58
นำกิจกรรมการเรียนการสอนที่สร้างเสร็จและผ่านการทดสอบไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างคือ
นักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 โรงเรียนท่านผ้หู ญิงจันทิมาพ่งึ บารมี สงั กดั สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษา
มัธยมศึกษา สกลนคร เขต 23 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 1 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 20
คน เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนการสอน วัดและประเมินผลสัมฤทธิ์จากการจัดกิจกรรมการเรียนการ
สอน ตามท่กี ิจกรรมการเรียนการสอนได้กำหนดไว้
แบบทดสอบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
3.2 แบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น มีขั้นตอนการสรา้ งและหาคุณภาพ ดังน้ี
2.2.1 ศกึ ษาหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐานพทุ ธศักราช 2551
กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ คุณภาพผู้เรียนตัวชี้วัดและสาระ
การเรียนรู้แกนกลางช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2
2.2.2 ศึกษาข้อมลู เน้ือหาสาระความรู้เรื่อง การจัดตกแตง่ บา้ น
2.2.3 สรา้ งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนการสอนเรื่อง การจัดตกแต่งบ้าน
ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 จำนวน 20 ข้อ ข้อสอบเป็นแบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก แล้วนำแบบทดสอบ
เสนอตอ่ ท่ีปรึกษา แลว้ ปรับปรงุ ปรงุ แบบทดสอบตมขอ้ เสนอแนะ
2.2.4 นำแบบทดสอบที่ปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของที่ปรึกษาเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ
ชุดเดิม พร้อมแบบประเมินเพื่อตรวจสอบหลักเกณฑ์และการใช้ภาษา ความเที่ยงตรงเนื้อหา และ
สอดคลอ้ งกับจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ โดยใช้เกณฑ์กำหนด ความคดิ เห็นดังน้ี
คะแนน +1 เมือ่ แน่ใจว่าแบบทดสอบน้ันสอดคลอ้ งกับมาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ชว้ี ัด
คะแนน +0 เม่ือไม่แนใ่ จวา่ แบบทดสอบนั้นสอดคล้องกบั มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ช้ีวดั
คะแนน -1 เมอ่ื แนใ่ จวา่ แบบทดสอบนน้ั ไม่สอดคลอ้ งกับมาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชี้วดั
2.2.6 ตรวจสอบความเทีย่ งตรงตามเนือ้ หาของการสอบครั้งนี้ใช้แบบ
ตรวจสอบรายการตามวิธีโรวิเนลสี (Rovinelli) และแฮมเปิลตัน (R.K.Hambleton) โดยคำนวณหา
ค่า IOC เป็นราข้อพิจารณาค่าดัชนีความสอดคล้องและพิจารณาคัดเลือกข้อที่มีคะแนนตั้งแต่ 0.50
ขั้นไป
59
2.2.7 นำข้อสอบที่ได้ไปทดลองใช้ (`Try-out) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
โรงเรียนท่านผูห้ ญิงจันทิมาพึ่งบารมี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร เขต 23 ภาค
เรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2563 จำนวน 20 คน ซง่ึ ได้เรยี นรเู้ ร่ือง การจดั ตกแต่งบ้าน
2.2.8 นำคะแนนมาวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (p) และหาค่าอำนาจจำแนก (r)
และทำการเลือกข้อสอบที่มีความยากง่าย (p) ระหว่าง 0.20 ถึง 0.80 และค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่
0.20 ขึ้นไป หาความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับโดยสูตร KR-20 `(สำราญ กำจัดภัย,เอกสาร
ประกอบการสอนวชิ าวจิ ัยเพอ่ื พัฒนาการเรยี นรู้,หน้า13) เพือ่ คัดเลือกมาใช้เปน็ แบบทดสอบก่อนเรียน
และแบบทดสอบหลังเรียน ปรากฏว่าข้อสอบได้ค่าความยากง่าย (p) ระหว่าง 0.54-0.79 และค่า
อำนาจจำแนก (r) 0.39-0.69
2.2.9 นำแบบทดสอบทไ่ี ด้ค่าอำนาจจำแนกตงั้ แต่ 0.20 ขึน้ ไป จากขอ้ 2.2.8 มาหาค่า
ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ ปรากฏว่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ 0.82 ตามวิธีของคู
เดอร์ วชิ ารส์ ัน สนู KR20
2.2.10 จัดพิมพ์และสำเนาข้อสอบที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพแล้วเพื่อใช้เป็น
แบบทดสอบในการทดสอบจริง จำนวน 20 ขอ้ เพอ่ื ใช้ในการศึกษากับกลมุ่ ตัวอยา่ ง
นำแบบสอบถามความพึงพอใจเสนออาจารย์ที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญชุดเดมิ เพื่อตรวจสอบการ
ใช้ภาษา พิจารณาแบบสอบถามความพึงพอใจ และนำมาปรับปรุงแก้ไข เพอื่ ใหม้ ีความสอดคล้องของ
ประเดน็ คำถามขอ้ มูลที่เราตอ้ งการ โดยมเี กณฑ์การใหค้ ะแนน ดังน้ี
คะแนน +1 เม่อื แนใ่ จวา่ แบบสอบถามนัน้ มีความสอดคลอ้ งของประเด็นคำถาม
คะแนน 0 เมอ่ื ไมแ่ นใ่ จว่าแบบสอบถามน้ันมีความสอดคล้องของประเด็นคำถาม
คะแนน -1 เมอ่ื แนใ่ จว่าแบบสอบถามน้นั ไมม่ ีความสอดคล้องของประเด็นคำถาม
2.4.5 จัดพมิ พ์แบบสอบถามความพงึ พอใจของนักเรียนท่ีมีต่อกิจกรรมการเรียนการ
สอน เร่ือง การจดั ตกแต่งบ้าน กลุ่มสาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชพี ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 4 แล้วนำไปใช้
เป็นเครื่องมือในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลต่อไป ในงานวจิ ัยคร้ังนี้
การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
แบบแผนการทดลองใชร้ ปู แบบการทดลองกลุม่ เดียว และมีการวัดกอ่ นการทดลอง 1 ครงั้
และหลงั การทดลอง 1 คร้ัง (One Group Pretest Posttest Design) เขียนเปน็ รูปแบบการทดลอง
ดงั น้ี
60
รปู แบบการทดลอง O2
O1 X
o1 หมายถงึ การวัดตัวแปรตามก่อนการทดลอง
X หมายถึง การทดลองจดั การเรยี นรู้
o2 หมายถงึ การวดั ตวั แปรตามหลังการทดลอง
1.แบบแผนการทดลอง
ผู้วิจัยดำเนินการทดลองโดยใช้กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้สื่อผสม เรื่องการจัด
ตกแต่งบ้านที่ดีแก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่4 โดยใช้การสอนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง
รวมทงั้ หมด 3 ชว่ั โมง ระหวา่ งเดอื นกุมภาพนั ธ์ - มีนาคม 2563 ซง่ึ ผูว้ จิ ยั ได้ดำเนินการจดั กจิ กรรมตาม
ขน้ั ตอนดังต่อไปนี้
กำหนดวนั และเวลาในการจัดกจิ กรรม
ผู้วจิ ัยดำเนนิ กิจกรรมการสอนโดยใชก้ ิจกรรมการเรยี นการสอนโดยใชส้ อ่ื ผสม เรื่องการจัด
ตกแต่งบ้านในวันศุกร์ทุกๆสัปดาห์เป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ซึ่งในแต่ละครั้งใช้เวลาในการดำเนิน
กิจกรรมประมาณวันละ 1 ชั่วโมง ชว่ งเวลา 14.00 น. – 15.00 น.รวมทง้ั สิ้น 3 เรอื่ ง
คร้ังท1่ี วันที่ 10 กนั ยายน2564 เรอ่ื ง การดแู ลรักษาบ้าน
ครง้ั ท2่ี วันท่ี 17กันยายน2564 เรือ่ ง ความปลอดภยั ในการทำงานบ้าน
ครั้งท่ี3 วนั ท่ี 24กนั ยายน2564 เรื่อง การจัดตกแต่งบ้านและบริเว ณ
บ้าน
ผู้วิจัยทำการบันทึกพฤติกรรมของเด็กขณะทำการสอน ซึ่งใช้การสังเกตการณ์ขณะดำเนิน
กจิ กรรมการสอนโดยใชก้ จิ กรรมการเรยี นการสอนโดยใช้สอื่ ผสม เรือ่ งการจัดตกแตง่ บ้าน ผูว้ ิจัยสังเกต
พฤตกิ รรมดา้ นความสนใจ ความต้งั ใจ และการมสี ่วนร่วมของนักเรียนกลุม่ ตัวอยา่ ง และทำการบันทึก
พฤติกรรมดังกลา่ วหลงั การดำเนินกจิ กรรมเสรจ็ สิน้ ในแตล่ ะครั้ง
61
2. ขั้นตอนดำเนินการทดลอง
ผู้วิจัยจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนกบั กลมุ่ ตัวอย่างโดยดำเนนิ การ ดงั นี้
2.1 ก่อนการทดลอง ไดม้ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ก่อนเรยี น (Pre-test) ผูว้ จิ ยั ได้ทำ
การทดสอบความรเู้ ร่ือง การจัดตกแต่งบ้าน โดยใช้ โดยให้นกั เรยี นทำแบบทดสอบความรู้ จำนวน 20
ข้อ ใชเ้ วลา 30 นาที
2.2 ดำเนนิ การทดลองใช้กิจกรรมการเรียนการสอน จำนวน 3 แผน เปน็ เวลา
3 สัปดาห์ รวม 3 ช่ัวโมง แลว้ นำมาหาประสิทธิภาพของนวัตกรรม ( E1 )
2.3 หลงั การทดลอง ได้มีการเกบ็ รวบรวมข้อมูลหลังเรียน (Post-test) ผู้วิจัยไดท้ ำการ
วดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น โดยให้นกั เรยี นทำแบบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน จำนวน 20 ใชเ้ วลา 30
นาที แลว้ นำมาหาประสทิ ธภิ าพของนวัตกรรม ( E2 )
การวเิ คราะห์ข้อมลู
ผู้วจิ ยั ดำเนนิ การวเิ คราะหข์ ้อมูล ดังนี้
(ดูตามความม่งุ หมายการวิจยั นำเสนอตามลำดบั )
1. วิเคราะห์ความเหมาะสมของกจิ กรรมการเรยี นการสอนโดยใช้สือ่ ผสม เร่อื งการจดั
ตกแต่งบา้ น ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 โดยผูเ้ ชย่ี วชาญ ซงึ่ มเี กณฑ์ประเมินความเหมาะสม
ดงั น้ี
คา่ เฉล่ยี ระดับความเหมาะสม
1.00 – 1.50 นอ้ ยท่สี ุด
1.51 – 2.50 นอ้ ย
2.51 – 3.50 ปานกลาง
3.51 – 4.50 มาก
4.51 – 5.00 มากที่สุด
2. วิเคราะหห์ าประสิทธิภาพของกจิ กรรมการเรยี นการสอนโดยใชส้ ่ือผสม เรื่องการจัด
ตกแตง่ บ้าน ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 4 ตามเกณฑ์ 75/75
3. วเิ คราะห์หาประสิทธิผลของกิจกรรมการเรยี นการสอนโดยใชส้ อ่ื ผสม เร่อื ง การจัด
ตกแตง่ บ้าน ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 ตามเกณฑ์ประสทิ ธผิ ลรอ้ ยละ 50
62
4. วิเคราะหเ์ ปรยี บเทยี บผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ระหว่างก่อนเรยี นและหลงั เรยี น โดยใช้
สถติ ิ t-test ชนดิ dependent Samples
สถิตทิ ใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
1. สถติ ิพ้ืนฐาน
สถติ พิ ้ืนฐาน ได้แก่
1.1 ค่าเฉลีย่ (Arithmetic Mean) (วาโร เพง็ สวัสด์ิ, 2551, หนา้ 283)
1.2 ร้อยละ (Precent) (วาโร เพง็ สวสั ด์ิ, 2551, หน้า 283)
1.3 ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) (วาโร เพ็งสวัสดิ์, 2551, หนา้
283)
63
2. สถติ ติ รวจสอบคุณภาพเครอ่ื งมอื วิจัย
สถิติตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวจิ ัย ได้แก่
1.1 . คา่ ดัชนีความสอดคล้อง IOC (ระบสุ ตู ร)
1.2 คา่ ความยากรายข้อของแบบทดสอบ (ระบุสตู ร)
64
1.3 ค่าอำนาจจำแนกรายข้อของแบบทดสอบ (ระบุสูตร)
1.4 คา่ ความเชอื่ มั่นของแบบทดสอบ (ระบุสูตร)
65
3. สถติ ติ รวจสอบสมมตฐิ าน
สถิติตรวจสอบสมมติฐาน ได้แก่
3.1 ประสิทธภิ าพของนวัตกรรม E1/E2 (ระบสุ ูตร)
3.1.1 การหาประสทิ ธิภาพของกิจกรรมการเรยี นการสอน เรอื่ ง การจัดตกแต่งบา้ น
∑
สูตร E1 = x 100
เม่ือ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ
∑ แทน คะแนนรวมของแบบทดสอบ
3.2 ประสิทธิผลของกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้สื่อผสม เรื่อง การจัดตกแต่งบ้าน
กลุ่มสาระการเรยี นร้กู ารงานอาชพี ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 4
3.3 การทดสอบค่าเฉลี่ยโดยใช้ t-test ชนิด dependent Samples (วาโร เพ็งสวัสด์ิ,
2551, หน้า283)
สูตร t = ∑
√ ∑ 2−(∑ )2)
−1
t หมายถึง ค่า t-test คา่ สถติ ทิ ่ีใช้เปรยี บเทียบคา่ วิกฤตจากตารางแจกแจงปกติเพ่ือทราบความมี
นยั สำคญั
n หมายถึง จำนวนนักเรยี นในกลุม่ ทดลอง
66
D หมายถึง ค่าผลตา่ งแตล่ ะคขู่ องคะแนน
∑ หมายถึง ผลรวมของผลต่างของคะแนนของนกั เรียนแตล่ ะคน
∑ 2 หมายถึง ผลรวมของผล
บรรณานกุ รม
กรมวชิ าการ. (2546). การจดั สาระการเรียนสังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม กล่มุ สาระการเรยี นรู้
สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม. กรุงเทพฯ: องคก์ ารรับสง่ สินค้าและพสั ดภุ ณั ฑ์ (ร.ส.พ.)
การศึกษานอกโรงเรียนรกิ นั ยา วงษ์สรุ ียะ. ( 2559 ). การพัฒนาสอ่ื ประสม วิชาการเขียนโปรแกรม
คอมพวิ เตอร์. เข้าถึงไดจ้ าก.http://www.sasana.ac.th/2017/upfile/wijai59/sirikunya.จงั หวัด
นนทบุร.ี วิทยาลัยราชพฤกษ์ วันที่ 10 สิงหาคม 2562
จนิ ตนา สมศิลป.์ (2559) การพฒั นาชุดการสอนวชิ าการงานอาชพี และเทคโนโลยี. วารสารวชิ าการ
และวิจัยสังคมศาสตร์. กรุงเทพฯ : ผู้แต่ง
ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ( 2523 ). ส่อื ประสม (Multimedia) ในงานสง่ เสริมการเกษตร. เข้าถึงได้จาก.
https://ag.kku.ac.th/Extension/images/ (Multimedia). วันท่ี 20 ตุลาคม 2562
ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ( 2523 ). สื่อประสม (Multimedia) ในงานสง่ เสริมการเกษตร. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก.
https://ag.kku.ac.th/Extension/images/ (Multimedia). วันท่ี 30 ตุลาคม 2562
วลัยนชุ สกลุ นุ้ย. (2555). ปัจจัยท่มี ีผลตอ่ การใชส้ ่ือการสอนตามความคิดเหน็ ของครูศูนย์
ปทั มา ชั้นอนิ ทรง์ าม. ( 2556). ผลการเรียนด้วยชดุ สอ่ื ประสมร่วมกับกจิ กรรมการสอนทเ่ี นน้ การพูดที่
ส่งผลตอ่ ความสามารถทางการพดู ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาประที่ 5. เขา้ ถงึ ได้จาก
.www.thapra.lib.su.ac.th/objects/thesis/fulltext/snamcn. วนั ท่ี 20 ตลุ าคม 2562
พนา สมัยรัฐ์ ( 2554 ). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น รายวิชาวิทยาศาสตร์ ระหว่างการ
สอนโดยใชส้ ือ่ ประสม กับการสอนปกติ. เขา้ ถึงไดจ้ ากhttps://image.slidesharecdn.com
วาสนา เกษี ( 2558 ). ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้. เข้าถึงได้จาก.
https://wassanakasrimathematics.wordpress.com/
พนา สมัยรัฐ์ ( 2554 ). การเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน รายวิชาวิทยาศาสตร์ ระหวา่ งการ
สอนโดยใช้ส่ือประสม กบั การสอนปกต.ิ เขา้ ถึงไดจ้ ากhttps://image.slidesharecdn.com
วาสนา เกษี ( 2558 ). ความหมายของแผนการจดั การเรยี นร.ู้ เขา้ ถงึ ได้จาก.
https://wassanakasrimathematics.wordpress.com/
สุลกั ขณา คุ้มทรัพย.์ ( 2555 ). สารนิพนธ์ ผลการจัดการเรยี นรู้โดยใช้ส่อื ประสมเชอ่ื มโยงกบั
สถานการณ์จรงิ . เขา้ ถึงได้จาก.
http://thesis.swu.ac.th/swuthesis/Sec_Ed/Sulakkana_K.pdf. วนั ที่ 8 กรกฎาคม 2562
สมชาย แก้วเจริญ ( 2556 ). การใช้สอ่ื ประสมเพื่อพฒั นาความสามารถดา้ นการอ่านท านองเสนาะ
ของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ ระดบั ปรญิ ญามหาบณั ฑติ สาขาวิชาการสอน
ภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร.
สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2561). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 และ
มาตรานการเรยี นรู้และตัวช้ีวัดฯ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560). เขา้ ถงึ ได้จาก.
http://academic.obec.go.th/newsdetail.php?id=75. 8 กรกฎาคม 2562
เอกรนิ ทร์ ส่ีมหาศาล. (2545). กระบวนการจดั ทำหลักสูตรสถานศึกษา แนวคิดสปู่ ฏิบัติ. กรุงเทพฯ:
บคุ๊ พอยท.์
สมชาย แก้วเจริญ ( 2556 ). การใช้ส่อื ประสมเพื่อพัฒนาความสามารถด้านการอ่านท านองเสนาะ
ของนักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1. วิทยานพิ นธ์ ระดับปรญิ ญามหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการสอน
ภาษาไทย คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศิลปากร.
อนงค์ โพธิ์แสง ( 2552 ). การพัฒนาชุดส่ือประสมเร่อื ง การเพาะเห็ดนางฟ้า กลมุ่ สาระการงานอาชีพ
และเทคโนโลยี ช้ันประถมศึกษาปที ี่ 6. มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม
69
ประวตั ผิ ูว้ จิ ัย
ชอ่ื -สกลุ นายพงศ์พล แกว้ ก่า
ชอ่ื -สกุลภาษาอังกฤษ Mr Phongphol Kaewka
เกดิ วันท่ี 15 มกราคม 2544
ทีอ่ ยู่ บ้านเลขท่ี115หมู่3 บา้ นบวั ใหญ่
ตำบล สวา่ ง อำเภอพรรณานิคม
จังหวดั สกลนคร 47130
ปจั จบุ นั กำลังศึกษาชน้ั ปีท่ี3 สาขาคหกรรมศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร
เบอ 0640737630
เมล [email protected]
ประวัตผิ วู้ ิจัย
ชื่อ-สกลุ นภัสกร วพิ รหมหา
ชอ่ื -สกุลภาษาอังกฤษ Miss Naphatsakorn Wipromha
เกิดวันท่ี 6 พฤศจิกายน 2543
ที่อยู่ บา้ นเลขท่ี65 หมู่7 บ้านบานกุดจาน
ตำบล แพด อำเภอ คำตากลา้
จงั หวดั สกลนคร 47250
ปจั จบุ ันกำลงั ศกึ ษาช้นั ปีที่3 สาขาคหกรรมศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร
เบอร0์ 801798924
เมล
70
ประวัติผ้วู ิจยั
ช่อื -สกุล พงษ์ศักดิ์ บโุ ฮม
ชอื่ -สกลุ ภาษาอังกฤษ Mr. Phongsak Buhom
วันเกิด23 กรกฎาคม
ทอี่ ยู่ บ้านเลขที่127 หมู่2บ้านสร้างค้อ ตำบลสร้างค้อ อำเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร 47310
ปจั จบุ ันกำลงั ศกึ ษาชนั้ ปที ่ี3 สาขาคหกรรมศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร
เบอร0์ 615812754
เมล [email protected]
วิจยั ในชนั้ เรยี น
เรื่อง
การพัฒนารปู แบบการเรยี นการสอนการงานอาชพี
ตามหลกั การทำงานแบบมสี ่วนรว่ มเพื่อส่งเสรมิ ทกั ษะการปฏบิ ตั งิ าน
รายวิชา ขนมอบ เร่อื ง คุกกีเ้ นย กลุ่มสาระการงานอาชีพ
ชัน้ มัธยมศกึ ษาชนั้ ปีที่ 4 โรงเรียนสกลนครพัฒนศกึ ษา
ผู้วจิ ัย
1. นางสาวศุภางค์ พิมพ์นาจ รหสั นักศึกษา 62115267101
2. นางสาวรสา ช่วยกายตมู รหสั นกั ศกึ ษา 62115267104
3. นายณัฐวุฒิ ศรีสิทธ์ิ รหัสนักศึกษา 62115267108
4. นายดชุ กาล จันทรงั ษี รหสั นกั ศกึ ษา 62115267109
นักศกึ ษาสาขาวชิ าคหกรรมศาสตร์ ชนั้ ปที ี่ 3 คณะครศุ าสตร์
มหาวิทยาลยั ราชภฏั สกลนคร
เรอื่ ง การพฒั นารปู แบบการเรยี นการสอนการงานอาชพี ตามหลกั การทำงานแบบมสี ว่ นร่วม
เพื่อส่งเสริมทกั ษะการปฏบิ ตั งิ าน รายวชิ า ขนมอบ เรอื่ ง คกุ ก้เี นย กลุ่มสาระการงาน
อาชีพ ชน้ั มธั ยมศึกษาชน้ั ปที ่ี 4 โรงเรียนสกลนครพฒั นศึกษา
ชอื่ ผู้วิจัย 1. นางสาวศภุ างค์ พมิ พ์นาจ รหัสนักศึกษา 62115267101
2. นางสาวรสา ช่วยกายตูม รหสั นักศกึ ษา 62115267104
3. นายณฐั วฒุ ิ ศรสี ทิ ธิ์ รหสั นกั ศกึ ษา 62115267108
4. นายดชุ กาล จนั ทรังษี รหสั นกั ศึกษา 62115267109
นกั ศึกษาสาขาวชิ าคหกรรมศาสตร์ ช้ันปีที่ 3
หน่วยงาน โรงเรยี นสกลนครพัฒนศกึ ษา สงั กัดสำนกั งานเขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 23
ปกี ารศึกษา 2564
สารบัญ
บทที่ หนา้
บทที่ 1 บทนำ .....................................................................................................................................1
ภมู หิ ลัง.............................................................................................................................................1
วตั ถุประสงคข์ องการวิจัย................................................................................................................2
ขอบเขตการวจิ ยั ..............................................................................................................................2
นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ ............................................................................................................................2
บทที่ 2 เอกสารทเ่ี กี่ยวข้อง................................................................................................................3
1. หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551
กลมุ่ สาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชพี ............................................................................................4
1.วสิ ยั ทัศน์ ..................................................................................................................................4
2. หลกั การ..................................................................................................................................4
3. จดุ หมาย .................................................................................................................................5
4. สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น....................................................................................................5
5. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์.....................................................................................................6
6. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้การงานอาชพี ........................................................................6
2. การวจิ ยั ในชนั้ เรยี น .....................................................................................................................7
2.1 ความหมายของการวจิ ยั ในชน้ั เรยี น.....................................................................................7
2.2 ความสำคัญของการวิจัยในช้นั เรยี น ..................................................................................10
2.3 ประโยชนข์ องการวิจัยในชั้นเรยี น......................................................................................13
3. ความหมายความเป็นมาของเบเกอรี่........................................................................................14
3.1 ความหมายความเปน็ มาของคกุ ก้ี......................................................................................14
3.2 ประเภทของคุกกี้................................................................................................................15
บทท่ี 3 วธิ กี ารดำเนินการวิจยั .........................................................................................................16
3.1 ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง ....................................................................................................16
3.2 ระยะเวลาทีใ่ ช้ในการวิจัย .......................................................................................................16
3.3 เครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั .........................................................................................................16
3.4 การเก็บรวบรวมขอ้ มูล............................................................................................................17
3.5 การวเิ คราะห์ข้อมลู และสถิตทิ ่ีใช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูล........................................................17
1
บทท่ี 1
บทนำ
ภมู ิหลงั
จากหลักสูตรการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน พ.ศ. 2544 สาระและมาตรฐานการเรียนรกู้ ลุ่ม
สาระการเรยี นรู้ การงานอาชพี สาระที่1 การดำรงชีวิตและครอบครัว มาตรฐาน 1.1 เข้าใจ
การทำงาน มีความคดิ สรา้ งสรรคม์ ที ักษะกระบวนการทำงาน ทักษะการจดั การ ทกั ษะ
กระบวนการแก้ปญั หา ทักษะการทำงานร่วมกนั และทกั ษะการแสวงหาความรู้ มคี ณุ ธรรม
และลักษณะนิสยั การทำงาน มจี ติ สำนึกในการใช้ พลงั งาน ทรพั ยากรและส่งิ แวดล้อม เพ่อื
การดำรงชวี ติ และครอบครัว ( จากหลกั สตู รการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พ.ศ. 2544 )
การพฒั นารูปแบบการเรียนการสอนการงานอาชพี ตามหลักการทำงานแบบมสี ว่ น
รว่ มเพ่ือส่งเสริมทักษะการปฏบิ ตั งิ านรายวชิ า ขนมอบ เรือ่ ง คุกกเ้ี นย กลมุ่ สาระการงาน
อาชพี ของนักเรียน ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 การเรยี นการสอนการงานอาชพี เพอ่ื ศกึ ษา
ประสิทธิภาพของรูปแบบการเรยี นการสอนการงานอาชพี ตามหลักการทำงานแบบมสี ว่ นรว่ ม
เพ่อื สง่ เสริมทกั ษะการปฏบิ ัตงิ าน รายวชิ า ขนมอบ เรอ่ื ง คุกก้เี นย กล่มุ สาระการงานอาชีพ
การเรยี นขนมอบ ในการทำคุกก้ีเนย ไดเ้ ลง็ เหน็ การทำใหไ้ ด้ผลดีต้องขึน้ อยู่ท่ีการฝึกฝน และรู้
วิธกี ารทำขนมอบ รู้จักดัดแปลง ตกแต่งขนมชนิดตา่ งๆ ให้สะดดุ ตาสะดุดใจต่อผู้ไดพ้ บเหน็
ทำให้เกิดความอยากรบั ประทานอาหารเม่อื รบั ประทานแล้วจะตอ้ งตดิ ใจในรสชาติ และ กลิน่
ของอาหาร การทำขนมอบผู้ทำจงึ ควรหมนั่ ฝึกฝนจนเกิดความชำนาญเพ่อื ให้มปี ระสบการณ์
ตอ่ ขนมชนดิ นน้ั ๆ และเพ่อื เป็นการปูพ้ืนฐาน และเปน็ กระบวนการทเ่ี ปดิ โอกาสใหบ้ คุ คลทมี่ ี
ส่วนเกี่ยงข้องหลายๆ ฝา่ ยได้เขา้ รว่ มกิจกรรมตามทกี่ ำหนดไว้ซง่ึ เปน็ การระดมความคดิ และ
ศกั ยภาพตา่ งๆ ทมี่ อี ย่มู ารว่ มกนั คดิ ร่วมกนั วางแผน ร่วมตดั สินใจ ร่วมตดิ ตามประเมนิ ผล และ
รว่ มกนั แกไ้ ขปญั หา อนั เปน็ การสรา้ งจติ สำนึกหนา้ ท่ีความรับผิดชอบทจ่ี ะทำให้เกิดการพัฒนา
เปลยี่ นแปลงไปส่เู ป้าหมาย บรรลุวัตถุประสงคท์ ่กี ำหนดไว้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ( ดร.นเิ วศน์
วงศส์ ุวรรณ, รศ.ดร.อนิ ถา ศริ ิวรรณ )
จากการท่ีได้ดำเนินการจัดการเรียนการสอนใหก้ ับนักเรียน ในระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษา
ปีที่ 4 จงึ เล็งเหน็ ความสำคญั ของการทนี่ ักเรยี นได้ลงมอื ปฏิบตั ิจรงิ ซ่งึ นักเรยี นสามารถเรียนรู้
2
และปฏิบตั ิตามได้อย่างมีความสขุ เปน็ การฝึกทักษะให้กับนักเรยี นไดล้ งมือทำตามขัน้ ตอน
อย่างมีหลักการข้ันตอนในการทำงาน ตลอดจนรวมไปถงึ ทกั ษะการจัดการ ที่ต้องอาศัยหลัก
ในการทำงานรว่ มกัน
วัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย
1. เพอ่ื พฒั นารูปแบบการเรยี นการสอนการงานอาชพี และตามหลักการทำงาน
แบบมีส่วนร่วม และให้นักเรยี นมีความรู้ รายวชิ า ขนมอบ เรอ่ื ง คกุ ก้ีเนยจากการลงมอื
ปฏิบตั ิ รอ้ ยละ 80
2. เพอื่ ศกึ ษาประสิทธภิ าพเชงิ ประจกั ษ์ของรปู แบบ การเรยี นการสอนการงาน
อาชพี ตามหลกั การทำงานแบบมสี ว่ นร่วม เพือ่ สง่ เสรมิ ทกั ษะการปฏิบตั ิงาน รายวิชา
ขนมอบ เรอ่ื ง คกุ ก้ีเนย
3. เพือ่ ใหน้ ักเรียนมีคุณธรรม และลักษณะนิสัยการทำงานทีด่ ี และมีจติ สำนึกรกั
ในการทำขนมอบ
ขอบเขตการวจิ ัย
1. ประชากรท่ีใช้ในการวจิ ัยเปน็ นักเรียนระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาชน้ั ปีท่ี 4
ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564
2. ระยะเวลา คอื ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564
นยิ ามศพั ท์เฉพาะ
ทกั ษะ หมายถึง ความชำนาญหรอื ความสามารถในการกระทำหรอื การปฏิบตั ิ
อย่างงานใดอย่างหนง่ึ
งาน หมายถงึ สงิ่ ทีไ่ ดร้ ับมอบหมายจากคณุ ครู รวมถงึ การทำงานเปน็ กลุม่ หรือ
ช้ินงาน
การมสี ว่ นร่วม หมายถึง การเปดิ โอกาสให้นักเรียนได้มีสว่ นรว่ มในการทำทกุ
ขน้ั ตอน การพฒั นาทง้ั ในการแก้ไขปญั หา โดยเปดิ โอกาสให้มีส่วนรว่ มในการคดิ ริเรมิ่ รว่ ม
วางแผน ตัดสนิ ใจและปฏิบัติตามแผน
3
บทที่ 2
เอกสารท่ีเกย่ี วขอ้ ง
การวิจัยครง้ั นผ้ี ู้วจิ ัยได้ทาํ การศกึ ษาเอกสารท่เี กย่ี วขอ้ งกับการวจิ ยั ดังตอ่ ไปน้ี
1.หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรยี นรกู้ าร
งานอาชีพ
1.1วิสยั ทัศน์
1.2 หลกั การ
1.3 จุดหมาย
1.4 สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น
1.5 คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
1.6 สาระและมาตรฐานการเรยี นรูก้ ารงานอาชพี
2. การวิจัยในชน้ั เรยี น
2.1 ความหมายของการวจิ ยั ในชั้นเรยี น
2.2 ความสำคัญของการวจิ ัยในชน้ั เรยี น
2.3 ประโยชนข์ องการวิจยั ในช้นั เรยี น
3. ความหมายความเปน็ มาของเบเกอร่ี
3.1 ความหมายความเป็นมาของคุกกี้
3.2 ประเภทของคุกกี้
4
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชีพ
หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรกู้ ารงานอาชพี เป็นสว่ นประกอบหน่ึงในหลกั สตู รแกนกลาง
การศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 มวี ิสยั ทศั น์ หลกั การ จดุ หมาย และสมรรถนะของผู้เรียน
ดงั นี้ (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2551 ข, หนา้ 4-55)
1.วิสยั ทศั น์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน มงุ่ พัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเปน็
กำลงั ของชาติ ให้เป็นมนุษยท์ ี่มคี วามสมดลุ ทง้ั ด้านรา่ งกาย ความรู้ คุณธรรม มจี ิตสำนกึ ใน
ความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพโลก ยึดมนั่ ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอนั มี
พระมหากษตั ริยท์ รงเปน็ ประมุข มคี วามรู้และทกั ษะพ้ืนฐาน รวมท้งั เจตคติ ทจ่ี ำเป็นตอ่
การศกึ ษาตอ่ การประกอบอาชพี และการศึกษาตลอดชวี ติ โดยม่งุ เน้นผู้เรยี นเป็นสำคัญ
บนพื้นฐานความเชือ่ วา่ ทุกคนสามารถเรยี นรู้และพฒั นาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ
2. หลักการ
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน มีหลักการที่สำคัญ ดังนี้
2.1 เปน็ หลักสตู รการศึกษาเพือ่ ความเป็นเอกภาพของชาติ มจี ุดหมายและมาตรฐานการ
เรยี นร้เู ปน็ เปา้ หมายสำหรบั พฒั นาเดก็ และเยาวชนใหม้ ีความรู้ ทกั ษะเจตคติ และคณุ ธรรมบน
พนื้ ฐานของความเป็นไทยควบคูก่ บั ความเปน็ สากล
2.2 เปน็ หลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสไดร้ ับ
การศกึ ษาอย่างเสมอภาคและมคี ุณภาพ
2.3 เป็นหลกั สูตรการศกึ ษาทส่ี นองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมสี ว่ น
รว่ มในการจดั การศกึ ษาใหส้ อดคลอ้ งกับสภาพและความตอ้ งการของท้องถ่นิ
2.4 เป็นหลักสูตรการศึกษาทมี่ โี ครงสร้างยืดหยุ่นทง้ั ด้านสาระการเรยี นรู้
เวลาและการจัดการเรยี นรู้
2.5 เป็นหลกั สูตรการศกึ ษาท่เี นน้ ผูเ้ รียนเปน็ สำคญั
2.6 เปน็ หลักสูตรการศึกษาสำหรบั การศกึ ษาในระบบ นอกระบบ และตามอธั ยาศยั
ครอบคลมุ ทกุ กลุ่มเป้าหมาย สามารถเทยี บโอนผลการเรยี นรู้ และประสบการณ์
3. จุดหมาย
หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน มุ่งพัฒนาผ้เู รียนให้เป็นคนดมี ปี ัญญามีความสขุ มี
ศกั ยภาพในการศกึ ษาตอ่ และประกอบอาชีพ จงึ กำหนดเปน็ จุดหมายเพอ่ื ให้เกดิ กับผูเ้ รียนเมอ่ื จบ
การศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน ดังนี้
5
3.1 มคี ณุ ธรรม จริยธรรม และค่านิยมทพี่ งึ ประสงค์ เห็นคุณคา่ ของตนเองมีวินัยและ
ปฏบิ ตั ติ นตามหลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนบั ถือยดึ หลักปรชั ญาของเศรษฐกิจ
พอเพียง
3.2. มคี วามรู้ ความสามารถในการส่ือสาร การคิด การแกป้ ญั หา การใชเ้ ทคโนโลยี และมี
ทกั ษะชีวิต
3.3. มสี ขุ ภาพกายและสุขภาพจิตท่ดี ี มีสุขนสิ ัยและรกั การออกกำลังกาย
3.4. มีความรักชาติ มีจติ สำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก
อดึ มั่นในวถิ ีชีวิตและการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษตั ริย์ทรงเปน็ ประมขุ
3.5. มจี ิตสำนกึ ในการอนรุ กั ษ์วฒั นธรรมและภมู ปิ ญั ญาไทย การอนุรกั ษ์
และพัฒนาส่ิงแวดล้อม มจี ิตสาธารณะท่ีมุ่งทำประโยชน์และสรา้ งสงิ่ ทด่ี ีงามในสังคม และอยรู่ ว่ มกนั
ในสงั คมอยา่ งมคี วามสขุ
4. สมรรถนะสำคัญของผ้เู รียน
ในการพฒั นาผู้เรยี นตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน ม่งุ เนน้ พฒั นาผูเ้ รยี นให้มี
คณุ ภาพตามมาตรฐานท่กี ำหนด ซ่งึ จะช่วยให้ผูเ้ รียนเกิดสมรรถนะสำคัญ5 ประการ ดังนี้
1. ความสามารถในการส่อื สาร เปน็ ความสามารถในการรบั และสง่ สารมี
วัฒนธรรมในการใชภ้ าษาถา่ ยทอดความคดิ ความรคู้ วามเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของ
ตนเองเพื่อแลกเปล่ียนขอ้ มลู ขา่ วสารและประสบการณ์อันจะเปน็ ประโยชน์ต่อการพฒั นา
ตนเองและสงั คมรวมท้ังการเจรจาตอ่ รองเพอ่ื ขจดั และลดปัญหาความขัดแยง้ ตา่ ง ๆ การ
เลือกรบั หรอื ไมร่ บั ข้อมลู ขา่ วสารด้วยหลักเหตผุ ลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้
วธิ กี ารส่อื สารท่ีมีประสิทธิภาพโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบท่ีมตี ่อตนเองและสังคม
2. ความสามารถในการคดิ เป็นความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ การ
คดิ สงั เคราะห์ การคดิ อย่างสรา้ งสรรค์ กรคดิ อย่างมีวิจารณญาณ และการคดิ เปน็ ระบบคณุ ส่ง
เพื่อนำไปสกู่ ารสร้างองค์ความรู้หรอื สารสนเทศเพอื่ การตดั สินใจเกีย่ วกบั ตนเองและสงั คม
ได้อย่างเหมาะสม
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา เป็นความสามารถในการแกป้ ัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ
ท่เี ผชิญไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสมบนพ้ืนฐานของหลกั เหตผุ ล คณุ ธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เขา้ ใจ
ความสัมพนั ธ์และการเปล่ยี นแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ประยกุ ต์ความรู้
มาใชใ้ นการป้องกันและแก้ไขปญั หา และมีการตดั สินใจที่มปี ระสทิ ธภิ าพโดยคำนึงถงึ ผลกระทบท่ี
เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิง่ แวดล้อม
6
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ เป็นความสามารถในการนำกระบวนการตา่ ง ๆ ไป
ใช้ในการดำเนินชวี ิตประจำวนั การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การเรียนรู้อยา่ งต่อเน่อื ง การทำงานและการ
อยู่ร่วมกนั ในสังคมดว้ ยการสรา้ งเสรมิ ความสมั พนั ธอ์ ันดรี ะหว่างบุคคล จัดการปัญหาและความ
ขัดแยง้ ตา่ ง ๆ อยา่ งเหมาะสม การปรับตัวให้ทนั กบั การเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม
และการรูจ้ กั หลกี เลยี่ งพฤตกิ รรมไมพ่ งึ ประสงค์ท่ีสง่ ผลกระทบตอ่ ตนเองและผอู้ ่ืน
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลอื กและใช้เทคโนโลยดี ้าน
ต่างๆ และมที ักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพ่ือการพฒั นาตนเองและสงั คมในด้านการเรยี นรู้
การสอื่ สารการทำงาน การแกป้ ญั หาอยา่ งสร้างสรรค์ ถกู ตอ้ งเหมาะสม และมีคุณธรรม
5. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน ม่งุ พฒั นาผู้เรยี นใหม้ คี ณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
เพื่อให้สามารถอย่รู ่วมกับผอู้ ื่นในสงั คมได้อยา่ งมคี วามสขุ ในฐานะเป็นพลเมอื งไทยและพลโลก ดงั นี้
1. รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์
2. ซื่อสัตย์สุจรติ
3. มีวนิ ยั
4. ใฝเ่ รยี นรู้
5. อยู่อย่างพอเพยี ง
6. มงุ่ มั่นในการทำงาน
7. รักความเป็นไทย
8. มจี ิตสาธารณะ
6. สาระและมาตรฐานการเรียนร้กู ารงานอาชพี
หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐานกำหนดมาตรฐานการเรยี นรกู้ ลุม่ สาระการเรียนรู้
การงานอาชพี ไว้ 2 สาระ 2 มาตรฐาน ดงั นี้
สาระที่ 1 การดำรงชีวิตและครอบครัว
มาตรฐาน ง 1.1 เขา้ ใจการทำงาน มีความคดิ สร้างสรรค์ มีทกั ษะกระบวนการ
ทำงาน ทักษะการจดั การทกั ษะกระบวนการแกป้ ญั หา ทักษะการทำงานร่วมกัน และทักษะการ
แสวงหาความรมู้ ีคณุ ธรรม และลกั ษณะนสิ ยั ในการทำงาน มีจติ สำนึกในการใช้พลังงาน ทรพั ยากร
และสง่ิ แวดล้อม เพ่อื การดำรงชวี ิตและครอบครัว
สาระที่ 2 การอาชพี
มาตรฐาน ง 2.1 เข้าใจ มที กั ษะท่จี ำเป็น มปี ระสบการณ์ เห็นแนวทางในงาน
อาชีพ ใช้เทคโนโลยี เพ่อื พัฒนาอาชพี มีคณุ ธรรม และมีเจตคตทิ ด่ี ตี ่ออาชพี ฃ
7
2. การวิจยั ในชน้ั เรยี น
2.1 ความหมายของการวจิ ัยในช้ันเรยี น
การวิจยั ในช้ันเรียนเปน็ รูปแบบของการวิจัยทางการศึกษาอกี รปู แบบหน่ึงซึง่ เป็นการวจิ ัยท่ี
ดําเนินการควบคู่ไปกบั การปฏิบตั ิงานของครูโดยมคี รูเปน็ นกั วิจัย ทง้ั ผลติ งานวิจยั และบรโิ ภค
งานวจิ ัย หรอื กล่าวอีกนัยหน่ึง คอื ครูเปน็ ผูท้ าํ การวจิ ัยและนําผลการวจิ ยั ไปใชด้ ้วยลกั ษณะของการ
วจิ ยั ในชน้ั เรียนจงึ มนี กั ศึกษาและนักวิจยั หลายท่านไดใ้ หค้ วามหมายของการวิจัยในชนั้ เรยี นไว้
หลากหลายโดยเน้นการวิจัยทางการศกึ ษาและปฏิบัตกิ ารในห้องเรียนดงั นี้
สวุ ิมล ว่องวานิช (2543 ) ไดส้ รุปความหมายของการวจิ ัยในช้ันเรียนได้ชดั เจนและจําแนก
ให้เห็นองคป์ ระกอบต่าง ๆ ว่าการวจิ ยั ในชัน้ เรยี น คอื การวจิ ัยท่ีทําใหค้ รผู ้สู อนในหอ้ งเรยี นเพื่อ
แกป้ ัญหาท่เี กดิ ขน้ึ ในหอ้ งเรยี น และนาํ ผลมาใชป้ รับปรุงการเรยี นการสอน เพอื่ ใหเ้ กิดประโยชน์
สูงสุดกบั ผ้เู รยี น เป็นการวิจยั ท่ีต้องทาํ อยา่ งรวดเร็ว นําผลไปใช้ทันทแี ละสะท้อนขอ้ มลู เก่ยี วกบั การ
ปฏบิ ัติงานตา่ ง ๆ ของตนเอง ใหท้ ั้งตนเองและกลมุ่ เพ่อื นร่วมงานในสถานศกึ ษาได้มโี อกาส
อภิปรายแลกเปลี่ยนความคดิ เห็นในแนวทางท่ไี ดป้ ฏบิ ัตแิ ละผลท่ีเกดิ ข้นึ เพอ่ื พฒั นาการเรยี นการ
สอนต่อไป
ผอ่ งพรรณ ตรัยมงคลกลุ ( 2543 ) ให้ความหมายของการวจิ ัยในชั้นเรยี นวา่ การวิจยั ใน
ช้ันเรยี น หมายถึงการวิจยั ทีม่ ีจดุ กําเนิดจากสภาพปญั หาหรอื ขอ้ ข้องใจในการจัดการเรยี นการสอน
ทีค่ รพู บเรอ่ื งท่วี จิ ยั มคี วามเฉพาะเจาะจง เปน็ ประเด็นท่มี งุ่ เน้นศกึ ษาเกย่ี วกับผู้เรยี น ผ้สู อน
กระบวนการสอน ตลอดจนสภาพแวดล้อมภายในสถานศึกษาหรือสภาวะการเรียนหนง่ึ ๆ การวจิ ยั
มุ่งผลทพ่ี ัฒนาการเรียนการสอนของครใู นสภาพแวดล้อมท่ีทําการวจิ ยั นน้ั ๆ โดยตรง
ทศั นา แสวงศักด์(ิ 2543) สรปุ ความหมายของการวจิ ยั ในช้นั เรยี นว่า การวิจัยในช้นั เรยี น
คอื การศึกษาคน้ คว้าหาความรใู้ หมๆ่ เพอ่ื นํามาใช้ในการแกป้ ญั หาการเรยี นการสอนในช้นั เรียน
หรือเปน็ ความต้องการทจ่ี ะเปล่ยี นแปลงพัฒนากิจกรรมการเรยี นการสอนใหด้ ีย่ิงขึน้
ชาตรสี ําราญ (2544) ให้ความเหน็ ว่า การวจิ ัยในชน้ั เรียน คือ การทดลองวธิ ีใหมๆ่ ในการ
แกป้ ญั หาของครซู ่งึ คดิ คน้ มาเพือ่ พัฒนากจิ กรรมการเรยี นการสอนตามปกติแตห่ วังใหเ้ กิผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรยี นรทู้ ้ังครูและนกั เรียนมากท่ีสุด เพราะฉะนั้นงานวจิ ยั ในชน้ั เรียนจะไมเ่ ปน็ เรอื่ งราว
ใหญโ่ ต ท่ีต้องใชเ้ วลาเกบ็ ขอ้ มูลและวิเคราะห์ผลนาน นบั เดอื น นบั ปจี นเป็นผลงานเลม่ ใหญ่
8
นภดล เจนอกั ษร (2544) ไดใ้ หค้ วามหมายของการวิจยั ในชนั้ เรยี นวา่ การวิจัยในชัน้ เรยี น
หมายถึง การวจิ ยั ประเภทหน่ึงทคี่ รูผู้สอนเปน็ ผดู้ าํ เนินการควบคไู่ ปกบั การเรียนการสอนปกตใิ นชน้ั
เรียน ทง้ั นีเ้ พอ่ื ศึกษาสภาพปญั หาที่เกิดข้นึ แล้วนาํ ผลทไ่ี ดไ้ ปพฒั นาการเรยี นการสอน หรอื ใชใ้ นการ
แกป้ ญั หาการเรียนการสอนของตน รวมท้งั เผยแพร่ใหเ้ กิดประโยชน์แกผ่ ู้อ่นื ต่อไป
วาโร เพ็งสวสั ด์(ิ 2544) กล่าววา่ การวิจัยในชน้ั เรียน หมายถึง วธิ กี ารหรือกระบวนการท่ีให้
ไดม้ าซึง่ ความรูห้ รือคาํ ตอบซ่งึ ครูเปน็ ผจู้ ัดทําขึ้นเอง โดยมจี ุดมงุ่ หมายท่ีจะนาํ ผลการวจิ ัยไปใช้ใน
การแกป้ ญั หาการเรยี นการสอนในช้นั เรียนของตน
ประวัติ เอราวรรณ์(2545) ไดก้ ลา่ วถึงการวิจัยในชัน้ เรียนว่า การวิจยั ในช้นั เรียนเปน็ การ
วิจยั ประยกุ ต์ท่ีดาํ เนนิ การวจิ ยั ควบคไู่ ปกบั การปฏิบตั งิ านของครูซงึ่ ตอ้ งใชก้ ระบวนการทีน่ า่ เชอ่ื ถือ
และเป็นระบบในการแสวงหาคําตอบในสภาพการณ์หรือบริบทของนักเรยี นโดยมคี รูเป็น
ผ้ทู ําการวจิ ัยและนําผลการวิจัยไปใช้
รัตนา ศรีเหรัญ (2547) กล่าวว่า การวจิ ัยในชน้ั เรยี น เปน็ รปู แบบหน่ึงของการวจิ ยั เชิง
ปฏบิ ตั ิการ (Action Research) ซ่ึงเป็นการวจิ ยั ที่มุง่ แกป้ ัญหาท่เี กิดขน้ึ เฉพาะหน้าเปน็ ครัง้ ๆ ไป
หรอื เปน็ เรื่องใด เรอ่ื งหนึ่งในชว่ งระยะเวลาหนึง่ ผลการวจิ ยั ที่ค้นพบนไ้ี ม่สามารถนาํ ไปใชอ้ ้างอิงกบั
กลุ่มอ่ืน ๆ ไดเ้ พราะเปน็ ปญั หาท่ีเกดิ ขนึ้ ในวงจาํ กดั หรอื เปน็ ปัญหาเฉพาะที่
ชยั พจน์รักงาม (2544) กลา่ วว่า การวิจัยในชนั้ เรียนเป็นการศึกษาคน้ ควา้ ทเี่ กี่ยวขอ้ งกับ
การเรียนการสอนในหอ้ งเรยี น เพอ่ื การพฒั นาปรับปรงุ คุณภาพการเรยี นการสอนท้ังในสว่ น
หลกั สูตร วธิ ีสอน การจัดกจิ กรรม สอ่ื แบบฝึก รวมทงั้ การวดั ผลและประเมนิ ผล เพอื่ ประโยชน์ตอ่
การพฒั นา ประสิทธิภาพการสอนและคุณภาพการเรียน
บัญชา อ๋ึงสกลุ (2544) ให้ความหมายไว้วา่ การทําวจิ ยั ในช้นั เรียน หมายถึง การวจิ ยั
ปฏบิ ัติการทม่ี งุ่ แกป้ ัญหาที่เปน็ ปญั หาท่ีเกดิ จากการจดั กจิ กรรมการเรียนรใู้ นช้ันเรียนเป็นครง้ั ๆไป
เพอ่ื พัฒนางานและพฒั นาคนรวมถงึ พัฒนานวตั กรรม เทคโนโลยที างการศึกษา
พมิ พพ์ ันธ์เดชะคุปต์; และคณะ (2544) ได้ให้ความหมายของการทาํ วิจยั ในชน้ั เรียนว่าเป็น
วจิ ัยประเภทปฏบิ ตั ิการ ใช้วิธีทางวิทยาศาสตรค์ ้นคว้าเพอ่ื สรา้ งความรูใ้ หม่ทางการศึกษาและ
สิ่งประดษิ ฐใ์ หม่ทางการศกึ ษาความรใู้ หมท่ างการศกึ ษา เช่น วิธสี อน เทคนคิ การสอน รูปแบบการ
สอนใหม่ หลักการสอนใหม่ ทฤษฎีการสอนใหม่ ทั้งน้เี พือ่ พัฒนานกั เรียนให้เกิดความร้ตู าม
เป้าหมายอกี ท้ังเปน็ การพัฒนาตนเองเปน็ ผสู้ ร้างความรูเ้ ปน็
9
ประนอม เจรญิ ชนม(์ 2545) ได้ให้ความหมายของการวจิ ัยในชั้นเรียนหรอื วิจัยปฏบิ ัติการ
หมายถงึ การหาความรู้หรอื วิธกี ารใหม่เพอ่ื นํามาประยุกตใ์ ช้ให้เหมาะสมกบั สภาพการเรยี นการ
สอนในชน้ั เรียน ซึ่งจะช่วยพฒั นาคุณภาพการเรียนการสอน หรือเพอื่ แก้ปญั หาทีเ่ ป็นอุปสรรคตอ่
การเรียนการสอน โดยอาศัยวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ซงึ่ ครูเปน็ ผู้วิจยั และเปน็ ผู้ใช้ผลงานวิจัย
ไพจิตร สะดวกการ (2545) ได้ให้ความหมายของการวิจยั ในชั้นเรยี นวิจัยในชัน้ เรยี นวา่
การวิจยั ในชั้นเรยี นเปน็ กระบวนการจดั การเรียนรใู้ นชัน้ เรียนทค่ี รรู ับผดิ ชอบอย่างเป็นระบบ เพือ่
สบื ค้นใหไ้ ด้สาเหตขุ องปัญหา แล้วหาวธิ ีแก้ไขหรือพัฒนาท่ีเชอ่ื ถือไดเ้ ช่น การสงั เกต จดบนั ทึก และ
วิเคราะหห์ รือสงั เคราะห์เพือ่ นาํ ไปส่กู ารแกป้ ญั หาหรอื พัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอนของ
ครูและพัฒนาการเรยี นรขู้ องผ้เู รยี นใหม้ คี ุณภาพตามเปา้ หมายท่กี าํ หนดไวเ้ พ่ือสง่ เสริมผู้เรียนให้
ไดร้ ับการพัฒนาตามธรรมชาติและเตม็ ตามศกั ยภาพ
วนดิ า แก้วกุลบตุ ร(2547) กลา่ ววา่ การวิจยั ในชั้นเรียนหมายถึง การวิจัยเชิงปฏบิ ตั ิการที่
ครไู ดแ้ สวงหาความรูว้ ิธีการใหม่ๆ หรือนวัตกรรม ในการแกไ้ ขปัญหาหรอื พฒั นาการเรยี นรู้ของ
ผู้เรียนเพื่อใหเ้ กิดประโยชน์สงู สดุ ตอ่ ผู้เรียน โดยอาศัยวธิ ีการทางวิทยาศาสตรซ์ งึ่ ครเู ปน็ ผวู้ จิ ยั และ
เปน็ ผู้ใช้ผลงานวิจยั
สรุป การวิจัยในชัน้ เรยี น คอื วิธีการแกป้ ญั หาการเรยี นการสอนของครผู ู้สอนดว้ ยการหา
ความรวู้ ิธกี ารใหม่ๆ และกระบวนการศกึ ษาเพื่อแสวงหาความรู้อันเป็นความจรงิ ท่ีเชือ่ ถือได้ใน
บรบิ ทของการเรยี นการสอนท่เี กดิ ขนึ้ ในช้ันเรียนซง่ึ เกยี่ วกับพฤติกรรมการสอนของครูลกั ษณะและ
พฤติกรรมของนักเรียน ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของนักเรยี น การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
กระบวนการเรยี นรู้การสร้างนวตั กรรมทางการศึกษา หรอื สร้างหลกั สตู รสถานศึกษา เพือ่ ความ
เขา้ ใจในบริบทของงานตลอดจนหาแนวทางแกไ้ ขปญั หาท่ีเกดิ ขึ้นในหอ้ งเรยี นหรือปรบั ปรุงและ
พัฒนางานการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนของครอู ยา่ งเปน็ ระบบ อันจะนาํ ไปสู่เป้าหมายทส่ี ําคัญ
คอื การพัฒนาการเรียนรขู้ องนกั เรยี นใหเ้ ต็มศกั ยภาพ
10
2.2 ความสำคญั ของการวจิ ยั ในชน้ั เรียน
ไดม้ นี ักการศกึ ษาและหน่วยงาน กลา่ วถึงความสาํ คัญของการวิจัยในชนั้ เรียนไว้ ดงั น้ี
ประกอบ มณโี รจน์(2544) ไดก้ ล่าวถงึ ความสําคัญของการวจิ ัยในช้ันเรียนไวด้ ังนี้คือ
1. ช่วยให้ครไู ดพ้ ฒั นาวธิ กี ารจดั การเรียนการสอนให้มปี ระสทิ ธิภาพ
2. ช่วยใหน้ ักเรยี นได้เรยี นรอู้ ยา่ งมคี ุณภาพ
3. ชว่ ยให้วงการวชิ าการของการเรยี นการสอนกา้ วหน้ามีนวตั กรรมในการจัดการ
เรียนการสอน เพิ่มขึ้นสง่ ผลตอ่ เน่อื งตอ่ การจัดการเรยี นการสอนของครู
4. ชว่ ยให้วงการวชิ าชีพครเู ปน็ วิชาชพี ชน้ั สูงมากขึ้น เปน็ ท่ยี อมรับของสังคมทว่ั ไป
5. ช่วยพัฒนาตัวครูและวิชาชีพครไู ปพร้อม ๆ กนั
ครุรกั ษ์ภริ มยร์ ักษ(์ 2544) ไดก้ ลา่ วถงึ ความสาํ คัญของการวิจัยในช้ันเรียนไวด้ ังนี้
1. เป็นเครื่องมอื สาํ คัญของครูในการพฒั นาวิถีชีวิตความเป็นครูไปสู่ความเป็นครู
มืออาชีพเพราะการวจิ ัยในช้นั เรยี นจะชว่ ยให้ครเู ป็นนักแสวงหาความรแู้ ละวธิ กี ารใหม่ๆ อยเู่ สมอซึง่
จะชว่ ยให้ครมู คี วามร้อู ย่างกว้างขวางและลุ่มลกึ ทํางานอย่างมเี หตุผลสร้างสรรค์และเปน็ ระบบ
2. เปน็ เครือ่ งมือสําคัญในการพฒั นาหลักสูตร และการจัดกิจกรรมการเรยี นการ
สอนทาํ ให้งานของครมู ีลักษณะเปน็ พลวัต มีการเปลี่ยนแปลงเคลอ่ื นไหวไปขา้ งหน้าไมห่ ยดุ นิ่งอยู่
กบั ที่และเกดิ นวัตกรรมท่ีทนั สมัย นําไปใช้ในการแก้ปัญหาการเรยี นการสอนไดท้ นั ท่วงที
3. เป็นเครื่องมอื สาํ คัญท่ีจรรโลงวชิ าชพี ครูใหม้ ีความเข้มแขง็ เพราะผลจากการ
วิจยั ในช้นั เรยี นจะเปน็ ตวั บง่ ช้ถี ึงความสําเรจ็ ในการทาํ งานของครไู ดอ้ ยา่ งเปน็ รปู ธรรม นัน่ คือการ
เปลี่ยนแปลงไปในทางท่พี งึ ประสงค์ของผู้เรียนตามทค่ี รตู อ้ งการ และเป็นไปตามความคาดหวังของ
สังคมท้งั ตัวครแู ละผู้เรียน
สวุ มิ ล ว่องวานิช (2546) ไดก้ ล่าวถึงความสําคญั ของการวจิ ยั ในชั้นเรียนไว้ดังน้ี
1. ให้โอกาสครูในการสรา้ งองค์ความรู้ทกั ษะการทําวจิ ยั การประยกุ ต์ใช้ตระหนัก
ถึงทางเลือกท่เี ปน็ ไปไดท้ จ่ี ะเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษาให้ดขี ้นึ
2. เปน็ การสรา้ งชมุ ชนแห่งการเรียนรนู้ อกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงหรือสะทอ้ น
ผลการทาํ งาน
11
3. เป็นประโยชนต์ ่อผ้ปู ฏิบัติโดยตรง เนื่องจากชว่ ยตนเองดา้ นวิชาชีพ
4. ช่วยทําใหเ้ กิดการพฒั นาทีต่ อ่ เนอ่ื งและเกิดการเปลี่ยนแปลงผ่าน
กระบวนการวิจยั ในที่ทาํ งาน ซ่งึ เปน็ ประโยชน์ต่อองคก์ ร เนื่องจากนาํ ไปสู่การปรบั ปรงุ การ
เปลยี่ นแปลงการปฏบิ ัติการและการแก้ปญั หา
5. เป็นการวิจัยทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั การมสี ว่ นร่วมของผปู้ ฏิบตั ิในการทาํ วจิ ยั ให้
กระบวนการวิจยั มคี วามเป็นประชาธิปไตย ทําใหเ้ กิดการยอมรบั ในความรู้ของผ้ปู ฏิบตั ิ
6. ชว่ ยตรวจสอบวิธกี ารทํางานของครทู ่มี ปี ระสทิ ธผิ ล
7. ทําให้ครเู ปน็ ผนู้ าํ แห่งการเปลีย่ นแปลง
พมิ พพ์ นั ธ์เตชะคปุ ต(์ 2544) ไดใ้ ห้ความสําคัญของการทาํ วิจยั ในชนั้ เรยี นไว้ว่าการทําวิจัยใน
ชั้นเรียนเกิดจากการพฒั นาองค์ความรทู้ ่เี กิดจากการบูรณาการวธิ กี ารปฏบิ ัติโดยมีความสําคัญใน 4
ลกั ษณะ คือ
1. เปน็ การพัฒนาหลักสตู รและการปรบั ปรุงวิธกี ารปฏิบตั งิ านเพอื่ พฒั นาคณุ ภาพ
การเรยี นการสอนด้วยการวจิ ยั
2. เป็นการพัฒนาวชิ าชพี ครู
3. เปน็ การแสวงหาความก้าวหน้าทางวชิ าชพี ครูดว้ ยการเผยแพร่ความรทู้ ไี่ ด้จาก
การปฏบิ ัติ
4.เปน็ การส่งเสรมิ สนับสนุนความกา้ วหนา้ ของการวจิ ยั ทางการศึกษา
กองวิจัยทางการศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธิการ (2545) ได้กล่าวถงึ ความสําคญั ของการวจิ ัย
เพอื่ พฒั นาการเรยี นรไู้ ว้วา่ เปน็ การพฒั นาหลกั สูตร ปรบั ปรุงการปฏิบตั งิ าน ปรับปรุงคุณภาพการ
เรียนการสอน พฒั นาวิชาชพี ครูและแสดงความกา้ วหน้าจากรายงานผลการปฏบิ ัติ
ไพจติ ร สดวกการ (2545) ได้กลา่ วถึงความสาํ คัญของการวจิ ัยชัน้ เรียนไวว้ า่ เปน็
การแก้ปัญหาหรือการพัฒนาผเู้ รยี นในชนั้ เรยี นด้วยกระบวนการวิจัยทีค่ รผู ูส้ อนเปน็ ผู้ปฏิบตั ิเป็นสง่ิ
ทจ่ี ะให้ผลดีแกผ่ ้เู รียนมากกวา่ การท่ีครูแก้ปญั หาในช้นั เรียนของตนตามผลการวจิ ยั ของผูอ้ ่ืน
เน่ืองจากครผุ ูส้ อนเปน็ ครูทใ่ี กล้ชิดกบั ผเู้ รยี นมากทส่ี ดุ ครูจึงยอ่ มรูธ้ รรมชาตภิ มู ิหลงั และ
สภาพแวดลอ้ มของนักเรียนของตนเองดีกวา่ ผู้อื่น แตค่ รูกต็ อ้ งพยายามศกึ ษาค้นคว้าหาแนวทาง
แก้ปญั หาการเรยี นการสอนท่ผี ู้อื่นทําวจิ ัยไว้เพอ่ื นํามาเปน็ ฐานความคดิ ในการปรับนําไปใช้ให้
12
เหมาะสมกับผ้เู รียนของตนและจะได้รู้ถึงข้อควรระวงั ท่ีผวู้ ิจยั คนกอ่ นได้นําเสนอไวเ้ พอื่ ปอ้ งกนั ความ
ผดิ พลาดซํ้ารอยเดมิ รวมทง้ั ควรปรกึ ษาแลกเปลีย่ นเรยี นรูก้ ับผู้รูผ้ ู้มีประสบการณภ์ ายในโรงเรยี น
หรือบคุ คลภายนอก
ศิริพร สลวี งศ์(2548) กล่าววา่ การวิจัยมีความสาํ คัญและจําเป็นในการพฒั นาการ
เรียนรู้เพราะการวิจัยเป็นบทบาทเสรมิ ของครูในฐานะนกั วิจยั เชิงปฏิบตั ิการในระดับชนั้ เรยี น ใน
กรณที ่ีผู้สอนพบวา่ กระบวนการพัฒนาการเรียนการสอนทกี่ ําลงั ดําเนินการอยู่มปี ัญหามาก หรือมี
ความจาํ เปน็ ต้องพฒั นาอย่างเร่งด่วนผลการวิจยั เป็นคําตอบหรือแนวทางในการแก้ปญั หาหรือ
ปรบั ปรุงและพฒั นาการเรยี นการสอน และดา้ นผลผลิตคือผเู้ รียน ใหไ้ ดร้ ับการพัฒนาเตม็ ตาม
ศักยภาพของแต่ละบุคคล
ทฤษฎีสขุ ยอด (2549) กล่าวว่า การทาํ วิจัยในชั้นเรียนมีความสําคัญต่อการ
จัดการเรียนรู้เพราะทําให้ครูสามารถแกป้ ัญหาหรือพัฒนาผเู้ รียนในชนั้ เรยี นดว้ ยกระบวนการวิจยั
ของครผู ู้สอน ทงั้ ด้านผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นและด้านพฤตกิ รรมของผู้เรียน เน่อื งจากครผู ูส้ อนเปน็
ครทู ใี่ กลช้ ดิ กบั ผูเ้ รยี นมากที่สุด ครจู ึงย่อมรธู้ รรมชาตภิ มู หิ ลัง และสภาพแวดลอ้ มของนักเรยี นของ
ตนดกี วา่ ผอู้ ่ืน และทราบว่าปัญหาใดควรแกไ้ ขอย่างเรง่ ดว่ น โดยครูสามารถศกึ ษาคน้ คว้าหาแนว
ทางการแก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนการสอนท่ผี ู้อื่นทาํ วิจัยไวเ้ พือ่ นํามาเป็นฐานความคิดในการ
ปรบั นาํ ไปใช้ให้เหมาะสมกบั ผู้เรียนของตนและจะไดร้ ู้ถงึ ข้อควรระวังทผ่ี ู้วจิ ัยคนอ่ืนไดน้ ําเสนอไว้
เพ่อื ปอ้ งกันความผดิ พลาดซาํ้ รอยเดิม รวมท้ังควรปรกึ ษาแลกเปล่ยี นเรยี นรกู้ บั ผู้รผู้ ู้มีประสบการณ์
ภายในโรงเรยี น หรอื บุคคลภายนอก เพือ่ ปรบั แนวคิดและประสบการณ์เหลา่ น้นั มาใชเ้ ปน็ แนวทาง
ท่ีนํามาใชแ้ ก้ปญั หาและพัฒนาคุณภาพการจดั การเรียนรูใ้ นชน้ั เรียนของตน เพอื่ ให้เกดิ ผลดีต่อ
ผู้เรียนอย่างสูงสุด
จากความสําคญั ของงานวิจัยในชัน้ เรยี นทีก่ ลา่ วมาสรปุ ได้วา่ การวจิ ัยในชั้นเรียนมี
ความสาํ คัญต่อวิชาชีพครคู รผู สู้ อนตอ้ งทาํ การวจิ ยั กันทกุ ระดบั อยา่ งแพรห่ ลาย โดยเฉพาะอย่างย่งิ
ในเรอ่ื งของการวิจยั ในช้นั เรยี น การพฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอน การพฒั นากระบวนการ
เรียนรูข้ องผู้เรยี น การพฒั นาประสิทธิภาพการสอน และการพฒั นาการเรียนรทู้ เี่ หมาะสมกบั
ผเู้ รยี นในทกุ ระดบั ทุกเพศทุกวัย ดงั นน้ั บทบาทของครูยคุ ใหมจ่ งึ จําเปน็ อยา่ งย่ิงท่จี ะตอ้ งเรียนรทู้ ํา
ความเขา้ ใจ และตระหนกั ในความสําคญั ของการวจิ ยั ในช้ันเรียนใหม้ ากยง่ิ ขึน้ รวมท้ังจะต้อง
ปฏบิ ตั ิการวิจยั ในช้นั เรียนของตนเองไดผ้ ลการวิจยั ในชนั้ เรยี นจะเป็นแนวทางในการพฒั นาครูไปสู่
ความเป็นครมู ืออาชพี
13
2.3 ประโยชน์ของการวจิ ยั ในชน้ั เรยี น
จากบทความทางวิชาการเร่ือง การวิจยั ในช้ันเรียน : ทางเลือกใหม่ทน่ี า่ สนใจ ใน
วารสารวชิ าการปีที่ 3 ฉบับที่ 11 พฤศจิกายน 2543 ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธกิ ารได้
กล่าวถงึ คุณคา่ และประโยชน์ของการวจิ ยั ในชั้นเรยี นไวด้ ังน้ี
1. ประโยชนต์ ่อนักเรยี นเอง การวจิ ัยในช้นั เรียนมีประโยชน์แกน่ ักเรยี นเพราะนกั เรียน
ความรู้พน้ื ฐานในดา้ นการเรยี นหลากหลายและแตกต่างกัน ครูผ้สู อนจะต้องจดั การเรยี นการสอน
ใหห้ ลากหลายและเหมาะสมกบั นกั เรียน การวจิ ัยในช้นั เรยี นจะทําใหค้ รรู ู้ว่าจะใช้การเรยี นการสอน
เป็นกลุ่ม (Group) หรอื เป็นรายบุคคลจะทําใหค้ รูค้นพบนวัตกรรม (Innovation) เพื่อใชส้ อน
นกั เรยี นจะส่งผลใหน้ ักเรยี นมีศกั ยภาพในด้านการเรียนอย่างสงู สุด นอกจากนี้จะชว่ ยให้ครผู ้สู อน
แกป้ ญั หาในด้านการเรยี นการสอนแกน่ กั เรียนอยา่ งเปน็ ระบบมีหลกั เกณฑ์ส่งผลให้นักเรยี นเป็นคน
ดี คนเก่ง และมีความสุข
2. ประโยชนต์ อ่ ครูผสู้ อน การวิจัยในชัน้ เรียนมปี ระโยชน์ตอ่ ครผู ู้สอน จะทาํ ใหค้ รมู ีการวาง
แผนการทํางานที่จะชว่ ยแกป้ ัญหานักเรยี นอย่างเปน็ ระบบมหี ลักเกณฑค์ รผู สู้ อนจะจดั ทําแผนการ
สอนเพ่ือเตรียมการสอนเป็นอยา่ งดีมีการสังเกตเพื่อบนั ทึกผลหลงั การสอนสาํ หรบั แก้ไขปญั หา
นักเรยี นในชน้ั เรยี นเปน็ รายบคุ คลหรือรายกลุ่ม การจดั ทําแผนการสอนและทําวิจัยในชั้นเรียนจะ
ช่วยให้ครปู รับแผนการสอนให้ดยี ิ่งขึ้น การวิจัยในชนั้ เรยี นทาํ ให้ครูมคี วามคิดสรา้ งสรรคเ์ ตรยี มการ
สอนและพฒั นาการสอนของตนเองตลอดเวลา ครผู สู้ อนสามารถใชก้ ารวิจยั ในชน้ั เรียนเปน็ ผลงาน
ทางวิชาการ ครผู ู้สอนจะเปน็ นักวิจัยรุน่ ใหม่ เมื่อผลติ ผลงานวิจัยในชนั้ เรียนออกมาในคร้ังแรกอาจ
มี ข้อบกพรอ่ งอย่บู ้าง ครงั้ ต่อไปก็สามารถปรบั ปรุงแกไ้ ขใหด้ กี ว่าเดิมและเผยแพร่ผลงานของตนเอง
ได้
3. ประโยชนต์ อ่ วงการศึกษา โรงเรียนหรือสถานศกึ ษาท่มี ีครทู าํ การวจิ ัยในชนั้ เรียนมากจะ
สง่ ผลให้โรงเรยี นหรอื สถานศึกษามมี าตรฐานทางวชิ าการสงู เพราะการวิจยั ในชน้ั เรยี นจะทําให้
ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรียนสงู ขนึ้ การทาํ วจิ ัยในชั้นเรียนจะส่งผลใหค้ รูมปี ฏสิ ัมพันธก์ นั
มกี ารปรึกษาหารือทางการเรยี นการสอนมากขนึ้ โรงเรียนและสถานศกึ ษาจะมคี รรู ว่ มกนั แกไ้ ข
ปัญหานักเรยี นโดยการระดมความคิด (Brain Strom) แก้ไขปญั หานักเรียนอย่างหลากหลายและมี
ประสิทธภิ าพสูงสดุ ครูผู้สอนในวชิ าตา่ ง ๆ จะช่วยเหลอื การทํางาน เช่น ครูภาษาไทย
ชว่ ยตรวจตัวสะกดความถกู ต้องของภาษา ครูคณิตศาสตร์จะช่วยเหลอื ในด้านการคํานวณคา่ สถิติ
ในดา้ นการวิจยั ครทู ่ีสอนภาษาองั กฤษอาจ ช่วยเหลือในด้านการแปลบทความและอา่ นงานวจิ ัยที่
14
เกย่ี วข้องกับการวิจยั ในชั้นเรียนที่เปน็ ภาษาองั กฤษเปน็ ตน้ การทค่ี รูผูส้ อนทาํ การวิจยั ในช้นั เรยี นจะ
สง่ ผลใหค้ รขู วนขวายหาความรอู้ ยเู่ สมอ สนใจในดา้ นการวิจัยต่าง ๆ เพือ่ นํามาปรับปรุงการเรยี น
การสอนของช้นั เรยี นตน สง่ ผลให้โรงเรียนหรือสถานศกึ ษามชี ่อื เสยี งมากยิ่งข้นึ โรงเรียนหรือ
สถานศึกษาที่มีผลงานวิจยั ทีด่ เี ผยแพร่ออกไปในโรงเรยี นต่าง ๆ สามารถศกึ ษางานวจิ ัยในชน้ั เรยี นท่ี
ดีนั้นมาประยุกต์ (Apply) ใชใ้ นช้นั เรยี นของตนไดท้ ําใหก้ ารจดั การศึกษาของชาตมิ ีประสทิ ธภิ าพ
การทาํ วิจยั ในชน้ั เรียนจะ
กระตุ้นใหม้ ีการพัฒนางานวชิ าการทางด้านการศึกษาอยู่เสมอส่งผลใหว้ ิชาชพี ครูมี
มาตรฐานและเป็นครูมืออาชีพโดยมีพนื้ ฐานของการวจิ ยั เป็นเคร่ืองมอื เพื่อใช้สําหรบั การพฒั นาการ
เรยี นการสอนซง่ึ เป็นประโยชนต์ อ่ วงการศกึ ษาสุวฒั นา สวุ รรณเขตนคิ ม ( 2542) ได้
กลา่ วถงึ ประโยชนแ์ ละความสําคัญของการวิจัยในชนั้ เรยี นพอสรุปได้ดังน้ีการทาํ วจิ ัยในชั้นเรยี นนน้ั
จะช่วยใหค้ รมู วี ถิ ชี ีวติ ของการทาํ งานครูอย่างเปน็ ระบบเหน็ ภาพของงานตลอดแนว มกี ารตดั สนิ ใจ
ท่ีมีคุณภาพเพราะจะมองเหน็ ทางเลือกตา่ ง ๆ ได้กว้างขวางและลึกซึ้งแลว้ จะตดั สินใจเลอื กทาง
ต่างๆ อย่างมเี หตผุ ลและสรา้ งสรรค์ครนู ักวจิ ยั จะมีโอกาสมากขึน้
3. ความหมายความเป็นมาของเบเกอรี่
เบเกอรค่ี อื ขนมหรือผลติ ภณั ฑท์ ่ีผลิตภัณฑท์ ท่ี ำมาจากแปง้ แล้วนำไปอบให้สุกนั่นเอง ถ้า
กล่าวใหเ้ ข้าใจง่าย ๆ “เบเกอรี”่ กค็ อื ขนมหวานของทางตะวนั ตกท่ีจะต้องผ่านกระบวนการอบ
นนั่ เอง โดยขนมหรอื ผลติ ภณั ฑ์เบเกอรท่ี เ่ี รามกั ร้จู กั หรือไดร้ ับความนิยม กม็ มี ากมายเลยทีเดียว ไม่
ว่าจะเป็น คกุ กี้ ขนมปงั เค้ก พาย ครัวซองต์ (วิภาวนั ,2552)
3.1 ความหมายความเป็นมาของคุกก้ี
คกุ กเ้ี ปน็ ผลิตภณั ฑ์ท่ีมีรสหวานมันกรอบรว่ นช้นิ เล็กๆมหี ลายรูปแบบรูปทรงขนาดความ
ยาวรสชาตแิ ละปริมาณความช้ืนเครอ่ื งปรุงหลักของคกุ กป้ี ระกอบด้วยแปง้ สาลไี ขมนั นำ้ ตาล
ของเหลวและสารให้กล่ินรสโดยใช้ผงฟเู บคกิ้งโซดาเป็นตวั ช่วยในการใหข้ นมมคี วามเบาและขนึ้ ฟู
และมปี รมิ าณเพิม่ ข้นึ (วภิ าวัน,2552)
3.2 ประเภทของคกุ ก้ี
คุกกีแ้ บ่งตามวตั ถุดิบทีใ่ ชแ้ บ่งออกเป็น 2 ประเภทคุกก้เี นยมีสูตรโครงรา่ งเหมือนกับเค้ก
เนยแต่มีส่วนของเหลวน้อยกวา่ เมอื่ เปรียบเทยี บกับเค้กเหตุทต่ี ้องลดของเหลวเพราะคกุ ก้ีจะต้อง
15
แขง็ พอทจ่ี ะหยอดให้เปน็ รปู รา่ งตามปอ้ งกนั ไดค้ ุกก้เี นยยงั สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดคือคกุ กี้
เนยชนดิ นุ่มคกุ กีช้ นิดนจี้ ะมปี รมิ าณความชนื้ สูงใช้ไข่ในปรมิ าณมากเพ่ือชว่ ยในการใหโ้ ครงรา่ งของ
คุกกมี้ ากกวา่ ชนิดอนื่ คกุ ก้ีชนดิ น้ีเมอ่ื อบเสร็จแล้วจะเนือ้ ออ่ นนมุ่ คกุ ก้ีเนยชนิดแขง็ คุกกช้ี นดิ นจี้ ะต้อง
ลดปริมาณของเหลวในตัวตำรบั ลงจะเพราะจะตอ้ งให้คุกกี้แหง้ ข้ึนระหวา่ งอบและจะกรอบหนา้ อก
เสร็จแลว้ คุกกช้ี นิดกรอบรว่ นคุกกชี้ นดิ นี้จะมปี รมิ าณไขมนั สูงทำใหเ้ น้อื สัมผัสคกุ กีก้ รอบรว่ นเมือ่ สกุ
แลว้ ใครมนั ทน่ี ยิ มใช้มากคือเนย (วิภาวัน,2552)
คุกก้ีไขต่ า่ งจากคกุ ก้เี นยท้ังวิธกี ารผสมและปริมาณไขใ่ นสว่ นผสมซึง่ จะมากกว่าในสูตรของ
คกุ กเี้ นยไขจ่ ะชว่ ยใหข้ ึ้นฟแู ละเป็นโครงร่างของคกุ กส้ี ามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ชนดิ คอื เม่ือแรง
เซลล์ทำจากไขข่ าวตีกบั น้ำตาลเพื่อเกบ็ อากาศโดยการตีไขข่ าวให้ขนึ้ ฟูจนเนอื้ เนยี นแขง็ พอท่จี ะหมุ้
สว่ นผสมอน่ื ทใ่ี ช้ในสูตรไว้ไดแ้ ลว้ จงึ ผสมส่วนอืน่ ๆเขา้ ไปโดยผสมอย่างเบามอื
มาการนู คุกกสี้ ว่ นมากจะทำจากอนั มอ่ นผสมกบั นำ้ ตาลและไข่ขาวจนเนียนส่วนผสมทแ่ี ข็ง
อาจทำใหอ้ อ่ นตัวได้โดยนำไปอนุ่ หรือทำให้รอ้ นในหม้อต๋นุ จนอ่อนตัวแลว้ จึงหยอดใส่ถาดสปนั จ์คกุ ก้ี
มีส่วนผสมและวิธที ำเช่นเดยี วกบั สปันเค้กแตส่ ปนั จ์คุกกีใ้ ชแ้ ปง้ ในปรมิ าณที่มากกว่า(กอง
บรรณาธิการ,2552)
คุกกีแ้ บ่งตามวธิ กี ารทำรูปร่างแบง่ ออกเปน็ 6 ประเภทคือคกุ กห้ี ยอดคุกกชี้ นิดนมี้ รี ปู รา่ งไม่
คงทแ่ี ละไมส่ ม่ำเสมอทำรปู รา่ งโดยการใช้ช้อนตักหยอดบนถาดคกุ ก้กี ดคกุ กี้ชนิดน้ีมสี ว่ นผสมข้นกว่า
คุกกี้หยอดทำรปู ร่างโดยการใชก้ ระบอกกดคกุ กี้ปน้ั ส่วนผสมค่อนขา้ งแหง้ มปี ริมาณไขมันสูงอาจจะ
ใชก้ นั สอดไส้ในคุกกแี้ ล้วป้ันเปน็ รปู ร่างตา่ งๆไดต้ ามความต้องการคกุ กคี้ รง่ึ สว่ นผสมจะแหง้ สามารถ
ใชค้ ลงึ เป็นแผ่นได้แลว้ ใช้พมิ พก์ ดคกุ ก้ีเปน็ รูปต่างๆไดต้ ามความตอ้ งการคกุ ก้แี ท่งมสี ว่ นผสม
ใกลเ้ คยี งกับเค้กแตม่ ีปริมาณของเหลวนอ้ ยกวา่ มากผสมให้เตม็ พิมพ์อบแล้วตดั เป็นชิ้นๆคกุ กี้แช่ยนื
สว่ นใหญ่จะม้วนเปน็ แท่งเน่ืองจากมปี รมิ าณไขมันสงู จึงต้องแชใ่ หแ้ ข็งใหอ้ ยตู่ ัวแลว้ จึงนำออกมาหัน่
เปน็ ชิ้นกอ่ นนำเข้าอบ (เศรษฐพงศ์,2552)
16
บทที่ 3
วธิ ีการดำเนินการวิจยั
การวิจัยเรอ่ื ง การพัฒนารปู แบบการเรียนการสอนการงานอาชพี ตามหลกั การทำงาน
แบบมสี ่วนรว่ ม เพ่อื สง่ เสริมทกั ษะการปฏบิ ตั งิ าน รายวิชา ขนมอบ เรือ่ ง คกุ กเี้ นย กลุม่ สาระการ
งานอาชีพ ช้ันมัธยมศกึ ษาชัน้ ปที ี่ 4 โรงเรยี นสกลนครพฒั นศกึ ษา โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกบั การ
ดำเนนิ การวิจยั ดังนี้
3.1 ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง
ประชากรที่ใชใ้ นการวิจัย คือ นกั เรยี นระดบั ชัน้ มธั ยมศกึ ษาชน้ั ปที ่ี 4 รายวิชาขนมอบ ภาค
เรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ของโรงเรยี นสกลนครพัฒนศึกษา จำนวน 9 หอ้ ง จำนวนนกั เรียน
หอ้ งเรยี นละ 30 คน
ประชาการ นกั เรียนระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาชนั้ ปที ี่ 4 ของโรงเรียนสกลนครพัฒนศึกษา
กรอบในการสมุ่ นกั เรยี นระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาชั้นปีท่ี 4 มี 9 หอ้ งเรียน ของโรงเรยี นสกลนครพัฒน
ศึกษา กลมุ่ ตวั อย่างที่ใชก้ ารวิจัยผู้วิจัยได้ทำการจบั สลากห้องเรยี นท้งั 9ห้องเรียนของนักเรยี น
ระดับชั้นมัธยมศกึ ษาชนั้ ปีที่ 4 ของโรงเรียนสกลนครพฒั นศึกษา คือ นกั เรียนระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษา
ชน้ั ปที ่ี 4/5 จำนวน 30 คน โดยเลือกจากกล่มุ ตวั อยา่ งจากการสมุ่ จบั สลากห้องเรียนนักเรียน
ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษา ชั้นปที ี่ 4 ของโรงเรียนสกลนครพัฒนศึกษา
3.2 ระยะเวลาท่ใี ชใ้ นการวิจัย
ระยะเวลาท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ตลอดภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564
3.3 เครอื่ งมือทีใ่ ช้ในการวิจัย
- การสอบปฏิบัตทิ ำคุกกี้เนย
-แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานกล่มุ
17
3.4 การเก็บรวบรวมข้อมลู
การเก็บรวบรวมขอ้ มูล คณะผวู้ ิจัยไดด้ ำเนินการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ดว้ ยตัวเองกับกลุ่ม
ตวั อยา่ ง ของนกั เรยี นชน้ั ม.4/5 จำนวน 30 คน โดยจดั ทำตารางส่งงานของนักเรียน การสอบ
ปฏิบัตทิ ำขนมอบ การสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานกลมุ่ ระดบั ชัน้ มธั ยมศกึ ษาช้ันปีที่ 4 กล่มุ สาระ
การเรยี นรกู้ ารงานอาชีพ ในรายวิชาขนมอบ
3.5 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถติ ทิ ่ใี ชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู
การสอบปฏบิ ตั ิทำขนมอบ การสังเกตพฤตกิ รรมการทำงานกลุ่ม และการสง่ งานของ
นกั เรยี นชนั้ ม.4/5 จำนวน 30 คน ของโรงเรยี นสกลนครพฒั นศกึ ษา ผู้วจิ ยั ได้วิเคราะห์ขอ้ มลู จาก
แบบบันทกึ การสะทอ้ นผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูโ้ ดยใชก้ ารวเิ คราะห์เนือ้ หาและวเิ คราะห์ผล
การจัดการเรียนรดู้ ้านความรู้ ทกั ษะ และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ โดยใช้สถติ ริ อ้ ยละและ
ค่าเฉลีย่ ค่าเฉลยี่ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 และมีนักเรยี นจํานวนมากกวา่ ร้อยละ 80 มคี ะแนนเฉลย่ี
ผา่ นเกณฑร์ ้อยละ 75 ดังรายละเอยี ดในตาราง ดงั น้ี
ตาราง แสดงผลการพัฒนารปู แบบการเรียนการสอนรายวิชาการงานอาชีพ ตามหลกั การทำงาน
แบบมสี ว่ นร่วม เพอ่ื ส่งเสริมทกั ษะการปฏบิ ตั ิงาน กลมุ่ สาระการงานอาชีพ ชน้ั มธั ยมศกึ ษา
ช้ันปที ่ี 4/5
กล่มุ ความรู้ ทักษะ คุณลักษณะ
ตวั อย่าง ค่าเฉลยี่ ร้อย ร้อยละ คา่ เฉล่ีย รอ้ ย รอ้ ยละ ค่าเฉล่ยี รอ้ ย ร้อยละ
ละ นกั เรยี น ละ นักเรยี น ละ นักเรียน
ทผ่ี ่าน ที่ผ่าน ทีผ่ า่ น
เกณฑ์ เกณฑ์ เกณฑ์
ม.4/5 23.46 84.43 100 2.51 85.95 100 7.58 93.54 100
(30คน)
สรปุ
นักเรียนกลมุ่ ตัวอยา่ งมคี วามรู้เกีย่ วกบั การทำคุกกเี้ นย ทกั ษะในการทำคกุ กีเ้ นย และ
คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ในด้านความมวี นิ ัย ความรับผิดชอบ และความมุง่ มั่นในการทำงานสงู
บทที่ 1 บทนำ
ก1.1 ควำมเปน็ มำและควำมสำคัญของปญั ญำ
ดอกไม้ประดษิ ฐ์ หมายถงึ สิ่งประดิษฐข์ ้ึนจากวสั ดมุ ีลักษณะคลา้ ยรปู รา่ งดอกไม้ ท่ีถูกผลิตขนึ้ มาจากแรงงาน
ฝมี อื มนุษย์ เคร่ืองจกั ร หรืออุปกรณ์การผลิต โดยมีการใช้วัตถุดิบการผลติ จากธรรมชาติ หรือวตั ถุดบิ ทีเ่ กดิ จากการ
สังเคราะห์มาผลติ โดยผา่ นขนั้ ตอนการประดษิ ฐ์ ดัดแปลง อบ ยอ้ ม เผา เคลือบสารเคมี รวมทั้งทาการตกแตง่ ตัดต่อ
เติม เพื่อก่อใหเ้ กิดความสวยงาม โดยดอกไมท้ ่ีประดิษฐ์ขึ้นมาอาจจะมคี วามเหมือนหรือไม่เหมอื นธรรมชาติก็ได้
ข้นึ กับวตั ถุประสงค์การใชง้ าน โดยคุณสมบัติของดอกไมป้ ระดิษฐท์ ี่สาคัญคือ มีความคงทน ง่ายตอ่ การเคล่ือนย้าย
และดูแลรกั ษา มคี วามสวยงาม สามารถนาไปใช้ในการประดับในโอกาสตา่ งๆ
การประดิษฐด์ อกไม้ด้วยฝีมือมนษุ ยเ์ ปน็ ศิลปะทมี่ ีความละเอยี ดอ่อน มงุ่ หวงั ท่ีจะดารงความงดงามตาม
ธรรมชาตขิ องดอกไมใ้ ห้คงอยู่ ไมร่ ่วงโรย เห่ยี วเฉา การทาดอกไมป้ ระดิษฐ์ จงึ เรม่ิ ต้นท่กี ารใชค้ วามสังเกต ศึกษา
คน้ ควา้ รปู ลกั ษณะ สีสันตามธรรมชาติ ของดอกไมแ้ ต่ละชนิด แตล่ ะประเภท แลว้ ถา่ ยทอดการทาออกมาเป็น
ดอกไมป้ ระดิษฐ์ ดอกไมป้ ระดิษฐ์ อาจถือได้ว่าเปน็ มรดกทางวัฒนธรรมของบางชนชาติ ที่มีการสืบทอดการประดิษฐ์
ดอกไมม้ ายาวนาน
1.2 วัตถปุ ระสงคข์ องกำรวจิ ัย
1. เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรคข์ องนักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปีท่ี6
2. ได้ทราบกระบวนการการประดิษฐผ์ ลติ ภณั ฑด์ อกไม้ประดิษฐ์จากวสั ดุธรรมชาติ
3.เป็นการสง่ เสรมิ ผลติ ภณั ฑ์ดอกไมป้ ระดษิ ฐจ์ ากวสั ดธุ รรมชาติให้เปน็ ท่ียอมรับแกบ่ ุคคลท่ัวไป
1.3 ขอบเขตกำรวิจยั
1. ประชากรท่ใี ชใ้ นการวจิ ัย เป็นนักเรยี นระดบั ประกาศนียบตั รวชิ าชพี ชั้นปีที่ 3 สาขาวชิ าการบัญชี ภาคเรยี นท่ี 1
ปกี ารศกึ ษา 2564 ของวทิ ยาลัยการอาชีพชนแดน
2. ระยะเวลา คือ ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564
1.4 นิยำมศัพทเ์ ฉพำะ
-ปะดษิ ฐ์ หมายถึง ทจ่ี ัดททาขึ้นใหเ้ หมือนของจริง เชน่ ดอกไม้ประดิษฐ์ ทีค่ ิดทาข้นึ ไมเ่ หมือนธรรมชาติ เช่น ลาย
ประดษิ ฐ์
-วสั ดุธรรมชาติ หมายถึง วสั ดทุ ี่ไดม้ าจากธรรมชาติ นามาใชง้ านไดโ้ ดยไมต่ อ้ งเปล่ยี นแปลงไปจากเดิม อาจมีการ
เปล่ียนแปลงบา้ งเพ่ือเพ่ิมมลู ค่าและการนาไปใช้งานตภัณฑ์ผ้าขาวมา้ ให้เปน็ ท่ยี อมรบั แก่บคุ คลทั่ว
1.5ประโยชนท์ ค่ี ำดวำ่ จะได้รับจำกงำนวิจยั
1.5.1 ได้ทราบกระบวนการการประดษิ ฐ์ผลติ ภัณฑ์ดอกไม้ประดิษฐ์จากผ้าขาวม้าเชิงสร้างสรรค์
1.5.2 ได้ทราบความพงึ พอใจทีม่ ตี อ่ การพฒั นาผลิตภณั ฑ์ดอกไมป้ ระดิษฐจ์ ากผา้ ขาวม้าเชิงสรา้ งสรรค์
1.5.3 เพมิ่ มูลคา่ เพ่ิมใหก้ บั ผา้ ขาวม้า
1.5.4 เป็นการส่งเสรมิ ผลติ ภณั ฑ์ผ้าขาวม้าใหเ้ ป็นทยี่ อมรบั แก่บุคคลทัว่ ไป
บทที่ 2 วรรณกรรมทเ่ี กย่ี วขอ้ ง
การวิจยั คร้ังน้ผี ู้วิจัยไดท้ าการศึกษาเอกสารทเ่ี กย่ี วข้องกบั การวจิ ยั ดงั ต่อไปน้ี
1. กำรวจิ ัยในช้ันเรยี น
1.1 ควำมหมำยของกำรวิจัยในช้ันเรียน
การวจิ ยั ในช้ันเรียนเป็นรปู แบบของการวจิ ยั ทางการศึกษาอีกรูปแบบหนึง่ ซ่งึ เปน็ การวิจัยทีด่ าเนินการควบคู่ไปกบั
การปฏิบตั ิงานของครู โดยมีครูเป็นนักวิจัย ทงั้ ผลติ งานวจิ ัย และบรโิ ภคงานวจิ ัย หรอื กล่าวอกี นัยหนง่ึ คือ ครูเปน็
ผ้ทู าการวิจยั และนาผลการวิจัยไปใช้ ดว้ ยลกั ษณะของการวจิ ัยในชน้ั เรยี นจึงมนี ักศึกษาและนกั วจิ ยั หลายทา่ นได้ให้
ความหมายของการวิจยั ในชั้นเรยี นไว้หลากหลายโดยเนน้ การวิจยั ทางการศึกษาและปฏิบัตกิ ารในห้องเรียนดังนี้
สวุ มิ ล ว่องวานิช (2543 ) ได้สรปุ ความหมายของการวจิ ยั ในชัน้ เรียนได้ชดั เจนและจาแนกให้เห็นองค์ประกอบต่าง
ๆ วา่ การวิจยั ในช้นั เรียน คอื การวิจยั ทท่ี าให้ครูผู้สอนในห้องเรียนเพ่ือแกป้ ญั หาท่เี กดิ ขึ้นในหอ้ งเรียน และนาผลมา
ใชป้ รบั ปรุงการเรียนการสอน เพื่อให้เกิดประโยชนส์ ูงสุดกับผเู้ รยี น เป็นการวิจัยทีต่ ้องทาอยา่ งรวดเรว็ นาผลไปใช้
ทันที และสะท้อนข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัตงิ านตา่ ง ๆ ของตนเอง ให้ท้ังตนเองและกลุ่มเพ่อื นร่วมงานใน
สถานศึกษาได้มีโอกาสอภปิ รายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในแนวทางท่ไี ด้ปฏิบตั ิและผลทีเ่ กิดขน้ึ เพื่อพฒั นาการเรยี น
การสอนต่อไป ผ่องพรรณ ตรยั มงคลกลุ ( 2543 ) ให้ความหมายของการวิจัยในช้นั เรยี นวา่ การวิจัยในช้นั เรยี น
หมายถึง การวิจยั ที่มจี ุดกาเนิดจากสภาพปญั หาหรือข้อข้องใจในการจดั การเรยี นการสอนที่ครูพบเร่ืองทวี่ ิจยั มี
ความเฉพาะเจาะจง เปน็ ประเด็นทมี่ ุ่งเน้นศึกษาเก่ียวกบั ผเู้ รียน ผ้สู อนกระบวนการสอน ตลอดจนสภาพแวดลอ้ ม
ภายในสถานศกึ ษาหรือสภาวะการเรยี นหน่งึ ๆ การวจิ ัยมุ่งผลที่พัฒนาการเรยี นการสอนของครใู นสภาพแวดล้อมท่ี
ทาการวิจัยนั้น ๆ โดยตรง ทัศนา แสวงศกั ด์ิ (2543) สรุปความหมายของการวจิ ัยในชั้นเรยี นวา่ การวจิ ยั ในชน้ั เรยี น
คือ การศกึ ษาค้นคว้าหาความรู้ใหม่ ๆ เพ่ือนามาใชใ้ นการแก้ปัญหาการเรยี นการสอนในชนั้ เรียนหรอื เป็นความ
ต้องการท่จี ะเปลี่ยนแปลงพัฒนากิจกรรมการเรยี นการสอนให้ดียิ่งขนึ้
ชาตรี สาราญ (2544) ให้ความเห็นว่า การวจิ ัยในชนั้ เรียน คอื การทดลองวิธใี หม่ ๆ ในการแกป้ ัญหาของครู ซ่งึ
คิดค้นมาเพ่ือพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนตามปกติแต่หวงั ใหเ้ กิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นรทู้ ัง้ ครแู ละนักเรยี น
มากท่ีสดุ เพราะฉะนั้นงานวจิ ยั ในชนั้ เรยี นจะไม่เปน็
เร่ืองราวใหญโ่ ต ที่ต้องใชเ้ วลาเกบ็ ข้อมูลและวเิ คราะห์ผลนาน นับเดือน นบั ปี จนเป็นผลงานเลม่ ใหญ่
นภดล เจนอักษร (2544) ไดใ้ หค้ วามหมายของการวิจัยในชัน้ เรยี นว่า การวจิ ัยในชนั้ เรียน หมายถงึ การวิจัย
ประเภทหน่ึงท่ีครผู สู้ อนเป็นผู้ดาเนนิ การควบคู่ไปกบั การเรียนการสอนปกติในชนั้ เรียน ทั้งนเ้ี พ่ือศกึ ษาสภาพปญั หา
ที่เกดิ ขึน้ แลว้ นาผลที่ไดไ้ ปพฒั นาการเรยี นการสอน หรอื ใชใ้ นการแกป้ ัญหาการเรียนการสอนของตน รวมทง้ั
เผยแพรใ่ หเ้ กิดประโยชนแ์ ก่ผู้อ่ืนตอ่ ไป วาโร เพง็ สวสั ดิ์ (2544) กล่าววา่ การวิจยั ในช้ันเรียน หมายถงึ วธิ กี ารหรือ
กระบวนการท่ใี ห้ได้มา ซง่ึ ความรู้ หรอื คาตอบซง่ึ ครเู ป็นผู้จดั ทาข้ึนเอง โดยมจี ดุ มุ่งหมายที่จะนาผลการวจิ ัยไปใชใ้ น
การแกป้ ัญหาการเรยี นการสอนในช้ันเรยี นของตน ประวิต เอราวรรณ์ (2545) ได้กล่าวถงึ การวจิ ยั ในชน้ั เรยี นว่า
การวจิ ยั ในชั้นเรยี นเป็นการวจิ ยั ประยกุ ต์ทีด่ าเนินการวจิ ยั ควบคู่ไปกบั การปฏบิ ัติงานของครู ซึง่ ตอ้ งใช้กระบวนการ
ทีน่ ่าเชื่อถือและเป็นระบบในการแสวงหาคาตอบในสภาพการณ์ หรอื บรบิ ทของนักเรียนโดยมคี รูเปน็ ผูท้ าการวจิ ัย
และนาผลการวจิ ัยไปใช้ รัตนา ศรีเหรญั (2547) กล่าววา่ การวิจยั ในชนั้ เรียน เป็นรูปแบบหน่ึงของการวิจยั เชงิ
ปฏบิ ตั ิการ (Action Research) ซึ่งเปน็ การวิจัยที่มุง่ แก้ปัญหาท่เี กดิ ข้ึนเฉพาะหน้าเป็นคร้ัง ๆ ไป หรอื เป็นเร่ืองใด
เร่ืองหนึง่ ในชว่ งระยะเวลาหนึ่ง ผลการวจิ ัยท่คี น้ พบนี้ไม่สามารถนาไปใช้อา้ งองิ กบั กลุ่มอน่ื ๆ ได้ เพราะเป็นปญั หาที่
เกดิ ขนึ้ ในวงจากัด หรอื เปน็ ปัญหาเฉพาะท่ี ชยั พจน์ รักงาม (2544) กล่าวว่า การวิจยั ในชัน้ เรยี นเปน็ การศกึ ษา
คน้ คว้าทเี่ กี่ยวขอ้ งกับการเรียนการสอนในห้องเรียน เพื่อการพฒั นาปรับปรงุ คุณภาพการเรยี นการสอนทง้ั ในส่วน
หลกั สูตร วธิ ีสอน การจดั กจิ กรรม สือ่ แบบฝกึ รวมทงั้ การวัดผลและประเมินผล เพื่อประโยชนต์ อ่ การพฒั นา
ประสทิ ธิภาพการสอนและคุณภาพการเรยี น บัญชา อึ๋งสกุล (2544) ให้ความหมายไว้วา่ การทาวจิ ัยในชั้นเรียน
หมายถงึ การวิจัยปฏิบตั ิการท่ีมงุ่ แกป้ ัญหาทเี่ ป็นปญั หาทเี่ กิดจากการจดั กิจกรรมการเรียนร้ใู นชนั้ เรียนเป็นคร้ังๆไป
เพ่อื พฒั นางานและพัฒนาคน รวมถงึ พัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยีทางการศึกษา พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์; และคณะ
(2544) ได้ให้ความหมายของการทาวิจัยในชน้ั เรียนวา่ เปน็ วิจยั ประเภทปฏบิ ตั ิการ ใช้วิธีทางวทิ ยาศาสตร์ คน้ คว้า
เพ่ือสร้างความรูใ้ หม่ทางการศึกษาและสงิ่ ประดิษฐ์ใหม่ทางการศกึ ษา ความรใู้ หมท่ างการศึกษา เชน่ วธิ ีสอน
เทคนิคการสอน รูปแบบการสอนใหม่ หลักการสอนใหม่ ทฤษฎกี ารสอนใหม่ ท้งั น้ีเพื่อพัฒนานักเรียนใหเ้ กิดความรู้
ตามเปา้ หมายอกี ทัง้ เปน็ การพัฒนาตนเองเปน็ ผู้สร้างความรู้เปน็ ประนอม เจริญชนม์ (2545) ได้ให้ความหมายของ
การวจิ ยั ในชน้ั เรียนหรือวิจยั ปฏบิ ัตกิ าร หมายถึง การหาความรู้หรือวธิ กี ารใหม่เพ่ือนามาประยุกตใ์ ช้ใหเ้ หมาะสมกบั
สภาพการเรยี นการสอนในช้ันเรยี น ซึ่งจะช่วยพฒั นาคุณภาพการเรียนการสอน หรอื เพ่ือแกป้ ญั หาท่เี ป็นอุปสรรค
ตอ่ การเรยี นการสอน โดยอาศัยวธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ ซึง่ ครูเปน็ ผูว้ จิ ัยและเปน็ ผู้ใช้ผลงานวจิ ัย ไพจติ ร สะดวกการ
(2545) ไดใ้ ห้ความหมายของการวิจยั ในชั้นเรยี นวจิ ัยในช้นั เรียนวา่ การวิจยั ในช้นั เรียนเป็นกระบวนการจัดการ
เรียนรูใ้ นชนั้ เรียนที่ครรู บั ผิดชอบอย่างเป็นระบบ เพ่ือสืบค้นให้ไดส้ าเหตขุ องปัญหา แล้วหาวธิ ีแก้ไขหรือพัฒนาที่
เชอื่ ถือได้ เชน่ การสงั เกต จดบนั ทกึ และวเิ คราะหห์ รือสงั เคราะห์ เพ่ือนาไปสูก่ ารแกป้ ญั หาหรือพฒั นา
กระบวนการจดั การเรยี นการสอนของครูและพัฒนาการเรียนรขู้ องผเู้ รียนให้มคี ุณภาพตามเป้าหมายท่ีกาหนดไว้
เพอ่ื ส่งเสริมผู้เรยี นใหไ้ ด้รบั การพฒั นาตามธรรมชาตแิ ละเต็มตามศักยภาพ วนดิ า แก้วกลุ บุตร(2547) กล่าววา่ การ
วจิ ยั ในชน้ั เรียนหมายถึง การวิจยั เชงิ ปฏบิ ตั ิการทคี่ รูไดแ้ สวงหาความรู้ วิธกี ารใหม่ ๆ หรอื นวตั กรรม ในการแกไ้ ข
ปัญหาหรอื พัฒนาการเรยี นรู้ของผเู้ รียนเพื่อใหเ้ กิดประโยชน์สูงสดุ ตอ่ ผูเ้ รียน โดยอาศยั วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซ่ึง
ครูเปน็ ผวู้ จิ ยั และเปน็ ผใู้ ชผ้ ลงานวิจยั ศิริพร สลวี งศ์ (2548) กล่าวว่า การทาวจิ ยั ในชัน้ เรียน หมายถงึ กระบวนการ
ทีค่ รศู ึกษาคน้ คว้าเพ่ือแกป้ ญั หาหรอื เพ่ือพฒั นาการเรยี นการสอนทเ่ี กิดขน้ึ จากการจัดการเรียนการสอนเริ่มจากการ
สารวจปัญหาและแกป้ ัญหาทีเ่ กิดขึ้นในช้ันเรียนโดยการสร้างและพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรยี นการสอน และ
การทาการทดลองกบั นักเรียนในความรบั ผดิ ชอบของครูทัง้ กระบวนการวิจยั ได้นามาปรบั ปรุงการปฏบิ ัตกิ ารสอนใน
ชนั้ เรยี นของครู ซ่งึ ส่งผลให้ครูมีทกั ษะ มีความสามารถในการจัดกจิ กรรมนักเรยี น มีความรคู้ วามสามารถในการ
วิเคราะห์ปัญหาจนหาทางแก้ไขไดส้ าเร็จทาใหเ้ ป็นคนมีความเชอ่ื มนั่ และภาคภมู ใิ จในอาชีพครู เป็นการวิจัยที่ต้อง
ทาในระยะเวลาส้นั นาผลไปใช้ได้ทันที
สรุป การวิจัยในชนั้ เรียน คือ วิธกี ารแกป้ ญั หาการเรียนการสอนของครูผูส้ อนดว้ ยการหาความรู้ วิธีการใหม่ ๆ และ
กระบวนการศึกษาเพื่อแสวงหาความรู้อันเป็นความจริงทเ่ี ช่ือถือได้ในบรบิ ทของการเรยี นการสอนทเ่ี กดิ ขนึ้ ในชัน้
เรียนซึ่งเกีย่ วกบั พฤติกรรมการสอนของครูลักษณะและพฤตกิ รรมของนกั เรียน ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของ
นกั เรยี น การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ กระบวนการเรยี นรู้ การสร้างนวตั กรรมทางการศึกษา หรือสรา้ งหลักสูตร
สถานศึกษา เพ่ือความเข้าใจในบรบิ ทของงานตลอดจนหาแนวทางแก้ไขปัญหาทีเ่ กิดข้ึนในหอ้ งเรียนหรอื ปรับปรุง
และพฒั นางานการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนของครูอย่างเป็นระบบ อนั จะนาไปสเู่ ป้าหมายทสี่ าคญั คือ การ
พฒั นาการเรยี นรู้ของนักเรยี นให้เตม็ ศักยภาพ
1.2 ควำมสำคัญของกำรวิจัยในช้นั เรยี น
ไดม้ ีนักการศึกษาและหน่วยงาน กลา่ วถงึ ความสาคญั ของการวิจัยในชน้ั เรยี นไว้ ดงั น้ี
ประกอบ มณโี รจน์ (2544) ได้กลา่ วถึงความสาคญั ของการวิจัยในช้นั เรยี นไว้ดังนี้ คือ
1. ชว่ ยใหค้ รไู ดพ้ ัฒนาวิธีการจัดการเรียนการสอนใหม้ ปี ระสิทธภิ าพ
2. ชว่ ยให้นักเรยี นไดเ้ รยี นรู้อย่างมีคณุ ภาพ
3. ช่วยให้วงการวิชาการของการเรยี นการสอนก้าวหนา้ มีนวัตกรรมในการจัดการเรยี นการสอนเพิม่ ขึน้ ส่งผล
ต่อเน่อื งต่อการจัดการเรียนการสอนของครู
4. ชว่ ยใหว้ งการวชิ าชีพครูเปน็ วิชาชีพชน้ั สูงมากขึน้ เปน็ ท่ียอมรบั ของสังคมทว่ั ไป
5. ชว่ ยพัฒนาตัวครูและวิชาชพี ครูไปพร้อม ๆ กนั
ครุรักษ์ ภิรมยร์ กั ษ์ (2544) ได้กลา่ วถึง ความสาคัญของการวิจยั ในชั้นเรยี นไว้ ดังนี้
1. เป็นเครอื่ งมือสาคัญของครูในการพัฒนาวิถีชวี ติ ความเป็นครูไปสู่ความเป็นครูมืออาชีพเพราะการวิจยั ในช้นั เรยี น
จะชว่ ยใหค้ รเู ป็นนักแสวงหาความรแู้ ละวธิ กี ารใหม่ ๆ อยู่เสมอซง่ึ จะชว่ ยใหค้ รูมีความรู้อย่างกว้างขวางและลมุ่ ลกึ
ทางานอย่างมเี หตุผล สรา้ งสรรคแ์ ละเป็นระบบ
2. เป็นเครอ่ื งมือสาคัญในการพฒั นาหลักสูตร และการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนทาให้งานของครูมลี กั ษณะเป็น
พลวัต มีการเปล่ยี นแปลงเคลือ่ นไหวไปข้างหน้าไม่หยดุ นิ่งอย่กู ับทแ่ี ละเกดิ นวตั กรรมท่ที ันสมัย นาไปใช้ในการ
แก้ปญั หาการเรียนการสอนได้ทันทว่ งที
3. เป็นเครือ่ งมือสาคัญทจี่ รรโลงวชิ าชพี ครูให้มีความเข้มแข็ง เพราะผลจากการวิจัยในช้นั เรียนจะเป็นตวั บง่ ชถ้ี งึ
ความสาเรจ็ ในการทางานของครูได้อย่างเปน็ รปู ธรรม นน่ั คือการเปล่ยี นแปลงไปในทางที่พงึ ประสงค์ ของผู้เรยี น
ตามทีค่ รูต้องการ และเป็นไปตามความคาดหวังของสงั คมทั้งตวั ครแู ละผู้เรียน
สวุ ิมล ว่องวานิช (2546) ได้กล่าวถึงความสาคัญของการวิจัยในชน้ั เรยี นไว้ ดังน้ี
1. ใหโ้ อกาสครใู นการสร้างองค์ความรู้ ทักษะการทาวิจัย การประยกุ ต์ใช้ ตระหนกั ถงึ ทางเลือกท่ีเป็นไปไดท่ีจะ
เปลี่ยนแปลงในสถานศึกษาให้ดีขึน้
2. เปน็ การสรา้ งชมุ ชนแหง่ การเรียนรู้ นอกเหนอื จากการเปลี่ยนแปลงหรือสะท้อนผลการทางาน
3. เปน็ ประโยชน์ตอ่ ผู้ปฏบิ ัติโดยตรง เนือ่ งจากช่วยตนเองด้านวชิ าชพี
4. ชว่ ยทาใหเ้ กิดการพัฒนาท่ีต่อเนือ่ งและเกิดการเปล่ียนแปลงผ่านกระบวนการวจิ ัยในท่ีทางาน ซง่ึ เป็นประโยชน์
ตอ่ องค์กร เน่ืองจากนาไปสู่การปรับปรงุ การเปล่ียนแปลงการปฏิบตั กิ ารและการแกป้ ัญหา
5. เปน็ การวิจัยทเ่ี ก่ียวข้องกบั การมสี ่วนรว่ มของผปู้ ฏิบัติในการทาวิจัยให้กระบวนการวิจัยมคี วามเป็นประชาธปิ ไตย
ทาให้เกดิ การยอมรับในความรู้ของผปู้ ฏิบัติ
6. ช่วยตรวจสอบวธิ กี ารทางานของครทู ม่ี ปี ระสิทธิผล
7. ทาใหค้ รูเป็นผูน้ าแห่งการเปล่ียนแปลง
พิมพพ์ นั ธ์ เตชะคุปต์ (2544) ไดใ้ หค้ วามสาคญั ของการทาวิจยั ในชน้ั เรยี นไวว้ ่าการทาวจิ ัยในช้นั เรียนเกิดจากการ
พฒั นาองคค์ วามรู้ทีเ่ กิดจากการบรู ณาการวิธกี ารปฏบิ ตั ิโดยมีความสาคัญใน 4 ลักษณะ คือ 1. เป็นการพัฒนา
หลักสูตรและการปรับปรุงวธิ กี ารปฏบิ ตั ิงานเพ่ือพฒั นาคุณภาพการเรยี นการสอนดว้ ยการวจิ ยั 2. เป็นการพัฒนา
วชิ าชพี ครู 3. เป็นการแสวงหาความก้าวหน้าทางวิชาชพี ครูดว้ ยการเผยแพร่ความรู้ท่ีได้จากการปฏบิ ตั ิ 4. เปน็ การ
สง่ เสรมิ สนับสนุนความกา้ วหนา้ ของการวจิ ยั ทางการศึกษา กองวจิ ยั ทางการศึกษา กระทรวงศกึ ษาธิการ (2545) ได้
กล่าวถงึ ความสาคัญของการวจิ ัยเพอื่ พฒั นาการเรียนรู้ ไว้วา่ เป็นการพัฒนาหลกั สตู ร ปรับปรุงการปฏิบตั งิ าน
ปรับปรงุ คณุ ภาพการเรยี นการสอน พฒั นาวิชาชพี ครู และแสดงความก้าวหนา้ จากรายงานผลการปฏบิ ัติ ไพจิตร
สดวกการ (2545) ได้กล่าวถงึ ความสาคญั ของการวิจยั ชั้นเรยี นไวว้ า่ เปน็ การแก้ปญั หาหรือการพฒั นาผูเ้ รยี นในช้นั
เรยี นด้วยกระบวนการวิจยั ที่ครูผูส้ อนเปน็ ผูป้ ฏิบตั ิ เป็นสิ่งท่ีจะให้ผลดีแกผ่ ู้เรียนมากกว่าการที่ครแู ก้ปญั หาในชัน้
เรียนของตนตามผลการวจิ ัยของผอู้ ่นื เนื่องจากครุผสู้ อนเป็นครูที่ใกลช้ ดิ กับผเู้ รยี นมากที่สุด ครจู งึ ยอ่ มรู้ธรรมชาติ
ภมู ิหลงั และสภาพแวดล้อมของนกั เรียนของตนเองดีกวา่ ผูอ้ ื่น แต่ครกู ต็ ้องพยายามศกึ ษาคน้ คว้าหาแนวทาง
แก้ปัญหาการเรยี นการสอนที่ผู้อ่ืนทาวจิ ยั ไว้ เพื่อนามาเป็นฐานความคิดในการปรับนาไปใช้ใหเ้ หมาะสมกบั ผเู้ รียน
ของตนและจะไดร้ ู้ถงึ ข้อควรระวังท่ผี วู้ ิจัยคนก่อนไดน้ าเสนอไว้ เพ่อื ป้องกันความผดิ พลาดซา้ รอยเดิมรวมทง้ั ควร
ปรกึ ษาแลกเปลยี่ นเรียนรู้กับผู้รู้ ผู้มีประสบการณภ์ ายในโรงเรียน หรือบุคคลภายนอก ศิริพร สลีวงศ์ (2548) กลา่ ว
วา่ การวิจัยมีความสาคญั และจาเป็นในการพฒั นาการเรยี นรเู้ พราะการวจิ ัยเป็นบทบาทเสริมของครูในฐานะนักวิจยั
เชิงปฏบิ ัตกิ ารในระดับช้นั เรยี น ในกรณที ผ่ี ู้สอนพบว่ากระบวนการพฒั นาการเรยี นการสอนท่ีกาลังดาเนนิ การอยู่มี
ปัญหามาก หรือมคี วามจาเป็นต้องพัฒนาอยา่ งเรง่ ด่วนผลการวิจัยเป็นคาตอบหรือแนวทางในการแกป้ ัญหาหรอื
ปรบั ปรงุ และพฒั นาการเรยี นการสอน และด้านผลผลติ คอื ผ้เู รยี น ใหไ้ ด้รับการพฒั นาเต็มตามศักยภาพของแต่ละ
บุคคล ทฤษฎี สุขยอด (2549) กลา่ วว่า การทาวิจัยในช้นั เรยี นมีความสาคัญต่อการจัดการเรยี นรเู้ พราะทาใหค้ รู
สามารถแก้ปัญหาหรอื พัฒนาผู้เรียนในชนั้ เรยี นดว้ ยกระบวนการวจิ ัยของครผู ู้สอน ทั้งด้านผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
และดา้ นพฤติกรรมของผเู้ รียน เน่ืองจากครผู ู้สอนเป็นครูทใ่ี กล้ชดิ กับผู้เรียนมากที่สุด ครจู ึงย่อมร้ธู รรมชาติ ภูมิหลัง
และสภาพแวดล้อมของนักเรียนของตนดีกว่าผูอ้ ืน่ และทราบวา่ ปญั หาใดควรแก้ไขอยา่ งเรง่ ดว่ น โดยครูสามารถ
ศกึ ษาคน้ คว้าหาแนว ทางการแก้ปัญหาและพฒั นาการเรยี นการสอนท่ผี ู้อ่ืนทาวิจยั ไว้ เพื่อนามาเปน็ ฐานความคดิ ใน
การปรับนาไปใช้ใหเ้ หมาะสมกบั ผเู้ รยี นของตนและจะไดร้ ้ถู ึงขอ้ ควรระวงั ทผ่ี ู้วิจัยคนอ่นื ได้นาเสนอไว้ เพื่อป้องกนั
ความผิดพลาดซ้ารอยเดิม รวมทง้ั ควรปรึกษาแลกเปลี่ยนเรยี นรกู้ บั ผู้รู้ ผู้มปี ระสบการณ์ภายในโรงเรียน หรือ
บุคคลภายนอก เพ่ือปรับแนวคิดและประสบการณ์เหล่าน้ัน มาใชเ้ ป็นแนวทางท่ีนามาใชแ้ ก้ปัญหาและพฒั นา
คุณภาพการจดั การเรยี นรู้ในชัน้ เรียนของตน เพ่อื ให้เกิดผลดีต่อผ้เู รียนอย่างสูงสุด จากความสาคัญของงานวจิ ัยใน
ช้นั เรยี นที่กล่าวมาสรปุ ไดว้ ่า การวจิ ัยในชัน้ เรียนมคี วามสาคัญต่อวิชาชีพครู ครูผสู้ อนต้องทาการวิจยั กนั ทกุ ระดบั
อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างย่ิงในเรือ่ งของการวิจัยในชัน้ เรยี น การพัฒนากิจกรรมการเรยี นการสอน การ
พัฒนากระบวนการเรยี นร้ขู องผู้เรยี น การพฒั นาประสทิ ธิภาพการสอน และการพฒั นาการเรยี นรู้ท่ีเหมาะสมกับ
ผูเ้ รียนในทกุ ระดบั ทกุ เพศทกุ วัย ดังนน้ั บทบาทของครยู ุคใหม่จึงจาเป็นอย่างย่ิงทจี่ ะต้องเรียนรทู้ าความเข้าใจ และ
ตระหนกั ในความสาคญั ของการวิจยั ในชัน้ เรียนให้มากย่งิ ข้ึน รวมทัง้ จะต้องปฏบิ ัติการวิจัยในชน้ั เรยี นของตนเองได้
ผลการวิจยั ในชั้นเรียนจะเปน็ แนวทางในการพัฒนาครูไปสู่ความเป็นครมู ืออาชพี
1.3 รปู แบบและลกั ษณะของกำรวจิ ัยในช้ันเรียน
จากความหมายของการวจิ ัยในช้ันเรียนทีไ่ ด้กล่าวไว้แล้วนนั้ มีบุคคลไดก้ ลา่ วถงึ รูปแบบและลักษณะของการวิจัยใน
ชน้ั เรยี นไว้ ดังนี้ จะเหน็ ไดว้ ่า รปู แบบของการวิจัยในชั้นเรียนเป็นการวิจยั เพื่อพัฒนาการเรยี นการสอน โดยมี
ลักษณะท่สี าคัญคือ
1. เพือ่ กาหนดวัตถุประสงค์ของการแก้ปัญหา หรือการพัฒนาระดับคุณภาพการเรยี นรขู้ องนักเรยี น
2. เพอ่ื ศึกษาแนวทางหรอื นวัตกรรมตา่ ง ๆ ทจี่ ะสามารถแกป้ ัญหาหรอื ช่วยยกระดับคุณภาพการเรยี นการสอน
3. เพอ่ื นานวัตกรรมท่ีเหมาะสมมาพัฒนา และทดลองใช้ตามกระบวนการวิจัย จะเหน็ ได้วา่ กระบวนการวจิ ัยในชน้ั
เรยี นมีรูปแบบทานองเดยี วกบั การวิจยั ทางการศึกษา คือ เร่มิ จากการกาหนดปัญหา ตั้งสมมตุ ิฐานดาเนนิ การวิจยั มี
ขอ้ มูลเพยี งพอและมีคณุ ภาพที่จะสามารถพสิ จู นแ์ ละสรุปผลแต่แตกตา่ งกันที่การวิจยั ในช้นั เรยี นมขี อบเขต
การศึกษาในช้ันเรียน และมุง่ เนน้ ท่ีการคิดค้นพฒั นานวตั กรรมมากกวา่ การวจิ ยั เพ่ือรูป้ ัญหาอย่างเดยี ว ซึง่ ครูผสู้ อน
เป็นผู้ทาวจิ ัย และนกั เรียนเป็นแหล่งขอ้ มลู กานดา พูนลาภทว(ี 2545) กล่าวถงึ ลักษณะของการวจิ ยั ในชั้นเรยี น มี
ดงั น้ี
1. ผ้ทู าวจิ ยั ช้ันเรยี น สว่ นใหญผ่ ู้ทาวจิ ยั คือครูทีท่ าหนา้ ทีส่ อนในช้ันเรียน ท้ังนี้อาจเปน็ การวิจัยโดยครูเพียงคนเดยี ว
หรอื ครูหลายคนรว่ มกนั ทาวจิ ัยภายนอกก็ได้
2. วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัยในชน้ั เรียน การวจิ ยั ในช้นั เรียนมีวัตถปุ ระสงค์ เพื่อนาผลการวิจัยไปใชแ้ กป้ ญั หาการ
เรียนการสอนเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีวัตถปุ ระสงค์เพื่อหาวิธกี าร เพอื่ พัฒนาการเรยี นการสอน สว่ นการทาวจิ ัย
ทางการศึกษาท่ัวไป มีวัตถุประสงค์เพือ่ คน้ หาองคค์ วามร้เู ป็นหลัก
3. ทมี่ าของปัญหาวิจัยในชน้ั เรยี น ปญั หาท่ีนามาทาวิจยั ได้จากสภาพปัญหาการเรียนการสอนในห้องเรยี นท่คี รูพบ
และตอ้ งการจะแก้ไข การวิจัยในชนั้ เรียนมวี ัตถุประสงคเ์ พ่ือแก้ปญั หาการเรียนการสอนท่ีเกดิ ขน้ึ ในชัน้ เรยี น หรอื มี
วตั ถปุ ระสงค์ เพอื่ หาวิธกี ารท่ีจะทาให้ผ้เู รยี นพฒั นาการเรยี นได้มากขึ้นกว่าเดิม
4. ขอบเขตของการวจิ ยั ในชัน้ เรียน งานวจิ ัยในชัน้ เรยี นเป็นงานวจิ ยั ขนาดเล็ก ขอบเขตของปญั หาการวจิ ัยในชน้ั
เรยี นค่อนข้างแคบและเฉพาะเจาะจง กล่าวคือเปน็ การทาวิจยั ในประเดน็ ปัญหาท่ีเกดิ ข้ึนในชัน้ เรยี น
5. แบบแผนการวิจยั การวจิ ัยในชนั้ เรียนใชว้ ิธีการวจิ ัยปฏบิ ตั ิการ ซงึ่ มีองคป์ ระกอบหลกั 4 ประการคอื 1. การ
วางแผน 2. การปฏบิ ัตติ ามแผน 3. การประเมินผลการปฏบิ ัติ 4. การสะท้อนผลหลังการปฏบิ ัติ วิธีการวิจัยทใ่ี ชไ้ ม่
ยึดแบบแผนเครง่ ครัดนัก สามารถปรับใหเ้ หมาะสมตามสภาพการเรยี นการสอนได้
6. การวิเคราะห์ข้อมูล การวิจยั ในช้นั เรียนสว่ นใหญ่ศกึ ษาข้อมูลจากนักเรยี นทุกคนในห้องท่คี รูนักวิจัยสอน ซึ่งเป็น
การศกึ ษากลุ่มนักเรียนเปา้ หมายทง้ั หมดที่ไม่ใช่ศกึ ษาจากนักเรียน บางคนท่ีเป็นตัวแทนของกลมุ่ นักเรยี นเปา้ หมาย
การวิเคราะห์ข้อมูลจงึ ใชส้ ถติ ิเชิงบรรยาย
กนิษฐา เติมธนะศกั ด์ิ (2545) กล่าวว่า การวิจยั ในช้ันเรียนแตกตา่ งจากการวิจัยโดยทว่ั ไปทก่ี ลมุ่ ตัวอยา่ งมขี นาดเล็ก
ศกึ ษาในห้องเรียน กระทาโดยครู และมีเป้าหมายคือพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน แต่แสวงหาความรูแ้ ละ
ตพี ิมพเ์ ผยแพร่ได้เช่นเดยี วกัน มีการสะท้อนกลบั ผลการปฏบิ ตั ิงานของตนเองและผลทเ่ี กิดขน้ึ การวพิ ากษ์วิจารณ์
ผลทีไ่ ดร้ ับจากเพ่ือนร่วมงานกระบวนการเป็นวงจรตอ่ เนอ่ื งผลที่ได้นาไปสู่การเปลีย่ นแปลงการปฏิบตั ิงาน อาจวจิ ัย
จากปัญหาทีเ่ กิดขน้ึ ในช้ันเรยี นหรือวจิ ัยควบคกู่ บั การเรยี นการสอนก็ได้ ให้ความสาคัญกับการคดิ ค้นพัฒนา
นวตั กรรมเพ่ือแก้ปัญหาหรอื พัฒนาการเรียนการสอน
จากทก่ี ลา่ วข้างตน้ อาจสรุปไดว้ า่ ลักษณะของการจัดทาการวิจัยในช้ันเรยี นเปน็ การแกป้ ัญหาในการจดั กิจกรรม
การเรียนการสอนในชน้ั เรียนของครทู ี่เกิดขน้ึ กับนักเรียนซ่ึงอาจเป็น
รายบคุ คล เปน็ กลมุ่ หรือทั้งห้องเรียนโดยเน้นใหค้ รผู สู้ อนเป็นผูจ้ ัดทาวจิ ยั ควบค่กู บั การจดั การเรียนการสอนซึง่
เนอื้ หาของการวจิ ยั ก็จะเป็นเร่ืองต่าง ๆ ท่เี กย่ี วข้องกบั การจัดการเรยี นการสอน เช่น ด้านหลักสตู ร ส่อื การสอน
หรือการวัดผลประเมนิ ผล เพ่ือแก้ไขปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอนของตนเองให้นักเรยี นมีคุณลักษณะอัน
พงึ ประสงค์
1.4 ปัญหำและอุปสรรคในกำรทำวิจัยในช้นั เรยี น
มีนกั การศึกษาได้กลา่ วถึงปัญหาและอปุ สรรคในการทาวจิ ยั ในชั้นเรียนไวด้ ังนี้
ปราณี น่นุ นอ้ ย (2540 : 4; อ้างอิงมาจาก สานกั งานคณะกรรมการขา้ ราชการคร.ู 2534) ได้สรปุ ข้อบกพร่องของ
ผลงานวชิ าการประเภทงานวิจยั ไว้ดังนี้
1. เกย่ี วกบั หวั ขอ้ งานวจิ ัยและการกาหนดปญั หา พบว่างานวิจยั ไม่สอดคล้องกบั การปฏบิ ัตหิ น้าท่แี ละการกาหนด
ตาแหน่งของ ก.ค. กาหนดจุดประสงค์ของการวจิ ยั กว้างมากและเปน็ เรื่องท่ีมปี ระโยชนต์ ่อนักเรียน นกั ศกึ ษาและ
งานในหน้าที่น้อย ไม่อาจนาไปใช้ปฏิบตั ิได้ ขาดภมู ิหลังของปญั หาและผวู้ ิจยั ไมส่ ามารถเสนอปัญหาให้ผู้อ่านเห็น
ความสาคัญของปัญหา
2. เกี่ยวกบั การออกแบบงานวิจัย พบวา่ การออกแบบการวจิ ัยไมเ่ หมาะสม ทาให้ไม่บรรลจุ ดุ มงุ่ หมายของการวิจัย
ที่ตั้งไว้ ขาดองคป์ ระกอบทส่ี าคญั ของการวิจัยและไม่มคี วามใหม่หรอื ขาดความคิดสร้างสรรค์
3. เกย่ี วกับเอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กีย่ วข้อง พบว่าไมม่ เี อกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ กีย่ วขอ้ ง หรือถา้ มีกไ็ ม่สัมพันธ์กับ
งานวิจัยเรอื่ งนน้ั ๆ ไม่มขี ้อสรุปไมว่ จิ ารณ์ ไม่ขยายต่อหรอื ไมม่ คี วามคดิ เหน็ ของผ้วู ิจัย
4. เก่ยี วกบั การต้งั สมมติฐาน พบวา่ การตัง้ สมมตฐิ านไมถ่ ูกตอ้ งหรือขาดเหตผุ ลประกอบ
5. เกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูล พบวา่ การเลอื กกลมุ่ ตวั อย่างไม่เหมาะสม ลาเอยี ง ใชเ้ ครื่องมอื ไม่เหมาะสม ไม่
รายงานคุณภาพของเครื่องมือ
6. เก่ยี วกบั การวิเคราะหข์ ้อมูล พบว่าใชส้ ถติ ไิ ม่ถูกต้อง ทาให้ไม่น่าเช่ือถอื
7. เกย่ี วกบั สรุปผลการวจิ ยั และรายงานการวจิ ัย พบวา่ เสนอผลงานวจิ ัยไมช่ ัดเจน การอภิปรายยังไม่สนบั สนนุ
ประเด็นสาคญั ขอ้ เสนอแนะมีลกั ษณะไมเ่ ฉพาะเจาะจงและไมเ่ ป็นผลสืบเนอื่ งจากการวิจัย การเขยี นรายงานการ
วิจัยขาดความเชื่อมโยง ไมม่ ีการอา้ งอิง ข้อมลู ที่นามาใช้ในการวิจัยหรืออ้างอิงผิดพลาด
จากการศึกษางานวิจัยของ เลอชยั โชคสวสั ด์ิ (2546) ไดส้ รุปปัญหาการวจิ ยั ในชั้นเรยี นแบง่ ออกเปน็ ประเภทใหญ่
ๆ ได้ 4 ดา้ น คือ
1. ปญั หาด้านการดาเนนิ งานวิจัยท่ัวไป
2. ปัญหาด้านบคุ ลากรที่เกยี่ วขอ้ งในการวิจยั คือครูผ้วู จิ ยั และผูบ้ รหิ าร
3. ปญั หาด้านงบประมาณสนับสนนุ การวิจยั
4. ปัญหาด้านวัสดอุ ปุ กรณ์ และแหลง่ ข้อมลู ในการทาวจิ ัยในชนั้ เรียน
สมชาย ลือสกลุ กิจ (2548 ) ไดศ้ กึ ษาปัญหาและแนวทางสง่ เสรมิ การวจิ ัยในช้ันเรียนของครูในสถานศกึ ษาขน้ั
พ้ืนฐาน ช่วงช้ันที่ 1-2 อาเภอกระนวน สงั กดั สานักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษาขอนแกน่ เขต 4 ได้สรุปผลการวจิ ยั ดังนี้
1. ปัญหาการวจิ ัยในชนั้ เรยี นของครู โดยรวมในสถานศึกษาข้ันพน้ื ฐาน อยู่ในระดับมากเม่อื พิจารณารายด้าน พบว่า
ปญั หาสองอนั ดบั แรกคือ ปัญหาด้านงบประมาณการวิจยั และปัญหาการเขียนรายการวจิ ัยอยูใ่ นระดบั มาก
ตามลาดบั
2. ปัญหาการวิจยั ได้แก่ การขาดหนว่ ยงานที่จดั สรรงบประมาณโดยตรง ขาดผเู้ ชี่ยวชาญใหค้ าปรกึ ษาและฝึกอบรม
ด้านการวจิ ัย ขาดเอกสารการวิจยั ในชนั้ เรียนซ่งึ ไม่เพยี งพอต่อความต้องการของครู ขาดการสนับสนุนสง่ เสรมิ การ
วิจยั ในชั้นเรียนอยา่ งชัดเจนและเป็นไปในทิศทางเดยี วกัน ขาดการให้ความรู้เกี่ยวกับการวเิ คราะหข์ ้อมลู การเขียน
รายงาน การนาเสนองานวิจยั ในชนั้ เรียน
นิคม กลางหนองแสง (2549) ไดศ้ ึกษาสภาพและปญั หาการทาวิจัยในชั้นเรยี นในสถานศึกษาข้ันพื้นฐานของ
ครผู ูส้ อน ศูนยเ์ ครือข่ายจตรุ มิตร อาเภอนา้ พอง สงั กดั สานักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาขอนแก่น เขต 4 ไดส้ รปุ
ผลการวจิ ยั ว่า ปญั หาการวจิ ัยในชัน้ เรียนของครูผสู้ อน ครผู ู้สอนมีปญั หาในภาพรวมและในรายด้านอยูใ่ นระดับปาน
กลาง เมอื่ พจิ ารณาปญั หาในแต่ละด้าน พบวา่ มีปัญหาสงู สดุ ในดา้ นงบประมาณในการาวิจัย รองลงมาคือ เวลาทา
การวจิ ัย ทป่ี รึกษาในการทาวจิ ัย ความรคู้ วามเข้าใจในการทาวจิ ยั และแหล่งความรู้สาหรบั คน้ คว้า
จากการนาเสนอปัญหาและอุปสรรคในการวิจยั ในชนั้ เรียนของนักวิจยั และหน่วยงานทเี่ ก่ียวข้อง สรปุ ไดว้ ่าปญั หาที่
ประสบในการดาเนนิ การวจิ ัยทางการศกึ ษาหรอื การวจิ ยั ในช้นั เรียนนัน้ จะเปน็ ปญั หาทีส่ ืบเนอ่ื งมาจากการขาด
ปจั จยั ท่เี อ้ือตอ่ การวิจยั ในช้ันเรียน ได้แก่ ปญั หาเกีย่ วกบั ตัวผ้วู ิจยั ที่ขาดพน้ื ฐานความร้เู กย่ี วกบั วจิ ัย ครูผูว้ จิ ยั ไม่มี
เวลาเพยี งพอ หรอื แม้กระท่งั ครไู มเ่ ขา้ ใจในความมุ่งหมายของการวจิ ยั ในช้ันเรียน โดยมงุ่ นาผลการวิจยั ที่ได้เพอ่ื
เสนอขอเล่อื นตาแหนง่ แตไ่ มไ่ ด้นาผลการวิจัยไปใช้เพ่ือแก้ปัญหาหรือพฒั นาการเรยี นการสอนในช้ันเรยี น เป็นต้น
ปญั หางบประมาณสนบั สนุนไมเ่ พียงพอ ปญั หาขาดแคลนวสั ดอุ ุปกรณ์ท่ใี ช้และสนบั สนนุ การวจิ ยั ตลอดจนปัญหา
การไม่ไดร้ บั ความร่วมมือหรือเหน็ ความสาคญั ของการวิจัยในช้ันเรยี นจากบุคคลทเ่ี กย่ี วข้อง เช่น ผูบ้ ริหาร เพอ่ื น
ร่วมงาน หรือหน่วยงานอื่นท่ีเก่ียวข้อง จรญู บญุ ธรรม(2549) ได้ศึกษาปญั หาการทาวิจัยในชนั้ เรียนของครผู ้สู อนใน
สถานศึกษาข้นั พ้นื ฐาน ระดับช่วงชนั้ ท่ี 1-3 ของครผู ู้สอน ศูนยเ์ ครอื ข่ายกระนวน อาเภอกระนวน สงั กดั สานักงาน
เขตพื้นทกี่ ารศึกษาขอนแกน่ เขต 4 ไดส้ รุปผลการวิจัย ดังนี้
1. ในการทาวจิ ัยในชัน้ เรียนครผู สู้ อนมีปัญหาอยู่ในระดบั ปานกลาง ทงั้ ในภาพรวม และรายด้าน โดยครผู ูส้ อนมี
ปัญหาสว่ นตวั สงู กวา่ ปญั หาในการดาเนนิ การวิจยั
2. ครูผู้สอนมีปญั หาส่วนตวั โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมอื่ พิจารณาเปน็ รายด้านพบว่ามปี ัญหามากอยู่ 1 ข้อ คือ
ขาดงบประมาณการสนบั สนุนการทาวิจยั ในชัน้ เรยี น ส่วนขอ้ อื่น ๆ มปี ัญหาในระดับปานกลางทกุ ข้อไดแ้ ก่ อยู่ไกล
แหล่งเรียนรทู้ จ่ี ะศึกษาค้นคว้าวรรณกรรมท่ีเกี่ยวขอ้ ง ขาดวัสดอุ ปุ กรณ์ในการทาวจิ ัยในช้นั เรยี น มภี าระงานสอน
มากทาใหไ้ ม่มีเวลาในการทาวิจัยในชั้นเรียน มีภาระงานพเิ ศษมากทาให้ไมม่ เี วลาในการทาวิจยั ในชั้นเรยี น ขาดที่
ปรึกษาหรือผู้ใหค้ าแนะนา เกี่ยวกบั การ วิจยั ในชนั้ เรียน ขาดตวั อย่างงานวิจยั ในชนั้ เรยี น ส่วนข้อทีม่ ีปญั หาตา่ สุด
คอื ขาดความร้คู วามเข้าใจเก่ียวกบั การออกแบบการวจิ ยั ในชนั้ เรียน
3. ครูผูส้ อนมปี ญั หาในการดาเนินการวจิ ัยในช้นั เรยี นในระดับปานกลางทัง้ ในภาพรวมและในรายขัน้ ตอนโดย
ข้นั ตอนที่มปี ญั หาสูงสุดคอื การสรุปผลแลการสะท้อนผลการดาเนินการวจิ ยั ข้นั ตอนทีม่ รี ะดบั ปัญหารองลงมา
ตามลาดับคือ การดาเนนิ การวิจยั การวางแผนการวจิ ัย การสารวจปญั หาและกาหนดปัญหา เป็นต้น
1.5 ประโยชนข์ องกำรวิจัยในช้นั เรียน
จากบทความทางวิชาการเรื่อง การวจิ ยั ในชัน้ เรยี น : ทางเลือกใหม่ทนี่ ่าสนใจ ในวารสารวชิ าการปที ี่ 3 ฉบับที่ 11
พฤศจิกายน 2543 ของกรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธกิ ารไดก้ ล่าวถงึ คุณคา่ และประโยชน์ของการวจิ ัยในช้นั เรยี น
ไว้ดงั น้ี
1. ประโยชน์ตอ่ นกั เรียนเอง
การวิจยั ในชนั้ เรียนมปี ระโยชน์แกน่ ักเรยี นเพราะนักเรยี นมีความรพู้ น้ื ฐานในด้านการเรยี นหลากหลายและแตกตา่ ง
กนั ครูผูส้ อนจะต้องจดั การเรียนการสอนใหห้ ลากหลายและเหมาะสมกับนักเรียน การวิจัยในช้นั เรยี นจะทาให้ครูรู้
ว่าจะใชก้ ารเรยี นการสอนเป็นกลุ่ม (Group) หรอื เป็นรายบุคคลจะทาใหค้ รูคน้ พบนวตั กรรม (Innovation) เพ่ือใช้
สอนนกั เรยี นจะสง่ ผลให้นักเรียนมศี กั ยภาพในด้านการเรยี นอย่างสงู สดุ นอกจากนจ้ี ะชว่ ยให้ครผู ู้สอนแก้ปญั หาใน
ดา้ นการเรยี นการสอนแกน่ กั เรียนอย่างเปน็ ระบบมหี ลกั เกณฑ์สง่ ผลให้นกั เรยี นเปน็ คนดี คนเก่ง และมีความสุข
2. ประโยชนต์ อ่ ครูผู้สอน
การวจิ ัยในชนั้ เรยี นมปี ระโยชน์ต่อครูผสู้ อน จะทาให้ครูมีการวางแผนการทางานที่จะช่วยแก้ปัญหานักเรยี นอยา่ ง
เป็นระบบมีหลักเกณฑ์ ครูผ้สู อนจะจดั ทาแผนการสอนเพ่ือเตรยี มการสอนเปน็ อย่างดี มีการสังเกตเพื่อบันทึกผล
หลงั การสอนสาหรับแกไ้ ขปญั หานกั เรยี นในชนั้ เรยี นเป็นรายบคุ คลหรอื รายกลมุ่ การจดั ทาแผนการสอนและทาวิจยั
ในชั้นเรียนจะช่วยให้ครูปรับแผนการสอนให้ดยี ิ่งข้ึน การวิจัยในช้นั เรยี นทาใหค้ รูมีความคิดสรา้ งสรรค์ เตรยี มการ
สอนและพัฒนาการสอนของตนเองตลอดเวลา ครผู ้สู อนสามารถใชก้ ารวจิ ยั ในชั้นเรียนเปน็ ผลงานทางวิชาการ
ครูผ้สู อนจะเป็นนักวจิ ยั รุน่ ใหม่ เมอ่ื ผลิตผลงานวจิ ัยในช้นั เรยี นออกมาในครงั้ แรกอาจมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง ครงั้
ต่อไปกส็ ามารถปรับปรงุ แกไ้ ขใหด้ ีกว่าเดิมและเผยแพร่ผลงานของตนเองได้
3. ประโยชนต์ อ่ วงการศึกษา
โรงเรียนหรอื สถานศึกษาท่ีมคี รูทาการวิจัยในชน้ั เรยี นมากจะสง่ ผลให้โรงเรียนหรอื สถานศึกษามีมาตรฐานทาง
วชิ าการสูง เพราะการวจิ ยั ในช้ันเรยี นจะทาใหผ้ ลสัมฤทธท์ิ างการเรียนของนักเรยี นสงู ขึน้ การทาวิจยั ในช้นั เรยี นจะ
ส่งผลให้ครมู ีปฏสิ ัมพนั ธก์ นั มีการปรึกษาหารอื ทางการเรยี นการสอนมากขึน้ โรงเรียนและสถานศึกษาจะมคี รู
ร่วมกนั แก้ไขปญั หานักเรียนโดยการระดมความคิด (Brain Strom) แก้ไขปัญหานกั เรยี นอย่างหลากหลายและมี
ประสทิ ธิภาพสูงสดุ ครผู ้สู อนในวิชาตา่ ง ๆ จะชว่ ยเหลือการทางาน เช่น ครูภาษาไทย ช่วยตรวจตัวสะกดความ
ถกู ต้องของภาษา ครูคณติ ศาสตร์จะช่วยเหลือในด้านการคานวณคา่ สถิติในดา้ นการวิจัย ครูทสี่ อนภาษาองั กฤษอาจ
ชว่ ยเหลอื ในด้านการแปลบทความและอ่านงานวจิ ยั ที่เกย่ี วข้องกับการวจิ ัยในชัน้ เรยี นที่เป็นภาษาองั กฤษเปน็ ตน้
การทคี่ รูผู้สอนทาการวิจยั ในช้ันเรยี นจะส่งผลให้ครขู วนขวายหาความรู้อยเู่ สมอ สนใจในดา้ นการวจิ ยั ต่าง ๆ เพื่อ
นามาปรับปรุงการเรยี นการสอนของช้ันเรียนตน ส่งผลใหโ้ รงเรยี นหรอื สถานศึกษามชี ื่อเสียงมากย่งิ ขึน้ โรงเรยี น
หรือสถานศึกษาท่มี ผี ลงานวิจัยที่ดีเผยแพร่ออกไปในโรงเรยี นต่าง ๆ สามารถศึกษางานวิจัยในช้นั เรยี นทด่ี ีน้ันมา
ประยกุ ต์ (Apply) ใช้ในช้นั เรียนของตนได้ ทาให้การจดั การศกึ ษาของชาติมปี ระสิทธิภาพ การทาวิจยั ในชน้ั เรยี นจะ
กระตนุ้ ให้มีการพฒั นางานวชิ าการทางด้านการศึกษาอย่เู สมอส่งผลให้วิชาชพี ครูมีมาตรฐานและเป็นครูมอื อาชพี
โดยมพี ืน้ ฐานของการวิจยั เป็นเคร่ืองมือเพอ่ื ใชส้ าหรับการพัฒนาการเรียนการสอนซ่ึงเปน็ ประโยชนต์ ่อวงการศึกษา
สุวัฒนา สวุ รรณเขตนิคม ( 2542) ได้กลา่ วถงึ ประโยชน์และความสาคัญของการวจิ ัยในช้นั เรยี นพอสรปุ ได้ดงั นี้
การทาวิจัยในช้ันเรียนนน้ั จะช่วยใหค้ รูมีวิถชี ีวติ ของการทางานครอู ย่างเปน็ ระบบเหน็ ภาพของงานตลอดแนว มกี าร
ตัดสินใจท่ีมีคุณภาพเพราะจะมองเห็นทางเลือกต่าง ๆ ได้กว้างขวางและลกึ ซง้ึ แล้วจะตดั สนิ ใจเลือกทางตา่ ง ๆ
อยา่ งมเี หตผุ ลและสรา้ งสรรค์ ครนู กั วจิ ยั จะมโี อกาสมากข้ึน ในการคดิ ใคร่ครวญเก่ยี วกับเหตผุ ลของการปฏบิ ัติงาน
และครจู ะสามารถบอกไดว้ า่ การจัดการเรยี นการสอนทปี่ ฏิบัตไิ ปนนั้ ได้ผลหรือไมเ่ พราะอะไร นอกจากน้คี รูท่ีใช้
กระบวนการวจิ ัยในการพัฒนากระบวนการเรียนการสอนนี้จะสามารถควบคมุ กากับ และพัฒนาการปฏบิ ัติงาน
ของตนได้อย่างดเี พราะการทางาน และผลของการทางานนัน้ ลว้ นมีความหมาย และคณุ คา่ สาหรับครูในการพฒั นา
นกั เรียนผลจากการทาวิจยั ในชนั้ เรยี นจะช่วยให้ครูไดต้ วั บง่ ชท้ี ่เี ปน็ รปู ธรรมของผลสาเร็จในการปฏบิ ัติงานของครูอนั
จะนามาซึ่งความร้ใู นงานและความปีติสขุ ในการปฏิบัตงิ านท่ีถกู ต้องของครู เปน็ ทีค่ าดหวงั ว่า เมอ่ื ครผู สู้ อนได้ทา
การวจิ ัยในชั้นเรยี นควบคไู่ ปกับการปฏบิ ตั งิ านสอนอย่างเหมาะสมแลว้ จะก่อให้เกิดผลดตี ่อวงการศึกษา และวชิ าชพี
ครอู ย่างน้อย 3 ประการ คือ
1. นกั เรียนจะมกี ารเรียนรทู้ ีม่ ีคณุ ภาพและประสทิ ธิภาพยงิ่ ขนึ้
2. วงวชิ าการศึกษาจะมีข้อความรู้และ/หรือนวตั กรรมทางการจดั การเรยี นการสอนทเี่ ป็นจริงเกดิ มากขนึ้ อันจะเปน็
ประโยชนต์ ่อครแู ละเพื่อนครูในการพฒั นาการจดั การเรียนการสอนเป็นอยา่ งมาก และ
3. วถิ ีชวี ิตของครู หรือวัฒนธรรมในการทางานของครู จะพัฒนาไปสคู่ วามเป็นครมู อื อาชีพ(Professional
Teacher) มากย่ิงขน้ึ ทงั้ นี้เพราะครนู ักวิจัยจะมีคุณสมบัติของการเปน็ ผู้แสวงหาความรหู้ รือผเู้ รยี น(Learner) ใน
ศาสตร์แหง่ การสอนอย่างต่อเนือ่ งและมีชวี ิตชีวา จนในท่ีสุดก็จะเปน็ ผ้ทู ่ีมคี วามรู้ความเขา้ ใจท่กี ว้างขวาง และลกึ ซึ้ง
ในศาสตร์และศลิ ปแ์ หง่ การสอนเปน็ ครูทีม่ ีวทิ ยายุทธแ์ กร่งกลา้ ในการสอนสามารถท่ีจะสอนนกั เรยี นให้พฒั นา
กา้ วหนา้ ในดา้ นตา่ ง ๆ ในหลายบริบทหรือทเี่ รยี กว่าเปน็ ครูผู้รอบรู้ หรือครปู รมาจารย์(Master Teacher) ซ่งึ ถา้ มี
ปรมิ าณครูนักวจิ ัยดงั กลา่ วมากขนึ้ จะช่วยใหก้ ารพฒั นาวิชาชพี ครเู ป็นไปอยา่ งสรา้ งสรรค์และม่ันคงในปัจจุบันซง่ึ
เปน็ ทีย่ อมรับกันวา่ การวจิ ยั ในชนั้ เรียนจะเป็นเครือ่ งมือสาคัญในการพัฒนาวถิ ีชีวิตครู เพ่ือให้ครูพัฒนาไปสู่ความ
เปน็ ครูมอื อาชพี ในสังคมวชิ าการของวิชาชีพครู โดยสรปุ ประโยชนข์ องการวิจัยในชัน้ เรยี นน้นั มีประโยชนต์ อ่
นักเรียน ตอ่ ครผู ู้สอน ประโยชน์ต่อโรงเรยี น หรือสถานศึกษาต่อวงการศึกษาของชาติ นอกจากนีก้ ารวิจัยในช้นั
เรยี นยังเป็นการสรา้ งนักวจิ ยั รุ่นใหม่ใหเ้ กิดข้ึนในวงการศกึ ษา ทาใหค้ รมู ีพ้นื ฐานของการวิจยั มีความม่ันใจเพ่อื เปน็
นกั วิจัยมอื อาชพี ต่อไปในอนาคต ได้มนี ักศึกษาและหน่วยงาน กลา่ วถึง ประโยชนก์ ารทาวิจัยในช้ันเรยี นไวด้ ังน้ี
สวุ ิมล ว่องวานชิ (2546) กลา่ วถงึ ประโยชน์ของการวจิ ยั ปฏบิ ัติการในช้นั เรียนวา่ การวิจยั ปฏบิ ัตกิ าร ในชั้นเรียนเป็น
เคร่ืองมือสาคัญท่ชี ว่ ยในการพัฒนาวชิ าชีพครู เนอื่ งจากข้อค้นพบที่ไดม้ าจากกระบวนการสบื ค้นทเ่ี ปน็ ระบบและ
เชื่อถอื ได้ ทาใหผ้ ู้เรียนเกดิ การพฒั นาการเรยี นรู้ และครูเกิดการพฒั นาการเรียนการสอน นอกจากนย้ี ังเปน็ การ
พัฒนาผู้ที่มสี ่วนร่วมนาไปสู่การพัฒนาชมุ ชนแหง่ การเรยี นรู้ และดว้ ยหลกั การสาคัญของการวิจยั ปฏิบัตกิ ารทเ่ี น้น
การสะท้อนผล ทาให้การวจิ ยั แบบนี้ส่งเสริมบรรยากาศของการทางานแบบประชาธิปไตยทที่ ุกฝา่ ยเกดิ การ
แลกเปลีย่ นประสบการณ์และยอมรับในขอ้ คน้ พบร่วมกนั ภัทรา นิคมานนท์ (2544 : อา้ งองิ ใน เพลนิ พศิ ดาศักดิ์.
2546 ) กล่าววา่ การวิจยั มปี ระโยชนต์ อ่ ด้านการเรยี นการสอน ดงั นี้
1. ชว่ ยเพิ่มพนู วิทยาการให้กว้างขวางมากยง่ิ ขน้ึ เนื่องจากปัญหาหรอื เรื่องทท่ี าการวจิ ยั นั้นจะตอ้ งไม่ซ้าซอ้ นกัน
ดังน้ันการวจิ ยั จึงเป็นการแสวงหาความรหู้ รอื ในสง่ิ ทย่ี งั ไมร่ ู้แต่ผลยังไม่ชัด ผลการวิจัยจงึ ก่อใหเ้ กดิ ความรู้ใหม่ ๆ
2. ช่วยใหม้ เี ครื่องมือเทคโนโลยที ่ีทันสมัย ซ่ึงเปน็ ผลจากการศกึ ษาค้นควา้ ทางการวิจยั ทาใหก้ ารเรยี นการสอน
ทนั สมยั ยิง่ ขนึ้
3. ชว่ ยให้ครูสามารถศึกษาค้นควา้ หาความรไู้ ด้ด้วยตนเอง โดยวิธกี ารวจิ ัยทาใหเ้ ป็นผู้ทนั สมัยอยเู่ สมอ
4. ช่วยให้ครสู ามารถปรับปรุงวธิ กี ารเรยี นการสอนไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ โดยวธิ กี ารวิจยั ทาใหเ้ ป็นผู้ทันสมยั อยู่
เสมอ
5. ช่วยใหค้ รูสามารถประเมนิ ผลการสอนของตนได้ว่า มีความสาเร็จเพียงไร มจี ดุ บกพร่องท่คี วรแก้ไข และสามารถ
แกไ้ ขจุดบกพร่องไดโ้ ดยใช้เทคนคิ การวิจัย
สถาบนั พัฒนาคุณภาพการศึกษา (2548 ) ได้กลา่ วถงึ ประโยชนแ์ ละคุณคา่ ของการวิจยั ในชั้นเรียนไว้หลายประการ
ดงั นี้
1. ผลการวจิ ัยสามารถนาไปใชใ้ นการกาหนดปัญหาหรือพัฒนางาน(Identifying problems or opportunities)
2. ผลการวจิ ัยสามารถใช้เป็นทางเลือกและปฏบิ ตั ิตามทางเลือกที่ดีท่ีสดุ (Selecting and implementing a
course of action )
3. ผลการวจิ ยั สามารถชใี้ หเ้ หน็ ผลการปฏิบตั งิ านได้ 2 ลักษณะ คือ การวิจัยเชงิ ประเมินผล(Evaluation research)
และการวจิ ัยเพ่ือติดตามผลการทางาน(Performance-monitoring)
4. ผลการวจิ ัยสามารถนาไปใช้กาหนดนโยบายเพ่อื พฒั นาคุณภาพการศกึ ษา
5. ผลการวจิ ัยนาไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน
6. ผลการวิจยั สามารถนาไปใชเ้ ปน็ ข้อมูลพืน้ ฐานในการจัดทาระบบสารสนเทศ เพื่อพัฒนาคณุ ภาพการศึกษา
สรุปไดว้ ่า ประโยชน์ในการทาวิจัยในชัน้ เรยี นชว่ ยปรบั ปรงุ การเรียนการสอนให้มปี ระสทิ ธิภาพ มปี ระโยชน์ต่อการ
บริหารการเรยี นการสอนและการดาเนินชวี ิต ผลจากการวิจัย
นาไปพฒั นาตนเอง พฒั นาสงั คมและพัฒนาการเรียนการสอน นอกจากนัน้ ยงั นาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการทางานให้มี
ประสิทธภิ าพ
1.6 กำรเขียนรำยงำนกำรวจิ ยั ในชั้นเรียน
การเขยี นรายงานการวิจัยในชั้นเรยี น เปน็ ขนั้ ตอนหนง่ึ ของกระบวนการวิจยั ในชน้ั เรียนมนี ักศึกษาหลายท่านได้
กล่าวไวด้ งั นี้
สวุ ิมล วอ่ งวานิช (2543 ; อา้ งองิ ใน ครูรักษ์ ภริ มย์รกั ษ.์ 2544 ) ไดส้ รปุ เก่ียวกบั การเขยี นรายงานการวิจยั
ปฏิบตั กิ ารในชนั้ เรียนไว้วา่ การวิจัยปฏิบัตกิ ารในชนั้ เรียนไม่ใชเ่ รื่องยากเกินความสามารถของครทู กุ คน สามารถทา
ไดถ้ ้ามคี วามมุ่งมน่ั ทจี่ ะทา และเมื่อตดั สนิ ใจทีจ่ ะทาแล้วก็ไม่ตอ้ งไปกังวลว่าวิธกี ารวิจยั ที่ใช้จะไม่ถกู ต้องตามหลกั
วิชา เพราะหลักการของการปฏิบตั กิ ารวจิ ยั ในชั้นเรียน คือการนาเสนอลการวิจัยเพ่ือแก้ไขปญั หาในหอ้ งเรยี นให้
หมดไป ถา้ รายงานการวจิ ัยในชน้ั เรยี นของครูเปน็ รายงานทใ่ี หค้ วามรใู้ หมใ่ นการแกป้ ญั หา และใช้กระบวนการวิจัย
ท่ีเชอื่ ถือได้ รายงานการวิจัยในชน้ั เรยี นของครเู ปน็ รายงานการวิจยั ทีค่ วรยอมรับได้ การเขยี นรายงานการวจิ ัยในช้ัน
เรยี นควรมอี งค์ประกอบ ดังน้ี
1. ชือ่ เรอ่ื งของการวจิ ัย
2. ปัญหาและความสาคญั ของปญั หา
3. วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจยั
4. วธิ กี ารวิจยั
-กลมุ่ เป้าหมาย
-วธิ กี ารหรอื นวตั กรรมทใ่ี ช้
-วธิ ีการเก็บรวบรวมข้อมลู
-วิธีการวเิ คราะห์ข้อมูล
-ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
5. สรปุ และสะท้อนผล
ครรุ ักษ์ ภริ มย์รักษ์ (2544) การเขยี นรายงานการวิจัยในชัน้ เรียนเปน็ ขน้ั ตอนสดุ ท้ายของกระบวนการวจิ ยั ในช้นั
เรียน หลังจากทไี่ ด้ดาเนนิ การวเิ คราะห์ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาจนได้ผลการวิจยั ตามวัตถุประสงค์แล้ว การรายงาน
การวิจัยโดยทัว่ ไปมีวัตถุประสงค์เพ่ือสรปุ ผลการวิจัยเผยแพร่ให้ผสู้ นใจได้ศึกษาหาความรู้ และนารูปแบบวธิ ี
ดาเนินงานและผลการวิจัยไปใชใ้ นการปฏบิ ตั ิงานรวมทง้ั เพื่อเป็นผลงานทางวิชาการของครสู าหรับการเลอ่ื น
ตาแหนง่ ท่ีสงู ขน้ึ ประวติ เอราวรรณ์ (2545) กล่าววา่ การวิจัยในชั้นเรียนมีโครงสรา้ งของการเขียนรายงาน
เหมอื นกับการวจิ ัยท่วั ไป ซงึ่ ประกอบด้วย 17
1. สว่ นนาประกอบดว้ ย ปกหน้า ปกใน บทคดั ย่อ กิตติกรรมประกาศ สารบัญ สารบญั ตาราง สารบญั แผนภูมิ และ
รายการสัญลักษณท์ ใ่ี ช้(ถา้ มี)
2. สว่ นเนอื้ หา ประกอบด้วย
2.1 บทที่ 1 บทนา ไดแ้ ก่ ความเป็นมาและความสาคญั วตั ถุประสงคข์ องการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย สมมุติฐาน
การวจิ ัย (ถา้ มี) ข้อตกลงเบื้องตน้ (ถา้ มี) นิยามศัพท์เฉพาะ (นยิ ามปฏิบตั กิ าร) และประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะไดร้ ับ
2.2 บทที่ 2 แนวคิดทฤษฎี และงานวจิ ยั ท่ีเกยี่ วข้อง ได้แก่ แนวคดิ ทฤษฎเี กี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาการวจิ ัย
งานวจิ ัยทีเ่ ก่ียวข้อง และกรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย
2.3 บทท่ี 3 วธิ ีดาเนนิ การวจิ ัยได้แก่ กลุ่มเป้าหมายในการวิจยั เครอื่ งมือทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั การเก็บรวบรวมข้อมูล
และการวิเคราะห์ข้อมูล
2.4 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ได้แก่ ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู (กาหนดหัวข้อในการนาเสนอตามวัตถุประสงค์
ของการวิจัย)
2.5 บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผลการวจิ ัย และข้อเสนอแนะ ได้แก่ สรุปผลการวจิ ัย อภิปรายผลการวจิ ัย และ
ขอ้ เสนอแนะ
3. ส่วนอา้ งอิง ประกอบด้วย บรรณานุกรม และภาคผนวก เชน่ ตัวอยา่ งเครื่องมือท่ีใช้ในการวิจยั ตัวอยา่ งการ
วิเคราะห์ข้อมลู รายนามผทู้ รงคุณวฒุ ิตา่ ง ๆ และข้อมลู อา้ งองิ อน่ื ๆ
ยทุ ธ ไกยวรรณ์ (2545) กลา่ วว่า การเขยี นรายงานการวิจัยเป็นการพรรณนาอธบิ าย หรอื ชี้แจงรายละเอียดทั้งหมด
ของงานวิจัยชิน้ น้นั ๆ อย่างตรงไปตรงมาครบถ้วน เพ่ือเป็นหลักฐานอนั หนกั แนน่ ของการทาวิจยั ต่อความสาเร็จ
อย่างสมบูรณ์ของงานวิจัยชน้ิ นนั้ ๆ สว่ นประกอบของการรายงานการวจิ ยั สว่ นใหญจ่ ะประกอบดว้ ย 4 ส่วน คอื
1. สว่ นตอนตน้
2. ส่วนเน้ือเรอ่ื ง
3. ส่วนบรรณานกุ รม
4. ส่วนภาคผนวก
มนสชิ สทิ ธสิ มบรู ณ์ (2543) กลา่ วว่าการเขียนรายงานฉบับย่อ เปน็ การเขียนสรปุ ความส้ัน ๆ ความยาวประมาณ
1-5 หนา้ กระดาษ A 4 ซ่ึงเป็นการสรุปย่อในประเดน็ สาคัญ ๆ คอื หวั ขอ้ / ช่ือเรื่องการวิจยั ปัญหาสาเหตุ วิธกี าร
แก้ ผลการแก้ไข และการสะท้อนผลการเขียนรายงานการวิจยั ในชั้นเรยี นฉบับเตม็ โดยท่วั ๆ ไป การเขียนรายงาน
การวจิ ัยในชั้นเรยี นฉบับเต็ม แบ่งส่วนสาคัญออกได้ 3 ส่วน คือ
1. ส่วนนำ ประกอบด้วย สว่ นสาคัญดงั นี้
1.1 หน้าช่อื เรือ่ ง ซ่ึงเปน็ หน้าแรกของรายงานการวจิ ัย ประกอบด้วย ชื่อเรื่อง ช่อื ผทู้ าการวจิ ัย
และหน่วยงานทีผ่ ู้วจิ ัยสังกดั
1.2 บทคดั ยอ่ เปน็ บทสรุปส้นั ๆ เก่ียวกับการดาเนนิ งานวิจัยท้งั หมด โดยมีจุดมุ่งหมายท่ีจะช่วย
ให้ผู้อา่ นได้อ่านเน้ือเร่อื งยอ่ ๆ ก่อนท่ีจะตดั สินใจว่าควรจะอ่านผลการวจิ ยั น้ันทง้ั ฉบบั หรือไมบ่ ทคัดย่อทดี่ ีมักจะ
ประกอบดว้ ยประกอบดว้ ยปัญหา วธิ ดี าเนินการวิจัย และข้อสรุปท่ีสาคัญ ๆ
1.3 กติ ติกรรมประกาศเป็นข้อความสั้น ๆ กล่าวขอบคุณผใู้ หค้ วามช่วยเหลือหรอื ใหค้ วามรว่ มมอื
ในการคน้ คว้าวจิ ัย
1.4 สารบัญ ประกอบด้วยหัวเรอ่ื งประจาบท หัวขอ้ ย่อยในแต่ละบท และเลขหนา้ ของหัวข้อนั้น ๆ
ปรากฏอยู่
1.5 สารบัญตาราง ประกอบด้วยเลขทข่ี องตาราง หัวเร่อื งตาราง ดงั เชน่ ท่ปี รากฏอยใู่ นส่วน
เนอ้ื ความ และเลขหน้าท่ีตารางนั้น ๆ ปรากฏอยู่
2. ส่วนเนื้อควำม
ในการเขียนรายงานการวิจัยมักนิยมแบง่ เน้ือหาออกเปน็ 5 บท ด้วยกันคือ
บทท่ี 1 บทนา
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกีย่ วข้อง
บทที่ 3 วิธีดาเนนิ การวิจัย
บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล
บทท่ี 5 สรุปผล การอภิปราย และข้อเสนอแนะ
บทที่ 1 บทนา ควรจะประกอบด้วยหัวขอ้ ยอ่ ย ๆ ดังนี้
1. ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหาการวิจัย เขียนแนวคดิ กวา้ ง ๆ ในสิ่งท่เี ป็นเหตุ เปน็ ผลของเร่อื งทีศ่ ึกษา
ระบุใหเ้ ห็นความสาคญั ประโยชนแ์ ละคุณคา่ ที่จะได้รับจากงานวจิ ัย ในเร่ืองน้ี
2. วัตถปุ ระสงคใ์ นการคน้ คว้า โดยการเขียนชัดเจนเปน็ ข้อ ๆ และสอดคล้องปัญหาการวิจัย
3. สมมติฐาน เปน็ การเขียนคาดคะเนผลการวจิ ยั วา่ เป็นอย่างไรใหช้ ดั เจนสอดคล้องกับ ความมุ่งหมายในการวิจัย
เปน็ ขอ้ ๆ
3.1 ข้อตกลงเบื้องตน้
3.2 ขอบเขตของการค้นคว้า
3.3 คานิยามศัพท์เฉพาะ
3.4 ประโยชน์และคณุ ค่าของการวจิ ัย
บทท่ี 2 เป็นบทท่ีเกีย่ วกับเอกสารและงานวิจัยท่เี ก่ยี วข้องเป็นสว่ นท่ีจะชว่ ยใหเ้ ห็น ภาพพจนข์ องปัญหาให้เด่นชัด
ยง่ิ ขึ้น ชว่ ยชีใ้ ห้เห็นเหตุผลท่ีนาไปสูจ่ ดุ หมายของการวิจัยและชว่ ยช้ใี ห้ทราบวา่ สว่ นทเี่ ก่ียวข้องกับโครงการวจิ ัยสว่ น
ใดบ้าง ที่มผี ู้ ดาเนนิ การไปแลว้ และสว่ นท่เี กยี่ วขอ้ งสัมพันธ์กบั งานวจิ ัยท่ีเราสนใจ ในการสรุปเอกสารและงานวิจยั
ทเ่ี ก่ียวข้อง ควรเลอื กกล่าวถึงเฉพาะสง่ิ ท่สี าคัญ เช่น วัตถุประสงคก์ ารวจิ ยั วิธกี ารท่ีผวู้ จิ ยั ใช้ในการแก้ปัญหา ผลที่
ได้รับ ข้อสรปุ และความคิดเห็นเกีย่ วกับคุณคา่ ของการวจิ ัยนนั้ ๆ ความคิดเหน็ จากเอกสารและงานวิจัยตา่ ง ๆ ที่
นามากลา่ วถงึ ควรจะนาความคดิ จากแหล่งตา่ ง ๆ มารวมกัน และเขยี นเสนอเปน็ คาพูดของผู้เรยี นเอง
บทท่ี 3 เป็นบททก่ี ล่าวถงึ วิธีดาเนินการวจิ ยั ซ่งึ มกั จะกลา่ วถึงหัวขอ้ ย่อย ๆ ดังน้ี
1. ประชากร / กลุ่มตวั อย่างท่ีศกึ ษา โดยการกล่าวถึง ลกั ษณะของประชากรทจี่ ะใช้ในการวิจยั วิธีการเลอื กกลมุ่
ตวั อยา่ งทศ่ี ึกษา และรายละเอยี ดอืน่ ๆ ทีจ่ าเปน็
2. เคร่ืองมือทใี่ ช้ โดยกล่าวถงึ เครอื่ งมือท่ีใชใ้ นการแกป้ ัญหา และเครื่องมือทีใ่ ชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู
3. วธิ ีเก็บรวบรวมขอ้ มลู บอกถึงเครื่องมือท่ใี ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เร่ิมตั้งแต่การสรา้ งเครือ่ งมอื การหา
คณุ สมบตั ิที่ดีของเครื่องมือ และการใช้เคร่ืองมือน้ันเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
4. วิธจี ัดกระทาข้อมูล บอกสถติ ทิ ี่ใช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู สงิ่ ท่สี าคัญในการนาเสนอ
บทที่ 4 ผลการวิจยั ก็คือ ตอ้ งเสนอผลอยา่ งกระจา่ งรัดกมุ และตามข้อเทจ็ จริง และในลกั ษณะท่ไี ดจ้ ดั เรยี งลาดับไว้
เปน็ อย่างดี การใชต้ ารางในการนาเสนอจงึ เปน็ เคร่ืองมือทส่ี าคัญ โดยเฉพาะการวจิ ยั ทีต่ ้องใชส้ ถิตมิ ากจะต้องเตรียม
ตาราง แผนภูมิ รูปภาพ หรืออ่ืน ๆ ทีต่ อ้ งการจะใช้ให้เรยี บร้อยเสียก่อนแลว้ จงึ จัดเรียงตามลาดบั ความสาคัญ
ตารางหรอื ภาพ ควรจะมีคาอธิบายไว้ขา้ งทา้ ยด้วยทุกคร้ัง วิธกี ารนาเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ควรประกอบดว้ ย
หวั ขอ้ ยอ่ ย ๆ ดงั น้ีสญั ลักษณ์และอกั ษรย่อที่ใชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมลู แสดงผลการวิเคราะห์ข้อมลู ตามลาดับข้นั ของ
สมมตฐิ าน ทั้งแปลความหมายจากตวั เลขตา่ ง ๆ นนั้ ด้วย
บทท่ี 5 เปน็ บทสรปุ ผลการวจิ ัย การอภปิ ราย และการให้ข้อเสนอแนะในบทสดุ ทา้ ยน้ี ถอื วา่ เป็นหัวใจสาคญั ที่สดุ
ของการเขียนรายงานการวิจยั เพราะจะต้องตคี วามและสรปุ ผลการคน้ พบทั้งหมด ในบทน้ีจึงมักจะเป็นการทบทวน
ปญั หาอย่างส้นั ๆ และนาสู่การสรปุ และการอภปิ รายผลทนั ที การสรปุ ผลไมค่ วรจะกล่าวกวา้ งเกนิ ไป ควรสรปุ ตาม
ขอ้ เทจ็ จริงที่พบในการวิจยั และใหไ้ ด้ครบตามวตั ถปุ ระสงคก์ ารวิจยั ในสว่ นของการอภิปรายผลควรจะมลี กั ษณะที่
สรา้ งสรรคซ์ ง่ึ ตอ้ งอาศยั ความเข้าใจเกี่ยวกบั ขอบเขตการวิจัย และงานวิจยั ต่างๆ ท่เี กี่ยวข้องเปน็ อยา่ งดี การ
อภปิ รายผลควรจะรวมถึงการประยกุ ต์ทฤษฎี การคานงึ ถงึ จุดอ่อนของวิธดี าเนินการวจิ ยั และควร จะมีการทบทวน
แนวคิดในการวิจยั ขอบเขตการวิจัย เพื่อนาไปสู่การเสนอแนะเกีย่ วกบั การวจิ ัยอน่ื ๆ ต่อไปในการสรปุ ผล การ
อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะควรจะประกอบดว้ ยหวั ข้อยอ่ ย ๆ ดังน้ี คอื
1. สรปุ โดยยอ่ เกยี่ วกับความมุ่งหมาย กลุ่มตวั อย่าง เคร่ืองมือทีใ่ ชใ้ นการวิจัยการวิเคราะห์ข้อมลู
2. ข้อยุติ สรุปผลการวิจยั เฉพาะประเด็นท่สี าคญั ๆ อภิปรายผล โดยบอกว่าผลการวจิ ัยสอดคล้องหรอื ขัดแยง้ กับ
สมมติฐาน ทฤษฎหี รือผลการวจิ ยั ของผอู้ น่ื ที่ทาการวิจัยมาก่อนอยา่ งไรและผลการวิจัยสมเหตุสมผลอยา่ งไร
3. ขอ้ เสนอแนะ เป็นการเสนอแนะสาหรับนาผลการวจิ ัยไปใช้ และข้อเสนอแนะปญั หาการวิจัยทน่ี า่ จะทาการวิจยั
ต่อไป
3. สว่ นอ้ำงอิง
สว่ นอ้างองิ ประกอบดว้ ยบรรณานกุ รม ภาคผนวก และประวัตผิ ูว้ จิ ยั
1. บรรณานุกรม คือรายการหลกั ฐานของเอกสารทัง้ หมด รวมทงั้ วสั ดุทกุ ประเภททผี่ ้วู ิจัยได้ศึกษาคน้ คว้า ได้
แนวความคดิ มาหรืออา้ งองิ ถงึ ในการทาวิจยั เพื่อเป็นประโยชนแ์ ก่ผอู้ า่ นต่อไป
จากที่กลา่ วมาขา้ งตน้ อาจสรุปได้วา่ การวิจยั ในชนั้ เรียน หมายถงึ การทาวจิ ัยในช้ันเรียนซ่งึ เป็นกระบวนการ
แสวงหาความร้หู รือวิธีการใหม่ ๆ เพอ่ื แกป้ ัญหาท่เี กิดขึ้นจากบริบทในชั้นเรียนของตนเอง เพื่อพัฒนาคุณภาพการ
เรียนการสอนโดยดาเนนิ การวจิ ัยควบคู่ไปกับการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนพร้อม ๆ การจัดเก็บขอ้ มูลตามท่ีได้
วางแผนไวอ้ ย่างเปน็ ระบบ โดยมุ่งแก้ปัญหาและพัฒนานักเรยี นของตนเอง ซึ่งจัดทาโดยครูผสู้ อน
พชิ ิต ฤทธิ์จรญู (2547) กล่าวว่า การเขยี นรายงานการวิจัยในช้ันเรยี น ครูนักวิจัยควรยดึ ถอื หลักการปฏบิ ัติท่สี าคญั
ๆ ดงั น้ี
1. ความถกู ต้อง เนื้อหาสาระทุกรายการทเ่ี ขียน รวบรวม หรอื นามาเรียบเรยี งต้องมีความถกู ต้องตามหลักวชิ า ตาม
หลักการใช้ภาษา
2. ความครบถว้ นสมบรู ณ์ เน้ือหาสาระที่เรยี บเรยี งต้องมคี วามครบถว้ นสมบรู ณต์ ามวตั ถุประสงค์ของการวิจยั ตาม
กรอบโครงสรา้ ง หรือส่วนประกอบของรายงานทค่ี วรจะเป็นหรอื ตามรปู แบบทกี่ าหนดไว้
3. ความเปน็ เอกภาพ เนื้อหาสาระในแตล่ ะบท แต่ละตอน หรือแตล่ ะเร่ืองจะต้องมีความเปน็ เอกภาพหรอื เปน็ เร่ือง
เดียวกัน
4. ความสอดคล้องเช่ือมโยงสัมพนั ธ์กนั เน้ือหาสาระระหวา่ งหวั ขอ้ ระหว่างตอนจะตอ้ งมีความสอดคล้องเชอื่ มโยง
สมั พันธ์กนั
5. ความคงเส้นคงวา การใชค้ า วลี หรือข้อความในรายงานการวจิ ัย จะตอ้ งเปน็ รูปแบบเดยี วกนั หรอื มคี วามสมา่
เสมอตลอดทัง้ ฉบับ
6. ความตรงประเดน็ เขยี นเนื้อหาสาระให้ม่งุ ตอบปัญหาการวิจยั หรือวัตถุประสงค์ของการวิจยั ทกี่ าหนดไวเ้ ป็น
หลัก หลีกเล่ยี งการเขียนกวนหรอื ยืดยาวทม่ี สี าระไม่ตรงประเด็น
7. ความชัดเจน ใชภ้ าษาในการเขยี นให้ผอู้ ่านเขา้ ใจงา่ ย ไมก่ ากวมหรอื คลุมเครือ
สรุปได้ว่า การเขียนรายงานการวิจยั ในช้นั เรยี น เปน็ การเขียนเพือ่ บนั ทกึ รวบรวมองคค์ วามรเู้ ก่ยี วกับวิธีการหรือ
นวตั กรรมทค่ี ิดค้นแสวงหามาใชใ้ นการแก้ปัญหาการเรยี นการสอนของครูและแลกเปล่ียนเรยี นรกู้ บั เพ่ือนครูด้วยกัน
กรอบแนวคิดจึงเรียบง่าย ไม่มีรปู แบบโครงสร้างหรอื แบบแผนที่เป็นมาตรฐานเหมือนรายงานวิจัยทว่ั ไป
1.7 กำรสง่ เสริมสนบั สนนุ กำรวจิ ยั ในชนั้ เรียน
การสง่ เสรมิ ให้มีการทาวิจยั ในชั้นเรียน ประกอบด้วยปจั จยั 2 ด้านคือ
1.7.1 ปัจจยั ด้านนกั วจิ ัย ได้แกค่ วามรอบรูใ้ นสังคมรอบด้านความรู้เชิงทฤษฎีวิจัยความรอบรู้
เก่ียวกับระเบยี บการวจิ ัยความสามารถเชงิ วเิ คราะห์ ดังน้ี
1. มคี วามสามารถและรู้จักหาความร้มู าสรปุ
2. มีความรคู้ วามสามารถในการปรับปรงุ วิธีการหาความรดู้ ้วยวธิ ตี ่าง ๆ
3. มีความชานาญ มที ักษะในการปรับปรุงเคร่ืองมือวัดผลต่าง ๆ
4. มคี วามชานาญ มีทักษะการวเิ คราะห์ข้อมูล และใชว้ ธิ ีการทางสถติ ิในการวิเคราะห์
ข้อมูล การนาเสนอขอ้ มูลและการแปลข้อมลู
5. นาผลในการสบื คน้ ไปใช้ในการสืบอ้างวา่ จะใช้เม่ือใดและอยา่ งไร
6. มคี วามสามารถในการสรุป วเิ คราะห์และทานาย
7. มีความสามารถในการเผยแพร่ผลงานวจิ ยั หรอื เขยี นรายงานวจิ ัย
1.7.2 ปจั จัยดา้ นหน่วยงาน มีองค์ประกอบ 3 ดา้ น ดงั นี้
1. ดา้ นโครงสรา้ งของหน่วยงานท่มี ีประสทิ ธิภาพ ปัจจยั ป้อนในแง่ตา่ ง ๆ คือมีศนู ยข์ ้อมูล
ท่ดี ีและพรอ้ มทีจ่ ะหยบิ มาใช้
2. ดา้ นระบบบรหิ ารของหน่วยงานมีการจัดการและกระจายบคุ ลากรตลอดจนทรัพยากร
ต่าง ๆ สาหรบั การวจิ ัยอย่างเหมาะสมมีการแบ่งงานและความรับผิดชอบอยา่ งเหมาะสม มีผนู้ าทมี่ ีประสิทธิภาพ มี
ช่องทางหรือเผยแพร่และตดิ ต่อในงานวิจัย
3. ปัจจัยเกย่ี วกับบรบิ ทของการวิจยั ปจั จยั ดา้ นน้ีมคี วามเป็นนามธรรมซึ่งอาจตัดสินใจได้
ไมง่ ่ายนักวา่ มคี วามสมบูรณม์ ากน้อยเพยี งใด เป็นส่วนท่ีมอี ิทธพิ ลอย่างย่ิงต่อการวจิ ัยปัจจัยเหลา่ น้ีได้แก่แผนการ
แสวงหาความจริงท่มี ีมาแต่โบราณ ความใจกวา้ งในการรับฟังคาติชม การเปลยี่ นแปลงค่านิยมในการศึกษา ความ
ตอ้ งการงานวจิ ยั
2.1 ควำมหมำยของเจตคติ
เจตคติ หมายถึง ความร้สู กึ ท่ีแสดงออกมาในทางบวก หรือทางลบ เช่น พอใจ ไม่พอใจ เหน็ ดว้ ย ไมเ่ ห็นด้วย ชอบ
หรอื ไม่ชอบตอ่ บุคคลหรือสิง่ ใดส่ิงหนง่ึ เจตคติ หมายถึง ความรูสึกโน้มเอยี งของจติ ใจที่มีต่อสงิ่ ใดส่งิ หนง่ึ หรือ เรื่อง
ใด เรือ่ งหนงึ่ หรอื แบง่ เป็น 2 ลกั ษณะ คือ เชิงนิมาน และเชิงนเิ สธ
2.2 ลกั ษณะของเจตคติ
กฤษณา ศกั ด์ศิ รี ( 2530 :185 – 188 ) ได้กลา่ วถึงลกั ษณะที่สาคญั ของเจตคติ สรุปไดด้ ังน้ี
1. เจตคติเกิดจากการเรียนรู้หรือประสบการณ์ของบุคคลที่ไมใ่ ช่เป็นสิ่งทต่ี ิดตัวมาแต่กาเนิด
2. เจตคติเปน็ สง่ิ ทเี่ ปล่ยี นแปลงได้ข้ึนอยกู่ บั สภาพแวดล้อม สถานการณ์และเหตุการณ์ที่เปลีย่ นแปลงไป
3. เจตคติเป็นตวั กาหนดพฤติกรรมท้ังภายนอกและภายใน เราจะสังเกตได้ว่าบคุ คลมเี จตคติ ในทางยอมรบั หรือไม่
ยอมรบั โดยสังเกตพฤติกรรมท่บี ุคคลนัน้ แสดงออกมา
4. เจตคตเิ ปน็ ส่งิ ซับซ้อน มที ่ีมาสลบั ซบั ซอ้ น เพราะเจตคตขิ ึ้นอย่กู ับหลายประการ เชน่ ประสบการณ์การรบั รู้
ความรูส้ ึก ความคิดเหน็ อารมณ์ ส่งิ แวดลอ้ ม ฯลฯ ฉะนั้นจงึ ผันแปรได้
5. เจตคติเกดิ จากการเลียนแบบ สามารถถา่ ยทอดไปสูบ่ คุ คลอ่นื ๆได้
6. ทศิ ทางของเจตคติ มี 2 ทิศทาง คือ สนับสนุนหรอื ต่อตา้ นและปริมาณของเจตคติมีตงั้ แต่พอใจ อยา่ งยิง่ ปาน
กลาง จนถึงไม่พอใจอยา่ งยิง่ เจตคตขิ องบุคคลแตล่ ะคนจะมีความรุนแรงต่างกันไป
7. เจตคตอิ าจเกิดขึน้ มาจากความมีจติ สานึก หรอื จากจิตไร้สานึกกไ็ ด้
8. เจตคตมิ ลี กั ษณะคงทนถาวรพอสมควร กวา่ บุคคลจะมีเจตตติ ่อสง่ิ ใดได้ต้องใช้เวลานาน ใช้
ความคดิ ลกึ ซ้งึ พิจารณาละเอียดรอบคอบแล้จงึ เกดิ เจตคติต่อสง่ิ นั้น เจตคติอาจเกิดเปลี่ยนแปลงได้ แต่ไม้ได้
หมายความว่าจะเปล่ยี นได้ในเวลาอนั รวดเร็ว
9. บุคคลแต่ละบุคคลย่อมมีเจตคตติ อ่ บุคคล สถานการณส์ ่งิ เดยี วกัน แตกต่างกันได้ ทั้งนีข้ ึ้นอย่กู ับประสบการณ์
ของบุคคลน้นั
2.3 องค์ประกอบของเจตคติ
ประภาเพญ็ สวุ รรณ ( 2526 : 34 ) ได้กล่าวถึงองคป์ ระกอบของเจตคติไว้ดงั นี้
1. องค์ประกอบด้านพุทธปญั ญา หรือองค์ประกอบด้านความคดิ ( Cognitive component)
ได้แก่ ความคิดซึ่งเปน็ องคป์ ระกอบทีม่ นุษย์ใชใ้ นการวัด ความคิดนี้อาจอยู่ในรูปใดรปู หนึ่ง ที่ต่างกันข้ึนอยู่กบั
ความคดิ ของแต่ละบุคคลท่มี ีต่อสิ่งเร้า
2. องค์ประกอบทางด้านท่าทีความรูส้ ึก ( Affective component ) เป็นส่วนประกอบในด้าน
อารมณ์ความรสู้ กึ ซึง่ เป็นตวั เร้าความคดิ อีกต่อหนงึ่ ถา้ บุคคลมีความรสู้ กึ ที่ดหี รือไมด่ ี ในขณะท่คี ดิ สิ่งใดสงิ่ หนึง่
แสดงว่าบคุ คลนั้นมีความรู้สกึ ในดา้ นบวก หรือด้านลบตามลาดับตอ่ ส่งิ น้นั
3. องคป์ ระกอบดา้ นปฏิบตั ิ หรอื องค์ประกอบด้านพฤตกิ รรม ( Beharioral component) เปน็
องคป์ ระกอบที่มีแนวโนม้ ในทางปฏิบัติ ถา้ มีส่งิ เรา้ ท่ีเหมาะสมจะเกิดการปฏบิ ตั หิ รือปฏิกิริยาอย่างใดอย่างหน่ึง