239
โจทกอ์ อกศาลวา่ การไปเขียนขอ้ ความเช่นน้ีไมเ่ กิดความเสียหายแก่ผใู้ ดและผอาจารย์ มีอานาจแกไ้ ข
ใหต้ รงกบั ความจริงไดไ้ มผ่ ิดฐานปลอมเอกสาร
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 34/2534 โจทกไ์ ปถึงโรงเรียนเวลา 8 โมงจาเลยลบเวลาที่โจทกเ์ ขยี น
แลว้ เขียนทบั ไปวา่ 7.46 นาทีแกไ้ ขโจทกม์ าทางานเร็วข้ึนซ่ึงไมน่ ่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์
ขาดองคป์ ระกอบไม่ผดิ ฐานปลอมเอกสาร
3. การประทบั ตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร
ไมว่ า่ จะกระทาตอ่ เอกสารท่ีแทจ้ ริงหรือกระทาต่อเอกสารที่ทาปลอมข้นึ ลว้ นเป็น
ความผิดฐานปลอมเอกสารท้งั สิ้น
คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2347/2561 สาเนาบตั รประจาตวั ประชาชนและสาเนาทะเบียนบา้ น
แมเ้ อกสารดังกล่าวจะเป็ นเอกสารราชการ แต่มีเพียงการปลอมลายมือชื่อของเจ้าของบตั รและ
เจา้ ของทะเบียนบา้ นลงในสาเนาบตั รประจาตวั ประชาชนและสาเนาทะเบียนบา้ นที่แทจ้ ริง โดยไม่มี
การเติมหรือตดั ทอนขอ้ ความ หรือแกไ้ ขสาเนาบตั รประจาตวั ประชาชนและสาเนาทะเบียนบา้ นให้
แตกต่างไป แต่อย่างใด สาเนาบตั รประจาตวั ประชาชนและสาเนาทะเบียนบา้ นดงั กล่าวยงั คงเป็น
เอกสารท่ีแทจ้ ริง การปลอมลายมือช่ือเจา้ ของบตั รและเจา้ ของเบียนบา้ นลงในสาเนาบตั รและสาเนา
ทะเบียนบา้ น จึงเป็นเพยี งการปลอมเอกสารตาม ป.อ. มาตรา 264 วรรคแรก
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 278 9/2501 หลอกเอาสินคา้ ไปโดยอา้ งวา่ มีผตู้ อ้ งการซ้ือแลว้ ทาใบ
รับของและลงลายมือชื่อและประทบั ตรานิติบคุ คลที่ไม่มีตวั ผิดปลอมเอกสารและฉอ้ โกง
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 561/2508 จาเลยไม่ใช่นายช่วงแตล่ งนามวา่ เป็นนายช่วงในคาเบิกความ
ท่ีศาลจดไวจ้ าเลยผดิ ปลอมเอกสารมาตรา 264 แตจ่ าเลยไมผ่ ิดมาตรา 265 เพราะเอกสารฉบบั น้นั
ศาลทาข้นึ เองเพยี งแต่จาเลยปลอมตวั มาลงนามในฐานะผเู้ บิกความ หาทาใหจ้ าเลยผดิ มาตรา 265
ดว้ ยไม่ จาเลยคงผดิ แตม่ าตรา 264 เทา่ น้นั
คาพิพากษาฎีกาท่ี 167/2517 จาเลยกูเ้ งินผเู้ สียหายแตใ่ ชช้ ื่อผอู้ ่ืนในช่องผกู้ ูท้ าใหผ้ เู้ สียหาย
เชื่อวา่ จาเลยเป็นผกู้ ูจ้ ึงผิดปลอมเอกสารสิทธ์ิ เม่ือจาเลยไดม้ อบสญั ญากใู้ หผ้ เู้ สียหายยดึ ถือไว้ จาเลย
จึงผิดฐานใชเ้ อกสารสิทธิปลอมดว้ ย
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 731/2509 บนั ทึกรายงานการเดินทางไปราชการขอ้ ความเอกสารน้ีเป็น
เทจ็ และจาเลยปลอมลายเซ็นผบู้ งั คบั บญั ชาเพื่อเบิกเงินจาเลยผดิ ฐานปลอมเอกสารสิทธ์ิอนั เป็น
เอกสารราชการ
4. การลงลายมือช่ือคนอื่นเป็ นการลงลายมือช่ือปลอม
240
แมเ้ จา้ ของลายมือชื่อจะยนิ ยอมกต็ าม หากระทาเพอื่ ใหผ้ อู้ ่ืนหลงเชื่อวา่ เป็นเอกสารที่
แทจ้ ริงท่ีเจา้ ของลายมือช่ือทาข้ึนแลว้ น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ่ืนหรือประชาชนยอ่ มเป็นความผิด
ฐานปลอมเอกสาร
คาพิพากษาฎีกาท่ี 658/2513 จาเลยจะให้ ล. ถ. ร้องขอใหศ้ าลสั่งการเลือกต้งั มิชอบซ่ึงได้
นาใบแต่งทนายไปใหเ้ ซ็นท้งั ล. ถ. เซ็นช่ือไม่ไดจ้ ึงยนิ ยอมให้ ค.เซ็นตแ์ ทน ดงั น้นั ล. ถ.ไม่ใช่
ผเู้ สียหายตามกฎหมายแต่เห็นไดว้ า่ น่าจะเกิดความเสียหายแก่ศาลแลว้ จาเลยจึงผิดฐานใชเ้ อกสาร
ปลอม
การตดั ทอนหรือแกไ้ ขขอ้ ความในเอกสารที่แทจ้ ริงโดยยงั มีความหมายเหลืออยเู่ ป็นการ
ปลอมเอกสารมาตรา 264
การตดั ทอนหรือแกไ้ ขขอ้ ความในเอกสารท่ีเป็นการลบขอ้ ความไปท้งั หมดทาใหไ้ ม่มี
ขอ้ ความเหลืออยเู่ ลยจึงไม่เป็นเอกสารเพราะไมม่ ีความหมายตรงน้ีไม่ใช่ปลอมเอกสารมาตรา 264
แต่เป็นการทาลายเอกสารมาตรา 188
คาพิพากษาฎีกาท่ี 381/2475 ลกั เรือมาแลว้ ลบเลขทะเบียนเรือออกท้งั หมดเป็นการทาลาย
เอกสาร
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 6266/2545 จาเลยขดู ลบเคร่ืองหมายทะเบียนปื นของจาเลยออกท้งั หมด
เป็นการทาลายเอกสารเพราะไมม่ ีเอกสารเหลืออยใู่ หผ้ ใู้ ดหลงเชื่อวา่ เป็นเอกสารท่ีแทจ้ ริง
การปลอมเอกสารตอ้ งกระทาโดยประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ื่นหรือประชา
ชนเป็นพฤติการณ์ประกอบการกระทา มิใช่ผลของการกระทาและมิใช่เร่ืองของเจตนาหรือเจตนา
พเิ ศษ
โดยประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ่ืนหรือประชาชนตอ้ งพิจารณาจากความรู้สึก
นึกคิดของบุคคลทว่ั ไปในลกั ษณะเดียวกบั จาเลยมิใช่พจิ ารณาจากความรู้สึกของผกู้ ระทาผิด
คาพิพากษาฎีกาท่ี 10517/2559 จาเลยไม่ไดเ้ ป็นเจา้ อาวาสวดั บา้ นขวา้ ง หรือเป็นกรรมการ
วดั หรือมีส่วนเกี่ยวขอ้ งในวดั บา้ นขวา้ งท่ีจะมีอานาจจดั ทอดผา้ ป่ าโดยลาพงั การที่จาเลยจดั พิมพ์
ซองผา้ ป่ าซ่ึงขอ้ ความบนซองผา้ ป่ าของกลางเป็นการเชิญชวนใหร้ ่วมทาบุญทอดผา้ ป่ าสามคั คี ณ วดั
บา้ นขวา้ ง ท้งั ที่จาเลยไม่มีอานาจโดยลาพงั ท่ีจะจดั ทอดผา้ ป่ าในนามวดั บา้ นขวา้ งโดยพลการเพราะ
ไม่ไดแ้ จง้ หรือขออนุญาตเจา้ อาวาสวดั และไม่ไดผ้ ่านการประชุมระหว่างไวยาวจั กร กรรมการวดั
เจา้ อาวาสวดั ผูใ้ หญ่บา้ น ผูน้ าชุมชนรวมท้งั ชาวบา้ น ท้งั ซองผา้ ป่ าของกลางท่ีจดั พิมพแ์ จกจ่ายให้
ผอู้ ่ืนไม่มีรอยตราของวดั ประทบั ดา้ นหลงั ซอง การจดั พิมพซ์ องผา้ ป่ าดงั กล่าวจึงเป็นการทาเอกสาร
ปลอมข้ึนมาใหมท่ ้งั ฉบบั โดยจาเลยไมม่ ีอานาจ ลกั ษณะขอ้ ความตามซองผา้ ป่ าของกลางระบุชดั เจน
241
วา่ เป็นการทอดผา้ ป่ า ณ วดั บา้ นขวา้ ง ทาใหป้ ระชาชนทว่ั ไปเชื่อวา่ เป็นซองผา้ ป่ าท่ีแทจ้ ริงที่จดั ทาข้ึน
โดยวดั บา้ นขวา้ ง ท้งั ท่ีความจริงแลว้ ทางวดั บา้ นขวา้ งมิไดร้ ับรู้ดว้ ย หากมีการนาซองผา้ ป่ าดงั กล่าว
ไปใชโ้ ดยไมส่ ุจริตนาออกเร่ียไรเงินจากชาวบา้ นแลว้ ไม่นาเงินมาทาบุญที่วดั บา้ นขวา้ งตามที่ระบุใน
ซองผา้ ป่ า ยอ่ มเกิดความเส่ือมเสีย หรือเสียชื่อเสียง หรือขาดความเล่ือมใสศรัทธาท่ีมีต่อวดั บา้ นขวา้ ง
และพระครู ป. เจ้าอาวาสวดั บ้านขวา้ ง แม้ผลของการกระทาจะยงั ไม่ปรากฏความเสียหายแต่
พิจารณาพฤติการณ์ประกอบการกระทาของจาเลยที่พิจารณาได้จากความคิดธรรมดาของบุคคล
ทวั่ ไปในลกั ษณะเดียวกบั จาเลยก็น่าจะเกิดความเสียหายได้ ถือไดว้ า่ เป็ นการกระทาโดยประการท่ี
น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ื่น หรือประชาชนตาม ป.อ. มาตรา 264 วรรคแรก แลว้
“เพื่อให้ผ้หู น่งึ ผ้ใู ดหลงเชื่อว่าเป็ นเอกสารท่ีแท้จริง” หมายถึง มิไดเ้ จาะจงผทู้ ่ีถกู กระทาให้
หลงเชื่อไวโ้ ดยเฉพาะวา่ จะตอ้ งเป็นผใู้ ด
บคุ คลที่จะถูกทาใหห้ ลงเช่ือน้ี กฎหมายไมไ่ ดก้ าหนดวา่ จาตอ้ งเกี่ยวโยงเป็นบคุ คล
เดียวกบั บคุ คลท่ีน่าจะเกิดความเสียหาย
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 2384/2534 พ. เจา้ ของใบขบั ขี่ยอมให้จาเลยเปลี่ยนภาพถา่ ยของตนเป็น
ของคนอื่นเอาไปแสดงระหว่างกนั เองเพื่อเล้ียงสุรา พ.จึงไมไ่ ดร้ ับความเสียหายท้งั ไมน่ ่าจะก่อใหเ้ กิด
ความเสียหายจึงไม่เป็ นปลอมเอกสาร
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 5932/2538 โจทกแ์ กไ้ ขจานวนเงินในสญั ญากจู้ าก 25,700 บาทเป็น
20,200 บาท และลงช่ือไวเ้ พอ่ื ใหต้ รงกบั ความจริงจึงไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่จาเลย สญั ญากจู้ ึง
ไม่เป็ นเอกสารปลอม
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1313/2531 สัญญาประนีประนอมยอมความท่ีศาลพิพากษาวา่ เป็น
โมฆะเท่ากบั ไมม่ ีผลมาแต่ตน้ แมจ้ าเลยจะเติมขอ้ ความในช่องวา่ งไวใ้ นสญั ญาผิดไปจากขอ้ ตกลง
ก็ไม่ทาใหโ้ จทกเ์ สียหายโจทกจ์ ึงไมใ่ ช่ผเู้ สียหายจึงไม่มีอานาจฟ้อง
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 123/2507 หนงั สือที่บคุ คลหน่ึงทาข้ึนบุคคลน้นั ชอบท่ีจะแกไ้ ข
เปลี่ยนแปลงไดเ้ สมอก่อนส่งมอบใหผ้ อู้ ่ืนแมจ้ ะตดั ทอนหนงั สือน้นั เสียบางส่วนก็ไม่อาจเกิด
ความเสียหายแก่ผใู้ ดอนั จะผิดฐานปลอมหรือใชเ้ อกสารปลอมได้
คาพิพากษาฎีกาที่ 855-870/2484 จาเลยเป็นขา้ ราชการปลอมลายมือชื่อผรู้ ับเงินแลว้ มา
ขอเบิกแต่เงินตามใบรับเงินจาเลยไดจ้ ่ายใหแ้ ก่ผรู้ ับเงินจริงซ่ึงท้งั รัฐและผรู้ ับเงินไมไ่ ดร้ ับความ
เสียหายเป็นเพยี งผิดระเบียบเท่าน้นั แตถ่ า้ ตามระเบียบตอ้ งมีการลงนามผรู้ ับเงินตวั จริงผใู้ ดจะลงนาม
แทนไมไ่ ดเ้ ช่นน้ี การกระทาของจาเลยจึงจะเรียกวา่ เกิดความเสียหายแก่รัฐอาจเป็นความผดิ ฐาน
ปลอมเอกสารได้
242
คาวา่ “น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ่ืนหรือประชาชน” ตอ้ งบรรยายฟ้องใหเ้ ห็นวา่
การปลอมเอกสารน้นั น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผใู้ ดบา้ งถา้ ไม่บรรยายฟ้องกข็ าดองคป์ ระกอบ
ความผิดเป็นฟ้องไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (5)
คาพิพากษาฎีกาที่ 36/2476 สญั ญากไู้ ม่มีพยานรับรองลายพมิ พน์ ิ้วมือของผกู้ จู้ ึงไมม่ ีผล
ตามกฎหมายใชบ้ งั คบั ไมไ่ ดจ้ าเลยใหบ้ คุ คลอื่นที่ไม่รู้เห็นการกยู้ มื เงินมาลงลายมือชื่อรับรองเป็น
ปลอมเอกสารเพราะน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ื่นหรือประชาชน
หากคนรับรองลายพิมพน์ ิ้วมือไดร้ ู้เห็นการกูแ้ ตไ่ ม่ไดล้ งลายมือช่ือรับรองในขณะท่ีทา
สญั ญากูเ้ พิง่ จะมาลงภายหลงั ตรงน้ีไม่ผิดปลอมเอกสารเพราะเป็นการลงลายมือชื่อตามความจริงแต่
ทาตอนหลงั จึงไมน่ ่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ่ืนหรือประชาชน
คาวา่ “น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ื่นหรือประชาชน” กบั คาวา่ “โจทกไ์ ม่ใช่ผเู้ สียหายจึง
ไม่มีอานาจฟ้อง” เป็นคนละเร่ืองกนั เพราะการกระทาของจาเลยอาจไม่ไดท้ าให้โจทกไ์ ดร้ ับความ
เสียหายโดยตรงแต่ก็อาจทาใหเ้ กิดความเสียหายแก่ผูอ้ ื่นได้
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 204/2504 โสดทาสญั ญาซ้ือขายที่ดินกบั นางมาตรา โดยโจทกใ์ หจ้ าเลย
เกบ็ โฉนดท่ีดินน้นั ไว้ ต่อมาจาเลยทาสญั ญาข้ึนมาโดยมีขอ้ ความวา่ จาเลยทาสญั ญาซ้ือขายกบั นาง
มาตราแลว้ นาที่ดินน้ีไปกูเ้ งินกบั นาง ป.เมื่อโจทกท์ ราบเร่ืองจึงนาเงินไปชาระแก่นาง ป.เพ่ือเอา
โฉนดคืน สญั ญาซ้ือขายท่ีจาเลยทากบั นางมาตราเป็นเอกสารสิทธ์ิปลอมท่ีจาเลยทาข้นึ จาเลยผดิ
มาตรา 265 แตโ่ จทกไ์ ม่ใช่ผเู้ สียหายตามมาตรา 2 (4) เพราะผเู้ สียหายที่แทจ้ ริงคือนาง ป.และ
นาง มาตราโจทกไ์ มไ่ ดถ้ กู ปลอมลายมือชื่อยอ่ มไมไ่ ดร้ ับความเสียหาย โจทกไ์ มม่ ีอานาจฟ้อง
ความผิดฐานจาเลยปลอมเอกสารสิทธ์ ิ
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1059/2505 จาเลยยมื เครื่องเพชรโจทกไ์ ปจานาโดยโจทกจ์ ะไปไถ่ถอน
เองจาเลยทาเอกสารปลอมโดยมีขอ้ ความวา่ ผมู้ ีช่ือ (ผรู้ ับจานา) ใหจ้ าเลยช่วยเกบ็ ดอกเบ้ียใหโ้ จทก์
หลงเชื่อวา่ เป็นเอกสารท่ีแทจ้ ริงแต่โจทกย์ งั มิไดก้ ระทาการตามเอกสารดงั กลา่ วยอ่ มไม่ไดร้ ับความ
เสียหายจึงไม่มีอานาจฟ้อง
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 208/2512 เจา้ มรดกมีบุตรเป็นทายาทนอ้ งของเจา้ มรดกจึงไม่มีสิทธ์ิ
ไดร้ ับมรดกจึงไมใ่ ช่ผเู้ สียหายและไม่มีอานาจฟ้องลงโทษจาเลยฐานปลอมพนิ ยั กรรม
คาพิพากษาฎีกาท่ี 907/2509 โสดกบั น.เป็นสามีภรรยาโดยมิไดจ้ ดทะเบียนสมรสกนั จึง
ไมเ่ ป็นสามีภริยาโดยชอบดว้ ยกฎหมายท้งั สองมีท่ีดิน 1 แปลงจาเลยปลอมลายพิมพน์ ิ้วมือของ น.
ในสัญญากมู้ ีขอ้ ความวา่ น.กูเ้ งินจาเลยแลว้ ไมค่ นื แลว้ นาสัญญากปู้ ลอมน้ีไปฟ้องศาลยดึ ท่ีดินของ
243
น. โจทกฟ์ ้องวา่ จาเลยปลอมลายพิมพน์ ิ้วมือของ น.ในสัญญากไู้ มไ่ ดฟ้ ้องวา่ จาเลยปลอมลายพิมพน์ ิ้ว
มือของโจทกใ์ นสัญญากโู้ จทกจ์ ึงไม่ใช่ผเู้ สียหายตามมาตรา 2 (4) จึงไม่มีอานาจฟ้องจาเลย การที่
โจทกถ์ กู ยดึ ทรัพยเ์ พราะการกระทาของจาเลยโจทก์ชอบท่ีจะไปดาเนินคดีทางแพ่งได้
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 793/2517 โจทกเ์ ป็นผสู้ มคั รรับเลือกต้งั ฟ้องวา่ จาเลยท่ี 1 ขอใบสุทธิ
ปลอมโดยจาเลยที่ 2 ซ่ึงเป็นครูใหญ่ออกใหซ้ ่ึงใบสุทธิปลอมแลว้ จาเลยท่ี 1 นาใบสุทธิปลอมน้ีไป
สมคั รรับเลือกต้งั จนไดร้ ับเลือกในที่สุด การกระทาของจาเลยที่ 1 และ 2 เป็นการกระทาผดิ ตอ่ รัฐ
โดยตรง โจทกไ์ มไ่ ดร้ ับเลือกต้งั ไม่ใช่เป็นผลโดยตรงจากการกระทาของจาเลย โจทกจ์ ึงไมใ่ ช่
ผเู้ สียหายตามกฎหมายที่จะฟ้องคดีได้
ถา้ ผกู้ ระทาผิดทาเอกสารปลอมข้ึนท้งั ฉบบั หรือแต่ส่วนหน่ึงส่วนใดโดยเจตนาและมี
เจตนาพเิ ศษเพื่อใหผ้ หู้ น่ึงผใู้ ดหลงเชื่อวา่ เป็นเอกสารที่แทจ้ ริงก็เป็นความผิดสาเร็จทนั ที แมว้ า่ ยงั
ไมไ่ ดน้ าเอกสารปลอมไปแสดงต่อบคุ คลหน่ึงบุคคลใดก็ตาม
จาเลยเจตนาทาเอกสารปลอมข้ึนเพอ่ื ให้ ค. หลงช่ือวา่ เป็นเอกสารท่ีแทจ้ ริง ทนั ทีที่จาเลย
กระทาเอกสารปลอมเสร็จก็เป็นความผิดสาเร็จ แมจ้ าเลยยงั มิไดน้ าเอกสารดงั กล่าวไปแสดงตอ่ ค.
ก็ตาม
คาพิพากษาฎีกาที่ 317/2521 จาเลยเขียนหมายเลขทะเบียนรถมอเตอร์ไซคข์ องผอู้ ื่น
ติดไวก้ บั รถมอเตอร์ไซคข์ องกลางแมข้ นาดตวั หนงั สือและหมายเลขจะไมเ่ หมือนกบั ป้ายท่ีแทจ้ ริง
แตจ่ าเลยมีเจตนาทาเทียมเพือ่ ใหผ้ อู้ ่ืนหลงเชื่อวา่ เป็นเอกสารท่ีแทจ้ ริงและโดยลกั ษณะที่อาจเกิด
ความเสียหายแก่ผอู้ ื่นหรือประชาชนแลว้ ยอ่ มผดิ ปลอมเอกสารและจาเลยนารถไปขบั ข่จี าเลยจึงผดิ
ใชเ้ อกสารปลอม
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 2995/2537 จาเลยนากระดาษเขียนขอ้ ความใหเ้ หมือนกบั ป้ายทะเบียน
รถของจาเลยซ่ึงอยรู่ ะหวา่ งขอทะเบียนรถจึงมิใช่การปลอมเอกสารเอกสารดงั กลา่ วมิใช่เอกสาร
ปลอมแมจ้ ะนาไปติดกบั รถมอเตอร์ไซคก์ ็ไมผ่ ิดฐานใชเ้ อกสารปลอม
มาตรา 264 วรรคสอง
ผใู้ ดกรอกขอ้ ความลงในแผน่ กระดาษหรือวตั ถุอ่ืนใดซ่ึงมีลายมือช่ือของผอู้ ่ืน
กระดาษหรือวตั ถุอ่ืนใดมีแต่ลายมือช่ือของผอู้ ่ืนลงไวไ้ มม่ ีขอ้ ความอ่ืนใดจึงไมม่ ี
ความหมายใด ๆ
จึงไมใ่ ช่เอกสารตามมาตรา 264 วรรคแรก
มาตรา 264 วรรคแรกตอ้ งมีความหมายตอ้ งเป็นหลกั ฐานแห่งความหมายเพยี งแตไ่ ม่ใช่
เอกสารท่ีแทจ้ ริง
244
ข้อสังเกตมาตรา 264 วรรคสอง
1. กระดาษหรือวตั ถุอ่ืนใดจะตอ้ งมีลายมือชื่อผอู้ ่ืนลงไวแ้ ลว้
หากเราไปกรอกขอ้ ความลงไปและเราลงในชื่อผูอ้ ื่นดว้ ยตรงน้ีเป็นมาตรา 264
วรรคแรกไม่ใช่วรรคสอง
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 2316/2529 จาเลยทาคาสัง่ แตง่ ต้งั ขา้ ราชการโดยไปตดั ลายมือชื่อ
ผวู้ า่ ราชการมาแปะไวท้ า้ ยคาสง่ั และจาเลยโรเนียวคาส่งั น้ีออกมาเพื่อแสดงใหบ้ คุ คลอื่นหลงเชื่อวา่
คาสัง่ ท่ีจาเลยทาข้นึ น้นั เป็นคาสง่ั ท่ีแทจ้ ริงถือไดว้ า่ เป็นการทาเอกสารปลอมข้ึนท้งั ฉบบั
2. กระดาษหรือวตั ถุอ่ืนใดตามวรรคสองน้นั ตอ้ งมีลายมือชื่อผอู้ ่ืนลงไวเ้ ทา่ น้นั
3. การกรอกขอ้ ความท่ีจะเป็นความผิดตามวรรคสองจะตอ้ งเป็นการกระทาเพื่อใหผ้ อู้ ่ืน
เขา้ ใจวา่ เป็นขอ้ ความของเจา้ ของลายมือช่ือเทา่ น้นั
4. อาจเกิดความเสียหายแก่ผูห้ น่ึงผใู้ ดหรือประชาชนมีความหมายแตกตา่ งจากใน
ประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผหู้ น่ึงผใู้ ดหรือประชาชนตามวรรคแรก
อาจเกิดความเสียหายแก่ผหู้ น่ึงผใู้ ดหรือประชาชนเป็นถอ้ ยคาประกอบคาวา่ ไดก้ ระทาเพ่ือ
นาเอกสารน้นั ไปใชใ้ นกิจการที่อาจเกิดความเสียหายแก่ผหู้ น่ึงผใู้ ดหรือประชาชนเป็นเรื่องเจตนา
พเิ ศษของผกู้ ระทาเป็นมูลเหตุจูงใจถือตามความรู้สึกนึกคิดของผกู้ ระทา
คาพิพากษาฎีกาท่ี 203/2505 จาเลยกรอกขอ้ ความวา่ โจทกใ์ หจ้ าเลยเช่าหอ้ งโดยโจทกก์ ็
ไมไ่ ดร้ ู้เห็นยนิ ยอมโจทกล์ งช่ือไวแ้ ลว้ โจทกผ์ ิดฐานปลอมเอกสาร
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 176/2537 โจทกก์ ูเ้ งินจากจาเลยที่ 1 โดยทาหนงั สือมอบอานาจโดย
ไม่ไดก้ รอกขอ้ ความเพื่อใหจ้ าเลยท่ี 1 ไปจดทะเบียนจานองที่ดินของโจทกแ์ ต่จาเลยที่ 1 กลบั กรอก
ขอ้ ความวา่ โจทกม์ อบอานาจใหจ้ าเลยท่ี 1 ไปจดทะเบียนขายที่ดินใหจ้ าเลยที่ 1 โดยไม่ไดร้ ับความ
ยนิ ยอมและจาเลยท่ี 1 นาไปจดทะเบียนต่อเจา้ พนกั งานท่ีดิน จาเลยท่ี 1 ผดิ ฐานปลอมเอกสารมาตรา
264 วรรคสองและใชเ้ อกสารปลอม
จาเลยที่ 2 เป็นภรรยาจาเลยที่ 1 ลงช่ือเป็นพยานในสญั ญากูเ้ งินและหนงั สือมอบหนา้ ที่
จาเลยที่ 1 กรอกขอ้ ความเองพฤติการณ์ถือไดว้ า่ จะจาเลยที่ 2 เป็นตวั การร่วมกบั จาเลยที่ 1 ปลอม
หนงั สือมอบอานาจแมจ้ าเลยท่ี 2 จะมิไดไ้ ปดว้ ยในวนั ทาหนงั สือมอบอานาจจดทะเบียนโอนท่ีดิน
แต่จาเลยท่ี 2 ร่วมกระทาผดิ กบั จาเลยท่ี 1 ต้งั แต่ตน้ และเป็นสามีภรรยากนั ยอ่ มมีส่วนไดเ้ สียในที่ดิน
ที่รับโอนถือไดว้ า่ จาเลยที่ 2 เป็นตวั การร่วมในการใชเ้ อกสารปลอม
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 2481/2528 การท่ีจาเลยกรอกขอ้ ความในตราสารหุน้ ซ่ึงโจทกล์ ง
ลายมือช่ือไวแ้ ลว้ โดยไม่ไดร้ ับคาสัง่ หรือคานิยามกบั โจทกแ์ ละโอนหุน้ โจทกท์ ี่มิไดส้ ั่งหายไปเป็น
ของบคุ คลอื่นเป็นการทาเพือ่ ประโยชนข์ องโจทกแ์ ละโจทกม์ ิไดเ้ สียหายท้งั ไมป่ รากฏวา่ อาจเกิด
245
ความเสียหายแก่ผหู้ น่ึงผใู้ ดหรือประชาชนการกระทาของจาเลยยอ่ มไม่ผิดปลอมเอกสารสิทธ์ิหรือ
ใชเ้ อกสารปลอม โจทกส์ ่ังใหจ้ าเลยซ้ือหุน้ 2000 หุ้นต่อมาจาเลยขายหุน้ ไป 1000 หุน้ ตามคาสงั่
โจทก์ ต่อมาโจทกก์ ็ไดร้ ับผู้ 1000 หุน้ จากจาเลยแลว้ จาเลยจึงไม่มีเจตนาทจุ ริต แมจ้ ะโอนหุน้
โดยพลการก็ไม่ผิดฐานยกั ยอก
คาพิพากษาฎีกาท่ี 6898/2539 จาเลยท่ี 2 และผเู้ สียหายทราบวา่ ย.ตายแต่จาเลยที่ 2 นา
น. มอบอานาจท่ีมิไดก้ รอกขอ้ ความคงมีแตล่ ายพมิ พน์ ิ้วมือของ ย.มาให้ ส. กรอกขอ้ ความวา่ ย.
มอบน้นั ใหจ้ าเลยท่ี 1 ขายที่ดินแทนจาเลยท่ี 2 ทาโดยพลการเพอื่ ใหจ้ าเลยท่ี 1 นาหนงั สือมอบอานาจ
ไปทาสัญญาซ้ือขายท่ีดินกบั ผเู้ สียหายแมจ้ ะตรงกบั ความประสงคข์ อง ย. ผูต้ ายแต่จาเลยที่ 2 กลบั ทา
ใหก้ ารมอบอานาจซ่ึงยงั ไม่เกิดข้ึนโดยสมบูรณ์ให้ดูเหมือนเกิดข้ึนโดยการกรอกขอ้ ความ เพราะ ย.
ตายไปแลว้ ย่อมไมอ่ าจมอบอานาจใหไ้ ดแ้ มผ้ เู้ สียหายจะยงั ไม่เสียหายใจแต่อาจเกิดความเสียหายแก่
ผูห้ น่ึงผูใ้ ด (เจา้ พนักงานและทายาทของ ย.) หนือประชาชนดงั น้ันจาเลยที่ 2 ผิดมาตรา 264 วรรค
สองซ่ึงจาเลยท่ี 1 ไม่ทราบว่าหนงั สือมอบอานาจที่จาเลยท่ี 2 มอบให้เป็ นเอกสารปลอมทาให้ขาด
เจตนา จาเลยท่ี 2 ไมไ่ ดก้ รอกขอ้ ความแตน่ าไปให้ ส. กรอกใหจ้ าเลยท่ี 2 เป็นตวั การร่วมกบั ส.
ปลอมเอกสาร
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1313/2531 สัญญาประนีประนอมซ่ึงศาลพพิ ากษาวา่ เป็นโมฆะเท่ากบั
สัญญา ไมม่ ีผลมาต้งั แตต่ น้ แมจ้ าเลยท้งั สองจะร่วมกนั เติมขอ้ ความลงในช่องวา่ งท่ีเวน้ ไวใ้ นสญั ญา
ผดิ ไปจากขอ้ ตกลงและเบิกความตอ่ ศาลกไ็ ม่ทาใหโ้ จทกไ์ ดร้ ับความเสียหายโจทกจ์ ึงไม่ใช่ผเู้ สียหาย
ไมม่ ีอานาจฟ้องจาเลยฐานปลอมเอกสารและเบิกความเทจ็ การท่ีจาเลยเบิกความเทจ็ ต่อศาลวา่ เจา้
มรดกกเู้ งินผอู้ ่ืนและจาเลยเป็นผชู้ าระเงินกแู้ ทนเจา้ มรดกน้นั หาใช่เป็นสาระสาคญั ในการฟ้องขอ
แบง่ มรดกแต่ประการใดไม่
การปลอมเอกสารมีผลในทางแพง่ ดว้ ย
คาพิพากษาฎีกาที่ 286/2507 จาเลยกูเ้ งินโจทก์ 2000 บาท จาเลยลงชื่อโดยไมก่ รอก
ขอ้ ความต่อมาโจทกก์ รอกตวั เลข 8500 บาท สัญญากเู้ ป็นเอกสารปลอมผใู้ ดจะกล่าวอา้ งแสวงสิทธิ
จากเอกสารน้ีไมไ่ ด้ โจทกอ์ า้ งสญั ญากปู้ ลอมเป็นพยานไม่ไดเ้ ท่ากบั ไม่มีหลกั ฐานการกเู้ ทา่ กบั
ฟ้องร้องไมไ่ ด้
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 407/2542 จาเลยทาสญั ญากโู้ จทก์ 30,000 บาท ต่อมาโจทกแ์ กต้ วั เลข
เป็น 60,000 บาท โดยไมเ่ ป็นความจริงเม่ือโจทกแ์ กไ้ ขสัญญากโู้ ดยจาเลยมิไดย้ นิ ยอมสัญญากเู้ ป็น
เอกสารปลอม โจทกย์ อ่ มไม่อาจแสวงหาสิทธิจากสญั ญาปลอมไดเ้ ทา่ กบั การกยู้ มื ไม่มีหลกั ฐาน
การกูเ้ ป็นหนงั สือจึงตอ้ งหา้ มมิใหฟ้ ้องศาลตอ้ งยกฟ้องโจทก์ (การมาศาลจะตอ้ งมาดว้ ยมือที่สะอาด)
246
การปลอมเอกสารต้องมีเจตนาพเิ ศษเพ่ือให้ผ้อู ่ืนลงช่ือว่าเป็ นเอกสารทีแ่ ท้จริง
ถา้ หากเราทาเอกสารไวเ้ ป็นหลกั ฐานของเราเองลงลายมือช่ือของเราเองไม่ไดป้ ลอม
ลายมือช่ือใครไม่ไดท้ าเพื่อใหเ้ ห็นวา่ เป็นเอกสารที่ผอู้ ื่นทาข้ึน แมข้ อ้ ความจะไม่เป็นความจริงก็เป็น
เพยี งเอกสารเท็จเท่าน้นั ไมผ่ ดิ ฐานปลอมเอกสาร
ตวั อยา่ งแดงทาหนงั สือมอบอานาจเป็นภาษาองั กฤษใหด้ าไปดาเนินการเช่าท่ีดินของแดงแตด่ าหาผู้
เช่าไมไ่ ดจ้ ึงขายท่ีดินให้เขยี วโดยแปลหนงั สือมอบอานาจเป็นภาษาไทยแลว้ เพม่ิ เติมขอ้ ความวา่ ให้
เช่าหรือขายแลว้ ทาหนงั สือมอบอานาจท้งั ภาษาองั กฤษและภาษาไทยไปใหเ้ จา้ พนกั งานที่ดินจด
ทะเบียนซ้ือขายเมื่อเจา้ พนกั งานท่ีดินถามดาดากใ็ หถ้ อ้ ยคาวา่ แดงใหเ้ ช่าหรือขายไดเ้ จา้ พนกั งานท่ีดิน
จดถอ้ ยคาไวแ้ ลว้ จดทะเบียนซ้ือขายใหแ้ ลว้ ดานาเงินท่ีไดจ้ ากการขายไปมอบใหแ้ ก่แดง
คาตอบ คือ ดาแปลหนงั สือมอบอานาจเป็นภาษาไทยดว้ ยตนเองแลว้ แกไ้ ขขอ้ ความ
แต่เอกสารน้ีดาทาข้ึนเองไมม่ ีใครเขา้ ใจวา่ เป็นเอกสารท่ีแดงทาจึงไมใ่ ช่เอกสารปลอม ดาไมไ่ ดเ้ ติม
ดดั แปลงในหนงั สือมอบอานาจภาษาองั กฤษของแดงซ่ึงเป็นเอกสารท่ีแทจ้ ริงดาจึงไมผ่ ิดปลอม
เอกสารมาตรา 264 แต่การท่ีดาใหถ้ อ้ ยคากบั เจา้ พนกั งานดว้ ยขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ เพ่อื ใชเ้ ป็น
พยานหลกั ฐานวา่ แดงมอบอานาจใหข้ ายที่ดินได้ การกระทาของดาน่าจะเกิดความเสียหายแก่แดง
ดาผดิ ฐานแจง้ ใหเ้ จา้ พนกั งานจดขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ ตามมาตรา 267 ประกอบแจง้ ความเทจ็ มาตรา
137
ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ
มาตรา 265 ปลอมเอกสารสิทธหิ รือเอกสารราชการ
มาตรา 1 (9) เอกสารสิทธิ คือ เอกสารที่เป็นหลกั ฐานแห่ง การก่อ เปล่ียนแปลง โอน สงวน
หรือระงบั ซ่ึงสิทธ์ิ
เอกสารสิทธ์ิ ไดแ้ ก่ สัญญาซ้ือขาย ใบบนั ทึกรายการ ขายสินคา้ ใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบา้ นใบ
ถอนเงินจากธนาคาร (แผน่ ป้ายทะเบียนรถ และแผน่ ป้ายวงกลมเป็นเอกสารราชการ)
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1120/2539 หนงั สือมอบอานาจเป็นเอกสารธรรมดาซ่ึงบุคคลหน่ึงมอบ
อานาจใหบ้ ุคคลหน่ึงมีอานาจจดั ทานิติกรรมแทนตนเทา่ น้นั ไม่เป็นเอกสารอนั เป็นหลกั ฐานแห่งการ
ก่อต้งั สิทธิจึงไม่ใช่เอกสารสิทธ์ิตามกฎหมาย
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 2262/ 2537 เมื่อจาเลยผิดฐานปลอมเอกสารสิทธ์ิมาตรา 265 ก็ไม่จาตอ้ ง
ปรับมาตรา 264 ซ่ึงเป็นบททวั่ ไปในคาพพิ ากษาอีก
247
คาพิพากษาฎีกาที่ 4492/2536 แผน่ ป้ายทะเบียนรถและป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษเี ป็น
เอกสารราชการไม่ใช่เอกสารสิทธ์ิอนั เป็นเอกสารราชการ
คาพิพากษาฎีกาที่ 2209/2536 เอกสารใบแจง้ ยา้ ยเป็นแบบฟอร์มราชการที่นายทะเบียนออก
ใหเ้ ป็นเอกสารซ่ึงเจา้ พนกั งานไดท้ าข้นึ จึงเป็นเอกสารราชการ
กรณีท่ีไมใ่ ช่เอกสารสิทธ์ิ ไดแ้ ก่ ใบอนุญาตขบั ขี่รถยนต,์ หนงั สือคู่มือจดทะเบียนรถยนต์
เป็นเพยี งเอกสารควบคุมการใชร้ ถและการจดั เก็บภาษี ตามพ.ร.บ.รถยนต,์ หมายเลขเคร่ืองยนตแ์ ละ
หมายเลขตวั ถงั , แบบคาขอและรับโอนทะเบียนรถยนตข์ องกรมการขนส่ง, เลขหมายประจาปื น,
หนงั สือมอบอานาจไม่เป็นเอกสารสิทธ์ิ, ใบทะเบียนสมรส, แบบคาขอใชบ้ ริการบตั รเอทีเอม็ , ใบ
รายการร้านคา้ ที่ร้านคา้ ออกใหแ้ ก่ลูกคา้ เพอื่ เป็นหลกั ฐานแสดงวา่ ไดม้ ีการซ้ือสินคา้ และลกู คา้ ได้
ชาระราคาแลว้ (วีระวฒั น์ ปวราจารย,์ 2560, เลม่ ที่ 12,หนา้ 273)
มาตรา 1 (8) เอกสารราชการคือเอกสารซ่ึงเจา้ พนกั งานไดท้ าข้ึนหรือรับรองในหนา้ ที่และ
หมายความรวมถึงสาเนาเอกสารน้นั ที่เจา้ พนกั งานไดร้ ับรองในหนา้ ท่ีดว้ ย
เอกสารราชการ หมายถึง เฉพาะราชการไทยเทา่ น้นั ไมไ่ ดห้ มายความรวมถึงราชการ
ต่างประเทศดว้ ย
คาพิพากษาฎีกาท่ี 2328/2541 จาเลยประทบั ตราปลอมของด่านตรวจคนเขา้ เมืองหาดใหญ่
เป็นการปลอมเอกสารราชการของเจา้ พนกั งานตรวจคนเขา้ เมืองมาตรา 265 แลว้
เอกสารราชการตอ้ งเป็นเอกสารท่ีเจา้ พนกั งานไดท้ าข้นึ หรือรับรองในหนา้ ที่ เช่น หนงั สือ
เดินทาง, ใบรับคาขอมีบตั ร บตั รใหมห่ รือเปล่ียนบตั รประชาชน บตั รประจาตวั ประชาชน บตั ร
ประจาตวั ขา้ ราชการ ใบอนุญาตขบั ขีร่ ถยนต์ ป้ายทะเบียนรถยนต์ แผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษี
รถยนต์ หนงั สือคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ บนั ทึกการจบั กมุ รายงานประจาวนั รับแจง้ เอกสารหาย
ท้งั น้ี ยงั รวมถึงกรณีการเอาเอกสารราชการท่ีแทจ้ ริงไปทาสาเนาก่อน แลว้ ไปทาปลอมข้นึ ดว้ ย (วี
ระวฒั น์ ปวราจารย,์ 2560, เล่มท่ี 12,หนา้ 274-278)
ความผิดฐานปลอมเอกสารบางชนิด
มาตรา 266 ปลอมเอกสาร
1. เอกสารสิทธ์ิอนั เป็นเอกสารราชการ
2. พินยั กรรม
3. ใบหุน้ ใบหุน้ กู้ ใบสาคญั ของใบหุน้ หรือใบหุน้ กู้
4. ตว๋ั เงิน
5. บตั รเงินฝาก
248
ตามมาตรา 266 เช่นเดียวกบั มาตรา 265 คือ ตอ้ งพจิ ารณาหลกั ในมาตรา 264 เร่ืองปลอม
เอกสารเสียก่อน
เอกสารสิทธ์ิอนั เป็นเอกสารราชการ ไดแ้ ก่ โฉนดท่ีดินที่เป็นท้งั เอกสารสิทธิและเอกสาร
ราชการ หนงั สือรับรองการทาประโยชน์ (นส.3ก)
พินยั กรรม เป็นไปตาม ป.พ.พ. หากพินยั กรรมไม่ทาตามแบบ เช่นน้ี ไมผ่ ิดมาตรา 266 แต่
ผิดปลอมเอกสารธรรมดา
ใบหุน้ ใบหุน้ กู้ ใบสาคญั ของใบหุน้ หรือใบหุน้ กู้
ตวั๋ เงิน เช่น ตว๋ั แลกเงินธนาคาร เช็ค
บตั รเงินฝาก คือ ตราสารที่ธนาคารออกใหเ้ ป็นประเภทฝากประจา (ยงั ไมม่ ีแนวฎีกา)
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 492/2536 แกไ้ ขวนั เดือนปี แลว้ ปลอมลายเซ็นในเชค็ ผดิ มาตรา 266
(4)
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 2397/2558 โฉนดท่ีดินเป็นเอกสารสิทธ์ิอนั เป็นเอกสารราชการมาตรา
266 (1)
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1385/2522 จาเลยท่ี 1 เป็นเสมียนพนกั งานท่ีดินอาเภอมีหนา้ ที่เกบ็
รักษาแบบพิมพต์ ่างๆไม่มีหนา้ ท่ีทาเอกสารหรือดูแลรักษาเอกสารการท่ีจาเลยท่ี 1 ปลอมนส. 3
และสัญญาขายฝากจึงมิใช่กระทาดว้ ยโดยอาศยั ท่ีตนมีตาแหน่งหนา้ ที่จึงไม่ผิดมาตรา 161 จาเลย
ทานส. 3 และสัญญาขายฝากปลอมแลว้ นาไปใชฉ้ อ้ โกงผเู้ สียหายจาเลยผิดมาตรา 266 มาตรา 268
มาตรา 341 กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทใหล้ งโทษบทหนกั มาตรา 268 และมาตรา 266
ความผิดฐานแจ้ งให้ จดข้อความเทจ็
มาตรา 267 แจง้ ใหเ้ จา้ พนกั งานจดขอ้ ความเท็จ
เป็นความผดิ ต่อเจา้ พนกั งานแตล่ ะไปบญั ญตั ิไวใ้ นหมวดความผดิ เกี่ยวกบั เอกสาร
1. แจ้งให้เจ้าพนกั งานผู้กระทาการตามหน้าท่ี
- เจา้ พนกั งานหมายถึงเจา้ พนกั งานทวั่ ไป ไมจ่ าเป็นตอ้ งเป็นเจา้ พนกั งานสอบสวนหรือ
เจา้ พนกั งานผมู้ ีอานาจสืบสวนสอบสวนคดีอาญา
- มาตรา 267 เป็นความผิดที่กระทาตอ่ เจา้ พนกั งานกฎหมายเอาผิดกบั ผแู้ จง้
- มาตรา 267 เจา้ พนกั งานจะใชใ้ หใ้ ครจดกไ็ มส่ าคญั ขอใหเ้ จา้ พนกั งานลงนามเป็ นผรู้ ับ
แจง้ เพราะบางทีจะใหเ้ สมียนทาเอกสารแลว้ เจา้ นายลงนาม อยา่ งน้ีกถ็ ือวา่ เป็นการแจง้ ใหเ้ จา้
พนกั งานจดขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ แลว้ (วีระวฒั น์ ปวราจารย,์ 2559 หนา้ 273-288)
- ตารวจกเ็ ป็นเจา้ พนกั งานมีหนา้ ที่รับแจง้ ความต่างๆเช่นรับแจง้ ความเอกสาร
249
สาคญั หาย
-ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั ก็เป็นเจา้ พนกั งานในการรับสมคั รรับเลือกต้งั เป็นส.ส.
- เจา้ พนกั งานกก็ ระทาผิดตามมาตรา 267 ได้
- เจา้ พนกั งานผรู้ ับจา้ งตอ้ งกระทาการตามหนา้ ท่ี ถา้ เจา้ พนกั งานไม่มีหนา้ ท่ีในการรับแจง้
เลย ผแู้ จง้ กไ็ ม่มีความผิด
2. จดข้อความอนั เป็ นเทจ็
- เจา้ พนกั งานไม่จาเป็นตอ้ งจดขอ้ ความดว้ ยตนเอง
คาพิพากษาฎีกาที่ 2918/2553 นาย ห. เป็นนายทะเบียนมีหนา้ ท่ีรับแจง้ การยา้ ยแลว้ ได้
ลงชื่อเป็นผรู้ ับแจง้ ขอ้ ความซ่ึงเป็นขอ้ ความเทจ็ ตามท่ีจาเลยมาแจง้ แลว้ การกระทาของจาเลยผิด
มาตรา 267 การท่ี ห. จะใชใ้ หบ้ ุคคลใดเป็นผเู้ ขยี นหรือจดขอ้ ความแทนหาใช่เป็นสาระสาคญั อนั จะ
ทาใหก้ ารกระทาของจาเลยขาดองคป์ ระกอบไมเ่ ป็นความผดิ ตามมาตรา 267 แต่อยา่ งใดไม่
- การเบิกความต่อศาลไมถ่ ือเป็นการแจง้ ให้จดขอ้ ความเพราะการเบิกความน้นั เป็น
ดุลพินิจของศาลท่ีจะจดหรือไมก่ ไ็ ด้ ไม่ใช่เรื่องของพยานท่ีจะแจง้ ใหศ้ าลจดขอ้ ความอนั เป็นเทจ็
ซ่ึงเป็นความผิด มาตรา 267 ไม่
- แมแ้ จง้ ตอ่ บุคคลที่ไมไ่ ดเ้ ป็นเจา้ พนกั งานในหนา้ ท่ีน้นั โดยตรงแตเ่ ป็นผปู้ ฏิบตั ิหนา้ ท่ี
ราชการตามท่ีไดร้ ับมอบหมายก็เป็นความผิดได้
คาพิพากษาฎีกาท่ี 310/ 2530 อ. เป็นปลดั อาเภอ นายอาเภอ (ผบู้ งั คบั บญั ชา) มีคาส่ัง
แตง่ ต้งั ใหท้ าการแทนไดจ้ ึงเป็นการปฏิบตั ิหนา้ ที่ราชการตามที่ไดร้ ับมอบหมายจากผบู้ งั คบั บญั ชา
ถือไดว้ า่ อ. มีฐานะเป็นเจา้ พนกั งานผกู้ ระทาการตามหนา้ ที่ การท่ีจาเลยแจง้ ขอ้ ความอนั เป็นเทจ็
แก่ อ. และ อ. จดขอ้ ความตามที่แจง้ ลงในเอกสารราชการซ่ึงมีวตั ถปุ ระสงคส์ าหรับใชเ้ ป็น
พยานหลกั ฐาน จาเลยจึงผิดมาตรา 137 และมาตรา 267 แลว้
- ความเทจ็ น้ีตอ้ งเป็นขอ้ เทจ็ จริงในอดีตหรือปัจจุบนั ไม่ใช่เรื่องในอนาคต ถา้ เป็นเรื่อง
อนาคตก็ไมใ่ ช่ความเทจ็ เพราะการท่ีรับวา่ จะทาส่ิงใดในอนาคต แลว้ ไม่ทาเป็นแต่เพยี งผดิ คาพดู
ไมใ่ ช่เรื่องเทจ็
- ขอ้ ความที่แจง้ ตอ้ งเป็นขอ้ เทจ็ จริงไมใ่ ช่ความเห็นทางกฎหมาย
3. ให้จดข้อความอนั เป็ นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ
- เอกสารมหาชน ไม่มีคานิยามในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 แต่อาจารยห์ ยดุ
แสงอทุ ยั ไดอ้ ธิบายวา่ เอกสารมหาชนหมายถึงเอกสารท่ีเป็นหลกั ฐานแก่ประชาชนซ่ึงเจา้ พนกั งาน
หรือบุคคลอื่นใดท่ีไม่ใช่เจา้ พนกั งานทาข้ึนกไ็ ด้ (ชาตรี สุวรรณิน, 2560 เล่ม 15,หนา้ 26)
250
- เอกสารมหาชนไมจ่ าเป็นตอ้ งเจา้ พนกั งานผทู้ าไม่วา่ เจา้ พนกั งานหรือเอกชนเป็นผทู้ า
กเ็ ป็นเอกสารมหาชนได้
คาพิพากษาฎีกาที่ 1430/2537 บญั ชีผถู้ ือหุน้ สาเนารายงานการประชุมเป็นสาเนาเอกสาร
ท่ีพนกั งานเจา้ หนา้ ที่รับรองความถกู ตอ้ งถือเป็นเอกสารมหาชน การท่ีจาเลยส่ังใหอ้ าจารยท์ ารายงาน
การประชุมซ่ึงไม่มีการประชุมกนั จริงจึงเป็นการทาเอกสารเทจ็ และการไปยนื่ ขอจดทะเบียนแกไ้ ข
เพิม่ เติมกรรมการบริษทั ต่อนายทะเบียนโดยยน่ื รายงานอนั เป็นเทจ็ จาเลยผดิ มาตรา 267
- เอกสารราชการมาตรา 1 (8) หมายถึง เอกสารซ่ึงเจา้ พนกั งานไดท้ าข้นึ หรือรับรองใน
หนา้ ท่ีและใหห้ มายความรวมถึงสาเนา
- แจง้ ขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ โดยกรอกขอ้ ความในแบบคาขอมีบตั รประชาชน และเสนอ
ตอ่ เจา้ หนา้ ที่ผทู้ าบตั รประชาชนอนั เป็นเอกสารราชการ จาเลยผิดมาตรา 137 และ มาตรา 267
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 2048/2557 โจทกบ์ รรยายฟ้องวา่ จาเลยแจง้ ขอ้ ความอนั เป็นเท็จแก่เจา้
พนกั งานผทู้ าบตั รประชาชนอนั เป็นความผิดมาตรา 267 แตค่ าขอทา้ ยฟ้องกลบั ลงโทษมาตรา 269
เห็นไดว้ า่ โจทก์อา้ งมาตราผดิ เม่ือจาเลยรับสารภาพตามฟ้องขอ้ เทจ็ จริงจึงรับฟังไดต้ ามฟ้องกรณีเป็น
เหตลุ กั ษณะคดี ศาลยอ่ มมีอานาจลงโทษจาเลยตามฐานความผดิ ท่ีถกู ตอ้ งได้
4. เอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการน้ันต้องมีวัตถปุ ระสงค์สาหรับใช้เป็ น
พยานหลกั ฐาน
- การท่ีโจทกห์ รือจาเลยในคดีแพ่งแถลงใหศ้ าลจดขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ ลงในสานวน
คดีแพ่งโดยมิไดม้ ีวตั ถปุ ระสงคจ์ ะใชข้ อ้ ความน้นั เป็นพยานหลกั ฐาน หาเป็นความผิดฐานแจง้ ใหเ้ จา้
พนกั งานจดขอ้ ความอนั เป็นเทจ็
ตวั อย่างท่ีวินจิ ฉัยว่าไม่ใช่เอกสารราชการ
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1050/2537 คาขอรางวดั เปล่ียนนส. 3 เป็นนส. 3 ก ลงชื่อจาเลยเป็นผขู้ อ
เอกสารดงั กล่าวจึงเป็นเอกสารท่ีจาเลยยนื่ ต่อเจา้ พนกั งานไม่ใช่เอกสารราชการซ่ึงมีวตั ถุประสงค์
สาหรับใชเ้ ป็นพยานหลกั ฐานที่จาเลยแจง้ ใหเ้ จา้ พนกั งานผกู้ ระทาการตามหนา้ ที่จดขอ้ ความลงใน
เอกสารน้นั การกระทาของจาเลยจึงไม่เป็นความผดิ มาตรา 267
5. โดยประการที่น่าจะเกดิ ความเสียหายแก่ผ้อู ่ืนหรือประชาชน
- ถา้ ไม่อาจเกิดความเสียหายไดเ้ ลยก็ถือวา่ ขาดองคป์ ระกอบความผดิ
คาพิพากษาฎีกาที่ 7957/2542 จาเลยแจง้ แก่พนกั งานสอบสวนวา่ โฉนดที่ดินของมาตรา
ซ่ึงอยใู่ นความครอบครองของจาเลยหายไปขอใหท้ าบนั ทึกประจาวนั เพื่อออกใบแทนใหแ้ ก่จาเลย
แมข้ อ้ ความท่ีจาเลยแจง้ เป็นความเทจ็ เพราะความจริงโฉนดอยกู่ บั โจทก์ สิทธิของโจทก์ในฐานะ
251
ทายาทของมาตรากย็ งั มีอยไู่ ม่เปล่ียนแปลงเพราะขอ้ ความในโฉนดยงั มีอยเู่ หมือนเดิม โจทกจ์ ึงไมใ่ ช่
ผเู้ สียหายจึงไม่มีอานาจฟ้อง
6. เจตนา
ผกู้ ระทาตอ้ งรู้วา่ ขอ้ ความที่ตนเองแจง้ น้นั เป็นเทจ็ จึงจะผดิ มาตรา 267
มาตรา 267 แจง้ ใหเ้ จา้ พนกั งานผกู้ ระทาการตามหนา้ ที่จดขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ ลงใน
เอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการซ่ึงมีวตั ถปุ ระสงคส์ าหรับใชเ้ ป็นพยานหลกั ฐานโดยประการ
ท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ่ืนหรือประชาชน
คาวา่ เจา้ พนกั งานหมายถึงผปู้ ฏิบตั ิหนา้ ที่ราชการโดยไดร้ ับแตง่ ต้งั ตามกฎหมายซ่ึงตอ้ งมี
หนา้ ท่ีในการรับแจง้ ขอ้ ความดว้ ยเช่นเจา้ พนกั งานที่ดิน พนกั งานสอบสวน ผใู้ หญบ่ า้ นแต่ศาลไมใ่ ช่
เจา้ พนกั งานท่ีจดขอ้ ความแปลความหมายของมาตรา 267
คาพิพากษาฎีกาท่ี 2839/2541 จ. มีตาแหน่งเป็นพฒั นาการอาเภอเป็นเพยี งขา้ ราชการมิได้
เป็นเจา้ พนกั งานผมู้ ีอานาจ และหนา้ ท่ีรับผดิ ชอบเก่ียวกบั งานบตั รประชาชน และมิไดส้ ังกดั กรมการ
ปกครอง จ. จึงไมใ่ ช่เจา้ พนกั งานตามกฎหมายการท่ีจาเลยพาเพอื่ นของจาเลยมาให้ จ. ทาบตั ร
ประชาชนจึงไมถ่ ือวา่ จาเลยแจง้ ความเทจ็ ต่อเจา้ พนกั งาน
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1051/2505 ผใู้ หญบ่ า้ นมีหนา้ ที่จดบญั ชีสัตวพ์ าหนะไดท้ าบญั ชีเทจ็
ตามคาขอของลูกบา้ นเพอ่ื เป็นหลกั ฐานใชอ้ า้ งตอ่ ตารวจถือไดว้ า่ ทุจริตตอ่ หนา้ ที่ผใู้ หญ่บา้ นผิด
มาตรา 157 และ 162 (1) ลูกบา้ นผิดฐานแจง้ ให้เจา้ พนกั งานจดขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ ตามมาตรา 267
แต่ไมผ่ ดิ ฐานสนบั สนุนโดยความผิดฐานเป็นเจา้ พนกั งานทจุ ริตต่อหนา้ ที่อนั เป็นความผิดเฉพาะ
ของเจา้ หนา้ ที่และการแจง้ เท็จหาใช่เป็นการช่วยเหลือหรือใหค้ วามสะดวกในการทุจริตตอ่ หนา้ ที่ข้นึ
อีกข้นั หน่ึงไม่
คาพิพากษาฎีกาท่ี 8018/2544 จาเลยแจง้ ขอ้ ความอนั เป็นเท็จแก่พนกั งานสอบสวนวา่
โฉนดท่ีดินหายความจริงไมไ่ ดส้ ูญหายเพือ่ นาไปแสดงต่อเจา้ พนกั งานท่ีดินกบั แจง้ เจา้ พนกั งานที่ดิน
วา่ โฉนดหายเพื่อขอรับใบแทน การกระทาของจาเลยแมก้ ระทาคนละวนั เจา้ พนกั งานคนละ
หน่วยงานแต่เป็นเจตนาเดียวคือเพื่อขอโฉนดท่ีดินใหม่ การกระทาของจาเลยเป็นกรรมเดียวแตผ่ ดิ
กฎหมายหลายบท
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1274/2513 การยนื่ ฟ้องคดีแพ่งหรือจาเลยยน่ื คาใหก้ ารต่อสูค้ ดีเป็นการ
ใชส้ ิทธิทางศาลไมใ่ ช่ในการแจง้ ความเทจ็ ต่อเจา้ พนกั งานตามมาตรา 137ส่วนการที่จาเลยแถลงต่อ
ศาลและศาลจดบนั ทึกในสานวนเบิกความพยานเป็นเรื่องดุลพินิจจดขอ้ ความในฐานะศาลเป็น
เจา้ พนกั งานในการยตุ ิธรรมไมใ่ ช่เจา้ พนกั งานที่มีหนา้ ท่ีในการรับจดขอ้ ความตามมาตรา 267
252
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 530/2515 คาร้องคดั คา้ นที่ยนื่ ตอ่ ศาลเพื่อต้งั ประเด็นหากคาร้องน้นั
เป็นเทจ็ กไ็ มผ่ ิดมาตรา 137 เพราะเป็นการแสดงขอ้ ความในกระบวนพจิ ารณาในศาลเพื่อประโยชน์
แก่คดีของจาเลยแมข้ อ้ ความจะเป็นหมิ่นประมาทกเ็ ขา้ ขอ้ ยกเวน้ มาตรา 331 จาเลยไม่ผิดหม่ิน
ประมาท
การยนื่ ฟ้องคดีโดยร้องขอดาเนินคดีอยา่ งคนอนาถาโดยนาความเทจ็ มาอา้ งต่อศาลวา่
ไมม่ ีทรัพยส์ ินไม่ผิดแจง้ ความเทจ็ แก่เจา้ พนกั งานตามมาตรา 137 เพราะมาตรา 137 เป็นความผิด
เจา้ พนกั งานปกครองไมไ่ ดม้ ุ่งหมายใหใ้ ชบ้ งั คบั แก่การดาเนินคดีในศาล
นายแดงแจง้ ต่อนายทะเบียนวา่ ไม่เคยสมรสมาก่อนอนั เป็นเทจ็ ซ่ึงนายทะเบียนเป็น
เจา้ พนกั งานผกู้ ระทาการตามหนา้ ท่ีไดจ้ ดขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ ไวเ้ ป็นหลกั ฐานในใบทะเบียนสมรส
อนั เป็นเอกสารราชการ ซ่ึงมีวตั ถุประสงคใ์ ชเ้ ป็นพยานหลกั ฐานโดยประการท่ีน่าจะเกิดความ
เสียหายแก่ผอู้ ่ืนไป นายแดงผิดฐานแจง้ ความเทจ็ และแจง้ ใหเ้ จา้ พนกั งานผกู้ ระทาการตามหนา้ ที่
จดขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ ตามมาตรา 137 ประกอบมาตรา 267
เอกสารมหาชน หมายถึง เอกสารที่เป็นหลกั ฐานแก่ประชาชนซ่ึงเจา้ พนกั งานหรือบุคคล
ซ่ึงมิใช่เจา้ พนกั งานไดท้ างข้ึน
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 7404-5/2538 สานวนคดีของศาลเป็นเอกสารท่ีเจา้ พนกั งานทาข้ึนเพ่ือ
ประโยชนแ์ ก่ประชาชน และใหป้ ระชาชนตรวจดูอา้ งอิงเป็นพยานหลกั ฐานไดเ้ ป็นเอกสารมหาชน
คาวา่ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ่ืนหรือประชาชนมาตรา 267 เหมือนกบั มาตรา 264
หากไม่น่าจะเกิดความเสียหายแลว้ ย่อมขาดองคป์ ระกอบความผดิ เทา่ กบั ไม่เป็นความผิดเลย
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1237/2544 ขณะท่ีจาเลยจดทะเบียนสมรสกบั ส. จาเลยไมม่ ีคู่สมรส
เพราะจาเลยจดทะเบียนหยา่ กบั ค. แลว้ แมจ้ าเลยจะแจง้ วา่ จาเลยเคยสมรสแต่ไมไ่ ดจ้ ดทะเบียนกม็ ีผล
เช่นเดียวกบั จาเลยไม่มีคสู่ มรสในขณะจดทะเบียนกบั ส. นนั่ เอง การท่ีนายทะเบียนจดทะเบียน
สมรสใหก้ ารจาเลยกบั ส. โดยเช่ือวา่ ส. ไม่เคยสมรสมาก่อน ไมท่ าใหผ้ อู้ ่ืนหรือประชาชนเสียหาย
และไมน่ ่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ่ืนประชาชนจาเลยจึงไมผ่ ดิ มาตรา 137 และมาตรา 267
ความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
มาตรา 268 ใชเ้ อกสารปลอม
มาตรา 268 ผใู้ ดใชห้ รืออา้ งเอกสารอนั เกิดจากการกระทาความผิดตามมาตรา 264 มาตรา
265 มาตรา 266 หรือมาตรา 267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ่ืนหรือประชาชน ตอ้ ง
ระวางโทษดงั ท่ีบญั ญตั ิไวใ้ นมาตราน้นั ๆ
253
ถา้ ผกู้ ระทาความผดิ ตามวรรคแรกเป็นผปู้ ลอมเอกสารน้นั หรือเป็นผูแ้ จง้ ใหเ้ จา้ พนกั งาน
จดขอ้ ความน้นั เองใหล้ งโทษตามมาตราน้ีแต่กระทงเดียว
กรณีตามมาตรา 268 คือ ใชเ้ อกสารหรืออา้ งเอกสารอนั เกิดจากการกระทาความผดิ ตาม
มาตรา 264 มาตรา 265 มาตรา 266 มาตรา 267 ในประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ื่นหรือ
ประชาชน กฎหมายกาหนดใหล้ งโทษความผดิ ในมาตราน้นั
การใชเ้ อกสารปลอมมาตรา 268 ไม่จาเป็นจะตอ้ งใชอ้ ยา่ งเอกสารที่แทจ้ ริง ถา้ หากใชใ้ น
ประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ื่นหรือประชาชนกเ็ ป็นความผดิ ได้
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1654/2503 นาใบประกาศนียบตั รปลอมออกแสดงตอ่ สายลบั ตารวจให้
ดูเป็นตวั อยา่ งเพื่อใหเ้ ชื่อถือในฝีมือการทาปลอมเป็นความผิดมาตรา 268
- แผน่ ป้ายทะเบียนรถยนตถ์ ือเป็นเอกสารราชการ หากมีเจตนา
เพอื่ ใหผ้ อู้ ื่นหลงเชื่อก็ถือวา่ เป็นความผดิ ตามกฎหมายแลว้
คาพิพากษาฎีกาที่ 15446/2555 การที่จาเลยท่ี 1 นาแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอมของ
กลางปิ ดทบั แผ่นป้ายทะเบียนที่แทจ้ ริงแต่ยงั ไม่ไดข้ บั รถเคล่ือนท่ีเป็ นการใชเ้ อกสารราชการปลอม
หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จาเลยที่ 1 ไดน้ าแผ่นป้ายทะเบียนรถยนตป์ ลอมของกลางปิ ดทบั
แผ่นป้ายทะเบียนรถยนตท์ ี่แทจ้ ริงที่ดา้ นหน้าและดา้ นทา้ ยของรถเพ่ือใช้รถยนต์เดินทางไปที่เมือง
พทั ยา ป้องกนั มิใหผ้ ทู้ ่ีพบเห็นทราบหมายเลขทะเบียนรถยนตท์ ี่แทจ้ ริงหากเกิดอุบตั ิเหตุในระหว่าง
การเดินทาง ดงั น้ี จึงเป็ นการใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอมอย่างเป็ นเอกสารราชการที่แทจ้ ริง
เพื่อให้ผูอ้ ื่นหลงเชื่อว่ารถยนต์หมายเลขทะเบียน วต 2914 กรุงเทพมหานคร เป็ นรถยนต์หมายเลข
ทะเบียน สม 2794 กรุงเทพมหานคร ตามแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ที่มีการทาปลอมข้ึน และจาก
ขอ้ เท็จจริงตามที่พิจารณาไดค้ วามว่า ที่เกิดเหตุซ่ึงเจา้ พนกั งานตารวจพบการกระทาความผิดของ
จาเลยที่ 1 เป็ นสถานท่ีเปิ ดเผยในทางเดินรถสาธารณะ แมจ้ าเลยท่ี 1 ยงั ไม่ได้ใช้รถยนต์เดินทาง
เคล่ือนที่จากจุดเกิดเหตุท่ีมีการลงมือกระทาความผิดดงั กล่าว ก็เป็ นความผิดสาเร็จฐานใชเ้ อกสาร
ราชการปลอม จาเลยที่ 1 จึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 268 ประกอบมาตรา 265
ความผิดฐานทาคารั บรองอันเป็ นเทจ็
มาตรา 269 ผปู้ ระกอบวิชาชีพทาคารับรองเป็นเทจ็
วชิ าชีพ หมายถึง อาชีพที่ตอ้ งใชค้ วามรู้พเิ ศษ เช่นแพทย์ บญั ชี และกฎหมาย
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 3635/2546 ผกู้ ระทาความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 269 วรรคแรก จะตอ้ ง
เป็นผปู้ ระกอบการงานวชิ าชีพดงั ท่ีระบไุ วเ้ ทา่ น้นั จาเลยที่ 1 เป็นผกู้ ูเ้ งินจากธนาคารอาคาร
สงเคราะห์ สาขานครปฐม ไมไ่ ดป้ ระกอบวชิ าชีพการประเมินราคาทรัพย์ และไมไ่ ดท้ าคารับรองใน
254
แบบสรุปผลการประเมินราคาหลกั ประกนั ที่ดินอาคาร ส่วนจาเลยที่ 3 เป็นเพียงผทู้ ารายงานการ
ตรวจสอบที่ดินและเสนอตอ่ ผ. โดย ผ. เป็นผลู้ งลายมือช่ือรับรองในฐานะผปู้ ระเมิน จาเลยท่ี 3 จึง
ไมไ่ ดเ้ ป็นผทู้ าคารับรองในเอกสารดงั กล่าว การกระทาของจาเลยที่ 1 และท่ี 3 ไมเ่ ป็นความผดิ ตาม
ป.อ. มาตรา 269 วรรคแรก
ผมู้ ีวชิ าชีพตอ้ งมีเจตนาคอื รู้ว่าขอ้ ความที่ตนทาคารับรองน้นั เป็นเท็จ เช่น แพทยอ์ อก
หนงั สือตรวจโรคเทจ็
หมวด 4 ความผิดเก่ียวกบั บตั รอิเลก็ ทรอนิกส์
ความผดิ ในหมวดน้ีมีการแกไ้ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ฉบบั ท่ี 17 พ.ศ. 2547
โดยมีเหตุผลเขียนไวใ้ นบทเฉพาะกาล ดงั น้ี “เน่ืองจากปัจจุบนั การใชเ้ อกสาร วตั ถุอื่นใดหรือขอ้ มูล
ท่ีจดั ทาข้ึนในลกั ษณะบตั รอิเลก็ ทรอนิกส์ เช่น บตั รเครดิต บตั รเดบิต บตั รสมาร์ทการ์ด หรือบตั รอื่น
ใดในลกั ษณะคลา้ ยกนั โดยมีวตั ถุประสงคเ์ พือ่ ประโยชนใ์ นการชาระคา่ สินคา้ คา่ บริการ หรือหน้ีอ่ืน
หรือเพือ่ ใหต้ นเองหรือผอู้ ่ืนไดร้ ับประโยชน์อยา่ งหน่ึงอยา่ งใด กาลงั เพมิ่ ปริมาณ และประเภทการใช้
งานอย่างแพร่หลาย และปรากฏว่าได้มีการกระทาความผิดเก่ียวกับบัตรและลักลอบนาข้อมูล
อิเลก็ ทรอนิกส์ของผอู้ ่ืนมาใชอ้ นั ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และผบู้ ริโภคในวงกวา้ ง สมควรกาหนด
ความผดิ อาญาสาหรับการกระทาความผดิ เก่ียวกบั บตั รและขอ้ มูลอิเลก็ ทรอนิกส์ดงั กลา่ ว
เพือ่ เพม่ิ เติมใหค้ รอบคลมุ การกระทาความผิดอาญาในรูปแบบต่าง ๆ และใหม้ ีอตั ราโทษเหมาะสม
กบั ความร้ายแรงของการกระทาความผดิ ”
ความผดิ เกี่ยวกบั บตั รอิเลก็ ทรอนิกส์ หากกระทาผิดนอกราชอาณาจกั รไทย ตอ้ งรับโทษ
ตามมาตรา 8 (2/1) กรณีคนไทยเขา้ ไปเกี่ยวขอ้ งท้งั ในฐานะผตู้ อ้ งหาหรือผเู้ สียหาย และตอ้ งร้องขอ
รัฐบาลไทยหรือรัฐบาลต่างประเทศดว้ ยแลว้ แต่กรณี (วีระวฒั น์ ปวราจารย,์ 2560, เลม่ ที่ 15,หนา้
107)
มาตรา 269/1 ถึงมาตรา 269/6 ปลอมบตั รอิเลก็ ทรอนิกส์
ความผดิ เกี่ยวกบั บตั รอิเลก็ ทรอนิกส์
1. การปลอมบตั รอิเลก็ ทรอนิกส์มาตรา 269/1 ถึงมาตรา 269/4
2. การใชห้ รือมีไวเ้ พ่ือใชซ้ ่ึงบตั รที่แทจ้ ริงของผอู้ ่ืนตามมาตรา 269/5 และมาตรา 269/6
ความหมายของคาวา่ “บตั รอิเลก็ ทรอนิกส์” ในมาตรา 1 (14) หมายความวา่
"(ก) เอกสารหรือวตั ถุอื่นใดไม่วา่ จะมีรูปลกั ษณะใดที่ผอู้ อกไดอ้ อกใหแ้ ก่ผมู้ ีสิทธิใช้
ซ่ึงจะระบชุ ่ือหรือไมก่ ็ตาม โดยบนั ทึกขอ้ มูลหรือรหสั ไวด้ ว้ ยการประยกุ ตใ์ ชว้ ิธีการทางอิเลก็ ตรอน
ไฟฟ้า คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้า หรือวธิ ีอื่นใดในลกั ษณะคลา้ ยกนั ซ่ึงรวมถึงการประยกุ ตใ์ ชว้ ิธีการ
255
ทางแสงหรือวธิ ีการทางแมเ่ หลก็ ใหป้ รากฏความหมายดว้ ยตวั อกั ษร ตวั เลข รหสั หมายเลขบตั ร
หรือสัญลกั ษณ์อ่ืนใดท้งั ท่ีสามารถมองเห็นและมองไม่เห็นดว้ ยตาเปลา่
"(ข) ขอ้ มูล รหสั หมายเลขบญั ชี หมายเลขชุดทางอิเลก็ ทรอนิกส์หรือเคร่ืองมือทาง
ตวั เลขใดๆ ท่ีผอู้ อกไดอ้ อกใหแ้ ก่ผมู้ ีสิทธิใช้ โดยมิไดม้ ีการออกเอกสารหรือวตั ถุอื่นใดให้ แตม่ ี
วธิ ีการใชใ้ นทานองเดียวกบั (ก) หรือ
"(ค) สิ่งอื่นใดที่ใชป้ ระกอบกบั ขอ้ มลู อิเลก็ ทรอนิกส์เพื่อแสดงความสัมพนั ธ์ ระหวา่ ง
บุคคลกบั ขอ้ มลู อิเลก็ ทรอนิกส์ โดยมีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือระบตุ วั บุคคลผเู้ ป็นเจา้ ของ”
บตั รอิเลก็ ทรอนิกส์ เช่น บตั รเครดิต บตั รเอทีเอม็ บตั รสมาร์ทการ์ด บตั รประจาตวั
ประชาชน
ขอ้ มูล รหสั หมายเลขบญั ชี เช่น รหสั หมายเลขโทรศพั ท,์ หมายเลขบญั ชีที่ธนาคารออกให้
ส่ิงอ่ืนใดท่ีใชป้ ระกอบขอ้ มูลอิเลก็ ทรอนิกส์ เช่น ลายพิมพน์ ิ้วมือ ฝ่ามือที่ใชส้ ัมผสั กบั เครื่อง
(วรี ะวฒั น์ ปวราจารย,์ 2560, เลม่ ท่ี 15,หนา้ 109)
องคป์ ระกอบคลา้ ยกบั การปลอมเอกสารสามารถนาหลกั เรื่องปลอมเอกสารมาเทียบเคียงได้
คาพิพากษาฎีกาท่ี 5598/2540 จาเลยปลอมบตั รเครดิตแลว้ ใชร้ ูดและปลอมสลิปของบุคคลอ่ืนเพอื่
แสดงวา่ เป็นเจา้ ของบตั รเครดิตเป็นการปลอมบตั รอิเลก็ ทรอนิกส์และใชเ้ อกสารสิทธิปลอมกรรม
เดียวผิดกฎหมายหลายบท
คาพิพากษาฎีกาที่ 9/2543 จาเลยลกั เอาบตั รเอทีเอม็ ของผเู้ สียหายไปแลว้ นาบตั รเอทีเอม็
ไปกดเงินทรัพยท์ ่ีจาเลยลกั ไปเป็นทรัพยค์ นละประเภทเป็นความผิดหลายกรรม
การลกั บตั รเอทีเอม็ เป็นการเอาไปซ่ึงเอกสารของผอู้ ื่นตามมาตรา 188 ปัจจุบนั การนาบตั รเอทีเอม็ ซ่ึง
เป็นบตั รอิเลก็ ทรอนิกส์ของผอู้ ื่นไปใชถ้ อนเงินเป็นความผิดฐานใชบ้ ตั รอิเลก็ ทรอนิกส์ของผอู้ ่ืนโดย
มิชอบผดิ มาตรา 269/5
ทาบตั รปลอม
มาตรา 269/1 การทาปลอม ทานองเดียวกบั ปลอมเอกสาร คอื ทาบตั รอิเลก็ ทรอนิกส์ปลอมข้นึ ท้งั
ฉบบั หรือแต่ส่วนหน่ึงส่วนใด เติมหรือตดั ทอนขอ้ ความหรือแกไ้ ขดว้ ยประการใดๆในบตั ร
อิเลก็ ทรอนิกส์ที่แทจ้ ริง (สหรัฐ กิติ ศุภการ, 2560, หนา้ 409) มีมูลเหตชุ กั จูงใจคือ เพื่อใหผ้ หู้ น่ึงผใู้ ด
หลงเช่ือวา่ เป็นบตั รท่ีแทจ้ ริง หรือเพือ่ ใชป้ ระโยชน์อยา่ งหน่ึงอยา่ งใด
ทาหรือมีเครื่องมือปลอมบตั ร
256
มาตรา 269/2 ทาหรือมีเคร่ืองมือปลอมบตั รอิเลก็ ทรอนิกส์ปลอม มีมูลเหตชุ กั จูงใจ เพ่ือใชห้ รือใหไ้ ด้
ขอ้ มูลในการปลอมหรือแปลง ทานองเดียวกบั ทาเคร่ืองมือหรือวตั ถสุ าหรับการปลอมหรือแปลง
เงินตราตามาตรา 246 กรณีมาตรา 269/2 เช่น เคร่ืองเก็บขอ้ มลู ในบตั รอิเลก็ ทรอนิกส์ เคร่ือง
skimmer ใชด้ ูดขอ้ มลู ในบตั ร (วีระวฒั น์ ปวราจารย,์ 2560, เลม่ ที่ 15,หนา้ 113)
นาเข้า-ส่งออกบตั รหรือเครื่องมือปลอม
มาตรา 269/3 นาเขา้ หรือส่งออกไปนอกราชอาณาจกั รซ่ึงบตั รอิเลก็ ทรอนิกส์ปลอม หรือเคร่ืองมือ
หรือวตั ถสุ าหรับปลอมหรือแปลงบตั รอิเลก็ ทรอนิกส์
ใช้หรือมไี ว้เพ่ือใช้
มาตรา 269/4 ใชห้ รือมีไวเ้ พ่ือใชซ้ ่ึงบตั รอิเลก็ ทรอนิกส์ปลอม
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 9276/2553 จาเลยรู้อยแู่ ลว้ วา่ บตั รเครดิตที่จาเลยใชซ้ ้ือโทรศพั ทเ์ คลื่อนที่
เป็นบตั รเครดิตปลอม เม่ือจาเลยนาบตั รเครดิตดงั กลา่ วไปใชจ้ ึงเป็นความผิดฐานใชเ้ อกสารสิทธิ
ปลอม ท้งั การท่ีจาเลยปกปิ กช่ือจริงซ่ึงควรบอกใหแ้ จง้ ต่อพนกั งานขายโดยจาเลยเซ็นช่ือที่ปรากฎใน
บตั รวา่ เป็นจาเลยซ่ึงไม่เป็นความจริง เม่ือผขู้ ายรู้วา่ บตั รเครดิตดงั กล่าวเป็นบตั รเครดิตปลอม จึงไม่
ส่งมอบโทรศพั ทเ์ คล่ือนท่ีใหแ้ ก่จาเลย จาเลยยอ่ มมีความผิดฐานใชเ้ อกสารสิทธิปลอมและพยายาม
ฉอ้ โกงดว้ ย
จาหน่ายหรือมไี ว้เพื่อจาหน่าย
มาตรา 269/4 วรรคสอง จาหน่ายหรือมีไวเ้ พ่อื จาหน่ายบตั รอิเลก็ ทรอนิกส์ปลอมหรือแปลง โดย
ผกู้ ระทาตอ้ งรู้วา่ เป็นบตั รอิเลก็ ทรอนิกส์ที่ถูกปลอมหรือแปลง และตอ้ งการจาหน่ายหรือมีไวเ้ พือ่
จาหน่าย
มาตรา 269/4 วรรคสาม กรณีปลอมและจาหน่าย ใหล้ งโทษกระทงเดียว
ใช้บตั รของผ้อู ่ืนโดยมิชอบ
มาตรา 269/5 ใชบ้ ตั รอิเลก็ ทรอนิกส์ของผอู้ ื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อใหเ้ กิดความเสียหาย
แก่ผอู้ ื่นหรือประชาชน
คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 6820/2552 การท่ีจาเลยเอาไปเสียซ่ึงเอกสารบตั รเครดิตวซี ่าการ์ด
ของบริษทั บ. อนั เป็นบตั รอิเลก็ ทรอนิกส์และเอกสารตาม ป.อ.มาตรา 1(7) ซ่ึงออกใหแ้ ก่
257
น. ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ น. และบริษทั บ. แลว้ การกระทาของจาเลยจึงเป็น
ความผดิ ตามบทบญั ญตั ิมาตรา 188 การท่ีจาเลยเอาไปเสียซ่ึงบตั รเครดิตวีซ่าการ์ดของบริษทั บ.
ซ่ึงออกใหแ้ ก่ น. แลว้ ใชบ้ ตั รเครดิตวซี ่าการ์ดดงั กลา่ วชาระคา่ สินคา้ แทนการชาระดว้ ยเงินสด
อนั เป็นความผิดฐานใชบ้ ตั รอิเลก็ ทรอนิกส์ของผอู้ ่ืนชาระค่าสินคา้ ค่าบริการหรือหน้ีอ่ืนแทน
การชาระดว้ ยเงินสดโดยมิชอบดว้ ย ป.อ.มาตรา 269/5 และมาตรา 269/7 รวม 3 คร้ัง
เม่ือปรากฎวา่ โจทกฟ์ ้องจาเลยแยกออกเป็นขอ้ ๆ และการกระทาตามที่โจทกบ์ รรยายฟ้องมา
ในแตล่ ะขอ้ ต่างเป็นความผดิ สาเร็จในตวั เองตา่ งกรรมตา่ งวาระ ท้งั ทรัพยท์ ่ีจาเลยไดจ้ ากการ
กระทาผดิ กเ็ ป็นทรัพยค์ นละประเภทแตกต่างกนั เมื่อจาเลยใหก้ ารรับสารภาพตามฟ้องถือไดว้ า่
จาเลยกระทาความผดิ โดยมีเจตนาต่างกนั การกระทาของจาเลยฐานเอาไปเสียซ่ึงเอกสารบตั รเครดิต
กบั ฐานใชบ้ ตั รเครดิตจึงเป็นความผดิ หลายกรรมตาม ป. อ.มาตรา 91 และเม่ือขอ้ เท็จจริงฟังไดต้ าม
ฟ้องและคารับสารภาพของจาเลยวา่ จาเลยนาบตั รเครดิตวีซ่าการ์ดดงั กล่าวไปใชช้ าระค่าสินคา้
โทรศพั ทเ์ คล่ือนทท่ี กลอ้ งวีดีโอและกลอ้ งถ่ายรูปดิจิทลั แทนการชาระดว้ ยเงินสดจานวน 3 คราว
การกระทาของจาเลยในส่วนน้ี จึงเป็นความผิด 3 กรรมต่างกนั
คาพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 10025/2557 นายจา้ งมอบบตั รเติมน้ามนั ใหล้ ูกจา้ งซ่ึงเป็นพนกั งาน
ขบั รถไวใ้ ชเ้ ติมน้ามนั รถคนั ที่ลกู จา้ งคนน้นั รับผดิ ชอบ ตอ่ มาจาเลยซ่ึงเป็นลูกจา้ งอีกคนหน่ึงนาบตั ร
เติมน้ามนั รถท่ีลกู จา้ งอีกคนหน่ึงรับผดิ ชอบไปใช้ เป็นความผิดฐานลกั ทรัพยข์ องนายจา้ ง ตามมาตรา
188, 335(1) (11) วรรคสอง (คดีน้ีจาเลยยงั มีความผิดฐานใชบ้ ตั รอิเลก็ ทรอนิกส์ตาม มาตรา 269/5
ประกอบมาตรา 269/7)
มีไว้เพ่ือนาออกใช้ซ่ึงบตั รของผ้อู ื่นโดยมิชอบ
มาตรา 269/6 มีไวเ้ พอื่ นาออกใชซ้ ่ึงบตั รอิเลก็ ทรอนิกส์ของผอู้ ื่น ในประการที่น่าจะก่อใหเ้ กิดความ
เสียหายแก่ผอู้ ื่นหรือประชาชน
เหตุเพิ่มโทษ
มาตรา 269/7 ความผดิ ในหมวดน้ี ผกู้ ระทาตอ้ งรับโทษหนกั ข้นึ ถา้ มีมูลเหตชุ กั จูงใจ เพื่อใช้
ประโยชนใ์ นการชาระค่าสินคา้ ค่าบริการหรือหน้ีอื่นแทนการชาระดว้ ยเงินสด หรือใชเ้ บิกถอน
เงินสด
หมวด 5 ความผิดเกย่ี วกบั หนังสือเดนิ ทาง
ความผิดในหมวดน้ีมีการแกไ้ ขเพิม่ เติมประมวลกฎหมายอาญา ฉบบั ท่ี 18 พ.ศ. 2550
258
โดยมีเหตผุ ลเขยี นไวใ้ นบทเฉพาะกาล ดงั น้ี “โดยท่ีปัจจุบนั การก่อการร้ายและอาชญากรรมขา้ มชาติ
ไดท้ วีความรุนแรงและมีรูปแบบที่ซบั ซอ้ นมากยงิ่ ข้นึ และไดม้ ีการใชห้ นงั สือเดินทางเป็นเคร่ืองมือ
ในการกระทาดงั กลา่ วซ่ึงส่งผลกระทบตอ่ ความมน่ั คงภายในประเทศและต่อความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง
ประเทศ สมควรขยายขอบเขตของการกระทาความผดิ เก่ียวกบั หนงั สือเดินทางใหก้ วา้ งข้นึ
และสมควรกาหนอตั ราโทษใหเ้ หมาะสมกบั ความผิด”
ตามประมวลกฎหมายอาญาไดใ้ หค้ วามหมายของคาวา่ “หนงั สือเดินทาง”ไวใ้ น มาตรา 1
(15) “หนงั สือเดินทาง” หมายความวา่ เอกสารสาคญั ประจาตวั ไม่วา่ จะมีรูปลกั ษณะใดที่รัฐบาลไทย
รัฐบาลตา่ งประเทศ หรือองคก์ ารระหวา่ งประเทศออกใหแ้ ก่บคุ คลใด เพ่ือใชแ้ สดงตนในการ
เดินทางระหวา่ งประเทศ และใหห้ มายความรวมถึงเอกสารใชแ้ ทนหนงั สือเดินทางและแบบหนงั สือ
เดินทางท่ียงั ไมไ่ ดก้ รอกขอ้ ความเก่ียวกบั ผถู้ ือหนงั สือเดินทางดว้ ย”
ความผดิ เก่ียวกบั หนงั สือเดินทาง หากกระทานอกราชอาณาจกั รตอ้ งรับโทษใน
ราชอาณาจกั ร ตามมาตรา 8 (2/2) (วีระวฒั น์ ปวราจารย,์ 2560, เล่มท่ี 15,หนา้ 122)
การปลอมหนังสือเดินทาง
มาตรา 269/8 การปลอมหนงั สือเดินทางมีท้งั การปลอมข้ึนท้งั ฉบบั หรือแต่ส่วนหน่ึงส่วนใด
การเติมหรือตดั ทอนขอ้ ความ การแกไ้ ข การประทบั ตราหรือลงลายมือชื่อปลอม โดยมีมูลเหตจุ ูงใจ
คือ เพื่อใหผ้ หู้ น่ึงผใู้ ดหลงเชื่อวา่ เป็นหนงั สือเดินทางที่แทจ้ ริง
หนงั สือเดินทาง ให้รวมถึงเอกสารผา่ นแดนดว้ ย (border pass) ใชห้ ลกั เดียวกบั การปลอม
เอกสารตามมาตรา 264
มาตรา 269/9 การใชห้ รือมีไวเ้ พื่อใช้ จาหน่าย มีไวเ้ พ่อื จาหน่ายหนงั สือเดินทางปลอม
มาตรา 269/10 นาเขา้ ในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจกั รซ่ึงหนงั สือเดินทางปลอม
การใช้หนังสือเดินทางของผู้อื่นโดยมิชอบ
มาตรา 269/11 ใชห้ นงั สือเดินทางของผอู้ ื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อใหเ้ กิดความเสียหาย
แก่ผอู้ ่ืนหรือประชาชน ส่วนผจู้ ดั หาตอ้ งรับโทษตามวรรคสอง
การกระทากับดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นปะตรวจลงตรา
มาตรา 269/12 ทาปลอมข้ึนซ่ึงดวงตรา รอยตราหรือแผน่ ประตรวจลงตราอนั ใชใ้ นการตรวจลงตรา
สาหรับการเดินทางระหวา่ งประเทศ อนั ไดแ้ ก่ VISA
259
การปลอม VISA ไมจ่ ากดั วา่ จะเป็นประเทศใด การปลอม VISA ไมว่ า่ จะเป็นของ
ประเทศใดก็เป็นความผิดท้งั สิ้น (สหรัฐ กิติ ศภุ การ, 2560, หนา้ 417) ท่ีสาคญั ตอ้ งเป็นตราสาหรับ
การเดินทางระหวา่ งประเทศเท่าน้นั
มาตรา 269/13 ใชด้ วงตรา รอยตราหรือแผน่ ประตรวจลงตราอนั ใชใ้ นการตรวจลงตราสาหรับการ
เดินทางระหวา่ งประเทศปลอม
มาตรา 269/14 นาเขา้ ในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจกั รซ่ึงดวงตรา รอยตราหรือแผน่ ประตรวจลง
ตราอนั ใชใ้ นการตรวจลงตราสาหรับการเดินทางระหวา่ งประเทศปลอม
มาตรา 269/15 ใชด้ วงตรา รอยตราหรือแผน่ ประตรวจลงตราอนั ใชใ้ นการตรวจลงตราอนั แทจ้ ริงที่
ใชใ้ นการตรวจลงตราสาหรับการเดินทางระหวา่ งประเทศโดยมิชอบ ในประการท่ีน่าจะก่อใหเ้ กิด
ความเสียหายแก่ผอู้ ่ืนหรือประชาชน
ลกั ษณะ 8 ความผิดเกย่ี วกบั การค้า
ความผิดเกี่ยวกับเคร่ืองช่ังตวงวดั ท่ีผิดอัตรา
ความผิดเกยี่ วกบั การค้า
เป็นคดีที่ตอ้ งไปฟ้องต่อศาลทรัพยส์ ินทางปัญญาไม่ใช่ศาลอาญาหรือศาลจงั หวดั
มาตรา 270 ใช้เคร่ืองช่ังเครื่องตวงเคร่ืองวัดท่ีผดิ อตั ราเพื่อเอาเปรียบในการค้า
มีไวห้ มายถึงมีไวใ้ นครอบครอง
ขายหมายถึงโอนกรรมสิทธ์ ิ
มีไวเ้ พอ่ื ใชห้ รือมีไวเ้ พอ่ื ขายหมายถึงมีไวเ้ พอ่ื ใชเ้ พื่อเอาเปรียบในทางการคา้ หรือเพือ่ ขาย
แสดงอยใู่ นตวั วา่ มีมูลเหตุจูงใจดงั กล่าวแมว้ า่ ยงั ไมท่ นั ขายกเ็ ป็นความผิดสาเร็จ
ผกู้ ระทาความผดิ ตามมาตราน้ี ไม่จาเป็นตอ้ งเป็นเจา้ ของเคร่ืองชงั่ เครื่องตวงหรือ
เครื่องวดั น้นั (สุรศกั ด์ิ ลิขสิทธ์ิวฒั นกุล, 2548, หนา้ 184)
เพอ่ื เอาเปรียบในการคา้
คาพิพากษาฎีกาที่ 1885/2517 การมีไวซ้ ่ึงเคร่ืองชงั่ ซ่ึงผดิ อตั ราตอ้ งมีเจตนาเอาเปรียบ
ในทางการคา้ จึงจะเป็นความผิดเป็นหนา้ ท่ีของโจทกจ์ ะตอ้ งนาสืบใหป้ รากฏ
การคา้ หมายถึงธุรกิจท่ีจะทาเป็นปกติเพอื่ หากาไร
มาตรา 270 ตอ้ งเป็นเครื่องชง่ั เครื่องตวงเคร่ืองวดั ที่ใชก้ ารไดไ้ มใ่ ช่เคร่ืองที่เสียแลว้
ที่ผิดอตั ราเพ่ือเอาเปรียบในทางการคา้ สองคาน้ีตอ้ งใชด้ ว้ ยกนั เพราะจาเลยตอ้ งมีเจตนาพเิ ศษเพอ่ื
เอาเปรียบทางการคา้ ดว้ ย
260
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 32/2520 จาเลยมีเคร่ืองชงั่ โดยเคร่ืองชง่ั ดงั กล่าวตมุ้ น้าหนกั ขาดไปจาก
น้าหนกั มาตรฐานทาใหจ้ าเลยไดเ้ ปรียบลูกคา้ จาเลยผดิ มาตรา 270
ความผิดฐานขายสินค้าโดยหลอกลวง
มาตรา 271 ขายของโดยหลอกลวงใหผ้ ซู้ ้ือหลงเชื่อในแหลง่ กาเนิดสภาพคุณภาพ
อนั เป็นเทจ็
ขายใหร้ วมถึงขายฝากและขายทอดตลาดดว้ ย
ของเฉพาะสงั หาริมทรัพยเ์ ท่าน้นั ไมร่ วมอสังหาริมทรัพยด์ ว้ ย
หลงช่ือหมายถึงใหผ้ หู้ ลงเช่ือในแหล่งกาเนิดสภาพคุณภาพหรือปริมาณ ผซู้ ้ือจะตอ้ ง
หลงเชื่อจึงจะเป็ นความผิดสาเร็จ
ถา้ หลอกแลว้ เขาไม่เชื่อเป็นความผิดในข้นั พยายาม
คาพิพากษาฎีกาที่ 59/2504 ที่หีบห่อไดต้ ราสมอบอกวา่ ยาว 200 หลาความจริงยาว
130 หลาตารวจผลู้ อ่ ซ้ือรู้ความจริงอยกุ่ ่อนแลว้ เทา่ กบั ไมไ่ ดห้ ลงเช่ือในปริมาณเทจ็ เป็นเหตใุ ห้
กระทาไม่สามารถบรรลุผลไดอ้ ยา่ งแน่แทจ้ ึงเป็นพยายามมาตรา 81
ถา้ ขอ้ เทจ็ จริงเกี่ยวกบั แหล่งกาเนิดสภาพคณุ ภาพเป็นเพราะขอ้ เทจ็ จริงที่ถกู ตอ้ ง แต่ตอน
ส่งมอบใหแ้ ก่ผซู้ ้ือนอ้ ยกวา่ ท่ีตกลงกนั เทา่ กบั การส่งมอบไม่ครบถว้ นเทา่ กบั ผิดสัญญาซ้ือขายเทา่ น้นั
ไมผ่ ดิ มาตรา 271
ข้อสังเกต
1. การหลอกลวงตามมาตรา 271 จากดั เฉพาะเร่ืองแหลง่ กาเนิด สภาพ คุณภาพปริมาณ
แห่งของน้นั เทา่ น้นั
ถา้ หลอกเร่ืองอ่ื นๆ นอกจากน้ีแลว้ ไม่ผิดซ่ึงจะต่างกบั มาตรา 341 ท่ีสามารถแสดง
ขอ้ ความเทจ็ ในเร่ืองใดๆกไ็ ดโ้ ดยไม่มีขอ้ จากดั (สุรศกั ด์ิ ลิขสิทธ์ิวฒั นกุล, 2548, หนา้ 190)
2. ผเู้ สียหายในความผิดฐานน้ีคอื ผซู้ ้ือ ผูอ้ ่ืนไม่ใช่ผเู้ สียหายจึงไม่มีอานาจฟ้อง
คาพิพากษาฎีกาที่ 1510/2515 มาตรา 271 ผูเ้ สียหายคือผซู้ ้ือ โจทกเ์ ป็นเจา้ ของสินคา้ ที่
ผขู้ ายเอาเครื่องหมายมาเลียนแบบหลอกขายจึงไม่ใช่ผเู้ สียหายไมม่ ีอานาจฟ้อง
คาพิพากษาฎีกาท่ี 9/2537 ความผดิ ฐานปลอมเอกสารและขายของโดนหลอกลวงน้นั เป็น
ความผดิ คนละอยา่ งแยกออกจากกนั ได้
ความผิดเกยี่ วกบั ช่ือเสียงทางการค้า
มาตรา 272 (1) เอาชื่อรูปรอยประดิษฐ์ขอ้ ความในการประกอบการคา้ ของผอู้ ่ืนมาใช้
261
“ชื่อในการประกอบการคา้ ” เช่นชื่อร้าน ชื่อสินคา้ ช่ือหนงั สือพิมพ์
“รูป” หมายถึง รูปภาพท่ีใชใ้ นการคา้ อาจเป็นรูปตา่ ง ๆ ท่ีตวั สินคา้ เช่นรูปคนข่คี วาย
“รอยประดิษฐ”์ หมายถึง ลวดลายเคร่ืองหมาย
“ขอ้ ความใด ๆ “ หมายถึง ขอ้ ความหรือถอ้ ยคาท่ีใชห้ มายถึงสินคา้ หรือบริการใด
โดยเฉพาะ
“ตอ้ งเป็นของผอู้ ื่นใชอ้ ยใู่ นทางการคา้ ” จะไดจ้ ดทะเบียนไวห้ รือไม่ ไม่ใช่ขอ้ สาคญั (สุร
ศกั ด์ิ ลิขสิทธ์ิวฒั นกุล, 2548, หนา้ 194)
ตอ้ งเป็นการใชโ้ ดยไมม่ ีสิทธ์ิเช่นเอารูปเรือใบท่ีกระป๋ องสีซ่ึงมิไดจ้ ดทะเบียนเครื่องหมาย
การคา้ ของผอู้ ่ืนมาใชโ้ ดยไมม่ ีสิทธ์ิ
การทาสินคา้ ของตวั เองข้นึ แมจ้ ะมีรูปแบบเหมือนกบั สินคา้ ของผอู้ ื่นแตก่ ม็ ิไดเ้ อาชื่อรูป
รอยประดิษฐใ์ นการประกอบการคา้ ของผูอ้ ื่นมาใช้ ยอ่ มไม่เป็นความผิดตามมาตราน้ี
คาพิพากษาฎีกาท่ี 353/2510 จาเลยผลิตกระบอกไฟฉายแมจ้ ะมีรูปทรงเป็นเกลียวอยา่ ง
เดียวกบั ของโจทกก์ ็ไม่ผดิ มาตรา 272 น้ี
คาพิพากษาฎีกาท่ี 485/2503 จาเลยสงั่ ยาชื่อเดียวกบั ของโจทกจ์ ากบริษทั ที่ผลิตเดียวกนั
โดยจาเลยมิไดเ้ อาช่ือยาของโจทกม์ าใชเ้ พอื่ ใหป้ ระชาชนหลงเช่ือแต่เป็นเรื่องท่ีจาเลยสงั่ เขา้ มา
จาหน่ายซ่ึงยามีช่ือและผลิตในบริษทั เดียวกนั อยแู่ ลว้ แมโ้ จทกจ์ ะนาช่ือยาดงั กล่าวไปจดทะเบียนเป็น
เคร่ืองหมายการคา้ ของโจทกก์ ็ไม่เป็นความผดิ มาตรา 272 น้ี
การนาช่ือรูปรอยประดิษฐใ์ นการประกอบการคา้ ของผอู้ ่ืนมาใชน้ ้นั แมจ้ ะใชก้ บั สินคา้ คน
ละประเภทกนั หรือแมเ้ จา้ ของช่ือรูปรอยประดิษฐ์จะไมไ่ ดจ้ าหน่ายสินคา้ ประเภทน้นั เลย ถา้ กระทา
เพ่ือใหป้ ระชาชนหลงเช่ือว่าเป็นสินคา้ หรือการคา้ ของผเู้ ป็นเจา้ ของช่ือรูปรอยประดิษฐ์แลว้ กเ็ ป็น
ความผดิ ตามมาตราน้ี
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 2142/2532 กางเกงยนี ส์มีตวั อกั ษรโรมนั R อยู่ คาวา่ ROBINSON
เพื่อใหป้ ระชาชนหลงเชื่อวา่ เป็นสินคา้ ของผเู้ สียหายหา้ งโรบินสันแมผ้ เู้ สียหายจะไมไ่ ดผ้ ลิตกางเกง
ยนี ส์ออกจาหน่าย การกระทาของจาเลยกเ็ ป็นความผดิ ตามมาตราน้ี
การใชช้ ่ือรูปรอยประดิษฐใ์ นการประกอบการคา้ ของตนเอง มิไดท้ าใหห้ ลงเชื่อวา่ เป็น
สินคา้ หรือการคา้ ของผอู้ ่ืนยอ่ มไมเ่ ป็นความผิด
คาพิพากษาฎีกา 2842/2517 การวนิ ิจฉยั วา่ เจตนาเพ่ือประชาชนหลงเช่ือวา่ เป็นสินคา้ หรือ
การคา้ ของผูอ้ ื่นหรือไมน่ ้นั จะอาศยั คาที่เปล่งเสียงออกมาอยา่ งเดียวไม่ไดต้ อ้ งพิเคราะห์ตวั อกั ษร
ถอ้ ยคาลกั ษณะอื่นๆของช่ือดว้ ยชื่อ สินคา้ โจทกค์ าวา่ test modern from usa ช่ือสินคา้ จาเลย test
262
แลว้ ยงั มีคาภาษาไทยคาวา่ เทสต์ 23 บางลาภู จึงไม่ทาใหป้ ระชาชนหลงเชื่อวา่ เป็นสินคา้ หรือการคา้
ของโจทกจ์ าเลยไม่ผดิ มาตรา 272
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 941/2511 มาตรา 272 (1) เป็นบทบงั คบั เร่ืองเคร่ืองหมายของสินคา้ อนั
เป็นที่สังเกตวา่ เป็นสินคา้ ของใครเท่าน้นั มิใช่หา้ มการผลิตสินคา้ โดยใชว้ ตั ถุในการผลิตหรือวิธีการ
ผลิตเหมือนกบั ของผอู้ ื่น
การใชช้ ื่อหรือขอ้ ความในการประกอบการคา้ ตามมาตรา 272 (1) จึงไม่แปลไปถึงการใช้
ช่ือหรือขอ้ ความน้นั ในสูตรหรือวธิ ีการผลิตดว้ ย
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 750/2508 มาตรา 272 (1) ตอ้ งเป็นการทาเพ่ือประชาชนหลงเชื่อวา่ เป็น
สินคา้ หรือการคา้ ของผอู้ ื่นดว้ ยแตฟ่ ้องไม่ระบุองคป์ ระกอบความผิดดงั กล่าวจึงลงโทษตามมาตราน้ี
ไมไ่ ด้
มาตรา 272 (2) เลียนป้ายใหป้ ระชาชนหลงเช่ือวา่ สถานที่การคา้ ของตนเป็นสถานท่ี
การคา้ ของผอู้ ่ืน
ป้ายหมายถึงช่ือสถานที่การคา้
เลียนป้ายหมายถึงทาใหม้ ีลกั ษณะคลา้ ยกนั ไมถ่ ึงขนาดเป็นชื่อเดียวกนั เพยี งแต่ชื่อ
คลา้ ยคลึงกนั อนั อาจทาใหห้ ลงเขา้ ใจผดิ วา่ เป็นอนั เดียวกนั ก็พอแลว้ แต่ตอ้ งถึงขนาดท่ีจะทาให้
ประชาชนหลงเช่ือวา่ เป็นสถานที่การคา้ ของตนเป็นสถานท่ีการคา้ ของผอู้ ื่นที่ต้งั อยใู่ นใกลเ้ คยี งกนั
(สุรศกั ด์ิ ลิขสิทธ์ิวฒั นกลุ , 2548, หนา้ 198)
มาตรา 272 (3) ไขข่าวซ่ึงขอ้ ความเทจ็ เพื่อใหเ้ สียความเชื่อถือในสถานท่ีการคา้ สินคา้
อตุ สาหกรรม
ไขข่าวแพร่หลายหมายถึงทาใหล้ ว่ งรู้ไปถึงบุคคลทวั่ ๆไปเช่นการโฆษณาขอ้ ความซ่ึงไม่
เป็ นความจริ ง
ขอ้ ความเท็จหมายถึงขอ้ ความที่คลาดเคลื่อนจากความจริง
การกลา่ วขอ้ ความจริงปนกบั ความเทจ็ ทาใหเ้ ขา้ ใจไม่ตรงกบั ความจริงก็เป็นความเทจ็
เช่นกนั
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 981/2508 จาเลยประกาศโฆษณาวา่ มีบุคคลกระทาผิดกฎหมาย
เลียนแบบผลิตยาออกจาหน่าย ยอ่ มทาใหเ้ ขา้ ใจวา่ หจก.ไทยเกษมผเู้ สียหายเป็นผปู้ ลอมแปลง
ผลิตยาท้งั ๆ ที่ผเู้ สียหายไดจ้ ดทะเบียนตารับยาไวก้ ่อนแลว้ เจตนาจะทาใหผ้ เู้ สียหายเสียชื่อเสียง
ความน่าเช่ือถือ ยอ่ มเป็นความผดิ มาตรา 272 (3)
263
ความผิดฐานปลอมเคร่ืองหมายการค้า
มาตรา 273 ปลอมเครื่องหมายการค้าซึ่งได้จดทะเบียนแล้ว
การปลอมเคร่ืองหมายการคา้ หมายถึงการทาใหเ้ หมือนเคร่ืองหมายการคา้ ที่แทจ้ ริงท่ีมีอยู่
แมไ้ ม่เหมือนกนั ทกุ ประการกต็ าม
การทาใหผ้ ดิ ไปจากของจริง แต่ทาใหค้ ลา้ ยคลึงกบั ของจริง ถา้ ไม่พจิ ารณาใหด้ ี จะหลงวา่
เป็นของแทเ้ ป็นเพยี งการเลียนเครื่องหมายการคา้ ผดิ มาตรา 274 ไม่ใช่มาตรา 273
ความผดิ สาเร็จเม่ือทาการปลอมเครื่องหมายการคา้ แมจ้ ะยงั มิไดน้ าไปติดกบั สินคา้ ก็ตาม
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 399/2476 พิมพก์ ระดาษ “เอเวเรดดี” ปลอมข้ึนแมจ้ ะยงั มิไดน้ าไปติด
กบั สินคา้ กเ็ ป็นความผิดสาเร็จ
พิมพเ์ ป็นบรุ๊ปยงั ไมล่ งสีกถ็ กู จบั เป็นความผิดในข้นั พยายาม
การมีเคร่ืองมือหรือวตั ถุสาหรับปลอมเครื่องหมายการคา้ ไม่ถือวา่ เป็นความผดิ ในฐานน้ี
เคร่ืองหมายการคา้ ท่ีปลอมน้นั ตอ้ งเป็นเครื่องหมายการคา้ ท่ีไดจ้ ดทะเบียนไวแ้ ลว้ ไมว่ า่ จะ
จดทะเบียนในหรือนอกราชอาณาจกั ร การปลอมเคร่ืองหมายการคา้ นอกจากจะเป็นความผดิ ทาง
อาญาแลว้ ยงั ตอ้ งรับผดิ ตามพระราชบญั ญตั ิเครื่องหมายการคา้ พ.ศ.2534 ดว้ ย หากมีการปลอม
เคร่ืองหมายการคา้ ถือเป็นเป็นกรรมเดียวผดิ กฎหมายหลายบท ตอ้ งลงโทษบทหนกั ตาม
พระราชบญั ญตั ิเคร่ืองหมายการคา้ พ.ศ.2534 (สุรศกั ด์ิ ลิขสิทธ์ิวฒั นกุล, 2548, หนา้ 203)
การปลอมเครื่องหมายการคา้ ที่ยงั ไม่ไดจ้ ดทะเบียนแลว้ นาไปใชก้ บั สินคา้ ของตนเพื่อให้
ประชาชนหลงเช่ือวา่ เป็นสินคา้ ของผอู้ ื่นไมผ่ ดิ มาตรา 273 แต่เป็นความผิดตามมาตรา 272 (1)
เมื่อจาเลยมีเจตนาปลอมเครื่องหมายการคา้ ของผอู้ ่ืนแลว้ แมโ้ จทกจ์ ะบรรยายฟ้องเพียงวา่
เคร่ืองหมายการคา้ ไดจ้ ดทะเบียนแลว้ แต่โจทกม์ ิไดบ้ รรยายฟ้องใหล้ ะเอียดวา่ เครื่องหมายการคา้ น้นั
ไดจ้ ดทะเบียนไวท้ ี่ใดก็ไมใ่ ช่ขอ้ สาคญั
แมจ้ าเลยจะไมไ่ ดป้ ลอมเครื่องหมายการคา้ ดว้ ยตนเองแต่ถา้ จาเลยส่งั ใหผ้ อู้ ่ืนปลอมข้นึ
จาเลยกผ็ ิดมาตราน้ี
คาพิพากษาฎีกาที่ 3263/2533 จาเลยเป็นผสู้ ัง่ ทาถงุ ที่มีเครื่องหมายการคา้ อนั ได้
จดทะเบียนไวแ้ ลว้ ของบริษทั ผเู้ สียหายแมจ้ าเลยจะไมไ่ ดท้ าเอง แต่การท่ีจาเลยส่งั ใหผ้ อู้ ่ืนเป็น
ผจู้ ดั ทาข้นึ จาเลยกม็ ีความผิดในขอ้ หาปลอมเคร่ืองหมายการคา้
เครื่องหมายการคา้ ปลอมเป็นทรัพยท์ ่ีไดม้ าโดยกระทาความผดิ ส่วนสินคา้ ที่เตรียมไว้
เพอ่ื ติดเครื่องหมายการคา้ ปลอมเป็นของท่ีมีไวด้ ว้ ยเจตนาเพ่อื ใชใ้ นการกระทาความผิด พงึ ริบได้
ตามมาตรา 33 (1) (2)
264
คาพิพากษาฎีกาที่ 1124/2520 กางเกงที่เตรียมรอติดเครื่องหมายการคา้ ปลอม แมย้ งั ไมไ่ ด้
ติดเครื่องหมายการคา้ กถ็ ือไดว้ า่ เป็นของที่จาเลยมีไวด้ ว้ ยเจตนาเพ่ือใชใ้ นการกระทาความผดิ พงึ ริบ
ไดต้ ามมาตรา 33 (1)
คาพิพากษาฎีกาท่ี 3576/2536 กางเกงยนี ส์ท่ีจาเลยผลิตใชเ้ คร่ืองหมายการคา้ มีลกั ษณะ
การเขียนเหมือนกบั เครื่องหมายการคา้ ท่ีจดจดทะเบียนไวว้ ่า EDWEN ท้งั ยงั มีขอ้ ความว่า sold only
at the finest stores ดว้ ยเหมือนกบั เครื่องหมายการคา้ ของโจทกแ์ ละคาขวญั ของโจทกท์ ุกประการ
ถือวา่ เป็นการปลอมเครื่องหมายการคา้ ของโจทกท์ ี่จดทะเบียนไวน้ อกราชอาณาจกั รและเป็นการ
เอาช่ือรูปรอยประดิษฐห์ รือขอ้ ความในการประกอบการคา้ ของโจทกม์ าใชเ้ พ่ือใหป้ ระชาชนหลงเช่ือ
ตามมาตรา 273 และมาตรา 272 (1)
มาตรา 274 เลยี นเครื่องหมายการค้าซ่ึงได้จดทะเบียนแล้ว
เลียนเครื่องหมายการคา้ ของผอู้ ่ืนหมายถึงทาใหค้ ลา้ ยคลึง ผิดกบั ปลอมเพราะปลอม
หมายถึงทาใหเ้ หมือน
การเลียนน้นั ไม่ไดท้ าให้เหมือนกนั แตท่ าใหค้ ลา้ ยคลึงกบั เครื่องหมายการคา้ ท่ีถกู เลียน
ในสาระสาคญั
หากสงั เกตกจ็ ะเห็นความแตกตา่ งแต่ถา้ ไม่พจิ ารณาใหด้ ีก็จะทาใหห้ ลงผิดคดิ วา่ เป็น
เคร่ืองหมายการคา้ ที่ถูกเลียน ทาใหผ้ อู้ ่ืนสับสนในเคร่ืองหมายการคา้ ได้ (สุรศกั ด์ิ ลิขสิทธ์ิวฒั นกุล,
2548, หนา้ 205)
ถา้ ทาใหด้ ูเหมือนกนั ทุกประการก็เป็นเร่ืองปลอม
ถา้ มีความแตกต่างกนั ในสาระสาคญั ของตวั เคร่ืองหมายการคา้ และยงั มีส่วนประกอบ
อื่น ๆ ที่แตกตา่ งกนั อีกเช่น ลวดลายตวั อกั ษรตาแหน่งของรูปภาพ ซ่ึงใคร ๆ ดูแลว้ กร็ ู้วา่ แตกตา่ งกนั
เช่นน้ียอ่ มไม่เป็นการเลียน
การเลียนเครื่องหมายการคา้ ตอ้ งกระทาเพอื่ ประชาชนหลงเชื่อวา่ เป็นเคร่ืองหมายการคา้ ของผอู้ ื่น
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 3172/2532 สินคา้ ที่มีเครื่องหมายการคา้ ที่เลียนแบบเครื่องหมายการคา้
ของผอู้ ่ืนติดประทบั ไวย้ อ่ มเป็นทรัพยท์ ี่ใชใ้ นการกระทาความผดิ ศาลมีอานาจริบไดต้ ามมาตรา 33
(1)
คาพิพากษาฎีกาที่ 612/2504 รูปลกั ษณะเคร่ืองหมายการคา้ ของโจทกจ์ าเลยคลา้ ยคลึงกนั
อนั จะแสดงวา่ จาเลยเลียนของโจทกห์ รือไม่ เป็นขอ้ ท่ีศาลพึงพิจารณารู้ไดเ้ องเช่นบุคคลทว่ั ไปควร
265
จะรู้กนั ดงั น้นั แมศ้ าลจะเพยี งตรวจดูรูปลกั ษณะเคร่ืองหมายการคา้ ของโจทกป์ ระกอบพยาน
เอกสารโดยไมส่ ืบพยานบุคคลก็ชอบที่จะทาได้
คาพิพากษาฎีกาท่ี 655/ 2507 การที่จะวินิจฉยั วา่ ไดม้ ีการเลียนแบบเครื่องหมายการคา้
หรือไม่น้นั ไม่ใช่วา่ เครื่องหมายการคา้ จะตอ้ งเหมือนกนั ทุกส่ิงทุกอยา่ ง แต่ตอ้ งวินิจฉยั ดว้ ยวา่
เคร่ืองหมายการคา้ น้นั ชวนใหเ้ ห็นวา่ มีลกั ษณะทานองเดียวกนั อนั อาจทาใหป้ ระชาชนหลงผิดได้
หรือไม่ดว้ ย
ความผิดฐานนาเข้าหรื อจาหน่ ายสิ นค้ าท่ีมีเคร่ื องหมาย
มาตรา 275 นาเข้าสินค้าท่ีปลอมหรือเลยี นเครื่องหมายการค้า
ผกู้ ระทาตอ้ งรู้วา่ สินคา้ ท่ีตนนาเขา้ ในราชอาณาจกั รมีช่ือรูปรอยประดิษฐใ์ นทางการคา้
ของผอู้ ื่นตามมาตรา 272 (1) รู้วา่ สินคา้ ท่ีมีเครื่องหมายการคา้ ปลอมตามมาตรา 273 หรือเลียน
เคร่ืองหมายการคา้ ของผอู้ ่ืนตามมาตรา 274
คาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 6583/2541 จาเลยท้งั สองรู้อยแู่ ลว้ วา่ สุราของกลางที่จาเลยท้งั สอง
นาส่งออกไปขายแก่ผซู้ ้ือต่างประเทศน้นั เป็นสุราปลอมซ่ึงบรรจุขวดและปิ ดฉลากท่ีมีช่ือ รูป รอย
ประดิษฐแ์ ละขอ้ ความในการประกอบการคา้ ของโจทกร์ ่วม เพ่ือใหผ้ อู้ ่ืนเขา้ ใจวา่ เป็นสินคา้ สุราที่
แทจ้ ริงของโจทกร์ ่วม เป็นความผิดฐานจาหน่ายสินคา้ ที่มีช่ือ รูป รอยประดิษฐ์หรือขอ้ ความใด ๆใน
การประกอบการคา้ ของผอู้ ื่นมาใชต้ ามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 275
ความผดิ ฐานนาเขา้ สินคา้ ท่ีปลอมหรือเลียนเครื่องหมายการคา้ ของผอู้ ่ืนนอกจากจะตอ้ ง
รับผิดตามมาตราน้ีแลว้ ยงั ตอ้ งรับผดิ ตามพระราชบญั ญตั ิเคร่ืองหมายการคา้ พ.ศ. 2534 อีกดว้ ย หาก
นาเขา้ มาในราชอาณาจกั รก็ตอ้ งถกู ริบตามกฎหมาย (สุรศกั ด์ิ ลิขสิทธ์ิวฒั นกุล, 2548, หนา้ 209)
ลกั ษณะ 9 ความผิดเกยี่ วกบั เพศ
ข่มขืนกระทาชาเรา
หมายเหตทุ า้ ยพระราชบญั ญตั ิแกไ้ ขเพมิ่ เติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบบั ท่ี 27) พ.ศ.2562
ดงั น้ี “เหตผุ ลในการประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั ิฉบบั น้ี คือ โดยท่ีเป็นการสมควรปรับปรุงบทนิยาม
คาว่า “กระทาชาเรา” ในบทบญั ญตั ิความผิดเกี่ยวกับเพศและบทบญั ญัติความผิดเกี่ยวกับศพใน
ประมวลกฎหมายอาญาให้ชดั เจนและสอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะการกระทาชาเราตามธรรมชาติ และ
ปรับปรุงบทบญั ญตั ิความผิดเก่ียวกบั เพศบางประการเพื่อเพม่ิ ประสิทธิภาพในการบงั คบั ใชก้ ฎหมาย
และเพ่ือให้ความคุม้ ครองบุคคลซ่ึงถูกกระทาทางเพศกลุ่มต่าง ๆ มากยิ่งข้ึน เช่น เด็ก ผูอ้ ยู่ภายใต้
อานาจของผกู้ ระทา และผซู้ ่ึงไม่สามารถปกป้องตนเองได้ อีกท้งั เพื่อป้องปรามมิให้มีการกระทาท่ี
266
เป็นการเอาเปรียบหรือรับประโยชน์จากผซู้ ่ึงคา้ ประเวณีหรือจากการคา้ ประเวณี จึงจาเป็นตอ้ งตรา
พระราชบญั ญตั ิน้ี”
“ลกั ษณะการกระทาชาเราตามธรรมชาติ” ในความคิดเห็นของผเู้ ขยี นเห็นดว้ ยวา่ ควรให้
ความหมายท่ีชดั เจนเพื่อป้องกนั ปัญหาการตีความและบงั คบั ใชก้ ฎหมาย ยกตวั อยา่ ง การสอดใส่
ลว่ งล้าโดยอวยั วะเพศกระทาต่อบคุ คลอ่ืน เพ่ือสนองความใคร่ของตนเอง โดยบุคคลผถู้ ูกกระทา
ไมไ่ ดย้ นิ ยอม
มาตรา 276 ข่มขืนผ้อู ่ืน
พระราชบญั ญตั ิแก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบบั ที่ 27) พ.ศ. 2562ให้ไว้ ณ
วนั ท่ี 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
มาตรา 1 (18) “กระทาชาเรา” หมายความวา่ กระทาเพื่อสนองความใคร่ของผกู้ ระทา โดย
การใชอ้ วยั วะเพศของผกู้ ระทาลว่ งลา้ อวยั วะเพศ ทวารหนกั หรือช่องปากของผอู้ ื่น”
“มาตรา 276 ผูใ้ ดข่มขืนกระทาชาเราผูอ้ ่ืนโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กาลงั
ประทษุ ร้ายโดยผอู้ ่ืนน้นั อยใู่ นภาวะท่ีไม่สามารถขดั ขืนได้ หรือโดยทาใหผ้ อู้ ่ืนน้นั เขา้ ใจผิดวา่ ตนเป็น
บคุ คลอ่ืนตอ้ งระวางโทษจาคกุ ต้งั แต่สี่ปี ถึงยส่ี ิบปี และปรับต้งั แตแ่ ปดหม่ืนบาทถึงสี่แสนบาท
ถา้ การกระทาความผิดตามวรรคหน่ึง ไดก้ ระทาโดยทาให้ผถู้ ูกกระทาเขา้ ใจว่าผกู้ ระทามี
อาวุธปื นหรือวตั ถุระเบิด ตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แต่เจ็ดปี ถึงย่ีสิบปี และปรับต้งั แต่หน่ึงแสนส่ีหมื่น
บาทถึงส่ีแสนบาท
ถา้ การกระทาความผิดตามวรรคหน่ึง ไดก้ ระทาโดยมีอาวุธปื นหรือวตั ถุระเบิด หรือโดย
ใชอ้ าวุธหรือโดยร่วมกระทาความผิดดว้ ยกนั อนั มีลกั ษณะเป็นการโทรมหญิงหรือกระทากบั ชายใน
ลกั ษณะเดียวกนั ตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แต่สิบห้าปี ถึงยส่ี ิบปี และปรับต้งั แตส่ ามแสนบาทถึงส่ีแสน
บาท หรือจาคุกตลอดชีวติ
ถา้ การกระทาความผิดตามวรรคหน่ึง เป็ นการกระทาความผิดระหว่างคู่สมรส และคู่
สมรสน้นั ยงั ประสงค์จะอยู่กินดว้ ยกันฉันสามีภริยา ศาลจะลงโทษน้อยกว่าท่ีกฎหมายกาหนดไว้
เพียงใดก็ได้ หรือจะกาหนดเง่ือนไขเพ่ือคุมความประพฤติแทนการลงโทษก็ได้ ในกรณีท่ีศาลมีคา
พิพากษาให้ลงโทษจาคุกและคู่สมรสฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึงไม่ประสงค์จะอยู่กินดว้ ยกันฉันสามีภริยา
ต่อไป และประสงคจ์ ะหยา่ ใหค้ ู่สมรสฝ่ ายน้นั แจง้ ใหศ้ าลทราบ และให้ศาลแจง้ พนกั งานอยั การให้
ดาเนินการฟ้องหยา่ ให”้
267
จากการแกไ้ ขเพิ่มเติมกฎหมายใหม่ดงั กล่าว ทาให้เกิดความชดั เจนคาวา่ “กระทาชาเรา”
เพอ่ื กาหนดนิยาม หรือความหมายของคาดงั กล่าว โดยตดั คาวา่ “ส่ิงอ่ืนใดลว่ งล้าเขา้ ไปในอวยั วะเพศ
หรือทวารหนักของผูอ้ ่ืน” แล้วนาคาน้ี ไปไวใ้ นส่วนของการกระทาในลกั ษณะท่ีเป็ นความผิด
อนาจารตามมาตรา 278 นอกจากน้ี แต่เดิมน้นั ความหมายของคาว่า กระทาชาเราถูกบญั ญตั ิไวใ้ น
วรรคสองของมาตรา 276 ปัจจุบนั มีการตดั วรรคดงั กล่าวออกดว้ ย
นอกจากน้ี ประเด็นเร่ืองการข่มขืนกระทาชาเราคู่สมรสน้นั ให้ถือเป็ นความผิดอนั ยอม
ความไดต้ ามมาตรา 281 ซ่ึงเป็นการเพิ่มเติมเขา้ ไปใหม่ในปี พ.ศ.2562 แต่มีขอ้ ยกเวน้ ว่า การข่มขืนคู่
สมรสน้นั หากเป็นการกระทาต่อหนา้ ธารกานลั ไดร้ ับอนั ตรายสาหสั หรือตาย ในสามกรณีน้ีจะเป็น
ความผิดอาญาแผ่นดิน เน่ืองจาก ประเด็นเร่ืองการข่มขืนคู่สมรสเป็ นประเด็นของบุคคลใน
ครอบครัวหากตามความหมายของมาตราเดิมก่อนการแกไ้ ขน้ี ไม่ไดก้ ลา่ วถึงเร่ืองของการยอมความ
ได้ ท้งั ๆ ท่ี เร่ืองครอบครัวเป็นประเด็นละเอียดอ่อนทางความรู้สึก ซ้าซอ้ น และเป็นปัญหาสงั คมได้
หากท้งั คู่ไดป้ รับความเขา้ ใจแลว้ สมคั รใจจะใชช้ ีวติ ครอบครัวต่อไป ดงั น้นั หากไมก่ าหนดไวใ้ หเ้ ป็น
ความผิดอนั ยอมความได้ จะเกิดปัญหาเรื่องการบงั คบั ใช้กฎหมาย และในขณะเดียวกันอาจเป็ น
ปัญหาสงั คมในรูปแบบอ่ืนๆ ต่อมาได้ ผเู้ ขียนเห็นดว้ ยกบั ประเด็นน้ี ท่ีใหเ้ รื่องของค่สู มรสควรตกลง
ยอมความกนั ได้ หากสามารถคืนดีกนั ในภายหลงั เพ่ือดารงสถานภาพของครอบครัวต่อไป ฉะน้นั
การแกไ้ ขกฎหมายใหม่ จึงเหมาะสมและทนั ต่อเหตุการณ์ปัจจุบนั ไดม้ ากกวา่ เดิม
การพจิ ารณาคาวา่ “ข่มขืน” หมายถึง การข่มขืนใจ คือ กระทาชาเราโดยผอู้ ่ืนมิไดส้ มคั ร
ใจ (ไม่ยนิ ยอม) หากเกิดจากความยนิ ยอมโดยสมคั รใจ ไมใ่ ช่การข่มขืน และการขม่ ขืนอาจทาโดย
วธิ ีอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงก็ไดต้ ามมาตรา 276 (วรี ะวฒั น์ ปวราจารย,์ 2560, เลม่ ที่ 16,หนา้ 134)
ชายหลอกวา่ จะสมรสกบั หญิง หญิงจึงยอมใหช้ ายชาเราถือวา่ หญิงยนิ ยอม ชายไมผ่ ิด
ข่มขืน
คาพิพากษาฎีกาท่ี 2759/2532 แมจ้ าเลยจะไมไ่ ดพ้ ูดหรือมีอาวุธขม่ ขแู่ ตถ่ า้ ตามพฤติการณ์
ผเู้ สียหายกลวั จาเลยเพราะตกอยใู่ นอานาจบงั คบั ของจาเลยจึงไม่กลา้ ขดั ขืนจะถือวา่ ผเู้ สียหายยนิ ยอม
ไม่ได้
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 634/2516 ผเู้ สียหายยอมใหจ้ าเลยท่ี 1 ชาเราโดยสมคั รใจจาเลยที่ 1
ไมผ่ ดิ มาตรา 276 ส่วนจาเลยที่ 2 มาเห็นเขา้ จึงข่ผู เู้ สียหายว่าถา้ ไม่ยอมจะไปโฆษณาใหช้ าวบา้ นฟัง
จึงยอมใหจ้ าเลยท่ี 2 ชาเราเพ่ือปกปิ ดเร่ืองเป็นการสมคั รใจใหจ้ าเลยที่ 2 ชาเรา จาเลยที่ 2 ก็ไมผ่ ดิ
มาตรา 276
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1489/2543 จานวนท่ี 3 ชาเราผเู้ สียหายโดยผเู้ สียหายยนิ ยอมจึงไมผ่ ิด
มาตรา 276 แตก่ ารที่จาเลยที่ 3 ออกจากห้องแลว้ ปลอ่ ยใหจ้ าเลยที่ 1, 2 และพวกอีก 2 คน เวยี นเทียน
268
ผเู้ สียหายโดยจาเลยท่ี 3 ไม่ขดั ขวางหรือหา้ มปรามถือวา่ เป็นการช่วยเหลือหรือใหค้ วามสะดวกก่อน
หรือขณะกระทาความผดิ ฐานขม่ ขนื กระทาชาเราในลกั ษณะเป็นการโทรมหญิง จาเลยที่ 3 ผิดเป็น
ผสู้ นบั สนุนมาตรา 86
คาพิพากษาฎีกาที่ 2073/2537 จาเลยท่ี 1 ชาเราผเู้ สียหายโดยผเู้ สียหายยนิ ยอมจึงไม่ถึง
มาตรา 276 ส่วนจาเลยที่ 2 น้นั ผเู้ สียหายไมย่ นิ ยอม เมื่อการกระทาของจาเลยที่ 1 ไมผ่ ดิ ฐานขม่ ขืน
การกระทาของจาเลยที่ 2 จึงไม่เป็นลกั ษณะโทรมหญิงตามมาตรา 276 วรรคสอง จาเลยที่ 2 คงผิด
แต่มาตรา 276 วรรคแรกเทา่ น้นั
จาเลยท่ี 1 สมคบกบั จาเลยที่ 2 มาก่อนวา่ จะใหจ้ าเลยที่ 2 ชาเราผเู้ สียหายดว้ ยเม่ือจาเลยที่ 1
เสร็จออกจากหอ้ งไปแลว้ ไดเ้ ปิ ดประตใู ห้จาเลยท่ี 2 เขา้ ไปข่มขืนผเู้ สียหายถือเป็นการช่วยเหลือและ
ใหค้ วามสะดวกแก่จาเลยที่ 2 ดงั น้นั จาเลยที่ 1 จึงผิดฐานเป็นผสู้ นบั สนุนจาเลยที่ 2 ในความผิดฐาน
ข่มขนื ผเู้ สียหาย
คาวา่ “หญิง” หมายถึง เพศหญิงตามธรรมชาติซ่ึงสามารถมีบุตรได้
คาพิพากษาฎีกาท่ี 157/2524 ชายท่ีผา่ ตดั แปลงเพศแลว้ ไม่สามารถมีบตุ รไดจ้ ึงไมใ่ ช่หญิง
ตามความหมายของมาตรา 276
นบั ต้งั แตป่ ี พ.ศ. 2550 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย สนบั สนุนเร่ืองความเทา่
เทียมกนั ทางเพศ จึงแกไ้ ขกฎหมายอาญามาตราน้ีใหม่ โดยเปลี่ยนจากเดิม ข่มขืน “หญิงที่ไม่ใช่ภริยา
ของตนเอง” เป็น ข่มขืน “ผอู้ ่ืน” ดงั น้นั คาพพิ ากษาฎีกาน้ี ไม่สามารถเป็นตวั อยา่ งเพอื่ อธิบายมาตรา
267 เพราะปัจจุบนั กฎหมายใชค้ าวา่ “ผอู้ ่ืน” ฉะน้นั หากขม่ ขืนผชู้ ายที่ผา่ ตดั แปลงเพศแลว้ ผกู้ ระทา
ตอ้ งรับผดิ ตามมาตรา 276 ท่ีบงั คบั ใชใ้ นปัจจุบนั
คาวา่ “ข่เู ขญ็ ดว้ ยประการใด ๆ” หมายถึง ทาใหก้ ลวั วา่ จะไดร้ ับอนั ตรายในอนาคตซ่ึงอาจ
เป็นอนั ตรายตอ่ หญิงหรือต่อผอู้ ่ืนท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั หญิงน้นั ก็ไดเ้ ช่นข่วู า่ จะเปิ ดเผยความลบั หรือข่วู า่ จะ
ฆา่ ขวู่ า่ จะส่งไปขายเป็นโสเภณี
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 728/2540 จาเลยที่ 2 ตบหนา้ ผเู้ สียหายแลว้ พูดขวู่ า่ ถา้ ไมย่ อมจาเลย
ท้งั สองใหร้ ่วมประเวณีจะพาผอู้ ื่นอีก 10 คนมาร่วมขม่ ขืน ผเู้ สียหายกลวั ไมก่ ลา้ ขดั ขนื หรือร้องขอให้
คนช่วยจาเลยท้งั สอง ผดิ ฐานข่มขืนกระทาชาเราผเู้ สียหายอนั มีลกั ษณะเป็นการโทรมหญิง
คาวา่ “โดยใชก้ าลงั ประทษุ ร้าย” มาตรา 1 อนุ 6 เป็นการประทุษร้ายแก่กายหรือจิตใจของ
หญิงเช่นใชก้ าลงั จบั แขนขาของหญิงไวแ้ ลว้ ชาเราเป็นการใชก้ าลงั ประทุษร้าย
คาวา่ “โดยผูอ้ ่ืนน้นั อยใู่ นภาวะที่ไม่สามารถขดั ขืนได”้ หมายถึงสภาวะท่ีหญิงจาตอ้ งยอม
โดยไม่สมคั รใจเช่นชาเราผอู้ ่ืนในขณะเมาสุรา,หมดสติ,ถูกโปะยาสลบผดิ มาตรา 276
269
คาวา่ “โดยทาใหผ้ อู้ ื่นน้นั เขา้ ใจผดิ วา่ ตนเป็นบุคคลอื่น” ไม่ใช่เป็นการทาใหส้ าคญั ผิดใน
คุณสมบตั ิของบคุ คลเช่นจาเลยแกลง้ วดิ น้าออกจากเรือ ทาใหห้ ญิงเขา้ ใจผิดวา่ เป็นสามีหญิงกลบั
มาแลว้ ชาเราหญิงโดยหญิงไมร่ ู้สึกตวั และคิดวา่ เป็นสามีจาเลยผิดฐานขม่ ขนื
ขอ้ สังเกต เปรียบเทียบที่มาคาวา่ “กระทาชาเรา” ก่อนการใชป้ ระมวลกฎหมายอาญาปี
พ.ศ. 2562 ไดก้ าหนดความหมายกรณีของการกระทาชาเราไว้ ซ่ึงมาตรา 276 วรรคสองตามพ.ร.บ.
แกไ้ ขเพม่ิ เติม (ฉบบั ที่ 19) พ.ศ.2550 ดงั น้ี คาวา่ “กระทาชาเรา” หมายถึงการร่วมประเวณี อวยั วะ
เพศกระทาตอ่ อวยั วะเพศ หรือทวารหนกั กระทาเพื่อสนองความใคร่ของผกู้ ระทาโดยการใชอ้ วยั วะ
เพศของผกู้ ระทากระทากบั อวยั วะเพศทวารหนกั หรือช่องปากของผอู้ ่ืนหรือการใชส้ ิ่งอื่นใดกระทา
กบั อวยั วะเพศหรือทวารหนกั ของผอู้ ่ืน
1) “กระทาชาเรา” คือ การร่วมประเวณี
2) ผกู้ ระทากบั ผถู้ กู กระทาอาจเป็นเพศเดียวกนั หรือเป็นคสู่ มรสกนั
3) ผกู้ ระทาใชอ้ วยั วะเพศ กระทาตอ่ อวยั วะเพศ ทวารหนกั หรือช่องปากของเหยอื่ หรือ
ใชส้ ่ิงอื่นใด(อวยั วะเพศเทียม นิ้วหรือปาก) กระทาต่ออวยั วะเพศหรือทวารหนกั ของ
เหยอื่
4) การชาเรา ตอ้ งมีการล่วงล้า หรือสอดใส่ (ตามแนวคาพิพากษาฎีกา)
5) เจตนาพเิ ศษ “เพอ่ื สนองความใคร่ของผกู้ ระทา” หาใช่เพ่ือสนองความใคร่ของผอู้ ื่น
หรือเพอ่ื การแสดง
ดงั น้นั หากสงั เกตจะพบวา่ คาพิพากษาฎีกาต้งั แต่ปี พ.ศ. 2550 ถึงปี พ.ศ.2561 ยงั คงตดั สิน
ตามความหมายของคาวา่ กระทาชาเรา ซ่ึงยงั มีลกั ษณะของการกระทาโดยใชส้ ่ิงอื่นใดท่ีไมใ่ ช่อวยั วะ
เพศของผกู้ ระทากระทาต่อผอู้ ื่น เม่ือศึกษาเปรียบเทียบกบั ตวั บทกฎหมายใหม่ในปี .ศ. 2562 จะพบวา่
นิยามคาว่า “กระทาชาเรา” น้นั มีแค่ การใชอ้ วยั วะเพศของผกู้ ระทา ทาต่อผอู้ ื่นเท่าน้นั ท้งั น้ีเพื่อให้
เป็นไปตามหลกั ธรรมชาติและความเขา้ ใจของบุคคลทว่ั ไปในสังคมตามเจตนารมณ์ของการแกไ้ ข
ปรับปรุงกฎหมายใหท้ นั สมยั และเหตกุ ารณ์ปัจจุบนั ดงั น้นั ตวั อยา่ งดงั ตอ่ ไปน้ี คอื การตดั สินโดยอิง
กบั ตวั บทเก่า (พ.ร.บ.แกไ้ ขเพิ่มเติม (ฉบบั ท่ี 19) พ.ศ.2550)
คาพิพากษาฎีกาที่จาเลย 4164/2555 ใชล้ ิน้ เลียท่ีอวยั วะเพศของโจทกร์ ่วม ใชอ้ วยั วะเพศ
ของจาเลยสอดใส่อวยั วะเพศของโจทกร์ ่วมโจทก์ร่วมมีอาการเจ็บ มีอาการอกั เสบเป็นรอยแดง
บริเวณแคมท้งั สองขา้ งรอบปากช่องคลอด สื่อใหเ้ ห็นวา่ จาเลยประสงคจ์ ะใชอ้ วยั วะเพศของจาเลย
สอดใส่อวยั วะเพศของโจทก์ร่วม มิใช่เพยี งการใชอ้ วยั วะเพศของจาเลยถไู ถเฉพาะภายนอกอวยั วะ
เพศของโจทกร์ ่วมโดยไมป่ ระสงคจ์ ะสอดใส่ การกระทาของจาเลยจึงบง่ ช้ีถึงเจตนาของจาเลยที่จะ
ขม่ ขนื กระทาชาเราโจทกร์ ่วม หาใช่มีเจตนาเพียงแคก่ ระทาอนาจารไม่
270
ป.อ. มาตรา 276 วรรคสอง ซ่ึงแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.แกไ้ ขเพิ่มเติม
(ฉบบั ที่ 19) พ.ศ.2550 ตอ้ งการขยายความหมายของการกระทาชาเราว่า นอกจากหมายถึงการใช้
อวยั วะเพศของผูก้ ระทากระทาต่ออวยั วะเพศของผถู้ ูกกระทาแลว้ ยงั รวมถึงการใช้อวยั วะเพศของ
ผูก้ ระทากระทากับทวารหนักหรือช่องปากของผูถ้ ูกกระทาดว้ ย เท่ากับเป็ นการเพิ่มอวยั วะท่ีถูก
กระทาข้ึนใหม่ เพิ่มส่ิงท่ีใชใ้ นการกระทานอกจากจะกระทาชาเราโดยใช้อวยั วะเพศของผูก้ ระทา
กระทากบั อวยั วะเพศ ทวารหนกั หรือช่องปากของผูถ้ ูกกระทาแลว้ ยงั รวมถึงการใช้ส่ิงอ่ืนใด เช่น
การใชอ้ วยั วะเพศเทียมกระทากบั อวยั วะเพศ หรือทวารหนักของผูถ้ ูกกระทาดว้ ย เป็ นกรณีท่ีขยาย
ความหมายของคาว่ากระทาชาเรา ในแง่เพ่ิมส่ิงท่ีใชใ้ นการกระทาและอวยั วะท่ีถูกกระทาข้ึนใหม่
เท่าน้ัน ส่วนกรณีอย่างไรจึงจะเป็ นการกระทาชาเราสาเร็จน้ันก็คงยงั คงมีความหมายอยู่ว่า จะเป็ น
การกระทาชาเราสาเร็จได้ต้องถึงข้ันอวยั วะเพศของผูก้ ระทาล่วงล้าเข้าไปในอวยั วะเพศของ
ผูถ้ ูกกระทา หรือล่วงล้าเขา้ ไปในทวารหนักของผูถ้ ูกกระทา หรือล่วงล้าเขา้ ไปในช่องปากของ
ผถู้ ูกกระทา หากมีการใชส้ ่ิงของอยา่ งอ่ืน เช่น อวยั วะเพศเทียม ส่ิงของอยา่ งน้นั ก็ตอ้ งมีการล่วงล้าเขา้
ไปในอวยั วะเพศ หรือทวารหนกั ของผถู้ กู กระทาเช่นกนั
จาเลยมีเจตนากระทาชาเราโจทกร์ ่วม จาเลยใชอ้ วยั วะเพศของจาเลยถไู ถอวยั วะเพศของ
โจทกร์ ่วมแต่อวยั วะเพศของจาเลยไม่อาจล่วงล้าเขา้ ไปในอวยั วะเพศของโจทก์ร่วมได้ เพราะอวยั วะ
เพศของโจทกร์ ่วมมีขนาดเลก็ ส่วนการใชล้ ิน้ เลียอวยั วะเพศของโจทก์ร่วมก็ไม่ปรากฏวา่ ลิน้ ได้
ลว่ งล้าเขา้ ไปในอวยั วะเพศของโจทกร์ ่วม การกระทาของจาเลยถือไดว้ า่ จาเลยลงมือกระทาชาเรา
แลว้ แตก่ ารกระทาไมบ่ รรลผุ ล จาเลยจึงมีความผดิ ฐานพยายามกระทาชาเราโจทกร์ ่วม
คาพิพากษาฎีกาที่ 1390/2555 ป.อ. มาตรา 277 วรรคสอง ซ่ึงแกไ้ ขใหม่โดย พ.ร.บ.แกไ้ ข
เพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบบั ที่ 19) พ.ศ.2550 เป็ นเพียงการขยายขอบเขตของการกระทา
ชาเราในส่วนของอวยั วะท่ีถูกกระทา ไม่จาเป็นตอ้ งเป็นท่ีอวยั วะเพศ จะเป็นท่ีทวารหนกั หรือท่ีช่อง
ปากก็ได้ และสิ่งท่ีใชใ้ นการกระทาไม่จาเป็นตอ้ งเป็นอวยั วะเพศเท่าน้นั จะเป็นสิ่งอื่นใดก็ได้ ดงั น้นั
การกระทาชาเราไม่วา่ เป็นการกระทากบั อวยั วะเพศ ทวารหนกั หรือช่องปากของผอู้ ่ืนจึงยงั คงตอ้ งมี
การสอดใส่อวยั วะเพศหรือสิ่งอ่ืนใดให้ล่วงล้าเขา้ ไปในอวยั วะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากด้วย
เพราะไมเ่ ช่นน้นั แลว้ เพียงการสัมผสั ภายนอกกบั อวยั วะเพศ ทวารหนกั หรือช่องปากของผูอ้ ่ืนไม่ว่า
ดว้ ยอวยั วะส่วนใดหรือดว้ ยวตั ถสุ ่ิงใดกจ็ ะเป็นการกระทาชาเราไปเสียท้งั หมด
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 6323/2557 ป.อ. มาตรา 277 วรรคสอง ใหค้ วามหมายของการกระทา
ชาเราวา่ หมายความวา่ การกระทาเพ่อื สนองความใคร่ของผกู้ ระทาโดยใชอ้ วยั วะเพศของผกู้ ระทา
กระทากบั อวยั วะเพศ ทวารหนกั หรือช่องปากของผอู้ ื่นหรือการใชส้ ่ิงอื่นใดกระทากบั อวยั วะเพศ
หรือทวารหนกั ของผอู้ ่ืน
271
กรณีท่ีผกู้ ระทาใชอ้ วยั วะเพศของตนกระทาชาเรา จะเป็นความผดิ สาเร็จไดต้ ่อเมื่อหาก
เป็นกรณีชายกระทาตอ่ หญิง ตอ้ งเป็นการใชอ้ วยั วะเพศของชายลว่ งล้าหรือสอดใส่เขา้ ไปในอวยั วะ
เพศ ทวารหนกั หรือช่องปากของหญิง
หากเป็นกรณีชายกระทาต่อชายดว้ ยกนั ตอ้ งเป็นการใชอ้ วยั วะเพศของชายผกู้ ระทา
ล่วงล้าหรือสอดใส่เขา้ ไปในทวารหนกั หรือช่องปากของชายผถู้ กู กระทา
หากเป็นกรณีหญิงกระทาตอ่ ชาย ตอ้ งเป็นกรณีใหอ้ วยั วะเพศชายผถู้ ูกกระทาล่วงล้าเขา้ ไป
ในอวยั วะเพศของหญิงผกู้ ระทา
ส่วนกรณีที่ผกู้ ระทาใชส้ ิ่งอื่นใดกระทาชาเรา จะเป็นความผิดสาเร็จไดต้ ่อเมื่อหากเป็น
กรณีชายกระทาตอ่ หญิง ตอ้ งเป็นการใชส้ ิ่งหน่ึงส่ิงใดลว่ งล้าเขา้ ไปในช่องคลอด หรือทวารหนกั ของ
หญิง
หากเป็นกรณีชายกระทาตอ่ ชายดว้ ยกนั ตอ้ งเป็นการใชส้ ิ่งหน่ึงสิ่งใดลว่ งล้าหรือสอดใส่
เขา้ ไปในทวารหนกั ของผถู้ กู กระทา หรือใหอ้ วยั วะเพศชายของชายผถู้ กู กระทาล่วงล้าหรือสอดใส่
เขา้ ไปในช่องปากหรือทวารหนกั ของผกู้ ระทา
หากเป็นกรณีหญิงกระทาต่อชาย ตอ้ งเป็นการใชส้ ิ่งหน่ึงส่ิงใดล่วงล้าหรือสอดใส่เขา้ ไป
ในทวารหนกั ของชาย หรือใหอ้ วยั วะเพศของชายล่วงล้าหรือสอดใส่เขา้ ไปในช่องปากหรือทวาร
หนกั ของหญิง
หากเป็นกรณีหญิงกระทาตอ่ หญิงดว้ ยกนั ตอ้ งเป็นการใชส้ ่ิงหน่ึงสิ่งใดลว่ งล้าหรือสอด
ใส่เขา้ ไปในช่องคลอดหรือทวารหนกั ของหญิงผถู้ กู กระทา
ดงั น้นั การที่จาเลยท่ี 1 ซ่ึงเป็นชายใชป้ ากอมอวยั วะเพศของผเู้ สียหายท่ี 1 ซ่ึงเป็นเดก็ ชาย
อายุ 11 ปี เศษ จึงถือไดว้ า่ ช่องปากของจาเลยที่ 1 เป็นส่ิงอ่ืนใดท่ีใชก้ ระทากบั อวยั วะเพศของ
ผเู้ สียหายท่ี 1 แลว้ การกระทาของจาเลยท่ี 1 จึงเป็นความผิดตาม มาตรา 277 วรรคสาม
คาพิพากษาฎีกาที่ 5448/2557 5448/2557 การกระทาชาเราตามมาตรา 277 วรรคแรก
หมายถึงการร่วมประเวณีจึงตอ้ งมีการสอดใส่อวยั วะเพศของผูก้ ระทาเขา้ ไปในอวยั วะเพศของอีก
ฝ่ าย และการกระทาชาเราไม่วา่ เป็นการกระทากบั อวยั วะเพศ ทวารหนกั หรือช่องปากของผอู้ ื่นก็
ตอ้ งมีการสอดใส่อวยั วะเพศหรือสิ่งอ่ืนใดให้ล่วงล้าเขา้ ไปเช่นกัน มิฉะน้ันแลว้ เพียงการสัมผสั
ภายนอกก็จะเป็ นการกระทาชาเราไปเสียหมด จาเลยเพียงใชอ้ วยั วะเพศของจาเลยถูไถเสียดสีกับ
อวยั วะเพศของผูเ้ สียหาย โดยเจตนากระทาชาเราแต่เม่ือมิไดส้ อดใส่จึงยงั ไม่เป็ นการกระทาชาเรา
สาเร็จตามมาตรา 277 วรรคสอง จาเลยคงผดิ ฐานพยายามกระทาชาเรา
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 6775/2557 การกระทาชาเราหมายถึงการร่วมประเวณี จึงตอ้ งมีการ
สอดใส่อวยั วะเพศของผกู้ ระทาเขา้ ไปในอวยั วะเพศของอีกฝ่าย เมื่อจาเลยเพยี งใชอ้ วยั วะเพศของตน
272
ถูกไถกบั อวยั วะเพศของผเู้ สียหายจนทาใหเ้ กิดรอยแดงบริเวณรอบแคมเลก็ เทา่ น้นั เม่ือไมไ่ ดส้ อด
ใส่เขา้ ไปจึงไมเ่ ป็นการกระทาชาเราตามมาตรา 277 วรรคสอง เม่ือผเู้ สียหายอายเุ พยี ง 1 ปี เศษ ตาม
พฤติการณ์เห็นไดว้ า่ จาเลยมีเจตนากระทาอนาจารผูเ้ สียหายเท่าน้นั การกระทาของจาเลยจึงเป็น
ความผดิ ตามมาตรา 279 วรรคแรก และฐานทาร้ายร่างกายตามมาตรา 295
กรณีคาพพิ ากษาฎีกาท่ีวนิ ิจฉยั เร่ือง “พยายามกระทาชาเรา”
คาพิพากษาฎีกาที่ 4909-4910/2555 การท่ีจาเลยท่ี 1 พยายามบงั คบั ใหผ้ เู้ สียหายอมอวยั วะ
เพศของตนเป็นการพยายามกระทาชาเราตามความหมายของมาตรา 277 วรรคสอง ท่ีบญั ญตั ิวา่
“การกระทาชาเราตามวรรคหน่ึง หมายความวา่ การกระทาเพื่อสนองความใคร่ของผกู้ ระทาโดยการ
ใชอ้ วยั วะเพศของผกู้ ระทากระทากบั ...ช่องปากของผอู้ ื่น...”
กรณีคาพิพากษาฎีกาที่วินิจฉยั เรื่อง “ไม่เป็นการกระทาชาเรา แต่เป็นอนาจาร” และ กรณี
ท่ีเป็น “กระทาชาเรา”
การตดั สินโดยอิงกบั ตวั บทเก่า (พ.ร.บ.แกไ้ ขเพ่มิ เติม (ฉบบั ที่ 19) พ.ศ.2550) มี
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 15303/2553 ช่องปากเป็นที่วา่ งในปากซ่ึงมีปากเป็นทางเขา้ ออก โดยตอ้ งผา่ นปาก
เขา้ ไปก่อนจึงจะถึงช่องปาก ดงั น้นั การที่จาเลยใหผ้ ูเ้ สียหายท่ี 3 (อายยุ งั ไม่เกิน 13 ปี ) เลียอวยั วะเพศ
ของจาเลย โดยที่อวยั วะเพศของจาเลยไมไ่ ดเ้ ขา้ ไปในปากของผเู้ สียหายที่ 3 ยอ่ มถือไม่ไดว้ า่
จาเลยใชอ้ วยั วะเพศของจาเลยกระทากบั ช่องปากของผเู้ สียหายท่ี 3 จึงไม่เป็นการกระทา
ชาเราตามความหมายของมาตรา 277 วรรคสอง การกระทาของจาเลยจึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา
277 วรรคสาม แต่เป็นการกระทาอนาจารตามมาตรา 279 วรรคแรก
ส่วนการท่ีจาเลยให้ผูเ้ สียหายท่ี 1 อมอวยั วะเพศของจาเลย เป็ นการใช้อวยั วะเพศของ
จาเลย กระทากบั ช่องปากของผูเ้ สียหายท่ี 1 จึงเป็นการกระทาชาเราตามมาตรา 277 วรรคสาม การ
กระทาของจาเลยจึงเป็นความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสาม
(วรี ะวฒั น์ ปวราจารย,์ 2560, เลม่ ที่ 16,หนา้ 141)
อยา่ งไรกต็ าม การพิจารณาเพ่ือแยกความแตกตา่ งระหวา่ งการกระทาชาเรา หรืออนาจาร
ตอ้ งดูเจตนาของผกู้ ระทาผดิ เป็นสาคญั ยกตวั อยา่ งตามคาพิพากษาฎีกาที่ 3824/2562 เจตนาของ
จาเลยคือ ตอ้ งการกระทาชาเราโดยการสอดใส่อวยั วะเพศแต่กระทาไมส่ าเร็จ การกระทาใกลช้ ิด
พร้อมท่ีจะใชอ้ วยั วะเพศของผกู้ ระทาสอดใส่กบั อวยั วะเพศของผเู้ สียหายที่เป็นเด็กแลว้ แตก่ ระทาไป
ไมต่ ลอดเช่นน้ี จะถือวา่ เป็นการพยายามกระทาชาเรา ไม่ใช่การกระทาอนาจาร ดงั น้นั องคป์ ระกอบ
ภายในเร่ืองเจตนาจึงสาคญั เพื่อแยกใหอ้ อกวา่ เป็นความผิดข่มขนื กระทาชาเราหรืออนาจาร
273
“เพื่อสนองความใคร่ของผกู้ ระทา” หาใช่เพอื่ สนองความใคร่ของผอู้ ่ืนหรือเพ่ือการแสดง
หรือเพ่ือการแพทย์
ยกตวั อยา่ ง การรักษาทางการแพทย์ โดยแพทยใ์ ชก้ ลอ้ งส่องทวารหนกั ของคนไขเ้ พื่อการ
ตรวจรักษา ไม่ใช่เป็นการกระทาเพอ่ื สนองความใคร่ของแพทยผ์ ทู้ าการรักษา จึงไมใ่ ช่กรณีของการ
ข่มขืน
มาตรา 276 วรรคสาม ต้องรับโทษหนกั ขึน้
โดยมีหรือใช้อาวธุ ปื น หรือวัตถรุ ะเบดิ
อาวธุ ปื น วตั ถุระเบิด หมายถึง อาวธุ ปื นหรือวตั ถุระเบิดตามพระราชบญั ญตั ิอาวุธปื น
การใชป้ ื นปลอมหรือปื นพลาสติกข่จู ึงไมผ่ ดิ มาตรา 276 วรรคสาม
การใชว้ ตั ถรุ ะเบิดตอ้ งมีสภาพท่ีสามารถระเบิดไดถ้ า้ เป็นวตั ถุระเบิดที่ถกู แกะเอาดิน
ระเบิดออกแลว้ ไมถ่ ือวา่ เป็นวตั ถุระเบิดตามพระราชบญั ญตั ิอาวุธปื นจึงไมผ่ ดิ มาตรา 276 วรรคสาม
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 5793/2544 ปื นพกอดั ลมและลกู กระสุนพลาสติกมิใช่อาวธุ ปื นตาม
พระราชบญั ญตั ิอาวธุ ปื น การที่จาเลยใชว้ ตั ถดุ งั กล่าวในการขเู่ ขญ็ ขม่ ขนื กระทาชาเราผเู้ สียหายจึงไม่
ผดิ มาตรา 276 วรรคสอง (กฎหมายใหม่ อยใู่ นมาตรา 276 วรรคสาม)
ดงั น้นั หากเป็นส่ิงเทียมอาวุธปื นพกอดั ลมชนิดใชย้ งิ กบั ลกู กระสุนพลาสติกทรงกลม ซ่ึง
ใชย้ งิ ทาอนั ตรายแก่ชีวิตและวตั ถไุ มไ่ ด้ เช่นน้ี ไม่ผิด มาตรา 276 วรรคสามน้ี
ถา้ การกระทาผดิ ตามวรรคแรกไดก้ ระทาโดยมีหรือโดยใชอ้ าวธุ ปื นหมายถึงในการขม่ ขืน
น้นั ไม่วา่ ผกู้ ระทาจะมีอาวุธปื นแต่ไมไ่ ดใ้ ชห้ รือมีอาวุธปื นและใชอ้ าวุธปื นน้นั ดว้ ยกเ็ ป็นกรณีตอ้ ง
ลงโทษตามวรรคสามดว้ ยท้งั สิ้น
คาพิพากษาฎีกาท่ี 6336/2534 แมจ้ าเลยข่มขนื ผเู้ สียหายโดยมีอาวธุ ปื นแตม่ ิไดใ้ ชอ้ าวธุ ปื น
น้นั จาเลยกย็ งั มีความผดิ มาตรา 276 วรรคสอง (กฎหมายใหม่ อยใู่ นมาตรา 276 วรรคสาม)
โทรมผู้อื่น
ผกู้ ระทาตอ้ งรับโทษหนกั ข้ึน หากเป็นการโทรมหญิง หรือ โทรมชาย ซ่ึงอาจเป็นกรณี
ชายโทรมหญิง หญิงโทรมชาย ชายโทรมชาย หญิงโทรมหญิง
คาวา่ “โทรมหญิง” หมายถึง ตอ้ งมีลกั ษณะผลดั เปลี่ยนกนั ข่มขนื กระทาชาเราต้งั แต่สอง
คนข้นึ ไป หญิงถูกชายต้งั แต่ 2 คนข้ึนไปข่มขืนอยา่ งนอ้ ยคนละ 1 คร้ัง แมก้ ารกระทาของชายคนที่ 2
จะอยใู่ นข้นั พยายามกถ็ ือเป็นการโทรมหญิงแลว้
274
กรณีท่ีมีชาย 2 คนข่มขนื เขา้ ลกั ษณะโทรมหญิงแลว้ แมผ้ รู้ ่วมกระทาผิดคนอื่น ๆ แต่ยงั
ไมไ่ ดข้ ่มขนื เช่นยนื รอท่ีจะข่มขืน ช่วยจบั มือจบั ขา นง่ั ขวางประตไู ม่ใหห้ ญิงหลบหนี ผรู้ ่วมก็มี
ความผดิ ฐานร่วมกนั ขม่ ขืนอนั เป็นการโทรมดว้ ย
แตถ่ า้ ชายท่ีลงมือขม่ ขนื มีเพียงหน่ึงคนแมจ้ ะมีคนช่วยจบั มือจบั ขาหญิงใหช้ ายข่มขนื น้นั
มีหลายคนกไ็ มใ่ ช่การโทรมหญิง เป็นเพียงตวั การร่วมในความผดิ ข่มขนื ตามมาตรา 276 วรรคแรก
เท่าน้นั
คาพิพากษาฎีกาท่ี 468/2534 จาเลยท้งั สองช่วยกนั จบั แขนขาของผเู้ สียหายเพอ่ื ให้ พ.
ข่มขืน จาเลยท้งั สองจึงเป็นตวั การร่วมในความผดิ ข่มขืนแต่ไม่ใช่การขม่ ขนื ในลกั ษณะที่เป็นการ
โทรมหญิง (กฎหมายอาญาปี พ.ศ. 2550 อยใู่ นมาตรา 276 วรรคสาม)
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 3007/2532 (ประชุมใหญ่) จาเลยกบั พวกบุกรุกบา้ นผเู้ สียหายเวลา
กลางคืนจาเลยมีมีดพวกจาเลยมีปื นจาเลยใชม้ ีดจ้ีผเู้ สียหายบงั คบั กระทาชาเรา พวกจาเลยใชป้ ื น
บงั คบั เพ่ือนของผเู้ สียหายอีกคนกระทาชาเราจาเลยผิดฐานร่วมกนั ขม่ ขืนกระทาชาเราหญิงซ่ึงมิใช่
ภรรยาของตน โดยข่เู ขญ็ ใชก้ าลงั ประทษุ ร้ายและไดร้ ่วมกนั กระทาโดยมีหรือใชอ้ าวธุ ปื นตาม
มาตรา 276 วรรคสองเม่ือจาเลยขม่ ขนื ผเู้ สียหายแลว้ พวกจาเลยไดผ้ ละจากเพื่อนของผเู้ สียหายมา
ข่มขืนผเู้ สียหายตอ่ อีก แมจ้ าเลยจะไมส่ ามารถสอดใส่ได้ แตไ่ ดล้ งมือถึงข้นั พยายามแลว้ การที่
จาเลยกบั พวกผลดั เปล่ียนกนั ชาเราผเู้ สียหายต่อเนื่องกนั ถือไดว้ า่ ร่วมกนั ชาเราผเู้ สียหายอนั มีลกั ษณะ
เป็นการโทรมหญิงตามมาตรา 276 วรรคสอง (กฎหมายปี 2550 อยใู่ นมาตรา 276 วรรคสาม)
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1202/2529 (ประชุมใหญ่) การโทรมหญิงตอ้ งมีลกั ษณะการร่วมกนั
ผลดั เปลี่ยนกนั ข่มขืนกระทาชาเราต้งั แต่ 2 คนข้ึนไป จาเลยท่ี 1 ขม่ ขนื ผเู้ สียหายเพยี งคนเดียวจาเลย
ที่ 2 ไดแ้ ตก่ อดจูบและกดให้จาเลยท่ี 1 ขม่ ขนื ผเู้ สียหายเทา่ น้นั แมจ้ าเลยท่ี 2 จะมีเจตนาจะขม่ ขืน
ผเู้ สียหายต่อจากจาเลยท่ี 1 แต่มีคนมาขดั ขวางเสียก่อน จาเลยที่ 2 จึงข่มขนื ไม่ได้ ลกั ษณะการกระทา
ดงั กลา่ วเป็นเพยี งตวั การร่วมกระทาชาเราดว้ ยกรณีไม่เขา้ ลกั ษณะโทรมหญิงตามมาตรา 276 วรรค 2
(กฎหมายปี 2550 อยใู่ นมาตรา 276 วรรคสาม)
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 2007/2530 จาเลยจากแขนขาผเู้ สียหายใหเ้ พอ่ื นจาเลยข่มขนื จนสาเร็จ
ความใคร่ถึง 2 คนแมจ้ าเลยจะไม่ไดช้ าเราดว้ ยก็ตามถือวา่ จาเลยเป็นตวั การโทรมหญิงแลว้ (กฎหมาย
ปี 2550 อยใู่ นมาตรา 276 วรรคสาม)
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 2200/2527 พวกจาเลยบางคนไดข้ ่มขืนแลว้ บางคนกาลงั ข่มขืนอยจู่ าเลยท่ี
2 ถอดกางเกงรออยพู่ ร้อมจะขม่ ขนื แมย้ งั ไม่ทนั ไดข้ ม่ ขนื เพราะมีคนอื่นมาเห็นก่อนจึงหลบหนีไป
เสียก่อนก็ไดช้ ่ือวา่ เป็นผรู้ ่วมกระทาความผิดโทรมหญิงแลว้ (กฎหมายปี 2550 อยใู่ นมาตรา 276
วรรคสาม)
275
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1715/2528 ก่อนเกิดเหตุจาเลยอยใู่ นกลุม่ พวกที่ร่วมขม่ ขนื ผูเ้ สียหาย
ขณะเกิดเหตุจาเลยนงั่ อยทู่ ี่โต๊ะใกลห้ อ้ งน้าที่เกิดเหตแุ ละหรือถือเส้ือใหเ้ พื่อนท่ีเขา้ ไปข่มขืนและ
ดูตารวจให้ จาเลยเป็นตวั การร่วมในความผิดมาตรา 276 วรรคสองประกอบมาตรา 83 แลว้
(กฎหมายปี 2550 อยใู่ นมาตรา 276 วรรคสาม)
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1403/2521 จาเลยที่ 2 ถอดกางเกงเหลือเพยี งกางเกงในตวั เดียวนง่ั คอย
ข่มขืนอยขู่ า้ งผเู้ สียหายพร้อมจะขม่ ขนื มีคนต่อไป แมย้ งั ไม่ไดล้ งมือกไ็ ดช้ ่ือวา่ เป็นผรู้ ่วมกระทาผดิ
กบั จาเลยท่ี 1 กบั พวกดว้ ยแลว้ การร่วมกนั ข่มขืนกระทาชาเราอนั มีลกั ษณะโทรมหญิงน้นั จะตอ้ งคอย
ก่อนหลงั กนั อยจู่ าเลยท่ี 1 ไดข้ ม่ ขืนแลว้ คอ่ ยพูดขไู่ มใ่ หผ้ เู้ สียหายร้องและใหพ้ วกจาเลยคนตอ่ ไป
ข่มขืนต่อไป (กฎหมายปี 2550 อยใู่ นมาตรา 276 วรรคสาม)
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1965/2524 จาเลยขม่ ขนื ผเู้ สียหายไปแลว้ ออกจากหอ้ งมาเรียกลูกจา้ ง
ของจาเลยไปข่มขืนตอ่ โดยจาเลยมิไดร้ ่วมดว้ ยในตอนน้นั จึงไม่เขา้ ลกั ษณะโทรมหญิงมาตรา 276
วรรค 2 จาเลยผิดมาตรา 276 วรรคแรกเทา่ น้นั (กฎหมายปี 2550 อยใู่ นมาตรา 276 วรรคสาม)
ข้อสังเกต
1. จาเลยกบั ลกู จา้ งไมไ่ ดค้ บคดิ กนั มาก่อนเป็นเรื่องตา่ งคนตา่ งทาจึงไมเ่ ป็นโทรมหญิง
แตก่ ารท่ีจาเลยเรียกลกู จา้ งเขา้ ไปขม่ ขืนน้นั เป็นการใหค้ วามสะดวกแก่ลูกจา้ งของจาเลยท่ีจะกระทา
ผดิ จาเลยจึงเป็นผสู้ นบั สนุนในความผิดข่มขืนมาตรา 276 ประกอบมาตรา 86
2. หากจาเลยและลูกจา้ งเขาคดิ กนั มาก่อนและไดห้ มุนเวยี นกนั ข่มขืนแมข้ ณะท่ีแต่ละคน
ข่มขืนอีกคนหน่ึงจะไมไ่ ดอ้ ยู่ในหอ้ งดว้ ยก็ถือวา่ เป็นตวั การในการโทรมหญิงไม่ใช่ผสู้ นบั สนุน
คาพิพากษาฎีกาที่ 1267/2536 จาเลยข่มขืนเสร็จแลว้ ออกจากหอ้ ง วรรคเขา้ ไปขม่ ขืนต่อ
สลบั กนั ไปแมม้ ิไดอ้ ยใู่ นหอ้ งในขณะท่ีคนอ่ืนข่มขืนอยแู่ ต่จาเลยกบั พวกไดก้ ระทาในลกั ษณะ
ติดต่อกนั จึงเป็นการสมคบกนั กระทาความผดิ อนั เป็นลกั ษณะโทรมหญิง
มาตรา 276 วรรคส่ี ข่มขืนคู่สมรส
คสู่ มรสกระทาชาเราคูส่ มรสของตนเอง และค่สู มรสน้นั ยงั ประสงคจ์ ะอยกู่ ินดว้ ยกนั ฉนั
สามีภริยา ศาลมีอานาจลงโทษนอ้ ยกวา่ ที่กาหนดกาหนดเพียงใดกไ็ ดห้ รือ กาหนดเง่ือนไขเพ่ือคุม
ประพฤติแทนการลงโทษ
แต่หากคูส่ มรสประสงคจ์ ะหยา่ จากกนั กฎหมายใหค้ ู่สมรสฝ่ายน้นั แจง้ ใหศ้ าลทราบ และ
ใหศ้ าลแจง้ พนกั งานอยั การใหด้ าเนินการฟ้องหยา่ ให้ (วีระวฒั น์ ปวราจารย,์ 2560, เล่มที่ 16,หนา้
147-148)
276
มาตรา 277 กระทาชาเราเดก็ อายไุ มเ่ กิน 15 ปี
มาตราน้ีมีการแกไ้ ขใหม่ในปี พ.ศ.2558 โดยท่ีเดก็ น้นั จะเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชาย
ผกู้ ระทาความผดิ ก็ตอ้ งรับโทษตามมาตรา 277 นอกจากน้ี ผกู้ ระทาความผดิ อาจเป็นผหู้ ญิงกระทา
ตอ่ เด็กหญิงหรือเด็กชายกไ็ ด้
ไมว่ า่ เด็กน้นั จะยนิ ยอมหรือไมย่ นิ ยอมใหก้ ระทาชาเราก็เป็นความผดิ ท้งั สิ้น
อายเุ ดก็ เป็นขอ้ เทจ็ จริงท่ีเป็นองคป์ ระกอบความผิด โดยนบั อายเุ ดก็ ใหเ้ ริ่มนบั แตว่ นั เกิด
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 7841/2552 มาตรา 16 ป.พ.พ. บญั ญตั ิวา่ การนบั อายขุ องบคุ คลใหเ้ ริ่ม
นบั แต่วนั เกิด ผเู้ สียหายที่ 1 เกิดเมื่อวนั ท่ี 5 มีนาคม 2532 จึงตอ้ งนบั อายตุ ้งั แตว่ นั เกิด คือนบั ต้งั แต่
วนั ท่ี 5 มีนาคม 2532 เป็นหน่ึงวนั เตม็ ผเู้ สียหายที่ 1 จึงมีอายุ 15 ปี บริบูรณ์ เม่ือวนั ที่ 4 มีนาคม 2547
ตามนยั ป.พ.พ. มาตรา 193/5 คดีไดค้ วามวา่ เหตุเกิดวนั ท่ี 5 มีนาคม 2547 เวลาประมาณ 2 นาฬิกา
ดงั น้นั ขณะเกิดเหตุผเู้ สียหายท่ี 1 จึงมีอายเุ กินกวา่ 15 ปี บริบูรณ์แลว้ การกระทาของจาเลยท่ี 1 และท่ี
2 จึงขาดองคป์ ระกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 227 จาเลยที่ 1 และท่ี 2 ไมม่ ีความผิดตามบทบญั ญตั ิ
มาตราน้ีและแมจ้ ะมีบทบญั ญตั ิความผดิ ฐานขม่ ขนื กระทาชาเราในมาตรา 276 แตเ่ ม่ือผเู้ สียหายท่ี 1
ยนิ ยอมการกระทาของจาเลยท่ี 1 และที่ 2 ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 276 เช่นกนั ส่วนการกระทา
ของจาเลยที่ 1 และที่ 2 น้นั ไมเ่ ป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 317 แต่ก็เป็นความผิดฐานพรากผเู้ ยาว์
อายกุ วา่ สิบหา้ ปี แต่ไมเ่ กินสิบแปดปี ไปเสียจากบิดามารดา ผปู้ กครองหรือผดู้ ูแลเพ่ือการอนาจารโดย
ผเู้ ยาวน์ ้นั เตม็ ใจไปดว้ ย ตาม ป.อ. มาตรา 319
ศาลจะวนิ ิจฉยั จากพยานหลกั ฐานท่ีโจทกแ์ ละจาเลยนาสืบและตอ้ งเป็นขอ้ เทจ็ จริงที่อยใู่ น
สานวนเช่นสูติบตั ร สาเนาทะเบียนบา้ นแตย่ งั ไม่แน่นอนเพราะอาจมีการแจง้ เกิดชา้ ก็เป็นได้ คาเบิก
ความพยานวา่ ผกู ขอ้ มือเป็นสามีภรรยากนั มีการถา่ ยรูปไวด้ ว้ ย,คาเบิกความของผเู้ สียหายเองวา่
ผเู้ สียหายรักกบั ผกู้ ระทาผดิ และผเู้ สียหายบอกกบั ผกู้ ระทาผดิ วา่ มีอายุ 18 ปี
คาพิพากษาฎีกาที่ 6419/2537 คาพพิ ากษาฎีกาที่ 5176/ 2537 ผกู้ ระทาอาจไม่รู้ขอ้ เทจ็ จริง
น้ีก็ไดถ้ า้ ผกู้ ระทาความผดิ สาคญั ผิดเกี่ยวกบั อายขุ องผเู้ สียหายก็เป็นเรื่องตามมาตรา 62 วรรคแรก
นกั วชิ าการบอกวา่ น่าจะเขา้ มาตรา 59 วรรค 3 คอื เป็นการไม่รู้ขอ้ เทจ็ จริงท่ีเป็น
องคป์ ระกอบของความผิดจะถือวา่ มีเจตนาไม่ไดไ้ มใ่ ช่เป็นเรื่องสาคญั ผิดตามมาตรา 62 วรรคแรก
ขอ้ สงั เกต การสาคญั ผิดในขอ้ เทจ็ จริง จะอา้ งต่อเม่ือมีขอ้ เทจ็ จริงอยอู่ ยา่ งชดั เจน มิใช่การ
กลา่ วลอย ๆ ของผกู้ ระทาผดิ เทา่ น้นั เช่น ผเู้ สียหายมีรูปร่างสูงใหญ่เท่าจาเลย พูดจาฉะฉานอยา่ ง
ผใู้ หญ่ และทางานโรงงานซ่ึงรับคนที่มีอายุ 17 ปี ข้นึ ไปเขา้ ทางานทาใหค้ นทว่ั ไปเขา้ ใจว่าอายเุ กิน
15 ปี ผกู้ ระทาผิดกเ็ ขา้ ใจเช่นน้นั
277
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1717/2543 จาเลยมีอาชีพรับราชการแต่รับจา้ งสอนขบั รถดว้ ยวนั เกิด
เหตไุ ดพ้ าผเู้ สียหายไปขบั รถไกลประมาณ 60 กิโลเมตรนานกวา่ เวลาปกติจาเลยเบิกความทานองวา่
ผเู้ สียหายมีใจใหเ้ ป็นการฉวยโอกาสจากความไร้เดียงสาของเด็กและในช้นั จบั กมุ สอบสวนก็มิได้
แสดงวา่ จาเลยสาคญั ผิดในเรื่องอายขุ องผเู้ สียหายแต่อยา่ งใดอนั จะเป็นองคป์ ระกอบมาตรา 62
วรรคแรกซ่ึงตอ้ งมีพฤติการณ์หรือเหตชุ กั จูงใจใหส้ าคญั ผิดโดยทุจริตมิใช่คาดเดาเอาเอง เม่ือกระทา
ชาเราเดก็ หญิงอายไุ ม่เกิน 15 ปี จึงผดิ มาตรา 277 วรรคแรก และพาผเู้ สียหายเขา้ โรงแรมเป็นการล่วง
อานาจปกครองของมารดาผเู้ สียหายโดยปราศจากเหตุอนั สมควรเพอ่ื การอนาจารจึงผดิ มาตรา 317
วรรคสามดว้ ย
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 4698/2540 ตามทะเบียนบา้ นเกิด 4 พฤษภาคม 2523 หลงั เกิดเหตุ
ผเู้ สียหายกบั จาเลยไดผ้ กู ขอ้ มือเป็นสามีภรรยาต่อมาเพิ่งทราบวา่ จาเลยมีภรรยาแลว้ จึงมาแจง้ ความ
จาเลยใหก้ ารช้นั สอบสวนวา่ ผเู้ สียหายมีรูปร่างสูงใหญ่และผเู้ สียหายบอกจาเลยวา่ อายุ 18 ปี เเละ
จาเลยไม่ทราบวา่ ผเู้ สียหายอายไุ ม่เกิน 15 ปี ขอ้ เทจ็ จริงจึงไม่พอฟังวา่ จาเลยกระทาชาเราผเู้ สียหาย
โดยรู้อยวู่ า่ ผเู้ สียหายมีอยไู่ มเ่ กิน 15 ปี เป็นการสาคญั ผิดในขอ้ เทจ็ จริงอนั เป็นองคป์ ระกอบความผดิ
มาตรา 277 วรรคหน่ึงประกอบมาตรา 62 วรรคหน่ึง จาเลยจึงไมม่ ีความผิดตามท่ีโจทกฟ์ ้อง
คาพิพากษาฎีกาท่ี 767/2544 ความผดิ พรากเดก็ และพรากผเู้ ยาวเ์ ป็นกระทาต่อบิดามารดา
ผปู้ กครองและเป็นความผิดสาเร็จต้งั แต่จาเลยไดพ้ าหรือแยกเดก็ ออกจากความปกครองดูแลของบิดา
มารดา การท่ีบิดามารดาไดร้ ับค่าสินไหมทดแทนและศาลอนุญาตใหแ้ ต่งงานเป็นเรื่องท่ีเกิดข้นึ
ภายหลงั และความผดิ พรากเด็กหรือผูเ้ ยาวไ์ ม่มีบทยกเวน้ โทษใหแ้ ก่ผกู้ ระทาผดิ อยา่ งเช่นเรื่องกระทา
ชาเราเด็กตามมาตรา 277 วรรค 4
คาพิพากษาฎีกาที่ 6419/2537 ขณะเกิดเหตเุ ดก็ หญิงอายุ 13 ปี แต่มีรูปร่างสมบูรณ์กวา่ เด็ก
ปกติทว่ั ไปจนจาเลยสาคญั ผดิ วา่ มีอายุ 17 ปี จาเลยยอ่ มไดป้ ระโยชนต์ ามมาตรา 62 วรรคแรก
ต่อมาในปี พ.ศ.2562 ไดม้ ีการแกไ้ ขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายอาญาโดยให้ความหมาย
ของคาว่า กระทาชาเรา ไวใ้ นนิยามมาตรา 1 (18) ทาให้ตอ้ งปรับแกใ้ นมาตรา 276 และมาตรา 277
ดว้ ยเช่นกนั ดงั น้ี
“มาตรา 277 ผใู้ ดกระทาชาเราเด็กอายยุ งั ไม่เกินสิบหา้ ปี ซ่ึงมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดย
เด็กน้นั จะยนิ ยอมหรือไม่ก็ตาม ตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แต่ห้าปี ถึงยี่สิบปี และปรับต้งั แต่หน่ึงแสน
บาทถึงส่ีแสนบาท
ถา้ การกระทาความผิดตามวรรคหน่ึง เป็นการกระทาแก่เด็กอายุยงั ไม่เกินสิบสามปี ตอ้ ง
ระวางโทษจาคุกต้งั แต่เจ็ดปี ถึงยี่สิบปี และปรับต้งั แต่หน่ึงแสนสี่หมื่นบาทถึงสี่แสนบาท หรือจาคุก
ตลอดชีวติ
278
ถา้ การกระทาความผิดตามวรรคหน่ึงหรือวรรคสอง ไดก้ ระทาโดยทาให้ผูถ้ ูกกระทา
เขา้ ใจวา่ ผกู้ ระทามีอาวุธปื นหรือวตั ถุระเบิด ตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แต่สิบปี ถึงยสี่ ิบปี และปรับต้งั
แต่สองแสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจาคุกตลอดชีวิต
ถา้ การกระทาความผิดตามวรรคหน่ึงหรือวรรคสอง ไดก้ ระทาโดยมีอาวุธปื นหรือวตั ถุ
ระเบิดหรือโดยใช้อาวุธ หรือโดยร่วมกระทาความผิดดว้ ยกนั อนั มีลกั ษณะเป็ นการโทรมเด็กหญิง
หรือกระทากบั เดก็ ชายในลกั ษณะเดียวกนั ตอ้ งระวางโทษจาคุกตลอดชีวติ
ความผิดตามที่บญั ญตั ิไวใ้ นวรรคหน่ึง ถา้ เป็นการกระทาโดยบุคคลอายุไม่เกินสิบแปดปี
กระทาตอ่ เดก็ ซ่ึงมีอายกุ วา่ สิบสามปี แตย่ งั ไมเ่ กินสิบห้าปี โดยเด็กน้นั ยนิ ยอม ศาลท่ีมีอานาจพิจารณา
คดีเยาวชนและครอบครัวจะพิจารณาให้มีการคุม้ ครองสวสั ดิภาพของเด็กผู้ถูกกระทาหรือผกู้ ระทา
ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการคุม้ ครองเด็กแทนการลงโทษก็ได้ ในการพิจารณาของศาล ให้
คานึงถึงอายุ ประวตั ิ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ
ส่ิงแวดลอ้ มของผกู้ ระทาความผดิ และเดก็ ผถู้ กู กระทา ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผกู้ ระทาความผิดกบั เด็ก
ผถู้ ูกกระทา หรือเหตุอื่นอนั ควรเพ่ือประโยชน์ของเด็กผถู้ ูกกระทาดว้ ยในกรณีที่ไดม้ ีการดาเนินการ
คุม้ ครองสวสั ดิภาพของเด็กผถู้ ูกกระทาหรือผกู้ ระทาความผิดตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการคุม้ ครองเด็ก
แลว้ ผกู้ ระทาความผดิ ไม่ตอ้ งรับโทษ แตถ่ า้ การคมุ้ ครองสวสั ดิภาพดงั กล่าวไมส่ าเร็จ ศาลจะลงโทษ
ผกู้ ระทาความผดิ นอ้ ยกวา่ ที่กฎหมายกาหนดไวส้ าหรับความผิดน้นั เพียงใดกไ็ ด้ ในการพิจารณาของ
ศาล ใหค้ านึงถึงเหตตุ ามวรรคหา้ ดว้ ย”
ตามตวั บทของปี พ.ศ. 2562 น้นั มาตรา 277 การกระทาชาเราเด็ก คาว่า “กระทาชาเรา”
ความหมายเช่นเดียวกบั มาตรา 276 คือตอ้ งมีการกระทาล่วงล้าหรือสอดใส่ ซ่ึงนับต้งั แต่ปี 2562
ความหมายของคาวา่ “กระทาชาเรา” ใหน้ ิยามไวใ้ นมาตรา 1 (8)
คาพิพากษาฎีกาท่ี 8718/2559 จาเลยท่ี 2 ใชม้ ือจบั แขนผเู้ สียหายอายุ 4 ปี เศษ ไวใ้ หจ้ าเลยที่
1 ใชน้ ิ้วมือสอดเขา้ ไปในอวยั วะเพศของผูเ้ สียหาย ถือไดว้ า่ เป็นการกระทาเพ่ือสนองความใคร่ของ
จาเลยท่ี 1 โดยการใช้สิ่งอ่ืนใดกระทากบั อวยั วะเพศของผูเ้ สียหาย อนั เป็ นการกระทาชาเราตาม
ความหมายของ ป.อ. มาตรา 277 วรรคสอง แลว้ การกระทาของจาเลยที่ 1 จึงเป็ นความผิดฐาน
กระทาชาเราเด็กอายยุ งั ไม่เกินสิบสามปี ตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสาม และเป็นความผิดท่ีร่วมกนั
กระทาผิดได้ โดยผรู้ ่วมกระทาผิดไม่จาตอ้ งเป็นผลู้ งมือกระทาชาเราดว้ ยกนั ทุกคน เพยี งแต่คนใดคน
หน่ึงกระทาชาเรา ผูร้ ่วมกระทาผิดทุกคนก็มีความผิดฐานเป็ นตวั การตาม ป.อ. มาตรา 83 ท้งั ป.อ.
มาตรา 277 วรรคหน่ึง บญั ญตั ิแตเ่ พียงวา่ “ผใู้ ดกระทาชาเรา...” หาไดบ้ ญั ญตั ิใหล้ งโทษแตเ่ ฉพาะชาย
เท่าน้นั แมจ้ าเลยท่ี 2 จะเป็นหญิง แต่เมื่อฟังไดว้ า่ ร่วมกบั จาเลยที่ 1 จบั ผูเ้ สียหายข้ึนไปบนบา้ น แลว้
279
จาเลยที่ 2 ใชม้ ือจบั แขนผเู้ สียหายไวใ้ ห้จาเลยที่ 1 กระทาชาเราผเู้ สียหายโดยการใชน้ ิ้วมือกระทากบั
อวยั วะเพศของผเู้ สียหายซ่ึงเป็นเด็กอายยุ งั ไม่เกินสิบสามปี อนั มีลกั ษณะแบง่ หนา้ ที่กนั ทา จาเลยท่ี 2
จึงเป็ นตวั การร่วมกับจาเลยที่ 1 ในการกระทาความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสาม ประกอบ
มาตรา 83
ขอ้ สังเกต ตามคาพิพากษาฎีกาน้ี การใช้นิ้วของผูก้ ระทากบั อวยั วะเพศของผูเ้ สียหาย
ปัจจุบนั ไม่ถือเป็นการ ข่มขืนกระทาชาเราอีกต่อไป ลกั ษณะตามฎีกาน้ี ถือเป็น การกระทาอนาจาร
ตอ่ เดก็ ตามมาตรา 278
คาพิพากษาฎีกาที่ 10012/2557 จาเลยใช้สบู่ถูท่ีอวยั วะเพศผูเ้ สียหายก่อนใส่อวยั วะเพศ
จาเลยเขา้ ไป แสดงว่ามีเจตนาใชอ้ วยั วะเพศล่วงล้ากระทาชาเราผเู้ สียหาย มิใช่เจตนากระทาอนาจาร
เมื่ออวยั วะเพศจาเลยไม่สามารถเขา้ ไปในอวยั วะเพศผเู้ สียหาได้ การกระทาของจาเลยเป็นความผิด
ข้นั พยายามกระทาชาเราผเู้ สียหายเท่าน้นั
แมข้ อ้ เท็จจริงตามที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจาเลยใชน้ ิ้วมือของจาเลยกระทากบั อวยั วะเพศ
ผูเ้ สียหาย แต่ขอ้ เท็จจริงตามท่ีปรากฏในทางพิจารณาได้ความว่าจาเลยใช้อวยั วะเพศและนิ้วมือ
กระทาต่อผูเ้ สียหาย เมื่อความผิดฐานกระทาชาเราผอู้ ่ืนตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสอง บญั ญตั ิถึง
การใชอ้ วยั วะเพศของผูก้ ระทาหรือการใชส้ ่ิงอื่นใดกระทาต่อผูถ้ ูกกระทาเพื่อสาเร็จความใคร่ ซ่ึง
ลว้ นเป็นความผดิ แลว้ จึงเป็นเพียงขอ้ แตกต่างที่มิใช่สาระสาคญั
ขอ้ สังเกต ตามคาพิพากษาฎีกาน้ี การใช้นิ้วของผูก้ ระทากบั อวยั วะเพศของผูเ้ สียหาย
ปัจจุบนั ไม่ถือเป็นการ ข่มขืนกระทาชาเราอีกต่อไป แต่ลกั ษณะตามฎีกาน้ี ขอ้ เทจ็ จริงพบว่า จาเลย
กระทาโดยใชอ้ วยั วะเพศของจาเลยดว้ ยถือเป็น การกระทาขม่ ขืนกระทาชาเราตอ่ เด็กตามมาตรา 277
น้ี
มาตรา 277 วรรคสองกระทาต่อเด็กอายไุ ม่เกิน 13 ปี ผกู้ ระทาตอ้ งรับโทษหนกั ข้ึน
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 3824/2562 พฤติการณ์ที่จาเลยใชแ้ รงกายบงั คบั ฉุดกระชากลากตวั
ผเู้ สียหายเขา้ ไปในหอ้ งน้า ถอดกางเกงของตนและผเู้ สียหายออก แลว้ ใชอ้ วยั วะเพศของตนถกู บั
อวยั วะเพศของผเู้ สียหายภายนอก ซ่ึงจาเลยมีโอกาสท่ีจะสอดใส่อวยั วะเพศในขณะน้นั ได้ แตเ่ พราะ
เกรงกลวั วา่ น. มารดาของผเู้ สียหายจะสงสยั จึงไมก่ ระทาใหส้ าเร็จ อากปั กิริยาของจาเลยซ่ึงกระทา
ในลกั ษณะใกลช้ ิดพร้อมที่จะใชอ้ วยั วะเพศของตนสอดใส่กบั อวยั วะเพศของผเู้ สียหาย และกระทา
ในที่ลบั ตาจากการรู้เห็นของ น. ซ่ึงอยใู่ นบา้ นร่วมกนั ขณะน้นั เห็นไดช้ ดั เจนวา่ จาเลยมีเจตนาท่ีจะ
สอดใส่อวยั วะเพศ แต่เกรงกลวั วา่ ผอู้ ่ืนจะลว่ งรู้ในการกระทาความผดิ ของตน ถือไดว้ า่ จาเลยกระทา
ความผิดฐานพยายามกระทาชาเราผเู้ สียหายแลว้ หาใช่เจตนาเพยี งกระทาอนาจารไม่
280
ตามคาพิพากษาฎีกาน้ี เจตนาของจาเลยคือ ตอ้ งการกระทาชาเราโดยการสอดใส่อวยั วะ
เพศแตก่ ระทาไม่สาเร็จ การกระทาใกลช้ ิดพร้อมท่ีจะใชอ้ วยั วะเพศของผกู้ ระทาสอดใส่กบั อวยั วะ
เพศของผเู้ สียหายที่เป็นเดก็ แลว้ ดงั น้นั ผกู้ ระทาตอ้ งมีความผดิ ตามมาตรา 277 ประกอบมาตรา 80
ไมใ่ ช่เจตนาเพียงแคก่ ารกระทาอนาจารซ่ึงโทษทางอาญาเบากวา่ มาตรา 277
มาตรา 277 วรรคสี่ การกระทาในลกั ษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงหรือโทรมเด็กชาย หรือ
การกระทาโดยมีอาวธุ ปื นหรือวตั ถุระเบิดโดยใชอ้ าวธุ มีองคป์ ระกอบอยา่ งเดียวกบั มาตรา 276 วรรค
สาม ผกู้ ระทาตอ้ งรับโทษหนกั ข้ึน
มาตรา 277 วรรคหา้ เหตลุ ดโทษ กรณี ความผิดตามวรรคแรกถา้ ผกู้ ระทาอายไุ มเ่ กิน 18
ปี ไดก้ ระทากบั เดก็ อายกุ วา่ 13 ปี แต่ไมเ่ กิน 15 ปี โดยเด็กน้นั ยนิ ยอมและภายหลงั ศาลคดีเยาวชนและ
ครอบครัวอนุญาตใหม้ ีการคุม้ ครองสวสั ดิภาพเด็กผถู้ ูกกระทาหรือผกู้ ระทาความผิดตามกฎหมายวา่
ดว้ ยการคมุ้ ครองเด็กแทนการลงโทษก็ได้
และตามมาตรา 277 วรรคหก ศาลจะไม่ลงโทษหรือลงโทษนอ้ ยกวา่ ที่กฎหมายกาหนด
ไวส้ าหรับความผิดน้นั เพยี งใดก็ได้ (ศาลลดโทษ) เพ่ือประโยชน์ของเดก็ เป็นสาคญั
ขอ้ สงั เกต มาตรา 277 วรรคหก คอื ก่อนแกไ้ ขกฎหมายในปี พ.ศ.2558 กฎหมายเก่า
บญั ญตั ิไวค้ อื ผกู้ ระทาผิดไม่ตอ้ งรับโทษตามมาตรา 277 แตป่ ัจจุบนั ในปี พ.ศ.2562 เมื่อแกไ้ ข
กฎหมายแลว้ ใหถ้ ือเป็นเหตุลดโทษเทา่ น้นั เพือ่ ป้องกนั มิใหผ้ กู้ ระทาความผดิ ใชก้ ารสมรสเป็นเหตุ
ใหไ้ ม่ตอ้ งรับโทษ (วีระวฒั น์ ปวราจารย,์ 2560, เลม่ ท่ี 16,หนา้ 153)
มาตรา 277 ทวิ มีการแกไ้ ขเพ่ิมเติมในปี พ.ศ.2562 โดยการปรับโทษใหส้ ูงข้ึน
“มาตรา 277 ทวิ ถา้ การกระทาความผดิ ตามมาตรา 276วรรคหน่ึง หรือมาตรา 277
วรรคหน่ึงหรือวรรคสอง เป็นเหตุใหผ้ ถู้ ูกกระทา
(1) รับอนั ตรายสาหสั ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคกุ ต้งั แต่สิบหา้ ปี ถึงยสี่ ิบปี และปรับต้งั
แตส่ ามแสนบาทถึงส่ีแสนบาท หรือจาคุกตลอดชีวิต
(2) ถึงแก่ความตาย ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษประหารชีวิต หรือจาคกุ ตลอดชีวติ ”
ในปี พ.ศ.2562 มาตรา 277 ทวิ มีการแกไ้ ขปรับปรุงกฎหมายเพื่อใหม้ ีบทลงโทษอาญาแก่
ผกู้ ระทาใหต้ อ้ งรับโทษหนกั ข้ึน ถา้ การกระทาผิดตามมาตรา 276 วรรคแรกหรือมาตรา 277 วรรค
แรก หรือวรรคสองเป็นเหตุใหผ้ ถู้ ูกกระทาไดร้ ับอนั ตรายสาหสั หรือตาย (ตอ้ งเป็นผลโดยตรงและ
เป็นผลธรรมดาท่ียอ่ มจะเกิดข้นึ ได)้ ตามมาตรา 63
281
ขอ้ สงั เกต หากผถู้ กู กระทาชาเราถึงแก่ความตาย บทลงโทษประหารชีวิต หรือจาคุกตลอด
ชีวติ ข้นึ อยกู่ บั พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งคดีดว้ ย
คาพิพากษาฎีกาที่ 255/2472 จาเลยขม่ ขืนหญิงซ่ึงกาลงั ป่ วยหนกั ตอ่ มาหญิงน้นั ตาย
ขอ้ เทจ็ จริงไมไ่ ดค้ วามวา่ หญิงตายเพราะจาเลยขม่ ขนื /ตายเพราะอาการป่ วยจึงลงโทษไมไ่ ดเ้ พราะ
ไมไ่ ดค้ วามชดั วา่ ความตายเป็นผลโดยตรงจากการข่มขืน
คาพิพากษาฎีกาที่ 857/2536 อวยั วะเพศของจาเลยไม่ไดเ้ ขา้ ไปในอวยั วะเพศของเด็กหญิง
อายุ 8 ปี ดงั น้นั การกระทาของจาเลยเป็นความผดิ ฐานพยายามกระทาชาเราเดก็ หญิงอายไุ ม่เกิน 13
ปี จาเลยเตะต่อยผเู้ สียหายหลงั จากที่ไดก้ ระทาชาเราและใส่เส้ือผา้ แลว้ ไม่ไดก้ ระทาต่อเนื่องกนั
ดงั น้นั แมผ้ ูเ้ สียหายไปไดร้ ับอนั ตรายสาหสั กไ็ มใ่ ช่ผลโดยตรงจากการทาชาเราอนั เป็นเหตุให้
ผกู้ ระทาตอ้ งไดร้ ับโทษหนกั ข้ึนตามมาตรา 277 ทวิ
ข้อสังเกต การทาร้ายร่างกายเกิดข้ึนหลงั จากที่จาเลยพยายามชาเราผูเ้ สียหา ยดงั น้นั
อนั ตรายสาหสั จึงเป็นผลโดยตรงมาจากการทาร้ายร่างกายตามมาตรา 295 ทาใหต้ อ้ งไดร้ ับโทษ
ตามมาตรา 297 มิใช่กระทาชาเราตามมาตรา 277 วรรคแรกจึงไม่เป็นเหตใุ หต้ อ้ งรับโทษหนกั ข้ึน
ตามมาตรา 277 ทวิ
มาตรา 277 ตรี มีการแกไ้ ขเพ่ิมเติมในปี พ.ศ.2562 โดยมีการแกไ้ ขเพมิ่ เติมโทษใหส้ ูงข้ึนเช่นกนั
“มาตรา 277 ตรี ถ้าการกระทาความผิดตามมาตรา 276 วรรคสาม หรือมาตรา 277
วรรคส่ี เป็นเหตใุ ห้ผู้ถกู กระทา
(1) รับอันตรายสาหัส ผู้กระทาต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจาคุกตลอดชีวิต
(2) ถึงแก่ความตาย ผู้กระทาต้องระวางโทษประหารชีวิต”
มาตรา 277 ตรี กรณีการข่มขืนกระทาชาเราน้นั มีลกั ษณะโทรมหญิงหรือโทรมชาย
รวมถึงกรณีการโทรมเด็ก กฎหมายแกไ้ ขใหม่ ใหผ้ กู้ ระทาความผิดตอ้ งรับโทษประหารชีวติ สถาน
เดียวหากทาใหผ้ ถู้ ูกระทาถึงแก่ความตาย ซ่ึงเป็นบทลงโทษผกู้ ระทาตอ้ งรับโทษหนกั ข้ึน ถา้ การ
กระทาผิดตามมาตรา 276 วรรคสามหรือมาตรา 277 วรรคส่ีเป็นเหตุใหผ้ ถู้ ูกกระทาไดร้ ับอนั ตราย
สาหสั หรือตาย (ตอ้ งเป็นผลโดยตรงและเป็นผลธรรมดาท่ียอ่ มจะเกิดข้ึนได)้ ตามมาตรา 63
กระทาอนาจาร
มาตรา 278 อนาจาร
282
บทบญั ญตั ิเร่ือง อนาจาร มีการแกไ้ ขเพ่ิมเติมในปี พ.ศ.2562 เช่นกนั เน่ืองดว้ ยการแกไ้ ข
ความหมายของคาว่า กระทาชาเรา โดยตดั คาว่า การใช้ส่ิงอื่นใดล่วงล้าเขา้ อวยั วะเพศ ทวารหนัก
ออกไป ทาให้ตอ้ งนาคาดงั กล่าวมาใส่ในความหมายของคาว่า “อนาจาร” และในมาตรา 278 ได้
เพิม่ เติม วรรคสอง สาม สี่ เขา้ ไปเพอ่ื ใหเ้ กิดความชดั เจนป้องกนั ปัญหาในการตีความกฎหมาย ดงั น้ี
“ถา้ การกระทาความผิดตามวรรคหน่ึง เป็นการกระทาโดยใชว้ ตั ถหุ รืออวยั วะอ่ืนซ่ึงมิใช่
อวยั วะเพศลว่ งล้าอวยั วะเพศหรือทวารหนกั ของบุคคลน้นั ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคกุ ต้งั แตส่ ่ีปี ถึง
ยส่ี ิบปี และปรับต้งั แตแ่ ปดหม่ืนบาทถึงส่ีแสนบาท
ถา้ การกระทาความผิดตามวรรคสอง ไดก้ ระทาโดยทาใหผ้ ถู้ ูกกระทาเขา้ ใจว่าผกู้ ระทามี
อาวุธปื นหรือวตั ถุระเบิด ตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แต่เจ็ดปี ถึงยีส่ ิบปี และปรับต้งั แต่หน่ึงแสนส่ีหมื่น
บาทถึงส่ีแสนบาท
ถา้ การกระทาความผิดตามวรรคสอง ไดก้ ระทาโดยมีอาวธุ ปื นหรือวตั ถุระเบิดหรือโดยใช้
อาวุธหรือโดยร่วมกระทาความผิดดว้ ยกนั อนั มีลกั ษณะเป็ นการโทรมหญิงหรือกระทากบั ชายใน
ลกั ษณะเดียวกนั
ตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แต่สิบห้าปี ถึงย่ีสิบปี และปรับต้งั แต่สามแสนบาทถึงส่ีแสนบาท
หรือจาคุกตลอดชีวติ ”
ดงั น้นั ตามความหมายที่แกไ้ ขใหม่ ปี พ.ศ.2562 คาวา่ “กระทาอนาจาร” คอื
1. การกระทาที่ไมส่ มควรในทางเพศ
2. การกระทาโดยใชว้ ตั ถหุ รืออวยั วะอ่ืนซ่ึงมิใช่อวยั วะเพศล่วงล้าอวยั วะเพศหรือ
ทวารหนกั ของบุคคลน้นั
นอกจากน้ี ยงั มีการเพม่ิ โทษหนกั ข้ึน สองกรณี
กรณีตามวรรคสาม หากกระทาโดยมีอาวธุ ปื น หรือระเบิด
กรณีตามวรรคสี่ หากเขา้ กรณีการโทรมหญิงหรือโทรมชายการกระทาอนาจารตามขอ้ 2. น้ี หากมี
ลกั ษณะโทรมหญิงหรือโทรมชาย ตอ้ งระวางโทษหนกั ข้ึน
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 4042/2534 กอดจูบลูบคลาตอ้ งเน้ือตวั ร่างกายในทางไมส่ มควรทางเพศ
เป็นความผดิ สาเร็จอนาจาร
คาพิพากษาฎีกาท่ี 353/2476 ตอ้ งเกี่ยวกบั การประเวณีหรือเพ่ือความใคร่
คาพิพากษาฎีกาที่ 567/2479 การกระทาใหอ้ บั อายขายหนา้ ในทางเพศตอ่ หนา้ ธารกานลั
ดว้ ย
283
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1627/2539 จะกระทาอนาจารในท่ีรโหฐานหรือสาธารณสถานกห็ ามี
ผลแตกตา่ งกนั ไม่ การท่ีชายอ่ืนร่วมประเวณีกบั ผเู้ สียหายในโรงแรมแมม้ ิดชิดก็เป็นการไมส่ มควร
ทางเพศเป็ นอนาจารแลว้
คาพิพากษาฎีกาท่ี 4836/2547 อนาจารหมายถึงการกระทาตอ่ เน้ือตวั บุคคลท่ีไม่สมควร
ทางเพศซ่ึงมิไดห้ มายความเฉพาะการประเวณีหรือความใคร่เท่าน้นั แต่รวมถึงการกระทาใหอ้ บั อาย
ขายหนา้ ทางเพศดว้ ย
จาเลยกอดเอวจบั มือดึงแขนโจทยจ์ ากรถกระบะเพ่ือใหเ้ ขา้ โรงแรมขณะอยตู่ อ่ หนา้
พนกั งานโรงแรมเป็นการกระทาที่เปิ ดเผยในท่ีซ่ึงอาจมีคนเห็นไดเ้ ป็นการทาต่อหนา้ ธารกานลั แลว้
เป็นการทาอนาจารโดยใชก้ าลงั ประทษุ ร้ายต่อหนา้ ธารกานลั จึงเป็นความผิดท่ีไม่อาจยอมความได้
การทาอนาจารตอ้ งเป็นการกระทาต่อเน้ือตวั ร่างกายของบุคคลอื่นโดยมีเจตนาลว่ งเกิน
ทางเพศต่อบุคคลน้นั
การเปลือยร่างกายตนเองต่อหนา้ ธารกานลั แต่ไม่ไดก้ ระทาตอ่ เน้ือตวั ของบคุ คลอื่น
ไม่เป็นอนาจารแต่เป็นความผิดลหุโทษมาตรา 388
มาตรา 388 กระทาการอนั ควรขายหนา้ ต่อหนา้ ธารกานลั โดยเปลือยหรือเปิ ดเผยร่างกาย
หรือกระทาการลามกอยา่ งอื่น
กระทาการลามกอยา่ งอื่นไมไ่ ดห้ มายความเฉพาะแตท่ ี่เก่ียวกบั ร่างกายเทา่ น้นั แต่หมายถึง
วาจาดว้ ย
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1069/2506 จาเลยกล่าวถอ้ ยคาลามกเป็นความผิดมาตรา 388 ได้
คาพิพากษาฎีกาที่ 5694/2541 โอบไหล่ท้งั ท่ีไม่เคยรู้จกั กนั มาก่อนถือเป็นการลวนลามทางเพศแลว้
ผิดอนาจาร
คาพิพากษาฎีกาท่ี 4460/2540 จาเลยขใู่ หผ้ เู้ สียหายถอดกระดุมเส้ือออกโดยใชม้ ีดขวู่ า่
จะแทงอนั เป็นการใชก้ าลงั ประทุษร้ายและอยใู่ นภาวะที่ไมส่ ามารถขดั ขืนไดจ้ าเลยผดิ มาตรา 278
คาพิพากษาฎีกาท่ี 2693-2695/2516 จาเลยจบั มือเดก็ หญิงใหจ้ บั อวยั วะเพศของจาเลยรูดข้ึนลงจน
น้าอสุจิไหลถือไดว้ า่ จาเลยอนาจารเด็กหญิงน้นั จาเลยใชก้ าลงั บงั คบั จาเลยผดิ มาตรา 279 วรรคสอง
เพราะการบงั คบั ใหจ้ บั อวยั วะเพศของจาเลยเป็นการทาให้เดก็ อยใู่ นภาวะท่ีไม่อาจขดั ขืนไดแ้ ละเป็น
การใชก้ าลงั ประทุษร้ายดว้ ย
คาวา่ ผใู้ ดกระทาอนาจารหมายถึงผกู้ ระทาและผถู้ ูกกระทาเป็นบุคคลใดกไ็ ด้ ชายกระทา
อนาจารชายหรือหญิงกระทาอนาจารหญิงกไ็ ด้
284
สามีจบั ภรรยาแกผ้ า้ ในตลาดเพอ่ื ใหไ้ ดร้ ับความอบั อายถือวา่ เป็นการกระทาอนาจาร
ภรรยาได้
มาตรา 279 กระทาอนาจารแก่เดก็ อายไุ มเ่ กิน 15 ปี
การแกไ้ ขในปี พ.ศ. 2562 ประมวลกฎหมายอาญา เรื่องการกระทาชาเรา ซ่ึงความหมายได้
แคบลงกวา่ เก่า ทาใหก้ ลบั มาสู่ประเดน็ เรื่องการกระทาอนาจารวา่ อยา่ งไรคอื การอนาจาร ท้งั น้ี ไดม้ ี
การเพิ่มเติมวรรคส่ีเขา้ ไปในมาตรา 279 การนาส่ิงอ่ืนใดล่วงล้าตามวรรคสี่เขา้ มา คาวา่ “การกระทา
โดยใชว้ ตั ถุหรืออวยั วะอ่ืนซ่ึงมิใช่อวยั วะเพศลว่ งล้าอวยั วะเพศหรือทวารหนกั ของเดก็ น้นั ” ซ่ึงแต่
เดิมน้นั ความหมายน้ี ถือวา่ เป็นการกระทาชาเราตามความหมายของคาวา่ “ขม่ ขืนกระทาชาเรา”
“มาตรา 279 ผใู้ ดกระทาอนาจารแก่เดก็ อายยุ งั ไมเ่ กินสิบหา้ ปี โดยเด็กน้นั จะยนิ ยอม
หรือไมก่ ็ตาม ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไมเ่ กินสองแสนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
ถา้ การกระทาความผดิ ตามวรรคหน่ึง เป็นการกระทาแก่เด็กอายไุ มเ่ กินสิบสามปี ตอ้ ง
ระวางโทษจาคุกต้งั แต่หน่ึงปี ถึงสิบปี หรือปรับต้งั แต่สองหม่ืนบาทถึงสองแสนบาท หรือท้งั จาท้งั
ปรับ
ถา้ การกระทาความผดิ ตามวรรคหน่ึงหรือวรรคสอง ผกู้ ระทาไดก้ ระทาโดยขเู่ ขญ็ ดว้ ย
ประการใด ๆโดยใชก้ าลงั ประทษุ ร้าย โดยเด็กน้นั อยใู่ นภาวะท่ีไม่สามารถขดั ขืนได้ หรือโดยทาให้
เด็กน้นั เขา้ ใจผิดวา่ ตนเป็นบุคคลอื่น ตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แต่หน่ึงปี ถึงสิบหา้ ปี หรือปรับต้งั แต่
สองหมื่นบาทถึงสามแสนบาทหรือท้งั จาท้งั ปรับ
ถา้ การกระทาความผิดตามวรรคหน่ึงหรือวรรคสาม เป็นการกระทาโดยใชว้ ตั ถุหรือ
อวยั วะอ่ืนซ่ึงมิใช่อวยั วะเพศล่วงล้าอวยั วะเพศหรือทวารหนกั ของเด็กน้นั ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษ
จาคกุ ต้งั แต่หา้ ปี ถึงยส่ี ิบปี และปรับต้งั แต่หน่ึงแสนบาทถึงสี่แสนบาท
ถา้ การกระทาความผดิ ตามวรรคสี่ เป็นการกระทาแก่เดก็ อายยุ งั ไม่เกินสิบสามปี ตอ้ ง
ระวางโทษจาคกุ ต้งั แต่เจ็ดปี ถึงยสี่ ิบปี และปรับต้งั แตห่ น่ึงแสนสี่หม่ืนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจาคกุ
ตลอดชีวิต
ถา้ การกระทาความผดิ ตามวรรคส่ีหรือวรรคหา้ ไดก้ ระทาโดยทาใหผ้ ถู้ กู กระทาเขา้ ใจวา่
ผกู้ ระทามีอาวุธปื นหรือวตั ถุระเบิด ตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แต่สิบปี ถึงยสี่ ิบปี และปรับต้งั แต่สอง
แสนบาทถึงสี่แสนบาท หรือจาคุกตลอดชีวิต
ถา้ การกระทาความผิดตามวรรคสี่หรือวรรคหา้ ไดก้ ระทาโดยมีอาวธุ ปื นหรือวตั ถุระเบิด
หรือโดยใชอ้ าวธุ หรือโดยร่วมกระทาความผดิ ดว้ ยกนั อนั มีลกั ษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงหรือ
กระทากบั เด็กชายในลกั ษณะเดียวกนั ตอ้ งระวางโทษจาคุกตลอดชีวติ ”
285
เช่นเดียวกบั การแกไ้ ขเพม่ิ เติม การกระทาอนาจาร ในมาตรา 278 ตามมาตรา 279 เป็น
การกระทาอนาจารแก่เด็ก ไมว่ า่ เด็กจะยนิ ยอมหรือไม่ยนิ ยอมก็ตาม ท้งั น้ี ความหมายลกั ษณะของ
การกระทาอนาจาร มีดงั น้ี
1. การกระทาที่ไม่สมควรในทางเพศ
2. การกระทาโดยใชว้ ตั ถุหรืออวยั วะอื่นซ่ึงมิใช่อวยั วะเพศล่วงล้าอวยั วะเพศหรือ
ทวารหนกั ของบุคคลน้นั (วรรคส่ี)
นอกจากน้ี ยงั มีการเพิม่ โทษหนกั ข้ึน สองกรณี
กรณีตามวรรคสาม หากกระทาโดยข่เู ข็ญหรือใชก้ าลงั ประทษุ ร้าย หรือทาใหเ้ ด็กเขา้ ใจผิดวา่ ตน
เป็นบคุ คลอื่น
กรณีตามวรรคหก หากกระทาโดยมีอาวุธปื น หรือระเบิด
กรณีตามวรรคเจ็ด หากเขา้ กรณีการโทรมหญิงหรือโทรมชายการกระทาอนาจารตามขอ้ 2. น้ี หาก
มีลกั ษณะโทรมหญิงหรือโทรมชาย ตอ้ งระวางโทษหนกั ข้ึน
มีองคป์ ระกอบความผิดเหมือนกบั มาตรา 278 ต่างกนั ท่ีผถู้ ูกกระทาเป็นเดก็ อายไุ ม่เกิน
15 ปี และกรณีอายไุ ม่เกิน 13 ปี แลว้ ไม่จากดั เพศวา่ เป็นเด็กหญิงหรือเดก็ ชายและเดก็ จะยนิ ยอม
หรือไม่ก็เป็นความผิดท้งั สิ้น
ขอ้ สังเกต
1. อนาจารอาจมีการกระทาผดิ ฐานอื่นรวมอยดู่ ว้ ย
ดูเจตนาถา้ กระทาต่อเน่ืองมาจากเจตนาเดียวกนั ก็เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
มาตรา 90 แต่ถา้ เจตนาแยกต่างหากกนั กเ็ ป็นความผิดหลายกรรมตามมาตรา 91
คาพิพากษาฎีกาที่ 1454/2528 จบั ของสงวนผเู้ สียหายแลว้ ไดข้ ่มขนื ในเวลาตอ่ เน่ืองกนั
โดยจาเลยมีเจตนาข่มขืนเป็นกรรมเดียวผดิ กฎหมายหลายบทถา้ จาเลยฟ้องความผิดอนาจารและ
ศาลพิพากษาลงโทษไปแลว้ ถือวา่ ศาลมีคาวินิจฉัยเสร็จเดด็ ขาดในความผิดที่ไดฟ้ ้องแลว้ สิทธินา
คดีอาญามาฟ้องในขอ้ หาข่มขนื ยอ่ มระงบั ไปถา้ มีการฉุดตวั ผเู้ สียหายไปก็มีความผดิ มาตรา 284
ดว้ ย
คาพิพากษาฎีกาท่ี 829/2532 การเขา้ ไปในเคหสถานของผอู้ ื่นเพื่อกระทาอนาจารเป็น
การกระทาท่ีแสดงถึงไม่มีเหตุอนั สมควร เจตนาของผูก้ ระทาจึงผดิ ท้งั บุกรุกและอนาจารจึงเป็น
เจตนาเดียวจึงเป็นกรรมเดียวผดิ กฎหมายหลายบท
286
คาพิพากษาฎีกาท่ี 5821/2544 จาเลยพรากผเู้ ยาวไ์ ปเพ่ือการอนาจารและอนาจารผเู้ ยาว์
ต่อเน่ืองการเป็นความผดิ หลายบทเมื่อจาเลยพรากผเู้ ยาวไ์ ปเพ่อื การอนาจารเป็นความผิดสาเร็จนบั
แต่จาเลยเร่ิมพรากผเู้ ยาวโ์ ดยมีเจตนาเพ่อื อนาจาร (เป็นความผิดต่อบิดามารดาของผเู้ สียหาย)
การที่จาเลยกระทาอนาจารหลงั จากน้นั จึงเป็นความผดิ อีกกรรมหน่ึง (เป็นความผิดต่อตวั
ผเู้ สียหาย) ท้งั จาเลยพรากผเู้ ยาวไ์ ปเพื่อการอนาจารถึง 2 คร้ังตา่ งวนั เวลาการและกระทาอนาจารแก่
ผเู้ ยาวห์ ลงั จากน้นั อีก 2 คร้ังเป็นความผดิ หลายกรรมต่างกนั ตามมาตรา 91
2. อนาจารโดยใชก้ าลงั ประทุษร้ายจะเกลื่อนกลืนเป็นกรรมเดียวกบั การทาร้ายร่างกาย
คาพิพากษาฎีกาท่ี 2453/2515 กอดรัดและบีบเคน้ นมผเู้ สียหายจนฟกช้าเป็นการประทุษร้ายร่างกายที่
เกล่ือนกลืนเป็นกรรมเดียวกบั อนาจารโดยใชก้ าลงั ตามมาตรา 278
อนาจารแล้วผู้ถกู กระทาได้รับอันตรายสาหัสหรือตาย
เดิม “มาตรา 280 ถา้ การกระทาความผดิ ตามมาตรา 278 และมาตรา 279 เป็นเหตใุ ห้
ผถู้ กู กระทาไดร้ ับอนั ตรายสาหสั หรือตาย” (ตอ้ งเป็นผลโดยตรงและเป็นผลท่ีตามธรรมดายอ่ ม
เกิดข้นึ ไดต้ ามมาตรา 63)
ต่อมามีการแกไ้ ขเพิม่ เติมในปี พ.ศ. 2562 ดงั น้ี
“มาตรา 280 ถา้ การกระทาความผดิ ตามมาตรา 278 หรือมาตรา 279 เป็นเหตใุ ห้
ผถู้ กู กระทา
(1) รับอนั ตรายสาหสั ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคกุ ต้งั แต่หา้ ปี ถึงยส่ี ิบปี และปรับต้งั แต่
หน่ึงแสนบาทถึงส่ีแสนบาท หรือจาคกุ ตลอดชีวิต
(2) ถึงแก่ความตาย ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษประหารชีวิต หรือจาคกุ ตลอดชีวติ ”
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 8/2530 จาเลยอนาจารผตู้ ายโดยใชก้ าลงั ประทุษร้ายและกดหวั ลงไปใน
โคลนแลว้ ชาเราผตู้ ายทางทวารหนกั เป็นเหตุให้โคลนเขา้ ปากและหลอดลมผตู้ ายขาดอากาศตาย
จาเลยยอ่ มเลง็ เห็นอยแู่ ลว้ วา่ จะเป็นผลใหผ้ ตู้ ายถึงแก่ความตายจาเลยผิดฐานฆา่ ผูต้ ายและอนาจารเป็น
เหตุใหผ้ ูต้ ายถึงแก่ความตาย
อนาจารแล้วบนั ทึกภาพหรือเสียงไว้ เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบสาหรับตนเองหรือผู้อื่น
“มาตรา 280/1 ถา้ ผกู้ ระทาความผดิ ตามมาตรา 276 มาตรา 277 มาตรา 278 หรือ
287
มาตรา 279 ไดบ้ นั ทึกภาพหรือเสียงการกระทาชาเราหรือการกระทาอนาจารน้นั ไว้ เพอื่ แสวงหา
ประโยชน์โดยมิชอบสาหรับตนเองหรือผูอ้ ่ืน ตอ้ งระวางโทษหนกั กวา่ ท่ีบญั ญตั ิไวใ้ นมาตราน้นั ๆ
หน่ึงในสาม
ถา้ ผกู้ ระทาความผดิ ตามวรรคหน่ึง เผยแพร่หรือส่งต่อซ่ึงภาพหรือเสียงการกระทาชาเรา
หรือการกระทาอนาจารที่บนั ทึกไว้ ตอ้ งระวางโทษหนกั กวา่ ที่บญั ญตั ิไวใ้ นมาตราน้นั ๆ ก่ึงหน่ึง”
ในปี พ.ศ.2562 ประมวลกฎหมายอาญาไดเ้ พ่ิมมาตรา 280/1 เขา้ มาใหม่ กรณีผกู้ ระทามี
เจตนาบนั ทึกภาพและเสียงไวใ้ นขณะขม่ ขนื หรืออนาจาร โดยเฉพาะวรรคแรกของมาตรา 280/1
ผกู้ ระทาตอ้ งมีเจตนาพิเศษ “เพ่ือแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบสาหรับตนเองหรือผู้อ่ืน” ดว้ ยถึงจะมี
ความผดิ ตามมาตราดงั กลา่ ว
วตั ถุประสงคข์ องมาตราน้ีคือ ตอ้ งลงโทษหนกั ข้ึน หากมีการกระทาในลกั ษณะดงั กล่าว
เพอ่ื หาประโยชนไ์ ม่วา่ จะอยใู่ นรูปแบบของการบนั ทึกภาพหรือเสียงไว้ สาหรับตนเองไวด้ ูส่วนตวั
หรือบนั ทึกไวใ้ หผ้ อู้ ่ืน ผกู้ ระทาตอ้ งไดร้ ับโทษหนกั ข้นึ หน่ึงในสาม
ส่วนกรณีวรรคสองหากมีการเผยแพร่หรือส่งต่อภาพหรือเสียงการกระทาชาเราหรือ
อนาจารน้นั ตอ้ งโทษหนกั กว่าเดิมก่ึงหน่ึง เพราะผกู้ ระทาความผิดตอ้ งการนาไปใชส้ ่งต่อหรือ
เผยแพร่ เทา่ กบั ทาใหผ้ ถู้ ูกกระทาไดร้ ับความอบั อายเสียหายมากข้ึนในวงกวา้ ง
ผเู้ ขยี นวเิ คราะหว์ า่ เป็นการเพ่ิมเติมการกระทาในลกั ษณะท่ีมีการขยายการกระทามาก
กวา่ เดิม เพราะการกระทาในลกั ษณะขม่ ขืนกระทาชาเราหรืออนาจารผอู้ ่ืน ยอ่ มสร้างบาดแผลทาง
ร่างกายและจิตใจของเหยอ่ื มากแลว้ หากผกู้ ระทาความผิดซ้าเติมโดยมีเจตนาชว่ั ร้ายกวา่ เดิมโดย
บนั ทึกภาพหรือเสียงไวอ้ ีก ยอ่ มจะทาใหภ้ าพจาดงั กลา่ ว ยอ้ นกลบั มาซ้าเติมเหยอื่ ไดอ้ ีก ผเู้ ขยี นเห็น
ดว้ ยอยา่ งยง่ิ ที่ตอ้ งมีการเพมิ่ เติมบทบญั ญตั ิน้ี ที่ตอ้ งมีบทบญั ญตั ิความผิดกรณีผกู้ ระทาการ
บนั ทึกภาพและเสียง รวมถึงผเู้ ผยแพร่หรือส่งตอ่ ในลกั ษณะของการประจานผเู้ สียหาย และนาตวั
ผกู้ ระทาความผดิ มาลงโทษสาสมกบั การกระทาซ้าเติมเหยือ่ ซ่ึงหากพิจารณาถึงผลกระทบต่อตวั
เหยอ่ื และสังคมยอ่ มเป็นการบญั ญตั ิกฎหมายที่มีประโยชน์ตอ่ สังคมและเทา่ ทนั ต่อเหตุการณ์ปัจจุบนั
ที่มีการกระทาดงั กล่าวเกิดข้ึนมากในสังคมไทย
ความผิดอันยอมความได้
เดิม “มาตรา 281 ความผิดมาตรา 276 วรรคแรกและมาตรา 278 ถา้ มิไดเ้ กิดตอ่ หนา้
ธารกานลั ไมเ่ ป็นเหตใุ หผ้ ถู้ กู กระทาอนั ตรายสาหสั หรือตายหรือมิไดเ้ ป็นการกระทาต่อบุคคลตาม
มาตรา 285 เป็นความผิดอนั ยอมความได”้
ต่อมาแกไ้ ขประมวลกฎหมายอาญา ปี พ.ศ. 2562 เป็น
288
“มาตรา 281 ความผิดตามมาตราดงั ต่อไปนี้ เป็นความผิดอันยอมความได้
(1) มาตรา 276 วรรคหน่ึง และมาตรา 278 วรรคสอง ซ่ึงเป็นการกระทาระหว่างคู่สมรส
ถ้ามิได้เกิดต่อหน้าธารกานัล หรือไม่เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทารับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย
(2) มาตรา 278 วรรคหน่ึง ถ้ามิได้เกิดต่อหน้าธารกานัล ไม่เป็นเหตใุ ห้ผู้ถกู กระทารับ
อันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย หรือมิได้เป็นการกระทาแก่บคุ คลดังระบุไว้ในมาตรา 285 และ
มาตรา 285/2”
คาวา่ “ธารกานลั ” คอื ท่ีท่ีประชาชนอาจเห็นไดเ้ ป็นถอ้ ยคาที่รู้กนั อยทู่ ว่ั ไป ทาผิดในรถ
ประจาทางแมไ้ ม่มีใครเห็นกเ็ ป็นความผิดท่ีทาต่อหนา้ ธารกานลั
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 6832/2554 2 ช้นั ดาดฟ้าเรือท่ีจาเลยท่ี 1 นาผเู้ สียหายท่ี 1 ข้นึ ไปข่มขนื
น้นั แยกเป็นส่วนสดั จากช้นั ล่างท่ีผเู้ สียหายท่ี 2 กบั จาเลยท่ี 2 และ 3 อยจู่ ึงไม่ถือวา่ เป็นการข่มขืนต่อ
หนา้ ธารกานลั
คาพิพากษาฎีกาที่ 3912/2531 จาเลยร่วมกนั โทรมผเู้ สียหายตามมาตรา 276 วรรคสอง
ขณะกระทาผิดจาเลยอยกู่ บั ผเู้ สียหายโดยลาพงั ในหอ้ งมิไดก้ ระทาต่อหนา้ ธารกานลั การกระทา
ของจาเลยไมไ่ ดเ้ ป็นเหตใุ หผ้ เู้ สียหายไดร้ ับอนั ตรายสาหสั จึงเป็นคดีความผิดต่อส่วนตวั หรือความผดิ
อนั ยอมความไดต้ ามมาตรา 281 เม่ือคดียงั ไมถ่ ึงท่ีสุดผเู้ สียหายจะถอนคาร้องทุกขก์ ็ได้
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 493/2528 จาเลยขม่ ขืนผเู้ สียหายขณะท่ีผเู้ สียหายนอนอยกู่ บั บุตร 2 คน
ไมป่ รากฏวา่ บุตรของผเู้ สียหายคนใดเห็นการกระทาของจาเลยถือไมไ่ ดว้ า่ จาเลยไดก้ ระทาความผดิ
ต่อหนา้ ธารกานลั
ผเู้ ขยี นมีขอ้ สังเกต จากการแกไ้ ขเพม่ิ เติมมาตรา 281 ใหม่ มีประเดน็ ท่ีน่าสนใจดงั น้ี
ประเด็นแรก ความผิดมาตรา 276 เฉพาะวรรคแรกเท่าน้นั ที่ยอมความได้ ในกรณีท่ีเป็น
การกระทาชาเราค่สู มรสดว้ ยกนั น้นั ไม่ไดก้ าหนดวา่ เป็นความผดิ ใหย้ อมความได้ หมายถึง หากคู่
สมรสข่มขนื คสู่ มรสของตนเป็นความผดิ อาญาแผน่ ดิน ท้งั ๆท่ี เรื่องของบุคคลในครอบครัวเป็นเร่ือง
ละเอียดอ่อน หากเมื่อสองคนปรับความเขา้ ใจกนั และมีบุตรดว้ ยกนั อาจจะไมอ่ ยากดาเนินคดีอาญา
ต่อกนั ในภายหลงั แต่กฎหมายเดิมน้นั ไม่เปิ ดช่องใหท้ าได้
ต่อมา เม่ือแกไ้ ขกฎหมายใหม่ข้ึนมาในปี พ.ศ.2562 หากเป็นการข่มขนื คู่สมรส ตามมาตรา
276 วรรคแรกหรืออนาจารคู่สมรส ตามมาตรา 278 วรรคสอง สามารถยอมความกนั ได้ ยกเวน้ กรณี
เป็นการขม่ ขืนหรืออนาจารคู่สมรสต่อหนา้ ธารกานลั หรือค่สู มรสท่ีถกู ข่มขนื หรืออนาจารน้นั ไดร้ ับ
อนั ตรายสาหสั หรือตายเท่าน้นั ถึงจะเป็นความผิดอาญาแผน่ ดิน ซ่ึงการแกไ้ ขเพมิ่ เติมกฎหมายใหม่น้ี