The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รูปแบบภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นักประเมิน, 2024-01-03 08:30:29

รูปแบบภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษา

รูปแบบภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษา

(ก) รูปแบบภาวะผ ู้น าของผ ู้บริหารสถานศ ึ กษาข้นัพน ื้ฐานในศตวรรษท ี่21 สุร ี รัตน ์ โตเขย ี ว วิทยานิพนธ ์ น ี เ้ป็นส่วนหน ึ่งของการศ ึ กษาตามหลกัสูตรครุศาสตรดุษฎบ ีัณฑติ สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ พ.ศ. 2560


(ข) รูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษาข้นัพน ื้ฐานในศตวรรษที่21 สุรีรัตน ์ โตเขียว วิทยานิพนธ ์ นีเ้ป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลกัสูตรครุศาสตรดุษฎบีัณฑติ สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ พ.ศ. 2560 ลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์


(ค) LEADERSHIP MODEL OF BASIC EDUCATION SCHOOL ADMINISTRATORS IN THE 21st CENTURY SUREERAT TOKEAW A Dissertation Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements for the Doctor of Education Degree in Educational Administration Nakhon Sawan Rajabhat University 2017 Copyright of Nakhon Sawan Rajabhat University


(1) บทคัดย่อ ชื่อเรื่อง รูปแบบภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่ 21 ผู้วจิัย นางสาวสุรีรัตน์ โตเขียว คณะกรรมการที่ปรึกษา รศ. ดร. ธานี เกสทอง รศ.ดร.นันทิยา น้อยจันทร์ สาขาวิชา การบริหารการศึกษา ปี การศึกษา 2559 การวิจยัคร้ังน้ีมีวตัถุประสงค์เพื่อ1) วิเคราะห์องค์ประกอบของภาวะผู้น าของผู้บริหาร สถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 2) สร้างรูปแบบภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่ 21 และ 3) ประเมินรูปแบบภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษ ที่ 21 มีข้ันตอนการวิจัย ดังน้ีข้ันตอนที่ 1 วิเคราะห์องค์ประกอบของภาวะผู้น าของผู้บริ หาร สถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 โดยศึกษาเอกสาร สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ 10 คน เก็บขอ้มูล จากกลุ่มตวัอยา่ง 123 โรงเรียน จ านวน 492 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถาม ที่มีความเที่ยง 0.93 สถิติที่ใช้คือการวิเคราะห์เน้ือหาค่าความถี่ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงส ารวจ ข้ันตอนที่ 2 สร้างรูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริ หาร สถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 โดยการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 11 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ ร่างรูปแบบภาวะผูน้ าของผู้บริหารสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานในศตวรรษที่ 21และเอกสาร ประกอบการสัมมนาอิงผเู้ชี่ยวชาญ สถิติที่ใช้คือการวิเคราะห์เน้ือหาข้นัตอนที่3 ประเมินรูปแบบ ภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานในศตวรรษที่ 21 เก็บข้อมูลจากผู้อ านวยการ สถานศึกษา และครู จ านวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบประเมินรูปแบบ สถิติที่ใช้คือค่าความถี่ ค่าร้อยละและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวจิยัพบวา่ 1. การวิเคราะห์องค์ประกอบของภาวะผู้นา ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษ ที่ 21ได้ 6 องคป์ระกอบ ไดแ้ก่1) การบริหารยุคใหม่2) ใส่ใจคุณลกัษณะ3) ทักษะเทคโนโลยีและ การสื่อสาร 4)ผู้บริหารดีมีการพัฒนา 5) เน้นการคิดวิเคราะห์ และ6) นา พาสู่ตน้แบบที่ดี


(2) 2. รูปแบบภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 ประกอบด้วย 4 ส่วน ไดแ้ก่ส่วนที่1 ส่วนนา ส่วนที่2 ส่วนเน้ือหาและแนวทางการดา เนินงานส่วนที่3 ส่วนกระบวนการพฒันา ภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 และส่วนที่4 ส่วนเงื่อนไขความส าเร็จ 3. การประเมินรูปแบบภาวะผูน้ าของผูบ้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 จ านวน 4 ด้าน ได้แก่1) ด้านความถูกต้อง 2) ด้านความเหมาะสม 3) ด้านความเป็ นไปได้ และ 4) ดา้นความเป็นประโยชน์อยใู่นระดบัมาก


(3) Abstract Title Leadership Model of Basic Education School Administrators in the 21st Century Author Miss Sureerat Tokeaw Advisory Committee Assoc. Prof. Dr. Thanee Gesthong Assoc. Prof. Dr. Nantiya Noichun Program Educational Administration Academic Year 2016 This research aimed to 1) analyze the factors of leadership of basic education school administrators in the 21st century, 2) develop a leadership model of basic education school administrators in the 21st century, and 3) evaluate the model of basic education school administrators in the 21st century. The research had 3 stages. Stage 1 was a factor analysis of the basic education school administrators’ leadership in the 21st century by studying related documents and interviewing 10 experts. Data were collected from a sample group of 492 persons from 123 schools. The instruments used were an interviewing form and a questionnaire with a reliability coefficient of 0.93. The statistics used were content analysis, frequency, percentage, standard deviation, and factor-surveying analysis. Stage 2 was a development of the leadership model of basic education school administrators in the 21st century by way of holding a seminar of 11 connoisseurs. The instruments used were a draft of the leadership model of basic education school administrators in the 21st century and seminar documents. The statistics used was content analysis. And stage 3 was an evaluation of the leadership model of basic education school administrators in the 21st century. Data were collected from school directors and teachers, totaling 9 persons. The instrument used was a model evaluation form. The statistics used were frequency, percentage, and standard deviation. The findings were as follows: 1. Factor-surveying analysis of leadership of basic education school administrators in the 21st century found 6 factors consisting of 1) modern age management, 2) paying attention to characteristics, 3) having technology and communication skills, 4) being good administrator by using development, 5) focusing on problem solving, and 6) leading to a good role model. 2. The leadership model of basic education school administrators in the 21st century comprised 4 parts which are 1) introduction; 2) content and ways to implement; 3) development process of the model; 4) success conditions. 3. The evaluation of the leadership model of basic education school administrators in the 21st century in 4 aspects found that the aspects of 1) correctness, 2) suitability, 3) feasibility, and 4) usefulness were at a high level.


(4) กิตติกรรมประกาศ วิทยานิพนธ์ฉบับน้ีส าเร็จได้ด้วยความกรุณาจาก รองศาสตราจารย์ดร. ธานี เกสทอง ประธานกรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ และรองศาสตราจารย์ ดร. นันทิยา น้อยจันทร์ กรรมการที่ ปรึกษาวิทยานิพนธ์ที่ไดใ้ห้คา แนะนา ติดตาม ดูแลการดา เนินการวิจยัทุกข้นัตอนและตรวจแกไ้ข ขอ้บกพร่อง ตลอดจนให้ขอ้เสนอแนะที่เป็นประโยชน์อยา่งยิ่งจนทา ให้การดา เนินการวิจยัประสบ ผลส าเร็จผวู้จิยัขอกราบขอบพระคุณมา ณ โอกาสน้ี ขอขอบพระคุณ คณาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ที่ประสิทธิประสาทวิชาความรู้ ขอบพระคุณผูเ้ชี่ยวชาญทุกท่านกรุณาตรวจสอบ แก้ไขเครื่องมือที่ใช้ในการวิจยัขอบพระคุณ ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญที่ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ขอขอบพระคุณผู้บริหาร และครูวิชาการ หรือครูที่มีตา แหน่งหวัหนา้กลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ ในโรงเรียนอนุบาลประจา จงัหวดัและประจา อา เภอในเขตจงัหวดัภาคเหนือที่เป็นกลุ่มตวัอยา่งในการทดลองใชเ้ครื่องมือและเก็บรวบรวมขอ้มูล การวจิยัตลอดจนผมู้ีส่วนเกี่ยวขอ้งทุกคนที่ทา ใหว้ทิยานิพนธ์ฉบบัน้ีมีความสมบูรณ์ยงิ่ข้ึน ขอขอบพระคุณ ผศ.ดร.สมใจ กงเติม ดร.ทีปพิพัฒน์ สันตะวัน ดร.ธีรยุทธ ภูเขา ดร.ธวัช กงเติม ดร.วสันต์ นาวเหนียว นายสุรพล เพ็งน้อย ดร.อภิเชษฐ์ ฉิมพลีสวรรค์ ดร.สยามสุ่มงาม ดร.กีรติจนัทรมณี นางสาวสมบัติ ผดุงชาติและดร. จิณณาวฒัน์โคมบวัผูเ้ชี่ยวชาญที่ให้ความกรุณาในการเขา้ร่วม สัมมนาอิงผูเ้ชี่ยวชาญตรวจสอบรูปแบบ และประเมินคู่มือการใช้รูปแบบภาวะผูน้า ของผูบ้ริหาร สถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21ผวู้จิยัขอขอบพระคุณเป็นอยา่งสูง ผวู้จิยัขอขอบพระคุณทุกๆ ท่าน ที่ไดส้นบัสนุนการทา วทิยานิพนธ์และให้กา ลงัใจแก่ผวู้จิยั เสมอมากระทงั่การศึกษาคน้ควา้วจิยัคร้ังน้ีสา เร็จลุล่วงดว้ยดีและความดีงามอนัเกิดจากวทิยานิพนธ์ คร้ังน้ีผวู้จิยัขอมอบแด่บิดา มารดาครูอาจารย์ผมู้ีพระคุณทุกท่าน


(5) สารบัญ บทที่ หน้า บทคดัยอ่ภาษาไทย (1) บทคดัยอ่ภาษาองักฤษ (3) กิตติกรรมประกาศ (4) สารบัญ (5) สารตาราง (8) สารบัญภาพ (10) 1 บทน า 1 ความเป็ นมาและความส าคัญของปัญหา 1 ค าถามของการวิจัย 4 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 4 สมมติฐานการวิจัย 5 ขอบเขตของการวิจัย 5 นิยามศัพท์เฉพาะ 8 ประโยชน์ที่คาดวา่จะไดร้ับ 10 2 เอกสารและงานวิจยัที่เกี่ยวขอ้ง 11 บริบททวั่ ไปของโรงเรียนอนุบาลประจา จงัหวดัและอา เภอในเขตภาคเหนือ 12 แนวคิดเกี่ยวกบัภาวะผนู้า 15 แนวคิดเกี่ยวกบัรูปแบบภาวะผนู้า ในศตวรรษที่21 33 บทบาทหน้าที่ของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 104 องค์ประกอบของ Thailand 4.0 113 แนวคิดเกี่ยวกบัรูปแบบ 122 งานวจิยัที่เกี่ยวขอ้ง 127 กรอบแนวคิดการวิจัย 135


(6) สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า 3 วิธีด าเนินการวิจัย 136 ข้นัตอนที่1 การวิเคราะห์องค์ประกอบของภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษา ข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 138 ข้นัตอนที่2 การสร้างรูปแบบภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่ 21 144 ข้นัตอนที่3 การประเมินรูปแบบภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่ 21 151 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 155 ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบของภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษา ข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 156 ตอนที่ 2 การสร้างรูปแบบภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่ 21 202 ตอนที่ 3 ผลการประเมินรูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษา ข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 217 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 226 สรุปวิธีการด าเนินการวิจัย 226 สรุปผลการวิจัย 228 อภิปรายผล 232 ข้อเสนอแนะ 239 บรรณานุกรม 241 ภาคผนวก 255 ภาคผนวก ก หนังสือขอความอนุเคราะห์เป็ นผู้ทรงคุณวุฒิตอบแบบสัมภาษณ์ 256 ภาคผนวก ข หนังสือขอความอนุเคราะห์เป็ นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ การวิจัย 268 ภาคผนวก ค หนังสือขอความอนุเคราะห์ทดลองเครื่องมือการวิจัย 275 ภาคผนวก ง หนงัสือขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมขอ้มูล 287


(7) สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า ภาคผนวก จ หนงัสือขอความอนุเคราะห์เขา้ร่วมการสัมมนาอิงผเู้ชี่ยวชาญ 294 ภาคผนวก ฉ หนังสือขอความอนุเคราะห์เป็ นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ การวิจัย (แบบส ารวจตนเอง) 307 ภาคผนวก ช หนังสือขอความอนุเคราะห์เป็ นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ การวจิยั(คู่มือฯ) 314 ภาคผนวก ซ หนงัสือขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมขอ้มูล(ประเมิน รูปแบบฯ) 321 ภาคผนวก ฌ เครื่องมือการวิจัย 326 ภาคผนวก ญ คุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 364 ภาคผนวก ฎ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 386 ภาคผนวก ฏ คู่มือการใชรู้ปแบบภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษา ข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 409 ประวตัิย่อผูว้ิจยั 444


(8) สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 2.1 จ านวนผู้อ านวยการ รองผู้อ านวยการ บุคลากร และจ านวนโรงเรียนอนุบาล ประจ าจังหวัดและประจ าอ าเภอในเขตจังหวัดภาคเหนือจ าแนกเป็ นรายจังหวัด 12 2.2 ภาวะผู้น าเชิงศรัทธาบารมี 41 2.3 รูปแบบภาวะผู้น าทางการเรียนการสอนตามแนวคิดของฮาลินเจอร์และเมอร์ฟี 68 2.4 รูปแบบภาวะผู้น าทางการเรียนการสอนของเมอร์ฟี 70 2.5 รูปแบบภาวะผู้น าทางการเรียนการสอนตามแนวคิดของเว็บเบอร์ 72 2.6 รูปแบบภาวะผนู้า ทางการเรียนการสอนตามแนวคิดที่ปรับใหง้่าย (Simplified Model) 73 2.7 รูปแบบภาวะผู้น าทางการเรียนการสอนตามแนวคิดของอลิก-ไมเอลคลาค และฮอยย์ปรับจากแนวคิดของฮาลินเจอร์ 74 2.8 รูปแบบภาวะผู้น าทางการเรียนการสอนตามแนวคิดของแมคอีแวน (McEwan) 75 2.9 รูปแบบภาวะผู้น าทางการเรียนการสอนตามแนวคิดของนักวิชาการไทย 76 2.10 แสดงกรอบความคิดของ Pablo Cardona เกี่ยวกบัสมรรถนะของภาวะผนู้า แบบ Transcendental (Cardona’s Transcendental Leadership Competency Framework) 88 2.11 แสดงองคป์ระกอบของภาวะผนู้า เชิงจริยธรรมและพฤติกรรมบ่งช้ี 102 2.12 แสดงเครื่องมือวัดพหุระดับของภาวะผู้น าเชิงจริยธรรม 102 2.13 แสดงเครื่องมือวัดภาวะผู้น าเชิงจริยธรรม 104 3.1 ประเภทและจา นวนผใู้หข้อ้มูลในแต่ละโรงเรียนที่เป็นกลุ่มตวัอยา่ง 140 4.1 แสดงผลการวเิคราะห์จากเอกสารเกี่ยวกบัองคป์ระกอบของรูปแบบภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 157 4.2 ผลการวิเคราะห์ และการสรุปผลการสัมภาษณ์จากผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิ 161 4.3 แสดงการสรุปผลการวิเคราะห์งานวิจยัที่เกี่ยวขอ้งกบัองคป์ระกอบของรูปแบบ ภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 168 4.4 ข้อมูลสถานภาพโดยทวั่ ไปของผตู้อบแบบสอบถาม 173


(9) สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 4.5 ผลการวเิคราะห์ความคิดเห็นเกี่ยวกบัองคป์ระกอบของรูปแบบภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 175 4.6 ค่า KMO and Bartlett’s test of Sphericity 188 4.7 องคป์ระกอบและค่าความแปรปรวนของตวัแปรองคป์ระกอบภาวะผนู้า ของ ผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 188 4.8 ค่าน้า หนกัองคป์ระกอบและกลุ่มจา นวนองคป์ระกอบ 190 4.9 องค์ประกอบที่ 1 การบริหารยคุใหม่ 194 4.10 องค์ประกอบที่ 2 ใส่ใจคุณลักษณะ 197 4.11 องค์ประกอบที่ 3 ทักษะเทคโนโลยีและการสื่อสาร 199 4.12 องค์ประกอบที่ 4 ผู้บริหารดีมีการพัฒนา 200 4.13 องค์ประกอบที่ 5 เน้นการคิดวิเคราะห์ 201 4.14 องค์ประกอบที่ 6 นา พาสู่ตน้แบบที่ดี 202 4.15 ความคิดเห็นของผเู้ชี่ยวชาญที่มีต่อรูปแบบภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษา ข้นัพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่21 213 4.16 ผลการประเมินคู่มือการใชรู้ปแบบภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษา ข้นัพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่21 215 4.17 ผลการประเมินรูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่ 21 ด้านความถูกต้อง 217 4.18 ผลการประเมินรูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่ 21 ด้านความเหมาะสม 219 4.19 ผลการประเมินรูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่ 21 ด้านความเป็ นไปได้ 221 4.20 ผลการประเมินรูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่ 21 ด้านความเป็ นประโยชน์ 223 4.21 ผลการประเมินรูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่ 21 ภาพรวม 225


(10) สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 2.1 ตราสัญลักษณ์โรงเรียนอนุบาล 14 2.2 แสดงแถบความต่อเนื่องของภาวะผนู้า (Leadership continuum) ของ3 Ts’ Leadership 78 2.3 โมเดลภาวะผู้น าทางการศึกษา 105 2.4 กระบวนการและวธิีการเรียนรู้ที่เป็นไปตามลา ดบัข้นัที่ปรับใหม่ปี2001 118 2.5 รูปแบบและวิธีสอนที่ต้องเน้นการเรียนรู้เพื่อศตวรรษที่21 120 2.6 กรอบแนวคิดของการวิจัย 135 3.1 สรุปข้นัตอนการวจิยั วิธีการด าเนินการวิจัยและผลที่ได้รับ 137 4.1 ร่างรูปแบบภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 204


1 บทที่ 1 บทน า ความเป็ นมาและความส าคัญของปัญหา จากสังคมยุคอุตสาหกรรมในศตวรรษที่19 และ 20 เปลี่ยนผ่านเขา้สู่สังคมยุคความรู้ใน ศตวรรษที่21 ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เนื่องมาจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงข้อมูล ต่างๆ ของทุกภูมิภาคของโลกเขา้ด้วยกัน พลังขบัของเทคโนโลยียุคดิจิตอลส่งผลทา ให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงอยา่งรวดเร็วและเป็ นความรวดเร็วที่นักวิชาการเห็นตรงกนัวา่เพิ่งจะเริ่มตน้เท่าน้นั ใน ระยะถดัไปจะยิ่งทวีความรวดเร็วมากยิ่งข้ึนเป็นทวีคูณ ซ่ึงการเปลี่ยนแปลงดงักล่าวทา ให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงทางการศึกษาตามไปดว้ยอยา่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้สถานศึกษาจึงต้องมีความตื่นตัวและ เตรียมพร้อมในการจัดการเรียนรู้เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีทักษะส าหรับการออกไป ด ารงชีวิตในโลกในศตวรรษที่ 21 ซ่ึงส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงการจดัการเรียนรู้เพื่อเด็กใน ศตวรรษที่21 (สมหมาย อ ่าดอนกลอย, 2556, น. 1) กระแสการปรับเปลี่ยนทางสังคมที่เกิดข้ึนในศตวรรษที่21 ส่งผลต่อวถิีการดา รงชีวิตของ สมาชิกอยา่งทวั่ถึง เทคโนโลยีสารสนเทศเขา้มามีบทบาทอย่างมากเกิดการแลกเปลี่ยนทรัพยากร ระหว่างประเทศจึงทา ให้แต่ละประเทศมุ่งเขา้สู่สังคมพหุวฒันธรรม (วิจารณ์พานิช, 2555, น. 3) ภาคการศึกษาจ าเป็ นต้องตื่นตัว และเตรียมพร้อมจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีทักษะการด ารงชีวิตใน ศตวรรษที่ 21 เพื่อสามารถด ารงชีวิตได้อย่างปกติสุข ทักษะส าคัญ เช่น ทักษะการเรียนรู้และ นวัตกรรม ทักษะสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยีทักษะชีวิตและอาชีพ ทักษะการปรับตัว ทักษะทาง สังคมและสังคมข้ามวัฒนธรรม ทักษะความรับผิดชอบและทักษะความเป็ นตัวแบบและเป็ นผู้น าคน อื่น (Guide and lead Others) ทกัษะภาวะผนู้า เป็นคุณลกัษณะที่จา เป็นเพื่อนา ไปสู่การปฏิบตัิงานที่มี ประสิทธิภาพ ประเทศไทยได้กา หนดให้ภาวะผูน้ าเป็นทกัษะในการพฒันาคุณภาพชีวิตและได้ กา หนดไวใ้นแผนพฒันาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่11 (พ.ศ. 2555 - 2559) แผนพัฒนา การศึกษาแห่งชาติ(พ.ศ. 2545 - 2559) วิสัยทัศน์การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (2552 - 2561) และแผนอุดมศึกษาระยะยาว 15 ปี ฉบับที่2 (พ.ศ. 2551 - 2565) ต่างมุ่งให้สมาชิกในสังคม เรียนรู้และพัฒนาภาวะผู้น า สะทอ้นให้เห็นว่าประเทศให้ความส าคญักบัทกัษะภาวะผนู้า เป็นอยา่ง มาก


2 ความเจริญในสังคมเกิดจากผู้น า ผู้น ามีหลายรูปแบบ การศึกษาเรื่ องภาวะผู้น ามี หลากหลายทัศนะ เช่น ภาวะผู้น าเชิงคุณลักษณะ ภาวะผู้น าเชิงพฤติกรรม และภาวะผู้น าเชิง สถานการณ์ท้งั 3 ลกัษณะไม่เพียงพอต่อการทา ความเขา้ใจเกี่ยวกับผูน้า เพื่อให้สามารถกา หนด ทิศทางและเป้ าหมายขององคก์รไดอ้ยา่งชดัเจน ในสังคมตนเห็นพ้อง ร่วมมือและสรรคส์ร้างสิ่งที่ ดีๆ ไปพร้อมกนัไดก้็จะทา ใหส้ ังคมกา้วไปดว้ยดีและถา้กา้วอยา่งซื่อสัตย์มีความรับผิดชอบ เห็นแก่ ประโยชน์ส่วนรวมด้วยก็จะยิ่งจะท าให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องด าเนินไปอย่างมีคุณค่า และ สร้างสรรค์(Hedberg, 1981) จากการศึกษาของ Greenberg, & Baron (2002) การศึกษาและมองด้าน ภาวะผูน้า ควรจะมองให้ลึกซ้ึงและกวา้งข้ึน ผนู้า รุ่นใหม่ตอ้งมีความคิดวิเคราะห์เมื่อวิเคราะห์แล้ว จะตอ้งคิดสิ่งใหม่ๆ คิดนอกกรอบ ในการจดัการศึกษาระดบัการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน บุคคลที่มีความส าคญัอยา่งยิ่งที่จะทา ให้ การพฒันาคนเกิดการขบัเคลื่อนไดอ้ยา่งมีประสิทธิภาพคือผบู้ริหารสถานศึกษา เพราะผบู้ริหารตอ้ง เป็นผูน้ าและผูป้ระสานความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการพฒันาคุณภาพการจดัการศึกษา รวมท้ัง ความสามารถในการระดมและใช้ทรัพยากรเพื่อการบริหารอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ผบู้ริหารสถานศึกษาจึงเปรียบไดว้า่เป็นจอมทพัสา คญัที่จะนา พาองคก์รให้กา้วไปในกระแสแห่งการ ปฏิรูปไดอ้ยา่งมีเกียรติและศกัด์ิศรีเหมาะสมกบัสภาพการณ์ปัจจุบนันา ไปสู่เป้าหมายที่พึงประสงค์ โดยการก าหนดเป็นยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาสู่การปฏิบัติที่แสดงให้เห็นศักยภาพ เกิด ประสิ ทธิภาพสู งสุ ดในการบริ หารจัดการศึกษาภายในสถานศึกษา เพราะผู้บริ หารเป็ นผู้น า สถานศึกษา จ าต้องเป็ นผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจในการด าเนินงาน ตลอดจนต้องมีภาวะผู้น า เพื่อน า สถานศึกษาบรรลุมาตรฐานการศึกษาที่กา หนด (ธีรดา สืบวงษ์ชัย, 2553, น. 1) ซ่ึงสอดคล้องกับ มาตรา 27 ในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 ที่ระบุว่า ให้ผู้บริ หารสถานศึกษาเป็ นผู้บังคับบัญชาของข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษาใน สถานศึกษาและมีอ านาจหน้าที่ในการควบคุม ดูแลให้การบริ หารงานบุคคลในสถานศึกษา สอดคลอ้งกบันโยบายกฎ ระเบียบ ขอ้บงัคบัหลกัเกณฑ์และวธิีการตามที่ก.ค.ศ.และอ.ก.ค.ศ. เขต พ้ืนที่การศึกษากา หนด พิจารณาเสนอความดีความชอบของขา้ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสถานศึกษาการส่งเสริมสนบัสนุนขา้ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาให้มี การพฒันาอยา่งต่อเนื่องการจดัทา มาตรฐาน ภาระงานส าหรับขา้ราชการครูและบุคลากรทางการ ศึกษาในสถานศึกษา รวมถึงมาตรา 79 ที่ให้ผบู้งัคบับญัชาปฏิบตัิตนเป็นตวัอยา่งที่ดีแก่ผอู้ยใู่ตบ้งัคบั บญัชาและมีหนา้ที่พฒันาผอู้ยใู่ตบ้งัคบับญัชา เพื่อให้มีความรู้ทกัษะเจตคติที่ดี คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพที่เหมาะสม ในอนัที่จะทา ให้การปฏิบตัิหน้าที่ราชการเกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและความกา้วหนา้แก่ราชการ(สา นกังานคณะกรรมการกฤษฎีกา, 2547, น. 34)


3 ในการบริหารสถานศึกษา ผูบ้ริหารสถานศึกษาจึงเป็นบุคลากรช้ีน าหลักที่ส าคญัต่อ การบริหารและการจดัการศึกษา ในการน้ีผูบ้ริหารสถานศึกษาจา เป็นตอ้งปรับเปลี่ยนวฒันธรรม การบริหารให้สอดคลอ้งกบัการปฏิรูปการศึกษาและจะตอ้งมีภาวะผนู้า ท้งัดา้นคุณธรรม จริยธรรม ความสามารถในการบริหารจัดการและความรู้ความเข้าใจในแนวทางการบริหารและการจัด การศึกษา (ธีระ รุณเจริญ, 2547, น. 69) ภาวะผนู้า ที่เหมาะสมกบัการบริหารสถานศึกษาในปัจจุบนั คือ ภาวะผู้น าแบบปฏิรูป และภาวะผู้น าแบบแลกเปลี่ยน โดยเป็ นผู้น าที่มีทรรศนะกว้างไกลสามารถ ทา ให้ผใู้ตบ้งัคบับญัชาเกิดความพึงพอใจในการทา งานมากข้ึน และเป็นการจูงใจในการทา งานโดย การแลกเปลี่ยน เพราะการที่ผูบ้ริหารจะบริหารสถานศึกษาให้มีประสิทธิผล หรือไม่น้นัสิ่งส าคญั อยา่งหน่ึงคือ สมรรถภาพในการนา และการใชภ้าวะผนู้า ในการปรับเปลี่ยน และพฒันาให้ดียิ่งข้ึน (Steward, 1985, p. 50) ได้กล่าวว่า ภาวะผู้น าแบบปฏิรูป และภาวะผู้น าแบบแลกเปลี่ยนมี ความสัมพนัธ์กบั ประสิทธิผลของสถานศึกษาและงานวิจยัของอมัพรอิสสรารักษ์(อมัพรอิสสรารักษ์, 2548, น. 76)กล่าววา่ภาวะผนู้า แบบแลกเปลี่ยนสามารถทา นายประสิทธิผลของสถานศึกษา ปัจจยั ที่เกี่ยวขอ้งดา้นต่างๆ ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานที่จะส่งผลต่อความส าเร็จและประสิทธิผล การบริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ซ่ึงสามารถใชเ้ป็นเหตุผลเพื่อสนบัสนุนคา กล่าวที่วา่ความสา เร็จ หรือความลม้เหลวในการบริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในภาพรวม เกิดจากความสามารถดา้นการ บริหารจดัการของผูบ้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน คุณลกัษณะผนู้า และภาวะผนู้า ของผูบริหารซึ่ง ้ จะส่งผลทางบวกต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน (ภารดีอนันต์นาวี, 2552, น. 59) มี นกัการศึกษา นกัวิชาการทางการบริหารหลายคนไดศ้ึกษาวิจยัและสรุปแนวคิดที่สอดคลอ้งกนั ไว้ ดงัน้ีพฤติกรรมการบริหารสถานศึกษาและทกัษะการบริหารงานเป็นเครื่องมือส าคญัที่สุดในการ ปฏิบัติงานของผู้บริ หาร (Katz, 1978, p. 98) ได้กล่าวถึง ผู้บริหารน้ันควรมีทักษะด้านเทคนิค (Technical skills) ทักษะด้านมนุษย์ (Human skills) และทักษะด้านความคิดรวบยอด (Conceptual skills) ทา ใหก้ารปฏิบตัิหนา้ที่ไดด้ียงิ่ข้ึนและจะส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา ปัจจุบนัการบริหาร และความก้าวหน้าของสถานศึกษาน้ันข้ึนอยู่กบั ปัจจยัที่ส าคญัคือ บทบาทภาวะผูน้า ของผูบ้ริหารสถานศึกษา ซ่ึงข้ึนอยกู่บัตา แหน่งและบุคคลที่ดา รงตา แหน่งน้นั ใน ช่วงเวลาหน่ึงๆ ผูท้ี่ดา รงตา แหน่งบริหารระดบัสูงส่วนใหญ่มกัจะคุน้เคยกบับริบทของสถานศึกษา ข้นัพ้ืนฐาน แต่ขาดทักษะด้านการจดัการทางการศึกษา ซ่ึงโดยทั่วไปผูบ้ริหารสถานศึกษาข้ัน พ้ืนฐานจะมีทกัษะในการคิดเชิงวิเคราะห์การจูงใจการรับรู้วฒันธรรมองคก์ารการร่วมรับผิดชอบ ต่อการตดัสินใจกลุ่ม ซ่ึงประสบการณ์เบ้ืองตน้น้ีอาจจะเพียงพอส าหรับการบริหารงานในตา แหน่ง บริหารระดบักลางเท่าน้นัแต่สา หรับตา แหน่งที่สูงข้ึนบุคคลที่ไดร้ับแต่งต้งัอาจขาดความพร้อม จาก ผลการวิจยัเกี่ยวกบัการพฒันาภาวะผนู้า ในสถานศึกษา พบวา่ผนู้า ที่ขาดความพร้อมจะส่งผลให้การ


4 เปลี่ยนแปลงในสถานศึกษาเป็ นการเปลี่ยนแปลงเชิงรับมากกว่าเชิงรุกไม่ตระหนกัถึงผลกระทบ ของยุคความรู้และสังคมแห่งการเรียนรู้ที่จะเป็นอนาคตของสถานศึกษา (มานิต บุญประเสริฐและ คณะ, 2549, น. 2) ดงัน้นัสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน จึงไดใ้หค้วามสา คญัเกี่ยวกบัภาวะผนู้า ของผบู้ริหารซ่ึงเป็น จุดเริ่มต้นที่ส าคญัส าหรับการปฏิบตัิหน้าที่ในฐานะผูร้ับนโยบายมาสู่การปฏิบตัิโดยกา หนดให้ ภาวะผนู้า ของสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน และผูบ้ริหารทุกระดบัเป็นตวัช้ีวดัแรกจากความเป็ นมาและ ความส าคญัของปัญหาเกี่ยวกับภาวะผูใ้นในศตวรรษที่21 ผู้วิจัยจึงได้มีความสนใจที่จะศึกษา รูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 อันจะท าให้ได้รูปแบบที่ ไปสู่การพฒันาผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานให้มีภาวะผูน้า สอดคลอ้งกบัทกัษะผบู้ริหารยุคใหม่ ในศตวรรษที่ 21 เป็ นแนวทางให้ผู้บริหารสถานศึกษา สามารถน ารูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหาร สถานศึกษา ในศตวรรษที่ 21 ไปประยุกตใ์ชเ้พื่อให้เกิดประโยชน์ในการบริหารสถานศึกษาให้เกิด ประสิทธิภาพยงิ่ข้ึน ค าถามของการวิจัย ในการวจิยัคร้ังน้ีผวู้จิยักา หนดคา ถามในการวจิยัดงัน้ี 1. ภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 มีองค์ประกอบใดบ้าง 2. รูปแบบภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 ควรมีลักษณะ เป็นอยา่งไร 3. รูปแบบภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 มีความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์หรือไม่ วตัถุประสงค์ของการวจิัย ในการวิจัยคร้ังน้ีมีวตัถุประสงค์ดงัน้ี 1. เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบของภาวะผูน้ าของผูบ้ริหารสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานใน ศตวรรษที่ 21 2. เพื่อสร้างรูปแบบภาวะผูน้า ในการบริหารงานของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานใน ศตวรรษที่ 21 3. เพื่อประเมินรูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21


5 สมมติฐานการวิจัย ในการวจิยัในคร้ังน้ีสามารถกา หนดสมมติฐานการวจิยัไดด้งัน้ี 1. องค์ประกอบภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานในศตวรรษที่ 21 มี ลักษณะเป็ นพหุองค์ประกอบ 2. รูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานในศตวรรษที่ 21 เป็ น พหุองคป์ระกอบ ที่มีความสัมพนัธ์กนั 3. รูปแบบภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 มีความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็ นไปได้ และความเป็ นประโยชน์ ขอบเขตของการวิจัย การศึกษาวจิยัในคร้ังน้ีสามารถกา หนดขอบเขตของการวิจยั 3 ข้นัตอน ซึ่งผู้วิจัยน าเสนอ ขอบเขตการวจิยัในแต่ละข้นัตอน ดงัน้ี ขั้นตอนที่ 1การวเิคราะห์องค์ประกอบของภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษาข้ัน พื้นฐานในศตวรรษที่ 21 1.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา ผูว้ิจยัมุ่งศึกษาในขอบเขตเน้ือหาและองค์ประกอบของของภาวะผูน้า ของผูบ้ริหาร สถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21โดยการศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อสร้าง เครื่องมือและการสอบถามขอ้มูลจากกลุ่มตวัอยา่ง นา ขอ้มูลมาวเิคราะห์เพื่อใหไ้ดอ้งคป์ระกอบของ ภาวะผู้นา ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 1.2 ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.2.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจยัในคร้ังน้ีได้แก่ผูบ้ริหารและครูวิชาการ หรือครูที่มี ตา แหน่งหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ ในโรงเรียนอนุบาลประจา จงัหวดัและประจา อา เภอใน เขตจังหวัดภาคเหนือ จ านวน 174 โรงเรียนๆ ละ 4คน จา นวนรวมท้งัสิ้น 696คน 1.2.2กลุ่มตวัอยา่ง ที่ใชใ้นการวิจยัในคร้ังน้ีไดแ้ก่ผบู้ริหารและครูวชิาการ หรือครูที่ มีตา แหน่งหวัหนา้กลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ ในโรงเรียนอนุบาลประจา จงัหวดัและประจา อา เภอใน เขตจงัหวดัภาคเหนือ จา นวนรวมท้งัสิ้น 492 คน โดยวิธีการสุ่มแบบหลายข้นัตอน (Muti-stage random) การกา หนดขนาดของผู้ตอบแบบสอบถามในการวิเคราะห์องค์ประกอบหลัก (Factor analysis) ใช้เกณฑ์ของ Hair คืออยา่งน้อยที่สุดตอ้งใช้กลุ่มตวัอย่างจา นวน 5 เท่าของตวัแปรแต่ที่


6 เหมาะสมควรใชก้ลุ่มตวัอยา่งจา นวน 10 เท่าของตวัแปรและไม่ควรนอ้ยกวา่ 400 ตวัอยา่ง (Hair, et al., 1995, p. 373) ในการวจิยัคร้ังน้ีผวู้ิจยัใชโ้รงเรียนเป็นหน่วยสุ่ม กา หนดขนาดกลุ่มตวัอยา่งโดยใช้ ตารางเครซี่และมอร์แกน ไดจ้า นวนโรงเรียนท้งัสิ้น 123 โรงเรียนๆ ละ 4คน ไดก้ลุ่มตวัอยา่งจา นวน 492คน ผวู้จิยัใชเ้ทคนิคการสุ่มแบบหลายข้นัตอน ดงัน้ี (1) ผูว้ิจยัใชเ้ทคนิคการสุ่มแบบช้นัภูมิ(Stratified sampling) เพื่อให้ไดก้ลุ่ม ตวัอยา่งตามสัดส่วนของขนาดกลุ่มตวัอยา่ง โดยจา แนกประชากรออกเป็นกลุ่มจงัหวดัเพื่อให้กลุ่ม ตวัอยา่งมีลกัษณะการกระจายตามสัดส่วนของประชากรแต่ละจงัหวดั โดยไดจ้า นวน 123โรงเรียน ซ่ึงการก าหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้ตารางส าเร็ จรู ปของ Krejcie and Morgan (ปกรณ์ ประจัญบาน, 2552, น. 117-118) (2) ดา เนินการสุ่มกลุ่มตวัอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Sample random sampling)ไดแ้ก่ผบู้ริหารจา นวน 1คน และครูวิชาการ หรือครูที่มีตา แหน่งหัวหน้ากลุ่มสาระการ เรียนรู้ต่างๆ ในโรงเรียนอนุบาลประจ าจังหวัดและประจ าอ าเภอในเขตจังหวัดภาคเหนือ จ านวน 3คน รวมผู้ให้ข้อมูลจ านวน 4คน ไดจ้า นวนกลุ่มตวัอยา่งจา นวนท้งัสิ้น 492คน 1.3 ขอบเขตด้านแหล่งข้อมูล 1.3.1 เอกสารและงานวจิยัที่เกี่ยวขอ้ง 1.3.2 ผใู้ห้ขอ้มูลในการสัมภาษณ์จา นวนท้งัหมด 10 คน ประกอบด้วยผู้บริหารระดับ นโยบายและเป็นต้นแบบของผู้น าที่ดีจ านวน 2 คน ผู้บริหารระดับเขตพื้นที่มีระดับการศึกษา ปริญญาเอก จ านวน 3 คน ผู้บริหารสถานศึกษาระดับการศึกษาปริญญาเอกจ านวน 3 คน และผู้มี ประสบการณ์ในการสอน เป็ นแบบอย่างที่ดี มีวิทยฐานะเชี่ยวชาญ จ านวน 2 คน 1.3.3 ผใู้ห้ขอ้มูลในการตอบแบบสอบถาม ไดแ้ก่ผู้บริหารและครูวิชาการ หรือครูที่มี ตา แหน่งหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ ในโรงเรียนอนุบาลประจา จงัหวดัและประจา อา เภอใน เขตจังหวัดภาคเหนือ จ านวน 492คน 1.4 ขอบเขตด้านตัวแปร ตัวแปรที่ศึกษา ได้แก่องค์ประกอบของภาวะผูน้ าของผูบ้ริหารสถานศึกษาข้ัน พ้ืนฐานในศตวรรษที่21 ขั้นตอนที่ 2การสร้างรูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษาข้ันพืน้ฐาน ในศตวรรษ ที่ 21 2.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา คือ รูปแบบภาวะผูน้ าของผูบ้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานใน ศตวรรษที่ 21


7 2.2 ขอบเขตด้านแหล่งข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลในการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ (Connoisseurship) ได้แก่ผูเ้ชี่ยวชาญที่มี ประสบการณ์ จ านวน 11 คน ได้แก่นักวิชาการทางการศึกษาวุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอก จ านวน 3 คน ผูอ้า นวยการส านักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา จา นวน 3 คน ผู้อ านวยการสถานศึกษา จ านวน 3 คน ผู้แทนครู จ านวน 1 คน และผู้น าที่ประสบความส าเร็จ จ านวน 1 คน โดยวิธีการเลือก แบบเจาะจง (Purposive sampling) 2.3 ขอบเขตด้านตัวแปร 2.3.1 ความเหมาะสมของรูปแบบภาวะผูน้า ของผูบ้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานใน ศตวรรษที่ 21 2.3.2 ความเหมาะสมของคู่มือรูปแบบภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่ 21 ขั้นตอนที่ 3การประเมินรูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษาข้ันพื้นฐานใน ศตวรรษที่ 21 3.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา ผูว้ิจยัมุ่งศึกษาการประเมินผลการใช้รูปแบบภาวะผูน้ าของผูบ้ริหารสถานศึกษา ข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 3.2 ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรในการวิจัยในข้ันตอนน้ีได้แก่โรงเรียนอนุบาลประจา จังหวดัและ โรงเรียนอนุบาลประจ าอ าเภอในเขตจังหวัดภาคเหนือ จ านวน 174โรงเรียน กลุ่มตวัอย่างในการประเมินรูปแบบภาวะผูน้า ของผูบ้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่ 21 ในคร้ังน้ีโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) ได้แก่ผู้อ านวยการ จ านวน 1 คน และครู จ านวน 2คน รวมจ านวน 9คน ท าการประเมินรูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหาร สถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 3.3 ขอบเขตด้านตัวแปร ความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็ นไปได้ และความเป็ นประโยชน์ของรูปแบบ ภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21


8 นิยามศัพท์เฉพาะ รูปแบบ หมายถึง แบบจา ลองโครงสร้างที่สร้างข้ึน เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ของ องคป์ระกอบต่างๆ ของภาวะผนู้า ภาวะผู้น า หมายถึงความสามารถของผูบ้ริหารสถานศึกษาที่จะก่อให้เกิดกิจกรรมหรือ การเปลี่ยนแปลง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของสถานศึกษาโดยใช้การชักชวน จูงใจให้บุคคล ปฏิบัติตามความคิดเห็น ตามความต้องการของผู้บริหารด้วยความเต็มใจ และยินดีที่จะให้ความ ร่วมมือ ซ่ึงผูน้ าต้องมีอิทธิพลต่อบุคคลหรือสถานศึกษาที่ก่อให้เกิดการท ากิจกรรม หรือการ เปลี่ยนแปลง เป็นผนู้า สร้างสรรคส์ ิ่งต่างๆ และตอ้งเป็นผสู้ร้างวฒันธรรมที่ดีใหแ้ก่สถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา หมายถึง หมายถึง ผู้อ านวยการโรงเรียนอนุบาลประจ าจังหวัดและ ประจ าอ าเภอในเขตจังหวัดภาคเหนือ จ านวน 17จงัหวดั ไดแ้ก่เชียงรายเชียงใหม่น่าน พะเยาแพร่ แม่ฮ่องสอน ล าปาง ล าพูน อุตรดิตถ์ตาก พิษณุโลก สุโขทัย เพชรบูรณ์พิจิตร ก าแพงเพชร นครสวรรค์และอุทัยธานี ศตวรรษที่ 21 หมายถึง สภาพการปรับตัวของประเทศไทยในด้านการศึกษาเพื่อให้ สามารถอยู่รอด และเหมาะสมกับสภาพสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นสังคมแห่งยุคที่ เทคโนโลยมีีความกา้วหนา้ ภาวะผู้น าในศตวรรษที่21 หมายถึง ภาวะผูน้า ในกระบวนทศัน์ใหม่หรือภาวะผูน้า แนว ใหม่ซ่ึงมีลกัษณะการเปลี่ยนแปลงกระบวนทศัน์ไปสู่ความเป็นผูน้ าที่มีวิสัยทศัน์มีการกระจาย อา นาจเสริมสร้างกา ลงัใจมีคุณธรรมจริยธรรม และกระตุน้ผตู้ามให้มีความเป็นความเป็นผูน้า เป็น กระบวนการที่มีอิทธิพลในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเจตคติ เน้นการสร้างความผูกพันในการ เปลี่ยนแปลงจุดมุ่งหมายและกลยุทธ์ของสถานศึกษา เน้นการจดัการความสัมพนัธ์ระหว่างบุคคล การคิดสร้างสรรค์การคิดวิเคราะห์ความผูกพนักบัองคก์รการบริหารเทคโนโลยีและสารสนเทศ การสร้างองคก์รแห่งการเรียนรู้และการเป็นตน้แบบที่ดีตามที่ผู้บริหารควรมีในศตวรรษที่ 21 รูปแบบภาวะผู้น าในศตวรรษที่21 หมายถึงแบบจา ลองโครงสร้างที่สร้างข้ึน เพื่ออธิบาย ความสัมพันธ์และเกี่ยวเนื่องกนัอยา่งเป็นระบบขององคป์ระกอบต่างๆ ของภาวะผนู้า ในการบริหาร โรงเรียนอนุบาลประจ าจังหวัด และโรงเรียนอนุบาลประจ าอ าเภอ ในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ตามแนวทางด้านการจดัการความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ด้านการคิดสร้างสรรค์ด้านการคิด วิเคราะห์ด้านความผูกพนักบัองค์กร ด้านการบริหารเทคโนโลยีและสารสนเทศ ด้านการสร้าง องค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านการเป็ นต้นแบบที่ดีตามที่ผู้บริหารควรมีในศตวรรษที่ 21 เพื่อให้บรรลุ เป้าหมายอยา่งมีประสิทธิภาพ


9 รูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษาข้ันพื้นฐานในศตวรรษที่21 หมายถึง โครงสร้าง และองค์ประกอบการพัฒนาภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษ ที่ 21 ประกอบด้วย 4 ส่วน ไดแ้ก่1) ส่วนนา 2) เน้ือหาและแนวทางการดา เนินงาน 3) กระบวนการ พฒันาภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 และ 4) เงื่อนไขความส าเร็จ 1. ส่ วนน า หมายถึง ส่วนแรกของรูปแบบที่กล่าวถึงความเป็นมาและความส าคญั ของภาวะผู้น าในศตวรรษที่ 21 และวัตถุประสงค์ของรูปแบบภาวะผู้นา ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นั พ้ืนฐานในศตวรรษที่21 2. เนื้อหาและแนวทางการด าเนินงาน หมายถึง ส่วนที่อธิบายถึงองค์ประกอบของ ภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21จุดมุ่งหมายและแนวทางการพฒันา ขององค์ประกอบรูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21ไดแ้ก่การ บริหารยคุใหม่ใส่ใจคุณลกัษณะ ทกัษะเทคโนโลยีและการสื่อสารผบู้ริหารดีมีการพฒันา เนน้การ คิดวเิคราะห์และนา พาสู่ตน้แบบที่ดี 3. กระบวนการพัฒนาภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษาข้ันพืน้ฐาน ในศตวรรษที่21 หมายถึงกระบวนการพฒันาภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่21 ให้เกิด ประสิทธิภาพ โดยการวิเคราะห์ภาวะผู้น าของผู้บริหาร การวางแผนการพัฒนาภาวะผู้น าของ ผู้บริ หาร การสร้างเครื่ องมือในการประเมินภาวะผู้น าของผู้บริหาร การพัฒนาภาวะผู้น าของ ผู้บริหารตามแนวทาง 4. เงื่อนไขความส าเร็จ หมายถึง ส่วนที่อธิบายถึง สิ่งที่ตอ้งคา นึงถึง และสิ่งที่ควร ปฏิบตัิเพื่อส่งเสริมใหก้ารนา รูปแบบภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 เกิดประสิทธิภาพ ความถูกต้องของรูปแบบ หมายถึง การที่รูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษา ข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 ที่เป็ นไปตามหลักทฤษฎี ความเหมาะสมของรูปแบบ หมายถึง การที่รูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษา ข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 มีความเหมาะสมสามารถน าไปใช้ในการพัฒนาการบริหารงานของ สถานศึกษาได้ซ่ึงเป็นแบบประเมินที่มีลกัษณะมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด ความเป็นไปได้ของรูปแบบ หมายถึง การที่รูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษา ข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 ไปใช้ได้จริงในการพัฒนาการบริหารงานของสถานศึกษา


10 ความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ หมายถึง การที่รู ปแบบภาวะผู้น าของผู้บริ หาร สถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 สามารถตอบสนองความต้องการของสถานศึกษาในการมี ผู้บริหารที่มีภาวะผู้น าในศตวรรษที่ 21 ครูหมายถึงขา้ราชการครูที่ปฏิบตัิหนา้ที่อยใู่นโรงเรียนอนุบาลประจา จงัหวดัและประจ า อ าเภอในเขตจังหวัดภาคเหนือ จ านวน 17 จงัหวดั ได้แก่เชียงราย เชียงใหม่น่าน พะเยา แพร่ แม่ฮ่องสอน ล าปาง ล าพูน อุตรดิตถ์ตาก พิษณุโลก สุโขทัย เพชรบูรณ์พิจิตร ก าแพงเพชร นครสวรรค์ และอุทัยธานี โรงเรียนอนุบาล หมายถึง โรงเรียนอนุบาลประจ าจังหวัดและประจ าอ าเภอในเขตจังหวัด ภาคเหนือ จ านวน 17จงัหวดั ไดแ้ก่เชียงราย เชียงใหม่น่าน พะเยาแพร่แม่ฮ่องสอน ลา ปางลา พูน อุตรดิตถ์ตาก พิษณุโลก สุโขทัย เพชรบูรณ์พิจิตร ก าแพงเพชร นครสวรรค์และอุทัยธานี รวมท้งัสิ้นจา นวน 174โรงเรียน ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ได้องค์ประกอบของภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่ครบถ้วน สมบูรณ์ 2. ได้รูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่มีองค์ประกอบครบถ้วน 3. ได้ผลการประเมินของรูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 4. เป็ นแนวทางให้ผู้บริหารสถานศึกษา สามารถน ารู ปแบบภาวะผู้น าของผู้บริ หาร สถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ไปประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการบริหารโรงเรียนให้เกิด ประสิทธิภาพยงิ่ข้ึน


11 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการวิจยัเรื่องรูปแบบภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21ผู้วิจัย ไดศ้ึกษาคน้ควา้หลกัการและแนวคิดทฤษฎีจากเอกสารและงานวจิยัที่เกี่ยวขอ้ง ตามลา ดบัหวัขอ้ดงัน้ี 1. บริบททวั่ ไปของโรงเรียนอนุบาลประจา จงัหวดัและอา เภอในเขตภาคเหนือ 2. แนวคิดเกี่ยวกบัภาวะผนู้า 2.1ความหมายของผู้น า และภาวะผู้น า 2.2 คุณลักษณะของผู้น า 2.3 บทบาทหน้าที่ของผู้น า 2.4 การพัฒนาภาวะผู้น า 3. แนวคิดเกี่ยวกบัรูปแบบภาวะผนู้า ในศตวรรษที่21 3.1 แนวคิดเกี่ยวกบัศตวรรษที่21 3.2 องค์ประกอบของภาวะผู้น าในศตวรรษที่ 21 3.3 รูปแบบภาวะผู้น าในศตวรรษที่ 21 4. บทบาทหน้าที่ของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 5. องค์ประกอบของ Thailand 4.0 5.1 ความหมายของ Thailand 4.0 5.2 การบริหารการศึกษาส าหรับศตวรรษที่21 6. แนวคิดเกี่ยวกบัรูปแบบ 6.1ความหมายของรูปแบบ 6.2 ประเภทของรูปแบบ 6.3องค์ประกอบของรูปแบบ 6.4การพัฒนาของรูปแบบ 6.5การตรวจสอบรูปแบบ 7. งานวจิยัที่เกี่ยวขอ้ง 7.1 งานวิจัยในประเทศ 7.2 งานวจิยัต่างประเทศ 8.กรอบแนวคิดการวิจัย


12 บริบททวั่ไปของโรงเรียนอนุบาลประจ าจังหวดัและอา เภอในเขตภาคเหนือ โรงเรียนอนุบาลประจา จงัหวดัและประจา อา เภอในเขตจงัหวดัภาคเหนือ มีท้ังหมด จ านวน 174 โรงเรียน สามารถจ าแนกเป็ นรายจังหวัดได้ดังแสดงในตารางที่ 2.1 ตารางที่ 2.1 จ านวนผู้อ านวยการ รองผู้อ านวยการ บุคลากร และจ านวนโรงเรียนอนุบาลประจ า จังหวัดและประจ าอ าเภอในเขตจังหวัดภาคเหนือ จ าแนกเป็ นรายจังหวัด จังหวัด จ านวนโรงเรียน จ านวน (คน) ผู้อ านวยการ รองผู้อ านวยการ บุคลากร รวม เชียงราย 30 30 7 496 533 เชียงใหม่ 7 7 10 276 293 น่าน 3 3 3 106 112 พะเยา 10 9 10 232 251 แพร่ 4 4 6 145 155 แม่ฮ่องสอน 7 8 2 123 133 ล าปาง 14 13 13 397 423 ล าพูน 3 3 3 92 98 อุตรดิตถ์ 7 7 4 207 218 ตาก 7 7 4 187 198 พิษณุโลก 4 4 10 225 239 สุโขทัย 10 10 8 313 331 เพชรบูรณ์ 12 11 11 349 371 พิจิตร 14 14 9 298 321 กา แพงเพชร 16 11 7 248 266 นครสวรรค์ 16 15 14 526 555 อุทัยธานี 9 9 9 251 269 รวม 174 165 130 4,471 4,766 ที่มา: สา นกังานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์เขต 3 (2560, ออนไลน์)


13 ประวัติที่มาโรงเรียนอนุบาลประจ าจังหวัด ธนสาร บลัลงัก์ปัทมา (2560, น. 1-3) ได้น าเสนอประวัติโรงเรียนอนุบาลประจ าจังหวัด เรียบเรียงจากข้อเขียน ดร.ธา รงค์น่วมศิริผอู้า นวยการโรงเรียนอนุบาลอุตรดิตถ์ไดเ้รียบเรียงไวใ้น ความเป็ นมาของการจัดการเรียนรู้ระดับอนุบาลศึกษาและที่มาของโรงเรียนอนุบาลประจ าจังหวัด ดังน้ี ปี พ.ศ. 2482กระทรวงศึกษาธิการได้แต่งต้งัคณะกรรมการเพื่อพิจารณาจดัต้งัโรงเรียน อนุบาลของรัฐเต็มรูปแบบข้ึน เพราะก่อนหน้าน้ีการอนุบาลศึกษาของไทยมีโรงเรียนที่จดัสอน ช้นัอนุบาลเป็นโรงเรียนเอกชน 2แห่งคือโรงเรียนมาแตร์เดอีและโรงเรียนวฒันาวิทยาลยั โดยมี การประกาศรับสมัครผู้สนใจเพื่อสอบชิงทุนไปศึกษาและดูงานด้านการอนุบาลที่ประเทศญี่ปุ่ นเป็ น เวลา 6 เดือน ผูท้ ี่ผ่านการคดัเลือก คือ นางจิตรา ทองแถม ณ อยุธยา (คุณหญิงจิตรา ทองแถม ณ อยุธยา) เมื่อกลบัจากการศึกษาและดูงาน ไดจ้ดัต้งัโรงเรียนอนุบาลละอออุทิศในบริเวณโรงเรียน การเรือนพระนคร (ปัจจุบนัคือ มหาวิทยาลยัราชภฏัสวนดุสิต) เปิดทา การเรียนการสอนคร้ังแรก เมื่อวันที่ 2กนัยายน พ.ศ. 2483 ซ่ึงถือเป็นโรงเรียนอนุบาลแห่งแรกของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายเปิดโรงเรียนอนุบาลข้ึนในจงัหวดัต่างๆ ใหค้รบทุกจงัหวดั ในปี พ.ศ. 2486จึงมอบหมายให้นางสาวเบญจา ตุงคะสิริ (คุณหญิงเบญจา แสงมะลิ) ซึ่งได้รับทุน ไปศึกษาด้านอนุบาลศึกษาจากประเทศญี่ปุ่ น ท าหน้าที่หัวหน้าแผนกฝึ กหัดครูอนุบาล ซึ่งนางสาว เบญจา ตุงคะสิริ (คุณหญิงเบญจา แสงมะลิ) ถือเป็ นหนึ่ งในสี่ของผู้ได้รับทุนไปศึกษาด้านการ อนุบาลศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่นรุ่นแรกอีกสามคน คือ นางสาวสมถวิล สวนส าอาง นางสาวสวสัวดี วรรณโกวทิและนางสาวเอ้ือนทิพย์เปรมโยธิน ปี พ.ศ. 2484 ได้เปิ ดแผนกฝึ กหัดครู โดยรับนักเรี ยนฝึ กหัดครูเข้าศึกษาวิชาอนุบาล หลักสูตร 1 ปี โรงเรียนอนุบาลประจา จงัหวดัท้งัสิ้น 80 โรงเรียน (ข้อมูลเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ยงัไม่ รวมจังหวัดบึงกาฬ) โดยแต่ละจังหวัดจะมีโรงเรียนอนุบาลจังหวัดละ 1 โรงเรี ยน ยกเว้น กรุงเทพมหานครมี 4 โรงเรียน คือ โรงเรียนอนุบาลวัดนางนอง โรงเรียนอนุบาลวัดปรินายก โรงเรียนอนุบาลพิบูลเวศม์ และโรงเรียนอนุบาลสามเสน และจังหวัดพิจิตรมี 2 โรงเรียน คือ โรงเรียนอนุบาลพิจิตรและโรงเรียนอนุบาลบางมูลนาก"ราษฎร์อุทิศ" (ซ่ึงเป็นบา้นเกิดคุณหญิง เบญจา แสงมะลิ) ต่อมาในเดือนกนัยายน 2555ไดม้ีการประกาศรายชื่อโรงเรียนอนุบาลประจา จงัหวดัเพิ่มอีก 1จังหวัด คือ โรงเรียนอนุบาลบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ จึงท าให้มีโรงเรียนอนุบาลประจ าจังหวัด 81 โรงเรียน (ตามประกาศ สพฐ. ลงวันที่ 13กนัยายน 2555 เรื่องรายชื่อโรงเรียนอนุบาลประจ าจังหวัด)


14 นอกจากน้ียงัมีชื่อโรงเรียนอนุบาลประจา จงัหวดัที่มีชื่อโรงเรียนที่ไม่ไดใ้ชช้ื่อจงัหวดัเพียง อย่างเดียว คือ โรงเรียนราชานุบาล (โรงเรียนนอนุบาลประจา จังหวดัน่าน ชื่อโรงเรียนได้รับ พระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจา้อยหู่วัตามหนงัสือส านกัราชเลขาธิการ ที่รล/0741ลงวันที่ 4 มิถุนายน 2507) โรงเรี ยนอนุบาลเมืองอุทัยธานี (โรงเรี ยนอนุบาลประจ าจังหวัดอุทัยธานี) โรงเรียนอนุบาลวัดปิ ตุลาธิราชรังสฤษฎ์ิ(โรงเรียนอนุบาลประจา จงัหวดัฉะเชิงเทรา) โรงเรียน อนุบาลวดัพิชยัสงคราม (โรงเรียนอนุบาลประจา จงัหวดัสมุทรปราการ)โรงเรียนอนุบาลวดัอ่างทอง (โรงเรียนอนุบาลประจา จงัหวดัอ่างทอง)โรงเรียนอนุบาลนครศรีธรรมราช ณ นครอุทิศ(โรงเรียน อนุบาลประจ าจังหวัดนครศรี ธรรมราช) และโรงเรี ยนอนุบาลล าปาง(เขลางค์รัตน์อนุสรณ์) (โรงเรียนอนุบาลประจ าจังหวัดล าปาง) ตราสัญลกัษณ์โรงเรียนอนุบาลเป็นรูปอกัษร อ สามเหลี่ยม มีดอกบวัอยกู่ลางอกัษร ภาพที่ 2.1 ตราสัญลักษณ์โรงเรียนอนุบาล ที่มา: ธนสาร บลัลงักป์ ัทมา (2560, น. 3) โรงเรียนอนุบาลประจา จงัหวดัมีการต้งัเป็นสมาคมผูบ้ริหารและครูโรงเรียนอนุบาล ประจา จงัหวดัแห่งประเทศโดยมีดร.ส าเริงกุจิรพนัธ์ผูอ้า นวยการโรงเรียนอนุบาลนครปฐม เป็น นายกสมาคมคนแรก ปัจจุบนัมีดร.ธา รงค์น่วมศิริเป็นนายกสมาคมฯ ต่อมามีการแต่งต้งัโรงเรียน อนุบาลประจา เขตพ้ืนที่อีกจา นวน 183 เขตพ้ืนที่183 โรงเรียน


15 แนวคิดเกยี่วกบัภาวะผู้น า 1. ความหมายของผู้น า และภาวะผู้น า 1.1 ความหมายของผู้น า คา ว่า ผูน้ า (Leader) ได้มีนักวิชาการหลายท่านให้ความหมายไวเ้หมือน และ แตกต่างกนัดงัต่อไปน้ี สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์(2548, น. 1) อธิบายว่า ผู้น า คือ บุคคลที่มีบทบาทหรือมี อิทธิพลต่อคนในหน่วยงานมากกว่าผูอ้ื่น มีบทบาทเหนือบุคคลอื่นๆ มีบทบาทส าคญัที่สุดที่ทา ให้ หน่วยงานบรรลุเป้าหมาย ไดร้ับเลือกจากผอู้ื่นใหเ้ป็นผนู้า และเป็นหวัหนา้ของกลุ่ม สุทัศนา มุขประภาษ (2548, น. 97) ได้ให้ความหมายของผูน้า ว่า หมายถึง ผู้ที่มี อิทธิพลอา นาจหนา้ที่และพลงัอา นาจเหนือผอู้ื่นและชกัชวนบุคคลอื่นเหล่าน้นั ปฏิบตัิภารกิจหนา้ที่ ใหส้า เร็จลุล่วงไปไดต้ามเป้าหมายที่กา หนดไว้ วิภาดาคุปตานนท์(2549, น.237) ได้ให้ความหมายของ ผู้น า หมายถึง บุคคลที่มี ความสามารถในการที่จะทา ให้องค์การดา เนินไปอย่างก้าวหน้าและบรรลุเป้าหมาย โดยการใช้ อิทธิพลเหนือทัศนคติและการกระท าของผู้อื่น วีระวัฒน์ปันนิตามัย(2549, น. 3) ได้ให้ความหมายของผู้น า วา่หมายถึง บุคคลที่ ทา หน้าที่กา หนด วินิจฉัย ตดัสินสั่งการ สร้างแรงจูงใจ หรือแก้ไขปัญหาเกี่ยวกบัทรัพยากรและ นโยบายทิศทางขององค์การ วิเชียร วิทยอุดม (2549, น. 2) ได้ให้ความหมายของผูน้ าไวว้่า ผู้น า หมายถึง บุคคลที่ไดร้ับการยอมรับหรือยกยอ่งให้เป็นผนู้า และตอ้งเป็นผทู้ี่มีความสามารถอนัเกิดจากตวัของ เขาเองจนเป็ นที่ยอมรับหรือยกยอ่งของกลุ่มใหเ้ป็นผนู้า และนา กลุ่มไปสู่ความสา เร็จตามเป้าหมาย สมคิด บางโม (2550, น. 229) กล่าววา่ ผู้น า หมายถึง บุคคลที่ได้รับการยอมรับ และยกยอ่งใหเ้ป็นหวัหนา้ในการดา เนินงานต่างๆ เสริมศกัด์ิวิศาลาภรณ์(2550, น. 8) ให้ความหมายคา ว่าผู้น าคือ บุคคลที่ได้รับ มอบหมายซ่ึงอาจโดยการเลือกต้งัหรือแต่งต้ัง และเป็ นที่ยอมรับของสมาชิกให้มีอิทธิพลและ บทบาทเหนือกลุ่ม สามารถที่จะจูงใจ ชกันา หรือช้ีนา ให้สมาชิกของกลุ่มรวมพลงัเพื่อปฏิบตัิภารกิจ ต่าง ๆ ของกลุ่มใหส้า เร็จ อัญชลี ธรรมะวิธีกุล (2555, น.2) ไดใ้ห้ความหมายของผนู้า วา่ หมายถึง บุคคลที่ สามารถชกัจูงหรือช้ีนา หรือโนม้นา้วจูงใจบุคคลอื่นให้ปฏิบตัิงาน ส าเร็จตามวตัถุประสงคท์ ี่วางไว้ ไดอ้ยา่งมีประสิทธิภาพ


16 ปรารถนา ตันติกุลไพบูลย์ (2555, น. 12) ได้สรุปความหมายของผู้น าไวว้่า หมายถึง บุคคลที่มีความรู้ความสามารถเป็ นที่ยอมรับของทุกคน จนไดร้ับการยกยอ่งให้เป็นผูน้า ของกลุ่มในการปฏิบตัิภารกิจต่างๆ สาวิทตรี ค าควร (2555, น. 11) ไดส้รุปความหมายของผนู้า ไวว้า่ หมายถึง บุคคล ที่ไดร้ับมอบหมายซ่ึงอาจโดยการเลือกต้งัหรือแต่งต้งัและเป็นที่ยอมรับของสมาชิกใหม้ีอิทธิพลและ บทบาทเหนือกลุ่ม และมีหน้าที่ในการวางแผน สั่งการ ดูแลควบคุม และสามารถที่จะจูงใจชกันา หรือช้ีน าให้สมาชิกของกลุ่มรวมพลังเพื่อปฏิบัติภารกิจต่างๆ ของกลุ่มจนสามารถบรรลุตาม เป้าหมายของสังคมที่กา หนดไวไ้ดอ้ยา่งมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มยุรา ศรีสมุทร (2555, น.15) ได้สรุปความหมายของผูน้า ไวว้่าผู้น า คือ ผู้ที่มี ศิลปะที่สามารถมีอิทธิพลเหนือผู้อื่น สามารถชักจูงให้ผู้อื่นปฏิบัติตามที่ต้องการได้ และได้รับความ ไวว้างใจ เชื่อใจอย่างเต็มที่อีกท้ังยงัได้รับความเคารพนับถือความร่วมมือและความมนั่ใจจาก ผู้ใต้บังคับบัญชาอยา่งจริงจงั Halpin (1966, pp. 27-28) ได้ให้ความหมายของผู้น าไว้5 ประการคือ 1. ผู้น าคือ บุคคลที่มีบทบาทหรืออิทธิพลต่อบุคคลในหน่วยงานมากกว่า บุคคลอื่น 2. ผู้น าคือ บุคคลที่มีบทบาทเหนือคนอื่น 3. ผู้น า คือ บุคคลที่มีบทบาทส าคัญที่สุดในการท างาน เพื่อให้หน่วยงาน ดา เนินการไปสู่จุดมุ่งหมายและบรรลุจุดมุ่งหมายที่วางไว้ 4. ผู้น าคือ บุคคลที่ได้รับการคัดเลือกจากบุคคลอื่นๆ ให้เป็ นผู้น า 5. ผู้น าคือ บุคคลที่ดา รงตา แหน่งเป็นหวัหนา้ในหน่วยงาน Fiedler (1976, p. 8) ได้แสดงทศันะและนิยามว่าผูน้า คือ บุคคลที่ริเริ่มให้มีการ เปลี่ยนแปลงการกระทา ในกลุ่ม ซ่ึงมีหนา้ที่ในการประสานงานกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกบัภารกิจของ กลุ่ม Burns (1978, p. 19) ได้ให้ความหมายของ ผู้น า หมายถึง บุคคลที่กระตุ้นให้ ผตู้ามดา เนินการตามวตัถุประสงคโ์ดยวตัถุประสงคน์ ้นัตอ้งเป็นวตัถุประสงค์ร่วมของท้งัผูน้า และ ผู้ตาม Bennis, and Nanus (1985, p. 215) ให้คา จา กดัความของคา วา่ ผู้น าคือ บุคคลที่มี บทบาทส าคัญในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์เป็นสัญลกัษณ์ของกลุ่มและจะนา กลุ่มให้พน้ จากอุปสรรคปัญหาต่างๆ จนสามารถบรรลุตามเป้ าหมายของสังคมที่ก าหนดไว้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพและประสิทธิผล


17 Greenberg, and Baron (1995, p. 74) กล่าววา่ ผู้น าคือ บุคคลที่มีความสามารถที่ มีอิทธิพลต่อสมาชิกภายในกลุ่ม ทา ให้บรรลุจุดประสงค์ที่ต้งัไว้ซ่ึงแหล่งที่มาของอิทธิพลมาจาก ตา แหน่งหนา้ที่ภายในองคก์ารหรือภายนอกองคก์าร DuBrin (1998, p. 431) กล่าวว่า ผู้น าคือบุคคลซ่ึงก่อให้เกิดความมั่นคงและ ช่วยเหลือบุคคลต่างๆ เพื่อใหบ้รรลุเป้าหมายของกลุ่ม Yukl (2002, p. 46) ได้ให้ความหมายของ ผู้น า หมายถึง บุคคลที่มีอิทธิพลมาก ที่สุดในกลุ่ม จะมาจากการเลือกต้งัแต่งต้งัหรือยกย่องจากกลุ่ม ให้เป็นผูช้้ีแนะ ช่วยเหลือให้กลุ่ม ปฏิบตัิกิจกรรมต่างๆ สามารถใชอ้ิทธิพลชกันา คนอื่นให้ดา เนินกิจกรรมต่างๆ ตามที่ตนตอ้งการจน ประสบความสา เร็จตามเป้าหมายที่ต้งัไว้ สรุปไดว้า่ ผู้น า หมายถึง บุคคลที่สามารถนา คนอื่นหรือกลุ่ม โดยพฤติกรรมของ ผนู้า มีอิทธิพลต่อผอื่นู้ ท าให้ผู้อื่นมีพฤติกรรมคล้อยตามหรือยอมรับสามารถที่จะจูงใจ ชักน า หรือ ช้ีนา ใหบุ้คคลหรือสมาชิกของกลุ่มรวมพลงัเพื่อปฏิบตัิภารกิจต่างๆ ใหส้า เร็จและบรรลุจุดมุ่งหมายที่ วางไว้ 1.2 ความหมายของภาวะผู้น า ภาวะผู้น า (Leadership) มีนักวิชาการได้ให้ความหมาย ภาวะผู้น า ไว้ดงัน้ี สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์(2548, น. 17) ได้ให้ความหมายของภาวะผูน้า ว่า หมายถึง กระบวนการอิทธิพลทางสังคมที่บุคคลหน่ึงต้งัใจใชอ้ิทธิพลต่อผอู้ื่น ให้ปฏิบตัิกิจกรรมต่างๆ ตามที่ กา หนดรวมท้งัเป็นการสร้างความสัมพนัธ์ระหวา่งบุคคลขององคก์าร หรือเป็ นกระบวนการอิทธิพล ที่ช่วยใหก้ลุ่มบุคคลสามารถบรรลุเป้าหมายที่กา หนด ธิติพร ตนัยโชติ(2549, น. 42) สรุปความหมายเกี่ยวกบัภาวะผูน้า ไว้5 ประการ คือ 1. ภาวะผู้น าคือเป็นความสัมพนัธ์ที่มีอิทธิพลระหวา่งผนู้า และผู้ตาม ซึ่งท าให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อใหบ้รรลุจุดมุ่งหมายร่วมกนั (Share purpose) 2. ภาวะผู้น า หมายถึง เป็นความสามารถที่จะสร้างความเชื่อมั่นและให้การ สนับสนุนบุคคลเพื่อให้บรรลุเป้ าหมายองค์การ 3. ภาวะผู้น า เป็นการใช้ศิลป์และกระบวนการของการมีอิทธิพลต่อบุคคลหรือ กลุ่มเพื่อดา เนินกิจกรรมไปสู่ความสา เร็จตามวัตถุประสงค์ 4. ภาวะผู้น าคือการกระทา ที่มีอิทธิพลสามารถทา ให้ผอู้ื่นเกิดศรัทธามีความนบั ถือ มีความเชื่อมนั่ตกลงปลงใจที่จะทา ตามแลว้แต่ผนู้า จะใหท้า อะไร


18 5. ภาวะผู้น า หมายถึงการที่ผูน้า ขององค์การใช้วิธีแตกต่างกนัตามสถานการณ์ ในการดา เนินการเพื่อก่อให้เกิดสภาวะแวดล้อมที่สนับสนุนให้ผูใ้ตบ้งัคบับญัชาร่วมมือกนัสร้าง ประโยชน์ในการปฏิบตัิหนา้ที่การงานใหบ้รรลุถึงจุดมุ่งหมายขององคก์ารที่กา หนด รังสรรค์ประเสริฐศรี(2549, น. 31) ไดใ้ห้ความหมายของภาวะผนู้า วา่หมายถึง พฤติกรรมส่วนตวัของบุคคลคนหน่ึงที่จะชกันา กิจกรรมของกลุ่มใหบ้รรลุเป้าหมายร่วมกนัหรือเป็น ความสัมพนัธ์ที่มีอิทธิพลระหวา่งผนู้า และผตู้าม ซ่ึงทา ใหเ้กิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้บรรลุจุดหมาย ร่วมกนัหรือเป็นความสามารถที่จะสร้างความเชื่อมนั่และให้การสนับสนุนบุคคลเพื่อให้บรรลุ เป้ าหมายองค์การ ชัยเสฏฐ์พรหมศรี(2549, น. 8) ได้ให้ความหมายของภาวะผูน้ า ว่า หมายถึง กระบวนการในการชักจูงให้พนักงานท างานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ เอกชัย บูรณธน (2550, น.12)กล่าววา่ภาวะผนู้า หมายถึงกระบวนการที่บุคคล ใชอ้ิทธิพลเหนือบุคคลอื่นหรือกลุ่ม และจูงใจให้บุคคลอื่นปฏิบัติงานตามความประสงค์ของตนเพื่อ ผลประโยชน์ของส่วนรวม เพื่อใหบ้รรลุตามเป้าหมายที่กา หนดไว้ทา ให้พวกเขาพยายามที่จะทา ให้ บรรลุเป้าหมายของกลุ่มอยา่งต้งัใจและกระตือรือร้น โดยเปลี่ยนแปลงความพยายามของผรู้่วมงาน และผูใ้ตบ้งัคบับญัชาไปสู่ระดบัที่สูงข้ึน นอกจากน้ีภาวะผูน้า ยงัเป็นความสามารถที่จะสร้างความ เชื่อมนั่และใหก้ารสนบัสนุนบุคคลเพื่อใหบ้รรลุเป้าหมายขององคก์ารไดอ้ีกดว้ย ปุระชัย เปี่ ยมสมบูรณ์ (2550, น. 303)กล่าววา่ภาวะผนู้า หมายถึงความสามารถ ในการจูงใจโน้มน้าวให้บุคคลอื่นประพฤติปฏิบัติตามในสิ่งที่ผนู้า วางวตัถุประสงคไ์ว้ ชนันดา โชติแดง (2550, น.16) กล่าวว่า ภาวะผูน้ า หมายถึง กระบวนการที่ ผู้บริ หารสถานศึกษาสามารถใช้อิทธิพลในการชักจูง หรื อโน้มน้าวให้ครู หรื อบุคลากรใน สถานศึกษาดา เนินงานให้บรรลุผลตามเป้าหมายและวตัถุประสงคท์ ี่ต้งัไวผ้บู้ริหารสถานศึกษาต้อง ทา หนา้ที่เป็นผนู้า กล่าวคือตอ้งเป็นตวัอยา่งในดา้นพฤติกรรมให้กบัคณะครูและกา หนดพฤติกรรม ของบุคลากรในสถานศึกษา ดงัน้นัผบู้ริหารที่มีภาวะผนู้า ในการทา งาน บุคลกรในสถานศึกษาก็จะมี ความสามคัคีและร่วมมือร่วมใจในการทา งาน ส่งผลใหผ้ลการดา เนินงานของสถานศึกษาบรรลุตาม วัตถุประสงค์ของสถานศึกษา ลือชา เสถียรวิรภาพ (2550, น.18)กล่าวว่า ภาวะผูน้ า หมายถึงกระบวนการ อิทธิพลทางสังคมที่บุคคลหน่ึงต้งัใจใชอ้ิทธิพลต่อบุคคลอื่น เพื่อให้การปฏิบตัิกิจกรรมต่างๆตามที่ กา หนดรวมท้งัการสร้างความสัมพนัธ์ระหวา่งบุคคลในองคก์าร ภาวะผูน าจึงเป็ นกระบวนการทาง ้ อิทธิพลที่ช่วยใหอ้งคก์ารบรรลุเป้าหมาย


19 ธวัช บุณยมณี (2550, น. 58) กล่าวว่า ภาวะผูน้ า หมายถึงการกระทา ระหว่าง บุคคล โดยบุคคลที่เป็ นผู้น าจะใช้อิทธิพล (Influence) หรือการดลบันดาลใจ (Inspiration) ให้บุคคล อื่นหรือกลุ่มกระทา หรือไม่กระทา บางสิ่งบางอยา่ง ตามเป้าหมายที่ผนู้า กลุ่มหรือองคก์ารกา หนดไว้ ปรารถนา ตันติกุลไพบูลย์ (2555, น. 13) ไดส้รุปความหมายของภาวะผนู้า ไวว้่า หมายถึง บุคคลที่มีลักษณะหรือคุณสมบัติเฉพาะตัวเป็ นที่ยอมรับของบุคคลอื่น ช่วยส่งเสริมการทา กิจกรรมต่างๆ ใหส้าเร็จลุล่วงอยา่งมีประสิทธิภาพ สาวิทตรี ค าควร (2555, น. 11) ไดส้รุปความหมายของ ภาวะผนู้า ไวว้า่ หมายถึง ความสามารถและกระบวนการมีอิทธิพลซ่ึงกนัและกนัระหวา่งผนู้า และผตู้ามเพื่อให้การดา เนินงาน บรรลุเป้าหมายและประสบความส าเร็จตามที่กา หนดไว้อยา่งไรก็ตามไม่มีนิยามใดที่ผดิหรือถูกตอง้ สมบูรณ์ที่สุดเพียงนิยามเดียวแต่ข้ึนอยกู่บัการเลือกคา นิยามน้นั ไปใชใ้หเ้หมาะสมเกี่ยวกบัภาวะผนู้า ในแต่ละกรณีได้ มยุรา ศรีสมุทร (2555, น.15) ไดส้รุปความหมายของ ภาวะผูน้า ไวว้่า ภาวะผู้น า หรื อการเป็ นผู้น า เป็นศิลปะในการใช้อิทธิพลของผู้น าเพื่อจูงใจผู้ร่วมงานให้ปฏิบัติตาม วตัถุประสงค์ที่กา หนดไว้ด้วยความร่วมมือร่วมใจอย่างเต็มใจ เพื่อความส าเร็จตามเป้าหมายที่ ต้องการ Stogdill (1974, p. 4) ได้ให้ความหมายของภาวะผูน้า ว่า หมายถึงกระบวนการ ของการใชอ้ิทธิพลต่อกิจกรรมต่างๆ ของกลุ่ม เพื่อการต้งัเป้าหมายและบรรลุเป้าหมาย Fiedler (1976, p. 135) กล่าววา่ ภาวะผู้น าคือผู้ที่มีอ านาจเหนือผู้อื่น และอ านาจ น้ีช่วยให้ผูน้า สามารถปฏิบัติตามที่เขามาสามารถปฏิบัติคนเดียวได้และสามารถให้ผู้ตามยอมรับ และเต็มใจปฏิบัติตาม Hollander (1978, p. 45) กล่าวว่า ภาวะผู้น า หมายถึง กระบวนการของการมี อิทธิพลระหวา่งผนู้า และกลุ่มผทู้ี่เป็นผตู้ามนา กลุ่มไปสู่เป้าหมาย Giammatteo (1981, p. 2)กล่าววา่ภาวะผูน้า หมายถึงผนู้า ที่เหมาะสมไม่ใช่เป็น ผสู้ ั่งการหรือควบคุมเท่าน้นัแต่จะเป็นผูท้ี่ทา ให้เกิดการมีส่วนร่วมของบุคคลต่างๆ ในองค์การ สิ่ง น้นัคือการแสดงออกของความเป็นผูน้า ของคนๆ น้นั ไดแ้ก่การสร้างและธา รงรักษากลุ่มไวไ้ด้มี การทา งานส าเร็จลุล่วงไปด้วยดีช่วยให้กลุ่มเกิดความรู้สึกที่ดีต่อกนัและมีวตัถุประสงค์ที่ชัดเจน เขา้ใจง่ายเพื่อใหก้ลุ่มร่วมมือกนัทา งานไปสู่เป้าหมายอยา่งราบรื่น Richards, and Engle (1986, p. 18) ไดก้ล่าววา่ ภาวะผู้น า เป็ นความสามารถผู้น า ที่จะสามารถสื่อสารวิสัยทศัน์ได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ให้ความหมายที่แสดงออกถึงคุณค่าและ สร้างสรรคส์ ิ่งแวดลอ้มภายในองคก์ารเพื่อใหส้ามารถบรรลุเป้าหมายได้


20 Cherrington (1989, p. 78) ไดก้ล่าววา่ ภาวะผู้น า เป็ นรูปแบบหนึ่งของพฤติกรรม ของบุคคลซึ่งมีอิทธิพลเหนือผู้อื่น Bennis (1989, p. 56) กล่าวว่า ภาวะผู้น า เหมือนกับความงาม คือ ยากแก่การ บรรยายหรือให้ค าอธิบาย แต่เราจะรับรู้ไดเ้มื่อเราไดพ้บเห็นและไดส้ ัมผสั Jacobs, and Jaques (1990, p. 78) กล่าวว่า ภาวะผู้น า หมายถึง กระบวนการที่ ผนู้า กา หนดเป้าหมายที่มีความหมายต่อการช้ีทิศทางอยา่งชดัเจนที่ทา ใหเ้กิดความพยามยามของกลุ่ม โดยรวมและพร้อมที่จะพยายามผลกัดนั ใหเ้กิดผลสา เร็จตามจุดมุ่งหมาย Schein (1992, p. 57) ไดก้ล่าวว่า ภาวะผู้น า หมายถึงความสามารถของผู้น าที่จะ กา้วออกมานอกกรอบวฒันธรรม เพื่อที่จะเริ่มกระบวนการเปลี่ยนแปลงวิวฒันาการขององคก์ารให้ เกิดการปรับตวัไดม้ากข้ึน Hersey, and Blanchard (1993, p. 83) ได้ให้ความหมายของภาวะผู้น า ว่า หมายถึงกระบวนการสร้างอิทธิพล จูงใจคนหรือกลุ่ม เพื่อให้เกิดความพยายามร่วมกนัดา เนินการ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง Drath, and Palus (1994, p. 23) กล่าววา่ ภาวะผู้น า หมายถึงกระบวนการที่ผู้น าท า ให้ผคู้นในองคก์ารตระหนกัถึงสิ่งที่จะตอ้งกระทา ร่วมกนัเพื่อให้เกิดความเขา้ใจและความมุ่งมนั่ที่ จะทา งานใหก้บัองคก์าร Bass (1997, p. 27)กล่าววา่ภาวะผนู้า หมายถึงกระบวนการในการมีอิทธิพลต่อ กิจกรรมกลุ่มเหนือความคาดหวงั Greenberg, and Baron (2000, p. 445) กล่าวว่า ภาวะผู้น า คือ กระบวนการที่ บุคคลหน่ึงซ่ึงมกัเป็นผูน้ ามีอิทธิพลต่อผูต้ามในทางการที่ไม่ใช่การบงัคบัเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายที่ บุคคลน้นัตอ้งการ Daft (2003, p. 5)กล่าววา่ภาวะผูน้า หมายถึงความสัมพนัธ์ที่มีอิทธิพลระหว่าง ผูน้า และผูใ้ตบ้งัคบับญัชา ซ่ึงทา ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายร่วมกนั (Shared purposes) จากความหมายของค าว่าภาวะผู้น าข้างต้น สรุปได้ว่า ภาวะผู้น า หมายถึง ความสามารถของผูบ้ริหารสถานศึกษาที่จะก่อให้เกิดกิจกรรมหรือการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้บรรลุ วัตถุประสงค์ของสถานศึกษาโดยใช้การชักชวน จูงใจให้บุคคลปฏิบัติตามความคิดเห็น ตามความ ต้องการของผู้บริหารด้วยความเต็มใจและยินดีที่จะให้ความร่วมมือ ซ่ึงผนู้า ตอ้งมีอิทธิพลต่อบุคคล หรือสถานศึกษาที่ก่อให้เกิดการทา กิจกรรม หรือการเปลี่ยนแปลง เป็นผนู้า สร้างสรรคส์ ิ่งต่างๆ และ ตอ้งเป็นผสู้ร้างวฒันธรรมที่ดีใหแ้ก่สถานศึกษา


21 2. คุณลกัษณะของผู้น า ผู้น าที่ได้รับการยอมรับจากกลุ่มจะสามารถทา หน้าที่ผูน้า ไดด้ีเพียงใดน้นัข้ึนอยู่กบั คุณสมบตัิของผูน้า ว่าเหมาะสมกับกรณีเพียงใด แต่โดยทวั่ ไปแล้วเมื่อกล่าวถึงผูน้า คนทวั่ ไปจะ คิดถึงวา่ตอ้งมีคุณสมบตัิที่เหมาะสมกบัการเป็นผนู้า ที่ดีซ่ึงมีผกู้ล่าวไว้เช่น จันทรานีสงวนนาม (2545, น. 137) กล่าวถึงคุณลกัษณะของผบู้ริหารที่พึงประสงคม์ ี ดงัน้ี 1. เป็ นผู้มีบุคลิกภาพที่ดีมีคุณธรรม จริยธรรม มีเจตคติที่ดีในการบริหารและการจัด การศึกษา ประพฤติปฏิบตัิตนเป็นตวัอย่างที่ดีในการครองตน ครองคน ครองงาน และยึดมนั่ใน จรรยาบรรณวิชาชีพ 2. เป็นผูท้ี่ทา งานร่วมกบัผูอ้ื่นไดอ้ยา่งสร้างสรรค์ไดแ้ก่ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีมีภาวะ ผู้น าผู้ตามที่ดีมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มีวุฒิภาวะทางอารมณ์มีความคิดเป็ นประชาธิปไตย และ การท างานเป็ นทีม 3. เป็ นผู้มีความรู้ความเข้าใจในหลักการบริหารการศึกษา ไดแ้ก่ความรู้ทวั่ ไปในการ บริหารจัดการเกี่ยวกับการศึกษา และความรู้ความสามารถเฉพาะต าแหน่งตามภารกิจของ สถานศึกษา 4. เป็ นผู้มีวิสัยทัศน์ในการบริหารจัดการศึกษา ไดแ้ก่การวิเคราะห์สภาพปัจจุบันและ สร้างความมุ่งมนั่ในอนาคต มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และแนวทางพัฒนาการศึกษา ศกัด์ิไทย สุรกิจบวร(2545, น. 9-10) ไดก้ล่าวถึงคุณลกัษณะของผนู้า ดงัต่อไปน้ี 1. ความซื่อสัตย์เป็ นคุณลักษณะของผูน้า ที่ถูกคดัเลือกมากว่าคุณสมบตัิอื่นๆ ซึ่งจะ ปรากฏอย่างต่อเนื่องในฐานะเป็นส่วนประกอบที่ส าคญัที่สุด ในความสัมพนัธ์ระหว่างผูก้า กับ ผู้ตาม เป็นสิ่งที่ทา ให้เกิดความมนั่ใจวา่ แบบฉบับในการเป็ นผู้น าที่ดีสิ่งแรกที่ตอ้งการคือตอ้งมนั่ใจ วา่บุคคลที่จะมาเป็นผนู้า น้นั สมควรได้รับการไว้วางใจจากผู้ตาม ผตู้ามตอ้งรู้วา่บุคคลน้นัเป็นคนที่ เชื่อถือได้มีคุณธรรม จริยธรรม และมีหลกัการหรือไม่ผู้ตามต้องการความเชื่อมนั่อย่างเต็มที่ใน เรื่องความซื่อสัตย์ของผู้น า ไม่วา่จะเกี่ยวขอ้งกบัอะไรก็ตาม พฤติกรรมของผู้น าคือหลักฐานที่แสดง ถึงความซื่อสัตย์ซ่ึงผใู้ตบ้งัคบับญัชาจะคอยสังเกตพฤติกรรมผนู้า โดยไม่สนใจวา่ผนู้า จะพดูถึงความ ซื่อสัตยข์องตนเองไวอ้ย่างไร ความสอดคล้องกันระหว่างคา พูดและการกระทา คือวิธีการที่จะ ตดัสินใจว่าบุคคลน้ันเป็นคนหน้าไหวห้ลังหลอก แต่ถ้าผูน้ ากระทา ในสิ่งที่เขาพร่ าสอนคนอื่น ผูร้่วมงานก็มีความเต็มใจอย่างยิ่ง ที่จะมอบความไว้วางใจในการเป็ นผู้น าให้ความซื่อสัตย์มี ความสัมพนัธ์กบัคุณค่าและจริยธรรม ผรู้่วมงานยอมชื่นชมคนอื่นที่ยึดมนั่อยบู่นหลกัการและความ ถูกต้อง ปฏิเสธที่จะทา ตามคนที่ขาดความเชื่อมนั่ขาดการตัดสินใจเพราะจะนา ไปสู่ความขดัแยง้ได้


22 2. การเล็งเห็นการณ์ไกลเป็ นลักษณะของผู้น าที่มีประสาทสัมผัสในเรื่องทิศทางและ มีความห่วงใยในอนาคตของหน่วยงาน ความสามารถในการเล็งเห็นการณ์ไกลของผู้น ามิได้ หมายถึงการมีอ านาจวิเศษของผู้มีญาณทิพย์แต่เป็นความสามารถในการกา หนดหรือเลือกเป้าหมาย ที่ต้องการของหน่วยงานหรือองค์การ ว่าจะก้าวเดินไปถึงหรือไม่ วิสัยทัศน์เปรี ยบเสมือน ข้วัแม่เหล็กที่คอยดึงดูดความสามารถของผูอ้ื่นเพื่อส ารวจเส้นทางเดินไปสู่อนาคต ผู้ตามมีความ คาดหวงัว่าผูน้า ตอ้งมีทิศทางที่ชัดเจนในการมุ่งหน้าสู่อนาคต ซ่ึงจะได้ทราบว่าเมื่อใดที่จะไปถึง จุดหมายและสามารถเลือกเส้นทางเดินที่ถูกต้อง 3. การมีแรงดลใจ เป็นสิ่งที่ผตู้ามคาดหวงักล่าวคือผู้น าจะต้องเป็ นคนกระตือรือร้น ขะมักเขม้น มีทศันะคติที่ดีต่ออนาคต ผู้ตามคาดหวังที่จะให้ผู้น ามีแรงดลใจ ในฐานะที่เป็นแก่นสาร ของความจริงผู้น าจะต้องมีความสามารถในการสื่อสาร คือวิสัยทศัน์ที่กา หนดดว้ยการทา ให้ผตู้าม รับรู้ได้ตลอดเวลา สร้างแรงดลใจในวิสัยทศัน์ร่วม ถือวา่เป็นการปฏิบตัิร่วมกนั เมื่อผู้น าสร้างความ ฝันและความปรารถนาที่รุนแรงข้ึน ผตู้ามก็ตอ้งมีความเตม็ ใจที่จะให้ความร่วมมือในการปฏิบตัิงาน น้นัดว้ย เป็นความส าคญั ในการคน้หาจุดหมายและคุณค่าที่ยงิ่ใหญ่ในชีวิตการทา งานแบบวนัต่อวนั ในขณะที่ความกระตือรือร้น ความขะมักเขม้น และทศันคติที่ดีของผูน้า อาจจะไม่ไดเ้ปลี่ยนแปลง เน้ือหาของงาน แต่สิ่งเหล่าน้ีสามารถทา ใหง้านที่ยากง่ายข้ึน ผนู้า ตอ้งดลใจใหผ้ตู้ามเกิดความเชื่อมนั่ ให้เห็นคุณค่าของเป้าหมายน้นั ความกระตือรือร้นหรือความตื่นเต้น คือสิ่งจา เป็นและแสดงให้เห็น ความผกูพนัส่วนตวัของผนู้า ต่อการดา เนินงาน ถา้ผนู้า แสดงตวัไม่ยินดียนิร้ายต่อเป้าหมายแลว้ยอ่ม ยากที่จะท าให้ผู้ตามเชื่อถือได้ 4. ความสามารถ ผูน้า ที่จะได้รับความร่วมมือจากผูใ้ตบ้งัคบับญัชาน้ัน ตัวผู้น าเอง จะตอ้งเป็นบุคคลที่มีความสามารถที่จะนา องคก์ารไปสู่จุดหมายที่กา ลงัจะเดินไป ผู้น าต้องเป็ นผู้ที่มี ประสิทธิภาพ ถ้าผู้ตามไม่แน่ใจความสามารถของผตู้ามแลว้อาจจะไม่ให้ความร่วมมือในการมุ่งสู่ เป้ าหมาย น้ันก็หมายความว่าผูน้ าไม่สามารถมอบความเชื่อถือแก่ใครได้โดยปราศจากข้อมูล ความส าเร็จความสามารถในการเป็นผูน้า ไม่จา เป็นตอ้งหมายถึงความสามารถทางเทคโนโลยีแต่ ประเภทของความสามารถจะดูได้จากความแปรผนั ไปตามตา แหน่งของผูน้ าและเงื่อนไขของ องค์การ สมพงศ์เกษมสิน (2546, น. 296 -298) ไดก้ล่าวถึงคุณลักษณะผู้น าที่มีประสิทธิภาพ โดยจ าแนกเป็ น 4 ด้าน ดงัน้ี 1. ด้านพ้ืนฐานและประสบการณ์ผู้น าที่ดีต้องมีคุณสมบัติในด้านการตัดสิ นใจ วนิิจฉยัสั่งการการวางแผน เพื่อจะได้พิจารณาในการเลือกวิธีการที่ถูกต้องเพราะการตัดสินใจ เป็ น พฤติกรรมที่ตอ้งมีการวิเคราะห์ทางเลือกในการปฏิบตัินอกจากน้ีผูน้า ยงัตอ้งเป็นผูม้ีประสบการณ์


23 ท้งัทางด้านเทคนิค และการบริหาร ท้ังน้ีเนื่องจากการขยายงานขององค์การในปัจจุบนัมีปัจจยั ภายนอกที่มีผลต่อองคก์ารเพิ่มมากข้ึน 2. ด้านสติปัญญาและคุณภาพสมอง ความสามารถทางสติปัญญา และคุณภาพสมอง เป็นสิ่งจา เป็น และมีความส าคญัส าหรับผนู้า ต่อหน้าที่ผูบ้ริหาร ไดแ้ก่ความสามารถทางดา้นภาษา ความสามารถด้านเหตุผล ความสามารถในการจดจ าความสามารถด้านความรอบรู้ทั่วไป ความสามารถในการวินิจฉัยความสามารถในการยดืหยนุ่ ได้ 3. คุณลกัษณะทางร่างกายผบู้ริหารจะตอ้งมีรูปร่างบริบูรณ์เพราะผมู้ีร่างกายสมบูรณ์ จะมีสุขภาพจิตดีผู้บริหารที่สุขภาพดีจะเป็ นคุณลักษณะที่ดึงดูดใจบุคคลอื่นที่ได้ให้การยอมรับนับ ถือวา่เป็นผเู้ขม็แขง็อดทน จะสามารถฟันฝ่าและนา หมู่คณะได้ 4. ด้านบุคลิกภาพและความสนใจ องค์ประกอบด้านน้ีของผูน้า จะเป็นแรงจูงใจให้ ผอู้ื่นให้ความร่วมมือและยอมรับนบัถือปัจจยัส าคญัของบุคลิกภาพของนกับริหารคือความเชื่อมนั่ ในตนเองความเป็ นผู้บรรลุวุฒิภาวะทางอารมณ์และความรับผิดชอบ สุรศกัด์ิปาเฮ(2548, น. 72-73) กล่าววา่ผบู้ริหารหรือผนู้า ควรมีคุณลกัษณะพ้ืนฐานที่ ส าคัญ ดงัน้ี 1. มองกวา้งไกลอย่างต่อเนื่องและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง ต้องเป็ นผู้มีวิสัยทัศน์ สามารถที่จะก าหนดกลยุทธ์ในการบริหารได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ ที่ เปลี่ยนแปลงไป 2. สามารถที่จะวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อกา หนดแผนกลยทุธ์และแผนปฏิบตัิงานให้ บรรลุเป้าหมายและนโยบายไดอ้ยา่งเหมาะสม 3. ไวต่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกิดข้ึน ท้ังในสังคมภายนอกและภายใน องคก์ารรวมท้งัรู้จกัวเิคราะห์ความน่าเชื่อถือของขอ้มูลข่าวสารที่ไดร้ับมาอีกดว้ย 4. ความสามารถในการจัดระบบการสื่อสารให้ได้ผล เพื่อเชื่อมโยงขอ้มูลข่าวสาร ต่างๆ ได้ทวั่ถึงทุกระดบัขององค์การผูน้า ตอ้งมีความรู้ความเขา้ใจเกี่ยวกบัเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เป็นอยา่งดี 5. ความสามารถในการบริหารทรัพยากรบุคคล ต้องสามารถวางแผนบุคลากร สรร หาคัดเลือกกา หนดระบบการ งบประมาณ ความกา้วหนา้ในอาชีพ การพัฒนาทรัพยากรบุคคลและ การวิเคราะห์ปัจจยัเกี่ยวกบับุคลากรในหน่วยงาน เพื่อให้ทราบแนวคิด ทศันคติต่าง ๆ ที่อาจเกิดข้ึน และน ามาเป็ นข้อมูลในการบริหารทรัพยากรบุคคล


24 6. มีคุณธรรมและจริยธรรมในการบริหาร สามารถที่จะเป็นแบบอย่างที่ดีในการ ประพฤติปฏิบตัิเพื่อให้ผูใ้ตบ้งัคบับญัชาใช้เป็นแบบอย่าง ไม่ใช้ตา แหน่งหน้าที่การงานแสวงหา ผลประโยชน์ใหต้นเองไม่วา่จะทางตรงหรือทางออ้ม นพพงษ์บุญจิตราดุลย์(2548, น. 96) ไดก้ล่าวถึงคุณลกัษณะของผนู้า วา่ ประกอบดว้ย คุณลักษณะ6 ประการคือ 1. ผู้น าจะต้องเป็ นผู้มีความสามารถ ซึ่ งประกอบด้วย ความมีปัญญา ไหวพริบ การ ตื่นตวัอยู่เสมอ ทนัต่อเหตุการณ์การใช้เวลาและภาษาที่ถูก ความเป็นผูร้ิเริ่มเป็นของตนเอง และ ความเป็ นผู้มีการตัดสินปัญหาที่ดี 2. ผู้น าจะต้องเป็ นผู้มีความส าเร็จ ความส าเร็จทางด้านวิชาการ แสวงหาความรู้ ความสา เร็จทางการเล่นกีฬา 3. ผู้น าจะต้องเป็ นผู้มีความรับผิดชอบ เขาจะต้องเป็ นคนที่คนอื่นจะพึ่งพาได้มี ความคิดริเริ่ม มีความสม่า เสมอมนั่คงอดทน กลา้พูดกลา้ทา มีความเชื่อมนั่ในตนเอง และมีความ ปรารถนาที่จะเป็ นเลิศหรือทะเยอทะยาน 4. ผนู้า จะตอ้งเป็นผเู้ขา้ไปมีส่วนร่วม ในดา้นกิจกรรม ในด้านสังคม ให้ความร่วมมือ รู้จักปรับตัวและมีอารมณ์ขัน 5. ผู้น าต้องเป็ นผู้มีฐานะทางสังคม มีตา แหน่งฐานะทางสังคมเป็นที่รู้จกัทวั่ ไป 6. รู้สภาพการณ์รู้สภาวะทางจิตใจของคนระดบัต่างๆ รู้ฐานะทักษะ ความต้องการ และความสนใจของผู้ใต้บังคับบัญชา รู้ในวัตถุประสงค์ขององค์การที่จะต้องท าให้ส าเร็จ มีผูก้ล่าว วา่ ผู้น าที่ดีจะต้องรู้จักการเป็ นผู้ตามที่ดีด้วย สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์(2548, น. 66) ไดศ้ึกษารวบรวมงานวิจยัเกี่ยวกบัคุณลกัษณะของ ผนู้า โดยแบ่งตามคุณลกัษณะ6 ด้าน ดงัน้ี 1. ลักษณะทางกาย ไดแ้ก่เป็นผทู้ี่มีสุขภาพร่างกายที่แขง็แรงสมบูรณ์ 2. ภูมิหลังทางด้านสังคม ไดแ้ก่มีการศึกษาดีมีสถานะทางสังคมดี 3. สติปัญญา ได้แก่ มีสติปัญญาสูง มีการตัดสินใจดีมีทักษะในการสื่อความหมาย และการพูด 4. บุคลิกภาพ ได้แก่มีความตื่นตัวอยู่เสมอ ควบคุมอารมณ์ได้ดีมีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์มีจริยธรรม และมีความเชื่อมนั่ในตนเอง 5. ลักษณะที่เกี่ยวข้องกับงาน ได้แก่มีความปรารถนาที่จะท าให้ดีที่สุด มีความ รับผิดชอบ ไม่ทอ้แทต้่ออุปสรรคและมุ่งงาน


25 6. ลักษณะทางสังคม ไดแ้ก่ปรารถนาที่จะร่วมมือกบั คนอื่นๆ มีเกียรติเป็ นที่ยอมรับ ของบุคคลอื่น เขา้สังคมเก่งและเฉลียวฉลาด พรนพ พุกกะพันธุ์(2549, น. 18) กล่าวว่าคุณลักษณะของผู้น าที่ท าให้องค์การ ประสบผลส าเร็จ มีดงัต่อไปน้ี 1. จะต้องมีความฉลาด (Intelligence) ผู้น าจะต้องมีระดับความรู้และสติปัญญา โดย เฉลี่ยสูงกวาบุคคลที่เขาเป็ นผู้น า ถึงแมจ้ะไม่แตกต่างกนัมากเพราะผูน้า จะตอ้งมีความสามารถใน การท าให้บุคคลอื่นยอมรับฟังความคิด ผู้น าจะต้องเป็ นผู้กระตุ้นสมาชิกที่เป็ นผู้ตามเขาและจะต้อง เขา้ใจความรู้สึกและพฤติกรรมของคนอื่นที่ติดต่อกบัเขา ดงัน้ันบุคคลที่ฉลาดเท่าน้นัที่จะสามารถ จดัการกบั ปัญหาต่างๆ หรือเรื่องราวต่างๆ ที่กล่าวมาได้ 2. จะต้องมีวุฒิภาวะทางสังคมและใจกว้าง (Social maturity and breadth) คือต้องมี ความสนใจสิ่งต่างๆ รอบๆ ตวัอยา่งกวา้งขวาง มีวุฒิภาวะทางอารมณ์จะตอ้งยอมรับสภาพต่างๆ ไม่ วา่แพห้รือชนะไม่วา่ผิดหวงัหรือส าเร็จผนู้า จะตอ้งมีความอดทนต่อความคบัขอ้งใจต่างๆ พยายาม ขจดัความรู้สึกต่อตา้นสังคมหรือต่อตา้นคนอื่นใหเ้หลือนอ้ยที่สุด เป็ นคนมีเหตุผลเป็นคนเชื่อมนั่ใน ตนเองและนับถือตนเอง 3. จะต้องมีแรงจูงใจภายใน (Inner motivation and achievement drive) ผู้น าจะต้องมี แรงจูงใจภายในสูงและจะตอ้งมีแรงขบัที่จะทา อะไรให้ดีเด่น ให้ส าเร็จอยู่เรื่อยๆ เมื่อทา สิ่งหน่ึง ส าเร็จก็จะทา สิ่งอื่นต่อไป เมื่อทา สิ่งหน่ึงสิ่งใดส าเร็จก็จะกลายเป็นแรงจูงใจทา้ทา้ยให้ทา สิ่งอื่นให้ สา เร็จต่อไป ผนู้า จะตอ้งทา งานหนกัเพื่อความพึงพอใจของตนเองมากกวา่สิ่งตอบแทนจากภายนอก ผู้น าจะต้องมีความรับผิดชอบสูง เพราะความรับผิดชอบจะเป็ นบันไดที่ท าให้เขามีโอกาสประสบ ความส าเร็จ 4. จะตอ้งมีเจตคติเกี่ยวกบัมนุษยสัมพนัธ์(Human relation attitudes) ผู้น าที่ประสบ ความส าเร็จน้ันเขายอมรับอยู่เสมอว่างานที่ส าเร็จน้ันมีคนอื่นช่วยทา ไม่ใช่เขาทา เอง ดังน้ันเขา จะตอ้งพฒันาความเขา้ใจและทกัษะทางดา้นสังคมที่จะทา งานร่วมกบัผอู้ื่นและจะตอ้งระลึกอยเู่สมอ ว่าความส าเร็จในการเป็นผูน้ าน้ัน ข้ึนอยู่กับความร่วมมือกบัผูอ้ื่นและการติดต่อกบับุคคลอื่นใน ฐานะที่เขาเป็นบุคคลไม่ใช่ในฐานะที่เขาเป็นส่วนหน่ึงของการทา งานเท่าน้ัน ผู้น าจะต้องยอมรับ ศกัด์ิศรีความเป็นมนุษยข์องคนอื่นและมีความสนใจร่วมกบัคนอื่น ปรารถนา ตันติกุลไพบูลย์ (2555, น. 15) กล่าวว่าคุณลกษณะของผู้น าทุกระดับ ัทาง พระพุทธศาสนาจ าแนกไว้7 ประการไดแ้ก่ 1. รู้จักหลักการกฎกติกามารยาท ตลอดจนศาสตร์ที่เกี่ยวขอ้งกบัการนา คนของตน ไปสู่จุดหมาย เช่น หลักในการใช้ค าที่ท าให้คนของตนเข้าใจ ตลอดจนหลักในการปกครองให้คน


26 สบายใจไม่เกิดความรู้สึกถูกกดดนัหรือข่มเหง และสามารถอยู่ร่วมกนั ไดด้ว้ยความเกรงใจ เคารพ สิทธ์ิของกนัและกนั 2. รู้จกัต้งัเป้าหมายคือเห็นว่าการนา ขบวนมวลชนให้กา้วเดินไปขา้งหน้าน้นัหาก ปราศจากเป้าหมายก็จะเดินอยา่งไร้ทิศทาง หากปราศจากทิศทางก็จะเดินอยา่งคนหลงวนเวียนไปมา หากฉลาดพอก็จะรู้วา่กลุ่มของตนขาดอะไรควรเดินไปทางไหน เอาสิ่งที่ขาดน้นัมาก็ควรถูกยกยอ่ง ใหม้ีศกัด์ิศรีตลอดจนน่าไวใ้จพอจะเดินอยตู่รงหวัขบวนได้ 3. รู้จักตน คือ ตนเองเป็นอย่างไร มีข้อดีข้อเสียตรงไหนบ้างท้ังจากการทบทวน ด้วยตนเองและจากการยอมรับฟังคนอื่น 4. รู้จักประมาณ คือ ทราบว่าต่า อยู่ตรงไหน สูงอยู่ตรงไหน จึงทราบว่าต่า เกินไป อยา่งไร สูงเกินขีดเป็นอยา่งไรและพอดีสมตัว สมฐานะ สมกบับุคคลควรอยทู่ ี่ใด 5. รู้จักกาล คือ ทราบว่าอะไรเหมาะกับเวลาและสถานที่หรือเหมาะกับเวลาและ สถานการณ์ผูน้า ที่ตดัสินใจถูกบ่อยจา เป็นตอ้งมีสัมผสัที่ไวต่อกาลเทศะ เพราะแค่มีความสามารถ อนัสา คญัน้ีก็ชนะคนส่วนใหญ่ที่ไม่เขา้ใจเรื่องกาลเทศะแลว้ 6. รู้จักชุมชน คือ รู้จักธรรมชาตินิสัย และธรรมเนียมนิยมของหมู่ชน ท้งัเฉพาะถิ่น และในระดับกวา้งกว่าน้ัน ถ้านึกว่าคนทุกประเทศรสนิยมเดียวกนัหมด ก็เป็นตวัอย่างของการ ไม่รู้จกัชุมชน 7. รู้จักบุคคล คือ บอกถูกวา่เขาเป็นอย่างไร มีข้อดีข้อเสียตรงไหน ตลอดจนอะไรที่ คนอื่นมีแลว้ตนไม่มีการเปรียบเทียบที่ดีทา ใหรู้้จกัตนเองและคนอื่นวา่จะเอาส่วนที่มีของกนัและกนั มาเติมส่วนที่ขาดของอีกฝ่ายไดอ้ยา่งไร จึงกลายเป็นการร่วมงานที่สมบูรณ์ Kouzes, and Posner (1997, p. 21) ได้กล่าวถึงคุณลกัษณะที่จา เป็นส าหรับผูบ้ริหาร หรือผู้น าควรประกอบด้วยลักษณะ ดงัต่อไปน้ี 1. มีความซื่อสัตย์(Honest) 2. มองการณ์ไกล(Forward looking) 3. มีความสามารถในการดลใจ (Inspiring) 4. มีศักยภาพในการท างาน (Competent) 5. มีจิตใจเป็ นธรรม (Fair-minded) 6. ให้การสนับสนุน (Supportive) 7. ใจกว้าง (Board-mind) 8. มีความเฉลียวฉลาด (Intelligent) 9. มีความกล้าหาญ (Courageous)


27 10. เป็ นที่พึ่งได้(Dependent) 11. มีความตรงไปตรงมา (Straightforward) 12. ทา งานร่วมกบัคนอื่นได้(Cooperative) 13. มีจินตนาการ (Imagination) 14. เอาใจใส่บุคคลอื่น (Caring) 15. มีความสามารถในการตัดสินใจ (Determined) 16. มีความทะเยอทะยาน (Ambitious) 17. มีความจงรักภักดี(Loyalty) 18. มีวุฒิภาวะ (Mature) 19. ควบคุมตนเองได้(Self-control) 20. อิสระเป็ นตัวของตัวเอง (Independent) สรุปได้ว่า คุณลักษณะของผู้น า ประกอบด้วย เป็ นผู้มีบุคลิกภาพที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม มีความซื่อสัตย์มนุษยสัมพนัธ์ที่ดีมีภาวะผนู้า ผตู้ามที่ดีมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มีวุฒิ ภาวะทางอารมณ์ มีความคิดเป็ นประชาธิปไตย มีการท างานเป็ นทีม เป็ นผู้มีความรู้ความเข้าใจใน หลักการบริหารการศึกษา เป็ นผู้มีวิสัยทัศน์ในการบริหารจัดการศึกษา มีการสร้างแรงบันดาลใจ มี สุขภาพจิตดี มีความสามารถในการจัดระบบการสื่อสารให้ได้ผล มีความสามารถในการบริหาร ทรัพยากรบุคคล มีแรงจูงใจภายใน รู้จกัต้งัเป้าหมาย มีวสิัยทศัน์กวา้งไกล พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ในทุกสถานการณ์ 3. บทบาทหน้าทขี่องผู้น า ผู้น าเป็นบุคคลที่มีความส าคัญต่อความส าเร็จของกลุ่มเป็นอย่างมาก ผู้น าที่มี คุณสมบัติที่ดีและปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ได้เหมาะสม ก็ยอ่มจะสามารถพากลุ่มให้บรรลุเป้ าหมาย ไดอ้ย่างมีประสิทธิภาพ ในเรื่องบทบาทหน้าที่ของผูน้า ในการทา งานเป็นกลุ่มน้นั ได้มีผู้เสนอไว้ แตกต่างกนัไปบา้งแต่ส่วนใหญ่จะคลา้ยคลึงกนั ในสาระสา คญัดงัน้ี Krech, Crutchfield, & Ballachey (อ้างถึงใน วิเชียร วิทยอุดม, 2549, น.32) ได้กล่าวถึงบทบาท หนา้ที่ของผนู้า ในการทา งานเป็นกลุ่มไวก้วา้งๆ เป็ น 2 ลักษณะคือ 1. หน้าที่หลักไดแ้ก่ หน้าที่ทางด้านการบริหารงาน วางแผนงาน วางนโยบาย เป็ น ผเู้ชี่ยวชาญเป็นตวัแทนของกลุ่มต่อบุคคลภายนอกเป็ นผู้ให้รางวัลและลงโทษ เป็ นผู้ประนีประนอม ตัดสิน และเป็นผคู้วบคุมความสัมพนัธ์ภายในกลุ่ม 2. หน้าที่รอง ได้แก่หน้าที่ทางด้านการเป็นตัวอย่างที่ดีแก่กลุ่ม เป็ นตัวแทน รับผิดชอบ และเป็นสัญลกัษณ์ของกลุ่ม เป็ นนักอุดมคติเป็นบิดาของกลุ่ม เป็ นผู้ให้ค าปรึกษา และ


28 เป็ นแพะรับบาปเมื่อมีการด าเนินงานผิดพลาด บทบาทหน้าที่ของผูน้า ในการทา งานเป็นกลุ่ม โดย จ าแนกออกเป็ น 2 ประเภทหลักๆ คือ 2.1 บทบาทเกี่ยวกบัการทา งาน (Task function) ไดแ้ก่บทบาทของผู้น าในการที่ จะนา กลุ่มใหส้ามารถทา งานตามที่กลุ่มตอ้งการ ให้เป็ นผลส าเร็จตามเป้ าหมายได้มีรายละเอียด ดงัน้ี 2.1.1 ทา ความเขา้ใจในจุดมุ่งหมายของการทา งานและช่วยให้ผรู้่วมงานไดม้ี ความเขา้ใจในจุดมุ่งหมายของการทา งานตรงกนั 2.1.2 วางแผนงานและข้นัตอนในการทา งานร่วมกบัผรู้่วมงาน 2.1.3 แบ่งงานและมอบหมายงานใหผ้รู้่วมงานอยา่งเหมาะสม 2.1.4 ริเริ่มความคิดใหม่ๆ ให้กับกลุ่ม หรือกระตุ้นกลุ่มให้ริเริ่มความคิด ใหม่ๆ 2.1.5 ให้ข้อมูลความคิดเห็นหรื อแสวงหาข้อมูลความคิดเห็นที่จะเป็ น ประโยชน์ต่อการทา งาน 2.1.6 ช่วยให้กลุ่มมีความเขา้ใจตรงกนั ในขอ้มูลหรือประเด็นต่างๆ ที่จ าเป็ น ต่อการบรรลุผลสา เร็จของงาน 2.1.7 ช่วยประสานความคิด ขอ้มูลของผูร้่วมงานให้เกิดประโยชน์ต่อการ บรรลุเป้ าหมายของงาน 2.1.8 ช่วยขจดัปัญหาต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการทา งานใหบ้รรลุเป้าหมาย 2.1.9 ติดตามงาน ประเมินผลงาน สรุ ปผลงานเป็ นระยะๆ และแจ้งให้ ผรู้่วมงานทราบ 2.1.10 ควบคุมมาตรฐานของผลงานของกลุ่ม 2.1.11 ประเมินผลงานเมื่องานส าเร็จ และปรับปรุงงานเมื่อยงัไดง้านไม่เป็น ที่พอใจของกลุ่ม 2.2 บทบาทเกี่ยวกับการรวมกลุ่ม (Maintenance function) ได้แก่บทบาทของ ผูน้ าในการช่วยให้กลุ่มมีกา ลงัใจ มีความพึงพอใจที่จะทา งานร่วมกนัเป็นอนัหน่ึงอนัเดียวกนัจน สามารถทา งานไดส้า เร็จไม่แตกแยกกนัไปเสียก่อน มีรายละเอียด คือ 2.2.1 จดัระเบียบและควบคุมระเบียบของกลุ่ม เพื่อช่วยให้ทุกคนไดม้ีโอกาส ทดัเทียมกนั ในการแสดงความคิดเห็นหรือการทา งาน ช่วยใหก้ารดา เนินงานเป็นไปโดยเรียบร้อยไม่ ชุลมุนวนุ่วายทา ใหก้ลุ่มสามารถดา เนินการไปไดอ้ยา่งราบรื่น ไม่แตกแยกกนัเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มนอ้ย 2.2.2 ดูแลเอาใจใส่สมาชิกกลุ่ม ให้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น หรือแสดง ความสามารถอยา่งทวั่ถึงเพื่อช่วยให้ทุกคนรู้สึกว่าตนเองเป็นคนที่มีคุณค่า มีประโยชน์ต่อกลุ่มเกิด


29 ความรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหน่ึงของกลุ่ม มีความรักและความพอใจที่จะช่วยเหลือกลุ่มอย่างเต็ม ความสามารถ 2.2.3 รับฟังและพิจารณาความคิดเห็นของสมาชิกกลุ่มอยา่งทวั่ถึงการที่ผู้น า รับฟังความคิดเห็นของสมาชิกทุกคนและน ามาพิจารณา ไม่ละทิ้งไปเฉยๆ จะท าให้ผู้ที่เสนอ ความคิดเกิดความพอใจและมีความตอ้งการที่จะช่วยเหลือกลุ่มใหม้ากข้ึน 2.2.4 ช่วยทา ความกระจ่างให้แก่กลุ่มในเรื่องของการสื่อความหมายในการ ทา งานทุกคร้ังกลุ่มมกัจะประสบปัญหาอนัเนื่องมาจากความเขา้ใจไม่ตรงกนั ซึ่งเป็ นปัญหาของการ สื่อความหมายความเข้าใจที่ไม่ตรงกนัน้ีอาจเป็นสาเหตุทา ใหเ้กิดความขดัแยง้เกิดความรู้สึกขุ่นขอ้ง หมองใจอนัอาจลุกลามใหญ่โตเกิดความแตกแยกในกลุ่มงานได้ 2.2.5 สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นมิตรให้เกิดข้ึนในกลุ่ม บรรยากาศที่ดี เป็นมิตรเป็นกนัเอง ไม่ตอ้งกลวัว่าจะถูกตดัสินและมองไปในทางที่ไม่ดีจะช่วยสร้างความรู้สึก ปลอดภยัสามารถที่จะเสนอความคิดเห็นหรือทา งานต่างๆ ไดอ้ยา่งเต็มที่และมีความรู้สึกว่าตนเอง ไดร้ับความรักจากกลุ่ม ทา ใหเ้กิดความตอ้งการที่จะช่วยเหลือกลุ่มใหไ้ดม้ากที่สุดเท่าที่จะทา ได้ 2.2.6 ขจดัหรือลดความขดัแยง้ต่างๆ ที่เกิดข้ึนในกลุ่ม เพราะความขัดแย้ง เป็นสาเหตุส าคญัที่ทา ให้กลุ่มแตกแยก หากผนู้า ไม่สามารถที่จะช่วยในเรื่องน้ีได้พลังจากความเป็ น อนัหน่ึงอนัเดียวกนัของกลุ่มจะถูกบนั่ทอนให้ลดนอ้ยลง ประสิทธิภาพในการทา งานของกลุ่มก็จะ ลดลง หรือบางคร้ังอาจทา ใหไ้ม่สามารถรวมกลุ่มกนัทา งานต่อไปจนบรรลุผลส าเร็จได้ ภารดีอนันต์นาวี(2551, น. 77) กล่าวว่า ภาวะผู้น าของการบริหารเป็ นปัจจัยที่ส าคัญ ประการหน่ึงที่มีส่วนช่วยกา หนดความอยรู่อดและความเจริญเติบโตขององคก์ารโดยทวั่ๆ ไปผู้น ามี บทบาทสาคัญ ดงัต่อไปน้ี 1. เป็นส่วนที่ดึงดูดความสามารถต่างๆ ในตัวผู้บริหารออกมาใช้กล่าวขยายความก็ คือแมผู้บ้ริหารมีความรู้และประสบการณ์ต่างๆ ในเรื่องงานมากมายเพียงใด หากแต่ขาดภาวะผูน้า แล้วความรู้ความสามารถดงักล่าว มกัจะไม่ไดถู้กนา ออกมาใช้หรือไม่มีโอกาสใชอ้ยา่งเตม็ที่เพราะ ไม่สามารถกระตุน้หรือชกัจูงใหผ้อู้ื่นคลอ้ยตามและปฏิบัติงานให้บรรลุเป้ าหมายที่วางไว้ 2. ช่วยประสานความขดัแยง้ต่างๆ ในหน่วยงาน หน่วยงานประกอบด้วยบุคคล จา นวนหน่ึงมารวมกัน บุคคลต่างๆ เหล่าน้ีมีความแตกต่างกันในหลายๆ เรื่อง เช่น การศึกษา ประสบการณ์ความเชื่อ ฯลฯ การที่บุคคลที่มีขอ้แตกต่างกนัมาอยู่รวมกนัมกัหลีกเลี่ยงไม่พน้เรื่อง ความขัดแย้งถา้ผบู้ริหารมีภาวะผนู้า มีคนยอมรับนบัถือแลว้ก็มกัจะประสานหรือช่วยบรรเทาความ ขดัแยง้ระหว่างบุคคลในหน่วยงานได้กล่าวโดยสรุปก็คือภาวะผูน้า ช่วยผูกมดัเชื่อมโยงให้สมาชิก ของหน่วยงานมีเอกภาพนนั่เอง


30 3. ช่วยโน้มน้าวชักจูงใจให้บุคลากรทุ่มเทความรู้ความสามารถให้แก่องค์การ องคก์ารจะตอ้งมีปัจจยัเอ้ืออา นวยหลายอยา่งที่จะทา ให้สมาชิกต้งัใจและทุ่มเททา งานให้เช่น บุคคล ได้ท างานตรงความถนัดและความสามารถ ผู้บังคับบัญชาต้องรับฟังความคิดเห็น การประเมินผล การปฏิบัติงานต้องมีความยุติธรรม 4. เป็ นหลักยดึใหแ้ก่บุคลากรเมื่อหน่วยงานเผชิญสภาวะคบัขนั ที่อาจกระทบถึงความ อยู่รอด ภาวะผูน้ าของผูบ้ริหารจะยิ่งทวีความส าคญัมากยิ่งข้ึน เพราะในสภาพเช่นน้ันผูบ้ริหาร จะตอ้งเพิ่มความระมดัระวงัความรอบคอบ ความเข้มแข็งและกล้าตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพ ต่างๆ ภายในหน่วยงานที่ขาดประสิทธิภาพ เพื่อใหห้น่วยงานรอดพน้จากสภาวะดงักล่าว สรุปไดว้า่บทบาทหนา้ที่ของผนู้า ในการทา งาน ไดแ้ก่หน้าที่ทางด้านการบริหารงาน วางแผนงาน วางนโยบาย เป็นผูเ้ชี่ยวชาญเป็นตวัแทนของกลุ่มต่อบุคคลภายนอกเป็ นผู้ให้รางวัล และลงโทษ เป็ นผู้ประนีประนอม ตัดสิ น และเป็นผูค้วบคุมความสัมพันธ์ภายในกลุ่ม หน้าที่ ทางด้านการเป็นตวัอย่างที่ดีแก่กลุ่ม เป็ นตัวแทนรับผิดชอบ และเป็นสัญลกัษณ์ของกลุ่ม เป็ นนัก อุดมคติเป็นบิดาของกลุ่ม เป็ นผู้ให้ค าปรึกษา เป็นส่วนที่ดึงดูดความสามารถต่างๆ ในตัวผู้บริหาร ออกมาใช้ช่วยประสานความขดัแยง้ต่างๆ ในหน่วยงาน ช่วยโน้มน้าวชักจูงใจให้บุคลากรทุ่มเท ความรู้ความสามารถให้แก่องค์การ และเป็นหลักยึดให้แก่บุคลากรเมื่อหน่วยงานเผชิญสภาวะ คับขัน 4. การพฒันาภาวะผู้น า การพัฒนาภาวะผู้น า ถือเป็ นมิติหนึ่งที่ส าคัญในการพัฒนาศักยภาพขององค์การให้ ประสบความส าเร็จในระยะยาวอย่างยงั่ยืน ในองค์การจึงจ าเป็ นต้องสร้างและพัฒนาผู้น าให้มี ศักยภาพมีความสามารถในการเป็ นผู้น าการเปลี่ยนแปลง เพื่อโน้มน้าวให้บุคลากรในองค์การ สามารถทา งานร่วมกนัไดอ้ยา่งมีประสิทธิภาพ ผุสดีกฎอินทร์(2545, น. 41) ไดก้ล่าววา่ ในการพัฒนาการเป็ นผู้น าของผู้บริหารควร จะค านึงถึงหลักเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพบริหารการศึกษาของคุรุสภา ดงัน้ี 1. ปฏิบตัิกิจกรรมทางวชิาการเกี่ยวกบัการพฒันาวชิาชีพการบริหารการศึกษา 2. ตัดสินใจปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ โดยค านึงถึงผลที่จะเกิดข้ึนกับการพัฒนาของ บุคลากรผู้เรียนและชุมชน 3. มุ่งมนั่พฒันาผรู้่วมงานใหส้ามารถปฏิบตัิงานไดเ้ตม็ศกัยภาพ 4. พฒันาแผนงานขององคก์ารใหส้ามารถปฏิบตัิไดเ้กิดผลจริง 5. พฒันาและใชน้วตักรรมการบริหารจนเกิดผลงานที่มีคุณภาพสูงข้ึนเป็นลา ดบั 6. ปฏิบัติงานขององค์การโดยเน้นผลถาวร


31 7. รายงานผลการพฒันาคุณภาพการศึกษาไดอ้ยา่งเป็นระบบ 8. ปฏิบตัิตนเป็นแบบอยา่งที่ดี 9. ร่วมมือกบัชุมชนและหน่วยงานอื่นอยา่งสร้างสรรค์ 10. แสวงหาและใชข้อ้มูลข่าวสารในการพฒันา 11. เป็ นผู้น าและสร้างผู้น า 12. สร้างโอกาสในการพัฒนาได้ทุกสถานการณ์ นิพนธ์กินาวงศ์(2547, น. 74) ไดก้ล่าวไวว้่าการเป็นผูน้า ไม่ใช่เป็นมาต้งัแต่กา เนิด แต่เป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้กันได้ดังน้ันผู้บริหารที่ต้องการประสบความส าเร็จเป็นผู้น าที่มี สมรรถภาพยอ่มฝึกฝนและพฒันาภาวะผนู้า ใหบ้งัเกิดข้ึน จรวยพร ธรณินทร์(2550, น.13-14) กล่าวว่าการพัฒนาผู้บริหารหรือผู้น า ต้องใช้ เทคนิคและกระบวนการหลายวิธีและต่อไปน้ีคือแนวคิดหลักในการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ขอ้สา คญัคือไม่มีสูตรสา เร็จสา หรับทุกคน แต่ผบู้ริหารหรือผนู้า ตอ้งแสวงหาวธิีที่เหมาะสมกบัตนเอง 1. ต้องเข้าใจความหมายของความส าเร็จ ความส าเร็จคือการบรรลุเป้ าหมายในชีวิต ตามภูมิหลังและความสามารถที่น่าจะบรรลุไดค้วามส าเร็จไม่ไดห้มายความวา่จะลม้เหลวไม่ไดแ้ต่ หมายถึงวา่ท่านจะยอมรับความลม้เหลวไม่ไดต้่างหากแต่ถา้ลม้ลงก็ตอ้งลุกข้ึนได้สู้ไม่ถอยและปรับ กลยทุธ์ใหม่ 2. ต้องฝึ กฝนเพื่อความส าเร็จ วิเคราะห์จุดดีจุดอ่อนของตนเอง วางแผนที่แน่นอน ชดัเจนในการแกไ้ข สร้างวินัยควบคุมตนเองผลักดันให้พยายามท าตารางเวลา ทุ่มเทความพยายาม ในการทา งานตามแนวใหม่แม้ต้องเหนื่อย ฝึกทา งานเพื่อให้เกิดความส าเร็จ จนมีนิสัยท างานที่ดี อ่าน ฟังประชุม เรื่องเกี่ยวกบัความสา เร็จเพื่อเป็นแรงกระตุน้ ใหใ้ฝ่ดี 3. ต้องปรับภาพพจน์ใหม่คนที่ท างานล้มเหลวจะมีภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากผู้ ประสบความส าเร็จลองเปลี่ยนภาพของท่านให้เป็นภาพของผูท้ ี่ท างานส าเร็จ อันได้แก่ ปัจจัย ความสา เร็จอยใู่นตวัคือทา งานหนกัและใชส้ติปัญญา มีแนวคิดวา่ความสา เร็จอยทู่ ี่โอกาสซ่ึงควบคุม ได้จึงเตรียมความพร้อมและสร้างโอกาสอยู่เสมอรับผิดชอบการกระท าและความผิดพลาดของ ตนเอง ทุ่มเททา งานหนกัทุ่มเทเพื่อแกป้ ัญหาให้ตนเองไดป้ระโยชน์ปรับตัวได้รวดเร็ว ท างานค้าง ให้สา เร็จแมต้อ้งนา ไปทา ต่อที่บา้น รู้สึกมีพลัง มีชีวิตชีวา เล่นกีฬาเป็นประจา และมีความสุขในการ ท างาน 4. ตอ้งปรับบุคลิกในการแสดงออกต่อหนา้ผอู้ื่น แต่งกายและใชเ้ครื่องใชส้อยที่แสดง ถึงรสนิยมที่ดีรู้จักทักษะสังคม วางตัวเหมาะสม โดยเฉพาะทักษะที่โต๊ะอาหารและห้องประชุม รู้จัก


32 แสดงภาษากายกิริยาท่าทาง ใหน้ ่าดูน่าฟังรู้จกัการแสดงตวัไดเ้หมาะสมกบับทบาทที่ไดร้ับ แต่ควร เป็ นบทพระเอก พระรองหรือผู้สนับสนุนพระเอก ไม่ควรเล่นบทผรู้้าย 5. การแสดงอ านาจของผู้มีอ านาจที่แท้จริง ต้องมีกลยุทธ์ในการชักจูงผู้อื่นให้คล้อย ตาม เช่น เชิญมาประชุม ปลุกระดมให้ตื่นตัว ตอ้งรู้วา่จะใชอ้า นาจอะไรเมื่อใด กบั ใครและอยา่งใด จึงจะไม่เป็นดาบสองคม ก่อนสั่งผูอ้ื่น ตอ้งฝึกรับคา สั่งให้เป็น ตอ้งรู้จกัการใช้อา นาจโดยเริ่มการ มอบงานง่ายๆ แล้วค่อยเสริมฐานอา นาจให้เขม้แข็งข้ึน เมื่อถูกท้าทายอ านาจ ต้องเข้มแข็ง แสดง ภาวะผนู้า ดว้ยความกลา้หาญและนุ่มนวลผู้มีอ านาจที่แท้จริง เป็นผทู้า ตวัให้มีเสน่ห์เสมอรู้จักสร้าง เครือข่ายเพื่อหาผสู้นบัสนุนอยา่งชอบธรรม ณรงค์วิทย์แสนทอง (2559, น. 1 – 2) กล่าวว่าถ้าภาวะผู้น าเปรียบเสมือนคุณภาพ ของผลไม้กระบวนการในการพัฒนาภาวะผู้น า ก็น่าจะหมายถึงการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ดีการ คัดเลือกดินที่สมบูรณ์การรดน้า พรวนดินอยา่งถูกตอ้ง รวมถึงการกา จดัแมลงที่เป็นศตัรูพืช ดงัน้นั การที่เราจะพฒันาภาวะผูน้า จึงไม่สามารถทา ไดโ้ดยตรงที่ผลของตน้ ไม้แต่จะตอ้งพฒันากระบวน ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของผลไม้มากกว่า ถ้าเราจะพัฒนาศักยภาพความเป็ นผู้น าตาม กระบวนการของผลิตผลไม้ที่มีคุณภาพแล้วควรจะปฏิบตัิตามข้นัตอนดงัต่อไปน้ี 1. การหารูปแบบตวัอยา่ง หรือสไตล์ผู้น าที่เราชอบและต้องการ ซึ่งอาจจะเป็ นบุคคล ที่ประสบความส าเร็จบุคคลที่มีชื่อเสียงในดา้นต่าง ๆ ก่อน อาจจะเป็ นลักษณะของผู้น าเพียงคนเดียว หรือเป็นส่วนผสมระหว่างผูน้า หลาย ๆ คนก็ได้เพื่อให้เราไดรู้ปแบบผูน้า ที่เราพึงปรารถนาก่อน ก่อนที่จะลงมือทา อยา่งอื่นนอกจากน้ีเราสามารถหารูปแบบของภาวะผนู้า ที่ดีไดจ้ากตา รับตา ราหรือ หนงัสือต่างๆ ไดไ้ม่ยาก 2. การเสาะหาที่เพาะบ่มรูปแบบของผูน้า ที่เรากา หนดไวแ้ลว้ เพื่อใช้สภาพแวดล้อม น้นัๆ เป็ นที่ฝังตัว ในการแตกหน่อภาวะผนู้า ในลกัษณะที่ตอ้งการ 3. การพฒันาศกัยภาพภาวะผูน้า ไม่สามารถทา ได้ภายในขา้มคืนเดียวแต่ตอ้งอาศยั เวลาในการพัฒนาฝึ กฝน ปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เราพรวนดินน้ัน นอกจากเราจะทา ให้ดินร่วนซุย เพื่อทา ให้ตน้ ไมดู้ดซึมน้า ไดง้่าย เร็วข้ึนแลว้ เราควรจะสังเกตดูด้วย วา่ดินประเภทน้นัถูกกบัตน้ ไมท้ ี่เราปลูกหรือไม่มีอะไรผิดสังเกตหรือไม่จะไดแ้กไ้ขไดท้นัท่วงที เช่นเดียวกนักบัการที่เราคิดวา่เราสามารถฝึ กภาวะผู้น าแบบที่เราต้องการได้แต่เมื่อฝึกไประยะหน่ึง แล้วอาจจะพบวา่บางสิ่งบางอยา่งอาจไม่เหมาะกบัตวัเราก็ได้อาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการฝึ ก การเรียนรู้หรือสภาพแวดลอ้มใหม่ 4. อุปสรรคสา คญั ในการพฒันาภาวะผนู้า ส่วนมากแลว้ไม่ไดอ้ยทู่ ี่ศตัรูภายนอกแต่มกั เป็นตวัหนอนที่อยู่ภายในมากกว่า นั่นก็คือการขาดความมนั่ใจในตวัเองหลายคนที่มีศกัยภาพใน


33 การเป็ นผู้น าที่ดีแต่มักขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ขาดความมั่นใจและบางคร้ังก็สนใจกับ สิ่งแวดลอ้มภายนอกมากเกินไป 5. คนที่มีภาวะผู้น าที่ดีมิไดห้มายถึงคนที่มีลกัษณะเป็นผนู้า เพียงอยา่งเดียวแต่จะตอ้ง เป็นคนที่มีการพัฒนาศักยภาพตนเองอยู่ตลอดเวลา มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ที่ เปลี่ยนแปลงไป สรุปไดว้า่ การพัฒนาภาวะผู้น า ต้องอาศัยองค์ประกอบ เทคนิคและกระบวนการผู้น า จะต้องมีความรู้และทักษะด้านการบริหาร ทักษะด้านการสื่อสาร ทักษะด้านการจัดการ ซึ่ งเป็ น ทกัษะที่ผูน้า ยุคใหม่จา เป็นจะตอ้งเรียนรู้เพิ่มเติม เพื่อเสริมสร้างภาวะผูน้า ท้งัในเรื่องของการเป็น ผู้น าการเปลี่ยนแปลงการเป็ นผู้น าที่ฉลาดคิด ฉลาดพูด และฉลาดท า และนา เทคนิคการแกป้ ัญหา และตัดสินใจมาปรับใช้กบัการทา งานในปัจจุบนัอยา่งมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล แนวคิดเกยี่วกบัรูปแบบภาวะผู้น าในศตวรรษที่21 1. แนวคิดเกี่ยวกับศตวรรษที่ 21 จากสังคมยุคอุตสาหกรรมในศตวรรษที่19 และ20 เปลี่ยนผา่นเขา้สู่สังคมยุคความรู้ ในศตวรรษที่21 ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยา่งรวดเร็วเนื่องมาจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงข้อมูล ต่าง ๆ ของทุกภูมิภาคของโลกเขา้ด้วยกนัพลงัขบัของเทคโนโลยียุคดิจิตอลส่งผลทา ให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงอยา่งรวดเร็วและเป็นความรวดเร็วที่นกัวิชาการเห็นตรงกนัวา่เพิ่งจะเริ่มตน้เท่าน้นั ใน ระยะถดัไปจะยิ่งทวีความรวดเร็วมากยิ่งข้ึนเป็นทวีคูณ ซ่ึงการเปลี่ยนแปลงดงักล่าวทา ให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงทางการศึกษาตามไปดว้ยอยา่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้สถานศึกษาจึงต้องมีความตื่นตัวและ เตรียมพร้อมในการจัดการเรียนรู้เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีทักษะส าหรับการออกไป ด ารงชีวิตในโลกในศตวรรษที่ 21 ซ่ึงส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงการจดัการเรียนรู้เพื่อเด็กใน ศตวรรษที่21 (สมหมาย อ ่าดอนกลอย, 2556, น. 1) ไพฑูรย์สินลารัตน์(2557, น. 1 และวิจารณ์ พานิช, 2555, น. 3) ได้กล่าวไวใ้นแนว เดียวกนัว่าโลกในศตวรรษที่21 ถือเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วความเปลี่ยนแปลง ดงักล่าวแตกต่างจากศตวรรษที่19 และ20 อยา่งสิ้นเชิง เศรษฐกิจอุตสาหกรรมในอดีต ได้ถูกแทนที่ ดว้ยเศรษฐกิจและบริการที่ขบัเคลื่อนดว้ยขอ้มูล ความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรม โลกในช่วงคริสตศ์ตวรรษที่21 เป็นสังคมที่อยใู่ นยุคโลกาภิวัตน์คา วา่ “โลกาภิวัตน์” (Globallization) ความหมายตามหลักพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ปีพ.ศ. 2542 หมายถึง การแพร่หลายกระจายไปทวั่ โลกอยา่งทวั่ถึงการที่ประชาคมโลกไม่วา่จะอยู่ณ จุดใด สามารถรับรู้


34 สัมพันธ์หรือรับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดข้ึนอย่างรวดเร็วกว้างขวาง เนื่องจากการพัฒนาระบบ สารสนเทศถือเป็นช่วงเวลาที่โลกถูกหล่อหลอมไวด้ว้ยกนัอยา่งใกลช้ิดโลกสมยัโลกาภิวตัน์แตกต่าง ไปจากโลกในช่วงสงครามเยน็เป็นอยา่งมากเนื่องจากช่วงของสงครามเยน็น้นัความแตกต่างในเรื่อง ของระบบการปกครองทา ให้เกิดการปิดก้นัการติดต่อระหวา่งประเทศความเขา้ใจเรื่องราวของฝ่าย ตรงขา้มกนัยงัคลุมเครือเมื่อยุคของสงครามเยน็สิ้นสุดลงและเริ่มมีการเปิดประเทศกนัมากข้ึนการ ติดต่อสื่อสารระหว่างกนัสามารถทา ไดอ้ย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือไอที(IT : Information technology) ช่วยเชื่อมโลกให้เขา้ถึงกนั ได้อย่างสะดวก สามารถเข้าถึง แหล่งขอ้มูลข่าวสารไดอ้ยา่งรวดเร็วแต่ละประเทศเริ่มเรียนรู้และเขา้ใจกบันานาประเทศมากข้ึนเกิด การยอมรับและประสานความร่วมมือซ่ึงกนัและกนัความเจริญกา้วหนา้ทา ให้โลกในคริสตศ์ตวรรษ ที่21 พฒันาอยา่งไม่หยดยังุ้แต่ขณะเดียวกนัยงัคงมีปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อโลกที่ตอ้งหาทางแกไ้ข เช่น การก่อการร้าย เหตุการณ์วินาศกรรมสงครามต่อตา้นการก่อการร้าย ปัญหาความขัดแย้ง การ ขาดแคลนทรัพยากร (สุพรรณีชะโลทร, และเกษมวัฒน์ เปรมกมล, 2553, น. 6-7) โลกในศตวรรษที่21 มีการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีเศรษฐกิจและการคา้ โลกาภิ วตัน์และเครือข่าย สิ่งแวดลอ้มและพลงังาน ความเป็ นเมืองอายแุละความเป็นอยขู่องประชากรและ การอยกู่บัตนเอง (ไพฑูรย์สินลารัตน์, 2557, น. 1; วิจารณ์พานิช, 2555, น. 3 ; Canton, 2006, p. 24) ดงัน้ี 1. โลกเทคโนโลยี(Technologicalization) ในชีวิตความเป็นอยู่ประจา วนั และชีวิต การท างานคนจะใช้และพึ่งพาเทคโนโลยีเป็ นหลัก โดยเฉพาะเทคโนโลยีข่าวสารและการคมนาคม (Information and communication technology) 2. โลกเศรษฐกิจและการคา้ (Commercialization & economy) เป็ นผลสืบเนื่องมาจาก ความเป็ นโลกเทคโนโลยีที่มีการคิดพัฒนานวัตกรรมขึน้ใช้งานในการด าเนินชีวิตประจ าวัน และ ชีวิตการท างานของทุกอาชีพมีการพัฒนาเทคนิคการเรียนรู้ทักษะการใช้งาน เกิดการสร้างกลยุทธ์ การขายเทคนิคและความชา นาญใหม่มากข้ึน 3. โลกาภิวตัน์กบัเครือข่าย (Globalization and network) สืบเนื่องจากสภาพแวดล้อม ทางเศรษฐกิจที่เน้นการขายเป็นหลัก การสื่อสาร สื่อความหมาย และการเลือกเครือข่ายวิธีการ สื่อสารต้องมีความถูกต้อง รวดเร็ว ไม่จา กดัสถานที่โลกาภิวตัน์ถูกนา มาเป็นตวัช่วยอย่างรวดเร็ว ทุกที่ทุกเวลา 4. สิ่งแวดลอมและพลังงาน ้ (Environmentalization and energy) เป็ นผลจากศตวรรษ ที่ผา่นมาโลกไดพ้ฒันาการใช้เทคโนโลยีที่นาเอาทรัพยากรมาใช้โดยไม่คา นึงถึงการสูญเสียสภาพ ความสมดุลของสภาพแวดล้อม


35 5. ความเป็ นเมือง (Urbanization) สืบเนื่องจากการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและการรู้ เท่าทันสื่อสารสนเทศ ในความเป็นโลกาภิวตัน์ทา ให้ลดช่องว่างของสังคมชนบทลงการซือ้ขาย สินค้าธุรกิจการคา้การใชเ้ทคโนโลยีเกิดขึน้เหมือนสังคมเมือง สิ่งที่เกิดขึน้ชดัเจนก็คือเศรษฐกิจ และชีวติสมยัใหม่ที่ยดึโยงอยกู่บัการคา้และบริการที่ต้งัอยบู่นวถิีชีวติสมยัใหม่ 6. คนจะอายุยืนข้ึน (Ageing & health) ความกา้วหนา้การคิดคน้ผลิตภณัฑ์ทางยาการ รักษาพยาบาล รวมถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์เฉพาะทาง พฒันาอยา่งไม่มีที่สิน้สุด ประกอบกบั คนเข้าถึงองค์ความรู้ความรู้เท่าทนั สื่อ สารสนเทศโลกาภิวัตน์ท าให้คนดูแลสุขภาพ และป้องกนั รักษาโรคเฉพาะทางอยา่งแม่นตรง ทา ใหค้นอายยุนืมากข้ึน 7. อยู่กบัตวัเอง (Individualization) หรือสังคมกม้หน้า เป็ นผลสืบเนื่องมาจากความ เจริญทางด้านเทคโนโลยีและความเป็นโลกาภิวัตน์การสนทนาระหวา่งบุคคล หรือกลุ่มคนที่รู้จกั กนัจะใชผ้า่นทางเทคโนโลยมีากกวา่มาพบหนา้กนั ปฏิสัมพันธ์ซึ่งหน้าลดน้อยลง 2. องค์ประกอบของภาวะผู้น าในศตวรรษที่21 ธัญวิทย์ ศรีจันทร์ (2559, น. 6) กล่าวว่า ภาวะผูน้ าที่น่าสนใจศึกษาในปัจจุบนัเป็น แนวคิดของการศึกษาภาวะผูน้า ในกระบวนทศัน์ใหม่ช่วงแรกของแนวคิดของยุคปัจจุบนัแสดงให้ เห็นถึงการศึกษาภาวะผู้น าแนวใหม่เนื่องจากภาวะผูน้ าลกัษณะน้ีเป็นการเปลี่ยนแปลงกระบวน ทศัน์ไปสู่ความเป็นผูน้า ที่มีวิสัยทศัน์มีการกระจายอา นาจเสริมสร้างกา ลงัใจมีคุณธรรมจริยธรรม และกระตุ้นผู้ตามให้มีความเป็ นความเป็ นผู้น า ซ่ึงภาวะผนู้า ในลกัษณะน้ีเป็นที่ตอ้งการอยา่งมากใน โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอยา่งรวดเร็วในทุกดา้นอยา่งปัจจุบนัและการเปลี่ยนแปลงดงักล่าวมีความ สลับซับซ้อน ภาวะผู้น าเป็ นกระบวนการที่มีอิทธิพลในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเจตคติเน้นการ สร้างความผกูพนัในการเปลี่ยนแปลงจุดมุ่งหมายและกลยทุธ์ขององคก์าร ธัญวิทย์ ศรีจันทร์ (2559, น. 6 – 9) ได้สรุปคุณลักษณะของภาวะผู้น าในศตวรรษที่21 จะประกอบ ไปด้วย7 คุณลักษณะ คือคุณธรรมน าผลงานประสานแรงจูงใจเปี่ ยมวิสัยทัศน์กล้าตัดสินใจวอ่งไว สื่อสาร ทา งานมุ่งเป้าหมายและเชื่อมสายสัมพันธ์คน ดงัมีรายละเอียดต่อไปน้ี 1. คุณธรรมน าผลงาน ผู้น าในศตวรรษที่ 21 จะต้องมีคุณลักษณะที่ส าคัญคือมี คุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณในการประกอบอาชีพ ผู้น าต้องมีคุณธรรม เช่น ความซื่อสัตย์ ต่อตนเองและผอู้ื่น ซ่ึงเป็นคุณลกัษณะอนัดบัแรกที่เด่นที่สุดของผนู้า ที่ดีมีความเสียสละอดทน ต่อ งานทุกชนิด พยายามท างานให้เสร็จ คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตวัการตรง ต่อเวลา ไม่เบียดเบียนผูอ้ื่นให้ได้รับความเดือดร้อนไม่ว่าจะเป็นทางกายวาจาหรือใจ รักชาติ ภาคภูมิใจในความเป็ นไทย มีความรับผิดชอบต่อหนา้ที่ในทุกบทบาท ผนู้า ที่ดีจะตอ้งไม่เห็นแก่ตวั มีความมุ่งมนั่คล้อยตาม สุภาพ ซื่อสัตย์จงรักภักดีมีมโนธรรมสูง เสียสละ มีคุณธรรมและต้งัใจ


36 ท างานด้วยความสุจริต และที่ส าคัญคือสามารถตรวจสอบได้นอกจากน้ีการปฏิบตัิงานโดยใช้ คุณธรรมน าผลงานยังรวมถึงการควบคุมสติอารมณ์เหตุและผลอย่างสม่า เสมอเพื่อไม่ให้เป็นเหตุ ในการสร้างความเดือดร้อนอื่นๆ ตามมา 2. ประสานแรงจูงใจผู้น าในศตวรรษที่21 จะมีการแสดงลกัษณะเด่นดา้นแรงจูงใจ ซึ่ งมีความเข้าใจผู้อื่นและมีพลังกระตุ้น ให้เกิดพฤติกรรมที่จะตอบสนองความตอ้งการด้านการ ยอมรับการยกยอ่งและความต้องการประสบความส าเร็จสูงสุดในชีวิต ผนู้า ตอ้งมีการส่งเสริมและ ให้กา ลังใจ โดยการแสดงให้เห็นด้วยความซาบซ้ึงในความส าเร็จของแต่ละโครงการ จูงใจให้ ผใู้ตบ้งัคบับญัชาเห็นความส าคญัและคุณค่าของงาน รวมถึงปฏิบัติงานได้เจรจาต่อรองให้ไดใ้นสิ่ง ที่หน่วยงานตอ้งการตามความเหมาะกบัสภาวการณ์และที่ส าคัญสามารถโน้มน้าวผู้ใต้บังคับบัญชา ให้ร่วมกนัทา งานเพื่อดา เนินการสู่เป้าหมายที่กา หนดไว้ซึ่งผู้น าที่ดีจะใช้คารมคมคายที่โน้มน้าวใจ เพื่อสร้างวิสัยทัศน์ให้ทุกคนเห็นพ้อง เขา้ใจง่ายและอยากเขา้ร่วมในวสิัยทศัน์ 3. เปี่ ยมวิสัยทัศน์ผู้น าในศตวรรษที่21 ต้องเปี่ ยมด้วยวิสัยทัศน์สามารถให้ขอ้มูลแก่ ผูใ้ตบ้งัคบับญัชาถึงแนวโน้มการปฏิบตัิงานในอนาคตของหน่วยงานได้ท าการแลกเปลี่ยนความ คิดเห็นเกี่ยวกบัเรื่องในอนาคต หลีกเลี่ยงเรื่องราวที่เป็นปัญหาในอดีต อีกทัง้กล้าท้าทายการท างาน เพื่อกา้วไปขา้งหนา้นอกจากนีย้งัพร้อมนา การเปลี่ยนแปลงคิดถึงเรื่องระยะยาวมากกวา่พูดแต่เรื่อง ปัญหาที่เป็นอยใู่นปัจจุบนั โดยสามารถแนะแนวทางการทา งานที่ดีแก่ผใู้ตบ้งัคบับญัชาอนัจะทา ให้ บรรลุเป้าหมายของหน่วยงาน มีการวิเคราะห์ปัญหาส าคญัที่เกิดขึน้ของหน่วยงานได้สามารถ วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อนของหน่วยงาน และวางแผนการปฏิบัติงานไดส้อดคลอ้งกบัวิสัยทศัน์ของ องค์การ รวมถึงวสิัยทศัน์ที่มีร่วมกนัไดอ้ยา่งเหมาะสม 4. กล้าตัดสินใจผู้น าในศตวรรษที่21 ต้องกล้าตัดสินใจกล้าคิด กล้าพูด กลา้ทา อยา่ง มีเหตุผลและรู้เท่าทนัมีความต้งัใจและมีความพยายามที่จะเอาชนะอุปสรรคของการปฏิบตัิงาน กล้า ตัดสินใจในการแกป้ ัญหาการปฏิบตัิงานได้อีกท้งักลา้เผชิญสถานการณ์การทา งานที่ยากลา บากได้ มีความมุ่งมนั่ในการปฏิบตัิงานให้บรรลุเป้าหมาย มีความใส่ใจกระตือรือร้นและมนั่ใจในตวัเอง โดยจะต้องรู้จักบริหารเวลา มีความมนั่คงและมีความกล้าระดับหนึ่งในการตัดสินใจเพราะจะต้อง ประสานผลประโยชน์ให้กบัทีมงาน ท้งัน้ีในการทา งานผูน้า ยงัจา เป็นตอ้งกลา้ใช้คนให้ถูกกบังาน และมอบงานให้เหมาะกบัคน และที่ส าคัญคือกล้ายอมรับความเสี่ยง ในขณะเดียวกนัก็เห็นโอกาส ภัยคุกคาม และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึน้กบัหน่วยงานของตนเองดว้ย 5. ว่องไวสื่อสาร ผู้น าในศตวรรษที่ 21 จะต้องเป็นผูท้ ี่สามารถสื่อสารได้อย่างมี ประสิทธิภาพ โดยเป็ นผู้มีความสามารถในการสื่อสาร ที่ประกอบด้วยการพูด การฟัง และเข้าใจ ผู้อื่น ความสามารถทางการสื่อสารที่ส าคัญคือการฟัง เพราะส่งเสริมการรับฟังความคิดเห็นของผอู้ื่น


37 อีกท้งัยงัเป็นนักเล่าเรื่องที่ดีโดยใช้ทกัษะการเล่านิทานมาช่วยในการพูดจูงใจ ช่วยให้บุคลากร ปฏิบัติงานได้ตามการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ท้งัน้ีผูน้า จะตอ้งมีความสามารถในการพูด และการ แสดงออกเนื่องจากผนู้า ตอ้งสื่อสารกบัคน ทา งานกบัคนที่หลากหลาย ดังนัน้ความสามารถในการ พูดและการแสดงออกจึงเป็นลักษณะส าคัญที่จะท าให้ผู้อื่นเข้าใจและปฏิบัติตาม ซึ่งทักษะการพูด และการแสดงออกน้ีเป็นส่วนหน่ึงของการพฒันาทกัษะทางสังคม การใช้วาจา มารยาท ภาษา ให้ เหมาะสมตามกาลเทศะ และที่ส าคัญในศตวรรษที่21 เทคโนโลยีสารสนเทศจะมีบทบาทอยา่งมาก กบัการติดต่อสื่อสารของคนในสังคม ดงัน้นั ผู้น าในศตวรรษที่21 ต้องเป็ นผู้ที่มีความสามารถและ รู้เท่าทนัเทคโนโลยสีื่อสารสนเทศอีกดว้ย 6. ทา งานมุ่งเป้าหมายผู้น าในศตวรรษที่21 ต้องมีความกระตือรือร้นในการแสวงหา วธิีการที่จะทา ใหส้ิ่งต่างๆ ดีข้ึน เติบโตข้ึน เพื่อให้ประสบความสา เร็จและบรรลุจุดมุ่งหมาย โดยอาจ นา เอาสิ่งใหม่เขา้มาและพฒันาทา ให้ดีข้ึน อยา่งมีเป้าหมายตามความปรารถนาผู้น าต้องรู้จักการวาง แนวทางในการท างานเพื่อแสวงหาโอกาสที่จะท าสิ่งใหม่โดยทา ให้ผูร้่วมงานไวว้างใจ และ ปฏิบตัิงานให้บรรลุตามจุดมุ่งหมายที่ไดต้งั้ไว้โดยค านึงถึงการฉกฉวยโอกาสจากความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์และการฝึ กฝนจากภายนอก ผูน้า ตอ้งมีความคิดสร้างสรรค์และส่งเสริมให้ผูอ้ื่นแสดง ความคิดริเริ่มออกมาผู้น าต้องการให้ผู้อื่นแสดงความคิดเห็นให้ค าแนะน าเพื่อการพัฒนาและการ วจิารณ์อยา่งสร้างสรรคแ์ละตรงไปตรงมาและจะนา ไปสู่การสร้างผลงานออกมาเป็นรูปธรรม และ บรรลุเป้าหมายท้งัทางการเงินและเป้าหมายหลกั 7. เชื่อมสายสัมพันธ์คน ผู้น าในศตวรรษที่ 21 จะต้องให้ความส าคัญและเชื่อม ความสัมพนัธ์ที่ดีให้กบัสมาชิกอยา่งทวั่ถึง โดยเป็นผทู้ี่สามารถสร้างความสัมพนัธ์ที่ดีกบัสมาชิกใน องค์กร ซ่ึงเป็นเรื่องที่ส าคญัและควรคา นึงถึงอยา่งมาก นอกจากน้ียงัตอ้งสร้างความสัมพนัธ์ที่ดีกบั เครือข่ายอีกด้วย ท้ังน้ีวิธีการหน่ึงคือการสร้างบรรยากาศในการท างานที่ดีซ่ึงจะท าให้เพิ่ม ความสัมพนัธ์ที่ดีให้กบับุคลากรขององคก์รและนา ไปสู่การพฒันาประสิทธิภาพให้กบัทีมงานอีก ด้วย โดยผู้น า ตอ้งเขา้ใจและพิจารณาผตู้ามหรือผใู้ตบ้งัคบับญัชาวา่มีลกัษณะอยา่งไร ซ่ึงจะช่วยให้ การสร้างบรรยากาศความสัมพนัธ์ที่ดีของทีมงานเป็นไปอยา่งเหมาะสมแสดงถึงความเขา้ใจเห็นอก เห็นใจผรู้่วมงาน และสอดคลอ้งกบัความชอบหรือความสนใจของทีมงานไดเ้ป็นอยา่งดี สรุปได้ว่า จากคุณลักษณะภาวะผูน้ าที่ได้ข้างต้น 7 คุณลักษณะ เห็นได้ว่ามีความ สอดคลอ้งกบัสภาพการณ์ปัจจุบนั ในโลกยุคศตวรรษที่21 เป็นอยา่งมาก ซึ่งโลกในศตวรรษที่21 มี การเปลี่ยนแปลงดา้นเทคโนโลยเีศรษฐกิจโลกาภิวตัน์และเครือข่ายการเลือกเครือข่ายวธิีการสื่อสาร ต้องมีความถูกต้อง รวดเร็ว ไม่จา กดัสถานที่ผลสืบเนื่องมาจากความเจริญทางด้านเทคโนโลยีมีการ ทา งานระหว่างสังคมขา้มวฒันธรรม ฉะน้ันผูน้ าควรตอ้งมีความทนัสมยัรู้เท่าทันถึงเทคโนโลยี


Click to View FlipBook Version