39
กฎหมายอาญาภาค 2 แยกพจิ ารณา 2 ลกั ษณะ คือ
1. พจิ ารณาจากการกระทาที่กฎหมายบญั ญตั ิเป็นความผดิ
2. พิจารณาจากลกั ษณะขององคป์ ระกอบความผิด
1. พจิ ารณาจากการกระทาที่กฎหมายบัญญัตเิ ป็ นความผิด
องค์ประกอบภายนอก (actus reus,criminal act)
การกระทา ไดแ้ ก่ การเคลื่อนไหวร่างกายภายใตจ้ ิตใจบงั คบั (willed movement),
รวมท้งั พฤติการณ์ประกอบการกระทา (circumstances) และผล (result) ในกรณีท่ีกฎหมายตอ้ งการ
ใหเ้ กิดผลดว้ ย
องค์ประกอบภายใน (mens rea, criminal mind)
องคป์ ระกอบในส่วนจิตใจ ไดแ้ ก่ เจตนา การรู้ขอ้ เทจ็ จริง มูลเหตุชกั จูงใจพเิ ศษ
ตลอดจนความประมาทดว้ ย
2. พจิ ารณาจากลกั ษณะขององค์ประกอบความผิด
1. องค์ประกอบในทางรับหรือปฏิเสธ
ถา้ การกระทาครบองคป์ ระกอบท้งั ภายในและภายนอก ความผดิ สาเร็จทนั ที เช่น ฆ่า
คนตาย ลกั ทรัพย์ เหล่าน้ีเป็นองคป์ ระกอบในทางรับ
ส่วนองคป์ ระกอบในทางปฏิเสธ คอื เขา้ องคป์ ระกอบ กจ็ ะไมเ่ ป็นความผิด เช่น
มาตรา 271 “ถา้ การกระทาน้นั ไมเ่ ป็นความผิดฐานฉอ้ โกง”
2. องค์ประกอบในทางอธิบาย
ขอ้ ความท่ีกฎหมายอาญาบญั ญตั ิไวเ้ พ่ืออธิบายความผดิ ตามมาตราน้นั ๆ ใหช้ ดั เจนข้ึน
แมไ้ ม่มีขอ้ ความดงั กล่าวก็ไม่กระทบตอ่ องคป์ ระกอบอ่ืน แตห่ ากตดั ออกไปเลยกอ็ าจเกิดขอ้ สงสยั ใน
ฐานความผดิ ได้ เช่น มาตรา 149 “ไมว่ า่ การน้นั จะชอบหรือมิชอบดว้ ยหนา้ ที่” ขอ้ ความน้ีเป็น
องคป์ ระกอบที่อธิบายเพิ่มเติมใหช้ ดั เจนข้นึ เท่าน้นั
3. องค์ประกอบท่ีเป็ นเงื่อนไขแห่งการลงโทษทางภาวะวิสัย
3.1 เง่ือนไขแห่งการลงโทษทางภาวะวสิ ยั ที่อาศยั ผลของการกระทา เช่น มาตรา 29
“เป็นเหตุให.้ .” “จนเป็นเหตุให.้ .” ใหด้ ูตามมาตรา 63 ผลธรรมดาและผลโดยตรง
3.2 เง่ือนไขแห่งการลงโทษทางภาวะวสิ ัยที่ไมอ่ าศยั ผลของการกระทา เช่น ความผิดฐาน
รับของโจรมาตรา 357 คือผกู้ ระทาไมจ่ าตอ้ งรู้ หรือบางกรณีกใ็ ชค้ าวา่ “น่าจะ” แมไ้ ม่เกิดผลก็เป็ น
ความผดิ สาเร็จได้ เช่น มาตรา 220, 221, 223, 226, 228
“ในลกั ษณะอนั น่าจะเป็นเหตุใหเ้ กิดอนั ตราย...” มาตรา 229, 230, 231 ถึง 234
40
4. องค์ประกอบที่เป็ นเงื่อนไขแห่งการเพมิ่ โทษ
- เป็นองคป์ ระกอบภายในตามมาตรา 62 วรรคทา้ ย ที่บญั ญตั ิวา่ “บคุ คลจะต้องรับโทษ
หนกั ขึน้ โดยอาศยั ขอ้ เทจ็ จริงใด บุคคลน้นั จะตอ้ งไดร้ ู้ขอ้ เทจ็ จริงน้นั ”
- เช่นความผิดฐานฆา่ เจา้ พนกั งาน มาตรา 289(2), มาตรา 290
41
บทที่ 1 ความผดิ เกยี่ วกบั รัฐและความสงบสุขของสาธารณะ
จุดมุ่งหมายของรายวชิ า
1. เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนทราบบทบญั ญตั ิของกฎหมายอาญาความผดิ เก่ียวกบั รัฐและความสงบ
สุขของสาธารณะ
2. เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจถึงความผดิ เกี่ยวกบั รัฐและความสงบสุขของสาธารณะ
3. เพื่อใหผ้ เู้ รียนสามารถนาไปปรับใชก้ บั การศึกษากฎหมายรายวชิ าอ่ืนได้
4. เพื่อใหผ้ เู้ รียนสามารถนาไปปรับใชก้ บั ชีวิตประจาวนั และสามารถนาไปสอบได้
เนื้อหาของบทเรียน
1. ความผิดเกี่ยวกบั ความมน่ั คงแห่งราชอาณาจกั ร ความมน่ั คงภายในและภายนอก
ราชอาณาจกั ร และสัมพนั ธไมตรี
2. ความผดิ เกี่ยวกบั การก่อการร้าย
กจิ กรรมและวิธีการสอน
1. การบรรยาย
2. การอภิปรายและสรุปผล
ส่ือการสอน
PowerPoint ประกอบการบรรยาย
การวัดผลและประเมินผล
1. การมีส่วนร่วมและซกั ถามในช้นั เรียน
2. ประเมินความเขา้ ใจในการอภิปรายผล
3. แบบฝึกหดั
ลกั ษณะ 1 ความผดิ เกย่ี วกบั ความมนั่ คงแห่งราชอาณาจกั ร
หมวด 1 ความผิดต่อองคพ์ ระมหากษตั ริยแ์ ละสถาบนั ประมขุ
- บคุ คลทปี่ ระกอบเป็ น สถาบันประมุข ได้แก่
มาตรา 6 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2560 ท่ีวา่ "องค์
พระมหากษัตริย์ทรงดารงอยู่ในฐานะอนั เป็ นท่ีเคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้
ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มไิ ด้”
1. พระมหากษตั ริย์ (The King) มาตรา112 เพราะมาตราน้ี มุง่ คมุ้ ครองพระมหากษตั ริยท์ ่ี
ครองราชยอ์ ยใู่ นขณะที่กระทาความผิด
2. พระราชินี (The Queen)
3. รัชทายาท (The Crown Prince)
42
4. ผสู้ าเร็จราชการแทนพระองค์ (The Regent)
ความผิดในส่วนการกระทา มีด้วยกนั 4 ลกั ษณะ คือ
1. ความผดิ ต่อชีวิต 2. ความผิดตอ่ ร่างกาย 3. ความผดิ ต่อเสรีภาพ 4. ความผดิ ตอ่
ช่ือเสียง
คาวา่ “ปลงพระชนม”์ คอื การฆา่ ตามมาตรา 288, มาตรา 289 (ทวเี กียรติ มีนะกนิษฐ,
2556, หนา้ 13)
ผกู้ ระทามีเจตนา โดยรู้ขอ้ เท็จจริงวา่ เป็นการกระทาต่อพระมหากษตั ริย์
วรรคสอง การพยายาม มีโทษเท่ากบั ความผดิ สาเร็จ-- “พยายาม” ตามมาตรา 80 แต่
ไมม่ ีการลดโทษ
วรรคสาม การตระเตรียม หรือรู้วา่ ... ช่วยปกปิ ด (ก่อนความผดิ สาเร็จ) เป็นความผิด
แลว้
ประทุษร้าย / เสรีภาพ
การประทุษร้าย หมายถึง ทาแก่ร่างกายและจิตใจ มีความหมายเช่นเดียวกบั มาตรา 295
(ตอ้ งมีผลเกิดดว้ ย)
การประทุษร้ายต่อเสรีภาพ คือ การกระทาตามมาตรา 309 (บงั คบั ใหก้ ระทาการ
ไมก่ ระทาการ จายอมต่อสิ่งใด) มาตรา 310 (หน่วงเหน่ียวกกั ขงั / ทาใหป้ ราศจากเสรีภาพ)
ชื่อเสียง
1. หมิน่ ประมาท ตามมาตรา 326 กล่าวคือ ใส่ความบุคคลตามมาตรา 112 ต่อบุคคลที่
สาม (คอื ยนื ยนั ขอ้ เทจ็ จริง โดยไมว่ า่ จะเทจ็ หรือจะจริง ก็เป็นการใส่ความท้งั น้นั ) โดยประการท่ี
น่าจะทาใหบ้ ุคคลตามมาตรา 112 เสียชื่อเสียง ถูกดูหม่ิน หรือถกู เกลียดชงั แมค้ าพูดดงั กลา่ วจะไมม่ ี
ใครเชื่อก็เป็ นผิดมาตราน้ี
2. ดหู มนิ่ ตามมาตรา393 แต่ไม่จาตอ้ งกระทาซ่ึงหนา้ หรือดว้ ยการโฆษณา แมก้ ระทาลบั
หลงั ก็เป็นความผดิ ได้
คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 1294/2521 วินิจฉยั วา่ ขณะเปิ ดเพลงสรรเสริญพระบารมี
ประชาชนยนื ตรงถวายความเคารพ จาเลยกลา่ ววา่ "เฮ้ย เปิ ดเพลงอะไรเว้ย ฟังไม่รู้เร่ือย"
และไมย่ นื ตรง ถอ้ ยคาที่กล่าวเป็นความผดิ ตามมาตรา 112 กต็ าม
43
ตัวอย่าง คาพพิ ากษาศาลฎกี า เลขท่ี 2354/2531
จาเลยเป็นรัฐมนตรีช่วยวา่ การและเลขาธิการพรรคการเมือง ไดก้ ลา่ วตอ่ ประชาชนเพ่ือ
ช่วยหาเสียงใหแ้ ก่สมาชิกพรรคการเมืองของตนมีความวา่ " ถ้าเลอื กเกดิ ได้ จะเลือกเกดิ ใจกลาง
พระบรมมหาราชวงั ออกมาเป็ นพระองค์เจ้าวีระไม่ต้องมายนื ตากแดด พดู ให้ประชาชนฟังถึงเวลา
เทย่ี งกเ็ ข้าห้องเย็น เสวยเสร็จกบ็ รรทม ตน่ื อกี ทบี ่ายสามโมงพอตกเย็นกเ็ สวยน้าจัณฑ์ให้สบายอก
สบายใจ "
เป็นการกลา่ วเปรียบเทียบวา่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั สมเดจ็ พระนางเจา้
พระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกฎุ ราชกมุ าร องคร์ ัชทายาททรงมี
ความเป็นอยสู่ ุขสบาย ไมต่ อ้ งปฏิบตั ิพระราชภารกิจใด ๆ ต่างกบั จาเลยท่ีเป็นลูกชาวนา ตอ้ งทางาน
หนกั ซ่ึงขอ้ ความที่จาเลยกล่าวน้นั ไมเ่ ป็นความจริงจึงเป็นการใส่ความโดยประการที่น่าจะทาให้
พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัว ฯลฯ ทรงเสื่อมเสียพระเกียรติยศชื่อเสียง ถกู ดูหมิ่นเกลียดชงั
แมก้ ารกระทาดงั กลา่ วของจาเลยจะไม่เกิดผลเพราะไมม่ ีใครเช่ือถือคากลา่ วน้นั กต็ าม
กเ็ ป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จาเลยจะมีเจตนาหม่ินประมาทหรือดูหม่ิน
หรือไม่ จะถือตามความเขา้ ใจของจาเลยซ่ึงเป็นผกู้ ล่าวเองมิได้ ตอ้ งพจิ ารณาจากขอ้ ความที่จาเลย
กล่าวท้งั หมด การที่จาเลยกล่าวขอ้ ความไปอยา่ งไร แลว้ กลบั มาแกว้ า่ ไม่มีเจตนาตามที่กล่าว
ยอ่ มยากที่จะรับฟัง
ความเห็นของนักกฎหมาย
เหตุใหห้ มิ่นประมาทไดต้ ามมาตรา 329 และเหตุยกเวน้ โทษ ตามมาตรา 330 ไม่นามาใช้
บงั คบั กรณีพระมหากษตั ริย์ เพราะพระมหากษตั ริยเ์ ป็นที่เคารพสักการะมีสถานะแตกต่างจากบุคคล
ทว่ั ไป ซ่ึงมาตรา 112 มุง่ คุม้ ครองเป็นพิเศษ ดงั น้นั หากใครหมิ่นประมาท พระมหากษตั ริย์ และจะ
อา้ งต่อศาลวา่ ตนติชมดว้ ยความเป็นธรรม ศาลก็ไมร่ ับฟัง ซ่ึงในประเดน็ ดงั กลา่ ว ศาสตราจารย์
ดร.หยดุ แสงอทุ ยั และ ศาสตราจารย์ ประภาศน์ อวยชยั ไดอ้ ธิบายวา่ ความผดิ ตามมาตรา 112 น้นั
เป็นความผิดที่เคยบญั ญตั ิไวโ้ ดยคานึงถึงสถานะทางบคุ คลที่ถกู กระทาโดยเฉพาะ ฉะน้นั บทบญั ญตั ิ
มาตรา 329 และมาตรา 330-มาตรา 331 ยอ่ มนามาใชก้ บั ความผิดตามมาตรา 112 น้ีไม่ได้
44
องค์ประกอบภายใน
- เจตนาคือ ผกู้ ระทาจะต้องรู้ข้อเทจ็ จริงวา่ ผคู้ นท่ีจะกระทาตอ่ เป็น กษตั ริย์ ราชินี
รัชทายาท ผสู้ าเร็จราชการแทนพระองค์
- ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเลง็ เห็นผล
- หากเป็นการกระทาโดยไม่รู้ข้อเท็จจริง ตามมาตรา 62 วรรคท้าย กจ็ ะลงโทษผกู้ ระทา
ใหห้ นกั ข้นึ ไมไ่ ด้ คงลงโทษเทา่ กระทาแก่บคุ คลทว่ั ไป
- การกระทาโดยประมาทมีโทษเทา่ กระทากบั บคุ คลทวั่ ไป เพราะไมม่ ีกฎหมายบญั ญตั ิ
ลงโทษการกระทาโดยประมาทในกรณีดงั กล่าว
- การพยายาม มีโทษเท่ากบั ความผิดสาเร็จ
- การตระเตรียม หรือรู้ว่า... ช่วยปกปิ ด(ก่อนความผดิ สาเร็จ)
- การสนบั สนุน มีโทษเท่าตวั การ **** มาตรา 111
- การแสดงความอาฆาตมาดร้าย ตามมาตรา 112 คาวา่ พระมหากษตั ริย์ ยงั รวมถึงอดีต
พระมหากษตั ริยซ์ ่ึงสวรรคตไปแลว้ ดว้ ย แต่ตอ้ งมีการเคารพสักการะและทางราชการไดจ้ ดั พธิ ีราลึก
โดยการวางพวงมาลาทกุ ปี (สหรัฐ กิติ ศภุ การ, 2560) ตามคาพพิ ากษาฎีกาที่ 6374/2556 เป็นการ
หมิ่นอดีตพระมหากษตั ริยร์ ัชกาลท่ี 4 หากเป็นการกล่าวใส่ร้ายดว้ ยกริยา วาจาหรือเสียหายอยา่ งใดๆ
ยอ่ มตอ้ งรับโทษตามมาตราน้ี ซ่ึงรัชกาลท่ี 4 คือพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเป็นพระ
ราชบิดาของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
หมวด 2 ความผิดต่อความมน่ั คงของรัฐภายในราชอาณาจกั ร
กบฎ
มาตรา 113 กบฎในราชอาณาจักร
มาตรา 113 ผใู้ ดใชก้ าลงั ประทุษร้าย หรือข่เู ขญ็ วา่ จะใชก้ าลงั ประทษุ ร้าย เพื่อ
(1) ลม้ ลา้ งหรือเปล่ียนแปลงรัฐธรรมนูญ
(2) ลม้ ลา้ งอานาจนิติบญั ญตั ิ อานาจบริหาร หรืออานาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ หรือใหใ้ ช้
อานาจดงั กล่าวแลว้ ไมไ่ ด้ หรือ
(3) แบ่งแยกราชอาณาจกั รหรือยดึ อานาจปกครองในส่วนหน่ึงส่วนใดแห่งราชอาณาจกั ร
ผนู้ ้นั กระทาความผิดฐานเป็นกบฏ ตอ้ งระวางโทษประหารชีวิต หรือจาคกุ ตลอดชีวิต
45
“มูลเหตุชกั จูงใจพิเศษ” เพือ่
1. ลม้ ลา้ งหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ
2. ลม้ ลา้ งอานาจนิติบญั ญตั ิ บริหาร หรือตลุ าการ
3. แบง่ แยกราชอาณาจกั ร
ลาดบั เหตุการณ์ กบฏ ในประเทศไทย (13 คร้ัง) (นายใหญ่, 2553, ออนไลน์)
ตวั อยา่ งของการก่อกบฏในประวตั ิศาสตร์ที่ผา่ นมา ยกตวั อยา่ ง กบฏ ร.ศ. 130 (พ.ศ.
2454) โดย คณะ ร.ศ. 130, กบฏ บวรเดช (11 ตุลาคม พ.ศ. 2476) โดย คณะกูบ้ า้ นกูเ้ มือง มีพลเอก
พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ บวรเดช เป็นหวั หนา้ , กบฏ แบ่งแยกดินแดน (28 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2491)
กบฏ วงั หลวง (26 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2492) โดย ปรีดี พนมยงค์ เป็นหวั หนา้ , กบฏ ยงั เติร์ก หรือ กบฏ
เมษาฮาวาย (1-3 เมษายน พ.ศ. 2524) โดย พนั เอกมนูญ รูปขจร มีพลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา เป็น
หวั หนา้ , กบฏ ทหารนอกราชการ (9 กนั ยายน พ.ศ. 2528) โดย พนั เอกมนูญ รูปขจร มีพลเอกเสริม
ณ นคร เป็นหวั หนา้ เป็นตน้ อยา่ งไรก็ตาม ในต่างประเทศ เหตกุ ารณ์การก่อ กบฏเกิดข้ึนในยคุ สมยั
น้ีเช่นกนั
ความผิดฐานสะสมกาลงั พลหรืออาวุธ สมคบเพื่อเป็นกบฏ
มาตรา 114 ผใู้ ดสะสมกาลงั พลหรืออาวุธ ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกนั เพอ่ื เป็นกบฏ หรือ
กระทาความผิดใด ๆ อนั เป็นส่วนของแผนการเพื่อเป็นกบฏ หรือยยุ งราษฎรใหเ้ ป็นกบฏ หรือรู้วา่ มีผู้
จะเป็นกบฏ แลว้ กระทาการใดอนั เป็นการช่วยปกปิ ดไว้ ตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แต่สามปี ถึงสิบหา้ ปี
ความผิดตามมาตราน้ี พจิ ารณาจากเจตนาของผกู้ ระทาในลกั ษณะท่ีเก่ียวขอ้ งไม่วา่ จะใน
รูปแบบใดของการตระเตรียมเพอ่ื ก่อการกบฏ หรือมีการสมคบหรือปกปิ ดเกี่ยวกบั การก่อการกบฏ
ความผิดฐานยงุ ยงทหารหรือตารวจให้หนีราชการ
มาตรา 115 ยยุ งทหารหรือตารวจใหห้ นีราชการ ไม่ใหเ้ ชื่อฟังคาสัง่ หรือไมใ่ หย้ าเกรงต่อ
ผบู้ งั คบั บญั ชา ถา้ เป็นการกระทาโดยมุง่ หมายจะบอ่ นให้วินยั และสมรรถภาพของกรมทหารหรือ
ตารวจเสื่อมทรามลง ผกู้ ระทาตอ้ งรับโทษหนกั ตามวรรคสอง
ความผดิ ฐานยยุ งทหารหรือตารวจ ตอ้ งพิจารณาวา่ มีเจตนาเพอื่ ใหว้ ินยั และสมรรถภาพ
ของทหารหรือตารวจเส่ือมทรามหรือไม่ เนื่องจากกองกาลงั ทหารหรือตารวจมีความสาคญั ต่อ
ปกป้องประเทศ
46
ความผิดฐานปลกุ ป่ันยยุ งประชาชน
มาตรา 116 กระทาใหป้ รากฎแก่ประชาชนดว้ ยวาจา หนงั สือหรือวิธีอ่ืนใด โดยมีมลู เหตุ
ชกั จูงใจ คอื
(1) เพือ่ ใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงในกฎหมายแผน่ ดินหรือรัฐบาลโดยใชก้ าลงั ข่มขืนใจ
หรือกาลงั ประทุษร้าย
(2) เพื่อใหเ้ กิดความปั่นป่ วนหรือกระดา้ งกระเด่ืองในหมู่ประชาชนถึงขนาดท่ีจะก่อ
ความไมส่ งบข้ึนในราชอาณาจกั ร
(3) เพื่อใหป้ ระชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผน่ ดิน
ความผดิ ฐานปลกุ ป่ันยยุ งประชาชน ตามมาตราน้ีตอ้ งมีเจตนาพิเศษเพ่ือกระทาการใน
ลกั ษณะใดลกั ษณะหน่ึงดงั ทบ่ี ญั ญตั ิไวใ้ นมาตราน้ี ส่วนมากจะเป็นประเดน็ ทางการเมือง และมี
ประชาชนเขา้ ร่วมกนั เป็นจานวนมาก อยา่ งไรก็ตาม หากกลุม่ ประชาชนหรือกลุ่มคนเหลา่ น้นั ใน
สิทธิชุมนุมตามรัฐธรรมนูญก็ไมเ่ ป็นความผิดตามมาตราน้ี
ความผิดฐานยยุ งให้ปิ ดงาน
มาตรา 117 ยยุ งหรือจดั ใหเ้ กิดการร่วมกนั หยดุ งาน ปิ ดงานงดจา้ งหรือร่วมกนั ไมย่ อม
คา้ ขายหรือติดต่อทางธุรกิจกบั บคุ คลใดๆ โดยมีมลู เหตุชกั จูงใจ คือ เพื่อใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลง
ในกฎหมายแผน่ ดิน เพอื่ บงั คบั รัฐบาลหรือเพื่อข่มข่ปู ระชาชน
การยยุ งใหป้ ิ ดงาน หยดุ งาน หากเป็นการกระทาที่ชอบดว้ ยกฎหมาย มีการแจง้ ขอ้
เรียกร้องตามกฎหมายแรงงาน ก็ไม่ถือวา่ มีความผดิ ตามมาตราน้ี อยา่ งไรกต็ าม ความผิดตามมาตรา
น้ีตอ้ งมีเจตนาพิเศษ เพื่อบงั คบั รัฐบาลหรือเพื่อขม่ ข่ปู ระชาชน
ความผิดฐานเหยยี ดหยามเครื่องหมายท่ีแสดงถึงรัฐ
มาตรา 118 กระทาต่อธงหรือเครื่องหมายอื่นใดอนั มีความหมายถึงรัฐ ตอ้ งมีมลู เหตุ
ชกั จูงใจ เพอ่ื เหยยี ดหยาม ประเทศชาติ เช่น ธงชาติไทย ครุฑ หรือตราแผน่ ดิน ท่ีมีความหมายถึง
ประเทศไทย
การเหยยี ดหยามธงหรือเคร่ืองหมายที่แสดงถึงความเป็นรัฐ มีความผดิ เน่ืองจากเป็นการ
แสดงออกถึงการไม่เคารพประเทศชาติ อยา่ งไรก็ตาม ผกู้ ระทาความผดิ ตอ้ งมีเจตนาพิเศษ เพ่อื
เหยยี ดหยามประเทศชาติดว้ ย
47
หมวด 3 ความผิดต่อความมน่ั คงของรัฐภายนอกราชอาณาจกั ร
ความผดิ ฐานกระทาการเป็นปฏิปักษต์ อ่ ราชอาณาจกั ร
มาตรา 119 กระทาการใด ๆ โดยมีมลู เหตุชกั จูงใจ เพ่ือใหร้ าชอาณาจกั รหรือส่วนหน่ึง
ส่วนใดของราชอาณาจกั รตกไปอยใู่ ตอ้ านาจอธิปไตยของรัฐตา่ งประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐ
เส่ือมเสียไป
ความผดิ ตามมาตราน้ี ตอ้ งมีเจตนาพเิ ศษถึงขนาดทาใหป้ ระเทศไทยเสียอานาจอธิปไตย
หรือสูญเสียเอกราช
มาตรา 120 คบคิดกบั บุคคลซ่ึงกระทาการเพอื่ ประโยชน์ของรัฐต่างประเทศ ดว้ ยความ
ประสงคท์ ่ีจะก่อใหเ้ กิดการดาเนินการรบต่อรัฐหรือในทางอ่ืนที่เป็นปรปักษต์ ่อรัฐ
ความผดิ ตามมาตราน้ี เป็นการลงโทษบคุ คลท่ีคิดทาการเป็นฝ่ายตรงขา้ ม หรือปรปักษต์ ่อ
ประเทศไทย อาจเป็นการสมคบคดิ กบั ฝ่ายตรงขา้ มเพอื่ ให้ประเทศไทยเสียเปรียบ
มาตรา 121 คนไทยกระทาการรบตอ่ ประเทศหรือเขา้ ร่วมเป็นขา้ ศึกของประเทศ
ความผิดตามมาตราน้ี ลงโทษเฉพาะคนไทย สญั ชาติไทย เทา่ น้นั คนตา่ งชาติจะไม่ผดิ
ตามมาตราน้ี
มาตรา 122 กระทาการใด ๆ เพอื่ อปุ การะแก่การดาเนินการรบหรือการตระเตรียมการรบ
ของขา้ ศึก
1. ทาใหป้ ้อม คา่ ย สนามบิน ยานรบ ยานพาหนะ ทางคมนาคม ส่ิงที่ใชใ้ นการสื่อสาร
ยทุ ธภณั ฑ์ เสบียงอาหาร อู่เรือ อาคารหรือสิ่งอ่ืนใดสาหรับใชเ้ พื่อการสงครามใชก้ ารไมไ่ ด้ หรือ
ตกไปอยใู่ นเง้ือมมือของขา้ ศึก
2. ยยุ งทหารใหล้ ะเลยไมก่ ระทาการตามหนา้ ที่ ก่อการกาเริบหนีราชการ หรือละเมิดวินยั
3. กระทาจารกรรม นาหรือแนะทางใหข้ า้ ศึก หรือ
4. การทาโดยประการอื่นใดใหข้ า้ ศึกไดเ้ ปรียบในการรบ
ความผดิ เก่ียวกบั ความลบั ของประเทศ
มาตรา 123 กระทาการใด ๆ โดยมีมูลเหตชุ กั จูงใจ เพ่ือใหไ้ ดม้ าซ่ึงขอ้ ความเอกสารหรือ
ส่ิงใด ๆ อนั ปกปิ ดไวเ้ ป็นความลบั สาหรับความปลอดภยั ของประเทศ
ความผิดตามมาตราน้ี ตอ้ งเป็นความลบั สาคญั มาก ระดบั ประเทศ เพราะวา่ เป็นความ
ปลอดภยั ของรัฐ
48
มาตรา 124 กระทาการใด ๆ โดยมีมลู เหตุชกั จูงใจ เพื่อให้ผอู้ ่ืนลว่ งรู้หรือไดไ้ ปซ่ึง
ขอ้ ความ เอกสารหรือส่ิงใด ๆ อนั ปกปิ ดไวเ้ ป็นความลบั สาหรับความปลอดภยั ของประเทศ
วรรคสอง ถา้ ความผดิ น้นั ไดก้ ระทาในนระหวา่ งประเทศอยใู่ นการรบหรือการ
สงคราม
วรรคสาม ถา้ ไดก้ ระทาเพื่อใหร้ ัฐต่างประเทศไดป้ ระโยชน์ ตอ้ งรับโทษหนกั
ความผิดเก่ียวกบั ส่วนไดเ้ สียของรัฐ
มาตรา 125 ปลอม ทาเทียมข้ึน กกั ไว้ ซ่อนเร้น ปิ ดบงั ยกั ยา้ ย ทาใหเ้ สียหาย ทาลาย หรือ
ทาใหส้ ูญหายหรือไร้ประโยชน์ซ่ึงเอกสารหรือแบบใด ๆ อนั เก่ียวกบั ส่วนไดเ้ สียของรัฐในการ
ระหวา่ งประเทศ
มาตรา 126 ไดร้ ับมอบหมายจากรัฐบาลใหก้ ระทากิจการของรัฐกบั รัฐบาลตา่ งประเทศ
ถา้ และโดยทจุ ริตไม่ปฏิบตั ิการตามท่ีไดร้ ับมอบหมาย
สาหรับความผิดตามมาตราน้ี ตอ้ งเป็นบคุ คลท่ีไดร้ ับมอบหมายจากประเทศไทยเป็น
ตวั แทนของประเทศเพอ่ื การเจรจาทางการเมือง การคา้ บุคคลน้นั ตอ้ งกระทาการโดยสุจริตไม่แสวง
ประโยชน์อนั มิควรไดโ้ ดยชอบดว้ ยกฎหมาย ซ่ึงจะทาใหป้ ระเทศไทยเสียเปรียบได้
ความผิดฐานกระทาการเพื่อใหเ้ กิดเหตุร้ายแก่ประเทศภายนอก
มาตรา 127 กระทาการใด ๆ เพอ่ื ใหเ้ กิดเหตุร้ายแก่ประเทศจากภายนอก
บทบญั ญตั ิพิเศษ
มาตรา 128 ตระเตรียมการหรือพยายามกระทาความผิดในหมวดน้ี ตอ้ งรับโทษเท่า
ความผิดน้นั
มาตรา 129 ผสู้ นบั สนุนในความผดิ หมวดน้ี ตอ้ งระวางโทษเช่นเดียวกบั ตวั การ
หมวด 4 ความผิดต่อสมั พนั ธไมตรี
ความผิดฐานประทษุ ร้ายประมุขหรือผแู้ ทนของรัฐตา่ งประเทศ
มาตรา 130 ทาร้ายร่างกายหรือประทษุ ร้ายต่อเสรีภาพของราชาธิบดี ราชินี ราชสามี
รัชทายาทหรือประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ ซ่ึงมีสมั พนั ธไมตรี ส่วนวรรคสองถา้ พยายามกระทาผดิ
ตอ้ งระวางโทษเช่นเดียวกนั
ความผดิ ฐานทาร้ายร่างกาย หรือประทุษร้ายต่อเสรีภาพ เพื่อใหค้ วามปลอดภยั ในชีวติ
ร่างกาย เสรีภาพของบุคคลสาคญั ตามมาตราน้ี และมีบทบญั ญตั ิกรณีการพยายามกระทาความผิดรับ
โทษเทา่ กบั ความผิดสาเร็จ
49
มาตรา 131 ทาร้ายร่างกายหรือประทษุ ร้ายต่อเสรีภาพของผแู้ ทนรัฐตา่ งประเทศ ซ่ึงไดร้ ับ
แตง่ ต้งั ใหม้ าสู่พระราชสานกั คือ เอกอคั รราชทูต หรืออคั รราชทูต
ความผิดฐานทาร้ายร่างกาย หรือประทุษร้ายต่อเสรีภาพเอกอคั รราชทตู หรืออคั รราชทูต
เพือ่ คุม้ ครองตวั แทนของรัฐต่างประเทศท่ีมาเจริญสมั พนั ธไมตรีกบั ประเทศไทย
มาตรา 132 ฆา่ หรือพยายามฆ่าราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาทหรือประมขุ แห่งรัฐ
ตา่ งประเทศ หรือผแู้ ทนรัฐตา่ งประเทศ
ผกู้ ระทาตอ้ งรู้ขอ้ เทจ็ จริงอนั เป็นองคป์ ระกอบของความผิดดว้ ย
ความผดิ ฐานหมิ่นประมาทประมขุ หรือผแู้ ทนของรัฐต่างประเทศ
มาตรา 133 หมิ่นประมาท ดูหม่ินหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายราชาธิบดี ราชินี
ราชสามี รัชทายาทหรือประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ
มาตรา 134 หม่ินประมาท ดูหม่ินหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายผแู้ ทนรัฐต่างประเทศ
คาวา่ หม่ินประมาท เป็นไปตามความหมายของ มาตรา 326 ส่วนคาวา่ ดูหมิ่น เป็นไป
ตามมาตรา 393
ความผิดฐานเหยยี ดหยามรัฐตา่ งประเทศ
มาตรา 135 กระทาการใด ๆ ตอ่ ธงหรือเครื่องหมายอ่ืนใด อนั มีความหมายถึงรัฐ
ตา่ งประเทศซ่ึงสมั พนั ธไมตรี มีมูลเหตุชกั จูงใจ เพื่อเหยยี ดหยามรัฐน้นั
ความผิดตามมาตราน้ี เป็นการเหยยี ดหยามธงหรือเคร่ืองหมายท่ีแสดงถึงความเป็นรัฐ
ของรัฐตา่ งประเทศ ผกู้ ระทาความผิดตอ้ งมีเจตนาพิเศษ เพอ่ื เหยยี ดหยามประเทศชาติดว้ ย
สรุป สาหรับความผิดหมวด 4 ความผิดต่อสัมพนั ธไมตรี บญั ญตั ิทานองเดียวกบั ความผดิ
เก่ียวกบั ความมนั่ คงภายในประเทศ เพื่อคุม้ ครองบุคคลสาคญั ของตา่ งประเทศท่ีมาเจริญ
สัมพนั ธไมตรีกบั ประเทศไทย ไมว่ า่ จะเป็น กษตั ริย์ พระราชินี ผแู้ ทนรัฐต่างประเทศ ท่านทตู เหลา่ น้ี
ตอ้ งไดร้ ับความคมุ้ ครองตามกฎหมาย ไม่ใหบ้ คุ คลใดที่จะกระทาความผดิ เพราะวา่ กฎหมายอาญา
ไทยมีบทลงโทษทางอาญาชดั เจน
50
ลกั ษณะ 1/1 การก่อการร้าย
ความผดิ ฐานก่อการร้าย
ความผดิ ฐานก่อการร้าย กรณีการกระทาเกิดนอกราชอาณาจกั ร ถือเป็นความผดิ ตาม
มาตรา 7 (1/1) ที่ศาลไทยลงโทษไดเ้ พราะเป็นหลกั อานาจลงโทษสากล (Universality Principle)
และศาลไทยสามารถลงโทษซ้าอีกคร้ังสาหรับการกระทาเดียวกนั ได้ ตามมาตรา 10
มาตรา 135/1
1. ใชก้ าลงั ประทุษร้าย หรือกระทาการใดอนั ก่อใหเ้ กิดอนั ตรายตอ่ ชีวิต หรืออนั ตราย
อยา่ งร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของบุคคลใด ๆ
2. กระทาการใดอนั ก่อใหเ้ กิดความเสียหายอยา่ งร้ายแรงแก่ ระบบการขนส่งสาธารณะ
ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพ้ืนฐานอนั เป็นประโยชน์สาธารณะ
3. การกระทาการใดอนั ก่อใหเ้ กิดความเสียหายแก่ทรัพยส์ ินของรัฐหน่ึงรัฐใด หรือ
ของบุคคลใดหรือต่อส่ิงแวดลอ้ ม อนั ก่อใหเ้ กิดหรือน่าจะก่อใหเ้ กิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ
อยา่ งสาคญั
วรรคสอง ถา้ การกระทาน้นั ไดก้ ระทาโดยมีความมุง่ หมายเพอื่ ข่เู ข็ญหรือบงั คบั รัฐบาล
ไทย รัฐบาลตา่ งประเทศ หรือองคก์ ารระหวา่ งประเทศ ใหก้ ระทาหรือไมก่ ระทาการใดอนั จะ
ก่อใหเ้ กิดความเสียหายอยา่ งร้ายแรง หรือเพ่อื สร้างความป่ันป่ วนเพื่อใหเ้ กิดความหวาดกลวั ใน
หม่ปู ระชาชน ผนู้ ้นั กระทาความผิดฐานก่อการร้าย
วรรคสาม การกระทาในการเดินขบวน ชุมนุม ประทว้ ง โตแ้ ยง้ หรือเคล่ือนไหวเพื่อ
เรียกร้องใหร้ ัฐช่วยเหลือ หรือใหไ้ ดร้ ับความเป็นธรรมอนั เป็นการใชเ้ สรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
ไมเ่ ป็นการกระทาความผดิ ฐานก่อการร้าย
มาตรา 135/3 ผสู้ นบั สนุนตอ้ งรับโทษเท่าตวั การ
ความผดิ ฐานข่เู ข็ญวา่ จะก่อการร้าย
มาตรา 135/2
1. ขเู่ ขญ็ วา่ จะกระทาการก่อการร้าย โดยมีพฤติการณ์อนั ควรเชื่อไดว้ า่ บุคคลน้นั จะกระทา
การตามท่ีขเู่ ขญ็ จริง หรือ
2. สะสมกาลงั พลหรืออาวธุ จดั การหรือรวบรวมทรัพยส์ ิน ใหห้ รือรับการฝึกการก่อการ
ร้าย ตระเตรียมการอ่ืนใด หรือสมคบกนั เพอ่ื ก่อการร้าย หรือกระทาความผิดใด ๆ อนั เป็นส่วนของ
แผนการเพอ่ื ก่อการร้าย หรือยยุ งประชาชนใหเ้ ขา้ มีส่วนในการก่อการร้าย หรือรู้วา่ มีผกู้ ่อการร้าย
และกระทาการใดอนั เป็นการช่วยเหลือปกปิ ดไว้
ความผิดฐานเป็นสมาชิกของคณะผกู้ ่อการร้าย
51
มาตรา 135/4 เป็นสมาชิกของคณะบคุ คลซ่ึงมีมติของ หรือประกาศภายใตค้ ณะมนตรี
ความมน่ั คงแห่งสหประชาชาติกาหนดให้เป็นคณะบุคคลท่ีมีการกระทา อนั เป็นการก่อการร้ายและ
รัฐบาลไทยไดป้ ระกาศใหค้ วามรับรองมติหรือประกาศดงั กลา่ วดว้ ยแลว้ ดงั น้ี มาตราน้ีจึงเป็นกรณี
การก่อการร้ายสากล
ขอ้ สงั เกต มาตราน้ี กาหนดโดยมติของสหประชาชาติและรัฐบาลไทยกาหนดกล่มุ
ผกู้ ่อการร้ายสากลเท่าน้นั (ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ, 2556, หนา้ 29)
52
แบบฝึ กหัดท้ายบทที่ 1 (คาถามพร้อมธงคาตอบ ขอ้ สอบความรู้ช้นั เนติบณั ฑิต ภาคหน่ึง
ต้งั แต่ปี การศึกษา 2520-2544,(ม.ป.ป.)
คาถาม นายเดชกบั พวกรวม 10 คน เป็นสมาชิกของชมรมซ่ึงมีชื่อวา่ “ชมรมสิงห์กงั ด์
ปรีซ”์ มีวธิ ีปกปิ ดความลบั ของชมรม และมีความมงุ่ หมายเพื่อนดั ชุมนุมขบั รถยนตแ์ ขง่ กนั ในทอ้ ง
สนามหลวงในเวลาวิกาลตามวนั เวลา และสถานที่ท่ีรู้กนั เฉพาะสมาชิกของชมรมเท่าน้นั ท้งั น้ีเพอ่ื
ปกปิ ดมิใหต้ ารวจทราบ ดงั น้ี นายเดชกบั พวกท่ีเขา้ เป็นสมาชิกของชมรมน้นั มีความผดิ ฐานใด
หรือไม่ (ขอ้ สอบเนติบณั ฑิต สมยั ที่ 34)
ตอบ นายเดชกบั พวก 10 คน ที่เขา้ เป็นสมาชิกของชมรมสิงหก์ งั ดป์ รีซ์น้นั เป็นสมาชิก
ของคณะบุคคลซ่ึงปกปิ ดวิธีดาเนินการ และมีความมุง่ หมายเพอ่ื การอนั มิชอบดว้ ยกฎหมาย คอื การ
ชุมนุมขบั รถยนตแ์ ข่งกนั ในทอ้ งถนนหลวงในเวลาวิกาล อนั เป็นการฝ่าฝืนพระราชบญั ญตั ิจราจร
ทางบก พ.ศ. 2522 นายเดชกบั พวกมีความผิดฐานเป็นอ้งั ยี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209
ไมใ่ ช่ความผดิ ฐานซ่องโจรตามมาตรา 210 เพราะมิใช่สมคบกนั เพอื่ กระทาความผิดอย่างหน่ึงอยา่ ง
ใดในภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
คาถาม มีประชาชนจานวนมากในงานนมสั การเทวรูปท่ีศาลเจา้ แห่งหน่ึง ก. ข. ค. ง. จ.
ปรึกษาตกลงกนั จะปลน้ ทรัพยผ์ ทู้ ี่มาในงานน้ี กาหนดหนา้ ท่ีให้ ก. ข. ทาหนา้ ท่ีขายพวงมาลยั ค. ง.
จ. ใชม้ ีดข่บู งั คบั เอาทรัพยจ์ ากผซู้ ้ือพวงมาลยั คร้ันถึงเวลาท่ีนดั หมาย ก.ไปไม่ไดเ้ พราะป่ วย พวกท่ี
เหลือตกลงกนั ดาเนินการต่อไป โดย ข. ขายพวงมาลยั ใหน้ ายดี แลว้ ค. ง. จ. ใชม้ ีดขบู่ งั คบั นายดีให้
ส่งเงิน แต่ไมไ่ ดเ้ งินเพราะถกู ตารวจจบั เสียก่อน ดงั น้ี ก. ข. ค. ง. จ. มีความผดิ ฐานใดหรือไม่
(ขอ้ สอบเนติบณั ฑิต สมยั ที่ 35)
ตอบ ก. ข. ค. ง. จ. สมคบกนั ต้งั แตห่ า้ คนข้นึ ไปเพื่อกระทาการปลน้ ทรัพยอ์ นั เป็น
ความผดิ ตามที่บญั ญตั ิไวใ้ นภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และโดยท่ีความผิดฐานปลน้ ทรัพย์
เป็นความผิดที่มีระวางโทษจาคุกอยา่ งสูงต้งั แต่สิบปี ข้นึ ไป ก. ข. ค. ง. จ. จึงมีความผิดฐานเป็นซ่อง
โจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 วรรคสอง
ในการปลน้ ทรัพยค์ ร้ังน้ีไดม้ ีการแบ่งหนา้ ท่ีกนั ทาโดยให้ ข. ทาหนา้ ที่เป็นคนขาย
พวงมาลยั ใหน้ ายดี แลว้ ค. ง. จ. ใชม้ ีดข่บู งั คบั นายดีใหส้ ่งเงิน แตเ่ ผอิญถกู ตารวจจบั ไดเ้ สียก่อน
จึงไม่ไดเ้ งิน ข. ค. ง. จ. มีความผดิ ฐานพยายามปลน้ ทรัพยโ์ ดยมีอาวธุ ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 340 วรรคสอง ก. ซ่ึงร่วมวางแผนปลน้ ในซ่องโจรน้นั แมจ้ ะไปร่วมปลน้ ไมไ่ ดเ้ พราะป่ วย
แตก่ ็ตอ้ งระวางโทษฐานพยายามปลน้ ทรัพยโ์ ดยมีอาวธุ เหมือนกบั พรรคพวกท่ีไปกระทาผดิ ทุกคน
ตามประมาลกฎหมายอาญา มาตรา 213
53
คาถาม นายพงศไ์ ดร้ ่วมกบั พวกรวม 5 คน ติดต่อเช่าอาคารพาณิชย์ ขนาดหนา้ กวา้ ง
15 เมตร และลึก 25 เมตร โดยนาป้ายช่ือของบริษทั ท่ีเป็นสานกั งานทนายความและป้ายชื่อชมรม
มิตรภาพไปติดต้งั ไวท้ ่ีดา้ นหนา้ อาคารดงั กลา่ ว แตม่ ิไดเ้ จตนาที่จะประกอบกิจการดา้ นกฎหมาย
อยา่ งแทจ้ ริง และจดั ต้งั ชมรมเพอ่ื ปิ ดบงั การเล่นพนนั โดยแบง่ พ้นื ท่ีอาคารส่วนกลางและดา้ นหลงั
เพอื่ การเลน่ พนนั โดยบุคคลที่จะเขา้ ไปเล่นพนนั ไดจ้ ากดั เฉพาะสมาชิกชมรมเทา่ น้นั วนั เกิดเหตุ
เจา้ พนกั งานตารวจไดร้ ่วมกนั เขา้ จบั กมุ ผเู้ ลน่ พนนั ไพบ่ ารากา (มีอตั ราโทษจาคกุ ไม่เกิน 2 ปี หรือ
ปรับไมเ่ กิน 2,000 บบบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ) ภายในอาคารได้ 24 คน กบั ยดึ ไดโ้ ตะ๊ สาหรับ
เลน่ ไพ่บารากา 3 ชุด เงินสด 150,000 บาท และชิปแลกเงินมลู ค่า 1,500,000 บาท นายพงศห์ ลบหนี
ไม่ทนั จึงถูกจบั กมุ และนาตวั ส่งพนกั งานสอบสวนดาเนินคดี ใหว้ ินิจฉยั วา่ นายพงศม์ ีความผิดตาม
ประมวลกฎหมายอาญาฐานใดหรือไม่ (ขอ้ สอบเนติบณั ฑิตสภา สมยั ที่ 66)
ตอบ การที่นายพงศก์ บั พวกรวม 5 คน นาป้ายชื่อของบริษทั ที่เป็นสานกั งานทนายความ
ไปติดต้งั ไวท้ ี่ดา้ นหนา้ อาคารพาณิชยท์ ่ีเช่า โดยต่อมามีการแบง่ พ้ืนท่ีอาคารส่วนกลางและดา้ นหลงั
เพื่อใชเ้ ป็นสถานท่ีเลน่ การพนนั ไพ่บารากา จึงมีเหตผุ ลใหเ้ ชื่อไดว้ า่ เป็นเพียงการกระทาบงั หนา้
เพอ่ื ใหเ้ จา้ พนกั งานตารวจเกรงกลวั และไมก่ ลา้ เขา้ ไปตรวจคน้ จบั กุม และการท่ีนายพงศก์ บั พวก
ร่วมกนั จดั ต้งั ชมรมมิตรภาพและนาป้ายชมรมมาติดต้งั ไวท้ ี่ดา้ นหนา้ อาคารพาณิชยด์ ว้ ย เป็น
พฤติการณ์การรวมกลุ่มกนั เพื่อจดั ใหม้ ีการเล่นการพนนนั ไพบ่ ารากาในอาคารพาณิชยน์ ้นั มาแตต่ น้
ถือไดว้ า่ นายพงศก์ บั พวกดงั กล่าวเป็นสมาชิกของคณะบคุ คลซ่ึงปกปิ ดวิธีดาเนินการ และมีความมุ่ง
หมายเพื่อการอนั มิชอบดว้ ยกฎหมาย การกระทาของนางพงศจ์ ึงเป็นความผิดฐานเป็นอ้งั ย่ี ตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 (เทียบคาพิพากษาฎีกาท่ี 3279/2554)
แตก่ ารกระทาของนายพงศด์ งั กล่าวไม่เป็นความผดิ ฐานเป็นซ่องโจร ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 210 เพราะวา่ นายพงศก์ บั พวกรวม 5 คน น้นั ไม่ไดส้ มคบกนั เพ่ือกระทา
ความผดิ อยา่ งหน่ึงอยา่ งใด ตามที่บญั ญตั ิไวใ้ นภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
54
บรรณานุกรมท้ายบท
หนงั สืออ้างองิ
ตารา
คาถามพร้ อมธงคาตอบ ข้อสอบความรู้ช้ันเนติบณั ฑิต ภาคหน่ึง ตงั้ แต่ปี การศึกษา 2542-2561.
(2562). กรุงเทพฯ: เนติบัณฑิตยสภา.
คาถามพร้ อมธงคาตอบ ข้อสอบความรู้ชั้นเนติบณั ฑิต ภาคหนึ่ง ต้ังแต่ปี การศึกษา 2520-2544.
(ม.ป.ป.). กรุงเทพฯ: เนติบณั ฑิตยสภา.
ทวเี กียรติ มีนะกนิษฐ. (2556). หลกั กฎหมายอาญา ภาคความผิด. (พมิ พค์ ร้ังที่ 10). สานกั พิมพว์ ญิ ญู
ชน. กรุงเทพมหานคร.
นายใหญ.่ (2553). ลาดับเหตุการณ์กบฏในไทย. วนั ที่สืบคน้ ขอ้ มลู , 1 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2560,
เขา้ ถึงไดจ้ าก http://oknation.nationtv.tv/blog/iambigcafe/2010/05/26/entry-1
สหรัฐ กิติ ศภุ การ. (2560). หลกั และคาพิพากษา กฎหมายอาญา. พิมพค์ ร้ังท่ี 7. บริษทั อมรินทร์
พริ้นทต์ ิง้ แอนดพ์ บั ลิชช่ิง จากดั (มหาชน). กรุงเทพมหานคร.
55
บทท่ี 2 ความผดิ เกยี่ วกบั การปกครอง
จุดมุ่งหมายของรายวิชา
1. เพ่อื ใหผ้ เู้ รียนทราบและเขา้ ใจบทบญั ญตั ิของกฎหมายอาญา ความผิดเก่ียวกบั การ
ปกครอง และยตุ ิธรรม
2. เพ่ือใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจถึงความผดิ เก่ียวกบั การปกครอง และยตุ ิธรรม
3. เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนสามารถนาไปปรับใชก้ บั การศึกษากฎหมายรายวชิ าอ่ืนได้
4. เพื่อใหผ้ เู้ รียนสามารถนาไปปรับใชก้ บั ชีวิตประจาวนั และสามารถนาไปสอบได้
เนื้อหาของบทเรียน
1. ความผิดเก่ียวกบั การปกครอง กรณีกระทาต่อเจา้ พนกั งาน และความผดิ ต่อตาแหน่ง
หนา้ ท่ีราชการ
2. ความผดิ เก่ียวกบั ยตุ ิธรรม กรณีความผดิ ต่อเจา้ พนกั งานในการยตุ ิธรรม และตาแหน่ง
หนา้ ที่ในการยตุ ิธรรม
กจิ กรรมและวธิ กี ารสอน
1. การบรรยาย
2. การอภิปรายและสรุปผล
สื่อการสอน
PowerPoint ประกอบการบรรยาย
การวดั ผลและประเมินผล
1. การมีส่วนร่วมและซกั ถามในช้นั เรียน
2. ประเมินความเขา้ ใจในการอภิปรายผล
3. แบบฝึกหดั
56
ลกั ษณะ 2 ความผิดเกย่ี วกบั การปกครอง
หมวด 1 ความผิดต่อเจา้ พนกั งาน
ดูหม่ินเจ้าพนักงาน
มาตรา 136 ผใู้ ดดูหม่ินเจา้ พนกั งานซ่ึงกระทาการตามหนา้ ที่ หรือเพราะไดก้ ระทาการตามหนา้ ท่ี
ตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินหน่ึงปี หรือปรับไมเ่ กินสองหม่ืนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
ตามประมวลกฎหมายอาญาสามารถแบ่งกลุ่มความผดิ ดหู มนิ่ หมน่ิ ประมาทได้ดงั นี้
(นวรัตน์ กลิ่นรัตน,์ 2559, หนา้ 250-256)
มาตรา 112 มาตรา 133 มาตรา 134
1. การกระทาที่เป็นความผดิ ใน มาตรา 112 มาตรา 133 มาตรา 134 มีการกระทาอยู่
3 อยา่ ง คอื หม่ินประมาท ดูหม่ิน และแสดงอาฆาตมาดร้าย
2. ตอ้ งเป็นการกระทาตอ่ บคุ คลท่ีระบุไวใ้ น มาตรา 112 มาตรา 133 มาตรา 134
3. มาตรา 112 มาตรา 133 มาตรา 134 ไมม่ ีองคป์ ระกอบความผดิ วา่ กระทาเพื่อใหเ้ สีย
ชื่อเสียง ถูกดูหม่ิน ถูกเกลียดชงั เพยี งมีการกระทาเป็นการดูหม่ิน หมิ่นประมาท และแสดงอาฆาต
มาดร้าย ก็เขา้ องคป์ ระกอบ
4. การดูหม่ิน หมิ่นประมาท และแสดงอาฆาตมาดร้าย ไม่จาตอ้ งเกิดเพราะบคุ คลท่ีถูก
กระทาไดป้ ฏิบตั ิตามหนา้ ท่ีหรือไดก้ ระทาตามหนา้ ที่ แตกต่างกบั มาตรา 136 เรื่องดูหมิ่นเจา้
พนกั งาน
5. ผกู้ ระทาจะยกเหตนุ ิรโทษกรรม ซ่ึงอยใู่ น มาตรา 329 มาใชไ้ มไ่ ด้
คาพิพากษาฎีกาท่ี 51/2503 การที่จาเลยพูดกลา่ วถอ้ ยคาเป็นการหม่ินประมาทกษตั ริยใ์ นที่
ประชุมสาธารณะ จาเลยจะยกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (4) มาแกต้ วั ใหพ้ น้ ผิดไมไ่ ด้
6. เร่ืองดูหมิ่นเจา้ พนกั งาน ศาลฎีกาอนุโลมเอาเหตุนิรโทษกรรมตาม มาตรา 326 หรือ
เหตุยกเวน้ โทษตาม มาตรา 330 มาใช้ แมจ้ ะเป็นคนละส่วนก็เอามาใชไ้ ด้
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 613/2532 จาเลยใหส้ ัมภาษณ์ไปตามความคดิ เห็นของตน แมถ้ อ้ ยคาท่ี
ใชจ้ ะรุนแรง แต่ก็เห็นไดว้ า่ แสดงความคดิ เห็นโดยสุจริตใจและติชมดว้ ยความเป็นธรรม อนั เป็นวิสัย
ของ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทย จึงไม่ผดิ หมิ่นประมาทและดูหมิ่นเจา้ พนกั งาน
7. ความรับผิดของ บรรณาธิการซ่ึงตอ้ งรับผดิ ตาม พระราชบญั ญตั ิการพมิ พ์ พ.ศ. 2484
มาตรา 48 วรรค 2 โจทกไ์ มจ่ าเป็นตอ้ งนาสืบวา่ สมรู้กบั ผูเ้ ขียนบทความ หรือผหู้ มิ่นประมาท และ
บรรณาธิการจะอา้ งแกต้ วั ใหพ้ น้ ความผิดวา่ ตวั เองไมไ่ ดส้ มคบกบั ผปู้ ระพนั ธเ์ พ่ือไมใ่ หต้ อ้ งรับผดิ
ตาม มาตรา 112 มาตรา 133 มาตรา 134 ไมไ่ ด้ เพราะเป็นกฎหมายพเิ ศษใหต้ อ้ งร่วมรับผิด
8. ตวั อยา่ งท่ีศาลวนิ ิจฉยั วา่ ผิดมาตรา 112 แมไ้ มไ่ ดก้ ระทาโดยตรง
57
คาพิพากษาฎีกาที่ 1294/2521 ขณะเปิ ดเพลงสรรเสริญพระบารมี จาเลยกลา่ วถอ้ ยคาวา่
“เฮย้ เปิ ดเพลงอะไรโวย้ ฟังไมร่ ู้เรื่อง” และจาเลยไมไ่ ดย้ นื ตรงเหมือนเช่นประชาชนคนอื่น
การกระทาของจาเลยเป็นการดูหมิ่นพระมหากษตั ริย์ ตามมาตรา 112
คาพิพากษาฎีกาท่ี 2354/2531 จาเลยเคยเป็นอดีตรัฐมนตรีพดู ถึงพระบรมมหาราชวงั เป็น
ของพระมหากษตั ริยท์ ่ีทรงสร้างข้ึนและสร้างไวเ้ ป็นที่ประทบั ของพระองคแ์ ละพระบรมราชินี การ
ที่จาเลยพูดเปรียบเปรย เขา้ ลกั ษณะเป็นการดูหม่ิน ตามมาตรา 112
ความผดิ ดูหมน่ิ เจ้าพนกั งาน มาตรา 136
- เพื่อคุม้ ครองเจา้ พนกั งาน ป้องกนั ไมใ่ หร้ าษฎรกระทาผิดต่อเจา้ พนักงาน (นวรัตน์ กลิ่น
รัตน์, 2559 หนา้ 11-34)
มาตรา 1 (16) “เจา้ พนกั งาน” หมายความวา่ บุคคลซ่ึงกฎหมายบญั ญตั ิวา่ เป็นเจา้ พนกั งาน
หรือไดร้ ับแต่งต้งั ตามกฎหมายใหป้ ฏิบตั ิหนา้ ท่ีราชการ ไม่วา่ เป็นประจาหรือคร้ังคราว และไม่วา่ จะ
ไดร้ ับค่าตอบแทนหรือไม่
คาวา่ เจา้ พนกั งาน มีนิยามบญั ญตั ิไวใ้ นมาตรา 1 ซ่ึงเป็นบทกฎหมายท่ีแกไ้ ขเพ่ิมเติมในปี
พ.ศ. 2558 โดยเนน้ ถึงการทาหนา้ ท่ีในฐานะเจา้ พนกั งานของรัฐ โดยไมค่ านึงวา่ จะเป็นเจา้ พนกั งาน
ประจา หรือชวั่ คร้ังคราว และไมค่ านึงวา่ จะมีเงินค่าตอบแทนการปฏิบตั ิหนา้ ที่หรือไม่ ดงั น้นั การ
เป็นเจา้ พนกั งานของรัฐ หากไม่ปฏิบตั ิตามหนา้ ที่ของตนยอ่ มมีความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา
ท้งั สิ้น ท้งั น้ี เพ่อื ป้องกนั ไม่ใหเ้ จา้ พนกั งานอา้ งวา่ ตนไมไ่ ดท้ างานประจา หรือไม่ไดค้ ่าตอบแทน
เป็ นตน้
เจา้ พนกั งาน แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท
1. ผู้ได้รับแต่งต้งั จากทางการของรัฐบาลไทยให้ปฏบิ ตั ิราชการซึ่งต้องเป็ น ข้าราชการไม่ใช่
ลกู จ้าง
ขา้ ราชการ คือ ผไู้ ดร้ ับเงินเดือนจากงบประมาณประเภทเงินเดือน
ลกู จา้ งไม่ถือวา่ เป็นเจา้ พนกั งาน ไมว่ า่ จะเป็นลูกจา้ งประจาหรือ ลกู จา้ งชวั่ คราว
58
คาพิพากษาฎีกาท่ี 253/2503 จาเลยไมผ่ า่ นการสอบคดั เลือก ไม่ตอ้ งรับอนุมตั ิจาก ก.พ.
จาเลยไดร้ ับเงินเดือนจากรายไดข้ องโรงงานสุรา ไมไ่ ดร้ ับจากงบประมาณแผน่ ดิน ไมใ่ ช่เจา้
พนกั งานตามกฎหมายจึงยอ่ มทาผดิ ฐานเป็นเจา้ พนกั งานทุจริตต่อหนา้ ท่ีไมไ่ ด้
อาจารยจ์ ิตติ มีความเห็นวา่ ลูกจา้ งเกิดจากสญั ญาจา้ งแรงงาน ไมใ่ ช่เกิดจากขอ้ ตกลง
ทางการปกครอง ไม่ก่อใหเ้ กิดสถานะเป็นเจา้ พนกั งานของรัฐ
- บคุ คลที่กฎหมายแต่งต้งั ใหป้ ฏิบตั ิราชการเป็นเจา้ พนกั งานไมว่ า่ เป็นขา้ ราชการ
ประจาหรือขา้ ราชการการเมือง (ฝ่ายบริหาร) เช่น รัฐมนตรี เลขา รัฐมนตรี กถ็ ือวา่ เป็นขา้ ราชการ
- ตลุ าการเป็นเจา้ พนกั งาน
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 4586/2531 จาเลยเรียกและรับเงินจาก ท. โดยอา้ งวา่ จะเอาไปให้
ผพู้ พิ ากษายกฟ้องคดีของ ท. ซ่ึงผพู้ พิ ากษาน้นั แมไ้ มไ่ ดเ้ ป็นเจา้ ของสานวนและไมไ่ ดเ้ ป็นองค์
คณะพจิ ารณาก็ตาม ก็ถือวา่ เป็นเจา้ พนกั งานท่ีจาเลยจะจูงใจใหก้ ระทาการในหนา้ ท่ีอนั เป็นคุณ
หรือโทษแก่ ท. แลว้ จาเลยผิด มาตรา 143
คาพิพากษาฎีกาท่ี 2302/2523 คาร้องขอปลอ่ ยชว่ั คราวตอ้ งยนื่ ต่อศาล (ผพู้ พิ ากษา) จึงเป็น
เจา้ พนกั งานตามกฎหมาย การท่ีจาเลยยนื่ คาร้องเท็จวา่ ส. ตาย เป็นการร้องเพอ่ื ใหพ้ น้ จากความผดิ
ตามสญั ญาประกนั จึงเป็นการแจง้ ความเทจ็ ตอ่ เจา้ พนกั งาน
- ขา้ ราชการเมือง เช่น ส.ส. ส.ว.ไมใ่ ช่ เจา้ พนกั งานตามประมวลกฎหมายอาญาเพราะ
ไม่ใช่ขา้ ราชการ
- การแจง้ ความเทจ็ ต่อประธานรัฐสภา ไมม่ ีความผิดฐานแจง้ ความเทจ็ ต่อเจา้ พนกั งาน
ข้อสังเกต
เป็นขา้ ราชการแลว้ ไปปฏิบตั ิงานในหน่วยงานอื่นก็ยงั เป็นเจา้ พนกั งานเก่ียวกบั งานที่
กระทาน้นั คาพิพากษาฎีกาท่ี 265/2543 จาเลยที่ 1 เป็นหวั หนา้ ฝ่ายขอ้ มลู ของมหาวิทยาลยั รามคาแหง
ไดร้ ับแตง่ ต้งั จากอธิบดีกรมตารวจให้เป็นกรรมการตรวจขอ้ สอบและรวมคะแนนการสอบเขา้ เป็น
นายร้อยตารวจ ไดใ้ ชค้ วามรู้แกไ้ ขคะแนนใหผ้ ิดจากความเป็นจริง เป็นความผดิ ฐานเป็นเจา้ พนกั งาน
ปฏิบตั ิหรือละเวน้ การปฏิบตั ิหนา้ ที่โดยมิชอบ เพ่ือใหเ้ กิดความเสียหายแก่ตารวจ กรมตารวจ ผเู้ ขา้
สอบ และปฏิบตั ิหนา้ ที่โดยทุจริต ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ดว้ ย
2. บุคคลประเภททีม่ ีกฎหมายบญั ญตั ใิ ห้เป็ นเจ้าพนักงาน
เช่น พระราชบญั ญตั ิการเลือกต้งั สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร บญั ญตั ิใหก้ รรมการตรวจ
คะแนนกรรมการนบั คะแนนเป็นชาวบา้ นโดยไม่ไดร้ ับเงินเดือนจากงบประมาณ หรือไม่ไดเ้ ป็น
ขา้ ราชการเลยเป็นเจา้ พนกั งาน หรือ พระราชบญั ญตั ิจดั ต้งั ศาลเยาวชนฯ ใหเ้ ป็น
ผพู้ พิ ากษาสมทบเป็นเจา้ พนกั งานในตาแหน่งตุลาการตาม ประมวลกฎหมายอาญา
- ไมเ่ ป็นขา้ ราชการประจาหรือขา้ ราชการการเมือง ถา้ มีกฎหมายเฉพาะบญั ญตั ิไวใ้ ห้
เป็นเจา้ พนกั งาน ก็เป็นเจา้ พนกั งาน
59
คาพิพากษาฎีกาท่ี 143/2545 จาเลยเป็นเจา้ พนกั งานเกบ็ ค่าผา่ นทางด่วนของการทางพิเศษ
ฯ เมื่อจาเลยรับเงินค่าผา่ นทางมาแลว้ ไม่นาส่งเงินใหค้ รบโดยมีเอกสารเป็นพยาน ถือเป็นการจดั การ
ทรัพยต์ าม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 แลว้ การนาส่งเงินไมค่ รบถือวา่ เป็นการเบียดบงั เอา
ทรัพยน์ ้นั เป็นของตนโดยทจุ ริตแลว้
- บทบญั ญตั ิในเรื่องเกี่ยวกบั ความผดิ ต่อเจา้ พนกั งาน หรือความผิดต่อตาแหน่งหนา้ ท่ี
ม่งุ ประสงคท์ ่ีจะคุม้ ครอง หรือลงโทษเจา้ พนกั งานในส่วนที่เกี่ยวกบั หนา้ ท่ี การปฏิบตั ิการตามหนา้ ที่
- ถา้ เป็นเร่ืองนอกเหนือหนา้ ที่ ไมเ่ กี่ยวกบั หนา้ ท่ีแลว้ จะนาบทบญั ญตั ิในเร่ืองความผิด
ต่อตาแหน่งหนา้ ท่ีหรือความผดิ ตอ่ เจา้ พนกั งานมาปรับใชไ้ มไ่ ด้ ตอ้ งปฏิบตั ิต่อเขาอยา่ งราษฎร
ธรรมดาทวั่ ไป
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 77/2541 ต.เป็นหวั หนา้ รปภ.เป็นเจา้ พนกั งานตามประกาศของ
พระราชบญั ญตั ิท่าอากาศยาน ฯ แตง่ ต้งั เป็นเจา้ พนกั งานตามกฎหมาย ขณะเกิดเหตุหรือไม่ไดเ้ ขา้
จบั กุมจาเลยท้งั 6 แต่อนุญาตให้ อาจารยแ์ ละย.เป็นผชู้ ่วยเขา้ จบั กมุ โดย ต.ไปถึงที่เกิดเหตุหลงั จาก
จาเลยท้งั 6 หลบหนีไปแลว้ จึงไมอ่ าจถือวา่ ต. เป็นเจา้ พนกั งานปฏิบตั ิการหือกระทาตามหนา้ ท่ี
เพราะ ต.ไมไ่ ดเ้ ขา้ จบั กมุ จาเลยท้งั 6
การท่ี อ. และย. เขา้ จบั กมุ จาเลยจึงไมอ่ ยู่ในฐานะเป็นผตู้ อ้ งช่วยเจา้ พนกั งานในการท่ี
เจา้ พนกั งานปฏิบตั ิการหรือกระทาการตามหนา้ ท่ีท่ีบญั ญตั ิไวใ้ น ประมวลกฎหมายอาญา แต่เป็นการ
เขา้ จบั กมุ โดยไม่มีอานาจ แมจ้ าเลยท้งั 6 ต่อสู้ขดั ขวางก็ตอ้ งถือวา่ จาเลยป้องกนั ตวั โดยชอบดว้ ย
กฎหมายและไม่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทาของจาเลยท้งั 6 จึงไม่ผดิ ฐานต่อสูข้ ดั ขวางการจบั กมุ
และทาร้ายผซู้ ่ึงตอ้ งช่วยเจา้ พนกั งานในการปฏิบตั ิการตามหนา้ ท่ี
ดหู มิ่นเจ้าพนักงาน มาตรา 136 แบ่งความผดิ เป็ น 2 ส่วน
1. ดูหมิ่นเจา้ พนกั งานซ่ึงกระทาการตามหนา้ ที่
2. ดูหมิ่นเจา้ พนกั งานโดยมีมูลเหตจุ ูงใจเพราะเจา้ พนกั งานน้นั ไดก้ ระทาการตามหนา้ ท่ี
คาวา่ “ดูหม่ิน” คือ การดูถูกเหยยี ดหยาม ทาใหอ้ บั อาย ทาใหเ้ สียหาย สบประมาท ด่า ดูถกู
(เกียรติขจร วจั นะสวสั ด์ิ, 2550,หนา้ 56)
- การทา้ ใหเ้ จา้ พนกั งานมาชกกนั ไม่เป็นการดูหม่ินเจา้ พนกั งาน
คาพิพากษาฎีกาที่ 3427/2540 “แน่จริงถอดเส้ือมาต่อยกบั กเู ลย” เป็นการทา้ ทายเจา้
พนกั งาน เป็นเพียงคากลา่ วที่ไม่สุภาพและไมส่ มควรเท่าน้นั ไมผ่ ดิ มาตรา 136
คาพิพากษาฎีกาที่ 415/2528 จาเลยถอดกางเกงและทา้ ตารวจมาต่อยกนั เป็นแค่คาไม่
สุภาพเป็นการประชด ไม่เป็นดูหม่ินเจา้ พนกั งาน
- ลกั ษณะการดูหมิ่น เป็นการลดคุณคา่ ของผถู้ กู ดูหม่ินในทางสังคมลงมา ตา่ งกบั หมิ่น
ประมาทเป็นการกลา่ วใหบ้ คุ คลท่ี 3 ฟังและบุคคลท่ี 3 ฟังแลว้ มีความรู้สึกลดคุณค่าของผถู้ ูกหมิ่น
ประมาท (เกียรติขจร วจั นะสวสั ด์ิ, 2550, หนา้ 57)
60
- การดูหมิ่นตามมาตรา 136 อาจจะกระทาดว้ ยวาจาหรือท่าทางกไ็ ด้
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 352/2465 เปลือยกายใหข้ องลบั เจา้ พนกั งานเป็น ดูหม่ินเจา้ พนกั งาน
คาพิพากษาฎีกาท่ี 8919/2552 คาวา่ “ตอแหล” เป็นการด่าคนที่พูดเทจ็ ซ่ึงมีความหมาย
ในทางเส่ือมเสีย การที่จาเลยกลา่ วถอ้ ยคาดงั กลา่ วตอ่ ผเู้ สียหาย จึงเป็นการด่าผเู้ สียหายเป็นการดูถกู
เหยยี ดหยามและสบประมาทผเู้ สียหายวา่ เป็นคนพูดเทจ็ จึงเป็นการดูหม่ินผูเ้ สียหาย
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 637/2504 “รถตารวจกลวั แม่มนั หยงั ” เป็นคาหยาบคายไมส่ มควรด่า
เจา้ พนกั งานซ่ึงปฏิบตั ิตามหนา้ ท่ีแลว้ ยงั เป็นถอ้ ยคาเหยยี ดหยามดูถกู ดูหม่ิน เกลียดชงั ผดิ ตามมาตรา
136
- การกล่าวพาดพิงไปถึงการทางานของเจา้ พนกั งานในลกั ษณะท่ีวา่ เจา้ พนกั งานไมใ่ ห้
ความเที่ยงธรรมปฏิบตั ิหนา้ ที่ไมถ่ กู ตอ้ ง ไมช่ อบธรรม เป็นการดูหม่ินเจา้ พนกั งาน หรือไปหาวา่ กิน
สินบนกเ็ ขา้ ลกั ษณะเป็นการดูหม่ินเจา้ พนกั งาน
คาพิพากษาฎีกาที่ 1081/2505 “รถคนั น้ีแน่นเหมือนกนั ทาไมไม่จบั แกลง้ จบั ผมคนเดียว
ตารวจลาพูนไม่ใหค้ วามเป็นธรรม” เป็นดูหมิ่น มาตรา 136
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1398/2506 “พนกั งานสอบสวนเป็นข้ขี า้ อยั การทางานอยใู่ ตอ้ าณตั ิ
ของอยั การเป็นดูหม่ิน มาตรา136
คาพิพากษาฎีกาที่ 1735/2506 กลา่ วกบั ตารวจวา่ “ล้ือชุ่ยมาก” เป็นดูหม่ินมาตรา 136
คาพิพากษาฎีกาที่ 1711/2509 “ตารวจแกลง้ จบั ” เป็นดูหม่ิน มาตรา136
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1541/2522 ผเู้ สียหายเป็นตตารวจจบั จาเลยไปส่งพนกั งานสอบสวนท่ี
สถานีตารวจ จาเลยกล่าววา่ “ล้ือจบั แบบน้ีแกลง้ จบั อ้วั น่ีหว่า ไม่เป็นไรไวเ้ จอกนั เมื่อไรก็ได”้ เป็นดู
หมิ่น มาตรา 136
- การกระทาอนั เดียวอาจเป็นท้งั ดูหมิ่นเจา้ พนกั งาน และหมิ่นประมาท
- การดูหมิ่น มาตรา 136 ตา่ งจากหมิ่นประมาท มาตรา 326 ตรงท่ีวา่ การหม่ินประมาท
ตอ้ งกระทาตอ่ บคุ คลท่ี 3 แตก่ ารดูหม่ินเจา้ พนกั งานกระทาตอ่ เจา้ พนกั งานโดยตรง
- การหม่ินประมาท ถา้ มีการกระทาในลกั ษณะเป็นการสบประมาทอยดู่ ว้ ยก็จะ
กลายเป็นดูหม่ิน ได้ ผิดท้งั มาตรา 326 และมาตรา 136
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1006/2542 จาเลยที่ 2 เบิกความเป็นพยานใหจ้ าเลยท่ี 1 กลา่ วหาวา่
โจทกเ์ รียกเงิน 30,000 บาท จากจาเลยท่ี 1 เพอ่ื ตอบแทนในการป้ันพยานเทจ็ ท่ีไม่เป็นความจริง
ถอ้ ยคาของจาเลยท่ี 2 จึงเป็นการใส่ความโจทกเ์ ป็นการดูหม่ินและหมิ่นประมาทโจทก์ เป็นการ
กระทากรรมเดียว
คาพพิ ากษาฎีกาท่วี นิ จิ ฉัยว่า ไม่เป็ นการดหู ม่ิน
1. คากล่าวทมี่ ลี กั ษณะเป็ นคาหยาบคาย ไม่ถูกหูผู้ฟัง เป็ นคาไม่สุภาพหรือเป็ นเพยี งคา
ปรารภ คาปรับทุกข์ ไม่เป็ นดูหม่นิ
61
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 713/2519 “พวกมึงตารวจไมม่ ีความหมายสาหรับกูหรอก ใครอยากจะ
จบั ก็มาจบั เลยในเม่ือกูไมไ่ ดท้ าผดิ ” เป็นคาไมส่ ุภาพยงั ไม่ถึงข้นั ดูหมิ่นเจา้ พนกั งาน
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 106/2506 “อาจารยค์ นน้ีใครวา่ ดีตอนน้ีดีแตกเสียแลว้ โรงพยาบาลเป็น
ของรัฐไม่ใช่ของ ผอ. บา้ นที่ผอ.อยกู่ ็อาศยั เขาอยใู่ จร้อนยงั กบั ไฟไม่มารักษาที่นี่จะนาไปลง
หนงั สือพมิ พ”์ เป็นการนอ้ ยใจ มีอารมณ์โกรธเป็นการพูดไมส่ มควร ไม่ถึงข้นั ดูหม่ิน ไม่ผดิ
มาตรา 136
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 860/2521(ประชุมใหญ)่ “มึงเป็นนายอาเภอไดอ้ ยา่ งไรไม่รับผิดชอบ”
เพราะนายอาเภอบอกปัดใหไ้ ปหาปลดั อาเภอ เป็นคาไมส่ ุภาพ ไม่ถึงข้นั ดูหมิ่น
คาพิพากษาฎีกาท่ี 415/2518 “ถา้ แน่จริงใหถ้ อดปื นมาตอ่ ยกนั ตวั ต่อตวั ยงิ กนั คนละนดั
ก็ได”้ เป็นคาไม่สุภาพ ไม่สมควร
คาพิพากษาฎีกาท่ี 420/2529 “เป็นด่านจริงหรือด่านผ”ี “ไมพ่ ูดหรอยร้อยโทกระจอก”
เป็นคาไมส่ ุภาพ ไม่ใช่คาด่า ยงั ไม่ผิดดูหมิ่น
2. คากล่าวท่ีพดู เปรียบเปรยประชดประชัน ตัดพ้อต่อว่า
คาพิพากษาฎีกาท่ี 786/2532 “โคตรแมม่ ึงเวลาลกั ควายไป 2-3 วนั ยงั ตามหาไม่เจอ เวลามี
สุราทาไมมาจบั เร็วนกั ” “ไม่ตอ้ งมองหนา้ หรอกคุณเป็นหวั หนา้ ส่วนกระจอก ๆ ผมไม่กลวั คุณหรอก
ใหญ่กวา่ น้ีกไ็ ม่กลวั ” เป็นคาพดู เปรียบเปรยประชดไม่สุภาพ มิใช่ดูหม่ินเจา้ พนกั งานผกู้ ระทาการ
ตามหนา้ ที่
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 501/2537 “เป็นนายจะจบั อยา่ งไรกไ็ ดแ้ ละด่าแม่ตารวจ” เป็นคาตดั พอ้
ไม่เป็นดูหม่ินเจา้ พนกั งาน
2. เป็ นการกระทาต่อเจ้าพนักงานซึ่งกระทาการตามหน้าทหี่ รือเพราะได้กระทาการตามหน้าท่ี
1. ตอ้ งเป็นเจา้ พนกั งานขณะถูกดูหม่ิน หากเกษยี ณ หรือลาออกไป ก็ไม่เป็นเจา้ พนกั งาน
2. คาดูหม่ินตอ้ งกลา่ วถึงเจา้ พนกั งานคนหน่ึงคนใดโดยเฉพาะเจาะจง
- ถา้ หากคากลา่ วน้นั ไมอ่ าจจะเฉพาะเจาะจงไปวา่ เจา้ พนกั งานคนใดก็ไม่ผิด เพราะไม่
รู้วา่ ใครจะเป็นผเู้ สียหาย เช่น ด่าตารวจนครบาล ไมอ่ าจทราบไดว้ า่ เป็นผใู้ ด, พูดถึงกองทพั ไมร่ ะบุ
เจาะจงวา่ กองทพั ใด จึงไม่ผิด มาตรา 136
3. เจ้าพนกั งานต้องกระทาการตามหน้าท่ี
หากเป็นเร่ืองนอกหนา้ ท่ี นอกเวลาราชการแลว้ ไม่ผิด มาตรา 136 (เกียรติขจร
วจั นะสวสั ด์ิ, 2550, หนา้ 60)
คาพิพากษาฎีกาท่ีวนิ ิจฉยั วา่ “ซ่ึงกระทาการตามหนา้ ที่”
62
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 2246/2515(ประชุมใหญ่) นายอาเภอสง่ั ใหผ้ เู้ สียหายซ่ึงเป็นเสมียณ
ท่ีดินไปรังวดั ท่ีดินร่วมกบั พนกั งานสอบสวน จาเลยไม่ใหร้ ังวดั ที่ดินและดุด่าผเู้ สียหายวา่ “เป็น
พนกั งานที่ดินหมา ๆ ชอบกินแต่เบ้ีย” ถือวา่ เป็นการดูหมิ่นผเู้ สียหายซ่ึงเป็นเจา้ พนกั งานไดร้ ับคาส่ัง
โดยชอบใหไ้ ปรังวดั เป็นการดูหม่ินเจา้ พนงั กงานซ่ึงกระทาการตามหนา้ ที่แลว้
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 5479/2536 จาเลยผลกั อกร้อยตารวจโท ป. ขณะเขา้ ตรวจคน้ ตามหมาย
คน้ อนั เป็นการปฏิบตั ิหนา้ ท่ีตามกฎหมายจึงเป็นการขดั ขวางเจา้ พนกั งานในการปฏิบตั ิการตาม
หนา้ ท่ี จาเลยช้ีนิ้วและด่าตารวจขณะเขา้ ตรวจคน้ วา่ “ไอพ้ วกอนั ธพาล ไอพ้ วกฉิบหาย ไอม้ ือปื น”
“ตารวจหวั ควย” เป็นการดูหมิ่นเจา้ พนกั งานซ่ึงกระทาการตามหนา้ ท่ี
4. เจตนา
- ผดู้ ูหมิ่นตอ้ งรู้วา่ ผทู้ ี่เขาดูหม่ินน้นั เป็นเจา้ พนกั งาน ถา้ ไมร่ ู้กไ็ มผ่ ดิ
ข้อยกเว้นความผิด มาตรา 136
- นาเหตยุ กเวน้ ความผิดตามมาตรา 329 และมาตรา 331 มาใชก้ บั มาตรา 136 ได้ โดยมี
เงื่อนไขวา่ ถา้ การดูหม่ินเป็นเร่ืองเดียวกบั การหม่ินประมาทคือ เป็นท้งั หมิ่นประมาทและดูหม่ิน
ในตวั (ชาตรี สุวรรณิน, 2560 เล่ม 12,หนา้ 56)
ถา้ หากการหม่ินประมาทเขา้ ขอ้ ยกเวน้ ท่ีเป็นบทนิรโทษกรรม อนั ทาใหไ้ มเ่ ป็นความผิด
ตามมาตรา 329 กน็ ามาใชก้ บั มาตรา 136 ได้
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 128/2532 จาเลยเช่ือวา่ คนท่ีมาจบั ไม่ใช่ตารวจและจาเลยไมไ่ ดก้ ระทา
ผดิ ไมย่ อมใหต้ ารวจคน้ และพูดวา่ “ไอพ้ วกสตั วพ์ วกน้ีไมใ่ ช่ตารวจอยา่ ใหม้ นั คน้ ,ต่อยตารวจ”
ไม่เป็นการต่อสูข้ ดั ขวางและไม่เป็นการดูหม่ินเจา้ พนกั งาน
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1551/2503 ครูใหญ่วา่ นายอาเภอวา่ “บงั คบั ใหผ้ ใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาเรื่อง
คนท่ีตวั เองชอบถา้ ใครไม่เลือกก็ไมข่ อเงินเดือนให”้ ขอ้ ความน้ีหากเป็นจริงกถ็ ือวา่ เป็นประโยชน์
“นายอาเภอทางานไม่ขาวสะอาดเอาเงินไปใชท้ างอ่ืน” จาเลยทราบก็พูดถอ้ ยคาเหลา่ น้ีโดยสุจริต
และอยใู่ นวสิ ัยตารวจไม่เป็นหมิ่นประมาท
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1070/2506 จาเลยนงั่ อยใู่ นรถตารวจเรียกใหล้ งจากรถเพ่ือจบั กุมขอ้ หา
ลกั ทรัพยห์ รือรับของโจร จาเลยพดู วา่ “เป็นเจา้ พนกั งานเอาอานาจอยา่ งไรมาใชร้ ุนแรงเกินไป”
มีเหตผุ ลจึงไม่เป็นดูหมิ่นเจา้ พนกั งาน
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1974/2500 โจทกค์ ืออยั การฟ้องจาเลย(ทนาย) วา่ เขียนคาแกอ้ ุทธรณ์
เสียดสีใส่ความโจทกใ์ หเ้ สียช่ือเสียง ศาลวา่ ขอ้ ความท่ีจาเลยเขยี นเป็นเรื่องในฟ้องและเกี่ยวกบั
ประเดน็ จาเลยไมต่ อ้ งรับโทษตามมาตรา 331
การนาคาฟ้องที่ยน่ื ฟ้องต่อศาลแลว้ ไปลงตีพมิ พม์ ีขอ้ ความตรงตามคาฟ้องท้งั หมดไมผ่ ดิ
มาตรา 136
63
คาพิพากษาฎีกาที่ 3654/2543 คาฟ้องของจาเลยท่ี 1 และ 2 ท่ีลงในขา่ วสดเป็นขอ้ ความใน
กระบวนพิจารณาคดีในศาลลว้ นเป็นขอ้ เท็จจริงท่ีเกี่ยวกบั ขอ้ หาความผิดท่ีจาเลยฟ้องโจทกท์ ้งั สิ้นถือ
ไม่ไดว้ า่ จาเลยที่ 1 ประสงคจ์ ะมีประมาทโจทกห์ ากแต่เพอ่ื ประโยชนแ์ ก่คดีของจาเลยท่ี 1 ท่ีฟ้อง
โจทกเ์ ท่าน้นั จาเลยท่ี 1 ไม่ผิดดูหม่ินเจา้ พนกั งานตามมาตรา 136
การท่ีจาเลยท่ี 2 นาขอ้ ความในคาฟ้องท่ีจาเลยท่ี 1 ยนื่ ฟ้องโจทกไ์ ปลงข่าวสดน้นั เป็นการ
รายงานข่าวเรื่องท่ีโจทกถ์ ูกจาเลยท่ี 1 ฟ้องคดีอาญาถือวา่ จาเลยท่ี 2 ไดแ้ จง้ ขา่ วดว้ ยความเป็นธรรม
เรื่องการดาเนินการอนั เปิ ดเผยในศาลโดยสุจริต จาเลยท่ี 2 จึงไดร้ ับความคมุ้ ครองตามมาตรา 329
อนุ 4 จึงไม่ผิดหม่ินประมาทและดูหมิ่นเจา้ พนกั งานตามมาตรา 136
- คาเบิกความในศาลอาจเป็นความผดิ ฐานดูหมิ่นและหมิ่นประมาททางขอ้ ความดงั กลา่ ว
เป็ นการใส่ความและเป็ นเทจ็
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1006/2542 เบิกความเป็นพยานวา่ โจทกเ์ รียกร้องเงิน 30,000 บาทเพื่อ
ตอบแทนในการป้ันพยานน้นั เป็นการสร้างพยานท่ีไม่เป็นความจริง ถอ้ ยคาเบิกความของจาเลยเป็น
การใส่ความโจทกโ์ ดยประการที่น่าจะทาใหโ้ จทกเ์ สียช่ือเสียงถกู ดูหมิ่นถกู เกลียดชงั เป็นดูหม่ินหมิ่น
ประมาทโจทก์ เป็นการกระทากรรมเดียวผดิ กฎหมายหลายบท หาใช่เป็นการแสดงความคิดเห็น
หรือขอ้ ความใดโดยสุจริตเพอ่ื ความชอบธรรมป้องกนั ตนหรือป้องกนั ส่วนไดเ้ สียเกี่ยวกบั ตน ตาม
ครองธรรมตามมาตรา 329 ไม่
2. การดหู ม่ินเจ้าพนกั งานเพราะได้กระทาการตามหน้าที่
- ความผิดส่วนแรก เป็นกรณีดูหมิ่นเจา้ พนกั งานซ่ึงกระทาการตามหนา้ ท่ีแต่ความผดิ ส่วน
ท่ี 2 เป็นเรื่องเจา้ พนกั งานกระทาการตามหนา้ ท่ีไปแลว้ เลยเกิดการดูหมิ่น เช่นเจา้ พนกั งานไปจบั กุม
จาเลยแลว้ พอไดป้ ระกนั ตวั ออกมา กไ็ ปด่าเจา้ พนกั งาน เพราะเหตุที่จบั จาเลย
- หากปล่อยเหตกุ ารณ์ทิง้ ไวเ้ น่ินนานจนกระทง่ั เจา้ พนกั งานเกษยี ณไปหลายปี แลว้ เจอ
หนา้ กนั จึงค่อยไปด่าในเรื่องท่ีตนถกู จบั อยา่ งน้ี ไมใ่ ช่ดูหมิ่นเจา้ พนกั งานเพราะขณะดูหมิ่นเขาไม่ได้
เป็นเจา้ พนกั งานแลว้ จึงขาดองคป์ ระกอบในขอ้ เป็นเจา้ พนกั งาน
ตวั อยา่ งพลตารวจจะเขา้ จบั กุมนายสมชายตามหนา้ ท่ีในขอ้ หาลกั ทรัพยน์ ายสมชายไม่
ยอมใหจ้ บั และดว้ ยความโกรธ นายสมชายจึงถม่ น้าลายใส่พลตารวจ นายสมชายมีความผดิ ฐานดู
หมิ่นเหยยี ดหยามเจา้ พนกั งานซ่ึงปฏิบตั ิการตามหนา้ ท่ีตามมาตรา 136 เพราะและฐานทาใหข้ อง
โสโครกเปรอะเป้ื อนตามมาตรา 385 และฐานใชก้ าลงั ประทุษร้ายดว้ ยการถ่มน้าลายใส่แตไ่ ม่เกิด
อนั ตรายตามมาตรา 391 อนั เป็นกรรมเดียวผดิ กฎหมายหลายบท (ชาตรี สุวรรณิน, 2560 เล่ม 12,
หนา้ 58)
64
ข้อสังเกต หากเจา้ พนกั งานตรวจคน้ โดยไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย จาเลยโตต้ อบกลบั ไปเพื่อป้องกนั สิทธิ
ของตนตลอดจนเพกิ เฉยไมป่ ฏิบตั ิตามคาสั่งใดๆ ท่ีไม่ชอบได้
คาพิพากษาฎีกาที่ 8722/2555 เม่ือขอ้ เทจ็ จริงไดค้ วามวา่ บริเวณท่ีเกิดเหตุอยบู่ นถนน
สุทธาวาสไม่ใช่หลงั ซอยโรงถา่ นตามที่สิบตารวจโท ก. และสิบตารวจตรี พ. อา้ งวา่ มีอาชญากรรม
เกิดข้ึนประจาแต่อยา่ งใด และจาเลยไมม่ ีท่าทางเป็นพิรุธคงเพยี งแตน่ งั่ โทรศพั ทอ์ ยเู่ ทา่ น้นั การที่สิบ
ตารวจโท ก. และสิบตารวจตรี พ. อา้ งวา่ เกิดความสงสัยในตวั จาเลยจึงขอตรวจคน้ โดยไม่มีเหตผุ ล
สนบั สนุนวา่ เพราะเหตุใดจึงเกิดความสงสัยในตวั จาเลย จึงเป็นขอ้ สงสยั ท่ีอยบู่ นพ้นื ฐานของ
ความรู้สึกเพียงอยา่ งเดียว ถือไมไ่ ดว้ า่ มีเหตุอนั ควรสงสยั ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 93 ท่ีจะทาการตรวจคน้
ได้ การตรวจคน้ ตวั จาเลยจึงไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย จาเลยซ่ึงถกู กระทาโดยไม่ชอบดว้ ยกฎหมายจึงมี
สิทธิโตแ้ ยง้ และตอบโตเ้ พื่อป้องกนั สิทธิของตน ตลอดจนเพกิ เฉยไม่ปฏิบตั ิตามคาสั่งใด ๆ อนั สืบ
เน่ืองจากการปฏิบตั ิท่ีไม่ชอบดงั กล่าวได้ ดงั น้นั การที่จาเลยพดู กลา่ วต่อตารวจวา่ “คณุ ไมม่ ีสิทธิทา
การตรวจคน้ คุณไม่ใช่นายตารวจ คุณเป็นแค่ตารวจช้นั ประทวน” และขณะที่สิบตารวจโท ก. และ
สิบตารวจตรี พ.คืนกระเป๋ าสตางคข์ องจาเลยที่ตรวจคน้ แลว้ ใหจ้ าเลย จาเลยพูดดูหมิ่นเจา้ พนกั งาน
ตารวจท้งั สองวา่ “ตารวจทาท่ามีพิรุธเหมือนจะยดั ส่ิงของผิดกฎหมายใหผ้ ม” ต่อมาขณะดาบ
ตารวจส. นารถยนตส์ ายตรวจมารับจาเลย จาเลยพูดดูหมิ่นดาบตารวจส.กบั พวกวา่ “พวกมึงเป็น
ตารวจรังแกประชาชน จะยดั ส่ิงของผิดกฎหมายใหก้ ู กจู ะไมใ่ หม้ ึงอยอู่ ่างทอง” กบั การท่ีจาเลย
ขดั ขวางการเขา้ จบั ดว้ ยการผลกั อกตารวจ ใชเ้ ทา้ ถีบกระบะทา้ ยรถเพื่อขดั ขวางไม่ยอมข้ึนรถกระบะ
และไม่ยอมบอกช่ือ ช่ือสกุลและท่ีอยแู่ ก่ตารวจ จาเลยยอ่ มไมม่ ีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 136, มาตรา 138 วรรคสองและ มาตรา 367
ขอ้ สงั เกตตามคาพพิ ากษาฎีกาน้ี พเิ คราะหไ์ ดว้ า่ จาเลยไม่มีความผดิ เนื่องจาก การกระทา
ของเจา้ พนกั งานตารวจเป็นการกระทาท่ีไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย ท้งั การตรวจคน้ ร่างกาย ตอ้ งมีหมาย
คน้ ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญา ซ่ึงหากเป็นการกระทาโดยไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย
เช่นน้ี จาเลยซ่ึงเป็นประชาชนมีสิทธิท่ีจะโตแ้ ยง้ ป้องกนั ตนเองได้ เพราะเช่ือโดยสุจริตวา่ ตนเอง
ไม่ไดก้ ระทาความผดิ คาพูดหรือการกระทาของจาเลยจึงไม่ถือเป็นการดูหมิ่นเจา้ พนกั งานหรือ
การกระทาในลกั ษณะตอ่ สูข้ ดั ขวางการปฏิบตั ิหนา้ ที่ของเจา้ พนกั งาน แตถ่ า้ ขอ้ เทจ็ จริงคดีน้ี เจา้
พนกั งานตารวจมีหมายคน้ ชอบดว้ ยกฎหมาย จาเลยตอ้ งปฏิบตั ิตามกฎหมายและใหค้ วามร่วมมือกบั
เจา้ พนกั งานตารวจ
65
มาตรา 198 ดูหมิน่ ศาลหรือผู้พพิ ากษา
- ถา้ ดูหมิ่นผพู้ พิ ากษาในการพจิ ารณาคดีตอ้ งปรับบทตามมาตรา 198 ซ่ึงเป็นบทเฉพาะ
- คาวา่ “ดูหมิ่น” ความหมายเหมือนกบั มาตรา 136 คือ การดูถกู การเหยยี ดหยาม การด่า
การพูดสบประมาท (ชาตรี สุวรรณิน, 2560 เลม่ 12, หนา้ 58)
- คาวา่ “ศาล” คือตวั สถาบนั คอื ศาลยตุ ิธรรม และน่าจะรวมถึงศาลปกครอง ศาล
รัฐธรรมนูญดว้ ย (ชาตรี สุวรรณิน, 2560 เล่ม 12, หนา้ 58)
- คาวา่ “ผพู้ ิพากษา” ยงั ใหร้ วมถึงดาโต๊ะยตุ ิธรรมและผพู้ ิพากษาสมทบดว้ ย
กรณีที่ศาลมอบหมายใหจ้ ่าศาลไปเผชิญสืบพยานประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความ
อาญา มาตรา 230 กถ็ ือวา่ ทาหนา้ ท่ีเป็นผพู้ พิ ากษา ถา้ ไปดูหมิ่นจ่าศาลในขณะปฏิบตั ิหนา้ ที่ก็ถือวา่
เป็นการดูหม่ินผพู้ ิพากษาในการพิจารณาคดีได้
- คาวา่ ในการพิจารณาคดีหรือพพิ ากษาคดีรวมท้งั ขณะกาลงั พิจารณาพพิ ากษาคดีอยบู่ น
บลั ลงั กห์ รือเมื่อไดพ้ ิจารณาพิพากษาคดีไปแลว้ ไดด้ ว้ ยก็ได้
เพราะฉะน้นั การดูหมิ่นศาลหรือผพู้ ิพากษาเกิดไดท้ ้งั ขณะกาลงั พจิ ารณาอยใู่ นศาลและ
เกิดไดท้ ้งั นอกศาลดว้ ย
ตวั อย่างการดหู ม่นิ ทีเ่ กดิ ขึน้ ขณะกาลงั พจิ ารณาคดี
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1456/2506 “ไมน่ ึกเลยวา่ สานวนน้ีจะตกอยกู่ บั ผพู้ ิพากษาคนน้ี” เป็น
การดูหม่ินผพู้ พิ ากษาในการพิจารณาคดี
ตวั อย่างการดหู ม่ินทเ่ี กดิ นอกศาล
คาพิพากษาฎีกาที่ 580/2505 น.ใส่ความผอู้ ่ืนน้นั แมจ้ ะส่งถึงนายกฯคนเดียวก็ถือวา่ ใส่
ความตอ่ บคุ คลท่ีสามตามมาตรา 326 เม่ือโจทกเ์ ป็นผพู้ ิพากษาศาลฎีกาและเป็นองคค์ ณะตดั สินให้
จาเลยแพแ้ ละจาเลยกลา่ วขอ้ ความดูหม่ินโจทกใ์ นฐานะที่เป็นผพู้ พิ ากษาศาลฎีกายอ่ มเป็นความผิด
ตอ่ มาตรา 198
- การดูหมิ่นศาลหรือผพู้ ิพากษาในการพจิ ารณาคดีเกิดข้ึนได้ แมค้ ดีถึงที่สุดแลว้ เทียบกบั
มาตรา 136 การดูหมิ่นเจา้ พนกั งานเพราะไดก้ ระทาการตามหนา้ ท่ี
- เม่ือมีการทาเป็นความผิดตามมาตรา 198 ซ่ึงเป็นบทเฉพาะแลว้ กไ็ ม่ตอ้ งปรับบท 136
ซ่ึงเป็นบททว่ั ไปอีก
- กรณีหมิ่นประมาทคนที่มีอาชีพเป็นผพู้ ิพากษาโดยที่ไม่เก่ียวกบั การเป็นผพู้ ิพากษาใน
การพจิ ารณาคดีเป็นความผิดมาตรา 326 ไมใ่ ช่มาตรา 198
66
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1101/2530 การท่ีจาเลยทาหนงั สือส่งไปยงั ประธานคณะกรรมการตุลา
การและกรรมการตลุ าการอ่ืนทกุ คนกล่าวหาวา่ โจทกซ์ ่ึงเป็ นกรรมการตลุ าการคนหน่ึงผกู ใจเจ็บแคน้
มารดาจาเลยเพราะมีคดีเร่ืองบุกรุกและหาเหตกุ ลนั่ แกลง้ จนมารดาจาเลยถึงแก่กรรม แลว้ โจทกย์ งั มา
ฟ้องกลา่ วหาจาเลยในมลู ละเมิดโดยใชอ้ ิทธิพลในฐานะเป็นกรรมการตุลาการทาใหผ้ พู้ พิ ากษาซ่ึงนงั่
พจิ ารณาคดีเกิดความกลวั บีบบงั คบั ใหจ้ าเลยทาสัญญาประนีประนอมยอมความและไมใ่ หค้ วามเป็น
ธรรมแก่จาเลยในการบังคับคดีตามคาพิพากษาตามยอมดังกล่าว อนั ทาให้โจทก์ตอ้ งเส่ือมเสีย
ชื่อเสียง ท้งั ที่จาเลยรู้ดีว่าไม่มีมลู ความจริง ย่อมแสดงใหเ้ ห็นในเบ้ืองตน้ ถึงเจตนาอนั ไม่บริสุทธ์ิของ
จาเลย ท้งั จาเลยก็ไม่อาจแกต้ วั ไดว้ า่ กระทาการดงั กล่าวเพ่ือป้องกนั ผลประโยชน์อนั ชอบธรรมของ
ตนหรือเป็นการติชมดว้ ยความเป็นธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1)(3) เพราะในคดี
แพ่งท่ีโจทก์จาเลยพิพาทกนั เกี่ยวกบั มูลละเมิด จาเลยก็มีทนายช่วยแกต้ ่างจาเลยจึงย่อมทราบดีกวา่
ข้นั ตอนของกระบวนวิธีพิจารณาเป็นอย่างไรและควรปฏิบตั ิอย่างไรหากเห็นว่าตนไม่ไดร้ ับความ
เป็ นธรรมในปัญหาท่ีพิพาทกบั โจทก์มิใช่ร้องเรียนไปยงั บรรดาบุคคลซ่ึงจาเลยทราบดีว่าไม่อาจ
บนั ดาลใด ๆ ในทางคดีได้แต่กลบั เป็ นการแสดงเจตนาชดั แจง้ ว่า จาเลยมุ่งประสงค์ใส่ความเพ่ือ
ทาลายช่ือเสียงของโจทก์ และเป็ นการกระทาที่มีลักษณะให้ข้อความหมิ่นประมาทดังกล่าว
แพร่หลายไปในวงการของนกั กฎหมายและบุคคลอ่ืน เพื่อให้ผูท้ ี่ไม่ทราบความจริงเกิดเขา้ ใจผิดดู
หมิ่นเกลียดชงั โจทก์อนั ส่งผลกระทบต่อเกียรติและสถานะในทางสังคมของโจทก์โดยตรงสมดัง
เจตนาอนั แทจ้ ริงของจาเลย จาเลยจึงมีความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328
- การร้องเรียนเท็จเป็นความผิดฐานดูหมิ่นผพู้ ิพากษาได้
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 124/2507 หาวา่ ผพู้ ิพากษาไปกินขา้ วกบั คคู่ วามเลยตดั สินใหค้ ู่ความน้นั
ชนะคดีอนั เป็นความเท็จ ความจริงผพู้ ิพากษาไมเ่ คยไปกินขา้ วดว้ ยกนั เลยเป็นการดูหมิ่นผพู้ พิ ากษา
ในการพิจารณาคดีมาตรา 198
- การดูหมิ่นสถาบนั คอื การดูหม่ินตวั ศาล
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1650/2514 จาเลยถูกฟ้องคดีอาญาแลว้ ศาลช้นั ตน้ และศาลอทุ ธรณ์
พิพากษาลงโทษจาเลยคดีอยรู่ ะหวา่ งพจิ ารณาของศาลฎีกา จาเลยไดเ้ ขยี นหนงั สือและเผยแพร่วา่
ศาลอาญาศาลอุทธรณ์ ผพู้ ิพากษาที่พิจารณาคดีไมค่ านึงถึงหลกั กฎหมายความยตุ ิธรรมประชาชน
เดือดร้อนตอ้ งเสียเงินทองเพอื่ จะว่งิ ไปหาความยตุ ิธรรม ขอ้ ความจาเลยกลา่ วทานองตาหนิศาล
ดงั กลา่ ววา่ ไม่เป็นท่ีพ่ึงของประชาชน จึงเป็นถอ้ ยคาดูหม่ินศาลหรือผพู้ ิพากษาตามมาตรา 198
ในเมื่อการกระทาของจาเลยเป็นความผิดตามมาตรา 198 แลว้ ยอ่ มไมเ่ ป็นความผิด 136 อีก
(เมื่อผิดกฎหมายบทเฉพาะแลว้ กไ็ ม่ตอ้ งปรับบททว่ั ไป)
- แสดงความคิดเห็นของตนเกี่ยวกบั ศาล ตามที่ศาลใหโ้ อกาสและตามที่อยั การหรือ
ทนายความถามคาถามโดยไมไ่ ดย้ ืนยนั ขอ้ เทจ็ จริงวา่ เป็นไปตามความคดิ เห็นน้นั ไมเ่ ป็นการดูหม่ิน
ศาล
67
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1833/2514 นายสุระเป็นพยานโจทกจ์ ึงมีหนา้ ท่ีตามประมวลกฎหมาย
วิธีพจิ ารณาความแพ่ง 113, 116 ท่ีจะเบิกความตอบคาถามศาลและของคคู่ วามตามท่ีนาสืบกนั ใน
ประเดน็ แห่งคดี นายสุระตอบอยั การโจทกว์ า่ นายเจ่ียเป็นผมู้ ีอิทธิพลทางการเงินบงั คบั จูงจงใจ
ขา้ ราชการเกี่ยวกบั คดีความได้ สุระเบิกความตามเอกสารจ. 5 เพราะนายเจ่ียพดู วา่ ผใู้ หญ่ในชยั ภมู ิ
รวมท้งั ทหารเป็นของเขาท้งั หมด นายสุระหาไดเ้ บิกความตอบคาถามของคู่ความยนื ยนั และย้าวา่
ศาลจงั หวดั ชยั ภูมิอยใู่ ตอ้ ิทธิพลทางการเงินและเป็นคนของนายเจี่ยดงั ท่ีศาลช้นั ตน้ กล่าวไวใ้ นคาสั่ง
ลงโทษ นายสุระฐานละเมิดอานาจศาลแต่ประการใดไม่
ที่นายสุระตอบคาถามศาลวา่ ไมม่ ีคดีใดที่ศาลชยั ภูมิไม่ใหค้ วามเป็นธรรมเลยแมแ้ ต่คดี
เดียวแตค่ ดีน้ีนายสุระมีขอ้ สงสยั คาเบิกความเกิดจากศาลถามในสุระเอง ตอ้ งถือวา่ ศาลอนุญาตให้
นายสุระตอบคาถามของศาลไปตามความคิดเห็นของนายสุระ ซ่ึงไมน่ ่าจะถือวา่ นายสุระถือโอกาส
และเจตนาเบิกวามกา้ วร้าว เสียดสี ดูหม่ินศาลในการพิจารณาคดี ยงั เรียกไมไ่ ดว้ า่ นายสุราประพฤติ
ตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล นายสุระไมผ่ ิดฐานละเมิดอานาจศาลตามประมวลกฎหมายวธิ ี
พิจารณาความแพ่งมาตรา 31 และประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญามาตรา 15
สรุปความผิดเก่ียวกบั หมิ่นประมาท
มาตรา 112 หม่ินประมาท ดูหม่ินพระมหากษตั ริย,์ ผสู้ าเร็จราชการ
มาตรา 133 ดูหมิ่น หมิ่นประมาทพระราชาธิบดี,ประมุขของรัฐตา่ งประเทศ
มาตรา 134 ดูหมิ่น หม่ินประมาทผแู้ ทนรัฐตา่ งประเทศ
*มาตรา 136 ดูหม่ินเจา้ พนกั งาน
*มาตรา 198 ดูหมิ่นศาลหรือผพู้ พิ ากษาในการพิจารณาคดี
มาตรา 326 หม่ินประมาท
มาตรา 393 ดูหม่ินซ่ึงหนา้ หรือโดยการโฆษณา
68
ขอ้ สังเกต
- คุณธรรมในทางกฎหมายเรื่องการดูหม่ิน กรณีดูหมิ่นพระมหากษตั ริย์ คือ “ความมนั่ คงแห่ง
ราชอาณาจกั ร” ไมส่ ามารถนามาตรา 329,มาตรา 330,มาตรา 331 มาใชไ้ ด้
- กรณีดูหม่ินเจา้ พนกั งาน คุณธรรมทางกฎหมายคอื “ความเดด็ ขาดแห่งอานาจรัฐ” ส่วนดูหมิ่นศาล
คือ “ความเด็ดขาดแห่งอานาจรัฐในการยตุ ิธรรม” สามารถนามาตรา 329, มาตรา 330, มาตรา 331
มาใชไ้ ด้
- กรณีหม่ินประมาทต่อบคุ คลธรรมดา คุณธรรมทางกฎหมายคือ “เกียรติ” ศกั ด์ิศรีแห่งความเป็น
มนุษย์ สามารถนามาตรา 329, มาตรา 330, มาตรา 331 มาใชไ้ ด้
- กรณีดูหมิ่นซ่ึงหนา้ คุณธรรมทางกฎหมายมีท้งั เร่ือง “เกียรติ” และ “การป้องกนั เหตุร้ายท่ีเกิดจาก
การดูหม่ินซ่ึงไดด้ ว้ ย”
คาพิพากษาฎีกาท่ี 3711/2557 โจทกฟ์ ้องวา่ จาเลยกระทาความผิดฐานดูหมิ่นผูอ้ ่ืนซ่ึงหนา้
ขอใหล้ งโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 แต่ทางพจิ ารณาโจทกน์ าสืบไดค้ วามวา่ จาเลย
โทรศพั ทไ์ ปหาผเู้ สียหาย ด่าวา่ และทวงเอกสารจากผเู้ สียหาย ขณะเกิดเหตุผเู้ สียหายอยู่ท่ีสถานีขนส่ง
ตาบลทา้ ยชา้ งอาเภอเมืองพงั งา จงั หวดั พงั งา จาเลยอยทู่ ่ีส่วนบริหารจงั หวดั การทรัพยากรป่ าชายเลน
ท่ี 2 ตาบลกะไหล่ อาเภอตะกว่ั ทุง่ จงั หวดั พงั งา ซ่ึงเป็นคนละอาเภอ แตอ่ งคป์ ระกอบความผดิ ของ
มาตรา 393 น้นั ถา้ เป็นการกลา่ วดว้ ยวาจา ผกู้ ระทาตอ้ งกล่าวซ่ึงหนา้ ผเู้ สียหายเพราะบทบญั ญตั ิ
มาตราน้ีมีเจตนารมณ์ป้องกนั เหตุร้ายที่อาจเขา้ ถึงตวั กนั ทนั ทีท่ีมีการกล่าวดูหมิ่น ดงั น้นั ขอ้ เทจ็ จริงท่ี
โจทกน์ าสืบจึงยงั ไมเ่ ขา้ องคป์ ระกอบความผดิ ฐานดูหม่ินผอู้ ื่นซ่ึงหนา้ (ชาตรี สุวรรณิน, 2560 เล่ม
12,หนา้ 61-64)
จากคาพพิ ากษาฎีกาน้ี เห็นไดว้ า่ คณุ ธรรมทางกฎหมายของการดูหมิ่นซ่ึงหนา้ ตามมาตรา
393 ตอ้ งเป็นการดูหมิ่นซ่ึงหนา้ เพราะหากเป็นการกระทาซ่ึงหนา้ จะก่อใหเ้ กิดความไมส่ งบเรียบร้อย
ในสังคม อาจทาใหก้ ารพูดจากน้นั กระทบกระทง่ั จนเกิดเหตุร้ายถึงตวั ได้ แต่จากคาพพิ ากษาฎีกา
ดงั กลา่ ว พบวา่ เป็นการพูดด่ากนั ทางโทรศพั ท์ ไม่อาจก่อใหเ้ กิดอนั ตรายได้ จาเลยจึงไม่ผิดดูหม่ินซ่ึง
หนา้
ผเู้ ขยี นเห็นวา่ หากเช่นน้ี อาจมีบคุ คลใชว้ ิธีโทรศพั ทเ์ พอื่ ด่าทอคนอ่ืน เพราะผกู้ ระทาถือวา่
เม่ือห่างไกลโดยระยะทาง ไมอ่ าจเจอตวั ปะทะหรือถึงตวั กนั ทนั ทีท่ีกล่าว ก็ไม่เป็นความผดิ ดูหม่ินซ่ึง
หนา้ ซ่ึงจะทาใหส้ ังคมเกิดความไมส่ งบสุขได้ นามาซ่ึงความโกรธและแกแ้ คน้ กนั ตอ่ ไปได้
69
แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน
มาตรา 137 ผใู้ ดแจง้ ขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ แก่เจา้ พนกั งาน ซ่ึงอาจทาใหผ้ อู้ ่ืนหรือประชาชนเสียหาย
ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไมเ่ กินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหน่ึงหม่ืนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
ความผิดเกยี่ วกบั ความเทจ็ (นวรัตน์ กลิ่นรัตน,์ 2559, หนา้ 31-54)
มาตรา 137 แจ้งข้อความอนั เป็ นเทจ็ แก่เจ้าพนักงาน
1. ผู้ใดอาจจะเป็ นบคุ คลธรรมดาหรือนิตบิ ุคคลกไ็ ด้
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1807/2531 บริษทั จาเลยท่ี 1 นิติบุคคลโดยจาเลยท่ี 2 และ 3 เป็น
กรรมการมอบอานาจใหส้ . ไปแจง้ ความแก่พนกั งานที่ดินขออายดั ที่ดินของโจทก์โดยอา้ งวา่ โจทก์
เป็นลูกหน้ีของจาเลยท้งั ๆท่ีศาลพิพากษาวา่ โจทกไ์ มไ่ ดเ้ ป็นลกู หน้ีของจาเลย จึงเป็นการกระทาโดย
ไม่สุจริตเพื่อใหเ้ จา้ พนกั งานกระทาการตามหนา้ ที่อนั เป็นเทจ็ ลงในเอกสารสาหรับการเป็น
พยานหลกั ฐาน แมต้ ่อมากรมที่ดินจะเห็นวา่ จาเลยไม่ไดม้ ีส่วนไดเ้ สียไม่รับการอายดั ของจาเลยก็เป็น
การทาโดยประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทกแ์ ละประชาชนแลว้ จาเลยท้งั สามจึงผดิ มาตรา
137, 267 และ 83
- มาตรา 267 เป็นความผดิ ที่หลงอยใู่ นหมวดความผดิ เก่ียวกบั เอกสารแตค่ วามจริงแลว้
เป็นความผิดตอ่ เจา้ พนกั งาน
- ผกู้ ระทาผิดถา้ เป็นนิติบคุ คลก็จะตอ้ งมีสภาพเป็นนิติบุคคลในขณะท่ีฟ้อง
2. แจ้งข้อความอนั เป็ นเท็จ
ตอ้ งมีการกระทาอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงออกมา อาจเป็นการแจง้ ขอ้ ความดว้ ยวาจาเช่นบอกกบั
เจา้ พนกั งานตรงqหรือแจง้ โดยวธิ ีตอบคาถามของเจา้ พนกั งานท่ีถามมา
- แจง้ โดยวิธีกรอกขอ้ ความเทจ็ ในเอกสารแลว้ ยนื่ เอกสารท่ีมีขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ น้นั
ใหแ้ ก่เจา้ พนกั งาน
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 2752/2519 จาเลยกรอกใบสมคั รดว้ ยตนเองวา่ ตนมียศร้อยโทกบั แจง้
ต่อผวู้ า่ ราชการจงั หวดั ซ่ึงตรวจสอบคณุ สมบตั ิใหจ้ ดขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ ลงในบนั ทึกสอบสวนวา่
จาเลยยศร้อยโท โดยจาเลยรู้อยแู่ ลว้ วา่ เป็นความเทจ็ การกระทาของจาเลยแยกเป็น 2 ตอน คือ
1. ตอนเอาใบสมคั รมายนื่ 2. ตอนผวู้ า่ ราชการสอบถามคณุ สมบตั ิของจาเลย การท่ีจาเลยเขียนใบ
สมคั รวา่ มียศร้อยโทเป็นการแจง้ ขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ แก่เจา้ พนกั งานแลว้ และการกระทาตอนยน่ื ใบ
สมคั รเป็นคนละกรรมกบั ตอนที่ผวู้ า่ ราชการสอบสวนคณุ สมบตั ิของจาเลยแลว้ จาเลยแจง้ วา่ มียศร้อย
โทอนั เป็นความผดิ ฐานแจง้ ใหเ้ จา้ พนกั งานจดขอ้ ความเท็จลงในเอกสารราชการหาใช่เป็นการ
กระทากรรมเดียวไม่
คาพิพากษาฎีกาที่ 605/2556 จาเลยแจง้ ขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ แก่เจา้ พนกั งานผมู้ ีหนา้ ที่
70
ออกบตั รประชาชนโดยกรอกขอ้ ความเทจ็ ในแบบคาขอมีบตั รประชาชนแลว้ จาเลยนาแบบดงั กล่าว
เสนอต่อเจา้ พนกั งานเพ่ือออกบตั รประชาชนใหแ้ ก่ ส.และ ก.โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย
แก่พนกั งานเจา้ หนา้ ที่ผอู้ ื่นและประชาชนเพือ่ ช่วยเหลือบุคคล 2 คนใหม้ ีประชาชน แมก้ ระทาวนั
เดียวกนั สถานที่เดียวกนั แตเ่ จตนากระทาผดิ เป็นคนละส่วนแยกตา่ งหากจากกนั จึงเป็นความผิด
หลายกรรมมิใช่กรรมเดียว
- แจ้งโดยวิธีแสดงหลักฐานเทจ็
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 3470/2525 จาเลยเป็นต่างดา้ วจึงไม่มีสิทธ์ิขอบตั รประชาชนการท่ี
จาเลยอา้ งและนาหลกั ฐานแสดงต่อนายทะเบียนเพอื่ ขอบตั รประชาชนจึงเป็นการแจง้ เท็จต่อเจา้
พนกั งาน
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 636/2546 จาเลยปลอมเอกสารราชการและใชเ้ อกสารปลอมน้ีต่อ
พนกั งานสอบสวนฐานใชเ้ อกสารราชการปลอมและแจง้ ขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ แก่เจา้ พนกั งานของ
จาเลยเป็นการกระทาต่อเน่ืองโดยเจตนาเดียว เพ่ือใหเ้ จา้ พนกั งานปล่อยผตู้ อ้ งหาซ่ึงเป็นกรรมเดียว
ผิดตอ่ กฎหมายหลายบทตอ้ งลงโทษฐานใชเ้ อกสารราชการปลอมซ่ึงมีโทษหนกั สุดตามมาตรา 90
- หากอยเู่ ฉยโดยไมร่ ับหรือปฏิเสธเมื่อเจา้ พนกั งานสอบถาม ไม่ถือวา่ เป็นการแจง้
ขอ้ ความ
คาพิพากษาฎีกาที่ 1744/2505 ศาลนดั พร้อมแลว้ สอบถามจาเลยมิไดแ้ ถลงปฏิเสธหรือ
ยนื ยนั อยา่ งใดจึงมิใช่เป็นการแจง้ ความเท็จตามมาตรา 137
- ขอ้ ความท่ีแจง้ ตอ้ งเป็นขอ้ เทจ็ จริงและขอ้ เทจ็ จริงน้ีตอ้ งเป็นขอ้ เท็จจริงในอดีตหรือ
ในปัจจุบนั ไมใ่ ช่เรื่องอนาคตหากเป็นเร่ืองอนาคต หากเป็นเรื่องอนาคตแลว้ ไมอ่ าจเป็นความเทจ็ ไป
ไดเ้ พราะมนั ยงั ไม่เกิด
- การใหส้ ญั ญาวา่ จะทาการหรือไม่กระทาการอยา่ งใดในอนาคตแลว้ ไม่ทาตามคาพูด
เป็นแต่เพียงการผิดคามนั่ สญั ญาหรือผิดคารับรองไม่ทาให้ถือวา่ เป็นเรื่องแจง้ ความเทจ็
- แจง้ ขอเดินทางออกนอกราชอาณาจกั รเม่ือไดร้ ับอนุญาตแลว้ ไม่ไดเ้ ดินทางออกไป
จริง ต่อมาขอถอนการขออนุญาตไม่ผิดฐานแจง้ ความเทจ็
คาพิพากษาฎีกาท่ี 654-55/2513 แจง้ ขอออกนอกประเทศและไดร้ ับอนุญาต ตอ่ มาไดแ้ จง้
ถอนขอออกโดยขออยตู่ ่อก็ไดร้ ับอนุญาตการแจง้ เปล่ียนแปลงคาขอไมท่ าใหผ้ ใู้ ดเสียหายจึงไมผ่ ิด
ฐานแจง้ ความเทจ็ ตามมาตรา 137 และการอยตู่ อ่ ก็เป็นการอยโู่ ดยชอบจาเลยจึงไมผ่ ิดมาตรา 267
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1953/2492 แจง้ ต่อศาลวา่ จะเอาทรัพยม์ าคนื แต่พอถึงวนั นดั ก็ไมเ่ อามา
อยา่ งน้ีเป็นเรื่องผิดคารับรองที่ใหไ้ วต้ ่อศาลวา่ จะกระทาการหรือไมก่ ระทาการในอนาคต ไมใ่ ช่เร่ือง
แจง้ ความเทจ็ เพราะแจง้ ความเทจ็ ตอ้ งเป็นเร่ืองในปัจจุบนั หรือในอดีตที่ผา่ นมาแลว้
71
- การแจง้ ขอ้ เทจ็ จริงน้นั ตอ้ งมีลกั ษณะเป็นการยนื ยนั ขอ้ เท็จจริง ถา้ หากเป็นเพียงการ
แสดงความคิดเห็น การคาดคะเนถึงเหตกุ ารณ์ในอนาคตไมใ่ ช่เรื่องแจง้ ความเทจ็
- ไมเ่ ห็นเหตกุ ารณ์ไปแจง้ วา่ เห็นเหตกุ ารณ์ก็เป็นแจง้ ความเทจ็ ได้
- กรณีแจง้ ขอ้ ความไปตามขอ้ เทจ็ จริง แมม้ ีการใหค้ วามเห็นทางกฎหมายถึงการกระทา
ตามขอ้ เทจ็ จริงน้นั ผดิ ก็ไมผ่ ิดฐานแจง้ ความเท็จ (ชาตรี สุวรรณิน, 2560 เล่ม 12,หนา้ 357)
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 3107/2516 โจทกไ์ ดร้ ับอนุญาตใหพ้ กอาวุธปื นไดพ้ กไปบา้ นของพี่
โจทก์ จาเลยเป็นตารวจไดจ้ บั โจทกแ์ ละแจง้ ความวา่ โจทกเ์ ป็นบุคคลอนั ธพาลและพกพาอาวธุ ปื น
เป็นเรื่องที่จาเลยแจง้ ขอ้ ความตามขอ้ เท็จจริงจึงไม่ผิดฐานแจง้ ขอ้ ความอนั เป็นเทจ็
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 508/2524 จาเลยแจง้ ขอ้ ความตามขอ้ เทจ็ จริง การกระทาของโจทกจ์ ะ
ผิดกฎหมายหรือไม่ ไม่สาคญั เพราะการแจง้ ขอ้ ความหมายถึงการแจง้ ขอ้ เทจ็ จริงไมเ่ ก่ียวกบั ขอ้
กฎหมายเม่ือขอ้ ความท่ีจาเลยแจง้ เป็นจริงจาเลยกไ็ มผ่ ิดฐานแจง้ ความเทจ็
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1173/2539 จาเลยที่ 3 ร้องทุกขต์ ่อพนกั งานสอบสวนตรงกบั สภาพท่ี
จาเลยที่ 2 ไปพบเห็นมา จึงเป็นการแจง้ ขอ้ เท็จจริงตามที่ปรากฏ การกระทาของโจทกจ์ ะผิดกฎหมาย
ตามท่ีจาเลยที่ 3 แจง้ หรือไมไ่ มส่ าคญั เพราะแจง้ ขอ้ ความหมายถึงแจง้ ขอ้ เทจ็ จริงไม่เก่ียวกบั ขอ้
กฎหมาย จึงไมผ่ ิดฐานแจง้ ความเทจ็
คาพิพากษาฎีกาท่ี 5600/2541 จาเลยแจง้ ต่อพนกั งานสอบสวนวา่ โจทกข์ บั รถเฉี่ยวจาเลย
ไดร้ ับบาดเจบ็ เป็นการแจง้ ตามขอ้ เทจ็ จริงท่ีปรากฏแมต้ ่อมาอยั การสงั่ ไม่ฟ้องกย็ งั ถือไมไ่ ดว้ า่
ขอ้ ความดงั กลา่ วเป็นเทจ็ จาเลยไม่ผดิ ฐานแจง้ ความเทจ็
- กรณีจะเป็นการแจง้ ขอ้ ความเทจ็ ตอ้ งเป็นการยนื ยนั ขอ้ เทจ็ จริงอนั เป็นเทจ็ ในขณะท่ี
แจง้ น้นั หากไมย่ นื ยนั เรื่องท่ียงั ไมไ่ ดแ้ น่นอนไม่ถึงเป็นการแจง้ ความเท็จ
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1435/2531 แจง้ กบั เจา้ พนกั งานวา่ ไดบ้ อกกล่าวเจา้ หน้ีทุกรายแลว้ แต่
ความจริงยงั ไม่ไดบ้ อกกบั เจา้ หน้ีที่คดีพพิ าทกนั อยใู่ นช้นั อุทธรณ์ซ่ึงยงั เป็นการไม่แน่นอนวา่ จะเป็น
เจา้ หน้ีจริงหรือไมเ่ พราะศาลฎีกาอาจจะกลบั ใหจ้ าเลยชนะคดีไดไ้ มถ่ ือเป็นการแจง้ ความเทจ็
- ขายเคร่ืองจากไปแลว้ แตย่ งั ไม่จดทะเบียนโอนแลว้ ไปแจง้ วา่ ยงั เป็นของตนถือวา่
ขอ้ ความที่แจง้ เป็นจริงไม่ผิดฐานแจง้ ความเทจ็ (ยงั ไมไ่ ดจ้ ดทะเบียนโอนเท่ากบั กรรมสิทธ์ิยงั ไม่
โอน)
- แต่ถา้ ขายท่ีดินนส. 3 ไปแลว้ ไปแจง้ วา่ น.ส. 3 หาเพ่อื ขอออกใบแทนเป็นแจง้ ความ
เทจ็
- การแจง้ เทจ็ เก่ียวกบั การเบิกคา่ เช่าของขา้ ราชการ ถา้ หากเสียคา่ เช่าจริงไปนอ้ ย แต่
แจง้ เทจ็ วา่ เสียมากเพ่อื ท่ีจะเบิกค่าเช่าไดม้ ากเป็นการแจง้ เท็จแก่เจา้ พนกั งานแลว้
- ทนายที่ขาดต่อใบอนุญาตแลว้ ยงั มาวา่ ความในศาลถือวา่ มาแจง้ ขอ้ ความเทจ็ ต่อศาล
วา่ ตวั เองยงั เป็นทนายผิดฐานแจง้ ความเท็จได้
72
- ขอ้ ความเทจ็ ตอ้ งเป็นขอ้ สาคญั ในคดี แมม้ าตรา 137 ไมไ่ ดบ้ ญั ญตั ิไว้ แตศ่ าลนาหลกั
มาจากการเบิกความเทจ็ ต่อศาลตามมาตรา 177
- ถา้ ความเทจ็ ในขอ้ เบด็ เตลด็ ปลีกยอ่ ย ไมใ่ ช่ขอ้ สาคญั กไ็ ม่ผิด ถือวา่ เป็นการแจง้
ขอ้ ความอนั เป็นเทจ็
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1360/2515 นายอาเภอมีอานาจใหผ้ หู้ น่ึงผใู้ ดเช่าท่ีดินไดโ้ ดยไม่คานึงว่า
ผเู้ ช่าจะตอ้ งมีภูมิลาเนาอยทู่ ี่ใด การท่ีจาเลยมาแจง้ เทจ็ เก่ียวกบั ภมู ิลาเนาของจาเลยวา่ อยใู่ นอาเภอลา
นารายณ์ท้งั ที่จาเลยมีภูมิลาเนาอาเภออื่น อยา่ งน้ีไมเ่ ป็นขอ้ สาคญั และวนิ ิจฉยั วา่ ความเสียหายของ
โจทกไ์ มไ่ ดส้ ืบเนื่องมาจากมาจากการแจง้ ความอนั เป็นเท็จโจทกไ์ มใ่ ช่ผเู้ สียหาย
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 2039/2537 ผจู้ ดั การมรดกแถลงงบดุลไม่ตรงตามความจริงไมใ่ ช่ขอ้
สาคญั ในคดีเพราะไมท่ าใหท้ ายาทไดร้ ับมรดกนอ้ ยลงแสดงจานวนเงินท่ีเหลืออยมู่ ากกว่าเงินมรดก
ท่ีเหลืออยู่จริงแมเ้ ป็นความเทจ็ กไ็ มใ่ ช่ขอ้ สาคญั ในคดีและโจทกซ์ ่ึงเป็นทายาทไม่ไดร้ ับความเสียหาย
เพราะไมท่ าใหโ้ จทกม์ ีสิทธ์ิไดร้ ับมรดกนอ้ ยกวา่ ความเป็นจริงจึงไมผ่ ิดฐานแจง้ ความเท็จหรือแสดง
พยานหลกั ฐานเทจ็
- ตวั อยา่ งที่ถือวา่ ขอ้ ความท่ีแจง้ เทจ็ ไปน้นั เป็นขอ้ สาคญั
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1338/2529 จาเลยรู้เห็นวา่ ใครเป็นคนตดั ตน้ ไมม้ ีคนมาถามจาเลยก็รู้
เห็นและบอกได้ การที่จาเลยเบิกความในคดีอาญาวา่ ไม่เห็นใครเป็นคนตดั เป็นการเบิกความเทจ็ ใน
การพจิ ารณาคดีต่อศาลและขอ้ เทจ็ จริงน้นั เป็นขอ้ สาคญั ในคดีเพราะเป็นเหตใุ หศ้ าลยกฟ้อง
โจทกจ์ าเลยผิด มาตรา 177
แมโ้ จทกไ์ ม่ไดบ้ รรยายฟ้องว่าเป็นขอ้ สาคญั ในคดีแตโ่ จทกไ์ ดบ้ รรยายขอ้ เทจ็ จริงไวด้ ว้ ย
วา่ จาเลยเป็นประจกั ษพ์ ยานในคดีหากศาล เช่ือตามคาเบิกความอนั เป็นเทจ็ ของจาเลยอาจทาใหค้ ดี
โจทกข์ าดประจกั ษพ์ ยานโจทกอ์ าจไดร้ ับความเสียหายยอ่ มแสดงอยใู่ นตวั วา่ คาเบิกความอนั เป็นเทจ็
ของจาเลยน้นั เป็นขอ้ สาคญั ในคดี
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 2752/2519 คณุ สมบตั ิของผสู้ มคั รส.ส. เป็ นข้อสาคญั ในคดี
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 2141/2532 การขอรับมรดกจานวนทายาทเป็ นข้อสาคัญในคดีจาเลยท้งั
4 ไปยน่ื คาร้องต่อเจา้ พนกั งานที่ดินวา่ ผตู้ ายมีทายาทเพียงสี่คนอนั เป็นเทจ็ ความจริงจาเลยทราบดีวา่
ผตู้ ายยงั มีทายาทอื่นอีกเป็นขอ้ สาคญั ในคดีเก่ียวกบั การรับมรดกเป็นเร่ืองแจง้ เทจ็ ตามมาตรา 137
3. แก่เจ้าพนักงาน
- ตอ้ งแจง้ แก่เจา้ พนกั งานที่มีอานาจหนา้ ที่เกี่ยวกบั การท่ีแจง้ ถา้ หากไม่มีหนา้ ท่ี ไมผ่ ดิ
แจง้ ความเท็จ
- ไปแจง้ ลกั ทรัพยเ์ ป็นเทจ็ ต่อเจา้ พนกั งานสรรพสามิตซ่ึงไมม่ ีอานาจหนา้ ที่ในคดีอาญา
ลกั ทรัพยเ์ จา้ พนกั งานสรรพสามิตไม่ใช่เจา้ พนกั งานผมู้ ีอานาจหนา้ ที่เก่ียวกบั การที่ไปแจง้
73
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 6796/2540 จาเลยเป็นคนญวนแต่มาแจง้ เทจ็ วา่ เป็นคนไทยต่อตารวจ
ประจากองคนตา่ งดา้ วซ่ึงเป็นการกระทาในการสอบปากคาในฐานะเจา้ พนกั งานหาใช่การกระทา
โดยปราศจากคาสัง่ หรืออานาจที่มอบหมาย ขอ้ ความที่จาเลยแจง้ เป็นเท็จอาจทาใหผ้ อู้ ่ืนหรือ
ประชาชนเสียหายจาเลยผดิ มาตรา 137
- แจง้ เท็จต่อเจา้ พนกั งานท่ีดินในเร่ืองท่ีเก่ียวกบั อานาจหนา้ ท่ีของเจา้ พนกั งานที่ดินก็
ผดิ ฐานแจง้ ความเทจ็
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1329/2529 ท่ีดินจาเลยมีน.ส. 3 แลว้ แต่จาเลยแจง้ ตอ่ เจา้ หนา้ ที่พสิ ูจน์
สอบสวนท่ีในอาเภอแตง่ ต้งั วา่ ท่ีดินดงั กลา่ วยงั ไม่เคยมีน.ส.3 มาก่อนทางราชการจึงออกน.ส. 3 ให้
แมพ้ ดู วา่ จะสง่ั เพกิ ถอนน.ส. 3ดงั กลา่ วเพราะเหตุจาเลยแจง้ ขอ้ ความเป็นเทจ็ ก็เห็นไดว้ า่ เกิดความ
เสียหายข้นึ แลว้ จาเลยผดิ แจง้ ความเทจ็ มาตรา 137
- แจง้ เท็จต่อเจา้ พนกั งานบงั คบั คดีในเร่ืองเก่ียวกบั อานาจหนา้ ท่ีของเจา้ พนกั งานบงั คบั
คดีกผ็ ดิ ฐานแจง้ ความเทจ็
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 3602/2533 จาเลยทราบดีอยแู่ ลว้ วา่ บา้ นพพิ าทเป็นบา้ นของโจทกแ์ ต่ไป
แจง้ ต่อเจา้ พนกั งานบงั คบั คดีวา่ บา้ นน้นั เป็นของลกู หน้ีตามคาพิพากษาไปยดึ ถือไดว้ า่ จาเลยไดแ้ จง้
ขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ ตอ่ เจา้ พนกั งานบงั คบั คดีมาตรา 137 แลว้
แมเ้ ป็นเจา้ พนกั งานท่ีมีหนา้ ท่ี หากปฏิบตั ิหนา้ ท่ีโดยไมช่ อบ ผแู้ จง้ เทจ็ กไ็ ม่ผิดฐานแจง้
ความเทจ็
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 197/2481 เขา้ ไปคน้ บา้ นเพื่อจบั คนร้ายโดยไมม่ ีหมายคน้ และหมายจบั
จึงไมม่ ีอานาจตามประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญา เจา้ ของบา้ นบอกวา่ คนร้ายไมอ่ ยใู่ นบา้ น
แต่ความจริงคนร้ายอยใู่ นบา้ นอยา่ งน้ีเจา้ ของบา้ นไม่ผิดมาตรา 137
- คาวา่ เจา้ พนกั งานไมร่ วมฝ่ายนิติบญั ญตั ิอนั ไดแ้ ก่ สส., ส.ว.
คาพิพากษาฎีกาที่ 935/2478 ร้องเรียนตอ่ ประธานสภานิติบญั ญตั ิโดยส่งเรื่องไปที่สภาอนั
เป็นเทจ็ อยา่ งน้ีไม่ผดิ มาตรา 137 เพราะไม่ใช่การแจง้ กบั เจา้ พนกั งานผมู้ ีอานาจ
- กรณีผรู้ ับจา้ งมี 2 ฐานะแตไ่ ดแ้ จง้ ความต่อผนู้ ้นั ในฐานะที่ไมไ่ ดเ้ ป็นเจา้ พนกั งานใน
เร่ืองน้นั ไมผ่ ิดฐานแจง้ ความเทจ็ (ชาตรี สุวรรณิน, 2560 เลม่ 12,หนา้ 361)
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 594/2521 แจง้ ความเทจ็ ต่อรัฐมนตรีช่วยซ่ึงขณะน้นั เป็นอธิบดีกรม
ตารวจมีอานาจสืบสวนคดีอาญาดว้ ยแตแ่ จง้ ความในฐานะรัฐมนตรีไมผ่ ิดมาตรา 172, มาตรา 173
- แมเ้ ป็นเจา้ พนกั งานที่มีหนา้ ท่ี หากปฏิบตั ิหนา้ ท่ีโดยไม่ชอบ หรือถา้ เป็นเร่ืองนอก
หนา้ ท่ีของเจา้ พนกั งาน ก็ไม่ผิดมาตรา 137 (ชาตรี สุวรรณิน, 2560 เล่ม 12,หนา้ 362)
74
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 991/2473 เจา้ พนกั งานที่ดินสอบถามเร่ืองนอกหนา้ ที่วา่ ผโู้ อนนาโฉนด
มาจากเจา้ หน้ีอยา่ งไรผโู้ อนตอบวา่ ชาระหน้ีแลว้ ซ่ึงความจริงยงั ไม่ไดร้ ับชาระหน้ีการสอบถามเป็น
เรื่องนอกหนา้ ท่ีศาลฎีกาวา่ ไมใ่ ช่เรื่องเก่ียวกบั กิจการนิติกรรมท่ีเขาขอใหท้ าเพราะฉะน้นั ไมใ่ ช่การ
แจง้ ความเท็จตามมาตรา 137
คาพิพากษาฎีกาที่ 2413/2531 จาเลยเจรจาความเสียหายกบั โจทกใ์ นการที่ ส. ขบั รถชนลกู
โจทกซ์ ่ึงมีพนกั งานสอบสวนบนั ทึกไวแ้ มจ้ าเลยจะกล่าวความเทจ็ แต่เมื่อจาเลยมิไดเ้ ป็นผตู้ อ้ งหาใน
กรณีรถชนดงั กล่าวพนกั งานสอบสวนยอ่ มไมม่ ีหนา้ ที่ทาการเปรียบเทียบปรับการท่ีพนกั งาน
สอบสวนปรับไปจึงไม่ถือวา่ เป็นการกระทาโดยหนา้ ที่จาเลยไม่ผิดฐานแจง้ ความเทจ็ แก่เจา้ พนกั งาน
คาพิพากษาฎีกาท่ี 2839/2541 พฒั นากรอาเภอไม่มีอานาจหนา้ ท่ีเก่ียวการทาบตั ร
ประชาชนแมร้ ับรองใหท้ ากไ็ ม่ไดม้ ีอานาจหนา้ ท่ีเกี่ยวกบั งานบตั รประชาชนจึงไม่ใช่เจา้ พนกั งาน
ตามกฎหมายจาเลยไมผ่ ดิ แจง้ ความเทจ็ มาตรา 137
คาพิพากษาฎีกาท่ี 957/2518 บนั ทึกหลงั สญั ญาขายฝากตามที่อธิบดีกรมท่ีดินสั่งให้
บนั ทึกไวเ้ พื่อป้องกนั การถูกฟ้องทางแพง่ น้ีเป็นเรื่องนอกหนา้ ท่ีเพราะไมม่ ีกฎหมายบญั ญตั ิไวว้ า่ ตอ้ ง
บนั ทึกอยา่ งน้นั แมม้ ีการบนั ทึกผแู้ จง้ จะแจง้ เทจ็ ก็ไมผ่ ิดมาตรา 137
- แจง้ ความเทจ็ ต่อศาลในบางกรณีก็ผิดไดถ้ า้ ไมใ่ ช่การยน่ื คาคคู่ วามเช่นการแจง้ เทจ็
ตอ่ ศาลโดยยน่ื คาร้องเทจ็ และนาโฉนดมาแสดงในการขอประกนั ตวั ผตู้ อ้ งหาหรือจาเลยต่อศาล
นอกจากจะผิดฐานแจง้ เทจ็ แลว้ อาจจะถกู ลงโทษฐานละเมิดอานาจศาลไดอ้ ีก
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 47/2484 แสดงใบมรณบตั รเทจ็ ต่อศาลบอกวา่ ผทู้ ่ีขอประกนั ตวั ไปได้
ตายไปแลว้ ขอหลกั ทรัพยค์ ืนอยา่ งน้ีเป็นแจง้ เท็จต่อศาล
คาพิพากษาฎีกาท่ี 474/2478 ยน่ื คาร้องขออนาถา แตค่ วามจริงมีเงินเสียค่าธรรมเนียมศาล
ได้ แมศ้ าลจะยงั ไมไ่ ตส่ วนกผ็ ดิ มาตรา 137
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 2174/2545 ทนายถกู ถอนช่ือแลว้ ยงั มาวา่ ความผิดฐานละเมิดอานาจ
ศาล
- ถา้ หากเป็นการยน่ื คาคู่ความ (คาฟ้อง คาใหก้ าร คาร้องขอแกไ้ ขคาฟ้อง คาร้องขอ
แกไ้ ขคาใหก้ าร) ซ่ึงคาคคู่ วาม หมายถึง บรรดาคาฟ้องคาใหก้ ารหรือคาร้องท้งั หลายที่ยนื่ ตอ่ ศาลเพ่ือ
ต้งั ประเดน็ ระหวา่ งคู่ความ เป็นการดาเนินกระบวนการพิจารณาคดีตอ่ ศาลไมผ่ ิดฐานแจง้ เทจ็ (ชาตรี
สุวรรณิน, 2560 เลม่ 12,หนา้ 362)
- การยนื่ คาร้องสอดเป็นการยน่ื คาคู่ความ, การยนื่ คาใหก้ ารในคดีแพง่ แมจ้ ะมีขค้ อ
วามเทจ็ อยู่ กไ็ มผ่ ดิ ฐานแจง้ เทจ็
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1122/ 2518 ยนื่ คาร้องขอครอบครองปรปักษ์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
แมม้ ีขอ้ ความเทจ็ กไ็ ม่ผดิ ฐานแจง้ ความเท็จ
75
คาพิพากษาฎีกาท่ี 2940/ 2529 คาร้องขอกนั ส่วนเงินเป็นการบงั คบั คดีทางแพง่ ไมเ่ ป็นการ
แจง้ เทจ็
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1274/ 2513 การฟ้องคดีแพ่งไมถ่ ือเป็นการแจง้ เทจ็ ต่อเจา้ พนกั งาน,การ
ท่ีจาเลยในคดีแพง่ ยนื่ คาใหก้ ารเป็นเทจ็ ไมผ่ ดิ ฐานแจง้ ความเทจ็ ต่อเจา้ พนกั งานตามมาตรา 137
- การร้องเรียนขา้ ราชการต่อผบู้ งั คบั บญั ชาของขา้ ราชการน้นั ๆ ถา้ เป็นเทจ็ กผ็ ิดฐาน
แจง้ ความเทจ็ ต่อเจา้ พนกั งานเพราะผบู้ งั คบั บญั ชาของขา้ ราชการก็เป็นเจา้ พนกั งาน
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1489/2530 ผกู้ ากบั ฯมีฐานะเป็นเจา้ พนกั งานมีอานาจหนา้ ที่บงั คบั
บญั ชาโจทกซ์ ่ึงเป็นผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาเพราะฉะน้นั ขอ้ ความในหนงั สือที่จาเลยร้องเรียนต่อ
ผบู้ งั คบั บญั ชาของโจทก์เป็นเทจ็ จาเลยยอ่ มมีความผดิ ฐานแจง้ ความเทจ็ ตามมาตรา 137
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 2411/2518 ร้องเรียนขา้ ราชการกรมไปรษณียเ์ ทจ็ ตอ่ อธิบดี
กรมไปรษณียโ์ ทรเลขก็ผดิ มาตรา 137
- การร้องเรียนเทจ็ กบั อธิบดีผพู้ พิ ากษาวา่ ผพู้ พิ ากษากระทาผิดวนิ ยั ปฏิบตั ิหนา้ ท่ีไม่
ชอบ ถา้ เป็นเท็จก็เป็นความผิดฐานแจง้ ความเทจ็ ต่อเจา้ พนกั งาน มาตรา 137
- การเบิกความเทจ็ ต่อศาลไม่ใช่เรื่องแจง้ ความเทจ็ ต่อ เจา้ พนกั งานเพราะศาลทาหนา้ ที่
เป็นเจา้ พนกั งานในการยุติธรรมในการพจิ ารณาคดีซ่ึงมีบทบญั ญตั ิไวโ้ ดยเฉพาะตามมาตรา 177 มิได้
ปฏิบตั ิหนา้ ที่ในฐานะเป็นเจา้ พนกั งานทว่ั ไปจึงไม่เป็นความผดิ ฐานแจง้ ความเทจ็ (ชาตรี สุวรรณิน,
2560 เล่ม 12,หนา้ 363)
4. ซ่ึงอาจทาให้ผู้อ่ืนหรือประชาชนเสียหาย
- เป็นความผิดที่ไมต่ อ้ งการผลเพยี งแตอ่ าจเสียหายก็เขา้ องคป์ ระกอบความผดิ แลว้
- องคป์ ระกอบท่ีวา่ ซ่ึงทาใหผ้ อู้ ื่นหรือประชาชนเสียหายของมาตรา 137 ไม่ตอ้ งเกิด
ความเสียหายจริงๆก็เป็นความผดิ เพราะฉะน้นั เป็นความผิดสาเร็จเมื่อมีการแจง้ และการแจง้ น้นั ไดร้ ู้
ถึงเจา้ พนกั งานแลว้
- การจดทะเบียนสมรสซอ้ นเป็นการทาใหห้ ญิงเสียหายโดยตรง
คาพิพากษาฎีกาที่ 5052/2530 หญิงท่ีผชู้ ายไปหลอกวา่ ยงั โสดและจดทะเบียนซอ้ น
การแจง้ อยา่ งน้ีทาใหห้ ญิงเสียหายไดแ้ ละภรรยาเดิม(คสู่ มรสเดิม)ก็เป็นผเู้ สียหายฟ้องไดเ้ ช่นกนั
- แตถ่ า้ เคยจดทะเบียนสมรสและไดห้ ยา่ มาแลว้ หากต่อมาแจง้ วา่ ไม่เคยจดทะเบียน
สมรส กรณีถือวา่ ไมอ่ าจทาใหใ้ ครเสียหายไมผ่ ิดแจง้ ความเทจ็ มาตรา 137 และมาตรา 267
- มีบางกรณีแมว้ า่ ความจริงการกระทาของจาเลยจะครบองคป์ ระกอบมาตรา 137
แลว้ แตค่ นที่ฟ้องไม่ใช่ผเู้ สียหายจึงไมม่ ีอานาจฟ้องเป็นปัญหาทางวธิ ีพิจารณาทาใหฟ้ ้องไม่ได้
76
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1511/ 2515 จาเลยแจง้ ความเทจ็ วา่ ถูกคนร้ายชิงแทก็ ซ่ีที่เช่ามาแต่ความ
จริงจาเลยยกั ยอกแทก็ ซ่ีไปเองเจา้ ของรถแทก็ ซ่ีที่ใหเ้ ช่าไม่ใช่ผเู้ สียหายในความผิดฐานแจง้ ความเทจ็
ฟ้องไมไ่ ดเ้ พราะในการแจง้ ความจาเลยไม่ไดแ้ จง้ ความพาดพงิ ไปถึงผเู้ สียหาย จาเลยเพียงแต่แจง้ วา่
รถถกู ชิงทรัพยไ์ ป
- การแจง้ ความไวเ้ พ่ือเป็นหลกั ฐานไมม่ ีเจตนามอบเร่ืองใหพ้ นกั งานสอบสวน
ดาเนินคดีไม่ผดิ ฐานแจง้ ความเทจ็ แต่อาจผิดขอ้ หาอ่ืน
คาพิพากษาฎีกาท่ี 3242/2543 จาเลยแจง้ ความแตย่ งั ไม่ถือเป็นคาร้องทกุ ขต์ ามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2 อนุ 7 จาเลยไมม่ ีเจตนาจะมอบเร่ืองใหพ้ นกั งานสอบสวน
ดาเนินคดีกบั โจทกก์ ารแจง้ ความของจาเลยจึงยงั ไม่ก่อใหเ้ กิดความเสียหายแก่โจทก์อนั จะเป็นเหตุ
ใหโ้ จทกม์ ีอานาจฟ้องคดีเพ่ือเอาผดิ ต่อจาเลยฐานแจง้ ความเทจ็ ต่อเจา้ พนกั งาน
5. เจตนา
- ผแู้ จง้ จะตอ้ งรู้ขอ้ เทจ็ จริงวา่ ขอ้ เทจ็ จริงน้นั ไมต่ รงไม่เป็นความจริงตามที่แจง้
คาพิพากษาฎีกาที่ 2090/ 2536 จาเลยนารถท่ีมีแผ่นป้ายทะเบียนปลอมไปยน่ื ตอ่ ตารวจ
เพอ่ื ออกใบแทนซ่ึงจาเลยไปแจง้ กบั เจา้ หนา้ ที่วา่ หาย ท้งั ที่รู้วา่ เป็นความเท็จจาเลยผิดฐานแจง้ ความ
เทจ็
- ถา้ หากวา่ เป็นการเขา้ ใจโดยสุจริตแลว้ แจง้ ตามที่เขา้ ใจอยา่ งน้ีกไ็ มถ่ ือวา่ มีเจตนา
คาพิพากษาฎีกาที่ 4431/2536 จาเลยกบั พวกร่วมกนั ทาหนงั สือคดั คา้ นไมใ่ หเ้ จา้ พนกั งาน
ที่ดินไปรังวดั ท่ีดินเพ่ือออกหนงั สือรับรองการทาประโยชน์จากโจทก์โดยจาเลยเขา้ ใจโดยสุจริตวา่
ตนเองเป็นเจา้ ของที่ดินดงั กลา่ วมีอานาจยน่ื คาร้องคดั คา้ นได้ คดีของโจทกจ์ ึงไม่มีมูลวา่ จาเลยกระท
ความผดิ อนั น้ีเป็นการยนื่ โดยสุจริต
- ตวั อยา่ งไม่ผิดฐานแจง้ เท็จเพราะขาดเจตนา เช่น จาวนั เกิดเหตุผิด เช่ือโดยมีเหตคุ วร
เช่ือวา่ ขอ้ ความท่ีแจง้ เป็นจริง, ภริยาโดยพฤตินยั แจง้ วา่ เป็นภรรยา (ชาตรี สุวรรณิน, 2560 เล่ม 12,
หนา้ 366)
- แมเ้ ป็นเจา้ พนกั งานก็อาจมีความผดิ ฐานแจง้ ความเทจ็ ได้
คาพิพากษาฎีกาที่ 4201/2536 จาเลยเป็นเจา้ พนกั งานโดยทุจริตทาใบแจง้ การตายอนั เป็น
เทจ็ เพ่ือใหอ้ อกมรณบตั รแลว้ นาหลกั ฐานใบแจง้ การตายต่อนายทะเบียนและยงั นาใบมรณบตั รไป
ขอคืนหลกั ประกนั ไปเบิกความเทจ็ ต่อศาลวา่ ผตู้ อ้ งหาตายไปแลว้ จาเลยผดิ มาตรา 137, 157, 162
อนุ 1 อนุ 4, 267
- การกระทาแมจ้ ะครบองคป์ ระกอบความผดิ ฐานแจง้ ความเทจ็ ท้งั หมดแตผ่ กู้ ระทา
อาจจะไม่มีความผิดไดถ้ า้ เป็นกรณีของคาใหก้ ารของผตู้ อ้ งหา
77
- ผตู้ อ้ งหาจะใหก้ ารอยา่ งไรหรือไมใ่ หก้ ารเลยก็ได้ เป็นสิทธ์ิของผตู้ อ้ งหาจะใหก้ าร
เทจ็ กไ็ มผ่ ดิ แจง้ ความเทจ็
คาพิพากษาฎีกาท่ี 225/2508 แมจ้ าเลยจะใหก้ ารเท็จและใหก้ ารซดั ทอดผอู้ ่ืนวา่ ร่วมกระทา
ผดิ ดว้ ยก็เป็นคาใหก้ ารในฐานะผตู้ อ้ งหาไมผ่ ิดมาตรา 137
- หลกั ที่วา่ ผตู้ อ้ งหาใหก้ ารอยา่ งไรก็ไม่ผดิ ฐานแจง้ ความเทจ็ มีขอ้ ยกเวน้ 2 กรณี(ชาตรี
สุวรรณิน, 2560 เลม่ 12,หนา้ 367)
1. ไม่ไดใ้ หก้ ารในฐานะเป็นผตู้ อ้ งหา แตไ่ ปใหก้ ารในฐานะผกู้ ล่าวหาอีกคดีหน่ึงซ่ึงเป็น
ความเทจ็ กม็ ีความผิดไดเ้ พราะใหก้ ารคนละฐานะกนั
2. เป็นกรณีใหก้ ารก่อนเป็นผตู้ อ้ งหา
คาพิพากษาฎีกาท่ี 5346/2540 จาเลยแจง้ ขอ้ ความต่อเจา้ พนกั งานวา่ “ภายหลงั เกิดเหตุรถ
ชนกนั ผขู้ บั ข่ีไดห้ ลบหนีไป” แตค่ วามจริงคนขบั รถยงั อยใู่ นท่ีเกิดเหตุ การกระทาของจาเลยน่าจะทา
ใหพ้ นกั งานสอบสวนหรือประชาชนเสียหาย จาเลยผดิ แจง้ ขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ ตามมาตรา 137
ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนกั งาน
มาตรา 138 ต่อสู้ขดั ขวางเจ้าพนักงาน
มาตรา 138 ผใู้ ดตอ่ สู้ หรือขดั ขวางเจา้ พนกั งานหรือผซู้ ่ึงตอ้ งช่วยเจา้ พนกั งานตาม
กฎหมายในการปฏิบตั ิการตามหนา้ ท่ี ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกินหน่ึงปี หรือปรับไม่เกินสองหม่ืน
บาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
ถา้ การตอ่ สูห้ รือขดั ขวางน้นั ไดก้ ระทาโดยใชก้ าลงั ประทุษร้ายหรือขเู่ ข็ญวา่ จะใชก้ าลงั
ประทษุ ร้าย ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไมเ่ กินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หม่ืนบาท หรือท้งั จาท้งั
ปรับ
1. ต่อสู้หรือขัดขวาง
คาวา่ “ตอ่ สู้” หมายถึงการกระทาใดๆอนั เป็นการขดั ขนื หรือโตแ้ ยง้ การปฏิบตั ิหนา้ ที่ของ
เจา้ พนกั งานเช่นใชอ้ าวุธปื นยงิ ,ชกเจา้ พนกั งานขบั รถพุ่งชน
คาวา่ “ขดั ขวาง” คือ การทาใหเ้ กิดความยากลาบากหรือเป็นอปุ สรรคในการปฏิบตั ิหนา้ ท่ี
ของเจา้ พนกั งาน ซ่ึงในบางคร้ังศาลฎีกาจะใชร้ วมๆ กนั วา่ ต่อสูห้ รือขดั ขวางเจา้ พนกั งาน (ชาตรี
สุวรรณิน, 2560, เล่มที่ 16, หนา้ 63)
คาพิพากษาฎีกาท่ี 501/ 2537 จาเลยดิ้นรนขดั ขืนและชกหนา้ ผเู้ สียหาย (ตารวจ) เป็น
ความผดิ ฐานต่อสูข้ ดั ขวางเจา้ พนกั งานในการปฏิบตั ิหนา้ ท่ีโดยใชก้ าลงั ประทุษร้ายตามมาตรา 138
วรรค 2 และชกจนฟันผเู้ สียหายหกั เลือดกลบปากจาเลยผิดมาตรา 296 อีกกระทง
78
คาวา่ การขดั ขวางหมายถึงการทาใหเ้ กิดความยากลาบากหรืออุปสรรคในการปฏิบตั ิ
หนา้ ท่ีของเจา้ พนกั งาน เช่น ร้ือสะพานออก
ชกั ปื นส้นั เลง็ มาเป็นการตอ่ สู้ขดั ขวาง
ผลกั และร้องด่าเป็นการต่อสู้ขดั ขวาง
ตารวจเกาะรถไวเ้ พื่อใหห้ ยุดกลบั ขบั เป็นการขดั ขวางการจบั กมุ ผิดมาตรา 138
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 2218/2536 การที่จาเลยไม่หยดุ รถเมื่อตารวจสั่งใหห้ ยดุ โดยเร่ง
ความเร็ว หลบแผงก้นั ด่านและขบั รถส่ายไปมาในขณะท่ีตารวจอยบู่ นหลงั คาพฤติการณ์จาเลยมี
เจตนาจะหลบหนีใหพ้ น้ การคน้ และจบั กมุ ของตารวจเพียงอยา่ งเดียวอนั เป็นความผิดฐานขดั ขวาง
การปฏิบตั ิหนา้ ที่ของเจา้ พนกั งานโดยใชก้ าลงั ประทษุ ร้ายเท่าน้นั ยงั ไม่ถึงข้นั พยายามฆ่าเจา้ พนกั งาน
พงุ่ ชนเป็นการต่อสูข้ ดั ขวาง
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 4884/2533 จาเลยใชร้ ถปาดซา้ ยขวาเพอื่ ไมใ่ หต้ ารวจจบั จาเลย เมื่อถึง
จุดสกดั จาเลยขบั รถพุ่งชนตารวจที่ยนื อยจู่ าเลยผดิ ฐานต่อสู้ขดั ขวางเจา้ พนกั งานและพยายามฆา่
เจา้ พนกั งานกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
คาพิพากษาฎีกาที่ 6576/2542 จาเลยขบั รถพุ่งชนตารวจขณะทาการตรวจคน้ ขบั รถเร็ว
สลบั กบั เบรกขณะที่ตารวจอยบู่ นฝากระโปรงรถที่จาเลยขบั เพ่ือใหต้ ารวจตกจากรถมงุ่ ประสงคใ์ ห้
ตารวจเป็นอนั ตรายถึงชีวิตจาเลยผิดพยายามฆ่าเจา้ พนกั งานซ่ึงกระทาการตามหนา้ ที่
ขดั ขวางไม่รวมถึงการขอร้องตารวจใหป้ ลอ่ ยตวั
การนิ่งเฉยไมถ่ ือวา่ เป็นการขดั ขวางเพราะขดั ขวางจะตอ้ งมีการแสดงออกตอ้ งมีการ
กระทาออกมาดิ้นหนีไม่เป็นการตอ่ สูข้ ดั ขวาง
คาพิพากษาฎีกาท่ี 568/2536 แมจ้ ะกอดปล้ากบั ตารวจจนตกลงไปตามทางลาดของถนน
เม่ือลุกข้ึนก็ไดก้ ระโดดหนีไปไม่ถือเป็นการตอ่ สู้ขดั ขวางเจา้ พนกั งาน
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 5980-5/2540 ด้ินเพ่ือใหพ้ น้ จากการถูกควบคมุ แมเ้ ทา้ จะไปถกู ตารวจ
บา้ งกไ็ ม่ถึงข้นั ต่อสูข้ ดั ขวาง
แตถ่ า้ ผลกั และดนั เป็นการต่อสูข้ ดั ขวาง
หรือกดมือตารวจไวก้ ็เป็นการต่อสู้ขดั ขวาง
ขบั รถผา่ นเลยไปไม่ยอมหยดุ ตามที่เรียกไม่เป็นการต่อสูข้ ดั ขวาง
การขบั เลยไปไมย่ อมหยดุ ก็ดี,การดิ้นรนเพื่อใหห้ ลดุ พน้ จากการจบั กมุ ก็ดีเป็นเพียง
ข้นั ตอนหน่ึงของการจะหลบหนีไมเ่ ป็นการต่อสูข้ ดั ขวาง
2. เจ้าพนกั งานหรือผ้ซู ึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่
ตวั อย่างทว่ี นิ ิจฉัยว่าไม่ใช่เจ้าพนกั งาน
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 71/2541 ขณะเกิดเหตุ ต.ซ่ึงเป็นเจา้ พนกั งานไม่ไดเ้ ขา้ จบั กุมจาเลย
เพยี งแตอ่ นุญาตใหอ้ าจารย์ และ ย.ซ่ึงเป็นผชู้ ่วยเจา้ พนกั งานเขา้ ทาการจบั กมุ จาเลยโดยต.ไปถึงท่ี
79
เกิดเหตุหลงั จากจาเลยหลบหนีไปแลว้ กรณีจึงไม่อาจถือวา่ ต.เป็นเจา้ พนกั งานปฏิบตั ิการหรือละเวน้
การปฏิบตั ิการตามหนา้ ท่ีเพราะ ต. ไมไ่ ดเ้ ขา้ จบั กุมจาเลยและเมื่อไม่มีเจา้ พนกั งานปฏิบตั ิการหรือ
กระทาการตามหนา้ ที่การที่อาจารย์ และย.เขา้ จบั กมุ จาเลยจึงยงั ไม่อยใู่ นฐานะเป็นผซู้ ่ึงตอ้ งช่วยเจา้
พนกั งานในการท่ีเจา้ พนกั งานปฏิบตั ิการหรือกระทาการตามหนา้ ท่ีแต่เป็นการจบั กุมโดยไมม่ ีอานาจ
แมจ้ าเลยจะตอ่ สู้ขดั ขวางการจบั กุมของอาจารย์ และ ย.ไดร้ ับอนั ตรายถลอก การกระทาของจาเลย
จึงไม่ผิดฐานตอ่ สู้ขดั ขวางการจบั และทาร้ายผซู้ ่ึงตอ้ งช่วยเจา้ พนกั งานในการปฏิบตั ิการตามหนา้ ที่
อาสาสมคั รรักษาดินแดนไม่ใช่เจา้ พนกั งาน
คาวา่ “ผซู้ ่ึงตอ้ งช่วยเจา้ พนกั งานตามกฎหมาย” หมาย ถึงกรณีท่ีกฎหมายบญั ญตั ิใหบ้ ุคคล
น้นั ๆ มีหนา้ ที่ตอ้ งช่วยเหลือเจา้ พนกั งานเทา่ น้นั เช่นสารวตั รกานนั มีหนา้ ที่ช่วยกานนั เพราะมี
กฎหมายใหม้ ีหนา้ ที่
ถา้ หากไม่มีกฎหมายบญั ญตั ิใหม้ ีหนา้ ท่ีเป็นผซู้ ่ึงตอ้ งช่วยเจา้ พนกั งานแตเ่ ป็นการช่วยการ
ท่ีเคยถูกเจา้ พนกั งานขอร้องใหช้ ่วยไวแ้ ลว้ กถ็ ูกคนร้ายชกหรือต่อสู้ขดั ขวางขณะเขา้ ดาเนินการตาม
ลาพงั ไมเ่ ขา้ มาตรา 138 เพราะไม่ใช่ผซู้ ่ึงตอ้ งช่วยเจา้ พนกั งานตามกฎหมายในการปฏิบตั ิการตาม
หนา้ ที่
หากบคุ คลน้นั ไมม่ ีกฎหมายกาหนดใหม้ ีหนา้ ที่ช่วยเจา้ พนกั งานอยใู่ นตวั เป็นปกติแลว้
ตอ้ งมีเจา้ พนกั งานกระทาการตามหนา้ ท่ีอยใู่ นขณะน้นั ดว้ ยจึงจะเป็นการต่อสูข้ ดั ขวางผตู้ อ้ งช่วยเจา้
พนกั งานสรุปหากเป็นกรณีท่ีกฎหมายกาหนดใหม้ ีหนา้ ท่ีช่วยเหลือเจา้ พนกั งานอยใู่ นตวั เป็นปกติ
แลว้ บคุ คลน้นั อาจทาการช่วยเหลือเจา้ พนกั งานไดโ้ ดยไมจ่ าเป็นตอ้ งมีตวั เจา้ พนกั งานอยู่ ในทาง
ตรงขา้ มบุคคลน้นั ไม่มีกฎหมายกาหนดใหม้ ีหนา้ ท่ีช่วยเจา้ พนกั งานอยใู่ นตวั เป็นปกติแลว้ จึงตอ้ งมี
ตวั เจา้ พนกั งานกระทาการตามหนา้ ท่ีอยใู่ นขณะน้นั ดว้ ย
กรณีท่ีราษฎรช่วยเหลือตามท่ีตารวจร้องขอแต่ไมม่ ีตารวจอยดู่ ว้ ยในขณะมีการต่อสู้
ขดั ขวางแมไ้ ม่เป็นความผดิ ต่อสูข้ ดั ขวางเจา้ พนกั งานแต่อาจเป็นความผิดพยายามฆา่ ผชู้ ่วยเหลือเจา้
พนกั งานตามมาตรา 289 อนุ 3 ได้
ข้อสังเกต ผซู้ ่ึงตอ้ งช่วยเจา้ พนกั งานตามมาตรา 138 จึงต่างจากคาวา่ ผชู้ ่วยเหลือเจา้
พนกั งานตามมาตรา 289 อนุ 3 อยบู่ า้ งกลา่ วคือกรณีท่ีราษฎรเขา้ ช่วยเหลือเจา้ พนกั งานแตข่ ณะมีการ
ต่อสูข้ ดั ขวางเจา้ พนกั งานไม่ไดอ้ ยดู่ ว้ ยราษฎรน้นั ไม่อยใู่ นฐานะเป็นผซู้ ่ึงตอ้ งช่วยเหลือเจา้ พนกั งาน
ตามกฎหมายตามมาตรา 138 แตย่ งั อยใู่ นฐานะผชู้ ่วยเหลือเจา้ พนกั งานตามมาตรา 289 อนุ 3 (ชาตรี
สุวรรณิน, 2560, เลม่ ท่ี 16, หนา้ 65)
3. ในการปฏบิ ัตกิ ารตามหน้าท่ี
ตอ้ งอยใู่ นหนา้ ที่และตอ้ งชอบดว้ ยกฎหมาย
ถา้ ไม่มีหนา้ ที่ผตู้ อ่ สู้ขดั ขวางกไ็ ม่ผดิ
80
คาพิพากษาฎีกาท่ี 7152/2538 สิบตารวจตรีแตง่ เคร่ืองแบบไปจบั กมุ ผเู้ ล่นไฮโลซ่ึงก่อน
ไปจบั ไดเ้ คยขอแบ่งรายไดท้ ี่เกบ็ จากการพนนั จาก ก.แต่ก.ปฏิเสธ สิบตารวจตรีกพ็ ดู จาทานองขม่ ขู่
ตอ่ จากน้นั ก็ไปยงั สถานที่เลน่ อีกแลว้ ร้องตะโกนคนเลน่ ว่งิ หนีไปโดยสิบตารวจตรีไม่จบั กุมแตย่ ดึ
เคร่ืองมือเลน่ และเงินสดโดยไม่ทาการบนั ทึกยดึ ของกลางไวก้ การกระทาของสิบตารวจตรีกบั พวก
หาใช่เป็นการปฏิบตั ิหนา้ ที่หรือกระทาการตามหนา้ ที่ในการเขา้ จบั กุมผเู้ ลน่ การพนนั ไม่
ถา้ หากเจา้ พนกั งานดาเนินการจบั กมุ โดยชอบดว้ ยกฎหมายแลว้ มีการตอ่ สูข้ ดั ขวาง ผตู้ ่อสู้
ขดั ขวางกผ็ ิด
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 319-320/2521 ความผดิ ซ่ึงหนา้ เจา้ พนกั งานจบั ไดโ้ ดยไม่ตอ้ งมี
หมายจบั เพราะฉะน้นั เม่ือเจา้ พนกั งานจบั ผถู้ กู จบั ต่อสู้ขดั ขวางยอ่ มเป็นความผดิ มาตรา 138
แมเ้ ป็นเจา้ พนกั งาน ถา้ หากเป็นเรื่องนอกหนา้ ท่ีหรือยงั ไมม่ ีหนา้ ท่ีแลว้ ผกู้ ระทาก็จะไม่ผดิ
ฐานต่อสู้ขดั ขวางเจา้ พนกั งาน
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 3178/2540 ขณะเกิดเหตุยงั ไมม่ ีการทะเลาะวิวาทตารวจจึงยงั ไมม่ ี
หนา้ ที่เขา้ ระงบั เหตุการที่จาเลยไปมีเร่ืองกบั ตารวจเป็นการส่วนตวั และมีการต่อสูก้ นั จึงไมผ่ ิดมาตรา
138
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 7152/2538 ตารวจเขา้ ชิงของกลางในบ่อนการพนนั โดยไม่จบั ผเู้ ลน่
ไมใ่ ช่เป็นการปฏิบตั ิหนา้ ท่ีตารวจจะอา้ งวา่ จาเลยต่อสู้ขดั ขวางไม่ได้
การเขา้ จบั กุมตอ้ งชอบดว้ ยกฎหมายถา้ ไมช่ อบดว้ ยกฎหมายแลว้ ถูกต่อสู้ขดั ขวางผตู้ ่อสู้
หรือขดั ขวางก็ไม่ผิดมาตรา 138
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 2914/2537 โรงคา้ ไมท้ ่ีหยดุ ดาเนินกิจการแลว้ ทาเป็นที่พกั อาศยั การท่ี
โจทกร์ ่วมกบั พวกเขา้ ทาการจบั กุมจาเลยในที่รโหฐานจึงเป็นการกระทาที่ไม่ชอบท้งั ปราศจาก
อานาจที่จะทาไดต้ ามกฎหมาย ถือไม่ไดว้ า่ เป็นการปฏิบตั ิหนา้ ท่ีแมจ้ าเลยตอ่ สู้ขดั ขวางการจบั กุม
และทาร้ายโจทกจ์ ริงการกระทาของจาเลยกเ็ ป็นการป้องกนั โดยชอบดว้ ยกฎหมาย
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 689/2516 (ประชุมใหญ)่ การใชก้ าลงั เกินสมควรแมผ้ เู้ สียหายจะมี
อานาจจบั แตใ่ ชว้ ธิ ีที่รุนแรงเกินความเหมาะสมจึงไม่ชอบดว้ ยกฎหมายจาเลยป้องกนั สิทธิของจาเลย
ใหพ้ น้ จากภยนั ตรายจากการจบั ไดไ้ ม่ผดิ มาตรา 138
4. เจตนา
ผกู้ ระทาตอ้ งรู้วา่ ผทู้ ่ีตนต่อสูข้ ดั ขวางเป็นเจา้ พนกั งาน
คาพิพากษาฎีกาท่ี 148/2513 คน้ ตวั จาเลยในท่ีเปล่ียวและไมเ่ คยรู้จกั กนั มาก่อนจาเลยไม่มี
ทางรู้ไดว้ า่ เป็นตารวจจาเลยต่อสู้ขดั ขวางหามีความผดิ ตามมาตรา 138 ไม่
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 2202/2529 การที่ตารวจกลบั มาจากงานแตง่ งานแลว้ แวะเขา้ มาท่ี
ป๊ัมน้ามนั ไมไ่ ดเ้ ป็นการกระทาตามหนา้ ท่ีไม่ไดแ้ สดงบตั รใหจ้ าเลยดูเป็นการววิ าทกนั เป็นการ
ส่วนตวั จึงไม่เป็นการขดั ขวางเจา้ พนกั งาน
81
ผรู้ ่วมเล่นการพนนั ดบั ไฟขณะตารวจเขา้ จบั กมุ ถือไม่ไดว้ า่ มีเจตนาขดั ขวางการจบั กุม
ตวั อยา่ งท่ีแสดงใหเ้ ห็นวา่ ขาดเจตนาไมผ่ ดิ มาตรา 138
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 3231/2531 จาเลยไม่ยอมใหค้ น้ เนื่องจากเกรงวา่ ตารวจจะแกลง้ เพราะ
เคยมีสาเหตกุ บั ตารวจมาก่อนในที่สุดก็ยอมใหค้ น้ เทา่ กบั ขาดเจตนาต่อสูข้ ดั ขวางจึงไมผ่ ิดมาตรา 138
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1954/2546 ผเู้ สียหายสวมกางเกงยาวเส้ือยดื คอกลมสีขาวไม่แตง่
เครื่องแบบขอคน้ จาเลยกรณีอาจทาใหจ้ าเลยเขา้ ใจผิดไดแ้ มจ้ าเลยต่อสู้ชกต่อยใชม้ ีดแทงผเู้ สียหาย
เพอื่ ขดั ขวางไม่ให้ผเู้ สียหายตรวจคน้ และจบั กมุ จาเลยก็หามีความผิดฐานต่อสู้เจา้ พนกั งานหรือ
พยายามฆา่ เจา้ พนกั งานไม่
มาตรา 138 วรรค 2 ต่อสู้ขดั ขวางโดยใชก้ าลงั ประทษุ ร้ายหรือข่เู ขญ็ วา่ จะใชก้ าลงั
ประทุษร้าย
การใชก้ าลงั ประทุษร้ายมีความหมายกวา้ งกวา่ การทาร้าย การกอดจากผลกั ดึงอาจจะไมถ่ ึงข้นั ทาร้าย
เพราะไม่มีบาดแผลแตก่ อ็ าจจะเป็นการใชก้ าลงั ประทษุ ร้ายได้ (ชาตรี สุวรรณิน, 2560, เล่มท่ี 16,
หนา้ 66)
ตวั อยา่ งการใชก้ าลงั ประทษุ ร้าย
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 2 186/2518 ดึงแขนไม่ใหต้ ารวจข้ึนบา้ น
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 2375/2518 ชกต่อยในความผดิ ซ่ึงหนา้
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 52/2523 กอดเอวแลว้ ดึงเส้ือตารวจไว้
คาพิพากษาฎีกาที่ 3850/2543 ใชม้ ือผลกั และใชต้ วั ดนั
ข่มขืนใจเจ้าพนักงาน
มาตรา 139 ผใู้ ดขม่ ขืนใจเจา้ พนกั งานใหป้ ฏิบตั ิการอนั มิชอบดว้ ยหนา้ ที่ หรือใหล้ ะเวน้ การ
ปฏิบตั ิการตามหนา้ ท่ีโดยใชก้ าลงั ประทษุ ร้าย หรือข่เู ขญ็ ว่าจะใชก้ าลงั ประทษุ ร้าย ตอ้ งระวางโทษ
จาคุกไมเ่ กินส่ีปี หรือปรับไม่เกินแปดหมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
มาตรา 139 ข่มขืนใจเจ้าพนกั งาน
มาตรา 139 ใกลเ้ คยี งกบั มาตรา 138
มาตรา 138 เป็นความผิดท่ีไมต่ อ้ งการผลคือการต่อสูข้ ดั ขวางน้นั แมจ้ ะกระทาไปแลว้ แต่
เจา้ พนกั งานกย็ งั สามารถปฏิบตั ิการตามหนา้ ที่ไดย้ งั จบั กมุ ผกู้ ระทาความผดิ ไดก้ ถ็ ือเป็นความผดิ
สาเร็จแลว้
มาตรา 139 เป็นความผิดท่ีตอ้ งการผลคอื จะตอ้ งสามารถบงั คบั ใหเ้ จา้ พนกั งานปฏิบตั ิการ
อนั มิชอบดว้ ยหนา้ ท่ีหรือทาใหเ้ จา้ พนกั งานละเวน้ การปฏิบตั ิการตามหนา้ ที่จึงจะเป็นความผิดสาเร็จ
ถา้ ไม่บรรลผุ ลดงั ที่ต้งั ใจไวจ้ ะเป็นแคพ่ ยายามกระทาความผิดฐานขม่ ขืนใจเจา้ พนกั งานตามมาตรา
139
82
ขอ้ เทจ็ จริงระหวา่ งมาตรา 138 วรรคสองกบั มาตรา 139 กใ็ กลเ้ คยี งกนั เช่นดึงผตู้ อ้ งหาไมใ่ หต้ ารวจ
เอาตวั ไปสถานีตารวจผิดมาตรา 138 วรรค 2 แตถ่ า้ ตารวจยงั ไม่ไดจ้ บั คนร้ายก็เขา้ ไปบอกวา่ หา้ มจบั
มิฉะน้นั จะถกู ทาร้ายหรือจะถกู ฆา่ อยา่ งน้ีเป็นการขม่ ขืนใจไมใ่ หต้ รวจกระทาการตามหนา้ ที่ผิด
มาตรา 139
1. ข่มขืนใจเจ้าพนกั งาน
มีมาตรา 309 ดว้ ยที่คลา้ ยกบั มาตรา 139 แต่ตามมาตรา 139 ต่างกบั มาตรา 309
ตรงองคป์ ระกอบขอ้ 2 ของมาตรา 139 ท่ีวา่ การขม่ ขนื ใจน้นั มีเจตนาพเิ ศษเพื่อใหเ้ จา้ พนกั งานปฏิบตั ิ
โดยมิชอบดว้ ยหนา้ ท่ีหรือละเวน้ การปฏิบตั ิหนา้ ที่
มาตรา 139 ขม่ ขืนใจมีความหมายแคบกวา่ มาตรา 309
ถา้ คาถามถามมาโดยไมไ่ ดจ้ ากดั วา่ ความผดิ ต่อเจา้ พนกั งานหรือความผดิ ตอ่ ตาแหน่งหนา้ ที่ฐานใด
อยา่ ลืมพิจารณามาตรา 309 เพราะถา้ หากหลุดจากมาตรา 139 อาจจะไปเขา้ องคป์ ระกอบมาตรา
309 ได้
ถา้ หากบงั คบั ใหเ้ จา้ พนกั งานปฏิบตั ิราชการชอบดว้ ยหนา้ ท่ีก็จะไมเ่ ขา้ มาตรา 139 เพราะมาตรา 139
ตวั บทใชค้ าวา่ ตอ้ งข่มขนื ใจเจา้ พนกั งานใหป้ ฏิบตั ิการอนั มิชอบแต่อยา่ งไรกต็ าม ผกู้ ระทาอาจจะมี
ความผดิ มาตรา 309 (ทวเี กียรติ มีนะกนิษฐ, 2556, หนา้ 40)
การข่มขืนใจตอ้ งกระทาตอ่ เจา้ พนกั งาน เจา้ พนกั งานน้นั จะตอ้ งเป็นผมู้ ีหนา้ ท่ีตอ้ งปฏิบตั ิ
ในการท่ีถกู ขม่ ขนื ใจดว้ ย ถา้ หากไมใ่ ช่เจา้ พนกั งานท่ีมีหนา้ ท่ีตามที่ถูกบงั คบั ใหป้ ฏิบตั ิอาจจะไปเขา้
มาตรา 309
ตวั อยา่ งใหเ้ ห็นถึงการข่มขืนใจ
คาพิพากษาฎีกาที่ 1266/ 2530 ตารวจจะจบั กมุ พวกรถเขน็ ที่กีดขวางทางจราจรจาเลยพูด
วา่ “วนั น้ีมีเรื่องแน่พร้อมช้ีมือลกั ษณะขม่ ขแู่ ละพวกจาเลยอีก 30 ถึง 40 คนกเ็ ดินเขา้ ไปหาตารวจ
ตารวจเกรงวา่ จะถูกทาร้ายจึงถอยออกมา” การกระทาของจาเลยจึงเป็นการขม่ ขืนใจเจา้ พนกั งานให้
ละเวน้ การปฏิบตั ิการตามหนา้ ที่เป็นข่เู ข็ญวา่ จะใชก้ าลงั ประทุษร้ายผดิ มาตรา 139 ประกอบมาตรา
140
2. ให้ปฏิบัติการอนั มชิ อบด้วยหน้าท่หี รือให้ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าท่ี
ถา้ บงั คบั ใหเ้ จา้ พนกั งานปฏิบตั ิการชอบดว้ ยหนา้ ที่ก็จะไมเ่ ขา้ องคป์ ระกอบขอ้ 2 แต่ถา้ หากวา่ เขา
กาลงั ปฏิบตั ิมิชอบดว้ ยหนา้ ที่ไปบงั คบั ข่มขืนใจใหเ้ ขาหยดุ อยา่ งน้ีไม่เขา้ องคป์ ระกอบขอ้ 2 หรือถา้
เขาไม่ปฏิบตั ิตามหนา้ ท่ีไปบงั คบั ใหเ้ ขากระทาการอนั ชอบดว้ ยหนา้ ท่ีกไ็ ม่เขา้ องคป์ ระกอบขอ้ น้ี
3. โดยใช้กาลงั ประทษุ ร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กาลงั ประทุษร้าย
มาตรา 1 อนุ 6 การใชก้ าลงั ประทุษร้ายไม่จาตอ้ งถึงกบั เป็นอนั ตรายแก่กายตามมาตรา
295 แตถ่ า้ เป็นอนั ตรายแก่กายก็ผิดมาตรา 295 ดว้ ย
การใชก้ าลงั ประทุษร้ายอาจไม่ตอ้ งใชก้ าลงั ทางกายภาพ อาจใชย้ าหรือการสะกดจิต หรือวธิ ีอื่นกไ็ ด้
83
ทางวิชาการมีความเห็นวา่ การทาร้ายตามมาตราน้ีตอ้ งเป็นการทาร้ายทางกายหรือจิตใจโดยใชก้ าลงั
ประทษุ ร้ายแตถ่ า้ หากเป็นการประทุษร้ายต่อเสรีภาพเช่นหลอกตารวจเขา้ ไปในหอ้ งแลว้ ปิ ดประตขู งั
ไวก้ ็ไม่ใช่เรื่องการใชก้ าลงั ประทษุ ร้าย
4. เจตนา
ผกู้ ระทาตอ้ งรู้วา่ คนท่ีตนเองข่มขืนใจน้นั เป็นเจา้ พนกั งาน
ความผิดมาตรา 139 เป็นความผดิ ที่ตอ้ งการผลถา้ หากเจา้ พนกั งานไม่ยอมไม่เกรงกลวั
ตามท่ีถกู ขม่ ขนื ใจกเ็ ป็นแคพ่ ยายามกระทาความผิด
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 3536/2535 การที่จาเลยบงั คบั ใหต้ ารวจคนื ปื นใหแ้ ตต่ ารวจไมย่ อม
ปฏิบตั ิตาม คอื ไม่ยอมคืนให้แลว้ ยงั ยดึ ไวเ้ ป็นของกลางอีก ถือวา่ ไมไ่ ดเ้ ป็นการปฏิบตั ิการอนั มิชอบ
ดว้ ยหนา้ ท่ีหรือละเวน้ การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีตามคาบงั คบั หรือจาเลยแสดงวา่ จาเลยบงั คบั ไมส่ าเร็จการ
กระทาของจาเลยจึงเป็นข้นั พยายามกระทาความผดิ เทา่ น้นั
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 2989/2537 จาเลยพูดขวู่ า่ จะฆา่ ผเู้ สียหายซ่ึงเป็นเจา้ หนา้ ที่ป่ าไมห้ าไม่
ปล่อยไมท้ ี่ยดึ เป็นการขม่ ขนื ใจเจา้ พนกั งานลงมือครบองคป์ ระกอบมาตรา 139 แลว้ แต่การกระทา
ไมบ่ รรลผุ ลเพราะผเู้ สียหายคอื เจา้ พนกั งานที่ถูกขม่ ขนื ใจไมย่ อมปลอ่ ยไมท้ ่ียดึ จึงเป็นพยายามกระทา
ความผดิ ตามมาตรา 139 ประกอบมาตรา 80
มาตรา 140 เหตุฉกรรจ์ของมาตรา 138 และมาตรา 139
มาตรา 140 ถา้ ความผิดตามมาตรา 138 วรรคสอง หรือมาตรา 139 ไดก้ ระทาโดยมีหรือใชอ้ าวธุ
หรือโดยร่วมกระทาความผิดดว้ ยกนั ต้งั แต่สามคนข้ึนไป ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินหา้ ปี
หรือปรับไมเ่ กินหน่ึงแสนบาทหรือท้งั จาท้งั ปรับ
ถา้ กระทาโดยอา้ งอานาจอ้งั ยห่ี รือซ่องโจร ไม่วา่ อ้งั ยห่ี รือซ่องโจรน้นั จะมีอยหู่ รือไม่
ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคกุ ต้งั แตส่ องปี ถึงสิบปี และปรับต้งั แตส่ ี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท
ถา้ ความผดิ ตามมาตราน้ีไดก้ ระทาโดยมีหรือใชอ้ าวุธปื นหรือวตั ถุระเบิด ผกู้ ระทาตอ้ ง
ระวางโทษหนกั กวา่ โทษที่กฎหมายบญั ญตั ิไวใ้ นสองวรรคก่อนก่ึงหน่ึง
ความผดิ มาตรา 138 และมาตรา 139 มีเหตฉุ กรรจ์ตามมาตรา 140
ตวั อยา่ งคาพิพากษาฎีกา มาตรา 140
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 774/2548 จาเลยรู้วา่ กาลงั ถกู ผเู้ สียหายท่ี 2 กบั พวกซ่ึงเป็นเจา้ พนกั งาน
ตารวจติดตามจบั กมุ การท่ีจาเลยกอดปล้าต่อสูแ้ ละใชม้ ีดฟันแทงผเู้ สียหายที่ 2 จึงเป็นความผดิ ฐาน
ต่อสูข้ ดั ขวางเจา้ พนกั งานในการปฏิบตั ิงานตามหนา้ ท่ีตาม ป.อ. มาตรา 138, 140 และเป็นความผิด
ฐานทาร้ายร่างกายผเู้ สียหายที่ 2 ซ่ึงเป็นเจา้ พนกั งานปฏิบตั ิงานตามหนา้ ท่ีดว้ ย
84
การเป็นอนั ตรายสาหสั ตาม ป.อ. มาตรา 297 (8) น้นั ตอ้ งป่ วยเจ็บดว้ ยอาการทกุ ขเวทนา
เกินกวา่ ยสี่ ิบวนั หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ไดเ้ กินกวา่ ยส่ี ิบวนั แตผ่ เู้ สียหายท่ี 2 มี
บาดแผลที่ตน้ ขาซา้ ยดา้ นหลงั ตอ้ งรักษาที่โรงพยาบาล 11 วนั หลงั จากน้นั ใหก้ ลบั ไปรักษาตวั ที่บา้ น
และตอ้ งไปทาแผลทกุ วนั ในระหวา่ งรักษาบาดแผลผเู้ สียหายที่ 2 ยงั สามารถทางานไดต้ ามปกติและ
ตอ้ งไปลา้ งแผลทุกวนั แสดงวา่ ผเู้ สียหายที่ 2 มิไดป้ ่ วยเจบ็ ดว้ ยอาการทกุ ขเวทนาหรือประกอบกรณีย
กิจไมไ่ ด้ จึงไม่เขา้ ลกั ษณะอนั ตรายสาหสั ตาม ป.อ. 297 (8) เพยี งแต่เป็นอนั ตรายแก่กายหรือจิตใจ
ตาม ป.อ. มาตรา295 เทา่ น้นั การที่จาเลยทาร้ายร่ายกายผเู้ สียหายที่ 2 ซ่ึงเป็นเจา้ พนกั งานปฏิบตั ิ
หนา้ ที่ จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 296
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1501/2514 แมก้ ระสุนปื นดา้ น ก็เขา้ เหตุฉกรรจม์ าตรา 140 วรรคทา้ ย
คาพิพากษาฎีกาที่ 8308/2544 จาเลยท่ี 1 และ ท่ี 3 จบั จาเลยที่ 2 ไม่ไดต้ อ่ สูข้ ดั ขวาง ฮ.แต่
เพยี งผเู้ ดียวท่ีทาร้าย ตารวจอนั เป็นการตดั สินใจกระทาไปตามลาพงั ของจาเลยแตล่ ะคนโดยไม่ได้
คบคิดกนั จึงถือไมไ่ ดว้ า่ เป็นตวั การร่วม จาเลยท่ี 1 และท่ี 3 ผดิ ฐานต่อสู้ขดั ขวางเจา้ พนกั งานตาม
มาตรา 138 วรรค 2 จะปรับบทมาตรา 140 วรรคหน่ึงซ่ึงเป็นบทลงโทษผกู้ ระทาผดิ โดยร่วมกระทา
ผิดดว้ ยกนั ต้งั แต่ 3 คนข้นึ ไป ตามที่โจทกฟ์ ้องไมไ่ ด้
กระทาต่อตราซึ่งเจ้าพนักงานประทับไว้
มาตรา 141 ผใู้ ดถอน ทาใหเ้ สียหาย ทาลายหรือทาใหไ้ ร้ประโยชนซ์ ่ึงตราหรือเคร่ืองหมายอนั เจา้
พนกั งานไดป้ ระทบั หรือหมายไวท้ ี่ส่ิงใด ๆ ในการปฏิบตั ิการตามหนา้ ที่ เพ่อื เป็นหลกั ฐานในการยดึ
อายดั หรือรักษาสิ่งน้นั ๆ ตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินสองปี หรือปรับไม่เกินส่ีหมื่นบาท หรือท้งั จา
ท้งั ปรับ
มาตรา 141 ทาลายตราหรือเคร่ืองหมายท่ีประทบั หรือหมายไว้
เอาผิดกบั ผทู้ ี่ถอนทาใหเ้ สียหายทาลายหรือทาใหไ้ ร้ประโยชนซ์ ่ึงตราหรือเคร่ืองหมายท่ี
ประทบั หรือหมายไว้
ตรา หมายถึง รอยตราที่ประทบั เช่นเคร่ืองหมายของกรมป่ าไม้ (ยดึ และมีหมายเลขกากบั )
ผทู้ ี่ทาลายยอ่ มผดิ มาตรา 141 แต่ถา้ หากผทู้ าลายเป็นเจา้ พนกั งานจะผดิ มาตรา 159
1. ถอนทาใหเ้ สียหาย ทาลาย ทาใหไ้ ร้ประโยชน์
การถอนหมายถึงทาใหห้ มดสภาพไป มองไมเ่ ห็น
2. ซ่ึงตราหรือเครื่องหมายอนั เจา้ พนกั งานไดป้ ระทบั หรือหมายไวท้ ี่ใดๆในการปฏิบตั ิ
ตามหนา้ ท่ี
ไมใ่ ช่ตวั แป้นประทบั เคร่ืองหมายอาจจะเป็นกากบาทกไ็ ดห้ รือเคร่ืองหมายอะไรกไ็ ด้
85
ความผดิ ฐานทาลายดวงตราของเจา้ พนกั งานตามมาตรา 141 น้นั ไมว่ า่ จะเป็นดวงตราท่ีประทบั ไว้
บนทรัพยส์ ินของเอกชนหรือไมก่ ็ตาม ไมถ่ ือวา่ เอกชนเป็นผเู้ สียหายโดยตรงเอกชนจึงไมม่ ีอานาจ
ฟ้อง
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1269/2503 อกั ษรหมายเลขทะเบียนปื นที่ตอกไวท้ ี่ปื น ไม่ใช้
เคร่ืองหมายที่ยดึ อายดั หรือรักษาปื น การทาลายหมายเลขทะเบียนปื นไมผ่ ิดมาตรา 141
3. เพื่อเป็นหลกั ฐานในการยดึ อายดั หรือรักษาส่ิงน้นั
4. เจตนา
ผกู้ ระทาผดิ มาตรา 141 ตอ้ งมีเจตนารู้วา่ สิ่งท่ีตวั เองไปทาใหเ้ สียหาย ทาลาย ทาใหไ้ ร้
ประโยชน์น้นั เป็นการตราท่ีเจา้ พนกั งานประทบั เพ่ือยดึ อายดั หรือรักษา
กระทาต่อสิ่งท่ีเจ้าพนกั งานยึดไว้
มาตรา 142 ผใู้ ดทาให้เสียหาย ทาลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทาใหส้ ูญหาย หรือไร้ประโยชน์ซ่ึง
ทรัพยส์ ิน หรือเอกสารใด ๆ อนั เจา้ พนกั งานไดย้ ดึ รักษาไว้ หรือสั่งใหส้ ่งเพอื่ เป็นพยานหลกั ฐาน
หรือเพื่อบงั คบั การใหเ้ ป็นไปตามกฎหมาย ไมว่ า่ เจา้ พนกั งานจะรักษาทรัพยห์ รือเอกสารน้นั ไวเ้ อง
หรือส่ังใหผ้ นู้ ้นั หรือผอู้ ่ืน ส่งหรือรักษาไวก้ ็ตาม ตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินสามปี หรือปรับไม่เกิน
หกหม่ืนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
ความผดิ ตามมาตราน้ี ลกั ษณะของการกระทาความผิดมีดงั น้ี
1. ทาใหเ้ สียหาย ทาลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทาใหส้ ูญหาย หรือไร้ประโยชน์
2. ทรัพยส์ ิน หรือเอกสารใด ๆ อนั เจา้ พนกั งานไดย้ ดึ รักษาไว้ หรือสง่ั ใหส้ ่ง
3. เพอ่ื เป็นพยานหลกั ฐานหรือเพือ่ บงั คบั การใหเ้ ป็นไปตามกฎหมาย
4. เจตนา
ผกู้ ระทาความผิดตามมาตรา 142 ตอ้ งมีเจตนารู้วา่ เป็นการทาใหเ้ สียหายต่อทรัพยส์ ิน
หรือเอกสาร กระทาต่อสิ่งที่เจา้ พนกั งานยดึ ไวเ้ ป็นพยานหลกั ฐานหรือตามกฎหมาย ไม่วา่ สิ่งที่ยดึ
ไวเ้ หล่าน้ีจะอยใู่ นการครอบครองของเจา้ พนกั งานหรือไมก่ ต็ าม
86
มาตรา 142 ทาลายทรัพย์สินหรือเอกสารทยี่ ึดเพ่ือเป็ นพยานหลกั ฐาน
1. ทาใหเ้ สียหาย ทาลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสียหรือทาใหไ้ ร้ประโยชน์
การเอาไปเสีย คือ การเอาไปใหพ้ น้ จากที่เคยรักษาไว้ ถา้ หากมีเจตนาทุจริตและเป็น
ทรัพยข์ องผอู้ ื่นกผ็ ดิ ลกั ทรัพยม์ าตรา 334, มาตรา 335 ดว้ ย
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 2145/2531 จาเลยจูงรถจกั รยานท่ีตารวจยดึ ไวไ้ ปจากท่ีจอดรถหนา้
สถานีตารวจโดยไม่มีเหตุเม่ือตารวจตามไปทนั จาเลยก็ไม่ไดโ้ ตเ้ ถียงวา่ รถน้นั เป็นของจาเลย จาเลย
นารถไปโดยทุจริต ผดิ มาตรา 142, มาตรา 335 อนุ 1 อนุ 8 ลงโทษมาตรา 335 วรรคสองซ่ึงเป็นบท
หนกั
คาพิพากษาฎีกาท่ี 3038/2530 จาเลยเป็นเจา้ ของไมส้ ัก 166 แผน่ อนั เป็นไมห้ วงหา้ มใน
วนั เกิดเหตุ เจา้ พนกั งานยดึ ไป 808 แผน่ นากลบั ไปตีตรายดึ ไว้ จาเลยจุดไฟเผาไม้ 6 แผน่ ท่ีตารวจ
ยงั ไมไ่ ดย้ ดึ ไปในวนั รุ่งข้นึ ตารวจมายดึ ไมท้ ี่เหลือ อีก 52 แผน่ ไมส้ ัก 6 แผน่ ท่ีจาเลยเผาไป ยงั ไมเ่ ป็น
ไมท้ ี่เจา้ พนกั งานไดย้ ดึ ไวเ้ พอื่ เป็นพยานหลกั ฐาน จาเลยไมผ่ ิดมาตรา 142 ประกอบมาตรา 80
2. ซ่ึงทรัพยห์ รือเอกสารใด ๆ
กฎหมายไมไ่ ดก้ าหนดวา่ ตอ้ งเป็นของผอู้ ื่นไม่เหมือนมาตรา 188 ที่ระบวุ า่ ตอ้ งเป็น
พินยั กรรมหรือเอกสารของผอู้ ่ืนถึงจะผดิ
มาตรา 142 หากกระทาต่อทรัพยส์ ินของตวั เองก็ผดิ ถา้ หากวา่ เป็นทรัพยส์ ินท่ีเจา้ พนกั งาน
ไดย้ ดึ หรือรักษาไวห้ รือส่ังให้ส่งเพอื่ เป็นพยานหลกั ฐานหรือเพื่อบงั คบั การใหเ้ ป็นไปตามกฎหมาย
3. เจา้ พนกั งานไดย้ ดึ หรือรักษาไว้ หรือสงั่ ใหส้ ่งเพื่อเป็นพยานหลกั ฐานหรือเพื่อบงั คบั
การใหเ้ ป็นไปตามกฎหมาย มาตรา 142 ตอ้ งดูมาตรา 188 ประกอบดว้ ยเสมอ
ถา้ ทรัพยเ์ ป็นของตวั เองจะไม่เขา้ มาตรา 188
คาพิพากษาฎีกาที่ 1293/2481 แยง่ สุราเถื่อนที่เจา้ พนกั งานยดึ ไวไ้ ดแ้ ลว้ เอาไปเททิง้ ผิด
มาตรา 142
คาพิพากษาฎีกาที่ 1174/ 2482 แยง่ กลอ้ งและตะเกียงสูบฝ่ินของกลางไปเป็นการเอาไป
เสียผิดมาตรา 142
ตวั อยา่ งทรัพยส์ ินหรือเอกสารใด ๆ ตามมาตรา 142
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 704-05/2474 ชา้ งกินขา้ วโพดของชาวบา้ นถูกจบั มาส่งอาเภอ เจา้ ของ
ชา้ งมาเอาไปโดยพลการแมจ้ ะไม่มีความผดิ ลกั ทรัพยแ์ ต่ผิดฐานเอาไปเสียซ่ึงทรัพยส์ ินท่ีเป็น
พยานหลกั ฐานมาตรา 142
คาพิพากษาฎีกาที่ 1528/2503 (ประชุมใหญ่) การเอาทรัพยท์ ี่เจา้ พนกั งานยดึ รักษาไวไ้ ป
โดยทจุ ริตผิดมาตรา 142
ตวั อยา่ งฎีกาเกี่ยวกบั มาตรา 142
87
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1351/2506 กระดาษ 1 แผน่ มี 2 ซีก ซีกหน่ึงเป็นพินยั กรรมอีกซีกเป็น
สัญญาเช่า จาเลยฉีกท้งั 2 แผ่นใหอ้ อกจากกนั แต่ขอ้ ความยงั คงเดิม โดยจาเลยฉีกก่อนไดร้ ับ
หมายเรียกจากศาลใหส้ ่งพนิ ยั กรรมเป็นพยาน จาเลยไม่ผดิ มาตรา 142 เพราะขณะฉีกเอกสารน้ียงั
ไม่ใช่เอกสารท่ีศาลสัง่ ใหจ้ าเลยส่งเพื่อเป็นพยานเมื่อจาเลยฉีกใหข้ าดโดยไมท่ าใหโ้ จทกห์ รือผใู้ ด
เสียหาย และโจทกน์ าสืบไม่ไดว้ า่ จาเลยเจตนาทาใหเ้ อกสารไร้ประโยชน์ จาเลยไม่ผดิ มาตรา 188
ความผิดเกี่ยวกบั การให้เรียกหรือรับสินบน (นวรัตน์ กล่ินรัตน,์ 2559 หนา้ 389-405)
เป็ นคนกลางเรียกหรือรับสินบน
มาตรา 143 ผใู้ ดเรียก รับหรือยอมจะรับทรัพยส์ ิน หรือประโยชน์อ่ืนใดสาหรับตนเองหรือผอู้ ื่น เป็น
การตอบแทนในการท่ีจะจูงใจหรือไดจ้ ูงใจเจา้ พนกั งาน สมาชิกสภานิติบญั ญตั ิแห่งรัฐ สมาชิกสภา
จงั หวดั หรือสมาชิกสภาเทศบาลโดยวิธีอนั ทจุ ริตหรือผิดกฎหมายหรือโดยอิทธิพลของตนใหก้ ระทา
การ หรือไมก่ ระทาการในหนา้ ที่อนั เป็นคณุ หรือเป็นโทษแก่บคุ คลใด ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไมเ่ กิน
หา้ ปี หรือปรับไม่เกินหน่ึงแสนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
มาตรา 143 เรียกรับทรัพย์สินเพื่อจูงใจเจ้าพนักงานหรือนักการเมืองให้กระทาการหรือไม่กระทาการ
(คนกลาง)
- มาตราน้ีเอาผดิ กบั ราษฎรทวั่ ไปไม่ไดเ้ อาผิดกบั เจา้ พนกั งาน
1. เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด
- การเรียก หมายถึง การเรียกร้อง ถา้ เรียกแลว้ ผถู้ กู เรียกไม่ยอมใหก้ ็อาจเป็นความผดิ
สาเร็จได้
- การรับ หมายถึง ผรู้ ับไมต่ อ้ งเรียกร้อง แต่มีผเู้ อาเงินมาให้กร็ ับไว้
- การยอมจะรับ หมายถึง ยงั ไม่มีการใหส้ ่ิงของเป็นแต่เพียงสัญญาวา่ ถา้ ไปพูดกบั เจา้
พนกั งานใหไ้ ดจ้ ะโอนท่ีดินใหอ้ ยา่ งน้ีถือวา่ ยอมจบั รับ
- ทรัพยส์ ิน หมายถึง ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 137, มาตรา138
ไดแ้ ก่ วตั ถมุ ีรูปร่าง (เงิน บา้ น รถ โทรศพั ทม์ ือถือ สร้อย เพชร พลอย กระเป๋ า นาฬิกา เป็นตน้ ) และ
วตั ถทุ ี่ไมม่ ีรูปร่าง (สิทธิในฐานะผถู้ ือหุน้ สิทธิในทรัพยส์ ินทางปัญญา เป็นตน้ ) (ชาตรี สุวรรณิน,
2560 เลม่ 15,หนา้ 29)
- ประโยชน์อ่ืนใด หมายถึง มีความหมายกวา้ งเช่นใหอ้ ยบู่ า้ นฟรีโดยไมเ่ สียค่าเช่ายงั
รวมถึงใหร้ ่วมประเวณีดว้ ย
คาพิพากษาฎีกาที่ 15171/2557 จาเลยเรียกเงินจาก น. กบั ส. โดยแอบอา้ งวา่ จะนาเงินไปให้
พนกั งานอยั การเจา้ ของสานวนทาความเห็นไม่คดั คา้ นการปลอ่ ยตวั ชว่ั คราวของ น. โดยไม่ชอบดว้ ย
88
กฎหมายอนั เป็นคุณแก่ น. ซ่ึงเป็นจาเลยในคดีอาญา แมจ้ าเลยจะยงั ไมไ่ ดร้ ับเงินหรือนาเงินไปให้
อยั การเจา้ ของสานวนตามท่ีจูงใจกต็ าม การกระทาของจาเลยยอ่ มเป็นความผิดตาม ประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 143
คาพิพากษาฎีกาที่ 2715/ 2531 การท่ีจาเลยเรียกรับเอาเงินจากผเู้ สียหายโดยอา้ งวา่ จะนาไปใหเ้ จา้
พนกั งานเพอื่ ช่วยให้จ. เขา้ รับราชการโดยไมต่ อ้ งสอบ แมผ้ เู้ สียหายจะไม่หลงเช่ือ
และไมม่ ีเจตนาจะมอบเงินให้จาเลยโดยไปแจง้ ความไวก้ บั ตารวจ การกระทาของจาเลยกค็ รบ
องคป์ ระกอบมาตรา 143 แลว้
2. สาหรับตนเองหรือผู้อ่ืน
- แมผ้ เู้ รียกไม่ต้งั ใจเอาทรัพยท์ ่ีเรียกไปใหเ้ จา้ พนกั งานเลยก็ไมเ่ ป็นสาระสาคญั คอื พวก
ชอบแอบอา้ งโดยไม่มีเจตนาจะเอาไปใหเ้ จา้ พนกั งานเลย แตแ่ อบอา้ งวา่ จะเอาไปให้เจา้ พนกั งานเพ่ือ
จะหลอกหลวงหรือโกง
คาพิพากษาฎีกาที่ 7695/2543 จาเลยเรียกรับเงินโดยอา้ งวา่ จะนาเงินไปจูงใจศาลให้รอการ
ลงโทษจาคกุ จาเลยแมจ้ าเลยจะไมไ่ ดไ้ ปจงใจศาลจริงกถ็ ือวา่ เขา้ องคป์ ระกอบมาตรา 143 แลว้
คาพิพากษาฎีกาท่ี 537/2523 เรียกทรัพยว์ า่ จะนาไปใหศ้ าลยกฟ้องแมผ้ เู้ รียกไม่ต้งั ใจจะเอา
ทรัพยน์ ้นั ไปใหเ้ จา้ พนกั งานเลยกเ็ ป็นการกระทาที่ครบองคป์ ระกอบความผิดมาตรา 143 แลว้
3. เป็ นการตอบแทนในการท่ีจะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงาน
- สมาชิกสภานิติบญั ญตั ิ สมาชิกสภาจงั หวดั สมาชิกสภาเทศบาลโดยไมจ่ าตอ้ งมีการ
จูงใจหรือจะจูงใจจริง ๆ
- ผกู้ ระทาผิดจะไดไ้ ปจูงใจเจา้ พนกั งาน (ตาแหน่งอดีตประธานศาลฎีกาหรือประธานศาล
ฎีกา) ใหก้ ระทาในหนา้ ที่ใหเ้ ป็นคณุ แก่ผเู้ สียหายหรือไม่ ประเด็นน้ี ไม่ใช่องคป์ ระกอบความผิดตาม
มาตรา 143 และสุดทา้ ยผกู้ ระทาผดิ กไ็ มส่ ามารถจูงใจเจา้ พนกั งานไดก้ ต็ อ้ งถือวา่ ผนู้ ้นั มีความผดิ
สาเร็จตามมาตรา 143 (คาพิพากษาฎีกาท่ี 2411/2562)
- ไมจ่ าตอ้ งมีการจูงใจหรือจะจูงใจจริง เจา้ พนกั งานจะเป็นใครช่ืออะไรจึงไม่สาคญั
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 130/2528 โจทกไ์ ม่ตอ้ งบรรยายฟ้องวา่ เจา้ พนกั งานช่ืออะไรเป็นใคร
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 4846/2536 จาเลยไดจ้ ูงใจเจา้ พนกั งานจริงหรือไม่ ไมใ่ ช่ขอ้ สาคญั
เพียงแตไ่ ปบอกกบั ชาวบา้ นที่ถูกหลอกวา่ เพ่ือจะไปตอบแทนในการท่ีจะจูงใจหรือไดจ้ ูงใจเจา้
พนกั งานกเ็ ขา้ องคป์ ระกอบมาตรา 143 แลว้
- ถา้ อา้ งวา่ จะจงใจผพู้ พิ ากษาศาลอทุ ธรณ์ถา้ ปรากฏวา่ ผทู้ ่ีถกู อา้ งชื่อจะไม่ไดเ้ ป็นเจา้ ของ
สานวนหรือองคค์ ณะกถ็ ือวา่ ผิดมาตรา 143 น้ีแลว้
- แมพ้ นกั งานอยั การท่ีถูกอา้ งมิไดเ้ ป็นเจา้ ของสานวนและจาเลยยงั มิไดร้ ับเงิน ก็ถือวา่ ผิด
มาตรา 143 น้ีแลว้ (ชาตรี สุวรรณิน, 2560, เล่มที่ 15, หนา้ 31)