๓๓๙
บนั ทึกหลังแผนการจัดการเรยี นรู้
๑. ด๎านความร๎ู
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒. ดา๎ นสมรรถนะสําคญั ของผ๎เู รียน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓. ดา๎ นคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค๑/คาํ นยิ ม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๔. ด๎านอ่นื ๆ (พฤติกรรมเดนํ หรือพฤติกรรมที่มปี ๓ญหาของนักเรียนเป็นรายบคุ คล (ถา๎ ม)ี )
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๕. ป๓ญหา/อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๖. ขอ๎ เสนอแนะ/แนวทางการแก๎ป๓ญหา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่อื ………………………………………ครูประจาํ วชิ า
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๗. ความคดิ เห็นของผ๎ูอํานวยการสถานศึกษา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่ือ………………………………………ผอู๎ ํานวยการสถานศึกษา
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๓๔๐
ใบความรเู้ รือ่ ง คาสันธาน
หนว่ ยที่ ๔ แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี ๕ เรอื่ ง สันธานเรง่ จดจา
รายวิชาภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นที่ ๑ ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ ๑
ความหมายของคาสันธาน
คาํ สนั ธาน หมายถงึ คาํ ท่ใี ชเ๎ ชื่อมคําหรอื ขอ๎ ความใหต๎ ิดตอํ เปน็ เร่ืองเดียวกัน ประโยคจะมีความกระชบั
และสละสลวยขนึ้
ชนดิ ของคาสนั ธาน
คาํ สนั ธานแบํงออกเปน็ ๔ ชนิด ดงั นี้
๑. คาํ สนั ธานที่เชื่อมใจความคล๎อยตามกัน ได๎แกคํ ําวาํ กบั และ ก็ ครั้ง...ก็ เมอ่ื ...ก็ พอ...ก็ เชนํ
พอฝนหยุดตกกบเขยี ดกร็ อ๎ งสํงเสียงระงม
นอ๎ งกับพ่ไี ปโรงเรยี น
๒. คาํ สันธานทเ่ี ชื่อมใจความขัดแย๎งกนั ไดแ๎ กคํ าํ วาํ แตํ แตํทวาํ ถึง...ก็ แม.๎ ..ก็ เชํน
ถึงเขาจะยากจนแตํเขาก็มคี วามสขุ
เขาวง่ิ เร็วมากแตํวาํ ไมํเหนือ่ ยเลย
๓. คาํ สันธานท่ีเช่ือมใจความเปน็ เหตเุ ปน็ ผลกัน ไดแ๎ กํคาํ วาํ ดังนน้ั เพราะฉะนน้ั เพราะ...จงึ ดงั นนั้ ...
จึง จึง ด๎วย เหตเุ พราะ ฉะนัน้ เชนํ
เพราะเขาขยันอํานหนงั สือ เขาจึงสอบผาํ น
เขาเกยี จครา๎ นจึงสอบตก
๔. คําสันธานทีเ่ ช่อื มใจความให๎เลือกอยาํ งใดอยํางหน่งึ ไดแ๎ กคํ าํ วาํ หรอื มฉิ ะนน้ั ไมํ...ก็ ไมเํ ชนํ น้นั
เชนํ
เธอจะไปกบั ผมหรอื เธอจะไปกบั เขา
คณุ ตอ๎ งเขา๎ ห๎องสอบกํอนเวลา ๙.๐๐ น. มิฉะน้ันจะถกู ตัดสทิ ธใ์ิ นการสอบ
หนา้ ทีข่ องคาสันธาน
๑. เชอื่ มประโยคกับประโยค เชนํ ฉนั อยากได๎กระเปา๋ ทร่ี าคาถูกและใช๎งานไดน๎ าน
๒. เชอ่ื มคาํ กับคําหรอื กลมํุ คํา เชํน พํอของฉันลาํ บากเมือ่ แกํ
๓. เช่อื มความใหส๎ ละสลวย เชํน คนเราก็ยอํ มเกดิ ความผดิ พลาดกันบา๎ ง
๔. เชื่อมข๎อความกับขอ๎ ความ เชํน คนเราต๎องการอาหาร เสื้อผา๎ เครื่องนงํุ หมํ ทอ่ี ยูอํ าศยั และยา
รักษาโรคดว๎ ยเหตุน้ี เราจงึ จาํ เป็นต๎องประกอบอาชพี เพื่อให๎ไดเ๎ งนิ มาซอื้ ส่ิงจําเป็นเหลําน้ี
๓๔๑
ใบงานเรอ่ื ง เลอื กสรรคาสันธาน
หนว่ ยท่ี ๔ แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๕ เรอื่ ง สันธานเร่งจดจา
รายวิชาภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นที่ ๑ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ ๑
ตอนที่ ๑ คาช้แี จง จงเติมคาสนั ธานท่เี หมาะสมในช่องวา่ ง
๑. ฉนั ชวนเขาแล๎ว ..................เขาไมไํ ป
๒. ...........สุภา ......สุรภี เปน็ ไข๎หวัดใหญํ
๓. ..............เขาจะยากจน เขา ........ ไมํโกงใคร
๔. ........เขาประมาท เขา ......... ขับรถชนเดก็
๕. เขาไวใ๎ จใหเ๎ ราทาํ เรื่องนี้ใหเ๎ สร็จ ............ เราจะเหลวไหลไมํได๎
๖. เธอจะไปรับเงนิ เอง .............เธอจะมอบฉันทะให๎ใครไปแทน
๗. ...........รถของเราไปถึงบางแสน ฝน .......ตก
๘. สุดาต๎องทาํ งานหนกั ...........................เธอจะไมมํ เี งนิ พอใช๎
๙. ทุกคนยนื ทาํ ความเคารพทาํ นประธาน................คณุ สิรพิ รรณเธอนัง่ เฉย
๑๐. .....................เธอ..................เขาตํางกข็ ยันเรยี น
ตอนที่ ๒ คาชี้แจง ใหน้ กั เรยี นใชส้ นั ธานเช่ือมประโยตตอ่ ไปนใี้ ห้ถกู ตอ้ งเหมาะสม และบอกชนิดของสันธาน
๑. ฉนั ชอบกินขนมครกที่สุด แหววกินขนมครกทสี่ ดุ
..............................................................................................................................................................................
........................................... ชนิดของสันธาน........................................................................................................
๒. เขาเรยี นเกํง เขาสอบเข๎ามหาวทิ ยาลัยได๎
..............................................................................................................................................................................
........................................... ชนดิ ของสันธาน........................................................................................................
๓. พอํ พาลกู ไปเดินเลํนรมิ ทะเล แมํพาลกู ไปเดนิ เลํนริมทะเล
..............................................................................................................................................................................
........................................... ชนิดของสนั ธาน........................................................................................................
๔. เธอจะกินแกงเผ็ด เธอจะกนิ แกงจืด
..............................................................................................................................................................................
........................................... ชนดิ ของสันธาน........................................................................................................
๕. คณุ พอํ ไปทาํ งาน คุณแมํอยํูบ๎าน
..............................................................................................................................................................................
........................................... ชนดิ ของสนั ธาน........................................................................................................
๓๔๒
เฉลยใบงานเรื่อง เลือกสรรคาสนั ธาน
หน่วยที่ ๔ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ ๕ เรอ่ื ง สนั ธานเร่งจดจา
รายวิชาภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรียนท่ี ๑ ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ ๑
ตอนท่ี ๑ คาชแ้ี จง จงเติมคาสนั ธานทเี่ หมาะสมในชอ่ งวา่ ง
๑. ฉนั ชวนเขาแลว๎ แต่ เขาไมํไป
๒. ทงั้ สุภา และ สุรภี เป็นไข๎หวัดใหญํ
๓. แม้ เขาจะยากจน เขา ก็ ไมโํ กงใคร
๔. เพราะ เขาประมาท เขา จึง ขับรถชนเด็ก
๕. เขาไวใ๎ จใหเ๎ ราทําเรื่องนใ้ี หเ๎ สรจ็ ดงั น้ัน เราจะเหลวไหลไมไํ ด๎
๖. เธอจะไปรับเงนิ เอง หรือ เธอจะมอบฉันทะใหใ๎ ครไปแทน
๗. พอ รถของเราไปถงึ บางแสน ฝน ก็ ตก
๘. สดุ าตอ๎ งทํางานหนัก มฉิ ะนัน้ เธอจะไมมํ เี งนิ พอใช๎
๙. ทกุ คนยนื ทาํ ความเคารพทํานประธาน แต่ คณุ สริ ิพรรณเธอน่งั เฉย
๑๐. ทัง้ เธอ และ เขาตํางก็ขยนั เรียน
ตอนที่ ๒ คาชแ้ี จง ให้นกั เรยี นใชส้ นั ธานเชื่อมประโยตต่อไปนใ้ี ห้ถกู ต้องเหมาะสม และบอกชนิดของสันธาน
๑. ฉันชอบกนิ ขนมครกทส่ี ุด แหววกนิ ขนมครกทส่ี ดุ
ฉันกับแหววชอบกินขนมครกทีส่ ุด
กับ ชนิดของสนั ธาน ทีเ่ ช่ือมใจความคล๎อยตามกนั
๒. เขาเรยี นเกงํ เขาสอบเขา๎ มหาวทิ ยาลัยได๎
เพราะเขาเรียนเกํง เขาจึงสอบเข๎ามหาวทิ ยาลยั ได๎
เพราะ .... จงึ ชนดิ ของสนั ธาน ทเี่ ช่ือมใจความเปน็ เหตุเปน็ ผลกัน
๓. พอํ พาลูกไปเดินเลํนรมิ ทะเล แมพํ าลกู ไปเดินเลํนรมิ ทะเล
พํอและพาลกู ไปเดนิ เลํนริมทะเล
และ ชนิดของสันธาน ทเี่ ชื่อมใจความคลอ๎ ยตามกนั
๔. เธอจะกินแกงเผ็ด เธอจะกินแกงจืด
เธอจะกนิ แกงเผ็ดหรือแกงจืด
หรือ ชนิดของสันธาน ท่ีเชอื่ มใจความใหเ๎ ลือกอยาํ งใดอยาํ งหน่ึง
๕. คุณพํอไปทํางาน คณุ แมอํ ยูํบา๎ น
คุณพํอไปทาํ งาน สว่ น คณุ แมอํ ยบูํ ๎าน
ชนิดของสนั ธาน ส่วน ชนดิ ของสนั ธานทเี่ ชือ่ มใจความขัดแย๎งกัน
๓๔๓
แบบทดสอบเรื่อง เลือกสรรคาสันธาน
หนว่ ยที่ ๔ แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๕ เรื่อง สันธานเร่งจดจา
รายวิชาภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรียนที่ ๑ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ ๑
คาช้แี จง ใหน๎ กั เรยี น ทาํ เครอ่ื งหมาย X ทับตวั อักษรท่ถี กู ตอ๎ ง
๑. ข๎อใดใช๎คําสันธานเชื่อมประโยคที่ขัดแยง๎ กันได๎ถกู ตอ๎ ง
ก. ถงึ เขาจะเป็นนักมวยฉันกไ็ มกํ ลวั เขา
ข. เพราะเขาอยากมีเงินแตํเขาก็ตอ๎ งทาํ งาน
ค. ใบไม๎รวํ งเพราะฉะนนั้ สนามจงึ สกปรก
ง. ถา๎ เขามีความสขุ ฉนั ก็ยินดีกับเขาด๎วย
๒. ขอ๎ ใดมคี ําสันธานแสดงความขดั แยง๎
ก. เขามาโรงเรยี นแตํเช๎า
ข. แตชํ ๎าแตเํ ขาแหยํ ายมา
ค. แตํกอํ นแตํไรเธอไมํสนใจ
ง. หมากบาดเจบ็ แตณํ เดชณ๑ปลอดภัย
๓. คาํ สันธานในขอ๎ ใดวางอยูหํ นา๎ ประโยค
ก. เขาทํางานหนกั จงึ สรา๎ งตัวข้นึ ได๎
ข. ทงั้ ๆ ทฉี่ นั รูว๎ าํ เขารา๎ ยกาจกย็ งั รกั เขา
ค. โปรดอยาํ ถามวําฉันเปน็ ใครและฉนั รกั ใคร
ง. เขาจะเป็นคนดีก็ตาม คนรา๎ ยกต็ าม ลูกอยาํ ไปคบหาเขา
๔. ควรใชส๎ ันธานในขอ๎ ใดเชอื่ มประโยคตํอไปน้ีให๎มีความคลอ๎ ยตามกนั
“……………..ทําการบา๎ นเสร็จ ฉนั ……………..รูส๎ กึ โลงํ ใจ”
ก. เม่อื ……………..จึง
ข. พอ……………..ก็
ค. เพราะ……………..จงึ
ง. แล๎ว……………..ก็
๕. ประโยคในข๎อใดมีคําสนั ธาน
ก. อ๎ายเสรมิ เอ็งกะข๎ามาสกู๎ ันด๎วยเกียรตยิ ศของผ๎ูชายส๎ูกนั ดว๎ ยหมดั
ข. เสอื แกวํนจะสเู๎ สอื ดว๎ ยมอื เปลาํ
ค. ยืนขน้ึ มาอา๎ ยเสรมิ
ง. ถา๎ เอง็ เปน็ ลูกผูช๎ าย เอ็งต๎องยืนขน้ึ สกู๎ บั ขา๎
๕. “เธอจะซ้ือต๋วั ชน้ั ทห่ี นงึ่ หรอื ชั้นที่สอง” ประโยคน้ีมคี าํ ใดเปน็ สันธาน
ก. จะ ข. ที่
ค. ชัน้ ที่ ง. หรือ
๖. .ข๎อใดใช๎คําสันธานไมถํ กู ตอ๎ ง
ก. ดาํ เป็นตอตะโก ข. เสียงดงั ราวกบั เสยี งระฆงั
ค. บริสทุ ธ์ิเหมือนหยาดนาํ้ คา๎ ง ง. แห๎งแลง๎ เหมือนทะเลทราย
๓๔๔
๗. จงเติมคาํ เชื่อมลงในชอํ งวํางประโยคทกี่ าํ หนดให๎ ข๎อใดมีใจความขดั แย๎งกนั
ก. ปอไปห๎องสมดุ ...........ตอ๎ ยไปรา๎ นอาหาร
ข. ............เคนกลับถงึ บ๎านฝน............ตกทันที
ค. .........ไฟฟาู ดับ ก๎อย..........ไมํไดท๎ ําการบ๎าน
ง. นภาขยนั เรียนมาก .........สอบเขา๎ เรยี นช้นั ม.๑ ได๎
๘. ข๎อใดไม่ใช่คําสันธาน
ก. เขาร๎องไหเ๎ พราะเธอทอดท้งิ
ข. นา้ํ ทํวมเพราะฝนตกหนกั
ค. เพราะอยากไดค๎ ะแนนดิฉันจงึ ขยัน
ง. นกตวั นั้นรอ๎ งเพลงเพราะเสยี น่กี ระไร
๙. ข๎อใดมสี ันธานมหี นา๎ ทีเ่ ช่ือมคาํ กบั คาe
ก. ฝนตกแตํแดดออก
ข. เขาพบครแู ละนักเรียน
ค. เธอจะอยบูํ า๎ นหรือจะไปเทยี่ ว
ง. เพราะเขาขยนั เขาจงึ สอบไลํได๎
๑๐. ขอ๎ ใดมสี นั ธานมหี น๎าทเี่ ชื่อมประโยคกับประโยค
ก. ฉนั เห็นนายดําและนายแดง
ข. นายดํากับนายแดงเปน็ เพอ่ื นกนั
ค. แมคํ รัวไปตลาดซือ้ ผกั กบั เนื้อหมู
ง. นกั เรียนมาหาครูและผู๎ปกครองกม็ าดว๎ ย
เฉลย
ขอ้ ๑ ก. ขอ้ ๒ ง. ขอ้ ๓ ข. ข้อ ๔ ข. ขอ้ ๕ ง.
ขอ้ ๖ ง. ข้อ ๗ ข. ขอ้ ๘ ง. ข้อ ๙ ข. ข้อ ๑๐ ง.
๓๔๕
แผนการจัดการเรียนรู้
กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๑
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี ๔ นทิ านสารพนั เวลา ๑๒ ชั่วโมง
เวลา ๑ ชัว่ โมง
แผนการเรยี นรทู้ ี่ ๖ คาอทุ านควรทราบ
ภาคเรยี นที่ ๑ ปกี ารศึกษา ๒๕๖5
สอนวนั ท่ี เดือน พ.ศ. ตาแหนง่ ครู
ครูผสู้ อน นางสาวชาลสิ า หาญกจิ
๑. มาตรฐาน/ตวั ช้วี ดั
มาตรฐาน ท ๔.๑ เขา๎ ใจธรรมชาติของภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปลีย่ นแปลงของภาษาและพลัง
ของภาษา ภมู ปิ ๓ญญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไวเ๎ ปน็ สมบัตขิ องชาติ
ตัวช้วี ดั
ม.๑/๓ ชนิดและหน๎าทขี่ องคํา
๒. สาระสาคัญ
คําอทุ าน หมายถึง คาํ ท่แี สดงอารมณ๑ของผูพ๎ ดู ในขณะทต่ี กใจ ดีใจ เสียใจ ประหลาดใจ หรืออาจจะ
เป็นคาํ ท่ีใช๎เสรมิ คําพดู เชํนคาํ วาํ อุย๏ เอ๏ะ วา๎ ย โธํ อนิจจา อ๐อ เปน็ ตน๎
๓. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
๑. นักเรียนบอกความหมายของคําอุทานได๎
๒. นักเรยี นบอกชนดิ และหน๎าที่ของคําอุทานได๎
๓. นักเรยี นวเิ คราะห๑ชนิดและหนา๎ ทข่ี องคาํ อุทานได๎
๔. นกั เรยี นเลือกใชค๎ าํ อทุ านในการสอ่ื สารไดถ๎ ูกต๎องเหมาะสม
๕. นักเรยี นใฝุเรียนร๎แู ละมคี วามมํุงมัน่ ในการทาํ งาน
๔. สาระการเรียนรู้
ชนดิ และหนา๎ ทข่ี องคําสันธาน
๕. การจัดกระบวนการจัดการเรียนรู้
ขนั้ นา
นักเรียนอาํ นออกเสยี งแถบประโยคทีม่ แี ละไมํมคี ําอุทานโดยใสอํ ารมณใ๑ ห๎เขา๎ กบั เนอื้ หา จากน้ัน
รวํ มกันอภปิ รายถึงลกั ษณะการส่ือความของประโยค
มีดบาด โอ๏ยมดี บาด !
ผชู๎ ายคนนั้นหลอํ จงั อุ๏ยผ๎ชู ายคนน้นั หลอํ จัง !
นาํ สงสารหมาตวั นั้นจัง โถนาํ สงสารหมาตวั !
ข้ันสอน
๑. นักเรียนสังเกตคาํ อทุ านจากแถบประโยคตอํ ไปนี้
เอ๏ะ! แถวน้ีมีคนหน๎าตาดกี วําครอู กี เหรอ ๓๔๖
ประหลาดใจ
อ๐อ! สตู รลับคิดเลขเรว็ เป็นอยํางน้นี เี่ อง
รับรู๎ เข๎าใจ
วา๎ ย! นึกวาํ ผีหลอก
ตกใจ
อนจิ จา! จงฮยอนกาลงั โดํงดงั ไมนํ าํ คดิ สั้นเลย
สงสาร เหน็ ใจ
อย๏ุ ! เข็มตามือจนได๎
เจบ็ ปวด
เฮ!๎ ญาญาํ พวกเราอยนํู ่ี
ร๎องเรยี ก
แหม! กนิ พซิ ซําไมเํ รยี กกนั เลยนะ
โกรธเคือง
๓๔๗
๒. นักเรียนชํวยกนั ยกตวั อยํางคําอุทานแตํละหมวดหมูเํ พ่มิ เตมิ
๓. นักเรยี นศึกษาใบความรู๎ เรือ่ ง คําอทุ านแลว๎ รวํ มกนั อภิปรายเร่อื งชนิดและหนา๎ ทขี่ องคาํ
อุทาน
๔. นักเรยี นแบํงกลํุมออกเปน็ ๒ กลุมํ ใหญํ เลํนเกม “อทุ านกันหนอํ ย” โดยผลัดกันคดิ ข๎อความ
แลว๎ ใหอ๎ ีกฝุายเติมคําอทุ านในเวลาจาํ กดั
๕. นักเรยี นทาํ ใบงาน เรอื่ ง คําอทุ าน ครูและนกั เรียนรํวมกนั เฉลยใบงาน
๖. นกั เรยี นทาํ แบบทดสอบ เรือ่ ง คําอุทาน และรวํ มกันเฉลยแบบทดสอบอยํางละเอยี ด
ขน้ั สรปุ
ครูและนกั เรยี นรวํ มกันสรุปความร๎เู ร่อื ง คาํ อทุ านและใหน๎ ักเรยี นบนั ทึกลงสมดุ
๖. สื่อ /แหล่งเรียนรู้
๑. แถบประโยค
๒. ใบความรู๎ เรือ่ ง คําอทุ าน
๓. ใบงาน เร่อื ง คาํ อุทาน
๔. แบบทดสอบ เร่ืองคาํ อุทาน
๗. วดั ผลประเมนิ ผล
วธิ ีการ เคร่ืองมอื เกณฑ์
ตรวจใบงาน เรื่อง คําอุทาน ใบงาน เร่อื ง คําอุทาน ผํานเกณฑ๑การประเมินร๎อยละ
๖๐ ข้ึนไป
ตรวจแบบทดสอบ เรอื่ งคาํ อุทาน แบบทดสอบ เรอ่ื งคาํ อทุ าน ผาํ นเกณฑ๑การประเมนิ ร๎อยละ
ประเมนิ คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค๑ แบบประเมินคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค๑ ๖๐ ข้ึนไป
ระดบั คณุ ภาพ ๒ ผํานเกณฑ๑
๓๔๘
บนั ทึกหลังแผนการจดั การเรยี นรู้
๑. ดา๎ นความรู๎
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒. ดา๎ นสมรรถนะสาํ คัญของผเ๎ู รยี น
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓. ด๎านคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค๑/คาํ นยิ ม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๔. ดา๎ นอืน่ ๆ (พฤตกิ รรมเดนํ หรือพฤตกิ รรมท่มี ปี ๓ญหาของนักเรยี นเป็นรายบคุ คล (ถา๎ ม)ี )
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๕. ปญ๓ หา/อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๖. ข๎อเสนอแนะ/แนวทางการแก๎ปญ๓ หา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชือ่ ………………………………………ครปู ระจาํ วชิ า
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๗. ความคดิ เห็นของผอู๎ าํ นวยการสถานศกึ ษา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………ผอ๎ู ํานวยการสถานศกึ ษา
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๓๔๙
ใบความรู้ เรอ่ื ง คาอุทาน
หน่วยท่ี ๔ แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี ๖ นิทานสารพัน
รายวชิ าภาษาไทย รหสั วชิ า ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นท่ี ๑ ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี ๑
ความหมายของคาอทุ าน
คาํ อุทาน หมายถึง คาํ ทแ่ี สดงอารมณ๑ของผูพ๎ ดู ในขณะท่ีตกใจ ดีใจ เสียใจ ประหลาดใจ หรืออาจจะ
เป็น คาํ ทใี่ ชเ๎ สรมิ คาํ พูด เชํนคําวํา อุ๏ย เอ๏ะ วา๎ ย โธํ อนจิ จา อ๐อ เปน็ ตน๎ เชนํ
เฮ๎อ ! คํอยยงั ชั่วท่เี ขาปลอดภยั
เมอื่ ไรเธอจะตดั ผมตดั เผา๎ เสยี ทีจะไดด๎ เู รยี บรอ๎ ย
ชนดิ ของคาอุทาน
คาํ อุทานแบงํ เปน็ ๒ ชนิด ดงั นี้
๑. คาอทุ านบอกอาการ เป็นคาํ อทุ านท่ีแสดงอารมณ๑ และความรูส๎ ึกของผู๎พดู เวลาเขยี นมัก
นิยมใช๎เคร่อื งหมายอศั เจรยี ๑ ( ! ) กาํ กบั ไวห๎ ลงั คําน้นั เชนํ
ตกใจ ใชค๎ ําวาํ วุย๎ ว๎าย แหม ตายจรงิ
ประหลาดใจ ใชค๎ ําวาํ เอ๏ะ หือ หา
รบั ร๎ู เข๎าใจ ใช๎คําวาํ เออ อ๎อ อ๐อ
เจบ็ ปวด ใชค๎ าํ วาํ โอ๏ย โอย อุ๏ย
สงสาร เห็นใจ ใช๎คําวาํ โธ๐ โถ พทุ โธํ อนจิ จา
ร๎องเรียก ใช๎คาํ วาํ เฮ๎ย เฮ๎ น่ี
โลํงใจ ใชค๎ าํ วาํ เฮอ เฮอ๎
โกรธเคือง ใชค๎ ําวาํ ชชิ ะ แหม
๒. คาอุทานเสริมบท ไมํใสเํ ครือ่ งหมายอัศเจรีย๑ ( ! ) กากบั ขา๎ งท๎าย ใชเ๎ สริมคาํ อนื่ เพื่อให๎
คล๎องจองกนั ถวํ งเสียงของคาํ หรือใช๎เป็นคําสร๎อยในคาํ ประพันธ๑บางชนดิ
๒.๑ คําที่กลําวเสรมิ ขึน้ เพื่อให๎คลอ๎ งจอง หรือมคี วามหมายในการพูดดขี ึ้น คาํ เสรมิ อาจอยํู
ข๎างหน๎า ข๎างหลงั หรือกลางคํากไ็ ด๎ เชํน หนังสอื หนังหา,ลืมหูลืมตา,กางก้งุ กางเกง วดั วา รถรา
ผูห้ ลักผ๎ูใหญํ หวั หลกั หวั ตอ สับประดี้สีประดนฯลฯ
ทาํ เสร็จเสียทจี ะไดห๎ มดเร่ืองหมดราวกันไป
เมือ่ ไรเธอจะหางงหางานทําเสยี ที
เธอเหน็ ฉันเป็นหัวหลักหัวตอหรืออยํางไร
๒.๒ คําท่แี ทรกลงในระหวาํ งคําประพนั ธ๑ เพื่อให๎เกิดความสละสลวยและใหม๎ คี าํ ครบถ๎วนตาม
ต๎องการในคาํ ประพันธ๑นนั้ ๆ คาํ อทุ านชนดิ นีใ้ ช๎ เฉพาะในคําประพนั ธ๑ ไมนํ ํามาใชใ๎ นการพูดสนทนา เชํน แล,
นา , ฤา , แฮ, เอย ,เฮย ฯลฯ
เสียงเพลงไพเราะครนื้ คลอซอ พํอฮา
รักศกั ดส์ิ งวนสัจธรรม เทิดเกยี รติ พํอเฮย
หน้าที่ของคาอุทาน มีดังนี้คือ
๑. ทาํ หน๎าทีแ่ สดงความรส๎ู กึ ของผ๎พู ูด เชนํ
- ตายจริง ! ฉนั ลมื เอากระเปา๋ สตางค๑มา
- โธํ ! เธอคงจะหนาวมากละซิ
๓๕๐
- เอ๏ะ ! ใครกนั ท่ีนาดอกไม๎มาวางไว๎ท่โี ต๏ะของฉนั
๒. ทาํ หนา๎ ท่ีเพิ่มน้ําหนักของคํา ซึง่ ได๎แกคํ าํ อทุ านเสรมิ บท เชํน
- ทาํ เสรจ็ เสียทีจะได๎หมดเรื่องหมดราวกันไป
- เมอื่ ไรเธอจะหางงหางานทําเสยี ที
- เธอเหน็ ฉันเปน็ หวั หลกั หวั ตอหรืออยํางไร
๓. ทาํ หนา๎ ทปี่ ระกอบขอ๎ ความในคาํ ประพันธ๑ เชนํ
- แมวเอ๐ยแมวเหมยี ว
- มดเอย๐ มดแดง
- กอ เอย๐ กอไกํ
*************************
๓๕๑
ใบงาน เรอื่ ง คาอุทาน
หนว่ ยที่ ๔ แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี ๖ นิทานสารพัน
รายวชิ าภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๑๑๐๑ ภาคเรียนที่ ๑ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ ๑
ตอนที่ ๑ คาชี้แจง ใหน๎ กั เรยี นนาํ ตวั เลขหนา๎ ขอ๎ ความทางขวามอื ใสลํ งในชํองวํางทางซ๎ายมอื ที่บอกอาการ
................... โอ๏ย ! มีดบาดมอื ๑. ตกใจ
................... อนิจจา ! ไมนํ าํ เลย ๒. สงสัย
................... นแ่ี นะ ! พวกเราฟ๓งทางน้ี ๓. สงสาร
................... โอ๎โฮ ! ทําไมใหญโํ ตขนาดน้ี ๔. โลงํ ใจ
................... ฮึ ! ทาํ ไมมาชา๎ อยํางน้ี ๕. บอกให๎รต๎ู วั
................... ดูซิ ! ทําไมเป็นเด็กดอ้ื อยาํ งน้ี ๖. ประหลาดใจ
................... อุ๏ย ! มดกดั ๗. หงดุ หงดิ
................... เฮอ๎ ! เหมือนยกภูเขาออกจากอก ๘. เจ็บปวด
................... อา๎ ว ! ไมํใชํอยํางนน้ั หรือ ๙. ไมํพอใจ
................... ไชโย ! ฉนั สอบผํานแล๎ว ๑๐. ดีใจ
ตอนท่ี ๒ คาชีแ้ จง ให๎นกั เรยี นขดี เส๎นใตค๎ ําอุทานเสรมิ บทในประโยคตํอไปน้ี
๑. ของมันใชไ๎ มํได๎แล๎ว อยาํ ไปเสียดมเสียดายมันเลย
๒. อยาํ ใชจ๎ าํ ยมากนกั สตุ๎งสตางคย๑ งิ่ หายากอยํู
๓. เอะอะมะเท่งิ ไปได๎ ประเดีย๋ วคณุ ครดู ุเอาหรอก
๔. อยําเสยี อกเสียใจไปเลย ถงึ คราวเคราะห๑หามยามร๎ายก็หลกี เลี่ยงไมํได๎
๕. เรยี นอะไรกัน หนงั สือหนงั หาไมรํ ๎จู ักเอามา
๖. น่ี! เธอเป็นลกู เตา๎ เหลําใคร
๗. เธออาบนาํ้ อาบทาํ หรอื ยัง
๘. งานใหญํโตอาหงอาหารมีพอกนิ กันหรอื เปลํา
๙. เป็นเดก็ เป็นเล็กไมํรจ๎ู ักเคารพผใ๎ู หญํ
๑๐. สองเขอื พหี่ ลับใหล ลมื ต่ืน ฤาพ่ี
๓๕๒
เฉลยใบงาน เรือ่ ง คาอทุ าน
หนว่ ยท่ี ๔ แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๖ นทิ านสารพนั
รายวิชาภาษาไทย รหสั วชิ า ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นท่ี ๑ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๑
ตอนท่ี ๑ คาชแ้ี จง ใหน๎ กั เรยี นนาํ ตวั เลขหนา๎ ขอ๎ ความทางขวามือใสํลงในชอํ งวาํ งทางซา๎ ยมอื ท่บี อกอาการ
๘. เจบ็ ปวด โอ๏ย! มดี บาดมอื ๑. ตกใจ
๓. สงสาร อนจิ จา ! ไมํนาํ เลย ๒. สงสัย
๕. บอกใหร้ ตู้ วั นีแ่ นะ ! พวกเราฟ๓งทางนี้ ๓. สงสาร
๖. ประหลาดใจ โอ๎โฮ ! ทาไมใหญํโตขนาดน้ี ๔. โลํงใจ
๙. ไม่พอใจ ฮึ ! ทาไมมาชา๎ อยาํ งน้ี ๕. บอกให๎รตู๎ ัว
๗. หงดุ หงดิ ดูซิ ! ทาไมเป็นเดก็ ดอ้ื อยาํ งน้ี ๖. ประหลาดใจ
๑. ตกใจ อุ๏ย ! มดกดั ๗. หงุดหงดิ
๔. โลง่ ใจ เฮ๎อ ! เหมอื นยกภูเขาออกจากอก ๘. เจบ็ ปวด
๒. สงสยั อ๎าว ! ไมใํ ชํอยํางน้ันหรือ ๙. ไมํพอใจ
๑๐. ดใี จ ไชโย ! ฉันสอบผาํ นแล๎ว ๑๐. ดใี จ
ตอนที่ ๒ คาชแี้ จง ให๎นกั เรียนขดี เสน๎ ใต๎คาํ อุทานเสรมิ บทในประโยคตํอไปนี้
๑. ของมนั ใช๎ไมํไดแ๎ ลว๎ อยําไปเสยี ดมเสียดายมันเลย
๒. อยาํ ใช๎จํายมากนกั สตง๎ุ สตางค๑ย่งิ หายากอยํู
๓. เอะอะมะเท่งิ ไปได๎ ประเดย๋ี วคุณครูดเุ อาหรอก
๔. อยําเสยี อกเสียใจไปเลย ถงึ คราวเคราะห๑หามยามร๎ายก็หลกี เลย่ี งไมํได๎
๕. เรยี นอะไรกนั หนังสือหนังหาไมรํ ๎จู กั เอามา
๖. นี่! เธอเป็นลกู เต๎าเหลําใคร
๗. เธออาบนํา้ อาบทาํ หรอื ยงั
๘. งานใหญํโตอาหงอาหารมพี อกินกนั หรอื เปลํา
๙. เป็นเด็กเปน็ เลก็ ไมํร๎ูจักเคารพผใู๎ หญํ
๑๐. สองเขอื พห่ี ลับใหล ลมื ตื่น ฤาพี่
๓๕๓
ใบทดสอบ เรอ่ื ง คาอทุ าน
หน่วยท่ี ๔ แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี ๖ นทิ านสารพัน
รายวิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๑๑๐๑ ภาคเรียนที่ ๑ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๑
คาชแ้ี จง ให๎นกั เรยี นทําเครื่องหมาย X ทับตวั อกั ษรท่ีถกู ตอ๎ ง
๑. ข๎อใดใช๎คาํ อุทานไดถ๎ กู ต๎อง
ก. อนิจจงั ! ทาํ ไมสวยเหลอื เกิน
ข. หอ้ื หือ ! เธอรีบมาทางนเี้ ร็วๆดว๎ ยนะ
ค. ไชโย ! ทมี ฟุตบอลไทยทาํ ไมไปไมํถงึ ดวงดาว
ง. โอ๏ย ! ทาํ ไมเขาจึงไดร๎ บั ความเจบ็ ปวดมากขนาดนัน้
๒. ขอ๎ ใดใชค๎ าํ อุทานเพื่อแสดงความราพงึ ราพนั ไดถ๎ ูกตอ๎ ง
ก. โอว๎ าํ ! รักหนอรกั นหี้ นกั จติ บางคราวคิดวาํ สนกุ เปน็ สุขี
ข. เฮ๎ย ! รกั หนอรกั นห้ี นกั จติ บางคราวคดิ วําสนกุ เป็นสุขี
ค. เอะ๏ ! รักหนอรกั นหี้ นกั จิต บางคราวคิดวาํ สนุกเป็นสุขี
ง. แหม ! รักหนอรักนห้ี นกั จติ บางคราวคิดวาํ สนกุ เปน็ สุขี
๓. ขอ๎ ใดใชค๎ ําอุทานบอกอาการไดถ๎ กู ตอ๎ ง
ก. กบ เอย ทาํ ไมจึงร๎อง
ข. อ๎าอรุณแอรํมระเร่อื รจุ ี
ค. ฉันไมรํ ๎ู ฉนั ไมํชี้ อะไรเลย
ง. พทุ โธํ ! เขาตายเสียแลว๎ หรือ ?
๔. ข๎อใดไมถํ ูกตอ๎ ง
ก. ดแู ลบา๎ นชํองให๎ดี
ข. ฟูาผาํ เสียงดังเปร้ยี ง !
ค. เอ๏ะ ! ใครทาํ พ้นื เลอะเทอะ
ง. อุเหมํ ! นาํ สงสารลกู นกตวั นัน้
๕. ขอ๎ ใดถูกต๎อง
ก. โอ๏ย ! ฟาู รอ๎ ง
ข. วา๎ ย ! ก๎อยหกลม๎
ค. อ๐อ ! นําอจิ ฉาเหลอื เกนิ
ง. คณุ พระชํวย ! ไมํรอกนั เลยนะ
๖. ข๎อใดเป็นกลมํุ คาํ ที่ทาํ หน๎าทเ่ี หมือนคาํ อุทานท้งั หมด
ก. โอ๏ยตายแล๎ว นําเกลียดนาํ กลัว
ข. พุทโธเอย๐ ! ใหญโํ ตมโหฬาร
ค. คณุ พระชํวย อย๏ุ ตาเถร
ง. โถเวรกรรม โถสว๎ มแตก
๗. แก๎มบ๐มุ รวู๎ าํ หนดู ีไมพํ อใจ เมอ่ื หนูดอี ทุ านคําใดออกมา
ก. เอ๏ะ !
ข. ตายจริง !
๓๕๔
ค. อ๎าว !
ง. วา๎ ย !
๘. ข๎อใดใช๎คําอุทานสอดคลอ๎ งกบั อาการของผ๎พู ดู
ก. เสยี งกลองตีดงั เพลง๎ !
ข. เออ ! ไมนํ าํ อายสุ น้ั เลย
ค. คณุ พระ ! หนั มานี่หนํอย
ง. หา ! มนั เป็นอยํางน้ไี ด๎อยํางไร
๙. คาํ ประพนั ธ๑ในข๎อใดมคี ําอทุ านเสริมบท
ก. ใดใดในโลกลว๎ น อนิจจัง
ข. จากมามาลิ่วลา๎ ลาบาง
ค. ถงึ กรรมจักอยํูได๎ ฉนั ใด พระเอย
ง. เรอ่ื ยเรื่อยเรียมคอยแกว๎ คลบั คล๎ายเรียมเหลยี ว
๑๐. ขอ๎ ใดไมม่ ีคาํ อุทานเสริมบท
ก. ทําไมลาํ บากลาํ บนอยํางน้ี
ข. ทาํ ยากทําเยน็ เหลอื เกิน
ค. เรื่องหยุมหยิมอยํางนี้หรอื
ง. เปน็ พระเปน็ เจ๎ายํอมสํารวม
*************************
เฉลย ข๎อ ๑ ง. ขอ๎ ๒ ก. ข๎อ ๓ ง. ข๎อ ๔ ง. ข๎อ ๕ ข.
ขอ๎ ๖ ค. ข๎อ ๗ ง. ข๎อ ๘ ก. ขอ๎ ๙ ง. ขอ๎ ๑๐ ค.
๓๕๕
แผนการจัดการเรียนรู้
กล่มุ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๑
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี ๔ นิทานสารพัน เวลา ๑๒ ชัว่ โมง
เวลา ๑ ชั่วโมง
แผนการเรยี นรทู้ ี่ ๗ คติอดุ มนิทานไทย
ภาคเรียนท่ี ๑ ปีการศกึ ษา ๒๕๖5
สอนวันท่ี เดอื น พ.ศ. ตาแหนง่ ครู
ครูผู้สอน นางสาวชาลสิ า หาญกิจ
๑. มาตรฐาน/ตวั ช้วี ัด
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก๎ ระบวนการอํานสร๎างความร๎แู ละความคดิ เพ่อื นําไปใช๎ตดั สินใจ แก๎ป๓ญหาในการ
ดาํ เนินชีวติ และมีนิสยั รกั การอาํ น
ตัวชี้วดั
ม.๑/๒ จับใจความสาํ คญั จากเรอ่ื งท่ีอาํ น
ม.๑/๓ ระบุเหตุและผลและข๎อเทจ็ จรงิ กับข๎อคิดเห็นจากเรอ่ื งทอี่ ําน
๒. สาระสาคญั
ชาดก เป็นเรือ่ งเลาํ คล๎ายนทิ าน บางครั้งจึงเรียกวํา นิทานชาดก แตํมีความหมายแตกตํางจากนิทานที่
เลํากนั ทว่ั ไป คอื ชาดกเปน็ เรื่องท่ีเกิดขน้ึ จรงิ แตนํ ทิ านเป็นเรือ่ งทแี่ ตํงขึ้น
๓. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
๑. นกั เรยี นอธิบายความเปน็ มา ประเภทและองคป๑ ระกอบของนทิ านชาดก
๒. นักเรียนวิเคราะหเ๑ นือ้ หานทิ านชาดกได๎
๓. นกั เรยี นใฝเุ รียนรแู๎ ละมคี วามมุํงมน่ั ในการทํางาน
๔. สาระการเรยี นรู้
สรปุ เนอื้ หาวรรณคดีและวรรณกรรม
๕. การจดั กระบวนการจดั การเรยี นรู้
ขน้ั นา
ครใู หน๎ กั เรียนดวู ดี ทิ ัศนก๑ ารต๑ นู นิทานชาดก ประมาณ๓ - ๕ นาที แลว๎ สนทนาซกั ถามเกี่ยวกบั
นทิ านชาดกที่นักเรยี นเคยไดฟ๎ ๓งมา
ขัน้ สอน
๑. นักเรียนแบํงกลมุํ ออกเปน็ ๕ กลุมํ ศกึ ษาใบความร๎เู รอื่ ง นทิ านชาดก
๒. นกั เรียนสงํ ตัวแทนกลมํุ ออกมาสรุปให๎เพอื่ นฟ๓งเกี่ยวกับ ความเปน็ มา ประเภท องคป๑ ระกอบ
ของนิทานชาดกและยกตวั อยาํ งนิทานชาดก “พรอ๎ มทง้ั ฝกึ วิเคราะหน๑ ทิ านชาดก”
๓. ครูอธิบายความร๎ูเพม่ิ เตมิ จากการทีน่ ักเรยี นศกึ ษาใบความรู๎ เรือ่ ง นิทานชาดก
๔. นักเรียนค๎นคว๎าเพม่ิ เตมิ เพ่อื ทาํ รายงาน เรอื่ ง นทิ านชาดก
ขน้ั สรุป
๓๕๖
นักเรียนจดบันทึกลงสมุดครูและนักเรียนสรุปความรู๎เกี่ยวกับนิทานชาดกนักเรียนจดบันทึกลง
สมุด
๖. สื่อ /แหลง่ เรยี นรู้
๑. วดี ิทัศนก๑ ารต๑ ูนนิทานชาดก
๒. ใบความร๎ู เร่ือง นทิ านชาดก
๗. วดั ผลประเมินผล
วธิ กี าร เคร่อื งมอื เกณฑ์
ประเมนิ การนาํ เสนอผลงาน แบบประเมนิ การนําเสนอผลงาน ผํานเกณฑก๑ ารประเมินร๎อยละ
๖๐ ขน้ึ ไป
สังเกตพฤติกรรมการทาํ งานกลํมุ แบบสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานกลํุม ระดับคุณภาพ ๒ ผํานเกณฑ๑
ประเมนิ คณุ ลักษณะอันพึงประสงค๑ แบบประเมนิ คุณลักษณะอนั พึงประสงค๑
ระดบั คุณภาพ ๒ ผํานเกณฑ๑
๓๕๗
บันทกึ หลงั แผนการจัดการเรยี นรู้
๑. ดา๎ นความรู๎
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒. ดา๎ นสมรรถนะสาํ คัญของผ๎เู รยี น
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓. ดา๎ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค๑/คาํ นิยม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๔. ดา๎ นอื่น ๆ (พฤตกิ รรมเดนํ หรือพฤตกิ รรมทม่ี ีป๓ญหาของนกั เรียนเป็นรายบคุ คล (ถ๎าม)ี )
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๕. ปญ๓ หา/อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๖. ขอ๎ เสนอแนะ/แนวทางการแกป๎ ญ๓ หา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่อื ………………………………………ครปู ระจําวชิ า
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๗. ความคดิ เหน็ ของผ๎ูอํานวยการสถานศึกษา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ………………………………………ผอ๎ู ํานวยการสถานศกึ ษา
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๓๕๘
ใบความรู้ เรือ่ ง นิทานชาดก
หน่วยท่ี ๔ แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ ๖ คติอดุ มนทิ านไทย
รายวิชาภาษาไทย รหสั วชิ า ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นที่ ๑ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๑
ชาดก เปน็ เรือ่ งท่ีมมี ากํอนพุทธกาล เปน็ เร่อื งทีเ่ ก่ียวกบั พระโพธสิ ตั ว๑ หรอื เปน็ ชีวประวตั ใิ นชาตกิ อํ น
ของพระพทุ ธเจา๎ คอื สมัยทีพ่ ระองค๑เป็นพระโพธสิ ตั วบ๑ ําเพญ็ บารมเี พือ่ ตรสั ร๎นู ้นั เอง
นิทานชาดก
ชาดก เปน็ เรอื่ งเลาํ คลา๎ ยนทิ าน บางครง้ั จึงเรยี กวาํ นทิ านชาดก แตํมีความหมายแตกตาํ งจากนทิ านที่
เลํากันทว่ั ไป คือ ชาดกเปน็ เรอ่ื งที่เกดิ ข้ึนจรงิ แตนํ ทิ านเป็นเรอ่ื งท่ีแตํงขึน้
ชาดกทที่ รงเลํานนั้ มนี บั พนั เรอ่ื ง หมายถึง พระองคไ๑ ดเ๎ สวยพระชาติเปน็ พระโพธิสตั ว๑นับพนั ชาติ โดย
ทรงเกิดเปน็ มนษุ ยบ๑ า๎ ง เปน็ สัตวบ๑ า๎ ง แตทํ ีร่ ๎ูจกั กันโดยทั่วไป คือ ๑๐ ชาติสดุ ทา๎ ยทเ่ี รยี กวํา ทศชาติชาดก และ
ชาติสดุ ทา๎ ยท่สี ดุ ที่ทรงเกดิ เปน็ พระเวสสนั ดร จึงเรยี กเรือ่ งพระเวสสันดรนว้ี าํ เวสสนั ดรชาดก
ประเภทของชาดก
ชาดกมี ๒ ประเภท คือ
๑. นิบาตชาดก เป็นชาดกในพระไตรปิฎกมี ๕๐๐ เรือ่ ง แบงํ ออกเป็นหมวด ๆ ตามจาํ นวนคาถา
นบั ตัง้ แตํ ๑ คาถาถึง ๘๐ คาถา ชาดกที่มี ๑ คาถาเรยี กวาํ เอกนบิ าตชาดก ๒ คาถาเรียกวาํ ทุกนบิ าตชาดก ๓
คาถาเรียกวาํ ตกั นิบาตชาดก ๔ คาถาเรยี กวาํ จตคุ นิบาตชาดก ๕ คาถาเรยี กวาํ ปญ๓ จกนิบาตชาดก ชาดกท่ีมี
เกนิ ๘๐ คาถา ขน้ึ ไปเรียกวํา มหานบิ าตชาดก ซงึ่ มี ๑๐ เรื่อง เรียก ทศชาติ หรอื พระเจ๎าสิบชาติ
๒. ป๓ญญาสชาตชิ าดก เป็นชาดกทแ่ี ตงํ ข้นึ จากนทิ านพนื้ เมอื งไมํมีในพระไตรปฎิ ก หรอื เรยี กวาํ ชาดก
นบิ าต มี ๕๐ เรอ่ื ง พระภกิ ษุชาวเชยี งใหมแํ ตํงขนึ้ เม่อื ประมาณ พ.ศ. ๒๐๐๐-๒๒๐๐ เป็นภาษามคธ โดย
เลียนแบบนิบาตชาดก ครนั้ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๔๓-๒๔๔๘ พระบรมวงศ๑เธอกรมพระสมมตอมรพันธ๑ ดาํ รงตาํ แหนงํ
องคส๑ ภานายก หอพระสมุดสาหรบั พระนคร ได๎ทรงแปลเปน็ ภาษาไทย เร่อื งปญ๓ ญสชาดกจึงแพรหํ ลาย
องคป๑ ระกอบของชาดก
ชาดกทกุ เรื่องจะมอี งค๑ประกอบ ๓ ประเภท คือ
๑. ปรารภเร่ือง คือบทนาเร่อื งหรอื อบุ ัตเิ หตุ จะกลําวถงึ มลู เหตหุ รือทีม่ าของชาดกเรื่องนั้น เชนํ
มหาเวสสันดกชาดก
๒. อดีตนทิ าน หรอื ชาดก หมายถึงเรอ่ื งราวนิทานทพี่ ระพทุ ธองคต๑ รสั เลาํ
๓. ประชมุ ชาดก ประมวลชาดก เปน็ เน้ือความสุดท๎ายของชาดกกลาํ วถงึ บุคคลในชาดก คือผใ๎ู ดทก่ี ลบั
ชาติเปน็ ใครบ๎างในปจ๓ จบุ ัน
ทศบารมี
ทศบารมี คือ บารมีท่ีพระโพธิสตั วไ๑ ด๎ทรงบําเพญ็ ๑๐ ประการในชาติตาํ ง ๆ คอื
๑. พระเตมยี ๑ บําเพญ็ เมตตาบารมี
๒. พระมหาชนก บําเพ็ญ วริ ิยะบารมี
๓. พระสุวรรณสาม บําเพ็ญ เมตตาบารมี
๔. พระเนมีราช บําเพญ็ อธิษฐานบารมี
๕. พระมโหสถ บาํ เพญ็ ปญ๓ ญาบารมี
๖. พระภรู ทิ ตั บาํ เพ็ญ ศลี บารมี
๓๕๙
๗. พระจนั ทกุมาร บาํ เพ็ญ ขันติบารมี
๘. พระนารทะ บาํ เพ็ญ อเุ บกขาบารมี
๙. พระวทิ รู บาํ เพ็ญ สัจจะบารมี
๑๐. พระเวสสนั ดร บําเพ็ญ ทานบารมี
๓๖๐
แผนการจัดการเรียนรู้
กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ ๑
หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๔ นิทานสารพนั เวลา ๑๒ ช่วั โมง
เวลา ๑ ชว่ั โมง
แผนการเรยี นรทู้ ี่ ๘ นิทานพน้ื บา้ น
ภาคเรยี นที่ ๑ ปกี ารศึกษา ๒๕๖5
สอนวันที่ เดอื น พ.ศ. ตาแหน่ง ครู
ครผู สู้ อน นางสาวชาลสิ า หาญกิจ
๑. มาตรฐาน/ตัวชี้วดั
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก๎ ระบวนการอํานสร๎างความรูแ๎ ละความคดิ เพอ่ื นําไปใชต๎ ดั สนิ ใจ แกป๎ ญ๓ หาในการ
ดําเนินชีวิต และมีนสิ ยั รกั การอาํ น
ตัวชว้ี ดั
ม.๑/๒ จบั ใจความสาํ คญั จากเร่อื งท่อี าํ น
มาตรฐาน ท ๕.๑ เขา๎ ใจและแสดงความคดิ เห็น วจิ ารณว๑ รรณคดีและวรรณกรรมไทยอยาํ งเหน็
คณุ คาํ และนาํ มาประยุกต๑ใชใ๎ นชวี ติ จริง
ตวั ชีว้ ดั
ม.๑/๑ สรุปเนื้อหาวรรณคดแี ละวรรณกรรมทอี่ าํ น
๒. สาระสาคัญ
นิทานพ้ืนบ๎าน คือ เร่ืองเลําท่ีเลําสืบตํอกันมา ด้ังเดิมน้ันถํายทอดกันด๎วยมุขปาฐะ ( การเลําปากตํอ
ปากกันมา การบอกเลําตํอๆกันมา โดยมิได๎เขียนเป็นลายลักษณ๑ ) แตํก็มีอยูํมากท่ีบันทึกเป็นลายลักษณ๑อักษร
และนิทานพ้ืนบ๎านต๎องเลําด๎วยถ๎อยคําธรรมดาภาษาชาวบ๎านท่ัวๆไป เป็นเรื่องเลําตํอๆกันมาช๎านานหลาย ช่ัว
อายุคน ไมํสามารถรไู๎ ดว๎ าํ ใครเป็นคนเลาํ ดั้งเดิมตน๎ เรอ่ื ง
๓. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
๑. นักเรยี นมีความรู๎ความเขา๎ ใจเกย่ี วกบั ในเร่อื งนิทานพนื้ บา๎ นภาคตําง ๆ
๒. นักเรยี นอธิบายสาระสําคัญเก่ียวกับนิทานพื้นบ๎านได๎
๓. นกั เรียนอธบิ ายสาระสําคญั เก่ยี วกบั นทิ านพน้ื บา๎ นได
๔. นกั เรยี นสรุปนิทานพ้นื ฐานตามภาคตาํ งๆ ได๎
๕. นกั เรียนวิเคราะหน๑ ทิ านพ้นื ฐานตามภาคตํางๆ ได๎
๖. นักเรียนใฝเุ รยี นรู๎และมีความมํุงม่นั ในการทํางาน
๔. สาระการเรียนรู้
หลักการสรุปเนอื้ หาวรรณคดีและวรรณกรรม
๕. การจดั กระบวนการจดั การเรยี นรู้
ขั้นนา
๑. ครสู นทนากบั นกั เรยี นเก่ยี วกบั นทิ านพน้ื บ๎าน และ ยกตัวอยาํ งชอ่ื นทิ าน ทนี่ กั เรียนเคยฟง๓
หรืออําน
๓๖๑
๒. ครตู ง้ั คําถามเกยี่ วกบั นทิ านพนื้ บ๎าน เชนํ นิทานเร่ืองปลาบํทู อง เกาะหนูเกาะแมว อุษาบารส
เชียงดาว เป็นนิทานท่เี ลาํ สบื ตํอกันมาทางภูมภิ าคใด เป็นต๎น
ขน้ั สอน
๑. นักเรียนแบํงกลํุมออกเป็น ๕ กลํมุ จบั ฉลากเลอื กศึกษานทิ านพน้ื บา๎ นภาคตาํ ง ๆ ดงั น้ี
กลมํุ ที่ ๑ นิทานภาคเหนอื
กลมํุ ที่ ๒ นิทานภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ
กลมํุ ที่ ๓ นิทานภาคกลาง
กลํุมที่ ๔ นิทานภาคตะวนั ออก
กลมํุ ท่ี ๕ นทิ านภาคใต๎
๒. นักเรยี นแตํละกลมุํ ศกึ ษาค๎นคว๎าข๎อมูลเกี่ยวกบั นิทานพ้นื บา๎ นภาคทไี่ ดร๎ บั มอบหมายจาก
ห๎องสมดุ หรือส่อื อินเทอรเ๑ นต็ ในหวั ขอ๎ ตํอไปน้ี
๑) ลักษณะเฉพาะของนิทานพืน้ บ๎านภาคน้นั ๆ
๒) ชอ่ื เรื่องนิทานท่ีเป็นทร่ี ูจ๎ ักแพรํหลาย
๓) ความสาํ คัญของนทิ านพนื้ บ๎าน
๔) เลอื กนิทานทกี่ ลมุํ สนใจที่สุด ๑ เรอื่ ง
๓. นักเรียนแตํละกลํุมสงํ ตวั แทนนาํ เสนอผลการศกึ ษาหนา๎ ชน้ั เรยี น
๔. นกั เรียนแตลํ ะกลํมุ จดั เตรยี มอุปกรณเ๑ พื่อจดั ทําสมุดเลํมเล็ก “นิทานพ้ืนบ๎าน สืบสานรกั ษ๑
ไทย” ในช่ัวโมงถดั ไป
ขัน้ สรปุ
๑. ครูและนกั เรยี นซักถามและรํวมแสดงความคิดเหน็ เสนอแนะขอ๎ ควรปรับปรงุ แก๎ไข
๒. นกั เรยี นจดบนั ทึกข๎อมูลที่ไดจ๎ ากการศกึ ษาคน๎ ควา๎ ลงสมดุ
๖. ส่อื /แหล่งเรยี นรู้
๑. ห๎องสมดุ
๒. อนิ เทอรเ๑ นต็
๗. วดั ผลประเมนิ ผล
วิธีการ เครอ่ื งมือ เกณฑ์
ประเมนิ จากการนาํ เสนอผลงานการศึกษาหน๎าชั้น แบบประเมนิ การนําเสนอผลงาน ผํานเกณฑก๑ ารประเมินร๎อยละ
เรยี น ๖๐ ข้นึ ไป
สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลมํุ แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทาํ งานกลํุม ระดับคุณภาพ ๒ ผํานเกณฑ๑
แบบประเมินคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค๑
ประเมนิ คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค๑ ระดับคณุ ภาพ ๒ ผํานเกณฑ๑
๓๖๒
บันทกึ หลงั แผนการจัดการเรยี นรู้
๑. ดา๎ นความรู๎
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒. ดา๎ นสมรรถนะสาํ คัญของผ๎เู รยี น
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓. ดา๎ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค๑/คาํ นิยม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๔. ดา๎ นอื่น ๆ (พฤตกิ รรมเดนํ หรือพฤตกิ รรมทม่ี ีป๓ญหาของนกั เรียนเป็นรายบคุ คล (ถ๎าม)ี )
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๕. ปญ๓ หา/อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๖. ขอ๎ เสนอแนะ/แนวทางการแกป๎ ญ๓ หา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่อื ………………………………………ครปู ระจําวชิ า
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๗. ความคดิ เหน็ ของผ๎ูอํานวยการสถานศึกษา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ………………………………………ผอ๎ู ํานวยการสถานศกึ ษา
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๓๖๓
แบบประเมนิ การนาเสนอผลงาน
คาช้ีแจง : ให๎ ผู้สอน ประเมนิ การนาํ เสนอผลงานของนักเรียนตามรายการที่กําหนด แลว๎ ขดี ✓ ลงในชอํ ง
ทตี่ รงกบั ระดับคะแนน
ระดบั คุณภาพ
ลาดบั ท่ี รายการประเมิน ๔ ๓๒ ๑
(ดมี าก)
๑ เนือ้ หาละเอียดชดั เจน (ดี) (พอใช้) (ปรับปรงุ )
๒ ความถกู ต้องของเน้ือหา
๓
๔ ภาษาทใ่ี ชเ้ ขา้ ใจง่าย
๕ ประโยชน์ท่ีได้จากการนาเสนอ
วธิ กี ารนาเสนอผลงาน
รวม
ลงชื่อ...................................................ผปู้ ระเมิน
............../.................../................
เกณฑก์ ารให้คะแนน ให้ ๔ คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสมบรู ณช์ ัดเจน ให้ ๓ คะแนน
ผลงานหรอื พฤติกรรมมขี อ้ บกพรอ่ งบางสว่ น ให้ ๒ คะแนน
ผลงานหรอื พฤตกิ รรมมขี ้อบกพรอ่ งเปน็ สว่ นใหญ่ ให้ ๑ คะแนน
ผลงานหรอื พฤตกิ รรมมขี อ้ บกพรอ่ งมาก
เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ ระดบั คุณภาพ
ดมี าก
ชว่ งคะแนน ดี
๑๘ – ๒๐ พอใช้
๑๔ – ๑๗ ปรับปรุง
๑๐ – ๑๓
ต่ากว่า ๑๐
๓๖๔
แผนการจัดการเรียนรู้
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย ระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๑
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๔ นิทานสารพนั เวลา ๑๒ ชั่วโมง
เวลา ๑ ชว่ั โมง
แผนการเรยี นร้ทู ี่ ๙ คณุ คา่ ทวีสรรคร์ ักษ์ไทย
ภาคเรยี นที่ ๑ ปีการศกึ ษา ๒๕๖5
สอนวันท่ี เดอื น พ.ศ. ตาแหนง่ ครู
ครูผูส้ อน นางสาวชาลสิ า หาญกจิ
๑. มาตรฐาน/ตวั ชวี้ ดั
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก๎ ระบวนการอํานสร๎างความรแ๎ู ละความคดิ เพอ่ื นาํ ไปใช๎ตัดสินใจ แก๎ปญ๓ หาในการ
ดาํ เนนิ ชวี ติ และมนี ิสยั รกั การอาํ น
ตวั ชี้วัด
ม.๑/๒ จับใจความสาํ คญั จากเรอ่ื งทอ่ี าํ น
มาตรฐาน ท ๕.๑ เข๎าใจและแสดงความคดิ เหน็ วจิ ารณว๑ รรณคดแี ละวรรณกรรมไทยอยํางเห็น
คณุ คาํ และนํามาประยกุ ต๑ใชใ๎ นชวี ิตจริง
ตวั ชี้วัด
ม.๑/๑ สรุปเนอื้ หาวรรณคดีและวรรณกรรมทีอ่ าํ น
๒. สาระสาคญั
นิทานพื้นบ๎าน คือ เรื่องเลําท่ีเลําสืบตํอกันมา ดั้งเดิมนั้นถํายทอดกันด๎วยมุขปาฐะ ( การเลําปากตํอ
ปากกันมา การบอกเลําตํอๆกันมา โดยมิได๎เขียนเป็นลายลักษณ๑ ) แตํก็มีอยูํมากที่บันทึกเป็นลายลักษณ๑อักษร
และนิทานพื้นบ๎านต๎องเลําด๎วยถ๎อยคําธรรมดาภาษาชาวบ๎านท่ัวๆไป เป็นเรื่องเลําตํอๆกันมาช๎านานหลาย ช่ัว
อายคุ น ไมสํ ามารถรู๎ไดว๎ าํ ใครเปน็ คนเลําดั้งเดิมตน๎ เร่อื ง
๓. จุดประสงค์การเรียนรู้
๑. นักเรียนวิเคราะหค๑ ณุ คําจากนิทานพ้ืนบ๎านได๎
๒. นักเรยี นวิเคราะห๑ประเภทของนิทานทัว่ ไปกับนทิ านพื้นบ๎านได๎
๓. นกั เรียนวเิ คราะห๑คุณคําและข๎อคดิ ท่ปี รากฏในนิทานพน้ื บา๎ นได๎
๔. นักเรยี นใฝุเรียนรแ๎ู ละมคี วามมงํุ มัน่ ในการทาํ งาน
๔. สาระการเรียนรู้
หลักการวิเคราะหค๑ ุณคําและขอ๎ คดิ วรรณคดแี ละวรรณกรรม
๕. การจัดกระบวนการจัดการเรียนรู้
ขั้นนา
๑. ครูต้งั คาํ ถามวาํ นทิ านพื้นบา๎ นมีความสาํ คัญอยาํ งไร
๒. ครใู หน๎ กั เรียนยกตัวอยาํ งนทิ านพ้นื บา๎ นทีน่ ักเรยี นร๎ูจักมาคนละหนึ่งเรื่อง แล๎วพูดสรปุ ยอํ ๆ
เกยี่ วกบั นทิ านพ้ืนบ๎าน
ขัน้ สอน
๓๖๕
๑. นักเรียนวเิ คราะหค๑ ุณคําและความสาํ คญั ของนิทานพืน้ บ๎านจากเรอื่ งนทิ านพ้นื บา๎ น จาก
หนังสือเรยี น ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๑
๒. นักเรยี นแบํงกลมุํ วิเคราะห๑ความแตกตาํ งระหวํางนิทานพืน้ บา๎ นกบั นทิ านทัว่ ไป
๓. นกั เรยี นวิเคราะหค๑ ณุ คํานทิ านพื้นบา๎ นจากใบงานเรื่อง การวิเคราะห๑นิทานพืน้ บ๎าน
๔. ตวั แทนกลํุมนําเสนอผลงานการวิเคราะห๑
๕. ครแู ละนักเรยี นรวํ มกนั สรุปผลการนาํ เสนอ
๖. นักเรียนทาํ ใบงานเรอ่ื ง ฝึกคดิ พชิ ติ คาํ ตอบ
ขั้นสรุป
ครสู รุปลักษณะสาํ คัญของนทิ านพื้นบา๎ นประโยชน๑ท่ไี ดร๎ ับจากนัน้ มอบหมายให๎นักเรยี นจัดทํา
สมุดนทิ านพน้ื บา๎ นพรอ๎ มวาดภาพประกอบ
๖. สอื่ /แหล่งเรียนรู้
๑. หนงั สอื วรรณคดวี ิจกั ษ๑ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๑
๒. ใบงาน เรอื่ ง การวเิ คราะห๑นิทานพื้นบา๎ น
๓. ใบงาน เรอื่ ง ฝึกคดิ พิชิตคําตอบ
๗. วดั ผลประเมนิ ผล
วิธกี าร เคร่อื งมอื เกณฑ์
นาํ เสนอผลงาน แบบนาํ เสนอผลงาน ผํานเกณฑ๑การประเมินร๎อยละ
๖๐ ขึ้นไป
ตรวจใบงาน เร่ือง การวเิ คราะหน๑ ิทานพื้นบา๎ น ใบงาน เรือ่ ง การวิเคราะหน๑ ิทานพืน้ บา๎ น ผาํ นเกณฑ๑การประเมินร๎อยละ
ตรวจใบงาน เรอื่ ง ฝึกคดิ พชิ ติ คําตอบ ใบงาน เร่ือง ฝึกคดิ พชิ ิตคําตอบ ๖๐ ขึ้นไป
ประเมนิ ผลงาน สมดุ ภาพนิทานพนื้ บา๎ น แบบประเมินผลงานนกั เรียน ผํานเกณฑก๑ ารประเมนิ รอ๎ ยละ
๖๐ ขนึ้ ไป
ประเมินคุณลกั ษณะอันพึงประสงค๑ แบบประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค๑
ระดับคุณภาพ ๒ ผาํ นเกณฑ๑
๓๖๖
บนั ทึกหลังแผนการจดั การเรยี นรู้
๑. ดา๎ นความรู๎
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒. ดา๎ นสมรรถนะสาํ คัญของผเ๎ู รยี น
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓. ดา๎ นคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค/๑ คํานยิ ม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๔. ดา๎ นอื่น ๆ (พฤตกิ รรมเดนํ หรอื พฤติกรรมทมี่ ปี ๓ญหาของนักเรยี นเป็นรายบคุ คล (ถ๎าม)ี )
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๕. ป๓ญหา/อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๖. ขอ๎ เสนอแนะ/แนวทางการแกป๎ ญ๓ หา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่ือ………………………………………ครูประจาํ วชิ า
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๗. ความคดิ เห็นของผอู๎ ํานวยการสถานศกึ ษา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………ผู๎อํานวยการสถานศกึ ษา
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๓๖๗
ใบงานเรอ่ื ง การวิเคราะห์นิทานพื้นบา้ น
หน่วยที่ ๔ แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี ๓ เรอื่ ง คณุ ค่าทวีสรรคร์ ักษ์ไทย
รายวชิ าภาษาไทย รหัส ท๒๑๑๐๑ ภาคเรียนที่ ๑ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ ๑
นิทานพ้ืนบา๎ นเรือ่ ง……………………………………………………………………………….
เนือ้ หา
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ภาพสังคม
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
วรรณศิลป์
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ขอ๎ คดิ คตสิ อนใจ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
๓๖๘
ใบงานเร่อื ง ฝกึ คดิ พิชิตคาตอบ
หนว่ ยท่ี ๔ แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ ๓ เรื่อง คณุ ค่าทวีสรรคร์ กั ษไ์ ทย
รายวิชาภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรียนท่ี ๑ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๑
ตอนท่ี ๑ ใหน้ ักเรยี นระบวุ ่าลักษณะนิทานพน้ื บา้ นหรือนิทานพ้ืนบา้ นเรื่องตอ่ ไปน้ีเป็นของภาคใด
...............................๑. เนอ้ื เรือ่ งกลาํ วถึงความแหง๎ แล๎ง การขอฝนและบทบาทของแถน
...............................๒. เนือ้ เรอื่ งเกี่ยวกบั แมํน้ําลาํ คลองหรอื ตานานของสถานท่ีสาํ คัญ
...............................๓. เน้อื เรื่องเกย่ี วกบั พระพุทธเจ๎าหรอื ความเปน็ มาของสถานที่ทีเ่ กีย่ วกบั พระพทุ ธเจ๎า
...............................๔. เน้ือเร่อื งเกี่ยวกบั ท่ีมาของเกาะและสิง่ ทเี่ ก่ียวกับทะเล
...............................๕. เนอ้ื เรื่องเกีย่ วกับทม่ี าของภูเขา เกาะ และชายหาด
................................๖. เน้อื เร่อื งเก่ียวกบั ที่มาของชื่อเมือง การสร๎างพระธาตุเจดยี ๑
................................๗. เรือ่ งพญาคนั คาก
................................๘. เรอื่ งพญากงพญาพาน
.................................๙. เร่ืองไกรทอง
................................๑๐. เรอ่ื งตามํองลาํ ย
................................๑๑. เรื่องเจ๎าแมํลมิ้ กอเหนย่ี ว
................................๑๒. เรอ่ื งเกาะหนู เกาะแมว
................................๑๓. เรอื่ งความเปน็ มาของชอ่ื คลองสองพน่ี ๎องและบ๎านแมํหม๎าย
................................๑๔. เรอ่ื งก่าํ กาดาํ
................................๑๕. เรอ่ื งสงั ข๑ทอง
ตอนที่ ๒ จากนทิ านพ้นื บา้ นท่ีนักเรยี นเลอื กอา่ นจงเขยี นอธิบายตามประเด็นตอ่ ไปน้ี
๑. นทิ านพ้ืนบ๎านที่นักเรยี นอํานมชี ือ่ วําอะไร
.....................................................................................................................................................................
๒. จงกลาํ วถงึ เน้อื หาโดยสรุปของนิทาน
....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
๓. ตวั เอกของเรื่องมีบุคลิกอยาํ งไร
....................................................................................................................................................................
๔. ขอ๎ คิดที่ได๎จากนิทาน คอื อะไร
......................................................................................................................................................
๓๖๙
เฉลยใบงานเรือ่ ง ฝึกคดิ พิชติ คาตอบ
หน่วยท่ี ๔ แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๓ เรอื่ ง คณุ คา่ ทวีสรรค์รกั ษไ์ ทย
รายวิชาภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรียนที่ ๑ ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ ๑
ตอนท่ี ๑ ใหน้ ักเรียนระบุว่าลกั ษณะนิทานพ้ืนบา้ นหรือนิทานพืน้ บ้านเร่ืองตอ่ ไปนเ้ี ปน็ ของภาคใด
ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ๑. เนอื้ เรอื่ งกลําวถึงความแหง๎ แล๎ง การขอฝนและบทบาทของแถน
ภาคกลาง ๒. เนื้อเรื่องเกี่ยวกบั แมํนํ้าลําคลองหรือตานานของสถานท่สี ําคญั
ภาคเหนอื ๓. เนอื้ เร่ืองเกี่ยวกับพระพุทธเจา๎ หรอื ความเป็นมาของสถานทที่ ีเ่ ก่ียวกบั
พระพทุ ธเจ๎า
ภาคใต๎ ๔. เนอ้ื เร่อื งเกี่ยวกบั ทีม่ าของเกาะและส่งิ ทเี่ ก่ยี วกับทะเล
ภาคตะวันออก ๕. เน้อื เร่ืองเกยี่ วกับทีม่ าของภเู ขา เกาะ และชายหาด
ภาคกลาง ๖. เนื้อเรอ่ื งเกี่ยวกบั ที่มาของช่ือเมือง การสรา๎ งพระธาตุเจดยี ๑
ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ๗. เรื่องพญาคนั คาก
ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ๘. เร่อื งพญากงพญาพาน
ภาคกลาง ๙. เรอ่ื งไกรทอง
ภาคตะวันออก ๑๐. เรือ่ งตามอํ งลาํ ย
ภาคใต๎ ๑๑. เรื่องเจา๎ แมํล้มิ กอเหนยี่ ว
ภาคตะวันออก ๑๒. เรอ่ื งเกาะหนู เกาะแมว
ภาคกลาง ๑๓. เรื่องความเปน็ มาของช่อื คลองสองพี่น๎องและบา๎ นแมหํ มา๎ ย
ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ๑๔. เร่อื งกํ่ากาดาํ
ภาคกลาง ๑๕. เรอ่ื งสงั ขท๑ อง
ตอนที่ ๒ จากนิทานพน้ื บา้ นท่นี ักเรยี นเลอื กอา่ นจงเขียนอธิบายตามประเด็นต่อไปน้ี
แนวทางการใหค้ ะแนน นกั เรยี นตอบได้ถกู ตอ้ ง ชัดเจน ขอ้ ละ ๑ คะแนน
๓๗๐
แผนการจดั การเรียนรู้
กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๑
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๔ นิทานสารพัน เวลา ๑๒ ชว่ั โมง
เวลา ๑ ชว่ั โมง
แผนการเรียนรู้ที่ ๑๐ อ่าน สรุป คิดวิเคราะห์
ภาคเรียนท่ี ๑ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖5
สอนวันที่ เดือน พ.ศ. ตาแหน่ง ครู
ครูผู้สอน นางสาวชาลสิ า หาญกจิ
๑. มาตรฐาน/ตัวชวี้ ัด
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก๎ ระบวนการอํานสรา๎ งความรูแ๎ ละความคดิ เพอ่ื นําไปใชต๎ ดั สนิ ใจ แก๎ปญ๓ หาในการ
ดาํ เนินชีวิต และมนี ิสัยรกั การอาํ น
ตวั ชว้ี ดั
ม.๑/๒ จับใจความสาํ คญั จากเร่ืองทีอ่ าํ น
มาตรฐาน ท ๕.๑ เขา๎ ใจและแสดงความคดิ เห็น วจิ ารณ๑วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอยาํ งเหน็
คุณคาํ และนาํ มาประยุกตใ๑ ชใ๎ นชวี ติ จริง
ตวั ช้วี ดั
ม.๑/๑ สรปุ เน้ือหาวรรณคดีและวรรณกรรมทอี่ าํ น
๒. สาระสาคัญ
นิทานพื้นบ๎าน คือ เร่ืองเลําท่ีเลําสืบตํอกันมา ด้ังเดิมน้ันถํายทอดกันด๎วยมุขปาฐะ ( การเลําปากตํอ
ปากกันมา การบอกเลําตํอๆกันมา โดยมิได๎เขียนเป็นลายลักษณ๑ ) แตํก็มีอยํูมากที่บันทึกเป็นลายลักษณ๑อักษร
และนิทานพ้ืนบ๎านต๎องเลําด๎วยถ๎อยคําธรรมดาภาษาชาวบ๎านทั่วๆไป เป็นเร่ืองเลําตํอๆกันมาช๎านานหลาย ช่ัว
อายุคน ไมํสามารถร๎ไู ด๎วําใครเป็นคนเลาํ ดง้ั เดิมตน๎ เรอื่ ง
๓. จุดประสงค์การเรยี นรู้
๑. นักเรียนมคี วามร๎ูเกี่ยวกบั นิทานพื้นบา๎ นเร่อื งสงั ขท๑ อง
๒. นกั เรียน วิเคราะห๑ แยกแยะประเภทของนทิ านทั่วไป นิทานชาดก นิทานพน้ื บ๎านได๎
๓. นักเรยี น สามารถนําขอ๎ คิด คติสอนใจไปปรับใชใ๎ นชีวติ ประจาํ วันได๎
๔. นักเรียนใฝเุ รียนร๎ูและมคี วามมํุงมน่ั ในการทาํ งาน
๔. สาระการเรยี นรู้
หลกั การวิเคราะห๑คณุ คําและข๎อคิดวรรณคดีและวรรณกรรม
๕. การจดั กระบวนการจดั การเรยี นรู้
ข้นั นา
ครนู ําภาพเงาะตวั ละครเอก เร่อื ง สังขท๑ อง มาใหน๎ ักเรยี นดูแล๎วสนทนาซักถามเกย่ี วกับเนอื้ เร่ือง
ความเป็นมาของเร่ือง ครอู ภปิ รายเสริม
๓๗๑
ขัน้ สอน
๑. สงั ข๑ทองนับเปน็ นทิ านพืน้ บา๎ นทมี่ คี นรูจ๎ ักมากทสี่ ุดเรอ่ื งหน่ึง ครูใหน๎ ักเรยี นทุกคนศึกษาเร่ือง
สังข๑ทองจากหนงั สือเรียนวรรณคดวี จิ ักษ๑แลว๎ ตอบคาํ ถามครู
๒. ครูนาํ นักเรยี นสนทนาถงึ ข๎อคดิ จากนทิ านพ้ืนบา๎ น เรอื่ งสงั ข๑ทองทางภาคกลาง ภาคใต๎ และ
ภาคอื่น ๆ สํวนใหญมํ งุํ ให๎ขอ๎ คดิ ในทาํ นองเดยี วกนั นักเรยี นยกตัวอยาํ งนทิ านพ้นื บา๎ นเร่อื งอ่นื ๆ แลว๎ จดบันทกึ
ลงสมุด
๓. นกั เรียนทาํ ใบงาน เรอ่ื ง การวิเคราะห๑นทิ าน
๔. ครใู ห๎นักเรียนวเิ คราะห๑เปรยี บเทยี บระหวาํ งนิทานทว่ั ไป นทิ านชาดก นทิ านพ้นื บ๎าน ครู
มอบหมายงานให๎นักเรยี นจดั ทําแผนภาพความคดิ เร่อื ง สังขท๑ อง
ขั้นสรปุ
ครูและนกั เรยี นรวํ มกนั สรุปลกั ษณะนิทานพน้ื บา๎ น คุณคาํ ขอ๎ คดิ ของนทิ านพ้นื บ๎านและนาํ ไปปรบั
ใช๎ในชวี ติ ประจาํ วัน
๖. ส่ือ /แหล่งเรียนรู้
๑. หนังสอื เรียนรายวิชาพน้ื ฐานภาษาไทยวรรณคดวี จิ กั ษ๑ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ ๑
๒. ใบงาน เรอื่ ง การวเิ คราะห๑นทิ าน
๗. วดั ผลประเมินผล
วธิ ีการ เครื่องมือ เกณฑ์
ตรวจใบงาน เรอื่ ง การวเิ คราะหน๑ ทิ าน ใบงาน เรือ่ ง การวเิ คราะหน๑ ิทาน ผาํ นเกณฑ๑การประเมนิ ร๎อยละ
๖๐ ขน้ึ ไป
ประเมินแผนภาพความคดิ แบบประเมนิ ความสามารถในการจัดทํา ผํานเกณฑ๑การประเมินร๎อยละ
สงั เกตพฤตกิ รรมการเรียนรายบุคคล แผนภาพความคดิ ๖๐ ขึ้นไป
ประเมนิ คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค๑ แบบสังเกตพฤตกิ รรมการเรียนรายบุคคล ระดบั คุณภาพ ๒ ผํานเกณฑ๑
แบบประเมินคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค๑
ระดบั คณุ ภาพ ๒ ผํานเกณฑ๑
๓๗๒
บนั ทึกหลังแผนการจดั การเรยี นรู้
๑. ดา๎ นความรู๎
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒. ดา๎ นสมรรถนะสาํ คัญของผเ๎ู รยี น
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓. ดา๎ นคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค/๑ คํานยิ ม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๔. ดา๎ นอื่น ๆ (พฤตกิ รรมเดนํ หรอื พฤติกรรมทมี่ ปี ๓ญหาของนักเรยี นเป็นรายบคุ คล (ถ๎าม)ี )
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๕. ป๓ญหา/อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๖. ขอ๎ เสนอแนะ/แนวทางการแกป๎ ญ๓ หา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่ือ………………………………………ครูประจาํ วชิ า
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๗. ความคดิ เห็นของผอู๎ ํานวยการสถานศกึ ษา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………ผู๎อํานวยการสถานศกึ ษา
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๓๗๓
ใบงานเร่อื ง การวิเคราะหน์ ิทาน
หน่วยท่ี ๔ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๑๐ เรอื่ ง อ่าน สรปุ วิเคราะห์
รายวชิ าภาษาไทย รหัส ท๒๑๑๐๑ ภาคเรียนที่ ๑ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ ๑
ประเดน็ ประเภทนิทาน เร่ือง /
นิทานทวั่ ไป เร่อื ง / นทิ านชาดก เรอื่ ง / นิทานพนื้ บา้ น เร่อื ง /
………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
ความเป็นมา ………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
เนื้อเรอ่ื ง ………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
ข้อคดิ คติสอนใจ ………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
การนาไปประยุกตใ์ ชใ้ น ………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
การดาเนนิ ชวี ิต ………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
………………………………..... ………………………………..... ……………………………….....
๓๗๔
แผนการจัดการเรียนรู้
กลุม่ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๑
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๔ นิทานสารพนั เวลา ๑๒ ช่ัวโมง
เวลา ๑ ชัว่ โมง
แผนการเรียนรู้ที่ ๑๑ สืบเสาะร้หู ลกั การ
ภาคเรยี นท่ี ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖5
สอนวนั ท่ี เดือน พ.ศ. ตาแหน่ง ครู
ครูผสู้ อน นางสาวชาลสิ า หาญกจิ
๑. มาตรฐาน/ตัวชีว้ ัด
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก๎ ระบวนการอํานสรา๎ งความรแ๎ู ละความคดิ เพอ่ื นําไปใชต๎ ดั สนิ ใจ แกป๎ ๓ญหาในการ
ดําเนนิ ชวี ติ และมนี ิสัยรกั การอาํ น
ตัวช้ีวัด
ม.๒/๑ อาํ นออกเสยี งบทรอ๎ ยแก๎วและบทรอ๎ ยกรองได๎อยํางถูกตอ๎ ง
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใชก๎ ระบวนการเขยี นเขยี นสอ่ื สาร เขียนเรยี งความ ยอํ ความ และเขียนเรอ่ื งราว
ในรปู แบบตาํ ง ๆ เขียนรายงานขอ๎ มูลสารสนเทศ และรายงานการศกึ ษาคน๎ คว๎าอยาํ งมปี ระสิทธภิ าพ
ตัวช้ีวดั
ม.๒/๔ การเขียนยํอความ
๒. สาระสาคญั
การยํอความ คือการเก็บใจความสําคัญของเร่ืองมาเรียบเรียงใหมํ ให๎ส้ันกวําเดิมแตํมีใจความสําคัญ
ครบถ๎วนสมบูรณ๑ วํา ใคร ทําอะไร ทไี่ หน เมือ่ ไร อยํางไร โดยใช๎สาํ นวนภาษาของผู๎ยํอเอง
๓. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
๑. นักเรยี นมีความรู๎ความเขา๎ ใจหลกั การเขียนยํอความ
๒. นักเรยี นเขยี นยํอความจากเร่ืองทอ่ี าํ นและฟง๓ ได๎
๓. นักเรียนใฝุเรยี นร๎แู ละมีความมงํุ มน่ั ในการทาํ งาน
๔. สาระการเรียนรู้
๑. ความหมายการยํอความ
๒. หลกั การเขยี นยอํ ความ
๕. การจัดกระบวนการจดั การเรียนรู้
ขนั้ นา
ครูนํางานเขียนเร่ือง เพราะผนื แผนํ ดินไทย…จงึ ทาํ ให๎มวี ันน้ี ให๎นักเรยี นอาํ น แลว๎ สนทนาซกั ถาม
นักเรียน วาํ ถ๎าเราจะทาํ ให๎เรอื่ งนีม้ ีใจความสัน้ ลงแตํเนือ้ หายังสื่อความคงเดมิ เราจะทําอยาํ งไร
ข้นั สอน
๑. นักเรยี นแบงํ กลมํุ ออกเป็น ๔ กลํมุ ศึกษาใบความร๎ู เรื่อง การยอํ ความ จากน้นั ครูให๎
นักเรียนฝึกยอํ ความ จากเรื่องความจนของประหยัด
นกั เรียนฝกึ ยํอความโดยมีคําสําคญั ดงั นี้
๓๗๕
๑) ใคร ทาํ อะไร ทไ่ี หน อยาํ งไร
๒) ใจความสาํ คัญของเรอื่ งคือขอ๎ ความใด
นกั เรยี นตอบคาํ ถามแลว๎ จดบันทกึ ลงสมุด
๒. ครตู รวจสอบผลงานนกั เรียนและอธิบายเพ่ิมเติม
ขน้ั สรปุ
ครแู ละนักเรียนรวํ มกนั สรปุ หลกั การยอํ ความนักเรยี นจดบนั ทกึ ลงสมุด
๖. ส่ือ /แหลง่ เรียนรู้
๑. งานเขียน เรื่อง เพราะผืนแผนํ ดนิ ไทย…จึงทําให๎มวี นั น้ี
๒. ใบความร๎ู เรอ่ื ง การยอํ ความ
๓. งานเขยี น เรอื่ ง ความจนของประหยัด
๗. วดั ผลประเมินผล
วธิ ีการ เครื่องมอื เกณฑ์
ผาํ นเกณฑก๑ ารประเมนิ ร๎อยละ
ประเมนิ เขยี นยํอความ แบบประเมนิ การเขียนยํอความ ๖๐ ขึ้นไป
ระดบั คุณภาพ ๒ ผํานเกณฑ๑
สงั เกตพฤตกิ รรมการเรียนรายบุคคล แบบสงั เกตพฤติกรรมการเรียนรายบุคคล
ประเมนิ คุณลักษณะอนั พึงประสงค๑ แบบประเมินคุณลกั ษณะอันพึงประสงค๑ ระดับคุณภาพ ๒ ผํานเกณฑ๑
๓๗๖
บนั ทึกหลังแผนการจดั การเรยี นรู้
๑. ดา๎ นความรู๎
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒. ดา๎ นสมรรถนะสาํ คัญของผเ๎ู รยี น
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓. ดา๎ นคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค/๑ คํานยิ ม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๔. ดา๎ นอื่น ๆ (พฤตกิ รรมเดนํ หรอื พฤติกรรมทมี่ ปี ๓ญหาของนักเรยี นเป็นรายบคุ คล (ถ๎าม)ี )
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๕. ป๓ญหา/อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๖. ขอ๎ เสนอแนะ/แนวทางการแกป๎ ญ๓ หา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่ือ………………………………………ครูประจาํ วชิ า
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๗. ความคดิ เห็นของผอู๎ ํานวยการสถานศกึ ษา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………ผู๎อํานวยการสถานศกึ ษา
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๓๗๗
บทความ เร่อื ง เพราะผืนแผน่ ดนิ ไทย…จงึ ทาใหม้ ีวันนี้
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ๑ แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี ๒ เรอื่ งบทอาขยาน
รายวิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นท่ี ๑ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๑
สวัสดคี ะํ หนูช่อื เด็กหญงิ มาชม อุสําห๑ อายุ ๑๔ ปี ตอนน้ีกําลงั
ศกึ ษาอยูํชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๑ โรงเรียนอนบุ าลบางสะพานนอ๎ ย
สังกดั สาํ นักงานเขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาประจวบคีรขี ันธ๑
เขต ๑ หนูเป็นลกู สาวคนโตของพอํ แมชํ าวเมยี นมาท่อี พยพมาอยูํ
ทปี่ ระเทศไทยตัง้ แตแํ มํเร่ิมต้ังครรภ๑ แมคํ ลอดหนูท่ีโรงพยาบาล
ในจงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธค๑ รอบครวั ของหนเู ริ่มตน๎ ชวี ติ ใหมทํ ี่
อําเภอบางสะพานน๎อย ในหมํบู ๎านหนิ ปดิ พอํ แมํของหนูออกมา
ทํางานรับจา๎ งทวั่ ไป จนกระท่ังพบกบั เถ๎าแกํสวนยางและภรรยา
ทาํ นท้ังสองรับพํอกับแมไํ ปทํางานทบ่ี ๎าน ทาํ นสนทิ กบั หนูมาก แรกๆ หนไู มกํ ล๎าทจ่ี ะสนทิ ดว๎ ย เพราะกลัววาํ จะ
ถกู รังแกหรอื ทํารา๎ ย แตผํ ํานไปไมนํ านหนูก็เริม่ สนิทด๎วย เพราะทาํ นทงั้ สองชอบมานั่งหยอกนงั่ เลํน นั่งคยุ กบั หนู
เมือ่ หนูมอี ายคุ รบ ๔ ขวบ พํอกไ็ ดพ๎ าหนมู าสมคั รเรยี นทโี่ รงเรยี นแหงํ นี้ เพราะวาํ อยูํใกลบ๎ า๎ นพกั วัน
แรกทม่ี าโรงเรียนหนูร๎ูสกึ กลวั รอ๎ งไห๎ เพราะคิดวาํ จะไมมํ ใี ครเลํนและคยุ กับหนู แตคํ วามคิดน้ันก็หายไป เพราะ
เพอื่ นๆ ทกุ คนตาํ งกอ็ ยากรูจ๎ ัก อยากคยุ อยากเลํนดว๎ ย หนูเรยี นทนี่ จี่ นสามารถพูด เขียน อาํ นภาษาไทยได๎
อยํางคลํองแคลวํ และสามารถสือ่ สารกับคนอ่ืนๆ ไดอ๎ ยาํ งสบาย
หนูมีโอกาสไดเ๎ รยี นในโรงเรียนแหํงน้ี หนไู ดเ๎ รยี นร๎ูวิชาการตาํ งๆ ทค่ี ณุ ครถู ํายทอด ส่งั สอนให๎หนูเป็น
คนดี พดู ดี ทาํ ดี ร๎จู ักคดิ เพ่ือประโยชน๑ของสํวนรวมเป็นท่ตี ้ัง หนยู ดึ ถือและปฏบิ ตั ติ นตามคาํ นิยมธรรมเนยี ม
จารตี ประเพณี ตามที่คนไทยพึงปฏบิ ตั ิ และยดึ หลักธรรมคาสอนของสมเด็จพระสมั มาสมั พุทธเจา๎ ทําให๎ผล
การเรยี นของหนูมีพัฒนาการดีขน้ึ เรอื่ ยๆ จนกระทงั้ หนูจบการศกึ ษาชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๖ ดว๎ ยเกรดเฉลีย่
๓.๑๗ เปน็ ท่ีภาคภูมใิ จของพํอแมแํ ละเถา๎ แกเํ ชํนกนั หนคู ิดวาํ แมเ๎ กรดเฉล่ยี จะได๎นอ๎ ยแตหํ นูกท็ ําดว๎ ย
ความสามารถของหนู และภาคภูมิใจในผลงานของตนเอง แม๎บางคร้ังอาจจะโดนเพือ่ นล๎อตาํ งๆ นานา เชนํ เด็ก
พมาํ เป็นต๎น
๓๗๘
พอํ ของหนูมีอาชพี รบั จา๎ งกรดี ยางในสวนของเถ๎าแกํ เมอื่ พํอได๎รับเงนิ คาํ จ๎าง พํอจะพาหนูกบั แมํไป
เท่ยี วทะเลเป็นประจาํ ครั้งแรกท่ีไดไ๎ ปทะเลนั้น หนูมคี วามร๎สู กึ วําทีน่ ่มี นั สวยมาก เมืองไทยนีด้ ี มองไปทางไหนก็
เปน็ แหลํงทอํ งเทีย่ ว สวํ นแมํของหนูมอี าชพี เลย้ี งหมขู องเถา๎ แกํ เมอ่ื เถา๎ แกํขายได๎ก็จะแบํงเงินใหแ๎ มํหนูดว๎ ย เถ๎า
แกํของหนูไมํเพียงแตํใหเ๎ งนิ แตํยงั ใหท๎ พี่ กั พิงอาศยั ไวห๎ ลบแดดหลบฝน หนูชอบรอยย้ิมของทุกคน เพราะคน
ไทยเป็นคนย้มิ สวย มีนํา้ ใจเอ้ือเฟ้อื เผ่ือแผํ
อกี ประการหนึ่งที่ทาํ ใหห๎ นูและครอบครัวมีความสขุ และรักในแผํนดินนก้ี ็คอื ในหลวงรชั กาลท่ี ๙
พระองค๑ทาํ นเป็นตน๎ แบบและเป็นแบบอยาํ งท่ีดีในการดาํ เนินชีวิตของคนทุกคนบนแผนํ ดินนี้ ซ่งึ รวมถงึ หนแู ละ
ครอบครัวทีเ่ ดนิ ตามแนวพระราชดาํ รขิ องพระองค๑ทาํ น หนูไมํเคยอบั อายเลยสกั นิดที่หนเู ปน็ ลูกของคนงานชาว
เมียนมาเพราะหนูและครอบครัวตํางก็มคี วามสุขทุกคืนวัน เพราะไดอ๎ ยใํู ตร๎ มํ พระบารมขี องพระมหากษัตรยิ แ๑ หงํ
ราชวงศจ๑ กั รี แมใ๎ นหลวงรัชกาลท่ี ๙ จะเสด็จสวรรคตไปแล๎ว ทาํ ใหท๎ ุกคนโศกเศรา๎ เสยี ใจ แตทํ ุกคนก็จะยึดเอ
แนวพระราชดาํ รติ ํางๆ มาปรับใช๎กบั ชีวติ ประจาํ วนั ตลอดไป
หนจู ะทดแทนบุญคุณแผํนดินไทย ไมวํ าํ จะดว๎ ยการตั้งใจศึกษาเลําเรียน นําความรท๎ู ไ่ี ดร๎ ับการถํายทอด
การปลกู ฝง๓ จากครบู าอาจารย๑มาประกอบอาชพี สจุ รติ ขอบพระคณุ ผม๎ู ีพระคณุ แกํหนูและครอบครัวทุกทาํ น ไมํ
วําจะเป็นเถ๎าแกํ โรงเรียน หนสู ัญญาวําจะเปน็ คนดแี ละจะทดแทนพระคณุ จนกวําหนจู ะส้ินลมหายใจ
เดก็ หญงิ มาชม อสุ ําห๑
ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี ๑ โรงเรยี นอนบุ าลบางสะพานนอ๎ ย
อาํ เภอบางสะพานนอ๎ ย จงั หวัดประจวบคีรีขันธ๑
๓๗๙
ใบความรู้ เร่อื ง การยอ่ ความ
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ๑ แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี ๒ เร่ืองบทอาขยาน
รายวชิ าภาษาไทย รหัสวชิ า ท๒๑๑๐๑ ภาคเรียนท่ี ๑ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๑
ความหมายของการยอ่ ความ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔
ความหมายของการยํอความ เป็นการจดขอ๎ ความให๎สั้นลงหรอื เล็กลง
พระยาอปุ กติ ศิลปะสาร (๒๕๕๑:๓๓๓) กลาํ วถึงการยอํ ความวาํ เป็นการนาํ เอาเร่ืองทีม่ ีเน้อื หามากมา
แตงํ เสียใหมใํ ห๎ส้ันกวําเดิม แตํบรรลุเนือ้ ความใหไ๎ ดม๎ ากเทาํ ใดก็ยิง่ ดดี ลุ กัน
การยอํ น้ไี มํมีขอบเขตวํายอํ ลงไปเทําไรจงึ จะเหมาะเพราะเรื่องบางเรอ่ื งมีพลความมาก กย็ อํ ลงไป
ไดม๎ าก
สรุปไดว๎ าํ การยํอความเปน็ การเก็บสาระสําคญั ของเนือ้ เรือ่ งใหค๎ รบถว๎ น แลว๎ จงึ นําขอ๎ ความดงั กลาํ วที่
ยงั ไมํไดจ๎ ัดเปน็ ระเบียบ มาเรียบเรยี งใหมใํ ห๎สน้ั กะทัดรัด มีใจความสาํ คญั ครบท้ังน้ีเพ่อื ใหผ๎ ู๎อํานเข๎าใจ
หลกั การยอ่ ความและสรปุ ความ
หลกั สาํ คญั ของการยํอความและการสรปุ ความ มีข้ันตอนสาํ คัญ ๆ ดงั น้ี
๑. พิจารณาเรอื่ งท่ีจะยอํ และเร่ืองทจี่ ะสรุปความวาํ เป็นงานเขียนประเภทใด เชํน บทความ ความเรยี ง
และเรือ่ งเลํา ฯลฯ ถ๎าเรอ่ื งท่ีจะยอํ หรือสรปุ ความไมํมชี ่ือเรื่อง ต๎องตัง้ ชอ่ื เรอ่ื งข้นึ เองใหมํ ถา๎ เร่ืองที่จะยํอหรือ
สรปุ ความเปน็ บทร๎อยกรองต๎องเปลี่ยนเป็นบทรอ๎ ยแกว๎
๒. อาํ นเรอ่ื งท่ีจะยอํ หรือสรุปให๎ละเอียด ๒ รอบเพอ่ื พจิ ารณาใจความแตลํ ะตอน แลว๎ จับใจความรวม
ของเร่อื งนนั้ ใหไ๎ ดว๎ าํ เร่ืองนนั้ เน๎นความคดิ สําคญั คอื ประเดน็ หลักของเรอ่ื ง บันทกึ ไว๎
๓. อาํ นทบทวนอกี คร้งั แล๎วตง้ั คําถามเพือ่ หาคําตอบใหไ๎ ดว๎ ํา เร่อื งอะไร ใคร ทําอะไร ที่ไหน เม่ือไร
และอยํางไร บนั ทึกไว๎ สาหรบั การสรุปความน้นั จะนาํ คําตอบจากคาํ ถามมาเรียบเรียงใหมํใหส๎ ละสลวย
กะทัดรดั ชดั เจน ได๎ใจความสาํ คญั ครบถว๎ น
๔. แยกขอ๎ ความออกเป็นเรื่องยอํ ย ๆ พยายามทาํ ความเข๎าใจใหมํ เม่ืออาํ นจนเขา๎ ใจดีแลว๎ จึงจับ
ใจความของเรอ่ื งยอํ ย ๆ ใหไ๎ ด๎วาํ เร่อื งแตลํ ะตอนเป็นเรอ่ื งราวเกี่ยวกบั อะไร และมีความสมั พนั ธก๑ บั ประเด็น
หลกั ของเรอ่ื งอยาํ งไร การอาํ นอยํางละเอียดเชํนน้ี จะชวํ ยให๎จบั ใจความของเร่ืองแตลํ ะเร่ืองได๎ถูกต๎องชดั เจน
๕. นาํ ใจความจากประเดน็ หลกั ขอ๎ ๒ และใจความคาํ ตอบขอ๎ ๓ – ๔ มาเรียบเรียงใหมํ เพอ่ื การยอํ
ความ โดยยดึ หลักดังนี้
๕.๑ ลาํ ดบั เรือ่ ง อาจสบั เปลย่ี นการวางหวั ข๎อสําคญั ในขัน้ ตอนการลาํ ดบั เรื่องก็ได๎ ไมํ
จาํ เปน็ ต๎องตรงตามแบบเดมิ เสมอไป การลาํ ดับเรอ่ื งใหมํน้นั ยอํ มแลว๎ แตํผยู๎ อํ จะเหน็ เหมาะสมวํา การลาํ ดับเรือ่ ง
ใดกอํ นหลงั สาํ คัญหรอื ไมสํ ําคัญ ควรจะทาํ ผอู๎ ํานเข๎าใจงํายข้นึ แตํก็ยังคงตอ๎ งถูกต๎องตรงความหมายเดิมทกุ
ประการ
๕.๒ ใชส๎ ํานวนการเขียนของผ๎ูยํอเอง คอื นาํ ใจความสาํ คญั ที่ไดม๎ าเรยี บเรียงใหมดํ ๎วยสํานวน
ของผูย๎ อํ ไมํควรดึงขอ๎ ความแตลํ ะประเดน็ มาเรียงตดิ ตอํ กัน แตํควรจะเขยี นใหมํให๎มีการลาํ ดับความและเชือ่ ม
ความอยาํ งสละสลวย
๕.๓ ขอ๎ ความท่ีได๎จากการยอํ จะเปน็ ข๎อความท่ีเขียนอธิบาย หรือเรอื่ งเลํา หา๎ มมขี ๎อความอยูํ
ในเครอื่ งหมายอญั ประกาศ ไมใํ ช๎สรรพบุรษุ ที่ ๑ และที่ ๒ ปะปนอยูํในข๎อความทีย่ อํ แลว๎ ใหใ๎ ช๎ไดเ๎ ฉพาะสรรพ
นามบุรษุ ที่ ๓ ในกรณที ีม่ คี วามจาเป็นตอ๎ งเอํยถงึ ตัวผูเ๎ กยี่ วข๎องในเรอื่ งน้ันใหใ๎ ชช๎ ื่อโดยตรง
๓๘๐
๕.๔ การใชร๎ าชาศพั ท๑ ถา๎ ข๎อความเดิมใชร๎ าชาศพั ท๑ เม่ือยํอแลว๎ ยังคงตอ๎ งใชร๎ าชาศัพทน๑ ้นั ไว๎
ดังเดิมจะเปลย่ี นเป็นภาษาร๎อยแกว๎ ธรรมดาไมไํ ด๎
๕.๕ การใชอ๎ ักษรยํอ ไมคํ วรใชพ๎ ราํ่ เพรื่อ ยกเว๎นอักษรยอํ ที่คนทว่ั ไปร๎ูจักกันดี เชํน พ.ศ. ค.ศ.
กทม. ส.ค.ส. เปน็ ตน๎ ในกรณีทีช่ ่ือเตม็ ยาวมาก กใ็ หช๎ ๎าเต็มไว๎ในการเขียนคร้ังแรก พร๎อมระบตุ วั อกั ษรยอํ ไวด๎ ว๎ ย
เมื่อใช๎ครงั้ ตํอไปกใ็ ชเ๎ พียงอักษรยํอเทาํ นั้น เชนํ สํานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน (สพฐ.)
๕.๖ ขอ๎ ความทเ่ี ปน็ พลความ รายละเอียดตําง ๆ ตวั อยาํ งทอ่ี ๎างองิ ถ๎อยคําทีฟ่ ุมเฟือย เย่ินเยอ๎
ใหต๎ ดั ทิง้ ไป
๕.๗ การใช๎ประโยคและคาเชื่อม การใช๎ประโยคที่ดี ควรใชป๎ ระโยคสน้ั ความหมายตรง เตม็
ความชดั เจน กะทัดรดั ใจความเดนํ ชดั สวํ นคาเชอื่ มควรใช๎บพุ บท หรือสันธาน เพื่อให๎ความชดั เจน สละสลวย
ตรงตามจดุ มงุํ หมายของเรื่องท่ีต๎องการยอํ
๕.๘ ใจความทย่ี ํอแลว๎ ควรเขียนตดิ ตอํ เป็นยํอหนา๎ เดียวกัน ไมตํ ๎องยํอหนา๎ ตามขอ๎ ความเดมิ
นอกจากความเดมิ ทจี่ ะยํอเป็นเร่อื งตํางๆ กนั ไป ไมํเก่ียวขอ๎ งกัน และแยกจากกันเป็นตอนๆ ไว๎แลว๎
๖. ความยาวของเรื่องท่ยี อํ นั้น ไมํจํากัดความยาวหรือขนาด เพ่ือดวู ําเรอ่ื งท่ียอํ มเี นื้อหาสาระของเรอ่ื ง
ท่ีจะนํามายํอ
๗. เมอื่ เรยี บเรยี งเรอื่ งยํอเสรจ็ แล๎ว โปรดทบทวนอกี ครัง้ เพอื่ ดูวาํ เร่อื งท่ียํอมีเนื้อความตอํ เนื่องกันดี
หรอื ไมํมีข๎อความสาํ คัญตอนใดที่ตกหลํน หรอื มขี ๎อความตอนใดทผ่ี ดิ เพ้ียนไปจากเร่อื งเดมิ จะไดแ๎ ก๎ไขให๎ถูกตอ๎ ง
ยํอความทด่ี คี วรมเี นอื้ หาสาระสําคญั ของเรอ่ื งเดิม และเป็นไปตามหลกั การยํอความดังนี้
๓๘๑
๑. การยอ่ ความตอ้ งเก็บใจความ ๒. การเก็บใจความสาคญั ของเรือ่ งจะต้อง
สาคัญของเรอ่ื งให้ครบ และเรยี บ คานงึ ถึงสาระต่อไปน้ี ใคร ทาอะไร ทไ่ี หน
เรยี งโดยใชส้ านวนภาษาทถ่ี กู ต้อง เมือ่ ใด อยา่ งไร ใจความสาคัญคืออะไร
แลว้ นามาเขียนเป็นสานวนของตนเอง
เนน้ การใชค้ าท่ีมีความหมายกระชบั
ตรงไปตรงมาและไม่ใชอ้ กั ษรย่อ
๖. การย่อจดหมายซงึ่ มี หลกั การยํอความ ๓. ข้อความท่ีมเี น้อื หาเป็น
รายละเอยี ดอยู่ที่ ขอ้ ๆ ตอ้ งเรียบเรยี งให้เปน็
ความเรยี ง
ขอ้ ความท่ีเริ่มต้นแลว้
ใหย้ ่อแต่ใจความของ
เนื้อหาจดหมาย
๕. คาหรอื คาศพั ท์เฉพาะทาง ๔. เปลย่ี นสรรพนามในเร่ือง เชน่
วชิ าการ ควรเปล่ยี นเป็นคา ฉัน ผม ข้าพเจ้า คุณ เธอ
ธรรมดาทท่ี ุกคนเขา้ ใจยกเวน้ คา เปลยี่ นเป็น พระองค์ ทา่ น เขา ฯลฯ
ราชาศพั ท์
๓๘๒
บทความ เรอื่ ง ความจนของประหยัด
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๑ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ ๒ เรือ่ งบทอาขยาน
รายวิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นที่ ๑ ช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ ๑
ถ๎าถามวาํ ใครรู๎จกั ความจนบา๎ ง ผมขอตอบเลยครับวาํ ผม เด็กชายประหยดั คนนี้ รู๎จักความจนดี
ทวาํ ความจนสาํ หรับผมไมํได๎ทาํ ใหผ๎ มลาํ บากอะไรเลย แตกํ ลบั สอนใหผ๎ มรจ๎ู ักคุณคําของทุกๆ อยําง และเรยี นรู๎
ทีจ่ ะนาํ มาใชป๎ ระโยชนไ๑ ดอ๎ ยํางสูงสุด ผมปรับตวั ตามความจน และน้นั ทาํ ให๎ผมกับความจนเป็นเพื่อนทีด่ ตี อํ กัน
ไปแลว๎ ครบั
ผมจะเลําถงึ บ๎านหลังเลก็ ๆ ทีม่ งุ ดว๎ ยจากของผม บ๎านแหงํ นมี้ ผี มกับยายสองคน ไดย๎ ินคาํ วํายายแลว๎
อยาํ เพิ่งคิดวาํ ทาํ นแกํจนทาํ อะไรไมไํ ดน๎ ะครบั ยายของผมทํานแขง็ แรงดที ีเดียว ทีบ่ ๎านของผมไมํมโี ทรทศั น๑
โทรศัพทห๑ รอื เครอื่ งใช๎ไฟฟาู อืน่ ๆ แตํผมกไ็ มไํ ด๎คดิ วําผมจะไมทํ ันโลกแตอํ ยาํ งใด เพราะหอ๎ งสมุดของโรงเรียนกม็ ี
ใหอ๎ าํ น และยังเปน็ การชวํ ยประหยดั ไฟฟาู ดว๎ ย โชคดีขอผมที่แมบ๎ า๎ นจะหลังเลก็ แตํพื้นที่กไ็ มไํ ดเ๎ ลก็ ตามไปดว๎ ย
ยงั มีพ้นื ทร่ี อบๆบ๎านให๎ผมกบั ยายไดป๎ ลูกผกั ไว๎หลายอยาํ ง เชนํ ผักสวนครวั พืชสมนุ ไพร หรือแม๎แตํตามแนวร้วั
ผมกบั ยายก็ยังปลูกผักเปน็ แนวไว๎ทาํ อาหารอยูํเสมอ แมใ๎ นยามขาดแคลนเงินทอง ผมกเ็ ชอ่ื วาํ ผมกับยาย
สามารถอยํูไดอ๎ ยาํ งสบาย ทุกๆเชา๎ ผมจะป๓่นจักรยานไปโรงเรยี น พรอ๎ มป่ินโตสองชนั้ ที่ยายเตรยี มไวใ๎ นตะกรา๎
รถจักรยานของผม และเช๎าวนั นี้กเ็ กิดเร่ืองนํายนิ ดขี น้ึ ที่ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี ๕/๒ ของผม มีนักเรยี นยา๎ ยเขา๎ มา
ใหมชํ อ่ื วํา เกรกิ เกรกิ เปน็ เดก็ ชายผิวขาว ซึง่ ตาํ งกบั ผมอยํางลบิ ลบั เมอ่ื เกริกแนะนาํ ตวั เสรจ็ เขากม็ านั่งคูํกบั ผม
ผมชวนเขาคุยตามปกติ จนถงึ ชวํ งเวลาพกั เที่ยง เกริกกม็ ีอาการลกุ ลล้ี กุ ลนพอผมถามก็ไมตํ อบ จนทา๎ ยทีส่ ุดผมก็
คาดค้นั จนไดค๎ ําตอบวาํ “ฉันลืมเอาเงินมานะ นกี่ ็ใกลจ๎ ะพกั เที่ยงแลว๎ ข๎าวกไ็ มไํ ด๎หํอมา ถา๎ กินข๎าวไมตํ รงเวลา
โรคกระเพราะคงต๎องกําเริบแนํๆ” โดยปกติ ผมนาํ เงินมาโรงเรยี นแควํ ันละสิบบาท คงไมพํ อสําหรับซ้ือขา๎ วที่โรง
อาหารแนนํ อน “เอาอยํางนแ้ี ลว๎ กันวนั น้นี ายมากนิ ข๎าวกบั ฉันก็แล๎วกนั ” ผมชวน เมื่อเห็นทําทางเกรงอกเกรงใจ
ของเกรกิ ผมจงึ พยายามรบเร๎าตอํ อกี จนกระท้งั เกริกตกลง
พอพกั กลางวันผมจงึ ชวนเกริกมาน่งั ใตร๎ ํมไมข๎ องโรงเรียน ผมแบงํ ข๎าวของผมออกเป็นสองสวํ น โดย
แบงํ ใหเ๎ กรกิ มากกวาํ เพราะเขามโี รคประจาํ ตัว “อรํอยมากเลยนะ นเ่ี รยี กวาํ อะไรหรือ” เกรกิ ถาม “ผัดผกั
รวมนํะ ฉนั ชํวยยายทาํ ดว๎ ยนะ” ผมยืดอกภูมิใจ กํอนจะเลําตํอวาํ “บ๎านฉันนะํ มีผักเยอะแยะ ฉันชอบ ‘รวั้ กนิ
ได๎’ มากเลยลํะ” เกริกทาํ หนา๎ ไมเํ ขา๎ ใจ ผมจงึ อธบิ ายตอํ “รวั้ กนิ ได๎ คอื การปลูกพชื ผกั ใหข๎ น้ึ ตามรวั้ และมนั ก็จะ
แตกยอดให๎เรากับเพื่อนบ๎านชํวยกันเก็บไปทาํ อาหารได”๎ “ฉันชักอยากจะเหน็ แลว๎ สิ” เมอื่ เกรกิ พดู อยํางนั้น ผม
จึงชวนเขาไปเทย่ี วทบี่ า๎ นในตอนเยน็
๓๘๓
หลังเลิกเรยี นผมป๓่นจกั รยานไปสํงเกรกิ ที่บา๎ น และขออนุญาตคุณแมขํ องเขาพาเกริกไปท่ีบ๎านของผม
ผมนาํ จกั รยานจอดไว๎ขา๎ งๆ บา๎ น สํวนเกริกยนื น่ิง “อยาํ งกับสวนพฤกษศาสตร”๑ เกริกวาํ ผมหัวเราะลัน่ จนยาย
ท่ีนง่ั ตาํ หมากอยูํบนชานบา๎ นตอ๎ งชะโงกหนา๎ ออกมาดู เกริกและผมยกมือไหว๎ยาย ยายยมิ้ รบั กํอนจะให๎ผมกับ
เกรกิ ไปเกบ็ ผกั สําหรบั เป็นเคร่อื งเคยี งน้ําพรกิ ของยาย
ผมกบั เกริกเกบ็ ผักอยาํ งสนกุ สนาน และดูเหมอื นเกรกิ จะชอบไมนํ อ๎ ย เพราะพชื ผักตาํ งๆ ทเี่ ราปลกู เอง
ท่บี ๎านน้ันปลอดสารเคมี แตกตาํ งจากผกั ทีข่ ายในตลาด เย็นนน้ั ยายกบั ผมจึงขอให๎เกริกอยํูกินอาหารเยน็
ด๎วยกันกอํ นจะกลับยายยังหอํ ผกั สดและอาหารทปี่ รงุ จากผักรมิ รวั้ ให๎เกรกิ นาํ กลบั บ๎านไปดว๎ ย
คณุ คิดวาํ ความจนของผมเป็นเชํนไร สําหรบั ผมความจนของผมไมไํ ด๎เลวรา๎ ยเลย ทวาํ ความจนของผม
กลบั ทาํ ใหผ๎ มภมู ิใจ สอนให๎ผมรู๎จักประหยัดอดออม เอ้ือเฟื้อเผอ่ื แผํ และประการสาํ คัญยงั ทาํ ผมไดร๎ ๎จู กั คาํ วาํ
“พอเพียง”
นางสาวหลาว ลุงแสง
ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ๕ โรงเรียนเวียงแหงวิทยาคม
อําเภอเวียงแหง จังหวดั เชยี งใหมํ
๓๘๔
คาทีเ่ กย่ี วข้องกับการยอ่ ความ
การเขยี นยอํ ความ ผ๎เู ขยี นจะตอ๎ งไตรตํ รองให๎รอบคอบกํอนวาํ ขอ๎ ความที่นาํ มายอํ นน้ั เปน็ ขอ๎ ความที่
นาํ มาจากหนังสอื ประเภทใด เจตนาของผ๎ูเขียนต๎องการถาํ ยทอดสารใดสผํู อ๎ู าํ น ผู๎ยํอความอาจตั้งเปูาหมายใน
การยอํ ความวําจะเก็บสาระใดบา๎ งเพอ่ื จะยํอ อาจเก็บเฉพาะขอ๎ เทจ็ จริง ข๎อคิดเห็น ไมํเกบ็ ความรู๎สึก ทั้งนตี้ ๎อง
แล๎วแตํความสาํ คญั ของข๎อความเหลํานน้ั วาํ มีมากนอ๎ ยเพยี งใด ผยู๎ อํ ต๎องคิดพิจารณาตดั สินใจอยํางรอบคอบจึง
จะทาํ ใหก๎ ารยํอความนั้นมีประสิทธภิ าพ
คาํ เกีย่ วข๎องกบั การยํอความ คอื ใจความ พลความ ข๎อเท็จจริง ขอ๎ คิดเหน็ และความรส๎ู ึก
ใจความ คอื ข๎อความของยํอหน๎า ถา๎ ตดั ข๎อความสาํ คัญนี้ออกไปจะทาํ ให๎ไมํได๎ใจความทดี่ ี ความจะ
เปลี่ยนไปทําให๎อาํ นหรอื ฟง๓ ไมเํ ข๎าใจหรือเขา๎ ใจผดิ ไปได๎ นอกจากนัน้ ยอํ หนา๎ บางยอํ หนา๎ จะขาดใจความหรือ
ข๎อความลาํ ดับไปเพราะเปน็ เพียงยํอหนา๎ เชอื่ มขอ๎ ความจากยอํ หน๎าเดิมกับยํอหนา๎ ตํอไปเทาํ น้นั ขอ๎ ความเหลาํ น้ี
ตดั ทิง้ ไปได๎
พลความ คือ ข๎อความรอง สําคัญนอ๎ ยกวาํ ใจความ ทําหน๎าทใี่ หร๎ ายละเอียด ขยายใจความในข๎อความ
หรอื ยอํ หน๎านน้ั ใหช๎ ัดเจนยงิ่ ขน้ึ ถ๎าตัดพลความทงิ้ ไป สารนนั้ ยงั คงใจความตรงตามจดุ ประสงค๑ของผู๎สํงสาร
ข้อเท็จจริง เปน็ ขอ๎ ความ เร่อื งราวหรอื เหตุการณท๑ ่มี ีท่ีเปน็ มา หรอื ท่เี ปน็ อยํตู ามจริง ข๎อเทจ็ จรงิ นัน้ มี
ชวํ งเวลาเป็นเงือ่ นไขสําคัญ ข๎อความอาจคลาดเคลื่อนเปลย่ี นไป เม่ือเวลาเปลี่ยนไป
ข้อคดิ เหน็ เปน็ ขอ๎ ความท่ีผูอ๎ าํ น ผ๎ูฟง๓ ผ๎ูเลาํ ผ๎เู ขยี นแสดงความคิดจากความรู๎ ความเขา๎ ใจ ความเชอื่
ผูท๎ ่ีกลําวมตี อํ บุคคลใดบคุ คลหนงึ่ หรอื สง่ิ ใดสิ่งหนง่ึ อาจเห็นด๎วย หรอื มีความเหน็ แตกตํางไป
หรือข้อความทแ่ี สดงอารมณ์ เป็นข๎อความที่ผรู๎ บั สารแลว๎ เกิดรไ๎ู ดว๎ าํ ผส๎ู งํ สารหรือสารนน้ั ใหอ๎ ารมณ๑ ให๎
ความรส๎ู กึ อยาํ งไรออกมาตอํ ผ๎อู ําน ผูฟ๎ ง๓ อาจเป็นความพอใจ ไมพํ อใจ ช่ืนชม เศรา๎ หมอง ขํนุ เคอื ง ข๎อความ
ดงั กลาํ วเปน็ ขอ๎ ความแสดงอารมณห๑ รอื ใหค๎ วามรสู๎ กึ แกํผูร๎ บั สาร
ทีม่ า : สํานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน ๒๕๕๑ : ๗๑-๗๒
๓๘๕
แผนการจดั การเรียนรู้
กลุม่ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๑
หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ ๔ นิทานสารพนั เวลา ๑๒ ชว่ั โมง
เวลา ๑ ชัว่ โมง
แผนการเรียนรู้ที่ ๑๒ เชี่ยวชาญเขยี นย่อความ
ภาคเรยี นที่ ๑ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖5
สอนวันที่ เดอื น พ.ศ. ตาแหนง่ ครู
ครูผสู้ อน นางสาวชาลสิ า หาญกจิ
๑. มาตรฐาน/ตวั ช้วี ดั
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก๎ ระบวนการอาํ นสรา๎ งความร๎ูและความคดิ เพื่อนาํ ไปใช๎ตัดสนิ ใจ แก๎ปญ๓ หาในการ
ดําเนินชีวิต และมีนสิ ัยรกั การอาํ น
ตวั ชว้ี ดั
ม.๒/๑ อาํ นออกเสยี งบทรอ๎ ยแกว๎ และบทรอ๎ ยกรองไดอ๎ ยํางถูกต๎อง
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใชก๎ ระบวนการเขียนเขียนสือ่ สาร เขียนเรียงความ ยอํ ความ และเขียนเร่อื งราว
ในรูปแบบตําง ๆ เขยี นรายงานขอ๎ มูลสารสนเทศ และรายงานการศกึ ษาคน๎ คว๎าอยาํ งมีประสทิ ธภิ าพ
ตัวชีว้ ัด
ม.๒/๔ เขียนยํอความ
๒. สาระสาคัญ
การยํอความ คือการเก็บใจความสําคัญของเรื่องมาเรียบเรียงใหมํ ให๎สั้นกวําเดิมแตํมีใจความสําคัญ
ครบถ๎วนสมบูรณ๑ วาํ ใคร ทาํ อะไร ทีไหน เมื่อไร อยาํ งไร โดยใช๎สํานวนภาษาของผยู๎ ํอเอง
๓. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
๑. นกั เรยี นมคี วามร๎คู วามเขา๎ ใจหลักการเขียนยอํ ความและแบบของการเขียนยอํ ความ
๒. นกั เรยี นเขยี นยํอความจากเรื่องท่ีอาํ นได๎
๓. นกั เรียนใฝุเรยี นรูแ๎ ละมีความมํงุ มั่นในการทาํ งาน
๔. สาระการเรียนรู้
๑. หลกั การเขยี นยอํ ความ
๒. แบบของการเขียนยอํ ความ
๕. การจดั กระบวนการจดั การเรียนรู้
ขั้นนา
ครนู ํานกั เรยี นสนทนา เรอ่ื ง หลักการยอํ ความมีการยํอความจากส่ือตาํ ง ๆ หลายประเภท เชํน
บทกลอน จดหมาย ความเรยี ง โอวาท เปน็ ตน๎
ขัน้ สอน
๑. ครูใหน๎ ักเรียนศึกษาใบความร๎ู เรอ่ื ง แบบของการเขียนยอํ ความ ครอู ธบิ ายเพม่ิ เติม
๒. ครใู ห๎นักเรียนนาํ ผลงานการยํอความเรอื่ งความจนของประหยดั มาเรียงใหมํใหน๎ กั เรียนเพม่ิ
สวํ นคํานาํ ของการเขียนยอํ ความตามดว๎ ยเนอ้ื หาที่ยํอ ใหค๎ รบองคป๑ ระกอบ
๓๘๖
๓. ครตู รวจผลงานนักเรยี นแลว๎ อธบิ ายเพ่มิ เติม
๔. ครใู ห๎นกั เรียนทาํ แบบทดสอบ เรื่อง การเขียนยอํ ความ
ขัน้ สรปุ
ครูสรุปการเขียนยํอความจําเป็นต๎องมีรูปแบบในการยํอความอยํางถูกต๎องและผ๎ูเขียนควรมี
มารยาทในการเขียน จากน้ันนักเรยี นจดบันทึกลงสมดุ
๖. สอื่ /แหล่งเรียนรู้
๑. ใบความร๎ู เร่ือง แบบของการเขยี นยํอความ
๒. แบบทดสอบ เรอื่ ง การเขียนยํอความ
๗. วดั ผลประเมินผล
วิธีการ เคร่ืองมือ เกณฑ์
ตรวจแบบทดสอบ เร่อื ง การเขียนยอํ ความ แบบทดสอบ เรือ่ ง การเขยี นยอํ ความ ผาํ นเกณฑก๑ ารประเมินร๎อยละ
๖๐ ขึ้นไป
สังเกตพฤติกรรมนกั เรยี นรายบคุ คล แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียนรายบคุ คล ระดับคุณภาพ ๒ ผํานเกณฑ๑
ประเมินคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค๑ แบบประเมินคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค๑
ระดับคุณภาพ ๒ ผํานเกณฑ๑
๓๘๗
บนั ทึกหลังแผนการจดั การเรยี นรู้
๑. ดา๎ นความรู๎
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒. ดา๎ นสมรรถนะสาํ คัญของผเ๎ู รยี น
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓. ดา๎ นคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค/๑ คํานยิ ม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๔. ดา๎ นอื่น ๆ (พฤตกิ รรมเดนํ หรอื พฤติกรรมทมี่ ปี ๓ญหาของนักเรยี นเป็นรายบคุ คล (ถ๎าม)ี )
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๕. ป๓ญหา/อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๖. ขอ๎ เสนอแนะ/แนวทางการแกป๎ ญ๓ หา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่ือ………………………………………ครูประจาํ วชิ า
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๗. ความคดิ เห็นของผอู๎ ํานวยการสถานศกึ ษา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………ผู๎อํานวยการสถานศกึ ษา
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๓๘๘
ใบความร้เู ร่อื ง แบบของการเขียนย่อความ
หน่วยท่ี ๔ แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ ๑๒ เร่อื ง เชี่ยวชาญเขยี นย่อความ
รายวชิ าภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นท่ี ๑ ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี ๑
แบบของการเขยี นยอ่ ความ
แบบของการเขยี นยอํ ความ โดยท่ัวไปประกอบดว๎ ยสํวนสาํ คัญ ๒ สวํ น คือ
๑. สํวนทเี่ ปน็ คํานํา หรอื สํวนทีเ่ ป็นการขึน้ ตน๎ ยํอความ สวํ นนีจ้ ะเขยี นนําเป็นยํอหนา๎ แรกเพื่อช้ีแจงให๎
ทราบวํา ข๎อความท่ยี ํอนน้ั เปน็ งานเขยี นประเภทใด มเี น้ือหาอยาํ งไร มใี ครบา๎ ง ทาํ อะไร ท่ไี หน และเมือ่ ไร
นอกจากนั้นยงั ให๎ผ๎ูอํานทราบทม่ี าของเร่อื ง ถา๎ ผอ๎ู าํ นเกิดความสนใจเนอื้ เรอ่ื งทั้งหมด กส็ ามารถจะไปศึกษาคน๎ ควา๎
เพิม่ เติมจากตน๎ ฉบับได๎
๑.๑ หลกั ในการขนึ้ ตน๎ ยํอความสํวนทีเ่ ปน็ คาํ นํางานเขยี นรอ๎ ยกรอง เชํน โครง ฉันท๑ กาพย๑
กลอน ฯลฯ เมอ่ื นามายอํ ความแลว๎ จะตอ๎ งบอกประเภทของคําประพนั ธ๑ ช่ือเรื่อง ชือ่ ผูแ๎ ตงํ ที่มาของคาํ ประพันธ๑
นน้ั ๆ วํามาจากหนังสอื เลมํ ใด หน๎าใด มีแบบดงั น้ี
แบบของการเขยี นยอ่ ความ
แบบของการเขยี นยํอความ
ยํอคําระพนั ธป๑ ระเภท……….…เรือ่ ง…………ของ……….…ตอน……...จาก…..…..หนังสอื ….…หน๎า……
ความวาํ
เน้ือความท่ียํอ…………………………………………….…………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ตวั อย่าง
ยอํ กลอนเพลงยาว เรอ่ื ง อิศรญาณภาษติ ของหมอํ มเจา๎ อศิ รญาณ จากหนงั สือเรยี นสาระการ
เรียนรูพ๎ ืน้ ฐาน วรรณคดวี ิจักษ๑ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี ๑
เน้ือความที่ยํอ………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
๑.๒ หลักการขึ้นต๎นยํอความสํวนท่ีเป็นคํานํางานเขียนร๎อยแก๎วจะต๎องขึ้นต๎นด๎วย ยํอเรื่อง
อะไร ใครแตํง จากหนงั สืออะไร หน๎าท่เี ทาํ ไร ความวาํ
๑.๒.๑ ยํองานเขียนร๎อยแก๎วท่ีเป็นความเรียง ตานาน ประวัติ บทความ เรื่องส้ัน จะ
ข้นึ ต๎นดงั นี้