The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมเล่มบทที่ 6 การเขียนเค้าโครงการวิจัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by suphang.pi62, 2021-11-02 18:23:29

รวมเล่มบทที่ 6 การเขียนเค้าโครงการวิจัย

รวมเล่มบทที่ 6 การเขียนเค้าโครงการวิจัย

75

5. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนการสรา้ งแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรยี นท่มี ตี ่อการจดั
กจิ กรรมการเรยี นรู้ เรื่อง งานประดิษฐ์ทีเ่ ป็นเอกลักษณ์ไทย ประเภทงานใบตอง โดยใชช้ ุดการสอน สาหรบั
นักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปี ท่ี 4 ดงั นี้

5.1 ศกึ ษาเอกสารและงานวิจัยเกยี่ วกบั การวดั ความพึงพอใจ และวธิ สี ร้างแบบสอบถามความพงึ พอใจ
เพอื่ ใชเ้ ป็นแนวทางในการสร้างจากหนงั สือพน้ื ฐานการวจิ ยั การศกึ ษา (สมนึก ภัททิยธนี. 2548 : 74-103) และ
กาหนดรูปแบบมาตราส่วนประมาณคา่ Rubric score

5.2 สรา้ งแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรยี นที่มีต่อชุดการสอน เรือ่ ง งานประดษิ ฐ์ทเ่ี ปน็ เอกลักษณ์
ไทย ประเภทงานใบตอง สาหรับนกั เรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปี ท่ี 4 แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rubric Score) 5
ระดับ จานวน 20 ข้อ ดังน้ี(บุญชม ศรสี ะอาด. 2547 : 101) ค่าเฉล่ยี ระดบั ความพึงพอใจ

4.51-5.00 มากท่ีสุด
3.51-4.50 มาก
2.51-3.50 ปานกลาง
1.51-2.50 นอ้ ย
1.00-1.50 น้อยที่สุด
5.3 นาแบบสอบถามทส่ี ร้างขึ้นเสนอตอ่ อาจารยท์ ี่ปรึกษา เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของและความ
ถกู ต้องของแบบสอบถาม
5.4 นาแบบสอบถามความพงึ พอใจทส่ี ร้างข้ึน พรอ้ มแบบประเมนิ เสนอต่อผ้เู ชย่ี วชาญ จานวน 5 ท่าน (ชุด
เดมิ ) เพ่ือตรวจสอบความเหมาะสม ใหข้ ้อเสนอแนะ และประเมินความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (ค่า IOC)
5.5 นาผลการประเมนิ จากผเู้ ชย่ี วชาญมาหาคา่ ดัชนคี วามสอดคล้องระหว่างข้อคาถามกับสง่ิ ทตี่ อ้ งการวดั
โดยมเี กณฑ์การให้คะแนนดงั นี้

คะแนน +1 สาหรบั ข้อความท่แี นใ่ จว่าสอดคล้องกับสิง่ ที่ต้องการวดั
คะแนน 0 สาหรบั ข้อความที่ไมแ่ นใ่ จว่าสอดคล้องกบั สิ่งทต่ี ้องการวดั
คะแนน -1 สาหรับข้อความที่แน่ใจว่าไม่สอดคล้องกับสง่ิ ที่ต้องการวดั
5.6 วเิ คราะห์หาคา่ ดัชนีความสอดคล้องของแบบสอบถามความพงึ พอใจ คา่ ความสอดคลอ้ งที่ใชไ้ ด้คือ มี
คะแนนเฉลย่ี ต้ังแต่ 0.50ถงึ 1.00 (สมนกึ ภทั ทิยธน.ี 2551 : 220) ซงึ่ แสดงว่าแบบนั้นดี ใชไ้ ด้ตามเน้ือหาทร่ี ะบุไวใ้ น
รายละเอียด และตรงตามวตั ถุประสงค์ของการวิจัย และถา้ แบบใดได้คะแนนเฉลยี่ ตา่ กวา่ 0.50 ตอ้ งนาไปปรบั ปรุง
แกไ้ ข เพราะว่าแบบไมเ่ ปน็ ไปตามเน้อื หาทรี่ ะบุไวใ้ นรายละเอยี ด และไมต่ รงตามวตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย ได้คา่
ความสอดคล้องระหว่าง 0.80 – 1.00
5.7 น าแบบวดั ทีผ่ า่ นการตรวจสอบไปทดลองใช้ (Try Out) กับเปน็ นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ท่ี 4
โรงเรียนซพ่ ิสยั จานวน 30 คน หลังจากเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ แล้วนาข้อมูลท่ไี ดม้ าหาค่าอานาจ

76

จาแนกเปน็ รายข้อโดยใช้ การหาคา่ อานาจจาแนกของแบบวดั ความพงึ พอใจ โดยวธิ หี าสมั ประสทิ ธส์ิ หสัมพันธ์อย่าง
งา่ ยของเพยี ร์สนั (Pearson Correlation) แลว้ คดั เลือกเอาข้อคาถามทมี่ ีความสมั พนั ธ์อย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติ
จานวน 20 ข้อเลอื กข้อที่มคี ่าอานาจจาแนก(rxy) (บุญชม ศรีสะอาด. 2553: 97) คัดเอาเฉพาะข้อที่มีคา่ อานาจ
จาแนก ที่มีค่าระหว่าง 0.20 ถงึ 0.88 จานวน 20 ข้อ

5.8 นาแบบวดั ความพึงพอใจทม่ี ีคา่ อานาจจาแนกอยู่ในเกณฑม์ าหาค่าความเชือ่ มนั่ ด้วยวิธกี ารหา
สมั ประสิทธิ์ ( - Coefficient) ของ (บุญชม ศรสี ะอาด. 2553 : 99) มีคา่ ความเชือ่ ม่นั รวมทัง้ ฉบับเทา่ กับ 0.84

5.9 จัดพิมพแ์ บบวดั ความพงึ พอใจ แล้วนาไปใชก้ บั กลมุ่ ตัวอยา่ ง เพ่ือนนาไปเกบ็ ข้อมลู ต่อไป
วิธดี าเนินการวจิ ัยและเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
การวจิ ัยครั้งนี้ ผู้วจิ ัยได้ดาเนนิ การทดลองกับนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 4/1 จานวน 30 คน โดยดาเนนิ การ
ทดลอง ใช้เวลาจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ 16 ชว่ั โมง ทั้งนี้ไม่รวมเวลาทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรียน ระยะเวลาใน
การทดลอง คือ ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศกึ ษา 2564 ซึง่ มขี ้นั ตอน ดงั นี้

1. ทดสอบก่อนเรยี นดว้ ยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน เรื่อง งานประดษิ ฐ์ที่เป็นเอกลักษณ์ไทย
ประเภทงานใบตอง สาหรับนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปี ที4่ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี
ทดสอบก่อนทจ่ี ะทาการทดลองสอนในชว่ั โมงแรก เพื่อดพู ้ืนฐานความรู้เดิมของนักเรียน

2. ขนั้ ดาเนนิ กิจกรรมการเรยี นการสอน โดยแผนการจดั การเรยี นรู้ท่ีใชช้ ดุ การสอนประกอบการจดั
กิจกรรมการเรยี นการสอน

3. ขัน้ สรุป ในการสรุปความเข้าใจของนกั เรยี นว่าไดเ้ รยี นตรงตามวตั ถุประสงคท์ ี่กาหนดไว้หรอื ไม่
4. ทดสอบหลังเรยี น หลังจากทาการสอนครบ 12 ชั่วโมง โดยนาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนที่
ใช้ทดสอบก่อนเรียน เพื่อวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน และนาขอ้ มลู ทไ่ี ด้มาวิเคราะหห์ าประสทิ ธิภาพของชดุ การสอน
และหาค่าดชั นปี ระสทิ ธิผล

5.7 นาแบบวดั ทผี่ ่านการตรวจสอบไปทดลองใช้ (Try Out) กบั เปน็ นักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปี ท่ี 4
โรงเรียนโซ่พสิ ัย จานวน 30 คน หลงั จากเรียนดว้ ยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แลว้ นาข้อมลู ที่ได้มาหาค่า
อานาจจาแนกเป็นรายข้อโดยใช้ การหาค่าอานาจจาแนกของแบบวัดความพึงพอใจ โดยวธิ หี าสมั ประสทิ ธ์ิ
สหสัมพนั ธอ์ ยา่ งง่ายของเพียร์สัน (Pearson Correlation) แล้วคดั เลอื กเอาข้อคาถามท่ีมีความสัมพนั ธ์
อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถติ ิ จานวน 20 ขอ้ เลือกข้อทม่ี ีค่าอานาจจาแนก (rxy) (บญุ ชม ศรีสะอาด. 2553:
97) คดั เอาเฉพาะข้อท่ีมีคา่ อานาจจาแนก ทม่ี ีค่าระหวา่ ง 0.20 ถึง 0.88 จานวน 20 ข้อ

5.8 นาแบบวดั ความพึงพอใจทม่ี คี ่าอานาจจาแนกอยู่ในเกณฑม์ าหาค่าความเชื่อมั่นดว้ ยวธิ กี ารหา
สัมประสทิ ธิ์ ( - Coefficient) ของ (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2553 : 99) มีคา่ ความเช่อื มั่นรวมทงั้ ฉบบั เทา่ กับ 0.84

5.9 จัดพิมพแ์ บบวดั ความพึงพอใจ แลว้ นาไปใชก้ บั กลมุ่ ตัวอย่าง เพื่อนาไปเก็บขอ้ มูลต่อไป

77

วิธดี ำเนนิ กำรวิจัย

วธิ ดี าเนินการวจิ ัยและเกบ็ รวบรวมข้อมูลการวิจัยคร้งั น้ี ผู้วิจัยได้ดาเนินการทดลองกบั นักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี
4/1 จานวน 30 คน โดยดาเนินการทดลอง ใชเ้ วลาจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ 16 ชั่วโมง ทง้ั น้ีไม่รวมเวลาทดสอบก่อน
เรยี นและหลงั เรียน ระยะเวลาในการทดลอง คือ ภาคเรียนที่ 1 ปี การศกึ ษา 2564 ซง่ึ มีข้ันตอน ดังนี้

1. ทดสอบก่อนเรยี นด้วยแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน เรอื่ ง งานประดษิ ฐ์ทเ่ี ป็นเอกลักษณ์ไทย
ประเภทงานใบตอง สาหรบั นักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปี ที่ 4 กลมุ่ สาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี
ทดสอบก่อนทีจ่ ะทาการทดลองสอนในชัว่ โมงแรก เพื่อดพู ้ืนฐานความรูเ้ ดิมของนักเรียน

2. ข้นั ดาเนนิ กจิ กรรมการเรียนการสอน โดยแผนการจดั การเรยี นรู้ท่ใี ชช้ ุดการสอนประกอบการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอน

3. ขัน้ สรุป ในการสรปุ ความเข้าใจของนกั เรยี นวา่ ได้เรียนตรงตามวัตถุประสงคท์ ี่
กาหนดไว้หรือไม่

4. ทดสอบหลงั เรยี น หลงั จากทาการสอนครบ 16 ชัว่ โมง โดยนาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นท่ี
ใช้ทดสอบก่อนเรยี น เพ่ือวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น และนาขอ้ มลู ที่ได้มาวเิ คราะห์หาประสทิ ธภิ าพของชดุ การสอน
และหาค่าดชั นปี ระสิทธิผลระยะเวลาท่ีใชใ้ นการวิจัยการวิจยั ครั้งน้ี เป็นการวิจยั โดยการทดลองกลมุ่ ตวั อย่างได้มา
โดยวธิ กี ารสุ่มอย่างง่าย Simple Random Sampling ซ่งึ ผู้วิจยั ทาการสอนเอง ใชเ้ วลา 16 ช่วั โมง โดยมขี ้ันตอน
การดาเนนิ การ ดังนี้

1. ระยะเวลาที่ทาการสอน ภาคเรยี นที่ 1 ปี การศกึ ษา 2564 ใชเ้ วลาทดลอง 16 ชั่วโมง
2. นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น กลมุ่ สาระการเรยี นรู้การงานอาชพี
และเทคโนโลยี เรอื่ ง งานประดิษฐ์ทเ่ี ป็นเอกลกั ษณ์ไทย ประเภทงานใบตอง จานวน 40 ข้อไปทดสอบก่อนเรยี น
(Pre-Test) กับนักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 4/1 โรงเรียนโรงเรยี นโซพ่ ิสยั พิทยาคม อาเภอโซ่พิสยั จังหวดั บงึ กาฬ
ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2564 จานวน 30คน ซง่ึ เป็นกลุ่มทดลองและตรวจบันทึกคะแนนไว้เพอื่ นาไปวเิ คราะห์
ขอ้ มูล
3. จัดกจิ กรรมการเรียนรูด้ ้วยชดุ การสอนแตล่ ะชดุ มีข้ันตอน คือ
3.1 จัดกิจกรรมการเรยี นรู้ด้วยชุดการสอนแต่ละชดุ โดยครใู หค้ วามรู้เกยี่ วกบั งานประดษิ ฐจ์ ากใบตอง แลว้
ให้นกั เรยี นแต่ละกลุ่มฝึกปฏบิ ัติ และสรา้ งสรรคช์ ิ้นงานแตล่ ะเรอื่ ง รวม 3 เลม่ ระยะเวลา 16 ช่ัวโมง มีการประเมนิ
ชิน้ งาน และประเมินทักษะปฏิบัตใิ นการประดิษฐ์ ดว้ ยแบบสังเกตการณท์ างาน และแบบตรวจผลงาน มีคะแนน
เตม็ เรื่องละ 10 คะแนน ทุกชดุ การสอน ซึ่งแตล่ ะชดุ จะทาการทดสอบย่อยหลังเรียน ด้วยแบบทดสอบย่อยท้าย
บทเรยี นทกุ คร้งั
3.2 ครแู ละนักเรียนรว่ มกนั สรุปหรือทบทวนเน้ือหา และขนั้ ตอนสาคญั ในการสรา้ งสรรค์ช้ินงานใบตองแต่
ละเรอ่ื ง แลว้ ตัวแทนนักเรียนเกบ็ รวบรวมชุดการสอนคืนในแต่ละกลุ่ม

78

4. ทดสอบหลงั เรยี นดว้ ยแบบทดสอบหลังเรียนทีเ่ ป็นชดุ เดียวกันกบั แบบทดสอบก่อนเรียน จานวน 40 ข้อ
5. ให้นกั เรียนทาแบบสอบถามความพึงพอใจ ที่มีตอ่ ชดุ การสอนทักษะปฏบิ ัติ เร่ือง
งานประดิษฐ์ท่ีเป็นเอกลกั ษณ์ไทย ประเภทงานใบตอง จานวน 20 ข้อ
6. นาคะแนนจากการประเมินชุดการสอนทักษะปฏิบตั กิ ารทดสอบก่อนเรยี นและ
หลงั เรยี น และคะแนนจากแบบสอบถามความพึงพอใจ ไปวิเคราะหข์ ้อมูลทางสถติ ิ เพื่อรายงาน
ผลการพฒั นาชุดการสอนต่อไป
กำรวเิ ครำะหข์ อ้ มลู
ผู้วิจยั ได้วิเคราะห์ข้อมลู โดยมีลาดบั ข้ันตอนดังต่อไปน้ี
1. หาประสิทธิภาพของชุดการสอนทกั ษะปฏบิ ัติ ดว้ ยคา่ ประสทิ ธิภาพกระบวนการ
ผลลพั ธ์(E1/E2) ตามเกณฑ์ 80/80 (บุญชม ศรสี ะอาด. 2546 : 153-155)
2. หาคา่ ดชั นปี ระสิทธผิ ลของชุดการสอน ใชว้ ิธีการของ (Goodman, Fletcher and Schneider. 1990 :
30-34)
3. เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนก่อนเรยี นและหลังเรียน ดว้ ยชุดการสอน ทักษะปฏิบตั ิ ทดสอบ
ด้วยคา่ t (Dependent Samples)
4. เปรียบเทยี บทักษะปฏิบตั ิก่อนเรยี นและหลงั เรยี นด้วยชดุ การสอน ทักษะปฏบิ ตั ิ ทดสอบด้วยค่า t
(Dependent Samples)
5. วิเคราะหค์ วามพงึ พอใจของนักเรยี นทม่ี ตี ่อการจดั กิจกรรมการเรยี นร้ดู ว้ ยชดุ การสอนทกั ษะปฏบิ ตั ิ
เร่ือง งานประดิษฐ์ที่เป็นเอกลักษณ์ไทย ประเภทงานใบตอง โดยใชส้ ถิติพ้นื ฐาน คอื คา่ เฉลย่ี ( ̅ ) และสว่ น
เบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) แล้วแปลความหมายค่าเฉลี่ย
สถติ ทิ ใี่ ช้ในกำรวิเครำะหข์ ้อมูล
1. สถิตวิ ิเครำะห์หำคณุ ภำพเครอ่ื งมือในกำรวิจยั

1.1 สถติ ิพ้นื ฐาน
1.1.1 คา่ รอ้ ยละ (Percentage)

P = f x10
N

เมือ่ P แทน ร้อยละ
F แทน ความถท่ี ต่ี ้องการแปลงให้เป็นร้อยละ
N แทน จานวนความถท่ี ง้ั หมด

1.1.2 ค่าเฉลยี่ (Mean) โดยใช้สตู ร ดังน้ี (บุญชม ศรสี ะอาด. 2547 : 105)

79

̅ =∑ ̅
n

เม่ือ ̅̅ แทน ค่าเฉล่ีย
∑ ̅ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลุ่ม
n แทน จานวนคะแนนในกลุ่ม

1.1.3 สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใช้สตู ร ดังนี้ (บญุ ชม ศรีสะอาด. 2547
:106)

เมอื่ S.D. แทน ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน
X แทน คะแนนแต่ละตัว
n แทน จานวนคะแนนในกล่มุ
∑x แทน ผลรวม

1.2 สถติ ิท่ีใช้ในการวเิ คราะห์หาคุณภาพของเคร่ืองมือ
1.2.1 การหาความเทย่ี งตรงตามเนือ้ หารายข้อของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์แิ ละรายข้อของแบบวัด

ความพงึ พอใจ โดยใช้สูตรดัชนคี วามสอดคล้อง ดังนี้ (สมนึก ภทั ทิยธนี. 2548 : 220)

เมอ่ื IOC แทน ดชั นีความสอดคล้องระหว่างเน้อื หากับรายข้อ

∑R แทน ผลรวมคะแนนความคดิ เห็นของผูเ้ ชย่ี วชาญทงั้ หมด

80
N แทน จานวนผู้เชี่ยวชาญทัง้ หมด
1.2.2 คา่ ความยากง่าย (Difficulty) แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนโดยใช้สูตรของ Brennan
(บญุ ชม ศรีสะอาด. 2535 : 8) ดังน้ี

เมือ่ P แทน ระดบั ความยากงา่ ย
R แทน จานวนผู้ตอบถูกทั้งหมด
N แทน จานวนคนในกลุม่ สงู และกลมุ่ ตา่

1.2.3 ค่าอานาจจาแนก (Discrimnation) แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นโดยใช้สูตร ของ
Brennan (บุญชม ศรีสะอาด. 2535 : 81) ดงั นี้

เม่ือ r แทน คา่ อานาจจาแนก
Ru แทน จานวนคนกลุ่มสูงท่ตี อบถูก
Rl แทน จานวนคนกล่มุ ตา่ ท่ีตอบถูก
n แทน จานวนคนในกลมุ่ สงู หรือกล่มุ ต่าซง่ึ เท่ากัน

81
1.2.4 การหาคา่ ความเชอื่ ม่ัน (Reliability) ของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์โิ ดยใช้วธิ ขี องโลเวทท์ (Lovett)
มีสูตรคานวณดังน้ี (สมนึก ภัททยิ ธนี. 2551 : 220)

เมอื่ rcc แทน คา่ ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ

K แทน จานวนขอ้ สอบ
̅ แทน คะแนนของแต่ละคน
C แทน คะแนนเกณฑ์หรอื จดุ ตัดของแบบทดสอบ
1.2.5 การหาคา่ อานาจจาแนกของแบบวดั ความพึงพอใจโดยวิธีหาสัมประสิทธิ์สหสัมพนั ธ์อยา่ งง่ายของ
เพยี ร์สัน (Pearson Correlation) (บญุ ชมศรี สะอาด. 2545 : 110)

เมือ่ แทน สมั ประสทิ ธ์ิสหสมั พนั ธร์ ะหว่างตัวแปร X กบั Y

∑R แทน ผลรวมของตัวแปล X
∑Y แทน ผลรวมของตวั แปล Y
∑XY แทน ผลรวมทั้งหมดของผลคูณระหวา่ ง X กบั Y แตล่ ะคู่
∑ 2 แทน ผลรวมกาลังสองของค่าตวั แปล X
∑ 2 แทน ผลรวมกาลังสองของค่าตวั แปล Y

N แทน จานวนสมาชกิ ในกลุ่ม

82
1.2.6 การหาคา่ ความเช่ือมั่น (Reliability) แบบวดั ความพงึ พอใจของนกั เรยี นท่ี มีตอ่ ชุดการสอนทักษะ
ปฏบิ ัติโดยการหาสัมประสิทธ์ิแอลฟาตามวธิ ีของครอนบาก (Cronbach) (บุญชมศรี สะอาด. 2545 : 99) มสี ูตร
ดังน้ี

เมอ่ื a แทน ค่าสัมประสิทธค์ิ วามเช่ือมนั่
K แทน จานวนขอ้ ของเครอื่ งมือวัด

∑si2 แทน ผลรวมของความแปรปรวนแต่ละข้อ
si2 แทน ความแปรปรวนของคะแนน

1.3 สถติ ิทใี่ ชท้ ดสอบสมมตฐิ านของคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังเรียน ใชส้ ูตร T-Test (Dependent) (บุญ
ชม ศรีสะอาด. 2545 : 112)

เม่ือ a แทน คา่ สมั ประสิทธค์ิ วามเชือ่ มั่น
K แทน จานวนข้อของเครอ่ื งมือวดั
N แทน ผลรวมของความแปรปรวนแตล่ ะข้อ

∑ แทน ความแปรปรวนของคะแนน

1.4 สถติ ทิ ่ีใช้หาค่าดัชนีประสิทธผิ ล (The Effectiveness Index : E.I.) ของชดุ การสอนทักษะปฏบิ ัติ โดย
ใชส้ ูตร ดงั นี้ (เผชิญ กจิ ระการ. 2548 : 64)

บทที่ 1
บทนำ

ภูมหิ ลงั
ความเจริญก้าวหนา้ ของโลกยุคโลกาภวิ ตั น์ในวทิ ยาการด้านตา่ งๆ มีผลต่อการเปลยี่ นแปลง

ทางสงั คมและเศรษฐกิจของทกุ ประเทศ จึงมคี วามจำเปน็ ท่จี ะต้องปรบั ปรงุ หลักสตู รการศกึ ษาของ
ชาติซงึ่ ถือเปน็ กลไกสำคญั ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศเพอื่ สรา้ งคนไทยใหเ้ ป็นคนดี
มีปัญญามีความสุข มศี ักยภาพพร้อมจะแขง่ ขันและรว่ มมืออย่างสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรยี นรู้
การงานอาชพี เปน็ กลมุ่ สาระที่ช่วยพัฒนาใหผ้ เู้ รียนมีความรูค้ วามเขา้ ใจมีทกั ษะพื้นฐานที่จำเปน็ ตอ่
การดำรงชวี ิต มาใชใ้ นการทำงานอยา่ งมีความคดิ สร้างสรรคแ์ ละแข่งขันในสงั คมไทยและสากล
เหน็ แนวทางในการประกอบอาชพี รักการทำงานและมีเจตคตติ อ่ การทำงานสามารถดำรงชวี ิตได้
อย่างพอเพียงและมีความสุข

สาระการเรียนรกู้ ารงานอาชพี เป็นสาระการเรียนรู้ที่มุ่งพฒั นาผู้เรียนใหม้ คี วามรู้ความเขา้ ใจ
เก่ียวกบั อาชีพ มีทักษะการทำงาน ทกั ษะการจดั การและใช้เทคโนโลยตี ่างๆ มาใช้ในการทำงาน
อยา่ งถกู ต้องและเหมาะสม และมคี ณุ ธรรม สร้างและพฒั นาผลิตภัณฑห์ รือวิธีการใหมๆ่ สามารถ
ทํางานเป็นหมูค่ ณะ มีนสิ ยั รกั การทาํ งาน เหน็ คุณคา่ มีเจตคตติ อ่ การทำงาน ตลอดจนมีคุณธรรม
จรยิ ธรรมและคา่ นยิ มท่ีเป็น พ้นื ฐานไดแ้ ก่ ความขยนั ความซอื่ สัตย์ ประหยัดและอดทนอนั จะ
นำไปสกู่ ารเปน็ ผู้เรยี นท่สี ามารถ ช่วยเหลอื ตนเองและพึ่งตนเองได้ตามพระราชดำรเิ ศรษฐกจิ
พอเพยี ง สามารถดำรงชีวิตอยูใ่ นสงั คม อย่างมคี วามสขุ กลมุ่ สาระการเรียนรู้การงานอาชีพ
เป็นกลุ่มสาระทีช่ ่วยพัฒนาใหผ้ เู้ รยี นมีความรู้ความเขา้ ใจมที กั ษะพ้นื ฐาน ทจ่ี ำเปน็ ต่อการดำรงชวี ติ
และรเู้ ท่าทันการเปลย่ี นแปลงสามารถนำความรเู้ ก่ียวกับการดำรงชีวติ มาใช้ในการทำงานอย่างมี
ความคิดสรา้ งสรรค์

จากการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนดังกลา่ วจะใช้กระบวนการทเี่ นน้ ทักษะปฏบิ ตั ใิ ห้เกิด
เป็นชิ้นงานทม่ี ีการคิดวิเคราะห์ สง่ ผลใหค้ รผู สู้ อนสามารถพฒั นากิจกรรมท่หี ลากหลายและ
นักเรยี นไดล้ งมือปฏบิ ตั ิงานงานด้วยตนเอง ท้ังการทาํ งานเปน็ รายบคุ คล การทาํ งานเปน็ รายกลุม่
เพ่ือส่งเสรมิ ให้นักเรียน ได้เรยี นรู้ ได้รบั ประสบการณ์ตรง โดยการม่งุ เน้นการฝกึ วธิ กี ารทำงาน
อย่างสมำ่ เสมอ เกิดเปน็ ช้ินงาน ท่ีมีความคิดสร้างสรรค์ มที กั ษะกระบวนการทาํ งาน สรา้ งองค์
ความรดู้ ้วยตนเอง รจู้ กั นำความรูแ้ ละ ประสบการณ์ ท่ีไดจ้ ากการเรียนไปประยุกต์ใชใ้ นกลุ่มสาระ
การเรียนรู้อืน่ ๆ และในการดำรงชีวติ ประจำวันอยใู่ นสังคมได้อย่างมคี วามสุข

คำถามของการวจิ ยั
การวจิ ยั คร้ังน้ี ผ้วู จิ ัยไดก้ ำหนดคำถามของการวจิ ัยไว้ ดงั น้ี
1. การพัฒนากจิ กรรมการเรียนรู้ เร่ืองการใช้เศษวัสดุเหลอื ใช้มาประดิษฐ์ของชำร่วย

สำหรับนกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 1 มีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ หรือไม่
2. การพัฒนากจิ กรรมการเรยี นรู้ เรื่องการใชเ้ ศษวัสดเุ หลือใช้มาประดิษฐข์ องชำรว่ ย

สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีทกั ษะในการทำงานการใช้เศษวสั ดเุ หลือใช้มาทำให้เกดิ
คณุ คา่ และเกดิ ประโยชนส์ งู สุด หรอื ไม่

3. ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ท่เี รยี นด้วยกจิ กรรม
การเรียนรู้ทเ่ี นน้ ทักษะปฏิบัติ เร่ืองการใช้เศษวสั ดุเหลือใช้มาประดิษฐ์ของชำร่วย สำหรบั นกั เรียน
ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 หลงั เรียนสงู กวา่ กอ่ นเรียน หรือไม่

4. ระดับความพงึ พอใจของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 1 ที่เรยี นรู้ทม่ี ีตอ่ แผนการจดั การ
เรียนรู้ที่เนน้ ทกั ษะการใช้เศษวสั ดเุ หลอื ใชม้ าประดิษฐ์ของชำร่วย ท่ีพัฒนาข้นึ อยูใ่ นระดับใด

วตั ถุประสงค์ของการวิจยั
การวิจยั คร้ังน้ี ผ้วู จิ ัยได้กำหนดวัตถุประสงค์ของการวจิ ยั ไว้ ดังนี้
1. เพอ่ื หาประสิทธภิ าพของการพัฒนากจิ กรรมการเรียนรู้ เร่อื งการใชเ้ ศษวสั ดเุ หลือใช้มา

ประดษิ ฐข์ องชำร่วย สำหรับนักเรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 ตามเกณฑ์
2. เพือ่ พัฒนาทกั ษะในการทำงานของการพฒั นากิจกรรมการเรียนรู้ เรอ่ื งการใช้เศษวสั ดุ

เหลอื ใชม้ าประดิษฐข์ องชำร่วย สำหรับนกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 1
3. เพอื่ เปรียบเทียบความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์เชิงสร้างสรรค์ สำหรบั นักเรียนชัน้

มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 ระหวา่ งกอ่ นเรียนและหลังเรียน
4. เพอ่ื ศึกษาความพึงพอใจของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ท่เี รยี นรู้ท่ีมตี ่อแผนการ

จัดการเรียนรู้ท่ีเนน้ ทักษะการใชเ้ ศษวสั ดุเหลือใชม้ าประดิษฐ์ของชำรว่ ย

ประโยชน์การทำวิจยั
ผลของการวจิ ยั ในคร้งั นที้ าใหไ้ ด้สงิ่ ต่อไปน้ี
1. ไดแ้ ผนการพฒั นากิจกรรมการเรยี นรู้ เรอ่ื งการใช้เศษวสั ดุเหลือใช้มาประดษิ ฐ์ของ

ชำรว่ ย สำหรบั นักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 ท่ีมีคณุ ภาพเพอื่ นำไปจดั กจิ กรรมใหแ้ ก่นกั เรยี น
ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 แล้วมีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์

2. ได้แนวทางในการพัฒนากิจกรรมการเรยี นรกู้ ารงานอาชีพ และการนำแนวคิดที่ใชไ้ ป
พฒั นานวตั กรรมใหม่ ๆ

สมมติฐานของการวจิ ัย
การวจิ ัยคร้ังน้ี ผวู้ จิ ัยไดก้ ำหนดสมมติฐานของการวจิ ัย ดังน้ี
1. การพฒั นากจิ กรรมการเรยี นรู้ เร่ืองการใชเ้ ศษวัสดุเหลือใชม้ าประดิษฐ์ของชำรว่ ย

สำหรับนกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 1 มปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ท่ีตง้ั ไว้ที่
2. การพัฒนากจิ กรรมการเรยี นรู้ เพื่อเสรมิ สรา้ งความสามารถมที ักษะในการทำงาน

การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ เรอื่ งการใชเ้ ศษวสั ดุเหลือใชม้ าประดิษฐ์ของชำรว่ ย สำหรบั นักเรยี น
ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 1

3. นกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 มีความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์เชิงสร้างสรรค์ โดยใช้
เศษวัสดุเหลือใชม้ าประดิษฐ์ของชำร่วย สำหรับนกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 1 สูงกวา่ ก่อนเรียน

4. เพื่อศกึ ษาความพงึ พอใจของนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปที ี่ 1 ที่เรยี นรู้ท่ีมตี อ่ แผนการ
จัดการเรยี นรู้ท่ีเนน้ ทักษะการใช้เศษวัสดุเหลอื ใชม้ าประดิษฐข์ องชำรว่ ย อยใู่ นระดับมากขึ้นไป

วตั ถุประสงค์ของการวิจยั
การวจิ ัยคร้ังน้ี ผู้วจิ ัยไดก้ ำหนดวัตถุประสงค์ของการวจิ ยั ไว้ ดงั นี้
1. เพอ่ื หาประสิทธภิ าพของการพฒั นากจิ กรรมการเรียนรู้ เร่อื งการใช้เศษวสั ดเุ หลือใชม้ า

ประดษิ ฐข์ องชำรว่ ย สำหรับนักเรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 ตามเกณฑ์
2. เพ่ือพัฒนาทักษะในการทำงานของการพัฒนากจิ กรรมการเรียนรู้ เร่ืองการใช้เศษวัสดุ

เหลือใชม้ าประดิษฐ์ของชำร่วย สำหรับนกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 1
3. เพื่อเปรยี บเทยี บความสามารถในการคดิ วิเคราะห์เชงิ สร้างสรรค์ สำหรบั นักเรียนชนั้

มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ระหวา่ งก่อนเรยี นและหลงั เรียน
4. เพอ่ื ศกึ ษาความพงึ พอใจของนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 1 ทีเ่ รยี นรู้ที่มตี ่อแผนการ

จัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการใชเ้ ศษวสั ดุเหลือใชม้ าประดษิ ฐ์ของชำรว่ ย

ขอบเขตของการวิจยั
การวจิ ัยคร้ังนี้ ผวู้ ิจัยไดก้ ำหนดขอบเขตของการวจิ ัย ดังนี้
1. ขอบเขตด้านประชากรและกลุม่ ตวั อย่าง
1.1 ประชากร คือ นกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม สังกัดสำนักงาน

เขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษามัธยมศึกษาสกลนคร ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 จำนวน 12 หอ้ งเรียน
รวมทง้ั สนิ้ 384 คน

1.2 กลมุ่ ตัวอยา่ ง คือ นกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรียนพงั โคนวิทยาคม สังกดั
สำนักงานเขตพื้นที่การศกึ ษามัธยมศกึ ษาสกลนคร ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
จำนวน 1 ห้องเรียน รวมท้ังสนิ้ 32 คน ซ่ึงไดม้ าโดยวธิ กี ารสมุ่ ตวั อย่างแบบแบง่ กล่มุ (Cluster
sampling) เนื่องจากนักเรียนห้องเรียนดังกล่าวมีลกั ษณะเป็นช้นั เรยี นทค่ี ละความสามารถ
ประกอบด้วย นกั เรียน เก่ง ปานกลาง และออ่ น ซึ่งมลี ักษณะทม่ี สี ภาพคลา้ ยคลงึ กบั หอ้ งเรียนอ่ืนๆ
ดงั นั้นจึงเปน็ ตัวแทนของประชากรได้

2. ขอบเขตดา้ นตวั แปร
2.1 ตัวแปรอสิ ระ คือ การพฒั นากจิ กรรมการเรยี นรู้ เรอ่ื งการใชเ้ ศษวสั ดเุ หลอื ใช้มา

ประดษิ ฐข์ องชำรว่ ย
2.2 ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่
2.2.1 ประสิทธิภาพของการพัฒนากจิ กรรมการเรียนรู้ การใช้เศษวสั ดเุ หลือใช้มา
ประดิษฐข์ องชำรว่ ย
2.2.2 ทักษะในการทำงานของการพัฒนากจิ กรรมการเรยี นรู้ การใชเ้ ศษวัสดุเหลือ
ใช้มาประดษิ ฐ์ของชำร่วย
2.2.3 ความสามารถในการคดิ วิเคราะห์เชิงสรา้ งสรรค์
2.2.4 ความพงึ พอใจทีม่ ีตอ่ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้

3. ขอบเขตดา้ นเนื้อหา
การวจิ ยั ในครง้ั นี้มีขอบขา่ ยเนือ้ หาทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย ดังนี้
3.1 การประดิษฐข์ องชำร่วยในโอกาสตา่ ง ๆ
3.2 การประดษิ ฐข์ องที่ระลกึ
3.3 การประดิษฐพ์ วงกุญแจ
3.4 การประดิษฐ์ถุงหอม
3.5 การประดษิ ฐ์กระเป๋า

4. ขอบเขตด้านระยะเวลาในการทดลองใช้กจิ กรรมการเรียนรู้
ระยะเวลาทีใ่ ช้ในการพฒั นากจิ กรรมการเรยี นรู้วิชาการงานอาชีพ

เรอ่ื ง การใช้เศษวสั ดเุ หลือใชม้ าประดิษฐข์ องชำรว่ ย สำหรบั นักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 1
จำนวน 3 สัปดาห์ สปั ดาห์ละ 6 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564 รวมทัง้ สน้ิ 18 ชวั่ โมง
(ไมร่ วมเวลาทดสอบก่อนเรียนและหลังเรยี น)

กรอบแนวคดิ ของการวิจัย
ในการพฒั นากจิ กรรมการเรียนรู้ เรอื่ งการใช้เศษวสั ดุเหลอื ใชม้ าประดษิ ฐข์ องชำร่วย

สำหรับนักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 1 ม่งุ เนน้ ในการพัฒนาความคดิ สร้างสรรค์ด้านทักษะการ
ประดิษฐเ์ ชงิ สรา้ งสรรค์โดยใช้เศษวัสดุเหลอื ใช้

ตัวแปรตน้ ตัวแปรตาม

การพฒั นากจิ กรรมการเรียนรกู้ ารใช้เศษ ประสทิ ธิภาพของการพัฒนากิจกรรม
วัสดุเหลอื ใชม้ าประดษิ ฐ์ของชำร่วย การเรียนรู้ การใช้เศษวัสดุเหลือใชม้ า
โดยมขี ัน้ ตอน ดงั น้ี ประดษิ ฐข์ องชำรว่ ยกจิ กรรมการเรียนรู้
1. ขั้นนาเขา้ ส่บู ทเรียน เรยี นรู้ การใชเ้ ศษวสั ดเุ หลือใช้มา
2. ขัน้ สอน ประดษิ ฐ์ของชำร่วยย
3. ขั้นสรปุ ทักษะในการทำงานของการพัฒนา
4. ขั้นประเมนิ ผล กจิ กรรมการเรยี นรู้ การใช้เศษวัสดุเหลือ
ใช้มาประดษิ ฐ์ของชำรว่ ยชำร่วยของการ
พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ การใช้เศษ
วัสดเุ หลอื ใชม้ าประดิษฐ์ของชำรว่ ยย

ความสามารถในการคิดวเิ คราะห์เชิง
สร้างสรรค์

ความพงึ พอใจท่ีมีต่อการจัดกิจกรรมการ
เรยี นรู้

นิยามศพั ท์เฉพาะ
การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน หมายถงึ การกระทำกจิ กรรมใดๆก็ตามท่เี กิดขึ้น

ระหว่างบทเรียน อนั เนอ่ื งมาจากการทีผ่ ูส้ อนสอื่ ความหมายกับผู้เรียนโดยใช้สื่อชนดิ ตา่ งๆ เพ่ือ
ตดิ ตอ่ สื่อ ความหมายเกี่ยวกับเนอ้ื หาสาระท่ผี ู้เรยี นต้องศกึ ษาตามหลกั สูตรทีว่ างไว้

การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ หมายถึง การมวี ตั ถุประสงคเ์ พ่อื พัฒนาใหผ้ ู้เรียนมที กั ษะ
การเรียนรู้และมใี จใฝเ่ รียนรตู้ ลอดเวลา มกี ารออกแบบระบบการเรียนรู้ใหม่ การเปลยี่ นบทบาทครู
การเพมิ่ ประสิทธิภาพระบบบรหิ ารจดั การศกึ ษา และการพัฒนาระบบการเรยี นรู้ตลอดชีวิต การ
วางพนื้ ฐานระบบรองรับการเรียนรู้ และการสร้างระบบการศึกษาเพ่ือเปน็ เลิศทางวชิ าการระดับ
นานาชาติอกี ท้งั ยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการพัฒนาคนไทยตามพหปุ ัญญาให้เตม็ ตาม
ศักยภาพ การสรา้ งเสริมศักยภาพผมู้ คี วามสามารถพิเศษให้สามารถต่อยอดการประกอบอาชีพได้
อย่างม่นั คง รวมถงึ การพัฒนาต่อยอดงานวจิ ัยในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพือ่ ตอบโจทย์การพัฒนา
ประเทศ และเสรมิ สรา้ งศักยภาพและความเข้มแขง็ ของประเทศ

เศษวสั ดุเหลอื ใช้ หมายถึง สง่ิ ของตา่ งๆทเ่ี หลือใชจ้ ากการใชง้ านของวัสดุแล้ว ซึ่งอาจเป็น
เปลอื กหรือเศษทีเ่ หลอื จากวัสดุ เชน่ เศษผ้า เศษระดาษ เศษไม้ ฝาน้ำอดั ลม เปลอื กไข่ เป็นต้น

ของชำรว่ ย หมายถึงของตอบแทนผมู้ าชว่ ยงานเช่นงานแต่งงานขนึ้ บ้านใหมแ่ ละงานตา่ งๆ
การประดษิ ฐ์ของชำร่วยของทรี่ ะลกึ ควรประดษิ ฐใ์ นลักษณะสวยงาม กะทัดรดั อาจประดษิ ฐด์ ว้ ย
ดอกไม้สด ดอกไมแ้ ห้ง บหุ งา พวงกุญแจ ผปู้ ระดิษฐ์จะต้องมคี วามคดิ ริเร่มิ ประดิษฐส์ ง่ิ ของใหม่ๆ
ใหท้ นั สมยั เหมาะสมกบั สภาพแวดล้อมหางสังคมสามารถนำมาประยกุ ตใ์ หเ้ ป็นอาชีพอิสระได้

บทท่ี 2
เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กีย่ วข้อง

ในการวิจยั คร้ังนผ้ี วู้ จิ ัยไดศ้ กึ ษาเอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวขอ้ ง ซงึ่ นำเสนอแนวทางใน การ
วจิ ัย ตามลำดบั ขนั้ ดังน้ี
1.หลักสตู รการศึกษาขน้ั พื้นฐานพุทธศักราช2551
2. สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี
3.แนวคดิ หลักการทเี่ กยี่ วข้องกับงานประดิษฐ์
4.แนวคิดทฤษฎที เ่ี กยี่ วข้องกับความพึงพอใจ
5. งานวจิ ยั ท่เี กีย่ วข้อง

หลักสูตรการศกึ ษาขน้ั พื้นฐานพุทธศักราช 2551
หลักสูตรการศึกษาขน้ั พ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 เปน็ หลักสูตรแกนกลางของประเทศซ่งึ มี

แนวดำเนินการดงั น้ี

วสิ ัยทศั น์
หลักสูตรเกณฑก์ ลาง การศึกษาขัน้ พน้ื ฐานมงุ่ พัฒนาผูเ้ รียนทกุ คนซงึ่ เป็นกำลังของชาติให้

มนุษยท์ ี่มีความสมดุลยท์ ัง้ ร่างกายความรูค้ ุณธรรมมีจิตสำนึกและในความเปน็ พลเมืองไทยและเปน็
พลเมอื งโลกยึดมัน่ ในการปกครองตามระบบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นประมุขมี
ความร้แู ละทกั ษะพื้นฐานรวมทงั้ เจตคติท่ีจำเปน็ ตอ่ การศกึ ษาตอ่ การประกอบอาชีพและการศกึ ษา
ตลอดชีวิตโดยม่งุ เน้นผเู้ รยี นเปน็ สำคญั บนพื้นฐานความเชอื่ ว่าทกุ คนสามารถเรียนรู้และพฒั นา
ตนเองได้เต็มศกั ยภาพ

หลกั การหลักสูตรแกนการการศึกษาขนั้ พน้ื ฐานมีหลักการท่สี ำคัญดังนี้
1.เปน็ หลกั สตู รการศึกษาเพือ่ ความเปน็ เอกภาพของชาตทิ ่ีมีจดุ หมายและมาตรฐานการ

เรียนรู้เปน็ เปา้ หมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนใหม้ ีความรทู้ กั ษะเจตคติ และคุณธรรมบน
พน้ื ฐานของการเปน็ ไทยควบค่กู ับความเป็นสากล

2. เป็นหลกั สตู รการศึกษาเพ่อื ปวงชนท่ีประชาชนทกุ คนมโี อกาสไดร้ ับการศึกษาอยา่ งเสมอ
ภาคและมคี ณุ ภาพ

3. เปน็ หลักสูตร การศกึ ษาทส่ี นองการกระจายอำนาจใหส้ งั คมมสี ่วนร่วมในการจัด
การศึกษาใหส้ ดของกับสภาพและความตอ้ งการของทอ้ งถิ่น

4. เปน็ หลกั สตู รการศึกษาทม่ี ีโครงสร้างยดื หยนุ่ ท้งั ด้านสาระการเรียนรูแ้ ละเวลาการจดั การ
เรยี นรู้

5. เป็นหลกั สูตรการศึกษาท่ีเนน้ ผู้เรียนเปน็ สำคัญ
6. เป็นหลักสตู รการศึกษาสำหรบั การศกึ ษาในระบบนอกระบบและตามอัธยาศยั ครอบคลมุ
ทุกกล่มุ เปา้ หมายสามารถเทียบโอนผลการเรยี นร้แู ละประสบการณ์

จดุ หมาย
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐานพัฒนาผูเ้ รียนใหเ้ ปน็ คนดีมปี ญั ญามีความสุขมี

ศกั ยภาพในการศึกษาตอ่ และประกอบอาชพี จึงกำหนดเปน็ จดุ หมายเพ่อื ใหเ้ กิดกับผเู้ รียนเมอื่ จบ
การศึกษาขัน้ พ้ืนฐานดังนี้

1. มีคุณธรรมจริยธรรมและคา่ นยิ มทพ่ี ึงประสงคเ์ หน็ คณุ ค่าของตนเองมีวินยั และปฎิบัติตน
ตามหลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาหรือศาสนาทต่ี นเองนบั ถอื หรอื ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพียง

2. มีความรคู้ วามสามารถในการสื่อสารการคดิ การแกป้ ัญหาการใชเ้ ทคโนโลยีและมที กั ษะ
ชีวิต

3.มีสขุ ภาพกายและสุขภาพจิตทด่ี มี ีสขุ นิสัยและรักการออกกำลังกาย
4. มีความรักชาตมิ ีจิตสำนึกในความเปน็ พลเมืองไทยและพลเมืองโลกยึดมนั่ ในวิถีชีวิตและ
การปกครองตามระบบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษัตริยท์ รงเปน็ ประมขุ
5.มีตดิ สำนึกในการอนุรกั ษว์ ัฒนธรรมและภูมปิ ญั ญาไทยการอนรุ ักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมมี
จิตสาธารณะท่ีมุ่งทำประโยชน์และสรา้ งสิ่งทดี่ ีงามในสังคมและอยู่รว่ มกันในสงั คมอย่างมคี วามสุข

สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐานมงุ่ ให้ผเู้ รยี นเกดิ สมรรถนะสำคญั 5ประการดังน้ี
1. ความสามารถในการส่ือสารเป็นความสามารถในการรบั และส่งศาลมวี ัฒนธรรมในการใช้

ภาษาถ่ายทอดความคดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจทางความรู้สกึ และทัศนะของตนเองเพ่ือแลกเปลยี่ น
ขอ้ มูลข่าวสารและประสบการณอ์ นั เป็นประโยชน์ตอ่ การพฒั นาตนเองและสังคม

2. ความสามารถในการคิดเป็นความสามารถในการคิดวเิ คราะหก์ ารคดิ วิเคราะห์การคดิ
อย่างสร้างสรรค์การคดิ อย่างมวี ิจารณญาณ และการคิดเปน็ ระบบเพอ่ื นำไปสู่การสร้างองคค์ วามรู้
หรือสาระสนเทศเพ่ือการตัดสนิ ใจเก่ียวกับตนเองและสังคมได้อยา่ งเหมาะสม

3. ความสามารถในการแกไ้ ขปัญหาเป็นความสามารถในการแกไ้ ขปญั หาและอุปสรรค
ต่างๆที่เผชิญได้อยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสมบนพ้นื ฐานของหลกั เหตุผลคณุ ธรรมและข้อมูลสาระสนเทศ
เขา้ ใจความสัมพนั ธแ์ ละการเปลี่ยนแปลงของเหตกุ ารณ์ต่างๆในสังคม

4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิตเปน็ ความสามารถในการนำกระบวนการต่างๆไปใช้ใน
การดำเนินชีวติ ประจำวนั การเรียนรู้ดว้ ยตนเองการเรียนรอู้ ย่างตอ่ เนื่องการทำงานและการอยู่
รว่ มกนั ในสงั คมด้วยการสร้างเสริมความสมั พันธอ์ นั ดีระหว่างบคุ คลการจัดการปัญหาและความ
ขัดแยง้ ตา่ งๆอยา่ งเหมาะสมการปรบั ตัวให้ทันกบั การเปลย่ี นแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม
และการรู้จักหลกี เลย่ี งพฤตกิ รรมไมพ่ งึ ประสงค์ทส่ี ่งผลกระทบตอ่ ตนเองและผอู้ ื่น

5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยเี ป็นความสามารถในการเลอื กและใชเ้ ทคโนโลยตี า่ งๆ
และมที กั ษะกระบวนการทางเทคโนโลยีเพ่อื การพัฒนาตนเองและสังคมในด้านความรู้การส่อื สาร
การทำงานการแก้ไขปัญหาอยา่ งสร้างสรรคถ์ ูกต้องเหมาะสมและมคี ณุ ธรรม

คณุ ลักษณะอันเพง่ิ ประสงค์
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐานมงุ่ พฒั นาผู้เรียนใหม้ คี ณุ ลักษณะอันเพิ่งประสงค์

เพอื่ สามารถอย่รู ่วมกันกับผูอ้ ื่นในสังคมได้อยา่ งมคี วามสุขในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลเมอื งโลก

สาระการเรียนรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี
กลุ่มสาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยีเป็นกลุ่มสาระทีช่ ว่ ยพฒั นาใหผ้ เู้ รียนมี

ความรูค้ วามเขา้ ใจมที ักษะพ้นื ฐานท่จี ำเปน็ ต่อการดำเนินชวี ติ และ รเู้ ทา่ ทันการเปลยี่ นแปลง
สามารถนำความรู้เก่ียวกบั การดำลงชวี ติ การงานอาชีพและเทคโนโลยมี าใชป้ ระโยชนใ์ นการทำงาน
อย่างมคี วามคิดสร้างสรรค์และแขง่ ขนั ในสังคมไทยและสากลเห็นแนวทางในการ ประกอบอาชีพ
รักการทำงานและมเี จตคตทิ ีด่ ีตอ่ การทำงานสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมไดอ้ ย่างพอเพยี งและมี
ความสขุ กลมุ่ สาระการเรียนรกู้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยมี ่งุ พัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวมเพอ่ื ให้มี
ความรคู้ วามสามารถมีทกั ษะในการทำงานเหน็ แนวทางในการประกอบอาชีพและการศึกษาตอ่ ได้
อย่างมปี ระสิทธิภาพโดยมีสารสำคญั ดังนี้

สาระการเรียนรู้
สาระที่ 1 การประดษิ ฐ์ของตกแตง่ จากวัสดุในท้องถนิ่
สาระที่ 2 วิธีการสร้างงานประดิษฐ์
สาระท่ี 3ความรเู้ บอ้ื งต้นเก่ยี วกบั งานประดษิ ฐ์ของตกแต่ง
สาระท่ี 4 การใชเ้ ศษวสั ดุเหลือใชม้ าประดษิ ฐข์ องชำร่วย

สาระที่ 1
การดำรงค์ชีวติ และครอบครัว
เร่ืองการประดษิ ฐข์ องตกแตง่ จากวสั ดุในท้องถ่ิน

สาระสำคญั การประดิษฐ์ของตกแตง่ ควรเลอื กใช้วัสดทุ ห่ี าได้ง่ายหรือมรี าคาไมแ่ พงแลว้ นำมา
ออกแบบและประดิษฐ์ชิ้นงานตามกระบวนการทำงาน
สาระท่ี 2
การดำรงชีวิตและครอบครัว
เรอ่ื งวิธีการสร้างงานประดิษฐ์

สาระสำคญั การสร้างงานประดิษฐใ์ ห้เกิดเปน็ ผลงานทม่ี ี คุณค่ามคี วามสวยงามและสามารถ
นำมาใช้งานได้จะต้องผ่านกระบวนการคิดสร้างสรรค์การสรา้ งงานด้วยวิธีที่แตกต่างกันตาม
ลักษณะของงานท่จี ะทำ
สาระท่ี 3
การดำรงชวี ติ และครอบครัว
เรอื่ ง ความรู้เบื้องตน้ เกี่ยวกับงานประดิษฐข์ องตกแตง่

งานประดิษฐข์ องตกแตง่ มปี ระโยชนต์ อ่ ผปู้ ระดิษฐ์หลายอย่างซง่ึ ผปู้ ระดิษฐ์ควรคำนงึ ถงึ
หลักการประดิษฐข์ องตกแต่งโดยเลอื กใช้วัสดุอปุ กรณ์และเครอ่ื งมือตา่ งๆสร้างสันช้ินงานทเ่ี น้น
ความสวยงามเปน็ สำคัญ
สาระท่ี 4
การดำรงชีวติ และครอบครัว
เรอ่ื งการใชเ้ ศษวสั ดเุ หลือใช้มาประดษิ ฐ์ของชำร่วย

งานประดิษฐข์ องตกแต่งของชำร่วยจากวัสดเุ หลือใช้ควรใชว้ ัสดเุ หลอื ใชท้ ี่มีอยภู่ ายในบ้านมา
ประดิษฐ์เป็นของชำรว่ ยอยา่ งสร้างสรรค์และสวยงามและ ควรเป็นวัสดุทีม่ ีราคาไม่แพงเพอ่ื นำมา
ทำเปน็ ของชำรว่ ยอย่างสวยงาม

กระบวนการเรียนรู้
กลวธิ กี ารจดั การเรยี นของกลมุ่ การงานอาชพี และเทคโนโลยีกลวิธกี ารจัดการเรียนร้เู ปน็ หัวใจ

สำคญั ของการจัดพัฒนาผ้เู รยี นใหบ้ รรลุตามมาตรฐานการเรียนรสู้ ำหรับกลมุ่ การงานอาชพี และ
เทคโนโลยแี นวความคิด หลักของกลวธิ กี ารเรยี นรู้มคี ุณลกั ษณะดังตอ่ ไปน้ี

1. จดั การเรียนรูใ้ ห้ครบองรวมของการพัฒนาตามศกั ยภาพผเู้ รียน
2. การจดั การเรียนรู้ตอ้ งกำหนดเปน็ งานโดยแตล่ ะงานต้องเป็นไปตามโครงสร้างการ
เรียนร้ขู องกลมุ่ การงานอาชีพและเทคโนโลยี
3. การจัดการเรยี นรู้ผู้สอนสามารถนำความรู้ทักษะกระบวนการคุณธรรมจริยธรรมและ
คา่ นิยมจากสาระภายในกลมุ่ มาบูรณาการกนั ได้หรอื นำสาระจากกลมุ่ วชิ าอืน่ มาบรู ณาการกับสาระ
ของกลุ่มการงานอาชพี และเทคโนโลยีไดเ้ พ่อื ให้ผ้เู รยี นสามารถปฏบิ ัติงานตามกระบวนการการ
เรียนรตู้ า่ งๆเชน่ กระบวนการการทำงานกระบวนการการคดิ กระบวนการการตัดสนิ ใจกระบวนการ
การแก้ไขปัญหากระบวนการการเรียนรแู้ บบมีสว่ นร่วมจนเกิดทักษะในการทำงานและได้ชน้ิ งาน
รวมทงั้ สรา้ งพฒั นางานและวิธกี ารใหม่
4. การจัดการเรยี นรู้ไดท้ ั้งภายในฉนั เรยี นนอกฉันเรยี นโดยจดั ในสถาน ปฏบิ ัตงิ านเร่ง
วิทยาการสถานประกอบการสถานประกอบอาชพี อสิ ระท้ังน้ใี หข้ ึ้นอยกู่ ับสภาพความพร้อมของ
สถานศกึ ษาผเู้ รยี นและดุลพินจิ ของผู้สอนโดยคำนงึ ถงึ สภาพการเปลย่ี นแปลงทางสงั คมเศรษฐกิจ
ของเทคโนโลยี
5. จัดการเรียนรโู้ ดยกระตุ้นใหผ้ ้เู รยี นกำหนดงานท่มี คี วามหมายกับผู้เรียนซ่งึ จะทำให้
ผู้เรยี นเห็นผลประโยชน์ความสำคญั เหน็ คุณคา่ ยอ่ มทำให้เกดิ ความภาคภมู ิใจในการปฏิบัติงาน
6. จดั การเรียนรโู้ ดยผูส้ อนตอ้ งคำนงึ ถึงความต้องการความสนใจความพร้อมทางร่างกาย
อุปนสิ ัยสตปิ ญั ญาและประสบการณ์เดิมของผเู้ รียน

รปู แบบการจัดการเรยี นรู้
เพ่ือให้ผู้เรียนประสบความสำเรจ็ ในการเรียนกลมุ่ การงานอาชพี และเทคโนโลยจี งุ เสนอและ

รปู แบบการจดั การเรยี นรู้ดงั นี้
1. การจัดการเรียนรปู้ ฏิบัติจรงิ
2. การจัดการเรยี นรกู้ ารค้นคว้า
3. การเรียนรู้จากประสบการณ์
4.การเรียนรู้จากการทำงานกล่มุ

แนวทางการวัดผลและประเมนิ ผลการเรยี นรู้
การวัดผลและประเมินผลการเรียนร้จู ะบรรลตุ ามเปา้ หมายของการเรียนการสอนทวี่ างไวไ้ ด้

ควรมีแนวทางดงั ต่อไปน้ี
1. ตอ้ งวดั และประเมนิ ผลทัง้ ความรูค้ วามคดิ ความสามารถทกั ษะและกระบวนการเจตคติ

คุณธรรมจรยิ ธรรมคา่ นิยมรวมท้ังโอกาสในการเรียนรู้ของผเู้ รียน
2. วิธีการวดั และประเมนิ ผลสอดคล้องกบั มาตรฐานการเรียนรทู้ ่กี ำหนด
3. ต้องเกบ็ ขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ากการวัดและประเมินผลตามความเป็นจรงิ และประเมินภายใต้

ข้อมลู ท่ีมีอยู่
4. ผลการวัดและประเมินผลการเรยี นร้ขู องผู้เรยี นต้องนำไปสกู่ ารแปลผลและข้อสรปุ ที่

สมเหตสุ มผล
5. การวดั และประเมินผลต้องมีความเท่ยี งตรงและเปน็ ธรรมท้ังในดา้ นของวธิ ีการวัดโอกาส

ของการประเมนิ

แนวคดิ หลักการท่เี ก่ียวขอ้ งกบั การใชส้ ทิ ธ์วิ ัสดเุ หลอื ใช้มาประดษิ ฐข์ องชำรว่ ย
งานประดษิ ฐเ์ ปน็ งานทเ่ี กย่ี วขอ้ งสัมพนั ธก์ ับชวี ิตประจำวันของคนไทยมาชา้ นานแล้วการ

ประดษิ ฐ์เศษวสั ดุเหลอื ใช้มาเป็นของชำรว่ ยซงึ่ การสร้างสรรคง์ านประดษิ ฐ์ให้ประสบความสำเรจ็
นั้นผ้ปู ระดิษฐ์จะต้องมีความอดทนความตั้งใจรกั ในงานท่ีทำ หมัน่ ฝึกฝนจนเกิดความชำนาญใน
งานนัน้ นนั้ นอกจากนผ้ี ู้ประดษิ ฐจ์ ำเป็นตอ้ งมีความรู้เกย่ี วกับการใช้สกี ารออกแบบรูปร่างรปู ทรง
และวสั ดุทน่ี ำมาใชใ้ นงานประดษิ ฐ์ของชำรว่ ย

แนวคิดทฤษฎที เี่ กย่ี วขอ้ งกบั ความพึงพอใจ
ความพึงพอใจเป็นความรสู้ กึ ที่บคุ คลมตี อ่ สง่ิ ทไี่ ดร้ บั ประสบการณแ์ ละแสดงออกมาหรอื

พฤติกรรมการตอบสนองในลกั ษณะแตกตา่ งกันไป ความพงึ พอใจ ต่อส่ิงตา่ งๆนั้นจะมมี ากข้ึนอยู่
กับแรงจงู ใจการสร้างแรงจูงใจหรอื การกระตุ้นให้เกดิ แรงจูงใจกบั ผู้ปฏบิ ัติงานจึงเปน็ สง่ิ สำคัญ
เพอื่ ใหง้ านหรอื สง่ิ ที่ทำน้นั ประสบความสำเร็จการศึกษาเก่ยี วกบั ความเพิง่ พอใจเปน็ การศึกษาตาม
ทฤษฎที างพฤตกิ รรมมาสาดท่เี ก่ยี วข้องกบั ความตอ้ งการของมนษุ ย์

งานวิจัยทเ่ี กยี่ วขอ้ ง
ชูศักด์ิอนั สันเทียะ (2540 บทคดั ยอ่ ) ได้วิจยั แผนการสอนที่มีประสทิ ธภ์ิ าพเรือ่ งการตอนกง่ิ

กล่มุ สาระการเรียนรกู้ ารงานอาชีพชนั้ ประถมศึกษาปที ่หี กในโรงเรียนที่ตงั้ อยู่บนเขาภูแลนดา
สำนกั งานการประถมศึกษาจังหวดั ชัยภมู ิแผนและสอื่ จำนวนหา้ แผน่ ผลการวิจยั พบว่าแผนทีส่ ร้าง
ขนึ้ มีประสทิ ธภิ าพ

นิยม ทิพย์จักร์ (2540 หน้า 93-94) ไดท้ ำการวจิ ัยเร่ืองการสร้างแผนการสอนท่เี น้นทักษะ
กระบวนการวิชาสังคมศึกษาเรอ่ื งการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ห้าตาม
หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายพทุ ธศักราช 2524 ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2533 ผลการวิจยั พบวา่
แผนการโสดทสี่ รา้ งข้ึนมีประสิทธภิ าพ 82.50/82.73 แสดงว่า แผนการสอนทสี่ รา้ งขึ้นมี
ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80 / 80 ส่วนผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนระหวา่ งคะแนนทดสอบก่อนเรียน
และหลังเรยี นแตกต่างกันอยา่ งมีในสำคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ. 01แสดงวา่ การเรยี นโดยใชแ้ ผนการ
สอนท่เี น้นทักษะกระบวนการช่วยให้นักเรยี นมีความรู้เรื่องการอนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติมากข้นึ
สำหรับแผนการสอนทีเ่ น้นกระบวนการมีคะแนนเฉล่ีย = 3.87 ซงึ่ อยู่ในระดับที่เหมาะสมมาก

ปิยฉัตร เพชรไพลนิ ทร์ (2542บทคดั ยอ่ ) วิเศษการสร้างแผนการสอนท่เี นน้ กระบวนการวชิ า
ส 071 ทอ้ งถ่นิ ของเราเร่ืองภมู ิศาสตรก์ ายภาพและการอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาตสิ ำหรับฉัน
มธั ยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นชุมแพศึกษาอำเภอชุมแพจงั หวดั ขอนแก่นผลการวิจัยพบวา่ แผนการ
สอนทเี่ นน้ กระบวนการที่ผู้วิจยั สรา้ งข้นึ มีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑม์ าตรฐาน 82.00 / 80.19 และ
ดา้ นนักเรียนท่ีเรยี นดว้ ยแผนการสอนมผี ลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนหลงั เรยี นสงู กว่ากอ่ นเรยี นอยา่ งมี
วนิ ยั สำคญั ทางสถติ ทิ ี่ระดบั 0.01

พลสู วสั ด์ิ วรรณลา (2542 บทคัดยอ่ ) ได้ศกึ ษาการสร้างแผนการสอนท่เี นน้ กระบวนการท่ี
สร้างข้ึนมีประสิทธภิ าพตามเกณฑม์ าตรฐาน 80 / 80 และคะแนนทดสอบหลงั เรียนสูงกว่าคะแนน
ทดสอบก่อนเรียนอยา่ งมีในสำคญั ทางสถิติทรี่ ะดับ. 01

บทท่ี 3
วธิ กี ารดำเนินการวิจยั

การวิจยั คร้ังน้ีเป็นการวจิ ัยกงึ่ ทดลอง(Quasi Expereimcntal Rescarch)ผู้วจิ ยั ได้
ดำเนินการวิจัยตามลำดับข้นั ตอนดังนี้
1.ประชาการและกลุ่มตวั อย่าง
2.ระยะเวลาท่ีใช้ในการวิจัย
3.เครอื่ งมือที่ใชใ้ นการวิจยั
4.วธิ ดี ำเนนิ การสรา้ งและคุณภาพเคร่อื งมือในการวิจัย
5.การเก็บรวบรวมข้อมลู
6.การวิเคราะหข์ ้อมูลและสถิตทิ ีใ่ ช้ในการวเิ คราะหข์ อ้ มูล

ประชากรกลมุ่ ตัวอย่าง
1. ประชากรทใ่ี ช้ในการวจิ ัยคร้ังน้ี เปน็ นักเรียนชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปี

การศกึ ษา 2564 ในโรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม อำเภอ พงั โคน สำนกั สำนกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษา
มัธยมศกึ ษาเขต 23 จำนวนนักเรียน 30 คน มีสภาพผ้เู รียนคือ นักเรียนท่ีเรยี นเกง่ ปานกลางและ
อ่อนคละกนั โครงสร้างหลักสูตรการจดั การเรยี นการสอนสภาพทางภูมิศาสตร์และสภาพแวดลอ้ ม
คล้ายคลงึ กัน

2. กลุม่ ตวั อย่างทีใ่ ช้ในการวจิ ัยคร้ังนี้ 2 กลมุ่ ตวั อยา่ งทใ่ี ชใ้ นการวิจยั ครั้งนี้แบง่ ออกเปน็ 2
กลมุ่ คอื กลุม่ ที่เรยี นดีด้วยโปรแกรมบทเรยี นแบบสถานการณ์จำลองและกล่มุ การเรียนแบบปกติ ซ่งึ
ทัง้ สองกลุ่มเปน็ นักเรียน ทีก่ ำลังศกึ ษาอย่ชู นั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2564

ระยะเวลาที่ใช้ในการวจิ ยั
ระยะเวลาทใี่ ชใ้ นการวิจยั ตลอดภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา2564

เครื่องมอื ทใ่ี ชใ้ นการวิจยั
1. การสง่ เสรมิ เจตคติ เป็นรายบุคคล การใหร้ างวลั
2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรือ่ ง การพฒั นากิจกรรมการเรียนรู้เรือ่ ง การใช้เศษวัสดุ
เหลือใช้มาประดิษฐข์ องชำร่วย กล่มุ สาระการเรียนรู้การงานอาชีพ ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 1 จำนวน 1
ฉบับ เปน็ แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ จำนวน 30 ขอ้
3. แบบทดสอบวัดการคิดวเิ คราะห์ ของนักเรยี น เป็นแบบปรนยั ชนดิ เลอื กตอบ จำนวน 30 ขอ้
4.แบบวดั ทกั ษะปฏบิ ัตเิ รอ่ื งการพัฒนากจิ กรรมการเรียนรูเ้ รื่องการใช้เศษวัสดุเหลอื ใช้มาประดษิ ฐ์
ของชำร่วย แบ่งเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนออกเปน็ 3 ระดับ ดี พอใช้ และควรปรบั ปรงุ
5.โปรแกรมบทเรียนแบบสถานการณ์จำลองเรือ่ ง การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้เรอ่ื งการใช้เศษ
วสั ดเุ หลือใช้มาประดิษฐข์ องชำร่วย กลมุ่ สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชีพ ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 1

วธิ ีดำเนินการสร้างและคุณภาพเครอ่ื งมือในการวจิ ยั
ผวู้ จิ ัยไดด้ ำเนนิ การสรา้ งและหาคณุ ภาพเครือ่ งมอื ในการวิจัยดงั นี้

1 ขัน้ วิเคราะห์
1.1วิเคราะหห์ ลกั สตู รการศึกษาข้นั พ้นื ฐานพุทธศักราช 2551 ศกึ ษาและวเิ คราะห์

เนื้อหากลุ่มสาระการเรียนรกู้ ารงานอาชีพช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 1 และเอกสารประกอบการเรียนการ
สอนท่ีเกย่ี วขอ้ งเพ่ือทำความเขา้ ใจกับมาตรฐานการเรียนรขู้ องหลกั สตู รขอบข่ายเนื้อหาผลการ
เรยี นรทู้ ่ีคาดหวังวิธกี ารสอนและการวดั ผลและประเมนิ ผล

1.2วเิ คราะห์เนื้อหาวิชากำหนดจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้และจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
เพอ่ื แสดงความสมั พันธ์ระหวา่ งเนอื้ หากบั จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมในการเรยี นจากโปรแกรม
บทเรียนแบบสถานการณ์จำลองเรอ่ื ง การพัฒนากจิ กรรมการเรยี นรู้เรอื่ งการใชเ้ ศษวัสดุเหลอื ใช้มา
ประดิษฐข์ องชำร่วย ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของหลกั สูตร

การเก็บรวบรวมข้อมูล
การเก็บรวบรวมข้อมูล คณะผู้วจิ ัยได้ดำเนนิ การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ด้วยตัวเองกบั กลุ่มตัวอย่าง

จำนวน 30 คนโดยจัดทำตารางส่งงานของนักเรียน ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 1 ในรายวชิ าการงานอาชีพ
และจดั ทำกราฟแสดงข้อมลู ตารางเปรยี บเทียบ

การวเิ คราะหข์ ้อมลู และสถติ ทิ ่ใี ชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมลู
การวิเคราะหข์ อ้ มลู คณะผ้จู ดั ดำเนินการตอ่ ไปนี้

1.ตรวจสอบจำนวนและความสมบูรณ์ของแบบสอบถามทีไ่ ดร้ บั คนื มาทกุ ฉบับบ
2.วเิ คราะหข์ ้อมลู ท่วั ไปของผู้ตอบแบบสอบถามทกี่ ำหนดคำตอบให้เลอื กตอบ และพฤติกรรมใน
การทำงานในรายวิชา การพัฒนากจิ กรรมการเรียนรู้เรอ่ื ง การใช้เศษวัสดเุ หลือใชม้ าประดิษฐ์ของ
ชำรว่ ย
3.วเิ คราะห์ข้อมูลท่ไี ดจ้ ากคำถามประเมินคา่ ได้แก่ คำถามเก่ียวกับการพฒั นากิจกรรมการเรยี นรู้
เรือ่ ง การใช้เศษวสั ดุเหลือใชม้ าประดิษฐ์ของชำรว่ ย ของนกั เรียนโรงเรียนพงั โคนวิทยาคม นำมา
วเิ คราะหค์ ่าเฉล่ยี (x) และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน(S.D.)

สถติ ิทีใ่ ชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มูล

1.สถิติพืน้ ฐานประกอบด้วย

คา่ เฉลีย่ X = X

N

เมอ่ื X แทนค่าเฉล่ยี ของตัวอยา่ ง

X แทนผลรวมของคะแนนทง้ั หมด

N แทนจำนวนตวั อยา่ ง

S.D. หาคา่ ความเบี่ยงเบนมาตรฐานโดยใช้สูตร

n2 ( )2

n (n-1)

เมือ่ S.D.คอื สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน
X คือขอ้ มลู (ตัวท่ี 1,2,3….,n)
X คอื คา่ เฉล่ยี เลขคณติ
N คอื จำนวนขอ้ มูลทง้ั หมด

สมาชิก

นางสาวประภากานต์ สุริวรรณ์ รหสั 62115267103
นายชาคริต ชาคำผง รหัส 62115267117
นายอภวิ ฒั น์ ไพศาลธรรม รหสั 62115267201

วจิ ยั ในชนั้ เรยี น
เร่อื ง

การพฒั นาการเรยี นรูเ้ รอ่ื งขนมไทยเพ่อื สุขภาพโดยใช้
เอกสารประกอบการเรยี นกลุ่มสาระการเรยี นรู้

การงานอาชพี และเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 5

ผวู้ จิ ยั
สมาชกิ ในกลมุ่
1.นางสาวญานกิ า บวั ชยั 62114267112
2.นางสาววรษิ ฐา เชยี งไขแก้ว 62115267202
3.นางสาวสวุ จั นี คาตงั้ หน้า 62115267212
นักศกึ ษาสาขาวชิ าคหกรรมศาสตร์ ชนั้ ปีที่ 3 คณะครศุ าสตร์

มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกนคร



ช่ือเรื่อง : การพฒั นาการเรียนรู้ เร่ือง ขนมไทยเพอ่ื สุขภาพ โดยใชเ้ อกสารประกอบการเรียน กลมุ่ สาระการเรียนรู้
การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 5
บทท่ี1

บทนา
1.1ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหาการวจิ ยั

การพฒั นาการเรียนรู้ เรื่อง ขนมไทยเพือ่ สุขภาพ โดยใชเ้ อกสารประกอบการเรียนกลุม่ สาระการเรียนรู้
การงานอาชพี และเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 มวี ตั ถุประสงค์เพอื่ สรา้ งและพฒั นาเอกสารประกอบการ
เรียนเร่ือง ขนมไทยเพอื่ สุขภาพ กลมุ่ สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 ให้มี
ประสิทธิภาพ 80/80 เพอื่ ศึกษาดชั นีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน เร่ือง ขนมไทยเพ่ือสุขภาพ กลุม่
สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 ให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่กาหนด

เพือ่ เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ระหวา่ งกอ่ นเรียนละหลงั เรียน เร่ือง ขนมไทยเพื่อสุขภาพ โดย
ใชเ้ อกสารประกอบการเรียน

1.2คาถามวจิ ยั

1.2.1 เพอ่ื ศึกษาวา่ ขนมไทยในอดีตและปัจจบุ นั แตกตา่ งกนั อยา่ งไร

1.2.2 รูปแบบของเอกสารประกอบการเรียนเร่ืองขนมไทยเพื่อสุขภาพมสี ง่ ผลตอ่ นักเรียนอยา่ งไร
1.3วตั ปุ ระสงค์ของการวจิ ยั

1.3.1 เพ่ือศกึ ษาความเป็นมาของขนมไทย

1.3.2 เพื่อเปรียบเทยี บขนมไทยแตล่ ะชนิดใหน้ กั เรียนไดร้ ู้

1.4ประโยชน์ของการวจิ ยั

1.4.1 เป็นขอ้ มลู สาหรบั สง่ เสริมขนมไทยให้นกั เรียนไดศ้ ึกษา
1.4.2 เพอ่ื สง่ เสริมขนมไทยเป็นท่ีรู้จกั

1.4.3 เพื่อสืบทอดอนุรักษข์ นมไทยให้กบั นักเรียนไทยในปัจจุบนั

ขอบเขตของการวจิ ยั

การวจิ ยั ในคร้งั น้ีเป็นการศกึ ษาถึงแนวทางในการศึกษา
- ขอบเขตการศึกษาความคิดเห็นของนกั เรียนท่ีมีตอ่ ชุดการเรียนรูเ้ ร่ืองขนมไทย

-ขอบเขตประชากรท่ใี ชใ้ นการศกึ ษาคร้งั น้ีคือนักเรียนบุคคลท่ีมอี ายุ 11 ปีบริบรู ณ์จานวน 16 คน

-ขอบระยะเวลา การศึกษาคร้งั น้ีใชเ้ วลาประมาณ 2 เดือน

-ขอบเขตดา้ นสถานทค่ี ือโรงเรียนประถมศึกษาปีท่ี 5 บา้ นมว่ ง

ตวั แปรทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั

ตวั แปรสระ

ลกั ษณะประชากรศาสตร์

-เพศ

-อายุ

-ระดบั การศกึ ษา
ตวั แปรตาม

องคป์ ระกอบของทศั นคติ
-องคป์ ระกอบดา้ นความเขา้ ใจ
-องคป์ ระกอบดา้ นความรสู้ ึก
-องคป์ ระกอบดา้ นพฤตกิ รรม

กรอบแนวคดิ การวจิ ัย

ลกั ษณะประชากรศาสตร์ องคป์ ระกอบของทศั นคติ
1.เพศ 1.องคป์ ระกอบดา้ นความเขา้ ใจ
2.อายุ 2.องคป์ ระกอบดา้ นความรสู้ กึ
3.ระดบั การศึกษา 3.องคป์ ระกอบดา้ นพฤตกิ รรม

นิยามศพั ท์เฉพาะ

ขนมไทย หมายถึง อาหารชนิดหน่ึงทไี่ มใ่ ชก่ บขา้ วแตเ่ ป็นอาหารทร่ี ับประทานตามหลงั ของ คาว เชน่ ใน
อาหารมอื้ กลางวนั มกี ว๋ ยเตยี๋ วไก ่ เป็นของคาวผรู้ ับประทานอาจจะรบั ประทานทบั ทิม กรอบเป็นของหวานเป็ นตน้
เมอื่ บริโภคอาหารมอื้ สาคญั ๆ เชน่ มอื้ เชา้ มอ้ื กลางวนั มอื้ เยน็ ควร บริโภคท้งั ของคาวและของหวาน สิ่งทใ่ี ชเ้ ป็น
ของหวานอาจเป็นขนมหรือผลไมก้ ไ็ ด้ นอกจากจะรบั ประทานขนมหวานหลงั ของคาวเราอาจรบั ประทาน

ขนมหรือขนมหวานในเวลาท่ีไมไ่ ด้ รับประทานอาหารคาวแตจ่ ะรับประทานขนมหรือขนมหวานเป็ น
ของวาง่ รับประทานขนมหวาน กบั เครื่องดืม่ ขนมหวานไทยจะมคี วามหวานนา หรือมคี วามหวานจนรู้สึกใน
ลิ้นของผรู้ บั ประทาน การทาขนมหวานไทยเป็นเรื่องทต่ี ้องศึกษาและฝึ กฝนตอ้ งใชศ้ ลิ ปะ วทิ ยาศาสตร์และความ
อดทน และความเป็ นระเบียบความพิถพี ิถนั ในการประกอบขนมไทยแทๆ้ ตอ้ งมกี ลน่ิ หอม หวาน มนั มี ความ
ประณีตท่เี กดิ ข้นึ ตง้ั แตก่ ารเตรียมสว่ นผสมจนกระทงั วธิ ีการทาแบง่ ตามวธิ ีการทาให้สุกไดด้ งั น้ี

• ขนมท่ที าให้สุกดว้ ยการกวน สว่ นมากใชก้ ระทะทองกวนต้งั แตเ่ป็ นน้าเหลวใสจนงวด แลว้ เทใสพ่ มิ พ์
หรือถาดเมอื่ เยน็ จงึ ตดั เป็ นชิ้น เชน่ ตะโกข้ นมลมื กลืน ขนมเปี ยกปูน ขนมศลิ า ออ่ น และผลไมก้ วนตา่ งๆ รวมถึง
ขา้ วเหนียวแดงขา้ วเหนียวแกว้ และกะละแม

• ขนมทท่ี าให้สุกดว้ ยการน่ึง ใชล้ งั ถงึ บางชนิดเทสว่ นผสมใสถ่ ว้ ยตะไลแล้วน่ึง บางชนิดใส่ ถาดหรือ
พมิ พ์ บางชนิดหอ่ ดว้ ยใบตองหรือใบมะพร้าว เชน่ ชอ่ มว่ งขนมช้นั ขา้ วตม้ ผดั สาลี่ออ่ น สงั ขยาขนมกลว้ ยขนม
ตาลขนมใสไ่ สข้ นมเทยี น ขนมน้าดอกไม้

• ขนมที่ทาให้สุกดว้ ยการเช่อื ม เป็นการใสส่ ว่ นผสมลงในน้าเชื่อมทีก่ าลงั เดอื ดจนสุก ไดแ้ ก ่ ทองหยอด
ทองหยิบ ฝอยทอง เมด็ ขนุน กลว้ ยเช่ือม จาวตาลเชื่อม

• ขนมทีท่ าใหส้ ุกดว้ ยการทอด เป็ นการใสส่ ว่ นผสมลงในกระทะที่มนี ้ามนั รอ้ นๆ จนสุก เชน่ กลว้ ยทอด
ขา้ วเมา่ ทอด ขนมกงขนมคา้ งคาวขนมฝักบวั ขนมนางเล็ด 6

• ขนมทที่ าใหส้ ุกดว้ ยการน่ึงหรืออบ ไดแ้ ก ่ขนมหมอ้ แกง ขนมหน้านวล ขนมกลีบลาดวน ขนมทองมว้ น
สาลี่แขง็ ขนมจา่ มงกฎุ นอกจากน้ี อาจรวม ขนมครกขนมเบื้องขนมดอก ลาเจียกทีใ่ ชค้ วามรอ้ นบนเตาไวใ้ นกลุ่ม
• ขนมทท่ี าให้สุกดว้ ยการต้ม ขนมประเภทน้ีจะใชห้ มอ้ หรือกระทะตม้ น้าให้เดอื ด ใสข่ นมลง ไปจนสุกแลว้ ตกั ข้ึน
นามาคลกุ หรือโรยมะพร้าว ไดแ้ กข่ นมถว่ั แปบ ขนมตม้ ขนมเหนียว ขนมเรไร นอกจากน้ียงั รวมขนมประเภท
น้า ทน่ี ิยมนามาตม้ กบกะทิ หรือใสแ่ ป้งผสมเป็ น ขนมเปียก และขนมทีก่ นิ กบน้าเชอื่ มและน้ากะทิ เชน่ กลว้ ยบวช
ชี มนั แกงบวด สาคเู ปียก ลอดชอ่ ง ซา่ หร่ิม

บทท่ี 2

แนวคดิ ทฤษฎี และงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ยี วข้อง
ในการศึกษาวจิ ยั เรื่อง การพฒั นาการเรียนรู้ เรื่อง ขนมไทยเพือ่ สุขภาพ ผวู้ จิ ยั ไดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ ขอ้ มลู
ตา่ งๆ จากเอกสาร และงานวจิ ยั ที่เกยี่ วขอ้ ง เพ่ือนามาใชป้ ระกอบเป็นแนวทาง ในการศึกษาและพฒั นาการเรียนรู้
ของผเู้ รียน ซ่งึ ประกอบดว้ ยแนวคิด หลกั การ ทฤษฏี และงานวจิ ยั ท่ีเกยี่ วขอ้ งท่ีจะเป็นประโยชน์ตอ่ การศึกษา
ดงั ตอ่ ไปน้ีแนวคดิ และทฤษฎที เี่ กย่ี วข้อง
1. เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วของกบั การจัดกิจกรรมประกอบอาหาร

1.1 ความหมายของการจดั กจิ กรรมประกอบอาหาร
1.2 ความสาคญั และประโยชน์ของกจิ กรรมการประกอบอาหาร
1.3 ข้นั ตอนการจดั กจิ กรรมการประกอบอาหาร
1.4 ขอ้ เสนอแนะและขอ้ ควรระวงั ในการจดั กิจกรรมการประกอบอาหาร
2. เอกสารและงานวจิ ยั ที่เกย่ี วขอ้ งกบั การจดั กจิ กรรมประกอบอาหารประเภทขนมไทย
2.1 ประวตั แิ ละความเป็ นมาของขนมไทย
2.2ประเภทขนมไทย
2.3 เทคนิคในการทาขนมไทย
2.4 เกร็ดความรู้เกยี่ วกบั การทาขนมไทย
1. เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร

1.1 ความหมายของการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร
นกั การศกึ ษากลา่ วถึง ความหมายของการจดั กจิ กรรมประกอบอาหาร ไวด้ งั น้ี
กรมวชิ าการ (2546: 37) การจดั กจิ กรรมปฏิบตั ิการทดลองเป็ นการสอนท่ีทาให้เด็กไดร้ ับประสบการณ์ตรง
เพราะเดก็ ไดท้ ดลองปฏบิ ตั ดิ ว้ ยตนเอง ไดส้ ังเกตเห็นการเปล่ียนแปลงในสิ่งที่ตนเองทดลอง เป็ นการฝึกทกั ษะ
การสังเกต การคดิ แกป้ ัญหาและสง่ เสรมให้ เด็กมคี วามอยากรูอ้ ยากเห็นและคน้ พบขอ้ ความรูด้ ว้ ยตนเอง เชน่
การประกอบอาหาร
วไลพร พงศ์ศรีทศั น์ (2536: 6-7) การจดั ประสบการณ์แบบปฏิบัติการทดลองประกอบอาหาร หมายถึงกจิ กรรมท่ี
จดั ใหผ้ ูเ้ รียนไดใ้ ชป้ ระสาทสมั ผสั ทุกดา้ น ในการเรียนรู้คือการมองเห็น การสมั ผสั การชมิ รส การดมกลนิ่ และ
การฟัง โดยผูว้ จิ ยั สรา้ งแผนการประสบการณ์ทดลองประกอบอาหารข้ึน ซ่ึงแผนการดาเนินกจิ กรรมน้นั สามารถ
แบง่ ออกไดเ้ ป็น 3 ข้นั คอื ข้นั เตรียม ขน้ั ปฏิบตั แิ ละ ขน้ั สรุป

1.2 ความสําคัญและประโยชน์ของกิจกรรมการประกอบอาหาร
ไดม้ ผี กู้ ลา่ วถึงความสาคญั และประโยชน์ของกจิ กรรมเสรมประสบการณ์ประกอบอาหาร

ไวด้ งั น้ี
น้อมฤดี จงพยุหะ; สมใจ พรมศริ ิ; และพยอม ตนั มณี (2517: 46) ไดก้ ลา่ วถงึ

ประโยชน์ของการจดั กจิ กรรมประกอบอาหารไวด้ งั น้ี
1. นักเรียนเกดิ ความเขา้ ใจจริง เพราะไดล้ งมอื ปฏิบตั ิ
2. นักเรียนเกดิ ทกั ษะในการทางานรว่ มกบั ผูอ้ ื่น
3. ทาให้นักเรียนสนใจ เกดิ ความสนุกสนาน
สรุปไดว้ า่ การจดั กิจกรรมการประกอบอาหารมีคณุ คา่ และความสาคญั ตอ่ การเรียนรู้

จากรูปธรรม และเป็ นการเรียนโดยการกระทาการท่ีครูแนะนาให้เด็กในเรื่องของการชิม การดมกลิ่น การฟังการ
สัมผสั การมองเห็น ซ่งึ จะไดใ้ ชป้ ระสาทสัมผสั ท้งั หาในการเรียนรู้จากการสงั เกตและจับต้อง เปรียบเทียบสว่ นที่
หยาบ ละเอยี ด เป็ นการเพ่ิมพนู ความสามารถในการเรียนรู้ในการสัมผสั ให้เกดิ ความรู้สึกถาวร
1.3 ข้นั ตอนการจัดประสบการณป์ ระกอบอาหาร
นักการศกึ ษากลา่ วถงึ ขน้ั ตอนในการจดั ประสบการณ์ประกอบอาหาร ไวด้ งั น้ี กาญจนา เกยี รติประวตั ิ (ม.ป.ป.
141-142) ไดก้ ลา่ วถงึ ขน้ั ตอนการจดั กจิ กรรม ประกอบอาหารไวด้ งั น้ี คอื

1. ข้นั ปฐมนิเทศและเร้าความสนใจ (Orientaion and Motivation) ในข้นั น้ีเป็น การพิจารณาธรรมชาติ
ของงาน จดุ มงุ่ หมาย และการวางแผนงาน ความเขา้ ใจแจม่ แจง้ ในสิ่งที่จะทา จะชว่ ยใหผ้ เู้ รียนไมต่ อ้ งเสียเวลาโดย
เปลา่ ประโยชน์

2. ขน้ั ปฏิบตั ิงาน (Work Preiod) ผเู้ รียนทกุ คนอาจทางานปัญหาเดยี วกนั หรือ คนละปัญหาได้ ในชว่ งน้ี
จะเป็นการทางานภายใตก้ ารนิเทศความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลเป็นส่ิงที่จะต้อง นามาพจิ ารณาในการจดั
มอบหมายงานหรือเวลาในการทางานได้

3. ขน้ั สรุปกจิ กรรม (Culminating Activities) อาจใชก้ ารอภปิ รายการรายงาน การจดั นิทรรศการผลงาน
และอธิบายเพ่ือเป็นการแลกเปลย่ี นประสบการณ์หรือการคน้ พบของผเู้ รียน
1.4 ข้อเสนอแนะและข้อควรระวงั ในการจัดกจิ กรรมการประกอบอาหาร

สานักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน(2535: กลา่ ววา่ ในการจดั ประสบการณ์ ประกอบอาหาร มสี ่ิง
ท่คี รูจะตอ้ งคานึงถงึ ดงั น้ี

1. คานึงถึงความสะอาด ใหเ้ ด็กลา้ งมอื กอ่ นและหลงั จากการทาอาหาร

2. คานึงถงึ เวลา
3. คานึงถงึ อนั ตรายและความปลอดภยั กรณขี องมคี ม ครูพยายามเลือกมดี ท่ีไมค่ ม มากนัก และเลอื กมดี ท่ี
มขี นาดเหมาะกบั มอื เด็ก ครูตอ้ งใกลช้ ิดกลมุ่ ทใ่ี ชอ้ ปุ กรณ์ที่มีอนั ตราย ดาห์ล และมาร์ค วี (Dahl; & M.V. 1988) มี
ความเห็นสอดคลอ้ งกนั ในการจดั ประสบการณ์ การประกอบอาหารวา่ มขี อ้ เสนอแนะและขอ้ ควรระวงั ดงั น้ี
1. เลือกประกอบอาหารทีม่ คี ณุ คา่ ทางโภชนาการ มวี ธิ ีปรุงอาหารงา่ ย ๆ และสว่ นประกอบ ของอาหาร
ไดง้ า่ ย มใี นทอ้ งถิ่น
2. คานึงถึงวฒุ ิภาวะและความสามารถของเดก็ อาจใหเ้ ด็กทาเป็นรายบุคคลหรือ
3. คานึงถึงความปลอดภยั ของเด็ก เชน่ การใชม้ ดี หรือให้เดก็ อยหู่ า่ งจากแหลง่ ทใ่ี ห้ ความรอ้ น
4. ระมดั ระวงั ในเร่ืองของความสะอาด ให้เดก็ ลา้ งมอื กอ่ นและหลงั ประกอบอาหาร
5. ให้เดก็ ลงมอื ปฏิบตั กิ จิ กรรมด้วยตนเอง เดก็ มอี ิสระในการทางาน และแสดงความคดิ เห็น
6. การทาอาหารตอ้ งสัมพนั ธ์กบั เนื้อเรื่องท่กี าลงั สอนอยู่ เชน่ สุขภาพอนามยั วทิ ยาศาสตร์ สังคมศึกษา
และวนั เทศกาล
7. วาดรูปภาพเครื่องปรุงลงบนกระดาษชาร์ท เพ่อื ใหเ้ ดก็ ไดด้ ูและตรวจสอบ
8. ให้เด็กไดร้ ูจ้ กั เครื่องชงั่ ตวง วดั กอ่ นปฏบิ ตั จิ ริง เชน่ ให้รูจ้ กั ใชช้ อ้ นตวง ถว้ ยตวง โดยให้ตวงแปง้
หรือเมด็ ทรายละเอยี ดกอ่ น
9.พยายามเลือกการทาอาหารทง่ี า่ ย ๆ เพื่อใหเ้ ดก็ สามารถทาไดเ้ อง ไดร้ ับ ความสาเร็จ ภาคภมู ใิ จ และพึง
พอใจในประสบการณท์ ่ไี ดร้ บั
10. ให้เวลาเด็กอยา่ งพอเพียงในการทาอาหาร
11. ควรให้เด็กท้งั ห้องทาอาหารพร้อม ๆ กนั แตผ่ ลดั เปลยี่ นกนั มาทา จนกระทงั่ ทกุ คน ไดท้ าอาหาร

2. เอกสารและงานวิจยั ทเี่ กยี่ วข้องกับการจัดกจิ กรรมประกอบอาหารประเภท ขนมไทย

2.1 ประวัติและความเป็นมาของขนมไทย

ขนมไทยจดั เป็ นเอกลกั ษณ์ดา้ นวฒั นธรรมประจาชาติไทยหรือที่รูจ้ กั กนั ดีเพราะเป็ นสิ่งท่แี สดงให้เห็น
ความละเอียดออ่ นและประณตี ในการทา ต้งั แตว่ ตั ถุดบิ วธิ ีการทาที่พิถพี ิถนั ในเร่ืองรสชาติสีสัน ความสวยงาม
กลิ่นหอม รูปลกั ษณ์ชวนรับประทาน ตลอดจนวธิ การทาขนมแตล่ ะชนิดซ่งึ ยงแตกตา่ งกนั ไปตามลกั ษณะ
ของขนมชนิดน้ัน ๆ

คนไทยทาขนมกนั มานานเทา่ ใดไมป่ รากฏแนช่ ดั หลกั ฐานเกา่ แกท่ ป่ี รากฏเป็นช่ือขนม พบในหนังสือ
ไตรภมู พิ ระรว่ งซ่ึงเขยี นข้นึ ในสมยั สุโขทยั (กรรณิการ์ พรมเสาร์; นันทา เบญจศิลารักษ์ ; และสุมติ ร เต็มดี 2542)
สมัยสุโขทยั

ขนมไทยท่ีมมี าคกู่ บั ชนชาตไิ ทยจากประวตั ิศาสตร์ ทีต่ ิดตอ่ คา้ ขายกบั ตา่ งประเทศ คอื จีน และอินเดยี ใน
สมยั สุโขทยั มสี ว่ นชว่ ยสง่ เสริมการแลกเปลี่ยนวฒั นธรรมดา้ นอาหารการกนิ รว่ มไปด้วย
สมยั อยุธยา

เริ่มมกี ารเจริญสมั พนั ธไมตรีกบั ตา่ งประเทศท้งั ชาติตะวนั ออกและตะวนั ตกไทยเรา ยิง่ รับเอาวฒั นธรรม
ดา้ นอาหารของชาตติ า่ งๆ มาดดั แปลงให้เหมาะสมกบั สภาพ ความเป็นอยู่ เครื่องมอื เคร่ืองใช้ วตั ถุดบิ ท่ีหาได้
ตลอดจนนิสัยการบริโภคของคนไทยเอง จนบางทีคนรุน่ หลงั แทบจะแยกไมอ่ อกเลยวา่ อะไรคือขนมไทยแทๆ้
อะไรที่เรายมื เขามา เชน่ ทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทอง หลายทา่ นอาจคิดวา่ เป็ นของไทยแทๆ้ แตค่ วามจริง
แลว้ มตี น้ กาเนิดจากประเทศโปรตุเกส โดย “มารี กมี าร์” หรือ “ทา้ วทองกบี มา้ ”

“ทา้ วทองกบี มา้ ” หรือ “มารี กมี าร” เกดิ เมอื่ พ.ศ. 2201 หรือ พ.ศ. 2202 แตบ่ างแหง่ กว็ า่ พ.ศ. 2209 โดย
ยดึ หลกั จากการแตง่ งานของเธอที่มี ข้นึ ในปี พ.ศ. 2225 และขณะน้นั มารี กมี าร์มี อายุเพยี ง 16 ปีบิดาช่อื “ฟานิก
(Phanick)” เป็นลูกคร่ึงญี่ป่นุ ผสมแขกเบงกอล ผเู้ ครง่ ศาสนา สว่ นมารดา ชอื่ “อรุ สุ ลา ยามาดา (Ursula Yamada)”
ซ่งึ มเช้อี สายญป่ี ุ่นผสมโปรตเุ กส ทอี่ พยพมาตง้ั ถ่ินฐานในอยธุ ยาภายหลงั จากพวกซามไู รชดุ แรกจะเดินทางเขา้ มา
เป็นทหารอาสา ในแผนดินของพระบาทสมเด็จ พระนเรศวรมหาราชไมน่ านนัก

ชวี ติ ชว่ งหน่ึงของ “ทา้ วทองกบี มา้ ” ไดเ้ ขา้ ไปรับราชการในพระราชวงั ตาแหนง่ “หัวหน้าห้องเคร่ืองตน”
ดูแลเคร่ืองเงินเคร่ืองทองของหลวง เป็ นหวั หน้าเกบ็ พระภูษา ฉลองพระองค์ และเกบ็ ผลไมข้ องเสวย มพี นกั งาน
อยูใ่ ตบ้ งั คบั บญั ชาเป็ นหญิงจานวน 2,000 คน ซ่งึ เธอกท็ างานดว้ ย ความซอ่ื สัตยสุจริต เป็ นท่ีชื่นชม ยกยอ่ ง มเี งิน
คืนทอ้ งพระคลงั ปี ละมากๆระหวา่ งท่ี รับราชการนี่เอง มารี กมี าร์ไดส้ อนการทาขนมหวานจาพวก
ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง ทองพลุ ทองโปรง่ ขนมผิง และอ่นื ๆ ใหแ้ กผ่ ทู้ างานอยูก่ บั เธอ และสาว ๆ เหลา่ น้นั
ไดน้ ามาถา่ ยทอดตอ่ มายงั แตล่ ะครอบครัว กระจายไปในหมคู่ นไทยมาจนถงึ ปัจจุบนั น้ี

ถึงแมว้ า่ “มารี กมี าร์” หรือ “ทา้ วทองกบี มา้ ” จะมชี าตกิ าเนิดเป็นชาวตา่ งชาติแตเ่ ธอ กเ็ กดิ เติบโต มชี วี ติ
อยูใ่ นเมอื งไทยจวบจนหมดสิ้นอายขุ ยั นอกจาน้นั ยงั ไดท้ ง้ิ ส่ิงท่เี ธอคน้ คิดใหเ้ ป็ น มรดกตกทอดมาสู่คนรุน่ หลงั
ไดก้ ลา่ วขวญั ถึงดว้ ยความภาคภูมิ “ทา้ วทองกบี มา้ เจา้ ตารบั อาหารไทย” (ศรีสมร คงพนั ธุ์. 2545: 7-8)
2.2 ประเภทขนมไทย

ขนมไทย หมายถงึ อาหารชนิดหน่ึงท่ไี มใ่ ชก่ บั ขา้ ว แตเ่ป็ นอาหารทีร่ ับประทานตามหลงั ของคาว เชน่
ในอาหารมอ้ื กลางวนั มกี ว๊ ยเตยี๋ วไกเ่ป็นของคาว ผูร้ ับประทานอาจจะรับประทานทับทิม กรอบเป็นของหวาน
เป็นตน้ เมอ่ื บริโภคอาหารมอื้ สาคัญ ๆเชน่ มอ้ื เชา้ มอื้ กลางวนั มอื้ เยน็ ควรบริโภค ท้งั ของคาวและของหวาน ส่ิงท่ี
ใชเ้ ป็ นของหวานอาจเป็ นขนมหรือผลไมก้ ไ็ ดน้ อกจากจะรับประทานขนมหวานหลงั ของคาว เราอาจรับประทาน

ขนมหวานในเวลาทม่ี ไิ ดร้ ับประทานอาหารคาว แตจ่ ะ รบั ประทานขนมหรือขนมหวานเป็ นของวา่ ง
หรือรบั ประทานขนมหวานกบั เครื่องด่ืม

ขนมไทยจะมความหวานนา หรือมคี วามหวานจนรู้สึกในลน้ิ ของผูร้ ับประทาน การทาขนมหวานไทย
เป็นเร่ืองทีต่ องศึกษาและฝึกฝน ตอ้ งใชศ้ ลิ ปะ วทิ ยาศาสตร์ ความอดทน และความเป็ นระเบียบ ความพถิ ีพิถนั
ในการประกอบ ขนมไทยแทๆ้ ตอ้ งมกี ลิ่นหอมหวาน มนั มคี วามประณตี ท่เี กดิ ข้นึ ต้งั แต่ การเตรียมสว่ นผสม
จนกระทง่ั วธิ ีการทา ขนมไทยสามารถจัดแบง่ เป็ นชนิดตา่ งๆได้ตามลกั ษณะของ เคร่ืองปรุง ลกั ษณะกรรมวธิ ี ใน
การทาและลกั ษณะการหุงตม้ คือ

1. ขนมประเภทไข่ เชน่ ฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด สังขยา ฯลฯ
2. ขนมประเภทน่ึง เชน่ ขนมช้นั ขนมสาลี่ ขนมน้าดอกไม้ ขนมทรายฯลฯ
3. ขนมประเภทตม้ เชน่ ขนมตม้ แดง ขนมตม้ ขาว มนั ตม้ น้าตาล ฯลฯ
4. ขนมประเภทกวน เชน่ ขนมเปี ยกปูน ซา่ หร่ิม ขนมตะโกฯ้ ลฯ
5. ขนมประเภทอบและผิง เชน่ ขนมดอกลาดวน ขนมบา้ บ่ิน ขนมหน้านวลฯลฯ
6. ขนมประเภททอด เชน่ ขนมกง ขนมฝักบวั ขนมสามเกลอฯลฯ
7. ขนมประเภทป้ิ ง เชน่ ขา้ วเหนียวป้ิง ขนมจากฯลฯ
8. ขนมประเภทเช่ือม เชน่ กลว้ ยเชื่อม สาเกเชือ่ ม ฯลฯ
9. ขนมประเภทฉาบ เชน่ เผือกฉาบ กลว้ ยฉาบ มนั ฉาบ ฯลฯ

10. ขนมประเภทน้ากะทิเชน่ เผอื กน้ากะทิ ลอดชอ่ งน้ากะทิ ฯลฯ
11. ขนมประเภทน้าเช่ือม เชน่ ผลไมล้ อยแกว้ วนุ้ น้าเช่ือม ฯลฯ
12. ขนมประเภทบวด เชน่ กลว้ ยบวดชี แกงบวดเผือกฯลฯ
13. ขนมประเภทแชอ่ ม่ิ เชน่ มะมว่ งแชอ่ ่ิม มะเขอื เทศแชอ่ิม กระทอนแชอ่ ่ิม ฯลฯ
(ทิพาวรรณ เฟ้ื องเรือง. 2528)
2.3 เทคนิคในการทาํ ขนมไทย

การทาขนมไทยให้ดีตอ้ งประกอบด้วยปัจจยั หลายอยา่ ง คือ ตอ้ งมใี จรัก ชอบทา มคี วามอดทนตง้ั ใจ
มคี วามพิถีพิถนั ในการประดษิ ฐ์ ให้ขนมมรี ูปรา่ งที่นา่ รบั ประทาน ขนมหวานไทยบางชนิด ตอ้ งฝึกทาหลายๆ คร้งั
จงึ จะได้ ลกั ษณะทด่ี ปี ระสบการณ์และความชานาญในการทาบอ่ ยๆ ผูป้ ระกอบขนมหวานไทยจะ
ประสบความสาเร็จในการทาการทาขนมหวานไทยของคนรุน่ กอ่ นๆ จะใชก้ ารกะสวนผสมจากความเคยชนิ

ทีท่ าบอ่ ย ๆ สดั สว่ นของขนมจะไมแ่ นน่ อน และยงั เป็ นการถา่ ยทอดความรู้ให้กนั เฉพาะภายในครอบครัวเทา่ น้ัน
แตใ่ นปัจจุบนั ขนมหวานไทยได้ววิ ฒั นาการให้ทัดทียมกบั ขนมนานาชาติมี สูตรทแ่ี นน่ อน มสี ดั สว่ น
ของสว่ นผสม และวธิ ีทาทีบอกไวอ้ ยา่ งชดั เจน ผูป้ ระกอบขนมหวานไทยเป็ นท่ี จะตอ้ งใชอ้ ปุ กรณ์ท่เี ป็นมาตรฐาน
ในการชงั่ ตวง มถี ว้ ยตวงชอ้ นตวง ใชภ้ าชนะให้ถกู ตอ้ งกบั ชนิดของ อาหาร เชน่ การกวนจะใชก้ ระทะทองดีกวา่
หมอ้ หรือกระทะเหล็กการทอดใชก้ ะทะเหลก็ ดีกวา่ กะทะทอง ทาตามตารบั วธิ ีทาข้นั ตอนอุณหภูมทิ ี่ใชใ้ นการทา
ตลอดจนเลอื กเคร่ืองปรุงทใี่ หม ่ ฉะน้ัน การทาขนมหวานไทย ควรคานึงถึงสิ่งตอ่ ไปน้ีคือ
(ศรีสมร คงพนั ธ์ุ. 2545: 7-8)

1. อุปกรณ์ในการทาขนม
2. เคร่ืองปรุงตา่ งๆ
3. ระยะเวลา
4. สูตร เคร่ืองปรุงและวธิ ีการทาขนม
5. ชนิดของขนม
6. วธิ การจดั ขนม
สีทใี่ ช้ในการทาํ ขนมไทย

การทาขนมหวานไทยให้นา่ รบั ประทานและสะดดุ ตาผู้บริโภค สีของขนมสามารถ ดงึ ดดู ใจของลูกค้าได้
เป็นอยา่ งดี การทาขนมหวานไทยใชส้ ีออ่ น ๆ จะทาให้ขนมสวย ผูป้ ระกอบขนมหวานไทยควรใชส้ ีที่ได้จาก
ธรรมชาติของพืชชนิดตา่ งๆเพื่อหลีกเลี่ยงสีท่ีสังเคราะห์จากสารเคมีอนั อาจ มอี นั ตรายตอ่ รางกายของผูบ้ ริโภค ซ่งึ
สีที่ไดจ้ ากธรรมชาติไดแ้ ก ่

- ใบเตยให้สีเขียว มลี กั ษณะใบยาวเรียว สีเขยี วจดั มกี ล่นิ หอม โคนใบมสี ีขาวนวล ลกั ษณะเป็ นกอ ใบแก ่
มสี ีเขียวจดั ให้กลนิ่ หอมมาก ใบเตยมสี องชนิด คอื เตยหอม และเตยไมห่ อม การเลือกใชน้ ิยมใชใ้ บเตยหอมท่ีมกี อ
ใหญม่ ใี บโต ไมม่ แี มลงเจาะ วธิ ีการคน้ั นาใบเตยหน่ั ใบเตยเป็นฝอย แลว้ โขลกใหล้ ะเอยี ด ใสน่ ้าเล็กน้อย คน้ั เอานา
เตยออกให้เขม้ ขน้ ทสี่ ุด กรองดว้ ยผากรองพยายามอยา่ ให้กากใบเตยหลน่ ลงไปในน้าท่กี รองแลว้

- กาบมะพร้าว ให้สีดาใชก้ าบมะพรา้ วแกเ่ผาไฟให้ไหมจ้ นเป็ นสีดาท้งั อนั ใสน่ ้าค้นั กรองดว้ ยผากรองเอา
กากออกให้หมด

- ขมน้ิ ให้สีเหลืองขมนิ้ เป็ นพืชลม้ ลุกมหี ัวใตด้ นิ ลักษณะเป็ นแงง่ คลา้ ยขิง สีเหลอื ง มกี ลิน่ หอมใชผ้ สม
กบั ขนมท่ีตอ้ งการใหม้ สี ีเหลือง วธิ ีการใหท้ บุ ขมน้ิ ใหแ้ ตก หอ่ ผา้ แลว้ นาไปแชก่ บั น้าให้ออกสี

- ดอกอญั ชนั ให้สีมว่ งคราม เป็ นพชื ไมเ้ ล้อื ยมดี อกสีมว่ งคราม ลกั ษณะคลา้ ยดอก ถวั่ ตรงปลายสีมว่ ง
คราม ตรงกลางมสี ีเขียว เวลาใชใ้ หเ้ ลือกเอาแตส่ ว่ นทเี่ ป็ นสีมว่ ง วธิ การใชใ้ สน่ ้าเดือด เลก็ นอ้ ยแชด่ อกอญั ชน
สกั ครูค่ น้ั ให้ออกสีคราม กรองเอากากออก หยอดนามะนาวลงไปสีจะเปล่ียนเป็ น สีมว่ ง

- ดอกดิน ให้สีดา เป็นพืชชนิดหน่ึงจะมตี อนหน้าฝน ดอกปนกบั รากไมช้ นิดอ่ืน เชน่ รากออ้ ย รากหญา้
คา ดอกดินโผลอ่ อกจากดนิ มสี ีมว่ งเขม้ กลีบดอกรีๆใชผ้ สมกบั แปง้ ทาขนมดอกดิน

- หญา้ ฝรั่น ให้สีเหลอื ง เป็ นพืชชนิดหน่ึงมี ลกั ษณะคลา้ ยเกสรดอกไมต้ ากแหง้ มี กล่นิ หอมเมอื่ นามาใช้
ชงกบั น้าร้อนแลว้ กรองเอากากออกใชแ้ ตน่ ้าํ

- ครง่ั จะไดส้ ีแดง ใชค้ รง่ั มาแชน่ ้าถา้ ตอ้ งการสีแดงคล้า เติมสารสม้ ลงไปเล็กน้อย
- กระเจีย๊ บ จะให้สีแดงเขม้ ใชส้ ว่ นทีเ่ ป็นกลบี หุ้มผลนามาต้มกบั น้าํ
- เกสรดอกคาฝอย จะไดส้ ีเหลือง ใชแ้ ชใ่ นน้ารอ้ น กรองเอาแตน่ า้ํ

สรุปขนมไทย มรี ากเหง้ามาจากสังคมเกษตรผกู พนั กบั ธรรมชาติ วตั ถุดิบทน่ี ามาทาเป็นขนมกล็ ว้ น มา
จากธรรมชาติ ดงั น้ันคณุ สมบตั ิหลายประการของผลผลิตตามธรรมชาติกจ็ ะยงั คงมอี ยูม่ าก จากการสารวจคุณคา่
ทางโภชนาการขนมไทย ของกรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุขพบวา่ ขนมไทยส่วนใหญ่ นอกจากจะมคี ณุ คา่ ใน
สารอาหารหลกั ๆ อยา่ งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมนั แลว้ ยงั มแี รธ่ าตแุ ละวติ ามนิ ที่สาคญั ตอ่ รา่ งกายรวมอีกด้วย
อาทิเชน่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหลก็ วติ ามนิ เอ เรตนิ อล แคโรทนี เป็นตน้

บทท่ี3
วธิ ีดาเนินการวจิ ยั

การศกึ ษาการบริโภคขนมไทยของเยาวชนในเขตจงั หวดั นนทบุรีเป็นการวจิ ยั เชิงปริมาณโดย
การสารวจ มรี ายละเอียดดงั น้ี
3.1 ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง
3.2 เคร่ืองมอื และการหาคณุ ภาพเคร่ืองมือ
3.3 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
3.4 สถติ ิท่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มลู
3.1 ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง
1. ประชากร ไดแ้ ก ่เยาวชนทอ่ี ยใู่ นชว่ งอายุ 14-18 ปีบริบูรณ์ และไมใ่ ชผ่ บู้ รรลุนิตภิ าวะแลว้
จากการจดทะเบียนสมรส ในทางกฎหมายกถ็ ือวา่ บุคคลที่มีอายรุ ะหวา่ งน้ีเป็นเยาวชน ซ่งึ จะตอ้ งพกั
อาศยั หรือกาลงั ศึกษาอยใู่ นจงั หวดั นนทบรุ ี จานวน 68,517 คน (ขอ้ มลู สถติ เิ กยี่ วกบั จา
นวนประชากร
ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ณ ธันวาคม พ.ศ. 2559)
กาหนดขนาดกลมุ่ ตวั อยา่ ง โดยใชต้ ารางของซี่และมอร์แกน (Krejcie &Morgan) ใน
การประมาณคา่ สัดสว่ นของประชากร ระดบั ความคลาดเคลื่อนท่ียอมรับได้ 5% และระดบั ความ
เช่อื มนั่ 95% ไดข้ นาดของกลมุ่ ตวั อยา่ งกบั ประชากรทเ่ี หมาะสม 399 คน
การสุม่ กลมุ่ ตวั อยา่ ง เพ่อื ให้ไดก้ ลมุ่ ตวั อยา่ งท่ีมคี ณุ สมบัตแิ ละคณุ ลกั ษณะที่สามารถเป็น
ตวั แทนของประชากรท่ีผวู้ จิ ัยทาการศึกษาคร้ังน้ี ใชก้ ารสุม่ ตวั อยา่ งแบบหลายข้นั ตอน (Multi-stage

Sampling)
1. ท าการสุม่ เลือกพน้ื ท่ี (Area or Cluster Sampling) มที ง้ั หมด 6 อาเภอ ไดแ้ ก ่
อาเภอเมอื งนนทบุรีอาเภอบางกรวย อาเภอบางใหญ่อาเภอบางบวั ทอง อาเภอไทรน้อย และอาเภอ
ปากเกร็ด โดยใชส้ ดั สว่ นในการเลอื ก คอื 2:1 และทาการสุม่ อยา่ งงา่ ย (Simpling Random
Samplingได3้ อาเภอ คอื อาเภอเมอื งนนทบรุ ีอาเภอบางกรวย และอาเภอปากเกร็ด
2. สุม่ แบบกาหนดจานวนตัวอยา่ ง (Quota Sampling) โดยกาหนดอาเภอละ
เทา่ ๆกนั ดงั น้ี อาเภอเมอื งจานวน 133 คน, อาเภอบางกรวยจานวน 133 คนและอาเภอปากเกร็ด
จานวน 133 คน รวมจานวน 399 ตวั อยา่ ง
3. ใชก้ ารสุม่ ตวั อยา่ งแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เป็น เยาวชนทีพ่ กั อาศยั
ในจงั หวดั นนทบุรีตามขอ้ มลู จานวนประชากรของกรมการปกครอง โดยเกบ็ ขอ้ มลู จากกลุม่ ตวั อยา่ ง

ตามสถานการศกึ ษา ในระดบั มธั ยมศึกษา ในอาเภอเมอื ง คอื โรงเรียนสตรีนนทบุรี
จานวน 133 คน
อาเภอบางกรวย คือโรงเรียนบางกรวยจานวน 133 คน และอาเภอปากเกร็ด คือ โรงเรียนปากเกร็ด
จานวน 133 คน เนื่องจากเป็นโรงเรียนในเขตจงั หวดั นนทบรุ ีและทางโรงเรียนใหค้ วามรว่ มมอื ใน
กจิ กรรม ดา้ นการวจิ ยั ดว้ ยดีตลอดมา
3.2 เคร่ืองมอื ในการวจิ ยั
1. ศกึ ษา วเิ คราะห์และสังเคราะห์เอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วขอ้ งเพอ่ื เป็นแนวทางใน
การกาหนดขอ้ ค าถามให้สอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย
2. นาเคร่ืองมอื ให้ทีป่ รึกษางานวจิ ยั ตรวจสอบความครอบคลุมของการก าหนดขอ้

ค าถามใหส้ อดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั รวมท้งั ความเหมาะสมและความชดั เจนของภาษาท่ี
ใช้จากน้นั นาเครื่องมอื ท่สี รา้ งมาปรับปรุงแกไ้ ขตามขอ้ เสนอแนะของที่ปรึกษางานวิจยั
3. นาเคร่ืองมอื ไปใหผ้ เู้ ช่ยี วชาญจานวน 3 ทา่ น เพื่อตรวจสอบความเทย่ี งตรงเชิง
เน้ือหา โดยการหาคา่ ความสอดคล้องระหวา่ งข้อค าถามกบั วตั ถปุ ระสงค์ (Index of Item-Objective
Congruence: IOC) โดยการนาเสนอแบบสอบถามที่สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วเสนอใหผ้ ู้ทรงคุณวฒุ ิจานวน 3 ทา่ น

ตรวจสอบความถูกตอ้ งครอบคลุมของเน้ือหาความชดั เจนของภาษา โดยรายช่อื
ผทู้ รงคณุ วฒุ มิ ดี งั ตอ่ ไปน้ี
1. รองศาสตราจารย์ ศริ ิ ภพู่ งษ์วฒั นา คณบดีคณะบริหารธุรกจิ
มหาวทิ ยาลยั ราชพฤกษ์
2. ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.กรณั ย์พฒั น์ อ่ิมประเสริฐ อาจารย์สาขาวชิ าการตลาด
มหาวทิ ยาลยั ราชพฤกษ์
3. ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ลกั ษณาวดี บุญยะศริ ินันท์ อาจารยป์ ระจ าหลกั สูตร MBA
มหาวทิ ยาลยั ราชพฤกษ์
ผูท้ รงคณุ วฒุ ทิ ้งั 3 ทา่ นไดต้ รวจสอบแกไ้ ขให้ขอ้ เสนอ แนะน าเพม่ิ เติม ตลอดจน
ตรวจสอบความเท่ยี งตรงเชิงเนื้อหา ความเขา้ ใจในการใชภ้ าษาวา่ มคี วามครบถ้วนและมคี วามเขา้ ใจ
ตรงกนั หรือไม ่ โดยใชห้ ลกั เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพของเคร่ืองมือ คอื IOC ทคี่ านวณไดต้ อ้ งมคี า่ มากกวา่
.50 (ศริ ิชยั กาญจนวาสี, 2544) จงึ จะถอื วา่ ขอ้ ค าถามน้นั สอดคลอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงค์ซ่งึ พบวา่
แบบสอบถามมีคา่ ดชั นี IOC ทง้ั ฉบบั เทา่ กบั 0.89
4. น าเครื่องมอื ท่ปี รบั ปรุงแลว้ ไปทดลองใชก้ บั กลุม่ ประชากรทม่ี คี ณุ สมบัติใกลเ้ คียงกบั

กลมุ่ ตวั อยา่ งเพื่อหาคา่ ความเชื่อมนั่ (Reliability) ของเครื่องมอื โดยเลือกขอ้ ค าถามท่ีมคี า่ ความ
เช่ือมน่ั มากกวา่ .80 ข้ึนไป

เคร่ืองมอื ทใี่ ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู เป็นแบบสอบถามโดย แบง่ ออกเป็น 3 ตอน
ไดแ้ ก ่
ตอนท่ี 1 ค าถามเกยี่ วกบั ขอ้ มูลสว่ นบุคคลของผตู้ อบแบบสอบถาม ไดแ้ ก ่ 1) เพศ 2)
อายุ 3) ระดบั การศึกษา 4) รายไดเ้ ฉลยี่ ตอ่ เดือน 5) อาชพี ผปู้ กครอง ใชค้ าถามแบบเลือกตอบ
ตอนที่ 2 คาถามเกย่ี วกบั การบริโภคขนมไทยของเยาวชนในเขตจงั หวดั นนทบุรี
1) ประเภทขนมไทยท่ีซือ้ 2) เหตผุ ลในการซอื้ 3) ความถ่ใี นการซ้อื 4) คา่ ใชจ้ า่ ยในการซอ้ื /คร้งั
5) ชว่ งเวลาท่ีเลอื กซ้ือ 6) สถานท่ที ีน่ ิยมเลอื กซอ้ื 7) แหลง่ ขอ้ มลู ขา่ วสาร
ตอนท่ี 3 คาถามเกย่ี วกบั ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มผี ลตอ่ การเลือกซ้ือขนม
ไทย (4P) 1. ดา้ นผลิตภณั ฑ์ 2. ดา้ นราคา 3. ดา้ นชอ่ งทางการจดั จาหนา่ ย 4. ดา้ นการสง่ เสริม
การตลาด
3.3 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ผวู้ จิ ยั และผชู้ ว่ ย ลงพนื้ ท่ใี นการเกบ็ ขอ้ มลู ที่ใชใ้ นการศกึ ษาคร้ังน้ี
คอื กลมุ่ เยาวชนทพี่ กั อาศยั ในเขตจงั หวดั นนทบรุ ีตามขอ้ มลู จานวนประชากรของกรมการปกครอง ณ
เดอื นธันวาคม พ.ศ. 2559 จงั หวดั นนทบรุ ี(ขอ้ มลู สถิติเกี่ยวกบั จานวนประชากร ของกรมการปกครอง
กระทรวงมหาดไทย ณ ธันวาคม พ.ศ. 2559, ออนไลน์) ของแตล่ ะอาเภอ ไดแ้ ก ่อาเภอเมอื งนนทบุรี
อาเภอปากเกร็ด อาเภอบางกรวย จานวน 399 คน ภายในสถานการศึกษา ของแตล่ ะ
อาเภอดงั กลา่ ว

3.4 สถิติทใี่ ชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มลู
ผวู้ จิ ยั นาขอ้ มลู มาประมวลผลและวเิ คราะห์ดว้ ยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูปโดยใชว้ ธิ ี
ทางสถิติท่นี ามาใชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ดงั น้ี
ตอนท่ี 1 วเิ คราะห์ปัจจยั สว่ นบุคคลของผตู้ อบแบบสอบถาม ไดแ้ ก ่เพศ อายุ ระดบั การศกึ ษา
รายไดเ้ ฉล่ียตอ่ เดอื น สถานภาพสมรส และอาชพี ผปู้ กครอง โดยใชส้ ถิตเิ ชิงพรรณนา (Descriptive
Statistics) ไดแ้ ก ่จานวน และคา่ ร้อยละ
ตอนท่ี 2 วเิ คราะห์การบริโภคขนมไทยของเยาวชนในเขตจงั หวดั นนทบรุ ี ไดแ้ ก ่เหตุผลที่ซือ้
คา่ ใชจ้ า่ ยในการซือ้ /คร้ัง ผูม้ อี ทิ ธิพลในการซื้อ ความถ่ีในการซ้อื แหลง่ ขอ้ มลู ขา่ วสาร สถานทีท่ ี่นิยม
เลอื กซอ้ื และชว่ งเวลาท่ีเลือกซือ้ โดยใชส้ ถติ เิ ชงิ พรรณนา (Descriptive Statistics) ไดแ้ ก ่จานวน และคา่ ร้อยละ
ตอนที่ 3 วเิ คราะห์ปัจจยั สว่ นประสมทางการตลาดที่มีผลตอ่ การเลอื กซ้ือขนมไทย โดยใช้
คา่ เฉลีย่ (Mean) และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation: SD)

การแปลผลคะแนนรายขอ้ และโดยรวม ใชค้ า่ เฉล่ยี ท่มี คี า่ ตง้ั แต่ 1.00 – 5.00 โดย
พจิ ารณาตามเกณฑ์ ดงั น้ี (Best, 1981: 182)
4.50 – 5.00 หมายถงึ มผี ลตอ่ การเลือกซื้อในระดบั มากท่สี ุด
3.50 – 4.49 หมายถงึ มผี ลตอ่ การเลอื กซอ้ื ในระดบั มาก
2.50 – 3.49 หมายถึง มผี ลตอ่ การเลือกซอ้ื ในระดบั ปานกลาง
1.50 – 2.49 หมายถึง มผี ลตอ่ การเลือกซ้ือในระดับนอ้ ย
1.00 – 1.49 หมายถึง มผี ลตอ่ การเลือกซอื้ ในระดับนอ้ ยทสี่ ุด
ตอนที่ 4 การวเิ คราะห์เปรียบเทียบความคิดเห็นตอ่ ปัจจยั ส่วนประสมทางการตลาดที่มผี ลตอ่

การเลอื กซื้อขนมไทยของเยาวชนในเขตจงั หวดั นนทบุรี จาแนกตามขอ้ มลู ส่วนบคุ คล โดยใชส้ ถติ ิ
ทดสอบที (t-test) กรณที ี่ตวั แปรมี 2 กลมุ่ และใชก้ ารทดสอบความแปรปรวนทางเดยี ว (One-Way
ANOVA) ในกรณที ีม่ ตี วั แปรมากกวา่ 2 กลมุ่ และเมอ่ื พบความแตกตา่ งอยา่ งมนี ยั
สาคญั ทางสถิติ จงึ
ทาการทดสอบความแตกตา่ งเป็นรายคู่ โดยวธิ ีของ Scheffé

บทที่ 1

บทนำ

ภมู ิหลัง

การจัดการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ได้มุ่ง
พัฒนาให้ผู้เรียนทุกคนซึ่งเป็นกำลังที่สำคัญของชาติให้มนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งร่างกาย ความรู้
คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทย และพลโลกยึดมั่นในการปลุกครองระบอบ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนความเชื่อว่า
ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพซึ่งหลักสูตรกำหนดให้ผู้เรียนในระดับ
การศึกษาขั้นพื้นฐานจำเป็นต้องเรียนรู้ในแปดกลุ่มสาระการเรียนรู้คือภาษาไทยคณิตศาสตร์
วิทยาศาสตร์สงั คมศึกษา

ศาสนาและวัฒนธรรม สุขศึกษาและพละศึกษา ศิลปะ การงานอาชีพและเทคโนโลยี และ
ภาษาต่างประเทศ เพื่อพัฒนาเด็กและเยาชนให้มีความรู้ทักษะเจคคติและคุณธรรมบนพื้นฐาน
ของความเป็นไทย ควบคู่กับความเป็นสากลและให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้
สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถน่ิ (กระทรวงศกึ ษาธิการ 2551)

สังคมในปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ความเจริญก้าวหน้าทาง
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีการพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง ชีวิตความเป็นอยู่ของคนก็
เปลี่ยนแปลงไปตามความเจริญทั้งสังคมเมืองสังคมชนบททำให้ปัญหาต่างๆ ของสังคมเกิดข้ึน
อยา่ งมากมาย การปรับตัวให้เขา้ กับสภาพแวดล้อมและความเปลย่ี นแปลงดังกลา่ ว การศึกษาเป็น
กระบวนการสำคัญในการพัฒนามนุษย์เพราะการศึกษาเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้พลเมือง
ของแตล่ ะประเทศมีความรู้และยืนหยัดอยู่ท่ามกลางความเปล่ยี นแปลงของสังคมได้ ดังปรากฏใน
(พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จภมู พิ ลอดุลยเดช (2524)

2

กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพเป็นกลุ่มสาระที่ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ความ
เข้าใจมีทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงสามารถนำความรู้
เกี่ยวกับการดำรงค์ชีวิตการอาชีพมาใช้ประโยชน์ในการทำงานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์และ
แข่งขันในสังคมไทยและสากลเห็นแนวทางในการประกอบอาชีพรักการทำงานและมีเจคติที่ดีต่อ
การทำงานและสามารถดำรงชวี ติ อยู่ในสงั คมได้อยา่ งพอเพยี งและมคี วามสขุ (กระทรวงศึกษาธิการ
2551 ,114,)

กลุ่มสาระการงานอาชีพประกอบไปด้วย 4 สาระ 1. การดำรงชีวิตและครอบครัว เป็น
สาระเกี่ยวกับการทำงานในชีวิตประจำวัน ช่วยเหลือตนเอง ครอบครัวและสังคมได้ในสภาพ
เศรษฐกิจที่พอเพียง ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมเน้นการปฏิบัติจริงจนเกิดความมั่นใจและภูมิใจใน
ผลสำเร็จของงานเพื่อให้ค้นพบความสามารถความถนัดและความสนใจของตนเอง 2. การ
ออกแบบและเทคโนโลยี เปน็ สาระการเรียนรู้ทเ่ี กี่ยวกับการพัฒนาความสามารถของมนุษย์อย่าง
สรา้ งสรรค์ โดยนำความรู้มาใชก้ บั กระบวนการเทคโนโลยี สรา้ งสิ่งของ เครอ่ื งใช้ วธิ ีการหรอื เพิ่ม
ประสิทธิภาพในการดำรงชีวิต 3. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นสาระเกี่ยวกับ
กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ การติดต่อสื่อสาร การค้นหาข้อมูล การใช้ข้อมูลและ
สารสนเทศ การแก้ปัญหาหรือการสร้างงานคุณค่าและผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศและ
การสื่อสาร 4.การอาชีพ เป็นสาระที่เกี่ยวข้องกับทักษะที่จำเป็นต่ออาชีพเห็นความสำคัญของ
คุณธรรม จริยธรรม และเจตคตทิ ี่ดีต่ออาชพี ใช้เทคโนโลยีไดเ้ หมาะสม เห็นคุณค่าของอาชีพสุจริต
และเห็นแนวทางในการประกอบอาชีพ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงาน
คณะกรรมการการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน (กระทรวงศึกษาธิการ 2561)

สื่อการเรียนรู้เป็นเครื่องมือส่งเสริมสนับสนุนการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน
เข้าถึงความรู้ ทักษะ กระบวนการ และคุณลักษณะตามมาตรฐานของหลักสูตรได้อย่างมี
ประสิทธิภาพสื่อสารเรียนรู้มีความหลากหลายประเภททั้ง สื่อธรรมชาติการเรียนรู้ต่างๆที่มีใน
ท้องถิ่นในการเลือกสื่อควรเลือกให้มีความเหมาะสมกับระดับพัฒนาการและลีลาการเรียนรู้ที่
หลากหลายของผู้เรียนในการจัดทำการเลือกใช้และการประเมินคุณภาพ สื่อการเรียนรู้ที่ใช้
สถานศึกษาควรคำนึงถึงหลักการสำคัญของสื่อการเรียนรู้เช่น ความสดของกับหลักสูตร

3

วัตถุประสงค์การเรยี นรู้ออกแบบกิจกรรมการเรียนรูก้ ารจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนเนื้อหามีความ
ถูกต้องและทันสมัยไม่กระทบความมั่นคงของชาติไม่ขัดต่อสินละทำและมีการใช้ภาษาที่ถูกต้อง
รปู แบบการนำเสนอท่เี ขา้ ใจงา่ ยและน่าสนใจวง. (กระทรวงศกึ ษาธิการ 2551)

สื่อการสอน (Instructional Media) หมายถึง สื่อชนิดใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นเทป
บันทึกเสียง สไลด์ วิทยุ โทรทัศน์ วีดิทัศน์ แผนภูมิ ภาพนึ่ง เป็นต้น ซึ่งบรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับการ
เรียนการสอน สิ่งเหล่าน้ีเป็นวัสดอุ ุปกรณ์ทางกายภาพที่นำมาใช้ในเทคโนโลยีการศกึ ษา เป็นสิ่งท่ี
ใชเ้ ป็นเครอ่ื งมือ หรอื ชอ่ งทางสำหรับการทำให้การสอนของผูส้ ง่ ไปถึงผู้เรียน ทำใหผ้ ู้เรียนสามารถ
เกิดการเรียนรู้ ตามวัตถุประสงค์ หรือจุดมุ่งหมายที่ผู้สอนวางไว้ได้เป็นอย่างดี เพื่อให้บรรลุ
เป้าหมายดังกล่าว สื่อการสอนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ที่จะช่วยให้การเรียนการสอนบรรลุ
วัตถุประสงค์ เนื่องจากสื่อเป็นตัวกลางที่ ช่วยให้การสื่อสารระหว่างผู้สอน และผู้เรียนดำเนินไป
อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้เรียนมีความ เข้าใจความหมายของเนื้อหาบทเรียนได้ตรงกับผู้สอน
ไม่ว่าสื่อนั้นจะเป็นสื่อในรูปแบบใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นทรัพยากรที่จะสามารถอำนวยความ
สะดวกในการเรียนรู้ได้ทั้งสิ้น ในการใช้สื่อการ สอนนั้นผู้สอนจำเป็นต้องศึกษาถึงลักษณะเฉพาะ
และคุณสมบัติของสื่อแต่ละชนิด เพื่อเลือกสื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์การสอนและสามารถจัด
ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ให้แก่ผู้เรียน โดยตอ้ งมกี ารวางแผนอย่างเป็นระบบในการใช้ส่ือด้วย ทั้งน้ี
เพื่อให้กระบวนการเรียนการสอนดำเนินไปอย่างมปี ระสิทธิภาพ เมือ่ ส่อื การเรียนการสอนเข้ามามี
บทบาทสำคัญเช่นนี้แล้ว การนำสื่อการเรียนการสอนมาใช้จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับครูผู้สอน
เพ่ือใหผ้ ้เู รียนบรรลุตามเป้าประสงคข์ องหลกั สูตร (วลยั นุช สกุลนยุ้ , 2555)

สื่อประสม หมายถึง การนำเอาสื่อการสอนหลาย ๆ อย่างที่สัมพันธ์กันมาใช้ในการ
จัดการเรียนการสอนอย่างมีระบบ มคี ุณค่า สง่ เสรมิ ซง่ึ กนั และกนั โดยสื่ออย่างหน่ึงอาจใช้เพื่อเร้า
ความสนใจ ในขณะที่อีกอย่างหนึ่งใช้เพื่ออธิบาย ข้อเท็จจริงของเนื้อหา และป้องกันการเข้าใจ
ความหมายผิด ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนมีประสบการณ์จาก ประสาทสัมผัสที่ผสมผสานจนเกิดการ
เรียนรตู้ ามวตั ถปุ ระสงค์ทีต่ ง้ั ไวอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ( สลุ ักขณา ค้มุ ทรัพย์, 2555 )

4

ดังนั้นจากปัญหาดังกล่าวในฐานะครูผู้สอนจึงมีความจำเป็นในการพัฒนาสื่อการสอนท่ี
เหมาะสม พัฒนาสื่อให้น่าสนใจ ร่วมกับการพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นนักเรียนเป็น
สำคญั โดยครผู ้สู อนควรจะลดบทบาทจากผู้ถ่ายทอดเพียงผู้เดยี ว เปน็ ผูค้ อยสนับสนุนกิจกรรมให้
นักเรียนเกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดซึ่งกันและกันฝึกฝนการค้นคว้าด้วยตนเองท่ี
หลากหลายเพอ่ื ใหเ้ กดิ ทักษะการเรยี นรู้ (จินตนา สมศิลป์, 2559)

ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัย จึงสนใจที่จะพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้สื่อประสม การใช้
โมเดลแบบจำลอง กลุ่มสาระการเรียนร้กู ารงานอาชีพและเทคโนโลยี เรือ่ งการจัดตกแตง่ บา้ น ชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 6 เพื่อที่จะสามารถพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรยี นวิชาการงานอาชพี ให้นกั เรยี น
เกิดความสนใจในบทเรียนช่วยใหน้ ักเรยี นรับรู้ แจ่มแจ้งชดั เจนข้ึน ผู้เรียนกระตอื รือรน้ และมีส่วน
ร่วมในการเรยี นมากขน้ึ

5

คำถามการวจิ ยั

การวิจัยคร้ังน้ี ผู้วิจยั ไดก้ ำหนดคำถามของการวิจัยไว้ ดงั นี้

1. กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้สื่อประสม เรื่องการจัดตกแต่งบ้าน กลุ่มสาระการ
เรยี นรู้

การงานอาชีพชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 4 มปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 หรอื ไม่
2. กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้สื่อประสม เรื่องการจัดตกแต่งบ้าน กลุ่มสาระการ
เรยี นรู้

การงานอาชีพชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิผลตามเกณฑ์ดชั นีประสิทธิผลมากกว่าหรอื เท่ากบั
รอ้ ยละ 50 หรือไม่

3. นักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้สื่อประสม เรื่องการจัดตกแต่งบ้าน
กลุ่ม

สาระการเรียนรู้การงานอาชีพชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีความรู้เกี่ยวกับการจัดตกแต่งบ้าน หลัง
เรียนสงู กว่ากอ่ นเรียน หรอื ไม่

4. นักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรยี นการสอนโดยใช้สื่อประสม เรื่องการจัดตกแต่งบ้าน
กลุ่ม

สาระการเรียนรู้การงานอาชีพช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 มีทักษะการจดั ตกแต่งบ้าน หลังเรียนสูงกวา่
เกณฑท์ ีต่ ัง้ ไว้ทรี่ อ้ ยละ 75 หรือไม่

วตั ถุประสงคข์ องการวิจัย

1. เพอื่ พัฒนาและตรวจสอบประสทิ ธภิ าพของกจิ กรรมการเรยี นการสอนโดยใช้ส่อื ประสม
เรอื่ ง

6

การจัดตกแตง่ บ้าน กลุ่มสาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชพี ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 4 ตามเกณฑ์ 75/75
2. เพื่อตรวจสอบประสิทธิผลของกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใชส้ ่อื ประสม เร่ืองการจัด

ตกแต่งบ้าน กลมุ่ สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชีพชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 4 ตามเกณฑด์ ชั นีประสทิ ธผิ ล
มากกวา่ หรือเท่ากับรอ้ ยละ 50

3. เพื่อเปรียบเทียบความรู้เก่ยี วกับการจดั ตกแต่งบ้านของนกั เรยี นระหวา่ งก่อนเรียนและ
หลงั

เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้สื่อประสม เรื่องการจัดตกแต่งบ้าน กลุ่มสาระการ
เรยี นร้กู ารงานอาชพี ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4

4. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการจัดตกแต่งบ้านของนักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนการ
สอน

โดยใช้สื่อประสมเรื่องการจัดตกแต่งบ้าน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีชั้น
มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 กับเกณฑร์ ้อยละ 75 ของคะแนนเต็ม

ความสำคัญของการวิจัย

1. ไดก้ จิ กรรมการเรียนการสอนโดยใช้ส่ือประสม เร่อื งการจัดตกแต่งบ้าน ท่ีมีประสิทธิภาพ
และประสิทธผิ ลสามารถนำไปใชใ้ นการเรยี นการสอนเพื่อเพิม่ ความรู้

2. เปน็ แนวทางในการพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนในรายวิชาการงานอาชีพได้

สมมตฐิ านของการวิจยั

1. กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้สื่อประสม เรื่องการจัดตกแต่งบ้าน กลุ่มสาระการ
เรียนรู้

การงานอาชพี ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 4 มปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75
2. กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้สื่อประสม เรื่องการจัดตกแต่งบ้าน กลุ่มสาระการ
เรียนรู้

7

การงานอาชีพชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 4 มีประสิทธิผลตามเกณฑ์ดชั นีประสทิ ธิผลมากกว่าหรอื เท่ากับ
ร้อยละ 50

3. นักเรียนที่เรียนด้วยกจิ กรรมการเรยี นการสอนโดยใช้สื่อประสม เรื่องการจัดตกแต่งบ้าน
กลุ่ม

สาระการเรียนรู้การงานอาชีพชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีความรู้เกี่ยวกับการจัดตกแต่งบ้าน หลัง
เรียนสูงกว่ากอ่ นเรียน

4. นักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้สื่อประสม เรื่องการจัดตกแต่งบ้าน
กลมุ่

สาระการเรียนรู้การงานอาชีพชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 มีทักษะการจัดตกแต่งบ้าน หลังเรียนสูงกว่า
เกณฑท์ ีต่ ง้ั ไว้ที่ร้อยละ 75

ขอบเขตของการวิจัย

การวิจยั ครั้งผวู้ ิจัยได้กำหนดขอบเขตของการวจิ ยั ดังนน้ี ี้

1. ขอบเขตดา้ นประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1.1 ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่
การศึกษามัธยมศึกษา เขต 23 โรงเรียนท่านผู้หญิงจันทิมาพึ่งบารมี ภาค
เรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา2563 จำนวน 5 หอ้ งเรียน รวม 200 คน
1.2 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนโรงเรียนท่านผู้หญิงจันทิมาพึ่งบารมี สังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 23 ภาคเรียนท่ี 2 ปี
การศึกษา 2563 จำนวน 5 ห้องเรียน รวม 20 คนซึ่งได้มาโดยวิธีสุ่ม
แบ่งกลุ่ม (Cluster sampling )

2. ขอบเขตดา้ นตวั แปร
2.1 ตัวแปรอิสระ ได้แก่ กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้สื่อประสม เรื่องการ
จัด

ตกแต่งบ้าน


Click to View FlipBook Version