๘๙
๓. สาระการเรยี นรู้
ความรู้
๑. การตคี วามคายาก
๒. การเขียนเรียงความ
๓. การพดู รายงาน
๔. มารยาทในการอา่ น
๕. จาแนกและใช้สานวนทเี่ ป็นสภุ าษิตและคาพงั เพย
๖. วิเคราะหค์ ณุ ค่าและข้อคิดจากวรรณคดแี ละวรรณกรรม
๗. สรปุ ความรูแ้ ละข้อคดิ จากการอา่ น
ทักษะ/กระบวนการ
๑. การเรียนรแู้ บบบูรณาการ
๒. กระบวนการสร้างความรู้
๓. กระบวนการคดิ
๔. กระบวนการทางสังคม
๕. กระบวนการปฏิบตั ิลงมอื ทาจรงิ
๖. กระบวนการพัฒนาลกั ษณะนสิ ัย
๔. สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รียน
๑. ความสามารถในการสอื่ สาร
๒. ความสามารถในการคดิ
๓. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
๔. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ
๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
๕. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
๑. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์
๒. ซื่อสตั ย์ สจุ รติ
๓. มีวนิ ยั
๔. ใฝ่เรยี นรู้
๕. อยู่อย่างพอเพียง
๖. มุ่งม่ันในการเรยี นรู้
๗. รักความเป็นไทย
๘. จติ สาธารณะ
๖. การประเมนิ ผลรวบยอด
ช้ินงานหรือภาระงาน
ชนิ้ งานหรือภาระงานและเกณฑก์ ารประเมินแบบ Rubrics
๙๐
แบบประเมินการเขยี นเรียงความ
การต้ัง ่ืชอเ ่ืรอง
องค์ประกอบ
เ ้ืนอเ ืร่อง
การใช้ภาษา
มารยาทในการเ ีขยน
เลขที่ ชอ่ื – สกลุ รวม
สรุปผลการประเมนิ
๔ ๔ ๔ ๔ ๔ ๒๐ ผ่าน ไมผ่ า่ น
เกณฑ์การตัดสิน ร้อยละ ๖๐ ขึ้นไป
คะแนน ๑๙-๒๐ หมายถึง ดมี าก
ดี
คะแนน ๑๕-๑๘ หมายถงึ พอใช้
ปรับปรุง
คะแนน ๑๑-๑๔ หมายถงึ
คะแนน ๐-๑๐ หมายถึง
ลงชอ่ื ..............................................ผู้ประเมนิ
(.........................................................)
................./............................/....................
๙๑
เกณฑ์การประเมินการเขียนเรยี งความ
ประเด็น ๔ (ดีมาก) ระดับคุณภาพ ๑ (ปรับปรุง)
การประเมิน ๓ (ดี) ๒ (พอใช้)
ชือ่ เรื่องส้นั กะทดั รดั ชือ่ เร่ืองส้ันกะทัดรดั ชอื่ เรื่องสอดคลอ้ งกบั ไม่สอดคล้องกับ
การต้ังช่ือเรื่อง เหมาะสม สอดคล้องกับ เหมาะสม สอดคลอ้ งกบั เน้ือเรอื่ งที่เขยี น เน้ือเร่ือง
เน้ือเรอื่ งที่เขยี น มีความ เน้ือเร่ืองท่ีเขียน
นา่ สนใจ ดึงดูดใจผอู้ า่ น
องค์ประกอบ มีคานา เน้ือเร่ือง มีคานา มีเนื้อเร่ือง ไม่มีคานา มีเน้ือ ไม่มีคานา มีเน้ือ
สรุป
แต่ไม่มีสรุป เรื่อง มีสรุป เรื่อง ไม่มีสรุป
มีประเด็นน่าสนใจ มีขอ้ มลู นา่ เชอื่ ถือ มขี อ้ มูลน่าเชื่อถือ เน้ือหาขาด
แปลก เนือ้ หามีความ เน้ือหามีความ ความน่าเช่ือถือ
เนื้อเร่ือง ใหม่ มขี อ้ มลู นา่ เชอ่ื ถือ ถกู ต้อง สอดแทรก ถูกต้อง
เนือ้ หา มคี วามถกู ต้อง ความคดิ เหน็ ของ
สอดแทรกความคดิ เหน็ ผู้เขียน
ของผู้เขียน
ใช้ภาษาได้ถูกต้องตาม ใชภ้ าษาไดถ้ ูกตอ้ ง ใช้ภาษาได้ถกู ต้อง ใชภ้ าษาได้ถูกตอ้ ง
หลักภาษา เลอื กใช้ ตามหลกั ภาษา เลือกใช้ ตามหลักภาษา ใช้ ตามหลักภาษา ใช้
ภาษา สานวนสละสลวยภาษา สานวสละสลวย ภาษา สานวน ภาษาสานวน
การใช้ภาษา สอื่ ความหมายชดั เจน สื่อความหมายชดั เจน สละสลวย สละสลวยสอื่
การสะกดคา และเวน้ การสะกดคา และเว้น สอื่ ความหมาย ความหมายเขียน
วรรคตอนถกู ต้อง วรรคตอนถูกต้อง การสะกดคา และ สะกดคาและเวน้
เว้นวรรคตอนถกู ต้อง วรรคตอนไม่ถกู ต้อง
ลายมอื เปน็ ระเบยี บ ลายมืออา่ นง่าย ลายมืออา่ นยาก ลายมืออา่ นยาก
มารยาทในการ สะอาดเรียบร้อย สะอาดเรียบร้อย สะอาดเรยี บรอ้ ย ไม่ เรียบร้อย
เขียน ส่งทันเวลาที่กาหนด สง่ ทันเวลาที่ สง่ ทันเวลาที่ ส่งไมท่ ันเวลาท่ี
กาหนด กาหนด กาหนด
เกณฑก์ ารตดั สนิ หมายถงึ ดีมาก
คะแนน ๑๙-๒๐ หมายถึง ดี
คะแนน ๑๕-๑๘ หมายถึง พอใช้
คะแนน ๑๑-๑๔ หมายถงึ ปรบั ปรุง
คะแนน ๐-๑๐ หมายถึง ปรบั ปรุง
คะแนน ๐-๔
๙๒
แบบประเมินแผนภาพความคิด
เลขที่ ชือ่ -สกลุ สรปุ ความรไู้ ดถ้ ูกตอ้ ง การเชือ่ มโยงความรู้ได้ ความคดิ สรา้ งสรรค์ รวม
ครบถว้ น ตรงประเด็น ถูกต้องตามลาดบั ขน้ั ในการเขยี นผงั ความคิด ๑๒
ความสมั พนั ธ์
๔๓๒๑ ๔ ๓ ๒๑๔๓๒๑
เกณฑ์การประเมิน รอ้ ยละ ๘๐ ข้นึ ไป (๑๘ คะแนนข้นึ ไป)
คะแนน ๑๑ – ๑๒ หมายถึง ดีมาก
คะแนน ๘ - ๑๐ หมายถงึ ดี
คะแนน ๕ - ๗ หมายถึง พอใช้
คะแนน ต่ากวา่ ๔ หมายถงึ ปรับปรุง
ลงชอื่ ………………………………..ผ้ปู ระเมิน
(……………………………………………)
๙๓
เกณฑ์การประเมินแผนภาพความคดิ
ประเดน็ การ ระดบั คะแนน/ระดับคุณภาพ
ประเมิน
๔ (ดีมาก) ๓ (ด)ี ๒ (พอใช)้ ๑ (ปรบั ปรงุ )
สรุปความร้ไู ด้
ถูกต้อง ครบตรง สามารถสรุป สามารถสรปุ สรุปความรไู้ มค่ รบ สรปุ ความรู้ไม่
ประเด็น
ความรูไ้ ด้ครบและ ความรไู้ ด้ครบ ทุกประเด็น ถกู ตอ้ ง
การเชื่อมโยง
ความรู้ไดถ้ ูกตอ้ ง ตรงประเด็นและ ตรงประเดน็ และมี
ตามลาดบั ขั้น
ความสมั พันธ์ ถกู ต้องทกุ หวั ขอ้ ความถูกตอ้ งเปน็
ความคดิ ส่วนใหญ่
สรา้ งสรรคใ์ นการ
เขียนผงั ความคดิ สามารถเชือ่ มโยง สามารถเช่อื มโยง สามารถเชื่อมโยง สามารถเช่อื มโยง
ความรู้ไดถ้ กู ต้อง ความรไู้ ด้ และ ความรูแ้ ละลาดบั ความรไู้ ด้ แต่ไม่
ตามลาดบั ลาดับความ ความสมั พนั ธ์ ไม่ เปน็ ไปตามลาดับ
ความสมั พนั ธ์ สัมพันธ์ได้ ครบถว้ น ความสัมพนั ธ์
ค่อนขา้ งครบ
สามารถเขยี นผงั สามารถเขยี นผัง สามารถเขียนผงั สามารถเขยี นผงั
ความคดิ ได้ใน ความคดิ ได้ถูกตอ้ ง ความคดิ ได้ และมี ความคดิ ได้ แต่
รูปแบบท่ีถกู ต้อง และมีขอ้ บกพร่อง ข้อบกพรอ่ งเป็น ขาดรปู แบบและ
และสวยงาม เพยี งเล็กน้อย บางส่วน ความสวยงาม
เกณฑก์ ารตัดสนิ หมายถงึ ดมี าก
คะแนน ๑๑ – ๑๒ หมายถึง ดี
คะแนน ๘ - ๑๐ หมายถึง พอใช้
คะแนน ๕ - ๗ หมายถงึ ปรับปรงุ
คะแนน ตา่ กวา่ ๔
๙๔
แบบประเมนิ การพดู รายงาน
เนื้อหา
กลวิธีการนาเสนอ
การใช้ภาษา
ความสามารถในการพูด
ชอ่ื – สกลุ รวม สรุปผล
เลขท่ี การประเมิน
๔ ๔ ๔ ๔ ๒๐ ผ่าน ไมผ่ ่าน
เกณฑก์ ารประเมนิ ร้อยละ ๘๐ ขึน้ ไป (๑๘ คะแนนขน้ึ ไป)
๑๙ – ๒๐ คะแนน ระดับ ดมี าก
๑๕ – ๑๘ คะแนน ระดบั ดี
๑๑ – ๑๔ คะแนน ระดบั พอใช้
๐ – ๑๐ คะแนน ระดบั ปรบั ปรงุ
ลงชื่อ ..............................................ผ้ปู ระเมนิ
(.........................................................)
๙๕
เกณฑ์การประเมนิ การพูดรายงาน
ประเดน็ การประเมิน ระดบั คะแนน/ระดับคณุ ภาพ 1 (ปรับปรงุ )
4 (ดีมาก) 3 (ด)ี 2 (พอใช)้ มกี ารเรยี งลาดับ
มีการเรยี งลาดบั มกี ารเรียงลาดับ เนือ้ หาไม่ได้
เนื้อหา มกี ารเรียงลาดบั เนื้อหาไดด้ ี เนอ้ื หาได้พอใช้ ไมม่ ีความตอ่ เนอื่ ง
เนอื้ หาไดด้ ี มีประโยชนนน์ อ้ ยให้
มคี วามต่อเนอื่ ง มีความตอ่ เนือ่ ง มคี วามต่อเนอ่ื งนอ้ ย แง่คดิ นอ้ ย
มปี ระโยชนใ์ หแ้ งค่ ิด
สมั พนั ธ์กบั เน้อื เรื่อง มีประโยชน์ใหแ้ งค่ ดิ มปี ระโยชนนน์ ้อยให้
บ้าง แงค่ ดิ น้อย
กลวธิ กี ารนาเสนอ การนาเขา้ สู่เนอื้ เรอื่ งมี การนาเขา้ ส่เู นื้อเร่ือง มีการนาเขา้ สเู่ นือ้ เรือ่ ง มีการนาเขา้ ส่เู นอ้ื
การใช้ภาษา ความ สมั พนั ธก์ บั เน้อื มคี วาม สมั พนั ธก์ ับ มีความ สัมพันธก์ บั เรื่อง ไมม่ คี วาม
ความสามารถในการ เรือ่ ง เรา้ ความสนใจ เนอ้ื เร่ือง เร้าความ เน้ือเรอ่ื ง ไมค่ อ่ ยเรา้ สมั พันธก์ บั เนอื้ เร่อื ง
พูด ผฟู้ งั ไดด้ ี สนใจผฟู้ งั ได้ ความสนใจผฟู้ ัง ไมเ่ รา้ ใจผู้ฟัง
ตอบคาถาม/เวลา มีความมน่ั ใจในการ มีความมั่นใจ ไม่คอ่ ยมคี วามมัน่ ใจ ไม่มคี วามมัน่ ใจ
พูดรายงาน ในการพูดรายงาน ในการพูดรายงาน
ออกเสียงถกู ต้องตาม ออกเสยี งถกู ต้องตาม ออกเสียงถกู ต้องตาม ออกเสยี งถูกตอ้ งตาม
อกั ขรวิธแี ละดังชดั เจน อักขรวธิ แี ละดงั ชดั เจน อกั ขรวธิ ีและดัง อกั ขรวธิ แี ละดงั
ชัดเจน
ใชภ้ าษาเหมาะสม ใชภ้ าษาเหมาะสม ใช้ภาษาเขา้ ใจยาก ชัดเจน ใชภ้ าษาไม่
เขา้ ใจงา่ ย มกี ารใช้ เข้าใจงา่ ย ไม่มกี ารใช้ ไม่มีการใช้สานวน เหมาะสม ไม่เขา้ ใจ
สานวนโวหาร สานวนโวหาร โวหาร เน้ือเร่ือง
พดู ไดค้ ลอ่ งแคลว่ พูดได้คลอ่ งแคลว่ พูดได้คลอ่ งแคลว่ พูดเหมือนท่องจา
พดู เปน็ ธรรมชาติ พูดเป็นธรรมชาติ แตไ่ มเ่ ป็นธรรมชาติ
ประสานสายตา ประสานสายตากับ ประสานสายตากบั มกี ารประสาน
กับผู้ฟัง มีการ ผูฟ้ งั มีการแสดงออก ผฟู้ ังน้อย สายตา กบั ผ้ฟู ังบ้าง
แสดงออกทางสหี น้า ทางสหี น้า และทา่ ทาง เปน็ ระยะ
และทา่ ทางอย่าง บ้างเลก็ นอ้ ย
เหมาะสม
ตอบคาถามไดอ้ ย่าง ตอบคาถามได้ ตอบคาถามไม่ได้ ตอบคาถามไม่ได้
มคี วามรแู้ ละมคี วาม คอ่ นข้าง ชดั เจน มี เปน็ ส่วนใหญ่ ใช้ เปน็ สว่ นใหญ่ ใช้
ชดั เจนมแี หล่ง แหล่งอา้ งองิ ใชเ้ วลา เวลาเกนิ กาหนด ๕ เวลาเกนิ กาหนด ๕
อา้ งอิง ใชเ้ วลาตาม เกินกาหนด ๑ นาที นาที นาที
กาหนด
ระดับคณุ ภาพ ๑๙ – ๒๔ หมายถึง ดมี าก
คะแนน ๑๓ – ๑๘ หมายถงึ ดี
คะแนน ๗ – ๑๒ หมายถึง พอใช้
คะแนน ตา่ กว่า ๖ หมายถึง ปรบั ปรุง
คะแนน
๙๖
แบบประเมนิ การคิดวเิ คราะห์
ชอ่ื -สกลุ นกั เรยี น....................................................................ชน้ั /หอ้ ง............................ เลขท่ี............................
คาชแ้ี จง : ให้ผ้สู อนสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรยี นในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แลว้ ขีด / ลงในชอ่ งท่ี
ตรงกบั ระดับคะแนน
สมรรถนะดา้ น รายการประเมนิ ระดับคะแนน
๓๒๑๐
๑. ความสามารถ ๑.๑ สามารถเลือกใช้ขอ้ มูลได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม
ในการคดั สรร ๑.๒ สามารถจดั ลาดบั ข้อมลู ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม
ขอ้ มูล ๑.๓ ประเมินความนา่ เชอื่ ถือของข้อมูลและเลือกความคดิ
หรือทางเลือกทเี่ หมาะสม
๒. ความสามารถ ๒.๑ สามารถจบั ประเดน็ สาคญั และประเด็นสนับสนุนได้
ในการจบั ๒.๒ สามารถจบั ประเด็น ใจความสาคญั ของขอ้ มลู ท่ตี อ้ งการ
ประเดน็ สาคัญ นามาใชป้ ระโยชนไ์ ด้
๒.๓ เชือ่ มโยงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งขอ้ มูลความคดิ ตา่ ง ๆ ได้
อย่างถูกตอ้ งมีเหตผุ ล
๓. ความสามารถ ๓.๑ วเิ คราะหส์ ิ่งทไี่ ด้เรยี นรโู้ ดยผา่ นการไตรต่ รองอย่างมี
ในการ เหตุผล
วิเคราะห์ ๓.๒ วเิ คราะห์ บอกความสาคญั ความสัมพันธห์ รอื ความคดิ
รวบยอดของข้อมลู ได้
๓.๓ วเิ คราะห์ วจิ ารณ์ ความสมเหตสุ มผล ความนา่ เชือ่ ถือ
ของสงิ่ ท่เี รียนรูไ้ ด้
๔. ความสามารถ ๔.๑ สามารถตรวจสอบความถูกตอ้ งตามหลกั เกณฑไ์ ด้อย่าง
ในการสรุป ตรงประเด็น
คุณคา่ ๔.๒ มีการทางานครบตามข้ันตอนการปรบั ปรงุ งานและ
ผลงานบรรลุเป้าหมาย
๔.๓ อธบิ ายขั้นตอนการทางานและผลงานที่เกดิ ขึ้นท้ังส่วนทดี่ ี
และสว่ นท่ีมี
๕. ความสามารถ ๕.๑ สามารถสรุปสาระเชือ่ มโยงเพอื่ นามาวางแผนงาน
ในการสรุป โครงการได้ เชน่
และอภิปราย การเขยี นโครงงาน รายงาน
๕.๒ สามารถสรปุ เหตผุ ลเชิงตรรกะ และสรา้ งสงิ่ ใหม่ได้ เช่น
การเขยี นเรยี งความ
รวม
รวมคะแนน/เฉล่ยี
๙๗
เกณฑ์การใหค้ ะแนนระดบั คุณภาพ
ดมี าก - พฤตกิ รรมทปี ฏิบัติชัดเจนและสมา่ เสมอ ให้ ๓ คะแนน คะแนน ๑๒ – ๑๕ ระดบั คณุ ภาพดีเยยี ม
ดี - พฤติกรรมทีปฏิบัตชิ ดั เจนและบอ่ ยครง้ั ให้ ๒ คะแนน คะแนน ๘ – ๑๑ ระดบั คณุ ภาพดี
พอใช้ - พฤติกรรมทีปฏิบัติบางคร้งั ให้ ๑ คะแนน คะแนน ๔ – ๑๐ ระดบั คณุ ภาพพอใช้
ตอ้ งปรับปรงุ - ไมเ่ คยปฏบิ ตั ิพฤติกรรม ให้ ๐ คะแนน คะแนน ๐ – ๓ ระดบั คุณภาพปรับปรุง
สรุปผลการประเมิน
ระดบั ดเี ยยี ม
ดี
พอใช้
ปรบั ปรุง
ลงชื่อ......................................................................ผ้ปู ระเมิน
(.....................................................................)
........... /................................/.....................
๙๘
แบบประเมินการนาเสนอผลงาน
คาช้ีแจง : ให้ ผู้สอน ประเมินการนาเสนอผลงานของนกั เรียนตามรายการท่ีกาหนด แลว้ ขีด ✓ ลงในชอ่ ง
ทีต่ รงกับระดบั คะแนน
ระดบั คุณภาพ
ลาดับที่ รายการประเมิน ๔ ๓๒ ๑
(ดีมาก)
๑ เน้ือหาละเอียดชดั เจน (ด)ี (พอใช้) (ปรบั ปรุง)
๒ ความถกู ต้องของเนื้อหา
๓
๔ ภาษาทีใ่ ชเ้ ขา้ ใจง่าย
๕ ประโยชน์ท่ีได้จากการนาเสนอ
วธิ กี ารนาเสนอผลงาน
รวม
ลงชือ...................................................ผู้ประเมนิ
............../.................../................
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ให้ ๔ คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสมบูรณช์ ดั เจน ให้ ๓ คะแนน
ผลงานหรอื พฤติกรรมมขี อ้ บกพรอ่ งบางส่วน ให้ ๒ คะแนน
ผลงานหรอื พฤติกรรมมขี ้อบกพรอ่ งเปน็ สว่ นใหญ่ ให้ ๑ คะแนน
ผลงานหรอื พฤติกรรมมขี ้อบกพรอ่ งมาก
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ระดับคณุ ภาพ
ดมี าก
ช่วงคะแนน ดี
๑๘ – ๒๐ พอใช้
๑๔ – ๑๗ ปรบั ปรุง
๑๐ – ๑๓
ต่ากวา่ ๑๐
๙๙
แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล
คาชแ้ี จง : ให้ ผูส้ อน สังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขดี ลงใน
ชอ่ งท่ตี รงกับระดบั คะแนน
ลาดับ ชื่อสกุล- ความมีวนิ ยั ความมีนา้ ใจ การรบั ฟัง การแสดง การตรงตอ่ รวม
ที่ ของผรู้ บั การประเมนิ เอ้อื เฟอื้ ความคดิ เหน็ ความคดิ เห็น เวลา ๒๐
เสียสละ คะแนน
๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑
ลงช่อื .................................................... ผ้ปู ระเมนิ
........./ .............................../ ......
เกณฑ์การให้คะแนน เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ
ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมอย่างสม่าเสมอ ให้ ๔ คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ
ปฏิบัติหรอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยครงั้ ให้ ๓ คะแนน
ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางครัง้ ให้ ๒ คะแนน ๑๘ - ๒๐ ดีมาก
ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมน้อยครง้ั ให้ ๑ คะแนน
๑๔ – ๑๗ ดี
๑๐ – ๑๓ พอใช้
ตา่ กว่า ๑๐ ปรบั ปรุง
๑๐๐
แบบประเมนิ สงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม
ช่อื กลุ่ม ช้ัน
คาชแ้ี จง : ให้ ผสู้ อน สงั เกตพฤติกรรมของนกั เรยี นในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด ลงในช่อง
ท่ตี รงกับระดับคะแนน
ลาดับท่ี รายการประเมิน ระดับคะแนน
4321
1 การแบ่งหน้าท่กี นั อย่างเหมาะสม
2 ความรว่ มมอื กนั ทางาน
3 การแสดงความคดิ เห็น
4 การรบั ฟงั ความคิดเห็น
5 ความมนี า้ ใจชว่ ยเหลอื กนั
รวม
ลงชือ่ .................................................... ผูป้ ระเมนิ
........./ .............................../ ......
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ
ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ ๔ คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
ปฏิบตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมบ่อยครง้ั ให้ ๓ คะแนน
ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤติกรรมบางคร้ัง ให้ ๒ คะแนน ๑๘ - ๒๐ ดมี าก
ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤติกรรมน้อยครง้ั ให้ ๑ คะแนน
๑๔ – ๑๗ ดี
๑๐ – ๑๓ พอใช้
ตา่ กวา่ ๑๐ ปรับปรงุ
๑๐๑
แบบประเมินคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
คาชีแ้ จง : ให้ ผสู้ อน สงั เกตพฤติกรรมของนกั เรยี นในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขดี ลงในชอ่ ง
ทต่ี รงกับระดบั คะแนน
คณุ ลักษณะ รายการประเมิน ระดับคะแนน
อันพึงประสงคด์ ้าน ๔๓๒๑
๑. รกั ชาติ ศาสน์ ๑.๑ ยืนตรงเมอื่ ไดย้ ินเพลงชาติ ร้องเพลงชาติได้ และอธิบาย
ความหมาย
กษัตริย์ ของเพลงชาติ
๒. ซื่อสตั ย์ สุจรติ ๑.๒ ปฏบิ ัตติ นตามสทิ ธิและหน้าทีข่ องพลเมอื ง
๓. มีวินัย ๑.๓ ใหค้ วามรว่ มมอื รว่ มใจ ในการทากจิ กรรมกับสมาชิกในโรงเรยี น
รบั ผิดชอบ และชมุ ชน
๔. ใฝเ่ รียนรู้ ๑.๔ เข้าร่วมกิจกรรมและมีสว่ นรว่ มในการจดั กจิ กรรมทสี่ ร้างความ
๕. อยอู่ ย่าง สามคั คี ปรองดอง และเป็นประโยชนต์ ่อโรงเรียน ชุมชน และ
พอเพียง สังคม ชื่นชม
ความเปน็ ไทย
๑.๕ เขา้ รว่ มกิจกรรมทางศาสนาทต่ี นนบั ถือ ปฏิบัตติ นตามหลักของ
ศาสนา
๑.๖ เข้ารว่ มกจิ กรรมและมีส่วนรว่ มในการจดั กิจกรรมท่เี ก่ียวขอ้ งกับ
สถาบนั
พระมหากษตั รยิ ์ตามทีโ่ รงเรยี นและชุมชนจัดขึ้น
๒.๑ ใหข้ อ้ มูลทีถ่ กู ต้อง และเปน็ จริง
๒.๒ ปฏบิ ัตใิ นส่งิ ที่ถูกต้อง ละอาย และเกรงกลัวทีจ่ ะกระทาความผิด
ทาตามสญั ญาทต่ี นให้ไวก้ ับเพื่อน พอ่ แม่ หรอื ผปู้ กครอง และครู
๒.๓ ปฏิบัตติ นต่อผู้อื่นด้วยความซ่ือตรง ไม่หาประโยชนใ์ นทางท่ไี ม่
ถูกตอ้ ง
๓.๑ ปฏบิ ัตติ ามขอ้ ตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ข้อบังคับของครอบครัว
โรงเรียน และสงั คม ไมล่ ะเมิดสทิ ธขิ องผอู้ ่นื ตรงตอ่ เวลาในการ
ปฏิบตั กิ ิจกรรมตา่ งๆ ในชีวิตประจาวนั และรบั ผดิ ชอบในการ
ทางาน
๔.๑ แสวงหาขอ้ มลู จากแหล่งการเรยี นรตู้ า่ งๆ
๔.๒ มกี ารจดบันทึกความร้อู ยา่ งเปน็ ระบบ
๔.๓ สรุปความรู้ได้อย่างมเี หตผุ ล
๕.๑ ใช้ทรพั ยส์ ินของตนเอง เชน่ สงิ่ ของ เครื่องใช้ ฯลฯ อย่างประหยัด
ค้มุ คา่ และเก็บรักษาดูแลอย่างดี และใช้เวลาอยา่ งเหมาะสม
๑๐๒
คณุ ลักษณะ รายการประเมิน ระดบั คะแนน
อนั พงึ ประสงคด์ า้ น ๔๓๒๑
๕.๒ ใช้ทรพั ยากรของส่วนรวมอย่างประหยดั คุ้มคา่ และเกบ็ รกั ษาดูแล
อย่างดี
๕.๓ ปฏบิ ตั ติ นและตัดสนิ ใจดว้ ยความรอบคอบ มีเหตผุ ล
๕.๕ วางแผนการเรียน การทางานและการใชช้ วี ติ ประจาวันบนพืน้ ฐาน
ของความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร
๕.๖ รเู้ ทา่ ทนั การเปลีย่ นแปลงทางสังคม และสภาพแวดลอ้ ม ยอมรบั
และปรับตัว อยูร่ ว่ มกับผูอ้ น่ื ไดอ้ ย่างมีความสุข
๖. มงุ่ ม่นั ในการ ๖.๑ เอาใจใสต่ อ่ การปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ที ไี่ ดร้ ับมอบหมาย
ทางาน ๖.๒ ตงั้ ใจและรับผิดชอบในการทางานให้สาเร็จ
๖.๓ ปรับปรงุ และพฒั นาการทางานอย่างรอบคอบ
๖.๔ ทมุ่ เท ทางาน อดทน ไมท่ ้อต่อปัญหาและอุปสรรค
๖.๕ พยายามแกป้ ัญหาและอปุ สรรคในการทางานใหส้ าเร็จ
๖.๖ ชื่นชมผลงานความสาเรจ็ ดว้ ยความภาคภมู ใิ จ
๗. รักความเป็นไทย ๗.๑ มีจิตสานกึ ในการอนรุ ักษว์ ัฒนธรรมและภมู ปิ ญั ญาไทย
๗.๒ เหน็ คณุ คา่ และปฏิบตั ติ นตามวัฒนธรรมไทย
๘. มจี ติ สาธารณะ ๘.๑ รจู้ กั ชว่ ยพอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครทู างาน
๘.๒ อาสาทางาน ชว่ ยคิด ชว่ ยทา แบง่ ปันสงิ่ ของ ทรพั ย์สนิ และอนื่ ๆ
และช่วยแก้ปญั หาใหผ้ อู้ ่ืน
๘.๓ ดแู ล รักษาทรพั ย์สนิ ของห้องเรยี น โรงเรียน ชมุ ชน
๘.๔ เขา้ รว่ มกจิ กรรมเพื่อสงั คมและสาธารณประโยชนข์ องโรงเรียนและ
ชมุ ชน
ลงช่อื .................................................... ผู้ประเมิน
........./ .............................../ ......
เกณฑก์ ารให้คะแนน เกณฑ์การตดั สนิ คณุ ภาพ
ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมอย่างสมา่ เสมอ ให้ ๔ คะแนน ชว่ งคะแนน ระดบั คุณภาพ
ปฏิบตั ิหรือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยครัง้ ให้ ๓ คะแนน
ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางคร้ัง ให้ ๒ คะแนน ๑๐๔ – ๑๒๔ ดมี าก
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤติกรรมนอ้ ยครัง้ ให้ ๑ คะแนน
๑๘๓ – ๑๐๓ ดี
๖๒ – ๘๒ พอใช้
ตา่ กว่า ๖๒ ปรับปรงุ
๑๐๓
แผนการจัดการเรียนรู้
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๑
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ ๒ เรยี นรู้สภุ าษิต เวลา ๑๒ ชวั่ โมง
เวลา ๑ ชัว่ โมง
แผนการเรยี นร้ทู ่ี ๑ การตีความคายาก
ภาคเรยี นท่ี ๑ ปกี ารศึกษา ๒๕๖5
สอนวันท่ี เดือน พ.ศ. ตาแหน่ง ครู
ครผู สู้ อน นางสาวชาลิสา หาญกจิ
๑. มาตรฐาน/ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช๎กระบวนการอํานสรา๎ งความรูแ๎ ละความคดิ เพ่ือนาไปใชต๎ ัดสนิ ใจ แก๎ปัญหาในการ
ดาเนนิ ชีวิต และมีนิสัยรักการอาํ น
ตัวชว้ี ัด
ม.๑/๕ ตคี วามคายากในเอกสารวชิ าการโดยพิจารณาจากบริบท
ม.๑/๙ มีมารยาทในการอาํ น
๒. สาระสาคัญ
การอาํ นจะมีประสิทธภิ าพได๎นนั้ ผู๎อาํ นจะตอ๎ งมกี ารแปลความ ตีความ และขยายความจากเร่ืองท่ีอําน
ไดอ๎ ยาํ งถกู ตอ๎ ง จะทาใหเ๎ ข๎าใจเรื่องที่อํานไดด๎ ีย่ิงขนึ้ และสามารถชวํ ยให๎อาํ นสารตํางๆ ไดอ๎ ยํางมปี ระสิทธภิ าพ
๓. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
๑. นกั เรียนอธิบายความหมายการอาํ นตคี วาม
๒. นักเรยี นอธิบายหลักเกณฑก์ ารอํานตคี วาม
๓. นกั เรยี นจาแนกความหมายของคายากได๎
๔. นักเรียนหาความหมายคายากจากพจนานกุ รมได
๕. นักเรยี นตคี วามคายากจากบริบทได๎
๖. นักเรียนใฝ่เรยี นรแ๎ู ละมีความมุํงมั่นในการทางาน
๔. สาระการเรยี นรู้
๑. ความหมายการอํานตคี วาม
๒. หลักเกณฑก์ ารอาํ นตคี วาม
๕. การจัดกระบวนการจัดการเรียนรู้
ขั้นนา
ครูสนทนากบั นักเรียนเรื่องการอาํ น ในสถานการณ์ ท่ีนักเรียนอํานคาท่ีนักเรยี นไมทํ ราบ
ความหมายนกั เรยี นทาอยํางไรจึงทราบความหมายของคานัน้
ขนั้ สอน
๑. ครยู กตัวอยาํ งข๎อความ
๑๐๔
“สตางค์หนูก็มคี ํะ” เดก็ หญงิ ตบกระเปา๋ กระโปรงใหด๎ ปู ระกอบ “แตํวําหนูคอยให๎นา้ ลายไหล
เสียกอํ นถึงจะซือ้ ”
(รอให๎นา้ ลายไหลเสยี กํอน : ศทุ ธนิ ี)
“นทิ านเรอื่ งสงั ข์ทองมีความเกําแกํ และ แพรหํ ลายมานานแลว๎ ทั้งในรปู นทิ านมุขปาฐะ ท่ี
ถาํ ยทอดกนั ปากตํอปาก และทเ่ี ป็นลายลกั ษณ์อกั ษร” ใหน๎ กั เรยี นอธิบายความหมายคาทข่ี ีดเสน๎ ใต๎
ตามที่ นกั เรียนเข๎าใจ
๒. นกั เรียนแบงํ กลุํมศกึ ษาใบความร๎เู รอ่ื งการอาํ นตคี วาม ทาความเข๎าใจ และสงํ ตัวแทนนาเสนอ
หนา๎ ชั้นเรยี น
๓. ครแู จกใบงานเร่ือง การตีความคายาก และใหน๎ ักเรยี นตีความหมายคายาก พรอ๎ งสํงตัวแทน
นาเสนอผลงานหนา๎ ชนั้ เรียน
๔. ครูมอบหมายนักเรยี นค๎นควา๎ คาศพั ทย์ ากบทความทางวิชาการจากสอื่ ส่งิ พมิ พ์ตาํ ง ๆ
ข้นั สรุป
ครูและนักเรียนรํวมกันสรุปคายากที่ปรากฏในข๎อความตําง ๆ ซึ่งบางคาต๎องใช๎พจนานุกรม ใน
การบอกความหมาย บางคาบางคาต๎องอาศัยการอํานทาความเข๎าใจตามบริบท หรือข๎อความแวดล๎อมรวมท้ัง
แงํคิดในการนาไปประยุกตใ์ ช๎ในชีวิตประจาวัน
๖. ส่อื /แหลง่ เรยี นรู้
๑. ใบความร๎ู เรอ่ื ง การอํานตคี วาม
๒. ใบงาน เรอ่ื ง การตีความคายาก
๓. บทความทางวิชาการ
๗. วัดผลประเมินผล
วิธกี าร เคร่ืองมือ เกณฑ์
ตรวจใบงาน เรอื่ ง การตีความคายาก ใบงาน เรอ่ื ง การตีความคายาก ผาํ นเกณฑก์ ารประเมนิ ร๎อยละ
๖๐ ข้ึนไป
นาเสนอผลงาน แบบประเมินนาเสนอผลงาน ผาํ นเกณฑก์ ารประเมนิ
รอ๎ ยละ ๖๐ ขนึ้ ไป
สงั เกตพฤติกรรมการทางานกลํุม แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกลุมํ ระดบั คุณภาพ ๒ ผาํ นเกณฑ์
ประเมินคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ แบบประเมนิ คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
ระดับคุณภาพ ๒ ผาํ นเกณฑ์
๑๐๕
บนั ทกึ หลังแผนการจัดการเรียนรู้
๑. ด๎านความรู๎
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒. ด๎านสมรรถนะสาคัญของผูเ๎ รียน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓. ดา๎ นคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์/คาํ นิยม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๔. ด๎านอ่นื ๆ (พฤตกิ รรมเดนํ หรือพฤตกิ รรมท่มี ีปญั หาของนกั เรียนเป็นรายบคุ คล (ถา๎ ม)ี )
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๕. ปญั หา/อุปสรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๖. ข๎อเสนอแนะ/แนวทางการแกป๎ ญั หา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………ครปู ระจาวชิ า
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๗. ความคดิ เห็นของผอู๎ านวยการสถานศึกษา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชือ่ ………………………………………ผ๎ูอานวยการสถานศกึ ษา
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๑๐๖
ใบความรู้ เรือ่ ง การอา่ นตคี วาม
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ๒ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี ๑ การตีความคายาก
รายวิชาภาษาไทย รหัส ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นที่ ๑ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๑
การอ่านตคี วาม
การอาํ นตคี วาม เป็นการอาํ นที่จะตอ๎ งทาความเข๎าใจกบั ความหมายแฝง ทีเ่ ป็นแกนํ ของเร่อื งทแี่ ท๎จริงที่
ผ๎เู ขียนต๎องการจะสือ่ เน่ืองจากบางคร้งั ผ๎เู ขยี นไมํได๎ตอ๎ งการส่ือความหมายตรงตามถ๎อยคาท่ีเขยี น แตยํ งั แฝง
ความคดิ ทล่ี ึกซ้งึ ดว๎ ยศลิ ปะการเขียนที่ใช๎สญั ลกั ษณ์หรอื ถอ๎ ยคาเปรยี บเทยี บเพอื่ ให๎ผู๎อาํ นใช๎ปญั ญาคิดวิเคราะห์
เน้อื ความนน้ั ๆ เพือ่ ให๎เกิดอรรถรสในการอาํ น หรือบางครงั้ ผเ๎ู ขียนอาจไมกํ ลาํ วถงึ เรื่องราวบางประการอยาํ ง
ตรงไปตรงมา ซึง้ อาจเปน็ เรอ่ื งผดิ กฎหมายหรือเสยี มารยาททางสงั คม ผู๎เขยี นจงึ หลกี เลี่ยงวธิ ีการเขยี นโดยไมํ
กลําวตรง ๆ แตไํ ปใชค๎ าเปรียบเทยี บหรือใช๎สัญลกั ษณ์แทน ผอ๎ู ํานจึงตอ๎ งใช๎ประสบการณ์การอาํ นและ
สติปัญญาในการอาํ นตคี วามใหเ๎ ขา๎ ใจสารอยํางแทจ๎ ริง
หลกั เกณฑใ์ นการอา่ นตคี วามมี ดังนี้
๑. อํานเร่ืองทจ่ี ะตคี วามนัน้ ใหล๎ ะเอยี ด แลว๎ พยายามจับประเดน็ สาคัญให๎ได๎
๒. ขณะท่ีอาํ นตอ๎ งพยายามคิดหาเหตุผลและใครคํ รวญอยาํ งรอบคอบ แล๎วนามาประมวลเข๎ากบั
ความคดิ ของตนเองวํา ข๎อความหรอื เรื่องน้นั มคี วามหมายถึงสิ่งใด
๓. พยายามทาความเขา๎ ใจถ๎อยคาทเี่ หน็ วํามคี วามสาคญั และจะต๎องไมลํ ืมตรวจดบู รบิ ท (context)
ดว๎ ยวาํ บรบิ ทหรอื สิง่ แวดล๎อมน้ันไดก๎ าหนดความหมายของคานนั้ อยํางไร
๔. ต๎องระลกึ ไวเ๎ สมอวาํ การตีความไมใํ ชํการถอดคาประพนั ธ์ เพราะการตคี วามเปน็ การจับใจความ
สาคญั และคงไว๎ซง่ึ คาของขอ๎ ความเดิม
๕. การเขยี นเรียบเรยี งถ๎อยคาทีไ่ ดจ๎ ากการตคี วามนัน้ จะต๎องใหม๎ คี วามหมายชดั เจน
๖. การตีความเก่ียวกบั เน้ือหาหรอื นา้ เสียง เป็นการตีความตามความร๎ู ความคิดและประสบการณข์ อง
ผตู๎ ีความเอง ดงั นัน้ ผ๎อู นื่ จึงไมํอาจเหน็ พอ๎ งตามกไ็ ด๎
ตัวอยา่ งการอ่านตีความ
“โตต๎ อบอยาํ เสียคา” ตคี วามไดว๎ ํา ในการสนทนาหรอื โต๎คารมไมํควรกลาํ วคาพูดให๎ผูอ๎ ่ืนเส่ือมเสีย
จากสภุ าษติ ข๎างตน๎ ถ๎าอาํ นเพียงเพ่ือเขา๎ ใจความหมายอยํางตรงไปตรงมากจ็ ะได๎ความวํา “การพยายามโตต๎ อบ
ดว๎ ยบางสิ่งบางอยาํ งเปน็ เรื่องทดี่ ี”
“อยาํ ขุดคนดว๎ ยปาก” ตคี วามไดว๎ ํา ไมคํ วรพดู คอํ นขอดหรือกลําวหาวําร๎ายใคร จากสภุ าษติ ข๎างตน๎ ถ๎า
อํานเพยี งเพ่ือเข๎าใจความหมายอยํางตรงไปตรงมาก็จะได๎ความวาํ “ห๎ามไมํใหใ๎ ชป๎ ากคนขุดหาของ”
“นา๎ เช่ยี วอยาํ ขวางเรือ” ตคี วามไดว๎ าํ ในขณะทเ่ี หตุการณร์ ุนแรงยังดาเนนิ อยอูํ ยํางร๎อนรนเราไมคํ วร
เข๎าไปยํุงเกีย่ วจากสภุ าษติ ขา๎ งต๎นถ๎าอาํ นเพยี งเพอ่ื เข๎าใจความหมายอยาํ งตรงไปตรงมากจ็ ะไดค๎ วามวาํ “หา๎ ม
พายเรือหรอื นาเรอื ไปขวางตอนท่ีนา้ กาลังไหลเชีย่ ว”
“ผมมนี า้ ผง้ึ ในปาก แตไํ มมํ ีมีดในดวงใจ”
น้าผึ้ง หมายถงึ ความจริงใจ ความออ่ นหวาน
มดี หมายถงึ ความไมจ่ รงิ ใจ
“เด็กหญิงตวั เล็ก ๆ คนนน้ั ยืนอยทู่ ่นี ั่นนานนักหนาบางทอี าจจะกอ่ นทขี่ ้าพเจา้ จะเขา้ ไปซ้อื
๑๐๗
ของในร้านเสยี อกี ดวงตาเป็นประกายของแม่หนูจับจ้องอยทู่ ี่ขวดโหลท่บี รรจุทอฟฟ่ชี นิดตา่ ง ๆ อมยิ้ม
ลูกกวาด และขนมปงั กรอบหลากหลายชนดิ นิ้วแกใสอ่ ย่ใู นปาก ทา่ ทางเหมือนกบั พิสมัยขนมในขวดโหลนั้น
เป็นกาลงั จนกระท่ังตดั สนิ ใจไมถ่ ูกวา่ ควรจะเลือกซอ้ื อะไรกันแน่”
ทอฟฟ่ี หมายถึงของหวานแบบฝร่ัง ใช้อมให้ละลายทลี ะน้อย ท้าด้วยน้าตาลกวนกับนมหรอื
เนย เป็นตน้ ปนั้ เป็นก้อนกลมหรือเหล่ียม แลว้ ห่อกระดาษบิดหวั ท้าย, ลกู อม กเ็ รยี ก.
อมย้มิ หมายถึง ขนมหวานประเภทลกู อมชนิดหนง่ึ ท้าดว้ ยน้าตาลเป็นรูปกลม ๆ หรือแบน ๆ
มีไมเ้ สียบด้านล่างสา้ หรบั ถอื มีสตี า่ ง ๆ.
ลกู กวาด หมายถงึ ของหวานท้าดว้ ยนา้ ตาล มลี ักษณะเปน็ เม็ดกลม ท้าเป็นหลายสี ใชเ้ คยี้ ว
หรืออมใหล้ ะลายทีละนดิ .
พสิ มยั หมายถงึ รัก , ชอบ ในท่นี ีห้ มายถึง อยากได้
๑๐๘
ใบงาน เรอ่ื ง การตีความคายาก
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๒ แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๑ การตคี วามคายาก
รายวชิ าภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นที่ ๑ ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๑
คาชแี้ จง ให้นักเรยี นบอกความหมายคา้ ทขี่ ดี เส้นใต้
๑. “แหม เจา้ ประคณุ เอ๋ย วันนน้ั เรากนิ ขา้ วกลางวนั กนั จนท้องหลาม ขา้ วสุกไม่เหลอื ตดิ กน้ จานแมเ้ มด็
เดียวไมม่ หี กตกหลน่ อร่อยข้าวคลุกเหด็ โคนตม้ นา้ ปลา”
หลงทาง : ขรรค์ชัย บนุ ปาน
ท้องหลาม หมายถงึ ...........................................................................................................................................
๒. “ระวางน้นั โสมทตั ตต์ รงรเ่ี ขา้ ไปหาคู่รักของตน ส่วนคู่รกั ก็ลกุ ขนึ้ มาต้อนรบั ออกเสียงอุทานแต่เบา
ข้าพเจา้ เหน็ เขาเปน็ เชน่ น้ัน กเ็ ตรียมตวั สงบใจใหห้ ายอธุ ัจ เพอ่ื เข้าไปหานางผู้หาทเี่ ปรียบมิได้ของข้าพเจา้ บ้าง”
กามนิต : เสถียรโกเศศและนาคะประทปี
อุธัจ หมายถึง ............................................................................................................................. ......................
๓. “บา้ นอย่ถู ดั ไป ตรงลานหนา้ บา้ นมีหมอ้ และชามดนิ พึ่งป้นั เสรจ็ ใหม่ ๆ วางอยเู่ รียงราย อนั เปน็
การงานแหง่ เจ้าของบ้านท่ีพากเพยี รลงแรงทาเปน็ สัมมาอาชพี ไดใ้ นวันนัน้ เครอ่ื งปัน้ หม้อยงั คงวางอยใู่ ต้
ตน้ มะขามใหญ่, ขณะนัน้ กมุ ภการช่างปัน้ หมอ้ กาลงั เอาชามดนิ ดบิ ออกจากเครอื่ งปั้น ขนเอามาวางเรยี งรวมกัน
ไว้”
กามนิต : เสถียรโกเศศและนาคะประทีป
กมุ ภการ หมายถงึ .......................................................................................................................................... ....
๔. ขอเพียงเหน็ ดาวรุ่งทมี่ ุ่งฝนั
เปน็ สา้ คัญว่าอุทัยใกลแ้ ลว้ หนอ
อกี เม่อื ไรจะสว่างเหมอื นอย่างรอ : อุชเชนี
อทุ ัย หมายถงึ ..................................................................................................................................................
๑๐๙
เฉลยใบงาน เร่อื งการตคี วามคายาก
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี ๒ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ ๑ การตคี วามคายาก
รายวชิ าภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรียนที่ ๑ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ๑
คาชแ้ี จง ให้นกั เรียนบอกความหมายคา้ ทข่ี ดี เสน้ ใต้
๑. “แหม เจา้ ประคุณเอ๋ย วันนน้ั เรากนิ ข้าวกลางวนั กนั จนท้องหลาม ขา้ วสกุ ไม่เหลอื ติดกน้ จานแมเ้ ม็ด
เดียวไม่มีหกตกหล่น อรอ่ ยข้าวคลกุ เหด็ โคนตม้ นา้ ปลา”
หลงทาง : ขรรคช์ ยั บุนปาน
ทอ้ งหลาม หมายถึง ทอ้ งใหญ่เกินพอดี
๒. “ระวางนั้น โสมทัตตต์ รงรเ่ี ข้าไปหาคูร่ ักของตน สว่ นครู่ ักก็ลกุ ข้นึ มาต้อนรับออกเสียงอุทานแตเ่ บา
ขา้ พเจ้าเห็นเขาเปน็ เช่นนน้ั ก็เตรียมตวั สงบใจใหห้ ายอุธจั เพอื่ เข้าไปหานางผูห้ าทเ่ี ปรยี บมิไดข้ องข้าพเจ้าบ้าง”
กามนติ : เสถยี รโกเศศและนาคะประทีป
อุธัจ หมายถึง ความประหมา่ ความขวยเขนิ
๓. “บา้ นอยู่ถดั ไป ตรงลานหน้าบ้านมหี มอ้ และชามดินพ่งึ ปนั้ เสรจ็ ใหม่ ๆ วางอยู่เรยี งราย อันเป็น
การงานแห่งเจ้าของบ้านท่พี ากเพยี รลงแรงทาเปน็ สมั มาอาชพี ไดใ้ นวันนน้ั เครอื่ งปัน้ หม้อยังคงวางอยใู่ ต้
ต้นมะขามใหญ่, ขณะนน้ั กุมภการชา่ งป้ันหม้อกาลงั เอาชามดินดิบออกจากเคร่ืองปน้ั ขนเอามาวางเรยี งรวมกัน
ไว้”
กามนิต : เสถยี รโกเศศและนาคะประทปี
กุมภการ หมายถงึ ชา่ งปัน้ หม้อ
๔. ขอเพียงเห็นดาวรุ่งทีม่ ุง่ ฝนั
เป็นสา้ คัญวา่ อทุ ัยใกลแ้ ลว้ หนอ
อกี เมอ่ื ไรจะสว่างเหมือนอย่างรอ : อชุ เชนี
อุทัย หมายถึง พระอาทติ ยแ์ รกข้ึน
๑๑๐
แผนการจดั การเรียนรู้
กลุม่ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ระดับชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ ๑
หน่วยการเรยี นรู้ที่ ๒ เรียนรสู้ ภุ าษติ เวลา ๑๒ ชั่วโมง
เวลา ๑ ชว่ั โมง
แผนการเรียนร้ทู ี่ ๒ การตคี วามคายาก
ภาคเรียนท่ี ๑ ปกี ารศึกษา ๒๕๖5
สอนวนั ท่ี เดือน พ.ศ. ตาแหนง่ ครู
ครูผู้สอน นางสาวชาลสิ า หาญกจิ
๑. มาตรฐาน/ตวั ชวี้ ดั
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใชก๎ ระบวนการอาํ นสรา๎ งความร๎แู ละความคดิ เพือ่ นาไปใชต๎ ดั สนิ ใจแก๎ปญั หาในการ
ดาเนินชีวติ และมนี สิ ัยรกั การอาํ น
ตัวช้วี ดั
ม.๑/๕ ตีความคายากในเอกสารวชิ าการโดยพจิ ารณาจากบริบท
๒. สาระสาคญั
การอํานจะมปี ระสิทธภิ าพไดน๎ น้ั ผ๎อู าํ นจะตอ๎ งมกี ารแปลความ ตคี วาม และขยายความจากเรื่องท่ีอําน
ได๎อยาํ งถกู ต๎อง จะทาให๎เข๎าใจเรอื่ งท่อี าํ นได๎ดยี ิง่ ขึน้ และสามารถชวํ ยใหอ๎ าํ นสารตํางๆ ไดอ๎ ยาํ งมปี ระสทิ ธิภาพ
๓. จุดประสงค์การเรยี นรู้
๑. นักเรยี นบอกความหมายคายากในเอกสารโดยพิจารณาบริบทจากเรอื่ งทอ่ี ําน
๒. นักเรยี นจาแนกคายากได๎
๓. นักเรยี นเขียนความหมายคายากจากพจนานุกรมได๎และคายากจากบรบิ ทได๎
๔. นักเรียนใฝ่เรียนรู๎และมคี วามมงํุ มน่ั ในการทางาน
๔. สาระการเรียนรู้
การตีความคายาก
๕. การจดั กระบวนการจดั การเรยี นรู้
ขน้ั นา
ครยู กตวั อยํางข๎อความทม่ี ีคายากในบริบท ดงั นี้
“คลนื่ ทีม่ ากระทบ ไมหํ ยดุ หยํอน พอลกู แรก
กระแทกฝ่งั ยงั ไมํทนั ซํา คล่ืนลกู ทีส่ องกต็ ามมา ยงั ไมํ
ทันจะได๎ปรับตวั เตรียมใจก็มีคลนื่ ลกู ใหมํถาโถม
วนเวยี นซา้ แลว๎ ซ้าเลาํ หาจุดจบไมํได๎ ทาไมนะชีวติ ชวี ติ
ตอนน้จี งึ ได๎มแี ตปํ ญั หา”
และให๎นักเรียนรํวมวิเคราะหค์ าศัพทท์ ี่ตอ๎ งใช๎บรบิ ทและอธิบายความหมายของคาศพั ท์
ขั้นสอน
๑๑๑
๑. นักเรยี นเข๎ากลํุม ครแู จกบทความเอกสารทางวิชาการเรอื่ ง ช๎อนปลาในบํอเพือ่ น ให๎นกั เรยี น
หาคายาก และบอกความหมายตามบรบิ ทและตามพจนานกุ รม
๒. ตวั แทนแตํละกลมํุ นาเสนอผลงานการตีความคายาก
ข้นั สรปุ
ครแู ละนกั เรยี นรวํ มกนั สรปุ ลักษณะการอํานตีความคายากทใ่ี ช๎บรบิ ทเพ่อื ใหน๎ ักเรยี นนาใชใ๎ น
การอาํ น
๖. สื่อ /แหลง่ เรยี นรู้
๑. ใบงาน เร่ือง การอาํ นตคี วามคายาก
๒. บทความทางวชิ าการเรื่องช๎อนปลาในบํอเพ่ือน
๗. วัดผลประเมินผล
วธิ กี าร เครอื่ งมือ เกณฑ์
ตรวจใบงาน เรอื่ ง การอํานตีความคายาก ใบงาน เรอ่ื ง การอาํ นตคี วามคายาก ผาํ นเกณฑก์ ารประเมินรอ๎ ยละ
๖๐ ขนึ้ ไป
นาเสนอผลงาน แบบประเมินนาเสนอผลงาน ผํานเกณฑ์การประเมนิ
ร๎อยละ ๘๐ ขน้ึ ไป
ประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ แบบประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
ระดบั คณุ ภาพ ๒ ผํานเกณฑ์
๑๑๒
บนั ทกึ หลงั แผนการจัดการเรียนรู้
๑. ด๎านความรู๎
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒. ด๎านสมรรถนะสาคญั ของผ๎เู รียน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓. ดา๎ นคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์/คาํ นิยม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๔. ดา๎ นอนื่ ๆ (พฤตกิ รรมเดนํ หรือพฤติกรรมท่ีมปี ัญหาของนกั เรียนเป็นรายบคุ คล (ถ๎ามี))
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๕. ปญั หา/อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๖. ขอ๎ เสนอแนะ/แนวทางการแก๎ปญั หา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………ครูประจาวชิ า
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๗. ความคดิ เหน็ ของผูอ๎ านวยการสถานศกึ ษา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………ผอ๎ู านวยการสถานศกึ ษา
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๑๑๓
ใบงาน เรือ่ ง การตีความคายาก
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๒ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี ๒ เร่อื ง การตีความคายาก
รายวชิ าภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นท่ี ๑ ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๑
คาชแ้ี จง ให้นักเรยี นบอกความหมายศพั ทต์ ่อไปนโ้ี ดยใช้บรบิ ทและพจนานุกรม
ชอ้ นปลาในบอ่ เพื่อน
โดยทั่วไปก่อนเลีย้ งปลาเป็นอาชีพ เกษตรกรตอ้ งตระเตรยี มพนื้ ท่ีที่จะลงทนุ แรงขุดบอ่ สา้ หรบั เลย้ี ง
ปลา จากนนั้ จงึ ซื้อลูกปลาพนั ธท์ุ ต่ี อ้ งการมาเลีย้ งต้งั แตย่ ังเล็ก ต้องใชเ้ วลาสมควรในการดูแลเลย้ี งดูให้เติบใหญ่
อยา่ งมีคณุ ภาพเพ่ือจะไดจ้ ับขายถอนทนุ หวังผลกาไร แต่วันดคี ืนดกี ม็ ีมือดแี อบมาชอ้ นปลาหรอื มาตกปลาไป
พฤตกิ รรมเช่นนี้เปน็ การเอาเปรยี บด้วยวธิ มี กั งา่ ยเพียงเพอื่ ให้ตนได้ผลประโยชนโ์ ดยไมต่ ้องลงทนุ ลงแรง ย่งิ ถ้า
เป็นการกระทาของคนทค่ี ุน้ เคยกย็ อ่ มจะสรา้ งความไมพ่ อใจและสลดหดหู่ใจแก่เจา้ ของบอ่ ปลา
ได้มีการนา “ชอ้ นปลาในบ่อเพอ่ื น” มาใช้เป็นสานวนทางการเมอื งใหม้ คี วามหมายเปรยี บถึงการ
กระทาของพรรคการเมืองบางพรรคท่ใี ชว้ ิธีเอาเปรยี บพรรคอืน่ ๆ เพอ่ื ชักจูงนักการเมืองทมี่ ีชอื่ เสยี งอยู่แล้วใน
พรรคนน้ั ๆ ใหย้ า้ ยมาอยพู่ รรคของตนโดยไมต่ อ้ งสร้างนักการเมืองใหม่ ๆ เอง เชน่ ตอนน้ีสุพลซ่ึงเปน็ คอ
การเมืองคุยวพิ ากษว์ ิจารณก์ ับกล่มุ เพื่อนอย่างออกรสวา่ “ไอ้วิธชี อ้ นปลาในบอ่ เพ่ือนน่มี ันเป็นวธิ ีการเห็นแกไ่ ด้
อยา่ งนา่ อดสู แพร่ระบาดรวดเร็วเหมอื นโรครา้ ย แตบ่ างพรรคกย็ ังทากันอยา่ งหน้าตาเฉย”
บางคนใชเ้ ป็นสานวน “ตกปลาในบ่อเพ่อื น” ซ่งึ กม็ จี ดุ มงุ่ หมายในการพูดคลา้ ยกนั แต่จะเนน้ ทีก่ ารใช้
เหย่อื เพื่อล่อใหป้ ลามาฮบุ กินดว้ ยวธิ กี ารตกเบด็
๑. ถอนทุน ความหมาย .............................................................................................................................
๒. วันดคี นื ดี ความหมาย .............................................................................................................................
๓. มอื ดี ความหมาย .............................................................................................................................
๔. ชอ้ นปลา ความหมาย .............................................................................................................................
๕. คอการเมอื ง ความหมาย .............................................................................................................................
๖. อยา่ งออกรส ความหมาย .............................................................................................................................
๗. วธิ ชี ้อนปลา ความหมาย .............................................................................................................................
๘. หน้าตาเฉย ความหมาย .............................................................................................................................
๙. เหยอื่ ความหมาย .............................................................................................................................
๑๐. ฮุบ ความหมาย .............................................................................................................................
๑๑๔
เฉลยใบงาน เรอ่ื ง การตคี วามคายาก
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ๒ แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๒ เรอ่ื ง การตคี วามคายาก
รายวชิ าภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรียนที่ ๑ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๑
คาชี้แจง ให้นกั เรยี นบอกความหมายศพั ทต์ ่อไปน้ีโดยใช้บรบิ ทและพจนานกุ รม
ช้อนปลาในบ่อเพื่อน
โดยทว่ั ไปก่อนเล้ียงปลาเป็นอาชพี เกษตรกรต้องตระเตรยี มพื้นทีท่ ่ีจะลงทนุ แรงขดุ บอ่ สา้ หรับเลีย้ ง
ปลา จากนนั้ จงึ ซ้อื ลูกปลาพันธท์ุ ตี่ ้องการมาเล้ยี งตง้ั แต่ยังเล็ก ตอ้ งใชเ้ วลาสมควรในการดแู ลเล้ียงดูใหเ้ ตบิ ใหญ่
อย่างมคี ณุ ภาพเพื่อจะไดจ้ ับขายถอนทุนหวงั ผลกาไร แต่วนั ดีคืนดกี ็มีมอื ดแี อบมาช้อนปลาหรือมาตกปลาไป
พฤติกรรมเช่นนเี้ ปน็ การเอาเปรียบด้วยวิธีมักงา่ ยเพยี งเพ่ือให้ตนไดผ้ ลประโยชน์โดยไม่ต้องลงทุนลงแรง ยงิ่ ถา้
เป็นการกระทาของคนทค่ี ุ้นเคยกย็ อ่ มจะสรา้ งความไมพ่ อใจและสลดหดหู่ใจแกเ่ จา้ ของบอ่ ปลา
ไดม้ ีการนา “ชอ้ นปลาในบอ่ เพื่อน” มาใช้เป็นสานวนทางการเมืองให้มคี วามหมายเปรียบถึงการ
กระทาของพรรคการเมืองบางพรรคทีใ่ ชว้ ิธีเอาเปรยี บพรรคอืน่ ๆ เพอื่ ชกั จงู นกั การเมอื งทม่ี ีช่ือเสียงอยู่แล้วใน
พรรคนนั้ ๆ ใหย้ า้ ยมาอยพู่ รรคของตนโดยไม่ตอ้ งสร้างนกั การเมอื งใหม่ ๆ เอง เช่น ตอนน้สี พุ ลซึ่งเปน็ คอ
การเมืองคุยวพิ ากษว์ ิจารณก์ ับกล่มุ เพื่อนอยา่ งออกรสวา่ “ไอ้วิธชี ้อนปลาในบ่อเพือ่ นน่มี นั เปน็ วธิ ีการเหน็ แก่ได้
อยา่ งนา่ อดสู แพร่ระบาดรวดเร็วเหมอื นโรครา้ ย แต่บางพรรคก็ยังทากันอย่างหน้าตาเฉย”
บางคนใช้เป็นสานวน “ตกปลาในบ่อเพอ่ื น” ซง่ึ ก็มจี ุดมุ่งหมายในการพูดคลา้ ยกัน แต่จะเนน้ ที่การใช้
เหยอ่ื เพื่อล่อใหป้ ลามาฮบุ กินดว้ ยวิธกี ารตกเบด็
๑. ถอนทุน ความหมาย เอาทนุ คนื หวงั กาไร
๒. วันดคี นื ดี ความหมาย วันหนงึ่
๓. มอื ดี ความหมาย ขโมย
๔. ช้อนปลา ความหมาย จับปลา
๕. คอการเมอื ง ความหมาย ผู้มคี วามสนใจเรือ่ งการเมอื งเปน็ พิเศษ
๖. อย่างออกรส ความหมาย อยา่ งสนกุ สนาน เป็นท่ชี อบอกชอบใจ
๗. วธิ ชี อ้ นปลา ความหมาย การเอาเปรียบ
๘. หน้าตาเฉย ความหมาย หนา้ ด้าน ทาเปน็ ไม่รู้ไมช่ ี้
๙. เหย่อื ความหมาย ผลประโยชน์
๑๐. ฮุบ ความหมาย กิน
๑๑๕
แผนการจดั การเรียนรู้
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย ระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ ๑
หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๒ เรยี นรู้สุภาษติ เวลา ๑๒ ชั่วโมง
เวลา ๑ ช่วั โมง
แผนการเรยี นรูท้ ี่ ๓ สานวน สภุ าษติ คาพังเพย
ภาคเรยี นที่ ๑ ปีการศกึ ษา ๒๕๖5
สอนวันท่ี เดือน พ.ศ. ตาแหน่ง ครู
ครูผูส้ อน นางสาวชาลิสา หาญกิจ
๑. มาตรฐาน/ตวั ช้วี ดั
มาตรฐาน ท ๔.๑ เข๎าใจธรรมชาตขิ องภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปลย่ี นแปลงของภาษาและพลัง
ของภาษา ภมู ิปญั ญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไว๎เป็นสมบตั ขิ องชาติ
ตวั ชวี้ ดั
ม.๑/๖ จาแนกและใช๎สานวนทเ่ี ปน็ คาพงั เพยและสุภาษิต
๒. สาระสาคญั
สานวนท่ีมีใช๎ในชีวิตประจาวันควรใช๎ให๎เหมาะกับสถานการณ์และบริบทตํางๆ เพื่อให๎การส่ือสารมี
ประสทิ ธิผล และผู๎ฟงั หรือผอ๎ู ํานก็จะสามารถตคี วามและเข๎าใจสานวนนั้นได๎อยาํ งถูกตอ๎ ง
๓. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
๑. นกั เรยี นอธบิ ายความหมายของสานวน สภุ าษิต และคาพังเพยได๎
๒. นักเรยี นจาแนกความแตกตาํ งของสานวนทเี่ ปน็ สุภาษติ และคาพงั เพยได๎
๓. นักเรยี นใฝเ่ รยี นร๎ูและมคี วามมุงํ มั่นในการทางาน
๔. สาระการเรยี นรู้
สานวนท่ีเป็นคาพังเพยและสุภาษติ
๕. การจดั กระบวนการจดั การเรยี นรู้
ขั้นนา
๑. ครูนักเรยี นทายภาพสานวนไทย
ตาน้าพรกิ ละลายแมนํ ้า
อยําเห็นกงจกั รวาํ เปน็ ดอกบวั
และบอกความหมายสานวน
๒. ครใู ห๎นักเรยี นวเิ คราะหล์ ักษณะความหมายสานวน “อยาํ เหน็ กงจกั รวาํ เป็นดอกบัว”
“ตานา้ พรกิ ละลายแมนํ ้า” มีความเหมอื นและตาํ งกันหรือไมํอยํางไร
ขน้ั สอน
๑. ครใู ห๎นักเรียนแบํงกลํุมศึกษาความหมายของสานวน สภุ าษติ คาพังเพยจากใบความรเู๎ รื่อง
สานวน สุภาษติ คาพงั เพย
๒. นักเรียนทาแผนภาพความคดิ จาแนกความเหมือนความแตกตํางของสานวน สภุ าษติ และคา
๑๑๖
พงั เพย
๓. ตวั แทนกลมํุ นาเสนอแผนภาพความคิดจาแนกสานวน สุภาษติ และคาพังเพย
๔. ครใู หน๎ กั เรยี นไปคน๎ ควา๎ สุภาษติ และคาพงั เพย จากสานวนในสื่อตาํ ง ๆ เพอื่ นามาใช๎ในการเรียน
ช่วั โมงถดั ไป
ขนั้ สรปุ
ครูและนักเรยี นรวํ มกนั สรปุ ลกั ษณะท่เี หมือนและแตกตํางกนั ระหวํางสานวน สุภาษติ คาพังเพย
๖. สอ่ื /แหล่งเรยี นรู้
๑. ภาพสานวนไทย
๒. ใบความรู๎ เรอ่ื ง สานวน สุภาษิต คาพงั เพย
๓. แผนภาพความคดิ
๗. วดั ผลประเมินผล
วธิ ีการ เครอ่ื งมอื เกณฑ์
เขียนแผนภาพความคดิ แบบประเมนิ การเขียนแผนภาพความคิด ผาํ นเกณฑก์ ารประเมินรอ๎ ยละ
๖๐ ขนึ้ ไป
นาเสนอผลงาน แบบประเมนิ นาเสนอผลงาน ผาํ นเกณฑก์ ารประเมนิ
รอ๎ ยละ ๖๐ ขึ้นไป
ประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
ระดบั คณุ ภาพ ๒ ผํานเกณฑ์
๑๑๗
บนั ทึกหลังแผนการจัดการเรยี นรู้
๑. ด๎านความรู๎
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒. ดา๎ นสมรรถนะสาคัญของผูเ๎ รยี น
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓. ด๎านคุณลกั ษณะอันพึงประสงค/์ คาํ นิยม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๔. ด๎านอ่ืน ๆ (พฤตกิ รรมเดนํ หรอื พฤติกรรมที่มปี ัญหาของนกั เรียนเป็นรายบคุ คล (ถ๎ามี))
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๕. ปญั หา/อุปสรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๖. ข๎อเสนอแนะ/แนวทางการแก๎ปญั หา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………ครปู ระจาวชิ า
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๗. ความคดิ เหน็ ของผอู๎ านวยการสถานศกึ ษา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชือ่ ………………………………………ผอ๎ู านวยการสถานศกึ ษา
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๑๑๘
ทายภาพ เรอ่ื งสานวน สภุ าษิต คาพงั เพย
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ ๒ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ ๓ สานวน สภุ าษิต คาพงั เพย
รายวชิ าภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรียนที่ ๑ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๑
๑๑๙
ใบความรเู้ รอื่ ง สานวน สุภาษิต คาพงั เพย
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๒ แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๓ สานวน สุภาษิต คาพังเพย
รายวชิ าภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรียนที่ ๑ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๑
พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน (๒๕๕๔ : ๑๒๒๗) ไดอ๎ ธิบายความหมาย “สานวน” ไว๎วาํ
“ถ๎อยคาทเี่ รยี บเรยี ง, โวหาร, บางทีก็ใช๎วาํ สานวนโวหาร ; ถอ๎ ยคาหรือข๎อความท่ีกลาํ วสืบตํอกนั มาช๎านานแล๎ว
มคี วามหมายไมํตรงตามตวั หรอื มีความหมายอนื่ แฝงอยํู เชนํ สอนจระเขใ๎ ห๎วาํ ยนา้ ราไมดํ ีโทษปีโทษกลอง”
สานวน จงึ เป็นถ๎อยคาท่ีมคี วามหมายไมํตรงตามตวั อกั ษร เป็นคากลําวเชงิ เปรียบเทียบเพอ่ื ใช๎อธิบาย
การกระทา พฤติกรรม หรือส่งิ ใดส่ิงหนึง่ ท่ีผูพ๎ ดู ไมไํ ด๎กลําวถึงโดยตรง มีความหมายไมตํ รงรูปคา แตเํ ป็นท่ีเข๎าใจ
ความหมายกนั ระหวํางผส๎ู งํ สารกับผร๎ู บั สาร เชํน น้าทวํ มทํุง ตที า๎ ยครวั หมอ๎ ขา๎ วไมํทันดา
สภุ าษิต คือ ถอ๎ ยคาทีก่ ลาํ วไวเ๎ ปน็ คติหรอื เตอื นใจ มักเป็นถ๎อยคาทีก่ ลาํ วสบื ตอํ กนั มาชา๎ นานแลว๎ มี
จุดมุํงหมายเพื่อสงั่ สอนและเปน็ ข๎อเตอื นใจใหป๎ ฏิบตั ิตาม โดยมามคี าวาํ “อยํา” หรอื “ให”๎ ปรากฏในสุภาษิต
นน้ั ด๎วย เชนํ น้าเชี่ยวอยําขวางเรือ คบคนใหด๎ ูหนา๎ ซอื้ ผ๎าให๎ดเู นอ้ื
คาพังเพย คอื ถอ๎ ยคาท่ีกลาํ วให๎ขอ๎ คดิ โดยจะกลาํ วถึงพฤติกรรม การกระทาบางอยาํ งในสถานการณ์
ตําง ๆ เชนํ ปิดทองหลังพระ
ดงั น้ัน สภุ าษติ คาพงั เพย จึงจัดรวมอยูํใน “สานวน” ด๎วยกนั ท้ังคูํ เพราะมีความหมายในเชิง
เปรียบเทียบ และเป็นถอ๎ ยคาทใ่ี ช๎สบื เนอ่ื งกนั มานาน
ลักษณะของสภุ าษติ และคาพงั เพย
สภุ าษิต มีลกั ษณะเปน็ ถ๎อยคาทม่ี กั ใช๎ส้ัน ๆ กะทดั รดั แตํมีความหมายลกึ ซึ้ง มีสมั ผัสคล๎องจอง หรือ
บางคร้ังอาจใช๎คาแปลกชวนให๎สะดุดใจ คดิ ตีความ สวํ นใหญสํ ุภาษิตท่ใี ช๎กนั ในสังคมไทย มกั มีท่ีมาจากคาสอน
ทางพทุ ธศาสนา ธรรมะในพทุ ธศาสนา หรอื อาจนามาจากธรรมชาติ และส่ิงตาํ ง ๆ รอบตัว สภุ าษติ เป็นถอ๎ ยคา
ทกี่ ลําวสบื ตํอกันมาแตโํ บราณ มกั พบในวรรณคดเี ร่ืองตําง ๆ เชํน สุภาษติ พระรวํ ง โคลงโลกนติ ิ สุภาษิตสอน
หญงิ เป็นต๎น
ตวั อยา่ ง
ทาดีไดด๎ ี สอนวาํ หากทาดีกจ็ ะไดร๎ บั ผลดตี อบแทน
ทาชว่ั ไดช๎ ว่ั สอนวําหากทาช่ัวก็จะไดร๎ ับสิ่งไมดํ ีตอบแทน
น้าขน้ึ ให๎รีบตัก สอนใหร๎ ีบทาเมอื่ มีโอกาสดี
นา้ ขนํุ อยใูํ น น้าใสอยนูํ อก สอนใหเ๎ ก็บความไมํพอใจเอาไว๎ แสดงทําทีเปน็ มิตร
อยําไว๎ใจทาง อยําวางใจคน สอนไมํใหไ๎ ว๎ใจหรอื เชอ่ื อะไรใครงาํ ย ๆ
พึงเอาชนะความโกรธดว๎ ยความไมโํ กรธ สอนให๎รู๎จักระงับความโกรธ
๑๒๐
คาพังเพย มลี ักษณะเป็นถอ้ ยค้าท่ีให้ข้อคิด โดยกลา่ วถงึ พฤติกรรม หรือธรรมชาตริ อบตัว โดยมากมกั
เปน็ ถอ้ ยค้าท่ีเป็นข้อสรุปการกระท้าหรอื พฤตกิ รรมท่ัวไป อาจมที ี่มาจากนทิ าน ตา้ นาน วรรณคดี เปน็ ตน้
ตวั อย่าง
ทองไมร่ รู้ อ้ น หมายถงึ ทา้ ตวั ไม่มคี วามรูส้ ึก ไมม่ ปี ฏิกริ ิยา
ขม้ินกบั ปูน หมายถึง ไมถ่ ูกกัน ทะเลาะกันเปน็ ประจ้า
กบเลอื กนาย หมายถงึ คนช่างเลอื ก เลอื กมากจนตัวเองเดือดร้อน
ทา้ คณุ บูชาโทษ หมายถงึ ทา้ ความดแี ตก่ ลบั ไดร้ บั สิ่งไมด่ ตี อบแทน
ราไม่ดโี ทษปี่โทษกลอง หมายถึง ตนเองท้าผิด แต่โทษวา่ เป็นความผดิ ของผู้อื่น
มือไมพ่ าย เอาเทา้ รานา หมายถึง ตนเองไม่ชว่ ยท้า แล้วยงั ขดั ขวางการท้างานของผอู้ ่นื
คณุ คา่ ของสานวนไทย
ส้านวนไทยมีคณุ คา่ หลายประการ ดังน้ี
๑. ช่วยพฒั นาปญั ญาของคนไทยในสังคม
๒. เป็นมรดกแหง่ ภูมิปญั ญาทางภาษาไทย
๓. เป็นแนวทางประพฤติท่ดี ใี ห้แกค่ นในสังคม
๔. เปน็ แบบแผนควบคมุ พฤตกิ รรมของคนในสังคม
๕. สะท้อนวัฒนธรรม ประเพณี ศาสนาและวิถีชีวิตความเปน็ อยขู่ องคนไทย
สรปุ
สุภาษติ และคาพังเพยนั้น จัดเปน็ “สานวน” ด้วยกนั ท้ังคู่ เพราะมคี วามหมายในเชิงเปรยี บเทยี บ
และเป็นถ้อยคา้ ที่ใชส้ บื เนอ่ื งกันมานาน สภุ าษิต เป็นถ้อยคาทม่ี กั ใช้คา้ ส้ัน ๆ กะทดั รดั แต่มีความหมายลึกซงึ้ มี
สัมผัสคล้องจอง สว่ นใหญส่ ุภาษิตทใี่ ชใ้ นสังคมไทยมักมีท่ีมาจากค้าสอนทางพทุ ธศาสนา หรืออาจนามาจาก
ธรรมชาติ และสิ่งตา่ ง ๆ รอบตวั คาพังเพยเปน็ ถ้อยคา้ ที่ให้ข้อคิด โดยกลา่ วถึงพฤติกรรมหรอื ธรรมชาตริ อบตวั
ส่วนมากมักเปน็ ถ้อยคา้ ท่เี ปน็ ข้อสรุปการกระทา้ หรอื พฤติกรรมทว่ั ไป อาจมที ม่ี าจากนทิ าน ตานาน วรรณคดี
ส้านวนไทยมีคุณค่าหลายประการ เชน่ สะทอ้ นวฒั นธรรม ประเพณี ศาสนา และวิถีชีวติ ความเปน็ อยูข่ องคน
ไทย ชว่ ยพัฒนาปัญญาของคนในสังคมไทย เปน็ แนวทางประพฤติทด่ี ีให้แกค่ นในสังคม
๑๒๑
แผนการจดั การเรียนรู้
กลุม่ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๑
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ ๒ เรียนรู้ภาษิต เวลา ๑๒ ชัว่ โมง
เวลา ๑ ช่ัวโมง
แผนการเรียนรทู้ ี่ ๔ สานวน สุภาษติ คาพังเพย
ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศกึ ษา ๒๕๖5
สอนวันที่ เดือน พ.ศ. ตาแหนง่ ครู
ครผู สู้ อน นางสาวชาลสิ า หาญกจิ
๑. มาตรฐาน/ตัวช้วี ดั
มาตรฐาน ท ๔.๑ เขา๎ ใจธรรมชาตขิ องภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลัง
ของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไวเ๎ ปน็ สมบตั ิของชาติ
ตวั ชี้วัด
ม.๑/๖ จาแนกและใชส๎ านวนที่เปน็ คาพังเพยและสุภาษติ
๒. สาระสาคญั
สานวนท่ีมีใช๎ในชีวิตประจาวันควรใช๎ให๎เหมาะกับสถานการณ์และบริบทตํางๆ เพื่อให๎การส่ือสารมี
ประสทิ ธิผล และผฟ๎ู งั หรือผ๎อู ํานกจ็ ะสามารถตคี วามและเข๎าใจสานวนน้นั ไดอ๎ ยาํ งถูกตอ๎ ง
๓. จุดประสงค์การเรียนรู้
๑. นกั เรยี นอธบิ ายความหมายของสานวน สุภาษติ และคาพังเพยได๎
๒. นักเรยี นจาแนกสภุ าษิตและคาพงั เพยได
๓. นกั เรียนใช๎สานวนที่เปน็ สุภาษติ และคาพงั เพยได๎
๔. นกั เรียนใฝเ่ รียนรแ๎ู ละมีความมงุํ ม่ันในการทางาน
๔. สาระการเรียนรู้
สานวนท่เี ป็นคาพังเพยและสภุ าษิต
๕. การจัดกระบวนการจดั การเรยี นรู้
ข้ันนา
๑. ครใู ห๎นักเรียนเลํนเกมตอํ คาสานวนไทยและครซู กั ถามนกั เรยี นความหมายของสานวน
สภุ าษิต คาพังเพย
๒. นักเรียนยกตวั อยาํ งสานวนไทยพร๎อมสถานการณท์ น่ี ักเรยี นเคยนาสานวนมาใช๎
ขน้ั สอน
๑. แบงํ นักเรยี นออกเปน็ กลุํม ครูแจกใบงาน เร่อื ง สานวน สภุ าษติ คาพังเพย
๒. นกั เรยี นระดมความคดิ วิเคราะห์ และสงั เคราะหเ์ รอ่ื ง สานวน สุภาษิต คาพงั เพยและชํวยกัน
ทาใบงาน เรื่อง สานวน สุภาษิต คาพงั เพย
๓. ครใู ห๎ตัวแทนกลมุํ นาผลงานนาเสนอหน๎าชนั้ เรยี น
๔. ครูและนกั เรียนรวํ มแสดงความคิดเห็น สรปุ ใหข๎ อ๎ เสนอแนะการนาเสนอผลงาน
๑๒๒
๕. นักเรียนทาแบบทดสอบ เรื่อง สานวน สภุ าษติ คาพงั เพย
๖. ครูและนาให๎นกั เรยี นรวบรวมสานวนและความหมายจากหนงั สือเรยี นหรอื แหลงํ เรยี นร๎ตู าํ งๆ
เพ่อื นาไปประยุกตใ์ ชเ๎ ป็นคติสอนใจในการดาเนินชวี ิต
ข้ันสรปุ
นกั เรียนและครูชํวยกันสรุปความรู๎และคุณคาํ ของสานวน สุภาษติ และคาพงั เพย
๖. ส่อื /แหล่งเรียนรู้
๑. เกมตอํ สานวน
๒. ใบความรู๎ เร่อื ง สานวน สุภาษติ คาพงั เพย
๓. ใบงาน เรือ่ ง สานวน สุภาษติ คาพงั เพย
๔. แบบทดสอบ เร่ือง สานวน สภุ าษติ คาพังเพย
๗. วัดผลประเมินผล
วิธกี าร เคร่ืองมือ เกณฑ์
แบบทดสอบ ผาํ นเกณฑก์ ารประเมนิ ร๎อยละ
ทดสอบ ๖๐ ขน้ึ ไป
ใบงาน เร่ือง สานวน สภุ าษิต คาพงั เพย ผํานเกณฑ์การประเมนิ ร๎อยละ
ตรวจใบงาน เร่ือง สานวน สุภาษิต คาพังเพย ๖๐ ข้นึ ไป
แบบประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
ประเมินคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ ระดบั คณุ ภาพ ๒ ผาํ นเกณฑ์
๑๒๓
บันทกึ หลงั แผนการจัดการเรยี นรู้
๑. ด๎านความรู๎
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒. ด๎านสมรรถนะสาคญั ของผ๎เู รียน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓. ดา๎ นคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์/คาํ นิยม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๔. ดา๎ นอน่ื ๆ (พฤติกรรมเดนํ หรือพฤติกรรมทมี่ ปี ัญหาของนักเรียนเป็นรายบคุ คล (ถ๎ามี))
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๕. ปัญหา/อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๖. ข๎อเสนอแนะ/แนวทางการแก๎ปัญหา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่ือ………………………………………ครปู ระจาวชิ า
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๗. ความคดิ เหน็ ของผูอ๎ านวยการสถานศกึ ษา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่อื ………………………………………ผู๎อานวยการสถานศึกษา
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๑๒๔
เกมต่อสานวน เร่ือง สานวน สุภาษิต คาพังเพย
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ๒ แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี ๑ สานวน สภุ าษติ คาพังเพย
รายวิชาภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นที่ ๑ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๑
๑. กรวดน้า..........................
๒. กลิ้งครก..........................
๓. กลนื ไมํเขา๎ .......................
๔. กนิ ปนู ....................................
๕. ใกล๎เกลือ...............................
๖. ...........................คนงามเพราะแตงํ
๗. ..........................ขา๎ งในเป็นโพรง
๘. ..........................ออกตามประตู
๙. ..........................ถากดว๎ ยตา
๑๐. ............................ลบด๎วยเท๎า
๑๑. คับท.่ี ..............คบั ใจ...................
๑๒. งานหลวง.....................งานราษฎร.์ ..............
๑๓. จระเข.๎ ...................อยํูถา้ เดยี วกัน.................
๑๔. จอดเรือ........................ขม่ี า๎ ....................
๑๕. ชา๎ งตาย....................เอาใบบวั .........................
เฉลย ๒. กล้ิงครก ขนึ้ เขา
๑. กรวดนา้ ควา่ ขัน ๔. กนิ ปูน รอ้ นทอ้ ง
๓. กลืนไมํเขา๎ คายไมอ่ อก ๖. ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแตํง
๕. ใกลเ๎ กลือ กนิ ดา่ ง ๘. เข้าตามตรอก ออกตามประตู
๗. ขา้ งนอกสุกใส ข๎างในเปน็ โพรง ๑๐. เขียนด้วยมือ ลบด๎วยเท๎า
๙. ขุดดว้ ยปาก ถากด๎วยตา ๑๒. งานหลวงไมใ่ หข้ าด งานราษฎร์ไม่ใหเ้ สีย
๑๑. คบั ที่ อย่ไู ด้ คับใจอยยู่ าก ๑๔. จอดเรือไมด่ ทู ่า .ข้มี ๎าไม่ดทู าง
๑๓. จระเขส๎ องตัวอยถํู ้าเดียวกนั ไมไ่ ด้
๑๕. ช๎างตายท้ังตวั เอาใบบวั มาปิด
๑๒๕
ใบงาน เรอ่ื ง สานวน สภุ าษติ คาพงั เพย
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ ๒ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ ๔ สานวน สุภาษิต คาพงั เพย
รายวชิ าภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นท่ี ๑ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๑
ตอนที่ ๑ จงตอบคาถามตอ่ ไปน้ีให้ถูกตอ้ งสมบรู ณ์
สภุ าษิตคาพงั เพย จดั รวมอยู่ใน “สา้ นวน” ด้วยกนั ทง้ั คู่ เพราะ
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ตอนที่ ๒ จงจาแนกสานวนไทยตอ่ ไปนี้วา่ สานวนใดเป็นสุภาษติ สานวนใดเป็นคาพงั เพย
๑. บวั ไม่ให้ช้า น้าไมใ่ หข้ ุ่น เปน็ .....................................................................
๒. มีสลงึ พงึ บรรจบใหค้ รบบาท เปน็ .....................................................................
๓. มือถอื สาก ปากถอื ศีล เปน็ .....................................................................
๔. น้าขน้ึ ให้รีบตกั เปน็ .....................................................................
๕. กบเลอื กนาย เป็น .....................................................................
๖. ขม้ินกับปนู เป็น .....................................................................
๗. นา้ ขนุ่ อยู่ใน น้าใสอยนู่ อก เป็น .....................................................................
๘. อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน เป็น .....................................................................
๙. ท้าคณุ บชู ้าโทษ เปน็ .....................................................................
๑๐. พงึ เอาชนะความโกรธดว้ ยความไม่โกรธ เปน็ .....................................................................
๑๑. คบคนใหด้ ูหน้า ซือ้ ผา้ ให้ดเู น้อื เป็น .....................................................................
๑๒. เข้าเมืองต้าหล่วิ ตอ้ งหลว่ิ ตาตาม เปน็ ....................................................................
ตอนท่ี ๓ จงบอกความหมายของสานวนต่อไปน้ี
๑. สจู้ นยิบต้า หมายถงึ
..............................................................................................................................................................................
๒. งอมพระราม หมายถึง
.............................................................................................................................................................................
๓. เจ้าไมม่ ศี าล สมภารไม่มีวดั หมายถงึ
..............................................................................................................................................................................
๔. ตนี แมว หมายถึง
..............................................................................................................................................................................
๕. เข้าตามตรอกออกตามประตู หมายถึง
.............................................................................................................................................................................
๑๒๖
ตอนท่ี ๔ จงเตมิ สานวนลงในช่องวา่ งใหถ้ ูกต้องตรงความหมาย
๑. หาประโยชน์ใสต่ นโดยขูดรดี จากคนอื่น
.............................................................................................................................................................................
๒. สร้างเรื่องไมจ่ รงิ ให้เป็นเร่อื งจรงิ
.............................................................................................................................................................................
๓. คา้ พดู ตรง แตไ่ มน่ ่าฟงั
.............................................................................................................................................................................
๔. เอาความลบั ไปบอกให้ใคร ๆ รู้
.............................................................................................................................................................................
๕. ชอบวา่ คนอนื่ ไม่ดี แต่ตัวกับทา้ เสียเอง
.............................................................................................................................................................................
ตอนที่ ๕ คาชีแ้ จง : พิจารณาสถานการณต์ ่อไปนวี้ ่าตรงกับสานวนใด
๑. สมชายไม่ช่วยเพือ่ นทา้ รายงาน แลว้ ยังเปิดวทิ ยุเสยี งดงั รบกวนเพื่อน ตรงกบั ส้านวนใด
.............................................................................................................................................................................
๒. พอ่ แม่อุตส่าหก์ ู้หนยี้ มื สินหาเงนิ มาใหเ้ รยี นหนังสือกลบั หนีโรงเรียนเอาเงินไปเท่ยี วกับเพ่ือน
ตรงกบั ส้านวนใด .............................................................................................................................
๓. ครขู องฉันสอนลูกศิษย์ได้ผลดยี งิ่ ลูกศิษยส์ อบไดย้ กชน้ั ทุกปี ทา่ นทา้ งานมาเกือบสบิ ปีแลว้ เพงิ่ ได้
เงนิ เดือนขึ้นคร้ังเดียวเทา่ นนั้ ท้ังน้เี พราะท่านไมต่ อ้ งการโฆษณาความดีของทา่ น กา้ รกระทา้ ของ
ครนู ้ี ตรงกบั สา้ นวนใด
.............................................................................................................................................................................
๔. นกั การเมอื ง ๒ คนนี้ เขารู้จดุ อ่อนและเล่ห์เหลี่ยมของกนั และกัน ตรงกบั ส้านวนใด
.............................................................................................................................................................................
๕. นายแดงเป็นคนจน งานหา้ เลย้ี งชีพกไ็ ม่มที า้ แต่นายแดงชอบแตง่ ตัวหรหู ราจนคนอนื่ ๆ เข้าใจว่า
เปน็ คนร้่ารวย ลกั ษณะของนายแดงตรงกับส้านวนใด
.............................................................................................................................................................................
๑๒๗
เฉลยใบงาน เรือ่ งสานวน สุภาษิต คาพังเพย
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ ๒ แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๔ สานวน สุภาษิต คาพังเพย
รายวชิ าภาษาไทย รหัส ท๒๑๑๐๑ ภาคเรียนท่ี ๑ ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี ๑
ตอนที่ ๑ จงตอบคาถามตอ่ ไปนีใ้ หถ้ กู ต้องสมบรู ณ์
สภุ าษิตคาพังเพย จัดรวมอยู่ใน “สา้ นวน” ดว้ ยกนั ท้งั คู่ เพราะมคี วามหมายในเชงิ เปรยี บเทยี บ และเปน็
ถอ้ ยค้าที่ใช้สืบเนอื่ งกันมานาน
ตอนท่ี ๒ จงจาแนกสานวนไทยตอ่ ไปน้ีว่าสานวนใดเปน็ สภุ าษิตสานวนใดเป็นคาพังเพย
๑. บวั ไมใ่ หช้ ้า น้าไม่ใหข้ ุ่น เป็น สภุ าษติ
๒. มสี ลึงพงึ บรรจบให้ครบบาท เป็น สภุ าษติ
๓. มอื ถอื สาก ปากถือศีล เป็น คาพงั เพย
๔. นา้ ข้ึนให้รบี ตกั เปน็ สภุ าษติ
๕. กบเลอื กนาย เปน็ คาพังเพย
๖. ขมนิ้ กับปนู เป็น คาพังเพย
๗. นา้ ขนุ่ อย่ใู น น้าใสอยนู่ อก เป็น สุภาษิต
๘. อยา่ ไว้ใจทาง อย่าวางใจคน เป็น สภุ าษติ
๙. ท้าคุณบูชา้ โทษ เปน็ คาพังเพย
๑๐. พงึ เอาชนะความโกรธดว้ ยความไมโ่ กรธ เปน็ สุภาษติ
๑๑. มะกอสามตะกร้าปาไมถ่ ูก เป็น คาพงั เพย
๑๒. ปลาหมอตายเพราะปาก เป็น คาพังเพย
ตอนท่ี ๓ จงบอกความหมายของสานวนตอ่ ไปน้ี
๑. สูจ้ นยบิ ต้า หมายถงึ ส้จู นถึงทส่ี ดุ สไู้ มถ่ อย
๒. งอมพระราม หมายถงึ มีความทกุ ข์ความล้าบากเต็มที่
๓. เจา้ ไม่มศี าล สมภารไมม่ ีวัด หมายถึง ผู้ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
๔. ตนี แมว หมายถงึ พวกยอ่ งเบา ขโมย
๕. เข้าตามตรอกออกตามประตู หมายถึง ทา้ ตามธรรมเนียมเรอื่ งการสขู่ อ
ตอนที่ ๔ จงเติมสานวนลงในชอ่ งวา่ งใหถ้ ูกต้องตรงความหมาย
๑. หาประโยชน์ใสต่ นโดยขูดรีดจากคนอนื่ รดี เลอื ดกบั ปู
๒. สรา้ งเรื่องไมจ่ ริงให้เป็นเร่อื งจริง ปนั้ นา้ เป็นตัว
๓. ค้าพูดตรง แต่ไมน่ ่าฟงั ขวานผา่ ซาก
๔. เอาความลบั ไปบอกให้ใคร ๆ รู้ ฆ้องปากแตก กินในท่ีลบั ไขในทแี่ จ้ง
๕. ชอบว่าคนอนื่ ไม่ดี แต่ตวั กับท้าเสยี เอง ว่าแตเ่ ขาอเิ หนาเปน็ เอง
๑๒๘
ตอนท่ี ๕ คาชแ้ี จง : พิจารณาสถานการณ์ตอ่ ไปนวี้ า่ ตรงกับสานวนใด
๑. สมชายไม่ชว่ ยเพอ่ื นทา้ รายงาน แลว้ ยงั เปดิ วทิ ยเุ สียงดงั รบกวนเพอ่ื น ตรงกับส้านวนใด
มือไม่พายเอาเท้าราน้า
๒. พอ่ แม่อตุ ส่าห์กหู้ นีย้ ืมสนิ หาเงินมาให้เรยี นหนงั สอื กลบั หนีโรงเรียนเอาเงินไปเทีย่ วกบั เพื่อนตรงกบั สา้ นวนใด
คบคนพาล พาลไปหา้ ผิด
๓. ครขู องฉนั สอนลูกศษิ ย์ไดผ้ ลดียง่ิ ลูกศษิ ย์สอบไดย้ กช้ันทกุ ปี ทา่ นท้างานมาเกอื บสบิ ปีแล้วเพ่ิงได้
เงนิ เดือนขึ้นครั้งเดียวเทา่ นั้น ทง้ั นเี้ พราะทา่ นไมต่ อ้ งการโฆษณาความดีของท่าน ก้ารกระทา้ ของ
ครนู ี้ ตรงกบั สา้ นวนใด
ปิดทองหลังพระ
๔. นกั การเมือง ๒ คนน้ี เขาร้จู ดุ ออ่ นและเล่ห์เหล่ียมของกันและกัน ตรงกบั สา้ นวนใด
ไกเ่ หน็ ตีนงู งเู ห็นนมไก่
๕. นายแดงเป็นคนจน งานหาเล้ยี งชีพก็ไม่มที ้า แต่นายแดงชอบแต่งตวั หรหู ราจนคนอืน่ ๆ เขา้ ใจว่า
เป็นคนร่้ารวย ลักษณะของนายแดงตรงกบั สา้ นวนใด
ขา้ งนอกสุกใส ขา้ งในเป็นโพรง
๑๒๙
แบบทดสอบ เร่อื ง สานวน สภุ าษติ คาพังเพย
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ ๒ แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ ๔ เร่อื ง สานวน สุภาษิต คาพังเพย
รายวชิ าภาษาไทย รหัส ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นที่ ๑ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๑
คาชแ้ี จง ใหน้ ักเรียนเลอื กคา้ ตอบทีถ่ ูกต้องทส่ี ดุ เพียงข้อเดียวเท่าน้นั
๑. ข้อใดเปน็ ค้าพังเพย
ก. ขมนิ้ กบั ปนู
ข. น้าข้นึ ให้รบี ตกั
ค. น้าขนุ่ อยู่ใน นา้ ใสอยู่นอก
ง. พงึ เอาชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ
๒. ข้อใดไม่ใชค่ า้ พังเพย
ก. ทองไมร่ ูร้ อ้ น
ข. กระตา่ ยต่นื ตมู
ค. ทา้ ดไี ดด้ ี ทา้ ชั่วไดช้ ่ัว
ง. มอื ไมพ่ าย เอาเทา้ รานา้
๓. “สมทรงไมช่ ว่ ยเพอื่ นท้ารายงาน แลว้ ยงั เปิดวทิ ยุเสยี งดังรบกวนเพือ่ น” ข้อความน้ีควรใช้สา้ นวนใด
ก. กนิ ในที่ลับไขในท่แี จง้
ข. มอื ไม่พายเอาเท้ารานา้
ค. คบคนพาล พาลพ้าไปหา้ ผิด
ง. เขา้ ตามตรอกออกตามประตู
๔. นักการเมือง ๒ คนน้ี เขารู้จุดออ่ นและเลห่ เ์ หลี่ยมของกันและกัน ข้อความนี้ควรใชส้ า้ นวนใด
ก. สจู้ นยบิ ตา้
ข. ว่าแตเ่ ขาอเิ หนาเป็นเอง
ค. ไก่เหน็ ตนี งู งเู ห็นนมไก่
ง. ข้างนอกสกุ ใส ข้างในเปน็ โพรง
๕. "วนั พรุ่งนี้สอบ คืนนค้ี อ่ ยดหู นังสอื " ตรงกบั สา้ นวนใด
ก. หวงั น้าบอ่ หนา้
ข. ใจดีสเู้ สอื
ค. ตา้ ขา้ วสารกรอกหม้อ
ง. ช้าๆ ได้พรา้ สองเล่มงาม
๖. "คนเราจติ ใจต่างกนั " พูดเป็นสา้ นวนว่าอยา่ งไร
ก. ขนมพอสมนา้ ยา้
ข. ลางเนอ้ื ชอบลางยา้
ค. คอหยัก ๆ สักแต่ว่าคน
ง. คับท่อี ยู่ได้คบั ใจอยยู่ าก
๗. "พกหนิ ดีกว่าพกนุ่น" หมายความวา่ อย่างไร
ก. หนิ หนกั กวา่ นนุ่
ข. ไปไหนควรเอาหนิ ไปด้วย
๑๓๐
ค. ทา้ งานหนกั ได้ประโยชนก์ วา่ งานเบา
ง. ให้ใจคอหนักแนน่ อย่้าหเู บาใจเบา
๘. "ตีปลาหนา้ ไซ" หมายความวา่ อย่างไร
ก. จบั ปลาไดม้ าก
ข. ทา้ รา้ ยเดก็ ต่อหน้าผใู้ หญ่
ค. ทา้ ให้ผอู้ ่ืนเสยี ประโยชนท์ ี่เขาควรจะได้
ง. ฉวยโอก้าสกอบโกย
๙. ผทู้ ่ีมีส่งิ ท่ตี นไมร่ คู้ ุณคา่ อปุ มาว่าอยา่ งไร
ก. ก้งิ ก่าไดท้ อง
ข. วานรได้แกว้
ค. หวั ล้านได้หวี
ง. ต้าบอดได้แว่น
๑๐. "คนท่ีรู้อะไรด้านเดยี ว แลว้ กเ็ ข้าใจว่าวา่ สิง่ นน้ั เปน็ อย่างน้นั "
ก. ต้าบอดได้แวน่
ข. ต้าบอดคลา้ ช้าง
ค. ต้าบอดสอดตา้ เห็น
ง. ต้าบอดตา้ ใส
เฉลย ๑. ก ๒. ค ๓. ข ๔. ค ๕. ค ๖. ข ๗. ง ๘. ง ๙. ข ๑๐. ข
๑๓๑
แผนการจดั การเรียนรู้
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ระดับชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี ๑
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ ๒ สานวน สุภาษิต คาพงั เพย เวลา ๑๒ ชั่วโมง
เวลา ๑ ช่วั โมง
แผนการเรยี นรูท้ ี่ ๕ วิจักษว์ รรณคดี
ภาคเรียนที่ ๑ ปกี ารศึกษา ๒๕๖5
สอนวนั ท่ี เดอื น พ.ศ. ตาแหนง่ ครู
ครูผู้สอน นางสาวชาลสิ า หาญกิจ
๑. มาตรฐาน/ตวั ชี้วดั
มาตรฐาน ท ๕.๑ เข๎าใจและแสดงความคิดเหน็ วจิ ารณว์ รรณคดแี ละวรรณกรรมไทยอยํางเห็นคุณคํา
และนามาระยกุ ตใ์ ช๎ในชวี ิตจรงิ
ตวั ช้วี ดั
ม.๑/๑ สรปุ เน้อื หาวรรณคดีและวรรณกรรมทอ่ี าํ น
ม.๑/๒ วิเคราะหว์ รรณคดีและวรรณกรรมทีอ่ าํ นพร๎อมเหตุผลประกอบ
ม.๑/๓ อธบิ ายคณุ คาํ ของวรรณคดแี ละวรรณกรรมท่ีอําน
ม.๑/๔ สรุปความรู๎และขอ๎ คดิ จากการอํานเพ่อื ประยกุ ตใ์ ชใ๎ นชวี ิตจริง
๒. สาระสาคญั
สุภาษิตพระรํวงเป็นคาสอนที่มีมาตั้งแตํอดีตและยึดถือเป็นคติเตือนใจมาจนถึงปัจจุบัน ด๎วยเป็น
สุภาษิตที่มีคุณคํา ให๎ข๎อคิด คติธรรมในการดาเนินชีวิต นับวําเป็นวรรณคดีท่ีมีคุณคําตํอบุคคลและสังคม ซ่ึง
ควรคแํู กํการศกึ ษาและปฏิบัติตามคาสอนเพ่ือความเจรญิ รุงํ เรอื งและเป็นสริ มิ งคล
๓. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
๑. นักเรยี นอธบิ ายหลักการวิเคราะหว์ รรณคดเี รอื่ งสุภาษิต พระรวํ ง
๒. นักเรียนสรุปเนอื้ หาวรรณคดีเรอื่ งสภุ าษติ พระรวํ ง
๓. นกั เรยี นวเิ คราะหว์ รรณคดแี ละวรรณกรรมเร่อื ง สุภาษิต พระรํวงได๎
๔. นกั เรยี นสรุปเนอื้ หาวรรณคดีและวรรณกรรมเร่อื ง สภุ าษิตพระรํวงได
๕. นกั เรยี นใฝ่เรยี นรแู๎ ละมีความมํงุ มั่นในการทางาน
๔. สาระการเรียนรู้
๑. การสรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรม
๒. การวิเคราะหว์ รรณคดีและวรรณกรรม
๕. การจดั กระบวนการจดั การเรยี นรู้
ขน้ั นา
๑. ครยู กตัวอยาํ งสุภาษติ ในเรอื่ งสภุ าษติ พระรวํ ง เชนํ
เมอื่ น๎อยให๎เรียนวิชา
ได๎สวํ ยอยาํ มักมาก
๑๓๒
ตระกลู ตนจงคานบั
๒. นกั เรียนรวํ มกันวิเคราะหล์ กั ษณะเนอ้ื หาของสุภาษิตวาํ มีลักษณะมํงุ ใหป๎ ฏิบตั ิเชํนไร (ขอ๎ หา๎ ม
คาสงั่ ข๎อแนะนา)
ขัน้ สอน
๑. แบงํ นักเรียนออกเป็นกลํุมศกึ ษาวรรณคดี เรือ่ ง สุภาษิตพระรวํ ง จากหนงั สือแบบเรยี น
ภาษาไทย พร๎อมท้ังสรุปประเดน็ ดงั นี้
๑) ความเป็นมาของเร่อื ง/ประเภทของ วรรณคดี
๒) ประวตั ิผแ๎ู ตงํ
๓) ลกั ษณะคาประพนั ธ์
๔) ลักษณะของเนื้อเรื่อง จัดทาเป็นแผนภาพความคดิ
๒. นักเรยี นแตํละกลํมุ นาเสนอผลงานการศกึ ษาตามประเดน็ ทร่ี บั ผิดชอบ ครซู ักถามนกั เรียน
พรอ๎ มให๎คาเสนอแนะเพ่ิมเติมและชมเชยผลงานของนกั เรียน
๓. นักเรยี นทาใบงานเรือ่ งสภุ าษิตพระรวํ งครตู รวจใบงานนักเรยี น
๔. ครูเสนอแนะให๎นักเรยี นศึกษาและค๎นควา๎ ความหมายของสภุ าษติ ทีป่ รากฏในเรอื่ งสุภาษติ
พระรวํ ง
ข้นั สรุป
นักเรยี นครูรวํ มกันสรปุ เน้ือหาและบันทึกลงในสมดุ งานของตนเอง
๖. ส่ือ /แหล่งเรียนรู้
๑. ใบงาน เร่ือง สุภาษติ พระรวํ ง
๗. วดั ผลประเมินผล
วิธีการ เคร่ืองมอื เกณฑ์
ตรวจใบงาน เรือ่ ง สุภาษิตพระรํวง ใบงาน เรอื่ ง สุภาษติ พระรวํ ง ผาํ นเกณฑ์การประเมินร๎อยละ
๖๐ ข้ึนไป
ตรวจแผนภาพความคดิ แบบประเมนิ แผนภาพความคดิ ผํานเกณฑ์การประเมนิ ร๎อยละ
นาเสนอผลงาน แบบประเมินนาเสนอผลงาน ๖๐ ขน้ึ ไป
ผํานเกณฑ์การประเมนิ ร๎อยละ
ประเมนิ คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ แบบประเมินคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ๖๐ ข้นึ ไป
ระดับคณุ ภาพ ๒ ผาํ นเกณฑ์
๑๓๓
บันทึกหลงั แผนการจดั การเรียนรู้
๑. ด๎านความรู๎
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒. ดา๎ นสมรรถนะสาคัญของผูเ๎ รยี น
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓. ด๎านคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์/คาํ นิยม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๔. ด๎านอ่ืน ๆ (พฤตกิ รรมเดนํ หรอื พฤตกิ รรมทมี่ ปี ญั หาของนักเรียนเป็นรายบคุ คล (ถา๎ มี))
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๕. ปญั หา/อุปสรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๖. ข๎อเสนอแนะ/แนวทางการแก๎ปัญหา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………ครูประจาวชิ า
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๗. ความคดิ เหน็ ของผอู๎ านวยการสถานศึกษา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่ือ………………………………………ผอู๎ านวยการสถานศึกษา
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๑๓๔
ใบงาน เร่ือง สุภาษติ พระรว่ ง
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี ๒ แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๕ วิจกั ษว์ รรณคดี
รายวิชาภาษาไทย รหัส ท๒๑๑๐๑ ภาคเรียนท่ี ๑ ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี ๑
คาชี้แจง ให๎นักเรียนอํานวรรณคดีเรื่อง สุภาษิตพระรวํ ง แล๎วตอบคาถาม
๑. รูปแบบและลักษณะคาประพันธข์ องวรรณคดเี รอื่ ง สุภาษิตพระรวํ ง มีลักษณะอยาํ งไร
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................ ...............
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
๒.ใหน๎ ักเรียนเขยี นแผนผังลกั ษณะคาประพันธ์ประเภทรํายสุภาพ และโคลงสองสภุ าพ พรอ๎ มโยง
สัมผัส
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
๓. เน้อื หาของวรรณคดเี ร่ือง สภุ าษิตพระรวํ ง มลี ักษณะอยาํ งไร
.............................................................................................................................................. .............................
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
๑๓๕
เฉลยใบงาน เรื่อง สุภาษิตพระรว่ ง
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ๒ แผนการจดั การเรยี นรูท้ ่ี ๕ วิจกั ษ์วรรณคดี
รายวชิ าภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นท่ี ๑ ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี ๑
คาช้แี จง ให๎นกั เรียนอํานวรรณคดีเรอื่ ง สุภาษติ พระรวํ ง แล๎วตอบคาถาม
๑. รปู แบบและลกั ษณะคาประพนั ธข์ องวรรณคดเี ร่อื ง สุภาษติ พระรํวง มลี ักษณะอยาํ งไร
สภุ าษติ พระร่วง มรี ปู แบบเป็นวรรณคดีคาสอน แตง่ ดว้ ยคาประพนั ธป์ ระเภทร่ายสภุ าพ วรรคละ
๕-๘ คา รา่ ยแตล่ ะวรรคมีการรับส่งสัมผัสกันอยา่ งสมา่ เสมอ คาสดุ ทา้ ยของวรรคหน้าจะสมั ผสั กบั คาใน
วรรคต่อไปแตไ่ มก่ าหนดตาแหนง่ คารับสัมผสั ที่ตายตวั และจบลงดว้ ยโคลงสองสภุ าพ
๒.ใหน๎ ักเรียนเขียนแผนผังลกั ษณะคาประพนั ธป์ ระเภทราํ ยสุภาพ และโคลงสองสุภาพ พรอ๎ มโยง
สัมผัส
๓. เนื้อหาของวรรณคดเี ร่อื ง สุภาษติ พระรวํ ง มีลักษณะอยาํ งไร
เน้อื หาของสุภาษติ พระรว่ ง แบ่งเปน็ ๓ ลักษณะ คือ คาสอนทเ่ี ปน็ ขอ้ ห้าม คาส่งั และคาสอนท่ีเป็น
ขอ้ แนะนา
๑๓๖
แผนการจดั การเรียนรู้
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ระดบั ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๑
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๒ สานวน สุภาษติ คาพังเพย เวลา ๑๒ ชั่วโมง
เวลา ๑ ช่วั โมง
แผนการเรยี นรู้ที่ ๖ วิจกั ษว์ รรณคดี
ภาคเรยี นที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖5
สอนวนั ท่ี เดือน พ.ศ. ตาแหนง่ ครู
ครผู สู้ อน นางสาวชาลิสา หาญกิจ
๑. มาตรฐาน/ตัวชีว้ ัด
มาตรฐาน ท ๕.๑ เขา๎ ใจและแสดงความคิดเหน็ วจิ ารณว์ รรณคดแี ละวรรณกรรมไทยอยาํ งเหน็ คุณคํา
และนามาระยกุ ตใ์ ช๎ในชวี ติ จริง
ตวั ชีว้ ัด
ม.๑/๑ สรปุ เนอ้ื หาวรรณคดีและวรรณกรรมที่อาํ น
ม.๑/๒ วิเคราะหว์ รรณคดีและวรรณกรรมท่ีอํานพรอ๎ มเหตุผลประกอบ
ม.๑/๓ อธบิ ายคุณคาํ ของวรรณคดีและวรรณกรรมที่อําน
ม.๑/๔ สรปุ ความรแู๎ ละขอ๎ คดิ จากการอํานเพ่ือประยุกตใ์ ช๎ในชวี ติ จริง
๒. สาระสาคญั
สุภาษิตพระรํวงเป็นคาสอนท่ีมีมาตั้งแตํอดีตและยึดถือเป็นคติเตือนใจมาจนถึงปัจจุบัน ด๎วยเป็น
สุภาษิตที่มีคุณคํา ให๎ข๎อคิด คติธรรมในการดาเนินชีวิต นับวําเป็นวรรณคดีที่มีคุณคําตํอบุคคลและสังคม ซ่ึง
ควรคูํแกํการศึกษาและปฏิบตั ิตามคาสอนเพือ่ ความเจรญิ รงํุ เรืองและเปน็ สริ มิ งคล
๓. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
๑. นกั เรียนมคี วามรค๎ู วามเขา๎ ใจคุณคําของวรรณคดแี ละวรรณกรรมทีอ่ าํ น
๒. นกั เรียนสรปุ ความรแู๎ ละข๎อคดิ จากการอาํ นไปประยกุ ตใ์ ช๎ในชวี ิตจรงิ ได๎
๓. นกั เรยี นวเิ คราะหค์ ณุ คําของคาประพันธ์
๔. นกั เรียนใฝ่เรยี นรู๎และมีความมงุํ ม่นั ในการทางาน
๔. สาระการเรยี นรู้
๑. การวเิ คราะหค์ ณุ คาํ ของวรรณคดแี ละวรรณกรรม
๒. การสรปุ ความรู๎และข๎อคิดจากการอํานไปประยกุ ต์ใชใ๎ นชวี ติ จรงิ
๕. การจดั กระบวนการจัดการเรยี นรู้
ขัน้ นา
ครูยกตวั อยํางสภุ าษิตในเร่ืองสุภาษิตพระรวํ ง เชนํ
ครูบาสอนอยาํ โกรธ
อยาํ ดถู กู คนจร
ห่ิงหอ๎ ยอยําแขํงไฟ
อยาํ รกั ถา้ กวําเรอื น
๑๓๗
ใหน๎ กั เรยี นชวํ ยกนั วเิ คราะหเ์ น้ือหาสุภาษติ วํามีลกั ษณะใด (ขอ๎ ห๎าม คา๎ สั่ง ขอ๎ แนะนา๎ )
ขั้นสอน
๑. แบํงนักเรยี นออกเป็นกลมุํ ศึกษาสภุ าษติ พระรวํ ง ดังน้ี
๑.สุภาษติ พระรวํ งแสดงใหเ๎ ห็นลักษณะเดํนของภาษาไทยอยํางไร
๒.คาสอนในสภุ าษติ มีความทนั สมัยหรือไมํอยํางไร
๓.สภุ าษติ มบี ทบาทตํอวถิ ีการดารงชวี ติ ในสงั คมอยํางไร
๒. นักเรยี นแตํละกลมํุ วเิ คราะห์เนอ้ื หาจากวรรณคดเี ร่อื งสุภาษิตพระรวํ ง พร๎อมยกตัวอยาํ ง
เหตกุ ารณ์ทีเ่ กดิ ขน้ึ ในชีวติ ประจา๎ วนั ที่นักเรยี นสามารถนาคาสอนเหลํานน้ั ไปปรับใชไ๎ ด๎
๓. นักเรยี นแตลํ ะกลมํุ น๎าเสนอผลงานการศกึ ษาตามประเดน็ ทร่ี บั ผิดชอบ ครูซกั ถามนกั เรยี น
พรอ๎ มให๎ขอ๎ เสนอแนะเพ่ิมเติม และชมเชยผลงานของนกั เรียน
๔. นกั เรยี นทาใบงานเร่อื ง สุภาษิตพระรํวง
๕. ครใู หน๎ กั เรียนเขยี นข๎อคิดหรอื คติประจาใจที่นกั เรยี นยดึ เปน็ หลักในการปฏบิ ัตติ นลงในสมดุ
และตกแตงํ ให๎สวยงาม
ข้ันสรุป
ครูและนกั เรยี นสรุปข๎อคิดท่ไี ดจ๎ ากเรอื่ งสภุ าษติ พระรํวง
๖. สือ่ /แหลง่ เรยี นรู้
๑. ใบงานเร่ือง สภุ าษติ พระรํวง
๒. หนังสือเรยี น
๗. วัดผลประเมินผล
วิธกี าร เคร่อื งมอื เกณฑ์
ตรวจใบงานเรอ่ื ง สุภาษิตพระรวํ ง ใบงานเรือ่ ง สุภาษิตพระรํวง ผาํ นเกณฑ์การประเมินร๎อยละ
๖๐ ข้ึนไป
นาเสนอผลงาน แบบประเมนิ นาเสนอผลงาน ผํานเกณฑก์ ารประเมนิ ร๎อยละ
๖๐ ข้ึนไป
ประเมินคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ แบบประเมินคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
ระดบั คุณภาพ ๒ ผํานเกณฑ์
๑๓๘
บนั ทึกหลังแผนการจัดการเรยี นรู้
๑. ด๎านความรู๎
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒. ดา๎ นสมรรถนะสาคัญของผูเ๎ รยี น
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓. ด๎านคุณลกั ษณะอันพึงประสงค/์ คาํ นิยม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๔. ด๎านอ่ืน ๆ (พฤตกิ รรมเดนํ หรอื พฤติกรรมที่มปี ัญหาของนกั เรียนเป็นรายบคุ คล (ถ๎ามี))
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๕. ปญั หา/อุปสรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๖. ข๎อเสนอแนะ/แนวทางการแก๎ปญั หา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………ครปู ระจาวชิ า
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๗. ความคดิ เหน็ ของผอู๎ านวยการสถานศกึ ษา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชือ่ ………………………………………ผ๎ูอานวยการสถานศกึ ษา
(…………………………………………….)
…………/…………/…………