88 (Personal spiritual wisdom) ซ่ึงมีองค์ประกอบอยู่3 ด้านได้แก่ 1) ด้านจิตส านึ กและสติรับรู้ (Consciousness) 2) ด้านคุณลักษณะที่มีคุณธรรม (Moral character) และ 3) ด้านความศรัทธา เลื่อมใส (Faith) น้ัน ถ้ามองอีกมิติหน่ึงที่เกี่ยวกบัสมรรถนะ (Competency) มีค าถามทีจ าเป็ นต้อง ตอบ เช่น สม รรถนะของความเป็นผู้น าแบบ Transcendental ว่ามีอะไรบ้าง ผู้น าแบ บ Transcendentalควรแสดงพฤติกรรมอยา่งไรบา้ง และผู้น าแบบTranscendentalแตกต่างไปจากผนู้า ที่มิใช่แบบTranscendentalอย่างไร เป็นต้น ในประเด็นเหล่าน้ีได้สังเคราะห์ออกมาเป็นกรอบ ความคิดที่เกี่ยวกบัสมรรถนะของภาวะผนู้า แบบ Transcendental ไวด้งัน้ี ตารางที่ 2.10 แสดงกรอบความคิดของ Pablo Cardona เกี่ยวกบัสมรรถนะของภาวะผนู้า แบบ Transcendental (Cardona’s Transcendental Leadership Competency Framework) สมรรถนะ ค าอธิบาย ค าถามหลัก 1. รู้แจ้งตนเอง (Self-insight) -ความสามารถแสดงอัตลักษณ์ ตนเองได้ชัดเจนและเข้าใจถึงจุด แข็งและจุดอ่อน ค่านิยม ความเชื่อ ความเป็ นตัวตนแท้จริง -คุณรู้จักตนเองมากน้อยเพียงไร -คุณชื่นชอบและนบัถือตนเองแค่ไหน - Brand แทนตัวคุณคืออะไร 2. วัตถุประสงค์ ส่วนตวั (Self-purpose) - สามารถเข้าใจและระบุ วตัถุประสงคส์ ่วนตวัไดถู้กตอ้ง - มุมมองอนาคตชีวิตตนเองคืออะไร - ทา ไมท่านตอ้งการเป็นผนู้า 3. ความชาญฉลาด (Wisdom) - สามารถตัดสินใจโดยยึดหลักการ มากกวา่ความถูกใจ -คุณรู้สึกสบายใจที่ต้องเป็ นคนที่คนอื่น ไม่ค่อยรู้จกัไหม -คุณสามารถมองเห็นผลกระทบที่ ตามมาจากการตัดสินใจสัก 2ข้อได้ไหม 4. ความสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม (Integrity) -แสดงพฤติกรรมที่น่าเชื่อถือเป็น ที่น่านบัถือและสะท้อนออกเป็ น ค่านิยมขององคก์าร -คนอื่นมีความหวังได้ในตัวคุณไหมคุณ มีพฤติกรรมที่คงเส้นคงวาไหมและ สามารถคาดหมายได้ไหม -คุณรู้สึกพอใจที่ไดพู้ดอยา่งจริงใจไหม -คุณชดัเจนในการกระทา ที่โปร่งใสไหม 5. ความสามารถ เชื่อมโยง - พัฒนาและบริหารแบบเครือข่าย สร้างพนัธมิตรและความร่วมมือ -คุณกระตือรือร้นอยากเข้าหาผู้อื่นไหม -คุณให้เวลาเพื่อเข้าถึงผู้อื่นจริงจังไหม
89 (Connectedness) อยา่งกวา้งขวาง มีสัมพนัธภาพ อยา่งใกลช้ิด -คุณให้การเคารพนับถือผู้อื่นไหม -คุณรับฟังผอู้ื่นอยา่งจริงใจไหม ตารางที่ 2.10 (ต่อ) สมรรถนะ ค าอธิบาย ค าถามหลัก 6. เน้นการท างาน (Performance focus) -แสดงพฤติกรรมขับเคลื่อน องคก์ารสู่เป้าหมายชดัเจน -คุณยึดมนั่ในงานรับผดิชอบไหม -งานรับผิดชอบสามารถตรวจสอบ -คุณให้งานคนอื่นสามารถตรวจสอบไหม - คุณทา ใหทุ้กคนชดัเจนในสิ่งที่องคก์าร คาดหวังไหม 7. เนน้ สร้างสิ่งใหม่ และความงอกงาม (Renewal and growth focus) -แสดงพฤติกรรมเน้นปรับปรุง ผลงานส่วนบุคคลและองคก์าร -คุณได้พยายามพัฒนาศักยภาพและ สมรรถนะตนเองอยา่งไร -คุณกระตุน้ผอู้ื่นใหง้อกงามท้งัดา้น ส่วนตวัและในงานอยา่งไร ที่มา: สุเทพ พงศ์ศรีวัฒน์(2556, น.20 –21) สรุปได้ว่า ภาวะผู้น าแบบเหนือช้ัน ยงัเป็นเรื่องใหม่ที่มีมุมมองต่อความมี ประสิทธิผลของผู้น าผลกระทบและความทา้ทายใหม่ๆจากภาวะโลกาภิวตัน์มีความยุง่ยากและซบัซ้อน เกินกวา่แนวคิดของภาวะผนู้า ต่างๆแบบด้งัเดิมจะรับมือไดอ้ยา่งเพียงพอการเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึนอยา่ง รวดเร็วตลอดเวลา สร้างความคาดหวงัว่าจะเกิดสิ่งใหม่ข้ึนเฉกเช่นเมื่อ10 ปีที่ผ่านมาได้เกิดกลยุทธ ใหม่ๆที่ทางบริษทัต่างๆ นา มาใช้เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในช่วงน้นัซ่ึงไดส้ร้างผลกระทบเชิงบวก ต่อการพฒันาองค์การและความมีประสิทธิผลด้านภาวะผูน้ าได้อย่างมากมายอย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ ดังกล่าวก็ยงัไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่เกิดข้ึนมากมายในยุคปัจจุบันที่มองเห็นความ จา เป็นตอ้งใช้มิติดา้นจิตใจและคุณธรรม เพื่อการขบัเคลื่อนสังคมและองค์การในอนาคต ดงัน้นัสังคม และองค์การจึงไม่อาจละเลยต่อความสนใจและให้ความส าคัญเรื่องการพฒันาทางจิตใจอีกต่อไป แนวคิดภาวะผูน้า แบบเหนือช้นัจึงเป็นความพยายามที่จะให้คา ตอบหน่ึงต่อปัญหาและความต้องการ ดงักล่าวเพราะเป็นรูปแบบภาวะผนู้า ที่มุ่งเน้นการพฒันาดา้นจิตใจหรือจิตวิญญาณที่มีกรอบครอบคลุม
90 องคป์ระกอบหลกัอยู่3 ประการไดแ้ก่ความมีสติสัมปชญัญะการยึดมนั่และประพฤติในหลกัคุณธรรม จริยธรรมต่างๆ และการมีความเลื่อมใส ความศรัทธาอยา่งมนั่คงเป็นตน้อยา่งไรก็ตาม แนวคิดน้ีก็ไดร้ับ คา วิพากษ์วิจารณ์ด้วยมุมมองของกรอบความคิดด้ังเดิมว่า เป็นภาวะผูน้ าที่มีความเป็นอุดมคติมาก เกินไป จนยากที่นา ไปปฏิบตัิไดใ้นบริบทของโลกความจริงที่เป็นสากลได้ในขณะที่มุมมองตามกรอบ ความคิดใหม่ก็เชื่อว่าในโลกน้ีไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้และสามารถที่จะท าให้เป็ นจริงได้ในที่สุด แนวคิดภาวะผนู้า แบบเหนือช้นัจึงจา เป็นตอ้งมีการศึกษาคน้ควา้อยา่งกวา้งขวางต่อไป ดว้ยการวิจยัอยา่ง กวา้งขวางแต่ต้องมิใช่การวิจยัที่ใช้กรอบความคิดและวิธีการที่แคบๆของการวิจยัแบบเก่า ซ่ึงไม่ เหมาะสม เพราะเป็ นการใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์แบบด้งัเดิมที่มีมุมมองของกรอบที่จา กดัมาทา การ วิเคราะห์ภาวะผนู้า แบบเหนือช้นัซ่ึงเป็นแนวคิดใหม่แบบนอกกรอบ จึงเปรียบเสมือนการมองปัจจุบนั และอนาคตผ่านเลนซ์แว่นตาในอดีต ซ่ึงเป็นไม่ถูกต้อง ที่พึงระวงัเพื่อให้ได้ทฤษฎีภาวะผูน้ าใหม่ที่ สามารถเป็ นทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสมกบัโลกยคุโลกาภิวตัน์ยงิ่ข้ึน 3.7 ภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์(Creative leadership) 3.7.1 ความหมายของภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ Arellano, amd Martin (2002, p. 334)ไดก้ล่าวไวว้า่ภาวะผนู้า เชิงสร้างสรรค์ เป็ นความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจ อยา่งมีเอกลกัษณ์เพื่อช่วยให้สามารถเขา้ใจสถานการณ์ที่ ซบัซ้อน พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงและก่อให้เกิดการตอบสนองร่วมกนั ในเชิงริเริ่มสร้างสรรคด์ว้ยวิธีการ ใหม่ๆ Danner (2008, p. 34) ได้ท าการศึกษาและวิจัยในหัวข้อ Creative leaership in art education: perspectives of an art educator ได้กล่าวไว้ว่าภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์จ าเป็นต้องมีความ ยืดหยุ่น และความไวว้างใจในวิธีการและกระบวนการในภาพรวม นอกจากน้ียงัเกี่ยวข้องกับการ สนบัสนุนการทา งานร่วมกนัเป็นการสนบัสนุนให้เกิดความสร้างสรรค์จากบุคคลหนึ่งไปอีกบุคคลหนึ่ง Basadur (2008, p. 144)ได้สรุปแนวคิดเกี่ยวกับภาวะผูน้ าเชิงสร้างสรรค์ไวใ้น บทความ ในหัวข้อ“Leading others to think innovatively together: Creative leadership” สรุปแนวคิดและ สาระส าคญั ไดว้า่ภาวะผนู้า เชิงสร้างสรรค์เป็นการน าบุคคลอื่น (Leading people) ผา่นกระบวนการ หรือ วิธีการร่วมกัน เป็นการค้นหาปัญหาอย่างละเอียด ถี่ถ้วน และการดา เนินการแก้ปัญหาด้วยแนวทาง ใหม่ๆ (New solutions) เป็นกระบวนการที่จา เป็นที่จะตอ้งใช้ภาษาในการสื่อสารร่วมกนัระหว่างบุคคล อยา่งมีประสิทธิภาพ สามารถทา ความเขา้ใจไดอ้ยา่งรวดเร็ววา่รู้จกักระบวนการเชิงสร้างสรรคใ์นระดบั ใด ในด้านกระบวนการเชิงสร้างสรรค์จะตอ้งมีทกัษะในการจดัการกับบุคคลอื่นๆ ในลักษณะที่เป็น ลา ดบัข้นัตอน การรู้จกักระบวนการเชิงสร้างสรรค์จะช่วยให้มีตน้แบบในการสร้างภาวะผูน้า แบบใหม่ ที่มีความสมบูรณ์แบบยงิ่ขิ้นได้
91 Coste (2009, p. 4) ได้เสนอแนวคิดและมิติของภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ไว้ใน บทความชื่อ “Creative leadership & women” ซ่ึงประกอบไปด้วยความท้าทายและการมีส่วนร่วม (Challenge and participle) ความมีอิสระ (Freedom) ความไว้วางใจ/การเปิ ดเผย (Trust/openness) การให้ เวลาส าหรับการคิด (Idea time) ความสนุกสนาน/อารมณ์ขัน (Playfulness/humor) การลดความขัดแย้ง การส่งเสริมความคิดเห็น (Idea support) การโต้แย้ง (Debate) และการกล้าเสี่ยง (Risk taking) Stoll (2009, p. 26) และ Temperley (2009, p. 109) ได้สรุปแนวคิดเกี่ยวกบัภาวะ ผู้น าเชิงสร้างสรรค์ไว้ในบทความในหัวข้อชื่อ “Creative leadership: A challenge of our times” ซึ่ งสรุป สาระส าคญั ไดว้่าภาวะผูน้า เชิงสร้างสรรค์เป็นการตอบสนองเชิงจินตนาการ(Imaginative) และการคิด ไตร่ตรองอยา่งถี่ถว้น ต่อโอกาสต่างๆ ประเด็นต่างๆ อยา่งทา้ทายเป็นเรื่องที่เกี่ยวกบัการมองการคิด และ การกระทา สิ่งต่างๆ ที่แตกต่างกนัเพื่อจะเสริมสร้างโอกาสใหก้บัทุกคนที่เกี่ยวขอ้ง Harris (2009, p. 184) ได้สรุปแนวคิดสาระส าคัญเกี่ยวกับภาวะผู้น าเชิง สร้างสรรค์ไว้ในบทความ ในหัวข้อ “Creative leadership developing future leaders” ไดก้ล่าวไวว้่า ภาวะ ผูน้ าเชิงสร้างสรรค์จะเกี่ยวข้องกับการติดต่อประสานงาน (Connecting) กับบุคคลที่มีความคิดเห็น ตรงกัน และกับบุคคลที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน (Different) เพื่อจะมีโอกาสได้เรียนรู้ร่วมกัน อย่างไรก็ตามผลลพัธ์ที่ไดอ้าจจะไม่ใช่ความคิดเห็นที่สอดคลอ้งกนัแต่อาจจะมาจากความคิดเห็นที่ไม่ ตรงกนัความคิดเห็นที่ไม่ตรงกนัเชิงสร้างสรรค์อนัจะนา ไปสู่การคิดเชิงสร้างสรรค์ถึงแมว้่าจะไม่ใช่ เรื่องง่ายๆ แต่ก็จา เป็นตอ้งเปลี่ยนความคิดเดิมๆ และเผชิญกบัความเชื่อมนั่กบัแนวทางวธิีการใหม่ๆ ที่จะ สร้างข้ึนภาวะผูน้า เชิงสร้างสรรค์จะเหมือนกบัภาวะผูน้า แบบให้บริการ(Servant leadership) ภาระงาน หลกัของภาวะผนู้า เชิงสร้างสรรคค์ือการประสานงานบุคคล ที่มีความคิดเห็นตรงกนัและมีความคิดเห็น ที่แตกต่างกนัเป็นภาวะผนู้า ที่พฒันาสมรรถนะและความสามารถต่างๆ ของบุคคลภายในองคก์รเพื่อให้ เกิดความสร้างสรรค์ในทุกสถานที่และทุกระดับ เพื่อจะได้รับการพฒันาและส่งเสริมภาวะผูน้ าเชิง สร้างสรรค์ให้เกิดข้ึน “เป็นภาวะผูน้า ที่ปราศจากการยึดมนั่ถือมนั่ ” (Leadership without ego) โดยทวั่ ไป แลว้ภาวะผนู้า เชิงสร้างสรรคจ์ะเกี่ยวขอ้งกบัการพฒันาแนวทาง ดา้นวิธีการใหม่ๆ ขององคก์รและความ ทา้ทายที่สลบัซบัซอ้นมากกวา่การคงสภาพที่เป็นอยแู่บบเดิม (Status quo) กรองทิพย์ นาควิเชตร (2552, น. 14)ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับภาวะผู้น าเชิง สร้างสรรค์ไวว้่าภาวะผูน้ าเชิงสร้างสรรค์หมายถึงความสามารถของผูน้ าในการกระตุน้ ให้ผูร้่วมงาน ร่วมกนั ปฏิบตัิหน้าที่ให้บรรลุเป้าหมายดีงาม ด้วยการคิดหลายมิติคิดบวกและการปฏิบตัิในวงกวา้ง และเชิงลึกที่หลากหลายมิติจากผู้น า ธีระ รุญเจริญ,และวาสนา ศรีไพโรจน์ (2554, น.9)ไดใ้ห้แนวคิดเกี่ยวกบัภาวะ ผู้น าเชิงสร้างสรรค์ไว้ว่าภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์เป็นลักษณะหรื อพฤติกรรมในการน าผู้อื่น
92 ประสานงานผู้อื่นด้วยการสร้างแรงบันดาลใจ สร้างแรงจูงใจ สร้างบรรยากาศ โดยการคิดนอกกรอบด้วย วธิีการใหม่ๆ เพื่อนา ไปสู่การสร้างสรรคส์ ิ่งใหม่ๆ สรุปได้ว่า ภาวะผูน้ าเชิงสร้างสรรค์ได้ว่า เป็นการตอบสนองเชิงจินตนาการ และการน าบุคคลอื่นๆ ด้วยแนวทางใหม่ๆ หรือวิธีการใหม่ๆ อย่างทา้ทายและยืดหยุ่น ที่ส าคญัภาวะ ผูน้า เชิงสร้างสรรค์ยงัเป็นผูส้ร้างสภาพแวดล้อม เพื่อก่อให้เกิดการริเริ่มสิ่งใหม่ๆ และสนับสนุนให้ ผู้อื่นได้มีความสร้างสรรค์ 3.7.2 องค์ประกอบของภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ 3.7.2.1 องค์ประกอบภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ตามทศันะของ Kelley Kelley (1998; อ้างถึงใน ยุดา รักไทย, และสุ ภาวดีวิทยะประพันธ์, 2552, น. 23) ไดก้ล่าวถึงความสร้างสรรค์ไวว้่า เกี่ยวกบัการริเริ่มสิ่งใหม่ๆ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ได้สรุปองค์ประกอบเกี่ยวกับภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ไว้ว่าองค์ประกอบของภาวะผู้น าเชิง สร้างสรรค์มีองค์ประกอบดังน้ี1) ความท้าทาย เป็นการท้าทายในสถานการณ์ที่เป็นอยู่อย่าง สร้างสรรค์และ2) จินตนาการเป็นการละทิ้งแนวปฏิบตัิเดิมและแสวงหาแนวทางและวิธีการใหม่ๆ อยา่งสร้างสรรค์ 3.7.2.2 องค์ประกอบภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ตามทัศนะของ Chernin Chernin (2001, p. 33) ได้สรุปองค์ประกอบเกี่ยวกับภาวะผู้น าเชิง สร้างสรรค์ไว้ในบทความชื่อ “Creative leadership: Strength of ideas the power of the imagination ไว้ว่าองค์ประกอบของภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์เกี่ยวกับความสามารถติดต่อประสานงาน ท้งัเกี่ยวกบัตนเองและเกี่ยวกบัทีมงาน ซ่ึงมีองค์ประกอบดงัน้ี1) แรงบันดาลใจ 2) วิสัยทัศน์และ 3) จินตนาการ 3.7.2.3 องค์ประกอบภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ตามทศันะของ Bennis Bennis (2002, p. 114) ได้สรุปองค์ประกอบเกี่ยวกับภาวะผู้น าเชิง ส ร้ างส ร ร ค์ ไ ว้ใน บ ท ค ว าม ชื่ อ “Creative leadership” จ าก [ABI] Chulalongkorn University (Distributor) ไวว้า่องคป์ระกอบของภาวะผนู้า เชิงสร้างสรรค์จะเกี่ยวขอ้งกบัคน เกี่ยวขอ้งกบัความ น่าเชื่อถือ ความไว้วางใจในการบริหารจัดการระบบ โครงสร้าง กระบวนการ การควบคุมซึ่ งมี องคป์ระกอบดงัต่อไปน้ี1) วิสัยทัศน์2) ความไว้วางใจ3) การมุ่งความสา เร็จและ4) ความยดืหยนุ่ 3.7.2.4 องค์ประกอบภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ตามทัศนะของ Couto and Eken Couto and Eken (2002) ได้อธิบายเกี่ยวกบัองค์ประกอบของภาวะผูน้า เชิงสร้างสรรค์ไว้ในบทความหัวข้อ “To give their Gifts: Health, community, and democracy” ได้ สรุปสาระส าคญัเกี่ยวกบัองค์ประกอบของภาวะผูน้า เชิงสร้างสรรค์วา่ องค์ประกอบของภาวะผู้น า
93 เชิงสรรคส์รรค์มีองค์ประกอบดงัต่อไปน้ี1) วิสัยทัศน์ 2) จินตนาการ 3) การปฏิบัติเชิงสะท้อนผล (Reflective practice) และ4) การคิดเชิงวิจารณญาณ (Critical thinking) 3.7.2.5 องค์ประกอบภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ตามทศันะของ Sousa Sousa (2003, p. 6) ได้สรุปไว้ในหนังสื อ “The leadership brain” สรุ ป สาระส าคญัของคุณลกัษณะของภาวะผนู้า เชิงสร้างสรรคแ์นวคิดเกี่ยวกบั คุณลักษณะของภาวะผู้น า เชิงสร้างสรรค์ประกอบไปด้วย 1) สติปัญญา 2) ความยดืหยนุ่ 3) แรงจูงใจและ4) การแกป้ ัญหา 3.7.2.6 องค์ประกอบภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ตามทศันะของ Guntern Guntern (2004, p. 12) ได้สรุปองค์ประกอบของภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ไว้ ในบทความหั วข้อ “The challenge of creative leadership” สรุปสาระส าคัญได้ว่า ภาวะผู้น าเชิ ง สร้างสรรค์จะอยู่ในบุคคลที่มีความสามารถในด้านต่างๆ ดังน้ีคือ1) แรงบันดาลใจ2) วิสัยทัศน์ 3) ความน่าเชื่อถือและ4) สติปัญญา 3.7.2.7 องค์ประกอบภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ตามทัศนะของ Parker, and Begnaud Parker, and Begnaud (2004, p. 66) ได้สรุปทัศนะเกี่ยวกับคุณลกัษณะ ของภาวะผู้น า เชิงสร้างสรรค์ไวใ้นหนังสือชื่อว่า “Developing creative leadership” ซึ่ งได้สรุ ป คุณลกัษณะของภาวะผูน้า เชิงสร้างสรรค์ไวว้่า ประกอบด้วย 1) วิสัยทัศน์2) ความยืดหยุ่น และ 3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา 3.7.2.8 องค์ประกอบภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ตามทัศนะของ Palus, and Horth Palus, and Horth (2005, p. 79) ได้กล่าวถึงมิติและส ม ร ร ถ น ะ ที่ มี ประสิ ทธิภาพของภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ในหัวข้อ Leading creatively: The art of making sense ใน Ivey Business Journal ไวว้่าผู้น าเชิงสร้างสรรค์ประกอบด้วย 1) การให้ความสนใจ(Paying attention) 2) บุคลิกภาพ (Personalizing) 3) จินตนาการ4) ความมุ่งมนั่ทุ่มเท (Serious play) 5) การให้ความร่วมมือ (Collaborative inquiry) และ6) การสร้างจิตส านึก(Crafting) 3.7.2.9 องค์ประกอบภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ตามทัศนะของ Casse and Claudel Casse, and Claudel (2007, p. 22) ได้สรุ ปองค์ประกอบของภาวะผู้น าเชิง สร้างสรรค์ในหนังสือPhilosophy for creative leadership ไวว้า่ ภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ประกอบไปด้วย 1) จินตนาการและ2) ความยดืหยนุ่ 3.7.2.10 องค์ประกอบภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ตามทศันะของ Danner
94 Danner (2008, p. 20) ได้ท าการวิจัยในหัวข้อที่ชื่อว่า Creative leadership in art education : Perspectives of an art educator ซึ่ งเป็ นผลงานการวิจัยของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและ เป็ นมหาวิทยาลัยที่เป็ นต้นแบบที่ศึกษาด้านภาวะผู้น าคือ Ohio University ได้สรุปองค์ประกอบของ ภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ไว้คือ1) ความยืดหยนุ่และ2) ความไว้วางใจ 3.7.2.11 องค์ประกอบภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ตามทัศนะของ Stoll and Temperley Stoll, and Temperley (2009, p. 39) ได้สรุปองค์ประกอบของภาวะผู้น าเชิง สร้างสรรค์ไว้ในบทความในหัวข้อชื่อ“Creative leadership: a challenge of our times” ไวว้่า ภาวะผู้น า เชิงสร้างสรรค์ประกอบไปด้วย1) จินตนาการและ2) การคิดแบบไตร่ตรอง (Thought pattern) 3.7.2.12 องค์ประกอบภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ตามทศันะของ Harris Harris (2009, p. 104) ได้สรุปองค์ประกอบของภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ไว้ ในบทความ ในหัวข้อ“Creative leadership: Developing future leaders” ซ่ึงได้กล่าวไวว้่า ภาวะผู้น าเชิง สร้างสรรค์จะประกอบไปด้วย 1) ความยดืหยนุ่และ2) ความท้าทาย 3.7.2.13 องค์ประกอบภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ตามทศันะของ Delich Delich (2010, p. 1) ได้สรุปองค์ประกอบของภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ ไวว้า่ภาวะผนู้า เชิงสร้างสรรคจะ์ ประกอบไปด้วย 1) จินตนาการและ2) การคิดคน้ สิ่งใหม่ๆ 3.7.2.14 องค์ประกอบภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ตามทัศนะของ Ubben, Hughes & Norris Ubben, Hughes, and Norris (2010, pp. 1 –2) ได้สรุ ปองค์ประกอบของ ภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ไว้ในหนังสือ The principal: creative leadership for excellence in school ไวว้่า องค์ประกอบของภาวะผู้เชิงสร้างสรรค์ประกอบไปด้วย1) วิสัยทัศน์2) วัฒนธรรมเชิงบวก(Positive culture) 3) การบริหารจัดการ(Managing) และ4) ปฏิสัมพันธ์(Interacting) 3.7.2.15 องค์ประกอบภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ตามทศันะของ Katz Katz (2003; อ้างถึ งใน ณั ฐยา สนตระการผล, 2554, น. 15) ได้ส รุ ป องค์ประกอบของภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ไว้ในหนังสื อ Managine creativity and innovation ไว้ว่า องค์ประกอบของภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ประกอบไปด้วย1) ความช านาญ (Expertise) 2) ความยืดหยุ่น 3) จินตนาการและ4) แรงจูงใจ 3.8 ภาวะผู้น าเชิงจริยธรรม (Ethical leadership) 3.8.1แนวคิดภาวะผู้น าเชิงจริยธรรมของ Northouse (2000)
95 ตลอดช่วงระยะเวลา 2 ทศวรรษที่ผ่านมา แนวคิดเรื่องภาวะผู้น าการ เปลี่ยนแปลงไดร้ับความสนใจเพิ่มข้ึนอยา่งต่อเนื่อง ปัจจยัพ้ืนฐานประการหน่ึงที่เป็นเงื่อนไขส าคญั ต่อการเป็นผูน้า การเปลี่ยนแปลงก็คือการนา เสนอและถ่ายทอดวิสัยทศัน์ที่ชดัเจนของผูน้า โดย วิสัยทัศน์น้ันจะต้องก่อตวัหรือมีรากฐานมาจากค่านิยม และจริยธรรม ของผูน้ า ดังน้ันผูน้ าการ เปลี่ยนแปลงจึงมีอิทธิพลต่อผูต้าม ด้วยการแสดงออกถึงพฤติกรรมที่หลากหลาย เพื่อที่จะทา ให้ ค่านิยมและความสนใจของผูต้ามมีการเปลี่ยนแปลง แต่อย่างไรก็ตามได้มีการถกเถียงในแวดวง วิชาการว่า ฐานคติ(Assumption) ที่เป็นพ้ืนฐานของการเป็นผูน้ าการเปลี่ยนแปลงน้ัน จะต้องมี รากฐานที่อยบู่นค่านิยมร่วม (Shared values) และจริยธรรม จริงหรือไม่ (Rowold, 2008, p. 4) โดยกลุ่มนักวิชาการที่สนับสนุนแนวคิดที่ว่า พ้ืนฐานของการเป็นผูน้า การ เปลี่ยนแปลงจะมีรากฐานอยู่บนจริยธรรม ไดแ้ สดงความเห็นไวว้่าการมีพ้ืนฐานทางดา้นคุณธรรม และดา้นจริยธรรม เป็นสิ่งจา เป็นพ้ืนฐาน (Necessary precondition) ต่อการเป็นผนู้า การเปลี่ยนแปลง และผนู้า การเปลี่ยนแปลงหรือผนู้า แปลงสภาพ ไม่สามารถที่จะแยกออกจากภาวะผนู้า ฐานคุณธรรม (Moral based leadership) ได้ (Rowold, 2008, p. 4) ในขณะที่อีกกลุ่มหน่ึงกลบัมีความเห็นแตกต่างไดว้จิารณ์วา่เมื่อพิจารณาถึง ภาวะผูน้า การเปลี่ยนแปลงน้นั ในหลายกรณีจะพบว่าผนู้า ที่ถูกจดัวา่เป็นผูน้า การเปลี่ยนแปลงน้นั ได้หลอกลวง (Deceived) ผู้ตาม และมุ่งแสวงหาเป้าหมายส่วนตนเป็นส าคัญ และผู้น าการ เปลี่ยนแปลงอาจมีพฤติกรรมที่ไร้คุณธรรมอย่างเห็นได้ชัด เนื่องมาจากการแสดงและถ่ายทอด วสิัยทศัน์โดยวสิัยทศัน์น้นัอยบู่นฐานของค่านิยมของตนเอง ซ่ึงไม่ใช่เป็นค่านิยมร่วมที่เกิดจากการ ก่อตวัร่วมกนัดงัน้นัเมื่อผูน้า กา ลงันา เสนอวิสัยทศัน์หรือเป้าหมายเชิงอุดมการณ์ที่อยู่บนฐานของ ค่านิยมของตนเองผูน้า ก็อาจตดัสินใจว่าค่านิยมร่วมของผูอ้ื่น อย่างเช่น ความเท่าเทียม (Fairness) ความยุติธรรม หรืออื่นๆ วา่ ไม่มีคามส าคญัหรือมีความส าคญันอ้ยกวา่ค่านิยมของตนเอง ดว้ยเหตุน้ี ผู้น าจึงอาจมีพฤติกรรมที่ไร้คุณธรรมในสายตาบุคคลภายนอกได้ (Rowold, 2008, p. 4-5) และเมื่อพิจารณาประเด็นคุณธรรมและจริยธรรมในตัวแบบภาวะผู้น าแบบ เต็มรูปแบบ จะพบวา่ถึงแมว้า่มีการนา เสนอในทางทฤษฎีที่วา่ภาวะผนู้า การเปลี่ยนแปลงจา เป็นที่ จะตอ้งอยบู่นรากฐานของคุณธรรมและจริยธรรม แต่กลบั ไม่มีการประเมินอยา่งชดัเจนในแบบวดั หรือแบบสอบถามที่ใชว้ดัภาวะผนู้า การเปลี่ยนแปลงกล่าวคือ ประการแรกแบบสอบถามที่ใชว้ดั ภาวะผนู้า การเปลี่ยนแปลงน้นัเป็นการวดัเชิงพฤติกรรมเป็นส่วนใหญ่โดยค่านิยมของผนู้า กลบัมีถูก ประเมิน ประการที่สอง เครื่องมือที่ใช้ทา การวดัผูน้า การเปลี่ยนแปลง ไม่ไดร้วมขอ้ความ ส าหรับ การประเมินมาตรฐานทางดา้นคุณธรรมและจริยธรรมอยา่งครบถว้น (Rowold, 2008, p. 5)
96 Turner, et al. (2002, p. 12) ไดท้า การศึกษาความสัมพนัธ์ระหวา่งเหตุผลเชิง คุณธรรม (Moral reasoning) กับสภาวะผู้น าการเปลี่ยนแปลง โดยท าการศึกษาภาคสนามบน ฐานข้อมูลสองชุด คือข้อมูลชุดแรก ได้จากการที่ผู้จัดการท าการประเมินเหตุผลเชิงคุณธรรมของ ตนเอง และข้อมูลชุดที่สอง ได้จากการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาประเมินภาวะผู้น าการเปลี่ยนแปลงของ ผนู้า ผลปรากฏวา่ผูน้า ที่มีเหตุผลเชิงคุณธรรมสูงจะมีภาวะผูน้า การเปลี่ยนแปลงดว้ย ซ่ึงแสดงให้ เห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่จะมีความสัมพนัธ์ระหว่างภาวะผูน้า กบัคุณธรรม แต่อย่างไรก็ตามใน การศึกษาคร้ังน้ีก็ยงัมีขอ้จา กดัในแง่ของการไม่ไดก้า หนดบริบทขององคก์ารหรือบริบททางดา้นการ จดัการอยา่งชดัเจน (Rowold, 2008, p. 6) Rowold (2008, pp. 11 – 12) ไดท้า การศึกษาความสัมพนัธ์ระหวา่งภาวะผนู้า ฐานคุณธรรม กบัภาวะผูน้า การเปลี่ยนแปลง และภาวะผูน้า แบบแลกเปลี่ยนแบบ MLQ 5X ของ Bass and Avolio แ ล ะ ศึ ก ษ าค ว าม ส าม ารถ ใน ก ารอ ธิ บ าย ผ ล งาน เชิ งอัต วิสั ย (Subjective performance) ซึ่ งประกอบไปด้วยประสิทธิผลการน า (Effective leadership) มานะในการท างาน (Extra effort) แ ล ะความ พึ งพ อ ใจ (Satisfaction) ผลปรากฏว่า ภาวะผู้น าฐานคุณธรรมมี ความสัมพนัธ์เชิงบวกกบัภาวะผนู้า การเปลี่ยนแปลงและภาวะผนู้า แบบแลกเปลี่ยนในระดบัสูงและ มีนัยส าคญันอกจากน้ีจะพบว่ามีความสัมพนัธ์เชิงบวกกบัผลงานเชิงอตัวิสัย ซ่ึงประกอบไปดว้ย ประสิทธิผลการน า มานะในการท างาน และความพึงพอใจในระดับสูงและมีนัยส าคัญอีกด้วย นอกจากน้ีเมื่อพิจารณาในดา้นความสามารถในการทา นายผลปรากฏวา่เมื่อพิจารณาตวัแปรตน้คือ ภาวะผนู้า การเปลี่ยนแปลง ภาวะผนู้า แบบแลกเปลี่ยน และภาวะผูน้า ฐานคุณธรรม กบัตวัแปรตาม ผลงานเชิงอตัวิสัยซ่ึงประกอบไปดว้ยตวัแปรย่อย 3 ตัวแปร คือประสิทธิผลการน า มานะในการ ทา งานและความพึงพอใจ โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์ถดถอยอยา่งมีข้นัตอน (Stepwise regression analysis) พบว่า ภาวะผู้น าฐานคุณธรรมมีความสามารถในการเพิ่มอา นาจในการท านาย โดย พิจารณาจากค่าสัมประสิทธ์ิการทา นาย (R2) เพิ่มข้ึน 1-10% ของความแปรปรวน (Variance) ซึ่ ง มากกวา่การอา นาจในการทา นายตวัแปรตามท้งั 3 ตัวแปรด้วยตัวแปรต้นเพียง 2 ตัว คือ ภาวะผู้น า การเปลี่ยนแปลงและภาวะผู้น าแบบแลกเปลี่ยน ด้วยเหตุน้ีการศึกษาภาวะผูน้ าในมิติเชิงจริยธรรมจึงมีความส าคัญและ น่าสนใจที่จะทา การศึกษาควบคู่ไปกบัการศึกษาภาวะผูน้า แบบเต็มรูปแบบ โดย Northouse (2000, p. 265) ได้แสดงความคิดเห็นไวว้่า ประเด็นด้านจริยธรรม ควรจะถูกน ามาบูรณาการเข้าเป็น ขอบเขตของการศึกษาภาวะผู้น าและเมื่อพิจารณาจากการศึกษาดา้นภาวะผนู้า ในอดีต จะพบวา่แทบ จะไม่มีแนวคิดใดที่ไดน้า มิติดา้นจริยธรรมเขา้มาอยใู่นกระบวนการของการมีภาวะผนู้า เลย
97 นอกจากน้ีRowold (2008, pp. 11-13) ไดแ้ สดงความคิดเห็นที่น่าสนใจไวว้า่ จากผลการศึกษาภาวะผูน้า ฐานคุณธรรม พบว่าคุณลกัษณะของผูน้า ที่มีฐานคุณธรรมน้ีมีลกัษณะ พิเศษเฉพาะตัวและมีผลกระทบโดยตรงกับผลงานเชิงอัตวิสัย ซ่ึงประกอบไปด้วยปัจจยัด้าน ประสิทธิผลการนา ดา้นการมีมานะในการทา งานและดา้นความพึงพอใจ ดว้ยเหตุน้ีภาวะผนู้า ฐาน คุณธรรม จึงมีคุณค่าที่ควรจะเพิ่มเติมเขา้ไปเป็นหน่ึงในรูปแบบการน า นอกเหนือไปจากภาวะผู้น า การเปลี่ยนแปลงภาวะผู้น าแบบแลกเปลี่ยนและภาวะที่ไร้การน า จากความหมายหรือนิยามของจริยธรรมข้างต้น ท าให้ Northouse เห็นวา่ ใน การศึกษาภาวะผูน้า เชิงจริยธรรมน้ัน จา เป็นที่จะตอ้งศึกษาใน 2ขอบเขต (Domains) คือ ขอบเขต ด้านแนวทางในการถือปฏิบัติของผู้น า และขอบเขตด้านคุณลักษณะของผู้น า (Northouse, 2000, pp. 250-251) โดยขอบเขตด้านแนวทางในการถือปฏิบัติของผู้น า (Leaders’ conduct) น้นั สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ด้วยกัน คือ ผลอันเกิดจากการกระท าของผู้น า (Consequences of leaders’ action) และภาระหน้าที่หรือกฎเกณฑ์การปกครองที่ผู้น ากระท า (Duty or rules governing leaders’ action) โดยผลอันเกิดจากการกระท าของผู้น า (Consequences of leaders’ action) น้ันประกอบด้วย 3แนวทางในการตดัสินใจในการกระทา ของผูน้ าที่อยู่บนแนว ปฏิบัติเชิงคุณธรรม (Moral conduct) คือ 1) แนวทางอัตตานิยม (Egoism) 2) ประโยชน์นิยม (Utilitarianism) และ 3) ปรัตถนิยม (Altruism) หรือความไม่เห็นแก่ตวัหรือการเห็นแก่ผูอ้ื่น ซ่ึงท้งั สามแนวทางจะข้ึนอยู่กบั 2 มิติ คือ การค านึงถึงประโยชน์ของตนเอง และการค านึงถึงประโยชน์ ของผอู้ื่น วา่มีระดบัมากนอ้ยต่างกนัอยา่งไร (Northouse, 2000, pp. 250-252) ในขณะที่ ภาระหน้าที่หรือกฎเกณฑ์การปกครองที่ผู้น ากระท า (Duty or rules governing leaders’ action) จะแตกต่างจากผลอนัเกิดจากการกระทา ของผนู้า กล่าวคือเป็นการ พิจารณาถึงตัวการกระท าเอง (Action itself) มิใช่การพิจารณาถึงผลของการกระท า (Consequences of actions) ยกตวัอย่างเช่น การพูดความจริง การรักษาสัญญาความเท่าเทียมหรือยุติธรรม การ ยอมรับในบุคคลอื่น เป็นตน้ดงัน้นัภาระหนา้ที่หรือกฎเกณฑ์การปกครองที่ผูน้า กระทา จึงมุ่งเน้น ไปที่การกระทา ของผูน้า ว่ามีพนัธะเชิงคุณธรรม (Moral obligations) และความรับผิดชอบต่อการ กระท าที่ถูกต้องมากน้อยเพียงใด (Northouse, 2000, pp. 252-253) และเมื่อพิจารณาถึงขอบเขตที่ 2คือ ขอบเขตด้านคุณลักษณะของผู้น า (Leaders’ character) ซ่ึงเป็นขอบเขตที่มุ่งเน้นว่า ผู้น ามีความเป็ นมนุษย์มากน้อยเพียงไร โดย พิจารณาจากฐานทางศีลธรรม (Virtue-based theories) โดยในแง่ของศีลธรรมน้ีสามารถทา ความ เขา้ใจไดว้า่ศีลธรรม (Virtues) จะฝังรากลึกลงไปในจิตใจและอุปนิสัยใจคอ (Disposition) ของแต่ละ
98 บุคคลกล่าวโดยง่ายก็คือศีลธรรม (Virtues) น้ีจะเป็นตวับ่งบอกวา่บุคคลควรเป็นอยา่งไร(What to be) โดยหลักศีลธรรมตามแนวคิดของ Aristotle จะประกอบไปด้วยความกล้าหาญ (Courage) การ ควบคุมอารมณ์ (Temperance) ความกรุณา (Generosity) การควบคุมตนเอง (Self-control) ความ ซื่อสัตย์ (Honesty) สามารถเข้าสังคมได้ (Sociability) อ่อนน้อมถ่อมตน (Modesty) ความเท่าเทียม (Fairness) ความยุติธรรม (Justice) บุคคลที่เป็นผจู้ดัการควรจะพฒันาศีลธรรม เช่น ความอุตสาหะ (Perseverance) การมีจิตสาธารณะ (Public-spiritedness) การมีศักด์ิศรี(Integrity ) ความจริ งใจ (Truthfulness) ความ จงรักภักดี (Fidelity) ความเม ตตา (Benevolence) และความ น อบ น้อม (Humility) (Northouse, 2000, pp. 253-254) จากแนวคิดเรื่องจริยธรรมดังกล่าวข้างต้น Northouse ได้ท าการศึกษา แนวคิดเรื่องภาวะผู้น าเชิงจริยธรรม ซ่ึงไดศ้ึกษาวา่ผนู้า จะสามารถช่วยผตู้ามใหเ้ผชิญหนา้กบั ปัญหา ด้านความขดัแยง้เชิงค่านิยมไดอ้ยา่งไร ซ่ึงผลการศึกษาพบวา่ผนู้า จา เป็นที่จะตอ้งมีจริยธรรมในการ คา นึงถึงค่านิยมท้งัในระดบัตวับุคคลองคก์ารและชุมชนและคา นึงถึงค่านิยมเหล่าน้ีในกระบวนการ การตดัสินใจใดๆ ก็ตามภายในองค์การ เพื่อสร้างบรรยากาศในองค์การให้เกิดความไวว้างใจ การ เอาใจใส่ซ่ึงกนัและกนั (Nurturance) และความเห็นอกเห็นใจซ่ึงกนัและกนั (Empathy) ในขณะที่ Burns มองว่าภาวะผูน้ าแปลงสภาพน้ันจา เป็นที่จะต้องคา นึงถึงจริยธรรม ด้วยการตระหนักถึง ค่านิยมของผูต้าม ความตอ้งการของผูต้ามและคุณธรรมของผูต้าม ดงัน้ันผูน้ าจึงจา เป็นที่จะต้อง ช่วยเหลือและส่งเสริมผูต้ามให้ขา้พน้ความขดัแยง้ระหว่างผูต้ามด้วยกนั โดยเฉพาะความขดัแยง้ ระหว่างค่านิยมของผตู้าม โดยผนู้า จา เป็นที่จะตอ้งแสดงให้เห็นถึงภาวะผูน้า ที่มีจริยธรรม คือ ตอ้ง แสดงให้เห็นถึงความมีเสรีภาพ (Liberty) ความยุติธรรม (Justice) และความเสมอภาค (Equality) และเมื่อพิจารณาถึงงานของ Greenleaf พบวา่ผนู้า ที่ดีน้นัเมื่อพิจารณาในเชิงจริยธรรม จะพบวา่เป็น ผู้น าแบบปรัตถนิยม (Altruism) คือไม่เห็นแก่ตวัหรือเห็นแก่ผอู้ื่น โดยผนู้า จะคา นึงถึงความตอ้งการ ของผตู้าม เห็นอกเห็นใจผตู้าม เอาใจใส่ผตู้าม ดงัน้นัผนู้า จะพยายามที่จะกา จดัความไม่เท่าเทียมกนั ในองคก์ารใชอ้า นาจจากตา แหน่งหนา้ที่ให้นอ้ยที่สุด ใชก้ารควบคุมให้น้อยที่สุด และพยายามเพิ่ม อา นาจหนา้ที่ใหแ้ก่ผตู้าม ดว้ยเหตุน้ีผนู้า เชิงบริกรจึงมีค่านิยมที่เนน้เรื่องความผกูพนั (Involvement) การรับฟัง การเคารพผู้อื่น ความเห็นอกเห็นใจ ความไวว้างใจ การยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข (Unconditional acceptance) ในจุดแข็งของแต่ละบุคคล ซ่ึงค่านิยมของผนู้า เหล่าน้ีจะส่งผลใหผ้ตู้าม มีความตอ้งการที่จะเรียนรู้มากข้ึน ปกครองตนเองได้ดีข้ึนและตอ้งการรับใช้มากข้ึน และเมื่อได้ รวบรวมหลักการของการเป็นผนู้า เชิงจริยธรรมที่ไดม้าจากการศึกษางานของท้งั 3 ท่าน คือ Hiefetz, Burns และ Greenleaf ดังกล่าวข้างต้น Northouse ก็สามารถสรุปหลักการของภาวะผู้น าเชิง จริยธรรมได้ 5 หลักการด้วยกันคือ หลักนับถือผูอ้ื่น (Respects others) หลักบริการผู้อื่น (Serves
99 others) หลักแสดงความยุติธรรม (Shows justice) หลักเปิ ดเผยความซื่อสัตย์ (Manifests honesty) และหลักสร้างชุมชน (Builds community) (Northouse, 2000, pp. 255-258) การนบัถือผอู้ื่น หมายถึงผนู้า ที่ยนิยอมใหบุ้คคลอื่นแสดงตวัตนในแบบอยา่ง ที่เป็ นจริง ด้วยความต้องการและปรารถนาอยา่งสร้างสรรค์และเขา้หาบุคคลอื่นดว้ยความรู้สึกที่ จิตใจไร้ซึ่งเงื่อนไข (A sense of unconditional worth) และดว้ยความรู้สึกถึงคุณค่าของความแตกต่าง ของแต่ละบุคคล (Valuable individual differences) นอกจากน้ีการนับถือผู้อื่น ยงัรวมถึง การ ยอมรับความคิดของผู้อื่น (Credence to others’ ideas) และถือวา่บุคคลอื่นเป็นเพื่อนมนุษยด์ว้ยกนั (Conforming them as human being) และต้องให้เวลาหรือยืดเวลาแก่ผูอ้ื่น (Have to defer others) เมื่อถึงคราวจา เป็น ควรให้การอบรมต่อผูต้าม เพื่อให้ผูต้ามตระหนักถึงความตอ้งการและค่านิยม ของตนเอง และตอ้งนา เสนอและช่วยเหลือผตู้ามในการบูรณาการความตอ้งการและค่านิยมของผู้ ตามเขา้กบัความตอ้งการและค่านิยมของผนู้า (Northouse, 2000, p. 259) การบริการผู้อื่น ผู้น าที่ให้บริการผู้อื่น จะเป็ นผู้น าที่ยึดถือหลักจริยธรรม แบบปรัตถนิยม (Ethical Altruism) โดยพฤติกรรมบริการแบบปรัตถนิยมน้ีสามารถสังเกตไดจ้าก การกระท า เช่น การให้ค าปรึกษา (Mentoring) พฤติกรรมการมอบหมายอ านาจ (Empower behaviors) การสร้างทีมงาน (Team building) พฤติกรรมความเป็ นพลเมือง (Citizenship behaviors) และรวมถึง การค านึงถึงประโยชน์ของผู้อื่น (Beneficence) เช่น ดว้ยการช่วยเหลือให้ผูอ้ื่นทราบถึง ผลประโยชน์อันชอบธรรม (Legitimate interests) และเป้าหมายของตนเอง ตลอดจนไม่ทา การ ตดัสินใจที่ก่อให้เกิดผลร้ายแก่ผอู้ื่น เป็นตน้กล่าวอีกอยา่งหน่ึงก็คือผนู้า ที่มีจริยธรรมในดา้นการ ให้บริการแก่ผูอ้ื่นน้ีจะกระทา การใดๆ ก็เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ที่ดีข้ึนส าหรับผูอ้ื่น โดยยึดถือ ผู้ตามเป็ นศูนย์กลาง และค านึงถึงประโยชน์ของผู้อื่นตามเป็ นส าคัญ (Northouse, 2000, pp. 259-260) การแสดงความยุติธรรม ผู้น าเชิงจริยธรรมที่แสดงความยุติธรรมน้ีจะ คา นึงถึงประเด็นของความเท่าเทียม และยุติธรรม โดยใชห้ลกัของความเท่าเทียมกนัเป็นศูนยก์ลาง ในการตดัสินใจ ดงัน้นัผูน้า จะตดัสินใจใดๆ จา เป็นที่จะตอ้งยึดมนั่ในหลกัแห่งความยุติธรรมแบบ ครอบคลุมทวั่ถึง (Adhere to principles of distributive justice) ดว้ยเหตุน้ีผนู้า จึงมีพฤติกรรมในการ ปฏิบัติต่อผู้ตามอย่างเท่าเทียมกัน แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้น าตกอยู่ในสถานการณ์ที่พิเศษ คือ สถานการณ์ที่การตดัสินใจใดๆ ของผูน้า ไดก้่อให้เกิดความรู้สึกว่ามีความแตกต่างระหว่างบุคคล ผูน้ าจะต้องสามารถช้ีแจงได้อย่างชัดเจน มีเหตุผลและอยู่บนรากฐานของค่านิยมเชิงคุณธรรม (Based on sound moral values) ซ่ึงหลกัยุติธรรมที่เมื่อผูน้า ตอ้งตกอยู่ในสถานการณ์ดงักล่าวผูน้า สามารถประยุกต์ใช้หลักยุติธรรมที่ก่อให้เกิดความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ซ่ึงมีอยู่ด้วยกัน 6 ประการ คือ หลักแห่งการแบ่งปันอย่างเท่าเทียมกัน (Equal share) หลักแห่งความต้องการที่
100 แตกต่างของแต่ละคน (According to individual need) หลกัแห่งสิทธิของแต่ละคน (According to Person’s rights) หลักแห่งความพยายามที่แตกต่างของแต่ละคน (According to individual effort) หลักแห่งการให้คืนกลับสังคม (According to societal contribution) และหลักแห่งคุณความดี (According to merit) (Northouse, 2000, pp. 260-262) การเปิดเผยความซื่อสัตย์ผนู้า เชิงจริยธรรมที่มีความซื่อสัตยน์ ้ีจะเป็นบุคคลที่ ถือว่าเป็นผูน้ าที่แท้จริง (Authentic leader) ที่จะแสดงให้เห็นถึงความจริงต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม ผนู้า แบบน้ีจะส่งผลให้เกิดความอ่อนไหวต่อความรู้สึกและทศันคติของผอู้ื่นๆ ไดง้่ายกล่าวโดยง่าย ก็คือการพูดความจริงในบางคร้ังก็ก่อให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อผูพู้ดได้เพราะไปกระทา บกระท้งั ต่อบุคคลอื่น ดว้ยเหตุน้ีผนู้า ที่ซื่อสัตย์จึงมีพฤติกรรมที่จะไม่กระทา การหลอกลวงพูดแต่ความจริง โดยคา นึงถึงความสมดุลระหว่างความเปิดเผยและความตรงไปตรงมา โดยมีการคา นึงถึงความ เหมาะสมของระดับที่ควรเปิดเผยตามสถานการณ์และมีพฤติกรรม เช่น ไม่ให้คา สัญญาถ้าไม่ สามารถกระทา ได้ไม่ลืมคา สัญญา ไม่หลบเลี่ยงความรับผิดชอบ ไม่เอาตวัรอดเมื่อมีแรงกดดัน แสดงความขอบคุณและให้รางวลัต่อบุคคลที่มีพฤติกรรมที่ซื่อสัตยใ์นองค์การ (Northouse, 2000, pp. 262-263) การสร้างชุมชน ผูน้า เชิงจริยธรรมที่พยายามที่จะสร้างชุมชนน้ีจะคา นึงถึง ประโยชน์ของชุมชนโดยรวมเป็นส าคญั โดยผูน้า จะไม่พยายามที่จะยดัเหยียดความปรารถนาหรือ กา หนดความตอ้งการของตนเองต่อผอู้ื่น แต่จะแสวงหาเป้าหมายที่เขา้กนั ไดห้รือเหมาะสมกบัทุกๆ คนในชุมชนหรือองคก์าร ผูน้า เชิงจริยธรรมแบบสร้างชุมชนน้ีจะแสดงพฤติกรรมโดยคา นึงหรือ ให้ความส าคญัต่อความตอ้งการของทุกๆ คนในกลุ่ม ใส่ในผลประโยชน์ของชุมชนและคา นึงถึง วฒันธรรมของชุมชน ไม่กดดนัผอู้ื่นโดยการกระทา ที่แสดงให้เห็นถึงความไม่ใส่ใจต่อจุดมุ่งหมาย ของผอู้ื่นหรือไม่สนใจเจตนารมณ์ของผอู้ื่น และพยายามชกัจูงผอู้ื่นให้มองขา้มประโยชน์สูงสุดของ ตนเองดว้ยการนา เสนอเป้าหมายที่ส่งผลต่อประโยชน์สูงสุดของชุมชนโดยรวม (Northouse, 2000, pp. 263-264) ดงัที่ไดก้ล่าวมาแลว้ในตอนตน้ว่างานของ Northouse น้ีไดน้า เสนอแนวคิด ภาวะผนู้า เชิงจริยธรรมไวใ้นฐานะเพียงแต่แนวทางในการศึกษา ไม่ใช่ในฐานะทฤษฎีภาวะผนู้า เชิง จริยธรรมแต่อย่างใด (Northouse, 2000, p. 249) โดยยงัไม่มีการศึกษาเชิงประจกัษ์เป็นที่รองรับแต่ อยา่งใด วา่แนวคิดของ Northouse จะถูกตอ้ง ดว้ยเหตุน้ีทางผศู้ึกษาจึงจา เป็นที่จะตอ้งศึกษาแนวคิด ภาวะผนู้า เชิงจริยธรรมที่มีการศึกษาเชิงประจกัษ์รองรับเพื่อเป็นการพิสูจน์ในระดบัหน่ึงวา่ภาวะ ผู้น าเชิงจริยธรรมน้นัมีความสามารถในการอธิบายประสิทธิผลองค์การได้และมีความสัมพนัธ์กบั ภาวะผูน้ าแบบการเปลี่ยนแปลง ซ่ึงงานวิจยัที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงในขณะน้ีก็คือ งานที่
101 ท าการศึกษาโดย Brown, Trevino and Harrison (2005, pp. 117-134 ; อ้างถึงใน สุรัตน์ ไชยชมภู, 2557, น. 1-14) ในบ ทความเรื่ อง Ethical leadership: A social learning perspective for construct development and testing. ซึ่งจะน าเสนอรายละเอียดในหัวข้อถัดไป 3.8.2 ภาวะผู้น าเชิงจริยธรรมตามแนวคิดของ Brown al (2005) Brown, Treviño, & Harrison (2005, pp. 117-134 ;อ้างถึงใน สุ รัตน์ ไชยชมภู, 2557, น. 1-14) ได้ให้ความหมายของภาวะผู้น าเชิงจริยธรรม (A constitutive definition of ethical leadership) ไว้ว่าหมายถึงการแสดงออกที่เห็นได้ว่ามีความประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้องและ เหมาะสมตามธรรมนองครองธรรมทางในการปฏิบัติของบุคคลและระหวา่งบุคคลที่มีปฏิสัมพนัธ์ กนัหมายรวมถึงการส่งเสริมในการประพฤติปฏิบตัิดงักล่าวไปสู่ผตู้ามผา่นการสื่อสารในสองดา้น คือการเสริมสร้างอุปนิสัยจริยธรรมให้แข็งกลา้ตดัสินใจการแสดงออกอยา่งถูกตอ้งและเหมาะสม ตามประเพณีหรือเป็นแบบแผนตามที่มาตรฐานของสังคมไดก้า หนดไว้ผนู้า ที่ไดร้ับการยอมรับวา่ เป็นตวัแบบความประพฤติและการปฏิบตัิที่ดีทางจริยธรรม ตอ้งเป็นที่ยอมรับแก่ผตู้ามหรือบุคคลใน องค์การในด้าน ความซื่อสัตยส์ุจริตมีความยุติธรรมน่าเชื่อถือและดูแลเอาใจใส่ผูต้ามอย่างทวั่ถึง ครบถว้น สิ่งท้งัหลายที่กล่าวมาน้ีจะทา ให้ผนู้า ไดร้ับการยอมรับและเชื่อถือได้ ซึ่งผู้ตามจะได้น าไป เป็นแนวปฏิบตัิอย่างภาคภูมิใจและเชื่อได้ว่าเป็นตวัแบบ (Role model) หรือแบบอย่างที่ดีที่ควร น าไปปฏิบัติในการศึกษาเกี่ยวกับภาวะผูน้ าเชิงจริยธรรม (Ethical leadership) มีผู้ศึกษามาเป็ น ระยะเวลายาวนานแต่ยงัไม่มีประเด็นของการวิจยัอยา่งชดัเจนมากนกัเช่น ภาวะผนู้า เชิงจริยธรรม เป็นการเพิ่มระดบัของความประพฤติและแรงดลใจของผนู้า และผตู้ามมีการยอมรับซ่ึงกนัและกนัมี การพ่ึงพาอาศยักนัเพื่อให้บรรลุผลส าเร็จตามเป้าหมายสูงสุดขององค์การ ภาวะผูน้า เชิงจริยธรรม ควรเชื่อถือในตวับุคคลเอาใจใส่สิทธิและหน้าที่และศักยภาพ สร้างให้มีระบบการประสานความ ร่วมมือของกลุ่ม การฝึกปฏิบตัิด้วยตนเองก่อนแล้วจึงพฒันาไปสู่การเป็นผูน้ า ซ่ึงแบ่งได้เป็น 2 องค์ประกอบ คือองค์ประกอบด้านการแสดงการกระท าเชิงจริยธรรมของผู้น า และองค์ประกอบ ด้านการจัดการและสนับสนุนให้ผู้ตามแสดงการกระทา เชิงจริยธรรม ซ่ึงมีพฤติกรรมบ่งช้ีร่วมและ พฤติกรรมบ่งช้ีเฉพาะที่เกี่ยวขอ้งดงัแสดงตามตารางที่2.11 ต่อไปน้ี
102 ตารางที่ 2.11 แสดงองคป์ระกอบของภาวะผนู้า เชิงจริยธรรมและพฤติกรรมบ่งช้ี ประเภทของ พฤติกรรมบ่งช้ี องค์ประกอบด้านการแสดง การกระท าเชิงจริยธรรมของผู้น า องค์ประกอบด้านการจัดการและสนับสนุน ให้ผู้ตามแสดงการกระท าเชิงจริยธรรม พฤติกรรมบ่งช้ี ร่วมที่สอดคลอ้ง กบัพฤติกรรม ตามแนวคิดภาวะ ผู้น าเชิง จริยธรรมของ Brown, Treviño & Harrison (2005) 1. การแสดงความน่าเชื่อถือและ ไว้วางใจได้ 2. การรับฟังความคิดเห็นของ พนักงาน 3. การค านึงถึงผลประโยชน์ของ พนักงานเป็ นหลักในการ บริหารงาน 4. การตัดสินในในการบริหารงาน อยา่งยตุิธรรมและเหมาะสม 5. การประพฤติตนอยา่งมี จริยธรรมในชีวติส่วนตวัและการ งาน 1. การอภิปรายประเด็นทางจริยธรรมใน การทา งานร่วมกบัพนกังาน 2. การเป็นตวัอยา่งในการทา สิ่งที่ถูกตอ้ง เหมาะสมทางจริยธรรมในการทา งานใหก้บั พนักงาน 3. การเสริมแรงต่อพนกังานในการปฏิบตัิ ตามมาตรฐานทางจริยธรรมในการท างาน 4. การใหค้วามสา คญักบักระบวนการหรือ วธิีการในการทา งาน ไม่ไดพ้ ิจารณาเฉพาะ ผลงานเท่าน้นั 5. การใหค้วามสา คญักบัการกระทา สิ่งที่ ถูกต้องเสมอในการตัดสินใจใดๆ ที่มา: Brown, Treviño, & Harrison (2005, pp. 117-134 ; อ้างถึงใน สุรัตน์ ไชยชมภู, 2557, น. 14) ปิ ยรัฐ ธรรมพิทักษ์, และคณะ (2558, น. 135-158) ได้พัฒนาเครื่องมือวัด พหุระดบัของภาวะผูน้ าเชิงจริยธรรมให้เหมาะสมกบับริบทของสังคมไทย ทา ให้ได้แบบวดัใน ระดับบุคคล จ านวน 12ขอ้คา ถามและในระดบักลุ่มจา นวน 6ข้อค าถามดังแสดงรายละเอียดตาม ตารางดงัต่อไปน้ี ตารางที่ 2.12 แสดงเครื่องมือวัดพหุระดับของภาวะผู้น าเชิงจริยธรรม ข้อ องค์ประกอบ/ตัวแปรสังเกตได้
103 ข้อ องค์ประกอบ/ตัวแปรสังเกตได้ ระดบักลุ่ม องค์ประกอบ: ภาวะผู้น าเชิงจริยธรรม 1. เก็บรักษาขอ้มูลปัญหาของพนกังานโดยไม่เปิดเผยต่อผทู้ี่ไม่เกี่ยวขอ้งกบั ปัญหาน้นั 2. สนับสนุนให้พนักงานแสดงความคิดเห็นหรือน าเสนอผลงานของตนในที่ประชุม ตารางที่ 2.12 (ต่อ) ข้อ องค์ประกอบ/ตัวแปรสังเกตได้ 3. ปฏิบตัิตนอยา่งมีจริยธรรมท้งัในชีวติการทา งานและชีวติส่วนตวัใหพ้นกังานไดเ้ห็น 4. พยายามกา จดัสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการทา งานของพนกังาน 5. สอนงานใหพ้นกังานไดเ้รียนรู้จากพฤติกรรมของหวัหนา้เองที่เกี่ยวขอ้งในเรื่องน้นัๆ 6. เนน้ย้า ใหพ้นกังานไดร้ับรู้ถึงผลเสียต่างๆ ที่เกิดข้ึนจากการทุจริตในบริษทั ระดับบุคคล องค์ประกอบ: การแสดงการกระท าเชิงจริยธรรมของผู้น า 1. รายงานผลการดา เนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวขอ้งอยา่งตรงไปตรงมาตามจริง 2. เก็บรักษาขอ้มูลของพนกังานโดยไม่เปิดเผยต่อผทู้ี่ไม่เกี่ยวขอ้งกบั ปัญหาน้นัๆ 3. เปิดโอกาสใหพ้นกังานไดพ้บปะกบัหวัหนา้โดยตรงเพื่อใหพ้นกังานไดแ้สดงความคิดเห็นใน เรื่องต่างๆ 4. จดัการกบัความขดัแยง้ในหน่วยงานโดยรับฟังความคิดเห็นของผรู้่วมงานรอบดา้น 5. สนับสนุนให้พนักงานแสดงความคิดเห็นหรือน าเสนอผลงานของตนในที่ประชุม 6. ใหค้วามร่วมมือในการปฏิบตัิตามแนวทางที่หน่วยงานไดต้ดัสินใจร่วมกนั 7. ปฏิบตัิอยา่งมีจริยธรรมท้งัในชีวติการทา งานและชีวติส่วนตวัใหพ้นกังานไดเ้ห็น 8. พยายามกา จดัสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการทา งานของพนกังาน องค์ประกอบ: ด้านการจัดการและสนับสนุนให้ผู้ตามแสดงการกระท าเชิงจริยธรรม 9. สอนงานโดยใหพ้นกังานเรียนรู้จากพฤติกรรมของหวัหนา้เองที่เกี่ยวขอ้งในเรื่องน้นัๆ 10. ชมเชยหรือใหร้างวลัพนกังานที่แสดงพฤติกรรมที่สอดคลอ้งกบัมาตรฐานทางจริยธรรมใน การท างานของบริษัท 11. เนน้ย้า ใหพ้นกังานไดร้ับรู้ถึงผลเสียต่างๆ ที่เกิดจากการทุจริตในบริษทั 12. เชิญผทู้ี่ไดร้ับการยอมรับวา่เป็นผนู้า ที่มีจริยธรรมมาถ่ายทอดประสบการณ์และสิ่งที่ปฏิบตัิให้
104 ข้อ องค์ประกอบ/ตัวแปรสังเกตได้ พนักงานได้ฟัง ที่มา: ปิ ยรัฐ ธรรมพิทักษ์, และคณะ (2558, น. 135-158) จากการศึกษาของชูศกัด์ิเพชรกระจ่าง (2558, น. 103) สรุปไวว้่า มาตรวดั ภาวะผู้น าเชิงจริยธรรม (Ethical leadership scales: ELS) จากมุมมองการเรียนรู้ทางสังคม กล่าวคือ ผนู้า เชิงจริยธรรมจะกลายเป็นตวัแบบของการมีจริยปฏิบตัิและผนู้า ก็จะกลายเป็นเป้าหมายที่จะใช้ เป็นแบบอย่างทางจริยธรรมในการปฏิบตัิตามของผูต้าม ซ่ึงเครื่องมือวดัภาวะผูน้ าเชิงจริยธรรม ดงักล่าวมีขอ้ความ/ข้อค าถาม จ านวน 10ขอ้ดงัรายละเอียดที่แสดงตามตารางต่อไปน้ี ตารางที่ 2.13แสดงเครื่องมือวัดภาวะผู้น าเชิงจริยธรรม ข้อ ข้อความ 1. ผู้บริหารเป็ นบุคคลที่รับฟังปัญหาและความคิดเห็นจากทุกคนในองค์การ 2. ผบู้ริหารมีการตา หนิต่อผฝู้่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมที่กา หนดไวใ้นองคก์าร 3. ผบู้ริหารไดป้ฏิบตัิตนในชีวิตประจา วนัอยา่งมีจริยธรรม 4. ผู้บริหารค านึงถึงผลประโยชน์ของพนักงาน 5. ผู้บริหารเป็ นคนยุติธรรม 6. ผู้บริหารเป็ นบุคคลที่ไว้วางใจได้ 7. ผบู้ริหารไดก้ล่าวถึงค่านิยมทางจริยธรรมในที่ทา งาน 8. ผบู้ริหารมีการกา หนดตวัอยา่งวา่ควรจะทา อยา่งไรจึงจะถูกตอ้งในเชิงจริยธรรม 9. ผบู้ริหารไม่ตดัสินความสา เร็จจากเพียงแค่ผลงานเท่าน้นัแต่ยงัพิจารณาถึงวธิีการดว้ยวา่ ผลงานน้นัสา เร็จไดอ้ยา่งไร 10. ผบู้ริหารเมื่อจะทา การตดัสินใจเรื่องใด มกัจะถามทุกคนวา่อะไรคือสิ่งที่ถูกตอ้งที่ตอ้ง กระท า ที่มา: ชูศกัด์ิเพชรกระจ่าง (2558, น. 103)
105 สรุปได้ว่า ในการวิจยัในคร้ังน้ีผูว้ิจยัได้ศึกษาแนวคิดภาวะผูน้ าที่ส าคญัๆ ต้งัแต่อดีตจนถึงปัจจุบนัเพื่อนา มากา หนดเป็นกรอบแนวคิดในการวิเคราะห์และสังเคราะห์เป็น องค์ประกอบที่ส าคัญของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 บทบาทหน้าทขี่องผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่21 1. บทบาทของผู้บริหารในศตวรรษที่21 โลกในศตวรรษที่21 เป็นโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงการเปลี่ยนแปลงคือความเป็ น จริงของสังคมใหม่ที่มีปัญหาทา้ทายส าหรับผูบ้ริหารกระทรวงศึกษาธิการของนิวซีแลนด์(New Zealand Ministry of Education, 2013; อ้างถึงใน วิโรจน์สารรัตนะ, 2556, น. 70-75) กล่าวถึง โมเดลภาวะผู้น าทางการศึกษา (Educational leadership model) ซ่ึงเป็นโมเดลที่กล่าวถึงเรื่องของ คุณภาพ ความรู้และทักษะของผู้น าทางการศึกษา พอสรุปไดว้า่ ผู้บริหารสถานศึกษาจ าเป็ นต้องน า สถานศึกษาของตนเองเขา้สู่ศตวรรษที่21 และรับผดิชอบต่อผลการจดัการศึกษาในสถานศึกษาของ ตนเองในดา้นต่างๆ ดงัน้ี 1. ปรับปรุงผลลัพธ์ของนักเรียนทุกคน 2. ริเริ่มการจดักิจกรรมการเรียนรู้ที่มีประสิทธิผล 3. ส ารวจและสนับสนุนการใช้ICT และe – Learning 4. พัฒนาโรงเรียนให้เป็ นชุมชนการเรียนรู้ 5. สร้างเครือข่ายเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และความสา เร็จ และ 6. พัฒนาคนอื่นให้เป็ นผู้น า โมเดลภาวะผู้น าทางการศึกษา ดงักล่าวไดก้า หนดให้ความสัมพนัธ์เป็ นศูนย์กลาง มี กิจกรรมภาวะผูน้ าและคุณภาพของภาวะผูน้ าที่มีประสิทธิผล (Qualities of effective leadership) เป็ นองคป์ระกอบรายรอบอยู่ ดังภาพที่2.3
106 ภาพที่2.3 โมเดลภาวะผู้น าทางการศึกษา ที่มา : New Zealand Ministry of Education (2013;อ้างถึงใน วิโรจน์สารรัตนะ, 2556 น.71) New Zealand Ministry of Education (2013;อ้างถึงในวิโรจน์สารรัตนะ, 2556 น.71 –75) จากโมเดลดงักล่าวจะเห็นไดว้่ามีองค์ประกอบของภาวะผนู้า ทางการศึกษาไดแ้ก่ความสัมพนัธ์ซ่ึงอยู่ แกนกลางและมีพ้ืนที่การปฏิบตัิ(Areas of practice)ประกอบด้วยวัฒนธรรม (Culture) ศาสตร์การสอน (Pedagogy) ระบบ (System) ความเป็นหุ้นส่วนและเครือข่าย (Partnership and net works) รวมท้ัง กิจกรรมภาวะผนู้า ที่ประกอบดว้ยการนา การเปลี่ยนแปลง(Leading change) และการแกป้ ัญหา(Problem solving) และวงนอกที่เป็ นองค์ประกอบของคุณภาพของผู้น าที่มีประสิ ทธิผล (Qualities of effective leadership) ดังรายละเอียด ดงัน้ี ความสัมพันธ์ลักษณะของความสัมพนัธ์เป็นความสัมพันธ์ท้ังภายในและภายนอก สถานศึกษา โดยลักษณะของความสัมพันธ์น้ีจะต้องต้ังอยู่บนพ้ืนฐานของไว้วางใจที่ผู้บริหาร สถานศึกษาจะตอ้งสร้างให้เกิดข้ึนในองค์กรเช่น แสดงความสนใจและสร้างแรงบนัดาลใจให้เกิดกบั บุคลากรกระตุ้นให้พวกเขาแสดงบทบาทใหม่ๆ และสร้างโอกาสให้มีการพัฒนาวิชาชีพส่งเสริม สนับสนุนการใช้ทรัพยากรในการจดัการเรียนการสอนและสร้างสภาพแวดล้อมให้เอ้ือต่อการเรียนรู้ สร้างระบบการประเมินผลงานที่เปิดเผยและโปร่งใส มีการนิเทศช้นัเรียนที่กระตุน้บรรยากาศการเรียนรู้
107 ส่งเสริมสนบัสนุนให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการพัฒนาวิชาชีพ และกระตุ้นให้มีการผลิตนวัตกรรมเพื่อ พัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน วัฒนธรรม ผู้บริหารควรมีบทบาทในการสนับสนุนให้มีการสร้างสรรค์วัฒนธรรมใน ทางบวกและสร้างวฒันธรรมโรงเรียนโดยรวมให้เอ้ือต่อการเรียนการสอน เช่น สร้างความมนั่ใจวา่การ จัดการศึกษาของสถานศึกษามีคุณภาพเชื่อถือได้จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม ความปลอดภยัและเอ้ือ ต่อการเรียนรู้การสร้างบรรยากาศที่สนับสนุนความส าเร็จในการเรียนรู้สร้างตัวแบบการปฏิบัติงานที่ดี มีการชื่นชมในความสา เร็จและกา้วหนา้ของนกัเรียนและบุคลากร ศาสตร์การสอน เป็ นเรื่องของความรู้และการปฏิบตัิเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของผูเ้รียน ซึ่งผู้บริหารควรสร้างต้นแบบการปฏิบัติการเรียนการสอนที่มีประสิทธิผลส าหรับผู้เรียน แสดงบทบาท ในการเป็ นผู้น าในด้านวิชาการและควรแสดงบทบาทในการเป็ นผู้น าด้านการวางแผน การพัฒนาและ ประเมินหลักสูตรเพื่อส่งเสริมและกระตุ้นให้ครูปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้อง กบัความเปลี่ยนแปลง ระบบ ผู้บริหารควรสร้างสรรค์ระบบและเงื่อนไขการท างานที่จะช่วยให้บุคลากร สามารถทา งานและผเู้รียนสามารถเรียนรู้ไดอ้ยา่งมีประสิทธิภาพ เช่น การวางแผนงานการบริหารจัดการ ทรัพยากรการด าเนินการตามโครงการต่าง ๆ ของสถานศึกษาการติดตามผลการเรียนของนักเรียน การ ประเมินผลการรวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์ข้อมูลและการเอาใจใส่ต่อนกัเรียน ความเป็นหุ้นส่วนและ เครือข่าย(Partnership and net works) เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพ ผู้บริหาร ควรต้องมีการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ท้งัภายในและภายนอกกรณีเครือข่ายภายใน เช่นสร้างความ เชื่อมโยงระหว่างวิชาและระหว่างช้นัเรียน สร้างความสัมพนัธ์และการปฏิบตัิที่สนบัสนุนต่อการสอน ของครูและการเรียนรู้ของนักเรียน กรณีเครือข่ายภายนอกเช่น การเขา้ร่วมสัมมนาการร่วมในสมาคม เครือข่ายระหว่างโรงเรียน การทา งานร่วมกบัผูป้กครองปัจจุบนัผูบ้ริหารจา เป็นตอ้งบริหารบุคลากร เสมือนหน่ึงเป็นหุ้นส่วนของบริษัท และโดยนิยามของ หุ้นส่วน แล้วหุ้นส่วนทุกคนจะต้องมีความ เท่าเทียมกนัและไม่มีใครสามารถสั่งงาน หุ้นส่วนได้หากแต่ผูบ้ริหารจะตอ้งมีวิธีการชกัจูงหุ้นส่วนให้ ดา เนินกิจกรรมในสิ่งที่ตอ้งการด้วยคา ถามที่ว่ากลุ่มเป้าหมายของเราตอ้งการอะไร? นิยมชมชอบใน สิ่งใด ? ต้องการผลสุดท้ายออกมาในรูปแบบใด? เราควรจะตอ้งหนัมากา หนดขอบเขตของงานในองคก์ร อีกคร้ังหน่ึง มนัอาจจะไม่ใช่การบริหารงานบุคคลอาจจะต้องเป็ นการบริหารเพื่อผลการปฏิบัติงาน การน าการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารต้องมีทักษะและความสามารถในการบริ หารการ เปลี่ยนแปลงให้ไดอ้ย่างมีประสิทธิภาพ ดงัน้นัผูบ้ริหารจึงมีการใชข้อ้มูลและสารสนเทศเพื่อใชใ้นการ กา หนดยุทธศาสตร์และการนา ยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบตัิตระหนกัถึงศกัยภาพของสถานศึกษาต่อการ เปลี่ยนแปลง
108 การแกป้ ัญหาผบู้ริหารตอ้งนา ยุทธศาสตร์การมีส่วนร่วมและเหตุการณ์มาใช้เป็นฐานใน การแก้ปัญหาต่าง ๆ ในองค์กรผู้บริหารควรมีการศึกษาในรายละเอียดของเหตุการณ์มีการทดสอบ สมมติฐาน การวิเคราะห์มีการแกไ้ขปญัหาด้วยนวัตกรรมใหม่โดยค านึงถึงการบรรลุผลในวิสัยทัศน์ และยุทธศาสตร์ของโรงเรียนเป็ นหลักด้านคุณภาพของผู้น าที่มีประสิ ทธิผล ที่สนับสนุนต่อการ พัฒนาการสอนและผลลัพธ์การเรียนรู้ในโรงเรียน คือผู้น าต้องน าโดยยึดหลักคุณธรรมในการบริหาร มี ความเชื่อมั่นในตนเองเป็นผู้เรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอรวมทัง้ต้องเป็ นผู้น าทางและเป็ น ผู้สนับสนุน วิจารณ์ พานิช (2558, น. 5 –6) กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่21รวดเร็ว และ รุนแรงจนต้องมีการต้งัตวั ปรับตวัทางด้านการศึกษา ประเด็นของการที่ต้องบริหารการศึกษาโดย ค านึงถึงการเป็ นศตวรรษที่21 คือโลก สมยัน้ีมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรงการศึกษาต้อง คา นึงถึงประเด็นน้ีและเตรียมคนให้เผชิญกับสภาพน้ัน และยิ่งกว่าที่ต้องทา แบบน้ันคือต้องทา การ เข้าไปเป็ นผู้ด าเนินการเปลี่ยนแปลงซะเองการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรงน้นัจะทา ให้มนุษยเ์รา ต้องเตรียมไปเผชิญกบัสภาพน้นัการเตรียมไปเผชิญกบัสภาพน้นั คือการศึกษาการศึกษาในศตวรรษที่ 21 จึงไม่เหมือนการศึกษาในศตวรรษที่19 หรือ18 ถามว่า มนัต่างกนัอย่างไรการศึกษาในศตวรรษที่ 20 กบั 21 การศึกษาในศตวรรษที่20 น้นัสร้างคนไปทา งานตามรูปแบบที่กา หนดไวต้ายตวั มีแบบแผน กา หนดไวช้ดัเจน น้นัคือโลกสมยัเก่าโลกสมยัใหม่น้นัสิ่งเดิมก็ยงัตอ้งมีเหมือนกนัแต่ตอ้งมีความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์เปลี่ยนแปลงวิธีการต่าง ๆ ได้จะเน้นที่การต้งัคา ถามไม่ใช่เน้นที่การ ตอบค าถาม แต่ที่ พูดแบบน้ีไม่ไดใ้ห้เปลี่ยนแปลงไปร้อยท้งัร้อยแต่ตอ้งค่อยๆ เปลี่ยน คนที่ตอบ คา ถามเก่งนี่ใชไ้ด้แต่คน ที่เก่งกวา่คือคนที่ต้งัคา ถาม แลว้ก็หาทางตอบคา ถามเหล่าน้นัดว้ยหลายค าตอบ นี่คือเป็ นหน้าที่ของคน ในวงการศึกษา ทา ให้เกิดบรรยากาศของการเรียนแบบต้งัคา ถาม ให้เจอค าตอบหลาย ๆ ค าตอบ และดี ที่สุดคือการหาค าตอบโดยการลงมือปฏิบัติจริง สมยัก่อนน้นัการศึกษาเป็นเรื่องของการถ่ายทอดความรู้ สมยัใหม่น้ีนักเรียนระดับประถมหรืออนุบาลจะเรียนโดยวิธีการสร้างความรู้ข้ึนภายในกรอบฐาน ปฏิบตัิหลายๆ อย่าง นี่คือการเปลี่ยนแปลง สมยัก่อนน้นัเราเรียนเพื่อความรู้สมยัน้ีตอ้งให้ไดท้กัษะ ทา ไดป้ฏิบตัิได้ความรู้อยา่งเดียวไม่พอ ตอ้งพฒันารอบดา้น ดงัน้นัการบริหารสถานศึกษาไทย ตอ้งบริหาร การสร้างคนเป็ นผู้น าการเปลี่ยนแปลง ที่พัฒนาตนรอบด้าน เพื่อสร้าง 3 L คือ Student learning teacher learning และ Systems learning ต้องบริหารให้ไดร้ะบบการศึกษาที่รับผิดชอบต่อผลงานในทุกระดบัทุก ด้านและระบบที่เปิดและมีปฏิสัมพันธ์รอบด้าน คือเชื่อมโยงกับสังคม เป็น Change & learning management การบริหารศึกษาไทยต้องบริหารเพื่อเรียกคุณค่าและศกัด์ิศรีของสถาบันวิชาชีพครูให้ ต่อเนื่องและยงั่ยืน ซึ่ งบทบาทผูน้า เป็นการแสดงพฤติกรรมของผูบ้ริหารที่ดา รงตา แหน่งตามนัยสิทธิ และหน้าที่ของตา แหน่งน้ัน ซ่ึงถือว่ามีความส าคญัต่อการบริหารงาน เพราะบทบาทเป็นความคาดหวงั
109 ของบุคคลอื่นที่กา หนดหนา้ที่ให้ผบู้ริหารกระทา และความคาดหวงัน้นัมิไดม้ีอิทธิพลต่อการปฏิบตัิงาน เพียงอย่างเดียวแต่ยงัมีอิทธิพลต่อความต้องการความมุ่งหมายความเชื่อถือความรู้สึกนึกคิด ความ ปรารถนาและทศันคติของผบู้ริหารอีกดว้ยและการที่ผบู้ริหารปฏิบตัิหนา้ที่ในการบริหารงานไดอ้ยา่งมี ประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อเขา้ใจในบทบาทหน้าที่ของตนและเขา้ใจตรงกบับุคคลอื่นคาดหวงัดว้ยผูบริหาร ้ จึงตอ้งอาศยัความรู้ระเบียบ กฎหมายกรอบนโยบายของหน่วยงานเป็นแนวทางปฏิบตัิโดยแสดงบทบาท และหน้าที่ออกมาให้ประจักษ์ชัด โดยใช้ความรู้ความสามารถ สติปัญญา อารมณ์และบุคลิกภาพที่ดีและ เหมาะสม จึงจะทา ใหก้ารบริหารงานบรรลุเป้าหมายตามที่ตอ้งการไดอ้ยา่งมีประสิทธิภาพ สมศกัด์ิคงเที่ยง, และคณะ (2543, น. 8) ได้เสนอบทบาทที่ส าคัญๆ ของผู้บริหาร สถานศึกษา ไว้ 6 ประการคือ 1) ผู้บริหารสถานศึกษาต้องเป็ นผู้จัดการด้วย คือ ต้องเป็ นผู้ที่สามารถท า ให้สิ่งต่างๆ ในโรงเรียนด าเนินไปอย่างราบเรียบโดยอาศัยทักษะและหลักวิชาการเข้าช่วยนั่นเอง 2) ผู้บริหารสถานศึกษาต้องเป็ นผู้น าทางการสอน 3) ผู้บริหารสถานศึกษาต้องเป็ นผู้มีวินัยและรักษาวินัย 4)ผูบ้ริหารสถานศึกษาจะตอ้งมีมนุษยสัมพนัธ์และให้ความช่วยเหลือ5) ผู้บริหารสถานศึกษาต้องเป็ น ผรู้ิเริ่มให้มีการเปลี่ยนแปลงและ6) ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องเป็ นคนกลางที่จะขจัด หรือประสานงาน ในเรื่องความขดัแยง้ต่างๆ สุพล วังสินธ์ (2545, น. 16-17)ไดก้ล่าวถึง บทบาทของผบู้ริหารสถานศึกษาไวด้งัน้ี 1) เป็นผูน้า ในการพฒันาคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ของครูและนกัเรียน 2) เป็ นผู้น า ในการบริหาร โดยยึดแนวทางการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็ นฐาน (School based management: SBM) 3) เป็ นผู้น าด้านการน านวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาการเรียนรู้ 4) เป็ นผู้น าในการพัฒนา วิชาการ 5) เป็นผูป้ระสานความร่วมมือกับชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพฒันาการศึกษา 6) เป็นผนู้า ในการบริหารงานแบบประชาธิปไตยโดยร่วมกนัทา งานเป็นทีมและส่งเสริมให้ครูทุกคนมี ส่วนร่วมอย่างแข็งขนั 7) เป็ นผู้น าในการจัดการศึกษาและเป็ นเอกลักษณ์ขององค์กรในทางสร้างสรรค์ 8) เป็นผูน้า ในการบริหารคุณภาพ โดยให้ทุกคนมีส่วนร่วมคิด ร่วมตดัสินใจลงมือทา และรับผิดชอบ ร่วมกนัเพื่อมุ่งพฒันาคุณภาพของผูเ้รียนเป็นส าคญั 9) เป็นผูส้ร้างขวญัและกา ลงัใจแก่บุคลากรเพื่อให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงวฒันธรรมในการเรียนรู้และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซ่ึงกนัและกนัและ10) เป็ นผู้น า ในการจัดหางบประมาณเพื่อสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพการศึกษา สรุปได้ว่า บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาน้ันมีต้ังแต่การปฏิบัติหน้าที่ตาม ตา แหน่งหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นไปตามนโยบายระเบียบแบบแผนของทางราชการรวมท้งัมี ความประพฤติมีการวางตวัให้เหมาะสมกบัตา แหน่งหน้าที่ด้วยเพื่อให้งานส าเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย และตามที่สังคมต้องการ 2. หน้าทขี่องผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่21
110 หนา้ที่ของผบู้ริหารสถานศึกษาเป็นกิจกรรมหรือสิ่งที่ผบู้ริหารตอ้งปฏิบตัิในการ บริหารงานและบริหารคนเพื่อให้ภารกิจต่างๆ ในองค์การส าเร็จผลอย่างมีประสิทธิภาพถือเป็น หน้าที่ในการบริหาร (Management functions) ของผบู้ริหารทุกคนซ่ึงเป็นผนู้า ขององค์การไม่วา่จะ เป็นผูบ้ริหารหน่วยงานของรัฐ หรือหน่วยงานของเอกชน หรือ แม้แต่ผูบ้ริหารขององค์การทาง ศาสนาและสาธารณกุศลต่างๆ จะไดช้ื่อวา่เป็นนกับริหารที่แทจ้ริงก็ต่อเมื่อสามารถบริหารงานจนทา ให้องค์การบรรลุวัตถุประสงคต์ามเป้าหมายที่ต้งัไว้โดยหนา้ที่และภารกิจของผบู้ริหารการศึกษามี หลายแนวคิด แต่แนวคิดที่เห็นวา่ครอบคลุมไวด้งัต่อไปน้ี บทบาทของผบู้ริหารสถานศึกษา ตามพระราชบญัญตัิการศึกษาแห่งชาติมาตรา 39 ในพระราชบญัญตัิการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 ที่ให้กระทรวงกระจายอ านาจการบริหารจัดการ ไปยงัคณะกรรมการและส านกังานเขตพ้ืนที่การศึกษาโดยตรงใน 4 ด้านคือ ด้านการบริหารวิชาการ การบริหารงบประมาณ การบริหารบุคคล และการบริหารทั่วไป สรุปพอสังเขปได้ดังน้ี (กระทรวงศึกษาธิการ, 2553, น. 41) ด้านวิชาการประกอบด้วย 1) มีความรู้และเป็ นผู้น าด้านวิชาการ 2) มีความรู้ มี ทักษะ มีประสบการณ์ด้านการบริหารงาน 3) สามารถใช้ความรู้และประสบการณ์แกป้ ัญหาเฉพาะ หน้าได้ทนัท่วงที4) มีวิสัยทัศน์ 5) มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์6) ใฝ่เรียนใฝ่รู้มุ่งพฒันาตนเองอยู่ เสมอ 7) รอบรู้ทางด้านการศึกษา 8) ความรับผิดชอบ 9) แสวงหาขอ้มูลข่าวสาร10) รายงานผลการ ปฏิบตัิงานอยา่งเป็นระบบ 11) ใช้นวัตกรรมทางการบริหาร และ12) ค านึงถึงมาตรฐานวิชาการ ด้านการบริหารงบประมาณประกอบด้วย 1) เข้าใจนโยบาย อ านาจหน้าที่และ กิจกรรมในหน่วยงาน 2) มีความรู้ระบบงบประมาณ 3) เข้าใจระเบียบคลัง วัสดุ การเงิน 4) มีความ ซื่อสัตย์ สุจริต 5) มีความละเอียดรอบคอบ 6) มีความสามารถในการตดัสินใจอย่างมีเหตุผล 7) หมนั่ตรวจสอบการใชง้บประมาณอยเู่สมอและ 8) รายงานการเงินอยา่งเป็นระบบ ด้านการบริหารงานบุคคลประกอบด้วย 1) มีความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ ในการ บริหารงานบุคคล 2) เป็นแบบอยา่งที่ดี3) มีมนุษยสัมพันธ์ 4) มีอารมณ์ขัน 5) เป็ นนักประชาธิปไตย 6) ประนีประนอม 7) อดทน อดกล้นั 8) เป็ นนักพูดที่ดี 9) มีความสามารถในการประสานงาน 10) มี ความสามารถจูงใจใหค้นร่วมกนัทา งาน 11) กล้าตัดสินใจและ 12) มุ่งมนั่พฒันาองคก์ร ดา้นการบริหารทวั่ ไปประกอบดว้ย 1) เป็นนกัวางแผนและกา หนดนโยบายที่ดี 2) เป็นผูท้ ี่ตัดสินใจและวินิจฉัยสั่งการที่ดี3) มีความรู้ และบริหารโดยใช้ระบบสารสนเทศ ที่ ทันสมัย 4) เป็นผทู้ี่มีความสามารถในการติดต่อสื่อสาร 5) รู้จักมอบอ านาจและความรับผิดชอบ แก่ ผู้ที่เหมาะสม 6) มีความคล่องแคล่ววอ่งไวและตื่นตวัอยเู่สมอ7) มีความรับผดิชอบงานสูง ไม่ยอ่ทอ้ ต่อปัญหาอุปสรรคและ 8) กา กบัติดตามและประเมินผล
111 พรชัย ภาพันธ์ (2547, น. 44) กล่าวถึงบทบาทของผู้บริหารในการบริหาร สถานศึกษา มีภารกิจขอบข่ายและการจดัการศึกษาตามโครงสร้างสายงานที่เปลี่ยนแปลงใหม่และ เป็นบทบาท ที่ผูบ้ริหารตอ้งนา ไปใช้หรือน าไปปฏิบตัิในภารกิจ 4 ด้าน ดงัน้ี1) การบริหารงาน วชิาการเป็นภารกิจงานในการบริหารงานวิชาการไดโ้ดยอิสระคล่องตวัรวดเร็ว สอดคลอ้งกบัความ ต้องการของผู้เรียน โดยยึดผู้เรียนเป็นส าคญั ประสานความร่วมมือกบัครอบครัวองคก์ร หน่วยงาน และสถาบันอื่นๆ จัดภารกิจงานให้ครอบคลุมการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การพัฒนา กระบวนการเรียนรู้ การวัดผลประเมินผล การวิจัย การพัฒนาสื่อนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการศึกษา แหล่งเรียนรู้และการพฒันาระบบประกนัคุณภาพภายในสถานศึกษา 2) การบริหารงบประมาณ เป็นภารกิจงานในการบริหารงบประมาณ มุ่งเน้นความคล่องตวั โปร่งใส ตรวจสอบได้ยึดหลัก บริหารมุ่งเน้นผลสัมฤทธ์ิและบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน จดัภารกิจให้ครอบคลุมการ เสนอของบประมาณ การจัดสรรงบประมาณ บริหารงานการเงิน บัญชี พัสดุและสินทรัพย์ การ ตรวจสอบติดตามและประเมินผล 3) การบริหารงานบุคคลเป็นภารกิจงานในการบริหารงานบุคคล มุ่งส่งเสริมให้สถานศึกษาสามารถปฏิบัติงาน เพื่อตอบสนองภารกิจของสถานศึกษา บุคลากร ทางการศึกษา ให้ขวญัก าลังใจ ยกย่อง เชิดชูเกียรติความก้าวหน้างานในอาชีพ จัดภารกิจให้ ครอบคลุม การวางแผนอตัรากาลงัการบรรจุแต่งต้งัการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบตัิ ราชการ ตลอดจนวินัยและการรักษาวินัย และ 4) การบริหารทั่วไป เป็นภารกิจงานในการ บริหารงานทวั่ ไป เกี่ยวขอ้งกบัการจดัระบบการบริหารองคก์รให้บรรลุผลตามมาตรฐาน มุ่งเนน้การ มีส่วนร่วมของบุคคลจดัการศึกษาให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลจดัภารกิจงานให้ครอบคลุม งานส านกังาน การพฒันาระบบเครือข่ายขอ้มูลสารสนเทศเครือข่ายการศึกษา งานอาคารสถานที่ การระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาการจดัระบบควบคุมภายในและประสานงานราชการกบัเขตพ้ืนที่ การศึกษาและหน่วยงานอื่น สรุปได้ว่า งานของผูบ้ริหารน้ันอยู่ที่จุดกลางระหว่างงานและคนที่เป็นสมาชิก องคก์ารอยดู่า้นหน่ึงและเป้าหมายความส าเร็จขององคก์ารอยอู่ ีกดา้นหน่ึง ซ่ึงผบู้ริหารจะตอ้งทา การ วางแผน กา หนดเป้าหมายจดัองคก์ารจดังานพร้อมกบัการจดัคนเขา้ทา งานสั่งการผใู้ตบ้งัคับบัญชา ควบคุมให้การทา งานเป็นไปตามที่ตอ้งการและกา กบั ให้ประสานสอดคลอ้งไปในทิศทางเดียวกนั จนบรรลุเป้าหมายและสา เร็จตามวตัถุประสงคอ์ยา่งมีประสิทธิภาพ 3. คุณลกัษณะทพี่งึประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่21 เจริญ ภูวิจิตร์ (2555, น. 5-6) กล่าวว่า ผูบ้ริหารสถานศึกษาจึงนับว่าเป็นกลไก หลักที่ส าคัญมากของระบบการศึกษา และยอ่มหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้บริหารสถานศึกษาจึงต้องเผชิญ กบัความหลากหลายในการบริหารจดัการสถานศึกษาแห่งประชาคมอาเซียนในศตวรรษที่21 น้ี
112 ผู้บริหารสถานศึกษาจึงต้องเป็ นศูนย์กลางของครูและนักเรียน และการก าหนดวิสัยทัศน์ของ สถานศึกษาควรกา หนดให้เป็นศูนยก์ลางในการบริหารจดัการเพื่อสร้างสิ่งที่ดีกวา่เดิมของนกัเรียน และในความเป็ นผู้บริหารสถานศึกษาส าหรับในทุกๆ กิจกรรมที่กา หนดข้ึนจะตอ้งนา ไปสู่สิ่งที่ดี ส าหรับนักเรียน ถา้ไม่เป็นประโยชน์ส าหรับนกัเรียนก็ไม่มีเหตุผลที่ควรจะดา เนินกิจกรรมน้นัอยา่ง ต่อเนื่องซ่ึงเรื่องน้ีเป็นสิ่งที่ทา้ทายมากส าหรับผบู้ริหารสถานศึกษาและครูผบู้ริหารสถานศึกษาน้นั ต้องการครูที่ยอมรับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งที่ดีกว่า ต้องการครูที่สร้างความ สะดวกต่อโอกาสการเรียนรู้ของนกัเรียน ท้งัน้ีก็เพื่อให้นกัเรียนไดร้ับประสบการณ์ที่ส าคญัจากการ เรียนรู้ด้วยตนเองและแบบมีส่วนร่วม นา โลกกวา้งเขา้สู่ห้องเรียน และนา ผูเ้รียนออกสู่โลกกวา้ง โดยผูบ้ริหารสถานศึกษาตอ้งเขา้ไปมีส่วนร่วมเกี่ยวขอ้งในชุมชนของกระบวนการเรียนรู้ดงักล่าว เพราะว่ามีความหลากหลายของทรัพยากร/ชุมชน ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมสนับสนุน ความก้าวหน้าของนักเรียนและความสาเร็จของสถานศึกษา จึงพอจะก าหนดได้ว่าผู้บริหาร สถานศึกษาในประชาคมอาเซียนแห่งศตวรรษที่21 น้นัควรมีคุณลกัษณะดงัต่อไปน้ี 1. มีบุคลิกลักษณะที่เป็ นตัวของตัวเองแสดงออกชัดเจนเปิดเผยและมีความเป็ น อิสระในการบริหารจัดการสถานศึกษา 2. มีความเป็ นผู้น า กล้าหาญในเชิงคุณธรรมจริยธรรมเพื่อการเปลี่ยนแปลง 3. มีความซื่อสัตย์และคุณธรรมสูง รักและเอาใจใส่ต่อนกัเรียนอยา่งแทจ้ริง 4. มีความสามารถในการสื่อสาร คล่องแคล่วในทักษะการเขียนและการพูด ภาษาอังกฤษ 5. สามารถบังคับใช้กฎหมาย ระเบียบ สร้างความรับผิดชอบในการท างานด้วย ความยุติธรรม 6. มีความรู้ความสามารถทางการบริหารจัดการและด้านสังคม 7. มีความรู้ความเข้าใจในหลักปรัชญาทางการศึกษา 8. มีความสามารถในการกา หนดระบบการบริหารจดัการโดยใชส้ถานศึกษาเป็น ฐานอยา่งสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ 9. สามารถเข้าถึงความต้องการของครูผู้สอนเพื่อช่วยให้นักเรียนประสบ ความส าเร็จในการเรียน 10. มีความเป็ นผู้น า มุ่งมั่นสร้างโอกาสในการมีส่วนร่วมของครูบุคลากร นักเรียน ชุมชน ผมู้ีส่วนได้ส่วนเสียและพนัธมิตรของสถานศึกษาไดอ้ยา่งกลมเกลียวเป็นหน่ึงเดียว เพื่อนาไปสู่การตดัสินใจในการดา เนินงานของสถานศึกษา
113 11. มีความเป็ นผู้น าในการให้ความรู้ตอ้งรู้วา่อะไรดีและส่งผลต่อประสิทธิภาพ การสอน และสร้างกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการนิเทศในสถานศึกษาไดอ้ยา่งมีคุณภาพ 12. มีศกัยภาพในการจดัต้งัเครือข่ายและการวางแผนพฒันาครูอย่างเป็นระบบ ภายใตโ้ครงข่าย เทคโนโลยีสารสนเทศ ผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 จึงเป็ นควรเป็ นบุคคลที่มีคุณลักษณะ 12 ประการดังกล่าว ที่เต็มเปี่ ยมไปด้วยศักยภาพ สมรรถนะ ความรู้ความสามารถในการผู้น า สถานศึกษาสู่เป้าหมายวิสัยทัศน์ที่ได้วางไว้ด้วยการศูนย์กลางของครูบุคลากร นักเรียน ชุมชน ผู้มี ส่วนไดส้ ่วนเสียและพนัธมิตรของสถานศึกษา เป็นผูป้ระสานความร่วมมือ สร้างเครือข่ายเพื่อการ บริหารสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็ นที่ยอมรับศรัทธาของนักเรียน ครูบุคลากร ผปู้กครองและชุมชนอยา่งแทจ้ริง จากที่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมี คุณลกัษณะและพฤติกรรมในการเป็นผูน้ าที่ถูกตอ้งและเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นคุณลกัษณะด้าน บุคลิกภาพ คุณลักษณะด้านภาวะผู้น า คุณลักษณะด้านความรู้ทางวิชาการ เป็ นที่ยอมรับในความรู้ ความสามารถคุณสมบตัิในดา้นความสามารถในการบริหารอนัจะตอ้งผสมผสานเพื่อให้เกิดเป็น ผบู้ริหารสถานศึกษาที่มีภาวะผนู้า ในการบริหารเพื่อใหบ้รรลุเป้าหมายต่างๆ ที่ต้งัไว้ องค์ประกอบของ Thailand 4.0 1. ความหมายของ Thailand 4.0 ธีระเกียรติเจริญเศรษฐศิลป์(2559, น. 3) ไดก้ล่าววา่ ประเทศไทย4.0 หรือ Thailand 4.0 คือการพฒันาประเทศให้มีความทนัสมยัมีรายไดม้ากข้ึน และก้าวพน้จากกบัดกั ประเทศที่มีรายได้ ปานกลางโดยจะตอ้งผลิตนวตักรรมใหม่ๆ เพื่อเป็นฐานในการพฒันาประเทศและตอ้งสามารถติดต่อ คา้ขายกบันานาประเทศไดด้ว้ย สุวิทย์ เมษินทรีย์ (2560, น. 12) รัฐบาลไทยไดก้า หนดวิสัยทศัน์เชิงนโยบายการพฒันา เศรษฐกิจของประเทศไทยหรือโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลคือ ประเทศไทย 4.0 หรื อ Thailand 4.0 หมายถึงการพฒันาประเทศโดยนโยบายเศรษฐกิจที่ขบัเคลื่อนดว้ยนวตักรรม ดงัน้นัตอ้ง มีความเข้าใจ เข้าถึง จึงพัฒนาได้โดยใช้ศักยภาพของมนุษย์เป็ นตัวน า ขับเคลื่อนด้วยปัญญาของคน ตอ้งลงทุนในมนุษยใ์หเ้ป็นผลผลิตที่ดีทุกคนไดร้ับโอกาสเท่าเทียมกนัและอยอู่ยา่งยงั่ยนื สุกัญญา แช่มช้อย (2560, น. 14 -16) สถานศึกษาเป็นแหล่งผลิตเยาวชนให้เป็น ทรัพยากรมนุษยท์ ี่จะเป็นพลงัของประเทศไทยให้มีความกา้วหน้าให้เป็นไทยแลนด์4.0 และยกระดับ
114 คุณภาพทรัพยากรมนุษย์ให้เป็ นคนไทย 4.0 ดงัแผนพฒันาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบบัที่12 (พ.ศ.2560 –2564) ที่กา หนดยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวขอ้งกบัการจดัการศึกษา โดยมีเป้ าหมายให้คนไทยมี ทักษะ ความรู้ และความสามารถได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพสูงตามมาตรฐานสากลและสามารถเรียนรู้ ดว้ยตนเองอยา่งต่อเนื่อง มีทกัษะการคิดวิเคราะห์คิดสร้างสรรค์อยา่งเป็นระบบ มีทกัษะการทา งานที่ พร้อมเขา้สู่ตลาดแรงงาน และขยายโอกาสเขา้ถึงการศึกษาที่มีคุณภาพให้แก่เด็กและเยาวชนที่ด้อย โอกาสทางการศึกษาอยา่งต่อเนื่อง เป้าหมายคือการพฒันาผเู้รียนใหเ้ป็นคนไทย 4.0 ประเทศไทย 4.0 หรือ Thailand 4.0เป็นความมุ่งมนั่ของพลเอกประยุทธ์จนัทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหนา้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่เขา้มาบริหารประเทศบนวิสัยทัศน์ ที่ว่า มนั่คง มงั่คงั่และยงั่ยืน ที่ตอ้งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่“Value-Based Economy” หรือ “เศรษฐกิจที่ขบัเคลื่อนดว้ยนวตักรรม” ใหเ้กิดการเปลี่ยนแปลงอยา่งนอ้ย 3 มิติส าคัญ คือ 1. เปลี่ยนจากผลิตสินคา้โภคภณัฑไ์ปสู่สินคาเชิงนวัตกรรม ้ 2. เปลี่ยนจากการขับเคลื่อนประเทศด้วยภาคอุตสาหกรรมไปสู่การขับเคลื่อนด้วย เทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม 3. เปลี่ยนจากการเนน้ภาคการผลิตสินคา้ ไปสู่การเนน้ภาคบริการมากข้ึน ประเทศไทย 4.0 เป็นวิสัยทศัน์เชิงนโยบายการพฒันาเศรษฐกิจของประเทศไทยหรือ โมเดลพฒันาเศรษฐกิจของรัฐบาล ซ่ึงมีการพฒันา ดงัน้ี ประเทศไทย 1.0 ยคุของเกษตรกรรม เช่น ผลิตและขายผลผลิตทางเกษตรกรรม ประเทศไทยยุค 2.0 ยุคอุตสาหกรรม เช่น การผลิตและขายรองเทา้เครื่องหนงัเครื่องดื่ม เครื่องประดบัเครื่องเขียน กระเป๋า เครื่องนุ่งห่ม ประเทศไทยยุค 3.0เป็นอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนมากข้ึน เช่น การผลิตและขาย ส่งออกเหล็กกลา้รถยนต์กลนั่น้า มนัแยกก๊าซธรรมชาติปูนซีเมนต์ ประเทศไทยยุค 4.0 เป็ นการเติมเต็มด้วยวิทยาการความคิดสร้างสรรค์นวัตกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนาแล้วต่อยอดความไดเ้ปรียบเชิงเปรียบเทียบเพื่อขบัเคลื่อน การเติบโตทางเศรษฐกิจชุดใหม่ (New engines of growth) ด้วยการเปลี่ยนแปลงความได้เปรียบเชิง เปรียบเทียบของประเทศที่มีอยู่2 ด้าน คือ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายเชิง วฒันธรรม แล้วต่อยอดความได้เปรียบเชิงเปรี ยบเทียบเป็ น 5 กลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม เป้ าหมาย ประกอบด้วย 1. อาหาร เกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ (Food, agriculture, & bio –tech) 2. กลุ่มสาธารณสุข สุขภาพ และเทคโนโลยีทางการแพทย์(Health, wellness, & Bio - medical)
115 3. กลุ่มเครื่องมออุปกรณ์อัจฉริยะ หุ่นยนต์และระบบเครื่องกลที่ใช้ระบบ อิเล็กทรอนิกส์ควบคุม (Smart devices, robotics, & electronics) 4. กลุ่มดิจิทัล เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมต่อ และบังคับอุปกรณ์ต่างๆ ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว (Digital, & embedded technology) 5. กลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์วฒันธรรม และบริการที่มีมูลค่าสูง(Creative, culture & high value service) ดงัน้ัน ประเทศไทย4.0 เป็นการพฒันาเศรษฐกิจของไทย ซ่ึงมีการพฒันาเริ่มต้นจาก ประเทศไทย 1.0 ยุคของเกษตรกรรม ประเทศไทย 2.0 ยุคอุตสาหกรรมเบา และปัจจุบัน คือ ประเทศ ไทย 3.0 ยคุอุตสาหกรรมที่มีความซบัซ้อนมากข้ึน และเป็นยุคที่มีการใชข้อ้มูลข่าวสารและเทคโนโลยี สารสนเทศมากข้ึน ส่วนประเทศไทย4.0 เป็นยุคเศรษฐกิจที่ขบัเคลื่อนด้วยนวตักรรมหรือ Value – based economy ซึ่งเป็ นการใช้เทคโนโลยีและนวตักรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าสินคา้และบริการ โพยม จันทร์น้อย (2560, น. 1 –2) กล่าวว่า ไทยแลนด์4.0 เป็ นโมเดลในการพัฒนา เศรษฐกิจของประเทศ ที่มีมาไม่น้อยกว่า 50 ปีโดยในปี พ.ศ. 2504 เริ่มมีแผนพฒันาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติฉบบัแรกยุคน้ันน่าจะเป็นไทยแลนด์1.0 สังคมเกษตรกรรมที่เน้นการเกษตรเป็ นหลัก ซ่ึงในสมยัน้ันจะมีเพลงลูกทุ่งที่สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านและการพฒันาเศรษฐกิจของ ประเทศโดยให้ประชาชนรู้จกั ประกอบอาชีพด้านการเกษตร ดังเน้ือเพลง “พ.ศ. สองพันห้าร้อยสี่ ผใู้หญ่ลีตีกลองประชุม ชาวบา้นต่างมาชุมนุม มาประชุมที่บา้นผใู้หญ่ลีต่อไปน้ีผใู้หญ่ลีจะขอกล่าวถึง เรื่องราวที่ไดป้ระชุมมา ทางการเขาสั่งมาวา่ ให้ชาวนาเล้ียงเป็ด และสุกร” นบัวา่เป็นความพยายามของ รัฐบาลที่จะส่งเสริมใหป้ระชาชนมีรายไดย้คุไทยแลนด์1.0 เป็ นยุคที่ยาวนานพอสมควร ต่อมาเขา้สู่ยุคไทยแลนด์2.0 ที่มุ่งเน้นอุตสาหกรรมเบา ที่โด่งดงัมากคืออุตสาหกรรม สิ่งทอและก็มีบทเพลงฉนัทนาที่รัก สะทอ้นให้เห็นถึงในยคุน้นัดงัเน้ือเพลง“ปิดไฟใส่กลอนจะเขา้มุง้ นอนคิดถึงใบหน้า นงั่เขียนจดหมายแลว้รีบทิ้งไปโรงงานทอผา้ถึงคนชื่อฉันทนาที่เคยสบตากนัเป็น ประจ า” ต่อมาเขา้สู่ยคุไทยแลนด์ 3.0 มุ่งสู่อุตสาหกรรมที่มีความซบัซ้อนมากข้ึน มีการเปิ ดนิคม อุตสากรรมมากมาย ต่างชาติเขา้มาลงทุนอยา่งหลากหลายอตัราการขยายตวัทางเศรษฐกิจ7 -8% ต่อปี มีการคน้พบก๊าซธรรมชาติประกาศวา่เราจะเขา้สู่ประเทศโชติช่วงชชัวาลจนถึงถึงฟองสบู่แตกถึงแม้ จะมีการลงทุนจากต่างประเทศในเรื่องโรงงานอุตสาหกรรมหลากหลาย มีการจ้างแรงงานในประเทศ มากมายก็ตาม แต่รายไดข้องคนส่วนใหญ่ยงัตกอยใู่นรายไดป้านกลาง มีความเหลื่อมล้า ทางสังคม และ รายได้สูง ประเทศไทยเป็นเพียงแค่รับจา้งในการผลิตเท่าน้นัเช่น อุตสาหกรรมรถยนต์อุตสาหกรรม ไฟฟ้ า อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมพลาสติก อื่นๆ ที่เห็นชัดเจนที่สุด คืออุตสาหกรรมรถยนต์ เราเป็ น
116 แหล่งผลิตรถยนตส์ ่งขายทวั่ โลกแต่เราไม่มีรถยนตท์ ี่เป็นนวตักรรมของคนไทยเองในขณะที่ประเทศ ไทยมีแผนพฒันาเศรษฐกิจฉบบัที่1 เกาหลีใตป้ระเทศยงัไม่สามารถกา หนดอนาคตของประเทศไดเ้ลย ว่าจะเดินไปทางใด เพราะอยู่ในภาวะสงคราม ประชาชนยากจน แต่ปัจจุบนัเกาหลีใต้เป็นประเทศ ช้นันา ของเอเชีย มีนวตักรรมเป็นของตนเองไม่ว่ารถยนต์เครื่องใช้ไฟฟ้าโทรศพัท์ที่สามารถแข่งขนั กบัของอเมริกาไดอ้ยา่งภาคภูมิใจ การเขา้สู่ไทยแลนด์4.0 เป็นการเขา้สู่ยุคที่ประเทศไทยตองมีนวัตกรรมเป็ นของตนเอง ้ ไม่ต้องพ่ึงจากต่างชาติซ่ึงเป็นโจทยท์ ี่ท้ายทายสูงมากๆ ทา อย่างไรเราจะพฒันานวตักรรมเป็นของ ตนเองไดท้ ้งัๆ ที่เรามีทรัพยากรที่มีอยใู่นประเทศมากมายเช่น ขา้วยางพาราแร่ผลผลิตทางการเกษตร อื่นๆ เราทา อย่างไรที่จะมีผลิตภณัฑ์เกี่ยวกบัเรื่องขา้วที่มากกว่าอาหารประจา วนัเราทา อยา่งไรที่จะมี ผลิตภัณฑ์ยางพารา นอกเหนือจากน้ ายางพารา หรืออื่นๆ ที่เป็นนวตักรรมของเรา เราเคยมีวิทยุ โทรทศัน์ยี่ห้อธานินท์ซ่ึงเป็นของคนไทยผลิตโดยคนไทยแต่เสียดายไม่ไดต้ ่อยอดและตอ้งปิดตวัเอง ไป ถึงเวลาที่ทุกภาคส่วนตอ้งเขา้มาช่วยระดมความคิดในการพฒันาประเทศให้เขา้สู่ไทยแลนด์4.0ให้ มีความสมบูรณ์ สรุปไดว้า่ ประเทศไทย 4.0 หมายถึง เครื่องมือพัฒนาคนให้มีสมรรถนะ สนับสนุนให้ เกิดเทคโนโลยีวทิยาศาสตร์/สังคมศาสตร์และนวตักรรมวิทยาศาสตร์/สังคมศาสตร์มีส่วนร่วมพฒันา เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่เอ้ือต่อการอารยาภิวฒัน์ประเทศเป็นกระบวนการพฒันาประเทศสู่ความ เป็นอารยะหรือประเทศที่เจริญแลว้อยา่งครบถว้นทุกดา้น ทุกมิติและทุกองคป์ระกอบของสังคมโดยมี ผเู้รียนเป็นศูนยก์ลางเนน้การคิด พฒันาสมรรถนะที่สามารถปฏิบตัิไดจ้ริงเป็นถิ่นโลกาภิวตัน์เป็นฝ่าย แสวงเอง ผลิตองค์ความรู้และนวัตกรรม บูรณาการกบัสังคม ร่วมมือกนัทา เรียนแบบนกัปราชญ์โดยมี เป้ าหมายในการยกระดับคุณภาพการศึกษา สร้างผู้เรียนที่มีสมรรถนะเป็ นที่ต้องการ สนับสนุนการคิด นวัตกรรม และการพึ่งตนเองได้บ้างทางด้านเทคโนโลยี 2. การบริหารการศึกษาส าหรับศตวรรษที่21 วิโรจน์สารรัตนะ (2557, น.15 -16) กล่าวว่า ท้งัในกรณีที่เป็นหลกัสูตรหรือที่เป็นการ ปฏิบัติในสถานศึกษาการบริหารการศึกษาจะเป็ น “การบริหารการศึกษา” หรือ“การบริหารการศึกษา ส าหรับศตวรรษที่21” มีความหมายไม่แตกต่างกนัเพราะดงัที่กล่าวในตอนตน้ การบริหารการศึกษา เน้นคุณลักษณะความเป็ นนักนโยบายที่ถูกทิศทางเป็ นผู้น าที่มีวิสัยทัศน์และเป็ นนักปฏิบัติที่มีหัวใจ เป็ นผู้น า ที่จะต้องศึกษาเรียนรู้สารสนเทศที่ช่วยเสริมสร้างคุณลักษณะต่างๆ ดังกล่าวโดยเฉพาะ อยา่งยิ่งสารสนเทศในประเด็นและแนวโนม้ทางการศึกษาในอนาคต เพราะนโยบายหรือวิสัยทัศน์เป็ น เรื่องอนาคต เป็ นเรื่องการมองไปข้างหน้า ดงัน้นั องค์ความรู้ใดๆ ที่มีผกู้ล่าวถึงส าหรับอนาคต ถือเป็ น
117 องค์ความรู้ที่ส าคญัและจา เป็นต่อการเสริมสร้างวิสัยทศัน์และการกา หนดนโยบายที่ถูกทิศทางท้งัสิ้น ไม่จา กดัแต่องคค์วามรู้เกี่ยวกบัการศึกษาศตวรรษที่21 อย่างไรก็ตาม ขอน าองค์ความรู้ที่มีผูก้ล่าวถึงการศึกษาส าหรับศตวรรษที่21 มาเป็ น กรณีศึกษาไวข้า้งล่างน้ีส่วนหน่ึง เพื่อต้งัคา ถามกบัผูบ้ริหารหลกัสูตรกบันักศึกษาในหลกัสูตรกับ ผบู้ริหารระดบัสถานศึกษากบัผูบ้ริหารระดบัเขตพ้ืนที่การศึกษา หรือบุคลากรทางการศึกษาไม่ว่าจะ เป็ นระดับใด ว่าเป็นองค์ความรู้ที่ส าคญัและจา เป็นส าหรับการศึกษาเรียนรู้ทางการบริหารการศึกษา หรือไม่ไม่วา่จะเป็นในหลกัสูตรการศึกษาหรือในการปฏิบตัิจริงในสถานศึกษา 2.1 ประเภทของวตัถุประสงค์ทางการศึกษาส าหรับศตวรรษที่21 วิโรจน์สารรัตนะ (2557, น.16 -17)กล่าวถึง ประเภทของวัตถุประสงค์ทาง การศึกษา (Taxonomy of educational objectives) ที่ Benjamin Bloom นักจิตวิทยาทางการศึกษาได้ พฒันาข้ึนเป็นคร้ังแรกในปี1956 ที่ภายหลงัไดก้ลายเป็นเครื่องมือส าคญั ในการทา ความเขา้ใจเกี่ยวกบั กระบวนการเรี ยนรู้(Learning process) และวิธี การเรี ยนรู้(How to learn) โดย Bloom ได้จ าแนก ประเภทของวัตถุประสงค์ทางการศึกษาในเชิงจิตวิทยาออกเป็ น 3 ด้าน (Domains) ดงัน้ีด้านพุทธิพิสัย (Cognitive domain) เกี่ยวกับกระบวนการทางสมองหรือสติปัญญา ด้านจิตพิสัย (Affective domain) เกี่ยวกบัทศันคติและความรู้สึก ด้านทักษะพิสัย(Psychomotor domain) เกี่ยวกบัทกัษะทางมือหรือทาง ร่างกาย ด้านพุทธิพิสัย มีการปรับปรุงและเพิ่มเติมในภายหลงัส่วนดา้นอื่นยงัคงเดิมโดย ด้านพุทธิพิสัยรูปแบบด้งัเดิมที่พฒันาข้ึนในปี1956 น้นัจดัเรียงลา ดบัแบบต่อเนื่อง(Continuum) จาก ทกัษะการคิดข้นัต่า กว่า (Lower order thinking skills: LOTS) ไปหาทักษะการคิดข้นัสูงกว่า (Higher order thinking skills: HOTS) ซึ่ งแสดงให้เห็นถึงกระบวนการเรียนรู้(Process of learning)และวิธีการ เรียนรู้(How to learn) ที่เป็ นไปตามล าดับจากความจ าความเข้าใจการประยุกต์ใช้การวิเคราะห์ การ สังเคราะห์และการประเมินคุณค่า ในปี2001 Anderson, and Krathwohl ได้ปรับปรุงและจัดพิมพ์ใหม่ชื่อ“Bloom's revised taxonomy in 2001” โดยใช้“ค ากริยา” แทน “ค านาม” และจดัเรียงลา ดับข้นัการคิดใหม่จาก ล าดับการคิดข้ันสังเคราะห์(Synthesis) และการประเมินค่า (Evaluation) สลับเป็นการคิดข้ันการ ประเมินค่า (Evaluating) และการสร้างสรรค์(Creating) โดยมีกระบวนการและวธิีการเรียนรู้ดงัน้ี 1. ก่อนที่จะ Understand ใน Concept น้นัได้ต้อง Remember เสียก่อน 2. ก่อนที่จะ Apply ใน Concept น้นัได้ต้อง Understand เสียก่อน 3. ก่อนที่จะ Analysis ได้จะต้อง Apply เสียก่อน 4. ก่อนที่จะ Evaluate ได้จะต้อง Analysis เสียก่อน
118 5. ก่อนที่จะ Create ได้จะต้อง Remembered, uderstood, applied, analyzed, and evaluated เสียก่อน (Creating หรือSynthesizing ใชแ้ทนกนัได)้ ส าหรับกระบวนการหรือวิธีการเรียนรู้ในรูปแบบดังกล่าว อาจมีนักวิชาการ บางท่านให้ขอ้โตแ้ยง้วา่บางกิจกรรมหรือบางกรณีอาจไม่จา เป็นตอ้งมีบางข้นัตอนก็ได้หรือบางท่าน เห็นว่าทุกกิจกรรมควรจะดา เนินไปถึงข้นัการสร้างสรรค์ซ่ึงก็มีผใู้ห้ทศันะช้ีแจงว่า เป็ นทางเลือกของ แต่ละบุคคลไม่จา เป็น ตอ้งเหมือนกนัเพราะการเรียนรู้เกิดข้ึนในข้นัตอนใดก็ได้เพียงแต่วา่ โดยปกติ จะเกิดจากข้นัก่อนหนา้แลว้เป็นไปตามข้นัตอน ดังภาพประกอบ ภาพที่2.4 กระบวนการและวธิีการเรียนรู้ที่เป็นไปตามลา ดบัข้นัที่ปรับใหม่ปี2001 ที่มา: วิโรจน์สารรัตนะ (2557, น.17) ในปี2007 Churches ได้เพิ่ม ”ค ากริ ยา” ที่สะท้อนให้เห็นถึงวัตถุประสงค์และ กิจกรรมที่จะเกิดข้ึนจากการใช้“เทคโนโลยีดิจิตอล” ในกระบวนการเรียนรู้ด้วย (Robert, 2011) ซึ่ ง “ค ากริยา” เหล่าน้ีเป็นแนวทางที่นักการศึกษาจะใช้กา หนดวตัถุประสงค์และกิจกรรมการเรียนรู้ให้ เกิดข้ึนจากการใช้เทคโนโลยีดิจิตอลในช้นัเรียนไดใ้นหลายกรณีท้งักรณีการออกแบบหลกัสูตรการ จัดท ารายวิชาการสอน การเรียนรู้การประเมินผล และอื่นๆ เช่นเดียวกับที่เคยใช้“1956 Bloom's taxonomy” มาในหลายทศวรรษก่อนหนา้น้ี
119 ท้งัน้ีในแต่ละประเภทการคิด มี“ค ากริยา” ที่เกี่ยวขอ้งดงัแสดงในหน้าถดัไป โดย บรรทัดแรกเป็ น “ค ากริยา” ที่สะท้อนถึงวตัถุประสงค์และกิจกรรมในช้ันเรียนตาม “2001 Revised Bloom's taxonomy” ในบรรทัดถัดไปเป็ น “ค ากริยา” ที่สะท้อนให้เห็นถึงวตัถุประสงค์และกิจกรรม จากการใช้เทคโนโลยีดิจิตอลในช้ันเรียนตาม “2007 Bloom's digital taxonomy” (ขอใช้ค าใน ภาษาอังกฤษ เพื่อไม่ใหก้ารตีความเพื่อความเขา้ใจแตกต่างกนั ) 2.2 ศาสตร์การสอนส าหรับศตวรรษที่21 Churches (2008, p. 43) ได้กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงห้องเรียน ครูหลักสูตรและ การเรี ยนรู้เพื่อศตวรรษที่ 21 น้ันยังไม่เพียงพอ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในศาสตร์การสอน (pedagogy) ด้วย นนั่คือศาสตร์การสอนจะต้องสะท้อนถึงวิธีการเรียนรู้ของนักเรียน จะต้องสะท้อนถึง โลกที่พวกเขาจะเดินทางเข้าไปในอนาคต เป็ นโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอยา่งรวดเร็ว มีการเชื่อมโยง มี การปรับเปลี่ยน และมีวิวัฒนาการ ดงัน้นั รูปแบบและวิธีสอนจะต้องเน้นการเรียนรู้เพื่อศตวรรษที่21 ซ่ึงมีองคป์ระกอบที่สา คญัดงัน้ี(ดูภาพที่ 2.5 ประกอบ) 1) สร้างความรู้คล่องในการใช้สื่อ สารสนเทศและเทคโนโลยี(Technological, information and media fluencies) 2) ค านึงถึงบริบทที่เป็ นจริง (Reality-based) 3) เป็ นสหวิทยาการ (Interdisciplinary) 4) ยดึความร่วมมือ(Collaboration) 5) ยึดโครงงานเป็ นฐาน (Project based learning) 6) ใชก้ารแกป้ ัญหาเป็นเครื่องมือสอน (Uses problem solving as a teaching tool) 7) ประเมินโปร่งใส (Transparency) 8) พัฒนาทักษะการคิด (Thinking skills)
120 ภาพที่2.5 รูปแบบและวิธีสอนที่ต้องเน้นการเรียนรู้เพื่อศตวรรษที่21 ที่มา: Churches (2008, p. 44) 2.3 แนวโน้มส าหรับโรงเรียนในศตวรรษที่21 Nair (2007, p. 20) กล่าวถึง15 แนวโน้มส าหรับโรงเรียนในศตวรรษที่21 ที่จะท า ใหโ้รงเรียนไม่เป็นเฉพาะสถานที่เรียน แต่จะเป็นประตูสู่โลกแห่งการเรียนรู้ดว้ยดงัน้ี 1) เป็นคอมพิวเตอร์กนัทุกที่ใชก้นัไดทุ้กเวลา (Ubiquitous computing) 2) นกัเรียนทุกคนสามารถเขา้ถึงเครือข่ายไร้สายและอินเตอร์เน็ตได้ 3) ใชเ้ทคโนโลยเีขม้ขน้ข้ึน 4) เนน้การเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการมากข้ึน 5) ลดการเรียนการสอนแบบช้นัเรียนลง
121 6) นิยามของFood court มาแทนที่นิยามของ Cafeteria 7) เปิดพ้ืนที่ส่วนรวมมากข้ึน (Shared common areas) 8) การออกแบบเฟอร์นิเจอร์เป็นไปอย่างมีจินตนาการมากข้ึน ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ ท างาน เก้าอ้ีหรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์มีการจัดวางรูปแบบของที่ท างานและอุปกรณ์ส านักงานให้ เหมาะสมสะดวก ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ 9) เป็ นหลักสูตรสหวิทยาการ ไม่แยกส่วน และเป็นการสอนแบบทีมมากข้ึน 10) เนน้การเรียนรู้เชิงบริการมากข้ึน โดยเฉพาะกิจกรรมบริการชุมชน 11) นกัเรียนสร้างผลผลิตเชิงธุรกิจมากข้ึน เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์และรายได้ มีการสร้างความเป็นหุ้นส่วนกบัธุรกิจ มีการออกแบบช้ันเรียน พ้ืนที่โรงเรียน และวัสดุอุปกรณ์เพื่อ สร้างผลผลิต 12) เป็ นสตูดิโออิเล็กทรอนิกส์เพื่อการเรี ยนรู้ทางไกลแทนที่ห้องปฏิบัติการ คอมพิวเตอร์เป็นสตูดิโอที่นกัเรียนสามารถพบกบัผูเ้ชี่ยวชาญไดท้วั่ โลก สามารถนา เสนอผลงานท้งั ส่วนตวัหรือเป็นกลุ่มไดอ้ยา่งมืออาชีพ 13) สิ่งอา นวยความสะดวกเพื่อการผลิตไฮเทคมีมากข้ึน เช่น อุปกรณ์การผลิตฟิ ล์ม หรือผลิตวีดิโอ เป็ นต้น 14) มีแผนงานการศึกษาเพื่อชุมชนและผูป้กครองในโรงเรียนมากข้ึน เชื่อมโยงกบั แนวโน้มการเปิดพ้ืนที่เพื่อชุมชนที่มากข้ึนในขอ้ 7 เน้นแผนงานเกี่ยวกบัการใช้เทคโนโลยีจากศูนย์ การเรียนรู้ทางไกลที่กล่าวในแนวโนม้ที่12 15) การเป็นหุ้นส่วนการเรียนรู้กบั โรงเรียนหรือมหาวิทยาลยัอื่นใหม่ๆ มีมากข้ึน อันเนื่องการใช้คอมพิวเตอร์ที่หลากหลายและมีศูนย์การเรียนรู้ทางไกล 2.4 กระบวนทัศน์ใหม่ส าหรับการศึกษาในศตวรรษที่21 Tirto (2010, p. 22) กล่าวว่าจากการเกิดข้ึนของเทคโนโลยีสารสนเทศและการ ส่งผลให้เกิดความเป็นโลกใบเดียวกนัช่วยให้เกิดความเป็นไปไดม้ากมายที่ไม่มีขอบเขตจา กดัต่อการ คน้พบและต่อการพฒันาสิ่งใหม่ๆ ที่น่าตื่นเตน้เช่น พลงังานรูปแบบใหม่ความกา้วหนา้ทางการแพทย์ การฟ้ืนฟูสภาพแวดลอ้ม การสื่อสารการส ารวจอวกาศ หรือการส ารวจส่วนลึกในมหาสมุทรเป็ นต้น ในปัจจุบันถือเป็ นสังคมความรู้เป็ นสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงในกระบวนทัศน์(Paradigm shift) ใน แง่มุมต่างๆ ทางสังคม เศรษฐกิจและสติปัญญาจากสังคมอุตสาหกรรม (Industrial age) ซึ่งเป็ นสังคม ที่มีรูปแบบการจดัการศึกษาเป็นแบบด้งัเดิม แต่ในยุคปัจจุบนั ยุคสังคมความรู้ต้องการทักษะการคิดใน ข้นัที่สูงข้ึนกวา่เดิมเพื่อให้สามารถเป็นผูเ้รียนที่พ่ึงตนเองไดต้ลอดชีวิต และเป็ นประชากรที่มีคุณภาพ โดยในสังคมความรู้คา วา่ “ความรู้” มีความหมายใหม่จากความหมายเดิมที่หมายถึง สิ่งที่รับมาแลว้ถูก
122 บรรจุเก็บไว้เปลี่ยนเป็นหมายถึงพลงัที่จะก่อให้เกิดการกระทา หรือพลงัที่จะทา ให้สิ่งต่างๆ เกิดเป็น จริงข้ึนได้(Energy–something that does things, something that makes things happen) ใน การที่ จะ ก่อให้เกิดความรู้ในความหมายใหม่น้ีจา เป็นตอ้งมีวิธีการคิดใหม่ๆ ในปัจจุบนันักเรียนอาศยัอยู่ใน โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอยา่งรวดเร็ว มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีพลังขับทางเทคโนโลยีและ มีสื่อที่อิ่มตวัแต่เรายงัไม่สามารถขบัเคลื่อนการจดัการศึกษาของเราในรูปแบบศตวรรษที่20 เขา้สู่ รูปแบบใหม่ส าหรับศตวรรษที่21 ที่ต้อง“นิยาม” คา ว่าการศึกษาโรงเรียนหลักสูตรครูและผู้เรียน กนัเสียใหม่ เพื่อให้การออกแบบการศึกษาส าหรับอนาคตประสบผลส าเร็จ ซ่ึงตารางข้างล่างน้ีจะ แสดงถึงลกัษณะที่แตกต่างกนั ในแง่มุมต่างๆ ของการจัดการศึกษาในยุคอุตสาหกรรมกบัยุคความรู้ หรือยุคสารสนเทศ สรุปได้ว่าการบริหารการศึกษาส าหรับศตวรรษที่ 21 หมายถึง การบริ หาร การศึกษาที่เน้นคุณลักษณะความเป็ นนักนโยบายที่ถูกทิศทางเป็ นผู้น าที่มีวิสัยทัศน์และเป็ นนักปฏิบัติ ที่มีหัวใจเป็ นผู้น า ที่จะตอ้งศึกษาเรียนรู้สารสนเทศที่ช่วยเสริมสร้างคุณลกัษณะต่างๆ โดยเฉพาะอยา่ง ยิ่งสารสนเทศ ดงัน้ัน องค์ความรู้ใดๆ ที่มีผูก้ล่าวถึงส าหรับอนาคต ถือเป็ นองค์ความรู้ที่ส าคัญและ จา เป็นต่อการเสริมสร้างวสิัยทศัน์และการกา หนดนโยบายการศึกษาศตวรรษที่21 แนวคิดเกยี่วกบัรูปแบบ ผูว้ิจยัได้ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวขอ้งกบัรูปแบบและการพฒันารูปแบบ โดยมีรายละเอียด ดงัต่อไปน้ี 1. ความหมายของรูปแบบ ความหมายของรูปแบบ (Model) ไดม้ีนกัวิชาการหลายท่านให้ความหมายพอสรุปได้ มีดงัน้ี วัชนีย์เชาว์ด ารง (อ้างถึงใน เบญจพร แก้วมีศรี, 2545, น. 89) กล่าวว่า รูปแบบ หมายถึงแบบจ าลอง แบบแผน หุ่นจา ลองหรือโครงสร้างที่สร้างข้ึนเพื่อแทนสภาพความเป็นจริง อยา่งใดอยา่งหน่ึง ซ่ึงเป็นการอธิบายความสัมพนัธ์ขององคป์ระกอบต่างๆของรูปแบบน้นั เบญจพร แก้วมีศรี(2545, น. 89) กล่าวว่า รูปแบบ หมายถึง ตัวแทนของความเป็ น จริงที่ทา ให้ความสลบัซับซ้อนสามารถเขา้ใจไดง้่ายข้ึนเป็นการสะทอ้นบางส่วนของปรากฏการณ์ ออกมาให้เห็นความสัมพนัธ์ต่อเนื่องและเป็นเหตุเป็นผลกนัมีการเชื่อมโยงสิ่งที่เกี่ยวขอ้งมาไว้ ดว้ยกนัโดยใชข้อ้มูลเหตุผลมาประกอบเป็นการยอ่ส่วนของปรากฏการณ์ที่เป็นภาษาหรือสัญลักษณ์ ใหเ้ขา้ใจไดง้่ายข้ึน
123 รุ่งชชัดาพร เวหะชาติ(2548, น. 11) กล่าววา่ รูปแบบ หมายถึง สิ่งที่สร้างหรือพฒันา มาจากแนวคิด ทฤษฎีเพื่อถ่ายทอดความสัมพนัธ์ขององค์ประกอบโดยใช้สื่อที่ทา ให้เขา้ใจง่ายข้ึน และกระชับถูกต้อง สามารถตรวจสอบเปรียบเทียบกบั ปรากฏการณ์จริงไดช้่วยใหต้นเองและคนอื่น เขา้ใจไดช้ดัเจนข้ึน นงลักษณ์เรื อนทอง (2550, น.77) สรุปได้ว่า รูปแบบ หมายถึง สิ่งที่แสดงถึง โครงสร้างความสัมพันธ์ทางความคิดขององค์ประกอบ หรือตวัแปรต่าง ๆที่สาคัญของเรื่องที่ศึกษา สามารถสื่อสารให้เขา้ใจไดง้่าย นาเสนอเรื่องราวหรือประเด็นต่างๆ ไดอ้ยา่งกระชบัภายใตห้ลกัการ อยา่งมีระบบ นาเสนอในลกัษณะต่างๆ เช่น ภาพวาด แผนภูมิหรือแผนผงัต่อเนื่อง ปรเมษฐ์โมลี(2552, น. 89) กล่าวว่า รูปแบบ หมายถึง เค้าโครงของสิ่งที่ตอ้งการ ศึกษาโดยแสดงโครงสร้างทางความคิด องคป์ระกอบและความสัมพนัธ์ขององคป์ระกอบน้นั Keeves (อ้างถึงในปรเมษฐ์โมลี, 2552, น. 46) กล่าวว่า รูปแบบ หมายถึง การแสดง โครงสร้างเพื่อใช้ในการศึกษาความสัมพันธ์ของตัวแปร Good (1973, p.79) ที่อธิบายเกี่ยวกบัความหมายของรูปแบบ (model) วา่เป็นชุดของ ปัจจัย หรือตวัแปรที่มีความสัมพนัธ์กนัหรือเป็นองค์ประกอบที่สามารถรวมตวักนัและเขียนเป็น หลักการ Daft (1994, p. 20) กล่าววา่ รูปแบบ หมายถึง ตวัแทนอยา่งง่ายที่ใชอ้ธิบายมิติที่ส าคญั บางมิติขององค์กร จากความหมายขา้งตน้ สรุปไดว้า่รูปแบบ หมายถึงแบบจา ลองโครงสร้างที่สร้างข้ึน เพื่ออธิบายความสัมพนัธ์ขององคป์ระกอบต่างๆ ของภาวะผนู้า 2. ประเภทของรูปแบบ Keeves (1988, p. 561) แบ่งประเภทของรูปแบบออกเป็น 4 ประเภท ดงัน้ี 1. รูปแบบเชิงเทียบเคียง (Analog model) เป็นลกัษณะโมเดลเชิงกายภาพ ส่วนใหญ่ ใช้ทางด้านวทิยาศาสตร์เช่น โมเดลแสดงพฒันาการของอะตอม เป็นตน้ 2. รูปแบบเชิงข้อความ (Semantic model) ลกัษณะส าคญัของโมเดลน้ีคือการแสดง ความสัมพนัธ์ขององค์ประกอบต่างๆ ในรูปขอ้ความ โมเดลเชิงขอ้ความใช้หลกัการเทียบเคียงเชิง แนวความคิด จึงไดเ้น้ือหาสาระมากข้ึนเพราะสามารถอธิบายรายละเอียดไดด้ีแต่จุดอ่อนของโมเดล ประเภทน้ีคือขาดความชดัเจน ยากแก่การทดสอบโครงสร้างของโมเดล อย่างไรก็ตามโมเดลเชิง ข้อความก็ถูกน ามาใช้แพร่หลายในด้านการศึกษา เพราะสามารถน าไปใช้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ ปรากฏการณ์ทางการศึกษาไดด้ีเช่น โมเดลการเรียนรู้ในสถานศึกษา เป็ นต้น
124 3. รูปแบบเชิงคณิตศาสตร์ (Mathematical model) ลักษณะส าคญัของโมเดลน้ีจะ เขียนอยู่ในรูปลักษณะหรืออธิบายในรูปสมการเชิงคณิตศาสตร์มีลักษณะเป็นเหตุเป็นผลและ สามารถอธิบายไดค้่อนขา้งชดัเจน 4. รูปแบบเชิงสาเหตุ (Causal model) เป็ นโมเดลที่ใช้ตรรกะของเหตุและผล มา อธิบายองค์ประกอบภายใน โมเดลเชิงสาเหตุน้ีจะมีเส้นแสดงความสัมพนัธ์เชิงสาเหตุระหว่างตวั แปรต่างๆ จากตวัแปรหน่ึงไปยงัอีกตัวแปรหน่ึง อาจไปในทิศทางเดียวกันหรือยอ้นกลับก็ได้ แลว้แต่ว่าตวัแปรใดเป็นเหตุและตวัแปรใดเป็นผล บางตวัแปรอาจเป็นไดท้ ้งัเหตุและผลของอีกตัว แปรหนึ่ง Keeves (1988, p. 560) สรุปวา่รูปแบบแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ 1. รูปแบบตามลกัษณะทางกายภาพ หมายถึงรูปแบบที่เป็นลกัษณะคลา้ยคลึงกบัของ จริง เช่น เครื่องบินจา ลอง บา้นจา ลอง สิ่งของเครื่องใชจ้า ลองต่างๆ 2. รูปแบบตามประโยชน์ของการน าไปใช้ หมายถึง รูปแบบที่แสดงถึงลักษณะของ การนา ไปใช้เช่น รูปแบบทางการเมือง รูปแบบประชาธิปไตยและรูปแบบทางจิตวสิัย เป็นตน้ 3. รูปแบบเชิงสัญลักษณ์ หมายถึง รูปแบบที่เน้นการสื่อความหมาย โดยการใช้ สัญลักษณ์ทางภาษา สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ เป็ นต้น จากแนวคิดขา้งตน้ สรุปไดว้า่ ประเภทของรูปแบบมีความหลากหลายการแบ่งประเภท ของรูปแบบไม่มีหลกัเกณฑต์ายตวัข้ึนอยกู่บัวตัถุประสงคแ์ละเป้าหมายของผอู้อกแบบวา่จะกา หนด ไปในทิศทางใด โดยสรุปแลว้ประเภทของรูปแบบแบ่งได้ดงัน้ีรูปแบบเชิงเทียบเคียง รูปแบบเชิง ข้อความ รูปแบบเชิงคณิตศาสตร์ และรูปแบบเชิงสาเหตุ 3. องค์ประกอบของรูปแบบ Brown, and Moberg (1980, pp. 16-17) ได้ก าหนดองค์ประกอบของรูปแบบตาม แนวคิดเชิงระบบ 5 ประการ คือ สภาพแวดล้อม เทคโนโลยี โครงสร้าง กระบวนการบริหารจัดการ และการตดัสินใจสั่งการ Getzels, and Guba (1957, p. 14) ได้จ าแนกองค์ประกอบของรู ปแบบ ออกเป็ น 2 องค์ประกอบหลักคือ 1. สถาบัน (Institution) เป็นการแสดงให้เห็นถึงระบบของสังคมที่มีการกา หนดแนว ปฏิบตัิไวเ้ป็นแนวทางและมีการนา แนวปฏิบตัิน้นัมาใช้โดยสม่า เสมอเช่น การปกครอง การศึกษา การจัดการกล่าวไดว้า่เป็นการจดัระบบสังคมเขา้อยใู่นรูปของสถาบนัและหน่วยยอ่ยของสถาบนัที่ แบ่งออกไปเป็นบทบาทและความมุ่งหวงัซ่ึงแสดงถึงความสัมพนัธ์ระหวา่งบทบาทและบุคลิกภาพ ของบุคคลในอาชีพต่างๆ บทบาทจะเป็นตวักา หนดพฤติกรรมของผสู้วมบทบาท (Actor) น้นัส่วน
125 ความมุ่งหวงัจะถูกผกูมดัดว้ยเกณฑ์ของสังคมหรือสถาบัน ซ่ึงการผูกมดัน้ีคือสิ่งที่สถาบนัคาดหวงั หรือมุ่งหวงัจะไดร้ับจากผสู้วมบทบาทน้นัดงัน้นับทบาทที่สมบูรณ์นอกจากจะมีขอบเขตการแสดง หรือมาตรฐานที่แน่นอนของตนเองแลว้ควรมีการกา หนดถึงความสัมพนัธ์กบับทบาทอื่นๆ ภายใน สถาบันเดียวกันด้วย ซ่ึงแนวคิดน้ีท าให้การก าหนดงานในแต่ละหน้าที่เป็นไปในรูปของการ จดัลา ดบัข้นั ในเป็นไปโดยสะดวกโดยการกา หนดให้บทบาทหน่ึงมีบทบาทต่อเนื่องไปอีกบทบาท หน่ึงต่อไปเรื่อย ๆ จนทา ใหเ้กิดการดา เนินงานขององคก์ารหรือสถาบนับรรลุวตัถุประสงคไ์ดอ้ยา่งมี ประสิทธิภาพ 2. บุคคล (Individual) บุคคลหรือบุคลากรเป็ นองค์ประกอบที่ส าคัญประการที่สอง ของสังคม สถาบนัจะดา เนินการไม่ไดห้ากขาดองคป์ระกอบในแง่ของบุคคลน้ีซ่ึงมีส่วนประกอบ ยอ่ยที่สา คญัและมีอิทธิพลต่อการดา เนินงานของสถาบนัอยู่2 ประการคือ 2.1 บุคลิกภาพ (Personality) บุคลิกภาพของบุคคลมีความส าคัญต่อการวาง ตัวการสวมบทบาท และความต้องการในการท างาน บุคลิกภาพของคนน้ันมีอยู่หลายแบบและ แต่ละแบบต่างก็มีความแตกต่างกนัออกไป 2.2 ความต้องการ (Need disposition) ความตอ้งการส่วนตวัซ่ึงมีอิทธิพลและเป็น แนวโน้มในการพยายามท าตัวให้เหมาะสมและปฏิบตัิต่อสิ่งน้นั ในลกัษณะที่แน่นอนของแต่ละคน โดยจะมีความคาดหวงัอนัเป็นพ้ืนฐานหรือเป็นส่วนส าคัญในการแสดงออกซ่ึงความต้องการ เหล่าน้นั สรุปไดว้า่องคป์ระกอบของรูปแบบ ประกอบดว้ย ปัจจยันา เขา้กระบวนการผลผลิต และ ข้อมูลป้ อนกลับจากสภาพแวดล้อม ซึ่งเป็ นทฤษฎีเบ้ืองตน้ ในการนา ไปสู่การสร้างรูปแบบใน การบริหารสถานศึกษาโดยผู้บริหารที่มีความเป็ นภาวะผู้น าสูงในการสร้างรูปแบบการบริหาร สถานศึกษาใหก้า้วทนัสู่ยคุศตวรรษที่21 4. การพฒันารูปแบบ Keeves (1988, p. 561) เสนอหลักการกว้างๆ ในการพัฒนารูปแบบไว้ 4 ประเด็น ดงัน้ี 1)รูปแบบควรประกอบข้ึนดว้ยความสัมพนัธ์อยา่งมีโครงสร้างของตวัแปรมากกว่า ความสัมพันธ์เชิงเส้นแบบธรรมดา 2)รูปแบบควรใช้เป็นแนวทางในการพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดข้ึนจากการใช้รูปแบบได้ สามารถตรวจสอบได้ หาข้อสนับสนุนด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ได้ 3) รูปแบบควรจะต้องระบุหรือช้ีให้เห็นถึงกลไกเชิงเหตุผลในเรื่องที่ศึกษา ดังน้ัน รูปแบบนอกจากจะเป็ นเครื่องมือในการพยากรณ์ได้แล้ว ยังสามารถอธิบายปรากฏการณ์ได้ด้วยเชิง
126 คณิ ตศาสตร์ (Mathematical model) ลักษณะส าคัญของโมเดลน้ีจะเขียนอยู่ในรูปลักษณะหรือ อธิบายในรูปสมการเชิงคณิตศาสตร์ มีลักษณะเป็นเหตุเป็นผลและสามารถอธิบายได้ค่อนข้าง ชัดเจน 4)รูปแบบควรเป็นเครื่องมือในการสร้างมโนทศัน์ใหม่และสร้างความสัมพนัธ์ของ ตวัแปรในลกัษณะใหม่ซ่ึงขยายองคค์วามรู้ในเรื่องที่ศึกษาดว้ย สมาน อัศวภูมิ (2537, น. 62) กล่าววา่การพฒันารูปแบบน้นัสามารถแบ่งออกเป็น 2 ข้นัตอนใหญ่ๆ คือ1) ข้นัตอนการสร้างรูปแบบ และ 2) ข้นัตอนการหาคุณภาพของรูปแบบ ส่วน รายละเอียดวา่ ในแต่ละข้นัตอนน้นัมีวธิีดา เนินการอยา่งไรน้นัข้ึนอยกู่บัลกัษณะและกรอบแนวคิดซ่ึง เป็นพ้ืนฐานในการพฒันารูปแบบน้นัๆ บุญชม ศรี สะอาด (2553, น. 3-5) ได้เสนอหลักการสร้างรู ปแบบควรค านึ งถึง หลักการส าคัญ 4 ประการ คือ การแสวงหาองค์ความรู้ การค้นหาสมมติฐาน การสร้างรูปแบบและ การตรวจสอบคุณภาพรูปแบบ ศกัด์ิไทย สุรกิจบวร (2553, น. 25) ได้น าเสนอรูปแบบการพัฒนาประสิทธิผลการ บริหารงานวิชาการในโรงเรียนขนาดเล็ก มีข้นัตอน 3ข้นัตอน ดงัน้ีข้นัตอนที่1การนา เสนอร่าง กรอบแนวคิด ข้ันตอนที่ 2การรับรองกรอบแนวคิด และข้ันตอนที่ 3การแสวงหารูปแบบที่ เหมาะสม จากแนวคิดการพฒันารูปแบบสรุปได้ว่าการพฒันารูปแบบน้ันอาจมีข้นัตอนการ ดา เนินงานที่แตกต่างกนั ไป กล่าวคือรูปแบบตอ้งมีทฤษฎีรองรับ และเมื่อพฒันารูปแบบแลว้ก่อน นา ไปใชอ้ยา่งแพร่หลายตอ้งมีการวจิยัเพื่อทดสอบทฤษฎีและตรวจสอบคุณภาพในเชิงการนา ไปใช้ ในสถานการณ์จริงและนา ขอ้คน้พบมาปรับปรุงแกไ้ขอยเู่รื่อยๆ 5. การตรวจสอบรูปแบบ การตรวจสอบรูปแบบอาจกระท าได้หลายวิธี ซึ่งอาจใช้การวิเคราะห์จากหลักฐานเชิง คุณลักษณะ (Qualitative) และเชิงปริมาณ (Quantitative) โดยการตรวจสอบรูปแบบจากหลักฐาน เชิงคุณลกัษณะอาจใชผ้เู้ชี่ยวชาญเป็นผตู้รวจสอบรูปแบบ การประเมินหรือการทดสอบรูปแบบน้นั Eisner (1976, p. 192) ได้เสนอแนวความคิดของการทดสอบหรื อป ระเมินรู ปแบบ โดยใช้ ผู้ทรงคุณวฒุิดงัน้ี 1)การประเมินผูท้รงคุณวุฒิจะเน้นการวิเคราะห์และวิจารณ์อย่างลึกซ้ึงเฉพาะใน ประเด็นที่ถูกพิจารณา ซ่ึงไม่จา เป็นตอ้งเกี่ยวโยงกบัวตัถุประสงค์หรือผูท้ ี่มีส่วนเกี่ยวขอ้งกบัการ ตดัสินใจเสมอไป แต่อาจจะผสมผสานกบั ปัจจยัต่างๆ ในขอ้มูลคุณภาพ ประสิทธิภาพและความ เหมาะสมของสิ่งที่จะทา การประเมิน
127 2) รูปแบบการประเมินที่เป็ นความเฉพาะทาง (Specialization) ในเรื่องที่จะประเมิน โดยพัฒนามาจากแบบการวิจารณ์งานศิลปะ (Art criticism) ซ่ึงมีความละเอียดอ่อนลึกซ้ึงและตอ้ง อาศัยผู้เชี่ยวชาญระดับสูงมาเป็ นผู้วินิจฉัย เนื่องจากเป็นการวดัคุณค่าซ่ึงไม่อาจประเมินดว้ยเครื่องวดั ใดๆ และต้องใช้ความรู้ความสามารถของผูป้ระเมินอย่างแท้จริง แนวคิดน้ีได้น ามาประยุกต์ใช้ ในทางการศึกษาระดบัสูงมากข้ึน ท้งัน้ีเพราะ เป็นองคค์วามรู้เฉพาะสาขาที่ผศู้ึกษาเรื่องน้นัจริงๆ จึง จะทราบและเขา้ใจอย่างลึกซ้ึง ดงัน้ันในวงการศึกษาจึงนิยมนา รูปแบบน้ีมาใช้ในเรื่องที่ตอ้งการ ความลึกซ้ึงและความเชี่ยวชาญเฉพาะสูง 3)รูปแบบที่ใช้ตัวบุคคล คือ ผู้ทรงคุณวุฒิเป็ นเครื่องมือในการประเมินโดยให้ความ เชื่อถือว่าผูท้รงคุณวุฒิน้ันมีความเที่ยงธรรมและมีดุลพินิจที่ดีท้งัน้ีมาตรฐานและเกณฑ์พิจารณา ต่างๆ น้นัจะเกิดข้ึนจากประสบการณ์และความชา นาญของผทู้รงคุณวฒุิน้นัเอง 4) รูปแบบที่ยอมให้ความยืดหยุ่นในกระบวนการท างานของผูท้รงคุณวุฒิตาม อธัยาศยัและความถนดัของแต่ละคน นบัต้งัแต่การกา หนดประเด็นส าคญัที่จะนา มาพิจารณาการ บ่งช้ีขอ้มูลที่ตอ้งการการเก็บรวบรวมข้อมูล การประมวลผล การวินิจฉัยข้อมูล ตลอดจนวิธีการ น าเสนอ สรุปว่า การตรวจสอบรูปแบบ ถือเป็ นความจ าเป็ นที่ต้องกระท าด้วยข้อมูลเชิง ประจักษ์โดยการวเิคราะห์ท้งัเชิงปริมาณและเชิงคุณลกัษณะโดยการตรวจสอบเชิงคุณลักษณะควร ใช้ผูเ้ชี่ยวชาญชา นาญเฉพาะสาขาน้นั เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ซึ่ งผลจากการทดสอบหรือการ ตรวจสอบน้ีจะน าไปสู่การสร้างรูปแบบใหม่การปรับปรุง หรือการพัฒนารูปแบบเดิม โดยใน ข้นัตอนการพฒันารูปแบบจะประกอบไปด้วย 4ข้นัตอน คือข้นัการเก็บรวบรวมขอ้มูล ข้นัสร้าง รูปแบบเบ้ืองตน้ข้นัทดสอบรูปแบบ และข้นัพฒันารูปแบบที่สมบูรณ์ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. งานวิจัยในประเทศ ปิ ยะ เจริญเวชรักษ์ (2552) ได้วิจัยเรื่อง รูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหารการศึกษา ข้ันพ้ืนฐานด้านการสร้างอิทธิพลเพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการครู ผลการวิจยัพบวา่รูปแบบประกอบดว้ยตวัแปรแฝง 4 ตัว วัดได้จากตัวแปรสังเกตได้ 13 ตัว มีความ สอดคลอ้งกบัขอ้มูลเชิงประจกัษ์(x 2 =61.42, p=0.06374, df = 46, x2 /df = 1.335, GFI =0.98, AGFI =0.98) และ RMR=0.14) องค์ประกอบของรูปแบบสามารถอธิบายความแปรปรวนต่อการเกิด แรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการครูได้ร้อยละ 98 ตวัแปรแฝงที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการ
128 ปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการครู คือ ภูมิหลงั (ส่งอิทธิพลทางตรง 0.51และอิทธิพลทางอ้อม 0.41) คุณลักษณะเฉพาะความเป็นผู้น า (ส่งอิทธิพลทางตรง 0.23 และอิทธิพลทางอ้อม 0.12) และ พฤติกรรมการสร้างอิทธิพล(ส่งอิทธิพลทางตรง 0.19) ส่วนองค์ประกอบของตวัแปรแฝงท้งั 4 ตัว ซ่ึงเรียงล าดับน้ าหนักองค์ประกอบจากมากไปน้อย ดังน้ัน 1) ตัวแปรแฝงภูมิหลัง คือ อายุ ประสบการณ์ การศึกษาอบรมท าการบริหาร และระดับการศึกษา 2) ตัวแปรแฝงคุณลักษณะเฉพาะ ความเป็นผนู้า คือ ทกัษะผนู้า และคุณลกัษณะส่วนตวัของผนู้า 3) ตัวแปรแฝงพฤติกรรมการสร้าง อิทธิพล คือ การจูงใจด้วยเหตุผล การสร้างแรงบันดาลใจ การแลกเปลี่ยน และการใช้อ านาจตามกฎ และ 4) ตวัแปรแฝงแรงจูงใจในการปฏิบตัิหน้าที่ของขา้ราชการครูคือความผกูพนัต่อองคก์ารการ ท างานเป็ นทีม และความพึงพอใจมนการท างานตามล าดับ ถวัลย์ หงส์ไทย (2554) ได้วิจัยเรื่อง รูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะผู้น าของผู้บริหาร โรงเรียน ที่มีคุณ ภ าพ สังกัดส านักงาน คณ ะกรรม การการศึกษ าข้ัน พ้ืน ฐาน ในภ าค ตะวนัออกเฉียงเหนือผลการวิจยัพบวา่ผบู้ริหารโรงเรียนที่ปฏิบตัิงานในโรงเรียนสังกดัส านกังาน คณะกรรมการการศึกษาข้นัพ้ืนฐานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ได้รับการประเมินตาก สมศ.รอบ 2 ในระดับดีมาก มีคุณลักษณะผู้น าของผู้บริหารโรงเรียนที่มีคุณภาพ 16 ประเด็น พบวา่คุณลกัษณะ ผู้น าของผู้บริหารโรงเรียนที่มีคุณภาพ ที่ผู้บริหารแสดงออกมามากที่สุด 6 ประการแรก ได้แก่ 1) เป็นแบบอย่างการเป็นผู้น าตนเอง 2) ส่งเสริมการเป็นผู้น าตนเองโดยการสร้างทีมงาน 3) สนับสนุนการเป็นผูน้ าตนเองโดยให้รางวลัและตา หนิอย่างสร้างสรรค์4) เป็ นผู้น าตนเองได้ ประเด็นที่ 5) สร้างแบบแผนการคิดดา้นบวกและ (สร้างกิจกรรมโดยทกัษะกระบวนการใชค้วามรู้ ข้นัสูง) ภัทรกร วงศ์สกุล (2554) ไดว้ิจยัเรื่อง ภาวะผนู้า การเปลี่ยนแปลงกบั ประสิทธิผลของ การบริหารโรงเรียน สังกดักรุงเทพมหานคร ในเขตลาดกระบงัพบว่า ภาวะผูน้า การเปลี่ยนแปลง ทางการศึกษาของผูบ้ริหารโรงเรียน สังกดักรุงเทพมหานคร ในเขตลาดกระบงัในภาพรวมอยู่ใน ระดบัมากเรียงตามลา ดบัดงัน้ีดา้นการเป็ นผู้มีบารมี ด้านความเป็ นมืออาชีพของภาวะผู้น า ด้านการ เป็นผสู้ร้างความสัมพนัธ์กบัผตู้ามเป็นรายบุคคล ดา้นการเป็นผกู้ระตุน้ ใชส้ติปัญญา 1) ประสิทธิผล ของการบริหารโรงเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร ในเขตลาดกระบัง ในระดับบุคคลและระดับ องค์การมีการปฏิบัติอยู่มาก โดยครูจะให้ความส าคัญในระดับองค์การมากกว่าบุคคล 2) ความสัมพันธ์ของภาวะผูน้ าการเปลี่ยนแปลงกับประสิทธิผลของการบริหารโรงเรียน สังกัด กรุงเทพมหานครในเขตลาดกระบงัมีความสัมพนัธ์กนัอยา่งมีนยัส าคญัทางสถิติและ 3) ปัญหาคือ ผบู้ริหารบางคนใชพ้ฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกบัผใู้ตบ้ งคับบัญชา ข้อเสนอแนะคือ ผู้บริหารค านึงถึง ั หลกัการมีบารมีอาศยัหลกัการและทฤษฎีผสมผสานกบัการใหข้วญักา ลงัใจ ดว้ยความเตม็ใจ
129 พิณญาดา อ าภัยฤทธ์ิ(2554) ได้วิจัยเรื่อง ภาวะผู้น าและวฒันธรรมองค์การกับ ประสิทธิผลขององค์การ: กรณีศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ผลการวิจยัพบวา่ ประสิทธิผล ขององค์การกรมสนับสนุนบริการสุขภาพในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ภาวะผู้น าการ เปลี่ยนแปลง ภาวะผู้น าแบบแลกเปลี่ยนสามารถร่วมกันพยากรณ์ประสิทธิผลขององค์การ สนับสนุนบริการสุขภาพได้ในระดับสูง ร้อยละ 43.60 ภาวะผู้น าการเปลี่ยนแปลงสามารถพยากรณ์ ได้ดีกว่าภาวะผูน้ าแบบแลกเปลี่ยน วฒันธรรมองค์การ ซ่ึงประกอบด้วย วฒันธรรมส่วนร่วม วฒันธรรมเอกภาพ วฒันธรรมการปรับตวัและวฒันธรรมพนัธกิจร่วมกนัพยากรณ์ประสิทธิผลของ องค์การกรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้ในระดับสูงมากถึง ร้อยละ74.8การศึกษายงัพบวา่ตวัแบบ ที่พยากรณ์ประสิ ทธิผลองค์การได้ในระดับสูงสุ ด ประกอบด้วย 6 ตัวแปร คือ ภาวะผู้น าการ เปลี่ยนแปลง ภาวะผูน้า แบบแลกเปลี่ยน วฒันธรรมส่วนร่วม วฒันธรรมเอกภาพ วฒันธรรมการ ปรับตวัและวฒันธรรมพนัธกิจ ซ่ึงตวัแบบน้ีสามารถพยากรณ์ประสิทธิผลองคก์ารได้ร้อยละ 75.40 ขวัญตา เก้ือกูลรัฐ (2554) ได้วิจัยเรื่องภาวะผู้น าการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อ ประสิทธิผลของสถานศึกษาขนาดกลาง อา เภอโพธาราม สังกัดส านักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา ประถมศึกษาราชบุรี เขต 2ผลการวิจยัพบวา่ 1) ภาวะผู้น าการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา และประสิทธิผลของสถานศึกษาขนาดกลางอยู่ในระดับมาก ท้ังโดยรวมและรอบ ด้าน 2) ความสัมพนัธ์ระหวา่งภาวะผนู้า การเปลี่ยนแปลงกบั ประสิทธิผลของสถานศึกษาขนาดกลางโดย มีค่าความสัมพนัธ์กนั ในระดบั ในทางบวกหรือมีความสัมพนัธ์กนั ในลกัษณะที่คลอ้ยตามกนัและ 3) ภาวะผูน้า การเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาขนาดกลาง อ าเภอโพธาราม สังกดัสา นกังานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรีเขต 2 ในภาพรวมมีความสัมพนัธ์กนัอยา่งมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 พิมพ์พัฑรา เมืองอินทร์ (2555) ได้วิจยัเรื่อง ความสัมพนัธ์ระหว่างภาวะผูน้ าการ เปลี่ยนแปลงกบั ประสิทธิผลของโรงเรียน สังกดัสา นกังานเขตพ้ืนที่การศึกษาเชียงรายเขต 4อ าเภอ เทิง จังหวดัเชียงราย ผลการวิจัย พบว่า ภาวะผูน้ าการเปลี่ยนแปลงของผูบ้ริหารสถานศึกษา ในภาพรวม 4 ด้าน มีการปฏิบตัิอยใู่นระดบัมาก และประสิทธิผลของโรงเรียนในภาพรวม 4 ด้าน อยใู่นระดบัมากและสมมติฐานของการวจิยัไดร้ับการยอมรับ กล่าวคือความสัมพนัธ์ระหวา่งภาวะ ผูน้า การเปลี่ยนแปลงกบั ประสิทธิผลของโรงเรียน โดยภาพรวม มีความสัมพนัธ์เชิงบวกอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ 0.01 ค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพนัธ์r=0.785** พัทธยา ชนะพันธ์(2555) ได้วิจัยเรื่อง รูปแบบภาวะผู้น าทางการเรียนการสอนของ ผบู้ริหารโรงเรียนสังกดัสา นกังานเขตพ้ืนที่การศึกษามธัยมศึกษา เขต 30 ผลการวิจัย พบวา่
130 1. รูปแบบภาวะผู้น าทางการเรียนการสอนของผู้บริหารโรงเรียน สังกดัส านกังานเขต พ้ืนที่การศึกษามธัยมศึกษา เขต 30 มีองคป์ระกอบที่ส าคญัท้งัหมด 6 ด้าน ไดแ้ก่1) ด้านการพัฒนา ศักยภาพของนักเรียน 2) ดา้นการสร้างบรรยากาศและวฒันธรรมที่เอ้ือต่อการเรียนรู้3) ด้าน การ กา หนดทิศทางการเปลี่ยนแปลง 4) ด้านการนิเทศและการประเมินผลการปฏิบัติการสอน 5) ด้าน การบริหารหลักสูตรการเรียนการสอน และ6) ด้านการพัฒนาครูให้เป็นครูมืออาชีพ 2. การตรวจสอบรูปแบบภาวะผู้น าทางการเรียนการสอนของผู้บริหารโรงเรียน สังกดัส านกังานเขตพ้ืนที่การศึกษามธัยมศึกษา เขต 30 พบวา่ส่วนใหญ่ผทู้รงคุณวฒุิมีความคิดเห็น สอดคลอ้งกนัวา่มีความถูกตอ้ง เหมาะสม เป็ นไปได้และสามารถน าไปใช้ประโยชน์ได้ทุกด้าน และ ผู้เขา้ร่วมทา ประชาพิจารณ์ส่วนใหญ่เห็นดว้ยกบัองคป์ระกอบ บทบาทและพฤติกรรมการปฏิบัติงาน กิตต์ิกาญจน์ปฏิพันธ์(2555) ได้ศึกษา โมเดลสมการโครงสร้างภาวะผู้น าเชิง สร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษา มีผลการวจิยัดงัน้ี 1. ผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษามีระดับการแสดงออกภาวะผนู้า เชิงสร้างสรรคอ์ยู่ ในระดับมากที่สุด โดยผบู้ริหารที่มีเพศต่างกนัมีระดบัภาวะผนู้า เชิงสร้างสรรคไ์ม่แตกต่างกนัและ ผูบ้ริหารที่มีอายุต่างกนัมีประสบการณ์การเป็นผูบ้ริหารต่างกนั มีระดับภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ แตกต่างกนัอยา่งมีนยัส้าคญัทางสถิติที่ระดับ 0.05 2. ปัจจยัที่มีอิทธิพลต่อภาวะผูน้า เชิงสร้างสรรคข์องผูบ้ริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษา อยู่ในระดบัมากท้งัสามปัจจยั คือแรงจูงใจภายใน สภาพแวดล้อมแบบเปิ ด และความรู้เชิงลึก เมื่อ ศึกษาเปรียบเทียบด้านเพศอายุและประสบการณ์การเป็ นผู้บริหาร พบวา่ ไม่แตกต่างกนั 3. โมเดลสมการโครงสร้างภาวะผู้น าเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริ หารสถานศึกษา อาชีวศึกษาที่พฒันาข้ึนมีความสอดคล้องกบัขอ้มูลเชิงประจกัษ์ตามเกณฑ์ดงัน้ี2=20.81, df=22, GFI=1.00, AGFI= 0.98, CFI=1.00, SRMR=0.01, RMSEA=0.00, CN=1318.76 และ LSR=1.89 4. ปัจจยัที่มีอิทธิพลต่อภาวะผูน้า เชิงสร้างสรรคข์องผูบ้ริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษา พบวา่ ปัจจยัแรงจูงใจภายในมีอิทธิพลรวมสูงสุดต่อภาวะผนู้า เชิงสร้างสรรค์เท่ากบั 0.86 มีน้า หนกั อิทธิพลทางตรงและทางอ้อม 0.44, 0.42 อย่างมีนยัส าคญัทางสถิติที่ระดบั 0.01 รองลงมาคือปัจจัย สภาพแวดลอ้มแบบเปิดมีน้า หนักอิทธิพลรวมต่อภาวะผูน้ าเชิงสร้างสรรค์เท่ากบั 0.73 มีน้า หนัก อิทธิพลทางตรงและทางอ้อม -0.20, 0.94 อยา่งมีนยัส าคญัทางสถิติที่ระดบั 0.01 และปัจจัยความรู้ เชิงลึกมีน้า หนกัอิทธิพลรวม และอิทธิพลทางตรงต่อภาวะผูน้า เชิงสร้างสรรค์เท่ากบั 0.42 อย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยปัจจัยเชิงสาเหตุท้ังสามตัวร่วมกันอธิบายภาวะผู้น าเชิง สร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาได้ร้อยละ 68
131 สุมนรัตน์อัศตรกุล (2557) ได้ศึกษา รูปแบบภาวะผูน้ าเชิงกลยุทธ์ตามภารกิจของ ผู้บริหารโรงเรียน มธัยมศึกษาสู่การเป็ นประชาคมอาเซียน ผลการวิจัย ดงัน้ีตอนที่1 สภาพภาวะ ผูน้ าเชิงกลยุทธ์และตามภารกิจของผูบ้ริหารโรงเรียนมธัยมศึกษา สู่การเป็นประชาคมอาเซียน ผู้ตอบแบบสอบถามมีระดับการศึกษาปริญญาโท ร้อยละ 83.90 โดยมีประสบการณ์ในการบริหาร ระหว่าง 1 – 5 ปีร้อยละ 37.60 ดา รงตา แหน่งเป็นผูอ้า นวยการท้งัหมด ภาวะผู้น าเชิงกลยุทธ์ภาพ รวมอยู่ในระดับมากที่สุด ในด้านการเป็ นผู้กล้าเสี่ยง การมีพฤติกรรมเชิงรุก การมีความเชื่อว่า สถานศึกษาเป็ นสถานที่ส าหรับการเรียนรู้และการเป็ นผู้มีวิสัยทัศน์ส่วนด้านการให้คุณค่าและ ความส าคญัต่อทรัพยากรมนุษย์และการเป็นนักสื่อสารและฟังอยู่ในระดับมาก ภาวะผู้น าตาม ภารกิจของผูบ้ริหารภาพรวม ระดับมากที่สุด ในด้าน ความสามารถในการพูด การปรับปรุงแกไ้ข การประสานงาน ด้านการเข้าสังคม การยอมรับนับถือระดับมากที่สุ ด ส าหรับความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์และการให้ความช่วยเหลือ อยู่ระดับมาก เท่าน้ัน การเสริมสร้างความร่วมมือด้าน การศึกษาสู่การเป็นประชาคมเอาเซียนภาพรวม อยใู่นระดบัมากที่สุด ในนโยบายที่1 นโยบายที่2 นโยบายที่3 ส่วนนโยบายที่5 และนโยบายที่4 อยใู่นระดบัมากเท่าน้นั ตอนที่2 การวิเคราะห์ปัจจัย ภาวะผนู้า เชิงกลยุทธ์ตามภารกิจของผูบ้ริหารโรงเรียนมธัยมศึกษาที่ส่งผลต่อการเสริมสร้างความ ร่วมมือดา้นการศึกษาสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ภาวะผูน้า เชิงกลยุทธ์ที่ส่งผลต่อการเสริมสร้าง ความร่วมมือดา้นการศึกษาสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ประกอบด้วย ด้านการมีพฤติกรรมเชิงรุก การเป็ นผู้ที่กล้าเสี่ยง การเป็ น นักสื่อสารและนักฟัง การมีความเชื่อว่าสถานศึกษาเป็นสถานที่ ส าหรับการเรียนรู้และการให้คุณค่าและความส าคญัต่อทรัพยากรมนุษย์ภาวะผูน้า ตามภารกิจที่ ส่งผลต่อการเสริมสร้างความร่วมมือดา้นการศึกษาสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ประกอบด้วยการ ยอมรับนับถือความสามารถในการพูด การให้ความช่วยเหลือการประสานงานและการเข้าสังคม ตอนที่3 การพฒันารูปแบบภาวะผนู้า เชิงกลยุทธ์ตามภารกิจของผบู้ริหารโรงเรียนมธัยมศึกษาสู่การ เป็ นประชาคมอาเซียน ประกอบด้วย (1) ภาวะผู้น าเชิงกลยุทธ์ได้แก่1) การมีพฤติกรรมเชิงรุก 2) การเป็ นผู้ที่กล้าเสี่ยง 3) การเป็ นนักสื่อสารและนักฟัง 4) การมีความเชื่อว่าสถานศึกษาเป็น สถานที่ส าหรับการเรียนรู้5) การให้คุณค่าและความส าคญัต่อทรัพยากรมนุษย์6) การเป็ นผู้มี วิสัยทัศน์7) การได้รับยอมรับนับถือ 8) ความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษและภาษาอาเซียน 9) การให้ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์10) การประสานงานเพื่อสร้างความร่วมมือ11) การปรับปรุง แกไ้ขพฤติกรรมบุคลากร 12) ความคิดริเริ่มสร้างสรรคโ์ครงการใหม่13) ความสามารถเข้าสังคมได้ อยา่งเหมาะสม (2) ข้นัตอนการบริหารเชิงกลยุทธ์ไดแ้ก่1) การประเมินสภาพแวดล้อมขององค์กร 2) กา หนดทิศทาง (direction setting) 3) การกา หนดกลยุทธ์4) การน ากลยุทธ์ไปปฏิบัติและ5) การ ควบคุม และการประเมินผล (3) การเสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาสู่การเป็นประชาคม
132 อาเซียน ประกอบด้วย นโยบายที่ 1 การเผยแพร่ความรู้นโยบายที่ 2 การพัฒนาศักยภาพของ นักเรียน นโยบายที่3 การพัฒนามาตรฐานการศึกษา นโยบายที่4 การเตรียมความพร้อมเพื่อเปิ ดเสรี การศึกษาในอาเซียน และนโยบายที่5 การพัฒนาเยาวชนเพื่อเป็ นทรัพยากรส าคัญ ตอนที่4 การ ประเมินความเหมาะสมของรูปแบบภาวะผู้น าเชิงกลยุทธ์ตามภารกิจของผู้บริหารโรงเรียน มัธยมศึกษาสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ในความถูกต้องความเหมาะสม ความเป็ นไปได้และความ เป็ นประโยชน์ภาพรวมอยใู่นระดบัมากที่สุดทุกดา้น พิชญา ด านิ ล (2558) ได้ศึกษา ภาวะผู้น าในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริ หารคณะ ศิลปศึกษาและห้องเรียนเครือข่ายสถาบนับัณฑิตพฒันศิลป์ผลการวิจยัพบว่า 1) ภาวะผู้น าใน ศตวรรษที่21 ของผูบ้ริหารภาพรวมอยู่ในระดบัมากเมื่อพิจารณาเป็นรายขอ้พบว่าขอ้ที่มีค่าเฉลี่ย สูงสุด คือผูบ้ริหารให้ความส าคญัต่อการวางแผน กา หนดวิสัยทศัน์พนัธกิจ นโยบาย เป้ าหมาย วัตถุประสงค์และกลยุทธ์การบริ หารงานวิชาการในสถานศึกษา รองลงมาคือ เปิ ดโอกาสให้ ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าพบได้เสมอเพื่อให้ค าปรึกษา และผู้บริ หารมีความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อ หน่วยงาน และหน้าที่ที่รับผิดชอบ 2) ผลการเปรียบเทียบภาวะผู้น าในศตวรรษที่21 ของผู้บริหาร พบวา่ภาพรวมผบู้ริหารและผสู้อนมีความคิดเห็นแตกต่างกนัอยา่งมีนยัสา คญัทางสถิติที่ระดบั 0.05 3) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้น าในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารคณะศิลปศึกษาและห้องเรี ยน เครือข่ายพบวา่มีแนวทางท้งัหมด 15 แนวทาง ธัญวิทย์ ศรีจันทร์(2559) ได้ศึกษา การวิเคราะห์องค์ประกอบคุณลักษณะภาวะผู้น า ในศตวรรษที่21ของกรรมการองค์กรนิสิตนักศึกษา ผลการวจิยัสรุปไดด้งัน้ี 1. สภาพปัจจุบันด้านภาวะผู้น าในศตวรรษที่21 ของกรรมการองค์กรนิสิตนักศึกษา จากสถาบนัอุดมศึกษาท้งั 3 ประเภทมีค่าเฉลี่ยแตกต่างกนัอยา่งไม่มีนยัส าคญัทางสถิติที่ระดบั 0.05 (F = 0.20, p = 0.82) แสดงว่ากรรมการองค์กรนิสิตนักศึกษามีสภาพปัจจุบันด้านภาวะผูน้ าใน ศตวรรษที่21 ไม่แตกต่างกนัตามประเภทสถาบนัอุดมศึกษา 2. องค์ประกอบคุณลักษณะภาวะผู้น าในศตวรรษที่ 21 ของกรรมการองค์กร นิสิตนักศึกษา มีท้งัหมด 7องค์ประกอบ ไดแ้ก่1) มีคุณธรรมและจริยธรรม 2) สร้างแรงจูงใจ3) มี วิสัยทัศน์4) กล้าตัดสินใจกล้าคิด พูด ท า 5) มีทักษะในการสื่อสาร 6) ท างานเพื่อบรรลุเป้ าหมาย และ 7) สร้างความสัมพนัธ์ที่ดีกบัทีมงาน ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA) พบว่า โมเดลมีความสอดคลอ้งกบัขอ้มูล เชิงประจกัษ์พิจารณาจากค่าสถิติค่าไค-สแควร์X 2 มีค่าเท่ากบั 14.56 (p = 0.15, df = 10, GFI = 0.99 , AGFI = 0.99 , และSRMR = 0.01)
133 2. งานวิจัยต่างประเทศ Felton (1995) ได้ศึกษาเรื่องความสัมพนัธ์ระหว่างภาวะผูน้ าแบบแลกเปลี่ยนและ ภาวะผู้น าแบบเปลี่ยนสภาพของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษา กบัความพึงพอใจ ในงานของครูผลการวิจยัสรุปไดว้่า ภาวะผูน้า แบบเปลี่ยนสภาพของผูบ้ริหารมีความสัมพนัธ์กบั ความพึงพอใจในงานของครูและพบว่าผูบริหารโรงเรียนประถมศึกษามีภาวะผู้น าแบบเปลี่ยน ้ สภาพสูงกวา่ผบู้ริหารในโรงเรียนมธัยมศึกษา Luck (2002) ได้ศึกษาเรื่องความสัมพนัธ์ระหว่างภาวะผูน้ าแบบเปลี่ยนสภาพกับ แรงจูงใจของครูโรงเรียนเทศบาลในเมืองนิวยอร์คซิต้ีผลการศึกษาสรุปได้ว่า ไม่พบหลกัฐานที่ สนับสนุนถึงความสัมพันธ์ของภาวะผู้น าแบบเปลี่ยนสภาพ ว่ามีผลกระทบต่อแรงจูงใจของครู โรงเรียนเทศบาลเมือง กล่าวคือ การใช้ภาวะผูน้ าแบบเปลี่ยนสภาพของครูใหญ่ไม่ได้ช่วยสร้าง แรงจูงใจของครูไดด้ีไปกวา่การใชภ้าวะผนู้า แบบอื่นๆ Baldygo (2003) ไดศ้ึกษาการถ่ายทอดภาวะผูน้า การเปลี่ยนแปลงในวิทยาลัยชุมชน อเมริกาการศึกษาคร้ังน้ีไดว้เิคราะห์ถึงความเหมาะสมและความเป็นไปไดข้องแบบสอบถามในการ ถ่ายทอดภาวะผูน้า ตามรูปแบบการพฒันาภาวะผูน้า การเปลี่ยนแปลงของบาส (Bass) โดยใช้กลุ่ม ตวัอยา่งคือวิทยาลัยชุมชนในอเมริกา จ านวน 122 แห่ง โดยใช้แบบสอบถามตามกรอบแนวคิดของ บาสและอโวลิโอ พบว่า ภาวะผูน้า การเปลี่ยนแปลงของผูน้า ระดบัสูงจะมีมากกว่าผูน้ าในระดับ รองลงมาและการสนบัสนุนต่างๆ จากผู้น าระดับสูง จะเป็นพ้ืนฐานในการถ่ายทอดภาวะผนู้า การ เปลี่ยนแปลงในระดับรองลงมา ซ่ึงมีความสอดคล้องกับงานวิจยัก่อนหน้าน้ีที่แสดงให้เห็นถึง ความสัมพนัธ์อยา่งดีระหวา่งภาวะผนู้า การเปลี่ยนแปลงกบัผลส าเร็จของงาน ประสิทธิภาพของผู้น า และความพึงพอใจในตัวผู้น า Campbell, Margarett Hope (2003) ได้ท าการศึกษ าวิจัยรู ป แบ บ ภาวะผู้น าของ ผบู้ริหารวทิยาลยัทอ้งถิ่นที่มีประสิทธิภาพ ผลการวจิยัพบวา่ คุณลักษณะภาวะผู้น าผู้บริหารวิทยาลัย ทอ้งถิ่นจะตอ้งประกอบดว้ยความมีอิทธิพลในดา้นต่อไปน้ีคือแบบอยา่งความมีเหตุผลแบบอยา่ง พฤติกรรม การสร้างแรงจูงใจ การกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาด้วยปัญญา การพิจารณาศักยภาพ บุคลากรและการปฏิบตัิโดยสอดคลอ้งกบัวฒันธรรมภายในวทิยาลยั ผู้บริหารวิทยาลัยจะต้องมีภาวะ ผูน้ าทางการบริหารจดัการที่มีความสอดคล้องกบัการเปลี่ยนแปลง โดยยึดรูปแบบภาวะผู้น าที่มี อิทธิพลทางเจตคติและพฤติกรรม ซ่ึงสัมพนัธ์กบัการบริหารจดัการของคณะกรรมการวิทยาลัย ตัวแทนคณะวิชาและตัวแทนนักศึกษา Blasé, and Blasé (2009) ได้ศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ เรื่ อง การขาดภาวะผู้น าของ ผู้บริหารโรงเรียนในการปฏิบัติหน้าที่จากทัศนะของครูผวู้ิจยัเก็บขอ้มูลจากกลุ่มตวัอยา่งครูจ านวน
134 50 คน ในสหรัฐอเมริ กา ที่มีปัญหาถูกผูบ้ริหารโรงเรียนละเลยไม่เอาใจใส่ผลการวิจัยพบว่า ผบู้ริหารที่ขาดภาวะผนู้า มีความบกพร่องคือละเลยต่อการเอาใจใส่ครูท้งัดา้นร่างกายอารมณ์และ จิตใจ เช่น ไม่ให้ความร่วมมือในการใช้อุปกรณ์การสอน ขาดความสัมพนัธ์กบัผรู้่วมงานและอื่น ๆ ผลจากการวจิยัน้ีทา ใหก้ารวางแผนเพื่อหาทางแกป้ ัญหาที่อาจจะเกิดลกัษณะเช่นน้ีอีกในโรงเรียนอื่น Gittens (2009) ได้ศึกษาเรื่องความเข้าใจในการใช้ภาวะผู้น าการเปลี่ยนแปลงในบทบาทหัวหน้า ภาควิชาด้านวิชาการ ในมหาวิทยาลัยต่า ๆ ของรัฐเวอร์จิเนีย โดยมุ่งเน้นการใช้ภาวะผูน้ าการ เปลี่ยนแปลงในเรื่อง วิสัยทัศน์อิทธิพลการปรับตัวการกระตุ้น การปรับตัวของมนุษย์และคุณค่า ในการปรับตัวจากหัวหน้าภาควิชาและสมาชิกผลการศึกษาพบวา่ หัวหน้าและสมาชิกมีความเข้าใจ ในการใชภ้าวะผนู้า การเปลี่ยนแปลงแตกต่างกนัอยา่งมีนยัสา คญัระหวา่งความเขา้ใจของสมาชิกกบั ความเป็ นผู้น าการเปลี่ยนแปลงของหัวหน้าภาควิชาในด้านวิชาการ ขอ้เสนอแนะในการวิจยัคร้ัง ต่อไป คือการคัดเลือกหัวหน้าภาควิชา การประเมิน และการพฒันาอยา่งมืออาชีพ จากการศึกษาเอกสารงานวิจัยท้ังในประเทศและต่างประเทศ พบว่า ผู้บริหาร สถานศึกษามีความจา เป็นอย่างยิ่งที่จะตอ้งมีความรู้ความสามารถทางดา้นภาวะผูน้า โดยผูบ้ริหาร ต้องตระหนักในภาระหน้าที่โน้มน้าวให้บุคลากรและชุมชนเปลี่ยนทัศนคติทางการศึกษาให้ถูกต้อง จึงจา เป็นอยา่งยิ่งที่ผบู้ริหารควรปรับตนให้เขา้ยุคสมยัที่เปลี่ยนไปอยา่งรวดเร็ว เพื่อที่จะให้ทันสมัย ผู้บริหารการศึกษาทุกคน ควรมีภูมิรู้ภูมิธรรม และภูมิฐานที่เหมาะสม เพื่อนา การศึกษากา้วหนา้เป็น ที่ยอมรับของสังคมในศตวรรษที่ 21 ต่อไป ท้งัน้ีในการวิจยัคร้ังน้ีสามารถสร้างรูปแบบภาวะผูน้า ของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย 4 ส่วน ไดแ้ก่1) ส่วนนา 2) เน้ือหาและแนว ทางการด าเนินงาน 3) กระบวนการพัฒนาภาวะผู้น าของผูบ้ริหารสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ใน ศตวรรษที่ 21 และ 4) เงื่อนไขความส าเร็จ ซึ่ งมี 6 องค์ประกอบ คือ การบริหารยุคใหม่ ใส่ใจ คุณลักษณะ ทักษะเทคโนโลยีและการสื่อสาร ผู้บริหารดีมีการพัฒนา เน้นการคิดวิเคราะห์ และ นา พาสู่ตน้แบบที่ดีโดยมีกระบวนการพฒันาภาวะผูน้า ของผูบ้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ใน ศตวรรษที่ 21 ให้เกิดประสิทธิภาพจากการวิเคราะห์ภาวะผู้น าของผู้บริหาร การวางแผนการพัฒนา ภาวะผู้น าของผู้บริหาร การสร้างเครื่องมือในการประเมินภาวะผู้น าของผู้บริหาร การพัฒนาภาวะ ผู้น าของผู้บริหารตามแนวทาง
135 กรอบแนวคิดการวิจัย ในการศึกษารูปแบบภาวะผูน้ าของผูบ้ริหารสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานในศตวรรษที่21ผู้วิจัย ท าการศึกษาแนวคิด และทฤษฎีที่เกี่ยวกบั 1) แนวคิดเกี่ยวกบั ภาวะผู้น าประกอบด้วย ความหมายของผู้น า และภาวะผู้น า คุณลักษณะของผู้น า บทบาทหน้าที่ของผู้น า การพัฒนาภาวะผู้น า 2) แนวคิดเกี่ยวกบัรูปแบบ ภาวะผู้น าในศตวรรษที่ 21ประกอบด้วยแนวคิดเกี่ยวกับศตวรรษที่21องค์ประกอบของภาวะผู้น าใน ศตวรรษที่ 21รูปแบบภาวะผู้น าในศตวรรษที่ 21 ซึ่งศึกษาภาวะผู้น าเชิงศรัทธาบารมี (Charismatic leadership) ภาวะผู้น าเชิงวิสัยทัศน์ (Visionary leadership)ภาวะผู้น าเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic leadership)ภาวะผู้น าการ เปลี่ยนแปลง (Transformational leadership)ภาวะผู้น าทางการเรียนการสอน(Instructional leadership)ภาวะผู้น า แบบเหนือช้ัน (Transcendental leadership) ภาวะผู้น าแบบสร้างสรรค์(Creative leadership) ภาวะผู้น าเชิง จริยธรรม (Ethical leadership) 3) บทบาทหน้าที่ของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 และ 4) แนวคิด เกี่ยวกบัรูปแบบ ประกอบด้วย ความหมายของรูปแบบ ประเภทของรูปแบบองค์ประกอบของรูปแบบ การ พัฒนาของรูปแบบ และการตรวจสอบรูปแบบ ซึ่งผู้วิจัยได้น าเสนอกรอบแนวคิดของการวจิยัดงัน้ี ภาพที่ 2.6 กรอบแนวคิดการวิจัย รูปแบบภาวะผู้น าของ ผู้บริหารสถานศึกษา ขั้นพื้นฐาน ในศตวรรษที่ 21 ภาวะผู้น าเชิง ศรัทธาบารมี ภาวะผู้น าเชิง วิสัยทัศน์ บทบาทหน้าที่ ของผู้บริหาร สถานศึกษาใน ศตวรรษที่ 21 รูปแบบและการ พฒันารูปแบบ ภาวะผู้น าเชิง ยุทธศาสตร์ ภาวะผู้น าการ เปลี่ยนแปลง ภาวะผู้น า ทางการเรียน การสอน ภาวะผู้น า ภาวะผู้น าแบบ แบบเหนือชั้น สร้างสรรค์ ภาวะผู้น าเชิง จริยธรรม
136 บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย ในการวิจยัคร้ังน้ีเป็นการวิจยัแบบผสมผสาน (Mixed methodology) ท้งัการวิจยัเชิงคุณภาพ (Qualitative research) และการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ องคป์ระกอบของภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 เพื่อสร้างรูปแบบ ภาวะผูน้า ของผูบ้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21และเพื่อประเมินรูปแบบภาวะผู้น า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21ผวู้ิจยัไดก้า หนดข้นัตอนดา เนินการวจิยัไว้3ข้นัตอน ไดแ้ก่ ข้นัตอนที่ 1 การวิเคราะห์องค์ประกอบของภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษา ข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 ข้ันตอนที่ 2 การสร้างรูปแบบภาวะผู้น าของผู้บริหารสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่ 21 ข้นัตอนที่ 3 การประเมินรูปแบบภาวะผูน้ าของผูบ้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่ 21 ในแต่ละข้นัตอนการวจิยัผวู้ิจยัจะนา เสนอในหวัขอ้ดงัต่อไปน้ี 1. ข้นตอนการวิจัย ั 2. แหล่งขอ้มูล 3. ประชากรและกลุ่มตวัอยา่ง 4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 5. การสร้างและการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ 6. การเก็บรวบรวมขอ้มูล 7. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ จากรายละเอียดข้นัตอนดา เนินการวจิยัสามารถสรุปได้ ดังภาพที่ 3.1
137 ภาพที่3.1 สรุปข้นัตอนการวิจยั วิธีการด าเนินการวิจัยและผลที่ได้รับ ข้นัตอนการวิจยั ข้นัตอนที่1 การวิเคราะห์ องค์ประกอบของภาวะ ผู้น าของผู้บริหาร สถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่ 21 วิธีด าเนินการ ผลที่ได้รับ 1.ศึกษา และวิเคราะห์องค์ประกอบของภาวะ ผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานใน ศตวรรษที่ 21 2. รวบรวมข้อมูลเพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบ จากการสัมภาษณ์ 3. น าผลการสัมภาษณ์สร้างแบบสอบถาม 4. วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์ องค์ประกอบเชิงส ารวจ (EFA) เพื่อหา องค์ประกอบภาวะผู้น าของผู้บริหาร สถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 1. ตัวแปร องค์ประกอบรูปแบบ ภาวะผู้น าของผู้บริหาร สถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่ 21 2. องค์ประกอบภาวะ ผู้น าของผู้บริหาร สถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่ 21 ข้นัตอนที่2 สร้างรูปแบบภาวะผู้น า ของผู้บริหาร สถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่ 21 1. ร่างรูปแบบภาวะผนู้า ของผบู้ริหาร สถานศึกษาข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษที่21 โดย การสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ (Connoisseurship) 2. ปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ 3. ตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบ ภาวะผนู้า ของผบู้ริหารสถานศึกษาข้นั พ้ืนฐานในศตวรรษที่21 รูปแบบภาวะผู้น าของ ผู้บริหารสถานศึกษา ข้นัพ้ืนฐานในศตวรรษ ที่ 21 ข้นัตอนที่3 การประเมินรูปแบบ ภาวะผู้น าของผู้บริหาร สถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่21 ประเมินความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็ นไปได้ และความเป็ นประโยชน์ โดยผู้บริหาร และครู ผลการประเมินรูปแบบ ภาวะผู้น าของผู้บริหาร สถานศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ในศตวรรษที่ 21