๑๓๙
ใบงานเรื่อง สุภาษติ พระร่วง
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๒ แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๖ วจิ กั ษ์วรรณคดี
รายวชิ าภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรียนท่ี ๑ ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี ๑
ตอนท่ี ๑ สภุ าษิตพระรํวงทก่ี าหนดเป็นการสอนเกี่ยวกับเรื่องใด
๑. อยําใฝต่ นใหเ๎ กิน …………………………………………….
๒. ทดแทนคณุ ทาํ นเม่ือยาก …………………………………………….
๓. เขา๎ เถอื่ นอยาํ ลมื พร๎า …………………………………………….
๔. พงึ ผนั เผือ่ ตอํ ญาติ …………………………………………….
๕. อยาํ ใฝส่ ูงให๎พ๎นศกั ด์ิ …………………………………………….
๖. อยาํ ใฝเ่ อาทรพั ยท์ าํ น …………………………………………….
๗. อยาํ ผูกมิตรคนจร …………………………………………….
๘. อยาํ ขัดแขง็ ผ๎ูใหญํ …………………………………………….
๙. อยาํ รักหาํ งกวําชดิ …………………………………………….
๑๐. อยําใจเบาจงหนกั …………………………………………….
ตอนท่ี ๒ นกั เรยี นยกตวั อยาํ งท่ีนกั เรยี นพบเหน็ ในชวี ติ ประจาวนั จากส่อื ตาํ งๆ เชํน หนงั สอื พมิ พ์ วารสาร/
นิตยสาร วทิ ยุ โทรทศั น์ และอนิ เทอรเ์ น็ต ที่นักเรยี นสามารถนาข๎อคิดจากเร่ืองสุภาษิตไปปรับใชไ๎ ด๎ พร๎อม
แสดงความคดิ เห็น
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
๑๔๐
เฉลยใบงานเรือ่ ง สุภาษติ พระรว่ ง
หน่วยการเรยี นรู้ที่ ๒ แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี ๖ วิจกั ษว์ รรณคดี
รายวิชาภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรียนที่ ๑ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๑
ตอนท่ี ๑ สภุ าษิตพระรํวงท่กี าหนดเปน็ การสอนเก่ยี วกบั เรือ่ งใด
๑. อยําใฝ่ตนใหเ๎ กิน สอนใหร้ จู้ กั ประมาณตน
๒. ทดแทนคณุ ทาํ นเมอ่ื ยาก สอนใหร้ ูจ้ กั กตัญญูรู้คุณ
๓. เข๎าเถ่ือนอยําลืมพรา๎ สอนให้ตั้งตนอยใู่ นความไมป่ ระมาท
๔. พึงผนั เผอ่ื ตํอญาติ สอนให้มคี วามเออ้ื เฟ้อื เผ่ือแผต่ ่อญาติ
๕. อยาํ ใฝ่สูงใหพ๎ ๎นศักดิ์ สอนให้รูจ้ กั ประมาณตน
๖. อยาํ ใฝเ่ อาทรพั ย์ทําน สอนใหม้ ศี ลี ธรรม
๗. อยาํ ผูกมิตรคนจร สอนให้รจู้ กั เลอื กคบคน
๘. อยาํ ขัดแขง็ ผใู๎ หญํ สอนให้ร้จู กั กาลเทศะ
๙. อยาํ รักหาํ งกวําชดิ สอนให้เหน็ ความสาคญั ของญาตพิ ีน่ อ้ ง
๑๐. อยําใจเบาจงหนกั สอนให้มีความหนักแน่น
ตอนที่ ๒ นกั เรียนยกตวั อยํางทนี่ กั เรยี นพบเหน็ ในชวี ติ ประจ๎าวันจากสื่อตาํ งๆ เชนํ หนังสือพมิ พ์ วารสาร/
นติ ยสาร วทิ ยุ โทรทัศน์ และอนิ เทอรเ์ น็ต ที่นักเรียนสามารถนาข๎อคดิ จากเรอ่ื งสุภาษิตไปปรบั ใชไ๎ ด๎ พรอ๎ ม
แสดงความคดิ เหน็
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
................................ขึ้นอยกํู บั ดุลยพินิจของครูผส๎ู อน………………………………........................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
๑๔๑
แผนการจดั การเรียนรู้
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย ระดบั ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๑
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี ๒ สานวน สภุ าษิต คาพงั เพย เวลา ๑๒ ช่ัวโมง
เวลา ๑ ชัว่ โมง
แผนการเรยี นรทู้ ่ี ๖ วิจักษว์ รรณคดี (คุณค่าด้านวรรณศลิ ป์)
ภาคเรยี นที่ ๑ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖5
สอนวันที่ เดือน พ.ศ. ตาแหนง่ ครู
ครผู ูส้ อน นางสาวชาลสิ า หาญกจิ
๑. มาตรฐาน/ตัวชี้วดั
มาตรฐาน ท ๕.๑ เขา๎ ใจและแสดงความคิดเห็น วจิ ารณว์ รรณคดีและวรรณกรรมไทยอยํางเห็นคุณคาํ
และนามาระยกุ ตใ์ ช๎ในชวี ิตจริง
ตวั ชว้ี ดั
ม.๑/๑ สรปุ เนอ้ื หาวรรณคดีและวรรณกรรมทอ่ี าํ น
ม.๑/๒ วิเคราะห์วรรณคดแี ละวรรณกรรมที่อาํ นพร๎อมเหตผุ ลประกอบ
ม.๑/๓ อธิบายคณุ คาํ ของวรรณคดแี ละวรรณกรรมท่อี ําน
ม.๑/๔ สรปุ ความรูแ๎ ละข๎อคิดจากการอํานเพื่อประยกุ ตใ์ ช๎ในชวี ติ จรงิ
๒. สาระสาคญั
สุภาษิตพระรํวงเป็นคาสอนที่มีมาตั้งแตํอดีตและยึดถือเป็นคติเตือนใจมาจนถึงปัจจุบัน ด๎วยเป็น
สุภาษิตท่ีมีคุณคํา ให๎ข๎อคิด คติธรรมในการดาเนินชีวิต นับวําเป็นวรรณคดีที่มีคุณคําตํอบุคคลและสังคม ซ่ึง
ควรคแูํ กกํ ารศกึ ษาและปฏบิ ตั ิตามคาสอนเพ่ือความเจรญิ รํงุ เรอื งและเป็นสริ ิมงคล
๓. จุดประสงค์การเรียนรู้
๑. นักเรยี นอธบิ ายคุณคําดา๎ นวรรณศลิ ป์ในวรรณคดีเรอ่ื งสุภาษติ พระรวํ งได๎
๒. นักเรยี นวิเคราะห์คุณคาํ ดา๎ นวรรณศลิ ปว์ รรณคดี เรือ่ งสภุ าษติ พระรํวงได๎
๓. นักเรียนใฝ่เรยี นรูแ๎ ละมีความมุงํ ม่นั ในการทางาน
๔. สาระการเรยี นรู้
๑. การวิเคราะห์คุณคาํ ของวรรณคดแี ละวรรณกรรม
๒. การสรปุ ความรแ๎ู ละขอ๎ คิดจากการอํานไปประยุกต์ใชใ๎ นชวี ิตจริง
๕. การจดั กระบวนการจดั การเรยี นรู้
ขั้นนา
ครยู กตวั อยาํ งวรรคทอง (วรรคทอง คือ คาประพนั ธ์ท่ีมีการเรยี งร๎อยคาท่ไี พเราะ อกี ทั้งใหพ๎ ลงั
ความรู๎สกึ ที่ชดั เจนและมคี ุณคําตํอจติ ใจ มคี ติสอนใจ)
“ถึงบางพูดพดู ดีเปน็ ศรศี กั ด์ิ
มคี นรักรสถ๎อยอรํอยจติ
แม๎นพูดชวั่ ตวั ตายทาลายมิตร
๑๔๒
จะชอบผดิ ในมนุษยเ์ พราะพูดจา”
(นิราศภเู ขาทอง : สุนทรภํ)ู
ครถู ามนักเรียนวาํ คาประพนั ธข์ า๎ งตน๎ มคี ณุ คาํ ด๎านวรรณศิลป์ในประเด็นใดบา๎ ง (วรรณศิลป์ คือ
ศลิ ปะในการแตํง เชํน สมั ผสั พยญั ชนะ/สระการเลนํ คา)
ขนั้ สอน
๑. นักเรียนแบงํ กลํมุ ออกเป็น ๕ กลุํม ศึกษาคุณคําดา๎ นวรรณศลิ ปใ์ นสุภาษติ พระรํวง
๑. คาสมั ผัสพยัญชนะ
๒. คาสัมผสั สระ
๓. การซ้าคา
๔. การใช๎คาน๎อยแตกํ นิ ความมาก
๕. ใชค๎ าศัพทค์ าเดียว
๒. นักเรียนแตํละกลุํมวิเคราะหค์ ณุ คาํ ด๎านวรรณศิลป์ในประเดน็ ตาํ ง ๆ พรอ๎ มยกตวั อยาํ ง
ประกอบ
๓. นักเรียนแตํละกลมุํ นาเสนอผลงานการศึกษาตามประเดน็ ท่รี ับผิดชอบ ครูซกั ถามนกั เรียน
พรอ๎ มใหข๎ อ๎ เสนอแนะเพ่ิมเติม และชมเชยผลงานของนกั เรียน
๔. นกั เรียนทาใบงาน เรอ่ื งคุณคาํ ดา๎ นวรรณศิลปค์ รแู ละนักเรียนรํวมกนั เฉลยใบงาน
๕. ครูแนะนานกั เรยี นเลอื กคาประพันธท์ น่ี ักเรียนเห็นวํามคี วามไพเราะ พร๎อมอธบิ ายเหตุผลวาํ
ไพเราะอยาํ งไร
ขัน้ สรุป
ครแู ละนกั เรียนสรุปคณุ คาํ ดา๎ นวรรณศลิ ปท์ ่ีไดจ๎ ากเรอ่ื ง สภุ าษติ พระรวํ ง
๖. สอื่ /แหล่งเรยี นรู้
๑. คาประพนั ธ์วรรคทอง
๒. ใบงาน เร่ือง คุณคําดา๎ นวรรณศิลป์
๗. วดั ผลประเมินผล
วธิ ีการ เครือ่ งมือ เกณฑ์
ตรวจใบงาน เรือ่ ง คณุ คําดา๎ นวรรณศลิ ป์ ใบงาน เร่อื ง คณุ คําด๎านวรรณศลิ ป์ ผํานเกณฑ์การประเมนิ ร๎อยละ
๖๐ ข้ึนไป
นาเสนอผลงาน แบบประเมินนาเสนอผลงาน ผํานเกณฑก์ ารประเมนิ รอ๎ ยละ
๖๐ ข้นึ ไป
ประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ แบบประเมินคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
ระดบั คณุ ภาพ ๒ ผํานเกณฑ์
๑๔๓
บันทกึ หลังแผนการจัดการเรียนรู้
๑. ดา๎ นความร๎ู
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒. ดา๎ นสมรรถนะสาคัญของผ๎เู รียน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓. ดา๎ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค/์ คาํ นิยม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๔. ดา๎ นอื่น ๆ (พฤติกรรมเดนํ หรอื พฤตกิ รรมทีม่ ีปัญหาของนักเรียนเป็นรายบคุ คล (ถา๎ มี))
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๕. ปัญหา/อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๖. ขอ๎ เสนอแนะ/แนวทางการแก๎ปัญหา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ………………………………………ครปู ระจาวชิ า
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๗. ความคดิ เห็นของผู๎อานวยการสถานศึกษา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ………………………………………ผ๎อู านวยการสถานศกึ ษา
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๑๔๔
ใบงาน เร่อื ง คุณค่าด้านวรรณศิลป์
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ๒ แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๗ เรอ่ื ง วจิ กั ษ์วรรณคดี (คณุ คา่ ดา้ นวรรณศิลป์)
รายวิชาภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นท่ี ๑ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๑
ตอนท่ี ๑ คาช้ีแจง ให้นกั เรียนตอบคาถามต่อไปนใ้ี ห้สมบรู ณ์
๑. ยอครูยอตอํ หน๎า ยอขา๎ เมือ่ แล๎วกิจ ยอมิตรเมอื่ ลับหลัง
มคี ุณคาํ วรรณศิลปด์ า๎ น...........................................................................................................
๒. อยาํ กร้ิวโกรธเนอื งนิตย์
มคี ุณคําวรรณศลิ ปด์ า๎ น...........................................................................................................
๓. อยําปลกุ ผีกลางคลอง
มีคณุ คาํ วรรณศลิ ป์ดา๎ น...........................................................................................................
๔. อยํากอปรจิตรษิ ยา
มคี ุณคาํ วรรณศิลป์ดา๎ น...........................................................................................................
๕. ช๎างไลํแลนํ เลีย่ งหลบ
มีคุณคําวรรณศิลป์ดา๎ น...........................................................................................................
๖. ร๎ูที่ขลาดที่หาญ
มคี ุณคําวรรณศลิ ป์ดา๎ น...........................................................................................................
๗. ส๎เู สียสินอยาํ เสียศกั ดิ์
มีคณุ คาํ วรรณศิลป์ดา๎ น...........................................................................................................
๘. พลันฉิบหายวายม๎วย
มีคุณคาํ วรรณศิลป์ดา๎ น...........................................................................................................
๙. อยําเบียดเสยี ดแกมํ ิตร
มีคุณคําวรรณศิลปด์ า๎ น...........................................................................................................
๑๐. ผจิ ะบังบังจงลับ ผจิ ะจับจับจงม่นั
มคี ณุ คาํ วรรณศิลป์ดา๎ น...........................................................................................................
ตอนที่ ๒ คาชีแ้ จง ให๎นกั เรียนเลอื กสภุ าษิตพระรํวงทส่ี มควรเป็นวรรคทองเพื่อนาไปทอํ งจาและใชอ๎ ๎างอิง
พร๎อมระบเุ หตผุ ลทเี่ ลอื กใหช๎ ัดเจน
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
๑๔๕
เฉลยใบงาน เรอื่ ง คุณค่าด้านวรรณศิลป์
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ ๒ แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๗ เร่ือง วจิ ักษว์ รรณคดี (คุณค่าด้านวรรณศิลป์)
รายวชิ าภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นที่ ๑ ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ ๑
ตอนที่ ๑ คาชแี้ จง ใหน้ ักเรียนตอบคาถามต่อไปน้ีให้สมบรู ณ์
๑. ยอครูยอตํอหนา๎ ยอขา๎ เมื่อแลว๎ กจิ ยอมิตรเม่ือลับหลงั
มคี ณุ คําวรรณศิลป์ดา๎ น.........การเลน่ คาซ้า (ยอ).......
๒. อยํากรวิ้ โกรธเนอื งนิตย์
มคี ุณคาํ วรรณศิลปด์ า๎ น.........การเลน่ เสียงสมั ผัสพยญั ชนะ กร , น......
๓. อยําปลุกผกี ลางคลอง
มคี ุณคําวรรณศิลปด์ า๎ น.......ใช้คานอ้ ยแต่กนิ ความมาก ปลุกเสกให้ผีฟืน้ ขึ้นมา ในความหมายวา่
อย่าปลุกผีกลางคลอง ในอดตี เชอ่ื กนั ว่าเมอ่ื นาวิญญาณไปถว่ งน้าแล้วไม่ควรไปปลกุ เรยี กวิญญาณนน้ั ให้
ฟน้ื ขึ้นมาอกี ความหมายวา่ ไม่ควรรือ้ ฟน้ื เร่ืองท่ยี ุติไปแลว้ ข้นึ มาใหมใ่ นขณะทีง่ านกาลังดาเนนิ ไปด้วยดี
หรือในสถานการณ์ทีค่ ับขันยุง่ ยาก ในทีน่ ้ีคลองอาจหมายถงึ ทางหรอื ทางเดนิ ก็ได้ ซงึ่ เปน็ การเตอื นวา่ อย่า
นาศพมาวางกลางทางแล้วพยายามปลกุ เสกใหฟ้ ้นื คืนชีพมา หมายความว่า อย่าทาสงิ่ ทแ่ี ปลกประหลาด
อนั ไม่ก่อใหเ้ กดิ ประโยชน์ หรอื ไมม่ เี หตผุ ล....
๔. อยาํ กอปรจิตริษยา
มคี ุณคําวรรณศิลป์ดา๎ น.......การเลน่ เสยี งสมั ผสั สระ สระ อิ ( ิ ).........
๕. ชา๎ งไลํแลนํ เลย่ี งหลบ
มีคุณคําวรรณศิลป์ดา๎ น......การเลน่ เสียงสมั ผสั พยัญชนะ ล.......
๖. รูท๎ ่ีขลาดท่หี าญ
มคี ณุ คําวรรณศิลปด์ า๎ น......การซ้า คา (ท่ี).....
๗. สเ๎ู สียสนิ อยาํ เสียศกั ด์ิ
มีคณุ คาํ วรรณศิลป์ดา๎ น.....การซ้า คา (เสยี ).......
๘. พลันฉบิ หายวายม๎วย
มีคณุ คําวรรณศิลป์ดา๎ น......การเล่นเสียงสมั ผสั สระ สระ อา ( า )....
๙. อยําเบยี ดเสยี ดแกมํ ติ ร
มีคณุ คาํ วรรณศลิ ปด์ า๎ น.........การเล่นเสียงสมั ผัสสระ สระ เอีย (เ- ีย ).........
๑๐. ผจิ ะบังบงั จงลบั ผจิ ะจับจบั จงม่นั
มคี ุณคาํ วรรณศลิ ป์ดา๎ น......การเล่นคาซ้า (บัง) (จบั )............
ตอนที่ ๒ คาช้ีแจง ให๎นักเรียนเลอื กสภุ าษติ พระรํวงท่สี มควรเป็นวรรคทองเพ่อื นาไปทอํ งจาและใช๎อา๎ งองิ
พรอ๎ มระบุเหตุผลท่เี ลอื กให๎ชัดเจน
.................................................ขึน้ อย่กู ับดลุ ยพินจิ ของครูผูส้ อน…….....................................................................
๑๔๖
แผนการจดั การเรียนรู้
กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ๑
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ ๒ เรยี นรสู้ ุภาษิต เวลา ๑๒ ชัว่ โมง
เวลา ๑ ช่ัวโมง
แผนการเรยี นร้ทู ่ี ๘ วจิ ักษว์ รรณคดี (คุณคา่ ด้านเนอ้ื หา)
ภาคเรยี นท่ี ๑ ปกี ารศึกษา ๒๕๖5
สอนวันท่ี เดือน พ.ศ. ตาแหนง่ ครู
ครูผู้สอน นางสาวชาลิสา หาญกจิ
๑. มาตรฐาน/ตวั ชีว้ ดั
มาตรฐาน ท ๕.๑ เขา๎ ใจและแสดงความคิดเหน็ วจิ ารณว์ รรณคดีและวรรณกรรมไทยอยํางเหน็ คุณคํา
และนามาระยกุ ตใ์ ช๎ในชวี ติ จริง
ตัวช้วี ัด
ม.๑/๑ สรุปเนอ้ื หาวรรณคดีและวรรณกรรมที่อาํ น
ม.๑/๒ วิเคราะหว์ รรณคดีและวรรณกรรมทอ่ี าํ นพร๎อมเหตผุ ลประกอบ
ม.๑/๓ อธิบายคณุ คาํ ของวรรณคดีและวรรณกรรมทอ่ี าํ น
ม.๑/๔ สรุปความรู๎และขอ๎ คิดจากการอํานเพ่อื ประยกุ ตใ์ ชใ๎ นชวี ิตจรงิ
๒. สาระสาคญั
สุภาษิตพระรํวงเป็นคาสอนท่ีมีมาตั้งแตํอดีตและยึดถือเป็นคติเตือนใจมาจนถึงปัจจุบัน ด๎วยเป็น
สุภาษิตที่มีคุณคํา ให๎ข๎อคิด คติธรรมในการดาเนินชีวิต นับวําเป็นวรรณคดีท่ีมีคุณคําตํอบุคคลและสังคม ซึ่ง
ควรคูํแกํการศกึ ษาและปฏบิ ัตติ ามคาสอนเพ่อื ความเจรญิ รํุงเรืองและเปน็ สิริมงคล
๓. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
๑. นักเรยี นอธิบายคุณคาํ ด๎านเน้ือหาในวรรณคดีเร่ืองสภุ าษิตพระรํวงได๎
๒. นกั เรียนวิเคราะหค์ ณุ คาํ ดา๎ นเน้อื หาในบทประพนั ธเ์ รื่องสภุ าษติ พระรํวงได๎
๓. นกั เรยี นสรุปความรู๎และขอ๎ คดิ จากการอํานเพอื่ ประยกุ ต์ใช๎ในชวี ิตจรงิ ได๎
๔. นกั เรียนใฝเ่ รยี นรูแ๎ ละมคี วามมงํุ มนั่ ในการทางาน
๔. สาระการเรยี นรู้
๑. การวเิ คราะห์คุณคําของวรรณคดีและวรรณกรรม
๒. การสรุปความร๎แู ละขอ๎ คิดจากการอํานไป
๕. การจัดกระบวนการจัดการเรยี นรู้
ขนั้ นา
ครยู กตวั อยํางคาประพันธ์
“จะพูดจาปราศรยั กับใครน้นั
อยาํ ตะคั้นตะคอกใหเ๎ คอื งหู
ไมคํ วรพดู ออ้ื องึ ข้ึนมึงกู
คนจะหลํลู ํวงลามไมขํ ามใจ
๑๔๗
(สภุ าษิตสอนหญิง : สนุ ทรภู)ํ
ครถู ามนกั เรยี นวําคาประพันธข์ ๎างตน๎ มีคณุ คาํ ด๎านเนอ้ื หาในประเดน็ ใดบ๎าง (คณุ คาํ ดา๎ นเน้ือหา
หรือคุณคาํ ดา๎ นสงั คม เชนํ การปฏิบัติตนในสังคม การใชช๎ วี ติ ดว๎ ยความไมปํ ระมาท เป็นตน๎ )
ข้ันสอน
๑. นักเรยี นแบงํ กลุมํ ออกเป็น ๖ กลํมุ ศึกษาคุณคาํ ด๎านเนอ้ื หาในสภุ าษติ พระรวํ ง
๑. มีศลี ธรรม มคี วามเมตตา กตญั ญรู ๎ูคณุ
๒. ตง้ั อยใํู นความไมปํ ระมาท รู๎จกั ประมาณตน
๓. ขอ๎ คดิ ในการทางาน
๔. สอนมารยาทในการเข๎าสงั คม
๕. การดาเนินชวี ิตในครอบครวั
๖. เห็นความสาคัญของการศึกษาและวิเคราะห์คณุ คาํ ดา๎ นเน้ือหาในประเด็นตาํ งๆ
พร๎อมทาใบงาน เร่อื ง คณุ คาํ ดา๎ นเนอ้ื หา
๒. นกั เรยี นแตํละกลํุมนาเสนอผลงานการศึกษาตามประเด็นทร่ี บั ผิดชอบ ครูซักถามนักเรยี น
พร๎อมให๎ขอ๎ เสนอแนะเพ่ิมเติม และชมเชยผลงานของนกั เรยี น
๓. นกั เรยี นทาแบบทดสอบเร่อื ง สุภาษิตพระรวํ ง
๔. ครูแนะนานักเรยี นเลอื กคาประพันธท์ น่ี ักเรียนชอบพรอ๎ มอธิบายเหตผุ ลวําชอบเพราะอะไร
ขั้นสรปุ
ครูและนักเรยี นสรปุ คุณคาํ ดา๎ นเนื้อหาทไี่ ดจ๎ ากเรื่องสภุ าษติ พระรวํ ง
๖. สื่อ /แหล่งเรยี นรู้
๑. คาประพันธว์ รรคทอง
๒. ใบงาน เร่ือง คณุ คําด๎านเนื้อหา
๓. แบบทดสอบ เรอื่ ง สภุ าษติ พระรวํ ง
๗. วัดผลประเมนิ ผล
วธิ ีการ เครอ่ื งมือ เกณฑ์
แบบทดสอบ ผาํ นเกณฑ์การประเมินร๎อยละ
ทดสอบ ๖๐ ขึ้นไป
ใบงาน เรื่อง คุณคําดา๎ นเนอื้ หา ผาํ นเกณฑก์ ารประเมินรอ๎ ยละ
ตรวจใบงาน เร่อื ง คณุ คําดา๎ นเนือ้ หา ๖๐ ขนึ้ ไป
แบบประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
ประเมินคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ระดบั คณุ ภาพ ๒ ผาํ นเกณฑ์
๑๔๘
บนั ทกึ หลงั แผนการจดั การเรยี นรู้
๑. ดา๎ นความร๎ู
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒. ดา๎ นสมรรถนะสาคัญของผ๎ูเรยี น
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓. ดา๎ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค/์ คํานิยม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๔. ดา๎ นอื่น ๆ (พฤติกรรมเดนํ หรือพฤตกิ รรมทมี่ ีปัญหาของนกั เรยี นเป็นรายบคุ คล (ถ๎ามี))
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๕. ปัญหา/อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๖. ขอ๎ เสนอแนะ/แนวทางการแกป๎ ญั หา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่ือ………………………………………ครูประจาวชิ า
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๗. ความคดิ เห็นของผู๎อานวยการสถานศกึ ษา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………ผ๎อู านวยการสถานศกึ ษา
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๑๔๙
ใบงาน เร่อื ง คณุ ค่าดา้ นเน้ือหา
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๒ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี ๘ เร่อื ง วิจักษ์วรรณคดี (คณุ ค่าดา้ นเน้ือหา)
รายวชิ าภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นที่ ๑ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ ๑
ตอนท่ี ๑ คาช้แี จง ให้นกั เรยี นจัดหมวดหมูส่ ภุ าษิตพระรว่ งตอ่ ไปน้ีใหส้ อดคล้องกบั เรอ่ื ง
เมอ่ื นอ๎ ยให๎เรียนวิชา ให๎หาสินเมื่อใหญํ อยําน่งั ชิดผใู๎ หญํ อยาํ อวดหาญแกํเพ่ือน
ยอข๎าเม่อื แลว๎ กิจ อาสาเจา๎ จนตัวตาย อยําประมาททาํ นผ๎ูดี ครบู าสอนอยาํ โกรธ
อยําชังครชู ังมติ ร คบขนุ นางอยาํ โหด ทํานไทอ๎ ยําหมายโทษ เล้ียงคนจักกนิ แรง
อยําขอของรักมติ ร จงนบนอบผู๎ใหญํ ผู๎เฒําส่งั จงจาความ ท่ีทบั จงมีไฟ
ที่ไปจงมีเพื่อน หนา๎ ศกึ อยาํ นอนใจ อยาํ เบียดเสียดแกมํ ติ ร อยาํ ปองภัยตอํ ท๎าว
โทษตนผิดราพึง อยาํ คะนึงถึงโทษทาํ น อยาํ ออกกา๎ งขนุ นาง อยาํ เลยี นครเู ตือนดํา
อาสานายจงพอแรง เจ๎าเคยี ดอยาํ เคยี ดตอบ พรรคพวกพงึ ทานุก อยาํ ขดั แข็งผใ๎ู หญํ
เขา๎ เถ่อื นอยําลมื พรา๎ จงนบนอบผ๎ูใหญํ นอบตนตํอผเ๎ู ฒาํ ยอมติ รเมือ่ ลบั หลงั
เมตตาตอบตํอมติ ร ปลกู ไมตรอี ยํารร๎ู า๎ ง สร๎างกศุ ลอยาํ รโู๎ รย
๑. การปฏบิ ัติตํอตนเอง
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
๒. การปฏิบตั ิตอํ ผ๎ใู หญํ
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
๓. การปฏบิ ตั ติ นตํอเพอ่ื น
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
๔. การปฏบิ ัตติ นในฐานะผคู๎ รองเรือน
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
๕. การปฏบิ ัติตํอพระมหากษตั ริย์
...............................................................................................................................................................
................................................................................................................................. ..............................
๖. การปฏิบัติตนตอํ ผบ๎ู งั คับบญั ชา
...............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
๗. การปฏิบัติตนตอํ ครอู าจารย์
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
๑๕๐
ตอนที่ ๒ คาชี้แจง ใหน้ ักเรียนยกสภุ าษติ พระรว่ งใหส้ อดคลอ้ งตามประเด็นดงั ต่อไปน้ี
๑. ขอ้ คดิ และคติธรรมทางโลก สภุ าษิตพระรวํ งมเี น้ือหามงุํ สอนให๎ร๎ูวิธดี าเนินชวี ิตและปฏิบตั ิดา๎ น
ตํางๆ ท้ังตํอตนเองและผู๎อนื่ อยาํ งเหมาะสม เพอ่ื ความสงบสุขในสงั คม เชนํ
๑.๑ ความสาคัญของการศึกษาหาความร๎ู ใหเ๎ หน็ คณุ คาํ ของการศึกษาเลาํ เรยี น ใหใ๎ ฝเ่ รยี นใน
วชิ าท่เี กดิ ประโยชน์ ไมํกอํ โทษตํอตนเองและผู๎อื่น เชํน
..............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
๑.๒ ขอ๎ คดิ ในการทางาน เป็นคาสอนใหร๎ ูจ๎ ักเลือกประกอบอาชพี ทส่ี ุจริต และรูจ๎ กั ประหยดั อด
ออมทรัพย์ เชนํ
..............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
๑.๓ ความสาคญั ของการพดู สอนให๎รจู๎ ักรับผิดชอบในการพดู ไมํพูดปด ร๎จู ักคดิ กํอนพูดและ
รับผดิ ชอบในการพูด เชํน
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
๑.๔ มารยาทในการเขา๎ สังคม การใช๎ชวี ติ อยใํู นสงั คมยอํ มต๎องพบปะกับบุคคลอ่ืนๆ อยํเู สมอ
จึงต๎องปฏิบัตติ นให๎เหมาะสมกับโอกาสและบคุ คล เชํน
..............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
๑.๕ การดาเนนิ ชีวติ ในครอบครวั มํงุ สอนให๎รจ๎ู ักวธิ กี ารดาเนนิ ชวี ติ ครอบครวั ให๎มีความสขุ และ
รูจ๎ กั ปฏิบตั ติ ํอผู๎อ่นื อยาํ งเหมาะสม เพอื่ อยํูรวํ มกันอยาํ งมคี วามสุข เชนํ
..............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
๑.๖ การรับราชการ เชํน
..............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
๒. ขอ้ คิดและคติทางธรรม เป็นคาสอนท่เี ช่อื มโยงกับหลักศาสนา จรยิ ธรรม และคณุ ธรรมมหี ลาย
ดา๎ น เชํน
๒.๑ สอนให๎มีศลี มธี รรม และมคี วามเมตตา เชนํ ………………………………………………………………………………
๒.๒ สอนให๎มคี วามโอบอ๎อมอารี เชํน ………………………………………………………………………………………………
๒.๓ สอนใหก๎ ตญั ญูร๎ูคณุ เชํน …………………………………………………………………………………………………………..
๒.๔ สอนใหต๎ ้งั ตนอยูํในความประมาท เชนํ ……………………………………………………………………………………….
๑๕๑
เฉลยใบงาน เรือ่ ง คณุ ค่าด้านเนือ้ หา
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๒ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๘ เรื่อง วจิ ักษ์วรรณคดี (คุณค่าด้านเน้ือหา)
รายวชิ าภาษาไทย รหัส ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นที่ ๑ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี ๑
ตอนที่ ๑ คาช้แี จง ใหน้ กั เรยี นจัดหมวดหมู่สภุ าษติ พระร่วงต่อไปนใ้ี ห้สอดคล้องกับเรอ่ื ง
เมื่อนอ๎ ยใหเ๎ รยี นวชิ า ใหห๎ าสนิ เมื่อใหญํ อยํานง่ั ชดิ ผู๎ใหญํ อยาํ อวดหาญแกเํ พอื่ น
ยอข๎าเมอื่ แล๎วกิจ อาสาเจ๎าจนตัวตาย อยําประมาททาํ นผ๎ูดี ครบู าสอนอยาํ โกรธ
อยาํ ชงั ครชู งั มติ ร คบขุนนางอยาํ โหด ทํานไทอ๎ ยาํ หมายโทษ เลยี้ งคนจกั กนิ แรง
อยาํ ขอของรักมิตร จงนบนอบผ๎ูใหญํ ผเู๎ ฒําสงั่ จงจาความ ทท่ี บั จงมไี ฟ
ทไี่ ปจงมีเพอื่ น หนา๎ ศึกอยํานอนใจ อยําเบยี ดเสยี ดแกมํ ติ ร อยําปองภยั ตํอทา๎ ว
โทษตนผดิ ราพงึ อยําคะนึงถงึ โทษทาํ น อยาํ ออกกา๎ งขุนนาง อยาํ เลียนครูเตือนดํา
อาสานายจงพอแรง เจา๎ เคยี ดอยําเคยี ดตอบ พรรคพวกพงึ ทานุก อยําขดั แขง็ ผูใ๎ หญํ
เข๎าเถื่อนอยําลมื พรา๎ จงนบนอบผู๎ใหญํ นอบตนตํอผู๎เฒาํ ยอมติ รเม่อื ลบั หลงั
เมตตาตอบตํอมติ ร ปลกู ไมตรีอยาํ รร๎ู า๎ ง สร๎างกศุ ลอยาํ ร๎โู รย
๑. การปฏิบตั ิตํอตนเอง
เมอ่ื นอ้ ยให้เรยี นวชิ า ใหห้ าสนิ เมอ่ื ใหญ่ ทท่ี บั จงมไี ฟ ที่ไปจงมเี พ่ือน หนา้ ศกึ อยา่ นอนใจ
เขา้ เถอื่ นอย่าลมื พร้า โทษตนผิดราพงึ อย่าคะนึงถึงโทษทา่ น
๒. การปฏิบัตติ ํอผใ๎ู หญํ
อย่านั่งชดิ ผใู้ หญ่ ผเู้ ฒา่ ส่งั จงจาความ อย่าขดั แข็งผูใ้ หญ่ จงนบนอบผ้ใู หญ่ นอบตนต่อผูเ้ ฒา่
๓. การปฏบิ ัตติ นตํอเพ่ือน
อย่าอวดหาญแก่เพ่ือน อยา่ ขอของรกั มติ ร อย่าเบยี ดเสยี ดแก่มิตร พรรคพวกพงึ ทานุก ยอมิตรเมื่อลบั หลงั
เมตตาตอบต่อมติ ร
๔. การปฏิบตั ติ นในฐานะผ๎ูครองเรือน
ยอข้าเมื่อแล้วกจิ เล้ียงคนจักกนิ แรง ปลกู ไมตรอี ยา่ รู้รา้ ง สร้างกุศลอย่ารู้โรย
๕. การปฏิบตั ติ ํอพระมหากษัตรยิ ์
อาสาเจา้ จนตัวตาย ทา่ นไทอ้ ย่าหมายโทษ อยา่ ปองภยั ตอ่ ท้าว เจ้าเคียดอย่าเคียดตอบ
๖. การปฏิบตั ิตนตอํ ผู๎บงั คบั บัญชา
อย่าประมาททา่ นผดู้ ี คบขนุ นางอย่าโหด อยา่ ออกกา้ งขุนนาง อาสานายจงพอแรง
๗. การปฏิบัตติ นตํอครอู าจารย์
ครูบาสอนอยา่ โกรธ อยา่ ชงั ครูชังมติ ร อย่าเลียนครูเตอื นด่า
๑๕๒
ตอนท่ี ๒ คาชแ้ี จง ใหน้ กั เรียนบอกยกสภุ าษิตพระร่วงตามประเดน็ ดงั ตอ่ ไปน้ี
๑. ข้อคิดและคติธรรมทางโลก สภุ าษิตพระรวํ งมเี นือ้ หามงุํ สอนให๎รูว๎ ธิ ดี าเนินชวี ิตและปฏบิ ัตดิ า๎ น
ตํางๆ ทง้ั ตอํ ตนเองและผูอ๎ ่ืนอยํางเหมาะสม เพ่ือความสงบสขุ ในสังคม เชนํ
๑.๑ ความสาคญั ของการศกึ ษาหาความร๎ู ใหเ๎ หน็ คุณคําของการศึกษาเลําเรยี น ให๎ใฝเ่ รยี นใน
วิชาท่ีเกิดประโยชน์ ไมกํ อํ โทษตํอตนเองและผ๎ูอ่ืน เชนํ เม่อื นอ๎ ยใหเ๎ รียนวชิ า อยาํ ปองเรียนอาถรรพ์ เปน็ คน
เรียนความรู๎
๑.๒ ขอ๎ คิดในการทางาน เปน็ คาสอนใหร๎ ๎จู กั เลอื กประกอบอาชพี ทีส่ จุ ริต และรู๎จักประหยัดอด
ออมทรัพย์ เชนํ อยาํ กอปรกิจเป็นพาล ใหห๎ าสนิ เมอ่ื ใหญํ อยําทาการท่ผี ดิ คิดขวนขวายทช่ี อบ ของแพงอยาํ มกั
กนิ ความแหนใหป๎ ระหยดั
๑.๓ ความสาคัญของการพดู สอนให๎รจ๎ู ักรบั ผดิ ชอบในการพดู ไมํพูดปด รู๎จกั คิดกอํ นพดู และ
รบั ผิดชอบในการพูด เชนํ ยอครยู อตอํ หน๎า ยอข๎าเมื่อแล๎วกิจ ยอมติ รเมือ่ ลับหลัง ลกู เมียยังอยาํ สรรเสรญิ (รู๎
จงั หวะเวลาในการพดู )โตต๎ อบอยาํ เสียคา (รบั ผิดชอบในการพดู ) คดิ แล๎วจง่ึ เจรจา (คิดกอํ นพดู ) อยําจับลน้ิ แกํ
คน (ไมํจับผดิ คาพดู คน) อยําริกลาํ วคาคด เจรจาตามคดี (ไมพํ ดู เท็จ)
๑.๔ มารยาทในการเขา๎ สังคม การใชช๎ วี ติ อยใํู นสังคมยอํ มตอ๎ งพบปะกบั บุคคลอนื่ ๆ อยเํู สมอ
จึงต๎องปฏิบตั ติ นใหเ๎ หมาะสมกบั โอกาสและบคุ คล เชนํ ไปเรอื นทาํ นอยาํ นั่งนาน อยาํ น่ังชิดผใู๎ หญํ จงนบนอบ
ผูใ๎ หญํ
๑.๕ การดาเนินชีวติ ในครอบครวั มุํงสอนใหร๎ จ๎ู กั วธิ กี ารดาเนินชวี ติ ครอบครัวใหม๎ ีความสขุ และ
ร๎จู ักปฏบิ ตั ติ ํอผู๎อื่นอยาํ งเหมาะสม เพือ่ อยํรู วํ มกนั อยํางมคี วามสุข เชนํ การเรอื นตนเรงํ คดิ ความในอยาํ ไขเขา
ภายในอยาํ นาออกภายนอกอยํานาเข๎า
๑.๖ การรับราชการ เชนํ อาสาเจา๎ จนตวั ตาย อาสานายจงพอแรง คบขนุ นางอยําโหด
๒. ข้อคดิ และคตทิ างธรรม เป็นคาสอนทเ่ี ช่อื มโยงกับหลกั ศาสนา จรยิ ธรรม และคุณธรรมมหี ลาย
ดา๎ น เชํน
๒.๑ สอนใหม๎ ศี ีล มีธรรม และมคี วามเมตตา เชนํ อยา่ มัวเมาเนืองนิตย์ อย่าใฝเ่ อาทรพั ย์
ทา่ น สร้างกุศลอยา่ รู้โรย เมตตาตอบต่อมิตร
๒.๒ สอนให๎มีความโอบอ๎อมอารี เชํน ปลูกไมตรอี ย่าร้รู ้าง พงึ ผนั เผือ่ ตอ่ ญาติ โอบออ้ มเอา
ใจคน
๒.๓ สอนให๎กตัญญูรูค๎ ณุ เชนํ อย่าชงั ครูชังมิตร ครบู าสอนอย่าโกรธ ทดแทนคณุ ทา่ นเม่อื
ยาก อยา่ เลยี นครเู ตือนดา่
๒.๔ สอนให๎ตงั้ ตนอยใูํ นความไมํประมาท เชน่ คิดทุกขใ์ นสงสาร เข้าเถอ่ื นอย่าลมื พร้า
เดินทางอย่าเดินเปลยี่ ว
๒.๕ สอนให๎เป็นผ๎ูประมาณตน เชํน อย่าใฝ่ตนให้เกิน มีสินอย่าอวดมั่ง รักตนกว่ารักทรัพย์
อยา่ ใฝ่สงู ใหเ้ กดิ ศกั ดิ์
๑๕๓
แบบทดสอบ เรื่อง คณุ ค่าดา้ นเน้อื หา
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี ๒ แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี ๘ เรอื่ ง วจิ กั ษว์ รรณคดี (คุณค่าด้านเน้ือหา)
รายวิชาภาษาไทย รหัส ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นที่ ๑ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๑
คาชแ้ี จง ใหน๎ กั เรียนเลือกคาตอบทถ่ี ูกต๎องทส่ี ดุ เพยี งขอ๎ เดียวเทํานน้ั
๑. สุภาษติ พระรวํ ง มีช่อื เรียกอกี ช่ือหนึง่ วําอยาํ งไร
ก. ไตรภมู กิ ถา
ข. ไตรภมู พิ ระรวํ ง
ค. โองการพระรํวง
ง . บญั ญตั พิ ระรวํ ง
๒. สภุ าษติ พระรํวงมจี ดุ มงํุ หมายในการแตํงอยาํ งไร
ก. เพื่อส่ังสอนข๎าราชการ
ข. เพ่อื เลํนละครในราชสานัก
ค. เพื่อสัง่ สอนประชาชนทว่ั ไป
ง. เพื่อสัง่ สอนสตรที ี่อยํใู นราชสานัก
๓. “เมอ่ื นอ๎ ยให๎เรียนวชิ า ใหห๎ าสินเม่ือใหญํ” เปน็ คาสอนให๎ประพฤติตามขอ๎ ใด
ก. ใหเ๎ หมาะกบั วัย
ข. ใหเ๎ หมาะกบั เวลา
ค. ใหเ๎ หมาะกบั โอกาส
ง. ใหเ๎ หมาะกับบุคคล
๔. “เข๎าเถอ่ื นอยาํ ลืมพร๎า” มคี วามหมายตรงกบั ขอ๎ ใด
ก. สอนให๎มีความอดทน
ข. สอนใหร๎ ู๎จกั ทามาหากนิ
ค. สอนใหร๎ จ๎ู ักประมาณตน
ง. สอนไมใํ หม๎ คี วามประมาท
๕. “โดยอรรถอนั ถํองถว๎ น แถลงเลศเหตุเลอื กลว๎ น เลิศอ๎างทางธรรม แลนา”คาในข๎อใดเปน็ สัมผัสบังคับระหวาํ ง
วรรคของโคลงสองสภุ าพ
ก. ถํอง ถ๎วน
ข. ถ๎วน ลว๎ น
ค. เลือก ล๎วน
ง. ลว๎ น เลิศ
๖. “ผจิ ะบงั บังจงลับ ผิจะจับจับจงม่นั ผจิ ะคน้ั ค้นั จนตาย ผิจะหมายหมายจงแท๎”ขอ๎ ใดไมใํ ชํลักษณะทาง
วรรณศลิ ป์ของบทประพันธข์ า๎ งตน๎
ก. มีการซา้ คาทกุ วรรค
ข. มีการซ้าคาทขี่ ึ้นตน๎ วรรค
ค. มกี ารใชค๎ าเลยี นเสยี งธรรมชาติ
ง. มกี ารเลนํ เสยี งสัมผัสระหวํางวรรค
๗. ข๎อใดไมใํ ชคํ ณุ คาํ ดา๎ นวรรณศลิ ป์
ก. มขี อ๎ คิดคาสอน
๑๕๔
ข. มีการใชภ๎ าพพจนอ์ ตพิ จน์
ค. มกี ารพรรณนาด๎วยภาษาสละสลวย
ง. มกี ารเลํนเสยี งสมั ผสั คล๎องจองในวรรค
๘. ข๎อใดสอนใหร๎ จู๎ ักการดารงชีวิตในครอบครวั ใหเ๎ ป็นสุขและรจู๎ ักกาลเทศะ
ก. อยาํ ชังครชู งั มิตร ครบู าสอนอยาํ โกรธ
ข. ของแพงอยํามกั กนิ อยาํ ยินคาคนโลภ
ค. ภายในอยาํ นาออก ภายนอกอยํานาเขา๎
ง. อยําออกกา๎ งขุนนาง คบขนุ นางอยาํ โหด
๙. “แม๎วําเวลาจะผํานเลยไปคาสอนในสุภาษิตพระรํวงก็คงทนั สมยั อยเูํ สมอ” ขอ๎ ใดสนบั สนุนขอ๎ ความนีไ้ ด๎ดีท่สี ดุ
ก. เปน็ ขอ๎ คิดเกี่ยวกับการทางาน
ข. เปน็ การสอนใหม๎ คี วามกตัญญู
ค. เปน็ คาสอนให๎ความสาคญั เกี่ยวกบั การศึกษา
ง. เป็นการสอนท้งั ทางคตโิ ลกและคตธิ รรมสามารถนาไปปฏิบตั ิไดจ๎ ริงในชวี ติ ประจาวัน
๑๐.ขอ๎ ใดเปน็ พฤติกรรมของบุคคลหรอื สถานการณใ์ นปัจจบุ ันท่ีสอดคล๎องกบั สภุ าษติ พระรวํ ง
ก. อยํารักหาํ งกวําชิด : สงกรานตร์ กั เพ่ือนรวํ มชัน้ เรียนเดียวกันมากกวาํ ญาตพิ ี่นอ๎ งของตนเอง
ข. เดินทางอยําเดินเปลี่ยว : ทักษอรกับเพอื่ นสามคนเดินทางกลับบ๎านผาํ นซอยเปลีย่ ว
ค. มสี นิ อยําอวดมงั่ : ณเดชณช์ อบคยุ โมก๎ บั เพื่อนบา๎ นวําตวั เองมีเงินทองมากมายจนถูกโจรปลน๎
ง. อยาํ ใฝ่เอาทรัพยท์ ําน : สุวนันทเ์ กบ็ กระเป๋าเงนิ จึงไดน๎ าไปแจ๎งความท่สี ถานีตารวจ
๑๕๕
เฉลยแบบทดสอบ เรือ่ ง คุณคา่ ดา้ นเนอ้ื หา
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๒ แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๘ เรื่อง วิจกั ษ์วรรณคดี (คุณค่าดา้ นเนื้อหา)
รายวิชาภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นที่ ๑ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๑
๑. ง ๒. ค ๓. ก ๔. ง ๕. ข ๖. ค ๗. ก ๘. ค ๙. ง ๑๐. ค
๑๕๖
แผนการจัดการเรียนรู้
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย ระดับชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ ๑
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี ๒ เรยี นรูส้ ุภาษิต เวลา ๑๒ ชั่วโมง
เวลา ๑ ชว่ั โมง
แผนการเรียนรู้ท่ี ๙ การเขยี นเรียงความ
ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖5
สอนวันท่ี เดือน พ.ศ. ตาแหน่ง ครู
ครผู ู้สอน นางสาวชาลสิ า หาญกิจ
๑. มาตรฐาน/ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใชก๎ ระบวนการเขยี นเขยี นส่อื สาร เขียนเรียงความ ยอํ ความ และเขียนเร่ืองราวใน
รปู แบบตําง ๆ เขียนรายงานข๎อมลู สารสนเทศ และรายงานการศกึ ษาค๎นควา๎ อยาํ งมีประสิทธิภาพ
ตัวช้วี ดั
ท ๒.๑ ม.๑/๔ เขียนเรยี งความ
ท ๒.๑ ม.๑/๙ มีมารยาทในการเขียน
๒. สาระสาคัญ
การเขียนเรียงความจัดเป็นการเขียนเชิงสร๎างสรรค์ท่ีมีการใช๎รูปแบบและมีการเรียบเรียงภาษาท่ี
สละสลวย โดยเฉพาะการเขียนเรียงความเชิงพรรณนาจะต๎องอาศัยการเลือกสรรถ๎อยคาที่ทาให๎เกิดจินตภาพ
และความงามของภาษา
๓. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
๑. นักเรยี นมคี วามรู๎ความเขา๎ ใจเรื่องหลักการเขยี นเรยี งความและรูปแบบการเขยี นเรียงความ
๒. นกั เรียนวเิ คราะหร์ ูปแบบและหลักการเขียนเรยี งความได๎
๓. นักเรยี นใฝ่เรยี นร๎แู ละมีความมุํงม่นั ในการทางาน
๔. สาระการเรยี นรู้
การเขียนเรยี งความ
๕. การจัดกระบวนการจดั การเรยี นรู้
ข้นั นา
ครูสนทนากับนกั เรียนเกยี่ วกับการเขยี นเรียงความวาํ นกั เรียนเคยเขยี นเรียงความเพื่อสงํ เข๎า
ประกวดหรือไมํ รูปแบบการเขียนเรียงความมคี วามแตกตาํ งกบั การเขียนอ่นื ๆ อยํางไร
ข้นั สอน
๑. ครูแจกตัวอยาํ งเรียงความเรื่อง “น๎อยหนําไมํน๎อยคํา” ใหก๎ บั นักเรียนทกุ คน
๒. ครใู ห๎นกั เรยี นศกึ ษาเรยี งความเรื่อง“นอ๎ ยหนาํ ไมนํ ๎อยคาํ ” และใหน๎ กั เรยี นวเิ คราะห์
สวํ นประกอบเรียงความ เริ่มจากสํวนนา สวํ นเนอ้ื เรอื่ ง สํวนสรุป
๓. ครใู ห๎นกั เรียนบอกสวํ นนา สํวนเนือ้ เรอื่ ง สํวนสรุปของเรยี งความเร่ือง “น๎อยหนําไมํนอ๎ ยคาํ ”
๔. ครูอธิบายเกี่ยวกับสํวนประกอบของเรียงความ เพมิ่ เตมิ เพือ่ เปน็ แนวทางในการเขยี น
เรียงความของนักเรียน
๑๕๗
๕.แบํงนักเรยี นออกเป็นกลํมุ ศึกษาใบความร๎ู เรื่องการเขยี นเรียงความ ดังน้ี
๑.วธิ ีการขึ้นคานา
๒. วิธกี ารเรยี บเรยี งเนอ้ื เรอื่ ง
๓. วิธกี ารสรุป
ตวั แทนกลํมุ นาเสนอหนา๎ ชั้นเรียน ครูให๎คาแนะนาเพิ่มเตมิ
ข้ันสรุป
นกั เรยี นและครูชวํ ยกันสรุปสาระการเรียนรู๎ เรอ่ื งการเขยี นเรยี งความ
๖. สื่อ /แหล่งเรียนรู้
๑. ใบความร๎ู เรือ่ ง การเขียนเรียงความ
๒. ตัวอยํางการเขียนเรยี งความ
๗. วัดผลประเมนิ ผล
วธิ ีการ เครื่องมอื เกณฑ์
นาเสนอผลงาน แบบประเมินนาเสนอผลงาน ผํานเกณฑ์การประเมนิ ร๎อยละ
๖๐ ขึ้นไป
สงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกลมํุ แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุํม ระดบั คณุ ภาพ ๒ ผํานเกณฑ์
ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ แบบประเมินคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
ระดบั คณุ ภาพ ๒ ผํานเกณฑ์
๑๕๘
บนั ทกึ หลงั แผนการจดั การเรยี นรู้
๑. ด๎านความร๎ู
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒. ด๎านสมรรถนะสาคัญของผเู๎ รยี น
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓. ด๎านคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค/์ คาํ นยิ ม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๔. ด๎านอ่นื ๆ (พฤติกรรมเดนํ หรือพฤติกรรมที่มีปญั หาของนักเรียนเป็นรายบคุ คล (ถ๎ามี))
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๕. ปญั หา/อุปสรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๖. ขอ๎ เสนอแนะ/แนวทางการแกป๎ ัญหา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่อื ………………………………………ครูประจาวชิ า
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๗. ความคดิ เหน็ ของผอ๎ู านวยการสถานศึกษา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชือ่ ………………………………………ผอ๎ู านวยการสถานศกึ ษา
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๑๕๙
ใบความรู้ เรือ่ ง การเขียนเรียงความ
หน่วยการเรยี นรู้ที่ ๒ แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี ๙ เรื่อง การเขยี นเรยี งความ
รายวิชาภาษาไทย รหัส ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นท่ี ๑ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๑
ความหมายของเรยี งความ
เรียงความ หมายถึง การนามาแตํงเรอ่ื งเพ่ือใช๎เป็นข๎อเขียนท่แี สดงความคิด ความรคู๎ วามรูส๎ ึก และ
ความคดิ เหน็ และข๎อเสนอแนะตาํ ง ๆ ของผู๎เขียนถํายทอดสผํู ู๎ฟงั
ความสาคัญของเรียงความ
การเขยี นเรียงความมคี วามจาเปน็ และสาคญั อยํางยิ่งในการเรยี นภาษาไทย เพราะผเู๎ ขียนเรยี งความ
นอกจากจะตอ๎ งค๎นควา๎ ดา๎ นความรู๎ ความเข๎าใจในเนอื้ หาทเ่ี ขยี นแล๎ว ผู๎เขียนยังต๎องแสดงความร๎ู ความคิดเห็น
ความรส๎ู กึ ของตนเองลงไว๎ในขอ๎ เขียนนนั้ ๆ รวมไปถงึ การใช๎ภาษาให๎ถูกตอ๎ งสละสลวยนาํ อําน ไดส๎ าระชัดเจน
เป็นการแสดงออกถงึ ปัญญาของผเ๎ู ขยี นอีกด๎วย
ส่วนต่าง ๆ ของเรียงความ
เรียงความประกอบดว๎ ยสวํ นตําง ๆ ๓ สํวน คือ คานา เนือ้ เรอ่ื ง และสรปุ ดังน้ี
๑. สว่ นที่เป็นคานา
เน้อื ความสวํ นทเ่ี ป็นคานา เปน็ การเปิดเร่ือง อาจเป็นการอธบิ ายความหมายของช่ือเรือ่ ง กลําวถงึ
ความสาคัญและขอบเขตของเรือ่ งทีจ่ ะเขียนหรอื ข๎อความทีก่ อํ ให๎เกดิ ความสนใจ ตอ๎ งการอํานเนือ้ เร่ืองให๎มาก
ทีส่ ดุ
๒. ส่วนทเี่ ปน็ เนื้อเรอื่ ง
สวํ นเนื้อเรือ่ งจะเป็นสวํ นทขี่ ยายความ ให๎รายละเอียดตรงตามจดุ ประสงคห์ รือประเดน็ หลกั ของเรื่อง
สํวนเนอื้ เรือ่ งจะเป็นสวํ นทมี่ ีเนื้อหามากทสี่ ุด สวํ นเนื้อเรอื่ งประด๎วยหลายยํอหนา๎ แตํละยํอหนา๎ จะขยายความ
ของเรื่องตามแนวคิดทตี่ งั้ ไว๎ มที ้ังเน้ือหาของเร่ืองทีใ่ หค๎ วามร๎ู การแสดงความคดิ เหน็ ความร๎ูสกึ ของผ๎ูเขยี นพร๎อม
ตวั อยํางประกอบข๎อความให๎เดนํ ชัดย่ิงข้ึน มีการใช๎สานวนโวหาร และถอ๎ ยคาท่ีไพเราะ เลือกสรรแลว๎ นามาใช๎
ในการเขียน ตอ๎ งเขยี นตามโครงเร่อื งทต่ี ั้งไว๎ให๎มีเนอ้ื หาตํอเนอ่ื งสอดคลอ๎ งกนั
๓. ส่วนที่เป็นสรุป
สํวนท่เี ปน็ การสรปุ เร่อื ง เปน็ สวํ นทสี่ รปุ เนือ้ หาสาคัญของเรือ่ งควรมเี พียงยํอหนา๎ เดียว เปน็ การกลาํ วยา้
ประเด็นสาคญั ย้าจดุ ประสงค์หรือความคดิ หลักของเรอ่ื ง อาจมีการทง้ิ ท๎ายฝากขอ๎ คดิ ขอ๎ ย้าเตอื น หรอื คติ
สอนใจ ตลอดจนความประทบั ใจให๎แกผํ อู๎ ําน
การเขียนยอํ หนา๎ แตํละยอํ หน๎าของเรียงความท้ังเร่ือง ตงั้ แตํเปดิ เรือ่ ง การดาเนินเร่อื ง จนกระทั้งจบ
เรื่อง ผเ๎ู ขยี นจะต๎องเริม่ ต๎นโดยวางจดุ ประสงคข์ องการเขยี นวาํ จะเขยี นเร่อื งอะไร เขียนแนวใด มีขอ๎ มลู หลกั
ขอ๎ มลู สนับสนุนตาํ ง ๆ เพยี งพอแล๎วเพียงใด จะเริม่ ตน๎ จะปดิ ท๎ายเรอื่ งแนวใด จึงลงมอื รํางโครงเรอ่ื ง แตลํ ะยอํ
หนา๎ เป็นแนวพอสังเขปกํอน ดังเชนํ
๑) ยอ่ หน้าแรก เปดิ เรื่องประกอบดว๎ ย ๑) การกลาํ วทัว่ ไปเพ่อื สรา๎ งความสนใจเกยี่ วกับเนื้อ
เรื่องท่ีจะเขียน ๒) กลําวระบปุ ระเด็นสาคัญๆ ของเร่อื งท่ีเป็นหลกั สาคญั หรอื หวั ใจของเรือ่ ง เป็นการกลาํ วถงึ
โครงสรา๎ งโดยรวมของการวางเนือ้ ความเรอื่ งที่สนใจ
๒) ย่อหนา้ เนอ้ื เรือ่ ง การเขยี นเน้ือเรือ่ ง แสดงถงึ การใหส๎ ิ่งสาคัญท่ีกลาํ วเกร่ินไว๎ พรอ๎ มท้ัง
รายละเอยี ดตาํ ง ๆ แกผํ อู๎ ําน เนือ้ เร่อื งของเรยี งความมกั มีหลายยํอหนา๎ เวน๎ แตํวาํ เรื่องนัน้ มเี นอ้ื หาน๎อยมาก
๑๖๐
เขียนเพียงหน่งึ ยอํ หน๎าก็ได๎ แตไํ มํวาํ จะก่ียํอหนา๎ แตลํ ะยํอหน๎าต๎องเกี่ยวเนอ่ื งกนั ตลอด มคี าหรือความเชือ่ ม
ประโยคในยอํ หนา๎ และระหวาํ งยํอหนา๎
๓) ย่อหนา้ ท้าย มีลักษณะตํางไปจากสวํ นทีเ่ ป็นเนอื้ เร่ือง เชนํ การสรปุ ประเดน็ สาคัญของเน้อื
เรื่องกค็ วรใชว๎ ธิ ีการเขยี นและภาษาใหก๎ ระชับ ชดั เจนทงิ้ ท๎ายเป็นขอ๎ คิดท่ีแตกตาํ งจากการดาเนนิ เรือ่ ง แตํก็ตอ๎ ง
สัมพันธก์ บั การปดิ เรื่องและเน้อื เร่อื ง จงึ จะทาให๎เรยี งความนนั้ มเี อกภาพ สมั พนั ธภาพ และมีสารตั ถภาพ
หลกั ในการเขียนเรยี งความ
หลักในการเขียนเรยี งความทส่ี าคญั ๆ มีดังนี้
๑. เขยี นตรงตามสวํ นประกอบของการเขยี นเรียงความ คอื มีสํวนนา สํวนเนือ้ เรือ่ ง และสวํ นปดิ เร่อื ง
ยอํ หน๎าแรกและยํอหน๎าสดุ ทา๎ ยเปน็ สวํ นนาและสวํ นปิดเรอื่ ง
๒. เขยี นตรงตามโครงเรอ่ื งทีว่ างไวท๎ ุกประเด็น
๓. เนื้อเร่ืองทว่ี างไว๎ตามโครงเร่อื งควรเขียนอยาํ งครบถว๎ น และสมบูรณ์และมีการลาดับขนั้ ตอนที่
ตํอเน่ืองสอดคล๎องกนั
๔. การนาเสนอเรื่อง ใหม๎ ีสาระนาํ อาํ น เลือกสรรขอ๎ ความทเ่ี หมาะสม มคี วามนําเช่ือถือ
๕. มคี วามคดิ แปลกใหมํ ทนั สมัย นําสนใจ สอดแทรกในข๎อเขยี นอยํางเหมาะเจาะ
๖. มสี านวนการเขยี นดี มีโวหาร คอื มีถอ๎ ยคาทเ่ี รยี บเรียงนําอาํ น มีการแสดงถอ๎ ยคาออกมาเปน็
ข๎อความเปรยี บเทียบ
๗. มีความงามในรปู แบบ คือ หัวกลางหนา๎ กระดาษ หวั ขอ๎ ชดิ ขอบกระดาษ หวั ขอ๎ ยํอหน๎า หวั ข๎อยํอย
จะวางรปู แบบไดส๎ ัดสวํ นที่เหมาะเจาะ สวยงาม อาํ นงําย ไมสํ บั สน ยอํ หนา๎ ใหมทํ ุกครงั้ เมือ่ ต๎องการเปลยี่ นเรอ่ื ง
ใหมํ
๘. เรียงความทีด่ ตี อ๎ งประกอบดว๎ ยเอกภาพ สมั พนั ธภาพ และสารัตถภาพ
๑๖๑
ตัวอย่างเรียงความเร่ือง น้อยหน่าไม่น้อยคา่
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ๒ แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๙ การเขียนเรยี งความ
รายวิชาภาษาไทย รหัส ท๒๑๑๐๑ ภาคเรียนที่ ๑ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๑
จากสถานการณ์ปจั จบุ นั โลกกาลงั เผชิญหนา๎ กับ “ภาวะโลกร๎อน” ท่ีกาลังคุกคามไปทั่วโลกทาให๎มีขําว
เกี่ยวกับภาวะโลกร๎อนอยูํเสมอๆ มีหลายหนํวยงานทั่วโลกชํวยกันรณรงค์ในเร่ือง ลดภาวะโลกร๎อน เร่ือง
วกิ ฤตการณโ์ ลกรอ๎ นไมํได๎เปน็ เรอื่ งไกลตัวอยาํ งทีห่ ลายคนคิด
การปลูกต๎นไม๎ต๎นหน่ึง ชํวยเพิ่มออกซิเจนให๎กับโลก ฉันเคยได๎ยินมาบํอยคร้ังอยูํเหมือนกันสาหรับตัว
ฉัน ในชีวิตก็เคยปลูกตน๎ ไมม๎ าบ๎าง ซึ่งการปลูกแตลํ ะครง้ั ก็มิได๎คานึงถึงประโยชน์ท่ีจะได๎รับจากการปลูกมากนัก
จนกระทง่ั วันหนึง่ แดดร๎อนมากเพราะเปน็ หนา๎ ร๎อน ไฟเกิดดับอีก ชํางเป็นสองสิ่งท่ีคนสํวนใหญํไมํชอบกันนักซึ่ง
รวมถึงตัวฉนั ดว๎ ย เพราะไฟฟา้ ดบั ทีเดือดรอ๎ นอยํางมาก ไมํวําจะเปน็ เรือ่ งพลาดดรู ายการโทรทัศน์ทโี่ ปรด และที่
ต๎องทนกับความร๎อนท่ีฉันไมํยอมคุ๎นเคยกับมันสักทีหลายๆอยํางดูติดขัดไปหมด วันน้ันฉันต๎องซักผ๎าเอง
เนื่องจากเครื่องซักผ๎าไมํยอมทาหน๎าที่ของตัวเอง ภาระจึงตกอยํูที่ฉัน ฉันนั่งซักผ๎าได๎ระยะหน่ึงร๎ูสึกได๎ถึงความ
ร๎อนทีเ่ พม่ิ ข้ึนเรอ่ื ยๆ จนฉันเรม่ิ มองหาทร่ี ํม เพราะเร่ิมทจ่ี ะทนความรอ๎ นไมํไหว พอดีหลงั บ๎านมีนอ๎ ยหนําสองต๎น
ปีน้ีมันโตข้ึนมากและมีใบหนาพอที่จะบังแดดให๎ฉันได๎ ฉันจึงย๎ายไปซักผ๎าใต๎รํมน๎อยหนํา ฉันรู๎สึกได๎ถึงความ
แตกตาํ งกนั อยํางมากใตร๎ มํ นอ๎ ยหนําให๎ความเยน็ สบายอยาํ งนําอัศจรรย์ ต๎นไม๎มีประโยชน์อยํางนี้นี่เองฉันนึกใน
ใจ ตํอไปฉันคงจะเริ่มปลูกต๎นไม๎ให๎มากข้ึน เพราะถ๎าเปรียบเทียบกันแล๎วระหวํางปลูกต๎นไม๎ ๑ ต๎น กับซื้อ
เครอื่ งปรับอากาศ ๑ เครอื่ ง ประโยชนท์ ่ีไดร๎ บั แตกตํางกันอยํางชัดเจน ต๎นไม๎ไมทํ าลายสง่ิ แวดล๎อม ไมํทาให๎โลก
เกิดก๏าซเรอื นกระจก ซึง่ เปน็ สาเหตุท่ที าใหโ๎ ลกรอ๎ นขน้ึ
การปลกู ตน๎ ไม๎คอื หนง่ึ วิธีที่ทาได๎งํายเพือ่ ชวํ ยเหลือเราและชํวยเหลือโลกจากภาวะโลกร๎อน ฉันอยากให๎
ทุกคนชํวยกัน และฉันเช่ือวําทุกคนที่อยูํบนโลกนี้ทาได๎ กํอนท่ีเหตุการณ์ท่ีเราไมํอยากพบไมํอยากเห็นจะเกิด
ข้ึนกับเราและโลกของเรา
เด็กหญิงสุธาสนิ ี ทรัพยม์ ลู ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี ๑
โรงเรียนสมุทรสาครบรู ณะ จังหวัดสมทุ รสาคร
๑๖๒
แผนการจัดการเรียนรู้
กลุม่ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี ๑
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ๒ เรยี นรสู้ ุภาษิต เวลา ๑๒ ชัว่ โมง
เวลา ๑ ชัว่ โมง
แผนการเรยี นรทู้ ี่ ๑๐ การเขียนเรียงความ
ภาคเรยี นที่ ๑ ปกี ารศึกษา ๒๕๖5
สอนวนั ท่ี เดอื น พ.ศ. ตาแหน่ง ครู
ครผู ูส้ อน นางสาวชาลสิ า หาญกิจ
๑. มาตรฐาน/ตัวชว้ี ัด
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใชก๎ ระบวนการเขียนเขียนส่อื สาร เขยี นเรียงความ ยํอความ และเขียนเรือ่ งราวใน
รูปแบบตาํ ง ๆ เขยี นรายงานขอ๎ มูลสารสนเทศ และรายงานการศกึ ษาคน๎ ควา๎ อยํางมปี ระสิทธิภาพ
ตัวชวี้ ดั
ท ๒.๑ ม.๑/๔ เขียนเรียงความ
ท ๒.๑ ม.๑/๙ มีมารยาทในการเขียน
๒. สาระสาคญั
การเขียนเรียงความจัดเป็นการเขียนเชิงสร๎างสรรค์ที่มีการใช๎รูปแบบและมีการเรียบเรียงภาษาที่
สละสลวย โดยเฉพาะการเขียนเรียงความเชิงพรรณนาจะต๎องอาศัยการเลือกสรรถ๎อยคาท่ีทาให๎เกิดจินตภาพ
และความงามของภาษา
๓. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
๑. นกั เรยี นอธิบายองค์ประกอบการเขียนเรยี งความได๎
๒. นักเรียนอธิบายหลักการเขยี นเรียงความได๎
๓. นักเรียนเขียนเรยี งความเชิงพรรณนาได๎
๔. นกั เรียนใฝ่เรยี นรแ๎ู ละมคี วามมุํงมนั่ ในการทางาน
๔. สาระการเรยี นรู้
๑. องค์ประกอบของเรียงความ
๒. หลักการเขียนเรียงความ
๕. การจดั กระบวนการจดั การเรียนรู้
ขั้นนา
ครสู นทนากบั นกั เรยี นเร่อื งการเขียนเรียงความ แล๎วให๎นักเรียนบอกองค์ประกอบของการเขยี น
เรยี งความ ดงั น้ี
คานา
เน้ือเรื่อง
สรปุ
เพ่อื เตรยี มความพรอ๎ มในการเขียนเรยี งความ
๑๖๓
ขน้ั สอน
๑. ให๎นักเรยี นชํวยกนั ระดมความคดิ วาํ เรียงความทีด่ คี วรมีองคป์ ระกอบใดบา๎ ง จงึ จะสมบูรณ์
แบบ (หวั ข๎อเร่อื ง คานา เนื้อหาสาระ บทสรปุ )
๒. ให๎นักเรียนชวํ ยกนั เสนอความคิดวําหากต๎องการใหง๎ านเขยี นเรียงความของเราเป็นงานเขยี น
ทดี่ ี ควรจะมีข้ันตอนกระบวนการใดบา๎ ง (๑. ข้ันกาหนดหัวข๎อ ๒. ขั้นกาหนดขอบเขตของเรือ่ ง ๓. ขัน้ หา
ข๎อมูลเพม่ิ เตมิ ๔. ข้นั วางโครงเรอ่ื ง ๕. ขน้ั ลงมือเขยี น ๖. ขนั้ ตรวจทาน) ครคู อยแนะนา
๓. ใหน๎ ักเรียนรํางหวั ข๎อ/โครงเร่ืองของเรียงความทต่ี นเองสนใจ
๔. ใหน๎ ักเรยี นสงํ หวั ข๎อโครงเรื่องตอํ ครู ครเู สนอแนะ
๕. ครใู หน๎ กั เรยี นสืบค๎นข๎อมลู เพ่อื จะนามาเขยี นเรยี งความ ตามหวั ขอ๎ /โครงเรือ่ ง ทีต่ นเองราํ งไว๎
จากหนังสือหรอื อนิ เทอรเ์ น็ต พร๎อมท้ังบอกแหลํงข๎อมูลอ๎างองิ ด๎วย
๖. นักเรียนเขียนเรียงความ แลว๎ รวํ มกันตรวจสอบความถูกตอ๎ ง
๗. นกั เรยี นทาแบบทดสอบเรอ่ื งการเขียนเรยี งความ
ข้ันสรุป
นักเรยี นและครูรํวมกันสรุปหลักการเขียนเรยี งความตลอดจนแนวทางการนาการเขียนเรียงความ
ไปปรบั ใชใ๎ นชีวติ ประจาวัน
๖. ส่ือ /แหลง่ เรยี นรู้
๑. ใบงาน
๒. แบบทดสอบ
๗. วัดผลประเมินผล
วิธกี าร เครือ่ งมอื เกณฑ์
แบบทดสอบ ผาํ นเกณฑก์ ารประเมินรอ๎ ยละ
ทดสอบ ๖๐ ข้นึ ไป
แบบประเมนิ การเขยี นเรียงความ ผาํ นเกณฑ์การประเมินร๎อยละ
เขยี นเรียงความ แบบประเมินคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ ๖๐ ขนึ้ ไป
ประเมินคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
ระดบั คณุ ภาพ ๒ ผาํ นเกณฑ์
๑๖๔
บนั ทึกหลังแผนการจัดการเรยี นรู้
๑. ด๎านความรู๎
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒. ดา๎ นสมรรถนะสาคัญของผูเ๎ รยี น
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓. ด๎านคุณลกั ษณะอันพึงประสงค/์ คาํ นิยม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๔. ด๎านอ่ืน ๆ (พฤตกิ รรมเดนํ หรอื พฤติกรรมที่มปี ัญหาของนกั เรียนเป็นรายบคุ คล (ถ๎ามี))
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๕. ปญั หา/อุปสรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๖. ข๎อเสนอแนะ/แนวทางการแก๎ปญั หา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………ครปู ระจาวชิ า
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๗. ความคดิ เหน็ ของผอู๎ านวยการสถานศกึ ษา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชือ่ ………………………………………ผอ๎ู านวยการสถานศกึ ษา
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๑๖๕
ใบงานเรอื่ งการเขยี นเรยี งความ
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๒ แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี ๑๐ เรอื่ ง การเขียนเรยี งความ
รายวชิ าภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรียนที่ ๑ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๑
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๑๖๖
แบบทดสอบเร่อื งการเขยี นเรียงความ
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี ๒ แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๑๐ เรอ่ื ง การเขยี นเรียงความ
รายวชิ าภาษาไทย รหัส ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นที่ ๑ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๑
คาชแ้ี จง ให๎นกั เรยี นเลือกคาตอบทีถ่ กู ตอ๎ งทสี่ ุดเพียงข๎อเดียวเทํานั้น
๑. การเลอื กเขยี นเรยี งความควรใชห๎ ลกั ในขอ๎ ใด
ก. เลือกเรอ่ื งทเี่ คยเขียนมากํอน
ข. เลือกเร่ืองทใี่ ช๎โวหารได๎หลากหลาย
ค. เลือกเร่อื งท่ตี นเองมีความรูม๎ ากที่สดุ
ง. เลอื กเรอื่ งเกีย่ วกับประสบการณข์ องผเู๎ ขยี น
๒. นกั เรียนควรเลือกช่อื เรื่องในข๎อใด
ก. กฎหมายนาํ ร๎ู
ข. ธรรมะกํอนนอน
ค. ทํองไปใหท๎ วั่ โลก
ง. โรงเรยี นของขา๎ พเจา๎
๓. ข๎อใดคอื ประโยชน์การวางโครงเรือ่ ง
ก. เขยี นงําย เนอ้ื หาไมํวกวน
ข. เขียนเรอ่ื งไดย๎ าวตามท่ีต๎องการ
ค. เขียนไดถ๎ ูกต๎องตามหลักการเขยี นความเรียง
ง. ทาให๎เกิดความเช่อื มั่นในการเขยี นความเรียง
๔. ข๎อใดใชพ๎ รรณนาโวหาร
ก. ตน๎ ไม๎ต๎นใหญใํ หร๎ ํมเงา
ข. สระนา้ กวา๎ งใหญเํ ก็บนา้ ได๎ดี
ค. ตน๎ ไมม๎ ปี ระโยชนท์ าใหฝ๎ นตกและลดโลกรอ๎ น
ง. สระน้ากว๎างสดุ ตานา้ ใสเต็มเปย่ี มเกือบจะลน๎
๕. ข๎อใดคอื สวํ นประกอบของความเรยี ง
ก. คานา ใจความสาคญั
ข. คานา เน้ือเรือ่ ง สรุป
ค. คานา เนือ้ เรือ่ ง ใจความสาคัญ
ง. คานา ใจความสาคญั ขอ๎ คดิ ควรจา
๖. การเลอื กเรอ่ื งในการเขียนเรยี งความไมํควรเลอื กตามข๎อใด
ก. ค๎นหาความร๎ไู ดส๎ ะดวก
ข. เป็นเร่ืองทไี่ มเํ คยสนใจมากํอน
ค. มีความรแ๎ู ละประสบการณม์ ากท่สี ดุ
ง. แสดงความคิดเหน็ ไดอ๎ ยํางกวา๎ งขวาง
๗. ขอ๎ ใดขยายความได๎สละสลวยและมใี จความทส่ี ัมพันธ์กัน
ก. ลดสิง่ ที่ไมํจาเปน็ เพราะใช๎จาํ ยอยาํ งประหยดั เชํน เขามีเงนิ
ข. เพราะใชจ๎ าํ ยอยาํ งประหยัด เขามเี งิน เชนํ ลดส่ิงท่ไี มจํ าเปน็
๑๖๗
ค. เขามเี งิน เชนํ ลดส่งิ ทไ่ี มจํ าเป็นลง เพราะใชจ๎ ํายอยํางประหยดั
ง. เขามเี งิน เพราะใช๎จาํ ยอยํางประหยัด เชํน ลดส่งิ ที่ไมํจาเปน็ ลง
๘. ข๎อใดใช๎คานาเปน็ คาถาม
ก. วฒั นธรรมคอื ส่ิงทช่ี าวบา๎ นทง้ั ปวงในสงั คมนั้น ๆ สมมติขึ้นและถอื ปฏบิ ัตริ วํ มกนั มา
ข. ในขณะที่เกิดอุทกภยั พ่ีน๎องชาวไทยเดือดรอ๎ น แตบํ างกลํมุ บางพวกยงั แขงํ ชงิ อานาจกนั อยูทํ าไม
ค. ความทุกข์ยากของราษฎรก็ผอํ นคลายลงดว๎ ยพระปรีชาพระบารมี เห็นเป็นประจกั ษแ์ กํสายตาประชาชน
ง. แม๎ “ข๎าวคา นา้ ขัน” ท่ีทาํ นแบงํ ให๎เรา กถ็ อื เสมือนบุคคลสาคัญ บญุ คุณทตี่ ๎องจดจาคาพดู ดังกลําวมมี า
แตํโบราณกาล
๙. โครงเรื่องเรยี งความเรอ่ื งพระราชวังบางปะอิน จังหวัดพระนครศรอี ยธุ ยา ตอํ ไปน้คี วรเรยี งลาดับตาม
ข๎อใดจงึ ไดจ๎ ะความสมบรู ณ์
๑. ประวตั กิ ารกอํ สรา๎ ง ๒. สิ่งกํอสรา๎ งในพระราชวงั
๓. ทตี่ ้งั ๔. ความสาคญั ทางประวตั ศิ าสตร์
๕. การอนุรักษแ์ ละการบรู ณะ
ก. ๑ ๓ ๒ ๕ ๔ ข. ๓ ๑ ๒ ๔ ๕
ค. ๓ ๒ ๑ ๔ ๕ ง. ๔ ๓ ๑ ๒ ๕
๑๐. ขอ๎ ใดกลาํ วถกู ตอ๎ ง
ก. เราไมํควรกาหนดขอบเขตเน้ือหาในการเขียนเรยี งความ เพราะจะทาให๎เกดิ ความยงุํ ยาก
ข. การตัง้ ชื่อเรอ่ื ง ตงั้ เองตามความพอใจ โดยไมํตอ๎ งคานึงถึงความคลอบคลุมหรือความเหมาะสม
ค. การเขยี นเนอื้ เรื่องเป็นการแสดงความร๎ูความคดิ ความรส๎ู กึ ทีไ่ มจํ าเป็นตอ๎ งมีขอ๎ มลู หรือหลกั ฐานประกอบ
ง. การเขียนเรียงความ คือ การเขียนเรียงลาดับข้ันตอนเขยี นเรยี บเรียงเร่ืองราว เพ่อื แสดงความร๎ู
ความคดิ
๑๖๘
เฉลยแบบสอบเร่ือง การเขียนเรียงความ
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ ๒ แผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ ๑๐ การเขยี นเรยี งความ
รายวชิ าภาษาไทย รหัส ท๒๑๑๐๑ ภาคเรียนท่ี ๑ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๑
๑. ค ๒. ง ๓. ก ๔. ง ๕. ข ๖. ข ๗. ง ๘. ข ๙. ข ๑๐. ง
๑๖๙
แบบประเมนิ การเขยี นเรียงความ
เลขท่ี ชอ่ื – สกุล การ ั้ตง ่ืชอ รวม สรุปผล
อง ์คประกอบ การประเมนิ
เ ้ืนอหา
การใช๎ภาษา
มารยาท
ในการเ ีขยน
๔ ๔ ๔ ๔ ๔ ๒๐ ผําน ไมํผําน
เกณฑก์ ารประเมิน รอ๎ ยละ ๘๐ ขน้ึ ไป (๑๘ คะแนนขึ้นไป)
๑๙ – ๒๐ คะแนน ระดบั ดีมาก
๑๕ – ๑๘ คะแนน ระดบั ดี
๑๑ – ๑๔ คะแนน ระดับ พอใช๎
๐ – ๑๐ คะแนน ระดบั ปรับปรุง
ลงชื่อ ..............................................ผู๎ประเมนิ
(.........................................................)
๑๗๐
เกณฑ์การประเมนิ การเขียนเรยี งความ
ประเดน็ 4 (ดีมาก) ระดับคะแนน/ระดับคุณภาพ จดุ เน้น
การประเมิน ชื่อเร่ืองสน้ั กะทดั รดั 3 (ด)ี 2 (พอใช)๎ 1 (ปรับปรงุ ) น้าหนัก
การตง้ั ชื่อเร่ือง เหมาะสม สอดคลอ๎ งกบั
องค์ประกอบ เนอ้ื เรือ่ งทเ่ี ขยี น มคี วาม ชอ่ื เรื่องสน้ั กะทดั รดั ชือ่ เรอื่ งสอดคล๎อง ไมํสอดคล๎องกบั ๑
เน้ือเรอื่ ง นาํ สนใจ ดึงดูดใจผู๎อาํ น
มีคานา เน้อื เรอื่ ง สรปุ เหมาะสม กบั เรอื่ งทเี่ ขียน เนอ้ื เรอ่ื ง
การใช๎ภาษา
มีประเดน็ นาํ สนใจ แปลก สอดคลอ๎ งกับเน้ือ
มารยาท ใหมํ มขี อ๎ มูลนาํ เชอ่ื ถอื เร่อื งทเ่ี ขียน
ในการเขียน เนือ้ หา มีความถกู ตอ๎ ง
สอดแทรกความคดิ เหน็ มีคานา มีเนือ้ เรือ่ ง ไมํมีคานา มเี น้ือ ไมํมีคานา มีเน้ือ ๒
ของผ๎ูเขียน
ใชภ๎ าษาได๎ถูกต๎องตาม แตไํ มํมีสรปุ เรอ่ื ง มีสรุป เร่ือง ไมํมีสรุป
หลักภาษา เลือกใช๎ภาษา
สานวนสละสลวย สือ่ มขี อ๎ มูลนาํ เช่ือถือ มขี อ๎ มลู นําเชอื่ ถือ เนอ้ื หาขาด ๒
ความหมายชดั เจน การ
สะกดคา และเวน๎ วรรค เนื้อหามีความ เนือ้ หามคี วาม ความนําเชอ่ื ถอื
ตอนถูกต๎อง
ถูกตอ๎ ง สอดแทรก ถกู ตอ๎ ง
ลายมอื เปน็ ระเบียบ
สะอาดเรยี บรอ๎ ย ความคดิ เห็นของ
สงํ ทนั เวลาท่ีกาหนด
ผเ๎ู ขยี น
ใชภ๎ าษาไดถ๎ ูกต๎อง ใช๎ภาษาไดถ๎ ูกตอ๎ ง ใชภ๎ าษาได๎ ๒
ตามหลักภาษา ตามหลักภาษา ใช๎ ถูกตอ๎ งตามหลกั
เลอื กใช๎ภาษา ภาษา สานวน ภาษา ใช๎ภาษา
สานวนสละสลวย สละสลวย สานวน
ส่อื ความหมาย ส่ือความหมาย สละสลวย
ชัดเจน การสะกด การสะกดคา และ ส่ือความหมาย
คา และเวน๎ วรรค เว๎นวรรคตอน เขยี นสะกดคา
ตอนถูกต๎อง ถูกตอ๎ ง และเวน๎ วรรค
ตอนไมํถูกต๎อง
ลายมอื อํานงาํ ย ลายมืออาํ นยาก ลายมอื อํานยาก ๑
สะอาดเรียบร๎อย สะอาดเรียบรอ๎ ย ไมํ เรยี บร๎อย
สํงทันเวลาท่ี สํงทันเวลาที่ สงํ ไมทํ ันเวลาที่
กาหนด กาหนด กาหนด
ระดับคุณภาพ ๓๖ - ๔๐ หมายถึง ดมี าก
คะแนน ๒๙ - ๓๕ หมายถึง ดี
คะแนน ๒๐ - ๒๘ หมายถึง พอใช้
คะแนน ๐ - ๑๙ หมายถึง ปรบั ปรุง
คะแนน
๑๗๑
แผนการจัดการเรียนรู้
กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๑
หน่วยการเรียนร้ทู ่ี ๒ เรียนร้สู ภุ าษิต เวลา ๑๒ ชั่วโมง
เวลา ๑ ช่วั โมง
แผนการเรยี นรทู้ ี่ ๑๑ การพูดรายงาน
ภาคเรียนท่ี ๑ ปกี ารศึกษา ๒๕๖5
สอนวันที่ เดือน พ.ศ. ตาแหนง่ ครู
ครผู สู้ อน นางสาวชาลิสา หาญกิจ
๑. มาตรฐาน/ตัวชี้วดั
มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดูอยํางมวี ิจารณญาณ และพูดแสดงความร๎ู ความคดิ และ
ความรส๎ู กึ ในโอกาสตาํ ง ๆ อยาํ งมวี จิ ารณญาณและสร๎างสรรค์
ตวั ช้วี ัด
ม.๑/๕ พูดรายงานเรอื่ งหรือประเด็นท่ศี ึกษาค๎นควา๎ จากการฟงั การดูและการสนทนา
ม.๑/๖ มีมารยาทในการฟัง การดู การพดู
๒. สาระสาคญั
การพูดรายงาน เป็นการพูดนาเสนอผลของการศึกษาค๎นคว๎าเร่ืองใดเรื่องหน่ึงแกํผู๎ฟังการพูดรายงาน
การศกึ ษาคน๎ ควา๎ นีอ้ าจเป็นการนาเสนอในชั้นเรียนหรอื กลุํมกไ็ ด๎
๓. จุดประสงค์การเรียนรู้
๑. นักเรยี นอธิบายความหมายของการพูดรายงานได๎
๒. นักเรยี นอธบิ ายหลกั การพูดรายงาน
๓. นกั เรยี นอธิบายมารยาทในการพูด
๔. พดู รายงานจากเรื่องหรอื ประเดน็ ท่ศี กึ ษาคน๎ คว๎าจากการฟังและการดแู ละการสนทนาได๎
๕. นกั เรียนใฝเ่ รยี นร๎ูและมคี วามมุํงมน่ั ในการทางาน
๔. สาระการเรยี นรู้
๑. ความหมายของการพดู รายงาน
๒. หลักการพดู รายงาน
๓. มารยาทในการพดู
๕. การจัดกระบวนการจดั การเรียนรู้
ข้นั นา
นกั เรยี นรวํ มกันแสดงความคดิ เหน็ ในประเดน็
“การพดู รายงานมีความสาคญั กับนักเรียนหรือไมํอยํางไร
และถา๎ หากครูมอบหมายให๎นกั เรียนออกมาพดู รายงานการศกึ ษาคน๎ คว๎าหนา๎ ช้ันเรียน
นักเรียนจะมวี ธิ กี ารพดู อยาํ งไร”
ขัน้ สอน
๑. แบงํ กลมุํ นกั เรียนศึกษาใบความรเ๎ู รือ่ งการพดู รายงาน และเร่อื งภูมิปญั ญาไทยและสํงตวั แทน
๑๗๒
นาเสนอความร๎หู น๎าช้นั เรยี น
๒. นักเรยี นแตํละกลํุมรวํ มกนั วางแผนการคน๎ ควา๎ ขอ๎ มลู เกย่ี วกบั ภูมปิ ญั ญาไทยในชุมชนและ
ทอ๎ งถ่ินของตน
๓. นกั เรียนแตลํ ะกลมํุ จดั ทาแผนภาพความคดิ “ภมู ใิ จ ภมู ปิ ัญญาไทย ในทอ๎ งถิน่ ”
การพดู รายงานเร่ืองเกีย่ วกบั ภูมปิ ัญญาไทยในชุมชนและทอ๎ งถิน่ ของตน
ข้นั สรุป
ครแู ละนักเรียนรวํ มกันสรุปหลกั การพูดรายงานและมารยาทในการพดู เพือ่ นาไปใชใ๎ นการพูด
รายงานได๎อยาํ งถกู ตอ๎ ง
๖. ส่อื /แหลง่ เรยี นรู้
๑. ใบความรูเ๎ รื่อง การพดู รายงาน
๒. ใบความร๎ูเร่ือง ภูมปิ ญั ญาไทย
๗. วดั ผลประเมินผล
วธิ ีการ เครือ่ งมือ เกณฑ์
นาเสนอผลงาน แบบประเมินนาเสนอผลงาน ผาํ นเกณฑก์ ารประเมนิ ร๎อยละ
๖๐ ข้ึนไป
แผนภาพความคดิ แบบประเมนิ แผนภาพความคิด ผาํ นเกณฑ์การประเมนิ ร๎อยละ
๖๐ ขนึ้ ไป
ประเมนิ การพดู รายงาน แบบประเมินการพดู รายงาน ผาํ นเกณฑ์การประเมนิ รอ๎ ยละ
ประเมินคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ แบบประเมนิ คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ๖๐ ขึน้ ไป
ระดบั คุณภาพ ๒ ผาํ นเกณฑ์
๑๗๓
บนั ทกึ หลงั แผนการจดั การเรียนรู้
๑. ด๎านความรู๎
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒. ดา๎ นสมรรถนะสาคญั ของผ๎เู รียน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓. ดา๎ นคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์/คาํ นิยม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๔. ดา๎ นอน่ื ๆ (พฤตกิ รรมเดนํ หรือพฤติกรรมท่ีมีปญั หาของนักเรยี นเป็นรายบคุ คล (ถ๎ามี))
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๕. ปญั หา/อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๖. ข๎อเสนอแนะ/แนวทางการแกป๎ ัญหา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………ครปู ระจาวชิ า
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๗. ความคดิ เห็นของผ๎อู านวยการสถานศกึ ษา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่อื ………………………………………ผูอ๎ านวยการสถานศึกษา
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๑๗๔
ใบความรู้ เรื่อง การพูดรายงาน
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ๒ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๑๑ เร่ือง การพดู รายงาน
รายวชิ าภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรียนท่ี ๑ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ ๑
ความหมายการพดู รายงาน
การพูดรายงาน เป็นการบอกเลํา ช้ีแจง แสดงผลการศกึ ษาค๎นควา๎ การพดู รายงานมคี วามสาคัญใน
ฐานะท่ีเป็นการเผยแพรคํ วามรู๎ ความคดิ เพือ่ สร๎างความเจริญงอกงามทางสติปญั ญา
หลกั การพูดรายงาน
การพูดรายงาน ควรยึดหลักดงั นี้
๑. เตรียมเอกสารประกอบการรายงานให๎พร๎อม
๒. กลําวทักทายผ๎ูฟงั แนะนาตนเองและเรื่องทร่ี ายงาน
๓. รายงานเรื่องตามลาดบั เน้ือหา ลาดับข้ันตอน หรือลาดับเหตุการณใ์ หถ๎ กู ตอ๎ งและตํอเนือ่ งสัมพันธ์
กัน
๔. ใชภ๎ าษาพดู ทกี่ ระชบั เขา๎ ใจงําย สุภาพ ด๎วยเสยี งทด่ี งั พอควร หนักแนํน แสดงความม่นั ใจ
๕. เสนอขอ๎ มูลตรงประเดน็ และยกหลกั ฐาน เหตผุ ลมาประกอบการพดู อยาํ งพอเพียง ไมมํ ากหรือน๎อย
เกินไป
๖. ไมํใช๎ภาษาตาํ งประเทศถา๎ มคี าภาษาไทยใช๎อยแํู ล๎วและเปน็ ทรี่ ๎จู ักนอกจากเปน็ คาใหมหํ รือเป็นศัพท์
เฉพาะวงการน้ัน ๆ
๗. พดู คาควบกล้าใหช๎ ดั เจนมฉิ ะน้นั จะผิดความหมาย รวมทง้ั การพูดเวน๎ วรรคตอน ออกเสยี ง
วรรณยกุ ตใ์ ห๎ถกู ตอ๎ งตามหลกั ภาษาไทย
มารยาทในการพูด
มารยาทในการพดู เป็นสงิ่ สาคัญที่ผ๎ูพดู ตอ๎ งคานงึ ถงึ เวลาพูดเพราะจะชํวยเสริมสรา๎ งบคุ ลิกภาพทดี่ ี และ
สร๎างความประทับใจแกผํ ู๎ฟัง มารยาทในการพดู มี ดังน้ี
๑. ใช๎ภาษาทสี่ ภุ าพเหมาะสมกบั กาลเทศะและบุคคล
๒. ควรเปดิ โอกาสใหผ๎ ๎ูอน่ื แสดงความคิดเหน็
๓. รกั ษาเวลาในการพดู ตามทก่ี าหนด
๔. มีบคุ ลิกภาพท่ีดี ยนื หรือน่ังอยํางสารวม
๕. ไมํควรพูดเรอ่ื งสํวนตัวของตนเอง และไมนํ าเร่อื งสวํ นตัวของผ๎ูอน่ื มาพูด
๑๗๕
ใบความรู้ เรือ่ ง ภมู ิปญั ญาไทย
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ๒ แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๑๑ เร่อื ง การพดู รายงาน
รายวิชาภาษาไทย รหสั ท๒๑๑๐๑ ภาคเรยี นที่ ๑ ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ ๑
ภูมปิ ัญญาไทย มกี ารกาหนดสาขาภมู ปิ ัญญาไทยไว๎อยาํ งหลากหลาย ทั้งน้ขี ้นึ อยํูกับวตั ถปุ ระสงค์
และหลกั เกณฑ์ตําง ๆ ทีห่ นวํ ยงาน องค์กร และนักวชิ าการแตลํ ะทํานนามากาหนด ในภาพรวมภมู ปิ ัญญาไทย
สามารถแบํงได๎เป็น ๑๐ สาขา ดังน้ี
๑. สาขาเกษตรกรรม หมายถงึ ความสามารถในการผสมผสานองคค์ วามรู๎ ทกั ษะ และเทคนิค
ด๎านการเกษตรกบั เทคโนโลยี โดยการพฒั นาบนพน้ื ฐานคณุ คาํ ดัง้ เดิม ซึง่ คนสามารถพง่ึ พาตนเองในภาวการณ์
ตําง ๆ ได๎ เชํน การทาการเกษตรแบบผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ ไรํนาสวนผสม และสวน
ผสมผสาน การแกป๎ ัญหาการเกษตรดา๎ นการตลาด การแก๎ปญั หาด๎านการผลติ การแกไ๎ ขปญั หาโรคและแมลง
และการรจ๎ู ักปรบั ใช๎เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการเกษตร เป็นต๎น
๒. สาขาอตุ สาหกรรมและหตั ถกรรม หมายถงึ การรจู๎ กั ประยุกตใ์ ชเ๎ ทคโนโลยีสมยั ใหมํในการแปรรปู
ผลิตผล เพอ่ื ชะลอการนาเข๎าตลาด เพือ่ แกป๎ ญั หาด๎านการบรโิ ภคอยํางปลอดภัย ประหยดั และเป็นธรรม
อนั เป็นกระบวนการที่ทาใหช๎ ุมชนท๎องถน่ิ สามารถพ่ึงพาตนเองทางเศรษฐกจิ ได๎ ตลอดทงั้ การผลติ และการ
จาหนาํ ย ผลิตผลทางหัตถกรรม เชนํ การรวมกลมุํ ของกลํมุ โรงงานยางพารา กลํุมโรงสี กลุมํ หัตถกรรม เปน็ ต๎น
๓. สาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึง ความสามารถในการจดั การป้องกัน และรกั ษาสขุ ภาพของคน
ในชมุ ชน โดยเน๎นใหช๎ ุมชนสามารถพงึ่ พาตนเอง ทางดา๎ นสขุ ภาพ และอนามัยได๎ เชํน การนวดแผนโบราณ การ
ดูแลและรกั ษาสุขภาพแบบพืน้ บา๎ น การดูแลและรักษาสุขภาพแผนโบราณไทย เป็นตน๎
๔. สาขาการจัดการทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ ม หมายถึง ความสามารถเกีย่ วกบั การจดั การ
ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล๎อม ทัง้ การอนรุ กั ษ์ การพฒั นา และการใชป๎ ระโยชนจ์ ากคณุ คาํ ของ
ทรพั ยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดล๎อม อยํางสมดุล และยั่งยืน เชนํ การทาแนวปะการังเทยี ม การอนรุ ักษป์ ่า
ชายเลน การจัดการป่าตน๎ น๎า และป่าชมุ ชน เป็นต๎น
๕. สาขากองทุนและธุรกิจชมุ ชน หมายถึง ความสามารถในการบรหิ ารจดั การด๎านการสะสม
และบรกิ ารกองทนุ และธรุ กจิ ในชุมชน ทัง้ ทเ่ี ปน็ เงินตรา และโภคทรพั ย์ เพอื่ สงํ เสริมชีวติ ความเปน็ อยขํู อง
สมาชกิ ในชุมชน เชนํ การจัดการเรือ่ งกองทนุ ของชมุ ชน ในรูปของสหกรณอ์ อมทรัพย์ และธนาคารหมํบู ๎าน
เป็นตน๎
๖. สาขาสวสั ดกิ าร หมายถงึ ความสามารถในการจัดสวสั ดกิ ารในการประกนั คุณภาพชวี ิตของคน
ใหเ๎ กิดความม่ันคงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เชนํ การจดั ตั้งกองทนุ สวสั ดิการรักษาพยาบาลของ
ชุมชน การจดั ระบบสวัสดกิ ารบรกิ ารในชุมชน การจดั ระบบสงิ่ แวดล๎อมในชุมชน เป็นต๎น
๗. สาขาศิลปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลติ ผลงานทางด๎านศลิ ปะสาขาตําง ๆ เชนํ
จิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ทัศนศิลป์ คีตศิลป์ ศิลปะมวยไทย เป็นต๎น
๘. สาขาการจัดการองค์กร หมายถึง ความสามารถในการบริหารจดั การดาเนนิ งานขององค์กรชุมชน
ตําง ๆ ให๎สามารถพัฒนา และบริหารองค์กรของตนเองได๎ ตามบทบาท และหนา๎ ทีข่ ององค์การ เชํน
การจดั การองคก์ รของกลํุมแมํบ๎าน กลํมุ ออมทรพั ย์ กลุํมประมงพนื้ บ๎าน เป็นตน๎
๙. สาขาภาษาและวรรณกรรม หมายถงึ ความสามารถผลติ ผลงานเกยี่ วกับด๎านภาษา ทงั้ ภาษาถ่ิน
ภาษาโบราณ ภาษาไทย และการใช๎ภาษา ตลอดทั้งดา๎ นวรรณกรรมทกุ ประเภท เชนํ การจดั ทาสารานุกรม
ภาษาถ่ิน การปรวิ รรต หนงั สือโบราณ การฟื้นฟูการเรียนการสอนภาษาถิ่นของท๎องถ่ินตําง ๆ เป็นต๎น
๑๗๖
๑๐. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถึง ความสามารถประยกุ ต์ และปรับใชห๎ ลกั ธรรมคาสอนทาง
ศาสนา ความเชอ่ื และประเพณดี งั้ เดิมท่ีมีคณุ คาํ ให๎เหมาะสมตอํ การประพฤตปิ ฏิบัติ ใหบ๎ ังเกิดผลดตี ํอบคุ คล
และสง่ิ แวดลอ๎ ม เชํน การถาํ ยทอดหลกั ธรรมทางศาสนา การบวชปา่ การประยกุ ตป์ ระเพณีบุญประทายขา๎ ว
เป็นตน๎
สุมน อมรววิ ฒั น์. สารานกุ รมสาหรับเยาวชนไทยโดยพระราชประสงคใ์ นพระบาทสมเดจ็ พระเจา๎ อยหูํ ัวเลมํ ที่
๒๓ เร่ืองที่ ๑ ภูมปิ ญั ญาไทย. พ.ศ. ๒๕๔๑
๑๗๗
แผนภาพความคิด “ภูมิใจ ภมู ปิ ัญญาไทย ในท้องถน่ิ ”
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ๒ แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๑๑ เรอื่ ง การพูดรายงาน
รายวชิ าภาษาไทย รหัส ท๒๑๑๐๑ ภาคเรียนท่ี ๑ ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี ๑
“ภูมใิ จ ภูมปิ ัญญาไทย ในท้องถ่ิน”
สาขา .......................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
๑๗๘
แบบประเมนิ การพูดรายงาน
เนื้อหา
กลวิธีการนาเสนอ
การใช๎ภาษา
ความสามารถในการพูด
ชื่อ – สกุล รวม สรุปผล
เลขที่ การประเมิน
๔ ๔ ๔ ๔ ๒๐ ผําน ไมผํ ําน
เกณฑ์การประเมนิ รอ๎ ยละ ๘๐ ขน้ึ ไป (๑๘ คะแนนขน้ึ ไป)
๑๙ – ๒๐ คะแนน ระดบั ดีมาก
๑๕ – ๑๘ คะแนน ระดับ ดี
๑๑ – ๑๔ คะแนน ระดับ พอใช๎
๐ – ๑๐ คะแนน ระดบั ปรับปรุง
ลงชือ่ ..............................................ผ๎ปู ระเมนิ
(.........................................................)
๑๗๙
เกณฑก์ ารประเมินการพูดรายงาน
ประเด็นการประเมนิ ระดบั คะแนน/ระดับคณุ ภาพ 1 (ปรับปรุง)
4 (ดมี าก) 3 (ด)ี 2 (พอใช)๎
มีการเรยี งลาดับ มกี ารเรยี งลาดบั มีการเรยี งลาดับ
เนื้อหา มีการเรยี งลาดบั เนอ้ื หาได๎ดี เนอื้ หาได๎พอใช๎ เนอ้ื หาไมํได๎
เน้อื หาไดด๎ ี
มคี วามตํอเนือ่ ง มีความตอํ เนือ่ ง มีความตอํ เนือ่ งนอ๎ ย ไมมํ ีความตํอเน่อื ง
มปี ระโยชนใ์ หแ๎ งํคดิ
สัมพนั ธก์ บั เนอ้ื เรื่อง มปี ระโยชนใ์ ห๎แงคํ ิด มปี ระโยชนนน์ ๎อยให๎ มปี ระโยชนนน์ ๎อยให๎
บา๎ ง แงคํ ิดน๎อย แงํคิดนอ๎ ย
กลวธิ กี ารนาเสนอ การนาเขา๎ สํเู น้อื เรอื่ งมี การนาเขา๎ สํเู นอื้ เรอ่ื ง มีการนาเขา๎ สํเู นอ้ื เรอ่ื ง มีการนาเขา๎ สูํเนือ้
การใชภ๎ าษา ความ สัมพนั ธก์ ับเนอ้ื มีความ สัมพันธก์ บั มคี วาม สมั พันธก์ บั เรื่อง ไมํมีความ
ความสามารถในการ เร่ือง เร๎าความสนใจ เนื้อเร่อื ง เรา๎ ความ เน้ือเรอื่ ง ไมํคํอยเร๎า สัมพนั ธก์ บั เนอื้ เรอ่ื ง
พูด ผฟ๎ู ังได๎ดี สนใจผู๎ฟังได๎ ความสนใจผฟู๎ งั ไมเํ รา๎ ใจผฟ๎ู งั
ตอบคาถาม/เวลา มคี วามมน่ั ใจในการ มีความม่ันใจ ไมํคํอยมคี วามมัน่ ใจ ไมํมีความม่นั ใจ
พูดรายงาน ในการพูดรายงาน ในการพดู รายงาน
ออกเสยี งถูกตอ๎ งตาม ออกเสยี งถูกต๎องตาม ออกเสยี งถูกต๎องตาม ออกเสยี งถูกตอ๎ งตาม
อกั ขรวธิ แี ละดงั ชดั เจน อักขรวธิ ีและดงั ชดั เจน อกั ขรวธิ ีและดัง อักขรวธิ แี ละดัง
ชัดเจน
ใช๎ภาษาเหมาะสม ใชภ๎ าษาเหมาะสม ใชภ๎ าษาเขา๎ ใจยาก ชัดเจน ใช๎ภาษาไมํ
เข๎าใจงาํ ย มกี ารใช๎ เข๎าใจงําย ไมมํ ีการใช๎ ไมมํ กี ารใชส๎ านวน เหมาะสม ไมเํ ขา๎ ใจ
สานวนโวหาร สานวนโวหาร โวหาร เนอื้ เรอื่ ง
พดู ไดค๎ ลอํ งแคลํว พูดไดค๎ ลอํ งแคลํว พูดได๎คลอํ งแคลวํ พูดเหมือนทอํ งจา
พูดเป็นธรรมชาติ พูดเปน็ ธรรมชาติ แตไํ มเํ ปน็ ธรรมชาติ
ประสานสายตา ประสานสายตากบั ประสานสายตากบั มกี ารประสาน
กับผ๎ูฟงั มีการ ผฟ๎ู งั มีการแสดงออก ผู๎ฟังน๎อย สายตา กบั ผ๎ูฟังบ๎าง
แสดงออกทางสหี น๎า ทางสีหนา๎ และทาํ ทาง เป็นระยะ
และทาํ ทางอยําง บ๎างเลก็ นอ๎ ย
เหมาะสม
ตอบคาถามได๎อยําง ตอบคาถามได๎ ตอบคาถามไมไํ ด๎ ตอบคาถามไมํได๎
มีความรแ๎ู ละมีความ คํอนข๎าง ชดั เจน มี เป็น สํวนใหญํ ใช๎ เป็น สวํ นใหญํ ใช๎
ชัดเจนมแี หลงํ แหลงํ อ๎างองิ ใช๎เวลา เวลาเกินกาหนด ๕ เวลาเกนิ กาหนด ๕
อา๎ งอิง ใชเ๎ วลาตาม เกนิ กาหนด ๑ นาที นาที นาที
กาหนด
ระดบั คุณภาพ ๑๙ – ๒๔ หมายถงึ ดมี าก
คะแนน ๑๓ – ๑๘ หมายถึง ดี
คะแนน ๗ – ๑๒ หมายถงึ พอใช้
คะแนน ต้่ากว่า ๖ หมายถึง ปรบั ปรงุ
คะแนน
๑๘๐
แผนการจัดการเรียนรู้
กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ระดับช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ ๑
หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี ๒ เรียนรูส้ ุภาษิต เวลา ๑๒ ช่วั โมง
เวลา ๑ ชวั่ โมง
แผนการเรยี นรู้ที่ ๑๒ การพูดรายงาน
ภาคเรยี นท่ี ๑ ปีการศกึ ษา ๒๕๖5
สอนวันท่ี เดอื น พ.ศ. ตาแหน่ง ครู
ครผู ู้สอน นางสาวชาลสิ า หาญกิจ
๑. มาตรฐาน/ตัวชี้วัด
มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลอื กฟังและดอู ยํางมวี จิ ารณญาณ และพูดแสดงความรู๎ ความคดิ และ
ความรส๎ู กึ ในโอกาสตาํ ง ๆ อยาํ งมีวจิ ารณญาณและสร๎างสรรค์
ตัวช้วี ดั
ม.๑/๕ พดู รายงานเร่อื งหรอื ประเด็นทีศ่ ึกษาคน๎ ควา๎ จากการฟงั การดูและการสนทนา
ม.๑/๖ มีมารยาทในการฟงั การดู การพดู
๒. สาระสาคัญ
การพูดรายงาน เป็นการพูดนาเสนอผลของการศึกษาค๎นคว๎าเร่ืองใดเรื่องหนึ่งแกํผู๎ฟังการพูดรายงาน
การศกึ ษาคน๎ ควา๎ นี้อาจเปน็ การนาเสนอในชั้นเรยี นหรอื กลุํมกไ็ ด๎
๓. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
๑. นักเรยี นอธิบายความหมายของการพดู รายงานได๎
๒. นักเรยี นอธบิ ายหลักการพูดรายงาน
๓. นกั เรียนอธิบายมารยาทในการพูด
๔. พูดรายงานจากเร่ืองหรอื ประเดน็ ท่ศี ึกษาค๎นควา๎ จากการฟงั และการดแู ละการสนทนาได๎
๕. นักเรียนใฝเ่ รยี นรแ๎ู ละมีความมงุํ มน่ั ในการทางาน
๔. สาระการเรยี นรู้
การพูดรายงาน
๕. การจัดกระบวนการจดั การเรียนรู้
ขัน้ นา
ครูตงั้ คาถาม ประเดน็ การพดู รายงานวํา หลักการพูดรายงานมีอะไรบา๎ ง และผ๎ูพูดควรปฏิบตั ิตน
อยาํ งไรในขณะนาเสนอรายงาน
ขน้ั สอน
๑. ครจู ับสลากหมายเลขกลํมุ ของนักเรยี น ให๎ออกมาพดู รายงานการศึกษา กจิ กรรม “ภมู ิใจ ภมู ิ
ปัญญาไทย ในทอ๎ งถ่ิน” โดยกาหนดระยะเวลากลมุํ ละไมํเกิน ๘ นาที ครูสรุปประเด็นการพดู รายงานของแตํ
ละกลมุํ
๒. ครูและนักเรยี นรวํ มกนั แสดงความคิดเห็นการพูดรายงานของแตํละกลมุํ และประเมินการพูด
ฟงั การนาเสนอของแตลํ ะกลํุม
๑๘๑
๓. นกั เรยี นแตลํ ะกลํุมสงํ ผลงานการศกึ ษาคน๎ คว๎า กจิ กรรม “ภมู ใิ จ ภมู ิปญั ญาไทย ในทอ๎ งถน่ิ ”
ขั้นสรปุ
ครแู ละนักเรยี นรวํ มกันสรุปความร๎เู รื่องการพูดรายงาน ผ๎ูพูดต๎องมีขอ๎ มูลการศึกษาค๎นคว๎าโดย
เรยี งลาดบั ใช๎สานวนภาษาอยํางถูกต๎องเหมาะสม และมีมารยาทในการพูด เพ่ือนาไปประยุกต์ใช๎ในการพูดได๎
อยาํ งถกู ต๎อง
๖. สื่อ /แหล่งเรยี นรู้
๑. ใบความรู๎เร่ือง การพดู รายงาน
๒. ใบความรเ๎ู รือ่ ง ภมู ิปญั ญาไทย
๗. วดั ผลประเมนิ ผล
วธิ กี าร เครือ่ งมือ เกณฑ์
นาเสนอผลงาน แบบประเมนิ นาเสนอผลงาน ผาํ นเกณฑ์การประเมนิ ร๎อยละ
๖๐ ขึ้นไป
แผนภาพความคิด แบบประเมนิ แผนภาพความคดิ ผํานเกณฑก์ ารประเมนิ รอ๎ ยละ
๖๐ ข้นึ ไป
ประเมินการพดู รายงาน แบบประเมนิ การพูดรายงาน ผาํ นเกณฑก์ ารประเมนิ ร๎อยละ
๖๐ ขน้ึ ไป
ประเมนิ คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ แบบประเมินคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
ระดบั คณุ ภาพ ๒ ผํานเกณฑ์
๑๘๒
บันทึกหลงั แผนการจัดการเรียนรู้
๘. ด๎านความร๎ู
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๙. ดา๎ นสมรรถนะสาคัญของผ๎เู รยี น
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๑๐.ดา๎ นคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค/์ คํานิยม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๑๑.ด๎านอ่นื ๆ (พฤตกิ รรมเดนํ หรอื พฤติกรรมทีม่ ปี ญั หาของนกั เรียนเป็นรายบุคคล (ถา๎ ม)ี )
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๑๒.ปัญหา/อปุ สรรค
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๑๓.ข๎อเสนอแนะ/แนวทางการแก๎ปัญหา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชือ่ ………………………………………ครูประจาวชิ า
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๑๔.ความคดิ เห็นของผู๎อานวยการสถานศกึ ษา
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………ผอ๎ู านวยการสถานศึกษา
(…………………………………………….)
…………/…………/…………
๑๘๓
แบ บประเมนิ การพูดรายงาน
เนื้อหา
กลวิธีการนาเสนอ
การใช๎ภาษา
ความสามารถในการพูด
ชื่อ – สกุล รวม สรุปผล
เลขที่ การประเมิน
๔ ๔ ๔ ๔ ๒๐ ผําน ไมผํ ําน
เกณฑ์การประเมนิ รอ๎ ยละ ๘๐ ขน้ึ ไป (๑๘ คะแนนขึน้ ไป)
๑๙ – ๒๐ คะแนน ระดบั ดมี าก
๑๕ – ๑๘ คะแนน ระดับ ดี
๑๑ – ๑๔ คะแนน ระดับ พอใช๎
๐ – ๑๐ คะแนน ระดบั ปรบั ปรุง
ลงชื่อ ..............................................ผ๎ปู ระเมนิ
(.........................................................)
๑๘๔
เกณฑก์ ารประเมินการพูดรายงาน
ประเด็นการประเมนิ ระดบั คะแนน/ระดับคณุ ภาพ 1 (ปรับปรุง)
4 (ดมี าก) 3 (ด)ี 2 (พอใช)๎
มีการเรยี งลาดับ มกี ารเรยี งลาดบั มีการเรยี งลาดับ
เนื้อหา มีการเรยี งลาดบั เนอ้ื หาได๎ดี เนอื้ หาได๎พอใช๎ เนอ้ื หาไมํได๎
เน้อื หาไดด๎ ี
มคี วามตํอเนือ่ ง มีความตอํ เนือ่ ง มีความตอํ เนือ่ งนอ๎ ย ไมมํ ีความตํอเน่อื ง
มปี ระโยชนใ์ หแ๎ งํคดิ
สัมพนั ธก์ บั เนอ้ื เรื่อง มปี ระโยชนใ์ ห๎แงคํ ิด มปี ระโยชนนน์ ๎อยให๎ มปี ระโยชนนน์ ๎อยให๎
บา๎ ง แงคํ ิดน๎อย แงํคิดนอ๎ ย
กลวธิ กี ารนาเสนอ การนาเขา๎ สํเู น้อื เรอื่ งมี การนาเขา๎ สํเู นอื้ เรอ่ื ง มีการนาเขา๎ สํเู นอ้ื เรอ่ื ง มีการนาเขา๎ สูํเนือ้
การใชภ๎ าษา ความ สัมพนั ธก์ ับเนอ้ื มีความ สัมพันธก์ บั มคี วาม สมั พันธก์ บั เรื่อง ไมํมีความ
ความสามารถในการ เร่ือง เร๎าความสนใจ เนื้อเร่อื ง เรา๎ ความ เน้ือเรอื่ ง ไมํคํอยเร๎า สัมพนั ธก์ บั เนอื้ เรอ่ื ง
พูด ผฟ๎ู ังได๎ดี สนใจผู๎ฟังได๎ ความสนใจผฟู๎ งั ไมเํ รา๎ ใจผฟ๎ู งั
ตอบคาถาม/เวลา มคี วามมน่ั ใจในการ มีความม่ันใจ ไมํคํอยมคี วามมัน่ ใจ ไมํมีความม่นั ใจ
พูดรายงาน ในการพูดรายงาน ในการพดู รายงาน
ออกเสยี งถูกตอ๎ งตาม ออกเสยี งถูกต๎องตาม ออกเสยี งถูกต๎องตาม ออกเสยี งถูกตอ๎ งตาม
อกั ขรวธิ แี ละดงั ชดั เจน อักขรวธิ ีและดงั ชดั เจน อกั ขรวธิ ีและดัง อักขรวธิ แี ละดัง
ชัดเจน
ใช๎ภาษาเหมาะสม ใชภ๎ าษาเหมาะสม ใชภ๎ าษาเขา๎ ใจยาก ชัดเจน ใช๎ภาษาไมํ
เข๎าใจงาํ ย มกี ารใช๎ เข๎าใจงําย ไมมํ ีการใช๎ ไมมํ กี ารใชส๎ านวน เหมาะสม ไมเํ ขา๎ ใจ
สานวนโวหาร สานวนโวหาร โวหาร เนอื้ เรอื่ ง
พดู ไดค๎ ลอํ งแคลํว พูดไดค๎ ลอํ งแคลํว พูดได๎คลอํ งแคลวํ พูดเหมือนทอํ งจา
พูดเป็นธรรมชาติ พูดเปน็ ธรรมชาติ แตไํ มเํ ปน็ ธรรมชาติ
ประสานสายตา ประสานสายตากบั ประสานสายตากบั มกี ารประสาน
กับผ๎ูฟงั มีการ ผฟ๎ู งั มีการแสดงออก ผู๎ฟังน๎อย สายตา กบั ผ๎ูฟังบ๎าง
แสดงออกทางสหี น๎า ทางสีหนา๎ และทาํ ทาง เป็นระยะ
และทาํ ทางอยําง บ๎างเลก็ นอ๎ ย
เหมาะสม
ตอบคาถามได๎อยําง ตอบคาถามได๎ ตอบคาถามไมไํ ด๎ ตอบคาถามไมํได๎
มีความรแ๎ู ละมีความ คํอนข๎าง ชดั เจน มี เป็น สํวนใหญํ ใช๎ เป็น สวํ นใหญํ ใช๎
ชัดเจนมแี หลงํ แหลงํ อ๎างองิ ใช๎เวลา เวลาเกินกาหนด ๕ เวลาเกนิ กาหนด ๕
อา๎ งอิง ใชเ๎ วลาตาม เกนิ กาหนด ๑ นาที นาที นาที
กาหนด
ระดบั คุณภาพ ๑๙ – ๒๔ หมายถงึ ดมี าก
คะแนน ๑๓ – ๑๘ หมายถึง ดี
คะแนน ๗ – ๑๒ หมายถงึ พอใช้
คะแนน ต้่ากว่า ๖ หมายถึง ปรบั ปรงุ
คะแนน
๑๘๕
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ๓
พนิ จิ พจิ ารณ์
รหสั วิชา ท๒๑๑๐๑ รายวชิ าพืน้ ฐานภาษาไทย กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ ๑ ภาคเรยี นท่ี ๑ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๕ เวลา ๑๒ ชวั่ โมง
………………………………………………………………………………………….........................................………………………
๑. มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตวั ชว้ี ดั
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอา่ นสร้างความรูแ้ ละความคดิ เพ่ือนาไปใชต้ ดั สนิ ใจแกป้ ัญหาในการ
ดาเนนิ ชวี ิต และมีนสิ ยั รักการอา่ น
ตัวชี้วัด
ท ๑.๑ ม.๑/๑ อ่านออกเสยี งบทร้อยแก้วและบทรอ้ ยกรองไดถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมกบั เรื่องท่ีอา่ น
มาตรฐาน ท ๒.๑ ใชก้ ระบวนการเขยี นเขียนสื่อสาร เขยี นเรยี งความ ย่อความ และเขยี น
เรอื่ งราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานขอ้ มูลสารสนเทศ และรายงานการศึกษาคน้ คว้าอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ
ตวั ชว้ี ัด
ท ๒.๑ ม.๑/๖ เขยี นแสดงความคิดเหน็ เก่ยี วกับสาระจากส่ือทไ่ี ดร้ ับ
ท ๒.๑ ม.๑/๙ มีมารยาทในการเขียน
มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดอู ย่างมวี จิ ารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคดิ และ
ความรูส้ กึ ในโอกาสตา่ ง ๆ อยา่ งมวี จิ ารณญาณและสรา้ งสรรค์
ตวั ชี้วดั
ท ๓.๑ ม.๑/๓ พูดแสดงความคดิ เหน็ อย่างสร้างสรรคเ์ ก่ียวกบั เร่อื งทฟ่ี ัง การดูและการสนทนา
ท ๓.๑ ม.๑/๖ มมี ารยาทในการฟัง การดู การพดู
มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาตขิ องภาษาและหลักภาษาไทย การเปล่ยี นแปลงของภาษาและพลัง
ของภาษา ภมู ิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบัติของชาติ
ตวั ชว้ี ดั
ท ๔.๑ ม.๑/๓ ชนดิ และหน้าทีข่ องคา
มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคดิ เหน็ วจิ ารณว์ รรณคดีและวรรณกรรมไทยอยา่ งเหน็ คุณค่า
และนามาระยุกตใ์ ชใ้ นชวี ติ จรงิ
ตัวช้วี ดั
ท ๕.๑ ม.๑/๑ สรุปเน้ือหาวรรณคดีและวรรณกรรมทอ่ี า่ น
ท ๕.๑ ม.๑/๒ วิเคราะหว์ รรณคดแี ละวรรณกรรมท่อี า่ นพรอ้ มเหตุผลประกอบ
ท ๕.๑ ม.๑/๓ อธบิ ายคณุ คา่ ของวรรณคดีและวรรณกรรมทอ่ี า่ น
ท ๕.๑ ม.๑/๔ สรปุ ความรแู้ ละข้อคิดจากการอา่ นเพอ่ื ประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ิตจรงิ
๒. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด
การอา่ นออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้ถกู ต้องเหมาะสมกบั เร่ืองท่อี า่ น เขยี นแสดงความ
คิดเห็นเกย่ี วกับสาระจากสื่อท่ไี ด้รับ มีมารยาทในการเขยี น พูดแสดงความคิดเหน็ อย่างสรา้ งสรรคเ์ กีย่ วกบั เร่อื ง
ทฟี่ ังและดมู มี ารยาทในการฟัง การดู การพูด อธบิ ายชนิดและหน้าทีข่ องคา คณุ คา่ ของวรรณคดแี ละ
วรรณกรรมทีอ่ า่ นรวมทั้งทอ่ งจาบทอาขยานตามทกี่ าหนดและบทร้อยกรองท่มี ีคณุ ค่าตามความสนใจ
๑๘๖
๓. สาระการเรียนรู้
ความรู้
๑. การอา่ นออกเสยี งบทรอ้ ยแกว้ และบทรอ้ ยกรอง
๒. วรรณคดีและวรรณกรรมไทย
๓. การเขียนแสดงความคิดเหน็
๔. การพดู แสดงความคดิ เหน็
๕. ชนดิ และหน้าทข่ี องคานาม
๖. ชนดิ และหนา้ ที่ของคาสรรพนาม
๗. ชนดิ และหนา้ ทข่ี องคากรยิ า
ทกั ษะ/กระบวนการ
๑. ทกั ษะการคดิ
๒. ทักษะการอา่ น
๓. ทักษะการสอ่ื สาร
๔. ทกั ษะกระบวนการกลุ่ม
๔. สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รยี น
๑. ความสามารถในการสื่อสาร
๒. ความสามารถในการคดิ
๓. ความสามารถในการแกป้ ญั หา
๔. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต
๕. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
๕. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
๑. รกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์
๒. ซือ่ สัตย์ สจุ รติ
๓. มวี นิ ัย
๔. ใฝเ่ รียนรู้
๕. อยู่อย่างพอเพียง
๖. มงุ่ ม่ันในการเรียนรู้
๗. รักความเปน็ ไทย
๘. จติ สาธารณะ
๖. การประเมินผลรวบยอด
ชิ้นงานหรอื ภาระงาน
ชิ้นงานหรอื ภาระงานและเกณฑ์การประเมนิ แบบ Rubrics
๑๘๗
แบบประเมนิ การอ่านบทร้อยกรอง
คาชี้แจง ครูประเมินพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในการอา่ นออกเสยี ง (บทรอ้ ยกรอง) และใหค้ ะแนนลงในชอ่ ง
ท่ตี รงกบั พฤตกิ รรมของนกั เรยี น
เลขที่ ชอ่ื - สกุล อ่านออกเ ีสยง ร ล และคาควบก ้ลา ร ล ว ูถกต้อง สรุปผล
การเอ้ือน การออกเ ีสยงถูกต้องตามประเภทของคา รวม การประเมนิ
ประพัน ์ธ
การเว้นวรรคตอน
้นาเสียงไพเราะ และ ีลลาท่าทางในการ ่อาน
เหมาะสม
ไ ่ม ่อาน ้ขาม อ่านเ ่ิพม ู่ตคา
ความค ่ลองแค ่ลวและแม่นยา
๓๓ ๓ ๓ ๓ ๓ ๑๘ ผา่ น ไมผ่ ่าน
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
เกณฑก์ ารประเมิน ร้อยละ ๘๐ ข้นึ ไป (๑๘ คะแนนขน้ึ ไป)
๑๗ – ๑๘ คะแนน ระดับ ดีมาก
๑๕ – ๑๖ คะแนน ระดบั ดี
๑๓ – ๑๔ คะแนน ระดับ พอใช้
๐ – ๑๒ คะแนน ระดบั ปรับปรงุ
ลงช่ือ ..............................................ผู้ประเมิน
(.........................................................)
๑๘๘
เกณฑ์การให้คะแนนแบบประเมนิ การอา่ นบทร้อยกรอง
ประเด็นการประเมิน เกณฑก์ ารให้คะแนน
๓ (ด)ี ๒ (พอใช้) ๑ (ปรบั ปรุง)
๑. อ่านออกเสยี ง ร ล อ่านออกเสียง ร ล และ อา่ นออกเสยี ง ร ล และคา อา่ นออกเสียง ร ล และ
และ คาควบกลา้ ร ล ว คาควบกล้า ร ล ว ถกู ตอ้ ง ควบกลา้ ร ล ว ไมถ่ ูกตอ้ ง ๒ คาควบกลา้ ร ล ว ไม่
ถกู ตอ้ ง ชดั เจน คร้งั ถูกต้องเกิน ๒ ครง้ั
๒. การเอ้ือน การเออื้ น การทอดเสยี ง การเออ้ื น การทอดเสียงหรอื การเอ้อื น การทอดเสยี ง
การทอดเสียง ถูกตอ้ งตามจังหวะ จังหวะทานองตามประเภท หรอื จังหวะทานองตาม
ถกู ต้องตามประเภท ของคาประพนั ธ์ ผิด ๒ ครั้ง ประเภทของคาประพันธ์
ของคาประพันธ์ ท านองถูกต้อง ตาม ผิดเกิน ๒ คร้งั
ประเภทของคาประพันธ์
๓. การเวน้ วรรคตอน อา่ นเวน้ วรรคตอนได้ อ่านเว้นวรรคตอนไม่ถกู ต้อง อ่านเว้นวรรคตอนไม่
ถูกต้อง ถกู ตอ้ งชัดเจน ๒ คร้งั ถูกตอ้ งเกิน ๒ คร้งั
๔. น้าเสยี ง ไพเราะ อ่านเสยี งดังชัดเจน อา่ นเสียงดัง ชดั เจน นา้ เสียง อ่านเสียง ไมช่ ดั เจน
สละสลวยและลลี า นา้ เสยี งและลลี า แตล่ ีลาท่าทางไม่เหมาะสม น้าเสยี ง และลีลาทา่ ทาง
ท่าทางในการอ่าน เหมาะสมกบั กบั บทรอ้ ยกรองที่อา่ น ไม่เหมาะสม
เหมาะสม บทรอ้ ยกรองท่อี า่ น
๕. ไมอ่ ่านข้าม/อา่ นเพมิ่ อา่ นออกเสียงได้ถกู ตอ้ ง อ่านออกเสยี งไมถ่ กู ต้อง อา่ นออกเสียงไมถ่ ูกต้อง
/ตคู่ า ชดั เจนทกุ คา ทุกขอ้ ความ ชดั เจน มกี ารอา่ นตู่คา หรอื ชัดเจน มีการอา่ นตคู่ า
ทกุ ประโยค เพ่มิ คา ๒ คา และเพม่ิ คา เกนิ ๒ คา
๖. ความคลอ่ งแคล่ว อ่านออกเสยี งบท ร้อย อ่านออกเสยี งบทร้อยกรอง ไม่อ่านออกเสยี ง บทร้อย
และแมน่ ยา
กรองดว้ ยความ คล่องแคลว่ ไมแ่ ม่นยา ขาด กรองไม่ คล่องแคล่วและ
คลอ่ งแคล่ว และ แม่นยา ความมั่นใจ ๒ คร้งั ไม่ แม่นยา ไม่มีความ
มคี วามมัน่ ใจสงู มัน่ ใจ