ีในแต่ละความสามารถและแนวทางการพฒั นาความสามารถในการ แกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคข์ องนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี5 ใชแ้ บบประเมินความสอดคลอ้ ง โดยผเู้ ช่ียวชาญ

การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลและการวเิ คราะห์ขอ้ มล

ผวู้ จิ ยั เป็นผดู้ าเนินการสมั ภาษณ์ผเู้ ช่ียวชาญดว้ ยตนเองทุกคน และผเู้ ชี่ยวชาญทาการประเมิน
ความสอดคลอ้ งจากน้นั ผวู้ จิ ยั ทาการวเิ คราะห์ขอ้ มูลเกี่ยวกบั นิยาม ความสามารถ และ พฤติกรรมบง่ ช้ีในแต่
ละความสามารถและแนวทางการพฒั นาความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคข์ องนกั เรียนระดบั
ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี6 ดงั น้ี


Click to View FlipBook Version