The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารคำสอนอาญา2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ratchanee.tangon, 2022-03-14 21:44:14

เอกสารคำสอนอาญา2

เอกสารคำสอนอาญา2

139

คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1275/2519 จาเลยเป็นผใู้ ชป้ ื นยงิ ผเู้ สียหายแลว้ ไปแจง้ ความต่อตารวจ
วา่ ผเู้ สียหายใชม้ ีดชิงทรัพยจ์ าเลยโดยผเู้ สียหายมิไดก้ ระทาผดิ จาเลยมีความผดิ พยายามฆา่ และแจง้
ความเทจ็

คาพพิ ากษาฎีกาที่ 7799/2543 จาเลยรู้วา่ มิไดม้ ีการทาความผิดเกิดข้ึนแต่กลบั แจง้ แก่
พนกั งานสอบสวนวา่ มีคนร้าย 2 คนร่วมกนั ชิงทรัพยร์ ถท่ีจาเลยเช่าซ้ือมาเพราะจาเลยคา้ งคา่ เช่าซ้ือ
จาเลยผดิ มาตรา 173

- การที่ผแู้ จง้ แจง้ ขอ้ เทจ็ จริงไมค่ รบปิ ดบงั ไวบ้ างส่วนเพ่ือใหเ้ ห็นวา่ มีการกระทาความผิด
อาญา ท้งั ๆที่ถา้ แจง้ ขอ้ เทจ็ จริงใหค้ รบแลว้ จะทาใหเ้ ห็นไดว้ า่ ไมไ่ ดม้ ีการกระทาผิดทางอาญาใด ๆ
กรณีเช่นน้ีผแู้ จง้ ก็อาจผิดมาตรา 173 ได้

- หากเป็นกรณีที่น่าจะผิดมาตรา 173 เพราะเขา้ องคป์ ระกอบแต่โจทกไ์ ปฟ้องมาตรา 172
ศาลก็ลงโทษมาตรา 172 ไดเ้ ม่ือมีการกระทาครบองคป์ ระกอบความผดิ มาตรา 172 ดว้ ย
2. แจ้งข้อความเท็จว่าได้มีการกระทาความผดิ อาญา

ตอ้ งแจง้ เทจ็ วา่ ไดม้ ีการกระทาความผิดเกี่ยวกบั คดีอาญาเท่าน้นั และการแจง้ เทจ็ ตอ้ งแจง้
เทจ็ ในขอ้ เทจ็ จริงไมใ่ ช่เทจ็ ในขอ้ กฎหมาย
การแจง้ เทจ็ เร่ืองวินยั ไมผ่ ิดมาตราน้ี

คาพิพากษาฎีกาท่ี 1489/2530 ความผดิ มาตรา 173, 174 ผแู้ จง้ จะตอ้ งมีเจตนาใหเ้ จา้
พนกั งานสอบสวนดาเนินการสอบสวนเอาตวั ผกู้ ระทาผดิ มาลงโทษในทางอาญา การท่ีจาเลยทา
หนงั สือร้องเรียนต่อผบู้ งั คบั บญั ชาของโจทกน์ ้นั เทา่ กบั จาเลยเจตนาใหม้ ีการลงโทษทางวินยั แก่
โจทกม์ ิไดม้ ีเจตนาจะใหด้ าเนินการเอาความผิดทางอาญาแก่โจทก์ การกระทาของจาเลยจึงไมม่ ีมูล
ความผดิ 173, 174 เพราะเป็นเรื่องทางวินยั

- ขอ้ ความที่แจง้ ตอ้ งเป็นขอ้ สาคญั ในคดี ถา้ เป็นการแจง้ เก่ียวกบั การกระทาท่ีไม่เกี่ยวกบั
องคป์ ระกอบหรือส่วนสาคญั ของความผดิ เลย ผแู้ จง้ ก็ไม่มีความผดิ

- แจง้ ความเทจ็ ในส่วนที่วา่ เคยแนะนาหรือไม่เคยแนะนาใหเ้ ขารู้จกั กนั กรณีน้ีไม่ไดใ้ ห้
การกระทาความผดิ อยา่ งไร ซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงส่วนใดของความผิดอาญาก็ไมเ่ ขา้ องคป์ ระกอบมาตรา
173

- หากขอ้ ความท่ีแจง้ น้นั เป็นเรื่องจริงก็ไมผ่ ิดมาตรา 173

140

3. แจ้งแก่พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนกั งานผู้มอี านาจสืบสวนคดอี าญา
ถา้ ไปแจง้ กบั บคุ คลอ่ืนนอกจากน้ีกไ็ ม่ผิด ความผดิ ตามมาตรา 172 และมาตรา 173 เป็น

ความผดิ สาเร็จทนั ทีเมื่อพนกั งานสอบสวนไดท้ ราบขอ้ ความ (ชาตรี สุวรรณิน, 2560 เล่ม 13,หนา้
79)
4. เจตนา

- ผกู้ ระทาตอ้ งรู้ว่ามิไดม้ ีการกระทาผดิ เกิดข้ึน แต่ไปแจง้ ว่ามีการกระทาผดิ เกิดข้ึน แต่ถา้
เขา้ ใจโดยสุจริตวา่ มีความผดิ เกิดข้นึ แลว้ ไปแจง้ แมค้ วามจริงจะไม่มีความผดิ เกิดข้ึนก็ไม่เขา้
องคป์ ระกอบ มาตรา 173

คาพิพากษาฎีกาที่ 5966/2538 ทราบวา่ โจทกไ์ มไ่ ดฉ้ อ้ โกงหรือยกั ยอกแตก่ ลบั ใหก้ ารเป็น
พยานดว้ ยขอ้ ความอนั เป็นเท็จต่อพนกั งานสอบสวนเพื่อช่วยเหลือจาเลยอื่นถือวา่ ผิดมาตรา 173

- กรณีท่ีแจง้ ตามท่ีเขา้ ใจวา่ เป็นเร่ืองจริงถือวา่ ไม่มีเจตนาไม่เป็นความผิด
คาพิพากษาฎีกาท่ี 897/2507 จาเลยไปแจง้ ความต่อพนกั งานสอบสวนวา่ โจทกใ์ ชป้ ื นพก
ยงิ จาเลยโดยจาเลยเลา่ ความจริงใหต้ ารวจฟังวา่ พ่อโจทกเ์ ล่าความจริงใหต้ ารวจฟังวา่ พอ่ โจทกก์ บั
พ่อจาเลยเคยเป็นความกนั มาก่อน วนั เกิดเหตุขณะท่ีจาเลยไปถา่ ยรูปทางเดินพิพาท โจทกเ์ ดินออก
มาแลว้ มีเสียงปื นดงั ข้นึ จาเลยไมเ่ ห็นคนยงิ แต่เชื่อและเขา้ ใจวา่ ตอ้ งเป็นโจทกย์ งิ เห็นไดว้ า่ จาเลยไป
แจง้ ความโดยเล่าเรื่องตามท่ีเกิดข้ึนซ่ึงมีเหตกุ ารณ์ทาใหจ้ าเลยเขา้ ใจเช่นน้นั ได้ จาเลยยงั ไม่ผิดฐาน
แจง้ ความเทจ็ เก่ียวกบั ความผิดอาญา
- ถา้ เป็นการกล่าวหรือแจง้ ในฐานะเป็นผตู้ อ้ งหายอ่ มไดร้ ับความคุม้ ครองจากการถูก
ลงโทษตามมาตรา 173 เหมือนการแจง้ เทจ็ ตามมาตรา 137, มาตรา 172 (ชาตรี สุวรรณิน, 2560 เล่ม
13,หนา้ 78)
- โจทกม์ ีหนา้ ท่ีตอ้ งนาสืบใหไ้ ดค้ วามในคดีน้ีวา่ มีการแจง้ ขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ จะอา้ ง
ขอ้ เทจ็ จริงในคดีอาญา คดีอื่นแมข้ อ้ เท็จจริงในคดีน้นั จะถึงที่สุดระหวา่ งค่คู วามในคดีแลว้ มาฟังเป็น
ยตุ ิในคดีอาญาน้ีในความผิดฐานแจง้ ความเทจ็ ไมไ่ ด้
- บริษทั เจา้ ของสถานท่ีและกรรมการผจู้ ดั การบริษทั ท่ีถูกกลา่ วหาเทจ็ วา่ ในอาคารของ
บริษทั มีสิ่งของผดิ กฎหมายซุกซ่อนอยเู่ ป็นผเู้ สียหายในความผดิ มาตรา 173 ได้
- แจง้ ความเทจ็ ต่อพนกั งานสอบสวนวา่ รถหายและนาไปเรียกร้องตอ่ บริษทั ประกนั เป็น
ความผดิ ฐานแจง้ ความเทจ็ และแจง้ ใหเ้ จา้ พนกั งานจดขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ และใชเ้ อกสารเทจ็ เป็น
กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงโทษบทหนกั

141

มาตรา 174 เหตฉุ กรรจ์ของมาตรา 172, มาตรา 173

มาตรา 174 ถา้ การแจง้ ขอ้ ความตามมาตรา 172 หรือมาตรา 173 เป็นการเพอ่ื จะแกลง้ ให้
บุคคลใดตอ้ งถูกบงั คบั ตามวิธีการเพอ่ื ความปลอดภยั ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไม่เกินสามปี
และปรับไมเ่ กินหกหมื่นบาท

ถา้ การแจง้ ตามความในวรรคแรก เป็นการเพื่อจะแกลง้ ให้บคุ คลใดตอ้ งรับโทษหรือรับ
โทษหนกั ข้ึน ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินหา้ ปี และปรับไมเ่ กินหน่ึงแสนบาท
เช่น ถูกตอ่ ยแต่ไปแจง้ วา่ ถูกชิงทรัพยเ์ ขา้ มาตรา 172 ประกอบมาตรา 174 ผกู้ ระทาตอ้ งไดร้ ับโทษ
หนกั ข้นึ ตามมาตรา 174 วรรค 2 เพราะเจตนาทาใหเ้ ขาไดร้ ับโทษหนกั ข้ึน

คาพิพากษาฎีกาท่ี 589/2536 สมคั รใจร่วมประเวณีแต่ไปแจง้ วา่ ถกู ขม่ ขนื เป็นความผดิ
ตามมาตรา 174 วรรคสอง และมาตรา 181

แสดงความเทจ็ ในศาล
มาตรา 175 ฟ้องเทจ็

มาตรา 175 ผใู้ ดเอาความอนั เป็นเทจ็ ฟ้องผอู้ ่ืนต่อศาลวา่ กระทาความผดิ อาญา หรือวา่
กระทาความผิดอาญาแรงกวา่ ที่เป็นความจริง ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไม่เกินหา้ ปี และปรับไมเ่ กินหน่ึง
แสนบาท

1. เอาความเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาล
1.1 ศาลหมายถึงศาลยตุ ิธรรม รวมถึงศาลทหารดว้ ย
1.2 แมศ้ าลไมร่ ับฟ้องก็ถือวา่ เป็นฟ้องแลว้ เพราะกฎหมายไมไ่ ดก้ าหนดเงื่อนไขวา่

ตอ้ งรับฟ้อง
1.3 แมศ้ าลยกฟ้องในช้นั ไต่สวนมูลฟ้องกถ็ ือวา่ ผดิ ฐานฟ้องเทจ็ แลว้
1.4 การยนื่ คาร้องขอเป็นโจทกร์ ่วมกบั อยั การ ถา้ ขอ้ ความในคาฟ้องเป็นเทจ็ และ

โจทกร์ ่วมรู้อยวู่ า่ ขอ้ ความในฟ้องของอยั การเป็นเทจ็ โจทกร์ ่วมยอ่ มผิดฐานฟ้องเทจ็

142

- อยั การมีหนา้ ท่ีฟ้องยอ่ มไดร้ ับความคมุ้ ครองเหมือนทนายเร่ืองที่นามาฟ้องจะจริง
หรือเทจ็ อยทู่ ี่ตวั ความ อยั การพิเคราะหไ์ ปตามพยานหลกั ฐานที่วา่ มีมลู กส็ ง่ั ฟ้อง อยั การจึงไมผ่ ิดฐาน
ฟ้องเทจ็ เพราะเป็นการปฏิบตั ิไปตามหนา้ ที่เหมือนทนาย เวน้ แต่จะมีขอ้ เทจ็ จริงไดว้ า่ อยั การผูน้ ้นั รู้
แลว้ วา่ เป็นเท็จ

1.5 คาฟ้องอทุ ธรณ์ คาฟ้องฎีกากเ็ ป็นคาฟ้อง ถา้ เป็นเทจ็ ก็ผดิ มาตรา 175 ได้
1.6 แมบ้ รรยายไมค่ รบองคป์ ระกอบความผิดถือวา่ เป็นฟ้องเทจ็ ได้ (เพือ่ ป้องกนั มิให้
แกลง้ กลา่ วหากนั ในทางอาญาอนั จะทาใหผ้ ถู้ กู กล่าวหาไดร้ ับความเสียหาย)

2. ว่ากระทาผิดอาญาหรือกระทาผิดอาญาแรงกว่าที่เป็ นจริง
2.1 บญั ญตั ิไวช้ ดั เจนวา่ ตอ้ งเป็นความเทจ็ เก่ียวกบั ความผิดอาญาเท่าน้นั ถา้ ไปฟ้องเทจ็

ในคดีแพง่ แลว้ ไมม่ ีกฎหมายบญั ญตั ิเอาโทษไวเ้ ลย เพราะคดีอาญาเป็นเรื่องเก่ียวกบั ความสงบ ฯ
กฎหมายไม่ประสงคท์ ี่จะใหม้ ีการเอาความไม่จริงมาฟ้อง อนั จะทาใหบ้ ุคคลอื่นไดร้ ับความ
เดือดร้อนเสียหายจึงตอ้ งลงโทษบทเฉพาะไวค้ อื มาตรา 175 น้ี

2.2 ขอ้ ความท่ีแจง้ เทจ็ ตอ้ งเป็นขอ้ สาคญั ในคดี
- ขอ้ สาคญั ในคดีระหวา่ งฟ้องเทจ็ กบั เบิกความเทจ็ อาจตา่ งกนั
- ความเทจ็ น้นั ตอ้ งเป็นขอ้ สาคญั ในคดีแต่ละฐานความผิดโดยที่ฐาน

ความผดิ ฟ้องเทจ็ กบั เบิกความเทจ็ น้นั ขอ้ ที่ถือเป็นขอ้ สาคญั ในความผดิ ฐานหน่ึงอาจจะไมใ่ ช่ขอ้
สาคญั ในคดีของความผิดอีกฐานหน่ึง

2.3 ถา้ เป็นเพยี งการขยายความใหค้ าฟ้องชดั ข้ึน แมจ้ ะคลาดเคลื่อนไปบา้ งก็ไมใ่ ช่
ขอ้ สาคญั ในคดี

2.4 การยน่ื คาร้องขอประกนั ตวั ไม่ใช่คาฟ้อง ถา้ เป็นความเทจ็ ไม่เขา้ องคป์ ระกอบ
ฐานฟ้องเทจ็

2.5 กรณีการฟ้องร้องทางแพ่งซ่ึงไม่ผดิ ฐานฟ้องเทจ็ ตามมาตรา 175
2.6. การยน่ื คาร้องขดั ทรัพย์ แมเ้ ป็นเทจ็ กไ็ มผ่ ิดฟ้องเทจ็ เพราะเป็นเรื่องทางแพ่ง
2.7 การขอใหล้ งโทษแรงกวา่ ท่ีเป็นจริงไมถ่ ือเป็นฟ้องเทจ็

143

3. เจตนา
ผกู้ ระทาตอ้ งรู้ขอ้ เทจ็ จริงวา่ ขอ้ ความท่ีฟ้องเป็นเทจ็

คาพิพากษาฎีกาท่ี 243/2511 บรรยายฟ้องวา่ ตนเองเป็นทายาทเจา้ มรดกถึงแมจ้ ะเป็นเทจ็
กไ็ ม่ไดเ้ ป็นเรื่องกล่าวหาวา่ ผทู้ ี่ถูกฟ้องกระทาความผิดอะไรจึงไม่ใช่เรื่องฟ้องเทจ็

คาพิพากษาฎีกาท่ี 4162/2536 จะเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จ ผกู้ ระทาตอ้ งรู้วา่ ขอ้ ความท่ีฟ้อง
น้นั เป็นเทจ็ ดว้ ย จาเลยท้งั สองร่วมกนั ฟ้องโจทกว์ า่ โจทกก์ ระทาผิดฐานทาใหเ้ สียทรัพย์ โดยบรรยาย
ฟ้องวา่ โจทกใ์ ชช้ ายหลายคนใหท้ ุบผนงั ตึกอาคารของจาเลยท้งั สอง เม่ือมีขอ้ เทจ็ จริงฟังไดว้ า่ จาเลย
ท้งั สองเขา้ ใจวา่ กาแพงพิพาทเป็นของจาเลยท้งั สอง ถือวา่ จาเลยท้งั สองไม่รู้วา่ ขอ้ ความท่ีนามาฟ้อง
โจทกเ์ ป็นเทจ็ การกระทาของจาเลยท้งั สองจึงขาดเจตนา

- ฟ้องเทจ็ ตอ้ งเป็นเรื่องกล่าวหาวา่ ผอู้ ื่นกระทาความผดิ อย่างไรไมใ่ ช่บรรยายฟ้องวา่
ตนเองมีฐานะอะไร

1. ถา้ ทาหนา้ ท่ีเป็นทนายจะไดร้ ับความคมุ้ ครอง
2. เรื่องเชค็ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยใ์ หอ้ านาจผทู้ รงลงวนั ที่ในเช็คได้
การลงวนั ที่แมจ้ ะผิดวนั ไปกไ็ มใ่ ช่เรื่องเทจ็ แต่ถา้ เช็คน้นั ไม่ลงวนั ท่ีแตแ่ รก เม่ือนาคดีมาฟ้องจึ
งลงวนั ท่ีแลว้ มาฟ้องคดีอาญายนื ยนั วา่ เชค็ น้นั ลงวนั ท่ีมาแต่แรก อยา่ งน้ีเป็นฟ้องเทจ็ มาตรา 175
3. การฟ้องเทจ็ น้าแมศ้ าลวนิ ิจฉยั วา่ พยานยงั ฟังไมไ่ ดว้ า่ ผถู้ กู กล่าวหากระทาผิดก็เป็นฟ้อง
เทจ็
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 5100/2539 ท้งั โจทกก์ บั จาเลยยงั โตเ้ ถียงกรรมสิทธ์ิในท่ีดินกนั อยู่
จาเลยเอาความเทจ็ มาฟ้องตอ่ ศาลวา่ โจรบุกรุกและทาใหเ้ สียทรัพย์ (ตน้ ยางพารา) แมศ้ าลวนิ ิจฉยั วา่
พยานยงั ฟังไมไ่ ดว้ า่ โจทกก์ ระทาผดิ แต่กป็ รากฏวา่ บริเวณท่ีเกิดเหตุไม่มีการปลูกตน้ ยางอยเู่ ลย การท่ี
อา้ งวา่ โจทกน์ ารถเขา้ ไปไถตน้ ยางของจาเลยเป็นกรณีท่ีจาเลยเอาความเทจ็ มาฟ้องโดยรู้อยแู่ ลว้ วา่ ไม่
เป็นความจริงก็ผดิ ฐานฟ้องเท็จและเบิกความเทจ็ ได้

มาตรา 176 เหตลุ ดหย่อนโทษของมาตรา 175
มาตรา 176 ผใู้ ดกระทาความผดิ ตามมาตรา 175 แลว้ ลแุ ก่โทษตอ่ ศาล และขอถอนฟ้องหรือ

แกฟ้ ้องก่อนมีคาพพิ ากษา ใหศ้ าลลงโทษนอ้ ยกวา่ ท่ีกฎหมายกาหนดไวห้ รือศาลจะไม่ลงโทษเลยก็
ได้

- ลุแก่โทษ หมายถึงการบอกความผิดของตนเพอ่ื ขอความกรุณาหรือสานึกในการกระทา
ผดิ และบอกแจง้ ตอ่ ศาลวา่ ขอ้ ความจริงเป็นอยา่ งไร

- การขอถอนฟ้อง ปกติศาลก็ถือวา่ เป็นการลแุ ก่โทษ

144

มาตรา 177 เบกิ ความเทจ็
มาตรา 177 ผใู้ ดเบิกความอนั เป็นเทจ็ ในการพิจารณาคดีต่อศาล ถา้ ความเทจ็ น้นั เป็นขอ้

สาคญั ในคดี ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไม่เกินหา้ ปี หรือปรับไม่เกินหน่ึงแสนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
ถา้ ความผิดดงั กล่าวในวรรคแรก ไดก้ ระทาในการพจิ ารณาคดีอาญา ผกู้ ระทาตอ้ งระวาง

โทษจาคุกไม่เกินเจด็ ปี และปรับไม่เกินหน่ึงแสนส่ีหม่ืนบาท
1. กาหนดชดั เจนวา่ ความเทจ็ น้นั ตอ้ งเป็นขอ้ สาคญั ในคดีซ่ึงนาไปใชใ้ นความผดิ ฟ้องเทจ็

แจง้ ความเทจ็ ตามมาตรา 137 มาตรา 172 มาตรา 173 ดว้ ย
2. การฟ้องเท็จในมาตรา 175 หมายถึงเฉพาะคดีอาญาแตก่ ารเบิกความเทจ็ มาตรา 177

วรรคแรกกาหนดวา่ เบิกความเทจ็ ในการพิจารณาคดีต่อศาลเทา่ น้นั
เมื่อเบิกความเทจ็ ต่อศาลกผ็ ดิ แลว้ ไม่วา่ จะเป็นคดีแพง่ คดีอาญาโดยมาตรา 177

วรรคสองวา่ ถา้ เบิกความเทจ็ ไดก้ ระทาในการพจิ ารณาคดีอาญาตอ้ งระวางโทษหนกั กวา่ วรรคแรก

3. มาตรา 177 ไมม่ ีหลกั เกณฑว์ า่ พยานตอ้ งสาบานหรือปฏิญาณตนก่อนจึงจะถือวา่ ผดิ
มาตรา 177 เพราะความมุง่ หมายของมาตรา 177 อยทู่ ่ีเบิกความเทจ็ ในขอ้ สาคญั ในคดีเท่าน้นั

4. การเบิกความเท็จก็คือการใหถ้ อ้ ยคาต่อศาลไม่วา่ ผเู้ บิกความจะเบิกความเองหรือ
จะเบิกความโดยตอบคาถามของศาลหรือทนายของฝ่ายโจทก์ จาเลยก็ได้

คาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 5228/2562 จาเลยท่ี 1 เบิกความอนั เป็นเทจ็ สองคร้ังในคดีอาญา
หมายเลขแดงท่ี 2439/2559 ของศาลช้นั ตน้ คนละวนั กนั คร้ังแรกวนั ที่ 17 พฤษภาคม 2559 แต่เบิก
ความไมจ่ บปาก ศาลมีคาสั่งเลื่อนการพิจารณาต่อในวนั ที่ 27 พฤษภาคม 2559 แมจ้ าเลยท่ี 1 จะเบิก
ความคนละวนั กนั แต่ขอ้ ความท่ีจาเลยท่ี 1 เบิกความคร้ังแรกและคร้ังหลงั กต็ ่อเนื่องกนั อีกท้งั การ
เบิกความท้งั สองคร้ังมีเจตนามงุ่ ประสงคต์ อ่ ผลอยา่ งเดียวกนั คือ เพื่อมิใหจ้ าเลยท่ี 1 ซ่ึงถกู ฟ้องเป็น
จาเลยในคดีดงั กลา่ วตอ้ งไดร้ ับโทษทางอาญาเทา่ น้นั ดงั น้ีการกระทาของจาเลยท่ี 1 จึงเป็นกรรม
เดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ส่วนความผดิ ฐานนาสืบหรือแสดงพยานหลกั ฐานอนั เป็น
เทจ็ ในการพิจารณาคดีน้นั แมค้ วามผิดท้งั สองฐานจะเป็นความผดิ ต่อบทบญั ญตั ิของกฎหมายหลาย
บทตา่ งกนั แตก่ ารท่ีจาเลยท่ี 1 นาจาเลยที่ 2 เขา้ เบิกความเป็นพยานของตนในวนั ท่ี 27 พฤษภาคม
2559 ซ่ึงเป็นวนั เดียวกนั กบั วนั ท่ีจาเลยท่ี 1 เบิกความในคร้ังหลงั กเ็ ป็นการกระทาที่เก่ียวเน่ือง
เช่ือมโยงโดยมีเจตนาม่งุ ประสงคต์ ่อผลอยา่ งเดียวกนั คือ เพื่อมิใหจ้ าเลยท่ี 1 ซ่ึงถูกฟ้องเป็นจาเลยใน
คดีดงั กล่าวตอ้ งไดร้ ับโทษทางอาญา การกระทาของจาเลยท่ี 1 จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อ
กฎหมายหลายบทเช่นกนั

145

จากขอ้ เทจ็ จริงในคาพพิ ากษาฎีกาน้ี การเบิกความอนั เป็นเทจ็ ตามมาตรา 177 หากมีเจตนา
เพ่อื จะนาสืบหรือแสดงพยานหลกั ฐานอนั เป็นเท็จในการพิจารณาคดีดว้ ย ตามมาตรา 180 ตอ้ ง
พิจารณาท่ีเจตนามุง่ ประสงคต์ อ่ ผลอยา่ งเดียวกนั คือไมต่ อ้ งการใหจ้ าเลยถูกดาเนินคดีอาญา เช่นน้ีจะ
ถือเป็นกรรมเดียวผดิ ต่อกฎหมายหลายบท ตามมาตรา 90

5. การเบิกความเท็จจะเป็นความผิดสาเร็จทนั ทีแมพ้ ยานจะยงั ไม่ลงช่ือ
- การปลอมตวั มาเบิกความต่อศาลนอกจากจะถูกฟ้องฐานเบิกความเทจ็ แลว้ ศาลกจ็ ะลงโทษ
ฐานละเมิดอานาจศาลอีก
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 561/2508 จาเลยไม่ใช่นายช่วงแต่อา้ งวา่ เป็นนายช่วง เบิกความตอ่ ศาลวา่
เห็นเหตุการณ์ความจริงไม่ไดเ้ ห็นกบั จาเลยลงนามปลอมวา่ เป็นนายช่วงในคาเบิกความท่ีศาลจดอีก
ดว้ ย จาเลยผดิ เบิกความเทจ็ มาตรา 177 การท่ีจาเลยลงนามปลอมผดิ ปลอมเอกสารมาตรา 264 อีก
ดว้ ยโดยไมใ่ ช่เรื่องแจง้ ใหเ้ จา้ พนกั งานจดขอ้ ความ เพราะศาลจะจดหรือไม่จดก็ไดเ้ ป็นดุลพนิ ิจของ
ศาล การจดจึงเป็นเรื่องของศาลไม่ใช่เร่ืองของพยานท่ีจะแจง้ ใหศ้ าลจดขอ้ ความเทจ็ ผทู้ ี่เบิกความ
ยอ่ มไมผ่ ดิ มาตรา 267 อีก
6. คาเบิกความเทจ็ ตอ้ งมีลกั ษณะเป็นการยนื ยนั ขอ้ เทจ็ จริงไม่ใช่เรื่องความเห็นหรือการ
คาดคะเนหรือการเดา

- การยนื ยนั ขอ้ เทจ็ จริงเช่นวา่ ไม่เห็นคนร้ายแตไ่ ปเบิกความวา่ เห็นหรือเห็นคนร้าย
แต่เบิกความวา่ ไม่เห็นอยา่ งน้ีเป็นการยนื ยนั ขอ้ เท็จจริงแลว้ จึงเป็นเร่ืองเบิกความเทจ็

- การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตไม่มีลกั ษณะเป็นการยืนยนั ขอ้ เท็จจริงไมเ่ ป็น
ความผดิ ฐานเบิกความเทจ็

7. การเบิกความเทจ็ ต่อศาลผกู้ ระทาจะผิดฐานเบิกความเทจ็ ตอ่ ศาลตามมาตรา 177
แต่ไม่ผิดฐานแจง้ ความเทจ็ ต่อเจา้ พนกั งานตามมาตรา 137 อีกและก็ไมเ่ ขา้ มาตรา 172
มาตรา 173 เพราะศาลไม่ใช่เจา้ พนกั งาน

146

8. แตบ่ างกรณีศาลอาจเป็นเจา้ พนกั งานตามมาตรา 137 เช่นเดียวกบั การยนื่ คาร้องขอ
ประกนั ตวั ตอ่ ศาลแลว้ แสดงหลกั ทรัพยเ์ ป็นเทจ็ ย่อมผดิ ฐานแจง้ เทจ็ มาตรา 137 ไดแ้ ต่กจ็ ะไมผ่ ิด
มาตรา 177

9. ความผิดเบิกความเทจ็ เป็นความผิดสาเร็จทนั ทีเมื่อเบิกความเทจ็ จึงถกู ฟ้องฐานเบิก
ความเทจ็ ไดท้ นั ทีไม่ตอ้ งรอใหศ้ าลในคดีน้นั พพิ ากษาเสียก่อนหรือไม่ตอ้ งรอใหค้ ดีน้นั ถึงที่สุด
เสียก่อน

10. การเบิกความเทจ็ เป็นความผิดสาเร็จทนั ทีท่ีเบิกความ แมค้ ดีหลกั จะยอมความกนั ได้
หรือถอนฟ้องไปกย็ งั เป็นความผดิ ฐานเบิกความเทจ็ อยู่

11. ผเู้ สียหายหรือจาเลยในคดีอาญามีสิทธ์ิใหก้ ารตอ่ สู้คดีอยา่ งไรกไ็ ดจ้ ึงไม่ผดิ ฐานแจ้ง
ความผดิ ตามมาตรา 137 มาตรา 172 มาตรา 173

แตถ่ า้ จาเลยคดีน้ีไปอยใู่ นฐานะเป็นผกู้ ล่าวหาในคดีหน่ึงอาจจะผดิ ฐานแจง้ ความเทจ็ ได้
เช่นถูกฟ้องเป็นจาเลยในคดีทาร้ายร่างกาย แลว้ แจง้ ความกบั โจทกว์ า่ ลกั ทรัพยใ์ นคดีหลงั ความผิด
ฐานแจง้ ความเทจ็ ได้

- ถา้ เบิกความเทจ็ ในฐานะพยานอีกฐานะหน่ึงแลว้ แมจ้ ะเป็นผตู้ อ้ งหาหรือเป็นจาเลยก็ไม่ไดร้ ับ
ยกเวน้ ไมไ่ ดร้ ับสิทธิ

12. ความผดิ ฐานเบิกความเท็จไมม่ ีการพยายามกระทาความผดิ เป็นความผิดสาเร็จต่อเมื่อ
ไดเ้ บิกความต่อศาลแลว้ ศาลไดบ้ นั ทึกไวแ้ ลว้ หากศาลไม่ไดบ้ นั ทึกไว้ ไมไ่ ดอ้ ยใู่ นสานวนความกไ็ ม่
เป็นพยายามกระทาความผิดและไมม่ ีปัญหาเรื่องความผดิ ฐานเบิกความเท็จเพราะไม่ปรากฏใน
สานวน

13. ถา้ เบิกความแถลงในวนั นง่ั พจิ ารณาคดีคร้ังแรกของศาลปกครองเป็นการกระทาใน
ฐานะคูก่ รณีมิใช่ฐานะพยาน จึงไมผ่ ดิ ฐานเบิกความเทจ็ (ชาตรี สุวรรณิน, 2560 เลม่ 13,หนา้ 85)

147

คาพิพากษาฎีกาท่ี 8660/2551 องคป์ ระกอบความผิดฐานเบิกความเท็จ ตอ้ งเป็นการเบิก
ความเท็จในกระบวนพิจารณาที่กระทาโดยศาลในคดีที่ตอ้ งฟังคาพยานเพื่อวินิจฉัยประเด็นตาม
อานาจหน้าท่ี และการเบิกความหมายความถึงการกระทาของพยานบุคคล มิไดห้ มายความถึงคา
แถลงหรือคาใหก้ ารในฐานะคู่ความหรือของผูอ้ ื่น ท่ีไม่ไดก้ ระทาในฐานะพยาน ตาม พ.ร.บ.จดั ต้งั
ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 59 การนงั่ พิจารณาคดีคร้ังแรกเป็ นการ
ดาเนินกระบวนพิจารณาเพื่อให้คู่กรณีตรวจสอบความถูกตอ้ งของข้อเท็จจริงท่ีตุลาการเจ้าของ
สานวนไดส้ รุปและส่งสรุปขอ้ เท็จจริงน้นั ให้คู่กรณีทราบล่วงหนา้ ก่อนการนงั่ พิจารณาคดีคร้ังแรก
การกระทาของจาเลยที่โจทกบ์ รรยายฟ้องวา่ จาเลยไดเ้ บิกความแถลงในวนั นงั่ พิจารณาคดีคร้ังแรก ก็
เป็ นการยืนยนั หรือหักลา้ งเพ่ือตรวจสอบความถูกตอ้ งของขอ้ เท็จจริงท่ีตุลาการเจา้ ของสานวนได้
สรุปและส่งใหค้ กู่ รณีทราบลว่ งหนา้ เป็นการกระทาในฐานะที่เป็นโจทกซ์ ่ึงเป็นคู่กรณีฝ่ายหน่ึง มิได้
กระทาในฐานะพยานบุคคล การกระทาของจาเลยตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเทจ็

ข้อสังเกต การเบิกความเท็จในการพจิ ารณาคดตี ่อศาล
1. การเบิกความเทจ็ มาตรา 177 ตอ้ งเป็นการเบิกความในการพจิ ารณาคดีต่อศาล
“การพจิ ารณาคดีต่อศาล” คือ ท้งั ในคดีแพ่งและคดีอาญา (ชาตรี สุวรรณิน, 2560 เล่ม

13,หนา้ 85)
ช้นั ไตส่ วนขอฟังคดีอยา่ งคนอนาถากผ็ ดิ เบิกความเทจ็ ไดเ้ ช่นเบิกความวา่ ตนยากจนแทจ้ ริง

แลว้ สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลได้
2. ช้นั ไต่สวนของยน่ื คาใหก้ าร จาเลยยนื่ คาร้องวา่ มีเหตุจาเป็นไมส่ ามารถมายน่ื คาใหก้ ารได้

ทนั ถา้ เป็นเทจ็ ก็ผิดฐานเบิกความเทจ็ ได้
3. การเบิกความในช้นั ไต่สวนมลู ฟ้องซ่ึงถือวา่ เป็นช้นั พิจารณาคดี ศาลฎีกาวา่ เป็นความผดิ

มาตรา 177 วรรค 2
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 4900/2537 การเบิกความในการพิจารณาคดีของศาลไมว่ า่ จะเป็นช้นั

ไต่สวนมลู ฟ้องหรือช้นั พิจารณาก็เป็นการพิจารณาคดีของศาลเช่นเดียวกนั
ส่วนคาวา่ ขอ้ สาคญั ในคดี หมายถึง เน้ือหาหรือสาระของคาเบิกความไม่ใช่ข้นั ตอนในการ

เบิกความถา้ พยานเบิกความเทจ็ และขอ้ ความท่ีเบิกความเป็นสาระสาคญั ของคดีที่เบิกความ
ไมว่ า่ จะเบิกความในช้นั ไตส่ วนมูลฟ้องหรือช้นั พิจารณาก็เป็นการเบิกความเทจ็ ท่ีเป็นขอ้ สาคญั ใน
คดีเช่นเดียวกนั

148

4. ศาลหมายถึงศาลยตุ ิธรรมรวมถึงศาลทหาร ศาลปกครองดว้ ย ตา่ งจากฟ้องเทจ็ ตาม
มาตรา 175 ที่ไมน่ ่าจะรวมถึงศาลปกครองเพราะมีองคป์ ระกอบความผิดวา่ ในคดีอาญา (ชาตรี
สุวรรณิน, 2560 เลม่ 13,หนา้ 86) ท้งั ในกรณีที่จ่าศาลไปเผชิญสืบตามประมวลกฎหมายวิธีพจิ ารณา
อาญามาตรา 240 แตไ่ ม่รวมถึงการไตส่ วนของเจา้ พนกั งานพทิ กั ษท์ รัพยเ์ พราะเจา้ พนกั งานพิทกั ษ์
ทรัพยไ์ ม่ใช่ศาล

5. การพิจารณาคดีต่อศาลในการเบิกความ แมศ้ าลไม่นง่ั ครบองคค์ ณะแตค่ ่คู วามในคดี
น้นั ไมไ่ ดค้ ดั คา้ น ถา้ มีการเบิกความเทจ็ ก็เป็นความผดิ มาตรา 177 แลว้ (ปัจจุบนั ศาลตอ้ งนง่ั ครบองค์
คณะถึงจะเป็ นการพิจารณาของศาล)

6. ถา้ เบิกความในคดีต่อศาลแตค่ ดีน้นั ควรจะเป็นคดีที่ฟ้องตอ่ ศาลจงั หวดั แตก่ ลบั ไปฟ้อง
ตอ่ ศาลแขวงฟ้องผดิ ศาลหากมีการเบิกความเท็จกผ็ ิดมาตรา 177 ได้

คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1171/2511 เบิกความเทจ็ ในช้นั ไตส่ วนขอคนื หลกั ประกนั โดยแจง้ วา่
ผตู้ อ้ งหาหรือจาเลยตายแลว้ และนาใบมรณบตั รปลอมมายนื่ ต่อศาลเพื่อขอหลกั ประกนั คืนผดิ ฐาน
เบิกความเทจ็ ตามมาตรา 177

ความเทจ็ น้นั ตอ้ งเป็นขอ้ สาคญั
- ซ่ึงขอ้ หาฟ้องเทจ็ กบั เบิกความเทจ็ น้นั อาจแตกตา่ งกนั
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1460/2522 จาเลยนาเช็คเขา้ บญั ชีเพื่อเรียกเกบ็ เงินตามเช็คแมจ้ ะไม่เป็น
ความจริงจาเลยกไ็ ม่ผิดฟ้องเทจ็ แตข่ อ้ หาบุกความเทจ็ น้นั ที่วา่ ผใู้ ดนาเช็คเขา้ บญั ชีเพื่อเรียกเก็บเงิน
ตามเชค็ น้นั เป็นขอ้ สาคญั ในคดีเม่ือจาเลยเบิกความอนั เป็นเทจ็ วา่ เป็นผูน้ าเชค็ เขา้ บญั ชีซ่ึงความจริง
จาเลยไดข้ ายลดเช็คน้นั ไปแลว้ จาเลยยอ่ มผดิ ฐานเบิกความเทจ็ ได้
คาพิพากษาฎีกาที่ 9777/2544 จาเลยเบิกความในคดีแพง่ ท่ีโจทกฟ์ ้องใหจ้ าเลยชาระเงินตาม
เช็คที่จาเลยสั่งจ่ายแต่จาเลยเบิกความวา่ ไดช้ าระเงินใหแ้ ลว้ แต่โจทกอ์ อกใบเสร็จใหไ้ มค่ รบ
ท้งั ๆ ท่ีเช็คดงั กล่าวจาเลยออกเพ่ือชาระหน้ีใหโ้ จทกค์ าเบิกความของจาเลยจึงเป็นความเทจ็ และ
เป็นขอ้ สาคญั ในคดีจาเลยผิดมาตรา 177

149

คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 5100/2546 ปัญหาวา่ หลงั จากธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแลว้ มีการ
ชาระเงินตามเชค็ ใหแ้ ก่ผสู้ ่งมากนอ้ ยเพียงใดไมใ่ ช่ขอ้ สาคญั ในคดีเพราะไม่ใช่เหตผุ ลที่ศาลจะนาไป
วนิ ิจฉยั ช้ีขาดวา่ จาเลยกระทาผิดหรือไม่ การท่ีจาเลยเบิกความต่อศาลในคดีท่ีโจทกถ์ กู ฟ้องคดีเช็ควา่
หลงั จากที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คโจทกซ์ ่ึงเป็นผอู้ อกเช็คไมเ่ คยชาระเงินใหแ้ ก่จาเลยซ่ึง
เป็นผทู้ รงเลยจึงไมใ่ ช่ขอ้ สาคญั ในคดี แมข้ อ้ เทจ็ จริงฟังไดว้ า่ จาเลยเบิกความต่อศาลดงั กลา่ วก็ไม่อาจ
ลงโทษจาเลยในความผิดฐานเบิกความเทจ็ ตามมาตรา 177 ได้

- ขอ้ สาคญั ในคดี ถา้ เป็นคดีแพง่ หมายถึงขอ้ ความท่ีเก่ียวกบั ประเดน็ ขอ้ พิพาทวา่ มีน้าหนกั
ในการนามาวนิ ิจฉยั ทาใหเ้ กิดผลแพช้ นะกนั ในคดี

คาพิพากษาฎีกาที่ 2856/2535 ประเด็นขอ้ พพิ าทคือจาเลยไดท้ าสัญญาขายท่ีดินตามฟ้อง
ใหแ้ ก่โจทกห์ รือไม่ จาเลยเบิกความวา่ ไม่ไดท้ าสัญญากบั โจทกล์ ายมือชื่อในสัญญาไม่ใช่ของจาเลย
เป็นการเบิกความเกี่ยวกบั ประเดน็ ขอ้ พพิ าทและเป็นขอ้ แพช้ นะกนั ยอ่ มถือวา่ เป็นขอ้ สาคญั ในคดี
เมื่อเบิกความเทจ็ ยอ่ มผดิ มาตรา 177 ไมต่ อ้ งพิจารณาวา่ ทาใหโ้ จทกเ์ สียหายหรือไมเ่ พราะมาตรา 177
ไมม่ ีขอ้ ความวา่ ซ่ึงอาจทาให้ผอู้ ่ืนหรือประชาชนเสียหาย

คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 9330/2557 คดีก่อน บริษทั ย. ยน่ื ฟ้องโจทกค์ ดีน้ีวา่ ผิดนดั ไม่ชาระค่า
เช่าที่ดินงวดเดือนกรกฎาคม 2551 ส่วนโจทกใ์ หก้ ารตอ่ สู้วา่ ในทางปฏิบตั ิ บริษทั ย. จะตอ้ งส่งใบ
แจง้ หน้ีก่อนแลว้ โจทกจ์ ึงจะชาระคา่ เช่า แตใ่ นงวดดงั กลา่ วบริษทั ย. ไมไ่ ดส้ ่งใบแจง้ หน้ี ต่อมาโจทก์
ตรวจสอบพบวา่ ยงั คา้ งชาระคา่ เช่าอยู่ จึงนาเงินไปชาระค่าเช่าในภายหลงั คาใหก้ ารของโจทกใ์ นคดี
ก่อนเทา่ กบั รับวา่ ตนชาระคา่ เช่างวดเดือนกรกฎาคม 2551 หลงั จากครบกาหนดชาระไปแลว้ แตม่ ีขอ้
เถียงโดยยกขอ้ ต่อสูข้ ้นึ ใหมว่ า่ แมโ้ จทกจ์ ะชาระล่าชา้ แตก่ ็มิไดผ้ ดิ นดั เพราะบริษทั ย. ยงั ไมไ่ ดส้ ่งใบ
แจง้ หน้ีให้แก่ตนตามที่เคยปฏิบตั ิ ฉะน้นั ประเดน็ แห่งคดีในคดีก่อนจึงมีวา่ บริษทั ย. จะตอ้ งออกใบ
แจง้ หน้ีค่าเช่างวดดงั กล่าวใหแ้ ก่โจทกเ์ สียก่อนแลว้ โจทก์จึงจะตอ้ งชาระคา่ เช่า หรือไม่ ดงั น้นั คาเบิก
ความของจาเลยในคดีก่อนที่วา่ โจทกช์ าระค่าเช่างวดเดือนกรกฎาคม 2551 เม่ือวนั ที่ 12 กนั ยายน
2551 อนั เป็นการผิดนดั ชาระค่าเช่า ทาใหส้ ัญญาเช่าสิ้นสุดลง จึงไม่ใช่ขอ้ สาคญั ในคดี การกระทา
ของจาเลยจึงไม่เป็ นความผิดฐานเบิกความเทจ็

150

- ถา้ ขอ้ ความท่ีพยานเบิกความน้นั ไมม่ ีผลทาใหเ้ ป็นขอ้ แพช้ นะกนั ไม่ทาใหค้ าวินิจฉยั ของ
ศาลเปลี่ยนแปลงไปถือวา่ ไมใ่ ช่ขอ้ สาคญั ในคดี

- คดีขอเป็นผปู้ กครองบุตรขอ้ เทจ็ จริงเกี่ยวกบั ความประพฤติไมด่ ีต่อบุตรของอีกฝ่ายหน่ึง
เป็นขอ้ สาคญั ในคดี

- คดีร้องขอเป็นผจู้ ดั การมรดก ขอ้ ท่ีวา่ เจา้ มรดกมีทายาทกี่คนมีทรัพยม์ รดกเทา่ ใดไมใ่ ช่
ขอ้ สาคญั ในคดี เพราะประเด็นท่ีเป็นขอ้ สาคญั ในคดีคือผรู้ ้องเป็นทายาทหรือผมู้ ีส่วนไดเ้ สียท่ีจะมี
สิทธ์ิยน่ื คาร้องขอตอ่ ศาลหรือไม่ มีเหตุที่จะแต่งต้งั ผูจ้ ดั การมรดกหรือไม่

คาพพิ ากษาฎีกาที่ 9/2518 แมผ้ รู้ ้องจะเบิกความเก่ียวกบั จานวนทายาทหรือแสดง
หลกั ทรัพยม์ รดกไม่ตรงต่อความจริงไปบา้ งก็ไม่มีมูลความผดิ ฐานเบิกความเทจ็ หรือแสดงหลกั ฐาน
เทจ็ ตามมาตรา 177 มาตรา 180

คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 75/2544 มาตรามีทรัพยม์ รดกอะไรบา้ ง จานวนเท่าใดไมใ่ ช่ประเด็น
ในคดี ยน่ื คาร้องขอเป็นผจู้ ดั การมรดก การที่จาเลยเบิกความเทจ็ วา่ บา้ นเป็นของ มาตราจึงมิใช่
ขอ้ สาคญั ในคดีไมผ่ ิดฐานเบิกความเทจ็

- ครอบครองปรปักษป์ ระเด็นคือครอบครองโดยสงบเปิ ดเผยเจตนาเป็นเจา้ ของเกิน 10 ปี
หรือไม่ ส่วนการจะไปขอซ้ือท่ีดินจากเจา้ ของท่ีดินหรือไม่ไมส่ าคญั

- ในคดีอาญาขอ้ สาคญั ในคดี หมายถึงขอ้ ความท่ีเป็นขอ้ สาคญั ท่ีทาใหม้ ีอานาจฟ้องหรือ
เป็นคาเบิกความที่เกี่ยวกบั องคป์ ระกอบความผดิ ท่ีจะทาใหศ้ าลลงโทษจาเลยหรือศาลยกฟ้องจาเลย

คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1460/2522 องคป์ ระกอบความผิดในคดีออกเช็คไมม่ ีเงินไดแ้ ก่โจทก์
ออกเชค็ และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ผใู้ ดนาเชค็ ไปเขา้ บญั ชีไมใ่ ช่องคป์ ระกอบความผดิ จาเลย
ฟ้องและเบิกความวา่ จาเลยนาเชค็ ไปเขา้ บญั ชีแตค่ วามจริงจาเลยขายเช็คใหแ้ ก่ธนาคารไปแลว้ ไมเ่ ป็น
ฟ้องเทจ็ แก่ผูน้ าเชค็ เขา้ บญั ชีเป็นผทู้ รงและเป็นผเู้ สียหายฟ้องคดีไดจ้ ึงเป็นขอ้ สาคญั ในความผดิ ฐาน
เบิกความเทจ็

151

- ความผดิ ตามพระราชบญั ญตั ิเช็คข้ึนอยกู่ บั การออกเชค็ เพื่อชาระหน้ีท่ีมีอยจู่ ริงและ
บงั คบั ไดต้ ามกฎหมายแลว้ ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ส่วนปัญหาวา่ หลงั จากท่ีธนาคารปฏิเสธการ
จ่ายแลว้ มีการชาระเงินตามเช็คใหแ้ ก่ผทู้ รงเชค็ มากนอ้ ยเพียงใดมิใช่ขอ้ สาคญั ในคดีเพราะไม่ใช่
เหตผุ ล
ที่ศาลจะนาไปวินิจฉยั ช้ีขาดวา่ จาเลยกระทาความผิดจริงหรือไม่

โจทกฟ์ ้องวา่ จาเลยเบิกความวา่ หลงั จากที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเชค็ ผอู้ อกเช็ค
ไม่เคยชาระเงินใหแ้ ก่จาเลยจึงมิใช่ขอ้ สาคญั ในคดีแมข้ อ้ เทจ็ จริงจะฟังไดว้ า่ จาเลยกระทาผิดตามฟ้อง
กไ็ ม่อาจลงโทษจาเลยในความผดิ ฐานเบิกความเทจ็ ได้

- เบิกความเทจ็ ในคดีฉ้อโกงว่าเคยแนะนาจาเลยในคดีฉอ้ โกงน้นั ใหร้ ู้จกั กบั ผเู้ สียหายท้งั ที่
ไม่เคยแนะนาใหร้ ู้จกั กนั ความเทจ็ น้ีไมใ่ ช่ขอ้ สาคญั ในความผิดฐานฉอ้ โกง

- ความผดิ ฐานฆ่าหรือพยายามฆา่ โดยใชป้ ื นยงิ คาเบิกความที่วา่ เห็นใครเป็นคนยงิ หรือไม่
เป็นขอ้ สาคญั ในคดี

คาพิพากษาฎีกาที่ 404/2513 พยานเห็นเขายงิ แต่เบิกความวา่ ไดย้ นิ แต่เสียงปื นถึงศาลจะ
ยกฟ้องดว้ ยเหตุอื่นกถ็ ือวา่ ผิดฐานเบิกความเทจ็ แลว้

- คดีอาญาความผิดยอมความไดเ้ บิกความวา่ ไดม้ ีการยอมความกนั อนั ทาใหส้ ิทธินา
คดีอาญามาฟ้องระงบั ไปแลว้ ถา้ ฟังไดว้ า่ ผูเ้ บิกความรู้มาก่อนแลว้ ยงั ไปเบิกความวา่ ไม่มีการยอม
ความถือวา่ เบิกความเทจ็ ในขอ้ สาคญั ในคดีเพราะมีผลทาใหศ้ าลจะลงโทษหรือยกฟ้องได้
4. เจตนา

- ผกู้ ระทาตอ้ งรู้วา่ ขอ้ ความที่ตวั เองเบิกความเป็นเท็จ
- ถา้ เบิกความผดิ พลาดไปเพราะพล้งั เผลอ พลาดพล้งั ไป หรือหลงลืมไป อยา่ งน้ีผกู้ ระทา
กไ็ มม่ ีความผิดฐานเบิกความเทจ็ เพราะไม่มีเจตนา (ชาตรี สุวรรณิน, 2560 เล่ม 13,หนา้ 90)
- ปกติศาลกจ็ ะถือตามเอกสารเป็นหลกั ในคดีแพ่งเม่ือพยานเบิกความไปตามเอกสาร
โดยไม่รู้วา่ เอกสารน้นั ไมต่ รงตอ่ ความจริงอยา่ งน้ีไมถ่ ือวา่ เบิกความเทจ็ ต่อศาล
มาตรา 177 คุม้ ครองเจา้ พนกั งานและคคู่ วามในคดีน้นั เท่าน้นั บุคคลภายนอกคดีไม่อาจ
เป็นผเู้ สียหายจึงไมม่ ีอานาจฟ้องเองในความผิดฐานเบิกความเทจ็
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1033/2533 มาตรา 177 มีข้ึนเพอื่ ป้องกนั ไมใ่ หจ้ าเลยที่ถูกฟ้องร้อง
ไดร้ ับโทษหรือไดร้ ับความเสียหายอนั เกิดจากการรับฟังพยานหลกั ฐานอนั เป็นเทจ็ เม่ือโจทกใ์ นคดี
น้ีมิไดถ้ กู ฟ้องเป็นจาเลยในคดีที่จาเลยในคดีน้ีไปเบิกความเป็นพยาน โจทกจ์ ึงไมไ่ ดร้ ับความเสียหาย
โดยตรงในการเบิกความของจาเลยไม่ใช่ผเู้ สียหายและไมม่ ีอานาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธี
พจิ ารณาความอาญามาตรา 28 อนุ 2
- คดีที่เบิกความเทจ็ ยงั ไม่พพิ ากษาก็ฟ้องฐานเบิกความเทจ็ เป็นคดีใหมไ่ ด้

152

- เบิกความเทจ็ แมศ้ าลบนั ทึกความท่ีเทจ็ ไวก้ ็ผิดเฉพาะเบิกความเทจ็ ไม่ผดิ ฐานแจง้ ใหเ้ จา้
พนกั งานจดขอ้ ความอนั เป็นเทจ็

- ถา้ มิไดบ้ รรยายฟ้องวา่ คดีที่เบิกความเทจ็ น้นั มีขอ้ หาความผิดตามบทกฎหมายใด
ประเดน็ อนั เป็นขอ้ สาคญั ในคดีมีวา่ อยา่ งไรและคาเบิกความของจาเลยเป็นขอ้ สาคญั อยา่ งไร ถือวา่
มิไดบ้ รรยายถึงการกระทาท่ีอา้ งว่าจาเลยไดก้ ระทาผิดมาโดยครบถว้ น

มาตรา 178 การแปลเทจ็
มาตรา 178 ผใู้ ดซ่ึงเจา้ พนกั งานในตาแหน่งตุลาการ พนกั งานอยั การ ผวู้ า่ คดี หรือ

พนกั งานสอบสวน ใหแ้ ปลขอ้ ความหรือความหมายใด แปลขอ้ ความหรือความหมายน้นั ใหผ้ ิดไป
ในขอ้ สาคญั ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไมเ่ กินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ

1. เจา้ พนกั งาน 4 ประเภทไดแ้ ก่ตลุ าการ อยั การ ผวู้ า่ คดี พนกั งานสอบสวนไม่รวมหรือ
เจา้ พนกั งานผมู้ ีอานาจสืบสวนคดีอาญา

2. ใหแ้ ปลขอ้ ความหรือความหมายใด
- ขอ้ ความ หมายถึงคาพูด เอกสารกไ็ ด้
- ความหมายใด อาจจะเป็นเคร่ืองหมายรหสั สญั ญาณซ่ึงเขา้ ใจกนั ในเฉพาะกลุ่ม
- แปลใหผ้ ิดไปในขอ้ สาคญั ซ่ึงหมายถึงขอ้ แพช้ นะกนั ในคดีเช่น พยานเบิกความเห็นวา่
จาเลยเป็นคนร้าย ลา่ มแปลวา่ คลบั คลา้ ยคลบั คลาวา่ จาเลยเป็นคนร้ายอย่างน้ีถือวา่ เป็นการแปลใหผ้ ิด
ไปในขอ้ สาคญั
- สิ่งท่ีใหแ้ ปลน้นั อาจจะเป็นการแปลในช้นั การสอบสวนซ่ึงอยใู่ นช่วงก่อนจะมีการ
ฟ้องร้องคดีกนั กไ็ ดไ้ ม่จากดั วา่ จะตอ้ งมีคดีข้ึนมาในศาลแลว้ ถึงจะผดิ มาตรา 178
- ผแู้ ปลขอ้ ความหรือความหมายจะตอ้ งมีเจตนาแปลใหผ้ ิดไปในขอ้ สาคญั ดว้ ย ถา้ แปล
ผิดไปเพราะวา่ ความรู้ทางภาษาไม่ดีพอไม่ไดเ้ จตนาท่ีจะแปลใหผ้ ดิ แต่วา่ ฟังไม่ทนั บา้ งกไ็ มเ่ ป็น
ความผดิ
มาตรา 179 ทาพยานหลกั ฐานเทจ็
มาตรา 179 ผใู้ ดทาพยานหลกั ฐานอนั เป็นเทจ็ เพื่อใหพ้ นกั งานสอบสวนหรือเจา้
พนกั งานผมู้ ีอานาจสืบสวนคดีอาญาเชื่อวา่ ไดม้ ีความผิดอาญาอยา่ งใดเกิดข้นึ หรือเชื่อวา่ ความผดิ
อาญาที่เกิดข้ึนร้ายแรงกวา่ ท่ีเป็นความจริง ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไมเ่ กินสองปี หรือปรับไม่เกินส่ี
หม่ืนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ

153

1. เอาผิดกบั ผ้ทู าพยานหลกั ฐาน
1.1 การทาพยานหลกั ฐานเทจ็ อาจจะเป็นการทาข้ึนมาท้งั หมดหรือทาข้นึ เพียงบางส่วน

ก็ถือวา่ เป็นการทาพยานหลกั ฐานเทจ็
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 152/2484 การทาหลกั ฐานในการกล่าวโทษวา่ ขา้ ราชการไมใ่ หค้ วาม

เป็นธรรม เช่นน้ีเป็นเร่ืองร้องเรียนทางวินยั แมม้ ีการทาพยานหลกั ฐานเท็จข้นึ มาก็ไม่มีความผิดฐาน
ทาพยานหลกั ฐานเทจ็

1.2 พยานหลกั ฐานที่ทาข้ึนยอ้ นหลงั ใหต้ รงกบั ความเป็นจริงไม่ผดิ ฐานทา
พยานหลกั ฐานเทจ็

1.3 คาซดั ทอดของผตู้ อ้ งหาแมพ้ นกั งานสอบสวนบนั ทึกไวก้ ็ไม่ผดิ มาตรา 179
เพราะผตู้ อ้ งหาไมไ่ ดท้ า

1.4 ตวั อยา่ งจาเลยทาพยานหลกั ฐานเทจ็
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 465/2576 นาววั ไปผกู ไวใ้ นป่ าแลว้ ไปแจง้ ตารวจวา่ มีการลกั ววั ไปเป็น
การทาพยานหลกั ฐานเท็จ
คาพิพากษาฎีกาท่ี 5449/2540 จาเลยเป็นพนกั งานเกบ็ เงินยกั ยอกเงินบริษทั แต่ไปแจง้
ตารวจวา่ ถกู คนร้ายจ้ีเงินไปทางานท่ีไม่มีการปลน้ แต่จาเลยทาพยานหลกั ฐานเทจ็ ดว้ ยการใชท้ ่อนไม้
ทุบรถของจาเลยและแจง้ ขอ้ ความเทจ็ แก่พนกั งานสอบสวนวา่ มีการปลน้ ทรัพย์ จาเลยจึงมีความผดิ
ฐานแจง้ ขอ้ ความอนั เป็นเท็จเก่ียวกบั ความผดิ อาญา,แจง้ ความเทจ็ วา่ ไดม้ ีการทาความผดิ เกิดข้ึนและ
ทาพยานหลกั ฐานอนั เป็นเท็จ
2. เพื่อใหพ้ นกั งานสอบสวนหรือเจา้ พนกั งานผมู้ ีอานาจสืบสวนคดีอาญาช่ือวา่ ก.ไดม้ ี
ความผิดอาญาเกิดข้ึนหรือ ข.ความผิดอาญาท่ีทาข้นึ ร้ายแรงกวา่ ความเป็นจริง

2.1 เป็นการกระทากบั เฉพาะพนกั งานสอบสวนและเจา้ พนกั งานผมู้ ีอานาจสืบสวน
คดีอาญาเท่าน้นั

- หากไปทาพยานหลกั ฐานเท็จตอ่ อยั การหรือศาลไมเ่ ขา้ มาตรา 179 แตอ่ าจจะเขา้
มาตรา 180

2.2 ผตู้ อ้ งหาไมผ่ ิดฐานใหก้ ารเทจ็ แต่หากผตู้ อ้ งหาทาพยานหลกั ฐานเท็จมาตรา 179
อยา่ งน้ีผตู้ อ้ งหาผิดมาตรา 179 ได้

2.3 ถา้ กรณีทาเพื่อใหเ้ ช่ือวา่ ไม่มีความผิดอาญาเกิดข้ึน เช่น ฆา่ แลว้ พยายามทาลาย
หลกั ฐานใหห้ มด ในทางวิชาการไม่ผดิ มาตรา 179 แต่อาจจะผดิ ฐานอ่ืน

2.4 ถา้ เพียงแต่แจง้ เท็จไม่ไดท้ าพยานหลกั ฐานเทจ็ ก็ผิดมาตรา 172 เทา่ น้นั
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1294/2536 จาเลยแจง้ ขอ้ ความอนั เป็นเท็จเพอื่ แกลง้ ใหผ้ เู้ สียหายตอ้ งรับ
โทษผดิ มาตรา 172, 174 วรรค 2

154

3. เจตนาผกู้ ระทาตอ้ งมีเจตนาทาพยานหลกั ฐานอนั เป็นเท็จโดยมีมลู เหตจุ ูงใจให้เจา้
พนกั งานเช่ือวา่ มีความผิดเกิดข้นึ หรือวา่ ความผิดอาญาน้นั เกิดข้นึ แรงกวา่ ที่เป็นจริง
มาตรา 180 นาสืบหรือแสดงหลกั ฐานอนั เป็ นเท็จ

มาตรา 180 ผใู้ ดนาสืบหรือแสดงพยานหลกั ฐานอนั เป็นเทจ็ ในการพจิ ารณาคดี ถา้ เป็น
พยานหลกั ฐานในขอ้ สาคญั ในคดีน้นั ตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินสามปี หรือปรับไมเ่ กินหกหมื่น
บาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ

ถา้ ความผดิ ดงั กล่าวในวรรคแรก ไดก้ ระทาในการพจิ ารณาคดีอาญา ผกู้ ระทาตอ้ งระวาง
โทษจาคกุ ไมเ่ กินเจ็ดปี และปรับไมเ่ กินหน่ึงแสนส่ีหม่ืนบาท

- เป็นเรื่องในช้นั ศาลถา้ กระทาผดิ ในคดีแพง่ เขา้ วรรคแรกถา้ คดีอาญากป็ รับเขา้ วรรคสอง
1. นาสืบพยานหลกั ฐานอนั เป็ นเทจ็ ในการพจิ ารณาคดี

1.1 การนาสืบ หมายถึงนาพยานเขา้ สืบตอ่ ศาลซ่ึงผนู้ าสืบไดต้ อ้ งเป็นคคู่ วามในคดี
1.2 การแสดงพยานหลกั ฐานเทจ็ ในการพิจารณาคดีต่อศาลเช่นตามสัญญากแู้ ละส่งต่อ
ศาลแมย้ งั ไมม่ ีการสืบพยานกเ็ ป็นความผดิ แสดงพยานหลกั ฐานเทจ็ ในการพจิ ารณาคดีต่อศาล
1.3 ถา้ เพียงแตก่ ลา่ วอา้ งอาศยั สญั ญากซู้ ่ึงเป็นสัญญากปู้ ลอมมาฟ้องแต่มีการยอมความ
ยงั ไม่ผดิ มาตรา 180 เพราะยงั ไม่ถือเป็นการแสดงพยานหลกั ฐานเทจ็ เพราะยอมความกนั ก่อน
คาพิพากษาฎีกาท่ี 4297/2530 มอบอานาจใหฟ้ ้องเรียกเงินตามสญั ญากูอ้ นั เป็นเทจ็ เพียง
แนบภาพถ่ายสญั ญากมู้ าทา้ ยฟ้องยงั ถือไม่ไดว้ า่ เป็นการนาสืบหรือแสดงพยานหลกั ฐานอนั เป็นเทจ็
ในการพจิ ารณาคดีของศาลตามมาตรา 180
1.4 เอกสารหรือพยานหลกั ฐานจะตอ้ งเป็นเทจ็ ถา้ หากวา่ ไม่เทจ็ ก็ไมม่ ีทางจะผิดมาตรา
180
1.5 ถา้ ไม่ใชเ้ ป็นพยานหลกั ฐานเทจ็ ในการพิจารณาคดีเลยก็ไม่ผิด
1.6 คาวา่ ในช้นั พจิ ารณาคดีมีความหมายกวา้ งรวมถึงในช้นั ขอเฉล่ียทรัพย์ นอกจากน้ี
ยงั รวมถึงในช้นั ไตส่ วนขอคุม้ ครองชวั่ คราวก่อนพิพากษาดว้ ย
คาพิพากษาฎีกาที่ 1474/2517 จาเลยที่ 1 แกลง้ ใหต้ นเองเป็นหน้ีจาเลยท่ี 2 อนั ไมเ่ ป็น
ความจริงโดยจาเลยที่ 2 รับสมอา้ งดว้ ยจาเลยที่ 1 ผิดโกงเจา้ หน้ีและถือวา่ จาเลยที่ 2 ร่วมดว้ ยในการ
พจิ ารณาขอเฉล่ียทรัพยจ์ าเลยท้งั สองเบิกความวา่ เป็นหน้ีต่อกนั อนั เป็นเทจ็ จึงผิดฐานเบิกความเทจ็
และจาเลยที่ 2 ผอู้ า้ งสัญญากูเ้ ป็นหลกั ฐานยอ่ มผิดฐานนาสืบหรือแสดงพยานหลกั ฐานอนั เป็นเทจ็
ดว้ ย
1.7 ความผิดมาตรา 180 โจทกต์ อ้ งนาสืบใหไ้ ดว้ า่ มีการกระทาความผิดตามมาตรา 180
จะเพยี งอา้ งคาวินิจฉยั ของศาลในคดีก่อนเพื่อจะมาลงโทษจาเลยตามมาตรา 180 ไม่ได้

155

1.8 การกระทาเดียวอาจผิดท้งั เบิกความเทจ็ และทาพยานหลกั ฐานเทจ็ และถา้ ทาไป
พร้อมกนั กเ็ ป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท

2. ต้องเป็ นพยานหลกั ฐานในข้อสาคญั ในคดีคือข้อแพ้ชนะ
- ถา้ ไมเ่ ป็นขอ้ สาคญั ในคดีไม่ใช่ขอ้ แพช้ นะคดีและศาลไม่ไดห้ ยบิ ยกข้ึนวินิจฉยั เลย
ก็ไม่ใช่ขอ้ สาคญั ในคดีไมเ่ ขา้ องคป์ ระกอบมาตรา 180
2.1 ตอ้ งบรรยายมาในฟ้องไดว้ า่ เป็นขอ้ สาคญั ในคดีอยา่ งไร
2.2 ศาลวนิ ิจฉยั ยกฟ้องเพราะคดีขาดอายคุ วาม ขอ้ นาสืบของจาเลยท่ีนาปื นมาแสดงวา่
เป็นคนละกระบอกจึงไมใ่ ช่ขอ้ สาคญั
ผพู้ พิ ากษาฎีกา 162/2532 เพราะการนาปื นมาแสดงน้ีไม่ใช่การแสดงพยานหลกั ฐาน
ในขอ้ สาคญั ในคดีเพราะปื นจะเป็นพยานหลกั ฐานอนั เป็นเทจ็ หรือไม่ ก็หาทาใหผ้ ลของคดี
เปล่ียนแปลงไปไม่ การกระทาของจาเลยไมผ่ ิดมาตรา 180
2.3 งบดุลกองมรดกไม่ใช่ขอ้ สาคญั ขอ้ สาคญั คือผรู้ ้องเป็นทายาทหรือผมู้ ีส่วนไดเ้ สีย
หรือไม่
3. เจตนา
ตอ้ งรู้ขอ้ เทจ็ จริงวา่ พยานหลกั ฐานอนั เป็นเทจ็ ถา้ ไมร่ ู้ขอ้ เทจ็ จริงหรือถูกหลอกมาอีกคร้ัง
หน่ึงกถ็ ือวา่ ไม่มีเจตนา
มาตรา 181 เหตุฉกรรจ์ของมาตรา 177 มาตรา 178 มาตรา 180

มาตรา 181 ถา้ การกระทาความผิดตามมาตรา 174 มาตรา 175 มาตรา 177 มาตรา 178 หรือมาตรา
180

(1) เป็นการกระทาในกรณีแห่งขอ้ หาวา่ ผใู้ ดกระทาความผดิ ท่ีมีระวางโทษจาคุกต้งั แต่
สามปี ข้นึ ไป ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แตห่ กเดือนถึงเจ็ดปี และปรับต้งั แต่หน่ึงหม่ืนบาทถึง
หน่ึงแสนสี่หม่ืนบาท

(2) เป็นการกระทาในกรณีแห่งขอ้ หาวา่ ผใู้ ดกระทาความผิดท่ีมีระวางโทษถึงประหาร
ชีวิต หรือจาคกุ ตลอดชีวติ ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคกุ ต้งั แตห่ น่ึงปี ถึงสิบหา้ ปี และปรับต้งั แต่สอง
หม่ืนบาทถึงสามแสนบาท

- การเบิกความเทจ็ ในคดีที่มีขอ้ หามีโทษจาคกุ ข้นั ต่ากวา่ 3 ปี จึงไม่มีเหตฉุ กรรจท์ ี่ทาให้
ตอ้ งรับโทษหนกั ข้ึนมาตรา 181 อนุ 1

คาพิพากษาฎีกาที่ 5377/2546 อตั ราโทษข้นั ต่าแต่ละฐานความผดิ ไม่ถึง 3 ปี การเบิกความ
เทจ็ ของจาเลยจึงไมต่ อ้ งดว้ ยกรณีท่ีตอ้ งรับโทษหนกั ข้ึนตามมาตรา 181 อนุ 1 เพราะมาตรา 181
อนุ 1 บญั ญตั ิวา่ แจง้ ความเทจ็ ในคดีท่ีมีโทษจาคกุ ต้งั แต่ 3 ปี ข้ึนไปจึงจะผดิ มาตรา 181 อนุ 1

156

มาตรา 182 บทยกเว้นโทษ
มาตรา 182 ผใู้ ดกระทาความผดิ ตามมาตรา 177 หรือมาตรา 178 แลว้ ลแุ ก่โทษ และกลบั แจง้ ความ
จริงต่อศาลหรือเจา้ พนกั งานก่อนจบคาเบิกความหรือการแปล ผนู้ ้นั ไม่ตอ้ งรับโทษ

บทยกเวน้ โทษ คอื ผกู้ ระทาความผดิ ไมต่ อ้ งรับโทษ แต่ตอ้ งเป็นการลแุ ก่โทษก่อนที่จะจบ
คาเบิกความหรือการแปล

มาตรา 183 เหตุลดโทษ
มาตรา 183 ผใู้ ดกระทาความผิดตามมาตรา 177 มาตรา 178 หรือมาตรา 180 แลว้ ลุแก่โทษ และกลบั
แจง้ ความจริงต่อศาลหรือเจา้ พนกั งานก่อนมีคาพิพากษา และก่อนตนถกู ฟ้องในความผิดท่ีไดก้ ระทา
ศาลจะลงโทษนอ้ ยกวา่ ที่กฎหมายกาหนดไวส้ าหรับความผิดน้นั เพียงใดก็ได้

เหตุลดโทษ คอื ผกู้ ระทาความผิดยงั มีความผดิ อยู่ แต่ศาลสามารถใชด้ ุลพินิจในการลงโทษ
นอ้ ยกวา่ ท่ีกฎหมายกาหนดไวไ้ ด้ แต่ตอ้ งเป็นกรณีท่ีผกู้ ระทาความผิดลุแก่โทษ ก่อนมีคาพิพากษา
และก่อนจะถกู ฟ้องในความผิดน้นั

ทำใหเ้ สยี หำยแกท่ รพั ยใ์ นคดี
มาตรา 184 ทาลายพยานหลกั ฐาน

มาตรา 184 ผใู้ ดเพ่ือจะช่วยผอู้ ื่นมิใหต้ อ้ งรับโทษ หรือใหร้ ับโทษนอ้ ยลง ทาใหเ้ สียหาย
ทาลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทาใหส้ ูญหายหรือไร้ประโยชน์ ซ่ึงพยานหลกั ฐานในการกระทา
ความผิด ตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินหา้ ปี หรือปรับไม่เกินหน่ึงแสนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
ความผดิ ตามมาตราน้ีเอาผดิ กบั บุคคลทวั่ ไป

1. ทาใหเ้ สียหาย ทาลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสียหรือทาใหส้ ูญหายหรือไร้ประโยชน์
2. ซ่ึงพยานหลกั ฐานในการกระทาความผิด
3. มีเจตนาพิเศษเพอ่ื จะช่วยใหผ้ อู้ ื่นมิให้รับโทษหรือรับโทษนอ้ ยลง
ฟางที่เป้ื อนเลือดเป็นพยานหลกั ฐานในการกระทาความผิดหากเอาไปเผาเสียผดิ มาตรา
184, ช่วยซ่อนรถจกั รยานยนตท์ ี่ขบั ไปยงิ คนตายเป็นการช่วยซ่อนเร้น, เอาของกลางไปทิง้ เป็น
ความผดิ สาเร็จตามมาตรา 184
พยานหลกั ฐานตามมาตรา 184 แมเ้ จา้ พนกั งานยงั ไมไ่ ดย้ ดึ ไว้ ยงั ไมไ่ ดร้ ักษาไวก้ ็อยใู่ น
ความหมายของมาตรา 184

157

การโกยเลือดของผตู้ ายไปทิ้งเป็นการทาลายพยานหลกั ฐานมาตรา 184
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1202/2520 จาเลยเป็นเจา้ พนกั งานมีอานาจสืบสวนสอบสวนและ
จบั กุมผกู้ ระทาความผิดทราบวา่ นายเซ่งยงิ นายชาตาย แตไ่ มจ่ บั กุมจาเลยผิดมาตรา 157 แลว้ ยงั
ขนยา้ ยศพนายชาไปทิง้ เพ่ือปิ ดบงั การตายผิดมาตรา 199 นอกจากน้นั ยงั โกยเลือดนายชาไปทิง้
ผิดฐานทาลายพยานหลกั ฐานตามมาตรา 184 กระทาของจาเลยมีเจตนาเดียวคือ เพอื่ ช่วยเหลือไมใ่ ห้
ผกู้ ระทาผดิ ตอ้ งไดร้ ับโทษและเป็นการกระทาต่อเนื่องกนั เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
ผกู้ ระทาตอ้ งมีเจตนาพิเศษ คือ เพื่อจะช่วยใหผ้ อู้ ่ืนมิใหร้ ับโทษหรือรับโทษนอ้ ยลง หากเป็น
การกระทาเพือ่ ช่วยเหลือตนเอง กไ็ ม่ผดิ มาตรา 184
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 3964/2532 ความผิดมาตรา 184 ตอ้ งเป็นการกระทาท่ีช่วยใหผ้ อู้ ่ืน
ไม่ใหต้ อ้ งไดร้ ับโทษหรือไดร้ ับโทษนอ้ ยลง จาเลยเป็นป่ าไมอ้ าเภอไดเ้ ผาไม้ 12 ท่อนที่พนกั งาน
สอบสวนยดึ ไวเ้ พื่อเป็นพยานหลกั ฐานไมม่ ีดวงตราของจาเลยตีประทบั ไวท้ ุกท่อน และกาลงั อยู่
ระหวา่ งสอบสวนวา่ เป็นไมถ้ ูกตอ้ งหรือไม่ จาเลยกระทาไปเพอ่ื เจตนาช่วยตนเอง ใหพ้ น้ จากกระทา
ผิดท่ีตนเองอาจตอ้ งไดร้ ับโทษ จาเลยไม่ผดิ มาตรา 184 แต่ผดิ มาตรา 142
มาตรา 142 เป็นการทาลายทรัพยส์ ินที่เจา้ พนกั งานไดย้ ดึ หรือรักษาไวเ้ พื่อใชเ้ ป็นพยาน
ซ่ึงไม่มีองคป์ ระกอบเรื่องเพ่ือช่วยไมใ่ หต้ อ้ งไดร้ ับโทษหรือไดร้ ับโทษนอ้ ยลง

มาตรา 185 ทาลายทรัพย์หรือเอกสารทสี่ ่งต่อศาล
มาตรา 185 ผใู้ ดทาใหเ้ สียหาย ทาลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทาใหส้ ูญหายหรือไร้

ประโยชน์ ซ่ึงทรัพยห์ รือเอกสารใดที่ไดส้ ่งไวต้ ่อศาล หรือท่ีศาลใหร้ ักษาไวใ้ นการพิจารณาคดี ตอ้ ง
ระวางโทษจาคุกไมเ่ กินหา้ ปี หรือปรับไม่เกินหน่ึงแสนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ

เงินท่ีไดจ้ ากการขายทอดตลาดช้นั บงั คบั คดีไม่ใช่ทรัพยท์ ่ีส่งไวต้ ่อศาลหรือท่ีศาลรักษาไว้
ตามความหมายของมาตรา 185 น้ี

สมุดเงินฝากประจาที่ใชป้ ระกนั ตวั ไมใ่ ช่ทรัพยห์ รือเอกสารในการพิจารณาคดี
การพิจารณาหมายถึงพจิ ารณาในเน้ือหาของคดีวา่ กระทาความผิดตามฟ้องหรือไม่
ไม่ใช่การพิจารณาหลกั ทรัพยป์ ระกนั ตวั ปลอ่ ยชวั่ คราว
เจา้ หน้ีตามคาพิพากษาคดีอื่นยดึ หรืออายดั ซ้า เป็นการท่ีตอ้ งกระทาตามคาสง่ั ศาลไม่ผดิ
มาตรา 185 มาตรา 187

158

มาตรา 186 ทาลายทรัพย์สินท่ศี าลมคี าพพิ ากษาให้ริบ
มาตรา 186 ผใู้ ดทาใหเ้ สียหาย ทาลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทาใหส้ ูญหายหรือไร้

ประโยชน์ ซ่ึงทรัพยส์ ินท่ีไดม้ ีคาพพิ ากษาใหร้ ิบ ตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินสามปี หรือปรับไม่เกิน
หกหมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ

มาตรา 187 ทาลายทรัพย์ท่ีถูกยึดหรืออายัด
มาตรา 187 ผใู้ ดเพื่อจะมิใหก้ ารเป็นไปตามคาพิพากษาหรือคาส่งั ของศาล ทาใหเ้ สียหาย

ทาลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทาใหส้ ูญหายหรือไร้ประโยชน์ ซ่ึงทรัพยท์ ี่ถูกยดึ หรืออายดั หรือท่ี
ตนรู้วา่ น่าจะถูกยดึ หรืออายดั ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไม่เกินสามปี หรือปรับไมเ่ กินหกหม่ืนบาท หรือ
ท้งั จาท้งั ปรับ

องคป์ ระกอบความผดิ ตามมาตราน้ี คือ
1. ทาใหเ้ สียหาย ทาลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย ทาใหส้ ูญหายหรือไร้ประโยชน์
2. ซ่ึงทรัพยท์ ี่ถกู ยดึ หรืออายดั หรือที่ตนจะรู้วา่ น่าจะถูกยดึ หรืออายดั
3. เพอื่ ไม่ใหก้ ารเป็นไปตามคาพพิ ากษาหรือคาสั่งศาล
4. เจตนา

ความผิดตามมาตรา 187 ตอ้ งมีคาพพิ ากษาหรือคาส่ังของศาลแลว้ เทา่ น้นั
ขอ้ สงั เกต มาตรา 187 ทาลายตวั ทรัพยท์ ี่ถกู ยดึ หรืออายดั

แมท้ รัพยย์ งั ไมถ่ กู ยดึ หรืออายดั แต่ผกู้ ระทาน่าจะรู้วา่ จะถกู ยดึ หรืออายดั
เช่น จาเลยเป็นลูกหน้ีตามคาพพิ ากษารู้แลว้ วา่ เจา้ หน้ีตอ้ งมายดึ ที่ดินหรือทรัพยส์ ินแน่
จึงไปทาใหเ้ สียหาย ทาลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย กเ็ ป็นความผดิ ตามมาตรา 187
เป็นเร่ืองบงั คบั การใหเ้ ป็นไปตามคาพพิ ากษาหรือคาส่งั ศาลไมใ่ ช่ทรัพยท์ ี่เรียกมาเป็น
พยานหลกั ฐานซ่ึงต่างจากมาตรา 184
สามีเป็นลกู หน้ีตามคาพพิ ากษาภรรยาโอนทรัพยส์ ินของตนเองไปไม่เป็นความผิดตาม
มาตราน้ี
การท่ีศาลออกหมายเรียกเอกสารแลว้ จาเลยไม่ส่งไมผ่ ิดมาตรา 187 มาตรา 188
ร้ือบา้ นตามคาสง่ั ศาลไมผ่ ดิ มาตรา 187

159

มาตรา 188 ทาลายพนิ ัยกรรมหรือเอกสาร
มาตรา 188 ผใู้ ดทาใหเ้ สียหาย ทาลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทาใหส้ ูญหายหรือไร้

ประโยชน์ ซ่ึงพนิ ยั กรรมหรือเอกสารใดของผอู้ ื่น ในประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ื่นหรือ
ประชาชน ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไม่เกินหา้ ปี และปรับไมเ่ กินหน่ึงแสนบาท

ถา้ หากวา่ มีคาถามเก่ียวกบั เอกสารตอ้ งนึกถึงมาตรา 188 ไวก้ ่อนดว้ ยเพราะมาตรา 188
ครอบจกั รวาลเหมือนกรณีมาตรา 157 (ชาตรี สุวรรณิน, 2560, เลม่ ที่ 16, หนา้ 71)

1. ทาใหเ้ สียหาย ทาลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสียทาใหส้ ูญหายหรือไร้ประโยชน์
การทาใหเ้ สียหาย ทาลายเอกสารน้ีไม่ตอ้ งทาลายท้งั ฉบบั ทาลายบางส่วนก็ผดิ แลว้
เอาตน้ ฉบบั ใบฝากเงินของธนาคารไปทาลายแลว้ ทาตอนข้ึนใหม่เป็นการทาลายซ่ึง

เอกสารผดิ มาตรา 188
การเผาทาลายบญั ชีเงินกูเ้ ป็นการทาลายเอกสารผดิ มาตรา 188
การมอบอานาจใหไ้ ปโอนท่ีดินหรือทานิติกรรมแทนแลว้ ไปทาผดิ วตั ถปุ ระสงคอ์ ยา่ ง

น้ีกเ็ ป็นการเอาไปซ่ึงเอกสารของผอู้ ื่นผดิ มาตรา 188 ได้
คาพิพากษาฎีกาท่ี 2723/2541 โจทกท์ าหนงั สือมอบอานาจใหจ้ าเลยไปโอนที่ดินตาม นส.

3 ใหจ้ าเลยนาไปจดทะเบียนจานองเป็นประกนั คา่ เสียหาย แต่จาเลยกลบั นาไปจดทะเบียนโอนที่ดิน
เป็นของจาเลยซ่ึงไมต่ รงกบั เจตนาของโจทกโ์ ดยโจทกม์ ิไดย้ นิ ยอมยกให้ การกระทาของจาเลยเป็น
การเอาไปเสียซ่ึงเอกสารสิทธ์ิของโจทกใ์ นประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทกจ์ าเลยผดิ
มาตรา 188

ขายรถไปแลว้ ผขู้ ายเอาสมุดคู่มือจดทะเบียนไปใส่ช่ือผอู้ ่ืนเป็นการเอาไปเสีย
เอาเช็คผอู้ ่ืนไปข้ึนเงินเพ่อื ประโยชนข์ องตนเองเป็นการเอาไปเสีย
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1312/2544 จาเลยเป็นพนกั งานของโจทกไ์ ดร้ ับเช็คค่าชาระสินคา้ จาก
ลูกคา้ และนาเชค็ ไปเบิกเงินเก็บไวเ้ องมีความผิดฐานเอาไปเสียซ่ึงเช็คอนั เป็นเอกสารของโจทกโ์ ดย
ประการที่น่าจะเสียหายแก่โจทกจ์ าเลยผดิ มาตรา 188 และยกั ยอกเงินตามเช็คมาตรา 352 วรรคแรก
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 4688/2540 จาเลยเอาเช็คไปรวม 2 คราวแลว้ ปลอมในวนั เดียวกนั คือ
แกต้ วั เลขในเช็ค ลบขอ้ ความในเอกสารจาเลยผิดมาตรา 188 และมาตรา 264 ตอ้ งลงโทษบทหนกั
คือ มาตรา 188
จงใจไม่คนื เอกสารก็เป็นการเอาไปเสีย
ลกั เอาบตั รเอทีเอม็ ไปเป็นการเอาไปเสียซ่ึงเอกสารและทรัพยเ์ ป็นความผดิ มาตรา 188
และลกั ทรัพยด์ ว้ ย
คาพิพากษาฎีกาที่ 9/2543 ขโมยบตั รเอทีเอม็ แลว้ นาไปกดเงินผิดมาตรา 188 ลกั บตั ร
เอทีเอม็ ไปเป็นการเอาไปเสียซ่ึงเอกสารของผอู้ ่ืนและลกั ทรัพยต์ ามมาตรา 334

160

ไม่วา่ จะเอาไปดว้ ยประการใดก็ผิดไดถ้ า้ น่าจะก่อให้เกิดความเสียหาย
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1599/2540 จาเลยนาเอกสารสัญญากขู้ องผเู้ สียหาย (ผใู้ หก้ ู)้ ไปโดยมิได้
นามาคืนใหแ้ ก่ผเู้ สียหายไมว่ า่ จะไปทาลายหรือ ทาใหส้ ูญหายหรือเอาไปดว้ ยประการใด ๆ เป็นการ
กระทาท่ีทาใหผ้ เู้ สียหายขาดหลกั ฐานในการฟ้องคดีผิดมาตรา 188
มาตรา 188 กวา้ งมากการกระทาอะไรท่ีเกี่ยวกบั เอกสารหรือพินยั กรรมจะเขา้ มาตรา 188
เสียเป็นส่วนใหญ่ แมจ้ ะเป็นพยานหลกั ฐานในคดี ถา้ เป็นเอกสารพินยั กรรมกจ็ ะเขา้ มาตรา 188
2. ซ่ึงพนิ ยั กรรมหรือเอกสารใดของผอู้ ื่น
ของผอู้ ่ืนไมห่ มายความวา่ ผทู้ าเอกสารน้นั จะเป็นเจา้ ของเสมอไป
ทาสัญญากูแ้ ละมอบใหก้ บั ผใู้ หก้ ไู้ ป เอกสารน้นั ไม่ใช่ของผกู้ ูแ้ ลว้ หากไปเอามาฉีก
ผกู้ ูผ้ ิดมาตรา 188
สงั่ จ่ายเชค็ แลว้ มอบใหก้ บั ผทู้ รงไปแลว้ จะมาเอาเช็คน้นั มาฉีกทิง้ ไมไ่ ด้ เพราะเช็คน้นั เป็น
ของผทู้ รง
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 36518/2526 เชค็ ไมไ่ ดล้ งวนั ท่ี ผทู้ รงเอามาขอใหผ้ สู้ ัง่ จ่ายลงวนั ที่ ผสู้ ่ัง
จ่ายก็ลงวนั ท่ียอ้ นหลงั ไป 8 ปี ทาใหเ้ ช็คน้นั ขาดอายคุ วาม อยา่ งน้ีถือวา่ เป็นการทาใหเ้ สียหายทาลาย
ทาใหไ้ ร้ประโยชนผ์ ดิ มาตรา 188
เป็นความผดิ ที่กระทาต่อเฉพาะพนิ ยั กรรมหรือเอกสารเท่าน้นั หากเป็นวตั ถุอ่ืนท่ีไม่ใช่
เอกสารไมผ่ ิดมาตรา 188
ไมต่ อ้ งเป็นพยานหลกั ฐานในคดีไมจ่ าเป็นวา่ ตอ้ งเก่ียวกบั การพิจารณาคดี
ขอใหเ้ ป็นพินยั กรรมหรือเอกสารกใ็ ชไ้ ด้
พินยั กรรมที่ถกู เพิกถอนแลว้ ไมอ่ ยใู่ นสภาพพินยั การรมกย็ งั เป็นเอกสาร เอาไปกผ็ ิดใน
ฐานะเอาเอกสารไป
ส่ิงใดจะเป็นพินยั กรรมตอ้ งเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยบ์ รรพ 6
ส่ิงที่จะเป็นความผิดมาตรา 188 จะตอ้ งเป็นพินยั กรรมหรือเอกสาร ถา้ เป็นแค่กระดาษ
ขาวธรรมดาไม่ถือวา่ เป็นเอกสาร ถา้ เอากระดาษขาวธรรมดาไปอาจจะผิดฐานลกั ทรัพย์
คาพิพากษาฎีกาท่ี 309/2528 แบบพิมพเ์ ชค็ ท่ียงั ไม่ไดก้ รอกขอ้ ความยงั ไมถ่ ือวา่ เป็น
เอกสาร ผเู้ อาไปไม่ผดิ มาตรา 188
ภาพถ่ายหรือฟิ ลม์ ของภาพถา่ ยไมเ่ ป็นเอกสาร
คาพิพากษาฎีกาที่ 1209/2522 ลาพงั แตภ่ าพถา่ ยแตเ่ พียงอยา่ งเดียวเป็นแต่เพียงภาพจาลอง
ไมไ่ ดแ้ สดงความหมายเป็นอยา่ งใด เมื่อถา่ ยเป็นภาพออกมากป็ รากฏอยใู่ นสภาพอยา่ งน้นั ไม่เป็น
หลกั ฐานแห่งความหมายอยา่ งไรจึงไม่เป็นเอกสารตามมาตรา 1 อนุ 7
แตเ่ ม่ือภาพถ่ายมีตวั เลขหรือตวั อกั ษรมาเก่ียวขอ้ งดว้ ยภาพถ่ายอาจเป็นเอกสาร

161

คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1277/2537 แมภ้ าพถา่ ยจะไม่ใช่เอกสารแต่เม่ือนาไปปิ ดในหนงั สือ
เดินทางยอ่ มทาใหค้ วามหมายที่แทจ้ ริงเปล่ียนแปลงไป

3. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ื่นหรือประชาชน
มาตรา 188 ตอ้ งกระทาต่อทรัพยข์ องผอู้ ่ืนตา่ งจากมาตรา 142 ซ่ึงไม่ไดก้ าหนดวา่ ตอ้ งเป็น
ของผอู้ ่ืนเพราะฉะน้นั กระทากบั ตนเองก็ผิดมาตรา 142 ได้
คาพิพากษาฎีกาที่ 14460/2556 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 บญั ญตั ิวา่ “ผใู้ ดทา
ใหเ้ สียหาย ทาลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสียหรือทาใหส้ ูญหายหรือไร้ประโยชนซ์ ่ึงพนิ ยั กรรมหรือ
เอกสารใดของผอู้ ื่น ในประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ื่นหรือประชาชน ตอ้ งระวางโทษ...”
การที่จะเป็นความผิดตามบทบญั ญตั ิดงั กล่าวตอ้ งไดค้ วามวา่ เป็นการเอาไปใส่เอกสารของผอู้ ่ืน แต่
เม่ือขอ้ เทจ็ จริงไดค้ วามวา่ จาเลยมีส่วนเป็นเจา้ ของเอกสารดงั กลา่ วดว้ ย การท่ีจาเลยเอาเอกสารไปจึง
ไมเ่ ป็นความผดิ ตามมาตราดงั กลา่ ว โดยไม่ตอ้ งคานึงวา่ ผอู้ ่ืนหรือกองมรดกมีส่วนเป็นเจา้ ของ
เอกสารดว้ ยหรือไม่
4. เจตนา
ไมต่ อ้ งมีเจตนาทุจริตถา้ มีเจตนาทจุ ริตจะผดิ ลกั ทรัพยด์ ว้ ยหรือถา้ ทาลายกจ็ ะผดิ ฐานทาให้
เสียทรัพย์
สาหรับความผดิ มาตรา 188 เป็นความผิดที่เนน้ เก่ียวกบั เอกสาร ตามความหมายของ
มาตรา 1 (7) ซ่ึงบางคร้ัง มีขอ้ สงั เกตวา่ จะเกี่ยวโยงกบั ความผดิ ฐานปลอมแปลงเอกสารได้ ท้งั น้ี มี
ขอ้ สงั เกตวา่ ความผดิ ตามมาตรา 188 จะเนน้ องคป์ ระกอบความผิดเก่ียวกบั การทาลาย ทาใหเ้ สียหาย
เอาไปซ่ึงเอกสารหรือพนิ ยั กรรม
ยกตวั อยา่ ง หากเป็นการกระทาโดยเจตนา ทาลาย ฉีก เผา ซ่ึงเอกสารหรือพนิ ยั กรรม เป็น
ความผดิ ตามมาตรา 188 ส่วนความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารตามมาตรา 264 มาตรา 265 มาตรา
266 ผกู้ ระทาตอ้ งมีการกระทาใหค้ รบองคป์ ระกอบความผิด มีเจตนาธรรมดา และเจตนาพเิ ศษ ตาม
กฎหมายดว้ ย

162

การหลบหนีท่ีคมุ ขงั
มาตรา 189 ช่วยผู้กระทาผิดไม่ให้ต้องได้รับโทษ

มาตรา 189 ผใู้ ดช่วยผอู้ ่ืนซ่ึงเป็นผกู้ ระทาความผิด หรือเป็นผตู้ อ้ งหาวา่ กระทาความผิด
อนั มิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไมใ่ หต้ อ้ งโทษ โดยใหพ้ านกั แก่ผนู้ ้นั โดยซ่อนเร้นหรือโดยช่วยผนู้ ้นั
ดว้ ยประการใดเพอ่ื ไมใ่ หถ้ ูกจบั กุม ตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท
หรือท้งั จาท้งั ปรับ

องคป์ ระกอบความผดิ มีดงั น้ี
1. ช่วยผอู้ ื่น
2. ซ่ึงเป็นผกู้ ระทาผดิ หรือเป็นผตู้ อ้ งหาวา่ กระทาผิดก่อนที่จะถูกจบั กมุ
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 6171/2512 เมื่อขอ้ เทจ็ จริงฟังไดว้ า่ ผทู้ ี่จาเลยช่วยเหลือไดถ้ กู จบั กุมใน
ขอ้ หาน้นั ไปก่อนแลว้ จาเลยไม่ผดิ มาตรา 189
3. อนั มิใชค้ วามผิดลหุโทษ (ความผดิ ลหุโทษ คือ ความผิดที่มีโทษจาคกุ ไมเ่ กิน 1 เดือน
หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ)
4. โดยใหท้ ่ีพานกั แก่ผนู้ ้นั โดยซ่อนเร้นหรือโดยช่วยผนู้ ้นั ดว้ ยประการใด ๆ เพ่ือไมใ่ ห้ถูก
จบั กุม
เพ่อื ไมใ่ หถ้ กู จบั กมุ , เพอื่ ไมใ่ หต้ อ้ งไดร้ ับโทษ
ร้องบอกพวกเลน่ การพนนั วา่ “ตารวจมา” เป็นการช่วยดว้ ยประการใดๆเพื่อไมใ่ หถ้ กู
จบั กมุ เขา้ มาตรา 189
รับสมอา้ งวา่ ตนเองเป็นคนร้ายเป็นการช่วยดว้ ยประการใด ๆ เพ่ือใหผ้ อู้ ่ืนพน้ โทษ
พาผตู้ อ้ งหาข้ึนรถหนีโดยตารวจยงั ไม่ไดจ้ บั กุมเป็นการช่วยเพอ่ื ไมใ่ หถ้ กู จบั กุม
5. เจตนา
ผกู้ ระทาตอ้ งรู้วา่ ผทู้ ่ีตวั เองช่วยน้นั เป็นผกู้ ระทาความผดิ หรือตอ้ งหาวา่ กระทาความผิด
ซ่ึงมิใช่ความผดิ ลหุโทษ
คาพิพากษาฎีกาที่ 1670/2522 ช่วยผทู้ ี่หลบหนีการตามจบั ของตารวจผชู้ ่วยเหลือผิด
มาตรา 189
6. เจตนาพเิ ศษเพื่อไมใ่ ห้ตอ้ งโทษ
ศาลช้นั ตน้ ยกฟ้องแมโ้ จทกอ์ ุทธรณ์กต็ อ้ งถือวา่ ขณะน้นั ไม่ใช่ผกู้ ระทาผิด

163

มาตรา 190 หลบหนีทีค่ มุ ขัง

มาตรา 190 ผใู้ ดหลบหนีไประหวา่ งที่ถูกคุมขงั ตามอานาจของศาล ของพนกั งานอยั การ
ของพนกั งานสอบสวน หรือของเจา้ พนกั งานผมู้ ีอานาจสืบสวนคดีอาญา ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไม่
เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ

ถา้ ความผิดดงั กล่าวมาในวรรคแรกไดก้ ระทาโดยแหกท่ีคุมขงั โดยใชก้ าลงั ประทุษร้าย
หรือโดยขู่เขญ็ วา่ จะใชก้ าลงั ประทษุ ร้าย หรือโดยร่วมกระทาความผิดดว้ ยกนั ต้งั แต่สามคนข้ึนไป
ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินหา้ ปี หรือปรับไมเ่ กินหน่ึงแสนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ

ถา้ ความผิดตามมาตราน้ีไดก้ ระทาโดยมีหรือใชอ้ าวุธปื น หรือวตั ถุระเบิด ผกู้ ระทาตอ้ ง
ระวางโทษหนกั กวา่ โทษท่ีกฎหมายบญั ญตั ิไวใ้ นสองวรรคก่อนก่ึงหน่ึง

องคป์ ระกอบความผดิ ดงั น้ี
1. หลบหนีไป
2. ระหวา่ งท่ีถูกคุมขงั ตามอานาจของศาล,ของพนกั งานสอบสวนหรือของเจา้ พนกั งาน

ผมู้ ีอานาจสืบสวนคดีอาญา
3. เจตนา

หลกั มาตรา 190 ตอ้ งมีการจบั กุมแลว้ ถึงจะมีการคุมขงั
มาตรา 190 เอาผิดกบั ตวั ผถู้ ูกคมุ ขงั ที่หลบหนี

เมื่อมีการมอบตวั และตารวจแจง้ ขอ้ หาและควบคุมตวั ไวแ้ ลว้ ถือวา่ มีการคมุ ขงั แลว้ แมจ้ ะ
ไมไ่ ดใ้ ส่ไวใ้ นหอ้ งขงั ถา้ หลบหนีก็เป็นความผิดมาตรา 190

คาพิพากษาฎีกาท่ี 772/2536 เม่ือมีการมอบตวั และตารวจก็แจง้ ขอ้ หาแก่จาเลยแลว้ ถือวา่
คมุ้ ขนั โตกจาเลยไวแ้ ลว้ จาเลยหลบหนีไปจาเลยมีความผิดตามมาตรา 190 เป็นการหลบหนีไป
ระหวา่ งการคมุ ขงั ของพนกั งานสอบสวน

ผใู้ หญ่บา้ นจบั และควบคมุ ตวั จาเลยไวถ้ ือวา่ อยู่ระหวา่ งคุมขงั
การคุมขงั มาตรา 190 ตอ้ งเป็นการคมุ ขงั ท่ีชอบดว้ ยกฎหมายหากไมช่ อบผหู้ ลบหนีกไ็ ม่
ผดิ มาตรา 190

164

การหลบหนีจากที่คมุ ขงั มาตรา 190 เอาโทษกบั บุคคลท่ีหลบหนี ถา้ หากมีผอู้ ่ืนมาช่วย
ผอู้ ่ืน ผิดมาตรา 190 ประกอบมาตรา 86

คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1338/2517 จาเลยส่งใบเลื่อยใหแ้ ก่ห.ซ่ึงถูกคมุ ขงั ที่โรงพกั จาเลยใช้
เล่ือยลกู กรงหลบหนีจาเลยเป็นผสู้ นบั สนุนใหห้ .ผถู้ กู คุมขงั หลบหนี ผดิ มาตรา 190 ประกอบ
มาตรา 86

หลบหนีสถานท่ีกกั ขงั แทนค่าปรับกผ็ ิดมาตรา 190 แตห่ ลบหนีจากสถานพินิจไม่ผดิ ฐาน
หลบหนีท่ีคมุ ขงั

กรณีทถ่ี ือว่าไม่มีเจตนาหลบหนี
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 293/2507 จาเลยถกู ควบคุมตวั อยจู่ าเลยป่ วยเป็นโรคประสาทถกู คมุ ตวั

ไปรักษาที่โรงพยาบาลขากลบั ไม่มีผคู้ ุมจาเลยจึงหนีจาเลยไม่ผิดมาตรา 190
คาพิพากษาฎีกาท่ี 184/2507 จาเลยออกจากที่คมุ ขงั เพราะพสั ดีใชใ้ หจ้ าเลยไปซ้ือของท่ี

ตลาดโดยไม่มีผคู้ มุ จาเลยไมม่ ีเจตนาหลบหนีจากที่คมุ ขงั จาเลยไมผ่ ิด 190
กรณีที่ถือวา่ กระทาโดยเจตนา

คาพิพากษาฎีกาที่ 4915/2537 จาเลยถกู คุมขงั ระหวา่ งสอบสวนในฐานะผตู้ อ้ งหาชิงทรัพย์
ขณะตารวจนาจาเลยออกจากหอ้ งขงั จาเลยวง่ิ หนีออกมาไม่วา่ ตารวจจะจบั จาเลยไดห้ รือไม่กต็ าม
จาเลยก็ผดิ มาตรา 190 แลว้
มาตรา 191 ทาให้ผู้ถูกคมุ ขงั หลุดพ้น

มาตรา 191 ผใู้ ดกระทาดว้ ยประการใดใหผ้ ทู้ ี่ถูกคมุ ขงั ตามอานาจของศาล ของพนกั งาน
อยั การ ของพนกั งานสอบสวน หรือของเจา้ พนกั งานผมู้ ีอานาจสืบสวนคดีอาญา หลดุ พน้ จากการคมุ
ขงั ไป ตต้ อ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินหา้ ปี หรือปรับไม่เกินหน่ึงแสนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ

ถา้ ผทู้ ่ีหลดุ พน้ จากการคุมขงั ไปน้นั เป็นบุคคลท่ีตอ้ งคาพพิ ากษาจากศาลหน่ึงศาลใดให้
ลงโทษประหารชีวิต จาคกุ ตลอดชีวิต หรือจาคุกต้งั แต่สิบหา้ ปี ข้นึ ไป หรือมีจานวนต้งั แตส่ ามคนข้ึน
ไป ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แตห่ กเดือนถึงเจด็ ปี และปรับต้งั แตห่ น่ึงหม่ืนบาทถึงหน่ึงแสนสี่
หม่ืนบาท

ถา้ ความผดิ ตามมาตราน้ีไดก้ ระทาโดยใชก้ าลงั ประทุษร้าย หรือโดยขู่เขญ็ วา่ จะใชก้ าลงั
ประทุษร้าย หรือโดยมีหรือใชอ้ าวธุ ปื นหรือวตั ถุระเบิด ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษหนกั กวา่ โทษท่ี
กฎหมายบญั ญตั ิไวใ้ นสองวรรคก่อนก่ึงหน่ึง

165

องคป์ ระกอบความผดิ มีดงั น้ี
1. กระทาดว้ ยประการใดให้หลุดพน้ ไปจากการคุมขงั

เอาผดิ กบั ผทู้ ี่ไปช่วยผถู้ กู คมุ ขงั
2. ซ่ึงผทู้ ี่ถูกคุมขงั ตามอานาจศาลของอยั การ, พนกั งานสอบสวนหรือของเจา้ พนกั งานผมู้ ี
อานาจสืบสวนคดีอาญา
3. เจตนา
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 3243/ 2528 จาเลยเขา้ กอดผคู้ วบคุมไว้ และพวกของจาเลยแยง่ ตวั ผทู้ ่ี
ถูกจบั ข้ึนรถหลบหนีไป ถึอวา่ ผทู้ ่ีถูกควบคุมถูกควบคุมตามอานาจของพนกั งานผมู้ ีอานาจสืบสวน
คดีอาญาแลว้ การเขา้ ไปช่วยผิดมาตรา 191 แลว้ ยงั ผดิ มาตรา 138 ฐานตอ่ สูข้ ดั ขวางเจา้ พนกั งานดว้ ย
ถา้ ยงั ไม่มีการควบคมุ ,ยงั ไมถ่ กู คมุ ขงั ผทู้ ี่เขา้ ไปช่วยใหห้ ลุดกไ็ ม่ผดิ มาตรา 190
คาพิพากษาฎีกาท่ี 2159/ 2518 แมจ้ ะมีการใหผ้ ทู้ ี่มีกญั ชาลงชื่อไวใ้ นบนั ทึกการจบั กุมแต่
ยงั ไม่มีการควบคมุ กนั จริงยงั ถือไมไ่ ดว้ า่ จาเลยถกู ควบคุมตวั ไวจ้ ึงไม่ผดิ มาตรา 191

มาตรา 192 ให้ท่ซี ่อนเร้นผ้หู ลบหนกี ารคุมขัง
มาตรา 192 ผใู้ ดใหพ้ านกั ซ่อนเร้น หรือช่วยดว้ ยประการใด ใหผ้ ทู้ ี่หลบหนีจากการคุม

ขงั ตามอานาจของศาล ของพนกั งานสอบสวน หรือของเจา้ พนกั งานผมู้ ีอานาจสืบสวนคดีอาญา เพอื่
ไมใ่ หถ้ กู จบั กุม ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไมเ่ กินสามปี หรือปรับไมเ่ กินหกหม่ืนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ

องคป์ ระกอบความผดิ มีดงั น้ี
1. ช่วยผหู้ ลบหนีจากการคุมขงั โดยใหท้ ่ีพานกั ท่ีซ่อนเร้นหรือช่วยดว้ ยประการใด
2. ใหผ้ ทู้ ี่หลบหนีจากการคุมขงั ตามอานาจของศาลของพนกั งานสอบสวนหรือเจา้

พนกั งานผมู้ ีอานาจสืบสวนคดีอาญา
3. เจตนา
4. มูลเหตุจูงใจเพ่อื ไมใ่ หถ้ กู จบั กุม

มาตรา 192 ตา่ งจากมาตรา 189 ตรงมาตรา 189 เป็นการช่วยก่อนเขาถกู จบั
ข้อสังเกต มาตรา 192 ช่วยหลงั จากท่ีหลบหนีมาแลว้

วิธีช่วยคอื ใหท้ ี่พานกั ซ่อนเร้นหรือช่วยดว้ ยประการใด
หากไปช่วยโดยแยง่ ตวั หรือไปแหกท่ีคุมขงั โดยตรงกจ็ ะไปผดิ มาตรา 191 ไม่เขา้ มาตรา 192
ถา้ หากผทู้ ่ีไปช่วยผทู้ ี่หลบหนีที่คมุ ขงั ใหเ้ ขาหลุดพน้ เป็นเจา้ พนกั งานและกระทาโดยเจตนาผดิ มาตรา
204

เหตุยกเว้นโทษ

166

มาตรา 193 ถา้ การกระทาความผดิ ดงั กลา่ วมาในมาตรา 184 มาตรา 189 หรือมาตรา 192 เป็นการ
กระทาเพื่อช่วยบิดา มารดา บุตร สามีหรือภริยาของผกู้ ระทา ศาลจะไม่ลงโทษก็ได้

กรณีท่ีเป็นการช่วยเหลือบิดา มารดา บุตร สามีหรือภริยาของผกู้ ระทาความผิด ศาลจะไม่
ลงโทษกไ็ ด้
ฝ่ าฝื นคาพิพากษาห้ามเข้าเขตกาหนด
มาตรา 194 ผใู้ ดตอ้ งคาพพิ ากษาหา้ มเขา้ เขตกาหนดตามมาตรา 45 เขา้ ไปในเขตกาหนดน้นั ตอ้ ง
ระวางโทษจาคกุ ไม่เกินหน่ึงปี หรือปรับไม่เกินสองหม่ืนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
หลบหนจี ากสถานพยาบาล
มาตรา 195 ผใู้ ดหลบหนีจากสถานพยาบาลซ่ึงศาลส่ังใหค้ มุ ตวั ไว้ ตามความในมาตรา 49 ตอ้ งระวาง
โทษจาคุกไมเ่ กินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหน่ึงหม่ืนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
ความผิดเก่ียวกับการฝ่ าฝื นวิธีการเพ่ือความปลอดภัย
มาตรา 196 ผใู้ ดฝ่าฝืนคาส่ังหา้ มของศาลซ่ึงไดส้ ัง่ ไวใ้ นคาพิพากษา ตามมาตรา 50 ตอ้ งระวางโทษ
จาคกุ ไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหน่ึงหมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ

มาตรา 196 ฝ่าฝื นคาสั่งหา้ มของศาลซ่ึงไดส้ ่ังไวใ้ นคาพพิ ากษาตามมาตรา 50
(หา้ มประกอบอาชีพ) ซ่ึงเป็นการฝ่าฝืนวิธีการเพือ่ ความปลอดภยั ตามกฎหมายอาญา

ขัดขวางการขายทอดตลาด
มาตรา 197 ผใู้ ดใชก้ าลงั ประทุษร้าย ขเู่ ขญ็ วา่ จะใชก้ าลงั ประทุษร้าย ใหป้ ระโยชน์ หรือ

รับวา่ จะใหป้ ระโยชน์ เพื่อกีดกนั หรือขดั ขวางการขายทอดตลาดของเจา้ พนกั งานเน่ืองจากคา
พิพากษาหรือคาส่ังของศาล ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไมเ่ กินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหน่ึงหม่ืนบาท
หรือท้งั จาท้งั ปรับ

มาตรา 197 การใชก้ าลงั ประทษุ ร้าย ขเู่ ขญ็ วา่ จะใชก้ าลงั ประทุษร้าย ใหป้ ระโยชน์
หรือรับวา่ จะใหป้ ระโยชน์ มีมูลเหตจุ ูงใจ เพือ่ กีดกนั หรือขดั ขวางการขายทอดตลาดของเจา้
พนกั งาน เน่ืองจากคาพพิ ากษาหรือคาสง่ั ของศาล

167

ดหู ม่ินศาล
มาตรา 198 ดหู มนิ่ ผู้พพิ ากษา

มาตรา 198 ผใู้ ดดูหม่ินศาลหรือผพู้ พิ ากษาในการพิจารณาหรือพพิ ากษาคดี หรือกระทา
การขดั ขวางการพิจารณาหรือพพิ ากษาของศาล ตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แต่หน่ึงปี ถึงเจ็ดปี หรือ
ปรับต้งั แต่สองหมื่นบาทถึงหน่ึงแสนส่ีหมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ

ในส่วนของการขดั ขวางการพิจารณาหรือพิพากษาของศาลเป็นการกระทาอีกส่วนหน่ึง
ต่างหากจากการดูหม่ินศาล

การขดั ขวางลกั ษณะคลา้ ย ๆ กบั การขดั ขวางตามมาตรา 138
อาจารยจ์ ิตติ เห็นวา่ การขดั ขวางการพจิ ารณาคดีตามมาตรา 198 จะตอ้ งกระทาต่อศาล
มิใช่ตอ่ ผพู้ พิ ากษา ถา้ กระทาตอ่ ผพู้ พิ ากษาตอ้ งกระทาในขณะปฏิบตั ิหนา้ ท่ีเป็นศาลอยู่ในศาลเท่าน้นั
ถา้ ไปกระทานอกศาลเช่นจบั ตวั ผพู้ ิพากษาไวไ้ มใ่ หผ้ พู้ พิ ากษาเขา้ มาทางาน เอากาลงั ไป
ลอ้ มไวท้ ่ีบา้ นไม่ใหอ้ อกไปศาลได้ อยา่ งน้ี ไมผ่ ิดมาตรา 198 แตจ่ ะผิดมาตรา 138 แตย่ งั ไมม่ ีแนวฎีกา

การกระทาเก่ียวกับศพ
มาตรา 199 ทาลายศพ

มาตรา 199 ผใู้ ดลอบฝัง ซ่อนเร้น ยา้ ยหรือทาลายศพหรือส่วนของศพเพ่ือปิ ดบงั การเกิด
การตายหรือเหตุแห่งการตาย ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกินหน่ึงปี หรือปรับไม่เกินสองหม่ืนบาท
หรือท้งั จาท้งั ปรับ

องคป์ ระกอบความผิด มีดงั น้ี
1. ลอบฝัง ซ่อนเร้น ยา้ ย ทาลาย
หามศพทิง้ น้าเป็นการยา้ ยและซ่อนเร้น
2. ศพหรือส่วนของศพ
3. เพ่ือปิ ดบงั การเกิด การตายหรือเหตุแห่งการตาย

คาพพิ ากษาฎีกาที่ 10278/2555 จาเลยลากศพผตู้ ายไปไวท้ ี่ถนนสาธารณะหนา้ บา้ นห่าง
ออกไปประมาณ 30 เมตร แมบ้ ริเวณน้นั ไมอ่ าจปิ ดบงั การตายได้ กเ็ ป็นการกระทาเพ่ือปิ ดบงั เหตุแห่ง
การตายและเพ่ืออาพรางการกระทาความผดิ ของตนดว้ ย ประกอบกบั จาเลยใหก้ ารรับสารภาพใน
ความผดิ ฐานน้ีมาต้งั แตต่ น้ การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐานเคล่ือนยา้ ยศพเพื่อปิ ดบงั เหตุ
แห่งการตาย และเพื่ออาพรางคดีตาม ป.อ. มาตรา 199

168

การยา้ ยศพ หากไมม่ ีลกั ษณะเป็นการยา้ ยเพือ่ ปิ ดบงั การตายหรือเหตุแห่งการตาย
กจ็ ะไมผ่ ดิ

ศพถา้ เป็นลูกในทอ้ งที่ยงั ไม่คลอดออกมาแลว้ อยรู่ อดเป็นทารกก็ไม่ถือวา่ เป็นศพ
การรีบนาศพออกจากบา้ นไปบาเพญ็ กศุ ลโดยไมแ่ จง้ เจา้ พนกั งานเป็นการยา้ ยศพโดย
เจตนาปิ ดบงั การตาย (มีคนขอดูศพแต่ไมย่ อมใหด้ ู) ผิดมาตรา 199

หมวด 2 ความผดิ ต่อตาแหน่งหน้าทใี่ นการยุติธรรม
เจ้ าพนักงานช่ วยผู้อ่ืนไม่ให้ ต้ องโทษหรื อแกล้ งให้ ได้ รั บโทษ
มาตรา 200 เจ้าพนกั งานในการยุตธิ รรมกระทาการหรือไม่กระทาการ

มาตรา 200 ผใู้ ดเป็นเจา้ พนกั งานในตาแหน่งพนกั งานอยั การ ผวู้ า่ คดี พนกั งานสอบสวน
หรือเจา้ พนกั งานผมู้ ีอานาจสืบสวนคดีอาญาหรือจดั การใหเ้ ป็นไปตามหมายอาญา กระทาการ
หรือไมก่ ระทาการอยา่ งใด ๆ ในตาแหน่งอนั เป็นการมิชอบ เพ่ือจะช่วยบคุ คลหน่ึงบุคคลใดมิให้
ตอ้ งโทษ หรือให้รับโทษนอ้ ยลง ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ต้งั แต่หกเดือนถึงเจด็ ปี และปรับต้งั แตห่ น่ึง
พนั บาทถึงหน่ึงหม่ืนส่ีพนั บาท

ถา้ การกระทาหรือไมก่ ระทาน้นั เป็นการเพื่อจะแกลง้ ใหบ้ คุ คลหน่ึงบุคคลใดตอ้ งรับโทษ
รับโทษหนกั ข้นึ หรือตอ้ งถูกบงั คบั ตามวิธีการเพ่ือความปลอดภยั ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคกุ
ตลอดชีวิต หรือจาคกุ ต้งั แต่หน่ึงปี ถึงยสี่ ิบปี และปรับต้งั แต่สองหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท

องคป์ ระกอบความผิด มีดงั น้ี
1. เป็นเจา้ พนกั งานตาแหน่งอยั การพนกั งานสอบสวนเจา้ พนกั งานผมู้ ีอานาจสืบสวน

คดีอาญาแตไ่ ม่รวมถึงผพู้ พิ ากษา
2. กระทาการหรือไมก่ ระทาการอยา่ งใดๆในตาแหน่งอนั เป็นการมิชอบ

ถา้ กระทาโดยชอบกไ็ ม่ผดิ มาตรา 200 เช่น เปล่ียนเน้ือหาคาใหก้ ารในภายหลงั เพ่อื ช่วย
ผตู้ อ้ งหา, พนกั งานสอบสวนแกไ้ ขขอ้ ความในสานวนการสอบสวนจาก “สงั่ ฟ้อง” เป็น “สงั่ ไม่
ฟ้อง”, อยั การพน้ จากตาแหน่งที่มีอานาจสง่ั คดีน้นั ๆ แลว้ ลอบทาคาสงั่ ไมฟ่ ้อง เป็นตน้ (ชาตรี
สุวรรณิน, 2560, เล่มที่ 15, หนา้ 482)

169

คาพิพากษาฎีกาท่ี 4436/2531 จาเลยเป็นพนกั งานสอบสวนไดร้ ับแจง้ จาก ซ. วา่ มีคนร้าย
ลกั เรือของผเู้ สียหายไปแตไ่ ม่ยอมลงรับแจง้ ความเป็นหลกั ฐานและเม่ือจบั คนร้ายไดก้ ลบั ปล่อยตวั
คนร้ายไป ถือวา่ จาเลยปฏิบตั ิหรือละเวน้ การปฏิบตั ิหนา้ ที่โดยมิชอบเพอ่ื ใหเ้ กิดความเสียหาย
แก่ผเู้ สียหายตามมาตรา 157 และยงั เป็นการกระทาการในตาแหน่งหนา้ ท่ีอนั เป็นการไมช่ อบเพือ่
ช่วยคนร้ายมิใหต้ อ้ งโทษตามมาตรา 200 วรรคแรกอีกดว้ ยจึงลงโทษมาตรา 157 ซ่ึงเป็นบทหนกั

3. เพ่อื ช่วยบคุ คลหน่ึงบุคคลใดมิใหต้ อ้ งรับโทษหรือไดร้ ับโทษนอ้ ยลง
ถา้ หากวา่ แกลง้ ใหบ้ คุ คลใดไดร้ ับโทษหรือไดร้ ับโทษหนกั ข้นึ หรือถูกบงั คบั ตาม

วธิ ีการเพ่อื ความปลอดภยั ก็จะเป็นเหตฉุ กรรจต์ ามมาตรา 200 วรรคสอง
4. เจตนา
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 292/2537 พนกั งานสอบสวนเอาคาใหก้ ารเดิมของผตู้ อ้ งหาและ

ผกู้ ลา่ วหาไปเปล่ียนคาใหก้ ารใหมเ่ พราะคาใหก้ ารเดิมผตู้ อ้ งหาใหก้ ารรับสารภาพจึงผิดมาตรา 200
เพราะกระทาเพื่อช่วยบุคคลหน่ึงบคุ คลใดไมใ่ หไ้ ดร้ ับโทษนอ้ ยลง

การกระทาเพือ่ ช่วยบคุ คลหน่ึงบุคคลใดมิใหต้ อ้ งไดร้ ับโทษหรือไดร้ ับโทษนอ้ ยลง
หมายถึงบุคคลอื่นถา้ หากตวั เองเป็นผรู้ ่วมกระทาผดิ ดว้ ยและกระทาเพอ่ื ช่วยตวั เองใหพ้ น้ ผิดไมผ่ ดิ
มาตรา 200

สรุปมาตรา 200 คกู่ บั มาตรา 157 และมาตรา 201 ค่กู บั มาตรา 149

เจ้าพนกั งานในการยตุ ิธรรมเรียกหรือรับสินบน
มาตรา 201 เจ้าพนกั งานในกระบวนการยุติธรรมเรียกรับสินบน

มาตรา 201 ผใู้ ดเป็นเจา้ พนกั งานในตาแหน่งตุลาการ พนกั งานอยั การ ผวู้ า่ คดี หรือ
พนกั งานสอบสวน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพยส์ ินหรือประโยชน์อ่ืนใดสาหรับตนเองหรือผอู้ ื่น
โดยมิชอบเพ่ือกระทาการหรือไมก่ ระทาการอยา่ งใดในตาแหน่ง ไมว่ า่ การน้นั จะชอบหรือมิชอบ
ดว้ ยหนา้ ท่ี ตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แต่หา้ ปี ถึงยส่ี ิบปี หรือจาคุกตลอดชีวิต และปรับต้งั แต่หน่ึงแสน
บาทถึงส่ีแสนบาท หรือประหารชีวิต

170

องคป์ ระกอบความผดิ เหมือนมาตรา 149 หมดยกเวน้ เจา้ พนกั งาน
มาตรา 201 ตอ้ งเป็นเจา้ พนกั งานในตาแหน่งตุลาการ อยั การ ผวู้ า่ คดีปัจจุบนั ไมม่ ีแลว้
พนกั งานสอบสวน (ยศร้อยตารวจตรีเป็นตน้ ไป) คาวา่ “ประโยชน์อื่นใดสาหรับตนเองหรือผอู้ ่ืน”
เป็นคาที่กวา้ ง อาจเป็นประโยชน์ตอ่ ตนเองและครอบครัว, ประโยชน์ในหนา้ ท่ีการงาน, ทรัพยส์ ิน
หรือทางการเมืองก็เป็นได้ (ชาตรี สุวรรณิน, 2560 เล่ม 15,หนา้ 464)
นายตารวจท่ีไมไ่ ดเ้ ป็นพนกั งานสอบสวนไมอ่ าจกระทาผิดมาตรา 201 ไดแ้ ตถ่ า้ มีหนา้ ที่
จะผิดมาตรา 149
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 931/2532 พนกั งานสอบสวนปลอมลายมือช่ือผขู้ อประกนั ตวั แลว้
เสนอขอประกนั ตวั อาจารยโ์ ดยไดร้ ับเงินจากออกเป็นค่าตอบแทนเป็นความผิดมาตรา 157 และ
มาตรา201 ลงโทษมาตรา 201 เป็นบทหนกั
เจ้าพนกั งานเรียกหรือรับสินบนก่อนได้รับตาแหน่ง
มาตรา 202 เจ้าพนกั งานในกระบวนการยตุ ธิ รรมเรียกรับทรัพย์สินก่อนรับตาแหน่ง
มาตรา 202 ผใู้ ดเป็นเจา้ พนกั งานในตาแหน่งตลุ าการ พนกั งานอยั การ ผวู้ า่ คดี หรือ
พนกั งานสอบสวน กระทาการหรือไม่กระทาการอยา่ งใด ๆ ในตาแหน่ง โดยเห็นแก่ทรัพยส์ ินหรือ
ประโยชน์อื่นใด ซ่ึงตนไดเ้ รียก รับ หรือยอมจะรับไวก้ ่อนที่ตนไดร้ ับแตง่ ต้งั ในตาแหน่งน้นั ตอ้ ง
ระวางโทษจาคุกต้งั แต่หา้ ปี ถึงยส่ี ิบปี หรือจาคุกตลอดชีวิต และปรับต้งั แต่หน่ึงแสนบาทถึงส่ีแสน
บาท หรือประหารชีวติ
อาจารยจ์ ิตติ ใหค้ วามเห็นวา่ ถา้ รับทรัพยส์ ินไวโ้ ดยไมม่ ีมูลเหตุจูงใจมาแต่แรก
วา่ เมื่อไดร้ ับตาแหน่งแลว้ กจ็ ะไปกระทาการหรือไมก่ ระทาการใหเ้ ป็นคุณแก่ผใู้ หท้ รัพยส์ ิน
แมต้ อ่ มาภายหลงั ไปรับตาแหน่งแลว้ เกิดสานึกในบุญคุณว่าเขาเคยใหท้ รัพยส์ ินไวก้ เ็ ลยทาใหเ้ ป็น
ประโยชน์แก่เขาอยา่ งน้ีก็ไม่ผิดมาตรา 150

เจ้ าพนักงานขัดขวางมิให้ เป็ นไปตามคาพิพากษา
มาตรา 203 ผใู้ ดเป็นเจา้ พนกั งาน มีหนา้ ท่ีปฏิบตั ิการใหเ้ ป็นไปตามคาพิพากษาหรือคาสั่ง

ของศาล ป้องกนั หรือขดั ขวางมิใหก้ ารเป็นไปตามคาพิพากษาหรือคาส่งั น้นั ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่
เกินสามปี หรือปรับไมเ่ กินหกหมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ

มาตรา 203 เจา้ พนกั งานผมู้ ีหนา้ ที่ปฏิบตั ิการใหเ้ ป็นไปตามคาพิพากษาหรือคาส่ังของศาล
ป้องกนั หรือขดั ขวางมิใหก้ ารเป็นไปตามคาพิพากษาหรือคาสั่งน้นั เช่น เจา้ พนกั งานบงั คบั คดีของ
ศาล ไมป่ ฏิบตั ิตามหมายยดึ หรืออายดั ลูกหน้ีตามคาพิพากษา ความผดิ ตามมาตราน้ี ทานองเดียวกบั
ความผิดตามมาตรา 165 เพียงแต่มาตรา 165 เป็นความผดิ เก่ียวกบั เจา้ พนกั งานในราชการทว่ั ไป
ส่วนมาตรา 203 เป็นความผิดเก่ียวกบั เจา้ พนกั งานในการยตุ ิธรรม

171

เจ้าพนกั งานทาให้ผู้ถูกคมุ ขงั หลดุ ไปจากท่ีคุมขัง
มาตรา 204 เจ้าพนกั งานผู้มีหน้าท่คี วบคมุ ผู้ต้องขงั ให้หลดุ พ้นจากการถกู คุมขงั

มาตรา 204 ผใู้ ดเป็นเจา้ พนกั งาน มีตาแหน่งหนา้ ที่ควบคมุ ดูแลผทู้ ี่ตอ้ งคุมขงั ตามอานาจ
ของศาล ของพนกั งานสอบสวน หรือของเจา้ พนกั งานผมู้ ีอานาจสืบสวนคดีอาญา กระทาดว้ ย
ประการใด ๆ ใหผ้ ทู้ ี่อยใู่ นระหวา่ งคมุ ขงั น้นั หลุดพน้ จากการคมุ ขงั ไป ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ต้งั แต่
หน่ึงปี ถึงเจด็ ปี และปรับต้งั แตส่ องหม่ืนบาทถึงหน่ึงแสนส่ีหมื่นบาท

ถา้ ผทู้ ่ีหลุดพน้ จากการคุมขงั ไปน้นั เป็นบุคคลท่ีตอ้ งคาพิพากษาของศาลหน่ึงศาลใดให้
ลงโทษประหารชีวิต จาคุกตลอดชีวติ หรือจาคุกต้งั แตส่ ิบหา้ ปี ข้นึ ไป หรือมีจานวนต้งั แต่สามคนข้นึ
ไป ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แตส่ องปี ถึงสิบปี และปรับต้งั แตส่ ี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท

องคป์ ระกอบความผิด มีดงั น้ี
1. เป็นเจา้ พนกั งาน
2. ตาแหน่งหนา้ ที่ควบคมุ ดูแลผทู้ ่ีตอ้ งคมุ ขงั ตามอานาจศาลของพนกั งานสอบสวนหรือ
ของเจา้ พนกั งานผมู้ ีอานาจสืบสวนคดีอาญา เช่น ผคู้ มุ เรือนจา ตารวจที่มีหนา้ ที่เป็นเวรยามเฝ้า
ผตู้ อ้ งหา ตารวจจบั ผกู้ ระทาผิดและควบคุมตวั ไว้
3. กระทาดว้ ยประการใดๆใหผ้ ทู้ ่ีอยใู่ นระหวา่ งคมุ ขงั น้นั หลุดพน้ ไปจากการคมุ ขงั
4. เจตนา
ถา้ กระทาโดยประมาทจะเขา้ มาตรา 205
คาพิพากษาฎีกาที่ 2/2503 ตารวจพาผตู้ อ้ งหาไปเที่ยวแมไ้ ปดว้ ยกนั กไ็ มถ่ ือวา่ เป็นการ
ควบคุม หากผตู้ อ้ งขงั หลดุ พน้ ตารวจก็ผดิ มาตรา 204
การทาใหห้ ลดุ พน้ ชวั่ คราวกเ็ ขา้ องคป์ ระกอบมาตรา 204
คาพิพากษาฎีกาที่ 4677/2534 เปลี่ยนตวั ผตู้ อ้ งหาแมย้ งั ฟังไมไ่ ดว้ า่ กระทาโดยทุจริตหรือ
ทาใหศ้ าลเสียหายก็ถือวา่ ทาใหผ้ ตู้ อ้ งขงั หลดุ พน้ แลว้ ผิดมาตรา 204
การท่ีตารวจผคู้ วบคุมมิไดร้ ้องขอฝากขงั ตามกฎหมายอนั เป็นผลใหก้ ารควบคุมน้นั ผิด
กฎหมายกย็ งั มีการควบคุมอยู่
คาพิพากษาฎีกาที่ 3598/2531 (ประชุมใหญ่) พนกั งานสอบสวนรับตวั ผตู้ อ้ งหาไวแ้ ลว้
ไม่ไดข้ อหมายขงั ต่อศาลเป็นการไมป่ ฏิบตั ิตาม ประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา 87
เป็นการควบคุมผิดกฎหมายแต่การควบคมุ น้นั ยงั คงเป็นการควบคมุ ตามอานาจของพนกั งาน
สอบสวนอยจู่ าเลยเป็นพนกั งานสอบสวนปลอ่ ยตวั ผตู้ อ้ งขงั ไปจึงเป็นการกระทาใหผ้ ทู้ ่ีอยใู่ น
ระหวา่ งคมุ ขงั น้นั หลดุ พน้ จากการคมุ ขงั จาเลยผิดมาตรา 204

เจ้าพนกั งานทาให้ผู้ถูกคุมขังหลดุ ไปจากที่คมุ ขังโดยประมาท

172

มาตรา 205 เจ้าพนกั งานทาให้ผู้ถูกขงั หลุดพ้นโดยประมาท

มาตรา 205 ถา้ การกระทาดงั กล่าวในมาตรา 204 เป็นการกระทาโดยประมาท ผกู้ ระทา
ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไมเ่ กินสองปี หรือปรับไม่เกินส่ีหมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ

ถา้ ผทู้ ่ีหลดุ พน้ จากการคมุ ขงั ไปดว้ ยการกระทาโดยประมาทน้นั เป็นบุคคลที่ตอ้ งคา
พพิ ากษาของศาลหน่ึงศาลใดใหล้ งโทษประหารชีวติ จาคุกตลอดชีวิต หรือจาคุกต้งั แต่สิบหา้ ปี ข้นึ
ไป หรือมีจานวนต้งั แตส่ ามคนข้ึนไป ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไมเ่ กินสามปี หรือปรับไม่เกิน
หกหมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ

ถา้ ผกู้ ระทาความผิด จดั ใหไ้ ดต้ วั ผทู้ ่ีหลุดพน้ จากการคมุ ขงั คืนมาภายในสามเดือน ใหง้ ด
การลงโทษแก่ผกู้ ระทาความผดิ น้นั

องคป์ ระกอบความผิด มีดงั น้ี
1. เป็นเจา้ พนกั งาน
2. มีตาแหน่งหนา้ ท่ีควบคุมดูแลผตู้ อ้ งคุมขงั ตามอานาจของศาลของพนกั งานสอบสวน
หรือเจา้ พนกั งานผมู้ ีอานาจสืบสวนคดีอาญา
3. กระทาดว้ ยประการใด ๆ ใหผ้ ทู้ ี่อยใู่ นระหวา่ งคุมขงั น้นั หลุดจากการคมุ ขงั
4. ประมาท
มาตรา 205 วรรคทา้ ยกรณีผกู้ ระทาผดิ จดั ใหไ้ ดต้ วั ผหู้ ลุดพน้ จากการคมุ ขงั มาภายใน 3
เดือนก็ใหง้ ดการลงโทษ
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 432/ 2478 แมผ้ ทู้ ี่หลบหนีถกู เจา้ หนา้ ท่ียิงตายกใ็ หถ้ ือวา่ ไดต้ วั คืน
ภายใน 3 เดือนความผดิ จาเลยระงบั
“ไดต้ วั ” หมายถึง ตอ้ งไดม้ าครบจานวนดว้ ย
มาตรา 205 วรรคทา้ ยที่เป็นคุณแก่เจา้ พนกั งานท่ีทาให้ผตู้ อ้ งขงั หลุดพน้ โดยประมาท
(เป็นเหตุยกเวน้ โทษ)ใชก้ บั เฉพาะกรณีประมาท (ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ, 2556) ถา้ เป็นกรณีตาม
มาตรา 204 กระทาโดยเจตนาจะมาอา้ งวรรคทา้ ยของมาตราน้ีไมไ่ ด้

173

แบบฝึ กหัดท้ายบทท่ี 21

คาถาม นายสดทาพินยั กรรมยกทรัพยส์ ินใหน้ างสาวสวยโดยมอบพนิ ยั กรรมใหพ้ ระภิกษุ
สินเกบ็ รักษาไว้ ตอ่ มานายสดตาย นายใสมาขอรับพินยั การรมดงั กล่าวไปจากพระภิกษุสิน แตไ่ ม่
ยอมนาออกมาเปิ ดเผย เพอ่ื มิใหน้ างสาวสวยไดร้ ับมรดกตามพนิ ยั กรรมของนายสด เม่ือนางสาวสวย
ขอพนิ ยั กรรมจากนายใส นายใสก็ไมย่ อมใหด้ ู นางสาวสวยจึงไปแจง้ ความท่ีสถานีตารวจ
ร้อยตารวจโทกอ้ งพนกั งานสอบสวนมาสอบถามนายใสท่ีบา้ นถึงเรื่องพินยั กรรมนายใสโกรธจึงพดู
วา่ “ตารวจไมม่ ีความหมายสาหรับกู อยากจบั กม็ าจบั เลยในเมื่อกูไมไ่ ดก้ ระทาผดิ ” ใหว้ ินิจฉยั วา่
นายใสจะมีความผิดฐานใด

ตอบ การที่นายใสขอรับพินยั กรรมไปจากพระภิกษสุ ิน แต่ไมย่ อมนาออกมาเปิ ดเผยเพื่อ
มิใหน้ างสาวสวยไดร้ ับมรดกตามพนิ ยั กรรมของนายสด เม่ือนางสาวสวยขอพนิ ยั กรรมจากนายใส
นายใสกไ็ ม่ยอมใหด้ ู ถือไดว้ า่ นายใสเอาไปเสียซ่ึงพินยั กรรมของนายสด ในประการที่น่าจะเกิด
ความเสียหายแก่นางสาวสวย นายใสจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188
(คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2205/2537)

คาพดู ที่นายใสกล่าวต่อร้อยตารวจโทกอ้ งวา่ “ตารวจไม่มีความหมายสาหรับกู อยากจบั
กม็ าจบั เลยในเม่ือกูไมไ่ ดก้ ระทาผดิ ” เป็นเพยี งคาพดู ที่ไมส่ ุภาพ ไมส่ มควรจะกล่าวตอ่ เจา้ พนกั งาน
ตารวจผปู้ ฏิบตั ิการตามหนา้ ท่ีเท่าน้นั ไม่เป็นความผิดฐานดูหม่ินเจา้ พนกั งานซ่ึงกระทาการตาม
หนา้ ที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 (ขอ้ สอบเนติบณั ฑิตไทย สมยั ที่ 51 ภาคหน่ึง)

คาถาม สิบตารวจตรีสมพรออกตรวจทอ้ งที่โดยมีนายจองคนวา่ งงานขอตามไปดว้ ย
ระหวา่ งทางพบนายไวแบกเล่ือยยนตผ์ า่ นมา สิบตารวจตรีสมพรอยากไดจ้ ึงแกลง้ กลา่ วหานายไววา่
กระทาผดิ ต่อพระราชบญั ญตั ิป่ าไม้ ฯ ซ่ึงไมเ่ ป็นความจริง แลว้ ขอยดึ เล่ือยยนต์ นายไวไม่ยอม
นายจองจึงบอกนายไววา่ ตนเองเป็นร้อยตารวจเอกจอง หากไมย่ อมใหย้ ดึ เล่ือยยนตจ์ ะจบั กมุ
นายไวจายอมใหค้ นท้งั สองยดึ เลื่อยยนตท์ ี่ตนไดม้ าโดยชอบไป สิบตารวจตรีสมพรกบั นายจองนา
เลื่อยยนตไ์ ปขายเอาเงินมาแบ่งกนั ใหว้ ินิจฉยั วา่ นายจองและสิบตารวจตรีสมพรจะมีความผดิ ต่อเจา้
พนกั งานและความผิดต่อตาแหน่งหนา้ ท่ีฐานใดหรือไม่

1 คาถามพร้อมธงคาตอบ ขอ้ สอบความรู้ช้นั เนติบณั ฑิต ภาคหน่ึง ต้งั แตป่ ี การศึกษา 2520-2544, กรุงเทพฯ: เนติบณั ฑิตยสภา,ม. ป.ป.

174

ตอบ สิบตารวจตรีสมพรเป็นเจา้ พนกั งานมีอานาจหนา้ ที่จบั กุมผกู้ ระทาผดิ กฎหมายไดใ้ ชอ้ านาจใน
ตาแหน่งแกลง้ กลา่ วหานายไว โดยนายไวมิไดก้ ระทาความผดิ ต่อพระราชบญั ญตั ิป่ าไมฯ้ สิบตารวจ
ตรีสมพรกลา่ วหาเช่นน้นั เพอื่ มิใหน้ ายไวขดั ขวางในการท่ีสิบตารวจตรีสมพรกบั พวกยดึ เอาเลื่อย
ยนตข์ องนายไวไป ถือวา่ เป็นการขม่ ขนื ใจนายไวใหย้ อมมอบทรัพยส์ ินใหแ้ ก่สิบตารวจตรีสมพรกบั
พวกนน่ั เองสิบตารวจตรีสมพร จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 (คาพิพากษา
ศาลฎีกาท่ี 1085/2536) แต่สิบตารวจตรีสมพรไมม่ ีหนา้ ท่ีจดั การหรือรักษาเล่ือยยนตน์ ้นั โดยชอบ
เพราะแกลง้ จบั และยดึ เลื่อยยนตโ์ ดยทุจริตมาแตต่ น้ แมส้ ิบตารวจตรีสมพรกบั พวกจะนาเลื่อยยนตท์ ่ี
ยดึ มาน้นั ไปขายเอาเงินมาแบ่งกนั สิบตารวจตรีสมพรกไ็ มม่ ีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 147 (คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 599/2505)

ส่วนนายจองไมไ่ ดเ้ ป็นเจา้ พนกั งานแต่ร่วมกระทาผิดกบั สิบตาราจตรีสมพรย่อมมี
ความผดิ เพยี งผสู้ นบั สนุนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 ประกอบดว้ ยมาตรา 86
(เทียบคาพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 3679/2529) นอกจากน้ี นายจองยงั แสดงตนเป็นเจา้ พนกั งานและ
กระทาการเป็นเจา้ พนกั งาน โดยตนเองมิไดเ้ ป็นเจา้ พนกั งานที่มีอานาจกระทาการน้นั นายจองจึงมี
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 145 วรรคหน่ึง และยงั ไดใ้ ชย้ ศโดยไมม่ ีสิทธิเพอื่ ให้
นายใจเชื่อวา่ นายจองมียศร้อยตารวจเอกจริง จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 146
ดว้ ย (ขอ้ สอบเนติบณั ฑิตไทย สมยั ท่ี 51 ภาคหน่ึง)

คาถาม ร้อยตารวจเอกนิยามพนกั งานสอบสวนจบั กมุ นายไก่ขอ้ หาฆ่าผูอ้ ่ืน ไดท้ าบนั ทึ
การจบั กุมใหน้ ายไก่ลงช่ือไว้ ร้อยตารวจเอกนิยมแอบเติมขอ้ ความลงในบนั ทึกดงั กล่าวว่า สอบถาม
แลว้ ผตู้ อ้ งหาใหก้ ารรับสารภาพ ซ่ึงไมเ่ ป็นความจริง แลว้ สอบปากคาผกู้ ลา่ วหาและผตู้ อ้ งหาไว้ มอบ
ใหพ้ นั ตารวจโทสุเทพหวั หนา้ พนกั งานสอบสวนดาเนินการต่อไปตามระเบียบ
พนั ตารวจโทสุเทพไดเ้ ปลี่ยนเอาบนั ทึกการจบั กุมกบั บนั ทึกคาใหก้ ารผกู้ ล่าวหาและผตู้ อ้ งหาออกไป
จากสานวนและนาบนั ทึกที่ทาข้ึนใหมต่ ามท่ีผกู้ ลา่ วหาและผตู้ อ้ งหาตกลงกนั ไดเ้ ขา้ มาไวแ้ ทนที่
เพื่อช่วยนายไก่มิใหต้ อ้ งโทษ ดงั น้ี ร้อยตารวจเอกนิยมและพนั ตารวจโทสุเทพ จะมีความผดิ ต่อ
ตาแหน่งหนา้ ที่ฐานใดหรือไม่

ตอบ การท่ีร้อยตารวจเอกนิยามเติมขอ้ ความวา่ สอบถามแลว้ ผตู้ อ้ งหาใหก้ ารรับสารภาพ
ในบนั ทึกการจบั กุมหลงั จากนายไก่ลงชื่อแลว้ เป็นการเติมขอ้ ความในเอกสารท่ีแทจ้ ริงซ่ึงเป็น
เอกสารที่ครบถว้ นบริบูรณ์แลว้ โดยประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่นายไก่ เพราะศาลอาจนา
ขอ้ ความวา่ รับสารภาพน้นั มาฟังลงโทษนายไก่ได้ จึงเป็นการทาปลอมข้นึ บางส่วนโดยอาศยั โอกาส
ที่ตนมีหนา้ ที่และเป็นการปฏิบตั ิหนา้ ท่ีโดยมิชอบ โดยมีเจตนาเพ่ือใหเ้ กิดความเสียหายแก่นายไก่
ร้อยตารวจเอกนิยมจึงมีความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161 และ 157 (คาพพิ ากษาศาล
ฎีกาที่ 1797/2536)

175

ส่วนพนั ตารวจโทสุเทพเปลี่ยนบนั ทึกการจบั กุม บนั ทึกคาใหก้ ารผกู้ ลา่ วหาและผตู้ อ้ งหา
ออกไปจากสานวนและนาบนั ทึกท่ีทาข้ึนใหม่ตามท่ีผกู้ ลา่ วหาและผตู้ อ้ งหาตกลงกนั ไดเ้ ขา้ มาไว้
แทนท่ีเพ่ือช่วยนายไก่มิใหต้ อ้ งรับโทษ เป็นการเอาไปเสียซ่ึงเอกสารที่ตนมีหนา้ ที่ท่ีจะรักษาไวใ้ น
ฐานะเป็นพนกั งานสอบสวนโดยเจตนาเพอื่ ช่วยเหลือผตู้ อ้ งหามิใหต้ อ้ งโทษและเป็นการปฏิบตั ิ
หนา้ ท่ีโดยมิชอบ ทาใหผ้ อู้ ื่นคือ กรมตารวจเสียหายอนั เป็นความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 158, 157 และมาตรา 200 วรรคหน่ึง (คาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 929/2537) (ขอ้ สอบเนติบณั ฑิต
สมยั ที่ 50 ปี 2540)

คาถาม นางดาวทาร้ายร่างกายนายเดือนจนไดร้ ับอนั ตรายแก่กาย พนั ตารวจโทเอกชยั
พนกั งานสอบสวนจึงจบั กมุ นางดาวเป็นผตู้ อ้ งหาในขอ้ หาทาร้ายร่างกายผอู้ ่ืนจนเป็นเหตุใหเ้ กิด
อนั ตรายแก่กาย นางดาวกลวั จะติดคกุ จึงขอใหพ้ นั ตารวจโทเอกชยั พนกั งานสอบสวนผรู้ ับผิดชอบ
เจา้ ของคดีช่วยเหลือตนโดยเสนอเงินให้ 500,000 บาท เพ่ือเป็นคา่ ทาพยานหลกั ฐานใหอ้ ่อนช่วย
นางดาวให้พน้ ผิดทาให้พนั ตารวจโทเอกชยั โกรธจึงแกลง้ เปลี่ยนขอ้ หาเป็ นพยายามฆ่าผูอ้ ื่นแลว้ ทา
สานวนมีความเป็นควรสั่งฟ้องเสนอพนกั งานอยั การ ต่อมาพนกั งานอยั การไดพ้ ิจารณาสานวนแลว้
เห็นวา่ พยานหลกั ฐานไม่พอฟ้องใหศ้ าลลงโทษ จึงมีคาสง่ั ไมฟ่ ้องนางดาวใหว้ ินิจฉยั วา่ นางดาวและ
พนั ตารวจโทเอกชยั มีความผดิ ฐานใดหรือไม่ (ขอ้ สอบเนติบณั ฑิตไทย สมยั ที่ 56 ภาคหน่ึง)

ตอบ การท่ีนางดาวเสนอใหเ้ งินจานวนหา้ แสนบาทแก่พนั ตารวจโทเอกชยั พนกั งาน
สอบสวนเจา้ ของคดีเพอื่ เป็นคา่ ทาพยานหลกั ฐานใหอ้ ่อนเป็นการขอใหท้ รัพยส์ ินแก่เจา้ พนกั งาน
ในตาแหน่งพนกั งานสอบสวน เพ่ือจูงใจให้กระทาการอนั มิชอบดว้ ยหน้าที่ นางดาวจึงมีความผิด
ฐานให้สินบนเจา้ พนกั งานในกระบวนการยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 167 ส่วนท่ี
พนั ตารวจโทเอกชยั เปลี่ยนขอ้ หาการกระทาความผิดของนางดาวเป็นขอ้ หาพยายามฆ่าผูอ้ ่ืนซ่ึงเป็ น
ขอ้ หาที่นางดาวจะตอ้ งรับโทษหนักข้ึน เป็ นกรณีที่เจ้าพนักงานในตาแหน่งพนักงานสอบสวน
กระทาการในตาแหน่งอนั เป็ นการมิชอบเพื่อจะแกลง้ ให้บุคคลหน่ึงบุคคลใดตอ้ งรับโทษหนกั ข้ึน
พนั ตารวจโทเอกชยั จึงมีความผิดฐานเป็นเจา้ พนกั งานในการยตุ ิธรรมกระทาการในตาแหน่งอนั เป็น
การมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200 วรรคสอง

176

บรรณานุกรมท้ายบท

หนังสืออ้างองิ
ตารา
เกียรติขจร วจั นะสวสั ด์ิ. (2550). กฎหมายอาญา ภาคความผิด เล่ม 3. (พิมพค์ ร้ังที่ 2). กรุงเทพฯ:

กรุงสยาม พบั ลิชชิ่ง.
คาถามพร้ อมธงคาตอบ ข้อสอบความรู้ช้ันเนติบณั ฑิต ภาคหนึ่ง ตงั้ แต่ปี การศึกษา 2542-2561.

(2562). กรุงเทพฯ: เนติบัณฑิตยสภา.
คาถามพร้ อมธงคาตอบ ข้อสอบความรู้ช้ันเนติบณั ฑิต ภาคหน่ึง ต้งั แต่ปี การศึกษา 2520-2544.

(ม.ป.ป.). กรุงเทพฯ: เนติบณั ฑิตยสภา.
ชาตรี สุวรรณิณ. (2560). รวมคาบรรยายเนติบณั ฑิต สมัยท่ี 70, กฎหมายอาญา

มาตรา 107-208.. กรุงเทพฯ:สานกั อบรมเนติบณั ฑิตยสภา.
ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ. (2556). หลกั กฎหมายอาญา ภาคความผิด. (พมิ พค์ ร้ังท่ี 10). สานกั พมิ พว์ ญิ ญู

ชน. กรุงเทพมหานคร.
นวรัตน์ กล่ินรัตน.์ (2559). รวมคาบรรยายเนติบัณฑิต สมัยที่ 69, กฎหมายอาญา มาตรา 107-208.

กรุงเทพฯ:สานกั อบรมเนติบณั ฑิตยสภา.

177

บทที่ 3 ความผดิ ต่อการอยู่ร่วมกนั

จุดม่งุ หมายของรายวิชา
1. เพื่อใหผ้ เู้ รียนทราบและเขา้ ใจบทบญั ญตั ิของกฎหมายอาญาความผดิ ตอ่ การอยู่ร่วมกนั

ความสงบสุขและภยนั ตรายของประชาชน
2. เพ่อื ใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจถึงกฎหมายอาญาความผดิ ต่อการอยรู่ ่วมกนั ความสงบสุขและ

ภยนั ตรายของประชาชน
3. เพื่อใหผ้ เู้ รียนสามารถนาไปปรับใชก้ บั การศึกษากฎหมายรายวชิ าอื่นได้
4. เพ่ือใหผ้ เู้ รียนสามารถนาไปปรับใชก้ บั ชีวติ ประจาวนั และสามารถนาไปสอบได้

เนื้อหาของบทเรียน
1. ความผดิ เกี่ยวกบั ศาสนา
2. ความผิดต่อความสงบสุขของประชาชน
3. ความผิดต่อภยนั ตรายของประชาชน

กจิ กรรมและวธิ กี ารสอน
1. การบรรยาย
2. การอภิปรายและสรุปผล

สื่อการสอน
PowerPoint ประกอบการบรรยาย

การวัดผลและประเมนิ ผล
1. การมีส่วนร่วมและซกั ถามในช้นั เรียน
2. ประเมินความเขา้ ใจในการอภิปรายผล
3. แบบฝึกหดั

ลกั ษณะ 4 ความผิดเกยี่ วกบั ศาสนา

ความผิดฐานเหยยี ดหยามศาสนา
มาตรา 206 เหยียดหยามศาสนา

มาตรา 206 ผใู้ ดกระทาดว้ ยประการใด ๆ แก่วตั ถุหรือสถานอนั เป็นท่ีเคารพในทาง
ศาสนาของหมู่ชนใด อนั เป็นการเหยยี ดหยามศาสนาน้นั ตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แตห่ น่ึงปี ถึงเจ็ดปี
หรือปรับต้งั แต่สองหมื่นบาทถึงหน่ึงแสนสี่หมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ

178

องคป์ ระกอบความผดิ มีดงั น้ี
1. กระทาดว้ ยประการใด ๆ แก่วตั ถหุ รือสถานอนั เป็นที่เคารพในทางศาสนาของ
หมชู่ นใด
2. อนั เป็นการเหยยี ดหยามศาสนาน้นั
3. เจตนา
ร่วมประเวณีกบั สีกาในกุฏิ แมเ้ ป็นการไม่สมควรและรับผิดวนิ ยั สงฆย์ งั ไมอ่ าจถือไดว้ า่
ผิดมาตราน้ี แตก่ ารขดุ เจดียข์ า้ งในวดั ร้างเป็นเหยยี ดหยามศาสนาแลว้ (วรี ะวฒั น์ ปวราจารย,์ 2559,
หนา้ 125-131)
กรณีทาต่อพระพุทธรูปโดยไมส่ มควร เช่น ใชค้ าพดู ไม่ดี ทาหนา้ ตาลอ้ เลียนพระพุทธรูป
ใชเ้ ทา้ เหยยี บฐานพระพุทธรูป ซ่ึงในประเทศไทยใหค้ วามเคารพกบั พระพุทธรูปตามหลกั ศาสนา
พุทธ ผิดมาตรา 206
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 7125/2557 จาเลยใหบ้ ุคคลหน่ึงทาป้ายที่มีขอ้ ความวา่ “ทองเหลืองหลอ่ น้ี
ไมใ่ ช่พุทธเจา้ แน่ ไม่ตอ้ งกราบมนั ” ติดท่ีฐานองคพ์ ระพทุ ธรูป กบั จาเลยใชเ้ ทา้ เหยยี บฐานของ
พระพทุ ธรูปและใชม้ ือตบที่บริเวณพระพกั ตร์ของพระพุทธรูปน้นั เป็นการกระทาที่ไม่สมควร ไม่
เคารพต่อพระพทุ ธรูป อนั เป็นท่ีเคารพในทางศาสนาพทุ ธ อนั เป็นการเหยยี ดหยามศาสนา จาเลยจึงมี
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 206
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1807/2550 จาเลยแต่งกายเป็นภิกษุยนื อยรู่ ะหวา่ งพระพทุ ธรูปปางห้าม
ญาติและรูปป้ัน หลวงป่ แู หวนโดยเทา้ ขา้ งหน่ึงยนื อยบู่ นฐานพระพทุ ธรูปปางหา้ มญาติและทาทา่ ยก
มือขวา ข้ึนเช่นเดียวกบั พระพุทธรูปปางหา้ มญาติและมีผถู้ ่ายรูปไว้ ตอ่ มาหนงั สือพมิ พข์ ่าวสดไดน้ า
ภาพถา่ ยของจาเลยท่ีแสดงท่าทางดงั กลา่ วมาลงพิมพเ์ ผยแพร่ คดีมีปัญหาวินิจฉยั ตามฎีกาโจทกว์ า่
การกระทาของจาเลยเป็ นความผิดตามฟ้องหรื อไม่
เห็นวา่ พระพทุ ธรูปเป็นท่ีเคารพสักการะในทางศาสนาของประชาชนผนู้ บั ถือศาสนาพุทธ
ทว่ั ไปการกระทาของจาเลยตามท่ีปรากฏในภาพถา่ ย จาเลยแต่งกายเป็นภิกษุแลว้ ใชเ้ ทา้ ขา้ งหน่ึงยนื
อยบู่ นฐานพระพทุ ธรูปปางห้ามญาติ โดยเทา้ จาเลยขา้ งหน่ึงอยบู่ นส่วนหน่ึงของพระบาท
พระพุทธรูปยกมือขวาข้ึนเลียนแบบพระพทุ ธรูป ส่วนใบหนา้ ของจาเลยแสดงท่าทางลอ้ เลียนถลึงตา
อา้ ปากเช่นน้ี นอกจากจะเป็นการไม่เคารพต่อพระพทุ ธรูปแลว้ จาเลยยงั ไดแ้ สดงตนเสมอกบั
พระพุทธรูป จึงเป็นการกระทาอนั ไม่สมควรและเป็นการดูหม่ินเหยยี ดหยามพทุ ธศานา จาเลยจึงมี
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 206

179

ความผิดฐานก่อการวุ่นวายในท่ีประชุมศาสนิกชน
มาตรา 207 ก่อให้เกดิ ความวุ่นวายในสถานทีส่ าคัญ

มาตรา 207 ผใู้ ดก่อใหเ้ กิดการวนุ่ วายข้ึนในท่ีประชุมศาสนิกชนเวลาประชุมกนั นมสั การ
หรือกระทาพธิ ีกรรมตามศาสนาใด ๆ โดยชอบดว้ ยกฎหมาย ตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินหน่ึงปี
หรือปรับไมเ่ กินสองหมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ

องคป์ ระกอบความผิด มีดงั น้ี
1. ก่อใหเ้ กิดความวุน่ วายในที่ประชุมศาสนิกชน
2. ในเวลาประชุมกนั นมสั การหรือกระทาพิธีกรรมกบั ศาสนาใด ๆ โดยชอบดว้ ย
กฎหมาย
แห่นาคยงั ไม่เป็นการประชุมทาพธิ ีทางศาสนา
ด่าพระและเอาปราสาทผ้ึงไปเตะเลน่ ในงานท่ีชาวบา้ นกาลงั ประชุมกนั ผิดมาตรา 207
ส่งเสียงอ้ือฉาวในงานพธิ ีใชถ้ อ้ ยคากา้ วร้าวพระใชม้ ือตบพ้ืนแลว้ ชกั ปื นออกมา แมใ้ นที่
ประชุมจะไม่มีปฏิกิริยาวนุ่ วายจาเลยกผ็ ดิ มาตรา 207 (วรี ะวฒั น์ ปวราจารย,์ 2559, หนา้ 125-131)

ความผิดฐานแต่งกายเป็นนกั บวชโดยมิชอบ
มาตรา 208 แต่งกายเป็ นพระ หรือนกั บวช

มาตรา 208 ผใู้ ดแต่งกายหรือใชเ้ คร่ืองหมายที่แสดงวา่ เป็นภิกษุ สามเณร นกั พรตหรือ
นกั บวชในศาสนาใดโดยมิชอบ เพอื่ ใหบ้ ุคคลอ่ืนเชื่อวา่ ตนเป็นบคุ คลเช่นวา่ น้นั ตอ้ งระวางโทษ
จาคกุ ไมเ่ กินหน่ึงปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ

องคป์ ระกอบความผดิ มีดงั น้ี
1. แตง่ กายหรือใชเ้ คร่ืองหมาย

โจทกต์ อ้ งนาสืบวา่ ศาสนาใดมีเครื่องแต่งกายหรือเครื่องหมายอยา่ งไร
2. เพ่ือแสดงวา่ เป็นพระภิกษุ สามเณร นกั พรต นกั บวช (คุม้ ครองทุกศาสนา)
3. มีมลู เหตุจูงใจหรือเจตนาพิเศษ

เพ่ือใหบ้ คุ คลอื่นเชื่อวา่ ตนเป็นบุคคลเช่นวา่ น้นั
หากแต่งกายผแู้ สดงภาพยนตร์หรือละครถือวา่ ขาดเจตนาพิเศษ (เกียรติขจร วจั นะ
สวสั ด์ิ, 2557, หนา้ 7)

180

คาพิพากษาฎีกาที่ 1798/2542 จาเลยยนิ ยอมเปล้ืองจีวรเพอ่ื สูค้ ดี เท่ากบั จาเลยพน้ สมณเพศ
แลว้ ภายหลงั จาเลยกลบั มาแตง่ กายเป็นพระภิกษุ เพ่ือใหบ้ ุคคลเชื่อวา่ จาเลยเป็นพระภิกษุ จาเลยผดิ
มาตรา 208

คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 3699/2541 เมื่อจาเลยไดร้ ับแตง่ ต้งั ใหเ้ ป็นพระอุปัชฌายก์ ารบวชของ
ผทู้ ี่จาเลยบวชใหจ้ ึงเป็นการบวชที่ไม่ชอบและผนู้ ้นั ยอ่ มไม่มีสิทธ์ิแตง่ กายหรือใชเ้ ครื่องหมายที่
แสดงวา่ เป็นภิกษสุ ามเณรในพุทธศาสนา ผูท้ ี่จาเลยบวชใหจ้ ึงผิดมาตรา 208 ส่วนจาเลยซ่ึงเป็น
ผบู้ วชเป็นผสู้ นบั สนุนมาตรา 208 ประกอบมาตรา 86

ลกั ษณะ 5 ความผิดเกยี่ วกบั ความสงบสุขของประชาชน

ความผิดฐานเป็ นอั้งย่ี

มาตรา 209 ผใู้ ดเป็นสมาชิกของคณะบคุ คลซ่ึงปกปิ ดวธิ ีดาเนินการและมีความม่งุ หมาย
เพ่ือการอนั มิชอบดว้ ยกฎหมาย ผนู้ ้นั กระทาความผิดฐานเป็นอ้งั ย่ี ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกินเจ็ดปี
และปรับไม่เกินหน่ึงแสนสี่หมื่นบาท

ถา้ ผกู้ ระทาความผิดเป็นหวั หนา้ ผจู้ ดั การหรือผมู้ ีตาแหน่งหนา้ ที่ในคณะบุคคลน้นั ผูน้ ้นั
ตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินสิบปี และปรับไมเ่ กินสองแสนบาท

ความผดิ ตามมาตรา 209 อ้งั ยี่
“คณะบุคคล” หมายถึง ตอ้ งมีผกู้ ระทาความผดิ ต้งั แต่ 2 คนข้ึนไป
“เป็นสมาชิก” หมายถึง ตอ้ งมีสิทธ์ิออกเสียงในการตกลงที่จะกระทาผดิ ในท่ีประชุมได้
เทา่ ๆกบั คนอ่ืน
ถา้ ไมม่ ีสิทธ์ิออกเสียงไม่ถือวา่ เป็นสมาชิก
คนรับใชแ้ มจ้ ะอยใู่ นพวกอ้งั ยแ่ี ตเ่ ขามีหนา้ ท่ีเทกระโถนไม่มีสิทธ์ิมีเสียงจึงไม่ใช่สมาชิก
อ้งั ยี่
“ปกปิ ดวิธีดาเนินการ” หมายถึง การดาเนินการเป็นเร่ืองที่รู้กนั เฉพาะในหมสู่ มาชิก
ไมเ่ ปิ ดเผยแก่บุคคลอ่ืนอาจมีสัญลกั ษณ์รู้กนั อยเู่ ฉพาะในหมู่สมาชิก (วรี ะวฒั น์ ปวราจารย,์ 2560,
เลม่ 2, หนา้ 228)

181

“มีความมุ่งหมายเพอื่ การอนั มิชอบดว้ ยกฎหมาย” หมายถึง ตอ้ งม่งุ หมายต่อการกระทาท่ี
ขดั ตอ่ กฎหมาย ความสงบและขดั ขวางตอ่ นโยบายของรัฐเช่นมงุ่ หมายเพื่อแบ่งแยกดินแดนจงั หวดั
ภาคใต้ ซุ่มโจมตีเจา้ หนา้ ที่

คาพิพากษาฎีกาที่ 1176/2543 จาเลยเป็นสมาชิกกลมุ่ ก่อการร้าย BRN พฤติการณ์ผดิ
กฎหมายแบง่ แยกดินแดนภาคใตโ้ ดยเรียกคา่ คุม้ ครองซุ่มโจมตีเจา้ หนา้ ที่รัฐอนั เป็นคณะบุคคลซ่ึง
ปกปิ ดวธิ ีดาเนินการและมีความมุง่ หมายเพือ่ การอนั มิชอบดว้ ยกฎหมายจึงผดิ อ้งั ยม่ี าตรา 209
วรรคหน่ึง

คาพิพากษาฎีกาท่ี 222/2556 ความผิดฐานเป็ นอ้งั ยี่ จาเลยกระทาความผิดโดยเป็ นสมาชิก
ของคณะบุคคลซ่ึงปกปิ ดวธิ ีดาเนินการและมีความม่งุ หมายเพื่อเป็นการอนั มิชอบดว้ ยกฎหมาย ส่วน
ความผดิ ฐานสนบั สนุนการก่อการร้ายจาเลยกระทาความผิดดว้ ยการใหค้ วามช่วยเหลือหรือให้ความ
สะดวกในการที่ผูอ้ ่ืนกระทาความผิดฐานก่อการร้ายก่อนหรือขณะกระทาความผิด การกระทา
ความผิดท้งั สองฐานดงั กล่าว แมจ้ าเลยจะไดก้ ระทาในช่วงเดียวกนั แต่การกระทาความผิดน้ันเป็ น
การกระทาคนละอย่างแตกต่างกนั และต่างกรรมต่างวาระ ท้งั เจตนาและความมุ่งหมายในการเป็น
อ้ังยี่ และสนับสนุนการก่อการร้ายก็เป็ นคนละอย่างต่างกัน การกระทาความผิดของจาเลยใน
ความผิดฐานเป็ นอ้งั ยี่และฐานสนบั สนุนการก่อการร้ายจึงเป็ นความผิดต่างกรรมต่างวาระกนั มิใช่
เป็นการกระทากรรมเดียวเป็นความผิดตอ่ กฎหมายหลายบท

คาพพิ ากษาฎีกาที่ 784/2557 ความผดิ ฐานเป็นอ้งั ยต่ี าม ป.อ. มาตรา 209 เป็นความผดิ ทนั ที
เม่ือผนู้ ้นั ไดเ้ ขา้ เป็นสมาชิกของคณะบุคคลซ่ึงปกปิ ดวิธีดาเนินการและมีความมุ่งหมายเพอ่ื การอนั มิ
ชอบดว้ ยกฎหมาย ความผิดฐานเป็นซ่องโจรตาม ป.อ. มาตรา 210 เป็นข้นั ตอนการกระทาความผิดที่
ยกระดบั ถึงข้นั คบคดิ กนั หรือตกลงกนั หรือประชุมหารือกนั เพือ่ จะกระทาความผดิ สภาพความผดิ
ฐานเป็นอ้งั ยแ่ี ละฐานเป็นซ่องโจรจึงสามารถแยกการกระทาแต่ละความผิดได้ จึงเป็นความผดิ หลาย
กรรม

ความผิดอ้งั ย่ี กฎหมายประสงคจ์ ะเอาผิดแก่การเขา้ เป็นสมาชิกอ้งั ยี่ แมผ้ เู้ ป็นสมาชิกจะยงั
ไม่ไดไ้ ปกระทาการตามความมุ่งหมายของอ้งั ยกี่ เ็ เป็นความผิดสาเร็จ
วรรคสองเป็นบทหนกั ลงโทษหวั หนา้ ,ผจู้ ดั การและผมู้ ีตาแหน่งหนา้ ท่ีในคณะบคุ คล

“ผมู้ ีตาแหน่งหนา้ ท่ี” เช่น รองหวั หนา้ ท่ีปรึกษา นายทะเบียน เหรัญญิก เป็นตน้
(วรี ะวฒั น์ ปวราจารย,์ 2560, เลม่ 2, หนา้ 230)

182

ความผิดฐานเป็ นซ่ องโจร

มาตรา 210 ผใู้ ดสมคบกนั ต้งั แต่หา้ คนข้ึนไป เพ่อื กระทาความผดิ อยา่ งหน่ึงอยา่ งใดตามท่ี
บญั ญตั ิไวใ้ นภาค 2 น้ี และความผิดน้นั มีกาหนดโทษจาคุกอยา่ งสูงต้งั แตห่ น่ึงปี ข้นึ ไป ผูน้ ้นั กระทา
ความผิดฐานเป็นซ่องโจร ตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินหา้ ปี หรือปรับไมเ่ กินหน่ึงแสนบาท หรือท้งั
จาท้งั ปรับ

ถา้ เป็นการสมคบเพื่อกระทาความผิด ที่มีระวางโทษถึงประหารชีวิต จาคกุ ตลอดชีวิต
หรือจาคุกอยา่ งสูงต้งั แต่สิบปี ข้นึ ไป ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แตส่ องปี ถึงสิบปี และปรับต้งั
แตส่ ่ีหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

มาตรา 210 ซ่องโจร
“สมคบกนั ” หมายถึง ร่วมคบคดิ กนั หรือแสดงออกซ่ึงความตกลงจะกระทาผดิ ร่วมกนั ใน
ระหวา่ งผกู้ ระทาผิดดว้ ยกนั มิใช่เพยี งมาประชุมหารือกนั โดยมิไดต้ กลงอะไรกนั เลยหรือตกลงกนั
ไม่ได้ (เกียรติขจร วจั นะสวสั ด์ิ, 2557, หนา้ 12-13)
ความผิดฐานซ่องโจร คือสมคบกนั ต้งั แต่หา้ คนข้ึนไป คาวา่ “สมคบ” คอื ตกลงร่วมกนั
โจทกจ์ ะตอ้ งนาสืบใหไ้ ดค้ วามวา่ จาเลยเหล่าน้นั มีการสมคบกนั เพอื่ กระทาความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญาภาค 2 และความผิดน้นั มีโทษจาคุกต้งั แต่ 1 ปี ข้ึนไปเม่ือสืบไดเ้ ช่นน้ีศาลจึงจะลงโทษ
ได้
คาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 4033/2562 โจทกบ์ รรยายฟ้องวา่ จาเลยกบั พวกสมคบกนั ต้งั แต่หา้ คน
ข้ึนไป กระทาความผิดฐานก่อการร้ายโดยใช้กาลงั ประทุษร้าย พยายามฆ่าเจา้ พนกั งานของรัฐซ่ึง
กระทาการตามหน้าที่ สะสมกาลงั พลหรืออาวุธเพื่อก่อการร้าย กระทาการอ่ืนใดเพ่ือก่อให้เกิด
อนั ตรายแก่ชีวิต หรือความเสียหายแก่ทรัพยส์ ินของรัฐหรือบุคคลอื่น ก่อให้เกิดหรือน่าจะเกิดความ
เสียหายทางเศรษฐกิจ อนั เป็นการสมคบกนั เพ่อื กระทาความผิดอยา่ งหน่ึงอยา่ งใดตามท่ีบญั ญตั ิไวใ้ น
ภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญาและความผิดที่จาเลยกบั พวกสมคบกนั เพื่อกระทามีกาหนดโทษ
ประหารชีวิต จาคุกตลอดชีวิต หรือจาคุกอย่างสูงต้งั แต่สิบปี ข้ึนไป และจาเลยกบั พวกร่วมกนั สะสม
กาลงั พล อาวุธและทรัพยส์ ินเพื่อก่อการร้าย อนั เป็ นการบรรยายฟ้องให้ลงโทษจาเลยกบั พวกฐาน
ร่วมกนั เป็นซ่องโจร และฐานร่วมกนั สะสมกาลงั พลหรืออาวุธหรือสมคบกนั เพื่อก่อการร้ายในการ
กระทาคราวเดียวกนั จึงเป็นการกระทาความผิดโดยมีเจตนาเดียวกนั อนั ถือเป็นการกระทาอนั เป็ น
กรรมเดียวเป็ นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกนั สะสมกาลงั พลหรืออาวุธหรือ
สมคบกนั เพื่อก่อการร้าย ซ่ึงเป็นกฎหมายบทท่ีมีโทษหนกั ที่สุด ตาม ป.อ. มาตรา 90 ปัญหาดงั กล่าว

183

เป็ นขอ้ กฎหมายที่เก่ียวกบั ความสงบเรียบร้อย แมไ้ ม่มีคู่ความฝ่ ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอานาจยกข้ึน
วินิจฉยั เองไดต้ าม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

จากขอ้ เทจ็ จริงในคาพพิ ากษาฎีกาน้ี เป็นความผิดฐานซ่องโจร มาตรา 210 ความผิดฐาน
สะสมกาลงั พลหรืออาวธุ เพื่อก่อการร้าย มาตรา 135/2 เป็นการกระทาความผิดโดยมีเจตนาเดียวกนั
เป็นการกระทาอนั เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามมาตรา 90 ดงั น้นั จาเลยตอ้ ง
ถกู ลงโทษบทหนกั คือ ฐานร่วมกนั สะสมกาลงั พลหรืออาวธุ หรือสมคบกนั เพื่อก่อการร้าย

หลาย ๆ คดีที่ศาลยกฟ้องในขอ้ หาซ่องโจรเป็นเพราะพยานหลกั ฐานฟังไมไ่ ดว้ า่ มีการ
สมคบกนั เพื่อกระทาความผิด

คาพิพากษาฎีกาท่ี 1913/2546 ซ่องโจรตอ้ งมีการคบคิดประชุมปรึกษาหารือกนั เพอื่
กระทาความผิดซ่ึงมีสภาพเป็นการกระทาระหวา่ งผรู้ ่วมกระทาความผิดดว้ ยกนั

คาพพิ ากษาฎีกาที่ 2905/2543 จาเลยท้งั สองกบั พวกรวม 5 คนไดร้ ่วมปรึกษาหารือกนั มา
ก่อนโดยจาเลยท้งั สองทาทีเป็นขอเช่าที่ดินจากผูเ้ สียหายเพือ่ สร้างความสนิทสนมแลว้ พาผเู้ สียหาย
ไปมอมยาเพ่ือใหผ้ ูเ้ สียหายถอนเงินจากธนาคารมาใหห้ รือไดว้ า่ จาเลยกบั พวกผตู้ ้งั แต่ 5 คนข้นึ ไป
เพ่ือกระทาความผิดฉอ้ โกงมาตรา 341 มีโทษจาคุกไมเ่ กิน 3 ปี ถือไดว้ า่ จาเลยผดิ ฐานซ่องโจร

คาพิพากษาฎีกาท่ี 521/2539 จานวนที่ 1 ถึงท่ี 11 สมคบกนั ลกั รถเพ่ือนามาขายใหจ้ าเลยท่ี
12 ซ่ึงเป็นผรู้ ับซ้ือจาเลยท่ี 12 ใหเ้ งินจาเลยท่ี 11 เพอื่ ใหน้ าไปใหจ้ าเลยที่ 7 และ 8 เช่าสถานที่ทา
โรงรถเพ่ือถอดแยกชิ้นส่วนรถโดยจาเลยท่ี 12 ไมไ่ ดส้ มคบกนั เพอ่ื ลกั ทรัพยห์ รือรับของโจร

คดีน้ีโจทกฟ์ ้องจาเลยที่ 12 ฐานเป็นซ่องโจรฐานเดียวไมไ่ ดฟ้ ้องขอลงโทษจาเลยท่ี 12 ฐาน
ร่วมกนั ลกั ทรัพยห์ รือรับของโจร การที่ศาลจะลงโทษจาเลยท่ี 12 ฐานซ่องโจรไดน้ ้นั ศาลตอ้ งดู
พยานหลกั ฐานท่ีโจทกน์ าสืบวา่ จาเลยท่ี 12 ไดร้ ่วมสมคบกบั จาเลยที่ 1 ถึงท่ี 11 เพอ่ื กระทาความผิด
ฐานลกั ทรัพยห์ รือไม่ ศาลจะคิดเองไม่ได้

ทางนาสืบไดค้ วามวา่ จาเลยท่ี 1 ถึงที่ 11 สมคบกนั ลกั ทรัพย์ ส่วนจาเลยท่ี 12 เป็นนายทุนรับ
ซ้ือรถยนตท์ ่ีถกู ลกั (เป็นรับของโจร) เมื่อจาเลยที่ 12 ไมไ่ ดส้ มคบกบั จาเลยที่ 1 ถึงท่ี 11 เพือ่
ลกั ทรัพยจ์ ึงไมอ่ าจลงโทษจาเลยที่ 12 ฐานเป็นซ่องโจรตามฟ้องไดถ้ า้ โจทกฟ์ ้องขอใหล้ งโทษฐาน
รับของโจรดว้ ย ศาลยอ่ มลงโทษจาเลยท่ี 12 ฐานรับของโจรได้

184

คาพิพากษาฎีกาที่ 4986/2533 ซ่องโจรหมายถึงผกู้ ระทาตอ้ งสมคบกนั เพือ่ กระทา
ความผดิ คือตอ้ งมีการร่วมคบคิดหรือประชุมปรึกษาหารือกนั เพ่อื กระทาความผิดหรือแสดงออก
ซ่ึงความตกลงจะทาความผดิ ร่วมกนั ซ่ึงมีสภาพเป็นการกระทาระหวา่ งผรู้ ่วมกระทาความผดิ
ดว้ ยกนั จาเลยที่ 1-5 เพยี งร่วมการเจรจากบั ตารวจที่ล่อซ้ือเสนอขายรถที่ถกู ลกั มาเท่าน้นั จึงเป็น
ลกั ษณะท่ีเป็นการกระทาต่อบคุ คลภายนอก ขอ้ เทจ็ จริงจึงยงั ไมพ่ อฟังวา่ ไดม้ ีการคบคิดกนั กระทา
ความผิดจึงยงั ฟังไม่ไดว้ า่ เป็นซ่องโจร

คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 2429/2528 จาเลยที่ 5 กบั พวกรวม 10 คนวางแผนกนั เพอื่ ใชต้ ลบั ยา
หม่องครอบเหรียญพนนั บนรถเมล์ จาเลยท่ี 1 กบั พวกลงมอื เล่นการพนนั แลว้ ชกั ชวนใหผ้ โู้ ดยสาร
มาแทง อนั เป็นการสมคบกนั เพ่ือหลอกลวงเอาทรัพยส์ ินของผโู้ ดยสารโดยทจุ ริตอนั เป็นความผิด
ฐานฉอ้ โกง แมจ้ าเลยท่ี 5 จะไม่ไดข้ ้ึนไปบนรถพร้อมกบั จาเลยอ่ืนแต่ก็รออยทู่ ่ีสถานีขนส่งและ
ขบั รถตามรับจาเลยอ่ืนเพือ่ เลิกเล่นอนั เป็นการแบ่งหนา้ ท่ีกนั ทาโดยจาเลยที่ 5 ไดจ้ าเลยที่ 5 ไดเ้ ขา้
ร่วมปรึกษาวางแผนกบั จาเลยอ่ืนแลว้ การกระทาของจาเลยท่ี 5 จึงเป็นซ่องโจร

ความผดิ ที่สมคบกนั เพือ่ กระทาน้นั ตอ้ งเป็นความผดิ อยา่ งหน่ึงอยา่ งใดตามท่ีบญั ญตั ิไวใ้ น
ภาค 2 ของประมวลกฎหมายอาญาและความผิดน้นั มีกาหนดโทษอยา่ งสูงต้งั แต่ 1 ปี ข้ึนไปเท่าน้นั
(ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ, 2556, หนา้ 92)

ตวั อยา่ งการสมคบกนั เพอ่ื แข่งรถในทอ้ งถนนยามวิกาลเป็นการสมคบกนั เพือ่ กระทาผิด
ตามพระราชบญั ญตั ิจราจร พ.ศ.2522 ไม่ใช่คบกนั เพ่อื กระทาความผิดตามภาค 2 ประมวลกฎหมาย
อาญาจึงไม่เป็ นความผิดฐานซ่องโจร

“ความผดิ น้นั มีกาหนดโทษจาคุกอยา่ งสูงต้งั แต่ 1 ปี ข้นึ ไป” หมายถึง ตอ้ งดูระวางโทษข้นั
สูงเป็นหลกั เช่นลกั ทรัพยโ์ ทษไมเ่ กิน 3 ปี อตั ราโทษข้นั สูงท่ีกาหนดคือจาคุก 3 ปี สมคบกนั เพื่อ
กระทาความผิดที่กาหนดโทษจาคุกอยา่ งสูงต้งั แต่ 1 ปี ข้ึนไปจึงเป็นความผิดฐานซ่องโจรตามมาตรา
210

ความผิดสาเร็จทนั ทีที่สมคบกนั เพอ่ื กระทาความผิดไมจ่ าตอ้ งไปกระทาความผิดตามท่ี
ตกลงกนั เสียก่อน

คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1341/2521 คน 6 คนปรึกษากนั จะใชไ้ ขควงงดั ประตูรถยนตเ์ พ่อื ลกั
วทิ ยตุ ิดรถยนตท์ ่ีจอดอยขู่ า้ งถนนตารวจเขา้ จบั เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 210

ความผดิ กรรมเดียวหรือหลายกรรมตามแนวคาพพิ ากษาฎีกาถือเจตนาของผกู้ ระทา
ความผิดเป็นสาคญั ถา้ ผกู้ ระทาความผิดมีเจตนาจะใหเ้ กิดผลเป็นอยา่ งเดียวกนั กถ็ ือวา่ เป็นความผิด
กรรมเดียว

185

การฉอ้ โกงโดยขายท่ีดินตามโฉนดปลอมประกอบดว้ ยความผิดหลายฐานไดแ้ ก่ทาโฉนด
ปลอม ปลอมดวงตรา ใชด้ วงตรา ปลอมลายมือช่ือเจา้ พนกั งานท่ีดิน ใชโ้ ฉนดปลอม การกระทาสืบ
เนื่องมาจากเจตนาเดียวคือเจตนาท่ีจะฉอ้ โกงเอาเงินจากผูซ้ ้ือ กรรมเดียวตามมาตรา 90 ตอ้ งลงโทษ
ตามบทหนกั คอื ใชเ้ อกสารสิทธ์ิอนั เป็นเอกสารราชการปลอมมาตรา 268 วรรคแรกประกอบมาตรา
266 อนุ 1 ตามมาตรา 268 วรรคสอง

คาพพิ ากษาฎีกา 4548/2540 จาเลยท่ี 1-3 กบั พวกรวม 6 คนร่วมกนั วางแผนปลน้ ทรัพย์
ผเู้ สียหายที่ 2 จึงเป็นความผิดซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรค 2 เม่ือจาเลยที่ 4 เป็นผปู้ ลน้ ผเู้ สียหายที่ 2
จาเลยท่ี 1-3 ผรู้ ่วมงานดว้ ยยอ่ มเป็นตวั การปลน้ ร้านทองร่วมกบั จาเลยที่ 4 ดว้ ยตามมาตรา 213 และ
เป็นความผิดซ่องโจรกบั ปลน้ ทรัพยอ์ นั เก่ียวเนื่องกนั เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท

มาตรา 210 วรรคสองเหตฉุ กรรจ์
ตอ้ งไดร้ ับโทษหนกั ข้นึ เม่ือเป็นการสมคบกนั เพ่อื กระทาความผิดท่ีมีระวางโทษถึง

ประหารชีวิตหรือจาคุกตลอดชีวติ หรือจาคุกอยา่ งสูงต้งั แต่ 10 ปี ข้นึ ไป
ผกู้ ระทาตอ้ งรู้วา่ สมคบกนั ไปกระทาความผดิ อะไรดว้ ยเป็นไปตามมาตรา 62 วรรคทา้ ย

ที่วา่ บคุ คลจะตอ้ งรับโทษหนกั ข้ึนโดยอาศยั ขอ้ เทจ็ จริงใดบคุ คลน้นั จะตอ้ งไดร้ ู้ขอ้ เท็จจริงน้นั
แตไ่ มจ่ าเป็นตอ้ งรู้วา่ ความผิดท่ีสมคบกนั จะไปกระทาน้นั มีระวางโทษเท่าไรเพราะเป็น

ขอ้ กฎหมายผกู้ ระทาจะอา้ งว่าไม่รู้วา่ ความผดิ ท่ีสมคบกนั จะกระทามีระวางโทษเทา่ ไรเมื่อไมต่ อ้ งรับ
ผิดไม่ไดเ้ ป็นไปตามมาตรา 64
ความผิดฐานร่วมกบั อั้งยหี่ รือซ่องโจร
มาตรา 211 ผใู้ ดประชุมในที่ประชุมอ้งั ยหี่ รือซ่องโจร ผนู้ ้นั กระทาความผดิ ฐานเป็นอ้งั ยห่ี รือซ่อง
โจร เวน้ แต่ผูน้ ้นั จะแสดงไดว้ ่า ไดป้ ระชุมโดยไม่รู้วา่ เป็นการประชุมของอ้งั ยหี่ รือซ่องโจร

มาตรา 211 ผใู้ ดประชุมในอ้งั ยห่ี รือซ่องโจร
“เวน้ แตผ่ นู้ ้นั จะแสดงไดว้ า่ ไดป้ ระชุมโดยไม่รู้วา่ เป็นการประชุมของอ้งั ยห่ี รือซ่องโจร”
อาจารยห์ ยดุ แสงอุทยั เห็นวา่ เป็นบทสนั นิษฐานของกฎหมายคือการประชุมในที่ประชุม
อ้งั ยหี่ รือซ่องโจรจะตอ้ งถกู สนั นิษฐานไวก้ ่อนวา่ ไดก้ ระทาความผดิ ฐานเป็นอ้งั ยห่ี รือซ่องโจรเม่ือ
จาเลยพิสูจนห์ กั ลา้ งไดว้ า่ ตนเขา้ ประชุมโดยไม่รู้ว่าเป็นการประชุมของอ้งั ยหี่ รือซ่องโจรจึงจะพน้ ผดิ
อาจารยส์ ุบรรณเห็นวา่ ผเู้ ขา้ ประชุมตอ้ งรู้วา่ เป็นการประชุมต้งั ยห่ี รือซ่องโจร ถา้ ไม่รู้ก็ไม่
ผิด ซ่ึงอาจารยส์ ุบนั เห็นวา่ วา่ มาตรา 211 ไม่ใช่บทสันนิษฐานของกฎหมายเพราะถา้ ไมร่ ู้กไ็ ม่ผดิ
เพราะขาดองคป์ ระกอบความผดิ เช่นจาเลยไมร่ ู้เพราะตาบอด หูหนวกเช่นน้ีจาเลยยอ่ มไม่มีความผิด

186

ความผิดฐานช่วยเหลือพวกอ้ังยห่ี รือซ่องโจร
มาตรา 212 ผใู้ ด

(1) จดั หาที่ประชุมหรือที่พานกั ใหแ้ ก่อ้งั ยห่ี รือซ่องโจร
(2) ชกั ชวนบุคคลใหเ้ ขา้ เป็นสมาชิกอ้งั ยหี่ รือพรรคพวกซ่องโจร
(3) อุปการะอ้งั ยหี่ รือซ่องโจรโดยใหท้ รัพยห์ รือโดยประการอ่ืน หรือ
(4) ช่วยจาหน่ายทรัพยท์ ่ีอ้งั ยหี่ รือซ่องโจรไดม้ าโดยการกระทาความผดิ
ตอ้ งระวางโทษเช่นเดียวกบั ผกู้ ระทาความผิดฐานเป็นอ้งั ยี่หรือซ่องโจรแลว้ แต่กรณี
มาตรา 212 ผใู้ ดจดั หาที่ประชุมใหอ้ ้งั ยหี่ รือซ่องโจร
เป็นความผิดในลกั ษณะของการช่วยเหลือพวกอ้งั ยห่ี รือซ่องโจร โดยกระทาอยา่ งหน่ึง
อยา่ งใดในมาตรา 212
เม่ือจดั หาท่ีประชุมหรือท่ีพานกั แลว้ แมส้ มาชิกอ้งั ยห่ี รือซ่องโจรจะยงั ไมไ่ ดม้ าประชุม
หรือพานกั กเ็ ป็นความผิดสาเร็จแลว้
การชกั ชวนบุคคลใหเ้ ขา้ เป็นสมาชิกอ้งั ยห่ี รือซ่องโจรเมื่อชกั ชวนกเ็ ป็นความผิดสาเร็จ
ทนั ทีแมเ้ ขาจะไมเ่ ขา้ เป็นสมาชิกอ้งั ยห่ี รือซ่องโจรก็ตาม
“ตอ้ งระวางโทษเช่นเดียวกบั ผกู้ ระทาความผดิ ฐานเป็นอ้งั ยหี่ รือซ่องโจร” หมายถึง
ผกู้ ระทาผดิ ตามมาตรา 212 น้ีไม่ไดเ้ ป็นอ้งั ยหี่ รือซ่องโจรตามมาตรา 209 มาตรา 210 เพยี งแตต่ อ้ ง
ระวางโทษเช่นเดียวกบั ผทู้ ่ีเป็นอ้งั ยหี่ รือซ่องโจรเทา่ น้นั

ถา้ หากสมาชิกอ้งั ยห่ี รือซ่องโจรไดไ้ ปกระทาความผิดตามความม่งุ หมายของอ้งั ยห่ี รือ
ซ่องโจรผทู้ ่ีกระทาความผิดตามมาตรา 212 ไม่ตอ้ งรับโทษสาหรับความผดิ ที่ทาไปตามมาตรา 213

มาตรา 213 สมาชิกที่อยรู่ ่วมในการประชุมแต่ไมไ่ ดค้ ดั คา้ น
มาตรา 213 ถา้ สมาชิกอ้งั ยห่ี รือพรรคพวกซ่องโจรคนหน่ึงคนใดไดก้ ระทาความผิดตาม

ความม่งุ หมายของอ้งั ยห่ี รือซ่องโจรน้นั สมาชิกอ้งั ยหี่ รือพรรคพวกซ่องโจรที่อยู่ดว้ ยในขณะกระทา
ความผิด หรืออยดู่ ว้ ยในท่ีประชุมแต่ไม่ไดค้ ดั คา้ นในการตกลงใหก้ ระทาความผดิ น้นั และบรรดา
หวั หนา้ ผจู้ ดั การ หรือผมู้ ีตาแหน่งหนา้ ท่ีในอ้งั ยห่ี รือซ่องโจรน้นั ตอ้ งระวางโทษตามท่ีบญั ญตั ิไว้
สาหรับความผิดน้นั ทุกคน

สมาชิกอ้งั ยห่ี รือซ่องโจรที่ไม่ไดไ้ ปกระทาความผิดดว้ ยจะตอ้ งรับโทษตามความผดิ ที่
สมาชิกอ้งั ยหี่ รือซ่องโจรคนอ่ืนไปกระทาเป็นการตอ้ งรับโทษในการกระทาความผิดของบุคคลอ่ืน

187

ความผดิ ท่ีสมาชิกอ้งั ยหี่ รือซ่องโจรไปกระทาจะตอ้ งเป็นความผิดตามความมุ่งหมายถา้
ไปกระทาความผิดนอกเหนือจากความมุ่งหมายแลว้ สมาชิกอ้งั ยห่ี รือซ่องโจรท่ีไมไ่ ดท้ าผดิ ไมต่ อ้ ง
รับโทษดว้ ย

ข้อสังเกต มาตรา 213 ไมร่ วมผกู้ ระทาความผดิ ตามมาตรา 212 (เกียรติขจร วจั นะสวสั ด์ิ,
2557, หนา้ 21)

คาพพิ ากษาฎีกาที่ 4548/2547 ซ่องโจรเพื่อปลน้ ทรัพย์ ต่อมาไดไ้ ปปลน้ ทรัพยต์ าม
แผนการท่ีวางไวก้ ารปลน้ ทรัพยส์ ืบเนื่องมาจากเจตนาเดียวจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
ตอ้ งลงโทษฐานพยายามปลน้ ทรัพยโ์ ดยมีอาวธุ ซ่ึงเป็นบทที่มีโทษหนกั ที่สุด

คาพิพากษาฎีกาท่ี 7562/2556 จาเลยท้ังสองกับพวก 5 คน ร่วมกันปรึกษาวางแผนลกั
ทรัพยข์ องชาวต่างชาติบนรถโดยสารสองแถว โดยข้ึนรถโดยสารสองแถวมาพร้อมกนั ซ่ึงจะทาให้มี
ผูโ้ ดยสารมากพอท่ีจะทาให้พวกของจาเลยที่ 1 สามารถเขา้ ไปนงั่ ชิดกบั ผูเ้ สียหายทางดา้ นขวาท่ีมี
กระเป๋ าสตางค์อยู่ในประเป๋ ากางเกง พวกของจาเลยท้งั สองจึงมีโอกาสลว้ งกระเป๋ าสตางค์ของ
ผูเ้ สียหาย และมีการแบ่งหน้าท่ีกนั ทาตามท่ีจาเลยท่ี 1 กบั พวกรวม 5 คน สมคบกนั จาเลยท่ี 1 จึงมี
ความผิดฐานร่วมกบั พวกลกั ทรัพยใ์ นยวดยานสาธารณะและเป็นซ่องโจร ซ่ึงความผิดฐานเป็นซ่อง
โจรกบั ฐานร่วมกนั ลกั ทรัพยใ์ นยวดยานสาธารณะเก่ียวเน่ืองกนั จึงเป็ นกรรมเดียวเป็ นความผิดต่อ
กฎหมายหลายบท ปัญหาน้ีเป็ นปัญหาขอ้ กฎหมายท่ีเกี่ยวกบั ความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอานาจ
ยกข้ึนวินิจฉยั เองได้

ความผิดฐานช่วยเหลือผ้กู ระทาความผิด
มาตรา 214 ผใู้ ดประพฤติตนเป็นปกติธุระเป็นผจู้ ดั หาที่พานกั ท่ีซ่อนเร้นหรือที่ประชุมให้

บุคคลซ่ึงตนรู้วา่ เป็นผกู้ ระทาความผดิ ท่ีบญั ญตั ิไวใ้ นภาค 2 น้ี ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ

ถา้ การกระทาความผิดน้นั เป็นการกระทาเพื่อช่วยบิดา มารดา บตุ ร สามีหรือภริยาของ
ผกู้ ระทา ศาลจะไม่ลงโทษกไ็ ด้

มาตรา 214 ผใู้ ดประพฤติตนเป็นปกติธุระเป็นผจู้ ดั หาท่ีพานกั ซ่อนเร้นท่ีประชุมใหบ้ คุ คล
ซ่ึงตนรู้วา่ เป็นผกู้ ระทาผดิ ที่บญั ญตั ิไวใ้ นภาค 2 น้ี

บญั ญตั ิคลา้ ยมาตรา 189 ท่ีวา่ “ผใู้ ดช่วยผอู้ ื่นซ่ึงเป็นผกู้ ระทาความผิดหรือเป็นผตู้ อ้ งหาวา่
กระทาความผิดอนั มิใช่ความผดิ ลหุโทษเพื่อไมใ่ หต้ อ้ งรับโทษโดยใหพ้ านกั แก่ผนู้ ้นั โดยซ่อนเร้น
หรือโดยช่วยผูน้ ้นั ดว้ ยประการใดๆเพอื่ ไม่ใหถ้ ูกจบั กมุ ”

188

ขอ้ แตกตา่ งคือมาตรา 214 จากดั เฉพาะผทู้ ่ีกระทาผิดตามภาค 2 ของประมวลกฎหมาย
อาญาเทา่ น้นั แต่มาตรา 189 ใชไ้ ดก้ บั ความผดิ ทุกกกฎหมาย

ช่วยเหลือผทู้ ่ีเลน่ การพนนั ตามพระราชบญั ญตั ิการพนนั โดยช่วยซ่อนเร้นเป็นความผดิ
ตามมาตรา 189 ไดแ้ ต่ไม่เป็นความผดิ ตามมาตรา 214 เพราะไม่ใช่เป็นการช่วยผกู้ ระทาผิดตามที่
บญั ญตั ิไวใ้ นภาค 2 ของประมวลกฎหมายอาญา

อาจารยห์ ยุด แสงอทุ ยั เห็นวา่ มาตรา 214 และมาตรา 189 มาจากหลกั กฎหมาย
ตา่ งประเทศที่ใหเ้ อาผิดแก่การสนบั สนุนภายหลงั การกระทาความผดิ

อาจารยจ์ ิตติเห็นวา่ คาวา่ “ปกติธุระ” หมายถึง การกระทาท่ีทาซ้ากนั หลาย ๆ คร้ัง
อาจารยห์ ยุด แสงอุทยั เห็นวา่ ดูเจตนาแลว้ จะทาคร้ังแรกแต่ถา้ มีเจตนาท่ีจะกระทาเป็นปกติ
ธุระคอื ทาอยา่ งสม่าเสมอในภายหนา้ ก็เป็นความผิดตามกฎหมายน้ีได้
ความผดิ สาเร็จไมไ่ ดจ้ ดั หาที่พานกั ท่ีซ่อนเร้นท่ีประชุมใหแ้ ก่บุคคลที่ตนรู้วา่ เป็นผกู้ ระทา
ความผดิ ที่บญั ญตั ิไวใ้ นภาค 2 ของประมวลกฎหมายอาญาแมบ้ ุคคลดงั กลา่ วจะยงั ไม่ไดม้ าพกั
ซ่อนเร้นหรือยงั ไม่ไดม้ าประชุมก็ตาม
ผกู้ ระทาความผดิ ตามมาตรา 214 ตอ้ งรู้ขอ้ เทจ็ จริงวา่ บุคคลท่ีตนจดั หาที่พานกั ท่ีซ่อนเร้น
หรือที่ประชุมใหน้ ้นั ไดก้ ระทาความผดิ มาแลว้ ถา้ ไม่รู้กไ็ ม่ผดิ หรือมารู้ภายหลงั ก็ไม่ผิดเช่นกนั ตอ้ งรู้
ในขณะท่ีจดั หาท่ีพานกั ที่ซ่อนเร้นหรือที่ประชุม
มาตรา 214 วรรคสองถา้ กระทาผิดเป็นการทาเพื่อช่วยบิดามารดาบตุ รสามีภรรยาของ
ผกู้ ระทา ศาลจะไม่ลงโทษก็ได้ (ดุลพินิจของศาลที่จะลงโทษ หรือไม่ลงโทษผกู้ ระทาก็ได)้
คาวา่ บิดามารดาบุตรสามีภรรยาตอ้ งถือตามกฎหมายคือตอ้ งจดทะเบียน (วีระวฒั น์ ปวรา
จารย,์ 2560, เลม่ ที่ 2, หนา้ 242)

ความผิดฐานก่อความวุ่นวาย

มาตรา 215 ผใู้ ดมว่ั สุมกนั ต้งั แตส่ ิบคนข้นึ ไป ใชก้ าลงั ประทษุ ร้าย ข่เู ขญ็ วา่ จะใชก้ าลงั ประทษุ ร้าย
หรือกระทาการอยา่ งหน่ึงอยา่ งใดใหเ้ กิดการวุน่ วายข้ึนในบา้ นเมือง ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไมเ่ กินหก
เดือน หรือปรับไมเ่ กินหน่ึงหมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ

ถา้ ผกู้ ระทาความผดิ คนหน่ึงคนใดมีอาวธุ บรรดาผทู้ ่ีกระทาความผดิ ตอ้ งระวางโทษ
จาคกุ ไมเ่ กินสองปี หรือปรับไมเ่ กินส่ีหมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ

ถา้ ผกู้ ระทาความผดิ เป็นหวั หนา้ หรือเป็นผมู้ ีหนา้ ที่สงั่ การในการกระทาความผิดน้นั ตอ้ ง
ระวางโทษจาคกุ ไมเ่ กินหา้ ปี หรือปรับไม่เกินหน่ึงแสนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ


Click to View FlipBook Version