The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมเล่มบทที่ 6 การเขียนเค้าโครงการวิจัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by suphang.pi62, 2021-11-02 18:23:29

รวมเล่มบทที่ 6 การเขียนเค้าโครงการวิจัย

รวมเล่มบทที่ 6 การเขียนเค้าโครงการวิจัย

1. นาขอ้ มูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกมาวเิ คราะห์ดว้ ยการสร้างขอ้ สรุปจากการวเิ คราะห์เน้ือหา
(content analysis)

2. นาขอ้ มูลผลการประเมินความสอดคลอ้ งของผเู้ ช่ียวชาญ มาพจิ ารณาเกณฑค์ วามสอดคลอ้ ง
(index of congruence)ถา้ ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งมีค่ามากกวา่ หรือเท่ากบั .50 - 1.00 ถือ วา่ นิยาม
ความสามารถ และพฤติกรรมบ่งช้ีในแต่ละความสามารถและแนวทางการพฒั นา ความสามารถในการ
แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคข์ องนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี5 สามารถนาไปกาหนดไดจ้ ากผลการ
ประเมิน ไดค้ ่าดชั นีความสอดคลอ้ งอยรู่ ะหวา่ ง 0.70 -1.00 ซ่ึงแสดงวา่ นิยาม ความสามารถ และพฤติกรรม
บง่ ช้ีในแต่ละความสามารถและแนวทางการพฒั นา ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคข์ อง
นกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 มีความสอดคลอ้ งกนั

3. ปรับปรุงแกไ้ ข ขอ้ มูลจากการวเิ คราะห์เน้ือหา และขอเสนอแนะจากผเู้ ช่ียวชาญ มากาหนด
เป็นนิยาม ความสามารถ และพฤติกรรมบง่ ช้ีในแต่ละความสามารถและแนวทางการ พฒั นาความสามารถใน
การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคข์ องนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี5

ระยะที่ 2 การออกแบบและพัฒนา (Design & Development : D1 & D2)

ระยะที่ 2 การออกแบบและพฒั นา (Design & Development : D1 & D2) เพอ่ื พฒั นารูปแบบการ
เรียนการสอนที่เสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการานอาชีพของนกั เรียนช้นั
มธั ยมศึกษาปี ที่5โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคมผวู้ ิจยั ไดด้ าเนินการ ดงั น้ี

ข้นั ตอนท่ี 1 การร่างตน้ แบบของรูปแบบการเรียนการสอนที่เสริมสร้าง ความสามารถในการ
แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม เพื่อ
กาหนดกรอบแนวคิดในการสร้าง โครงร่างรูปแบบการเรียนการสอน และเพ่ือสร้างรูปแบบการเรียนการ
สอน ซ่ึงมีรายละเอียดตามข้นั ตอน ดงั น้ี

1. นาแนวคิดจากการศึกษาและวเิ คราะห์ขอ้ มูลพ้ืนฐาน ในระยะที่1 มากาหนดเป็ นกรอบ
แนวคิดในการออกแบบร่างรูปแบบการเรียนการสอนที่เสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคท์ างการงานอาชีพของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี5

2. สร้างร่างตน้ แบบของรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหา
อยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี5 ตามกรอบแนวคิดในการออกแบบร่าง
รูปแบบการเรียนการสอน เพ่ือสร้างและพฒั นาร่างรูปแบบการเรียนการสอนท่ี เสริมสร้างความสามารถใน
การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพ ร่วมกบั แนวคิดการ แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคโ์ ดย
ดาเนินการออกแบบ ดงั น้ี

2.1 ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหา อยา่ ง
สร้างสรรคก์ ารงานอาชีพ 5 ข้นั ตอน คือ

ข้นั ท่ี 1 ข้นั นาเสนอสถานการณ์ปัญหาปลายเปิ ด ( Challenge: C) เป็นข้นั ตอนที่ครูผสู้ อนนาเสนอ
สถานการณ์ปัญหาปลายเปิ ดใหก้ บั ผเู้ รียนไดเ้ ผชิญปัญหา โดยที่ผูส้ อน ไม่ไดแ้ นะวธิ ีการแกป้ ัญหาใหก้ บั
นกั เรียน ลกั ษณะของปัญหาอยใู่ นรูปของสถานการณ์ เช่น การเล่มเกม ปัญหาน้นั ไม่สามารถหาคาตอบได้
ในทนั ทีซ่ึงวธิ ีการแกป้ ัญหาน้นั จะข้ึนอยกู่ บั วตั ถุประสงคข์ องผสู้ อนวา่ จะกาหนดปัญหาใหผ้ เู้ รียนแกไ้ ข
สถานการณ์ที่กาหนดเป็ นปัญหาปลายเปิ ดชนิดใด

ข้นั ท่ี 2 ข้นั สารวจและคน้ หาขอ้ มูลเพือ่ นามาตดั สินใจแกป้ ัญหา (Survey: S) เป็นข้นั ที่นกั เรียน
จะตอ้ งคน้ หาเหตุผลของขอ้ มูล เพอื่ ตรวจสอบสมมติฐานท่ีต้งั ไวซ้ ่ึงนกั เรียน อาจตอ้ งใชว้ ธิ ีการหลายๆ วธิ ี
รวมท้งั สอบถามจากผสู้ อนดว้ ย ครูตอ้ งไมต่ อบปัญหาโดยการบอกหรือ บรรยายใหฟ้ ัง หากจาเป็ นจะตอ้ ง
ตอบปัญหาโดยไม่มีทางเลี่ยงใหใ้ ชว้ ธิ ีการใหด้ ูหรือใชว้ ธิ ีรุกคาถาม เพื่อใหน้ กั เรียนไดใ้ ชค้ วามคิดของตนเอง
มากท่ีสุดเท่าที่จะทาได้

ข้นั ที่ 3 ข้นั ออกแบบวธิ ีการแกป้ ัญหา (Solve: S) เป็นข้นั ที่ผูเ้ รียนหาวธิ ีที่หลากหลายเพอ่ื นาไปสู่การ
แกป้ ัญหา โดยผเู้ รียนแตล่ ะคนเสนอแนวทางในการแกป้ ัญหาที่แตกตา่ งกนั ไปตามความสามารถและ
ประสบการณ์เดิมของแต่ละบุคคล แลว้ นามาร่วมกนั อภิปรายในกลุ่มยอ่ ย ถึงแนวทางการแกป้ ัญหาท่ีไดว้ า่
เหมาะสมกบั สถานการณ์หรือไมเ่ พยี งใด

ข้นั ที่ 4 ข้นั นาเสนอวธิ ีการแกป้ ัญหาตอ่ ช้นั เรียนเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Share: S) หมายถึง เม่ือ
นกั เรียนไดค้ าตอบพร้อมกบั เหตุผลแนวคิดและวธิ ีหาคาตอบก็จะนาเสนอ หนา้ ช้นั เรียนเพื่อใหเ้ พื่อนไดร้ ับ
ทราบถึงวธิ ีการคิดของนกั เรียน หลงั จากน้นั ครูร่วมอภิปรายเพ่ือ พฒั นาไปเป็นปัญหาใหม่ เพ่อื นามาพฒั นา
ตอ่ ไป

ข้นั ที่ 5 ข้นั สรุปความคิดรวบยอด (Summarize: S) หมายถึง การท่ีครูและ นกั เรียนเรียนรู้ร่วมกนั
เพือ่ หาขอ้ สรุปของบทเรียนที่มีความเหมือนและแตกต่างในการหาคาตอบ ของแต่ละกลุ่มเพือ่ ที่จะสรุปเป็ น
แนวคิดร่วมกนั

2.2การออกแบบเน้ือหารายวชิ าใหส้ อดคลอ้ งกบั การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้โดยให้
นกั เรียนไดแ้ สวงหาความรู้และสร้างความรู้ดว้ ยตนเอง ฝึ กคิดการแกป้ ัญหาอยา่ งเป็ นระบบตามกระบวนการ
เรียนรู้โดยใชก้ ารแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคร์ วมท้งั กาหนดจุดประสงคก์ ารเรียนรู้และเวลาในการเรียน

2.3 กาหนดบทบาทนกั เรียน ซ่ึงนกั เรียนตอ้ งเขา้ ใจบทบาทและศกั ยภาพของตน ที่ควร
แสดงออกในการทากิจกรรม โดยเฉพาะการฝึกฝนการคิดแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคน์ กั เรียนควร ปฏิบตั ิได้

ในแตล่ ะข้นั ตอนของรูปแบบการเรียนการสอนที่เสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์
ทางคณิตศาสตร์ ดงั ต่อไปน้ี

2.3.1 นกั เรียนจะตอ้ งคน้ หาเหตุผลของขอ้ มูล เพือ่ ตรวจสอบสมมติฐานท่ีต้งั ไว้

2.3.2 นกั เรียนหาวธิ ีท่ีหลากหลายเพอื่ นาไปสู่การแกป้ ัญหา โดยผเู้ รียนแตล่ ะคนเสนอแนว
ทางในการแกป้ ัญหาท่ีแตกตา่ งกนั ไปตามความสามารถและประสบการณ์เดิมของแต่ละบุคคลแลว้ นามา
ร่วมกนั อภิปรายในกลุ่มยอ่ ย

2.3.3 เมื่อนกั เรียนไดค้ าตอบพร้อมกบั เหตุผลแนวคิดและวธิ ีหาคาตอบกจ็ ะนาเสนอหนา้ ช้นั
เรียนเพ่ือใหเ้ พ่ือนไดร้ ับทราบถึงวธิ ีการคิดของนกั เรียน

2.3.4 นกั เรียนเรียนรู้ร่วมกนั เพ่ือหาขอ้ สรุปของบทเรียนที่มีความเหมือนและแตกตา่ งในการ
หาคาตอบของแต่ละกลุ่มเพอื่ ท่ีจะสรุปเป็นแนวคิดร่วมกนั

2.4 บทบาทของครูผสู้ อน ครูผสู้ อนมีบทบาทในฐานะผอู้ านวยความสะดวก ดงั น้ี

2.4.1 ครูผสู้ อนนาเสนอสถานการณ์ปัญหาปลายเปิ ดใหก้ บั ผเู้ รียน ไดเ้ ผชิญปัญหาโดยท่ี
ผสู้ อนไมไ่ ดแ้ นะวธิ ีการแกป้ ัญหาใหก้ บั นกั เรียน

2.4.2 ครูตอ้ งไม่ตอบปัญหาโดยการบอกหรือบรรยายใหฟ้ ัง หากจาเป็นจะตอ้ งตอบปัญหาโดย
ไมม่ ีทางเลี่ยงใหใ้ ชว้ ธิ ีการใหด้ ูหรือใชว้ ธิ ีรุกคาถามเพือ่ ใหน้ กั เรียนได้ ใชค้ วามคิดของตนเองมากท่ีสุดเทา่ ท่ีจะ
ทาได้

2.4.3 จดั กิจกรรมให้นกั เรียนไดอ้ ภิปรายเก่ียวกบั ประเดน็ ปัญหาที่ สาคญั เนน้ ใหน้ กั เรียนลง
มือปฏิบตั ิจริง และไดเ้ ผชิญกบั สถานการณ์จริง

2.4.4 รับฟังความคิดเห็นของนกั เรียน และใหค้ วามสาคญั ต่อการแสดงความคิดเห็นของ

นกั เรียน

2.4.5 สังเกตความสนใจ พฤติกรรมของนกั เรียน เพ่ือจดั เตรียมแห ลงขอ้ มูลท่ีมีใหเ้ พยี ง
พอท่ีจะใหน้ กั เรียนไดเ้ ลือกใชต้ ามความถนดั ความสนใจ รวมท้งั ประเมิน นกั เรียนในดา้ นการฝึกทกั ษะ และ
ทากิจกรรมที่สอดคลอ้ งกบั รูปแบบการเรียนการสอนท่ีเสริมสร้าง ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคท์ างคณิตศาสตร์ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5

2.4.6 คอยดูแลการทากิจกรรมของนกั เรียนใหเ้ ป็นไปในแนวทาง ที่ถูกตอ้ ง เหมาะสมและ
อานวยความสะดวกเพื่อใหน้ กั เรียนสามารถเรียนรู้จากการทากิจกรรมได้

2.4.7 ครูร่วมอภิปรายเพื่อพฒั นาไปเป็นปัญหาใหม่ เพื่อนามาพฒั นาต่อไป

2.4.8 จดั บรรยากาศการเรียน เช่น จดั แหล่งเรียนรู้ใหเ้ พียงพอและ สิ่งแวดลอ้ มและบรรยากาศ
ที่มีชีวติ ชีวา สนบั สนุนและจูงใจใหน้ กั เรียนอยากคน้ ควา้ หาความรู้ เพ่ิมเติมดว้ ยตนเองในสิ่งที่สนใจและ
บรรยากาศของความเทา่ เทียมกนั

2.4.9 ส่งเสริมใหน้ กั เรียนมีอิสระในการสร้างแนวทางการ แกป้ ัญหา และใหค้ ุณคา่ ตอ่ แนวคิด
ที่นกั เรียนสร้างข้ึน

2.4.10 มีการเสริมแรงโดยครูผสู้ อนมีการใหร้ างวลั หรือชมเชย เม่ือนกั เรียนตอบคาถามหรือ
ร่วมตอบขอ้ ซกั ถาม หรือเม่ือทากิจกรรมไดถ้ ูกตอ้ ง

2.4.11 ครูและนกั เรียนเรียนรู้ร่วมกนั เพื่อหาขอ้ สรุปของบทเรียน ท่ีมีความเหมือนและ
แตกต่างในการหาคาตอบของแต่ละกลุ่มเพ่อื ที่จะสรุปเป็นแนวคิดร่วมกนั

2.5 ออกแบบการวดั และประเมินผล เป็ นการวดั และประเมินผลในแต่ละ กิจกรรม ใชก้ าร
วดั และประเมินผลการเรียนตามสภาพจริง ไดแ้ ก่ การสงั เกตพฤติกรรม ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคแ์ ละประเมินผลงาน

2.6 สร้างร่างตน้ แบบของรูป แบบการเรียนการสอนท่ีเสริมสร้าง ความสามารถในการ
แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 ข้นั ตอนท่ี2การตรวจสอบเพ่อื
ยนื ยนั ความเหมาะสมของร่างรูปแบบการเรียนการสอน เป็ นการประเมินผล (ร่าง) ตน้ แบบของรูปแบบการ
เรียนการสอน โดยผเู้ ช่ียวชาญพจิ ารณา ความเหมาะสมและนาผลการพิจารณามาปรับปรุงแกไ้ ขรูปแบบการ
เรียนการสอนตามรายละเอียด การดาเนินการ ดงั น้ี

1. นาร่างตน้ แบบของรูปแบบการเรียนการสอนที่เสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคท์ างการงานอาชีพ เสนอต่อผเู้ ช่ียวชาญ เพ่ือตรวจสอบความเหมาะสม ความชดั เจนและความ
สอดคลอ้ งของข้นั ตอนของร่างตน้ แบบของรูปแบบการเรียนการสอนที่และ ปรับปรุงแกไ้ ขตามขอ้ เสนอของ
ผเู้ ชี่ยวชาญ

2. ตรวจสอบเพื่อยนื ยนั ความเหมาะสม ความชดั เจนและความสอดคลอ้ งของ ข้นั ตอนของร่าง
ตน้ แบบของรูปแบบการเรียนการสอนตามกรอบแนวคิดท่ีผวู้ จิ ยั สร้างข้ึนตามความมุ่งหมายของการวจิ ยั ดว้ ย
แบบประเมินรูปแบบการเรียนการสอนและกาหนดเกณฑก์ ารตดั สินผลการประเมินดงั น้ี (บุญชม ศรีสะอาด,
2553)

คะแนนเฉลี่ย ความหมาย

4.51-5.00 เหมาะสมมากท่ีสุด

3.51-4.50 เหมาะสมมาก

2.51-3.50 เหมาะสมปานกลาง

1.51-2.50 เหมาะสมนอ้ ย

1.00-1.50 เหมาะสมนอ้ ยท่ีสุด

โดยผเู้ ชี่ยวชาญดา้ นการสอนการงานอาชีพดา้ นการวจิ ยั ดา้ นการบริหารสถานศึกษา และดา้ นการ
จดั การเรียนการสอน จานวน 5 ทา่ น ไดแ้ ก่

1. อาจารย์ ผชู้ ่วยศาสตราจารยอ์ มรรัตน์ ฉิมพลีนภานนท์ อาจารยป์ ระจาสาขาวชิ าการงานอาชีพ
และเทคโนโลยี คณะเทคโนโลยกี ารเกษตรและเทคโนโลยอี ุตสาหกรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เพชรบูรณ์

2. ผศ. ดร.จตุภูมิ เขตจตั ุรัส อาจารยป์ ระจาสาขาวชิ า การวดั และประเมินผล การศึกษาคณะ
ศึกษาศาสตร์มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น

3. นายธนปกรณ์ อวนป้อง ผอู้ านวยการโรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม

4. นายประเสริฐ สวสั ด์ิจิตร์ ผูอ้ านวยการโรงเรียนสกลราชวทิ ยานุกลู

5. นายสุริยนั รองไชย ตาแหน่งรองผอู้ านวยการกลุ่มงานวชิ าการโรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม

จากน้นั นาคา่ เฉล่ียท่ีไดจ้ ากการประเมินของผเู้ ช่ียวชาญมาวเิ คราะห์หาค่าเฉลี่ย ถา้ คา่ เฉลี่ยเทา่ กบั
3.51-5.00 ถือวา่ รูปแบบการเรียนการสอนอยใู่ นเกณฑท์ ี่ใชไ้ ดโ้ ดยผลการประเมิน ร่างรูปแบบการเรียนการ
สอน ดงั น้ี

1. การประเมินความเหมาะสม พบวา่ รูปแบบการเรียนการสอนมีความ เหมาะสมอยใู่ น ระดบั
มากท่ีสุด มีคา่ เฉล่ียเทา่ กบั 4.72และมีคา่ สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.54

2. การประเมินความสอดคลอ้ งของรูปแบบการเรียนการสอน ตามกรอบ แนวคิดท่ีผวู้ ิจยั สร้าง
ข้ึนตามจุดมุง่ หมายของการวจิ ยั คร้ังน้ีพบวา่ รูปแบบการเรียนการสอนมีความ สอดคลอ้ งตามกรอบแนวคิด
และจุดมุ่งหมายของการวจิ ยั ในระดบั มากท่ีสุด มีคะแนนความ สอดคลอ้ งโดยรวม 0.95

นอกจากน้ียงั ได้ ดาเนินการตรวจสอบรูปแบบการเรียนการสอน โดยวธิ ีการ สนทนาแบบเจาะจง
ตามประเด็นที่เก่ียวขอ้ งกบั รูปแบบการเรียนการสอนท่ีเสริมสร้างความสามารถ ในการแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคท์ างการงานอาชีพโดยผเู้ ชี่ยวชาญมีความเห็นและขอ้ เสนอแนะ ดงั น้ี

1. กรอบแนวคิดในการพฒั นารูปแบบมีความชดั เจน โดยภาพรวม องคป์ ระกอบมีความ
ครอบคลุม แต่ควรอธิบายใหเ้ ห็นลาดบั ความต่อเนื่องและสมั พนั ธ์กบั ทฤษฎีท่ี รองรับ

2. ควรทบทวนลาดบั ข้นั ตอนของรูปแบบการเรียนการสอน

3. ควรใชส้ านวนภาษาใหเ้ ป็นทางการและสื่อความหมายใหเ้ ขา้ ใจง่าย

4. ผวู้ จิ ยั ปรับปรุงตามคาแนะนาของผเู้ ช่ียวชาญอีกคร้ัง และนาโครงร่างรูปแบบการเรียนการ
สอนที่เสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพเสนอต่อผเู้ ชี่ยวชาญ

5. ปรับปรุงรูปแบบการเรียนการสอนอีกคร้ังเพ่ือเตรียมทดลองใชใ้ นระยะ ต่อไป

6. สร้างและตรวจสอบความเหมาะสมของเครื่องมือประกอบการรูปแบบการเรียนการสอนท่ี
เสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างคณิตศาสตร์

6.1 เครื่องมือท่ีใชใ้ นการทดลอง

6.1.1 แผนการจดั การเรียนรู้

1) ศึกษาเอกสารและคู่มือหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช
2551

2) ศึกษาเอกสารหลกั สูตรสถานศึกษาและแผนการจดั การ เรียนรู้ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี
5 ของโรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม ออกแบบหน่วยการเรียนรู้และกาหนด จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ตามตวั ช้ีวดั ให้
สอดคลอ้ งตามหลกั สูตรสถานศึกษาของโรงเรียน

3) ศึกษากรอบแนวคิดโครงร่างรูปแบบการเรียนการสอนที่ผูว้ จิ ยั สร้างข้ึน

4) สร้างแผนการจดั การเรียนรู้ฉบบั ร่าง

5) นาร่างแผนการจดั การเรียนรู้เสนอผเู้ ช่ียวชาญ เพอื่ ตรวจสอบความเหมาะสม
ก่อนการสร้างแผนการจดั การเรียนรู้ฉบบั สมบูรณ์

6) ปรับปรุงแกไ้ ขแผนการจดั การเรียนรู้ฉบบั ร่างตาม คาแนะนาของผเู้ ชี่ยวชาญ

7) สร้างแผนการจดั การเรียนรู้และนาไปเสนอคณะ ผเู้ ชี่ยวชาญ จานวน 5 ทา่ น ทา
การตรวจสอบคุณภาพของแผนการจดั การเรียนรู้

8) ปรับปรุงแกไ้ ขแผนการจดั การเรียนรู้ตามคาแนะนาของ ผเู้ ช่ียวชาญ และสร้าง
แผนการจดั การเรียนรู้ฉบบั สมบูรณ์

9) นาแผนการจดั การเรียนรู้ไปทดลองใช้ (Try out) กบั นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี
ท่ี5 โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2564 ท่ีไม่ใช่กลุ่ม ตวั อยา่ ง จานวน 30คน เพื่อ
ตรวจสอบความชดั เจนของภาษา ความยากง่ายของเน้ือหา และความ เหมาะสมของ เวลาในการจดั กิจกรรม

10) นาแผนการจดั การเรียนรู้ท่ีปรับปรุงแกไ้ ขแลว้ ไปใชใ้ น การทดลองต่อไป

6.1.2 คู่มือการใชร้ ูปแบบการเรียนการสอน

1) ศึกษากรอบแนวคิดของรูปแบบการเรียนการสอนที่ผวู้ จิ ยั สร้างข้ึน

2) กาหนดโครงสร้างของคู่มือ ประกอบดว้ ย

(1) ความสาคญั การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์

(2) จุดมุง่ หมายของการจดั การเรียนรู้รูปแบบการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์

(3) วธิ ีดาเนินการจดั กิจกรรมการเรียนรู้

(4) สื่อและการจดั สภาพแวดลอ้ ม

(5) วธิ ีการประเมินผล

3) ดาเนินการสร้างร่างคูม่ ือครูสาหรับรูปแบบการเรียนการ สอน

4) น าร่างคู่มือครูสาหรับรูปแบบการเรียนการสอนไปเสนอ เสนอผเู้ ช่ียวชาญ เพื่อ
ตรวจสอบความเหมาะสมก่อนการสร้างคู่มือครูสาหรับรูปแบบการเรียนการ สอนฉบบั สมบูรณ์

5) ปรับปรุงแกไ้ ขคู่มือครูสาหรับรูปแบบการเรียนการสอน ฉบบั ร่าง ตาม
คาแนะนาของผเู้ ช่ียวชาญ

6) สร้างคูม่ ือครูสาหรับรูปแบบการเรียนการสอน และนาไป เสนอคณะผเู้ ชี่ยวชาญ
จานวน 5 ทา่ น ทาการตรวจสอบคุณภาพของคู่มือครูสาหรับรูปแบบการเรียนการสอน

7) ปรับปรุงแกไ้ ขคูม่ ือครูสาหรับรูปแบบการเรียนการสอน ตามคาแนะนาของ
ผเู้ ช่ียวชาญ และสร้างคู่มือครูสาหรับรูปแบบการเรียนการสอนฉบบั สมบูรณ์

6.2 เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล

6.2.1 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียน

1) ศึกษาวธิ ีสร้างแบบทดสอบปรนยั แบบเลือกตอบ และระดบั ความสามารถทาง
พุทธิพิสัย จากการจาแนกของบลูม (Bloom and others, 1974)

2) ศึกษาตวั ช้ีวดั ที่จะนามาสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน

3) ทาตารางวเิ คราะห์โครงสร้างของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน

4) สร้างแบบทดสอบปรนยั แบบเลือกตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 40ขอ้ ตามตาราง
วเิ คราะห์โครงสร้างของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง การวเิ คราะห์ขอ้ มูลเบ้ืองตน้

5) นาแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนท่ีสร้างข้ึน เสนอผเู้ ช่ียวชาญเพ่ือ
ตรวจสอบความถูกตอ้ ง เหมาะสม ภาษาที่ใชข้ องวธิ ีการเขียนขอ้ คาถามและ พิจารณาความสอดคลอ้ งของขอ้
คาถามใหค้ รอบคลุมกรอบแนวคิด

6) นาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่สร้างข้ึน เสนอผเู้ ช่ียวชาญ จานวน
5 ทา่ น เพ่อื ตรวจสอบความตรงเชิงเน้ือหาโดยใชด้ ชั นีความสอดคลอ้ งกบั ตวั ช้ีวดั /จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
(IOC)

7) คดั เลือกขอ้ สอบที่มีดชั นีความสอดคลอ้ งระหวา่ งขอ้ คาถามกบั พฤติกรรมช้ีวดั
หรือคา่ IOC โดยพิจารณาขอ้ สอบที่มีค่า IOC ต้งั แต่ .50 -1.00 พบวา่ ขอ้ สอบมีดชั นี ความสอดคลอ้ งต้งั แต่
.80 -1.00 นอกจากน้ีผเู้ ช่ียวชาญไดแ้ นะนาใหป้ รับปรุง ตวั เลือกของแบบทดสอบบางขอ้ และปรับปรุงภาษาท่ี
ใชใ้ นบางแห่ง

8) นาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนท่ีปรับปรุง ตามคาแนะนาของ
ผเู้ ช่ียวชาญไปทดลองใช้ (Try out) กบั นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม ภาคเรียนที่ 2
ปี การศึกษา 2541จานวน 30คน ท่ีไม่ใช่กลุ่มตวั อยา่ ง

9) นาคาตอบของนกั เรียนมาตรวจใหค้ ะแนน โดยใช้ zero-one method คือ ขอ้ ท่ี
ตอบถูก ให้1 คะแนน ขอ้ ที่ตอบผดิ ไมต่ อบหรือตอบเกิน 1 คาตอบในขอ้ เดียวกนั ให้0 คะแนน

10) นาคะแนนที่ไดม้ าวิเคราะห์หาค่าอานาจจาแนก โดยใชว้ ธิ ีดชั นี บี (B - Index)
ทาการคดั เลือกขอ้ สอบที่เขา้ เกณฑม์ ีคา่ อานาจจาแนกรายขอ้ 0.20 -1.00 คดั เลือกขอ้ สอบท่ีอยใู่ นเกณฑไ์ ว้
จานวน 30 ขอ้ ซ่ึงไดค้ า่ อานาจจาแนก 0.32 -0.81

11) นาขอ้ สอบที่เขา้ เกณฑท์ ้งั 30 ขอ้ มาวเิ คราะห์หาค่า ความเชื่อมนั่ ของ
แบบทดสอบท้งั ฉบบั ไดค้ า่ ความเช่ือมนั่ ของแบบทดสอบ 0.83

12) จดั ทาแบบทดสอบวดั วดั ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน เร่ือง การวเิ คราะห์ขอ้ มูล
เบ้ืองตน้ ฉบบั สมบูรณ์

6.2.2 แบบทดสอบวดั ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ ผวู้ จิ ยั ดาเนินการ
สร้างแบบทดสอบวดั ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคโ์ ดยใชแ้ บบทดสอบสถานการณ์ซ่ึงเป็น
การจาลองสร้างเหตุการณ์ เรื่องราวตา่ งๆ ท่ีเกิดข้ึน แลว้ ให้นกั เรียนคิดหาวธิ ีในการแกป้ ัญหาหรือแสดง
ความรู้สึกวา่ ตนเองจะกระทาอยา่ งไรต่อเหตุการณ์ท่ีกาหนดข้ึน ในรูปแบบสถานการณ์จานวน 14 กิจกรรม

6.2.3 แบบสงั เกตพฤติกรรมท่ีเสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์
ทางการงานอาชีพ

1) ศึกษาเอกสารและตาราท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การวดั และประเมินผลดว้ ยแบบสังเกต
พฤติกรรมช้ีวดั ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์

2 ) ศึกษากรอบความคิดเกี่ยวกบั พฤติกรรมช้ีวดั ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคท์ างการงานอาชีพที่ผวู้ จิ ยั สร้างข้ึนมากาหนด วตั ถุประสงคข์ องการสงั เกตพฤติกรรมช้ีวดั
ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์

3) นาขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการศึกษามาสร้างเป็นแบบสังเกต พฤติกรรมช้ีวดั ความสามารถ
ในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคซ์ ่ึงมีลกั ษณะเป็นแบบตรวจรายการ โดยมีเกณฑก์ ารประเมินดงั น้ี

8-10 พฤติกรรม เท่ากบั ระดบั ดี

5-7 พฤติกรรม เท่ากบั ระดบั ปานกลาง

1-4 พฤติกรรม เท่ากบั ระดบั ปรับปรุง

4) น าแบบสังเกตพฤติกรรมช้ีวดั ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ ท่ี
ผวู้ จิ ยั สร้างข้ึนเสนอผูเ้ ชี่ยวชาญเพ่ือตรวจสอบความเท่ียงตรงเชิงโครงสร้างและประเมินความสอดคลอ้ งดว้ ย
ดชั นีความสอดคลอ้ ง โดยผเู้ ช่ียวชาญชุดเดิม

5) ปรับปรุงแกไ้ ขแบบสังเกตพฤติกรรมช้ีวดั การ ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคต์ ามคาแนะนาของผเู้ ช่ียวชาญให้เป็นฉบบั สมบูรณ์

6.2.4 แบบประเมินผลงานความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงาน
อาชีพ

1) ศึกษาเอกสารและตาราที่เก่ียวขอ้ งกบั การวดั และ ประเมินผล

2) ศึกษากรอบความคิดเกี่ยวกบั ความสามารถในการการ แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์

ที่ผวู้ จิ ยั สร้างข้ึน

3) นาขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการศึกษามาสร้างเป็นแบบ ประเมินผลงานความสามารถในการ
แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคโ์ ดยใชม้ าตราส่วน ประมาณค่าโดยใชเ้ กณฑก์ ารใหค้ ะแนน 3 ระดบั คือ 3 หมายถึง
ดี 2 หมายถึง ปานกลาง และ 1 หมายถึง พอใช้ ทาการวเิ คราะห์คา่ เฉล่ียของผลงานความสามารถในการ
แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคม์ าแปลความหมาย การประเมินผลตามเกณฑด์ งั น้ี

คา่ เฉล่ียคะแนน 2.50 -3.00 หมายถึง ผลงานระดบั ดี

คา่ เฉลี่ยคะแนน 1.50 -2.49 หมายถึง ผลงานระดบั ปานกลาง

ค่าเฉลี่ยคะแนน 1.00 -1.49 หมายถึง ผลงานระดบั พอใช้

4) นาแบบประเมินผลงานความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ ่ีผูว้ จิ ยั
สร้างข้ึนเสนอผเู้ ชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความเท่ียงตรงเชิงโครงสร้างและ ประเมินความสอดคลอ้ งดว้ ยดชั นี
ความสอดคลอ้ ง โดยผเู้ ช่ียวชาญชุดเดิม

5) ปรับปรุงแกไ้ ขแบบประเมินผลงานความสามารถใน การแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคต์ ามคาแนะนาของผเู้ ช่ียวชาญให้เป็นฉบบั สมบูรณ์

6.2.5 แบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนการสอน ท่ีเสริมสร้าง
ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพ

1) ศึกษาเอกสาร ตารา และงานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ งกบั เพอื่ ประกอบการสร้าง แบบ
ประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเสริมสร้าง ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคท์ างการงานอาชีพของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5

2) สร้างแบบประเมินความเหมาะสมรูปแบบการเรียน การสอนที่เสริมสร้าง
ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพ ของนกั เรียน ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5โดยแบบ

ประเมินเป็ นแบบมาตราส่วนประมาณคา่ (Rating Scale) 5 ระดบั ตาม แนวคิดของ Likert (Likert’s Scale)
โดยกาหนดให้ผตู้ อบเลือกตอบเพยี งคาตอบเดียว คือ มากท่ีสุด มาก ปานกลาง นอ้ ย นอ้ ยที่สุด กาหนดเกณฑ์
การใหค้ ะแนน มากที่สุด 5 มาก 4 ปานกลาง 3 นอ้ ย 2 นอ้ ยท่ีสุด 1 การแปลความหมาย โดยนาคะแนนมาหา
คา่ เฉลี่ย แลว้ กาหนดเกณฑใ์ นการแปล ความหมายค่าเฉลี่ย 5 ระดบั ดงั น้ี(บุญชม ศรีสะอาด, 2553)

คะแนนเฉลี่ย 4.51 -5.00 หมายถึง เหมาะสมมากท่ีสุด

คะแนนเฉลี่ย 3.51 -4.50 หมายถึง เหมาะสมมาก

คะแนนเฉลี่ย 2.51 -3.50 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง

คะแนนเฉล่ีย 1.51 -2.50 หมายถึง เหมาะสมนอ้ ย

คะแนนเฉลี่ย 1.00 -1.50 หมายถึง เหมาะสมนอ้ ยท่ีสุด

3) นาแบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนการสอน ที่ผวู้ ิจยั สร้างข้ึน
เสนอผเู้ ช่ียวชาญเพ่ือตรวจสอบ แลว้ ปรับปรุง แกไ้ ข ตามขอ้ เสนอแนะ

4) จดั ทาแบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการ เรียนการสอนฉบบั สมบูรณ์

5) ตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนการสอน จากการประเมินมี
คะแนนความเหมาะสมของรูปแบบการเรียนการสอนโดยรวม มีความ เหมาะสมมากท่ีสุด ( ̅ = 4.86และมี
คา่ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.44)

6.2.6 ศึกษานาร่อง (Pilot Study) เพ่ือประเมินประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนการสอน
ก่อนนาไปทดลองใชจ้ ริง ผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนินการดงั น้ี

1) พฒั นาครูกลุ่มศึกษานาร่อง ซ่ึงเป็นครูที่ปฏิบตั ิหนา้ ท่ี สอนวชิ าการงานอาชีพ
ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี5 โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม จานวน 3 คน เป็นเวลา 2 วนั

2) พฒั นานกั เรียนโดยทดลองรูปแบบการเรียนการสอน ที่เสริมสร้างความสามารถ
ในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 เพ่อื ตรวจสอบ
ประสิทธิภาพของแผนการจดั การเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอน

กลุ่มสาหรับการศึกษานาร่องประกอบดว้ ย ครูท่ีปฏิบตั ิ หนา้ ที่สอนวชิ าคณิตศาสตร์ระดบั ช้นั
มธั ยมศึกษาปี ท่ี5 โรงเรียนพงั โคนวทิ ยาคม จานวน 3คน และ นกั เรียนเป็นนกั เรียนท่ีครูกลุ่มศึกษานาร่อง
จดั การเรียนรู้เอง จานวน 90 คน

การศึกษานาร่องการรูปแบบการเรียนการสอนที่เสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคท์ างการงานอาชีพของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของแผนการ
จดั การเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอนท่ีสังเคราะห์ข้ึนกบั นกั เรียนและครูท่ีมีสภาพการจดั การเรียนรู้
คลา้ ยกลุ่มทดลองจริง เพอื่ ตรวจสอบความเป็ นไปไดข้ องข้นั ตอนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ความเหมาะสม
ของเวลาในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้และทดลองใชค้ ู่มือประกอบการใชร้ ูปแบบการเรียนการสอน จาก
การศึกษานาร่อง พบวา่ แผนการจดั การเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอน มีประสิทธิภาพ เทา่ กบั 82.26/
80.83 นกั เรียนท่ีไดร้ ับการจดั การเรียนรู้ดว้ ยรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเสริมสร้างความสามารถในการ
แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างคณิตศาสตร์ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 มีความคิดเห็นต่อการจดั
กิจกรรมโดยรวมอยใู่ น ระดบั ดี ( ̅ = 4.60, S.D. = 0.67) และผลการศึกษาความคิดเห็นของครู ที่มีต่อ
รูปแบบการเรียนการสอน มีผลการประเมินโดยรวมอยใู่ นระดบั เหมาะสมมากที่สุด ( ̅ = 4.86, S.D. = 0.42)
แสดงวา่ รูปแบบการเรียนการสอนมีความเหมาะสม สามารถนาไปใชใ้ นการจดั การเรียนรู้ต่อไป

ระยะที่ 3 การทดลองใช้(Implement : I)

ระยะท่ี 3 การทดลองใช(้ Implement : I)เป็นการวิจยั (Research : R2) เพ่อื ทดลองใช้ (Implement :
I) รูปแบบการเรียนการสอนที่เสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพ
ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 ผวู้ จิ ยั นารูปแบบการจดั การเรียนการสอนที่ผา่ นการปรับปรุงและแกไ้ ขไป
ทดลองใชก้ บั นกั เรียนกลุ่มตวั อยา่ ง โดยผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนินการ ดงั น้ี

1. ประชากรท่ีใชใ้ นการทดลอง ไดแ้ ก่

ประชากรที่ใชใ้ นการทดลองคร้ังน้ีนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 โรงเรียนพงั โคน
วทิ ยาคม ปี การศึกษา 2564 จานวน 8 หอ้ งเรียน จานวน 240 คน

กลุ่มตวั อยา่ ง นกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่5 โรงเรียนพงั โคนวิทยาคม ปี การศึกษา
2564 จานวน 2 หอ้ งเรียน จานวนนกั เรียน 60 คน จากหอ้ งเรียนที่นกั เรียนคละ ความสามารถจาแนกเป็ นกลุ่ม
ทดลองไดแ้ ก่นกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี5/2จดั การเรียนการสอนดว้ ยรูปแบบการเรียนการสอนท่ี
เสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพจานวน 30คน และกลุ่มควบคุม
ไดแ้ ก่ นกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5/3 ที่ไดร้ ับ การจดั การเรียนการสอนดว้ ยรูปแบบปกติ จานวน 30
คน ซ่ึงไดม้ าโดยใชว้ ธิ ีสุ่มตามแบบแผนการ ทดลองแบบกลุ่มควบคุมทดสอบ ก่อนหลงั (Randomized
control group pretest-posttest design) (ชวลิต ชูกาแพง, 2555)โดยผวู้ จิ ยั เป็นผปู้ ฏิบตั ิหนา้ ที่สอนและบนั ทึก
ขอ้ มูลดว้ ยตนเอง

การจาแนกนกั เรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมออกเป็น 3 ระดบั ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการ
เรียน ทาไดโ้ ดยการนาคะแนนของผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนวชิ าการงานอาชีพจากการสอบ กลางภาครวมกบั

คะแนนการสอบปลายภาค ในภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2564ของนกั เรียนแต่ละคน ซ่ึงวดั ดว้ ยแบบทดสอบ
ของโรงเรียนฉบบั เดียวกนั ทุกหอ้ งเรียน มาหาคา่ เฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐาน ดงั ตาราง 5

ตารางที่ 5 จานวนนกั เรียนจาแนกตามระดบั ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนของกลุ่มทดลองและ กลุ่มควบคุม

ระดบั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน กลุ่มทดลอง กลุ่มควบคุม
สูง 10 9
8 7
ปานกลาง 12 14
ต่า 30 30
รวม

2. เครื่องมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั มีดงั น้ี
2.1 เครื่องมือท่ีใชใ้ นการทดลอง

2.1.1 แผนการจดั การเรียนรู้
2.1.2 คูม่ ือครูสาหรับรูปแบบการเรียนการสอน
2.2 เครื่องมือที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
2.2.1 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
2.2.2 แบบทดสอบวดั ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์
2.2.3 แบบสังเกตพฤติกรรมความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์
2.2.4 แบบประเมินผลงานความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์

2.2.5 แบบประเมินรูปแบบการเรียนการสอน ผวู้ จิ ยั นารูปแบบการจดั การเรียนการ
สอนที่ผา่ นการปรับปรุงและแกไ้ ขไปทดลองใชก้ บั กลุ่มตวั อยา่ ง โดยผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนินการดงั น้ี

3. วธิ ีดาเนินการวจิ ยั

ในระยะท่ี 3 ผวู้ จิ ยั ดาเนินการโดยใชร้ ะเบียบวธิ ีวจิ ยั แบบการวจิ ยั ทดลอง(experimental
design) แบบกาหนดกลุ่มควบคุม ทดสอบก่อนและหลงั การจดั การเรียนรู้ (Randomized control group
pretest-posttest design) (ชวลิต ชูกาแพง, 2555)

4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล

ข้นั ตอนท่ี 1 ดาเนินการใชร้ ูปแบบการเรียนการสอนท่ีเสริมสร้างความสามารถใน
การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่5 เป็นข้นั การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
และการวเิ คราะห์ขอ้ มูลผวู้ ิจยั ดาเนินการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ดงั ต่อไปน้ี

1. ทดสอบกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมดว้ ยแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียน ที่ผวู้ จิ ยั สร้างข้ึน เพือ่ เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนระหวา่ งกลุ่มทดลองและ กลุ่มควบคุม จาแนก
ตามระดบั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน

2. ทดสอบกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมดว้ ยแบบทดสอบวดั ความสามารถในการ
แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ ี่ผูว้ จิ ยั สร้างข้ึน เพ่ือใชค้ ะแนนจากการสอบน้ี เปรียบเทียบความสามารถในการ
แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคข์ องนกั เรียนระหวา่ งกลุ่มทดลองและ กลุ่มควบคุมจาแนกตามระดบั ผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรียน

3. การดาเนินการทดลอง ผวู้ จิ ยั จดั การเรียนรู้กลุ่มทดลองดว้ ยรูปแบบการเรียน
การสอนที่เสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพตามแผนการจดั การ
เรียนรู้ที่ผวู้ จิ ยั สร้างข้ึน มีข้นั ตอนการจดั กิจกรรม ดงั น้ี

ข้นั ท่ี 1 ข้นั นาเสนอสถานการณ์ปัญหาปลายเปิ ด (Challenge: C) เป็นข้นั ตอนท่ีครูผสู้ อน
นาเสนอสถานการณ์ปัญหาปลายเปิ ดใหก้ บั ผเู้ รียนไดเ้ ผชิญปัญหา โดยท่ีผูส้ อนไมไ่ ดแ้ นะวธิ ีการแกป้ ัญหา
ใหก้ บั นกั เรียน ลกั ษณะของปัญหาอยใู่ นรูปของสถานการณ์ เช่น การเล่มเกม ปัญหาน้นั ไมส่ ามารถหาคา
ตอบไดใ้ นทนั ทีซ่ึงวธิ ีการแกป้ ัญหาน้นั จะข้ึนอยกู่ บั วตั ถุประสงคข์ อง ผสู้ อนวา่ จะกาหนดปัญหาใหผ้ เู้ รียน
แกไ้ ขสถานการณ์ที่กาหนดเป็นปัญหาปลายเปิ ดชนิดใด

ข้นั ท่ี 2 ข้นั สารวจและคน้ หาขอ้ มูลเพอ่ื นามาตดั สินใจแกป้ ัญหา (Survey: S) เป็นข้นั ที่
นกั เรียนจะตอ้ งคน้ หาเหตุผลของขอ้ มูล เพื่อตรวจสอบสมมติฐานที่ต้งั ไวซ้ ้ึงนกั เรียน อาจตอ้ งใชว้ ธิ ีการ
หลายๆ วธิ ีรวมท้งั สอบถามจากผสู้ อนดว้ ย ครูตอ้ งไม่ตอบปัญหาโดยการบอกหรือบรรยายใหฟ้ ัง หากจาเป็ น
จะตอ้ งตอบปัญหาโดยไมม่ ีทางเลี่ยงใหใ้ ชว้ ธิ ีการใหด้ ูหรือใชว้ ธิ ีรุกคาถาม เพือ่ ใหน้ กั เรียนไดใ้ ชค้ วามคิดของ
ตนเองมากท่ีสุดเทา่ ที่จะทาได้

ข้นั ที่ 3 ข้นั ออกแบบวธิ ีการแกป้ ัญหา (Solve: S) เป็นข้นั ท่ีผเู้ รียนหาวิธีที่ หลากหลายเพอ่ื
นาไปสู่การแกป้ ัญหา โดยผเู้ รียนแตล่ ะคนเสนอแนวทางในการแกป้ ัญหาที่แตกตา่ งกนั ไปตามความสามารถ
และประสบการณ์เดิมของแต่ละบุคคล แลว้ นามาร่วมกนั อภิปรายในกลุ่มยอ่ ยถึงแนวทางการแกป้ ัญหาที่ได้
วา่ เหมาะสมกบั สถานการณ์หรือไม่เพียงใด

ข้นั ท่ี 4 ข้นั นาเสนอวธิ ีการแกป้ ัญหาตอ่ ช้นั เรียนเพ่อื แลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Share: S) หมายถึง
เม่ือนกั เรียนไดค้ าตอบพร้อมกบั เหตุผลแนวคิดและวธิ ีหาคาตอบกจ็ ะนาเสนอหนา้ ช้นั เรียนเพอ่ื ใหเ้ พ่ือนไดร้ ับ

ทราบถึงวธิ ีการคิดของนกั เรียน หลงั จากน้นั ครูร่วมอภิปรายเพอ่ื พฒั นาไปเป็นปัญหาใหมเ่ พ่อื นามาพฒั นา
ต่อไป

ข้นั ที่ 5 ข้นั สรุปความคิดรวบยอด (Summarize: S) หมายถึง การที่ครูและนกั เรียนเรียนรู้
ร่วมกนั เพื่อหาขอ้ สรุปของบทเรียนที่มีความเหมือนและแตกตา่ งในการหาคาตอบ ของแตล่ ะกลุ่มเพ่ือที่จะ
สรุ ปเป็ นแนวคิดร่วมกนั

กลุ่มควบคุมไดร้ ับการจดั การเรียนรู้ดว้ ยรูปแบบปกติ การเก็บรวบรวมขอ้ มูลระหวา่ งการจดั การ
เรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอนของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมดว้ ย แบบสังเกตพฤติกรรมความ
สามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคแ์ ละแบบประเมินผลงาน ความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรค์

4. เม่ือสิ้นสุดการทดลอง ดาเนินการดงั น้ี

4.1 ทดสอบกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมดว้ ยแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียนชุดเดิม เพอื่ ใชค้ ะแนนจากการสอบน้ีเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ระหวา่ งกลุ่มทดลองและกลุ่ม
ควบคุม จาแนกตามระดบั ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน

4.2 ทดสอบกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมดว้ ยแบบทดสอบวดั ความสามารถใน
การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคช์ ุดเดิม เพอ่ื ใชค้ ะแนนจากการสอบน้ีเปรียบเทียบ ความสามารถในการ
แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคข์ องนกั เรียนระหวา่ งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม จาแนกตามระดบั ผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียน

4.3 วดั ความคงทนในการเรียนรู้ดว้ ยแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนชุด
เดิม หลงั สิ้นสุดการจดั การเรียนรู้เป็นเวลา 2 สปั ดาห์เพื่อเปรียบเทียบความคงทนในการเรียนรู้ของนกั เรียน
ระหวา่ งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม จาแนกตามระดบั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน

ข้นั ตอนท่ี 2 ศึกษาผลการใชร้ ูปแบบการเรียนการสอนที่เสริมสร้างความสามารถ
ในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพดงั น้ี

1. ผลการเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ระหวา่ งนกั เรียนที่ไดร้ ับการ
จดั การเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอนที่เสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์
ทางการงานอาชีพและตามปกติ จาแนกตามระดบั ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียน

2. ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคข์ อง
นกั เรียนท่ีไดร้ ับการจดั การเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหา
อยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพและตามปกติ จาแนกตามระดบั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน

3. ผลการเปรียบเทียบความคงทนในการเรียนระหวา่ งนกั เรียนท่ีไดร้ ับ การ
จดั การเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์
ทางการงานอาชีพและตามปกติ โดยเปรียบเทียบเฉพาะนกั เรียนระดบั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงและปาน
กลาง ส่วนนกั เรียนระดบั ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียนต่า ผวู้ จิ ยั มีการจดั สอนซ่อมเสริมท้งั กลุ่มทดลองและกลุ่ม
ควบคุม จึงไมน่ ามาศึกษาเปรียบเทียบ

ระยะที่ 4 การประเมนิ ผล (Evaluation : E)

ระยะที่ 4 การประเมินผล (Evaluation : E) ซ่ึงเป็นการพฒั นา (Development : D3) เพ่ือ ประเมิน
ประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนการสอนที่เสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์
ทางการงานอาชีพโดยวเิ คราะห์ขอ้ มูลและหาประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนการสอน ปรับปรุงแกไ้ ข และ
ตรวจสอบเพื่อใหไ้ ดร้ ูปแบบการเรียนการสอนท่ีเสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์
ทางการงานอาชีพฉบบั สมบูรณ์โดยผวู้ ิจยั ไดด้ าเนินการดงั น้ี

ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง

กลุ่มเป้าหมาย ไดแ้ ก่ครูที่เป็ นกลุ่มตวั อยา่ งในระยะที่ 3 จานวน 3คน

เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูล

เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลการวจิ ยั ในระยะท่ี 4 น้ีผวู้ จิ ยั ใชแ้ บบสอบถามเป็นเคร่ืองมือ
ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล โดยมีข้นั ตอนการสร้างและหาคุณภาพดงั น้ี

1. การสร้างแบบสอบถามความคิดเห็นของครูผสู้ อนท่ีมีต่อรูปแบบการเรียนการสอน ผวู้ จิ ยั
นาขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการสังเคราะห์เอกสาร กาหนดเป็นขอ้ คาถามในแบบสอบถาม มีองคป์ ระกอบ 4 ส่วน คือ

ส่วนท่ี 1 จดหมายนาใชช้ ้ีแจงทาความเขา้ ใจถึงวธิ ีการและขอบเขตการใชข้ อ้ มูล

ส่วนท่ี 2 ขอ้ มูลทวั่ ไปของผตู้ อบแบบสอบถาม คาถามเป็นแบบเลือกตอบ จานวน 4 ขอ้

ส่วนท่ี 3 ความคิดเห็นของครูผูส้ อนต่อรูปแบบการเรียนการสอน จานวน 10 ขอ้ คาถามเป็น
แบบมาตราส่วนประมาณคา่ (Rating Scale) 5 ระดบั ตามแนวคิดของ Likert (Likert’s Scale) โดยกาหนดให้
ผตู้ อบ เลือกตอบเพยี งคาตอบเดียว คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง นอ้ ย นอ้ ยที่สุด กาหนดเกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
มากที่สุด 5 มาก 4 ปานกลาง 3 นอ้ ย 2 นอ้ ยที่สุด 1 การแปล ความหมาย โดยนาคะแนนมาหาคา่ เฉล่ีย แลว้
กาหนดเกณฑใ์ นการแปลความหมายคา่ เฉล่ีย 5 ระดบั ดงั น้ี(บุญชม ศรีสะอาด, 2553)

คะแนนเฉลี่ย 4.51 -5.00 หมายถึง เหมาะสมมากท่ีสุด

คะแนนเฉลี่ย 3.51 -4.50 หมายถึง เหมาะสมมาก

คะแนนเฉลี่ย 2.51 -3.50 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง

คะแนนเฉล่ีย 1.51 -2.50 หมายถึง เหมาะสมนอ้ ย

คะแนนเฉล่ีย 1.00 -1.50 หมายถึง เหมาะสมนอ้ ยที่สุด

ส่วนท่ี 4 ความคิดเห็นเก่ียวกบั การนารูปแบบการเรียนการสอนไปใช้ ลกั ษณะขอ้ คาถามเป็น
แบบปลายเปิ ด จานวน 2 ขอ้

นาแบบสอบถามฉบบั ร่าง เสนอผเู้ ชี่ยวชาญ เพอื่ ตรวจสอบคุณภาพ และจดั ทาเป็นแบบสอบถาม
ฉบบั สมบูรณ์ต่อไป

2. การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ การตรวจสอบคุณภาพแบบสอบถาม โดยการตรวจสอบ
ความเท่ียงตรง เชิงเน้ือหา (content validity) ดว้ ยการนาแบบสอบถามพร้อมนิยามตวั แปรที่ตอ้ งการวดั เสนอ
ผเู้ ช่ียวชาญ เพอ่ื พิจารณาขอ้ คาถามรายขอ้ โดยระบุความหมายของความคิดเห็นจากผเู้ ช่ียวชาญดงั น้ี

+ 1 เมื่อ แน่ใจวา่ ขอ้ คาถามน้นั วดั ตรงกบั ตวั แปรท่ีตอ้ งการวดั

0 เมื่อ ไมแ่ น่ใจวา่ ขอ้ คาถามน้นั วดั ตรงกบั ตวั แปรที่ตอ้ งการวดั

- 1 เมื่อ แน่ใจวา่ ขอ้ คาถามน้นั ไม่สามารถวดั ไดต้ รงกบั ตวั แปรท่ีตอ้ งการวดั

เลือกขอ้ ท่ีมีความสอดคลอ้ งต้งั แต่ .50 - 1.00 ไวเ้ พื่อนาไปใชจ้ ริง ผลการตรวจสอบของผเู้ ช่ียวชาญ
ขอ้ คาถามมีความสอดคลอ้ งเทา่ กบั 1.00 มีคา่ ความตรงเชิงเน้ือหาท้งั ฉบบั เท่ากบั 1.00

3. การเก็บรวบรวมขอ้ มูลผวู้ ิจยั เก็บรวบรวมขอ้ มูลดว้ ยตนเอง

4. การจดั กระทาขอ้ มูลและการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ผวู้ จิ ยั ตรวจและบนั ทึกขอ้ มูล แยกเป็น 3 ส่วน
คือ ส่วนที่ 1 ขอ้ มูลทว่ั ไปของผตู้ อบแบบสอบถาม บนั ทึกเป็นจานวนคนตามขอ้ คาถาม วเิ คราะห์ขอ้ มูลดว้ ย
การหาค่าความถ่ี และร้อยละ นาเสนอขอ้ มูลเป็นความเรียง ส่วนที่ 2 ขอ้ มูลการประเมินรูปแบบการเรียนการ
สอนบนั ทึกขอ้ มูลเป็ นรายขอ้ วเิ คราะห์ขอ้ มูลดว้ ยการหา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใชโ้ ปรแกรม
สาเร็จรูป และแปลผลตามมาตรประมาณค่าที่กาหนดไวน้ าเสนอขอ้ มูลเป็นตารางประกอบความเรียง ส่วนที่
3 ขอ้ มูลการตอบคาถามปลายเปิ ด เก่ียวกบั การนารูปแบบการเรียนการสอนไปใชว้ เิ คราะห์ขอ้ มูลโดยการ
สรุปและตีความขอ้ มูล นาเสนอขอ้ มูลเป็นความเรียง

5. ปรับปรุงแกไ้ ขรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคท์ างการงานอาชีพโดยการจดั สัมมนาครูผสู้ อนท่ีทดลองใชร้ ูปแบบการเรียนการสอน เพื่อสะทอ้ น
ความคิดจากประสบการณ์การจดั การเรียนรู้ตลอดจนปัญหา อุปสรรค และขอ้ เสนอแนะมาปรับปรุงแกไ้ ข
ตรวจสอบข้นั สุดทา้ ย เพ่ือให้ไดร้ ูปแบบการเรียนรู้ฉบบั สมบูรณ์เพื่อใหค้ รูสามารถนาไปใชไ้ ดด้ ว้ ยตนเอง
ตอ่ ไป

การวเิ คราะห์ข้อมูล

ผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนินการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ซ่ึงไดจ้ ากการเก็บรวบรวมจากเครื่องมือ โดยนาเสนอขอ้ มูลเชิง
ปริมาณ ดงั น้ี

1. เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ของนกั เรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม
จาแนกตามระดบั ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียน โดยการวเิ คราะห์ดว้ ย Mann Whitney U - test

2. เปรียบเทียบความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคข์ องนกั เรียนกลุ่ม ทดลองและ
กลุ่มควบคุม จาแนกตามระดบั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยการวเิ คราะห์ดว้ ย Mann Whitney U - test

3. เปรียบเทียบความคงทนในการเรียนรู้ระหวา่ งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมที่มีระดบั
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูง และปานกลาง ดว้ ยการเปรียบเทียบค่าร้อยละของความคงทนในการเรียนรู้
ระหวา่ ง กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใชส้ ถิติทดสอบ ค่าที (t-test Dependent)

4. คิดเห็นของครูผสู้ อนท่ีมีตอ่ รูปแบบการเรียนการสอน โดยการวเิ คราะห์ค่าเฉล่ีย และส่วน
เบ่ียงเบนมาตรฐาน

สถิตทิ ใ่ี ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล

1. สถิติท่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์หาประสิทธิภาพของเครื่องมือ

1.1 การหาคา่ ความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหาของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและความ
สามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคโ์ ดยใชส้ ูตร IOC (Index of Item Objective Congruence) หาค่าดชั นี
ความสอดคลอ้ งระหวา่ งขอ้ สอบกบั จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ของผเู้ ช่ียวชาญ (ชวลิต ชูกาแพง, 2555)

1.2 วเิ คราะห์หาค่าอานาจจาแนกรายขอ้ ของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียนสาหรับ
แบบทดสอบอิงเกณฑโ์ ดยใชด้ ชั นี บี (B - Index) (ชวลิต ชูกาแพง, 2555)

1.3 วเิ คราะห์หาค่าความยาก และค่าอานาจจาแนกของแบบทดสอบวดั ความสามารถในการ
แกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ (ชวลิต ชูกาแพง, 2555)

1.4 วเิ คราะห์หาค่าความเชื่อมนั่ ท้งั ฉบบั ของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน โดยใชว้ ธิ ี
ของ Lovett

1.5 วเิ คราะห์หาค่าความเชื่อมนั่ ของแบบทดสอบความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์
โดยใชส้ ูตร KR-20 ของ Kuder-Richardson (ชวลิต ชูกาแพง, 2555)

2. สถิติพ้ืนฐาน ไดแ้ ก่

2.1 คา่ เฉล่ีย (Arithmetic Mean)

2.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)

3. การทดสอบสมมติฐานการวจิ ยั

3.1 เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลงั การจดั การเรียนรู้ ดว้ ยรูปแบบการเรียน
การสอนที่เสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคท์ างการงานอาชีพระหวา่ งนกั เรียนที่
ไดร้ ับการจดั การเรียนรู้ดว้ ยรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเสริมสร้างความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ ง
สร้างสรรคท์ างการงานอาชีพกบั นกั เรียนที่ไดร้ ับการจดั การเรียนรู้ตามปกติ โดยการวเิ คราะห์ดว้ ย Mann
Whitney U - test

3.2 เปรียบเทียบความสามารถในการแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรคข์ อง นกั เรียนกลุ่มทดลองและ
กลุ่มควบคุม จๆแนกตามระดบั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยการวเิ คราะห์ ดว้ ย Mann Whitney U - test

บทที่ 1
บทนาํ

ความเป็ นมาและความสาํ คัญของปัญหา

การศกึ ษาถือเป็นกระบวนการสาํ คญั ท่ีชว่ ยใหค้ นสามารถปรบั ตวั และพัฒนาตนเองอย่าง มี
คณุ ภาพการศกึ ษาจงึ เป็นปัจจยั สาํ คญั ย่งิ ตอ่ การพฒั นาประเทศ เน่ืองจากการศกึ ษาสามารถพฒั นา
ศกั ยภาพของประชาชน สรา้ งความรูแ้ ละสรา้ งคนท่ีมีคณุ ภาพใหแ้ ก่สงั คม (ศกั ดชิ์ ยั นริ ญั ทวี และ
ไพเราะ พมุ่ ม่นั , 2541, หนา้ 1) ดงั นนั้ จงึ เกิดกระแสความตอ้ งการในการพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษา ของ
ชาตดิ ว้ ยการปฏิรูปการศกึ ษา ใหส้ ามารถพฒั นาคนใหม้ ีคณุ ภาพรูเ้ ทา่ ทนั ตอ่ กระแสการ เปล่ียนแปลง
และตอบสนองความตอ้ งการของสงั คม และประเทศชาติอยา่ งแทจ้ รงิ (วฒั นาพร ระงบั ทกุ ข,์ 2545
หนา้ 1)

พระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาแหง่ ชาติ พทุ ธศกั ราช 2542 ปรบั ปรุง 2545 มาตรา 24 กลา่ ววา่ การ

จดั กระบวนการเรยี นรูใ้ หส้ ถานศกึ ษาและหนว่ ยงานท่ีเก่ียวขอ้ ง จดั เนือ้ หาสาระและกิจกรรมให้

สอดคลอ้ งกบั ความสนใจและความถนดั ของผเู้ รยี น โดยคาํ นงึ ถึงความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล ฝึก

ทกั ษะกระบวนการคิด การจดั การ การเผชญิ สถานการณแ์ ละการประยกุ ตค์ วามรูม้ าใชเ้ พ่ือปอ้ งกนั และ

แกไ้ ขปัญหา จดั กิจกรรมใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรูจ้ ากประสบการณจ์ รงิ ฝึกการปฏิบตั ใิ หท้ าํ งานได้ คิดเป็น ทาํ

เป็น รกั การอา่ นและเกิดการใฝ่รูอ้ ยา่ งตอ่ เน่ือง จดั การเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระ ความรูด้ า้ น

ตา่ งๆอยา่ งไดส้ ดั ส่วนสมดลุ กนั รวมทงั้ ปลกู ฝังคณุ ธรรมคา่ นยิ มท่ีดงี ามและคณุ ลกั ษณะ อนั พงึ ประสงค์

ไวใ้ นทกุ วชิ า สง่ เสรมิ สนบั สนนุ ใหผ้ สู้ อนสามารถจดั บรรยากาศ สภาพแวดลอ้ ม ส่ือ การเรียนรูแ้ ละ

อาํ นวยความสะดวก เพ่ือใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรูแ้ ละมีความรอบรู้ รวมทงั้ สามารถใช้ การวิจยั เป็นสว่ น

หนง่ึ ของกระบวนการเรยี นรู้ ทงั้ นีผ้ สู้ อนและผเู้ รยี นอาจเรียนรูไ้ ปพรอ้ มกันจากส่ือ การเรยี นการสอนและ

แหลง่ วิทยาการประเภทตา่ งๆ จดั การเรยี นใหเ้ กิดขนึ้ ไดท้ กุ เวลาทกุ ท่ี มีการ ประสานความรว่ มมือกบั

บดิ า มารดา ผปู้ กครอง และบคุ คลในชมุ ชนทกุ ฝ่ ายเพ่ือรว่ มกนั พฒั นา ผเู้ รยี นตามศกั ยภาพ (สาํ นกั

รบั รองมาตรฐานและประเมินคณุ ภาพการศกึ ษา (องคก์ ารมหาชน), 2546, หนา้ 13-14)



กลมุ่ สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี เป็นสาระการเรียนรูท้ ่ีม่งุ พฒั นา

ผเู้ รยี นใหม้ ีความรูค้ วามเขา้ ใจเก่ียวกบั งานอาชีพและเทคโนโลยี มีทกั ษะการทาํ งาน ทกั ษะการ จดั การ

สามารถนาํ เทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยีตา่ งๆ มาใชใ้ นการทาํ งานอยา่ งถกู ตอ้ ง เหมาะสมคมุ้ คา่

และมีคณุ ธรรม สรา้ งและพฒั นาผลิตภณั ฑห์ รือวธิ ีการใหมส่ ามารถทาํ งานเป็นหมู่ คณะ มีนสิ ยั รกั การ

ทาํ งาน เห็นคณุ คา่ และมีเจตคตทิ ่ีดีตอ่ งาน ตลอดจนมีคณุ ธรรม จรยิ ธรรมและ คา่ นิยม ท่ีเป็นพืน้ ฐาน

ไดแ้ ก่ ความขยนั ซ่ือสตั ย์ ประหยดั อดทน อนั จะนาํ ไปสกู่ ารใหผ้ เู้ รียน สามารถชว่ ยเหลือตนเองและ

พ่งึ ตนเองไดต้ ามพระราชดาํ ริเศรษฐกิจพอเพียง สามารถดาํ รงชีวิตอยู่ ในสงั คมไดอ้ ยา่ งมีความสขุ

รว่ มมือแขง่ ขนั ในระดบั สากลในบรบิ ทของสงั คมไทย และเป็นสาระท่ี เนน้ กระบวนการทาํ งานและการ

จดั การอยา่ งเป็นระบบ พฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค์ มีทกั ษะการ ออกแบบงานและการทาํ งานอยา่ งมีกล

ยทุ ธ์ โดยใชก้ ระบวนการเทคโนโลยี และเทคโนโลยี สารสนเทศตลอดจนนาํ เทคโนโลยีมาใชแ้ ละ

ประยกุ ตใ์ ชใ้ นการทาํ งาน รวมทงั้ การสรา้ งการพฒั นา ผลิตภณั ฑห์ รือวิธีการใหม่ เนน้ การใช้

ทรพั ยากรธรรมชาติ ส่ิงแวดลอ้ มและพลงั งานอยา่ งประหยดั คมุ้ คา่ กลมุ่ สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชีพ

และเทคโนโลยี จงึ ไดก้ าํ หนดการเรยี นรูท้ ่ียึดงาน กระบวนการจดั การ และการแกป้ ัญหาเป็นสาํ คญั บน

พืน้ ฐานของการใชห้ ลกั การและทฤษฎีเป็น หลกั ในการทาํ งานและแกป้ ัญหาซ่งึ งานท่ีนาํ มาฝึกฝนเป็น

งานเพ่ือการดาํ รงชีวิตในครอบครวั และ สงั คม และงานเพ่ือการประกอบอาชีพ ซ่งึ งานทงั้ สองประเภทนี้

เม่ือผเู้ รยี นไดร้ บั การฝึกฝนและ ปฏิบตั ิตามกระบวนการเรยี นรูข้ องกลมุ่ สาระการงานอาชีพและ

เทคโนโลยีแลว้ ผเู้ รียนจะไดร้ บั การ ปลกู ฝังและพฒั นาใหม้ ีคณุ ภาพและคณุ ธรรมการเรียนรูจ้ ากการ

ทาํ งานและการแกป้ ัญหาของกลมุ่ สาระการงานอาชีพและเทคโนโลยีจงึ เป็นการเรยี นรูท้ ่ีเกิดจากการบรู

ณาการทกั ษะและความดี (กรม วิชาการ, 2545, หนา้ 1-2)

นอกจากนีส้ าํ นกั รบั รองมาตรฐานและประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษา (องคก์ ารมหาชน) ได้ กาํ หนด
หลกั เกณฑแ์ ละวิธีการประเมินคณุ ภาพภายนอกของสถานศกึ ษาระดบั การศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน กาํ หนด
มาตรฐานท่ี 7 ผเู้ รยี นมีทกั ษะในการทาํ งาน รกั การทาํ งาน สามารถทาํ งานรว่ มกบั ผอู้ ่ืนและมี เจตคตทิ ่ีดี
ตอ่ อาชีพสจุ รติ ซ่งึ ไดก้ าํ หนดตวั บง่ ชี้ หรอื เกณฑค์ ณุ ภาพในการประเมนิ 3 ขอ้ ดงั นี้ คือ ขอ้ ท่ี 1 ผเู้ รยี น
สามารถวางแผนการทาํ งานตามลาํ ดบั ขนั้ ตอนไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพ ขอ้ ท่ี 2 ผเู้ รียนรกั การทาํ งาน

สามารถปรบั ตวั และทาํ งานเป็นทีมได้ ขอ้ ท่ี 3 ผเู้ รียนมีความรูส้ กึ ท่ีดีตอ่ อาชีพสจุ ริตและ หาความรู้
เก่ียวกบั อาชีพท่ีตนสนใจ (สาํ นกั รบั รองมาตรฐานและประเมินคณุ ภาพการศกึ ษา (องคก์ าร มหาชน),

2548, หนา้ 54-56)

จากเหตผุ ลดงั กลา่ วมาขา้ งตน้ และการประเมนิ คณุ ภาพของผเู้ รยี นของกลมุ่ สาระ
การ เรยี นรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี พบวา่ การเรยี นรูใ้ นกลมุ่ สาระนี้ มีปัญหาท่ีตอ้ งแกไ้ ขอยา่ ง

1

เรง่ ดว่ น เน่ืองจากคณุ ภาพของผเู้ รียนไมเ่ ป็นไปตามสาระและมาตรฐานการเรยี นรูต้ ามท่ีหลกั สตู ร กลมุ่
สาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยีกาํ หนด กล่าวคือ ผเู้ รียนไมม่ ีความเขา้ ใจ ไมม่ ี ความคดิ
สรา้ งสรรค์ ไมม่ ีทกั ษะ ขาดคณุ ธรรมและจิตสาํ นกึ ในการใชพ้ ลงั งานและทรพั ยากรและ ส่งิ แวดลอ้ มใน
การทาํ งานเพ่ือการดาํ รงชีวิตและครอบครวั ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั งานบา้ นงานเกษตร งาน ประดษิ ฐ์ และงาน
ธรุ กิจและท่ีสาํ คญั คือ ผเู้ รียนไมม่ ีทกั ษะกระบวนการทาํ งานและจดั การ ไม่ สามารถทาํ งานเป็นกลมุ่ ได้
ไมส่ ามารถแสวงหาความรู้ ไมส่ ามารถแกป้ ัญหาในการทาํ งาน ไมร่ กั การทาํ งานและไมม่ ีเจตคตทิ ่ีดีตอ่
งาน ไมส่ ามารถคิด ออกแบบ สรา้ ง ดดั แปลง ส่งิ ของเคร่อื งใชใ้ น ชีวิตประจาํ วนั ง่ายๆ ได้ ขาดคณุ ธรรม
จรยิ ธรรมและคา่ นิยมท่ีเป็นพืน้ ฐานในการดาํ รงชีวติ เป็นตน้ วา่ ความรบั ผิดชอบ ความขยนั ความ
ซ่ือสตั ย์ ความประหยดั ความอดออมและความอดทน

การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนท่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการจะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นมีสตริ ูจ้ กั คดิ และ
พจิ ารณาส่งิ ตา่ งๆ อยา่ งสขุ มุ รอบคอบใชป้ ัญญาความสามารถคดิ วเิ คราะห์ วางแผนการกระทาํ ตา่ งๆ
อยา่ งมีขนั้ ตอน ใครค่ รวญการกระทาํ อยา่ งไมป่ ระมาท มีการประเมินปรบั ปรุงการกระทาํ ทาํ ใหเ้ กิดการ
พฒั นาการอยเู่ สมอ หากนาํ ไปใชใ้ นชีวิตประจาํ วนั จะทาํ ใหเ้ ป็นผรู้ ู้ มีการเปล่ียนแปลงไป ในทางท่ีดีงาม
มีประโยชนท์ งั้ ความคดิ ความรูส้ กึ และการกระทาํ (กรมวิชาการ, 2534 ก, หนา้ 79 80) การจดั ใหผ้ เู้ รียน
ไดเ้ รียนรูแ้ ละเกิดทกั ษะในกระบวนการตา่ งๆ เพ่ือท่ีจะนาํ ความรูแ้ ละ ประสบการณท์ ่ีไดจ้ ากการเรียนไป
ใชป้ ระโยชนใ์ นการดาํ รงชีวิต จะตอ้ งสอนใหผ้ เู้ รียนไดฝ้ ึกปฏิบตั ิ จรงิ จนเกิดทกั ษะและความช่ืนชม เชน่
กระบวนการคดิ กระบวนการแกป้ ัญหา กระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ กระบวนการแสวงหาความรู้
กระบวนการฝึกทกั ษะกระบวนการจดั การ กระบวนการ ทาํ งานกลมุ่ เพ่ือใหผ้ เู้ รยี นเกิดความรูค้ วาม
เขา้ ใจ คา่ นิยม คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ทกั ษะ และ กระบวนการตา่ งๆ ดงั กลา่ ว ครูจาํ เป็นตอ้ งเปล่ียน
พฤตกิ รรมการสอนมาเป็นการสอนท่ีฝึกใหผ้ เู้ รียน มีนสิ ยั ในการใชท้ กั ษะกระบวนการในการแสดงออก
ทกุ ๆดา้ นซง่ึ สอดคลอ้ งกบั งานวิจยั ของ (ชวนชม ไชยสิทธิ์, 2547, บทคดั ย่อ) ผลการวจิ ยั พบวา่ แผนการ
เรียนรูท้ ่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการ มี ประสิทธิภาพเทา่ กบั 89.29/86.91 จากขอ้ มลู ดงั กล่าวมา ไดช้ ีใ้ หเ้ หน็
ปัญหาและอปุ สรรคตา่ งๆ ใน การจดั กิจกรรมการเรยี นรูก้ ลมุ่ สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชีพและ
เทคโนโลยี ซง่ึ ทาํ ใหก้ ารเรยี นรูไ้ ม่ ครบทกั ษะกระบวนการท่ีนกั เรียนจะไดร้ บั รูต้ ามขนั้ ตอน ดงั นนั้ การจดั
กิจกรรมการเรยี นรูค้ วรไดร้ บั การพฒั นาใหม้ ีประสทิ ธิภาพสงู สดุ โดยใชแ้ ผนการสอนท่ีเนน้ ทกั ษะ
กระบวนการ ท่ีจะทาํ ให้ นกั เรยี นไดม้ ีโอกาสปฏิบตั กิ ิจกรรมเพ่ือพฒั นากระบวนการทาํ งานและ
ความสามารถตา่ งๆ โดยใช้ กระบวนการ

ทกั ษะกระบวนการ 9 ขนั้ ถือวา่ เป็นทกั ษะกระบวนการแมบ่ ทท่ีก่อใหเ้ กิดกระบวนการ เรยี นรู้
อ่ืนๆ อีกหลายกระบวนการ เชน่ กระบวนการสรา้ งความตระหนกั กระบวนการสรา้ งเจตคติ

กระบวนการสรา้ งคา่ นิยม เป็นตน้ ซง่ึ เป็นส่ิงหวงั จะใหเ้ กิดขนึ้ กบั ผเู้ รียน โดยใหผ้ เู้ รียนมีนิสยั ท่ีจะ

ใช้ กระบวนการเหลา่ นีใ้ นการคดิ คน้ ควา้ และปฏิบตั ติ อ่ ไป (สาํ นกั งานคณะกรรมการการประถมศกึ ษา

แหง่ ชาต,ิ 2534, หนา้ 21) ซ่งึ สอดคลอ้ งกบั การวิจยั ของ เดือนเพญ็ คาํ สนาม (2543, บทคดั ย่อ) แผนการ

สอนท่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการ เร่ือง การปลกู พืชผกั สวนครวั กลมุ่ การงานพืน้ ฐานอาชีพ ชนั้ ประถมศกึ ษา
ปีท่ี 1 สอดคลอ้ งกบั งานวิจยั ของ ชวนชม ไชยสิทธิ์ (2547, บทคดั ยอ่ ) แผนการ เรียนรูท้ ่ีเนน้ ทกั ษะ

กระบวนการ เร่ืองการรอ้ ยมาลยั กลมุ่ สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชีพและ เทคโนโลยี สาํ หรบั นกั เรียนชนั้

ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 สอดคลอ้ งกบั การวจิ ยั ของ อรสา มาสงิ ห์ (2547, บทคดั ยอ่ ) แผนการเรียนรูท้ ่ีเนน้

ทกั ษะกระบวนการ เร่อื งการแกะสลกั หนิ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 กลมุ่ สาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชีพและ

เทคโนโลยี

ดงั นนั้ ผวู้ จิ ยั จงึ สนใจท่ีจะพฒั นาทกั ษะกระบวนการทาํ งานโดยใชแ้ ผนการจดั การ

เรยี นรู้ ท่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการ 9 ขนั้ เร่อื งการสรา้ งสรรคง์ านประดษิ ฐ์จากวสั ดเุ หลือใช้ กลมุ่ สาระการ

เรียนรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี สาํ หรบั นกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 เพ่ือพฒั นากระบวนการ

ทาํ งานของนกั เรียนใหม้ ีประสทิ ธิภาพมากย่งิ ขนึ้ การพฒั นาแผนการจดั การเรียนรูท้ ่ีเนน้ ทกั ษะ

กระบวนการสามารถทาํ ใหค้ รูผสู้ อนกลมุ่ สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี สามารถ จดั การ

เรยี นรูไ้ ดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ เป็นตน้ วา่ ในดา้ นคณุ ภาพของแผนการจดั การเรียนรูท้ ่ีสามารถ ทาํ ให้
นกั เรียนเกิดทกั ษะในการทาํ งาน สง่ ผลใหผ้ ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของนกั เรียนสงู ขนึ้ และ นกั เรียนยงั มี

ความพงึ พอใจตอ่ การจดั การเรยี นรูโ้ ดยใชแ้ ผนการจดั การเรียนรูท้ ่ีเนน้ ทกั ษะ กระบวนการอีกดว้ ย

-

วัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย

1. เพ่ือพฒั นาและหาประสิทธิภาพแผนการจดั การเรียนรูท้ ่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการ 9
ขนั้ เร่ืองการสรา้ งสรรคง์ านประดษิ ฐ์จากวสั ดเุ หลือใช้ กล่มุ สาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชีพและ เทคโนโลยี
ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6

2. เพ่ือเปรยี บเทียบทกั ษะกระบวนการทาํ งาน ก่อนและหลงั เรยี นโดยใชแ้ ผนการ
จดั การ เรยี นรูท้ ่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการ 9 ขนั้ ของนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6

3. เพ่ือเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ก่อน
และ หลงั ใชแ้ ผนการจดั การเรยี นรูท้ ่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการ 9 ขนั้

4. เพ่ือศกึ ษาความพงึ พอใจของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ท่ีเรียนรูจ้ ากการใช้
แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการ 9 ขนั้

สมมตฐิ านของการวิจัย

1. แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการ 9 ขนั้ เร่อื งการสรา้ งสรรคง์ าน ประดษิ ฐจ์ าก
วสั ดเุ หลือใช้ กลมุ่ สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ซง่ึ ผวู้ ิจยั สรา้ งขนึ้
มีประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80

2. ทกั ษะกระบวนการทาํ งานของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ท่ีเรียนเร่อื ง การ สรา้ งสรรคง์ าน
ประดษิ ฐ์จากวสั ดเุ หลือใชโ้ ดยแผนการจดั การเรียนรูท้ ่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการ 9 ขนั้ หลงั เรียนสงู กวา่
กอ่ นเรียน

3. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ท่ีเรยี นเร่ืองการ สรา้ งสรรคง์ าน
ประดษิ ฐจ์ ากวสั ดเุ หลือใชโ้ ดยแผนการจดั การเรียนรูท้ ่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการ 9 ขนั้ หลงั เรียนสงู กวา่
กอ่ นเรียน

4. นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 มีความพงึ พอใจในการเรยี นรูจ้ ากการใชแ้ ผนการ จดั การ
เรียนรูท้ ่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการ 9 ขนั้

ขอบเขตของการวิจัย

1. ขอบเขตดา้ นประชากร
ประชากรท่ีใชใ้ นการวิจยั ไดแ้ ก่ นกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ภาคเรยี นท่ี 1 ปี การศกึ ษา
2552 อาํ เภอปากพลี จงั หวดั นครนายก ซ่งึ ประกอบดว้ ยนกั เรียนโรงเรยี นบา้ นทงุ่ เข้ โรงเรียนวดั เนินหนิ
แร่ โรงเรียนบา้ นโคกสวา่ ง โรงเรยี นบา้ นดงแขวน โรงเรยี นวดั พรหมเพชร โรงเรียนวดั นาหินลาด โรงเรียน
วดั ทา่ มะปราง โรงเรียนอนบุ าลอาํ เภอปากพลี โรงเรียนวดั โพธิ์ โรงเรยี นวดั เกาะกา โรงเรียนวดั ลาํ บวั
ลอย โรงเรยี นวดั แขมโคง้ โรงเรียนวนั ครู 2504 จาํ นวน 13 หอ้ งเรียน นกั เรยี นจาํ นวน 200 คน
กลมุ่ ตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ไดแ้ ก่ นกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ภาคเรยี นท่ี 1 ปี
การศกึ ษา 2552 โรงเรียนวดั โพธิ์ อาํ เภอปากพลี จงั หวดั นครนายก 1 หอ้ งเรยี น จาํ นวน 36 คน ซ่งึ ไดม้ า
โดยการสมุ่ อยา่ งง่าย
2. ขอบเขตดา้ นเนือ้ หา
เนือ้ หาท่ีใชใ้ นการวิจยั ครงั้ นี้ เป็นสาระการเรียนรูใ้ นหลกั สตู รสถานศกึ ษาโรงเรยี น วดั โพธิ์
จงั หวดั นครนายก กลมุ่ สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6

สาระท่ี 1 : การดาํ รงชีวติ และครอบครวั โดยพฒั นาเป็นแผนการจดั การเรียนท่ีเนน้ ทกั ษะกระบวน
9 ขนั้ เร่ืองการสรา้ งสรรคง์ านประดษิ ฐจ์ ากวสั ดเุ หลือใช้ จาํ นวน 10 แผน เพ่ือพฒั นากระบวนการ ทาํ งาน
ของนกั เรยี น ดงั นี้

แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 1 งานประดษิ ฐ์ แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 2 วสั ดเุ หลือใช้
แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 3 การออกแบบและสรา้ งสรรคง์ านประดษิ ฐ์ แผนการจดั การ
เรยี นรูท้ ่ี 4 กระบวนการออกแบบและกระบวนการเทคโนโลยี แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 5
อปุ กรณ์ เคร่ืองมือ เคร่ืองใชใ้ นงานประดิษฐ์ แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 6 การสรา้ งสรรค์
งานประดษิ ฐ์เป็นของเลน่ แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 7 การแกป้ ัญหาในการทาํ งาน
ประดษิ ฐ์ แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 8 การสรา้ งสรรคง์ านประดษิ ฐ์ตามเศรษฐกิจ
พอเพียง แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 9 การประดษิ ฐข์ องใชจ้ ากแหลง่ เรียนรู้

แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 10 “วนั แม”่ การเรยี นรูแ้ บบบรู ณาการ 3. ขอบเขตดา้ น
เวลา

ระยะเวลาท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ทาํ การทดลองในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2552 ใชเ้ วลา
ทดลองสอนทงั้ หมด 20 ช่วั โมง ใชเ้ วลาในการทดสอบก่อนเรียน หลงั เรียน 2 ช่วั โมง

4. ตวั แปรท่ีทาํ การศกึ ษา

จากการศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎีและงานวิจยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง สรุปตวั แปรท่ีเก่ียวขอ้ งไดด้ งั นี้ 4.1 ตวั แปรอสิ ระ คือ
การจดั การเรียนรูโ้ ดยใชแ้ ผนการจดั การเรยี นรูท้ ่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการ 9 ขนั้ 4.2 ตวั แปรตาม
คือ

4.2.1 กระบวนการทาํ งาน 4.2.2
ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน 4.2.3 ความ
พงึ พอใจในการเรียน

กรอบแนวคดิ ในการวิจัย
กรอบแนวคดิ ในการวิจยั แสดงไวด้ งั ภาพ

ตวั แปรอิสระ
การจดั การเรียนรู้
การจดั การเรียนรูโ้ ดยใช้
แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ีเนน้
ทกั ษะกระบวนการ 9 ขนั้

ตวั แปรตาม
1.กระบวนการทาํ งาน
2.ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
3.ความพงึ พอใจในการเรียน

ภาพท่ี 1.1 กรอบแนวคดิ ในการวิจยั
นิยามศัพทเ์ ฉพาะ

การพฒั นากระบวนการทาํ งาน หมายถึง การพฒั นากระบวนการทาํ งานของผเู้ รียนใน กลมุ่
สาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 โดยใหผ้ เู้ รยี นไดล้ งมือ ทาํ งานดว้ ย

ตนเอง มงุ่ เนน้ การฝึกวิธีการอยา่ งสม่าํ เสมอ ทงั้ การทาํ งานเป็นรายบคุ คล การทาํ งานเป็น รายกลมุ่ ซ่งึ
จะทาํ ใหส้ ามารถทาํ งานบรรลตุ ามเปา้ หมายโดยการวเิ คราะหง์ าน การวางแผนในการทาํ งานการ
ปฏิบตั งิ าน และการประเมินผลงาน

แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการ 9 ขนั้ หมายถึง การวางแผนการจดั กิจกรรม
การเรียนรูก้ ลมุ่ สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี เร่ือง การสรา้ งสรรคง์ าน ประดษิ ฐ์จากวสั ดุ
เหลือใช้ สาํ หรบั นกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ท่ีผวู้ ิจยั สรา้ งขนึ้ และจดั การเรยี นรู้ ตามแผนท่ีกาํ หนดไว้
เพ่ือพฒั นากระบวนการทาํ งานของผเู้ รียน โดยใชท้ กั ษะกระบวนการ 9 ขนั้ ดงั นี้

(1) ตระหนกั ในปัญหาและความจาํ เป็น หมายถงึ การกระตนุ้ ใหน้ กั เรยี นเหน็ ความสาํ คญั
เร่อื งใดเร่ืองหน่งึ จากส่ือประกอบเชน่ รูปภาพ วีดที ศั น์ สถานการณจ์ รงิ ฯลฯ

(2) คดิ วิเคราะหว์ จิ ารณ์ หมายถงึ นกั เรยี นไดแ้ สดงความคดิ เหน็ อยา่ งมีเหตผุ ล เชน่ การตอบ
คาํ ถาม การทาํ แบบฝึก

(3) สรา้ งทางเลือกหลากหลาย หมายถงึ การแสวงหาแนวทางในการแกป้ ัญหาได้
หลายแนวทางโดยอธิบายขอ้ ดขี อ้ เสียของแนวทางนนั้ ได้

(4) ประเมินและเลือกทางเลือก หมายถึง นกั เรียนตดั สินใจเลือกแนวทางในการ
แกป้ ัญหา โดยพิจารณาอยา่ งถ่ีถว้ น เชน่ การระดมสมอง การอภิปราย ฯลฯ

(5) กาํ หนดและลาํ ดบั ขนั้ ตอนการปฏิบตั ิ หมายถึง การวางแผนการทาํ งานของตน
หรอื ของกลมุ่ ตามลาํ ดบั

(5.1) ศกึ ษาขอ้ มลู พืน้ ฐาน (5.2) กาํ หนดวตั ถปุ ระสงค์ (5.3)
กาํ หนดขนั้ ตอนการทาํ งาน (5.4) กาํ หนดผรู้ บั ผิดชอบ (กรณี
ทาํ งานกลมุ่ )

(5.5) กาํ หนดวิธีประเมนิ
(6) ปฏิบตั ดิ ว้ ยความช่ืนชม หมายถงึ นกั เรียนทาํ ตามขนั้ ตอนท่ีกาํ หนดไวด้ ว้ ยความ
สมคั รใจ ตงั้ ใจ กระตอื รือรน้ และเพลิดเพลนิ
(7) การประเมนิ ระหวา่ งปฏิบตั ิ หมายถงึ นกั เรียนประเมนิ ผลการปฏิบตั งิ านตาม
ขนั้ ตอนท่ีกาํ หนด สรุปการทาํ งานเป็นชว่ งๆ เสนอแนวทางปรบั ปรุง
(8) ปรบั ปรุงใหด้ ีขนึ้ หมายถึง นกั เรยี นประเมินแตล่ ะขนั้ ตอนมาเป็นแนวทางในการ
พฒั นางานใหด้ ยี ่งิ ขนึ้

(9) ประเมนิ ผลรวม หมายถงึ นกั เรียนสรุปผลการดาํ เนนิ งานโดยเปรียบเทียบงาน
กบั จดุ ประสงคท์ ่ีกาํ หนดไว้ เผยแพรผ่ ลงานไดแ้ ละภาคภูมใิ จ

ประสิทธิภาพของแผนการจดั การเรียนรูท้ ่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการ 9 ขนั้ หมายถงึ
คณุ ภาพของแผนการจดั การเรียนรูท้ ่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการ 9 ขนั้ กลมุ่ สาระการเรยี นรูก้ ารงาน อาชีพ
และเทคโนโลยี เร่อื งการสรา้ งสรรคง์ านประดษิ ฐจ์ ากวสั ดเุ หลือใช้ เม่ือนาํ ไปใชแ้ ลว้ ทาํ ให้ บรรลุ
จดุ ประสงคต์ ามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80 โดยมีความหมาย ดงั นี้

80 ตวั แรก หมายถึง คา่ เฉล่ียคดิ เป็นรอ้ ยละ 80 ของคะแนน จากการสงั เกต
พฤตกิ รรม กระบวนการทาํ งานและการประเมนิ ผลงาน

80 ตวั หลงั หมายถงึ คา่ เฉล่ียจากการทาํ แบบทดสอบ หลงั การจดั กิจกรรมการ
เรียนรู้ คดิ เป็นรอ้ ยละ 80 ของคะแนนทงั้ หมด

การสรา้ งสรรคง์ านประดษิ ฐ์จากวสั ดเุ หลือใช้ หมายถงึ การนาํ วสั ดทุ ่ีเหลือจากการใช้
งานในชีวติ ประจาํ วนั มาออกแบบและสรา้ งส่ิงของเคร่ืองใชต้ า่ งๆ ท่ีเป็นประโยชน์ โดยเลียนแบบ จาก
ของจรงิ หรอื มีรูปแบบแปลกใหมไ่ มเ่ หมือนของจริงตามธรรมชาติ

ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถในการเรียนรูก้ ลมุ่ สาระการเรียนรูก้ าร งาน
อาชีพและเทคโนโลยี สาระท่ี 1 การดาํ รงชีวิตและครอบครวั ระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6
แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน หมายถงึ แบบวดั ความรูค้ วามเขา้ ใจ เร่ือง การ สรา้ งสรรคง์ าน

ประดษิ ฐจ์ ากวสั ดเุ หลือใช้ ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ท่ีผวู้ ิจยั สรา้ งขนึ้ เพ่ือทดสอบผเู้ รยี น หลงั จากจบ
หลกั สตู ร เป็นขอ้ สอบปรนยั 4 ตวั เลือก ใหค้ ะแนนตอบถกู ให้ 1 คะแนน ตอบผดิ ให้ 0 จาํ นวน 30 ขอ้

ใชเ้ ปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของนกั เรยี น ก่อนและหลงั การเรียน

แบบทดสอบวดั ทกั ษะกระบวนการทาํ งาน หมายถงึ ขอ้ สอบท่ีผวู้ จิ ยั สรา้ งขนึ้ โดยแบบวดั

ดงั กลา่ วประยกุ ตใ์ ชน้ ยิ ามศพั ทข์ องกรมวชิ าการวา่ ดว้ ยทกั ษะกระบวนการทาํ งาน ซ่งึ จะสามารถ

ทาํ งานไดบ้ รรลตุ ามเปา้ หมายไดแ้ ก่ การวิเคราะหง์ าน การวางแผนในการทาํ งาน การปฏิบตั งิ าน และ

การประเมินผลการทาํ งาน

ความพงึ พอใจในการเรยี น หมายถึง ความรูส้ กึ ชอบ พอใจ หรือความรูส้ กึ ในทางท่ีดที ่ี นกั เรียน
มีตอ่ การจดั กิจกรรมการเรียนรูโ้ ดยใชแ้ ผนการจดั การเรียนรูท้ ่ีเนน้ ทกั ษะกระบวน 9 ขนั้ เร่ือง การ
สรา้ งสรรคง์ านประดิษฐ์จากวสั ดเุ หลือใช้ กลมุ่ สาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชีพและ เทคโนโลยี ชนั้
ประถมศกึ ษาปีท่ี 6

ประโยชนท์ คี่ าดว่าจะได้รับ

1. เป็นแนวทางเผยแพรค่ วามรูส้ าํ หรบั ครูในการพฒั นาแผนการจดั การเรียนรูท้ ่ีเนน้ ทกั ษะ
กระบวนการ 9 ขนั้ เพ่ือพฒั นากระบวนการทาํ งานของนกั เรียน ใหม้ ีประสิทธิภาพย่ิงขนึ้

2. เป็นแนวทางสาํ หรบั ผสู้ นใจนาํ ไปประยกุ ตใ์ ชเ้ ป็นแนวทางสาํ หรบั จดั การเรียนรูใ้ น รายวิชา
อ่ืนๆ ใหบ้ รรลผุ ลหมาะสมกบั สภาพความตอ้ งการมากขนึ้

3. เป็นแนวทางสาํ หรบั ครูในการพฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของนกั เรยี นในกลมุ่ สาระการ
เรียนรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี และกลมุ่ สาระอ่ืน

กลมุ่ 10
1.นางสาวนีระนชุ วรชินา รหสั 62115267203
2.นายอรงคเ์ ดช ศรชี มภู รหสั 62115267215
3.นางสาวสิรขิ จร งานฉมงั รหสั 62115267216

บทท่ี 2

แนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจัยทเี่ กยี่ วข้อง

การวิจัยเร่ือง "การพัฒนาทักษะกระบวนการทางานโดยใช้แผนการจดั การเรยี นรู้ทเ่ี นน้

ทกั ษะกระบวนการ 9 ขนั้ กลุ่มสาระการเรือนร้กู ารงวนอชีพและเทคโนโลยี เรื่อง การสร้างสรรค์กับ

งานประดษิ ฐ์จกวสั ดเุ หลอื ใช้ สาหรบั นักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 6" เป็นการศึกษาแนวทางการ

พฒั นากระบวนการทางานของนกั เรยี น โดยใช้แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ีเน้นทักษะกระบวนการ 9 ขั้น

ซง่ึ จาเป็นตอ้ งอาศัยชอั มลู แนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ัยท่ีเกย่ี วข้อง จากเอกสารและงานวิจัยต่างๆ ดังนี้

1. แนวคิดหลกั การทเี่ กยี่ วข้องกับกระบวนการทางานจะนาเสนอ

2. แนวคดิ หลักการที่เกยี่ วข้องกบั ทักษะกระบวนการ 9 ขั้นทฤษฎีการสร้างความรู้ดว้ ยตัวเองโดยการ
สร้างสรรค์ช้นิ งาน (constructionism)

4. แนวคิดหลกั การคลุม่ สาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี

5. แนวคิดทฤษฎที เี่ กยี่ วข้องกบั การจดั ทาแผนการจดั การเรียนรูท้ ีเ่ น้นทกั ษะกระบวนการ

6. แนวคดิ หลักการที่เกี่ยวข้องกบั งานประดษิ ฐ์

7. แนวคิดทฤษฎีทเี่ กี่ยวขอ้ งกับความพงึ พอใจ

8. งานวิจัยที่เก่ียวข้องแนวคิดหลักการทีเ่ กยี่ วขอ้ งกบั กระบวนการทางาน

1. ความหมายของทักษะกระบวนการทางานชอบ

ทักษะ หมายถึง ความสามารถในการใช้กระบวนการต่างๆ อย่างคล่องแคล่วและแม่นยา

กระบวนการ หมายถงึ ขั้นตอนการปฏบิ ตั งิ านอย่างต่อเนื่องเปน็ ลาดบั เมื่อพิจารณาท้งั สองสว่ นรวมกนั ใน
บริบท (context) ของการศกึ ษา

ทักษะกระบวนการ หมายถึง การใชก้ ระบวนการต่างๆอย่างคล่องแคล่วถูกล้อง

แมน่ ยา เป็นความหมาชเชงิ กระบวนการเป็นประการทีห่ นึ่ง สว่ นประการทส่ี อง หมายถงึ คุณลักษณะ

หรือความสามารถระดับสงู ขึ้นไปทเี่ กิดจากการฝึกการใชก้ ระบวนการต่างๆกรมวิชาการ (2537, หนา้ า 3)
กล่าวว่า การจัดให้ผู้เรยี นไดเ้ รียนรู้ และเกิดทักษะในกระบวนการต่างๆ เพอ่ื ท่ีจะนาความร้แู ละประสบการณท์ ่ี
ใด้จากการเรียนไปใชป้ ระไยชน์ในการดารงชวี ติ จะต้องสอนให้ผเู้ รียนไดฝ้ ึกปฏบิ ัติจรงิ จนเกิดทักษะและเกิด
ความช่นื ชมท่ีได้ปฏิบตั ิกระบวนการต่างๆ ทจี่ ะต้องปลูกฝังใหเ้ ถิดขน้ึ เชน่ กระบวนการคิด กระบวนการ
แก้ปัญหา

กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์

กระบวนการแสวงหาความรู้

กระบวนการฝึกทักษะ

กระบวนการจดั การ

กระบวนการกลุ่ม เปน็ ดัน

เพ่ือให้ผเู้ รียนเกิดตวามรู้ความเขา้ ใจ คา่ นยิ ม คุณธรรม จรยิ ธรรม

ทักษะ และกระบวนการตา่ งๆ ดังกล่าว ครูจาเป็นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการสอนมาเป็นการสอนท่ี

ฝึกใหผ้ เู้ รียนมีนิสยั ในการใช้ ทกั ษะกระบวนการในการแสดงออกทกุ ๆ ด้าน

(1) การวิเคราะห์งาน คือ การทผ่ี เู้ รยี นสามารถแจกแจงานที่จะทาวา่ เปน็ งานประเภทใจต้องใชเ้ คร่ืองมือและ
อปุ กรณ์อะไรบ้างมีข้นั ตอนการปฏบิ ตั อิ ย่างไร ฝึกให้ผเู้ รยี นมองงานออกโดยภาพรวมจะต้องทาอย่างไร

(2) การวางแผนในการทางาน คอื การทผ่ี ้เู รียนสามารถวางแผนว่าใช้กาลังงานในการทางานอย่างไร จะทาคน
เดียวหรือต้องทาหลายคน ถ้าทาหลายคนจะแบ่งหนา้ ท่ีกนั อยา่ งไร ต้องใชว้ สั ดอุ ุปกรณอ์ ะไรบ้าง ในการทางาน
คร้งั นี้จะต้องใช้เงนิ ลงทุนในการทางานบา้ งหรือไมม่ ากน้อยเพยี งไร กาหนดวธิ ีทางานใหเ้ ป็นข้ันตอนตลอดจน
ทางานสาเร็จ

(3) ปฏบิ ัตงิ าน คือ การใหผ้ ูเ้ รียนได้ทางานเป็นไปตามลาลับข้ันตอนทีว่ างแผนไว้

ฝกึ ให้มีลักษณะนสิ ัยที่ดีในการทางาน เช่น การพูดจาที่สุภาพ เหมาะสม การมีน้าใจเสอ้ื เสือ้ เผื่อแผ่

ความขยนั อดทน ความซอ่ื สัตย์ ฯลฯ สามารถตรวจสอบสอบผลการทางาน

(4) การประเมินผลการทางาน คือ การใหผ้ เู้ รยี นไดม้ ีการประเมนิ ทั้งแผนการทางาน ขณะปฏิบตั ิงาน

และเม่ือทางานเสร็จ โดยขั้นการวางแผนงานหรือเตรยี มทางานให้

ประเมนิ ว่าไดว้ างแผนไรร้ อบคอบ รัดกมุ หรือไม่ จะเตรยี มอะไรบ้างตรวงสอบดแู ผนที่วางไว้ว่า

การทางานของตนเองเปน็ ระยะๆเปน็ ไปไดห้ รือไม่ ขณะทางานหรือปฏิบัตงิ านใหป้ ระเมนิ ว่า วธิ กี ารทางานเปน็
อยา่ งไร มขี ้อบกพร่องท่ีจะต้องปรับปรงุ อย่างไรบ้าง และผลงานทปี่ รากฏออกมาไหป้ ระเมินว่าเป็นไปตาม

จุดมุ่งหมายหรือไม่ มขี ้อดี ขอ้ เสยี ลยา่ งไร เพ่ือจะไดแ้ ก้ไข ปรับปรุงผลงานของตนใหด้ ีข้ึนจดุ มุ่งหมายของ
หลกั สตู รการศึกมาข้ันพนื้ ฐานม่งุ ให้ผเู้ รยี นมที ักษะกระบวนการในดา้ นตา่ งๆ ดังนน้ั การสร้างหลักสตู รสถานศึก
มาจึงยดื เรยี นรู้ทีค่ าดหวังใหส้ ัมพนั ธก์ ับกระบวนการเรียนที่เน้นทกั ษะการทางานในกลุ่มการงานอาชพี และ
เทคโนโลยี

แนวคดิ หลักการทเ่ี กยี่ วข้องกับทักษะกระบวนการ 9 ข้ัน
สงบ ลกั ขณะ กล่าวถึงลกั ษณะกระบวนการเรือนรู้ 9 ขัน้ ดงั น้ี
(1) ขั้นตระหนักในปัญหาและความจาเป็น
ครยู กสถานการณต์ วั อยา่ งให้นักเรียนได้เข้าใขและดระหนักในปญั หา ความจาปน็ ของเรื่องที่ปรึกษา หรือเห็น
ประไยชนค์ วามสาคัญของการศกึ ษาเร่ืองน้ันๆ โดยครูถาจจะนา
เสนเปน็ กรณตี วั อย่าง หรือสถานการณ์ท่สี ะท้อนใหเ้ หน็ ปัญหา ความขดั แยง้ ของเร่อื งท่จี ะศึกษาโดย
ใชส้ ่ือประสม เชน่ รูปภาพ วดี ีทศั น์ สถานการณ์จริง กรณีตัวอย่าง สไลด์ ฯลฯ
(2) ขั้นคดิ วเิ คราะหว์ ิจารณ์
และพจิ ารณาองค์ประกอบของปัญญาครูกระตนุ้ ไห้ผเู้ รียนคิดวิเคราะห์ วจิ ารณ์ ตอบคาถาม เพอ่ื แยกสาเหตุ
ความสาคัญ
(3) ขน้ั สร้างทางเลอื กท่หี ลากหลาย
ให้นักเรียนแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาอยา่ งหลากหลาย โดยรว่ มกนั คิด
เสนอทางเลือก และอภิปราชข้อดีข้อเสยี ข้อเสียของทางเลือกน้นั
(4) ขั้นประเมินและเลือกทางเลือก
ใหผ้ ู้เรยี นพิจารณาตัดสนิ เลือกแนวทางในการแกป้ ญั หา และร่วมกันสร้างเกณฑ์
ในการเลอื กแนวทาง โคยคานึงถึงปัจจยั วที ีค่ าเนนิ การ ข้อจากดั ความเหมาะสม และศึกษาคน้ ควา้ เพิ่มเติม
(5) ขน้ั ปฏิบัติ
ผู้เรยี นวางแผนการทางานของตบเองหรือของกลุ่มตามลาดับขั้น ดังน้ี
(5.1) ศึกษาข้อมลู ข้นั พ้นื ฐาน
(5.2) กาหนดวัตถุประสงค์
(5.3) กาหนดข้นั ตอนการทางาน
(5.4) กาหนดผูร้ บั ผดิ ชอบ (กรณที างานร่วมกนั เป็นกลุม่ )
(5.5) กาหนดระยะเวลาทางาน
(5.6) กาหนดวธิ ปี ระเมินผล
(6) ขน้ั ปฏิบตั ดิ ว้ ยความช่ืนชม
ต้งั ใจและเพลดิ เพลนิ กับการทางานเปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นได้ปฏิบตั ิตามขน้ั ตอนท่ีกาหนลด้วยความสบายใจ

(7) ขัน้ ประเมนิ ผลระหว่างปฏิบัติ
ผเู้ รียนสารวจปญั หาและอปุ สรรคในการปฏิบตั งิ าน โคยการซักถามและอภปิ รายแลกเปลี่ยนความคดิ เหน็ มีการ
ประเมินผลการปฏิบตั ิงานตามขัน้ ตอนและแผนท่กี าหนดโดยสรปุ ผลการทางานแต่ละชว่ ง แลว้ เสนอแนว
ทางการปรบั ปรงุ การทางานขั้นตอ่ ไป
(8) ขนั้ ปรับปรุงใหด้ ีขน้ึ อยู่เสมอ
ผู้เรยี นนาผลทไี่ ด้จากการประเมินผลในแต่ละขนั้ ตอบมาเป็นแนวทางในการพฒั นางานให้มีประสทิ ธิภาพยิง่ ขนึ้
(9) ขั้นประเมินผลรวมเพื่อเกิดความภาคภมู ใิ จ
ผู้เรียนสรปุ ผลการคาเนินงาน โดยเปรียบเทยี บผลงานกับวตั ถปุ ระสงค์ทีก่ าหนดไว้ ผลพลอยได้อน่ื ๆ ซงึ่ อาจเผข
แพร่ขยายผลงานแก่ผ้อู ่ืนใหใ้ ด้ความรดู้ ว้ ยความสาเร็งและความภาคภมู ใิ จ (การจัดการเรยี นการสอนอาจจดั ไว้
ขน้ั หรือปรบั ใหเ้ หมาะสมตามลักษณะของจุดประสงค์แต่ละกลมุ่ ประสบการณ์ก็ได้)
ทฤษฎกี ารสร้างความรูด้ ้วยตนเองโดยการสรา้ งสรรคช์ ้ินงาน (constructionism)
ทฤษฎี "constructionism" เปน็ ทฤษฎีที่มพี นื้ ฐานมาจากม
สติปัญญาของเพียเจค์ (Piage!) เชา่ เดียวกบั ทฤษฎกี ารสร้างความรู้ (constructivism) ผพู้ ฒั นาทฤษฎี
น้ีคอื ศาสตราจารย์ ชบี ัวร์ เพเพอร์ท (Seymour Paper) แหง่ สถาบนั เทคโนโลยีแมสซาทเชดส์
(Massachusetts Institute of Technology) เพพรท์ ได้มีโอกาสร่วมงานกับเพยี จค์และได้พฒั นา
ทฤษฎนี ขี้ ึ้นมาใชใ้ นวงการศึกษาแนวความตดิ ของทฤษฎนี ค้ี ือการเรียนรู้ท่ีดีเกดิ จากการสร้างพลงั ตวามรใู้ นคน
เองและด้วยตนเองของผเู้ รยี น หากสเู้ รยี นมี โอกาสไว้สรา้ งความคิดและนาความคิดของตนเอง ไป
สร้างสรรคข์ ้ึนงาน โคยอาศยั สื่อและเทคโนโลยที ีเ่ หมาะสม จะทาให้เหน็ ความคิดนั้นเป็นรปู ธรรม
แนวคิดหลักการกลุ่มสาระการเรียนร้กู ารงานอาชีพและเทศโนโลยี
. ความสาคัญของกลมุ่ สาระการเรยี นรกู้ ารงานอาชพี และเทศโนโลยี
การพฒั นาผเู้ รยี นคามหลักสตู รการศึกบาขน้ั พืน้ ฐาน มงุ่ พฒั นาให้เปน็ คนทสี่ มบรู ณ์
และสมดุลทัง้ คา้ นจดิ ใจ ร่างกาย สติปิญญา อารมณ์ และสงั คม โดยมงุ่ เน้นการพฒั นาใหผ้ ู้เรยี น มี
ทั้งค้านวติ าการ วิชางาน และวิชาชีวติ เพือ่ ให้สามารถดารงชีวิตอยู่ในสงั คมได้
อย่างเป็นสขุ พึง่ ตนเองได้ อยู่รว่ มกับผู้อ่นื อย่างสร้างสรรค์ พัฒนาสังดมและสิง่ แวคล้อม
กรมวชิ าการ (2545. หน้า 1) กล่าวถึงความสาคญั ของกลุ่มสาระการเรยี นรู้การงาน
อาชีพและเทคในใลยวี า่ เปน็ สาระการเรยี นรู้ท่ีมงุ่ พฒั นาผูเ้ รียนใหม้ ีความรูค้ วามเขา้ ใจเก่ยี วกับงาน
จดั การ สามารถนาทดในโลยีสารสนเทศและ

อาชพี และเทคโนโลยี มที ักษะการทางาน ทักษะเทคโนโลยีตา่ งๆ มาใชใ้ นการทางานอยา่ งถูกต้อง เหมาะสม
ค้มุ คา่ และมคี ุณธรรม สรา้ งหรอื พัฒนาผลติ ภณั ฑ์หรือวิธกี ารใหม่ สามารถทางานเป็นหมู่คณะ มีนิสยั รกั การ
ทางาน เห็นคณุ คา่ และมีเจตศติและคา่ นิยมทีเ่ ป็นพน้ื ฐาน ได้แก่ ความขยัน ช่อื สัตย์

ประหยดั และอดทน อนั จะนาไปสกู่ ารให้ผเู้ รยี นสามารถช่วยเหลือตนเอง และพ่งึ ตนเองไดต้ าม

พระราชะดารเิ ศรษฐกจิ พอเพียง สามารถคารงชวี ติ อย่ใู นสงั คมได้อย่างมคี วามสขุ ร่วมมือแถะแขง่ ขนั

ในระดบั สากลในบรบิ ทของสงั คมไทย

สรุปใหว้ ่า กลุ่มสาระการเรียนรกู้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยมี ีความสาคญั ต่อการ จัดการศึกษาและตัวผเู้ รยี น
คอื เป็นกลมุ่ สาระการเรยี นรู้มุ่งพฒั นาผ้เู รียนใหม้ ีความรตู้ วามเขา้ ใจเก่ยี วกบั

ความสามารถทางานเปน็ หมคู่ ณะ มีทักษะการจัดการ รกั การทางาน เห็นคุณคา่ งาน มีทกั ษะในการทางาน

มีเจตคตทิ ่ีดีตอ่ งาน มีคุณธรรมจรติ ธรรม คา่ นยิ มทเี่ ปน็ พ้ืนฐาน สามารถชว่ ยเหลือตนเอง และ

ดารงชีวิตอยู่ในสังคมอยา่ งเป็นสขุ

2. วสิ ัยทศั น์ของกลมุ่ สาระการเรียนรูก้ ารงนอาชีพและเทคโนโลยีกล่มุ สาระการเรยี นร้กู ารงานอาชีพและเทคโน
โลยี กาหนควสิ ัยทศั นด์ ังท่ี

กรมวิชาการ (2545. หนา้ า 2) กล่าวไว้ดังนี้ เปน็ สาระทเ่ี น้ันกระบวนการทางานและ

การจัดการอย่างเปน็ ระบบ พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ มีทกั ษะการออกแบบงาน และการทางาน

อย่างมีกลยุทร์ โดยใช้กระบวนกรเทคโนโลยี และเทคโนโลยสี ารสนเทศ ตลอดจนนาเทคโนโลยี

มาใช้และประยุกต์ใชใ้ นการทางานรวมทัง้ การสร้าง พัฒนา ผลิตภณั ฑ์ หรอื วิธีการใหม่ เน้นการใช้

ทรัพยากรธรรมชาติ สิง่ แวดล้อมและพลังงานอย่างประหยัดและคุ้มค่า เพอื่ ใหบ้ รรลวุ ิสยั ทศั น์

ดงั กล่าว กล่มุ การงานอาชีพและเทคโนโลยี จึงกาหนดการเรียนรู้ทยี่ ึดงานกระบวนการจัดการและ

การแก้ปัญหาเปน็ สาคญั บนพื้นฐานของการใช้หลักการและทฤษฎีเปน็ หลกั ในการทางานและการ

ท้งั 2 ประเภทน้ี เม่ือผเู้ รยี นใดร้ บั การฝึกฝนแกไ้ ขปัญหา งานที่นามาฝกึ ฝนเพ่อื บรรลุวสิ ยั ทัศนข์ องกลุ่มน้ัน เปน็
งานเพ่ือการคารงชีวติ ในครอบครวั และสงั คมและปฏบิ ตั ติ ามกระบวนการเรยี นรูข้ องกลุ่มการงานอาชพี
เทคโนโลยีแล้ว ผเู้ รียนจะไดร้ ับการปถูกฝงั และพัฒนาใหม้ ีคุณภาพและคณุ ธรรม การเรยี นร้จู ากการทางานและ
ความรู้ ทกั ษะ และรวมรวมกันจนก่อเกดิ เป็นคุณลกั ษณะของผเู้ รยี นทั้งค้านคุณภาพและคณุ ธรรมตาม

มาตรฐานการเรียนรู้ที่กาหนด

3. คณุ ภาพของผู้เรยี น
กลุม่ การงานอาชีพและเทคโนโลยี ม่งุ พฒั นาผูเ้ รยี นแบบองค์รวมเพือ่ ให้เปน็ คนดี
มีความรู้ความสามารถ โดยมีคุณลกั ษณะที่พึงประสงค์ (กรมวชิ าการ, 2545. หนา้ 2)
มีความรคู้ วามเข้าใจเกย่ี วกับการคารงชีวิตและตรอบครัว การอาชพี การออกแบบสารสนเทศ และเทคโนโลยี
เพ่ือการทางานและอาชพี และเทคโนโลยี เทคโนโลยีสารสนเทศมที ักษะการทางาน การประกอบอาชีพ การ
จดั การ การแสวงหาความรู้ เลอื กใช้เทคโนโลยแี ละเทคโนโลยีสารสนเทศในการทางาน สามารทางานอยา่ งมกี ล
ยทุ ธ์ สร้างและพฒั นาผลิตภณั ฑ์หรอื วธิ ีการใหม่
มคี วามรบั ผิดชอบ ชอื่ สัตย์ ขยัน อดทน รักการทางาน ประหยดี อตออม ตรงต่อเวลา
เออื้ เฟ้ือเสียสละ และมวี ินัยในการทางาน เห็นคุณค่าความสาคญั ของานและอาชีพสุจรติ ตระหนกั
ถงึ ความสาคัญของสารสนเทศ การอนุรกั ษท์ รัพยากรธรรมชาติ สิง่ แวดลอ้ ม และพลงั งาน เมอ่ื จบแต่
ละช่วงช้ัน ผเู้ รียนตอ้ งมีความสามารถดังต่อไปนี้
ช่วงช้ันท่ี 2 ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 4-6
สามารถชว่ ยเหลือตนอง ครอบตรัวและชุมชน ทางานอย่างมีข้ันตอน มีทักษะในการ
จดั การ มคี วามคดิ รีเรมิ่ สร้างสรรค์ในการทางาน เลอื กใชเ้ ทคโนโลยีและเทคโนโลยสี ารสนเทศได้
เหมาะสมกันงาน สามารถคดิ ออกแบบ สรา้ ง คัดแปลง ส่ิงของเคร่ืองใช้ในชีวติ ประจาวันง่ายๆ
ทางานดว้ ยความรบั ผิดชอบ ขยนั ชื่อสัตย์ ประหยดั อดออม อดทน ใช้พลังงานทรพั ยากรธรรมชาติ
และส่ิงแวดลอ้ มอย่าค้มุ คาและถกู วธิ ี
4. สาระการเรยี นร้แู ละมาตรฐานการเรยี นรู้
การดารงชวี ติ และครอบครัว
สาระท่ี 2 : การอาชีพ
สาระท่ี 3 : การออกแบบและเทคโนโลยี
สาระที่ 4 : เทคโนโลยสี ารสนเทศ
สาระที่ ร : เทคโนโลยเี พอื่ การทางานและอาชีพ
สาระท่ี 1 การดารงชีวติ และครอบครัว
เป็นสาระทีเ่ กย่ี วกบั การทางานในชีวิตประจาวันทั้งในระดับครอบครัว ชุมขน
และสังคมทีว่ ่าด้วย งานบา้ น งานเกษตร งานชา่ ง งานประดิษฐ์ และงานธรุ กจิ

เปน็ งานท่ีเกี่ยวกับการทางานคา้ นการประดิษฐส์ งิ่ ของเครอื่ งใชท้ เี่ นน้ ตวามคดิ งานประดิษฐ์

สร้างสรรค์โดยเน้นความประณตี สวยงามตามกระบวนการงานประดษิ ฐ์และเทศโนโลยี และเน้น

การอนรุ ักษ์และสืบสานศิลปะวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยคามภูมิปัญญาท้องถ่นิ และ

มาตรฐานการเรยี นรู้

สาระที่ 1 การดารงชีวติ และครอบครัว

มาตรฐาน ง 1.1 : เขา้ ใจมีความคิดสร้างสรรค์ มีทกั ษะ มีคุณธรรม มจี ิตสานึก ในการใช้พลังานทรัพยากรและ
สิ่งแวดล้อมในการทางานเพ่ือดารงชีวิดและครอบครัว ท่เี ก่ียวขอ้ งกบั งานบ้าน งานเกษตร งานช่าง งาน
ประดษิ ฐ์ และงานธุรกิจ

มาตรฐาน ง 1.2 : มีทกั ษะกระบวนการทางาน การจดั การ การทางานเป็นกลุ่ม การแสวงหาความรู้ สามารถ
แท้ปญั หาในการทางาน รักการทางาน และมีเจตคติทด่ี ีต่องานกระบวนการเรียนรู้กลวิธีการจดั การเรียนร้ขู อง
กลุ่มการงานอาชีพและเทคโนโลยีเรียนรูเ้ ปน็ หัวใจสาคญั ของการพฒั นาผู้เรยี นให้

มาตรฐานการเรยี นรู้ สาหรบั กลมุ่ การงานอาชีพและเทคโนโลยี แนวความตดิ หลกั (main concepi)

ของกลวธิ ีการเรยี นรู้มคี ุณลักษณะดังต่อไปน้ี

1) จัดการเรียนรู้ให้ตรวจองค์รวมของการพฒั นาตามศักยภาพผู้เรียน คือผ้เู รียนต้องมีท้ังความรู้ ทักษะ
กระบวนการ คุณธรรม จรยิ ธรรม และคานิยม

2) การจัดการเรียนรตู้ ้องกาหนดเป็นงาน (TASK) โดยแตล่ ะงานต้องเป็นไปตามใครงสรา้ งการเรียนรู้ของกลุ่ม
การงานอาชพี และเทคโนโลยี ทัง้ 7 หวั ข้อ คอื

2.1) ความหมายของงาน

2.2) ความสาคญั และประโยชนข์ องงาน

2.3) มที ฤษฎสี นับสนนุ

2.4) วิธีการและข้ันตอนของการทางาน

2.5) กระบวนการทางาน การจดั การเทคโนโลยี เทคโนโลยีสารสนเทศและแนวทางประกอบอาชีพ

2.6) การนาเทคโนโลยี เทคโนโลยสี ารสนเทศมาใชใ้ นการทางาน การสร้างและพัฒนาผลิตภัณฑ์หรอื วธิ กี าร
ใหม่ๆ

2.7) คณุ ธรรม จรยิ ธรรม และค่านยิ มในการทางานและประกอบอาชีพผสู้ อนสามารถสอนแตล่ ะงานครบ
หรือไม่ทั้ง 7 หวั ข้อก็ได้ข้ึนอยู่กบั ลักษณะงานแต่ท้ังนีจ้ ะต้องสอนครบท้ังมาตรฐานด้านความรู้ ดา้ นทกั ษะ/
กระบวนการ และด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม และค่านยิ ม

3) การจัดการเรยี นรู้ ผ้สู อนสามารถนาความรู้ ทกั ษะ/กระบวนการระดบั ภายในกล่มุ มาบูรณาการกันได้ หรือ
นาสาระจากกลุม่ วิชาคณุ ธรรม จริยธรรม และคา่ นิยม อน่ื มาบรู ณาการกบั สาระของกลุ่มการงานอาชีพและ
เทคโนโลยไี ด้ เพื่อใหผ้ เู้ รียนสามารถปฏิบัตงิ านตามกระบวนการเรยี นรู้ตา่ งๆ เชน่ กระบวนการทางาน
กระบวนการคดิ กระบวนการตดั สินใจ กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการกลมุ่ กระบวนการเรยี นรแู้ บบมี
สว่ นร่วม ฯล จนเกดิ ทักษะในการทางาน และได้ช้ินงาน รวมท้งั สร้าง พฒั นางานและวิธกี ารใหม่

จดั การเรยี นร้ไู ด้ทัง้ ภายในช้นั เรยี น นอกชนั้ เรยี น โดยจัดในสถาน

ปฏิบตั ิงาน แหลง่ วิทยาการ สถานประกอบการ สถานประกอบอาชีพอิสระ ฯลฯ ทงั้ นใ้ี ห้ขึ้นอย่กู บั

สภาพความพร้อมของสถานศึกมา ผูเ้ รียน และดลุ พินจิ ของผู้สอน โดยคานงึ ถงึ สภาพการ

เปลีย่ นแปลงทางสังคมเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

5) จดั การเรียนรโู้ ดยกระตุ้นให้ผ้เู รียนกาหนดงานทมี่ ีความหมายกับผู้เรยี น

ซ่ึงจะทาใหผ้ ู้เรยี นเห็นประโยชน์ ความสาคญั เห็นคุณค่า ยอ่ มทาให้เกดิ ความภาคภมู ิใงในการ

6) จดั การเรยี นรโู้ ดยผู้สอนตอ้ งคานงึ ถึงความต้องการ ความสนใจ ความ

พรอ้ ม ทง้ั รา่ งกาย อปุ นิสัย สติปญั ญา และประสบการณเ์ ดิมของผ้เู รยี น

รูปแบบการจัดการเรียนรู้

เพื่อให้ผ้เู รยี นประสบความสาเรจ็ ในการเรยี นกลุ่มการงานอชีพและเทคโนโลยีจงเสนอแนะรูปแบบการจดั การ
เรียนรดู้ ังนี้

1. การเรียนรจู้ ากการปฏบิ ัตจิ รงิ

2. การเรียนรูจ้ ากการค้นคว้า

3. การเรียนรจู้ ากประสบการณ์

4. การเรียนรู้จากการทางานกลมุ่

รูปแบบมีดังน้ี
แตล่ ะรูปแบบมีดงั น้ี รปู แบบการจดั การเรียนรู้ดังกลา่ ว ผูส้ อนจะเร่มิ คน้ั จากรูปแบบใจก่อนหลงั กไ็ ด้
และอางจัดการเรยี นรใู้ ห้ครบทง้ั 4 รปู แบบ หรอื ไมค่ รบท้ัง ง รูปแบบกไ็ ด้ รายละเอยี ดของแต่ละ
รปู แบบการจัดการเรยี นร้ดู งั กลา่ ว ผสู้ อนจะเรมิ่ ตันจากรปู แบใดก่อนหลงั
ก็ได้ และอาจจดั การเรยี นรใู้ ห้ครบทงั้ 4 รูปแบบ หรือไมค่ รบท้ัง 4 รูปแบบก็ได้ รายละเอียดของ
1.1) ขน้ั ศกึ ษาและวิเคราะห์
1.2) ข้ันวางแผน
1.3) ข้นั ปฏบิ ัติ
- ผ้สู อนให้คาแนะนา ผูเ้ รยี นฝึกปฏบิ ตั ิ
1.4) ข้นั ประเมนิ /รับปรุง
- ผเู้ รียนฝึกฝน
2) การเรยี นรจู้ ากกรศึกษาค้นคว้า เปน็ การเรยี นท่เี ปดิ โอกาสให้ผ้เู รียนได้
ศึกษาคนั ควา้ ในเร่ืองท่ีสนใจจากผู้สอนควรให้ผู้เรยี นเรยี บเรียงกระบวนการแสวงความรู้ เสนอตอ่ ผสู้ อนและ
หรอื กลมุ่ ผูเ้ รียน
3) การเรยี นรจู้ ากประสบการณ์ เปน็ การเรียนร้ทู ปี่ ระกอบด้วย 5 ขัน้ ตอน ดังนี้
จนสามารถสนองแรงจงู ใจ ไฝ่รูข้ องตนเอง ทง้ั นี้
3.1) ครผู ูส้ อนสรา้ งกิจกรรมโดยท่กี จิ กรรมน้ัน
สถานการณ์ของผูเ้ รียน หรือเปน็ กิจกรรมใหม่ หรือเป็นประสบการณ์ในชีวิตประจาวันก็ได้
3.2) ผูเ้ รียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมจากข้อ 3.1) โดยการอภิปรายการศึกษา
กรณตี วั อย่างหรอื การปฏิบัติกิจกรรมนั้นๆ ฯลฯ
3.3) สู้เรยี นวเิ คราะหผ์ ลทเี่ กิดขึน้ จากการปฏบิ ตั ิกิจกรรม ว่าเกดิ ข้ึนจากสาเหตอุ ะไร
3.4) สรุปผลทไ่ี ด้จากขอ้
3.3) เพ่อื นาไปสู่หลักการ/แนวคิดของสงิ่ ท่ไี ด้เรยี นรู้
3.5) นาหลกั การ/แนวคดิ จากข้อ 34) ไปใช้กบั กจิ กรรมใหม่ หรือกจิ กรรมอ่นื ๆ หรอื สถานการณ์ใหม่ตอ่ ไป
อนงึ่ เพื่อใหผ้ เู้ รยี นเกิดการเรียนรใู้ ดอ้ ยา่ งสมบูรณ์ ผูส้ อนควรดาเนินการ จัดการ
เรยี นการสอนให้ครบท้ัง 5 ขั้นตอน

คาเนนิ การเปน็ ไปตามจดุ ม่งุ หมาย ประการทส่ี อง เป็นการสอนทเ่ี ปดี โอกาสใหผ้ เู้ รียนเปน็ ผู้ตน้ พบ
คาตอบหรือทาสาเร็จควั เคนเอง โดยครูพยายามลคบทบาท จากผู้บอกคาตอบมาเปน็ ผู้ตอบกระตุ้น
ด้วยคาถามหรือปญั หาใหผ้ ู้เรียนคิดแก้ หรือหาแนวทางไปสู่ความสาเรจ็ ในการทากิจกรรมเอง
ประการท่ีสาม เป็นเผนการสอนท่เี นนั้ ทักษะกระบวนการ มุ่งใหผ้ ู้เรียนรับรู้และนากระบวนการไป
ใชจ้ รงิ ประการท่ีสี่ เป็นแผนการสอนทสี่ ่งเสริมการใช้วัสดถุ อุปกรณ์
สงบ ลกั ษณะ (2534. หน้า 20) ได้กลา่ ววา่ แผนการสอนท่ีดีจะต้องมีรายละเอยี ด
ชดั เจนถึงกจิ กรรมนักเรยี น บทบาทของครู การใช้ การวดั จนผอู้ ่านมองเห็นภาพพฤติกรรมจรงิ ๆใน
หอ้ งเรยี นได้สมบูรณ์ จงึ ถือว่าเป็นแผนการสอน ท่ดี ีและไมจ่ าเปน็ ต้องบนั ทกึ การสอนอกี ก็ไดเ้ พราะ
แผนการสอนทีช่ ดั เจนจนใช้แทนบันทกึ การสอนได้ จากความคดิ เห็นของนักวชิ าการเกี่ยวกบั
ความหมายของแผนการการเรียนรู้ สรุปได้วา่ แผนการเรียนรู้ หมายถึง แผนการคาเนนิ งานและวิธี
จดั กจิ กรรมการเรยี นรเู้ พื่อให้ผ้เู รียนเกิดการเรยี นรู้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ
พยงุ พงษ์ สรอ้ ยสวุ รรณ (2538, หน้า 21 ได้กล่าวถึงแผนการเรียนรู้ วา่ แผนการเรยี น
ควรประกอบด้วยกิจกรรมหลายๆ วธิ กี ารก่อนท่จี ะใช้แผนการเรียนรูใ้ คควรจะมีการประเมินผู้เรยี น
เสียก่อนเพือ่ ใช้ป็นขอ้ มูลในการเลือกวธิ ีการและกิจกรรมการเรยี นรทู้ ่ีเหมาะสมเพ่ือผู้เรียนจะได้
ไปสูพ่ ฤติกรรมทตี่ าดหวัง
นยิ ม ทพิ จักร์ (2540, 1นา้ า 1 1) กลา่ วถงึ แผนการสอน ซึ่งมีความหมายว่าเป็นการวาง
เผนการสอนท่ีจดั ไวเ้ ป็นลายลักษณ์อักพรถว่ งหนา้ เพื่อทาการสอนวชิ าใดวิชาหน่ึงเป็นแผนการจดั
กงิ กรรมการเรียนการสอน การใช้ส่ืออุปกรณ์ และการวดั ประเมินผลให้สอดคล้องเจตนารมณข์ อง
หลกั สูตร และความพร้อมของนกั เรียนและโรงเรยี น
วรรณณี นาสถิด (2543, หนา้ 48) กลา่ ววา่ แผนการสอน หมาชถึง งานที่ตรูด้องการ
ล่วงหนา้ ในการที่จะคาเนนิ การจดั การเรอื นการสอนในแค่ละวิชาเพื่อใหผ้ ู้เรือนบรรลจุ ดุ หมาย
ปลายทางตามท่ีหลักสตู รกาหนดไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ
วุฒิพงบวง บัวชู (2543, หนกั 27) ไดใ้ หค้ วามทมายของแผนไวว้ ่า หมายถึงสงิ่ ท่ีครูได้
จดั เตรยี มไวเ้ พื่อจะดานนิ การจัดการเรยี นการสอนในแตล่ ะเน้อื หาให้บรรลดุ ามหลักสตู รและให้เกิด
การเรียนได้ดี

อรสา มาสงิ ห์ (2547, หนา้ า 25) ไดก้ ลา่ วไว้วา่ แผนการสอนคือ การเครยี มการสอน
ล่วงหนา้ อย่างมแี บบแผนเพ่ือท่ีจะให้การจัดกิงกรรมการเรียนการการสอนของครใู หส้ อดคลอ้ งกบั
เนื้อทาสาระและผลการเรยี นรทู ี่คาดหวงั ท่ีวางไว้อยา่ งมีประสิทธิภาพ
สรุปไดว้ ่า แผนการจัดการเรียนรูห้ รือแผนการสอน มคี วามสาคัญตอ่ การจัดการ
เรียนรูใ้ หบ้ รรลเุ ปห้ มายในแต่ละครั้ง เพราะมีการเตรียมกจิ กรรมท่เี หมาะสมอยา่ งมีข้ันตอนและ
เปน็ ระบบไว้ล่วงหน้า ทาให้การเรียนร้เู ป็นไปตามที่มุ่งหวังทาให้ผู้เรียนเกดิ การเรยี นรู้อยา่ งมื
ประสทิ ธิภาพ และสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตัวเอง
2. ความสาคัญของแผนการจัดการเรยี นรู้หรอื แผนการสอน
สพุ ล วังสนิ ธ์ (2536, หนา้ 5) ได้กลา่ วว่า แผนการเรยี นรูเ้ ป็นกญุ แจสาคัญท่ีจะทาให้
การเรียนการสอนมปี ระสิทธภิ าพยิง่ ข้ึน
ทวชี กั ดิ์ ไชยมาโย (2537. หน้า 4-5) ให้ความสาคัญกับแผนการสอน คือ
(1) ชว่ ยให้ครไู ด้มโี อกาสศึกษาความรู้ในเรื่องหลกั สตู รแนวการสอน การจดั ทาการหาสื่อประกอบการสอนจน
วิธกี ารวดั ประเมนิ ผลอย่างละเอยี ดทุกแงม่ ุม
(2) ช่วยให้เกดิ การวางแผนวธิ ีสอน วิที่เรียนท่มี คี วามหมายย่ิงขน้ึ เน้ือหาสาระและจุดประสงค์การเรือนจาก
หลกั สตู รกับหลักแผนการสอนเป็นคารผสมผสาน
จติ วทิ ยาการศึกษาหรือนวัดกรรมการเรยี นใหม่ๆ ตลอดจบปัจจยั อานวยความสะดวกและสภาพปัญหา ความ
สนใจ ความลอ้ งการของนกั เรียน ผปู้ กครองและทรัพยากรในท้องถน่ิ โดย
ใชว้ ธิ กี ารเชงิ ระบบเพ่ือใหก้ ารเรียนการสอนเปน็ ไปอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
(3) ชว่ ยใหค้ รมู ีค่มู ือที่ทาดว้ ยตนเองไวล้ ว่ งหนา้ เพ่อื ให้เกดิ ความสะดวกในการจัด
กิจกรรมการเรยี นการสอนอย่างมีคุณภาพดามเจตนารมณ์ของหลกั สตู ร สง่ เสริมไห้ผเู้ รียนเกิดการ
เรยี นรู้ครบถ้วนสอดคล้องกับระยะเวลาและจานวนครบถ้วนและทนั เวลา ชว่ ยใหค้ รูมคี วามม่ันใจในการสอน
(4) ชว่ ยให้การประเมนิ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนเป็นไปตามจุดประสงคท์ ่ีกาหนด
ไว้ ชว่ ยให้ครสู ามารถวินิจฉยั จดุ อ่อนของนักเรยี นท่ีจะได้รับการแก้ไข และทราบจดุ เด่นท่ีควรให้รบั
จากน้ียงั สามารถทาให้ครูเห็นภาพการเสรมิ สร้างต่อไป นอกจากน้ี
(5) ชว่ ยให้ครูผสู้ อนสามารถใชเ้ ปน็ ข้อมลู ที่ถกู ต้องเทย่ี งตรง เพอ่ื บุคลากรและหนว่ ยงานที่เก่ยี วขอ้ ง ได้แก่ กรม
วชิ าการ ศึกษานเิ ทศกแ็ ถะผู้บริหาร เพอ่ื ปรับปรงุ หลักสูตรใหเ้ หมาะสมมากยงิ่ ขน้ึ

(6 ชว่ ยให้ผู้บรหิ ารหรอื ผเู้ กี่ยวขอ้ งสามารถทราบขน้ั ตอน กระบวนการต่างๆ ใน
การสอนของครู เพ่ือการนิเทศตคิ ตามและประเมินผลการสอนได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ
(7) ถา้ ผู้สอนติดธุระจาเปน็ ไม่สามารถสอนด้วยตนเองได้ แผนการสอนจะใช้เปน็ คมู่ ือแก่ผมู้ าสอนแทนไดเ้ ปน็
อยา่ งดี
(8) เป็นการพัฒนาวิชาชีพทีแ่ สดงว่างานสอนต้องไดร้ บั การฝกึ ฝนทีม่ คี วามเทย่ี วชาญ โดยเฉพาะมเี คร่ืองมอื และ
เอกสารท่จี าเป็นสาหรับการประกอบอาชีพ
เปน็ ผลงานทางวิชาการอย่างหนงึ่ ทแ่ี สดงให้เหน็ ถงึ ความชานาญการพิเศษหรือความเช่ยี วชาญของผ้จู ัดทา
แผนการสอน ซึ่งสามารถนาไปพัฒนาในหนา้ ที่ และเสนอเถ่ือน
วไิ ลวรรณ ตรศี รชี ะนะมา (2538, หน้า 27) กล่าววา่ แผนการสอน คูม่ ือครู เอกสาร
ประกอบหลกั สตู ร เปน็ เคร่ืองมอื ท่ีครูใช้เป็นแนวทาง ในการเตรยี มการสอนเปรยี บเสมือนอาหาร
สาเร็จรปู ทชี่ ่วยให้ครไู ด้รับความสะดวก ในการสอนในชีวิตประจาวนั ของเรา บางวันไม่สามารถจะ
จดั อาหารสดเพ่ือทาอาหารรับประทานเองได้ แต่เราสามารถหาอาหารสาเรจ็ รูปท่ีมจี าหน่ายอย่าง
แพรห่ ลายรับประทานได้ เพียงแค่เราศึกมาคาแนะนาในการใช้แลว้ ปรงุ ให้ถูกต้องคามสูตรทีเ่ ขา
กาหนดไวแ้ ลว้ ปรบั รสใหห้ มาะกับความต้องการ แผนการเรียนรู้ คู่มอื ครูจะบอกถงึ ความคิด
รวบยอด/ หลกั การ จุดประสงค์ คุณสมบัตทิ ่ตี ้องการเนนั้ เนื้อหา กจิ กรรม (การเรียนการสอน) ส่อื
การเรียนการสอนและการ วดั ประเมนิ ผลไวพ้ ร้อมสรรพ อาหารสาเรจ็ รปู ให้ความสะดวกตอ่
ชวี ดิ ประจาวนั ของเราเชน่ ใด แผนการเรียนรู้ คมู่ ือครู ก็ให้ความสะดวกต่อการสอนของครูเช่นน้นั
ชวนซม ไรยสทิ ธ์ิ (2547. หนา 27) กลา่ ววา่ การวางแผนการสอนของครู เป็นหวั ใจ
ในการนาผู้เรียน ไปส่จู ุดหมายปลายทางทีก่ าหนด เน่ืองจากสภาพทอ้ งถิน่ และความแตกต่างของ
ผเู้ รยี น จงึ ต้องเลือกใชก้ ิจกรรมและกระบวนการท่จี ะทาให้เกดิ การเรียนรตู้ ามจุดประสงค์
(1) ทาให้เกิดการวางแผนวธิ สี อนวิธีเรียนทีด่ ี ท่ีเกิดจากการผสมผสานความรู้และจติ วทิ ยาการศึกษา
(2) ชว่ ยใหต้ รมู คี มู่ ือการสอนท่ีทาด้วยตนเองถ่วงหนา้ ทาใหค้ รูมคี วามมัน่ ใจในการสอนไดต้ ามเปา้ หมาย
(3) สง่ เสรมิ ใหค้ รูไมศ่ ึกษาหาความรู้ ทงั้ หลักสูตรและการจัดการเรยี นการสอนตลอดจนการวัดผลและ
ประเมนิ ผล
(4) ใชเ้ ปน็ ค่มู ือสาหรับครทู ี่มาสอนแทนให้
(5) เปน็ หลกั ฐานทแ่ี สดงข้อมูลทถ่ี กู ต้อง เทย่ี งตรง เป็นประโชชนต์ ่อวงการศึกษา

(๑) เป็นผลงานทางวชิ าการแสดงความชานาญของผจู้ ัดทา
อรสา มาสงิ ห์ (2547. หนา้ 27) กล่าวว่า เผนการเรียนรมู้ คี วามมคี วามสาคญั คือ เป็น
เครือ่ งมือท่ีครูต้องใชใ้ นการเตรยี มการสอนเปน็ แนวทางในการจัดกระบวนการเรยี นรู้ และมี
แพวทางในการจัดกระบวนการเรียนรู้ และมีแนวทางในการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ที่จะจัด
ดังนน้ั ผู้ท่ีมหี น้าทเ่ี ก่ยี วข้องกับการจัดการเรยี นรู้ให้กบั ผ้เู รยี นน้นั ควรเห็นความสาคญั
ของแผนการสอนหรือแผนการจัดการเรยี นรเู้ ป็นอยา่ งยง่ิ เพราะแผนเปน็ เสมือนเข็มทิศทีน่ กั เดนิ ทาง
แนวคดิ หลักการท่เี กีย่ วข้องกับงานประดิษฐ์
งานประดิษฐเ์ ปน็ งานที่มีความเกี่ยวขอ้ งสัมพันธก์ บั ชีวิตประจาวนั ของคนไทยมาช้านาน
แลว้ เชน่ การนาใบตองมาประดิษฐเ์ ปน็ ภาซนะใส่อาหาร การประดษิ ฐข์ องเด็กเล่น การแกะสลกั ผกั
และผลไม้ เปน็ ต้น ซ่งึ การสรา้ งสรรค์งานประดิษฐ์ให้ประสบความสาเรง็ นัน้ ผูป้ ระดษิ ฐ์จะต้องมี
ความอดทน ความตง้ั ใจ รักในงานทท่ี า หมนั้ ฝึกฝนจนเกิดความชานาญในงานนน้ั ๆ นอกจากนผ้ี ู้
ประดษิ ฐ์จาเป็นต้องมีความรเู้ ก่ยี วกับการใชเ้ สน้ สี การออกแบบรูปทรง และวสั ดทุ ี่จะนามาใช้ใน
1. ความหมาย และประเภทของงานประดษิ ฐ์
งานประดษิ ฐห์ มายถึง ส่ิงท่ีคนเราทาขึ้น หรอื สร้างเลียนแบบใหเ้ หมอื นของจรงิ ดาม
ธรรมชาติ หรอื มรี ปู แบนเปลกใหมไ่ มเ่ หมอื นของจริงดามธรรมชาติ (เอกรินทร์ ส่ีมหาศาล และ
(1) งานประดิษฐท์ ่เี ป็นเอกลักษณข์ องไทย
งานประดษิ ฐ์ที่เป็นเอกลกั ษณ์ หมายถึง งานประดิษฐท์ ี่ได้ตกทอดกนั มาต้งั แต่
สมัยโบราณ ซ่งึ สะท้อนใหเ้ ห็นวฒั นธรรม ประเพณี และวิถีชวี ิตแบบไทยๆ เปน็ งานทมี่ ีความ
ประณตี งดงาม และมคี ุณค่าทางศลิ ปะ มคี วามเปน็ เอกลักษณ์ของชาติ
งานประดิษฐ์ทีเ่ ปน็ ดอกลกั ษณไ์ ทย แบ่งเปน็ ประเกทต่างๆ ได้ ดังน้ี
(1.1) งานประดษิ ฐ์ดว้ ยลอกไมส้ ด เช่น การร้อยพวงมาลัยดอกไม้สด การ
(1.2) งานประดิษฐ์ด้วยใบตอง เชน่ การทากระทงในประเพณีลอยกระทงการทาบายศรีในพิธีตา่ งๆ การทา
พานไหว้ครู เป็นต้น
(1.3) การแกะสลกั ผักและผลไม้เป็นลวดลายหรอื รปู ร่างต่างๆ ท่สี วยงาม
(1.4) การแกะสลักไม้ โดยใชส้ ่ิว ต้อน เป็นเครื่องมือทาให้เกิดลวดลาย เช่น
การแกะสลกั ไมท้ าบานประตู การแกะสลักภาพประดับฝาผนงั การแกะสลักไม้เปน็ รูปต่างๆ

(1.5) งานขนึ้ จากดนิ ไดจ้ ากการนาดินเหนยี วหรือดินอน่ื ๆ มาขึ้นเปน็ ของใช้
หรือของประดบั ตกแตง่ ต่างๆ เช่นเครอื่ งข้นึ ดินเผา งานปน้ั ตุ๊กตาชาววงั เปน็ ตน้
(1.6) งานจกั สาน เปน็ งานประดษิ ฐท์ ีบ่ รรพบรุ ุษของไทยไห้
แนวคดิ มาจากการสรา้ งรังของนก แลว้ นามาประดษิ ฐค์ ดั แปลงเป็นเครอ่ื งใช้
ตา่ งๆโดยใชว้ ัสดุธรรมชาติ เชน่ หวาย ไม้ไผ่ ไขลาน กก กระจดุ เป็นต้น ซง่ึ งานจักสานมีมากมาย
รปู แบบ เชน่ การสานหมวก สานกระดัง กระบงุ ตะกรา้ สานปลาตะเพยี น เปน็ ต้น
(2) งานประดิษฐ์ท่ัวไป
งานประดษิ ฐ์ทั่วไป หมายถึง งานประดษิ ฐ์ทีเ่ กดิ จากแนวคดิ หรอื ความคิด
สรา้ งสรรคข์ องผปู้ ระดิษฐ์ ซึง่ มจี ุดหมายอย่างใดอยา่ งหนง่ึ ไดแ้ ก่ เพ่ือนาไปเป็นของใช้เพื่อเป็นของ
เลน่ และเพื่อประดบั ตกแต่ง งานประดษิ ฐท์ ่ัวไปสามารถแบง่ ประเภทของานได้ ดังน้ี
(12.1) งานขน้ึ จากวัสดุต่างๆ เชน่ ขน้ึ ดอกไม้จากข้ผี ้งึ หรอื เทยี น ขึ้นขนบไทย จ๋ิวจากดนิ ข้ึนผลไม้จว๋ิ จ กคืน
เป็นคนื
(12.2) งานประดิษฐ์จากกระดาษและผ้า เช่น การทาคอกไม้จากกระดาพสา
เป็นตน้
2.3) งานประดษิ ฐจ์ ากวสั ดุเหลอื ใช้ เช่น การประดษิ ฐแ์ จกันจากขวดนา้
พลาสติก การประดิษฐน์ าฬกิ าจ ากกระปอ้ งคุกกี้ เปน็ ต้น
2.4) งานประดิษฐจ์ ากวสั ดุธรรมชาติ เช่น การทาแก้วจากไมไ้ ผ่ การนาผกั ตบชวามาประดษิ ฐเ์ ปนื กระเฝา้ การ
นาใบยางพารามาประดิษฐเ์ ป็นดอกไม้ การทาเครื่องแขวนจากเปลือกหอย เปน็ ตน้

แนวคดิ ทฤษฎที ี่เกีย่ วข้องกบั ความพงึ พอใจ
ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกที่บุคคลมตี ่อสงิ่ ท่ีได้รบั ประสบการณ์ และแสดงออกหรือ
แตกต่างกนั ไป ความพึงพอใจต่อสิง่ ตา่ งๆ นั้นจะมมี ากข้ึนอยกู่ บั
พฤติกรรมดอบสนองในลักษณะแรงจูงใจ การสร้างแรงจูงใจหรือการกระตุน้ ให้เกิดแรงจูงใกับผู้ปฏบิ ัติงานจึง
เป็นสิ่งงาเปน็ เพ่ือใหง้ านหรือสิ่งท่ีทานัน้ ประสบความสาเร็จ การศกึ ษาเกี่ยวกบั ความพึงพอใจเป็นการศึกษา
คามทฤษฎที างพฤติกรรมศาสตร์ ทีเ่ กีย่ วกบั ความต้องการ
สกอ๊ ต (Scott, 1970, p. 124) ได้เสนอแนวคิดในเรอ่ื งการจูงใจใหเ้ กดิ ความพึงพอใจต่อ

การทางานทจ่ี ะใหผ้ ลเชิงปฏิบัติ มลี กั ษณะดงั นี้
(1) งานควรมีสว่ นสมั พนั ธก์ ับปรารถนาส่วนตวั งานนนั้ จะมีความหมายสาหรบั ผูท้ า
(2) งานน้ันตอ้ งมีการวางแผนและความสาเร็จได้ โดยใชร้ ะบบการทางานและการควบคุมทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ
(3) เพ่ือให้ได้ผลในการสรา้ งสิ่งจูงใจภายในเป้าหมายของงานจะตอ้ งมลี กั ษณะดงั ต่อไปน้ี
(3.1) คนที่ทางานมสี ่วนร่วมในการตงั้ เปา้ หมาย
(3.2) ผู้ปฏบิ ัติได้รับผลสาเร็จในการทางานโดยตรง
แนวดีดนีเ้ มอื่ นามาประยุกด์ใช้กบั การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้แล้วนกั เรยี นมีส่วนในการ
(33) งานน้นั สามารถทาใหส้ าเร็จได้
เลือกเรียนตามความสนใจ ตามความถนัดและมโี อกาสรวมกันตั้งจุดประสงค์ในการทากิจกรรม
รว่ มกันช่วยใหง้ านสาเร็จและเป็นก ารแสวงหาความรู้ได้ค่ัวยตนเอง
มาสโลว์ (Maslow. 1970. pp.69-80) ไดเ้ สบอทฤษฎลี าดบั ข้ันตอนความต้องการนับวา่
เปน็ ทฤษฎีหนงึ่ ที่ให้รับการขอมรับอยา่ งกวา้ งขวาง ซ่งึ ต้งั อยู่บนสมมตฐิ านท่ีวา่ "มนุษย์มีความ
ต้องการอยู่เสมถไม่มีทีส่ ้ินสดุ เมอ่ื ความตอ้ งการไดร้ บั การตอบสนองหรือพึงพอไจอย่างใคอย่างหนง่ึ
แลว้ ความตอ้ งการส่งิ อืน่ ๆก็จะเกดิ ข้นึ มาอีก ความต้องก
หน่ึงอาจยงั ไม่ทนั หมดไป ความต้องการอีกอย่างหน่งึ อาจเกิดข้ึนได้"
เฮอร์เบอร์ก (Herrberg, 2000.PpP. 113-15) ได้ทาการศกึ ษาค้นคว้าทฤษฎที เี่ ปน็ มูลเหตุ
ทีท่ าใหเ้ กิดความพึงพอใจในการทางาน 2 ปจั จัยคือ
(1) ปจั จยั กระตุ้น (motivationactors) เป็นปจั จยั ท่เี กี่ยวข้องกบั การงานซงึ่ มีผล
กอ่ ให้เกิดความพึงพอใ จในการทางาน เช่นความสาเรจ็ ของงาน การ ใดร้ ับการยอมรบั นับถอื
ลกั ษณะของงาน ความรบั ผิดชอบ ความกา้ วหนา้ ในตาแหน่งการงาน
(2) ปัจจัยคา้ จุน (hygienc factor) เป็นปจั จัยทเ่ี กีย่ วกบั ส่ิงแวดลอ้ มในการทางาน และมีหนา้ ท่ีใหบ้ ุคคลเกิด
ความพึงพอใจในการทางาน เช่น โอกาสท่เี จรญิ กา้ วหนา้ ในอนาคตสถานะของอาชพี สภาพของการทางาน เป็น
ตน้ ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ความพึงพอใจเปน็ ส่งิ ทีส่ าคญั ที่จะกระตนุ้ ใหผ้ ู้เรยี น ที่ได้รับมอบหมาขหรือ
ต้องการปฏิบตั ิให้บรรลุผลตามวัตถปุ ระสงค์ ครผู ู้สอนในปัจจุบันเปน็ เพยี งผูอ้ านวยความสะดวก จึงต้องคานึงถงึ
ความพงึ พอใจในการเรียนรู้ การทาให้ผเู้ รียนเกิดความพึง
พอใจในการเรยี บร้หู รือการปฏิบัตงิ าน มีแนวคดิ พนื้ ฐานที่แตกต่างกนั 2 ลกั ษณะ คือ

(1) ความพึงพอใจนาไปสู่การปฏบิ ตั ิงาน
การตอบสนองความตอ้ งการผู้ปฏิบตั งิ านจนเกิดความพงึ พยใจ จะทาใหเ้ กิดแรง
ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทางานทสี่ งู กว่าผ้ไู มไ่ ดร้ ับการตอบสนอง ทัศนะตามแนวความคิด
ดังกล่าวสามารถแสดงตัง ภาพประกอบท่ี 2.3 ดังนี้

ความเชือ่ มน่ั เทา่ กับ 0.68 สาหรบั ความเท่ียงตรงเชงิ เน้ือหา พิจารณาโดยผู้เชี่ยวชาญทางค้าน
เน้ือหา ปรากฎว่าข้อสอบ แต่ละข้อวัดในเร่ืองนน้ั จรงิ
บียฉตั ร เพชรไพสินทร์ (2542. บทตัดยอ่ ) วิจยั การสร้างแผนการ สอนท่เี นนั้
กระบวนการ วิชา ส 071 หอ้ งถน่ิ ของเรา เรอ่ื ง ภูมิศาสตร์กายภาพและการอนรุ ักษ์ทรัพยากร
ธรรมชาติ สาหรบั ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 2 โรงเรียนชุมแพศึกพา อาเภอชมุ แพ จึงหวัดขอนแก่น
ผลการวิจัยพบว่ แผนการสอนท่เี น้นกระบวนการทผ่ี ้วู ิจัยสร้างข้ึน มีประสิทธิภาพดามเกณฑ์
มาตรฐาน 82.00/80.19 และดา้ นนกั เรยี นทีเ่ รยี นด้วยแผนการสอนมีผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นหลัง
เรียนสงู กว่าก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิตดิ ที ี่ระคับ 0.01
รณลา (2542, ขทตัดข่อ ได้ศกึ ษาการสร้างแผนการสอนที่เน้น
กระบวนการท่สี รา้ งข้ึนมีประสทิ ธิภาพดามกณฑ์มาตรฐาน 8080 และคะแนนทดสอบหลังเรยี นสงู
กว่าคะแนนทดสอบก่อนเรยี นอยา่ งมีนยั สาคญั สถิติที่ระดบั .01
เตอื นเพ็ญ คาสนาม (2543. บทคดั ย่อ) ได้ศึกษาคน้ั คว้าการพัฒนาแผนการสอนที่เนน้ ทักษะกระบวนการ
เรอ่ื ง การปลกู พชื ผักสวนครัว กล่มุ การงานพืน้ ฐานอาชพี ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6
1 จากการศึกษาค้นคว้าพบว่า แผนการสอนทีเ่ น้นทักษะกระบวนการ เรอ่ื ง การปลูกพชื ผกั สวนครัว
มศกึ ษาปที ่ี : มปี ระสทิ ธภิ าพเทา่ กบั 82.93/82.95 ซงึ่ เปน็ ไปตาม
กลุม่ การงานพน้ื ฐานอาชพี ชนั้ ประถมเกณฑ์ ท่ตี ้งั ไว้แสดงว่าเผนการสอนทเ่ี น้นทักษะกระบวนการท่สี รา้ งข้ึนมี
ประสทิ ธิภาพ ทาให้ผู้เรยี นเกิดการเรยี นรู้ และมีทกั ษะกระบวนการในการทางาน
ชวนชม ไชยสทิ ธิ์ (2547. บทตัดย่อ) ได้ศึกษาค้นคว้าการพฒั นาได้ศึกษาคันคว้าการ

พัฒนาแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ทเ่ี น้นทกั ษะกระบวนการ เรอื่ งการร้อยมาลัย กลมุ่ การงาน
อาชพี และเทคโนโลยี สาหรับนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปที ี่ 6 พบวา่ แผนการเรียนรทู้ เ่ี นั้นทักษะ
เรื่องการร้อยมาลยั กลุ่มสาระการเรยี นรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 6 ท่หี ันควา้ ข้ึนมี
ประสิทธิภาพเทา่ กบั 89.29/86.91 ดชั นปี ระสิทธิภาพของนกั เรยี นทเี่ รยี นดว้ ย
เผนการเรียนรู้ท่ีเน้นทักษะกระบวนการ เร่ืองการร้อยมาลยั กลุ่มสาระการเรยี นรู้การงานอาชพี และ
เทคโนโลยี ขั้นประถมศกึ ษ าปีท่ี 6 ทสี่ ันคว้ามคี วามก่อนเรียนเท่ากบั 0.771 และนกั เรียน
ทเี่ รียบด้วยแผนการเรยี บร้ทู ่ีเบ้นทกั พะกระบวนการ เร่ือง การร้อยมาลัย กล่มุ สาระการเรียนรกู้ าร
งานอชพี และเทคโนโลยี มีความพึง่ พอใจ ซ่งึ อยู่ในระดับพอใจมาก
อรสา มาสิงห์ (2547, บทคัตยอ์ ) ได้ศึกษาคน้ ควา้ การพัฒนาแผนการจดั กิจกรรมการ
เรยี นรู้ท่เี นน้ ทกั พะกระบวนการ เรอื่ งการแกะสลักหนิ กลุม่ การงานอาชีพและเทคโนโลยี สาหรับ
นักเรยี นชั้นมัธยมศึกมาปที ี่ 3 พบว่า แผนการเรยี นร้เู นนั้ ทักษะกระบวนการทางานท่ีพฒั นาขนึ้ มี
ประสิทธภิ าพตามเกณฑท์ ่ตี ั้งไว้ 84.12 85.92 ซ่ึงสูงกวา่ เกณฑ์ท่ีตงั้ ไว้ และมดี ัชนีประสิทธผิ ล

ทางการเรยี นของนักเรยี นชน้ั มยั ยมศึกษาปีท่ี 3 เท่ากับ .0784 ซึง่ แสดงว่านักเรียนมีความก้าวหนา้
ทางการเรยี นร้อยละ 67 88 และนกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 มีดวามพึงพอใจต่อ แผนการเรียนรู้
เนน้ ทักษะกระขวนการทางานเรื่องการแกะสลักหนิ มคี วามพงึ พอใจอยูใ่ นระดับมากท่สี ดุ
2. งานวิจัยตา่ งประเทศ
เคาร์ (Kaur, 1973 p. 135) ใดศ้ กึ มาการวัดผลทกั ษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ในค้าน
การสงั เกตและงาแนกประเภท โดยสรา้ งแบบทตสอบวดั ทักษะการ สงั เกตและจาแนกประเภท
สาหรบั นักเรียนเกรด 1 และ เกรด 3 และหาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสงั เกตและการจาแนกประเภทผล
การศึกษาพบวา่
(1) วฒุ ิกาวะมผี ลต่อการ สังเกต นกั เรยี นเกรด 3สามารถบรรยายได้ชัดเจนและรดั กุมกว่า นักเรยี นเกรค |
(2) นกั เรยี นเกรด : และเกรค 3 มีทักษะการจาแนกประเภทไมแ่ คกต่างกนั
(3) ทกั ษะการสงั เกต และการจาแนกประเภทมคี วามสัมพันธใ์ กถ้าชิดกันมาก
ชถั ลัม และคณะ (Salliam and others, 1981, unaged) ไดศ้ ึกษาเก่ยี วกับดา้ น
ธรณีวิทยาในการเรียนการสอนวิชาวทิ ยาศาสตรแ์ ละกระบวนการวิทยาศาสตรใ์ นการสบื ต้นในสงิ่ ที่

ตอ้ งการทราบด้านธรณวี ทิ ยา ในการเรียนการประถมศึกษา โดยมาตรฐานการวัคการทคสอบทัศนคดีของ
ทักษะกระบวนการศึกษากรณีธรณวี ิทยา
2 ห้องเรียนนกั เรียน 34 คน แบ่ง 2 กลุ่ม คอื นักเรียนกลุม่ แรก 17 คน ไดร้ ับการแนะนา
ตา่ งๆ และอกี กลุม่ นกั เรียน 17 คน ไมไ่ ด้รับการแนะนา สิ่งท่ีแดกต่างของ 2
กลุ่มนี้ คือ ก ท่ีมตี ่อผ้เู รยี น การแนะนาทางวธิ กี ารนาไปใช้และความเปลี่ยนแปลงทเ่ี กดิ ข้ึน
ของ 2 กลุ่มนี้จะมีการวิเคราะห์ถงึ ทกั พะกระบวนการวทิ ยาศาสตร์
พาศลิ า และคณะ (Padilla and others, 1983. Abstract) ไดศ้ ึกษาความสัมพนั ธ์
ระหวา่ งทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และความสามารถในการคิดอยา่ งมรี ะบบ (Farmal
hinking) ของ นักเรียนระดับมยั มศึกมาตอนต้นแถะมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ผลปรากฏว่า ทักษะ
กระบวนการทางวิทยศาสตรม์ ีความสมั พนั ธก์ นั สงู กับความคิดเชงิ ตรรก (logical thinking) และมี
ข้อเสนอแนะ วา่ การสอนทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ อาจมอี ทิ ธิพลต่อตวามสามารถในการคดิ
อย่างมรี ะบบฟงั ค์ และคณะ (Funk and others, 1985, Abstract) ได้ศึกษาเก่ยี วกับการเรยี นรู้
กระบวนการวทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ที่นกั วทิ ยาศาสตร์ใช้ในการศกึ ษา
และสืบหาความจริงของโลก จดั รูปแบบมโนทัศน์ออกเปน็ 3 สว่ น สว่ นที่ ] การเข้ารว่ มในทกั ษะ
ทางวทิ ยาศาสตร์แขนงต่างๆ นั้นเหมาะกบั วัยกอ่ นเขา้ โรงเรียน และปฐมวยั รวมท้งั การสังเกต

สรปุ ไดว้ า่ การพฒั นาแผนการจดั การเรียนรู้ท่นี ัน้ ทักษะกระบวนการ 9 ข้ัน เรอื่ งการ
สรา้ งสรรค์งานประดิษฐ์จกวสั ดุเหลือใช้ กลุม่ สาระการเรยี นร้กู ารงานอาชีพและเทคโนโลยี
สาหรบั นกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 6 สงิ่ ทคี่ วรคานึงคือ หลักสูตร ผสู้ อน แผนการจดั การเรียนรู้ที่
เนน้ ทกั ษะกระบวนการ 9 ชั้น กระบวนการในการ จัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เพ่ือให้ผู้เรยี น ได้ฝึกทกั ษะ
กระบวนการทางานให้บรรลตุ ามจุดมุ่งหมาย อนั เปน็ แนวทางของการแกป้ ญั หาและพฒั นาคุณภาพ
ชวี ิตตอ่ ไปในอนาคต

กลมุ่ 10
1.นางสาวนีระนชุ วรชินา รหสั 62115267203
2.นายอรงคเ์ ดช ศรีชมภู รหัส62115267215
3.นางสาวสิริขจร งานฉมัง รหสั 62115267216

บทที่3

วธิ ีดำเนินการวจิ ัย

ในการดำเนินการวิจยั คร้ังนี้ผวู้ ิจัยได้ดำเนินการในการพัฒนากระบวนการทำงานโดยใช้แผนการ
จดั การเรยี นรู้ทีเ่ น้นทักษะกระบวนการ 9 ขั้น เรื่องการสร้างสรรค์งานประดิษฐ์จากวสั ดุเหลือใช้ กลุ่ม
สาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 6

ตามลำดบั ข้ันตอนดังตอ่ ไปนี้

1. ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง

2. แบาแผนการวิจยั

3. เครือ่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นการวิจยั

4. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
ร. การวเิ คราะหข์ อ้ มลู
6. ขั้นตอนการวิจัย

ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง

ประชากรทีใ่ ชใ้ นการวิจัยในครั้งนีเ้ ปน็ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปี

การศกึ ษา 2552 อำเภอบางพลี จังหวดั นครนายก ซึง่ ประกอบด้วยนักเรียนโรงเรยี นบ้านนุ่งเข้า
โรงเรียนวดั เนินหินแร่ โรงเรียนบ้านโดกสวา่ ง โรงเรียนบ้านดงแขวน โรงเรียนวัดพรหมเพชรโรงเรียนวัด
นาหนิ ลาด โรงเรียนวัดทำามะปราง โรงเรียนอนบุ าลอำเภอบางพลี โรงเรียนวดั โพธิ์รีขนวดั กาะกา
โรงเรียนวัดตำบวั ลอยโรงเรียนวัดแขมโคง้ โรงเรียนวันครู 2504 หอ้ งเรียน จำนวน 200 คนกลุ่ม
ตวั อยา่ งทีใ่ ชใ้ นก รวิจบั คร้ังน้ี เป็นนักเรียนช้ันประกมศึกษาปีที่ 6 ภาคเวียนที่ 11การศกึ ษา 2552
โรงเรียนวดั โพธิ์ อาเกอบางพลี จงั หวคั นครนายก ! หอ้ งเรียน จานวน 36 คน ซง่ึ ไดม้ าโดยการสมุ่ อย่างง่าย

แบบแผนการวจิ ยั

การวิจัยครั้งนีเ้ ปน็ การวิจยั เชงิ ทคลอง (experinental rescarch) ซึ่งดำเนนิ การทคลองตาม

เผนการวิจัยแบบ One - Group Pretest - Posttest Design (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2548.
หนา้ 216 ซึ่งมรี ูปแบบการทคลองคังน้ี

ตารางที่ 3.1 แบบแผนการวิจยั

สอบกอ่ น ทดลอง สอบหลงั

T1 X T2

ความหมายของสญั ลักษณ์

X หมายถึง การสอนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่เน้นทกั ษะกระบวนการ 9

ขั้น เพื่อพัฒนากระบวนการทำงาน

T1 หมายถึง การสอบก่อนใช้แผนการจดั การเรียนรู้ที่เน้นทักษะกระบวนการ 9

ข้ัน เพือ่ พฒั นากระบวนการทำงาน

T2 หมายถึง การสอบหลังใชแ้ ผนการจดั การเรียนรู้ทีเ่ น้นทักษะกระบวนการ 9

ข้ัน เพื่อพฒั นากระบวนการทำงาน

เครือ่ งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั

1. แผนการจัดการเรียนรทู้ ีเ่ น้นทกั ษะกระบวนการ 9 ขั้น เรือ่ งการ สร้างสรรค์งาน

ประดิษฐ์จำกวสั ดุเหลือใช้ กลมุ่ สาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีชั้นประถมศึกษาปีที่ 6

2. แบบทดสอบวัดทกั ษะกระบวนการทำงานเรื่องการสร้างสรรค์งานประดิษฐจ์ ากวสั

เหลือใชเ้ ปน็ แบบทคสอบปรนัย 4 ตวั เลือก จำนวน 40 ข้อ

3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นเร่อื งการสร้างสรรค์งานประดิษฐ์จากวัสดุ

เหลือใชเ้ ป็นแบบทคสอบปรนยั 4 ตวั เลือก จำนวน 30 ข้อ

4.แบบวดั ความพึงพอใจทางการเรียน โคยใช้แผนการจดั การเรียนรู้ทีเ่ น้นทักษะกระบวนการ 9 ขั้น
เรื่องการสร้างสรรคง์ านประดิษฐ์จากวสั ดเุ หลือใช้ จำนวน 1 ฉบับ


Click to View FlipBook Version