23
2) แบบประเมินผลเป็นรายบุคคลหรอื เปน็ กลมุ่ หลงั จากปฏิบตั ิกจิ กรรมในศูนย์แลว้
3) เฉลยแบบประเมนิ ผลของแตล่ ะศูนย์ เพ่ือให้ผู้เรียนไดร้ ู้ผลการเรียนรขู้ องตนเอง
2.1.4 แบบทดสอบกอ่ นเรยี น หลงั เรียนตามทร่ี ะบุไวใ้ นคู่มือ
2.1.5 เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น หลงั เรยี น
2.2 การใชช้ ุดการสอนแบบศูนยก์ ารเรยี นเน้นให้นกั เรียนเป็นผู้ศึกษาหาความรู้ดว้ ยตนเอง ครูจะเป็นผู้
เตรียม สถานที่ เตรยี มสื่อ เป็นพเ่ี ล้ียงคอยดแู ล และใหค้ วามช่วยเหลือเม่ือนักเรยี นประสบปญั หา
2.2.1 การเตรียมสถานท่ี จัดที่เรียนใหเ้ ป็นกลุ่มกจิ กรรมจำนวนกลมุ่ เท่ากบั จำนวนศูนย์ยอ่ ยในชุด
การสอน ซึ่งนิยมจัดเปน็ 5 ศูนย์
2.2.2 ข้ันตอนการสอนแบบศูนยก์ ารเรียน
1) การทดสอบก่อนเรียน โดยใหน้ ักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรยี น ตามทชี่ ุดการสอนกำหนดไว้ เพ่อื วัดพน้ื
ฐานความร้เู ดมิ ของผู้เรยี น ใช้เวลาประมาณ 5 - 10 นาที
2) นำเข้าส่บู ทเรียนแล้วแนะนำวธิ ีการเรียนในแตล่ ะศูนย์ การประเมนิ ผลและการเปล่ียนศูนย์ ใชเ้ วลาประมาณ 10
นาที
3) ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม
3.1) แบ่งกลมุ่ เพื่อเขา้ เรียนในศูนย์การเรียน
3.2) แตล่ ะกลุม่ อา่ นบัตรคำสั่งประจำศนู ย์
3.3) ปฏิบตั ิกจิ กรรมตามคำสง่ั
3.4) ประเมนิ ผลการปฏบิ ัตกิ ิจกรรมและศึกษาความถูกต้องจากแบบเฉลย
3.5) เปลย่ี นศูนย์ ศูนย์ย่อยที่ 1 - 4 ทกุ กลุ่มจะตอ้ งหมนุ เวียนกนั เขา้ ไปปฏิบตั ิกจิ กรรมให้ครบทกุ ศนู ย์ จึง
จะไดเ้ น้ือหาครบตามจุดประสงค์ ส่วนศนู ย์สำรองมีไวส้ ำหรบั กลุม่ ท่ีเสร็จแลว้ แต่ยงั ไม่มีศูนยใ์ ดให้เปลีย่ นก็เขา้ ไปทำ
กิจกรรมเสรมิ ในการเปล่ยี นศูนย์ ถา้ นักเรียนเสร็จ 1 กลมุ่ ให้ไปเข้าศูนยส์ ำรอง ในกรณที ่ีเสร็จพร้อมกัน 2 กลุ่ม
เปลยี่ นศนู ยก์ นั ถา้ เสรจ็ พรอ้ มกัน 3 – 4 กลุ่ม ใหเ้ ปลี่ยนเวียนกันไม่ใหซ้ ้ำศูนย์ ครูตอ้ งดแู ลการเปลย่ี นศนู ย์ และ
ควบคมุ เวลาของแต่ละศนู ย์
24
4) สรปุ บทเรยี น โดยตัวแทนของแต่ละกล่มุ ครูชว่ ยเสริมในส่วนท่บี กพรอ่ ง ใชเ้ วลาอีกประมาณ 10 นาที
5) ทดสอบหลังเรยี น โดยใช้แบบทดสอบชุดเดียวกับชุดก่อนเรียนแต่อาจสลับข้อหรอื สลับคำตอบบ้าง ใชเ้ วลา
ประมาณ 5 - 10 นาที ผลการทดสอบก่อนเรยี น หลังเรียนควรแสดงใหผ้ เู้ รียนเหน็ ความกา้ วหนา้ ของตนเองดว้ ย
รวมเวลาทใี่ ชช้ ดุ การสอนแบบศูนยก์ ารเรยี นคร้ังหนึ่ง ประมาณ 4 - 5 คาบ แต่เวลาจะมากหรือน้อยไป กว่านี้อีกก็
ได้ ข้ึนอยู่กบั เน้ือหาและกจิ กรรมของชุดการสอนแต่ละเรื่อง
3. ชดุ การสอนแบบรายบุคคล
3.1 สว่ นประกอบ
3.1.1 กล่อง กระเปา๋ ซองบรรจุชดุ การสอน
3.1.2 คมู่ ือการใช้ชดุ การสอน
1) คำชี้แจงวธิ ีใช้ วิธีเรียน
2) รายการของส่ือตา่ งๆ ท่ีมีอยใู่ นชดุ
3.1.3 สอ่ื ประกอบการเรียน
3.1.4 แบบประเมนิ
3.2 การใช้
3.2.1 ใช้สำหรับศึกษาคน้ ควา้ เพมิ่ เติมเม่ือนกั เรยี นปฏิบัตกิ จิ กรรมอืน่ ๆ เสร็จและมเี วลาก็นำชดุ
การสอนมาเรียนได้
3.2.2 สำหรับนักเรียนที่เรียนช้า ไมท่ ันเพื่อน ครูอาจให้มาศึกษา ชดุ การสอนนอกเวลา หรือนำไป
เรียนที่บา้ น
3.3.3 สำหรบั เสรมิ ให้เดก็ เกง่ ได้ค้นควา้ ศึกษาเพ่ิมเติม ลำพอง บุญชว่ ย (อา้ งถึงใน ศุทธนิ ี สดุ ยอด.
2548 : 7) ได้จัดส่วนประกอบของชุดการสอน ดงั นี้
1. คำชี้แจง คอื อธิบายถึงขอบข่ายของชดุ การสอน วัตถปุ ระสงค์ ความรู้พื้นฐานที่ผู้เรียนตอ้ งมีกอ่ น เรียน
และขอบขา่ ยของกระบวนการทัง้ หมด
25
2. วตั ถุประสงค์ คือ ข้อความท่ีระบไุ ว้อยา่ งชัดเจนวา่ ผู้เรยี นเมื่อเรยี นไปแลว้ ผ้เู รียนจะเกิดการ
เปล่ยี นแปลงอะไรบ้าง
3. การประเมนิ ผลก่อนเรียน เพ่ือทราบวา่ พื้นความรู้ของผู้เรียนอยใู่ นระดับใด และเรยี นแล้วบรรลุ
วัตถปุ ระสงคเ์ พียงใด
4. การกำหนดกจิ กรรม คือ การกำหนดแนวทางหรือวธิ ีการเพ่ือนำไปสู่วตั ถุประสงคท์ ี่กำหนดไว้ โดย
ผู้เรียนมสี ว่ นรว่ มในกิจกรรมน้ัน
5. การประเมินผลหลงั การเรียน คอื การประเมินผลหลังจากท่ีผู้เรียนไดเ้ รียนจน เสรจ็ สิ้น กระบวนการ
เรียนแลว้ เพือ่ ทราบว่าผูเ้ รียนบรรลวุ ัตถุประสงคห์ รือไมเ่ พียงใด สวุ ทิ ย์ มูลคำและอรทยั มูลคำ. (2545 : 52 – 57)
ได้กล่าวถงึ องคป์ ระกอบของชุดการสอน การใชช้ ดุ การสอน และข้นั ตอนการใช้ชุดการสอน ดังนี้
1. ชดุ การสอนรายบุคคลหรือชดุ การสอนตามเอกตั ภาพ ควรดำเนนิ การ ดังนี้
1.1 ผู้สอนควรแนะน าหรอื ชี้แจงภาพรวมของชุดการสอน เพอ่ื เป็นแนวทางให้ผเู้ รียนได้เข้าใจ เช่น
ลกั ษณะการจัดการเรียนรู้ ส่วนประกอบท่สี ำคัญ แนะนำการใชบ้ ัตรคำสั่งการใชส้ ่ือตา่ งๆ เป็นต้น
1.2 ใหผ้ ู้เรยี นศกึ ษาดว้ ยตนเองจากบตั รคำสั่งและดำเนินตามกิจกรรมของบตั รคำสั่งจนครบ กระบวนการ
โดยมีการประเมนิ ตนเองท้ังก่อนและหลงั การใชช้ ดุ การสอน
2. ชดุ การสอนแบบกลุ่มกิจกรรมหรือชุดการสอนสำหรับการเรยี นเป็นกลุ่มยอ่ ย โดยปกติชุดการสอนชนดิ นี้ มกั จะ
ใช้ในการสอนแบบศนู ย์การเรียน ดังนัน้ การใช้ชดุ การสอนควรดำเนนิ การดงั นี้
2.1 แนะนำหรือชแ้ี จงการใช้ชุดการสอน เพอ่ื เปน็ แนวทางให้ผเู้ รียนเข้าใจวธิ ีใช้
2.2 แบ่งกล่มุ ย่อยผูเ้ รยี นตามจำนวนชดุ การสอน
2.3 ใหผ้ เู้ รียนทำกจิ กรรมตามบตั รคำสงั่ ที่อย่ใู นชดุ การสอนโดยเร่ิมต้นพร้อมๆ กัน ภายในชดุ การสอน จะ
กำหนดคำสงั่ กจิ กรรม การประเมินภายในเวลาท่ีกำหนด
2.4 เมอ่ื ผูเ้ รียนกลมุ่ ใดประกอบกจิ กรรมเสรจ็ ตามเวลาทกี่ ำหนดแล้วให้สลับหมุนเวยี นกับกลมุ่ อื่นๆ ใน
กรณีทีย่ ังสลบั กลุ่มไมไ่ ดใ้ หป้ ฏิบตั ิกจิ กรรมในศนู ย์การเรยี นรสู้ ำรอง
3. ชดุ การสอนประกอบคำบรรยายของผู้สอนควรดำเนินการ ดงั น้ี
3.1 ผ้สู อนตอ้ งทำความเขา้ ใจอยา่ งดีกบั บตั รคำส่ัง เนื้อหา สอื่ ใบงานและกจิ กรรม
26
3.2 ผ้สู อนต้องเตรยี มวสั ดอุ ุปกรณ์หรือส่ือในการนำเสนอหรือการสาธิต โดยฝกึ ให้เกิดทักษะก่อนนำไป
ปฏิบตั จิ รงิ
3.3 ผู้สอนตอ้ งประเมนิ การใช้ชดุ การสอนเพ่ือเปน็ ข้อมลู สำหรับการปรับปรงุ ในโอกาสต่อไปจาก การศกึ ษา
จากการศึกษาสว่ นประกอบและวธิ ใี ช้ชุดการสอน จะใช้ชุดการสอนจะใช้ตามประเภทและจดุ ประสงค์ทีท่ ำขึ้น มี
ขน้ั ตอนโดยสรุป ได้ว่ามีทดสอบก่อนเรียน นำเข้าสบู่ ทเรียน เพ่ือเปน็ การสร้างแรงจูงใจให้ผ้เู รยี นเกดิ ความ
กระตือรอื รน้ ท่ีจะเรียนรปู้ ระกอบกิจกรรมการเรียน ผสู้ อนจะตอ้ งชแ้ี จงหรืออธบิ ายให้ผู้เรียนเข้าใจอย่างละเอียดทุก
ขน้ั ตอนกอ่ นลงมือทำกจิ กรรมสรุปบทเรยี น ผู้สอนนำสรปุ บทเรยี น ซงึ่ อาจทำได้โดยการถามหรือให้ ผเู้ รยี นสรปุ
ความเขา้ ใจหรือสาระที่ได้จากการเรยี นรู้ เพื่อใหแ้ นใ่ จว่าผ้เู รียนมคี วามคดิ รวบยอดตามหลักการท่ีกำหนด
ประเมนิ ผลการเรียน โดยการทำขอ้ ทดสอบหลงั เรียนเพื่อประเมินดูว่า ผู้เรยี นบรรลุตามจุดประสงค์หรือไม่ เพ่ือจะ
ได้ปรบั ปรงุ แก้ไขข้อบกพร่องของ
4. ขั้นตอนการใช้ชุดการสอน เร่อื ง การทำขนมมัฟฟินรสชาตติ า่ งๆ
4.1 ชดุ การสอน เรอื่ ง การทำขนมมัฟฟินรสชาติตา่ งๆ กล่มุ สาระการเรียนรกู้ าร งานอาชีพและเทคโนโลยี
รายวชิ าคหกรรม ระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 ผลิตข้นึ เพ่ือเป็นชุดฝึกทักษะ ประกอบการเรียนการสอน เพ่ือให้
นกั เรยี นเกดิ การพฒั นาทัง้ ความรู้ ทักษะ และเจตคติ สามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน และเปน็ ความรู้
พ้นื ฐานในการประกอบอาชพี ต่อไปแตล่ ะชุด ประกอบด้วย คู่มอื การใชช้ ุดการสอน แผนการจัดการเรียนรู้
แบบทดสอบกอ่ นเรียน - หลงั เรียน ใบความรู้ ใบกจิ กรรมและบรรณานุกรม
4.2 ครผู ู้สอนสามารถนำไปปรับใช้ใหเ้ หมาะสมกบั บรบิ ทของโรงเรยี นและศักยภาพของ ผู้เรยี นในช้นั เรียน
ของทา่ น ชดุ การสอนมีทัง้ หมดจำนวน 2 ชดุ ดังน้ี ชุดท่ี 1 เรอื่ ง ความรู้เกีย่ วกบั เบเกอร่ี เวลาเรยี น 4 ช่ัวโมง ชุดที่ 2
เร่ือง การทำขนมมฟั ฟิน เวลาเรยี น 4 ชัว่ โมง
4.3 การเรียนการสอน การทำขนมมัฟฟนิ รสชาติต่างๆ ตอ้ งมีความสัมพันธก์ ัน ทุกขน้ั ตอน จากงา่ ยไปหา
ยาก ทง้ั ภาคทฤษฎีและภาคปฏบิ ตั ิ โดยนักเรียนจะเรียนรู้ด้วยการศึกษาจากใบความรู้ พรอ้ มภาพประกอบของจริง
ให้ฝกึ ปฏิบัตทิ ง้ั รายกล่มุ และรายบุคคล
4.4 การจัดการเรยี นการสอนจะเกิดประสิทธภิ าพได้เม่ือผู้สอนและผูเ้ รียน ดำเนินกจิ กรรมไปตาม ขัน้ ตอน
ตามแผนการจดั การเรยี นรู้ โดยมีข้ันตอนดังน้ี ขั้นนำเปน็ การทดสอบก่อนเรียนหรอื แสดงตวั อยา่ งการประดษิ ฐ์
27
8. ขอ้ จำกดั ในการใชช้ ดุ การสอน
8.1 การสร้างชุดการสอนให้มีประสิทธิภาพต้องอาศยั ผ้รู แู้ ละลงทุนสูง
8.2 การใช้ชดุ การสอนผู้ใชต้ ้องมคี วามเข้าใจและมีวินยั ในการเรยี น หากขาดไปก็ไมไ่ ด้ผลตามที่
ตอ้ งการ
8.3 ชุดการสอนทีท่ ำอย่างขาดหลักเกณฑแ์ ละประสทิ ธิภาพน้อยจะส่งผลทำให้ ประสิทธภิ าพใน
การเรียนต่างจากความหมายท่นี กั การศกึ ษาได้ใหค้ ำจำกดั ความไวน้ ัน้ สรปุ ได้ว่า ชดุ การสอน คอื การนำเอาส่อื การ
เรียนการสอนทีจ่ ัดอย่างมีระบบเปน็ ชดุ ๆ ให้สอดคล้องกบั เน้ือหา กลุม่ สาระ การเรยี นรู้ และประสบการณ์ท่จี ัดไว้ใน
แต่ละหนว่ ย มาช่วยในการเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมของผูเ้ รยี นใหบ้ รรลจุ ดุ มุ่งหมาย เพ่ือให้การเรยี นการสอนเกดิ
ประสทิ ธภิ าพสูงสุด ซึ่งผวู้ จิ ัยได้ใช้ชดุ การสอนแบบกลุ่มกิจกรรม เปน็ ชุดการสอน สำหรับให้ผเู้ รียนเรียนรว่ มกนั เป็น
กล่มุ เลก็ ๆ ประมาณ 5 - 7 คน โดยใชส้ อ่ื การสอนท่ีบรรจุไว้ในชุดการสอน แตล่ ะชุดเพ่ือมงุ่ ท่ีฝึกทักษะในเนื้อหาวิชา
ทเี่ รยี นและให้ผู้เรยี นมโี อกาสทำงานรว่ มกนั ชดุ การสอนชนดิ นม้ี ักจะใช้ในการสอน แบบกิจกรรมกลุ่ม เชน่ การสอน
แบบศูนยก์ ารเรยี นการสอนแบบกลมุ่ สัมพนั ธ์
9. แนวคิด หลักการ และทฤษฎีทเ่ี ก่ยี วข้องกับชุดการสอน
แนวคดิ และหลักการของชุดการสอนแนวคดิ และหลกั การในการนาชดุ การสอน มาใชใ้ นระบบ
การศึกษาไดม้ ี นกั วิชาการได้ให้หลักการดงั น้ี บญุ เกอ้ื ควรหาเวช (2543 : 92-94) ได้ให้หลักการไว้5 ประการ ดงั น้ี
1. การประยกุ ต์ทฤษฎคี วามแตกต่างระหวา่ งบุคคลการเรียนการสอนจะต้อง คำนงึ ถึงความตอ้ งการความ
ถนัด และความมั่นใจของผเู้ รียนเป็นสำคัญวธิ กี ารสอนที่เหมาะสม ทส่ี ดุ ก็คือการจัดการสอนรายบุคคล หรอื
การศึกษาตามเอกัตภาพและการศกึ ษาด้วยตนเองซึ่งจะเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นมีอิสระในการเรยี นตามระดบั
สติปัญญาความสามารถและความสนใจโดย มคี รูคอยแนะนำชว่ ยเหลอื ตามความเหมาะสม
2. ความพยายามทจี่ ะเปลี่ยนแนวการเรยี นการสอนไปจากเดิมการจดั การ เรียนการสอนแตเ่ ดิมนั้นเรายดึ
ครูเปน็ หลักเปลยี่ นมาเป็นจดั ประสบการณ์ให้ผ้เู รยี นได้ศกึ ษาเอง โดยการใหแ้ หลง่ ความรู้จากส่ือหรอื วิธกี ารต่างๆ
การนำสื่อการสอนมาใช้จะต้องจดั ใหต้ รงเน้อื หา และประสบการณ์ตามหนว่ ยการสอนของวิชาต่างๆ โดยนิยมจัดใน
รปู ของชดุ การสอน การเรยี นในลักษณะนีผ้ ู้เรยี น จะเรียนจากครูเพียงประมาณ 1 ใน 4 ส่วน ส่วนท่ีเหลอื ผู้เรยี นจะ
เรียนจากสื่อดว้ ยตนเอง
3. การใชส้ ื่อการสอนไดเ้ ปลย่ี นแปลงและขยายตัวออกไปการใช้ส่ือการสอนในปัจจุบนั ไดค้ รอบคลมุ ไปถึง
การใช้วัสดุสิ้นเปลอื งเครื่องมือต่างๆ รวมทั้งประบวนการและกิจกรรมตา่ งๆ แต่เดมิ นั้น การผลิตต่างคนตา่ งใชเ้ ป็น
สือ่ เดี่ยวๆ มิได้มกี ารจดั ระบบการใช้สอื่ หลายอย่างมาผสมผสานกนั ให้เหมาะสม และใชเ้ ป็นแหล่ง ความรสู้ ำหรับ
ผูเ้ รยี นแทนการใช้ครูเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้เรยี นตลอดเวลา แนวโน้มใหมจ่ ึงเป็นการผลิต สอื่ การสอนประสม
28
ใหเ้ ปน็ ชดุ การสอนอนั จะมีผลตอ่ การใช้ของครคู ือเปล่ียนจาการท่ีครเู ปน็ ผหู้ ยิบใช้อปุ กรณ์ตา่ งๆ มาใชเ้ ป็นส่ือการ
สอน เพ่อื ช่วยผูเ้ รียน เรยี นเป็นให้ผ้เู รียนหยิบและใชส้ ่อื การสอนต่างๆ ด้วยตนเอง โดยอยู่ในรปู ของชดุ การสอน
4. ปฏิกริ ิยาสมั พันธร์ ะหว่างผู้สอนกับผเู้ รยี น ผู้เรยี นกบั ผู้เรียนและผเู้ รยี นกบั สภาพแวดล้อม แต่กอ่ น
ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งผู้สอนกับผูเ้ รยี นในหอ้ งเรยี นมีลักษณะเป็นทางเดียว คอื ผ้สู อนเปน็ ผู้นำและผเู้ รียนเป็นผูต้ าม
ผู้สอนมไิ ด้เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนมีโอกาสพูดผู้เรยี นจะไดพ้ ูดก็ตอ่ เม่ือผู้สอนให้พดู การตัดสนิ ใจของผูเ้ รียน ส่วนใหญ่
มักจะตามผูส้ อน ผู้เรียนเป็นฝ่ายเอาใจผสู้ อนมากกวา่ ผสู้ อนเอาใจผเู้ รยี น ผสู้ อนวิจารณ์หรือพูดเยาะเย้ยผู้เรียนในช้นั
โดยเฉพาะผเู้ รียนท่ีตอบไม่ถกู ตอ้ งตามผู้สอนชอบ
29
บทที่ 3
วิธีการดำเนนิ การวจิ ยั
การพัฒนาชดุ การสอน การทำขนมมัฟฟนิ รสชาตติ ่างๆ วิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยีสำหรบั ชัน้
มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 มวี ิธีการดำเนนิ การดังนี้
1. ประชากรและกลุม่ ตัวอยา่ ง
2. เคร่ืองมือทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั
3. การสรา้ งและหาคุณภาพเคร่อื งมือ
4. วธิ ดี ำเนินการวิจยั และรวบรวมขอ้ มลู
5. รูปแบบการวจิ ัย
6. การวิเคราะหข์ ้อมูล
7. สถิติในการวเิ คราะห์ข้อมลู
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1. ประชากร
ประชากร ได้แก่ นกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปี ท่ี 2 โรงเรียนสกลราชาวทิ ยานกุ ูล อำเภอเมืองสกลนคร
จงั หวัดสกลนคร สำนักงานเขตพนื้ ท่ีการศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 23 ปกี ารศึกษา 2564 จำนวน 40 คน จากท้ังหมด
1 ห้องเรียน
2. กลุ่มตัวอยา่ ง
กลุม่ ตวั อย่างที่ใชใ้ นการวจิ ยั ไดแ้ ก่ นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปี ท่ี 2 โรงเรียนสกลราชาวทิ ยานุกูล อำเภอ
เมืองสกลนคร จงั หวัดสกลนคร สำนกั งานเขตพื้นที่การศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 23 ปกี ารศึกษา 2564 จำนวน 40
คน ซง่ึ ได้มาจากวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจยั
เคร่อื งมอื ทใี่ ช้ในการศึกษา ประกอบด้วย
1. ชดุ การสอน วิชาคหกรรม เร่อื ง การทำขนมมฟั ฟินรสชาตติ ่างๆ สำหรับนักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 2
จำนวน 2 ชุด ใชจ้ ัดกิจกรรมการเรียนรู้ 8 ชั่วโมง ชุดท่ี 1 เรอ่ื ง ความรเู้ ก่ียวกบั เบเกอร่ี เวลาเรยี น 4 ช่ัวโมง ชดุ ท่ี 2
เรื่อง การทำขนมมัฟฟนิ เวลาเรยี น 4 ชวั่ โมง
2. แผนการจัดการเรยี นร้ปู ระกอบชุดการสอนทักษะปฏิบตั ิ เรือ่ ง การทำขนมมัฟฟนิ รสชาตติ ่างๆ โดยใช้
ชุดการสอน สำหรับนกั เรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 จำนวน 2 แผนการเรยี นรู้ ทำการสอนแผนการเรียนรลู้ ะ 2
ช่ัวโมง จำนวน 2 แผนการดังน้ี
30
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 1 เรื่อง การทำขนมมฟั ฟนิ รสชาติต่างๆ 4 ชั่วโมง ชดุ ที่ 1 เร่อื ง ความร้เู ก่ยี วกับเบ
เกอรี่
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 2 เร่ือง การทำขนมมัฟฟินรสชาติต่างๆ 4 ชัว่ โมง ชดุ ที่ 2 เรอื่ ง การทำขนมมัฟฟนิ
รวมเวลาเรียนท้ังหมด 8 ช่วั โมง
3. แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนกอ่ นเรยี นและหลงั เรียนด้วยชดุ การสอนทง้ั 2 ชดุ จำนวน 60
ข้อคัดเลือกเหลือจำนวน 40 ข้อ เป็นแบบปรนยั เลือกตอบชนิด 4 ตัวเลือก
4. แบบประเมนิ ทักษะปฏิบัตใิ นการประดิษฐง์ านใบตองเป็นแบบรูบริค (Rubric score) 5 ระดบั จำนวน 5
ข้อ
5. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรยี นท่มี ตี ่อ ชุดการสอนวิชาคหกรรม เรื่องการทำขนมมัฟฟิน
รสชาตติ ่างๆ ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 เป็นแบบมาตราส่วนประมาณคา่ (Rating scale) 5 ระดบั จำนวน 20 ข้อ
การสร้างและหาคณุ ภาพของเครื่องมือ
1. การสร้างชดุ การสอน
เครื่องมอื ท่ีใช้ในการทดลอง ได้แก่ แผนการจดั การเรียนร้แู บบใชป้ ญั หาเป็นฐานวชิ าการงานอาชีพและ
เทคโนโลยี เร่อื งการพัฒนาชดุ การสอนการทำขนมมัฟฟินรสชาตติ ่างๆ มขี น้ั ตอนการสร้าง ดงั นี้
1.1 ศึกษาทฤษฎีแนวคิด กระบวนการและวธิ กี ารจดั การเรียนรู้แบบใช้ปญั หาเป็นฐานจากนกั การศึกษา
หลายๆ ทา่ น จากนน้ั ผู้วิจัยได้รวบรวมขน้ั ตอนการเรยี นรู้แล้วแบง่ ออกเปน็ 7 ข้นั ตอน ประกอบดว้ ย
1.1.1 ทำความเขา้ ใจกบั สถานการณ์
1.1.2 ระบุปัญหา
1.1.3 วเิ คราะห์ปญั หา
1.1.4 สร้างประเด็นการเรียนรู้
1.1.5 แสวงหาความรเู้ พม่ิ เติม
1.1.6 รวบรวมความรู้
1.1.7 สรุปการเรียนรแู้ ละนำเสนอ
1.2 ศึกษาเนื้อหาจากบทเรียนในวชิ าการงานอาชีพและเทคโนโลยี เรอ่ื ง การพัฒนาชุดการสอนการทำ
ขนมมัฟฟนิ รสชาตติ ่างๆ ของนกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 2 โรงเรยี นสกลราชวทิ ยานกุ ลู วเิ คราะห์มาตรฐานการ
เรียนรู้ ตวั ชีว้ ดั และสาระสำคัญของหน่วยการเรยี นรู้ เพ่ือจะแบง่ เนื้อหาทจ่ี ะนำมาออกแบบสร้างเปน็ สถานการณ์
ตา่ งๆ หรือนำสถานการณ์จริงทสี่ อดคล้องกบั เน้ือหาดังกล่าวมาเป็น สถานการณ์ปัญหาเพอื่ ใหน้ ักเรยี นได้ฝึก
กระบวนการแก้ปญั หาเพ่ือคน้ หาคำตอบทีแ่ ทจ้ ริง
31
1.3. จัดทำแผนการจัดการเรยี นรู้แบบใช้ปญั หาเปน็ ฐานซ่งึ ประกอบ ด้วย 7 ขั้นตอน ดงั น้ี
ขน้ั ที่ 1 ทำความเขา้ ใจกบั สถานการณ์ผูเ้ รยี นจะต้องทำความเข้าใจกบั คำศัพท์ หรือข้อความทปี่ รากฏอย่ใู น
สถานการณป์ ัญหาใหช้ ดั เจน หากมีคำศัพท์หรอื แนวคดิ ในสถานการณ์ทย่ี งั ไม่เข้าใจ ต้องค้นควา้ เพิ่มเติม เพ่ือทำ
ความเขา้ ใจและอธิบายปัญหาให้ชัดเจนโดยอาศยั ความรู้พน้ื ฐานของสมาชิกในกลุม่ หรือจากเอกสารตำราต่างๆ
ข้ันท่ี 2 ระบุปัญหา ผู้เรียนระบปุ ัญหาหรือข้อมูลสำคัญร่วมกัน และร่วมกนั อภิปราย ตีความเนอ้ื หา จาก
สถานการณ์ เพื่อระบปุ ัญหาหลักทแี่ ทจ้ ริง อธบิ ายไดว้ ่าเป็นปัญหาอะไร จบั ประเด็นข้อมูลทส่ี ำคญั หรือ ปัญหาให้
ถกู ต้องโดยทกุ คนในกลุ่มเขา้ ใจปัญหาหรอื เหตุการณท์ ี่กลา่ วถงึ ในปัญหาน้นั
ขั้นท่ี 3 วเิ คราะหป์ ัญหา ผเู้ รียนช่วยกันระดมสมองเพ่ือวิเคราะหป์ ญั หาต่างๆ และหาเหตุผลมาอธิบาย
ปัญหาหรอื ข้อมลู ท่ีพบ พยายามตอบคำถามหรือสาเหตุที่มาของปัญหาท่ีอธิบายไว้ในข้นั ท่ี 2 ใหม้ ากท่สี ุดเท่าทีจ่ ะ
มากได้ โดยอาศยั ความรเู้ ดิมที่นักเรยี นมอี ย่หู รือเคย เรยี นมาแสดงความคิดเห็นอยา่ งมีเหตุมผี ล
ขั้นที่ 4 สร้างประเดน็ การเรียนรู้หลงั จากทีไ่ ด้วิเคราะห์แลว้ สมาชิกในกลุ่มชว่ ยกนั ตงั้ สมมตฐิ านที่ เชือ่ มโยง
ปัญหาดังกล่าว แล้วเรยี งลำดับความสำคญั ของสมมตฐิ าน โดยอาศยั ความรเู้ ดิมที่มีอยู่ แลว้ สร้างประเด็นการเรยี น
ย่อยๆ โดยที่ผเู้ รียนกำหนดวัตถปุ ระสงค์หรือสร้างประเด็นการเรียนรู้ เพอื่ ค้นหาข้อมลู ทีจ่ ะอธิบายผลการวเิ คราะห์
ทตี่ ง้ั ไว้ ผเู้ รียนสามารถบอกได้ว่า ความรูส้ ว่ นใดร้แู ล้ว ส่วนใดตอ้ งกลบั ไปทบทวน และส่วนใดทย่ี งั ไมร่ ู้หรอื
จำเปน็ ต้องไปค้นควา้ เพม่ิ เติม
ขนั้ ที่ 5 แสวงหาความรเู้ พ่ิมเติม ผูเ้ รยี นคน้ คว้าหาความรเู้ พ่ิมเติมจากส่ือ และแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ เพ่ือ
พัฒนาทักษะการเรียนรูด้ ้วยตนเอง พร้อมท้ังประเมินความถูกต้องโดยอาศัยสอ่ื การเรียนรตู้ า่ งๆ เช่น หนงั สอื เรียน
วารสาร คมู่ อื ตา่ งๆ ห้องสมุด อินเตอร์เน็ต เปน็ ตน้
ขัน้ ท่ี 6 รวบรวมความรูผ้ ู้เรยี นนำความร้ทู ่ีไดไ้ ปศกึ ษาค้นคว้ามา แลกเปลยี่ นเรยี นรู้รว่ มกัน อภิปรายผล
และสังเคราะหค์ วามรู้ทีไ่ ด้มา ว่ามีความเหมาะสมหรอื ไม่เพียงใด เพ่ืออธิบายประเดน็ การเรยี นรูท้ ่ตี ้ังไว้
ขน้ั ท่ี 7 สรปุ การเรยี นร้แู ละนำเสนอ ผู้เรียนนำความรทู้ ่ีไดค้ ้นควา้ มาจัดระบบ องค์ความรู้และนำเสนอ แก่
เพอื่ นๆ หนา้ ชน้ั เรยี นในรปู แบบท่หี ลากหลาย สรปุ ความรูท้ ่ีได้เพือ่ อธบิ ายสถานการณ์ปญั หา
5.1.4 นำแผนการจดั การเรียนรทู้ สี่ รา้ งขน้ึ ให้อาจารยท์ ป่ี รึกษาวิทยานิพนธ์และผู้เชยี่ วชาญตรวจสอบ
ความถกู ตอ้ งของเนื้อหาและให้ข้อเสนอแนะแล้วนำมาปรับปรงุ แกไ้ ขใหส้ มบรู ณย์ ิ่งขนึ้
5.1.5 นำแผนการจดั การเรียนรู้ที่สมบรู ณแ์ ล้วไปใช้กบั กลุม่ ที่ศึกษา
2. แผนการจัดการเรยี นรู้
ผู้วิจัยได้ดำเนนิ การสรา้ งแผนการจัดการเรยี นรู้ตามขั้นตอนตอ่ ไปนี้
32
2.1 ศกึ ษาหลักสตู รวิสยั ทศั น์ คณุ ภาพของผูเ้ รียน คุณลักษณะท่ีพงึ ประสงค์มาตรฐานและตัวชว้ี ัดการ
เรยี นรู้กลุ่มสาระการเรยี นรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช
2551 (กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2551 : 204-219)
2.2 วิเคราะหเ์ นือ้ หาท่ใี ชใ้ นการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรยี นร้ทู ักษะปฏิบัติ เนื้อหาใน
การวิจยั ครั้งน้ี เปน็ เนอื้ หาจากเอกสารทางวชิ าการ เอกสารประกอบการสอน โดยอา้ งอิงเน้ือหาจากกลุ่มสาระการ
เรียนรกู้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551
2.3 วเิ คราะห์และสร้างจุดประสงค์การเรียนรูต้ ามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช
2551
2.4 ศกึ ษาวธิ กี ารหลักการ หลักทฤษฎีและเทคนคิ การเขียนแผนการจดั การเรียนรู้ของกรมวิชาการความรู้
เก่ยี วกับกระบวนการเรยี นรูท้ ักษะปฏบิ ตั ขิ องดเี ชคโค ซึ่ง (ณัฐวฒุ ิ กจิ รุ่งเรือง และคณะ. 2545 : 54) ได้ เสนอแนะ
วา่ องค์ประกอบของแผนการจัดการ เรยี นรู้ประกอบดว้ ย
2.4.1 หัวเร่ือง (Heading)
2.4.2 สาระสำคญั (Concept)
2.4.3 จุดประสงค์การเรยี นรู้ (Objective)
2.4.4 เน้ือหาสาระ (Content)
2.4.5 กิจกรรมการเรยี นรู้ (Activities)
2.4.6 สื่อการเรยี นรู้ (Material Media)
2.4.7 การวัดผลและประเมินผล (Assessment)
2.5 เลอื กสาระที่เป็นองค์ความร้กู ล่มุ สาระการเรียนรกู้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยสี าระท่ี 1 การดำรงชวี ติ
และครอบครัวงานเบเกอรี่ เร่ืองการทำขนมมัฟฟนิ รสชาตติ ่างๆ
2.6 เขยี นแผนการจดั การเรียนรูต้ ามสาระท่ีกำหนด ซ่งึ ผู้วิจัยไดแ้ บง่ เน้ือหาออกเปน็ 2 แผน ใชเ้ วลาทำ
การสอนแผนละ 4 ชั่วโมง จำนวน 2 แผน รวมเวลาทใี่ ช้สอน 8 ชวั่ โมง ทง้ั น้ไี ม่รวมเวลาทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ก่อน
เรยี นและหลงั เรยี น
2.7 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ตามเน้ือหาจุดประสงค์ทีว่ เิ คราะห์โดยดำเนินการตามน้ี
2.7.1 เขยี นสาระสำคัญโดยให้สัมพันธก์ บั เน้ือหา
2.7.2 เขียนจดุ ประสงค์การเรียนรู้
2.7.3 กำหนดกจิ กรรมการเรยี นการสอนท่เี น้นทักษะปฏิบัติงาน
2.7.4 กำหนดสือ่ การเรยี น
33
2.7.5 กำหนดวิธกี ารวดั ผลและประเมินผล
2.8 นำแผนการจดั การเรียนรู้ทส่ี ร้างขึน้ เสนอต่ออาจารยท์ ี่ปรกึ ษาเพอ่ื ตรวจสอบความเหมาะสม
2.9 นำแผนการจัดการเรียนรู้มาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ท่ีปรึกษา
2.10 สร้างแบบประเมนิ แผนการจัดการเรียนรู้สำหรับผ้เู ช่ียวชาญ เพอ่ื ประเมนิ ความเหมาะสมของ
แผนการจัดการเรียนรู้ เป็นแบบมาตราส่วนประเมนิ ค่า (Rating Scale) 5 ระดบั ตามวธิ ีของ (Likert) โดย
กำหนดการให้คะแนนดงั น้ี (บุญชม ศรสี ะอาด. 2545 : 69-71)
คะแนนความเหมาะสม
5 เหมาะสมมากทส่ี ุด
4 เหมาะสมมาก
3 เหมาะสมปานกลาง
2 เหมาะสมน้อย
1 เหมาะสมน้อยที่สุด
2.11 นำแผนการจดั การเรยี นรพู้ รอ้ มแบบประเมิน เสนอผู้เช่ียวชาญชุดเดิมเพ่อื ตรวจสอบความถูกตอ้ ง
ความเหมาะสม
2.12 นำคะแนนท่ีได้จากการประเมนิ ของผเู้ ช่ียวชาญทัง้ 5 ทา่ น มาหาค่าเฉลีย่ โดยใชเ้ กณฑ์การประเมิน
และการแปลความหมาย ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด. 2545 : 162)
คา่ เฉลย่ี 4.51 - 5.00 หมายถึง เหมาะสมมากที่สดุ
คา่ เฉลย่ี 3.51 – 4.50 หมายถึง เหมาะสมมาก
คา่ เฉลย่ี 2.51 – 3.50 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง
คา่ เฉลีย่ 1.51 – 2.50 หมายถึง เหมาะสมน้อย
คะแนนเฉลีย่ 1.00 – 1.50 หมายถงึ เหมาะสมน้อยทสี่ ดุ
โดยแผนการจัดการเรยี นรูต้ ้องมีคา่ เฉลี่ยตั้งแต่ 3.51 ขึ้นไป จึงถือว่าเปน็ แผนการจัดการเรียนรู้ทีเ่ หมาะสม ได้ค่า
ความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( = 4.24, S.D.= 0.32)
2.13 นำแผนการจดั การเรยี นรู้มาปรับปรุงแก้ไข ตามข้อเสนอแนะของผู้เชย่ี วชาญแลว้ ไปทดลองใช้
(TryOut) กบั นกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 2/10 โรงเรียนสกลราชวทิ ยานุกลู ท่ไี ม่ใชก่ ลุ่มตัวอย่าง จำนวน 40 คน
เพ่ือดูความเหมาะสมของเวลา เน้อื หาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สอื่ และการประเมนิ ผล ได้ปรับลดเนอ้ื หาให้
เหมาะสมกบั เวลา
34
2.14 นำแผนการจัดการเรยี นรู้ มาปรับปรงุ แก้ไข จดั พิมพ์เป็นฉบับสมบูรณ์กอ่ นนำไปทดลองใช้กบั
นกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 2/10 โรงเรียนสกลราชวิทยานกุ ูล จำนวน 40 คน ซึง่ เป็นกลุ่มตัวอย่างต่อไป
3. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน
ผูว้ จิ ยั ได้ศกึ ษาคน้ ควา้ ดำเนินการสร้าง และคณุ ภาพตามลำดับ ขนั้ ตอน ดงั นี้
3.1 ศกึ ษาทฤษฎีและวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนแบบองิ เกณฑ์ของ (บญุ ชม ศรี
สะอาด. 2543 : 56-23) การวดั ผลการศึกษาของ (สมนกึ ภทั ทยิ ธน.ี 2556 : 73-97) และเอกสารประกอบ
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (แนวปฏบิ ตั ิการวดั และประเมินผลการเรียนรู้. 2552 :
1-33)
3.2 วิเคราะหห์ ลักสตู ร วเิ คราะห์ความสัมพันธ์ระหวา่ งจดุ มุ่งหมายของหลกั สูตร จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
ของกลุ่มสาระการเรยี นรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี โดยครผู ้สู อนเปน็ ผู้กำหนดเน้ือหา วิธวี ัด และเคร่ืองมือใน
การวดั และประเมนิ ผล
3.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นทเี่ ปน็ แบบปรนัยชนดิ เลือกตอบ 4 ตวั เลอื ก โดยให้
ครอบคลุมเนอ้ื หา และจุดประสงค์ จำนวน 40 ข้อ
3.4 นำแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนทสี่ รา้ งข้ึน เสนออาจารยท์ ่ีปรึกษา เพ่ือตรวจสอบความ
เหมาะสม ความถูกต้องแลว้ นำไปให้ผเู้ ชยี่ วชาญชดุ เดมิ เพ่ือประเมนิ ความสอดคลอ้ งระหวา่ งข้อสอบกบั เนื้อหา และ
จดุ ประสงค์การเรียนร้หู รือค่า IOC (Index of Item Objective Congruence) โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้
ใหค้ ะแนน +1 เมือ่ แน่ใจว่าข้อสอบขอ้ นัน้ วดั ไดต้ รงตามจดุ ประสงคก์ ารเรียนรใู้ หค้ ะแนน 0 เมือ่ ไมแ่ นใ่ จวา่ ข้อสอบ
ขอ้ น้ันวดั ได้ตรงตามจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบขอ้ นนั้ ได้ไม่ตรงตาม จดุ ประสงค์ การ
เรยี นรคู้ ่าความสอดคลอ้ ง (IOC) ระหวา่ งข้อสอบกับจดุ ประสงคก์ ารเรยี นร้ขู องผู้เช่ยี วชาญ 5 ท่าน ตอ้ งมีคะแนน
เฉลี่ยตง้ั แต่ 0.50 ถึง 1.00 จึงถอื วา่ ใชไ้ ด้ (สมนึก ภทั ทิยธน.ี 2551 : 220)
3.5 นำแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น จำนวน 20 ขอ้ ไปทดลองใช้ (Try-Out) กบั นกั เรียนช้ัน
มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2/10 โรงเรยี นสกลราชวิทยานุกูล ท่ีไม่ใชก่ ลมุ่ ตวั อย่าง จำนวน 40 คน เพอื่ หาคณุ ภาพของ
แบบทดสอบ
3.6 นำแบบทสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน มาวเิ คราะห์หาคา่ ความยากคา่ อำนาจจำแนกรายข้อ ตาม
วธิ กี ารของเบรนแนน (Brennan) โดยยดึ เกณฑ์ค่าความยากตง้ั แต่ 0.20 ถึง 0.80 ถือวา่ ใชไ้ ด้ คา่ อำนาจ จำแนก
ต้ังแต่ 0.20 ถึง 1.00 ถือว่าใช้ได้ ได้ขอ้ สอบที่มีคา่ ความยาก (P) ตงั้ แต่ 0.31-0.87 คา่ อำนาจจำแนก (B) ต้งั แต่
0.22-0.75
35
3.7 แบบทสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน มาวเิ คราะหห์ าคา่ ความเชื่อมนั่ ท้ังฉบับ ดว้ ยวธิ ีการของโล เวท
(Lovett) (สมนกึ ภัททิยธน.ี 2546 : 55-77) มคี ่าความเช่ือมน่ั เทา่ กับ 0.80 3.8 จัดพมิ พ์แบบทดสอบวัดผล
สมั ฤทธท์ิ างการเรยี นเป็นฉบับสมบรู ณ์ จำนวน 40 ข้อ เพ่ือนำไปใช้กับ นกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 2/10 โรงเรียน
สกลราชวทิ ยานุกูล จำนวน 40 คน ซึ่งเป็นกลุม่ ตวั อยา่ งต่อไป
4. แบบประเมนิ ทักษะปฏิบัติงานประดิษฐ์
ผู้วิจัยไดด้ ำเนินการสร้างแบบประเมินทักษะปฏิบตั ิซงึ่ เปน็ แบบ (Rubric Score) 5 ระดับ จำนวน
5 ข้อ
4.1 ศกึ ษาเนื้อหาและวธิ กี ารสรา้ งแบบประเมินทักษะปฏบิ ัตจิ ากเอกสารและค่มู ือครู
4.2 วเิ คราะหต์ ัวชี้วัดชว่ งชั้น และจุดประสงค์การเรียนรู้ของเนือ้ หาที่ใช้ทดลองทัง้ 2 เร่อื ง
4.3 สร้างแบบประเมินทักษะปฏบิ ัตโิ ดยสรา้ งแบบสังเกตและแบบตรวจผลงานสำหรับผู้ประเมินให้
คะแนนทักษะปฏบิ ตั ิ และมเี กณฑ์ในการประเมนิ ทักษะปฏิบัติ
4.4 นำแบบประเมนิ ทักษะปฏิบัติท่ีได้ไปให้ผูเ้ ชย่ี วชาญตรวจสอบความสอดคล้องกบั รายการประเมิน และ
วตั ถุประสงค์ทต่ี อ้ งการวดั แล้วนำมาปรบั ปรงุ แก้ไขก่อนแล้วนำไปใชจ้ รงิ
5. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนการสร้างแบบสอบถามความพงึ พอใจของนักเรยี นทีม่ ีต่อการจดั
กิจกรรมการเรยี นรู้ เรอ่ื ง การทำขนมมัฟฟนิ รสชาติตา่ งๆ โดยใชช้ ุดการสอนสำหรับ นักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปี
ท่ี 2 ดงั น้ี
5.1 ศกึ ษาเอกสารและงานวิจัยเกยี่ วกับการวดั ความพงึ พอใจ และวธิ สี รา้ งแบบสอบถามความพึงพอใจ
เพือ่ ใช้เปน็ แนวทางในการสรา้ งจากหนังสือพนื้ ฐานการวิจยั การศึกษา (สมนึก ภัททยิ ธน.ี 2548 : 74-103) และ
กำหนดรูปแบบมาตราส่วนประมาณคา่ Rubric score
5.2 สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มตี อ่ ชุดการสอน เร่อื ง การทำขนมมัฟฟนิ รสชาติต่างๆ
สำหรบั นกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 แบบมาตราส่วนประมาณคา่ (Rubric Score) 5 ระดบั จำนวน 20 ข้อ ดังน้ี
(บญุ ชม ศรีสะอาด. 2547 : 101) คา่ เฉลีย่ ระดับความพงึ พอใจ
4.51-5.00 มากท่สี ุด
3.51-4.50 มาก
2.51-3.50 ปานกลาง
1.51-2.50 น้อย
1.00-1.50 น้อยที่สุด
36
5.3 นำแบบสอบถามทีส่ รา้ งขึ้นเสนอต่ออาจารยท์ ปี่ รึกษา เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของและความ
ถูกต้องของแบบสอบถาม
5.4 นำแบบสอบถามความพงึ พอใจท่สี ร้างขึ้น พร้อมแบบประเมนิ เสนอตอ่ ผู้เช่ยี วชาญ จำนวน 5 ท่าน (ชุด
เดมิ ) เพื่อตรวจสอบความเหมาะสม ใหข้ ้อเสนอแนะ และประเมินความสอดคล้องเชิงเนื้อหา (คา่ IOC)
5.5 นำผลการประเมนิ จากผู้เช่ยี วชาญมาหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหวา่ งขอ้ คำถามกับสิ่งท่ตี อ้ งการวัด
โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนดังน้ี
คะแนน +1 สำหรบั ข้อความที่แนใ่ จวา่ สอดคลอ้ งกับส่งิ ท่ีต้องการวดั
คะแนน 0 สำหรบั ข้อความท่ไี มแ่ น่ใจวา่ สอดคล้องกบั ส่งิ ท่ีต้องการวดั
คะแนน -1 สำหรับข้อความทแ่ี น่ใจว่าไมส่ อดคล้องกับสง่ิ ท่ีตอ้ งการวดั
5.6 วิเคราะหห์ าคา่ ดชั นีความสอดคล้องของแบบสอบถามความพงึ พอใจ คา่ ความสอดคล้องท่ีใช้ได้คือ มี
คะแนนเฉลีย่ ต้ังแต่ 0.50 ถึง 1.00 (สมนึก ภัททยิ ธน.ี 2551 : 220) ซง่ึ แสดงว่าแบบนน้ั ดี ใชไ้ ด้ตามเน้ือหาที่ ระบไุ ว้
ในรายละเอยี ด และตรงตามวัตถุประสงคข์ องการวจิ ัย และถ้าแบบใดไดค้ ะแนนเฉลี่ยต่ำกว่า 0.50 ตอ้ งนำไป
ปรับปรงุ แก้ไข เพราะวา่ แบบไมเ่ ปน็ ไปตามเน้อื หาทีร่ ะบุไว้ในรายละเอียด และไม่ตรงตามวัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั
ไดค้ ่าความสอดคล้องระหว่าง 0.80 – 1.00
5.7 นำแบบวดั ที่ผ่านการตรวจสอบไปทดลองใช้ (Try Out) กับเป็นนกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 2/10
โรงเรียนสกลราชวทิ ยานุกลู จำนวน 40 คน หลังจากเรียนด้วยการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ แลว้ นำข้อมูลท่ีไดม้ าหา
คา่ อำนาจจำแนกเปน็ รายขอ้ โดยใช้การหาค่าอำนาจจำแนกของแบบวัดความพงึ พอใจ โดยวธิ ีหาสัมประสิทธิ์
สหสัมพนั ธอ์ ยา่ งง่ายของเพียร์สนั (Pearson Correlation) แลว้ คดั เลอื กเอาข้อคำถามทม่ี ีความสัมพนั ธ์อย่างมี
นยั สำคญั ทางสถิติจำนวน 20 ขอ้ เลือกข้อท่ีมคี า่ อำนาจจำแนก (rxy) (บุญชม ศรีสะอาด. 2553: 97) คดั เอาเฉพาะ
ขอ้ ที่มีค่าอำนาจจำแนก ทีม่ ีค่าระหวา่ ง 0.20 ถึง 0.88 จำนวน 20 ข้อ
5.8 นำแบบวดั ความพึงพอใจที่มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ในเกณฑ์มาหาคา่ ความเช่อื มัน่ ดว้ ยวธิ กี ารหา
สมั ประสทิ ธิ์ ( - Coefficient) ของ (บุญชม ศรสี ะอาด. 2553 : 99) มีคา่ ความเชื่อม่ันรวมท้งั ฉบบั เท่ากบั 0.84
5.9 จัดพมิ พ์แบบวัดความพงึ พอใจ แล้วนำไปใช้กบั กลุ่มตวั อย่าง เพ่ือนำไปเกบ็ ข้อมลู ต่อไป วิธีดำเนนิ การ
วิจยั และเกบ็ รวบรวมข้อมูล การวิจยั คร้งั นีผ้ ้วู จิ ยั ไดด้ ำเนนิ การทดลองกับนกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2/10 โรงเรียน
สกลราชวิทยานกุ ลู จำนวน 40 คน โดยดำเนนิ การทดลอง ใช้เวลาจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ 8 ช่วั โมง ท้งั น้ไี มร่ วมเวลา
ทดสอบก่อน เรยี นและหลงั เรยี น ระยะเวลาในการทดลอง คือ ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2564 ซง่ึ มีขนั้ ตอน ดังน้ี
1. ทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การทำขนมมัฟฟินรสชาติ
37
ต่างๆ สำหรับนักเรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีทดสอบก่อนทีจ่ ะทำ
การทดลองสอนในชั่วโมงแรก เพ่อื ดูพ้ืนฐานความรูเ้ ดิมของนักเรยี น
2. ขัน้ ดำเนนิ กจิ กรรมการเรียนการสอน โดยแผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ใชช้ ุดการสอนประกอบการ
จัด กิจกรรมการเรยี นการสอน
3. ข้ันสรุป ในการสรปุ ความเข้าใจของนกั เรียนวา่ ได้เรียนตรงตามวตั ถุประสงคท์ ี่กำหนดไว้หรือไม่
4. ทดสอบหลงั เรยี น หลงั จากทำการสอนครบ 8 ชัว่ โมง โดยนำแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการ เรยี นท่ีใชท้ ดสอบก่อนเรียน เพอ่ื วดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น และนำขอ้ มูลท่ไี ด้มาวเิ คราะห์หาประสิทธิภาพ
ของชดุ การสอนและหาค่าดัชนปี ระสิทธิผล
5.10 นำแบบวัดที่ผา่ นการตรวจสอบไปทดลองใช้ (Try Out) กับเปน็ นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 2/10
โรงเรียนสกลราชวิทยานกุ ลู จำนวน 40 คน หลงั จากเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แลว้ นำขอ้ มูลที่ไดม้ าหา
ค่าอำนาจจำแนกเป็นรายข้อโดยใช้ การหาคา่ อำนาจจำแนกของแบบวดั ความพงึ พอใจ โดยวิธีหาสัมประสทิ ธิ์
สหสัมพันธอ์ ยา่ งง่ายของเพียร์สัน (Pearson Correlation) แล้วคัดเลอื กเอาข้อคำถามท่ีมีความสมั พนั ธ์อยา่ งมี
นัยสำคญั ทางสถิติจำนวน 20 ขอ้ เลือกข้อที่มีคา่ อำนาจจำแนก (rxy) (บุญชม ศรสี ะอาด. 2553:97) คดั เอาเฉพาะ
ขอ้ ท่ีมีคา่ อำนาจจำแนก ที่มีค่าระหว่าง 0.20 ถงึ 0.88 จำนวน 20 ข้อ
5.11 นำแบบวดั ความพงึ พอใจทีม่ คี ่าอำนาจจำแนกอยู่ในเกณฑม์ าหาค่าความเชื่อม่ันด้วยวิธีการหา
สัมประสิทธิ์ ( - Coefficient) ของ (บญุ ชม ศรีสะอาด. 2553 : 99) มคี า่ ความเชือ่ มน่ั รวมทง้ั ฉบบั เท่ากบั 0.84
5.12 จดั พิมพ์แบบวัดความพงึ พอใจ แลว้ นำไปใชก้ ับกลมุ่ ตวั อยา่ ง เพื่อนำไปเก็บข้อมลู ต่อไป
วธิ ีดำเนนิ การวิจัย
วธิ ดี ำเนินการวจิ ัยและเกบ็ รวบรวมข้อมลู การวิจยั ครงั้ นี้ ผ้วู ิจยั ได้ดำเนินการทดลองกับนักเรียนชนั้
มัธยมศึกษาปที ่ี 2/10 จำนวน 40 คน โดยดำเนนิ การทดลอง ใช้เวลาจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ 8 ช่ัวโมง ท้ังน้ีไมร่ วม
เวลาทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรียน ระยะเวลาในการทดลอง คอื ภาคเรยี นที่ 1 ปี การศกึ ษา 2564 ซงึ่ มีขัน้ ตอน
ดังนี้
1. ทดสอบก่อนเรยี นด้วยแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน เรอื่ ง การทำขนมมฟั ฟนิ รสชาติตา่ งๆ
สำหรบั นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 กล่มุ สาระการเรียนรกู้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยที ดสอบก่อนท่ีจะทำการ
ทดลองสอนในชั่วโมงแรก เพ่ือดูพ้นื ฐานความรู้เดิมของนักเรียน
2. ขนั้ ดำเนนิ กิจกรรมการเรยี นการสอน โดยแผนการจดั การเรยี นร้ทู ี่ใชช้ ุดการสอนประกอบการจัด
กจิ กรรมการเรยี นการสอน
3. ขัน้ สรปุ ในการสรปุ ความเข้าใจของนักเรียนว่าไดเ้ รยี นตรงตามวัตถปุ ระสงค์ที่กำหนดไว้หรอื ไม่
38
4. ทดสอบหลงั เรียน หลงั จากทำการสอนครบ 8 ช่ัวโมง โดยนำแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นที่
ใช้ทดสอบก่อนเรยี นเพอื่ วัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน และนำข้อมูลทีไ่ ด้มาวิเคราะห์หาประสทิ ธิภาพของชุดการสอน
และหาคา่ ดัชนปี ระสทิ ธิผลระยะเวลาทใี่ ช้ในการวิจัยการวิจยั ครัง้ นี้ เปน็ การวิจัยโดยการทดลองกลุ่มตวั อยา่ งได้มา
โดยวิธกี ารสุ่มอย่างง่าย Simple Random Sampling ซ่งึ ผู้วจิ ัยทำการสอนเอง ใช้เวลา 8 ชัว่ โมง โดยมีขน้ั ตอนการ
ดำเนินการ ดังนี้
1. ระยะเวลาที่ทำการสอน ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2564 ใช้เวลาทดลอง 8 ช่วั โมง
2. นำแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน กล่มุ สาระการเรยี นรกู้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี
เรื่อง การทำขนมมฟั ฟินรสชาตติ า่ งๆ จำนวน 40 ข้อไปทดสอบก่อนเรียน (Pre-Test) กบั นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี
ท่ี 2/10 โรงเรยี นโรงเรียนสกลราชวทิ ยานุกูล อำเภอเมือง จังหวดั สกลนคร ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564
จำนวน 40 คน ซึง่ เป็นกลุ่มทดลองและตรวจบนั ทึกคะแนนไว้เพ่ือนำไปวิเคราะห์ข้อมูล
3. จดั กิจกรรมการเรียนร้ดู ้วยชดุ การสอนแตล่ ะชุด มีขน้ั ตอน คอื
3.1 จัดกจิ กรรมการเรยี นรดู้ ้วยชุดการสอนแตล่ ะชดุ โดยครูใหค้ วามร้เู กยี่ วกับเบเกอร่ี
แล้วใหน้ ักเรียนแต่ละกลุม่ ฝกึ ปฏบิ ัติ ระยะเวลา 8 ช่ัวโมง มกี ารประเมินชิน้ งาน และประเมนิ ทักษะปฏิบัติในการทำ
ขนมมัฟฟนิ รสชาตติ ่างๆ ดว้ ยแบบสงั เกตการณท์ ำงาน และแบบตรวจผลงาน มีคะแนน เต็ม เรื่องละ 10 คะแนน
ทุกชุดการสอน ซ่ึงแตล่ ะชุดจะทำการทดสอบย่อยหลังเรยี น ด้วยแบบทดสอบย่อยท้ายบทเรยี นทกุ ครั้ง
3.2 ครูและนกั เรียนรว่ มกนั สรุปหรือทบทวนเน้ือหา และขน้ั ตอนสำคญั ในการสรา้ งสรรค์
ช้ินงานเบเกอรี่ แตล่ ะเรื่อง แล้วตัวแทนนักเรียนเกบ็ รวบรวมชดุ การสอนคนื ในแตล่ ะกลุ่ม
4. ทดสอบหลังเรยี นดว้ ยแบบทดสอบหลังเรียนท่เี ป็นชุดเดยี วกนั กบั แบบทดสอบกอ่ นเรยี น
จำนวน 40 ข้อ
5. ให้นักเรยี นทำแบบสอบถามความพึงพอใจ ท่ีมตี อ่ ชดุ การสอนทักษะปฏิบตั ิ เร่ือง การพัฒนา
กิจกรรมการเรียนรู้ เรอื่ ง การทำขนมมฟั ฟินรสชาติตา่ งๆ จำนวน 20 ข้อ
6. นำคะแนนจากการประเมินชดุ การสอนทักษะปฏบิ ัติการทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรยี นและ
คะแนนจากแบบสอบถามความพงึ พอใจไปวเิ คราะห์ข้อมลู ทางสถติ ิ เพ่ือรายงานผลการพัฒนาชุดการสอนต่อไป
การวเิ คราะห์ขอ้ มูล ผวู้ ิจัยไดว้ ิเคราะหข์ ้อมลู โดยมีลำดับขั้นตอนดงั ต่อไปนี้
1. หาประสทิ ธภิ าพของชดุ การสอนทักษะปฏิบตั ิ ดว้ ยค่าประสทิ ธภิ าพกระบวนการผลลพั ธ์ (E1/E2) ตาม
เกณฑ์ 80/80 (บุญชม ศรสี ะอาด. 2546 : 153-155)
2. หาค่าดัชนปี ระสทิ ธผิ ลของชุดการสอน ใชว้ ิธีการของ (Goodman, Fletcher and Schneider. 1990 :
30-34)
39
3. เปรียบเทียบผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นก่อนเรียนและหลงั เรียน ดว้ ยชดุ การสอน ทกั ษะปฏิบตั ิ ทดสอบ
ด้วยค่า t (Dependent Samples)
4. เปรียบเทยี บทักษะปฏิบตั ิก่อนเรยี นและหลงั เรยี นดว้ ยชดุ การสอน ทักษะปฏบิ ตั ทิ ดสอบดว้ ยค่า t
(Dependent Samples)
5. วเิ คราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนทีม่ ีต่อการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ด้วยชดุ การสอนทักษะปฏบิ ัติ เร่อื ง
การทำขนมมัฟฟนิ รสชาตติ ่างๆ ประเภทงานเบเกอรี่ โดยใชส้ ถิติพน้ื ฐาน คือ คา่ เฉลย่ี และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน
(S.D.) แลว้ แปลความหมายค่าเฉลีย่
สถติ ทิ ่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมลู
1. สถติ พิ ้นื ฐานท่ัวไป
1.1. สูตรหาค่าร้อยละ (Percentage)
1.1.1 ค่าร้อยละ (Percentage)
เม่อื P แทน รอ้ ยละ
F แทน ความถที่ ี่ต้องการแปลงใหเ้ ปน็ รอ้ ยละ
N แทน จำนวนความถ่ที ั้งหมด
1.1.2 ค่าเฉล่ีย (Mean) โดยใช้สูตร ดังน้ี (บญุ ชม ศรีสะอาด. 2547 : 105)
เมือ่ ̅ แทน ค่าเฉลีย่
∑ ̅ แทน ผลรวมของคะแนนทง้ั หมดในกลุ่ม
n แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม
1.1.3 สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใชส้ ตู ร ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด.
2547 :106)
40
เมือ่ S.D. แทน ความเบีย่ งเบนมาตรฐาน
X แทน คะแนนแตล่ ะตวั
n แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม
∑x แทน ผลรวม
1.2 สถิตทิ ใ่ี ชใ้ นการวิเคราะห์หาคุณภาพของเครื่องมือ
1.2.1 การหาความเที่ยงตรงตามเนื้อหารายข้อของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์แิ ละรายขอ้ ของแบบ
วดั ความพึงพอใจ โดยใชส้ ตู รดัชนคี วามสอดคล้อง ดงั น้ี (สมนกึ ภทั ทิยธนี. 2548 : 220)
เมื่อ IOC แทน ดัชนคี วามสอดคล้องระหว่างเน้อื หากบั รายขอ้
∑R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผเู้ ช่ยี วชาญท้งั หมด
N แทน จำนวนผเู้ ชย่ี วชาญทั้งหมด
1.2.2 ค่าความยากง่าย (Difficulty) แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นโดยใช้สตู รของ
Brennan (บุญชม ศรสี ะอาด. 2535 : 8) ดงั นี้
เม่อื P แทน ระดบั ความยากง่าย
R แทน จำนวนผูต้ อบถกู ทั้งหมด
N แทน จำนวนคนในกลุ่มสงู และกลุ่มต่ำ
1.2.3 ค่าอำนาจจำแนก (Discrimnation) แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นโดยใช้สตู ร
ของ Brennan (บุญชม ศรสี ะอาด. 2535 : 81) ดังนี้
41
เม่ือ r แทน คา่ อำนาจจำแนก
Ru แทน จำนวนคนกล่มุ สูงทีต่ อบถกู
Rl แทน จำนวนคนกลุ่มตำ่ ทต่ี อบถกู
n แทน จำนวนคนในกลุ่มสงู หรอื กลมุ่ ต่ำซึง่ เทา่ กัน
1.2.4 การหาคา่ ความเชื่อม่นั (Reliability) ของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์โิ ดยใช้วิธีของโลเวทท์
(Lovett) มสี ูตรคำนวณดังน้ี (สมนึก ภทั ทยิ ธน.ี 2551 : 220)
rเม่ือ cc แทน คา่ ความเช่อื ม่ันของแบบทดสอบ
K แทน จำนวนขอ้ สอบ
̅ แทน คะแนนของแต่ละคน
C แทน คะแนนเกณฑ์หรอื จดุ ตดั ของแบบทดสอบ
1.2.5 การหาค่าอำนาจจำแนกของแบบวัดความพงึ พอใจโดยวิธีหาสัมประสทิ ธ์สิ หสัมพันธ์อย่าง
ง่ายของ เพยี รส์ ัน (Pearson Correlation) (บุญชมศรี สะอาด. 2545 : 110)
เมอ่ื ̅ แทน สมั ประสิทธ์ิสหสัมพนั ธร์ ะหวา่ งตัวแปร X กบั Y
∑R แทน ผลรวมของตัวแปล X
∑Y แทน ผลรวมของตัวแปล Y
∑XY แทน ผลรวมท้งั หมดของผลคูณระหวา่ ง X กบั Y แตล่ ะคู่
̅2แทน ผลรวมกำลังสองของค่าตัวแปล X
2แทน ผลรวมกำลงั สองของคา่ ตัวแปล Y
N แทน จำนวนสมาชิกในกลุ่ม
42
1.2.6 การหาคา่ ความเชอ่ื มัน่ (Reliability) แบบวดั ความพงึ พอใจของนักเรยี นท่ี มีตอ่ ชุดการสอน
ทกั ษะ ปฏิบตั ิโดยการหาสัมประสทิ ธ์แิ อลฟาตามวิธขี องครอนบาก (Cronbach) (บญุ ชมศรี สะอาด. 2545 : 99) มี
สตู ร ดังนี้
เมือ่ a แทน ค่าสัมประสทิ ธ์ิความเชอื่ มนั่
K แทน จำนวนข้อของเคร่ืองมือวัด
∑ 2 แทน ผลรวมของความแปรปรวนแตล่ ะข้อ
2 ̇ แทน ความแปรปรวนของคะแนน
1.3 สถิตทิ ่ีใช้ทดสอบสมมตฐิ านของคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังเรยี น ใช้สตู ร T-Test (Dependent) (บุญ
ชม ศรีสะอาด. 2545 : 112)
เมอ่ื a แทน คา่ สัมประสิทธ์ิความเชอ่ื มนั่
K แทน จำนวนข้อของเครื่องมือวดั
N แทน ผลรวมของความแปรปรวนแตล่ ะข้อ
∑ แทน ความแปรปรวนของคะแนน
1.4 สถิติทีใ่ ชห้ าค่าดชั นปี ระสิทธิผล (The Effectiveness Index : E.I.) ของชุดการสอนทกั ษะปฏบิ ตั ิ โดย
ใชส้ ูตร ดังนี้ (เผชญิ กิจระการ. 2548 : 64)
43
บรรณานุกรม
(พงศ์ปภาพ กองแกว้ และ คมชาญ นามธง, 2555)
(มตชิ นอคาเดมี่, ม.ป.ป.)
(Brand Buffet – Team, 2560)
(De Cecco. 1974: 272-279) กรอบแนวคดิ ในการวิจัย (สืบคน้ เมอื่ : 21 เมษายน 2564)
(กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2551 : 3 - 4)
วธิ กี ารดำเนนิ วิจัย. เขา้ ได้ถงึ จาก : http://www.soreda.oas.psu.ac.th (สืบค้นเมอื่ : 21 เมษายน 2564)
วัฒนาพานชิ สำราญราษฎร์. (2559). ออกแบบการเรยี นรู้เพอ่ื พัฒนาสมรรถนะสำคญั ของนกั เรยี นในการสื่อสาร
การคดิ การแก้ปญั หา การใช้ทักษะชีวิต และการใชเ้ ทคโนโลยี. [ ออนไลน์ ]. ( สืบค้นเมอ่ื : 21 เมษายน 2564)
งานการวจิ ยั
เรื่องการสอนทกั ษะปฏิบัตงิ านประดิษฐท์ ีเ่ ปน็ เอกลกั ษณ์ไทย ประเภทงาน
ใบตอง
โดย
นางสาวสิริธิดา เกตุไพบูลย์ รหัส62115267106
นางสาวณฐั ริกา แสนเสนา รหสั 62115267115
นายพรเพชร นนั ทะวงศ์ รหัส62115267211
นางสาวศิริวัฒนา ต้อนโสกรี รหัส62115267213
มหาวิทยาลยั ราชภฏั สกลนคร
บทท่ี 1 บทนำ
ความเป็นมาและความสำคัญของปญั หา
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 มุ่งพฒั นาผเู้ รียนทุกคนซง่ึ เป็นกำลังของชาติให้
เป็นมนษุ ย์ที่มีความสมดุลท้งั ด้านรา่ งกาย ความรู้คณุ ธรรมมีจติ สำนึกในความเปน็ พลเมืองไทยและเป็นพลโลก
ยึดมัน่ ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมขุ มีความรแู้ ละทักษะพืน้ ฐาน
รามท้ัง เจตคติ ทจี่ ำเปน็ ต่อการศกึ ษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชวี ิต โดยมงุ่ เนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำคัญ
บนพ้นื ฐานความเชื่อวา่ ทุกคนสามารถเรยี นรแู้ ละพัฒนาตนเองได้เตม็ ตามศักยภาพ และมงุ่ พัฒนาผเู้ รยี นใหเ้ ปน็ คน
ดี มปี ญั ญา มีความสุขมีศกั ยภาพในการศกึ ษาต่อและประกอบอาชีพเม่ือจบการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐานตามหลกั สตู ร
ผูเ้ รยี น มคี ณุ ธรรมจรยิ ธรรมและคา่ นิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเองมีวินัยและปฏิบตั ิตนตามหลักธรรมของ
พระพุทธศาสนา หรือศาสนาทตี่ นนบั ถือยดึ หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมีความรู้ ความสามารถในการส่อื สาร
การคิด การแก้ปัญหาการใชเ้ ทคโนโลยีและมีทักษะชวี ิต มีสขุ ภาพกายและสขุ ภาพจิตทีด่ ีมสี ขุ นิสยั และรักการออก
กำลงั กายมคี วามรักชาติมจี ติ สำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลกยึดม่นั ในวิถีชวี ิตและการปกครองตาม
ระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษตั รยิ ์ทรงเปน็ ประมุข และมีจิตสำนกึ ในการอนุรกั ษ์วัฒนธรรมและภมู ปิ ญั ญา
ไทยการอนรุ กั ษ์และพฒั นาสิ่งแวดล้อมมีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิง่ ทด่ี งี ามในสังคม และอยูร่ ว่ มกนั
ในสังคมอย่างมีความสขุ (กระทรวงศึกษาธิการ 2551)
กลุ่มสาระการเรยี นร้กู ารงานอาชพี และเทคโนโลยีเปน็ กล่มุ สาระที่ช่วยพฒั นาใหผ้ ู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจ
มีทกั ษะพ้นื ฐานท่ีจำเป็นต่อการดำรงชีวิต และรู้เทา่ ทันการเปลย่ี นแปลงสามารถนำความรู้เกี่ยวกับการดำรงชวี ิต
การอาชีพ และเทคโนโลยี มาใช้ประโยชนใ์ นการทำงานอย่างมคี วามคดิ สร้างสรรค์ และแข่งขันในสังคมไทย และ
สากล เหน็ แนวทางในการประกอบอาชีพ รักการทำงาน และมเี จตคติทด่ี ตี ่อการทำงานสามารถดำรงชวี ติ อยู่ใน
สังคมได้อยา่ งพอเพียง และมีความสุขงานประดษิ ฐ์ที่เปน็ เอกลกั ษณไ์ ทยเปน็ ผลงานท่ีสะท้อนให้เหน็ ถึง
ขนบธรรมเนยี มประเพณวี ัฒนธรรมและความเป็นอยู่ ของคนไทยตั้งแต่โบราณมาจนถงึ ปัจจบุ ันมีความงามและ
คณุ คา่ ทางศิลปะซง่ึ ควรอนุรกั ษ์ไว้ไม่ให้สูญหายผลงานส่ิงประดษิ ฐ์ ทเี่ ป็นเอกลักษณ์ไทยทเ่ี ราสามารถพบเห็นอยู่
ท่ัวไป ไดแ้ ก่ งานจกั สานเปน็ ผลงานจากหัตถกรรมพื้นบ้านของไทย ซงึ่ ประดิษฐม์ าเพ่ือประโยชน์ใช้สอยในชวี ติ
ประจำวนั (หนังสอื คู่มือครสู ถาบนั พัฒนาคุณภาพวิชาการ. 2554: 174 176)
งานประดษิ ฐ์ในตองเป็นงานประดษิ ฐ์ทเี่ ป็นเอกลักษณ์ไทยเปน็ งานที่แสดงใหเ้ หน็ ถึงความคดิ สร้างสรรค์
ทางด้านจิตใจ ซึง่ ประกอบด้วยความละเอยี ดอ่อนประณตี บรรจงมคี วามสวยงามเปน็ ระเบียบและความชา่ งคิดร้จู กั
ตัดแปลงนำทรัพยากรธรรมชาตทิ มี่ ีอยู่ทุกบา้ นเรือนมาสรา้ งสรรค์หรอื ประดิษฐ์เป็นสิง่ สายงาม ลกั ษณะของงานจะ
1
เปน็ กิจกรรมทตี่ อ้ งใชท้ กั ษะปฏิบตั ิในการทำงานมกี ารวางแผนการทำงานตามข้นั ตอนตัง้ แตก่ ารเลอื กวสั ดุออกแบบ
การเตรยี มและการรักษาเครื่องมือเครอ่ื งใชร้ วมทงั้ วธิ ีประดิษฐช์ ้นิ งานตา่ ง ๆ จึงจำเป็นจะตอ้ งปลูกฝงั ใหน้ ักเรียนมี
ความรคู้ วามเข้าใจ เห็นคุณค่าของการทำงานรักงานปรับปรุงงานอยู่เสมอตลอดจนทำงานเป็นและสามารถทำงาน
รว่ มกบั ผู้อ่ืนได้ซง่ึ จะนำไปสู่การตำรงชีวิตทีด่ ีและเป็นพืน้ ฐานในการประกอบอาชีพอยา่ งมปี ระสิทธิภาพต่อไป
จากสภาพปัญหาที่เกิดข้ึนหลายปจั จยั ทย่ี งั ทำให้การจดั การศกึ ษาไม่บรรลุเปา้ หมายของหลกั สูตร
การศึกษา ผู้วจิ ยั ในฐานะครผู ู้จัดกจิ กรรมการเรียนร้กู ลมุ่ สาระการเรียนรกู้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี (สารสนเทศ)
ไดศ้ ึกษาสภาพปัญหา ดังกล่าวพบวา่ ปัญหาปัจจยั ด้านผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น จากผลทดสอบทางการศึกษา
แห่งชาตขิ ้นั พ้นื ฐาน (O-net "Ordination National Educational Test”) ในกล่มุ สาระการเรยี นรู้การงานอาชีพ
และเทคโนโลยี นักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2563 มีค่าเฉลยี่ ต่ำกว่าเกณฑ์ 50% ระดบั ประเทศมี
คา่ เฉลย่ี 48.72 ระดบั จังหวัด 45.10 และโรงเรียนโซ่พิสัยพิทยาคม มีค่าเฉลย่ี ระดบั โรงเรียน 44.80 ตามลำดบั
(สถาบนั ทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ, 2554) ตำ่ กวา่ เกณฑม์ าตรฐานของประเทศ และจากการบันทึกผลหลงั
สอนวิชา งานประดษิ ฐ์ เร่อื งงานประดษิ ฐ์ทเี่ ป็นเอกลักษณ์ไทย ประเภทงานใบตองชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 พบวา่
นกั เรยี นขาดทักษะในการแสวงหาความรูด้ ้วยตนเอง ขาดทักษะปฏิบตั ิ ขาดทักษะในการทำงาน การคิดวิเคราะห์
การจดั การเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรยี นรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยพี ระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแห่งชาติ
พทุ ธศักราช 2542 มาตรา 24 ได้เสนอแนะแนวทางการจัดการศกึ ษาไวว้ ่า หลักสูตรต้องเปน็ ตัวนำในการจดั การ
เรียนการสอนทเ่ี น้นการปลกู ฝังนสิ ยั ในการฝึกปฏบิ ตั ิอยา่ งเป็นข้นั ตอนและเป็นระบบจนเกิดทักษะกระบวนการเปน็
นิสยั ซ่ึงผู้สอนตอ้ งใชเ้ ทคนิคกระบวนการที่หลากหลายเพื่อใหบ้ รรลวุ ตั ถุประสงคข์ องหลกั สูตรดังกล่าว
การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ทเ่ี น้นทักษะปฏิบตั ติ ามแนวคิดของ (DeCecco, 1974 272 279) ไดเ้ สนอ
ข้นั ตอนการสอนเพอ่ื ให้เกดิ ทักษะไว้ 5 ขัน้ ตอนดังน้ี วเิ คราะหท์ ักษะทจี่ ะสอนวิเคราะห์งานท่ีจะใหผ้ เู้ รยี นปฏิบัติ
ก่อนวา่ งานนั้นประกอบด้วยทักษะย่อยอะไรบ้าง ประเมนิ ความสามารถเบื้องตน้ ของผู้เรียน จัดข้นั ตอนการฝกึ ให้
เป็นไปตามลำดับขั้นจากง่ายไปยากจากทักษะพนื้ ฐานไปส่ทู ักษะทมี่ ีความสลบั ซับซอ้ น จัดใหม้ ีการฝกึ ทกั ษะย่อย
เสียก่อน แลว้ ฝกึ รวมท้งั หมดสาธิตและอธบิ ายแนะนำ เปน็ ข้ันให้ผเู้ รียนได้เหน็ ลำดบั ขน้ั ตอนการปฏบิ ตั ิจากตวั อย่าง
ที่ผูส้ อนสาธติ ใหด้ ู หรอื จากกาพยนตร์ จากวดี ีทัศน์ ซงึ่ จะทำใหผ้ เู้ รียนเห็นรายละเอียดการปฏบิ ัติในขั้นตอนตา่ ง ๆ
ไดอ้ ย่างชัดเซนจัด ใหผ้ ู้เรียนไดฝ้ กึ ปฏบิ ตั ิจริง โดยคำนงึ ถึงความตอ่ เน่ือง จัดให้ผเู้ รยี น ได้ฝึกปฏิบตั ิทักษะทเ่ี รียน
ตามลำดบั ใหผ้ ้เู รยี นไดฝ้ ึกทกั ษะเนน้ ทักษะย่อยท่ีสำคัญ ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องในสว่ นท่ีผิด ในการฝึกนี้ต้อง
จดั แบง่ เวลาฝึกเวลาพกั ใหเ้ หมาะสมมีการให้แรงเสริม โดยให้ผเู้ รียนไดร้ ู้ผลของการฝกึ ปฏิบตั ิ (Feedback)
ซ่งึ มี 2 ทาง คือ การรผู้ ลจากภายนอก (Extrinsic Feedback) คือ จากคำบอกกล่าวของครวู า่ ดีหรอื
2
บกพร่องอย่างไร ควรแก้ไขอย่างไรพอผูเ้ รียนเกิดความกา้ วหน้าไปถึงข้นั ทจ่ี ะเพ่ิมพนู ความชำนาญ เขาจะรู้ไดโ้ ดย
การสังเกตด้วยตนเองเปน็ การรผู้ ลจากกายในตนเอง (Intrinsic Feedback)
จากสภาพปญั หาท่ีกล่าวมาผ้วู ิจยั ในฐานะครูผ้สู อนกลุม่ สาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี จงึ แสวงหา
รปู แบบการสอนที่มุ่งพัฒนาทักษะปฏิบัติ และนวัตกรรมมาใชพ้ ฒั นาการเรียนการสอนที่พัฒนาทกั ษะปฏิบัติ โดย
การใช้ชดุ การสอนเพ่ือเพิ่มประสทิ ธิภาพในการสอนของครู ในการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนทพี่ ฒั นาทกั ษะ
ปฏิบตั ิ ชว่ ยเพมิ่ ประสิทธภิ าพในการเรยี นของนักเรียน เป็นแหลง่ ความรู้ที่ทันสมัยคำนึงถึงจิตวิทยาการเรียนรู้
ผูเ้ รยี นสามารถเรยี นได้ด้วยตนเองสอดคลอ้ งกนั (ชัยยงค์ พรหมวงศ์, 2545: 121) และ (กุศยา แสงเดช 2545:10)
ไดส้ รปุ คุณคา่ ของชุดการสอนว่า ชว่ ยใหผ้ ูส้ อนถา่ ยทอดเน้ือหาและประสบการณ์ให้มีลกั ษณะเปน็ นามธรรมซง่ึ
ผูส้ อนไม่สามารถถ่ายทอดด้วยการบรรยายได้ดีเรา้ ความสนใจของผ้เู รยี นต่อสงิ่ ที่กำลงั ศึกษา เพราะชุดกิจกรรมจะ
เปิดโอกาสให้ผูเ้ รยี นมสี ่วนร่วมในการเรียนด้วยตนเองและสังคมเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นแสดงความคิดเหน็ ฝึกการ
ตดั สนิ ใจ แสวงหาความรดู้ ว้ ยตนเองและรับผดิ ชอบต่อตนเองและสงั คมเป็นการสรา้ งความพร้อมและมั่นใจแก่
ผเู้ รียน เพราะชดุ กิจกรรมผลิตไว้เปน็ หมวดหมู่ สามารถหยบิ มาใชไ้ ดท้ นั ที จงึ เหมาะสมทีจ่ ะนำไปใชใ้ นการเรียนการ
สอน เพ่ือชว่ ยยกระดับผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของผเู้ รยี นใหพ้ ฒั นา ขน้ึ เพ่ือใหผ้ ูเ้ รยี นมาคุณลกั ษณะสอดคลอ้ งตาม
เจตนารมณ์ของหลักสูตร
จากคณุ ค่าของชดุ การสอนท่ีกล่าวมา จะเหน็ ได้วา่ ชุดการสอนจะเพม่ิ ประสิทธิภาพในการสอนของครู ชว่ ย
เพ่ิมประสิทธิภาพในการเรียนของนักเรียน เป็นแหล่งความรู้ที่ทันสมัยคำนึงถงึ จิตวิทยาการเรยี นรู้ ผู้เรยี นสามารถ
เรียนไดด้ ว้ ยตนเอง จงึ เหมาะสมทจ่ี ะนำไปใช้ในการเรยี นกรสอนผวู้ ิจยั จึงมคี วามประสงค์ท่ีจะสร้างชุดการสอนเพ่ือ
พัฒนาทักษะปฏบิ ัตงิ านประดิษฐท์ ีเ่ ปน็ เอกลักษณไ์ ทยประเภทงานใบตอง สำหรบั นกั เรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4
เพอื่ ใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรียนรจู้ ากการได้ลงมือปฏิบัตจิ ริงดว้ ยตนเองตามข้นั ตอน ซง่ึ จะทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ของนักเรยี นสงู ข้ึน และเกดิ ทักษะปฏิบัติ สามารถนำความรู้ทไ่ี ด้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซ่งึ จะเป็นแนวทางในการ
พฒั นาเยาวชนของชาติใหเ้ ตบิ โตขนึ้ เปน็ พลเมืองดีมีคณุ ภาพตอ่ ไปในอนาคต
คำถามวิจยั
1. การพฒั นาชุดการสอนเพ่ือเสรมิ ทกั ษะปฏบิ ัติงานประดษิ ฐ์ท่เี ปน็ เอกลักษณ์ไทย ประเภทงานใบตอง
วชิ าการงานอาชีพ โดยใช้ชดุ การสอนสำหรับนักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 มีประสทิ ธภิ าพและประสิทธิผลอยา่ งไร
2. ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนักเรยี น หลงั จากเรยี นชุดการสอนงานประดิษฐ์ประเภทงานใบตอง
รายวิชาการงานอาชพี โดยใช้ชดุ การสอนสำหรับนกั เรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 สูงกว่าก่อนเรียนหรือไม่
3
3. ทักษะการปฏบิ ัติของนักเรียน หลังจากเรยี นชุดการสอนงานประดิษฐ์ประเภทงานใบตอง รายวิชาการ
งานอาชีพ โดยใช้ชุดการสอนสำหรบั นกั เรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 สูงกว่าก่อนเรยี นในระดบั ใด
4. เจตคติของนักเรยี น หลังจากเรียนชุดการสอนงานประดิษฐ์ประเภทงานใบตอง วิชาการงานอาชพี โดย
ใชช้ ุดการสอนสำหรบั นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 4 อยู่ในระดับใด
วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ัย
1. เพ่ือพัฒนาชุดการสอนทกั ษะปฏบิ ตั ิงานประดษิ ฐ์ท่ีเปน็ เอกลกั ษณ์ไทยประเภทงานใบตองสำหรับ
นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 ใหม้ ีประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
2. เพอ่ื เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรียนก่อนเรยี นและหลงั เรียนดว้ ยชุดการสอนทักษะ
ปฏิบัตงิ านประดษิ ฐ์ทีเ่ ปน็ เอกลักษณ์ไทยประเภทงานใบตอง
3. เพื่อเปรียบเทยี บทกั ษะปฏิบัติของนักเรียนก่อนเรียนและหลงั เรียนด้วยชุดการสอนทกั ษะปฏิบัติงาน
ประดษิ ฐ์ที่เป็นเอกลักษณไ์ ทยประเภทงานใบตอง
4. เพอ่ื ศึกษาเจตคตขิ องนักเรียนและหลงั เรียนดว้ ยชดุ การสอนทักษะปฏิบัติงานประดิษฐ์ท่ีเปน็ เอกลักษณ์
ไทยประเภทงานใบตอง
สมมตุ ิฐานการวจิ ัย
นักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 4 ที่เรียนดว้ ยชดุ การสอนทักษะปฏบิ ัตงิ านประดิษฐ์ทีเ่ ปน็ เอกลักษณ์ไทย
ประเภทงานใบตองมีผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนและมีทักษะปฏบิ ัติงานประดิษฐ์ท่เี ปน็ เอกลักษณ์ไทยประเภทงาน
ใบตองหลงั เรียนสงู กวา่ ก่อนเรียน
ขอบเขตการวิจยั
1. ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่างประชากร
ได้แก่ นกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 4 โรงเรียนโซพ่ สิ ัยพิทยาคม อำเภอโซพ่ สิ ยั จังหวัดบึงกาฬ สำนักงาน
เขตพ้ืนที่การศึกษามธั ยมศึกษาเขต 21 ปกี ารศกึ ษา 2564 จำนวน 2 หอ้ งเรยี น 60 คน
2. กลุ่มตัวอย่าง
กลมุ่ ตวั อย่างท่ใี ช้ในการวิจยั ได้แก่ นักเรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 โรงเรยี นโซ่พิสัยพิทยาคม อำเภอโซ่พสิ ัย
จังหวัดบงึ กาฬ สำนักงานเขตพื้นท่ีการศกึ ษามัธยมศกึ ษาเขต 21 ปีการศึกษา 2564 ชั้น ม. 4/1 จำนวน 30 คน
4
3. ตวั แปรทศี่ กึ ษา
3.1 ตัวแปรอิสระ ได้แก่ ชุดการสอนทักษะปฏิบัตงิ านประดษิ ฐ์ท่ีเป็นเอกลักษณไ์ ทย ประเภทงาน
ใบตอง
3.2 ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่
3.2.1 ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน
3.2.2 ทักษะปฏิบัติงานประดิษฐ์
3.1.3 ความพงึ พอใจของนกั เรียน
4. ขอบขา่ ยเนอ้ื หา
เนือ้ หาท่ีใชใ้ นการวิจยั ครั้งนี้ ไดแ้ ก่ งานประดิษฐท์ ี่เปน็ เอกลักษณ์ไทยตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น
พื้นฐานพุทธศักราช 2551 ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 4 รวมเรื่อง 12 ชว่ั โมง ดังนี้
4.1 การพบั กลีบใบตอง 4 ช่วั โมง
4.2 การเย็บถาดใบตอง 4 ช่วั โมง
4.3 การทำบายศรีปากชาม 4 ชั่วโมง
5.ระยะเวลาในการวจิ ยั
ระยะเวลาที่ใช้ในการวจิ ัยภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โดยใช้เวลาในชวั่ โมงเรียนปกตริ วมทัง้ หมด
12 ช่ัวโมง
6. สถานที่ใชใ้ นการวิจัย
โรงเรียนโซ่พสิ ัยพทิ ยาคม อำเภอโซพ่ สิ ัย จงั หวดั บึงกาฬ 1 ปีการศึกษามี 2563 ภาคเรยี นท่ี 2
นิยามศัพทเ์ ฉพาะ
1.ชดุ การสอนทักษะปฏิบตั ิ หมายถึง การนำเอาสื่อการเรยี นการสอนที่จัดอยา่ งมรี ะบมเป็นชดุ ๆ ให้
สอดคลอ้ งกับเนื้อหากลุม่ สาระการเรยี นรแู้ ละประสบการณ์ทีจ่ ดั ไว้ในแต่ละหน่วยมาช่วยในการพัฒนาทักษะปฏบิ ัติ
ของผู้เรยี นให้บรรลุจุดมุ่งหมายการเรียนการสอนเกิดประสิทธิภาพสูงสดุ ซึง่ ชดุ การสอนทักษะปฏบิ ตั งิ านประดิษฐ์ที่
เปน็ เอกลักษณ์ไทย ประเภทงานใบตอง สำหรบั นักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 4 เปน็ ชุดการเรียนสำเร็จรูปที่ผู้เรียน
สามารถศึกษาได้ด้วยตนเองตามขน้ั ตอนที่ระบุไว้และเป็นลักษณะสอ่ื ประสมทส่ี อดคล้องสัมพันธก์ ับเนื้อหาและ
ประสบการณ์ทีจ่ ะช่วยให้ผู้เรียนเกดิ พฤตกิ รรมการเรียนร้ใู นงานประดษิ ฐ์ที่เปน็ เอกลกั ษณ์ไทยประเภทงานใบตอง
5
รวมจำนวน 3 ชุดประกอบดว้ ย
1. การพบั กลบี ใบตอง 4 ช่วั โมง 2. การเย็บถาดใบตอง 4 ชวั่ โมง 3. การทำบายศรีปากชาม 4 ช่ัวโมง
2.แผนการจดั การเรยี นรู้ หมายถึง เอกสารการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีพฒั นาทกั ษะปฏิบัติงานประดิษฐท์ ี่
เป็นเอกลักษณ์ไทยประเภทงานใบตองโดยใชป้ ระกอบกับชุดการสอนทักษะปฏิบัตเิ รอ่ื งงานประดษิ ฐท์ เี่ ป็น
เอกลักษณ์ไทยประเภทงานใบตองสำหรบั นกั เรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 จำนวน 3 เร่ือง / ชว่ั โมง ประกอบด้วย
1. การพบั กลีบใบตอง 4 ชวั่ โมง 2. การพับถาดใบตอง 4 ช่ัวโมง 3. การทำบายศรปี ากชาม 4 ช่ัวโมง
3. ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น หมายถงึ ความรู้ความสามารถในการเรยี นของนักเรียนทีเ่ รียนโดยใช้ชดุ การ
สอนทกั ษะปฏิบตั ิเร่ืองงานประดิษฐ์ทีเ่ ป็นเอกลักษณไ์ ทยประเภทงานใบตองโดยวัดไดจ้ ากคะแนนการทำ
แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์หิ ลังเรยี นทผ่ี วู้ ิจยั ไดพ้ ัฒนาขนึ้ เป็นขอ้ สอบแบบปรนยั ชนิด 4 ตัวเลอื กจำนวน 40 ข้อ
4. งานประดิษฐด์ ้วยใบตอง หมายถึง ผลงานที่ไดจ้ ากการนำใบตองกลว้ ยมาตดั เย็บและประกอบรปู รา่ ง
ตา่ ง ๆ แล้วนำมาบรรจุอาหารดอกไมห้ รือประดับตกแต่งเพื่อใช้ในพธิ ีต่าง ๆ
5.ทกั ษะปฏบิ ัติงานประดษิ ฐ์ท่เี ปน็ เอกลกั ษณ์ไทย หมายถึง คะแนนทีไ่ ดจ้ ากการประเมินความสามารถใน
การปฏิบัตงิ านและความถูกต้องในกระบวนการเร่ืองงานประดิษฐท์ ่เี ปน็ เอกลักษณไ์ ทยประเภทงานในตองใช้วธิ ีการ
ประเมินด้านวธิ ีการและประเมินผลงานโดยการสงั เกตและตรวจผลงาน
80 ตวั แรก (E1 ) หมายถงึ ร้อยละของคะแนนการประเมินการปฏบิ ัติงานจากการเก็บคะแนนชน้ิ งานการ
ทดสอบย่อยในการจดั กจิ กรรมการเรียนร้ดู ว้ ยชุดการสอนทักษะปฏิบตั แิ ตล่ ะชดุ ได้คะแนนเฉลย่ี รอ้ ยละ 80
80 ตวั หลงั (E2 ) หมายถงึ ร้อยละของคะแนนจากการทำแบบทดสอบหลงั เรยี นโดยการใชช้ ุดการสอน
ทักษะปฏิบตั ไิ ด้คะแนนเฉล่ยี ร้อยละ 80
6. ดัชนีประสิทธผิ ล (The Efectiveness Index L. ) หมายถงึ ค่าความก้าวหนา้ ทางการเรยี นของ
นักเรียนเมอื่ เรียนดว้ ยชดุ การสอนทกั ษะปฏิบัตเิ ร่ืองงานประดษิ ฐ์ทีเ่ ปน็ เอกลักษณไ์ ทยประเภทงานใบตองสำหรบั
นักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 4 ทผี่ ูว้ ิจัยสรา้ งขน้ึ โดยคิดเปน็ รอ้ ยละของคะแนนรวมเฉลี่ยของนักเรยี นหลังเรียนที่
เปลย่ี นแปลงไปจากคะแนนรวมเฉลีย่ ของนักเรียนกอ่ นเรยี น
7.ประสทิ ธภิ าพของการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ หมายถึง คุณภาพดา้ นกระบวนการและผลลพั ธ์ท่ีเกิดจาก
การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาทกั ษะปฏบิ ตั ิการประดิษฐ์งานใบตองของนกั เรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 4 โดยการ
ใช้ชดุ การสอนทกั ษะปฏิบตั กิ ับเกณฑ์ทีก่ ำหนดไว้ร้อยละ 80
8. ความพึงพอใจในการเรยี น หมายถึง ความคิดเห็นหรอื ชอบตอ่ กิจกรรมการเรยี นร้ดู ้วยชุดการสอน
ทักษะปฏบิ ตั ิ เรือ่ ง งานประดิษฐ์ทเ่ี ป็นเอกลกั ษณไ์ ทยประเภทงานใบตองสำหรบั นักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาชัน้ ปีท่ี 4
และต้องการการดำเนนิ กจิ กรรมน้นั ๆ จนบรรลุผลสำเรจ็ วดั ได้จากแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรยี นวดั โดย
6
แบบมาตรส่วนประเมินคา่ ซง่ึ แบ่งเป็น 4 ด้าน ประกอบดว้ ยกระบวนการการจัดการเรยี นรู้ ดา้ นทกั ษะปฏิบตั ิ ด้าน
ชุดการสอน ด้านบรรยากาศทั่วไป 20 ข้อ
ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะได้รบั
1. นกั เรยี นมีความรคู้ วามสามารถและมีการพัฒนาทักษะปฏิบตั ิงานประดษิ ฐท์ ี่เป็นเอกลักษณ์ไทย
ประเภทงานใบตอง
2. นกั เรยี นมผี ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนเร่ืองงานประดิษฐ์ท่ีเป็นเอกลกั ษณ์ไทยประเภทงานใบตองสูงขน้ึ
3. เป็นแนวทางสำหรบั ครผู ้สู อนกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยแี ละครูผู้สอนในรายวิชา
อน่ื ๆ ในการสร้างและการพัฒนาชุดการสอนต่อไป
4. เป็นแนวทางสำหรบั ผู้ท่มี ีความสนใจศกึ ษางานประดษิ ฐ์ท่ีเปน็ เอกลกั ษณ์ไทยประเภทงานใบตอง
กรอบแนวคิด
ในการวจิ ัย ผวู้ จิ ัยไดศ้ ึกษาและยึดหลกั แนวคิดของการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นทักษะปฏิบตั ติ าม
แนวคิดของ (De Cecco) ซง่ึ ไดเ้ สนอข้นั ตอนการสอนเพื่อใหเ้ กิดทกั ษะไว้ 5 ขั้นตอนคือ
1. วิเคราะหท์ กั ษะท่ีจะสอน เป็นขนั้ แรกของการสอนทักษะ โดยที่ผ้สู อนจะตอ้ งวิเคราะห์งานที่จะให้
ผ้เู รียนปฏิบัตกิ อ่ นวา่ งานนัน้ ประกอบด้วยทกั ษะย่อยอะไรบ้าง
2. ประเมนิ ความสามารถเบื้องต้นของผเู้ รียน วา่ ผเู้ รยี นมคี วามรคู้ วามสามารถพืน้ ฐานเพียงพอทจี่ ะ
เรียนทกั ษะใหมห่ รือไม่ ถา้ ยังขาดความรู้ความสามารถทีจ่ ำเปน็ ต่อการเรียนทกั ษะนัน้ ก็ต้องเรยี นเสริมใหม้ ีพืน้
ฐานความรู้เพยี งพอเสยี กอ่ น
3. จดั ขั้นตอนการฝึกใหเ้ ปน็ ไปตามลำดบั ขนั้ จากงา่ ยไปยาก จากทักษะพื้นฐานไปสู่ทกั ษะท่มี ีความ
สลบั ซับซอ้ น จัดให้มีการฝกึ ทักษะย่อยเสียก่อน แลว้ ฝึกรวมทง้ั หมด
4. สาธติ และอธิบายแนะนำ เปน็ ขั้นใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ ห็นลำดบั ข้ันตอนการปฏบิ ัติจากตัวอยา่ งที่ผู้สอนสาธติ ให้
ดู หรอื จากภาพยนตร์ จากวดี ีทัศน์ ซง่ึ จะทำใหผ้ เู้ รียนเหน็ รายละเอยี ดการปฏบิ ัตใิ นข้ันตอนตา่ ง ๆ ได้อย่าง
ชดั เจน
5. จดั ให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบตั ิจรงิ จากแนวคิดน้ีผวู้ จิ ยั ได้สงั เคราะหจ์ ากเอกสารและกำหนดกรอบแนวคดิ ในการ
พัฒนาทักษะปฏบิ ัตงิ านประดิษฐ์ที่เป็นเอกลักษณ์ไทยประเภทงานใบตองโดยใช้ชดุ การสอนสำหรับนักเรยี นชั้น
มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 ดงั ต่อไปนี้
ตัวแปรต้น 7
ชุดการสอนทักษะปฏบิ ัติงาน ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
ประดษิ ฐ์ที่เป็นเอกลกั ษณไ์ ทย ประเภทงาน - ความรคู้ วามสามารถในการเรียนของนักเรียนท่ี
ใบตอง เรยี นโดยใชช้ ดุ การสอนทักษะปฏิบตั เิ รอ่ื งงาน
ประดษิ ฐท์ ่ีเปน็ เอกลกั ษณไ์ ทยประเภทงานใบตอง
ชุดการสอนทักษะปฏิบตั ิ โดยวัดไดจ้ ากคะแนนการทำแบบทดสอบวัดผล
เรอ่ื ง งานประดิษฐ์ สมั ฤทธหิ์ ลงั เรียนที่ผวู้ จิ ยั ได้พัฒนาขน้ึ
ที่เป็นเอกลักษณ์ไทย
ประเภทงานใบตอง ทักษะปฏบิ ตั ิ
- สิง่ ที่ไดจ้ ากการประเมนิ ความสามารถในการ
ปฏิบัตงิ านความถูกตอ้ งในกระบวนการเรือ่ งงาน
ประดิษฐท์ ่ีเป็นเอกลักษณไ์ ทยประเภทงานในตอง
ใชว้ ิธีการประเมินด้านวิธกี ารและประเมินผลงาน
โดยการสงั เกตและตรวจผลงาน
ความพงึ พอใจของนกั เรยี นท่ีมีตอ่ การเรยี นดว้ ยส่ือ
ประกอบการเรยี นการสอนเรื่องงานประดษิ ฐ์ที่เปน็
เอกลักษณ์ไทยประเภทงานใบตองสำหรบั นกั เรยี นช้นั
มธั ยมศึกษาช้นั ปที ่ี 4
บทท่ี 2
เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กีย่ วขอ้ ง
ในการวิจัยเร่อื งการพัฒนาทกั ษะปฏบิ ัติงานประดษิ ฐ์ทเ่ี ป็นเอกลักษณ์ไทยประเภทงานใบตอง โดยใชช้ ุด
การสอน สำหรับนกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปี ท่ี 4 คร้ังนผี้ วู้ จิ ยั ไดศ้ กึ ษาเอกสารแนวคิด หลักการทฤษฎี ตลอดจน
งานวิจยั ทเี่ กยี่ วข้องตามลำดบั ดงั นี้
1. หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551กล่มุ สาระการเรยี นรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี
2. ชดุ การสอน
3. ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน
4. ทกั ษะปฏบิ ัตงิ านประดษิ ฐ์
5. แผนการจัดการเรียนรู้
6. การหาประสทิ ธิภาพ
7. ดชั นปี ระสทิ ธผิ ล
8. ความพึงพอใจ
9. บรบิ ทโรงเรยี นโซพ่ ิสยั พิทยาคม
10. งานวจิ ยั ทเี่ กีย่ วขอ้ ง
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 กลมุ่ สาระการเรยี นรกู้ ารงานอาชีพ
และเทคโนโลยีกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี
เปน็ กลุม่ สาระท่ชี ่วยพฒั นาใหผ้ เู้ รยี นมคี วามรูค้ วามเข้าใจมีทักษะพื้นฐานทจ่ี ำเป็นตอ่ การดำรงชวี ติ และ
รเู้ ทา่ ทันการเปลีย่ นแปลง สามารถนำความร้เู กยี่ วกับการดำรงชวี ิต การอาชีพ และเทคโนโลยมี าใช้ประโยชน์ในการ
ทำงาน อยา่ งมคี วามคดิ สร้างสรรค์ และแข่งขนั ในสังคมไทยและสากลเห็นแนวทางในการประกอบอาชีพ รักการ
ทำงาน และมเี จตคติท่ดี ีต่อการทำงาน สามารถดำรงชวี ิตอยู่ในสังคมไดอ้ ยา่ งพอเพยี งและมคี วามสุข
1.สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
สาระท่ี 1 การดำรงชีวติ และครอบครัว
การดำรงชีวิต เป็นการทำงานในชวี ติ ประจำวันเพ่ือช่วยเหลอื ตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสงั คมท่วี า่ ด้วย
งานบา้ น งานเกษตร งานช่างงานประดษิ ฐ์ งานธุรกิจ และงานอน่ื ๆ
8
มาตรฐาน ง 1.1 เขา้ ใจการทำงาน มีความคิดสรา้ งสรรค์ มที ักษะกระบวนการทำงาน ทักษะ การจัดการ
ทักษะกระบวนการแกป้ ญั หา ทกั ษะการทำงานร่วมกนั และทักษะการแสวงหาความรู้ มีคุณธรรม และลกั ษณะนิสยั
ในการทำงาน มจี ติ สำนึกในการใช้พลงั งาน ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เพื่อการดำรงชวี ติ และครอบครวั
สาระท่ี 2 การออกแบบและเทคโนโลยี
การออกแบบและเทคโนโลยี เป็นการเรียนร้เู พื่อพฒั นาความสามารถของมนษุ ยใ์ นการแก้ปัญหาและสนองความ
ต้องการอย่างสรา้ งสรรค์ โดยนำความรู้มาใช้กับกระบวนการเทคโนโลยสี รา้ งสง่ิ ของเคร่ืองใช้ วิธีการหรอื เพิม่
ประสิทธภิ าพในการดำรงชีวิตและกิจกรรมตา่ ง ๆ ของมนุษย์
มาตรฐาน ง 2.1 เขา้ ใจเทคโนโลยแี ละกระบวนการเทคโนโลยี ออกแบบและสร้างสิง่ ของเคร่ืองใช้ หรือ
วิธกี ารตามกระบวนการเทคโนโลยอี ย่างมคี วามคดิ สรา้ งสรรค์ เลือกใชเ้ ทคโนโลยีในทางสร้างสรรค์ต่อชีวิต สังคม
สง่ิ แวดล้อมและมสี ว่ นรว่ มในการจัดการเทคโนโลยีทีย่ ง่ั ยนื
สาระท่ี 3 เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร
เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สาร เปน็ การนำวิทยาการท่กี ้าวหนา้ ดา้ นคอมพวิ เตอร์และการสื่อสาร มา
สรา้ งมลู ค่าเพ่ิมใหก้ ับสารสนเทศ ทำให้สารสนเทศมปี ระโยชน์ และใชง้ านได้กว้างขวางมากขน้ึ เทคโนโลยี
สารสนเทศรวมถึงการใชเ้ ทคโนโลยดี า้ นต่าง ๆ ในการรวบรวมจดั เก็บ ใช้งานส่งต่อ หรอื สื่อสารระหว่างกนั
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สารเก่ียวข้องโดยตรงกบั 2 ส่งิ คือ
1. เครอื่ งมือเครื่องใชใ้ นการจัดการสารสนเทศ เชน่ เครือ่ งคอมพวิ เตอร์ อุปกรณ์รอบข้าง และอุปกรณ์
ส่ือสารและการโทรคมนาคม
2. ขั้นตอนวธิ ีการดำเนนิ การซึ่งเกยี่ วข้องกบั ซอฟตแ์ วร์ ข้อมูลบคุ ลากร และ บุคลากร และกรรมวิธีการ
ดำเนนิ งาน เพ่ือใหข้ ้อมลู น้นั เกิดประโยชน์มากที่สุด
มาตรฐาน ง 3.1 เขา้ ใจ เหน็ คุณค่า และใช้กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ
ในการสืบค้นข้อมูล การเรยี นรู้ การส่ือสารการแกป้ ญั หาการทำงานและอาชพี อยา่ งมีประสิทธิภาพ ประสทิ ธผิ ล
และมคี ุณธรรม
สาระที่ 4 การอาชีพ
เปน็ สาระทเ่ี กีย่ วข้องกบั ทักษะท่ีจำเปน็ ต่ออาชพี เห็นความสำคัญของคุณธรรม จรยิ ธรรม และเจตคติท่ีดตี ่ออาชีพ
ใชเ้ ทคโนโลยีได้เหมาะสม เหน็ คณุ คา่ ของอาชีพสจุ รติ และเหน็ แนวทางในการประกอบอาชีพ
มาตรฐาน ง 4.1 เข้าใจ มที ักษะท่ีจำเปน็ มีประสบการณ์ เห็นแนวทางในงานอาชพี ใชเ้ ทคโนโลยี เพ่ือ
พฒั นาอาชีพ มีคุณธรรม และมเี จตคตทิ ่ดี ีตอ่ อาชพี
9
2. ตัวช้ีวัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง
สาระท่ี 1 การดำรงชีวิตและครอบครวั
มาตรฐานง 1.1 เขา้ ใจการทำงาน มีความคดิ สร้างสรรค์ มที ักษะกระบวนการทำงาน ทกั ษะการ
จัดการทักษะกระบวนการแก้ปญั หา ทกั ษะการทำงานร่วมกัน และทักษะ การแสวงหาความรมู้ ีคุณธรรม และ
ลกั ษณะนิสัยในการทำงาน มีจิตสำนกึ ในการใช้พลงั งาน ทรพั ยากร และสิ่งแวดลอ้ ม เพื่อการดำรงชีวิตและ
ครอบครัว
สาระท่ี 2 การออกแบบและเทคโนโลยี
มาตรฐาน ง 2.1 เข้าใจเทคโนโลยแี ละกระบวนการเทคโนโลยี ออกแบบและสร้างสงิ่ ของเครื่องใชห้ รอื
วิธกี าร ตามกระบวนการเทคโนโลยีอย่างมีความคดิ สร้างสรรค์ เลอื กใชเ้ ทคโนโลยใี นทางสร้างสรรคต์ ่อชีวติ สังคม
สง่ิ แวดล้อมและมสี ่วนรว่ มในการจัดการเทคโนโลยที ย่ี ั่งยืน
สาระที่ 3 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร
มาตรฐาน ง 3.1 เขา้ ใจ เห็นคุณค่า และใชก้ ระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศในการสืบค้นข้อมลู การ
เรียนรู้ การสอื่ สารการแกป้ ญั หา การทำงานและอาชีพอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ ประสิทธผิ ล มคี ุณธรรม
สาระท4่ี การอาชพี
มาตรฐาน ง 4.1 เขา้ ใจ มที ักษะท่จี ำเปน็ มีประสบการณ์ เห็นแนวทางในงานอาชีพ ใช้เทคโนโลยี เพอ่ื
พฒั นาอาชีพ มคี ุณธรรม และมีเจตคตทิ ด่ี ีต่ออาชพี
ในการวจิ ัยเรอ่ื ง การพัฒนาทักษะปฏิบตั งิ านประดษิ ฐท์ ่ีเป็นเอกลักษณไ์ ทย ประเภทงานใบตอง โดยใช้
ชดุ การสอน เปน็ เนื้อหาในสาระที่ 1 การดำรงชีวติ และครอบครวั มาตรฐาน ง 1.1เขา้ ใจการทำงาน มีความคิด
สร้างสรรค์ มีทกั ษะกระบวนการทำงาน ทักษะการจดั การ ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา ทกั ษะการทำงานร่วมกนั
และทกั ษะการแสวงหาความรู้มีคณุ ธรรม และลักษณะนิสัยในการทำงาน มีจิตสำนึก ในการใชพ้ ลังงาน ทรัพยากร
และสิง่ แวดล้อม เพื่อการดำรงชีวิตและครอบครัว และสาระท่ี 4 การอาชีพมาตรฐาน ง 4.1 เขา้ ใจ มที ักษะทีจ่ ำเป็น
มปี ระสบการณ์ เหน็ แนวทางในงานอาชพี ใช้เทคโนโลยี เพ่อื พัฒนาอาชพี มีคุณธรรม และมเี จตคติท่ดี ีต่ออาชพี
3. งานประดษิ ฐ์ด้วยใบตอง
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนร้กู ารงานอาชพี และ
เทคโนโลยี จะประกอบดว้ ย 4 สาระ ได้แทรกรายละเอียดงานบา้ น งานเกษตร งานประดิษฐ์ งานธรุ กจิ และงาน
ช่างไว้ในสาระที่ 1 การดำรงชีวติ และครอบครัว และสาระที่4 การอาชีพ ส่วนการจัดการเรียนรู้ไม่ได้บังคับให้
โรงเรียนจัดการเรียนรู้ ครบทั้ง 5 งาน แตต่ อ้ งจัดการเรียนรู้ใหค้ รบท้งั 4 สาระ ตามตวั ช้วี ัดน้ัน ๆ ในแต่ละปี จะ
10
ประเมินผลจากตวั ชี้วดั เปน็ หลกั โดยมีจุดเนน้ ว่าต้องสอนให้ครบทุกตวั ชว้ี ัดตามหลกั สตู รฯ ส่วนการจัดการเรียนรู้
สาระท่ี 2 และสาระท่ี 3 เป็นการขยายความให้มรี ายละเอียดมากขนึ้ จากตัวชีว้ ดั
สรปุ ได้ วา่ การจัดการเรียนรูท้ ง้ั 4 สาระ ของกลุ่มสาระการเรยี นร้กู ารงานอาชีพและเทคโนโลยี ให้ยดึ
ตัวชี้วดั เป็นหลัก สว่ นสาระการเรยี นรู้แกนกลางเป็นเพียงตัวชว่ ยให้เกดิ ผลบรรลุตัวช้วี ัดนนั้ ๆ ซึง่ งานประดิษฐท์ เ่ี ปน็
เอกลักษณ์ไทย จะอยู่ในหนว่ ยที่ 7 งานประดิษฐ์ ประกอบด้วย ความหมายของงานประดิษฐ์ทเี่ ปน็ เอกลักษณ์ไทย
คณุ คา่ ของงานประดิษฐท์ ่ีเป็นเอกลกั ษณ์ไทย ประเภทของงานประดษิ ฐท์ ่เี ป็นเอกลักษณไ์ ทย แนวทางการสรา้ ง
รายได้จากงานประดิษฐ์ทเ่ี ป็นเอกลักษณ์ไทย และงานประดิษฐ์ทเี่ ปน็ เอกลักษณ์ไทย ประเภทของงานประดิษฐ์ท่ี
เปน็ เอกลักษณ์ไทย ได้แก่ งานประดิษฐด์ ว้ ยดอกไมส้ ด งานประดิษฐด์ ้วยใบตอง งานแกะสลกั พชื ผัก และผลไม้ งาน
แกะสลักไม้ งานจักสาน (สถาบันพัฒนาคุณภาพวชิ าการ. 2554 :173-176)
งานประดษิ ฐด์ ้วยใบตอง เปน็ งานประดษิ ฐท์ ่ีเป็นเอกลกั ษณ์ไทย เป็นงานทแ่ี สดงใหเ้ ห็นถึงความคิด
สรา้ งสรรคท์ างด้านจติ ใจ ซึ่งประกอบดว้ ยความละเอยี ดอ่อน ประณีต บรรจง มคี วามสวยงาม เปน็ ระเบียบ และ
ความชา่ งคิด ร้จู ักดัดแปลงนำทรพั ยากรธรรมชาติทีม่ ีอยทู่ กุ บา้ นเรอื นมาสร้างสรรค์ หรือประดษิ ฐ์เป็นสงิ่ สวยงาม
(กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2545 : 1) ลักษณะของงานจะเปน็ กิจกรรมท่ีต้องใชท้ ักษะในการทำงาน มีการวางแผนการ
ทำงานตามขน้ั ตอน ต้ังแต่การเลอื กวัสดุออกแบบการเตรียม และการรักษาเครื่องมือเครอื่ งใช้ รวมท้ังวธิ ปี ระดษิ ฐ์
ชิน้ งานตา่ ง ๆ จึงจำเปน็ จะต้องปลูกฝงั ให้นกั เรียนมีความรู้ ความเขา้ ใจ เหน็ คณุ ค่าของการทำงาน รกั งาน ปรบั ปรงุ
งานอยู่เสมอ ตลอดจนทำงานเปน็ และสามารถทำงานรว่ มกับผู้อน่ื ได้ซง่ึ จะนำไปสู่การดำรงชีวติ ที่ดี และเปน็ พ้ืนฐาน
ในการประกอบอาชีพอย่างมีประสทิ ธภิ าพจงึ ต้องปลกู ฝงั ให้ผูเ้ รียนมีความรู้ ความเข้าใจ มปี ระสบการณ์เบื้องต้น
เก่ยี วกบั การทำงานในชวี ิตประจำวัน และงานท่เี ปน็ พน้ื ฐานในการประกอบอาชีพ ท่มี ีทักษะในการใช้เครื่องมือและ
ทักษะในกระบวนการทำงานชว่ ยเหลือครอบครวั และผู้อน่ื ได้ตามสมควรแก่วัย และรู้จักพงึ่ ตนเองมีทักษะในการ
ออกแบบงานประดิษฐ์ตามขนั้ ตอน มคี วามคดิ ริเรมิ่ สรา้ งสรรคแ์ ละปรบั ปรุงงานอย่เู สมอ และเพื่อเป็นแนวทางใน
การประกอบอาชีพในชวี ติ ประจำวนั ได้ ดังนั้นการเรียนงานประดิษฐ์ดว้ ยใบตองจงึ มีความสำคัญในการเป็นสว่ นหนง่ึ
ของการอปุ โภคและบรโิ ภคของคนไทย โดยจะขอยกของ ทวีรัสม์ิ ธนาคม (อา้ งถึงใน มณรี ัตน์ จันทนะผะลิน.
2531)
มาสรปุ ไวต้ รงนีว้ ่า ในวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนในสังคมปจั จุบัน แมจ้ ะไมใ่ ครเ่ อ้ือให้มเี วลามาพิถีพถิ ันใน
การกินการอยมู่ ากนัก แตค่ นไทยเราก็ยังนิยมใชใ้ บตองมาเป็นหีบห่อขนมและอาหาร เพราะให้รสชาติดกี วา่ ใชว้ สั ดุ
อ่นื ๆ มาเป็นหบี ห่อบรรจุภัณฑ์ และในสว่ นของประเพณีวฒั นธรรมไทยในหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในทาง
ศาสนานนั้ ศิลปะประดิษฐ์
11
จากงานใบตองก็ยังคงมบี ทบาทที่สำคญั ซึ่งนับวนั จะหาผู้เช่ยี วชาญช านาญในดา้ นน้ไี ดน้ ้อยลงทุกที แต่เราจำเป็นที่
จะต้องสบื สานงานศลิ ป์ ประเภทนี้ไวใ้ หอ้ ยคู่ ู่ไทยสบื ไป เพราะสิ่งน้คี ือมรดกของชาติไทยเราทีบ่ รรพบรุ ษุ ของเราได้
สืบต่อกันมา งานใบตองไดก้ ำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551
กลุม่ สาระการเรียนรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี เนือ้ หาจะเนน้ ในด้านความรคู้ วามตระหนักในงาน
ใบตอง ประโยชนใ์ ช้สอย คุณค่าความสำคัญ และด้านทกั ษะการทำงาน ซึ่งมีกระบวนการทำงานอยา่ งเปน็ ขัน้ ตอน
การเรยี นการสอนในเร่ืองนจ้ี งึ จำเป็นต้องมีกจิ กรรมการเรียนการสอนท่ีเปน็ ระบบ และต้องมีการใช้ส่อื ทส่ี ามารถ
แสดงให้เหน็ ขน้ั ตอนการประดษิ ฐ์ใบตองได้อย่างชัดเจน เพื่อใหน้ ักเรียนได้ฝกึ ปฏิบัตติ ามได้ เช่น ผสู้ อนสาธิตการ
ประดิษฐใ์ บตองโดยตรง หรอื ใช้ชดุ ฝกึ ทกั ษะก็จะช่วยใหน้ กั เรยี นเกิดการเรียนรู้ท่ีดขี ึ้น รวมทงั้ การประเมนิ ผลก่อน
เรยี นและหลังเรียนทกุ ครงั้ ท่ีมีการเรยี นการสอน เพื่อวดั ผลการเรยี นรขู้ องนักเรียนการนำสอื่ ตา่ ง ๆ และ
กระบวนการเรียนการสอนมาจัดระบบ ให้เปน็ ส่ือทีเ่ น้นความสำคญั ของกระบวนการ โดยยดึ ผเู้ รียนเป็นสำคญั เปิด
โอกาสใหน้ กั เรียนได้ฝึกทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเองอย่างเป็นระบบ จะชว่ ยให้การเรยี นการสอน เรอ่ื งงาน
ประดิษฐ์ดว้ ยใบตองมปี ระสทิ ธภิ าพ และน่าสนใจ (คู่มือรายวชิ าพน้ื ฐาน การงานอาชีพและเทคโนโลย.ี 2555 : 27)
4. คุณภาพผเู้ รยี น
เพอื่ ใหก้ ารศกึ ษากลมุ่ สาระการเรียนรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยีบรรลผุ ลตามเปา้ หมายทว่ี างไวส้ ำนัก
วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา (กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2551 : 3 – 4) จงึ ไดก้ ำหนดคุณภาพของผเู้ รียนกลมุ่ สาระ
การเรียนรกู้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยีทจี่ บการศึกษาชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี6 ไวด้ ังน้ี
4.1 เขา้ ใจการทำงานและปรบั ปรุงการทำงานแตล่ ะขนั้ ตอน มีทักษะการจดั การ ทกั ษะการทำงาน
ร่วมกัน ทำงานอยา่ งเปน็ ระบบและมีความคิดสร้างสรรค์ มีลกั ษณะนิสัยการทำงานท่ีขยัน อดทน รับผดิ ชอบ
ซ่ือสตั ย์ มมี ารยาท และมจี ติ ส านึกในการใช้น้ำ ไฟฟ้าอยา่ งประหยัดและค้มุ คา่
4.2 เข้าใจความหมาย ววิ ัฒนาการของเทคโนโลยี และสว่ นประกอบของระบบเทคโนโลยีมคี วามคิดใน
การแก้ปัญหาหรอื สนองความตอ้ งการอยา่ งหลากหลาย นำความรแู้ ละทักษะการสร้างช้นิ งานไปประยุกต์ในการ
สรา้ งส่งิ ของเครือ่ งใชต้ ามความสนใจอยา่ งปลอดภยั โดยใชก้ ระบวนการเทคโนโลยี ได้แก่ กำหนดปญั หาหรือความ
ตอ้ งการ รวบรวมข้อมูลออกแบบโดยถา่ ยทอดความคิดเป็นภาพร่าง 3 มติ ิ หรอื แผนที่ความคดิ ลงมือสร้าง และ
ประเมนิ ผล เลอื กใช้เทคโนโลยีในชวี ิตประจำวันอยา่ งสร้างสรรคต์ อ่ ชีวิต สังคม และมกี าร
จัดการเทคโนโลยีด้วยการแปรรูปแล้วนำกลบั มาใชใ้ หม่
4.3 เขา้ ใจหลักการแก้ปญั หาเบ้ืองตน้ มีทักษะการใชค้ อมพวิ เตอร์ในการคน้ หาข้อมลู เกบ็ รักษา ข้อมลู
สรา้ งภาพกราฟกิ สรา้ งงานเอกสาร น าเสนอข้อมูล และสร้างช้ินงานอย่างมจี ิตสำนกึ และรับผิดชอบ
12
4.4 รูแ้ ละเข้าใจเก่ียวกบั อาชีพ รวมทั้งมีความรู้ ความสามารถและคุณธรรมท่ีสมั พันธ์กบั อาชพี สำหรบั
เจตนารมณ์ของหลักสตู ร เพ่ือให้ศกึ ษาเรียนรู้ ให้มีความรู้ความเขา้ ใจเบ้ืองต้น และปลกู ฝงั ในเรอ่ื ง ของหลักการ
ทำงานเพ่ือการดำรงชวี ติ หลักการการทำงานให้ประสบความสำเรจ็ ทกั ษะในการทำงาน คณุ ธรรมจริยธรรม และ
ลกั ษณะนสิ ัยท่ดี ใี นการทำงาน การใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยัง่ ยนื ใหม้ ีทักษะในการใชอ้ ปุ กรณ์
เคร่อื งมอื ต่าง ๆ รจู้ ักพึ่งตนเองตลอดเวลา มคี วามคดิ ริเรมิ่ สรา้ งสรรค์ ผลิตชน้ิ งานใหม่หรอื ปรบั ปรงุ ผลงานและ
กระบวนการทำงานให้ดีขน้ึ (คมู่ ือครรู ายวชิ าพื้นฐาน การงานอาชพี และเทคโนโลย.ี 2555 : 1-14 )
ชุดการสอน คือ การนำเอาระบบสอื่ ประสม (Multi-Media) ท่สี อดคลอ้ งกบั เน้ือหาวชิ าและประสบการณข์ องแตล่ ะ
หนว่ ย มาช่วยในการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ ให้เป็นไปอยา่ งมปี ระสิทธิภาพยงิ่ ข้นึ ชดุ การสอนนิยมจัดไว้
ในกล่อง หรือซองเปน็ หมวด ๆ ภายในชดุ การสอน ประกอบด้วยคู่มอื การใช้ชุดการสอน สือ่ การสอนทีส่ อดคลอ้ งกับ
เนือ้ หา และประสบการณ์ อาทิเช่น รปู ภาพ สไลด์ เทป แผ่นคำบรรยาย ฯลฯในการสร้างชุดการสอนนี้จะใชว้ ธิ ี
ระบบเปน็ หลกั สำคัญดว้ ย จึงท าให้มน่ั ใจไดว้ ่าชดุ การสอนจะสามารถชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นไดร้ ับความรอู้ ย่างมี
ประสทิ ธิภาพ และยังชว่ ยให้ผู้สอนเกดิ ความมัน่ ใจพร้อมทจี่ ะสอนอกี ดว้ ย
ชดุ การสอน
ชุดการสอน คือการนำเอาระบบส่ือประสม(Multi - media)ทส่ี อดคล้องกับเน้ือหาวิชาและประสบการณ์
ของแต่ละ่ หนว่ ย มาชว่ ยในการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมการเรยี นรู้ ให้เปน็ ไปอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพย่งิ ข้นึ ชดุ การสอน
นิยมจัดไว้ในกล่อง หรือซองเปน็ หมวดๆ ภานในชดุ การสอน ปะกอบด้วยคมู่ ือการใช้การสอน สอ่ื การสอนท่ี
สอดคล้องกบั เนื้อหาและ ประสบการณ์ เชน่ รปู ภาพสไลด์ เทป แผ่นบรรยาย ฯลฯ ในการสร้างชุดการสอนนี้ จะใช้
วธิ รี ะบบเป็นหลักสำคัญดว้ ย จึงทำให้มนั่ ใจได้ว่าชุดการสอนจะสามารถชว่ ยใหผ้ ู้เรียนได้รับความรูอ้ ยา่ งมี
ประสทิ ธิภาพ และยังชว่ ยให้ผู้สอนเกดิ ความมั่นใจพร้อมทีจ่ ะสอนอกี ดว้ ย
1. ความหมายของชุดการสอน
ได้มนี ักการศึกษาหลายท่าน ใหค้ ำจำกัดความเกี่ยวกับชุดการสอนไว้ ซง่ึ สรุปไดด้ งั น้ี
บุญเกื้อ ควรหาเวช (2543 : 91) ได้กลา่ วถึงชุดการสอนไว้วา่ ชุดการสอนเปน็ สื่อการสอนชนิดหน่ึง ซ่งึ
เปน็ ชุดของส่ือประสม (Multi-Media) ทจ่ี ดั ขนึ้ สำหรับหน่วยการเรียนตามหัวข้อ เนอื้ หาและประสบการณ์ของแต่
ละหนว่ ยทีต่ อ้ งการจะให้ผ้เู รยี นได้รบั โดยจดั เอาไว้เปน็ ชุด ๆ บรรจอุ ยูใ่ นซอง กลอ่ ง หรอื กระเป๋ าซึ่งแลว้ แตผ่ ู้สรา้ ง
จะสร้างข้ึน
จิตตพันธ์ แสนเมือง (2544 : 8) ไดใ้ หค้ วามหมายของชดุ การสอนไวว้ า่ ชุดการสอน หมายถงึ สื่อ
ประสมทีส่ ร้างข้ึนและไดร้ บั การจัดอย่างเป็นระบบ เพื่อใชส้ อนเนอ้ื หาวชิ าใดวิชาหน่งึ แก่นักเรียน
13
ซึ่งประกอบดว้ ย ความมุง่ หมายกิจกรรมการเรยี นการสอนและผสู้ อน เพ่ือให้ผู้เรยี นสามารถเรยี นรูไ้ ด้งา่ ย สะดวก
รวดเร็ว และเกิดประสทิ ธภิ าพตามวตั ถุประสงคท์ ี่กำหนดไว้
กุศยา แสงเดช (2545 : 5) ไดก้ ลา่ วว่า ชดุ การสอน หมายถึง ส่อื การเรียนการสอนท่ีจดั อยา่ งมรี ะบบให้
สอดคลอ้ งกบั เนื้อหากลุ่มสาระการเรยี นรู้ และประสบการณท์ จ่ี ัดไวใ้ นแตล่ ะหนว่ ย เพ่ือชว่ ยใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลง
พฤติกรรมการเรียนรู้ ชดุ การสอนจัดไว้ในกล่องหรือซองเป็นหมวด ๆ ภายในชดุ การสอนประกอบด้วยค่มู ือการใช้
ชดุ การสอน สอื่ การเรยี นทสี่ อดคลอ้ งกบั เน้ือหา พรอ้ มทั้งการมอบหมายงานใหผ้ ้เู รยี นได้ปฏิบัตกิ จิ กรรมค้นควา้ หา
คำตอบดว้ ยตนเองกรมวชิ าการ (2545 : 36) ไดก้ ล่าวถงึ การผลิตสอ่ื และจดั ทำสื่อการเรยี นรู้ไว้วา่ ชดุ การเรียนการ
สอน ประกอบด้วย สือ่ หลาย ๆ ชนิด จดั รวมไว้เปน็ ชุด เช่น คมู่ ือแนะนำการใช้ ชดุ การเรียนการสอน หนังสือเรียน
หนงั สอื อ้างองิ ใบงาน แบบฝึกหดั / แบบฝกึ กิจกรรม บทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน สไลด์ วสั ดอุ ปุ กรณ์ตา่ ง ๆ ใน
การทำชุดการเรียนการสอนอาจจัดทำในรูปแบบทีจ่ ะสามารถบูรณาการภายในกลุ่ม หรือระหวา่ งกลุ่มสาระการ
เรียนรู้ ตลอดจนบรู ณาการกระบวนการใช้สอ่ื แตล่ ะชนิดในชดุ ให้เหมาะสมกับกาลเวลาและสภาพแวดล้อมท่ี
เปลย่ี นแปลง
สุวิทย์ มลู ค่า และ สุนนั ทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 99) ให้ความหมายของชุดการสอนวา่ เปน็ การจัด
ประสบการณ์การเรยี นรู้ให้กับผู้เรียนอย่างเป็นระบบโดยใช้สอ่ื ประเภทต่าง ๆ ที่สอดคลอ้ งกับเน้ือหาและกจิ กรรม
มาชว่ ยในการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของผเู้ รียนใหบ้ รรลจุ ดุ มุง่ หมายจากความหมายทีก่ ล่าวมาขา้ งต้นพอสรุปไคว้ ่า
ชดุ การสอนหมายถึง สือ่ ท่ีใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยมีกระบวนการใหผ้ ู้เรยี นศึกษาคน้ ควา้ ด้วยตัวเอง มี
ขัน้ ตอนทจี่ ัดไวเ้ ปน็ ระบบ และใช้ส่อื หลายชนิดมาใช้ในการจดั กจิ กรรม ครงั้ หนึ่งมเี นื้อหาเป็นเร่อื งเฉพาะมี
รายละเอยี ด และขัน้ ตอนการจดั กจิ กรรม การเรยี นการสอน รวมท้ังสอื่ ประกอบบรรจไุ ว้ในกล่องให้นักเรียน
สามารถศึกษาได้ หรอื ปฏบิ ัติกจิ กรรมตามท่รี ะบไุ วไ้ ด้
2. องค์ประกอบของชุดการสอน
2.1 ค่มู ือการใชช้ ดุ การสอน เป็นคมู่ ือหรือแผนการสอนสำหรบั ผสู้ อนใชศ้ ึกษาและปฏิบัตติ ามข้ันตอนต่าง ๆ
ซง่ึ มรี ายละเอียดชี้แจงไวอ้ ย่างชดั เจน ลักษณะของคมู่ ืออาจจัดทำเป็นเล่มหรอื แผ่นพับก็ได้
2.2 บัตรคา่ สัง่ หรอื บตั รงาน เปน็ เอกสารทบ่ี อกให้ผเู้ รยี นประกอบกิจกรรมแตล่ ะอย่างตามข้นั ตอนท่กี ำหนด
ไว้ บรรจอุ ยใู่ นชุดการสอน บัตรคำส่งั หรือบตั รงานจะมีครบตามจำนวนกลมุ่ หรอื จำนวนผู้เรยี น ซ่งึ จะประกอบด้วย
คำอธิบายในเรื่องที่จะศึกษา คำสัง่ ใหผ้ ูเ้ รียนประกอบกิจกรรมและการสรุปบทเรยี น
2.3 เน้อื หาสาระและสอื่ การเรยี นประเภทตา่ ง ๆ จัดไวใ้ นรปู ของส่อื การสอนทหี่ ลากหลายอาจแบ่งได้เปน็
2 ประเภท ดังน้ี
14
2.3.1 ประเภทเอกสารสงิ่ พิมพ์ เชน่ หนังสือ วารสาร บทความ ใบความรู้ของเนอ้ื หาเฉพาะเรื่อง บทเรยี น
โปรแกรม เปน็ ต้น
2.3.2 ประเภทโสตทัศนปู กรณ์ เช่น รปู ภาพ แผนภาพ แผนภมู ิ สมุดภาพ เทปโทรทศั นเ์ ทปบันทึก –
เสยี ง สไลด์ วีดที ศั น์ ซดี รี อม โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน เปน็ ตน้
2.3.4 แบบประเมนิ ผล เปน็ แบบทดสอบท่ีใช้วัดและประเมินความรูด้ ้วยตนเองท้งั ก่อนเรียนและหลงั เรียน
อาจจะเป็นแบบทดสอบชนิดจบั คู่ เลือกตอบ หรือกาเคร่ืองหมายถกู ผิดกไ็ ด้
3. ประเภทของชดุ การสอน
อำนวย เดชชยั ศรี (2542 : 37) ได้จดั ประเภทของชุดการเรียนรู้ออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน คือ
1. ชุดการเรียนรรู้ ายบุคคลใหผ้ เู้ รยี นเรยี นดว้ ยตนเองภายในชุดการเรียนร้จู ะมบี ทเรยี นสำเร็จรูปแบบ
ประเมินผลและสื่อการศึกษา
2. ชดุ การเรยี นรู้ประกอบการบรรยายของครูจะมีกจิ กรรมที่กำหนดไว้ภายในชุดการเรียนรู้แตต่ ้องอาศัย
ครหู รือผใู้ ช้ชดุ เป็นผู้ดำเนนิ การในการสอนกลมุ่ ใหญผ่ ้เู รียนไดป้ ระสบการณพ์ ร้อม ๆ กนั ในเวลาทีก่ ำหนด
3. ชดุ การเรยี นรูส้ ำหรบั เรยี นเปน็ กลมุ่ หรอื เรียกว่าชุดการเรยี นร้แู บบศนู ย์การเรียนซง่ึ ผเู้ รียนจะต้อง
ปฏบิ ตั ิกิจกรรมเปน็ กล่มุ ตามประสบการณ์ทจี่ ัดไวใ้ ห้แล้วในบัตรคำสง่ั ววิ รรธน์ จันทรเ์ ทพย์ (2542 : 254 - 255)
ได้จัดประเภทของชุดการเรยี นรู้ออกเป็น 3 ประเภท เช่นกันคอื
1. ชดุ การเรียนร้ปู ระกอบคำบรรยายเป็นชุดการเรยี นรสู้ ำหรบั ให้ครูใชป้ ระกอบการบรรยายเพื่อสอน
ผเู้ รยี นเป็นกลมุ่ ใหญ่ประกอบดว้ ยสื่อการเรยี นตา่ ง ๆ เช่น สไลดฟ์ ลิ ์มสตริปภาพยนตรร์ ปู ภาพแผนภมู แิ ผนท่บี างทกี ็
เรียกว่าชดุ การเรียนร้สู ำหรับครู
2. ชุดการเรียนรู้แบบกลุม่ เล็กหรือชุดการเรยี นรู้แบบศนู ย์การเรียนใชป้ ระกอบกจิ กรรมของผู้เรียนกล่มุ
เล็ก ๆ เช่น ในศูนยก์ ารเรยี นชุดการเรยี นรูแ้ บบนจ้ี ะมีสื่อต่าง ๆ ไวใ้ หส้ มาชกิ ในกลุ่มได้ประกอบกิจกรรมตามบตั ร
คำส่งั
3. ชดุ การเรยี นรรู้ ายบุคคลใช้สำหรบั ใหผ้ ู้เรียนเรียนด้วยตนเองตามความสะดวกและความสนใจของเขา
จงึ นยิ มเรยี กวา่ "ชุดการเรยี น"จะเหน็ ไดว้ า่ ประเภทของชุดการเรียนรมู้ 3ี ประเภทใหญ่ ๆ คือชุดการเรียนรู้
ประกอบการบรรยายสำหรับครู ชุดการเรยี นร้สู ำหรบั ผู้เรียน และชดุ การเรียนรู้รายบุคคลทว่ั ไป สามารถเรียนได้
ด้วยตนเอง ซึง่ ชดุ การเรยี นรู้แต่ละประเภทนั้น มุ่งเพ่ือประสิทธิภาพทางการเรยี นการสอน ที่เนน้ ผลประโยชน์ของ
ผูเ้ รียนเป็นสำคัญ ชุดการเรยี นท่ีผวู้ ิจยั ได้พฒั นาขึ้นมาเปน็ ชุดวิจัยสำหรับครผู ู้สอนใชใ้ นการประกอบการจัดกิจกรรม
การเรยี นรู้ เพื่อสะดวกรวดเร็วและเปน็ ไปตามกระบวนการและผูเ้ รยี นสามารถเรียนได้ด้วยตนเอง ตามความ
ต้องการอีกด้วย
15
บญุ เก้อื ควรหาเวช (2543 : 94 - 95) ไดแ้ บ่งชุดการสอนทใี่ ช้กันอยูเ่ ป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. ชุดการสอนประกอบการบรรยาย เปน็ ชุดการสอนสำหรับครูผสู้ อนจะใชส้ อนผเู้ รยี นเป็นกลุม่ ใหญ่ หรอื
เปน็ การสอนที่ตอ้ งการปูพ้นื ฐานให้ผู้เรียนส่วนใหญร่ ู้ และเข้าใจในเวลาเดยี วกัน มุ่งในการขยายเนื้อหาสาระให้
ชดั เจนย่งิ ข้ึน ชุดการสอนแบบนี้จะช่วยให้ผู้สอนลดการพูดน้อยลงและใช้สอื่ การสอนทมี่ ีพร้อมอยู่ในชดุ การสอน ใน
การเสนอเนื้อหามากข้นึ สื่อที่ใชอ้ าจได้แก่รปู ภาพ แผนภูมิ สไลด์ ฟิล์มสตริป ภาพยนตร์ เทปบันทึกเสียง หรือ
กจิ กรรม
ท่กี ำหนดไว้ ข้อสำคัญกค็ ือสือ่ ที่จะนำมาใชน้ ้จี ะต้องให้ผู้เรียนไดเ้ หน็ อยา่ งชัดเจนทกุ คน ชดุ การสอนชนิดนบ้ี างคน
อาจจะเรียกว่าชดุ การสอนสำหรับครู
2. ชดุ การสอนแบบกลมุ่ กิจกรรม เป็นชุดการสอนสำหรบั ให้ผู้เรียนเรียนร่วมกนั เปน็ กลุ่มเลก็ ๆ ประมาณ
5 – 7 คน โดยใช้ส่อื การสอนทบ่ี รรจไุ ว้ในชดุ การสอนแตล่ ะชุดเพื่อมุ่งท่ฝี ึกทกั ษะในเน้ือหาวชิ าทีเ่ รยี นและใหผ้ ้เู รียน
มีโอกาสทำงานร่วมกัน เป็นต้น
3. ชดุ การสอนแบบรายบคุ คล หรือชุดการสอนตามเอกัตภาพ เปน็ ชุดการสอนสำหรับเรยี นด้วยตนเอง
อาจจะเรียนที่โรงเรยี นหรือท่ีบ้านกไ็ ด้ ส่วนมากมกั จะม่งุ ให้ผูเ้ รยี นได้ทำความเข้าใจในเนื้อหาวิชาทเ่ี รยี นเพิ่มเตมิ
ผู้เรียนสามารถทีจ่ ะประเมินผลการเรียนดว้ ยตนเองไดด้ ้วย ชดุ การสอนชนิดนี้อาจจะจัดในลกั ษณะของหนว่ ยการ
สอนยอ่ ยหรือโมดูลก็ได้
กุศยา แสงเดช (2545 : 5) ได้แบ่งประเภทของชดุ การสอนตามลกั ษณะการใชอ้ อกเป็น 3 ประเภท คือ
1. ชุดการสอนสำหรับครูเปน็ ชุดการสอนประกอบคำบรรยายของครู เพื่ออำนวยความสะดวกแกค่ รใู น
การสอน
2. ชุดการสอนแบบศนู ยก์ ารเรียนใช้สำหรับการเรยี นแบบกจิ กรรมกลุ่ม นอกจากจะใหป้ ระสบการณ์
การเรยี นรโู้ ดยการศึกษาค้นควา้ ดว้ ยตนเองแลว้ ยงั ส่งเสริมใหน้ ักเรยี นมคี วามซื่อสัตย์สามัคคี เอื้อเฟอื้ เผ่ือแผใ่ นหมู่
คณะ ตลอดจนเสรมิ สรา้ งวินยั และ ประชาธปิ ไตยในระบบกล่มุ ดว้ ย
3. ชดุ การสอนรายบคุ คลสำหรบั นกั เรยี นใชศ้ ึกษาค้นควา้ เปน็ รายบุคคล จากแนวคดิ หลาย ๆ ประการ
ดังทไ่ี ด้กลา่ วมาแล้วนี้นับเปน็ จุดสำคญั ทีท่ ำให้ชุดการสอน เริ่มเปน็ ท่สี นใจและหันมาใชก้ ารเรียนการสอนโดยใชช้ ุด
การสอนกันแพรห่ ลายมากขึน้ และการผลิตกจ็ ะยึดถือแนวคิดนี้เป็นหลักใหญ่ โดยการนำมาผสมผสานกบั
สภาพแวดล้อมและวยั ของผู้เรยี นเปน็ หลกั สำคญั จากแนวคดิ ของการผลิตชุดการสอนขา้ งต้นน้ี ผศู้ ึกษาจึงได้ผลติ ชดุ
การสอน เพ่ือใชเ้ ป็นสื่อการสอนกลมุ่ สาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยมี งุ่ เนน้ ใหผ้ เู้ รยี นมคี วามรู้มีทักษะ
กระบวนการมคี ุณธรรมจริยธรรมค่านิยมท่ีพึงประสงค์รวมทั้งได้แสดงบทบาทและความรับผิดชอบทง้ั ต่อตนเองตอ่
ผอู้ น่ื และต่อสภาพแวดล้อมโดยครูจะต้องประมวลความรู้เนื้อหาสาระสำคัญมาจัดการเรยี นการสอนใหเ้ ป็นทกั ษะ
16
กระบวนการโดยมุ่งใหผ้ ้เู รยี นมกี ารคดิ การเลือกการตัดสินใจและการแก้ปัญหาเพ่ือใหใ้ ช้เปน็ เครื่องมอื ในการ
ดำรงชีวติ ให้ดขี ึ้น
4. ประโยชนข์ องชุดการสอน
กุศยา แสงเดช (2545 : 10) ได้กล่าวถงึ ประโยชนข์ องชดุ การสอนวา่
1. ชดุ การสอนจะช่วยทำให้กระบวนการเรียนร้มู ีประสทิ ธิภาพ เพราะชุดการสอนผลติ ขึน้ จากกลมุ่ บคุ คล
ท่มี คี วามรู้ความชำนาญหลายดา้ น และมีการทดลองใช้จนแนใ่ จวา่ มผี ลดีจงึ นำออกมาใช้ทั่วไป
2. ชดุ การสอนจะชว่ ยลดภาระของผูส้ อน เมอื่ มชี ดุ การสอนสำเรจ็ รูป ผู้สอนจะดำเนินการตามคำแนะนำ
ทกี่ ำหนดใหใ้ ชช้ ดุ การสอนตามลำดบั ขั้นแต่ละขน้ั จะมีอปุ กรณก์ จิ กรรมตลอดจนข้อแนะนำไวใ้ ห้พร้อม ผู้สอนไม่
จำเปน็ ตอ้ งทำใหมห่ รือทำเพ่มิ นำไปใชไ้ ดท้ ันที
3. ชดุ การสอนยงั ช่วยใหเ้ กิดความรใู้ นแนวเดียวกัน เดมิ การสอนเม่อื มผี สู้ อนหลายคนในวชิ าเดยี วกันก็
อาจเกิดความแตกต่างกนั ในด้านประสิทธภิ าพของการสอนการมีชุดการสอนจะชว่ ยแก้ปัญหาในเร่อื ง นี้ได้
4. ชุดการสอนมจี ดุ มงุ่ หมายทีช่ ดั เจนมีข้อแนะนำในการจัดกิจกรรม มีการใช้สื่อการสอนและมขี ้อ
ทดสอบประเมนิ ผลพฤตกิ รรมของผ้เู รียนได้อยา่ งพร้อมมลู ประการ
5. ชดุ การสอนทำให้ผูเ้ รยี นสามารถทดสอบด้วยตนเองหลงั เรียนผเู้ รยี นจะทดสอบผลสำเร็จของตนเอง
วา่ บรรลุจุดมุ่งหมายทต่ี ้ังไว้โดยการท าข้อสอบหลงั เรียนแลว้ ตรวจคำตอบดว้ ยตนเอง
ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ (2545 : 121) ได้สรปุ คุณค่าของชดุ การสอน
1. ชว่ ยใหผ้ ้สู อนถ่ายทอดเน้ือหาและประสบการณใ์ ห้มลี กั ษณะเปน็ นามธรรมซึ่งผู้สอนไมส่ ามารถ
ถ่ายทอดดว้ ยการบรรยายไดด้ ี
2. เรา้ ความสนใจของผูเ้ รยี นต่อสงิ่ ที่กาลงั ศึกษาเพราะชุดกิจกรรมจะเปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนมีสว่ นรว่ มใน
การเรียนด้วยตนเองและสงั คม
3. เปดิ โอกาสใหผ้ ้เู รยี นแสดงความคิดเห็นฝึกการตดั สินใจแสวงหาความรูด้ ้วยตนเอง และรบั ผิดชอบต่อ
ตนเองและสงั คม
4. เปน็ การสร้างความพรอ้ มและม่ันใจแก่ผู้เรียนเพราะชุดกจิ กรรมผลิตไว้เป็นหมวดหม่สู ามารถหยิบมา
ใชไ้ ด้ทนั ที
5. ทำให้การเรียนของผเู้ รียนเป็นอสิ ระจากอารมณ์ของผสู้ อนชดุ กิจกรรมสามารถทำให้ผเู้ รียนไดเ้ รยี นอ
ยตู ลอดเวลา ไม่ว่าผสู้ อนจะมีสภาพหรือความขดั แยง้ ทางอารมณ์มากน้อยเพียงใด
17
6. ชว่ ยให้ผู้เรียนเปน็ อสิ ระจากบุคลิกภาพของผู้สอน เนือ่ งจากชดุ กจิ กรรมทำหนา้ ที่ถา่ ยทอดความรู้
แทนผสู้ อน แมผ้ สู้ อนจะพูดหรือสอนไมเ่ ก่ง ผู้เรียนก็สามารถเรยี นได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ จากชุดกจิ กรรมทผ่ี ่านการ
ทดสอบประสทิ ธิภาพมาแลว้
7. กรณที ่ีครูประจาวชิ าไม่สามารถเขา้ สอนได้ตามปกติ ครูคนอน่ื ก็สามารถสอนแทนโดยใช้ชดุ กิจกรรม
ได้มใิ ชเ่ ข้าไปคุมช้ันเรียนและปล่อยใหน้ ักเรยี นอยเู่ ฉย ๆ เพราะเนอื้ หาอย่ใู นชุดกิจกรรมเรียบร้อยแล้ว ครูผ้สู อนไม่
ตอ้ งเตรยี มพร้อมมาก
จากการศึกษาประโยชน์ และคณุ คา่ ของชดุ การสอนพอสรปุ วา่ ชดุ การสอนชว่ ยใหผ้ ้เู รยี นมีสว่ นรว่ มใน
การเรยี นการสอนมากท่สี ดุ ถึงแม้ว่าครจู ะพูดหรือสอนไมเ่ ก่งกต็ าม และยงั สามารถช่วยแก้ปญั หาการขาดแคลนครู
เพราะผเู้ รยี นสามารถศึกษาด้วยตนเองได้ ชุดการสอนจะเพ่ิมประสทิ ธิภาพในการสอนของครูชว่ ยเพ่ิมประสิทธิภาพ
ในการเรยี นของนักเรียน เปน็ แหล่งความรู้ท่ที ันสมยั คำนงึ ถงึ จิตวิทยาการเรียนรู้ ผเู้ รยี นสามารถเรยี นได้ด้วยตนเอง
จึงเหมาะสมที่จะนำไปใช้ในการเรยี นการสอน จะส่งผลต่อการพัฒนาทกั ษะปฏิบตั ิงานประดษิ ฐท์ เ่ี ป็นเอกลักษณ์
ไทยประเภทงานใบตอง โดยใช้ชดุ การสอนสำหรบั นกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปี ที่ 4 ในกลุม่ สาระการเรยี นร้กู ารงาน
อาชีพและเทคโนโลยี
5. การสรา้ งชดุ การสอน
กุศยา แสงเดช (2545 :12 -13) ไดก้ ลา่ วถึงการสร้างชุดการสอน ซง่ึ มีข้ันตอนรายละเอียด ดังนี้
1. ศึกษาเน้อื หาสาระของเรือ่ งทง้ั หมดอย่างละเอยี ดว่า สง่ิ ทเ่ี ราจะนำมาทำเป็นชุดการสอน มุ่งเนน้ ให้
เกิดหลกั การของการเรยี นรู้อะไรบา้ ง แลว้ วเิ คราะห์แบง่ ออกเปน็ หนว่ ยของการเรยี นการสอน ในแตล่ ะหน่วยนั้นจะ
มีหัวขอ้ ย่อย ๆ รวมอยู่อกี การแบ่งหนว่ ยย่อยควรคำนึงถึงเนือ้ หาก่อนหลัง และเรียงลำดับตามขน้ั ตอนความรู้ และ
ธรรมชาติของเรื่องนั้น
2. กำหนดหนว่ ยการเรียนการสอน โดยคำนงึ ถึงเวลา ความสนุกนา่ เรียนของเนอ้ื หา และวิเคราะห์
ความคดิ รวบยอดของหนว่ ยการเรยี น ตลอดจนแบ่งหวั ข้อย่อยว่ามอี ะไรบ้าง แล้วดงึ เอาสาระของเรอื่ งออกมาให้ได้
3. กำหนดความคิดรวบยอดใหส้ อดคลอ้ งกับหน่วยและหวั เรอ่ื ง ซง่ึ จะเป็นเกณฑ์สำคญั เพือ่ เปน็ แนวทาง
ในการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน
4. กำหนดจดุ ประสงคก์ ารเรียนให้สอดคล้องกบั ความคิดรวบยอด น่ันคอื กำหนดจุดประสงค์การเรยี นรู้
ใหผ้ ูเ้ รยี นสามารถแสดงออกมาใหผ้ ้สู อนวดั ได้ และตอ้ งเปน็ จุดประสงคท์ ี่ครอบคลุมเนื้อหาสาระของการเรียนรู้
5. นำจุดประสงค์การเรยี นแต่ละข้อมาวิเคราะหห์ ากจิ กรรมการเรยี นการสอน แล้วจดั ลำดบั กจิ กรรม
การเรยี นให้เหมาะสมถูกต้องสอดคล้องกับจุดประสงค์ท่กี ำหนดไว้
18
6. เรยี นรู้ ถา้ ตอ้ งมีการเตรียมเพอ่ื การเรยี นล่วงหนา้ กอ่ นใชช้ ุดการสอนเช่น เคร่ืองฉายสไลด์ จะต้อง
เขียนบอกไวใ้ ห้ชดั เจนในคมู่ อื ครู
7. เมอื่ เรยี นจบแลว้ ตอ้ งมีการประเมินผลหลงั เรยี น เพือ่ ดวู า่ นกั เรยี นไดเ้ ปลยี่ นแปลงพฤติกรรมตามท่ี
จดุ ประสงค์กำหนดไวห้ รอื ไม่ การประเมินผลนีจ้ ะใช้วธิ กี ารใดก็ได้แตต่ ้องสอดคล้องกบั จดุ ประสงค์การเรยี นท่เี ราตง้ั
ไว้
8. ทดลองใชช้ ุดการสอนเพื่อหาประสทิ ธิภาพ โดยนำไปทดลองกบั กลุ่มเด็กเลก็ ดูกอ่ น เพื่อตรวจสอบหา
ขอ้ บกพร่องและแก้ไขปรบั ปรุงอยา่ งดี แล้วจงึ นำไปทดลองใช้กบั เดก็ ทัง้ ช้นั
หทยั ตันหยง (อ้างถงึ ใน เอมอร จนั ทรเสาวพักตร์. 2547 : 30- 31) ไดล้ ำดับขัน้ ตอนของการผลติ ชดุ การสอน
ไว้ ดังนี้
ขน้ั ที่ 1 ศึกษาเนื้อหาสาระของบทเรียน
1. จุดมุ่งเนน้ การเรียนรู้
2. จดั แบบเรียนเป็นหน่วยยอ่ ย
3. กำหนดลำดบั ขั้นตอน
ขั้นที่ 2 การเลือกรูปแบบของชดุ การสอน โดยคำนึงถึง
1. ผเู้ รยี น
2. ผเู้ รยี นจะได้เรียนร้อู ะไร
3. กิจกรรมอย่างไร
4. จะดำเนนิ กจิ กรรมอยา่ งไร
ขน้ั ท่ี 3 กำหนดหนว่ ยการเรียนการสอน
1. กำหนดเนื้อหาและแกนของความรู้
2. กำหนดคาบเวลาเรียน
3. การวางแนวมโนทศั น์
ขน้ั ท่ี 4 กำหนดมโนทัศน์
1. มโนทัศน์ (Concept)
2. หลักการสรุป
ขน้ั ท่ี 5 กำหนดจดุ ประสงคใ์ นการเรยี น
1. จุดประสงคท์ ่ัวไป
2. จุดประสงคเ์ ฉพาะ
19
3. พฤติกรรมทีค่ าดหวงั เงื่อนไข และเกณฑ์
ข้ันท่ี 6 การวิเคราะห์งาน (กิจกรรม)
1. วเิ คราะห์กิจกรรม
2. จดั ลำดบั กจิ กรรม
3. หลอมรวมรายการกจิ กรรม
ข้ันที่ 7 กำหนดส่ือการเรยี นการสอน
1. ประเภทของส่ือ
2. จดุ ประสงคข์ องการใช้สอ่ื แตล่ ะประเภท
3. จัดลำดับข้ันตอนการใช้สอ่ื
ขัน้ ท่ี 8 การประเมนิ ผลโดยใช้แบบสอบเกณฑ์ (Criterion Test)
1. ตรวจสอบการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมของผเู้ รียน
2. การประเมนิ ผลและการพิจารณาให้พฤตกิ รรมผ่านการพจิ ารณา
ข้ันที่ 9 การทดลองใชช้ ุดการสอนโดยนำไปตรวจสอบว่า
1. ความต่อเน่ืองกบั ประสบการณเ์ ดมิ ของผู้เรียน
2. ความเหมาะสมต่อการนำเข้าสบู่ ทเรียน
3. ความเป็นระเบียบเรยี บร้อยของการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม
3. ความสมบูรณ์ของมโนทศั นแ์ ละหลักการสรปุ
4. การประเมนิ ผลหลังการเรียนโดยตรวจดพู ฤติกรรมท่ผี เู้ รียนเปลีย่ นไป
สวุ ทิ ย์ มูลค่า และอรทัย มลู ค่า (2545 : 53-55) ได้กลา่ วถึงข้ันตอนในการผลติ ชุดการสอน ดงั นี้
1. กำหนดเร่ืองเพื่อทำชุดการสอน อาจกำหนดตามเรื่องในหลกั สตู รหรือกำหนดเรื่องข้ึนมาก็ได้
การจดั แบง่ เร่ืองย่อยจะข้ึนอยู่กัปบลักษณะของเน้ือหาและลักษณะการใชช้ ุดการสอนน้ัน ๆ การแบ่งเนื้อเร่อื งเพื่อ
ทำชดุ การสอนในแตล่ ะระดบั ย่อมไมเ่ หมือนกัน
2. กำหนดหมวดหมู่ เนอ้ื หาและประสบการณ์ อาจกำหนดเปน็ หมวดวชิ า หรือบูรณาการแบบสห
วิทยาการไดต้ ามความเหมาะสม
3. จัดเป็นหน่วยการสอน จะแบง่ เป็นกี่หน่วย หน่วยหน่ึงจะใชเ้ วลานานเทา่ ใดควรพิจารณาให้เหมาะสม
กบั วัยและระดบั ช้ันผูเ้ รียน
4. กำหนดหวั เรือ่ ง จดั แบง่ หน่วยการสอนเป็นหัวขอ้ ย่อย ๆ เพื่อสะดวกแก่การเรียนรู้ แตล่ ะหนว่ ยควร
ประกอบด้วยหวั ข้อย่อย หรอื ประสบการณ์ในการเรียนรู้ประมาณ 4 – 6 หวั ขอ้
20
5. กำหนดความคิดรวบยอดหรอื หลักการ ตอ้ งกำหนดให้ชดั เจนว่าจะใหผ้ เู้ รียนเกิดความคิดรวบยอด
หรอื สามารถสรปุ หลกั การ แนวคิดอะไร ถ้าผู้สอนเองยังไม่ชัดเจนว่าจะใหผ้ ูเ้ รียนเกดิ การเรียนรูอ้ ะไรบา้ ง การ
กำหนดกรอบความคิด หรือหลกั การกจ็ ะไม่ชดั เจนซึง่ จะรวมไปถึงการจดั กจิ กรรม เนื้อหาสาระสื่อและส่วนประกอบ
อ่นื ๆ กจ็ ะไมช่ ัดเจนตามไปด้วย
6. กำหนดจดุ ประสงค์การสอน หมายถงึ จุดประสงคท์ ่ัวไปและจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม รวมทั้งการ
กำหนดเกณฑ์การตัดสินผลสัมฤทธกิ์ ารเรียนรู้ไว้ใหช้ ัดเจน
7. กำหนดกิจกรรมการเรยี น ตอ้ งกำหนดใหส้ อดคล้องกบั วัตถุประสงค์เชงิ พฤติกรรม ซงึ่ จะเปน็
แนวทางในการเลือกและผลิตสื่อการสอน กจิ กรรมการเรียน หมายถึง กจิ กรรมทุกอยา่ งทผี่ เู้ รยี นปฏิบตั ิ
เชน่ การอ่าน การทำกจิ กรรมตามบตั รคำส่ัง การตอบคำถาม การเขยี นภาพ การทดลอง การเล่นเกม การแสดง -
ความคดิ เห็น การทดสอบ เป็นต้น
8. กำหนดแบบประเมนิ ผล ตอ้ งออกแบบประเมินผลใหต้ รงกับจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยการใช้
การสอบแบบอิงเกณฑ์ เพ่ือให้ผสู้ อนทราบว่าหลงั จากผ่านกิจกรรมมาเรียบร้อยแลว้ ผเู้ รียนไดเ้ ปลีย่ นพฤติกรรมการ
เรียนร้ตู ามวตั ถุประสงค์ท่ตี ง้ั ไวม้ ากน้อยเพยี งใด
9. เลือกและผลิตสอ่ื การสอน วสั ดอุ ุปกรณ์และวิธีการทผ่ี สู้ อนใช้ถือเป็นสอื่ กาสอนทงั้ ส้นิ เม่ือผลติ สอื่
การสอนในแต่ละหวั เร่อื งเรียบร้อยแล้ว ควรจดั ส่อื การสอนเหลา่ น้ันแยกออกเปน็ หมวดหมู่ในกล่อง/แฟม้ ทเี่ ตรยี มไว้
ก่อนนำไปหาประสิทธิภาพเพื่อหาความตรง ความเทย่ี งก่อนนำไปใช้ เรียกสอ่ื การสอนแบบน้ีว่า ชดุ การสอนโดย
ปกตริ ูปแบบของชดุ การสอนท่ีดีควรมขี นาดมาตรฐาน เพื่อความสะดวกในการใชแ้ ละความเป็นระเบียบเรียบร้อยใน
การเก็บรักษา โดยพจิ ารณาในด้านต่าง ๆ เช่น การใช้ประโยชน์ ความประหยดั ความคงทนถาวร ความนา่ สนใจ
ความทันสมัย ทันเหตุการณ์ ความสวยงาม เป็นตน้
10. สรา้ งขอ้ สอบก่อนและหลังเรียนพรอ้ มท้ังเฉลย การสร้างขอ้ สอบเพื่อทดสอบกอ่ นและหลังเรียน
ควรสร้างให้ครอบคลมุ เน้ือหาและกิจกรรมที่กำหนดใหเ้ กิดการเรยี นรู้ โดยพิจารณาจากจุดประสงค์การเรยี นรเู้ ป็น
สำคญั ข้อสอบไมค่ วรมากเกินไปแต่ควรเนน้ กรอบความรูส้ ำคัญในประเด็นหลักมากกวา่ รายละเอยี ดปลีกย่อย
หรือถามเพ่ือความจำเพียงอย่างเดียว และเมื่อสร้างเสร็จแล้วควรทำเฉลยไว้ใหพ้ ร้อมกอ่ นส่งไปหาประสทิ ธภิ าพ
ของชุดการสอน
11. หาประสทิ ธภิ าพของชุดการสอน เมื่อสรา้ งชุดการสอนเสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ ตอ้ งนำ ชดุ การสอนนน้ั ๆ
ไปทดสอบโดยวิธกี ารต่าง ๆ ก่อนนำไปใชจ้ ริง เช่น ทดลองใชเ้ พอื่ ปรบั ปรุงแก้ไข ใหผ้ เู้ ช่ียวชาญตรวจสอบความ
ถูกต้อง ความครอบคลุมและความตรงของเนื้อเป็นตน้
21
ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2526 : 455) ไดเ้ สนอข้ันตอนของการผลติ ชดุ การสอนไวส้ รปุ ได้ ดังนี้
1. การกำหนดเร่อื ง เพือ่ ทำชุดการสอนอาจกำหนดเร่ืองในหลักสตู รหรือกำหนดเรือ่ งใหมต่ มความ
เหมาะสมกไ็ ดจ้ ะจัดแบ่งเนอ้ื หา เพ่ือทำชุดการสอนในแตล่ ะระดบั ยอ่ มไมเ่ หมือนกัน แต่ควรให้ครอบคลุม
จดุ ประสงค์ของหลักสูตรแตล่ ะเร่ือง
2. จัดหมวดหมู่เน้อื หาและประสบการณแ์ ล้วแต่ความตอ้ งการและความเหมาะสม
3. จดั เป็นหน่วยการเรยี นจะแบ่งก่ีหน่วยหนว่ ยหน่งึ ควรใชเ้ วลานานเทา่ ใดแบ่งเนือ้ หาออกเป็นหน่วยการ
สอนโดยประมาณเนอื้ หาใหค้ รสู ามารถสอน 1 หรอื 2 ชัว่ โมง ควรใช้เวลาเรยี นเป็นคาบ ตามความเหมาะสมกบั วัย
และระดับของผูเ้ รียน ทั้งน้ีโดยคำนึงถึงจิตวทิ ยาพัฒนาการของผเู้ รยี น
4. กำหนดหวั เรอื่ งจัดแบ่งหนว่ ยการเรยี นเปน็ หวั ข้อย่อย ๆ เพอื่ สะดวกแกก่ ารเรียนรู้แตล่ ะหนว่ ย
ประกอบด้วยประสบการณ์ในการเรยี นรอู้ ะไรบ้าง ก็กำหนดหัวข้อแตล่ ะหนว่ ยนนั้ ขน้ึ
5. กำหนดความคดิ รวบยอดหรือหลักการต้องกำหนดชัดเจน ว่าจะใหผ้ ้เู รียนมคี วามคิดรวบยอดหรอื
หลักการอะไร ถา้ ผสู้ อนยงั ไม่ชดั เจนว่าจะเกิดอะไรในการเรียนรู้ การกำหนดจดุ ประสงค์ก็ไมช่ ดั เจน ฉะนนั้ การ
พิจารณากำหนดความคดิ รวบยอดหรือหลกั การให้ชัดเจนจึงเปน็ สงิ่ จำเป็น
6. กำหนดจุดประสงคใ์ ห้สอดคลอ้ งกับเนื้อหา โดยตดิ เป็นจุดประสงค์ทวั่ ไปก่อนแล้วจึงเขียนเปน็
พฤติกรรม มเี กณฑ์การตดั สนิ ใจผลสมั ฤทธิ์ของการเรยี นให้ชัดเจน
7. การวิเคราะหง์ านโดยการนำเอาจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมแต่ละข้อมาวิเคราะห์กิจกรรมว่าควรจะทำ
อะไรก่อนหลัง แล้วจึงจัดลำดับกจิ กรรมการเรียนให้เหมาะสมสอดคล้องกบั จุดประสงค์ที่วางไว้
8. จดั ลำดบั กิจกรรมการเรียนหลังจากพิจารณาจุดประสงคแ์ ตล่ ะข้อ วา่ จะจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างไร
จึงจะบรรลุจดุ ประสงคท์ ่กี ำหนดไว้ จะต้องพจิ ารณากิจกรรมพิเศษตา่ ง ๆ ที่จะเสรมิ ความสนใจและความสามารถ
ของผู้เรียนด้วย
9. กำหนดรปู แบบการงวัดผลและการประเมินผลครู ต้องพจิ ารณาวิธกี ารในการประเมินผลจะมวี ิธกี าร
อย่างไร จึงจะประเมินผลได้อยา่ งแนน่ อนตามจุดประสงคท์ ่ีกำหนด
10. เลอื กและผลิตสอื่ การสอนโดยพิจารณาจากจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม เม่ือทราบวา่ จะใชส้ ือ่ การสอน
อะไรบา้ งแล้ว จึงจดั หาและผลติ เพ่ือให้ไดต้ ามความต้องการจัดเปน็ หมวดหม่เู พื่อความสะดวกแก่การใช้
11. หาประสิทธิภาพของชุดการสอนเมื่อสรา้ งเสร็จเรียบร้อยแลว้ โดยใชก้ ารทดลองใช้เพื่อปรับปรงุ แก้ไข
ก่อนไปใช้จรงิ
22
12. กรณชี ดุ การสอนเปน็ กลมุ่ จำเป็นต้องมีกิจกรรมสำรองจะต้องเตรียมไว้เสรมิ สำหรับนักเรียนท่ีเรียนเรว็
หรอื กลุ่มที่ท ากิจกรรมเสร็จก่อนจะได้มีกจิ กรรมทำเปน็ การส่งเสริมความรใู้ ห้กว้างขวาง อาจจะเปน็ กจิ กรรมท่ีมี
เนอื้ หาสาระสอดคล้องกบั เรื่องทเี่ รยี นแตก่ ิจกรรมอาจจะลึกซึง้ ท้าทายต่อการเรียนใหอ้ ยากทำกิจกรรม
13. สร้างข้อสอบก่อนเรียนและหลงั เรยี นพร้อมทั้งเฉลย
14. ขนาดรปู แบบของชุดการสอนทดี่ ีควรมขี นาดมาตรฐาน มงุ่ เพื่อความสะดวกในการใชแ้ ละความเป็น
ระเบียบเรยี บรอ้ ยในการเก็บรักษา โดยพิจารณาในด้านประโยชนป์ ระหยัดและความคงทนถาวรพร้อมท้ังความ
สวยงาม
15. ใช้ชดุ การสอนใชต้ ามประเภทและจดุ ประสงค์ท่ีทำขน้ึ นอกจากน้ันจะตอ้ งใช้ให้เป็นตามข้อต่าง ๆ ทีว่ าง
ไว้ เก่ียวกบั ชดุ การใช้ชดุ การสอนนั้น ๆ โดยการสอนจะมีทั้งคมู่ อื ครูและวิธกี ารท่ผี ู้เรยี นจะต้องปฏบิ ตั เิ พื่อใชช้ ดุ การ
สอน
16. การใชช้ ุดการสอนมขี ั้นตอนดงั นี้
16.1 ใหผ้ ูเ้ รยี นทำแบบทดสอบก่อนเรยี น เพื่อพิจารณาพนื้ ฐานความรู้เดมิ ของผู้เรียน (ใชเ้ วลา
ประมาณ 10 - 15 นาท)ี
16.2 ขัน้ นำเขา้ สู่บทเรยี นเพ่ือสรา้ งแรงจูงใจให้ผเู้ รียนกระตอื รือรน้
16.3 ขัน้ ประกอบกิจกรรมการเรียน (ขั้นสอน) ผู้สอนบรรยายหรือใช้แบง่ กลมุ่ ประกอบกจิ กรรมการ
เรียน
16.4 ข้นั สรุปผลการเรยี นเพื่อสรปุ หลกั การและแนวคิดท่ีสำคญั
16.5 ทำแบบทดสอบหลังเรียน เพ่ือดูพฤติกรรมทเ่ี ปลีย่ นแปลงของผู้เรียนหลงั จากท่ีเรียนดว้ ยชดุ การ
สอนแลว้ จากการศึกษาการสร้างชดุ การสอนพอสรุปไดว้ า่ ควรกำหนดเร่อื งเพื่อทำชุดการสอน กำหนดหมวดหมู่
จดั เปน็ หนว่ ยการสอน กำหนดหัวเรือ่ ง กำหนดความคิดรวบยอดหรอื หลกั การ กำหนดจดุ ประสงค์การสอน กำหนด
กิจกรรมการเรยี น กำหนดแบบประเมนิ ผล เลอื กและผลิตส่ือการสอน สรา้ งข้อสอบก่อนและหลงั เรยี นพร้อมทง้ั
เฉลย หาประสทิ ธภิ าพของชุดการสอน ขนาดรูปแบบของชุดการสอนที่ดคี วรมีขนาดมาตรฐาน มงุ่ เพ่อื ความสะดวก
ในการ
ใช้และความเปน็ ระเบียบเรียบรอ้ ยในการเกบ็ รักษา โดยพจิ ารณาในด้านประโยชนป์ ระหยดั และ
ความคงทนถาวร พร้อมท้งั ความสวยงามใชช้ ดุ การสอน ใช้ตามประเภทและจุดประสงค์ที่ทำ
นอกจากนั้นจะต้องใช้ให้เป็นตามขอ้ ต่าง ๆ ท่ีวางไวเ้ กี่ยวกบั ชดุ การใช้ชดุ การสอนนน้ั ๆ โดยการสอนจะมที ัง้ คูม่ ือครู
และวิธีการที่ผูเ้ รยี นจะต้องปฏิบตั ิ
23
6. ลกั ษณะของชดุ การสอนที่ดี
นิพนธ์ ศุขปรดี ี (อ้างถงึ ใน เอมอร จนั ทรเสาวพักตร์.2547 : 31) ได้กลา่ วถงึ ชุดการสอนที่ดีควรมลี ักษณะ
ดงั ต่อไปน้ี
1. เปน็ ชดุ การสอนที่เหมาะสมตรงตามจุดมุง่ หมายทตี่ ้งั ไว้มากทสี่ ุด
2. เหมาะสมกับประสบการณ์เดิมของผ้เู รยี น
3. สื่อทใ่ี ชส้ ามารถเร้าความสนใจของผ้เู รียนได้ดี
4. มคี ำแนะนำและวธิ ใี ชอ้ ยา่ งละเอยี ด ง่ายตอ่ การใช้
5. มีวัสดุ อุปกรณท์ ี่กำหนดไวอ้ ย่างครบถ้วนในบทเรียน
6. ได้ปรบั ปรุงและทดสอบให้ทันตอ่ เหตุการณ์อยเู่ สมอ
7. มคี วามคงทนต่อการใช้ สะดวกในการเกบ็
ระมดิ ฝายรยี ์ (อา้ งถึงใน เอมอร จันทรเสาวพักตร.์ 2547 : 31) ไดเ้ สนอชุดการสอนท่ดี ี ประกอบดว้ ย
1. มคี วามสะดวกในการใช้
2. มีการตรวจสอบและพฒั นาแล้ว
3. มคี รบตามจำนวนผเู้ รียน
4. เคยทดลองใชม้ านานหลายครัง้
5. สามารถยดื หยุ่นได้
6. ส่งเสริมความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล
7. ใช้สือ่ การสอนหลายอย่างสอดคลอ้ งกบั เนื้อหา
8. จดั และประเมินผลอิงเกณฑ์ หรอื ตามจุดประสงค์การเรียนรู้
สรปุ ได้ว่า ชุดการสอนทด่ี ี เป็นชดุ การสอนที่เหมาะสมตรงตามจุดมุ่งหมายที่ตงั้ ไว้มากที่สดุ เหมาะสมกบั
ประสบการณ์เดิมของผูเ้ รยี น ส่ือท่ใี ช้สามารถเร้าความสนใจของผู้เรยี นได้ดีใชส้ อ่ื การสอนหลายอยา่ งสอดคลอ้ งกับ
เนอ้ื หา มคี ำแนะนำและวธิ ใี ชอ้ ย่างละเอยี ด งา่ ยต่อการใช้มีวสั ดุ อุปกรณ์ที่ก าหนดไว้อย่างครบถว้ นในบทเรียน ได้
ปรับปรงุ และทดสอบใหท้ ันตอ่ เหตกุ ารณ์อยู่เสมอ มีความคงทนตอ่ การใช้ สะดวกในการเก็บ
7. ส่วนประกอบและวธิ ใี ช้ชุดการสอน
กุศยา แสงเดช (2545 : 5-8) ไดก้ ลา่ วถึงส่วนประกอบ และวธิ กี ารใช้ชดุ การสอนทั้ง 3 ประเภทวา่ มี
ส่วนประกอบ และวธิ กี ารใชท้ ่ีแตกต่างกนั บา้ ง ดังนี้
1. ชดุ การสอนสำหรบั ครู
1.1 ส่วนประกอบ
24
1.1.1 กลอ่ ง กระเปา๋ ซองสำหรบั บรรจุชุดการสอนสำหรบั ครู
1.1.2 คูม่ อื ครู มีรายละเอยี ด ดงั นี้
1) คำชี้แจงการใชช้ ุดการสอน
2) จุดประสงค์ เน้ือหา
3) กจิ กรรมการเรียนการสอน การจดั ช้ันเรียนใหส้ อดคล้องกบั กิจกรรม
4) รายชื่อส่ือ
5) แบบ วธิ ีการวัดและประเมินผล
1.1.3 สื่อการเรยี นการสอนตามรายชอื่ ทร่ี ะบไุ วใ้ นคูม่ ือ
1.1.4 แบบประเมนิ ผล ซ่งึ สอดคล้องกบั วธิ กี ารทร่ี ะบุไว้ในคู่มือ
1.2 การใช้
1.2.1 ครผู สู้ อนนำมาใช้เม่ือถึงบทเรยี นตามท่รี ะบุไว้ในชดุ การสอน
1.2.2 ในกรณที ค่ี รผู ู้สอนไม่อยู่ ผูท้ ่ที ำการสอนแทนสามารถนำชุดการสอนน้ีไป สอนไดโ้ ดยสะดวกไม่
ต้องเสียเวลาเตรยี มการสอนมากและนักเรยี นไดร้ ับประสบการณ์ไมน่ ้อยกว่าเรียนกับครูที่สอนประจำ
2. ชุดการสอนแบบศูนย์การเรียน
2.1 สว่ นประกอบ
2.1.1 กล่อง กระเป๋าสำหรับบรรจุชดุ การสอน
2.1.2 ค่มู อื ครู มีรายละเอยี ด ดงั น้ี
1) คำช้แี จงการใชช้ ดุ การสอน
2) ส่ิงทีค่ รตู ้องเตรียม
3) แผนผงั การจัดชน้ั เรยี น
4) แผนการสอน กิจกรรมการเรยี นของแต่ละศูนย์
5) สือ่
6) การประเมินผล
7) แบบทดสอบก่อนเรียน – หลงั เรยี น
2.1.3 ซองกจิ กรรมของแต่ละศูนยย์ อ่ ย ประกอบด้วย
1) เนอ้ื หา ประสบการณ์ ซ่งึ จัดไว้ในสื่อแบบตา่ ง ๆ ตามความเหมาะสม อาจจะเป็นวีดโี อเทป
สไลด์ รูปภาพ หนังสือ ฯลฯ
2) แบบประเมินผลเปน็ รายบุคคลหรือเปน็ กล่มุ หลงั จากปฏบิ ัตกิ ิจกรรมในศนู ย์แลว้
25
3) เฉลยแบบประเมินผลของแตล่ ะศูนย์ เพื่อให้ผ้เู รยี นได้รู้ผลการเรยี นรขู้ องตนเอง
2.1.4 แบบทดสอบก่อนเรียน หลังเรยี นตามท่ีระบุไวใ้ นคู่มือ
2.1.5 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน หลงั เรยี น
2.2 การใชช้ ดุ การสอนแบบศนู ย์การเรยี นเนน้ ให้นกั เรียนเปน็ ผู้ศึกษาหาความรดู้ ว้ ยตนเอง ครจู ะเปน็ ผู้
เตรยี มสถานท่ี เตรยี มส่ือ เปน็ พ่เี ล้ยี งคอยดแู ล และให้ความชว่ ยเหลอื เมือ่ นกั เรียนประสบปญั หา
2.2.1 การเตรยี มสถานท่ี จัดทเี่ รยี นให้เป็นกลุ่มกจิ กรรมจำนวนกลุม่ เทา่ กับจำนวนศูนยย์ อ่ ยในชดุ การ
สอน ซ่งึ นยิ มจดั เป็น 5 ศนู ย์
2.2.2 ข้ันตอนการสอนแบบศูนย์การเรยี น
1) การทดสอบก่อนเรยี น โดยใหน้ กั เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน ตามทีช่ ุดการสอนกำหนดไว้
เพอื่ วดั พ้นื ฐานความรเู้ ดิมของผเู้ รียน ใชเ้ วลาประมาณ 5 – 10 นาที
2) นำเข้าสู่บทเรยี นแลว้ แนะน าวิธีการเรยี นในแต่ละศูนย์ การประเมนิ ผลและการเปลย่ี นศูนย์
ใชเ้ วลาประมาณ 10 นาที
3) ปฏบิ ตั ิกิจกรรม
3.1) แบง่ กลุ่มเพ่ือเขา้ เรยี นในศูนย์การเรยี น
3.2) แตล่ ะกลุ่มอา่ นบัตรคำสั่งประจำศูนย์
3.3) ปฏิบัตกิ ิจกรรมตามคำสั่ง
3.4) ประเมนิ ผลการปฏิบัติกิจกรรมและศกึ ษาความถกู ต้องจากแบบเฉลย
3.5) เปลย่ี นศูนย์ ศนู ย์ย่อยท่ี 1 – 4 ทกุ กลุม่ จะต้องหมุนเวียนกันเข้าไปปฏบิ ตั ิกิจกรรมให้
ครบทกุ ศนู ย์ จงึ จะได้เนือ้ หาครบตามจดุ ประสงค์ ส่วนศูนย์ส ารองมีไว้สำหรบั กลุ่มท่ีเสรจ็ แล้วแต่ยังไม่มศี ูนยใ์ ดให้
เปลีย่ นก็เขา้ ไปทำกจิ กรรมเสริมในการเปลย่ี นศนู ย์ ถา้ นกั เรียนเสร็จ 1 กลุม่ ให้ไปเข้าศูนย์สำรอง ในกรณที ี่เสร็จ
พร้อมกนั 2 กลุ่มเปลีย่ นศนู ย์กัน ถา้ เสร็จพร้อมกนั 3 – 4 กลุม่ ใหเ้ ปล่ียนเวยี นกนั ไมใ่ ห้ซ้ำศนู ย์ ครตู ้องดแู ลการ
เปลีย่ นศนู ย์และควบคมุ เวลาของแต่ละศูนย์
4) สรุปบทเรยี น โดยตัวแทนของแตล่ ะกลุ่ม ครูชว่ ยเสรมิ ในสว่ นที่บกพร่อง ใชเ้ วลาอกี ประมาณ
10 นาที
5) ทดสอบหลงั เรยี น โดยใช้แบบทดสอบชุดเดียวกบั ชดุ กอ่ นเรยี นแต่อาจสลบั ข้อหรอื สลับค า
ตอบบ้าง ใชเ้ วลาประมาณ 5 – 10 นาที ผลการทดสอบก่อนเรยี น หลงั เรยี นควรแสดงให้ผ้เู รยี นเหน็ ความกา้ วหน้า
ของตนเองด้วย รวมเวลาที่ใช้ชดุ การสอนแบบศูนยก์ ารเรยี นครั้งหนึ่ง ประมาณ 4 – 5 คาบ แตเ่ วลาจะมากหรือ
นอ้ ยไปกวา่ น้อี ีกก็ได้ ขนึ้ อยกู่ ับเนื้อหาและกิจกรรมของชุดการสอนแตล่ ะเร่ือง
26
3. ชุดการสอนแบบรายบคุ คล
3.1 สว่ นประกอบ
3.1.1 กล่อง กระเป๋า ซองบรรจชุ ดุ การสอน
3.1.2 ค่มู อื การใช้ชดุ การสอน
1) คำชีแ้ จงวธิ ีใช้ วธิ ีเรยี น
2) รายการของสอ่ื ตา่ ง ๆ ทีม่ ีอยู่ในชุด
3.1.3 ส่ือประกอบการเรียน
3.1.4 แบบประเมนิ
3.2 การใช้
3.2.1 ใชส้ ำหรับศกึ ษาคน้ คว้าเพิ่มเติมเม่ือนักเรียนปฏบิ ัติกิจกรรมอ่ืน ๆ เสรจ็ และมีเวลาก็นำชดุ
การสอนมาเรยี นได้
3.2.2 สำหรับนักเรยี นทเ่ี รียนช้า ไม่ทนั เพื่อน ครูอาจใหม้ าศึกษา ชดุ การสอนนอกเวลา หรือนำไป
เรียนที่บ้าน
3.3.3 สำหรบั เสริมใหเ้ ดก็ เก่งไดค้ ้นควา้ ศึกษาเพิ่มเติมลำพอง บุญชว่ ย (อ้างถึงใน ศทุ ธินี สดุ ยอด.
2548 : 7) ไดจ้ ดั ส่วนประกอบของชดุ การสอน ดังน้ี
1. คำชแ้ี จง คอื อธิบายถึงขอบข่ายของชดุ การสอน วตั ถุประสงค์ ความรู้พนื้ ฐานทีผ่ ู้เรยี นตอ้ งมี
กอ่ นเรียน และขอบขา่ ยของกระบวนการทง้ั หมด
2. วตั ถปุ ระสงค์ คือ ข้อความทีร่ ะบไุ ว้อยา่ งชดั เจนวา่ ผเู้ รียนเมื่อเรยี นไปแล้ว ผเู้ รยี นจะเกิดการ
เปลีย่ นแปลงอะไรบ้าง
3. การประเมนิ ผลก่อนเรยี น เพือ่ ทราบว่า พื้นความรู้ของผเู้ รียนอยู่ในระดับใด และเรียนแลว้ บรรลุ
วตั ถปุ ระสงคเ์ พียงใด
4. การกำหนดกิจกรรม คือ การกำหนดแนวทางหรอื วธิ กี ารเพอื่ นำไปสู่วตั ถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดย
ผเู้ รยี นมสี ่วนรว่ มในกจิ กรรมนั้น
5. การประเมนิ ผลหลงั การเรียน คือ การประเมินผลหลงั จากที่ผเู้ รียนได้เรยี นจน เสร็จส้ินกระบวนการ
เรยี นแล้ว เพ่อื ทราบว่าผู้เรยี นบรรลุวตั ถุประสงค์หรือไม่ เพียงใด
สวุ ิทย์ มลู คำ และอรทัย มูลคำ. (2545 : 52 - 57) ไดก้ ล่าวถงึ องค์ประกอบของชุดการสอน การใชช้ ดุ การ
สอน และขน้ั ตอนการใช้ชดุ การสอน ดังนี้
1. ชุดการสอนรายบุคคลหรือชุดการสอนตามเอกัตภาพ ควรดำเนนิ การ ดังนี้