189
มาตรา 215 มวั่ สุมกนั ต้งั แต่ 10 คนข้นึ ไป
คาวา่ “มว่ั สุม” หมายถึง ชุมนุมกนั ผกู้ ระทาตอ้ งมีความประสงคร์ ่วมการท่ีจะชุมนุมกนั
โดยไม่จาเป็นตอ้ งรู้จกั กนั หรือมีการนดั หมายวางแผนกนั มาก่อน (วีระวฒั น์ ปวราจารย,์ 2560, เล่มท่ี
4, หนา้ 15)
คาพิพากษาฎีกาที่ 772/2482 การมวั่ สุมไมจ่ าตอ้ งนดั หมายร่วมกนั มาก่อนแตก่ ารกระทา
ตอนใชก้ าลงั ประทุษร้ายตอ้ งกระทาดว้ ยความประสงคร์ ่วมกนั
การเดินขบวนประทว้ งโดยใชค้ วามรุนแรงเท่ากบั เป็นการมว่ั สุม (เกียรติขจร วจั นะสวสั ด์ิ, 2557,
หนา้ 27)
คาพิพากษาฎีกาท่ี 346-47/2535 การมว่ั สุมตามมาตรา 215 ผมู้ ว่ั สุมไมจ่ าตอ้ งมีเจตนา
กระทาผิดในรายละเอียดแต่อยา่ งเดียวเพยี งแต่เป็นการใชก้ าลงั ประทุษร้ายหรือก่อใหเ้ กิดความ
วนุ่ วายข้นึ ในบา้ นเมืองกเ็ ป็นความผดิ แลว้ และผทู้ ี่มามวั่ สุมกไ็ มจ่ าตอ้ งรู้จกั หรือมีการนดั หมาย
วางแผน มาก่อน
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 2387/2536 จาเลยเป็นหวั หนา้ ส่งั การคนงานอีก 200 คนเพ่อื หยดุ งาน
ไมใ่ หค้ นในโรงงานออกมาจากที่ทางานจนมีความรุนแรงเกิดข้ึนมีการปะทะกนั เหตุเกิดริมถนน
สาธารณะการกระทาดงั กลา่ วก่อใหเ้ กิดความวุน่ วายในบา้ นเมืองตามมาตรา 215 พวกจาเลยเรียก
จาเลยวา่ หวั หนา้ จาเลยจึงมีความผิดตามมาตรา 215 วรรค 3
ความผดิ ตามมาตรา 215 คลา้ ยกบั ความผดิ ฐานกบฎในราชอาณาจกั ร มาตรา 116
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 2038-41/2527 จาเลยท้งั สองเป็นผมู้ ีส่วนริเร่ิมชกั ชวนนกั ศึกษาใหม้ า
ชุมนุมกนั จนรวมตวั กนั หลายพนั คนก่อใหเ้ กิดความวุน่ วายในบา้ นเมืองเป็นการทาใหเ้ กิดการ
ปั่นป่ วนในหมู่นกั ศึกษาถึงขนาดก่อใหเ้ กิดความไม่สงบและเป็นการละเมิดกฎหมายแผน่ ดินไมใ่ ช่
การใชส้ ิทธิของตนตามรัฐธรรมนูญจาเลยผิดมาตรา 116 ประกอบมาตรา 215 แตใ่ หล้ งโทษมาตรา
116 อนั เป็นบทหนกั ตามมาตรา 90
มาตรา 215 วรรคสอง ถา้ ผหู้ น่ึงผใู้ ดมีอาวุธบรรดาผทู้ ่ีกระทาความผดิ ตอ้ งระวางโทษหนกั
ข้ึนไปอีกแมผ้ ูร้ ่วมกระทาความผดิ คนอ่ืนไม่รู้วา่ พวกตนมีอาวุธก็เป็นความผดิ ตามมาตราน้ี
เช่นเดียวกบั เร่ืองปลน้ ทรัพยโ์ ดยมีอาวธุ ติดตวั
มาตรา 340 วรรคสอง ถา้ ในการปลน้ ทรัพยผ์ กู้ ระทาแมแ้ ตค่ นหน่ึงคนใดมีอาวธุ ติดตวั ไป
ดว้ ยแมผ้ ทู้ ่ีร่วมปลน้ ไม่รู้วา่ พวกตนมีอาวุธกม็ ีความผิดตามมาตรา 340 วรรคสอง
ท้งั มาตรา 215 วรรคสอง กบั มาตรา 340 วรรคสองบญั ญตั ิไวแ้ ตกตา่ งจากมาตรา 340 ตรี
190
มาตรา 340 ตรีประสงคล์ งโทษหนกั ข้ึนเฉพาะผกู้ ระทาความผิดท่ีแต่งเคร่ืองแบบหรือคน
ที่มีหรือใชอ้ าวุธปื นซ่ึงเป็นเหตุเฉพาะตวั ของผนู้ ้นั ไม่ไดล้ งโทษผกู้ ระทาผิดทกุ คน
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 3944-45/2534 มาตรา 340 ตรี มุ่งหมายท่ีจะลงโทษใหห้ นกั ข้ึนเฉพาะผู้
มีอาวธุ ปื นในการปลน้ ทรัพยเ์ ทา่ น้นั มิใช่ผไู้ มใ่ ช่วา่ ผทู้ ่ีร่วมกระทาการปลน้ รายเดียวกนั จะตอ้ งระวาง
โทษหนกั ข้ึนทุกคนเม่ือปรากฏวา่ พวกของจาเลยที่ 1 อีก 2 คนมีอาวุธปื นในการปลน้ ส่วนจาเลยที่ 1
เพียงรู้เห็นการปลน้ จาเลยท่ี 1 มิไดม้ ีอาวธุ ปื นในการปลน้ แต่อยา่ งใด กรณีจึงไมต่ อ้ งดว้ ยมาตรา 340
ตรีจาเลยที่ 1 คงมีความผดิ ตามมาตรา 340 วรรคสองเท่าน้นั
ความผิดฐานไม่ยอมเลิกม่ัวสุมเมื่อเจ้าพนกั งานสั่งให้เลิก
มาตรา 216 เมื่อเจา้ พนกั งานสั่งผทู้ ่ีมว่ั สุมเพ่ือกระทาความผดิ ตามมาตรา 215 ใหเ้ ลิกไป ผใู้ ดไม่เลิก
ตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินสามปี หรือปรับไมเ่ กินหกหมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
มาตรา 216 เม่ือเจา้ พนกั งานใหผ้ ชู้ ุมนุมมาตรา 215 เลิก ผใู้ ดไม่เลิกตอ้ งระวางโทษ
คาพิพากษาฎีกาที่ 1974/2532 มาตรา 216 ม่งุ ลงโทษผทู้ ี่ขดั คาส่งั ของเจา้ พนกั งานที่ไม่
ยอมเลิกการมวั่ สุมเพ่อื กระทาความผิดตามมาตรา 215 ซ่ึงเป็นการกระทาที่ยงั ไม่ถึงข้นั ลงมือใชก้ าลงั
ประทษุ ร้าย ข่เู ขญ็ หรือทาให้เกิดความวนุ่ วายอนั เป็นความผดิ สาเร็จตามมาตรา 215
หากเจา้ พนกั งานสงั่ ใหเ้ ลิกแลว้ ผกู้ ระทาไม่ยอมเลิกและไดก้ ระทาการต่อไปจนเป็น
ความผิดสาเร็จตามมาตรา 215 ผกู้ ระทายอ่ มมีความผดิ ทางมาตรา 215 และมาตรา 216 อนั เป็นกรรม
เดียวเพราะเป็ นเจตนาเดียว
คาพิพากษาฎีกาที่ 346/2535 เม่ือเจา้ พนกั งานไดส้ ัง่ ใหจ้ าเลยกบั พวกเลิกการมว่ั สุม
ภายหลงั ที่มีการกระทาผดิ ตามมาตรา 215 แลว้ แมจ้ าเลยทุกคนไมเ่ ลิกการกระทาของจาเลยทุกคนก็
เป็นความผดิ มาตรา 215 เท่าน้นั ไม่ผดิ มาตรา 216 ดว้ ย
191
คาพิพากษาฎีกาท่ี 5889/2554 จาเลยที่ 1 ร่วมอยใู่ นกลุ่มผชู้ ุมนุมประทว้ งต้งั แตส่ ิบคนข้นึ
ไปและเป็นผจู้ ุดไฟเผาทรัพยส์ ินของผอู้ ื่นอนั เป็นการเขา้ ร่วมมว่ั สุมกนั ต้งั แตส่ ิบคนข้ึนไปและกระทา
การอยา่ งหน่ึงอยา่ งใดใหเ้ กิดการวุน่ วายข้นึ ในบา้ นเมืองโดยมีอาวธุ การกระทาของจาเลยท่ี 1 จึงเป็น
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 215 วรรคสอง, 217 และ 358 ต่อมาเจา้ พนกั งานตารวจไดป้ ระกาศผา่ น
เคร่ืองกระจายเสียงวา่ ไมใ่ หก้ ลมุ่ ผชู้ ุมนุมประทว้ งกระทาผิดกฎหมายซ่ึงเป็นการสง่ั ใหเ้ ลิกมวั่ สุมใน
การก่อเหตุวนุ่ วายข้นึ ในบา้ นเมืองภายหลงั จากที่จาเลยที่ 1 ไดม้ วั่ สุมและกระทาการก่อความวุน่ วาย
ข้นึ ในบา้ นเมืองแลว้ จาเลยท่ี 1 จึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 216 ที่มงุ่ ประสงคล์ งโทษผทู้ ี่ขดั ขนื
คาสงั่ ของเจา้ พนกั งานอนั เป็นการกระทาที่ยงั ไม่ถึงข้นั ความผิดสาเร็จตามมาตรา 215
192
ลกั ษณะ 6 ความผดิ เกยี่ วกบั การก่อภยันตรายต่อประชาชน
การวางเพลิงเผาทรัพย์
มาตรา 217 วางเพลงิ เผาทรัพย์ผู้อ่ืน
มาตรา 217 ผใู้ ดวางเพลิงเผาทรัพยข์ องผอู้ ื่น ตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แตห่ กเดือนถึงเจ็ดปี
และปรับต้งั แต่หน่ึงหมื่นบาท ถึงหน่ึงแสนสี่หมื่นบาท
คาวา่ “ทรัพย”์ หมายถึงสงั หาริมทรัพยแ์ ละอสงั หาริมทรัพย์
คาวา่ “ทรัพยข์ องผอู้ ่ืน” หมายถึงตอ้ งเป็นทรัพยท์ ่ีมีเจา้ ของแลว้ เป็นของผอู้ ื่นเท่าน้นั
ไมห่ มายความรวมถึงทรัพยท์ ี่ผอู้ ื่นเป็นเจา้ ของรวมอยดู่ ว้ ย เพราะการตีความกฎหมายอาญาตอ้ ง
เคร่งครัดจะขยายความออกไปถึงกรณีที่ไมไ่ ดร้ ะบุไวใ้ นตวั บทโดยชดั แจง้ เพื่อใหเ้ ป็นผลร้ายแก่
จาเลยมิได้ เพราะขดั ตอ่ ความรับผิดของบคุ คลทางอาญตามมาตรา 2
การวางเพลิงเผาทรัพยท์ ่ีตนเป็นเจา้ ของกรรมสิทธ์ิรวมกบั ผอู้ ่ืนไม่เป็นความผดิ ตาม
มาตรา 217
การวางเพลิงเผาทรัพยต์ นเองไม่เป็นความผดิ มาตรา 217 แตถ่ า้ ไม่ระมดั ระวงั ปล่อยให้
ลกุ ลามไปไหมท้ รัพยข์ องผอู้ ่ืนเสียหายก็เป็นความผิดมาตรา 225 ไดแ้ ละถา้ การเอาและถา้ การเผา
ทรัพยข์ องตนเองมีลกั ษณะท่ีน่าจะเป็นอนั ตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพยข์ องผอู้ ื่นก็เป็นความผิด
มาตรา 220
ทรัพยท์ ่ีไม่มีเจา้ ของไม่ใช่ทรัพยข์ องผอู้ ื่นจึงไม่ผดิ มาตรา 217 แต่การวางเพลิงดงั กลา่ วมี
ลกั ษณะท่ีน่าจะเป็นอนั ตรายแก่บคุ คลอ่ืนหรือทรัพยข์ องผอู้ ่ืนยอ่ มผิดมาตรา 220 หรือถา้ ไม่
ระมดั ระวงั ทาใหเ้ พลิงลกุ ลามไหมท้ รัพยข์ องผอู้ ่ืนยอ่ มเป็นความผดิ 225 ได้
คาพิพากษาฎีกาท่ี 5710/2541 จาเลยเป็นผจู้ ุดไฟจนเกิดไฟไหมบ้ า้ นที่ตนเป็นเจา้ ของบา้ น
เกิดเหตุรวมอยดู่ ว้ ยการกระทาของจาเลยไม่ผดิ มาตรา 217 และยอ่ มไม่ผดิ มาตรา 218 อนุหน่ึงเช่นกนั
เพราะตอ้ งตีความเคร่งครัดตามมาตรา 217 การวางเพลิงเผาทรัพยข์ องผอู้ ื่นเป็นความผิดโดยไม่มี
ขอ้ ความวา่ หรือผอู้ ื่นเป็นเจา้ ของรวมอยดู่ ว้ ยจึงตอ้ งตีความคาวา่ ทรัพยข์ องผอู้ ื่นโดยเคร่งครัด
สานวนความของศาลเป็นทรัพยข์ องทางราชการ การเผาสานวนความของศาลเป็น
ความผดิ ฐานวางเพลิงตามมาตรา 217 น้ี
ตอ้ งกระทาโดยเจตนาวางเพลิงตามมาตรา 59 จะเป็นเจตนาประสงคต์ ่อผลหรือยอ่ ม
เลง็ เห็นผลก็ได้
193
คาพิพากษาฎีกาที่ 6738/2537 จาเลยใชข้ องเหลวจุดไฟใหล้ กุ ไหมผ้ ตู้ ายที่ตึกซ่ึงเป็นที่พกั
และโรงเรียนสอนหนงั สือของโจทกท์ ี่ 1 นอกจากจะไฟลุกไหมผ้ ตู้ ายและโจทกท์ ่ี 2 แลว้ ยงั ลกุ ไหม้
โตะ๊ เกา้ อ้ีพ้นื ห้องของโจทก์ร่วมท่ี 1 ดว้ ยจาเลยยอ่ มเลง็ เห็นวา่ ไฟตอ้ งลุกไหมอ้ าคารตึกแถวดงั กลา่ ว
ถือไดว้ า่ จาเลยกระทาโดยมีเจตนาวางเพลิงเผาโรงเรือนของโจทกร์ ่วมดว้ ย
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 114/2531 จาเลยจุดไฟเผาที่นอนของโรงน้าชาเพราะไม่พอใจหญิง
บริการและยอ่ มเลง็ เห็นผลไดว้ า่ เมื่อที่นอนถูกเผาอาจจะลกุ ลามไปไหมเ้ ตียงนอนฝาผนงั เพดาน
ท้งั หมดของโรงน้าชาซ่ึงมีคนอยอู่ าศยั ดว้ ยได้ จาเลยจึงผดิ ฐานวางเพลิงเผาโรงเรือนท่ีคนอยอู่ าศยั
ตามมาตรา 218 อนุ 1
ความผิดสาเร็จของมาตรา 217 คือตอ้ งมีไฟติดที่ตวั ทรัพยท์ ี่เผา หรือไหมไ้ ฟดว้ ย กลา่ วคือ ตอ้ งเป็น
การเผาจนทรัพยน์ ้นั ลกุ ติดไฟข้นึ ดว้ ย (วีระวฒั น์ ปวราจารย,์ 2560, เลม่ ท่ี 5, หนา้ 56)
เมื่อเพลิงลุกติดตวั ทรัพยแ์ ลว้ แมต้ ่อมาไดด้ บั ไปก็เป็นความผดิ สาเร็จมิใช่พยายาม
การลงมือจุดไฟหรือลงมือทาใหเ้ กิดเพลิงไหมแ้ ตย่ งั ไมม่ ีเพลิงลุกไหมต้ วั ทรัพยท์ ี่วางเพลิง
เป็นแค่รอยดาเกรียมเทา่ น้นั เป็นเพยี งข้นั พยายามวางเพลิงแลว้
การใชน้ ้ามนั ราดบนทรัพยท์ ่ีจะวางเพลิงเป็นการกระทาใกลช้ ิดกบั ผลสาเร็จของความผิด
จึงถือวา่ พน้ ข้นั ตระเตรียมการถึงข้นั ลงมือกระทาความผิดฐานวางเพลิงแลว้ หากยงั ไมไ่ ดจ้ ุดไฟกเ็ ป็น
ความผดิ ข้นั พยายาม
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 204/2475 เอาน้ามนั ราดเครื่องใชโ้ ดยเจตนาจะวางเพลิงและจาเลยมีไม้
ขีดไฟอยใู่ นกระเป๋ าเส้ือแตช่ าวบา้ นเขา้ ไปขดั ขวางเสียก่อนเป็นการกระทาใกลก้ บั เหตจุ าเลยผิดฐาน
พยายามวางเพลิง
โกรธจึงดึงร้ัวบา้ นมาเผาเป็นขาดเจตนาวางเพลิง แตม่ ีเจตนาทาใหเ้ สียทรัพยแ์ ลว้
การวางเพลิงเผาทรัพยข์ องผอู้ ื่นถา้ เจา้ ของยนิ ยอมใหเ้ ผาก็ไม่ผดิ มาตรา 217
หากเจา้ ของไมไ่ ดย้ นิ ยอมใหเ้ ผาทรัพยแ์ ตถ่ า้ มีขอ้ เทจ็ จริงท่ีทาใหผ้ กู้ ระทาเขา้ ใจไดว้ า่
เจา้ ของยนิ ยอมใหเ้ ผาทรัพยไ์ ด้ ผกู้ ระทาอา้ งมาตรา 62 วรรคแรกได้
การวางเพลิงเผาทรัพยข์ องผอู้ ่ืนนอกจากเป็นความผิดมาตรา 217 และยงั เป็นความผดิ
มาตรา 358 หรือความผดิ อื่น ๆ ดว้ ยเช่นสามีภรรยาไมไ่ ดจ้ ดทะเบียนสมรสซ้ือบา้ นร่วมกนั จึงเท่ากบั
มีกรรมสิทธ์ิรวมในบา้ นเมื่อภรรยาเผาบา้ นท่ีตนเองเป็นเจา้ ของรวมอยดู่ ว้ ยไมไ่ ดเ้ ผาบา้ นของผอู้ ่ืน
จึงไม่ผิดมาตรา 217 และมาตรา 218 แต่การเผาบา้ นเป็นการทาใหเ้ สียทรัพยซ์ ่ึงผอู้ ื่นเป็นเจา้ ของ
รวมอยดู่ ว้ ยจึงผดิ มาตรา 358
194
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 5544/2531 จาเลยบกุ รุกเขา้ ไปในบา้ นผเู้ สียหายโดยใชม้ ีดฟันประตคู รัว
ราดน้ามนั จุดไฟจนลกุ เป็นการกระทาต่อเนื่องในคราวเดียวกนั เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
คือพยายามวางเพลิงเผาโรงเรือนมาตรา 218 (มีรอยเกรียมดาที่ผนงั ) บกุ รุกโดยมีอาวธุ มาตรา 365
ทาใหเ้ สียทรัพยม์ าตรา 358
คาพิพากษาฎีกาท่ี 2829/2532 วางเพลิงเผาเคร่ืองเรือนแต่ตวั โรงเรือนไม่ไดถ้ ูกไฟลุกไหม้
คงมีแตร่ อยเขมา่ ดาเทา่ น้นั จะเป็นความผดิ ฐานพยายามวางเพลิงเผาโรงเรือนมาตรา 218 เทา่ น้นั
เพลิงยงั ไมไ่ ดล้ ุกไหมโ้ รงเรือนเพียงแตม่ ีรอยเขมา่ สีดาเกาะท่ีผนงั โรงเรือนเท่าน้นั จึงเป็น
เพียงพยายามวางเพลิงเผาทรัพยเ์ ทา่ น้นั
เคร่ืองเรือนไม่ไดเ้ ป็นส่วนหน่ึงของโรงเรือน แต่การจุดไฟเผาเคร่ืองเรือนของผอู้ ื่นเป็น
การวางเพลิงเผาทรัพยข์ องผอู้ ื่นตามมาตรา 217 แตโ่ ทษเบากวา่ มาตรา 218 ประกอบมาตรา 80
มาตรา 218 วางเพลงิ บทฉกรรจ์
มาตรา 218 ผใู้ ดวางเพลิงเผาทรัพยด์ งั ต่อไปน้ี
(1) โรงเรือน เรือ หรือแพที่คนอยอู่ าศยั
(2) โรงเรือน เรือ หรือแพอนั เป็นที่เก็บหรือที่ทาสินคา้
(3) โรงมหรสพหรือสถานท่ีประชุม
(4) โรงเรือนอนั เป็นสาธารณสมบตั ิของแผน่ ดิน เป็นสาธารณสถาน หรือเป็นที่สาหรับ
ประกอบพิธีกรรมตามศาสนา
(5) สถานีรถไฟ ท่าอากาศยาน หรือท่ีจอดรถหรือเรือสาธารณะ
(6) เรือกลไฟ หรือเรือยนต์ อนั มีระวางต้งั แต่หา้ ตนั ข้ึนไป อากาศยาน หรือรถไฟที่ใชใ้ น
การขนส่งสาธารณะ
ตอ้ งระวางโทษประหารชีวิต จาคุกตลอดชีวิต หรือจาคกุ ต้งั แต่หา้ ปี ถึงยสี่ ิบปี
เป็นบทหนกั ของมาตรา 217 จึงตอ้ งมีครบองคป์ ระกอบตามมาตรา 217 ก่อนถึงจะผดิ
มาตรา 218
การวางเพลิงเผาทรัพยท์ ี่ตนเองมีกรรมสิทธ์ิร่วมกบั คนอื่นไม่เป็นความผิดตามมาตรา 217
แมก้ ระทาต่อทรัพยต์ ามมาตรา 218 อนุ 1 ถึง 6 ของมาตรา 218 ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 218
(เกียรติขจร วจั นะสวสั ด์ิ, 2557, หนา้ 38)
ในการสอบถา้ มีปัญหาเรื่องมาตรา 217 เราตอ้ งดูถึงมาตรา 218 ดว้ ยพระมาตรา 218
เป็นบทหนกั ของมาตรา 217 ดงั น้นั ผกู้ ระทาตอ้ งรู้วา่ สิ่งที่ตนวางเพลิงเผาน้นั เป็นทรัพยต์ ามมาตรา
218 เพราะมาตรา 62 วรรคทา้ ยวางหลกั วา่ บคุ คลจะตอ้ งรับโทษหนกั ข้นึ โดยอาศยั ขอ้ เทจ็ จริงใด
บคุ คลน้นั จะตอ้ งไดร้ ู้ขอ้ เท็จจริงน้นั (วรี ะวฒั น์ ปวราจารย,์ 2560, เลม่ ที่ 5, หนา้ 57)
195
มาตรา 218 (1) โรงเรือนหมายถึงตอ้ งเป็นท่ีซ่ึงบคุ คลอยอู่ าศยั เทา่ น้นั
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 114/2531 โรงน้าชาที่มีคณุ อยอู่ าศยั เป็นโรงเรือนตามมาตรา 218 (1)
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 6738/2537 อาคารห้องตดั เส้ือผา้ ที่มีคนอยเู่ ป็นโรงเรือนตามมาตรา 218
(1)
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 5058/2531 ยงุ้ ขา้ วซ่ึงอยตู่ ิดกบั ตวั บา้ นท่ีคนอยอู่ าศยั เป็นโรงเรือนจาเลย
วางเพลิงเผายงุ้ ขา้ วไฟไหมย้ งุ้ ขา้ วและลามไหมบ้ า้ นเป็นความผิดมาตรา 218 (1)
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 5058/2531 โรงเก็บรถท่ีอยตู่ ิดเป็นส่วนหน่ึงของภตั ตาคารเป็นโรงเรือน
ตามมาตรา 218 (1)
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 115/2542 จาเลยวางเพลิงเผารถยนตท์ ี่อยใู่ นโรงเกบ็ รถ จาเลยยอ่ ม
เลง็ เห็นผลไดว้ า่ เพลิงจะลุกไหมโ้ รงเกบ็ รถและภตั ตาคารไดแ้ ตม่ ีคนมาจบั ไดท้ นั จาเลยจึงผิดพยายาม
วางเพลิงเผาโรงเรือนตามมาตรา 218 (1) และมาตรา 80
มาตรา 1 (4) คาวา่ “เคหสถาน” หมายถึง ที่ซ่ึงใชเ้ ป็นท่ีอยู่อาศยั เช่นเรือนโรงเรือแพ
ซ่ึงคนใชอ้ ยอู่ าศยั และใหห้ มายความรวมถึงบริเวณของท่ีซ่ึงใชเ้ ป็นท่ีอยอู่ าศยั น้นั ดว้ ยจะมีร้ัวรอบ
ลอ้ มหรือไมก่ ็ตาม
คาวา่ “เคหสถาน” กบั คาวา่ “โรงเรือน” เป็นคนละเร่ืองกนั จะนามาปะปนกนั ไมไ่ ด้
โรงเรือนเป็นคาท่ีไมม่ ีคาจากดั ความ เป็นคาท่ีมีความหมายตามที่ใชก้ ารอยทู่ วั่ ๆไปหมายถึงสิ่งปลูก
สร้างสาหรับเป็นท่ีอยขู่ องคน
การวางเพลิงเผาบริเวณของเคหสถานเป็นความผิดตามมาตรา 217 แต่ไม่เป็นความผิด
ตามมาตรา 218 (1)
วางเพลิงเผาร้ัวบา้ นผิดมาตรา 217 แตไ่ ม่ผิดมาตรา 218 (1)
โรงเรือนตามมาตรา 218 (1) หมายความเฉพาะตวั โรงเรือนที่คนอยอู่ าศยั เท่าน้นั ไม่ได้
หมายความถึงบริเวณของเคหสถานซ่ึงไมไ่ ดเ้ ป็นส่วนหน่ึงของโรงเรือนท่ีคนอยอู่ าศยั ดว้ ย
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 522/2475 เผาคอกหมเู ลา้ ไก่คอกววั ในบริเวณท่ีอยอู่ าศยั ซ่ึงเป็น
เคหสถาน แมจ้ ะเป็นส่วนหน่ึงของท่ีดินแต่ไมใ่ ช่ส่วนหน่ึงของโรงเรือนไม่ผิดมาตรา 218 (1)
มาตรา 219 ตระเตรียมวางเพลิงมีความผิดเทา่ พยายาม
196
การวางเพลิงเป็นความผิดท่ีก่อใหเ้ กิดภยนั ตรายแก่ประชาชนอยา่ งร้ายแรงกฎหมายจึง
กาหนดโทษผทู้ ี่ตระเตรียมวางเพลิงเช่นเดียวกบั พยายามกระทาความผิด กฎหมายถือวา่ ตระเตรียม
เป็นการกระทาตา่ ง ๆ ของผกู้ ระทาผดิ ก่อนถึงข้นั ลงมือกระทาความผดิ ผดิ กบั พยายามกระทา
ความผิดท่ีผกู้ ระทาความผิดไดล้ งมือกระทาความผิดไปแลว้ เช่นยกปื นจอ้ งเลง็ เพราะเป็นการกระทา
ท่ีใกลช้ ิดต่อผลคอื ความตายของผอู้ ื่น
การใชน้ ้ามนั ราดท่ีทรัพยท์ ี่จะวางเพลิงแมจ้ ะยงั ไม่ไดจ้ ุดไฟเผาทรัพยก์ ็เป็นการกระทาท่ี
ใกลช้ ิดตอ่ ผลคือเหตุเพลิงไหมซ้ ่ึงถือวา่ พ้ืนข้นั ตระเตรียมการเป็นการลงมือกระทาความผดิ ฐาน
วางเพลิงเผาทรัพยแ์ ลว้
มาตรา 218 วางเพลิง บทฉกรรจ์
เป็นบทหนกั ของมาตรา 217 จึงตอ้ งมีครบองคป์ ระกอบตามมาตรา 217 ก่อนถึงจะผิด
มาตรา 218
การวางเพลิงเผาทรัพยท์ ี่ตนเองมีกรรมสิทธ์ิร่วมกบั คนอ่ืนไมเ่ ป็นความผดิ ตามมาตรา 217
แมก้ ระทาตอ่ ทรัพยต์ ามมาตรา 218 (1) ถึง 6 ของมาตรา 218 กไ็ มเ่ ป็นความผิดตามมาตรา 218
ในการสอบถา้ มีปัญหาเรื่องมาตรา 217 ตอ้ งพจิ ารณาถึงมาตรา 218 ดว้ ยเพราะมาตรา 218
เป็นบทหนกั ของมาตรา 217
โรงเกบ็ ฟาง ไมใ่ ช่โรงเรือนอนั เป็นที่เกบ็ สินคา้ ตามมาตรา 218 แต่เป็นทรัพยท์ วั่ ไปของผอู้ ื่นตาม
มาตรา 217
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 8064/2556 ผเู้ สียหายมีอาชีพทาฟาร์มโค ฟางอดั แท่งท่ีเก็บอยใู่ นโรงเก็บ
ฟาง ไมใ่ ช่สินคา้ ที่มีไวเ้ พ่ือการคา้ ของผเู้ สียหาย แต่น่าจะมีไวเ้ ล้ียงโคผเู้ สียหายเองมากกวา่ โรงเก็บ
ฟางที่จาเลยวางเพลิงจึงมิใช่โรงเรือนอนั เป็นท่ีเก็บสินคา้ ตามความหมายของมาตรา 218 (2) แต่เป็น
ทรัพยท์ ว่ั ไปของผอู้ ่ืนตามมาตรา 217
197
มาตรา 219 ตระเตรียมวางเพลิงมีความผิดเท่าพยายาม
มาตรา 219 ผใู้ ดตระเตรียมเพือ่ กระทาความผดิ ดงั กลา่ วในมาตรา 217 หรือมาตรา 218
ตอ้ งระวางโทษเช่นเดียวกบั พยายามกระทาความผิดน้นั ๆ
การวางเพลิงเป็นความผิดที่ก่อใหเ้ กิดภยนั ตรายแก่ประชาชนอยา่ งร้ายแรงกฎหมาย
จึงกาหนดโทษผทู้ ี่ตระเตรียมวางเพลิงเช่นเดียวกบั พยายามกระทาความผิด กฎหมายถือวา่ ตระเตรียม
เป็นการกระทาตา่ ง ๆ ของผกู้ ระทาผดิ ก่อนถึงข้นั ลงมือกระทาความผดิ ผดิ กบั พยายามกระทา
ความผดิ ท่ีผกู้ ระทาความผิดไดล้ งมือกระทาความผิดไปแลว้ ตามหลกั มาตรา 80 (เกียรติขจร
วจั นะสวสั ด์ิ, 2557, หนา้ 35) เช่น ยกปื นจอ้ งเลง็ เพราะเป็นการกระทาที่ใกลช้ ิดตอ่ ผลคือความตาย
ของผอู้ ื่น
การใชน้ ้ามนั ราดที่ทรัพยท์ ่ีจะวางเพลิงแมจ้ ะยงั ไม่ไดจ้ ุดไฟเผาทรัพยก์ ็เป็นการกระทาที่
ใกลช้ ิดตอ่ ผลคือเหตุเพลิงไหมซ้ ่ึงถือวา่ พ้นื ข้นั ตระเตรียมการเป็นการลงมือกระทาความผดิ ฐาน
วางเพลิงเผาทรัพยแ์ ลว้
ผกู้ ระทาตอ้ งมีเจตนาวางเพลงเผาทรัพยด์ ว้ ย
คาพิพากษาฎีกาที่ 6737/2548 จาเลยนาถุงพลาสติกบรรจุน้ามนั เบนซินไปวางบนแคร่หนา้
บา้ นผเู้ สียหายที่ 2 จากน้นั จาเลยก็บุกรุกเขา้ บา้ นผูเ้ สียหายที่ 1 และทาร้ายร่างกายผูเ้ สียหายท่ี 1 แลว้
รีบหลบหนีออกจากบา้ นผเู้ สียหายที่ 1 ไปโดยไม่ไดส้ นใจถุงน้ามนั เบนซินดงั กล่าวอีก แมข้ ณะทา
ร้ายผเู้ สียหายที่ 1 จาเลยจะกล่าวข้ึนว่า "โกหกกู จะฆ่าและเผาใหห้ มด" แต่จาเลยก็มิไดแ้ สดงอาการ
จะฆ่าผูเ้ สียหายที่ 1 ท้งั ๆ ท่ีผูเ้ สียหายที่ 1 เป็ นผูห้ ญิงอยู่คนเดียว ซ่ึงจาเลยอาจกระทาการฆ่าได้
โดยงา่ ย และท้งั จาเลยก็มิไดก้ ลบั ไปเปิ ดถุงพลาสติกเอาน้ามนั เบนซินราดหนา้ บา้ นผเู้ สียหายท่ี 2 เพ่อื
จุดไฟเผาดงั พูด พฤติการณ์ช้ีให้เห็นวา่ จาเลยหาไดม้ ีเจตนาจะกระทาการฆ่าหรือเผาตามที่กล่าวข้ึน
ไม่ การกระทาของจาเลยจึงยงั ไม่เป็นความผดิ ฐานตระเตรียมเพื่อวางเพลิงเผาทรัพยผ์ อู้ ื่น
198
มาตรา 220 ทาให้เกิดเพลิงไหม้จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอ่ืนหรือทรัพย์ของผู้อ่ืน
มาตรา 220 ผใู้ ดกระทาใหเ้ กิดเพลิงไหมแ้ ก่วตั ถุใด ๆ แมเ้ ป็นของตนเอง จนน่าจะเป็น
อนั ตรายแก่บคุ คลอ่ืนหรือทรัพยข์ องผอู้ ื่น ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไมเ่ กินเจ็ดปี และปรับไมเ่ กินหน่ึง
แสนส่ีหม่ืนบาท
ถา้ การกระทาความผดิ ดงั กล่าวในวรรคแรก เป็นเหตใุ หเ้ กิดเพลิงไหมแ้ ก่ทรัพยต์ ามที่ระบุ
ไวใ้ นมาตรา 218 ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษดงั ที่บญั ญตั ิไวใ้ นมาตรา 218
มาตรา 220 วรรคแรก ทาให้เกิดเพลิงไหมแ้ ก่วตั ถใุ ด ๆ ซ่ึงอาจเป็นวตั ถตุ นเองเป็นเจา้ ของ
รวมดว้ ยหรือเป็นวตั ถอุ ่ืนใด ๆ ท่ีไม่มีเจา้ ของก็ได้
ประการสาคญั คือ น่าจะเป็นอนั ตรายแก่บคุ คลอื่นหรือทรัพยข์ องผอู้ ื่น ซ่ึงโจทกม์ ีหนา้ ท่ีนาสืบ
ขอ้ เทจ็ จริงส่วนน้ีดว้ ย
คาพิพากษาฎีกาที่ 590/2536 ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 220 น้นั จะตอ้ งน่าจะเป็นอนั ตรายแก่
บคุ คลอื่นหรือของผอู้ ่ืน ปรากฏขอ้ เทจ็ จริงเพียงวา่ บา้ นเกิดเหตุอยหู่ ่างจากบา้ นของผอู้ ่ืน 15 เมตร โดย
ไม่ปรากฏว่าเปลวเพลิงไดล้ ุกลามไปทางบา้ นของผอู้ ื่นแต่อย่างใด เม่ือโจทก์ไม่นาสืบให้ศาลเห็นวา่
การวางเพลิงเผาบา้ นคร้ังน้ีน่าจะเป็นอนั ตรายแก่บา้ นเรือนของผูอ้ ื่นอย่างไร เช่นวา่ สภาพแวดลอ้ ม
ของบา้ นเกิดเหตุ ทิศทางลมและเปลวเพลิงขณะเกิดเพลิงไหมเ้ ป็นอย่างไร จนน่าจะไหมล้ ามไปถึง
บา้ นเรือนของผูอ้ ่ืนท่ีอยู่ในละแวกใกลเ้ คียงกนั หรือไม่ เป็ นตน้ การกระทาของจาเลยย่อมไม่เป็ น
ความผิด.
ถา้ ในตอนแรกไม่มีลกั ษณะท่ีน่าจะเป็นอนั ตราย จะเป็นความผดิ มาตรา 225 ทาใหเ้ กิด
เพลิงไหมโ้ ดยประมาท (วรี ะวฒั น์ ปวราจารย,์ 2560, เลม่ ที่ 6, หนา้ 61)
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1285/2529 การที่จาเลยจุดไฟเผาฟางขา้ วในนาของตนโดยไม่ปรากฏว่ามี
ลกั ษณะที่น่าจะเป็นอนั ตรายต่อทรัพยส์ ินของบุคคลอื่นอนั เป็ นองค์ประกอบความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 220 อย่างไร เช่น ขณะน้ันกาลงั มีลมพดั แรงหรือโรงเรือนของผูเ้ สียหายอยู่
ใกล้ชิดกับบริเวณที่จุดไฟข้ึน ซ่ึงเป็ นที่คาดเห็นได้ว่าเพลิงจะลามไปไหมน้ าตลอดจนโรงเรือน
ขา้ งเคยี งแน่ แต่จาเลยยงั ขนื จุดไฟจนลุกลามไปไหมท้ รัพยส์ ินของผเู้ สียหาย เมื่อระยะเวลาท่ีจาเลยจุด
ไฟจนถึงเวลาที่บา้ นผูเ้ สียหายถูกเพลงไหมห้ ่างกนั ถึงหลายชวั่ โมงจึงแสดงว่าไม่มีลกั ษณะท่ีน่ากลวั
จะเป็ นอนั ตรายต่อทรัพยส์ ินของบุคคลอ่ืนแต่เป็ นเพราะจาเลยประมาทไม่ควบคุมดูแลให้เพลิงลุก
ไหมอ้ ยู่ภายในขอบเขตท่ีจากดั การกระทาของจาเลยจึงเป็นเรื่ องขาดความระมดั ระวงั จนก่อใหเ้ กิด
199
ความเสียหายแก่ทรัพยส์ ินของผอู้ ่ืนตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 225 หาใช่เป็นกรณีความผิด
ตาม มาตรา 220 ไม่
มาตรา 220 วรรคสอง โทษหนกั หากทาใหเ้ กิดเพลิงไหมต้ ่อทรัพยต์ ามมาตรา 218
การทาให้ เกิดระเบิด
มาตรา 221 ผใู้ ดกระทาใหเ้ กิดระเบิดจนน่าจะเป็นอนั ตรายแก่บุคคลอื่น หรือทรัพยข์ อง
ผอู้ ่ืน ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหน่ึงแสนสี่หมื่นบาท
มาตรา 221 ทาใหเ้ กิดระเบิดจนน่าจะเป็นอนั ตรายแก่บคุ คลอ่ืนหรือทรัพยข์ องผูอ้ ื่น
คาวา่ “ระเบิด” คือ ประทแุ ตกออกไป เช่น คลงั กระสุนระเบิด ระเบิดหิน ไอน้าทาใหห้ มอ้
น้าระเบิด
คาพิพากษาฎีกาท่ี 8584/2547 จาเลยท่ี 1 และท่ี 3 กับพวกใช้ผา้ ปิ ดปากขวดที่บรรจุน้ามนั
และจุดไฟโยนเขา้ ไปในบริเวณสถานีบริการน้ามนั จนเกิดระเบิดและน่าจะเกิดความเสียหาย การ
กระทาของจาเลยที่ 1 และท่ี 3 เป็นการกระทาให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็ นอนั ตรายแก่บุคคลอ่ืนหรือ
ทรัพยข์ องผอู้ ่ืน เป็นความผิดสาเร็จตาม ป.อ. มาตรา 221 แลว้ กฎหมายหาไดบ้ ญั ญตั ิว่าตอ้ งกระทา
โดยใชว้ ตั ถุและตอ้ งเกิดความเสียหายเป็นอนั ตรายแก่บุคคลอ่ืนหรือทรัพยข์ องผอู้ ื่นดว้ ยไม่
บทหนกั กรณีทาให้เกิดระเบิด
มาตรา 222 ทาให้เกิดระเบิดเป็นอนั ตรายแก่ทรัพยต์ ามมาตรา 217 หรือ มาตรา 218
ตอ้ งระวางโทษในมาตราน้นั ๆ
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 605/2521 หอ้ งแถว 2 ช้นั ช้นั ลา่ งเป็นร้านขายของ ช้นั บนเป็นห้องนอน
ถือไดว้ า่ ใชอ้ ยอู่ าศยั ท้งั ช้นั บนช้นั ล่าง จาเลยขวา้ งระเบิดทาใหฝ้ าบา้ น ประตบู า้ น กระจกช่องลมช้นั
ลา่ งเสียหาย เป็นความผดิ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 222,218
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 234/2528 ปกติลกู ระเบิดเป็นอาวุธร้ายแรง เม่ือถอดสลกั ลกู ระเบิดหรือ
สลกั นิรภยั ออกแลว้ ยอ่ มจะตอ้ งระเบิดข้ึนทาอนั ตรายแก่ชีวิตและทรัพยส์ ินไดจ้ าเลยทาใหเ้ กิดระเบิด
โดยเจตนาฆา่ ตวั ตายเป็นเหตุใหท้ รัพยส์ ินของผอู้ ่ืนเสียหายยอ่ มเป็นความผิดตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 222
กรณีทรั พย์มีราคาน้อยหรื อไม่น่าจะเป็ นอันตราย
มาตรา 223 ความผิดดงั กลา่ วในมาตรา 217 มาตรา 218 มาตรา 220 มาตรา 221 หรือมาตรา
222 น้นั ถา้ ทรัพยท์ ี่เป็นอนั ตราย หรือท่ีน่าจะเป็นอนั ตรายเป็นทรัพยท์ ่ีมีราคานอ้ ย และการกระทา
200
น้นั ไม่น่าจะเป็นอนั ตรายแก่บคุ คลอ่ืน ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกิน
หกหมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
มาตรา 223 กรณีทรัพยร์ าคานอ้ ยและไมน่ ่าจะเป็นอนั ตรายแก่บุคคลอ่ืน ใหล้ ดอตั ราโทษให้
นอ้ ยลงแก่การกระทา ถา้ เป็นความผิดมาตรา 217, มาตรา 218, มาตรา 220, มาตรา 221, มาตรา 222
ข้อสังเกต มาตราน้ี ไม่รวมถึง มาตรา 219 เพราะ หากเป็นการตระเตรียมวางเพลิงที่มีราคา
นอ้ ย ไม่น่าจะเป็นอนั ตรายแก่บุคคลอ่ืนได้
“ราคานอ้ ย” และ “ไม่น่าจะเป็นอนั ตรายแก่บุคคลอื่น” ตอ้ งแลว้ แตข่ อ้ เทจ็ จริงเป็นเร่ืองๆ ไป
คาพิพากษาฎีกาท่ี 722/2545 ทรัพยท์ ี่เป็นอนั ตรายจากการวางเพลิงของจาเลยเป็นเพยี งประตู
บา้ นซ่ึงทาดว้ ยไมม้ ะค่าและตน้ ไมป้ ระดบั คิดเป็ นเงินประมาณ 5,000 บาท ถือไดว้ ่าเป็ นทรัพยท์ ี่มี
ราคาน้อย และขณะเกิดเหตุผูเ้ สียหายก็อยู่ในที่เกิดเหตุและสามารถดับไฟไดท้ นั การกระทาของ
จาเลยจึงไม่น่าจะเป็ นอนั ตรายแก่บุคคลอ่ืน กรณีเป็ นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
218(1) ประกอบดว้ ยมาตรา 223
คาพิพากษาฎีกาท่ี 10647/2554 จาเลยจุดไฟเผาร้านของผเู้ สียหายทาใหเ้ กิดเพลิงลุกไหมเ้ ป็น
เหตุให้โต๊ะเกา้ อ้ี อุปกรณ์เคลือบบตั ร ไม้ และกระเบ้ืองของร้านเสียหาย รวมราคาทรัพยท์ ี่ถูกเพลิง
ไหมท้ ้งั สิ้นประมาณ 15,500 บาท ร้านของผูเ้ สียหายดงั กล่าวมีลกั ษณะเป็ นเพลิงไมช้ ้นั เดียว ยกพ้ืน
สูงเป็นหอ้ งโล่ง ปลกู อยรู่ ิมถนนเหนือคูน้าไม่มีผใู้ ดพกั อาศยั รอบๆ ไมม่ ีบา้ นเรือนบคุ คลอื่นอยู่ ดงั น้ี
จึงตอ้ งถือว่า ร้านของผเู้ สียหายและทรัพยส์ ินถูกเพลิงไหมม้ ีราคานอ้ ยท้งั ขณะเกิดเหตุไม่มีบุคคลอยู่
อาศยั ยอ่ มไม่น่าจะเป็นอนั ตรายแก่บุคคลอื่น การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา
223
กรณีมีบุคคลอ่ืนตายหรื อสาหัส
มาตรา 224 ถา้ การกระทาความผิดดงั กลา่ วในมาตรา 217 มาตรา 218 มาตรา 221 หรือ
มาตรา 222 เป็นเหตุใหบ้ คุ คลอื่นถึงแก่ความตาย ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษประหารชีวติ หรือจาคุก
ตลอดชีวิต
ถา้ เป็นเหตุใหบ้ ุคคลอื่นรับอนั ตรายสาหสั ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษประหารชีวิต
จาคกุ ตลอดชีวิต หรือจาคกุ ต้งั แตส่ ิบปี ถึงยสี่ ิบปี
มาตรา 224 วางเพลิงเผาทรัพยโ์ ทษหนกั หากมีบคุ คลอื่นตาย หรืออนั ตรายสาหสั
201
เป็นความผิดที่ตอ้ งการผลคือ ความตาย หรืออนั ตรายสาหสั อนั เนื่องมาจากการวางเพลิงเผา
ทรัพยน์ ้นั เป็นผลธรรมดาที่ยอ่ มจะเกิดข้ึนได้ เช่น วางเพลิงเผาบา้ นท่ีผูอ้ ื่นอาศยั อยแู่ ลว้ มีคนตาย
เช่นน้ี ผิดมาตรา 224 ใชห้ ลกั วญิ ญชู นในการพิจารณา
ประมาททาให้ เกิดเพลิงไหม้
มาตรา 225 ผใู้ ดกระทาใหเ้ กิดเพลิงไหมโ้ ดยประมาท และเป็นเหตุใหท้ รัพยข์ องผอู้ ่ืน
เสียหาย หรือการกระทาโดยประมาทน้นั น่าจะเป็นอนั ตรายแก่ชีวติ ของบุคคลอื่น ตอ้ งระวางโทษ
จาคุกไมเ่ กินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหน่ึงแสนสี่หมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
มาตรา 225 ประมาททาใหเ้ กิดเพลิงไหมเ้ ป็นอนั ตรายแก่ทรัพย์ หรือน่าจะเป็นอนั ตรายแก่
ชีวิต
“ประมาท” ตามมาตรา 54 วรรคสี่ กรณีจุดไฟ แลว้ ไม่ระมดั ระวงั ใหด้ ี ไฟลามไปไหม้
ทรัพยส์ ินของคนอ่ืน หรือน่าจะเป็นอนั ตรายแก่ชีวติ
คาพิพากษาฎีกาที่ 1211/2530 (ประชุมใหญ่) จาเลยที่ 2 และท่ี 3 ร่วมกันลกั น้ามนั ที่ปั๊ม
ผเู้ สียหายโดยใชส้ ายไฟต่อข้วั แบตเตอร่ีกบั เคร่ืองป๊ัมดูดน้ามนั จากถงั ใตด้ ินมาใส่ถงั ในรถยนต์ เมื่อ
ดูดน้ามนั ได้ 4 ถงั แลว้ จาเลยที่ 2 ดึงสายไฟจากข้วั แบตเตอร่ีใหป้ ๊ัมต๊ิกหยดุ ทางานเพื่อจะเปลี่ยนสาย
ยางไปใส่ถงั ที่ 5 ทาใหเ้ กิดประกายไฟเป็นเหตุให้เพลิงไหมด้ งั น้ีพฤติการณ์ท่ีจาเลยท้งั สองร่วมกนั มา
ลกั ทรัพยโ์ ดยวธิ ีการเช่นน้ีทาให้เกิดไอระเหยของน้ามนั กระจายอยใู่ นบริเวณน้นั ง่ายต่อการเกิดเพลิง
ไหม้ ถือไดว้ ่าเป็ นการกระทาโดยประมาท เพราะแบตเตอรี่เป็ นเครื่องกาเนิดไฟฟ้าและน้ามนั เป็ น
วตั ถุท่ีติดไฟไดง้ ่าย เมื่อเกิดเพลิงไหมข้ ้ึนเน่ืองจากวิธีการในการลกั ทรัพยข์ องจาเลยท้งั สองซ่ึงกระทา
ด้วยความประมาท ตอ้ งถือว่าเป็ นผลอนั เกิดจากการกระทาของจาเลยทุกคนที่ร่วมกันลักทรัพย์
ดงั น้นั แมจ้ าเลยที่ 3 จะมิไดเ้ ป็นผูถ้ อดสายไฟจากข้วั แบตเตอร่ีก็ตอ้ งฟังว่าจาเลยที่ 3 ร่วมกระทาดว้ ย
จาเลยที่ 3 จึงตอ้ งมีความผิดฐานทาใหเ้ กิดเพลิงไหมโ้ ดยประมาท
ทาต่อส่ิงท่ีป้องกนั อันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์
มาตรา 226 ผใู้ ดกระทาดว้ ยประการใด ๆ แก่โรงเรือน อู่เรือ ที่จอดรถ หรือเรือสาธารณะ
ทุน่ ทอดจอดเรือ ส่ิงปลูกสร้าง เคร่ืองจกั ร เครื่องกล สายไฟฟ้าหรือส่ิงที่ทาไวเ้ พื่อป้องกนั อนั ตรายแก่
บคุ คลหรือทรัพย์ จนน่าจะเป็นเหตุใหเ้ กิดอนั ตรายแก่บุคคลอ่ืน ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกินหา้ ปี
หรือปรับไมเ่ กินหน่ึงแสนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
มาตรา 226 กระทาการใดๆ ต่อส่ิงที่ทาไวเ้ พ่อื ป้องกนั อนั ตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ จนน่าจะ
เป็นเหตใุ หเ้ กิดอนั ตรายแก่บุคคลอ่ืน
202
เช่น ยา้ ยร้ัวท่ีใชป้ ้องกนั มิใหค้ นเขา้ ไปใกลเ้ คร่ืองผลิตไฟฟ้าแรงสูง, ร้ือแผงท่ีป้องกนั
ส่ิงก่อสร้างมิใหเ้ ศษวสั ดุตกลงมาอาคารริมทางเทา้ (วีระวฒั น์ ปวราจารย,์ 2560, เลม่ ที่ 8, หนา้ 121)
การก่ออันตรายเกย่ี วกับส่ิงปลกู สร้างและการก่อให้เกิดอุทกภยั
มาตรา 227 ผู้มวี ิชาชีพออกแบบควบคมุ ก่อสร้างอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง
มาตรา 227 ผใู้ ดเป็นผมู้ ีวชิ าชีพในการออกแบบ ควบคุม หรือทาการก่อสร้าง ซ่อมแซม
หรือร้ือถอน อาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใด ๆ ไมป่ ฏิบตั ิตามหลกั เกณฑ์ หรือวิธีการอนั พึงกระทาการ
น้นั ๆ โดยประการที่น่าจะเป็นเหตุใหเ้ กิดอนั ตรายแก่บุคคลอื่น ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกินหา้ ปี
หรือปรับไม่เกินหน่ึงแสนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
คาวา่ วิชาชีพหมายถึงอาชีพท่ีตอ้ งอาศยั วิชาความรู้ความชานาญ หรือผทู้ ี่มีความรู้ซ่ึงอาจ
ไดจ้ ากการเล่าเรียนโดยตรง หรือจากการทางานอนั เป็นการฝึกฝนในการประกอบอาชีพเป็นปกติ
ธุระก็ได้ เช่น วิศวกร สถาปนิก ผคู้ วบคมุ การก่อสร้าง โฟร์แมน เป็นตน้ (วรี ะวฒั น์ ปวราจารย,์
2560, เลม่ ท่ี 8, หนา้ 122)
มาตรา 227 กาหนดผมู้ ีวชิ าชีพในการออกแบบควบคมุ ทาการก่อสร้างซ่อมแซมร้ือถอนอาคารหรือ
ส่ิงปลกู สร้างเทา่ น้นั แมไ้ ม่ไดจ้ บการศึกษาดา้ นการก่อสร้างแตม่ ีความรู้ดา้ นก่อสร้างประกอบอาชีพ
เป็นปกติธุระ กผ็ ดิ มาตรา 223
คาวา่ โดยประการที่น่าจะเป็นเหตุใหเ้ กิดอนั ตรายแก่บคุ คลอ่ืนเป็นพฤติการณ์
ประกอบการกระทาท่ีใช่ผลของการกระทา
คำพพิ ำกษำฎีกำท่ี 3793/2543 จำเลยเป็นวศิ วกรยอ่ มรู้วำ่ ตึกรับน้ำหนกั ไดเ้ พยี ง 4 ช้นั จำเลย
ต่อเติมอำคำรใหส้ ูงข้นึ เป็นกำรไมป่ ฏิบตั ิวิธีกำรอนั พงึ กระทำในกำรออกแบบแมจ้ ำเลยจะไม่ไดเ้ ป็น
ผอู้ อกแบบเม่ือพบอำคำรผิดแบบแปลนจำเป็นตอ้ งทำใหถ้ ูกแต่จำเลยไมท่ ำ เม่ืออำคำรพงั ทลำยลงมำ
ทำใหผ้ อู้ ื่นตำยเพรำะรับน้ำหนกั ไม่ถกู ตอ้ งตำมวิชำวศิ วกรรมศำสตร์อนั เป็นผลที่เกิดจำกกำรกระทำ
ของจำเลยจำเลยจึงผิดมำตรำ 227 และมำตรำ 238 เพรำะเป็นเหตใุ หค้ นตำย
203
ความผดิ ตามมาตรา 227 คือ ผมู้ ีวชิ าชีพ จึงเป็นความผดิ เฉพาะตวั ดงั น้นั ผูร้ ่วมกระทา
ความผดิ ไม่อาจเป็นตวั การร่วมไดห้ รือเป็นผใู้ ชใ้ นการกระทาความผิด คงเป็นเพยี งผสู้ นบั สนุน
เท่าน้นั ตามมาตรา 86
มาตรา 227 เมื่อตอ้ งรับโทษหนกั ข้นึ ตามมาตรา 238 โดยตอ้ งมีผลธรรมดาท่ีเกิดข้ึนได้
ตามมาตรา 63 ดว้ ย
มาตรา 228 ทาด้วยประการใดใดเพื่อให้เกดิ อทุ กภยั หรือเพื่อให้เกดิ ขดั ข้องกบั การใช้น้าซึ่ง
เป็ นสาธารณปู โภค
มาตรา 228 ผใู้ ดกระทาดว้ ยประการใด ๆ เพอ่ื ใหเ้ กิดอทุ กภยั หรือเพือ่ ใหเ้ กิดขดั ขอ้ งแก่การใชน้ ้าซ่ึง
เป็นสาธารณูปโภค ถา้ การกระทาน้นั น่าจะเป็นอนั ตรายแก่บุคคลอ่ืนหรือทรัพยข์ องผอู้ ื่น ตอ้ งระวาง
โทษจาคุกไมเ่ กินหา้ ปี หรือปรับไม่เกินหน่ึงแสนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
ถา้ การกระทาผิดดงั กล่าวในวรรคแรกเป็นเหตุใหเ้ กิดอนั ตรายแก่บคุ คลอ่ืนหรือทรัพยข์ อง
ผอู้ ื่น ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับต้งั แต่หน่ึงหม่ืนบาทถึงหน่ึงแสน
ส่ีหมื่นบาท
ตอ้ งมีเจตนาใหเ้ กิดอุทกภยั ข้นึ โดยตรงจะยกเอาเรื่องเลง็ เห็นผลมาใชไ้ มไ่ ด้
คาวา่ น่าจะเป็นอนั ตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพยข์ องผอู้ ื่นเป็นพฤติการณ์ประกอบการทา
มิใช่ผลของการกระทา
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1240/2504 (ประชุมใหญ่) ความผิดเกี่ยวกบั การก่อใหเ้ กิดอนั ตรายแก่
ประชาชนตามมาตรา 228 จาเลยตอ้ งมีเจตนาใหเ้ กิดอทุ กภยั โดยตรงจะยกเอาการเลง็ เห็นผลของ
การกระทาตามมาตรา 59 วรรคสองมาใชไ้ มไ่ ด้
คาพิพากษาฎีกาท่ี 15843/2553 ตาม ป.อ. มาตรา 228 จาเลยจะตอ้ งมีเจตนาให้เกิดอุทกภยั
โดยตรง จะยกเอาการเล็งเห็นผลของการกระทาตามมาตรา 59 วรรคสอง มาใช้ไม่ได้ท่ีนาของ
ผเู้ สียหายท้งั สองอย่สู ูงกว่าที่นาของจาเลยและมีทางออกสู่คลองส่งน้าสาธารณะได้ ที่นาของจาเลย
ซ่ึงเป็ นท่ีลุ่มรองรับน้าตามธรรมชาติท่ีไหลมาจากท่ีสูงระบายลงสู่คลองส่งน้าสาธารณะ การท่ี
เจา้ ของท่ีนาของผเู้ สียหายที่ 1 ขดุ ร่องน้าผา่ นที่นาของตนไปยงั ท่ีนาของจาเลยทาใหน้ ้าระบายเขา้ สู่ท่ี
นาของจาเลยโดยตรงและไม่ใช่น้าที่ระบายลงมาสู่ที่ต่าโดยธรรมชาติ ที่นาของจาเลยจึงมีน้าท่วมขงั
ตลอดปี เพราะไม่สามารถระบายน้าออกไปสู่คลองส่งน้าสาธารณะได้ จาเลยถมดินลงไปในท่ีนาของ
ตนเองปิ ดก้นั ทางระบายน้าเพ่ือไม่ให้น้าที่ระบายมาจากร่องระบายน้าดงั กล่าวท่วมท่ีนาของจาเลย
ผเู้ สียหายท้งั สองไม่ทาการระบายน้าออกคลองส่งน้าสาธารณะซ่ึงงา่ ยและสะดวกกวา่ ท่ีจะใหน้ ้าในท่ี
204
นาของตนระบายออกโดยทางร่องน้าที่ขุดข้นึ การกระทาของจาเลยไม่มีเจตนาทาใหเ้ กิดอทุ กภยั แก่ท่ี
นาของผเู้ สียหายท้งั สองตามมาตรา 228 จึงไม่เป็นความผดิ
มาตรา 228 วรรคสอง เป็นผลท่ีผกู้ ระทาตอ้ งรับโทษหนกั ข้ึน หากเกิดอนั ตรายแก่บคุ คล
หรือทรัพยข์ องผอู้ ่ืน
มาตรา 229 กระทาด้วยประการใดๆ ให้ทางสาธารณะ ทานบ เข่ือน หรือทางขนึ้ ลงของ
อากาศยาน น่าจะเกดิ อนั ตรายแก่การจราจร
มาตรา 229 ผใู้ ดกระทาดว้ ยประการใด ๆ ใหท้ างสาธารณะ ประตูน้า ทานบ เขอ่ื น อนั เป็น
ส่วนของทางสาธารณะ หรือที่ข้นึ ลงของอากาศยาน อยใู่ นลกั ษณะอนั น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอนั ตราย
แก่การจราจร ตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินหา้ ปี หรือปรับไม่เกินหน่ึงแสนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
ตามมาตรา 229 ตอ้ งเป็นทางสาธารณะ เพราะถา้ ไมไ่ ดเ้ ป็นทางสาธารณะไมผ่ ิด
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 678/2556 จาเลยนาไมไ้ ผห่ ลายลามาปักลงบนพ้นื ถนนและสร้างคานไม้
ไผเ่ ป็นแนวขวางพาดปิ ดก้นั ถนน อนั เป็นทางสาธารณะให้อยใู่ นลกั ษณะอนั น่าจะเป็นเหตุใหเ้ กิด
อนั ตรายแก่การจราจร และไม่ไดร้ ับอนุญาตอนั ชอบดว้ ยกฎหมาย การกระทาของจาเลยจึงเป็น
ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 229 และมาตรา 386
มาตรา 230 เอาส่ิงใด ๆ กดี ขวางทางรถไฟหรือทางรถรางจนน่าจะเป็ นเหตุให้เกดิ อนั ตราย
แก่การเดนิ รถไฟ
มาตรา 230 ผใู้ ดเอาสิ่งใด ๆ กีดขวางทางรถไฟหรือทางรถราง ทาใหร้ างรถไฟหรือรางรถรางหลุด
หลวมหรือเคลื่อนจากที่ หรือกระทาแก่เคร่ืองสัญญาณจนน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอนั ตรายแก่การเดิน
รถไฟหรือรถราง ตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แตห่ กเดือนถึงเจด็ ปี และปรับต้งั แต่หน่ึงหมื่นบาทถึงหน่ึง
แสนส่ีหมื่นบาท
น่าจะเป็นเหตใุ ห้เกิดอนั ตรายแก่การเดินรถไฟ ใชห้ ลกั วิญญชู นพจิ ารณา โดยไมค่ านึงถึง
ความรู้ความเขา้ ใจของผกู้ ระทา (วีระวฒั น์ ปวราจารย,์ 2560, เลม่ ที่ 8, หนา้ 129)
205
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1192/2463 จาเลยลกั เหลก็ ที่เช่ือมติดกบั รางรถไฟไป 2 คร้ังตา่ งเวลา
ในเวลากลางคนื การกระทาของจาเลยเป็นอนั ตรายแก่การเดินรถไฟจาเลยผดิ ลกั ทรัพย์ 2 กระทง
แตล่ ะกระทงเป็นกรรมเดียวกบั การทาใหร้ างรถไฟหลุดจนน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอนั ตรายจากการเดิน
รถไฟหรือรถราง
มาตรา 231 กระทาด้วยประการใดๆ ให้ประภาคาร ท่นุ สัญญาณ หรือสิ่งอ่ืนใดซึ่งจัดไว้เป็ นสัญญาณ
เพ่ือความปลอดภยั ในการจราจรทางบก การเดินเรือหรือการเดนิ อากาศ
มาตรา 231 ผใู้ ดกระทาดว้ ยประการใด ๆ ใหป้ ระภาคาร ทุ่น สญั ญาณ หรือส่ิงอ่ืนใด ซ่ึงจดั ไวเ้ ป็น
สญั ญาณเพื่อความปลอดภยั ในการจราจรทางบก การเดินเรือหรือการเดินอากาศ อยใู่ นลกั ษณะอนั
น่าจะเป็นเหตใุ หเ้ กิดอนั ตรายแก่การจราจรทางบก การเดินเรือหรือการเดินอากาศ ตอ้ งระวางโทษ
จาคุกต้งั แต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับต้งั แต่หน่ึงหมื่นบาทถึงหน่ึงแสนส่ีหม่ืนบาท
มาตรา 231 บญั ญตั ิเพื่อใหเ้ กิดความปลอดภยั ในการจราจรท้งั ทางบก ทางเรือหรือทาง
อากาศ สาหรับประภาคาร คือ กระโจมไฟเพื่อสะดวกในการเดินเรือ ทุ่นคือสิ่งลอยน้าในการ
เดินเรือ เช่น ทุ่นสาหรับจอดเรือ ทุน่ นาร่อง ส่วนสญั ญาณ คอื เครื่องที่แสดงไวใ้ หเ้ ห็นหรือใหไ้ ดย้ นิ
เช่น ป้ายจราจรต่างๆ
มาตรา 232 กระทาด้วยประการใดๆ ต่อยานพาหนะ
มาตรา 232 ผใู้ ดกระทาดว้ ยประการใด ๆ ใหย้ านพาหนะดงั ตอ่ ไปน้ี อยใู่ นลกั ษณะอนั น่าจะ
เป็นเหตุใหเ้ กิดอนั ตรายแก่บุคคล
(1) เรือเดินทะเล อากาศยาน รถไฟหรือรถราง
(2) รถยนตท์ ี่ใชส้ าหรับการขนส่งสาธารณะ หรือ
(3) เรือกลไฟ หรือเรือยนตอ์ นั มีระวางต้งั แตห่ า้ ตนั ข้ึนไป ที่ใชส้ าหรับการขนส่งสาธารณะ
ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ต้งั แต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับต้งั แต่หน่ึงหม่ืนบาทถึงหน่ึงแสนสี่
หมื่นบาท
เรือเดินทะเล อากาศยาน รถไฟ รถราง รถยนตท์ ่ีใชส้ าหรับการขนส่งสาธารณะ เรือยนตท์ ี่
ใชส้ าหรับการขนส่งสาธารณะ
อนั น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอนั ตรายแก่บคุ คล
206
การก่ออันตรายแก่การจราจรและการขนส่ง
มาตรา 233 ใช้ยานพาหนะรับจ้างขนส่งคนโดยสารน่าจะเป็ นอนั ตรายแก่บุคคลในยานพาหนะน้ัน
มาตรา 233 ผใู้ ดใชย้ านพาหนะรับจา้ งขนส่งคนโดยสาร เม่ือยานพาหนะน้นั มีลกั ษณะ
หรือมีการบรรทุกจนน่าจะเป็นอนั ตรายแก่บุคคลในยานพาหนะน้นั ตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กิน
หน่ึงปี หรือปรับไมเ่ กินสองหม่ืนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
คาวา่ “รับจา้ ง” หมายถึงการรับส่งคนโดยสารเพื่อบาเหนจ็ ค่าจา้ งแตไ่ มจ่ าเป็นตอ้ งทาเป็น
การคา้ ตามปกติ
ถา้ ไมม่ ีบาเหน็จคา่ จา้ งก็ขาดองคป์ ระกอบความผดิ เท่ากบั ไม่เป็นความผดิ เลยแมว้ า่
ยานพาหนะน้นั จะมีลกั ษณะหรือมีการบรรทกุ จนน่าจะเป็นอนั ตรายแก่บุคคลในยานพาหนะน้นั
ก็ตาม
คาวา่ “ยานพาหนะ” น้นั มีลกั ษณะหรือมีการบรรทกุ จนน่าจะเป็นอนั ตรายแก่บคุ คลใน
ยานพาหนะน้นั เป็นพฤติการณ์ประกอบการกระทากบั ความรู้สึกของคนทวั่ ๆ ไปเช่นสภาพเก่ามาก
พ้นื ผทุ ะลุ พวงมาลยั หลวม หา้ มลอ้ ชารุด ยางสึกจนไมม่ ีดอกยาง แล่นรับจา้ งขนส่งคนโดยสาร
ลกั ษณะของยานพาหนะน่าจะเป็นอนั ตรายแก่บคุ คลที่อยใู่ นยานพาหนะหรือใชย้ านพาหนะท่ีมี
สภาพดีรับจา้ งขนส่งคนโดยสารแต่มีการบรรทกุ คนและสิ่งของจานวนมากจนสูงกวา่ ตวั รถมาก
ผโู้ ดยสารหอ้ ยโหนและข้ึนไปนง่ั อยบู่ นหลงั คาถือวา่ มีการบรรทกุ จนน่าจะเกิดอนั ตรายแก่บคุ คล
ในยานพาหนะน้นั
คาพิพากษาฎีกาที่ 1281-1282/2538 จาเลยท่ี 2 ถึง 4 ตกลงเป็นหุน้ ส่วนซ้ือเรือเอ้ียมจุน้
มาดดั แปลงเพื่อใชใ้ นกิจการท่องเท่ียวโดยจาเลยท่ี 2 ไปติดตอ่ ขอซ้ือเรือจาเลยที่ 3 จดทะเบียนและ
ขออนุญาตใชเ้ รือ จาเลยท่ี 4 ออกแบบตอ่ เติมเรือ และจา้ งจาเลยที่ 1 ขบั เรือซ่ึงน่าจะเป็นอนั ตรายแก่
บคุ คลในเรือ จาเลยท้งั 4 เป็นตวั การตอ้ งรับผิดร่วมกนั ตามมาตรา 233 ประกอบมาตรา 83 เพราะมี
ลกั ษณะแบง่ หนา้ ท่ีกนั ทา
การก่ออันตรายแก่สิ่งที่ใช้ในการสาธารณูปโภคและการส่ือสาร
มาตรา 234 ผใู้ ดกระทาดว้ ยประการใด ๆ แก่ส่ิงท่ีใชใ้ นการผลิต ในการส่งพลงั งานไฟฟ้า
หรือในการส่งน้า จนเป็นเหตุใหป้ ระชาชนขาดความสะดวก หรือน่าจะเป็นเหตุใหเ้ กิดอนั ตรายแก่
ประชาชน ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกินหา้ ปี หรือปรับไมเ่ กินหน่ึงแสนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
มาตรา 234 กระทาตอ่ ส่ิงที่ใชผ้ ลิต ส่งพลงั งานไฟฟ้าหรือการส่งน้า จนเป็นเหตุให้
ประชาชนขาดความสะดวก หรือน่าจะเป็นเหตใุ หเ้ กิดอนั ตรายแก่ประชาชน
207
สิ่งที่ใชใ้ นการผลิตพลงั งานไฟฟ้า ผลิตน้า ส่ิงที่ใชก้ ารส่งพลงั งานไฟฟ้า หรือส่ิงท่ีใชใ้ น
การส่งน้า
จนเป็นเหตใุ หป้ ระชาชนขาดความสะดวก ตอ้ งมีผลปรากฎวา่ ประชาชนขาดความสะดวก
หรือ น่าจะเป็นเหตใุ หเ้ กิดอนั ตรายแก่ประชาชน
มาตรา 235 กระทาต่อการส่ือสารสาธารณะทางไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์หรือทางวิทยุ
ขัดข้อง เช่น ตัดสายโทรศัพท์สาธารณะ
มาตรา 235 ผใู้ ดกระทาการดว้ ยประการใด ๆ ใหก้ ารสื่อสารสาธารณะทางไปรษณีย์ ทาง
โทรเลข ทางโทรศพั ท์ หรือทางวทิ ยขุ ดั ขอ้ ง ตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหก
หมื่นบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
เป็นความผดิ ที่ตอ้ งการผล คอื การสื่อสารสาธารณะขดั ขอ้ ง หรือใชก้ ารไมไ่ ด้
การปลอมปนอาหาร ยา หรือเคร่ืองอปุ โภค
มาตรา 236 ปลอมปนอาหารยาเครื่องอุปโภค
มาตรา 236 ผใู้ ดปลอมปนอาหาร ยาหรือเครื่องอุปโภคบริโภคอ่ืนใด เพ่ือบุคคลอื่นเสพย์
หรือใช้ และการปลอมปนน้นั น่าจะเป็นเหตุใหเ้ กิดอนั ตรายแก่สุขภาพ หรือจาหน่าย หรือเสนอขาย
ส่ิงเช่นวา่ น้นั เพ่ือบคุ คลเสพยห์ รือใช้ ตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินสามปี หรือปรับไมเ่ กินหกหม่ืน
บาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
คาวา่ “ปลอมปน” ทาใหไ้ ม่บริสุทธ์ิโดยเอาของอื่นผสมลงไป จะเป็นสิ่งใดๆ กไ็ ด้ ไม่
จาเป็นตอ้ งเป็นสารพษิ หรือส่ิงท่ีเป็นอนั ตรายแก่สุขภาพ
การปลอมปนน้นั ตอ้ งทาเพ่ือใหบ้ ุคคลอื่นเสพหรือใช้
การปลอมปนเพ่ือกินเองไม่เป็ นความผิดตามมาตราน้ ี
การปลอมปนเพื่อตนเองและผอู้ ่ืนเสพดว้ ยกนั เป็นการปลอมเพื่อใหบ้ คุ คลอ่ืน
เสพอยใู่ นตวั
208
คาพิพากษาฎีกาท่ี 64/2465 ช. และ ท. เอายาเบื่อมาใส่แกงกินกนั ท.กินแกงแลว้ ตาย
ศาลวา่ ช. ผิดมาตราน้ีและเมื่อความตายเป็นผลมาจากการปลอมปน ช.ตอ้ งรับโทษหนกั ข้ึนตาม
มาตรา 238 ดว้ ยแต่ ช.ไมม่ ีความผิดฐานฆา่ ท. เพราะ ท. กินแกน้นั เอง
คาวา่ น่าจะเป็นเหตใุ หเ้ กิดอนั ตรายแก่สุขภาพเป็นพฤติการณ์ประกอบการกระทา มิใช่ผล
ของการกระทาอนั ตรายแก่สุขภาพเช่นมึนเมา,วิงเวียนศีรษะอาเจียนทาใหห้ มดสติไป
ผกู้ ระทาตอ้ งมีเจตนาปลอมปนอาหารยาเครื่องอุปโภคบริโภคและตอ้ งมีเจตนาท่ีจะให้
บุคคลอื่นเสพหรือใช้
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 4925/2538 ปลอมแชมพูโดยใชน้ ้าหัวเช้ือเคมีผสมกบั วตั ถุทางเคมีจน
เป็นแชมพูเพ่ือนาออกจาหน่ายแก่บุคคลอื่นเมื่อนาไปใชแ้ ลว้ จะเป็นอนั ตรายแก่สุขภาพของผบู้ ริโภค
เป็นความผดิ มาตรา 236
คาพิพากษาฎีกาที่ 2143/2536 จาเลยเอายาเบ่ือหนูใส่ในโอ่งของผเู้ สียหายโดยมีเจตนาฆ่า
แตผ่ เู้ สียหายทราบเสียก่อนจึงไมด่ ื่มน้าดงั กลา่ ว การกระทาของจาเลยเป็นการปลอมปนเคร่ือง
อุปโภคน่าจะเป็นเหตุใหเ้ กิดอนั ตรายแก่สุขภาพจาเลยจึงผิดมาตรา 236 และมาตรา 288 ประกอบ
มาตรา 80 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงโทษมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 เป็นบทหนกั
ตามมาตรา 90
ถา้ ผกู้ ระทามีเจตนาท่ีจะใหเ้ กิดอนั ตรายแก่สุขภาพของผอู้ ่ืนหรือมีเจตนาฆ่านอกจากจะผดิ
มาตรา 236 แลว้ ผกู้ ระทายอ่ มผิดฐานทาร้ายร่างกายผอู้ ่ืนหรือฐานฆ่าผอู้ ื่นตามมาตรา 295, มาตรา
297, มาตรา 288, มาตรา 289 ดว้ ย
มาตรา 237 เอาสิ่งมพี ษิ เจือลงในอาหารสาหรับประชาชนบริโภค
มาตรา 237 ผใู้ ดเอาของที่มีพิษหรือสิ่งอ่ืนที่น่าจะเป็นอนั ตรายแก่สุขภาพเจือลงในอาหาร
หรือในน้าซ่ึงอยใู่ นบอ่ สระหรือท่ีขงั น้าใด ๆ และอาหารหรือน้าน้นั ไดม้ ีอยหู่ รือจดั ไวเ้ พื่อประชาชน
บริโภค ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ต้งั แตห่ กเดือนถึงสิบปี และปรับต้งั แต่หน่ึงหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
มาตราน้ี สิ่งท่ีเจอปน จากดั เฉพาะอาหารและน้าเท่าน้นั ที่ต้งั ไวใ้ หป้ ระชาชนดื่ม
ซ่ึงผกู้ ระทาตอ้ งมีเจตนากระทาโดยรู้ถึงความมีพิษของสารที่เจือลงไป (ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ, 2556,
หนา้ 108)
ในกรณีท่ีผกู้ ระทามีเจตนาฆา่ ความตายยอ่ มเป็นผลมาจากการฆ่าไม่ใช่เป็นผลมาจากการ
ปลอมปนอาหารผกู้ ระทาจะมีความผดิ มาตรา 288, มาตรา 289 แตไ่ มผ่ ิดมาตรา 238
209
คาพิพากษาฎีกาที่ 884/2471 จาเลยเอายาพิษไปใส่ตุ่มในบา้ นของ ป. แสดงวา่ จาเลยมี
เจตนาฆา่ บตุ รกบั ภรรยาของ ป.ไดใ้ ชน้ ้าในตมุ่ น้นั มีอาการเจบ็ ป่ วยและตายปรากฏวา่ เป็นยาพษิ
ร้ายแรงถา้ กินมามากอาจตายไดจ้ าเลยกร็ ู้วา่ เป็นยาพิษร้ายแรงจาเลยจึงผิดฐานฆา่ ผอู้ ื่นโดยเจตนา
ไมใ่ ช่ฐานปลอมปนอาหารทาใหค้ นตายตามมาตรา 238 ศาลวา่ จาเลยมีความผดิ ฐานฆ่าผอู้ ื่น
เพราะจาเลยมีเจตนาจะฆา่ มาต้งั แต่ตน้ จาเลยจึงผิดมาตรา 288
มาตรา 238 ถ้ากระทาตามมาตรา 226 ถงึ มาตรา 237 เป็ นเหตุให้ผ้อู ื่นถึงแก่ความตายหรืออนั ตราย
สาหสั
มาตรา 238 ถา้ การกระทาความผดิ ตามมาตรา 226 ถึงมาตรา 237 เป็นเหตใุ หบ้ ุคคลอ่ืนถึง
แก่ความตาย ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคุกตลอดชีวิต หรือจาคกุ ต้งั แต่หา้ ปี ถึงยส่ี ิบปี และปรับต้งั แต่
หน่ึงแสนบาทถึงส่ีแสนบาท
ถา้ เป็นเหตุใหบ้ คุ คลอื่นรับอนั ตรายสาหสั ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แตห่ น่ึงปี ถึง
สิบปี และปรับต้งั แตส่ องหม่ืนบาทถึงสองแสนบาท
เป็นบทท่ีทาใหต้ อ้ งรับโทษหนกั ข้ึนผลที่เกิดข้ึนตอ้ งเป็นผลที่ตามธรรมดาย่อมจะเกิดข้ึน
ไดต้ ามมาตรา 63
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 153/2506 จาเลยขบั รถโดยสารคนและของในรถจนน่ากลวั วา่ จะเป็น
อนั ตรายแก่คนในรถน้นั เป็นความผดิ ตามมาตรา 233 แต่จาเลยกข็ บั รถไปไดป้ ลอดภยั ถึง 30
กิโลเมตร ปรากฎวา่ จาเลยขบั รถเร็วรถควา่ ทาใหม้ ีคนตายไมใ่ ช่เพราะมีการบรรทกุ จนน่าจะเป็น
อนั ตรายแก่คนในรถน้นั ยงั ไม่ผดิ มาตรา 238 จาเลยจะผดิ มาตรา 238 ตอ่ เม่ือการกระทาความผดิ
ตามมาตรา 233 เป็นเหตใุ หค้ นโดยสารตายหรือสาหสั เท่าน้นั
เหตุท่ีรถควา่ เป็นเพราะจาเลยขบั รถเร็วเกินอตั ราท่ีกฎหมายกาหนดมากเป็นการกระทาโดย
ประมาทเป็นเหตใุ หค้ นตายและสาหสั จาเลยผดิ มาตรา 291 และมาตรา 300 ตอ้ งลงโทษบทหนกั คอื
มาตรา 291
มาตรา 239 ตามมาตรา 226 ถึงมาตรา 237 เป็นเหตใุ หผ้ ูอ้ ่ืนถึงแก่ความตายหรืออนั ตรายสาหสั ถา้
กระทาโดยประมาท
210
มาตรา 239 ถา้ การกระทาดงั กล่าวในมาตรา 226 ถึงมาตรา 237 เป็นการกระทาโดยประมาท และ
ใกลจ้ ะเป็นอนั ตรายแก่ชีวิตของบคุ คลอ่ืน ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกินหน่ึงปี หรือปรับไม่
เกินสองหม่ืนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
211
แบบฝึ กหัดท้ายบทท่ี 3 (คาถามพร้อมธงคาตอบ ขอ้ สอบความรู้ช้นั เนติบณั ฑิต ภาคหน่ึง ต้งั แตป่ ี
การศึกษา 2520-2544(ม.ป.ป.)
คาถาม นางอ๊ิดกบั นางอ๋อยแต่งกายนุ่งสบง รัดประคด ห่มจีวรสีเหลืองโกนศีรษะ และคิ้ว
เช่นเดียวกบั พระภิกษุ อมุ้ บาตรออกรับบิณฑบาตจากประชาชนทว่ั ไปร่วมกบั พระภิกษอุ ่ืน ๆ และ
ยงั พกั อาศยั ร่วมกบั พระภิกษุในสานกั สงฆซ์ ่ึงจดั เป็นสานกั วปิ ัสสนา บางคร้ังกอ็ อกเดินธุดงคเ์ พอ่ื ให้
บคุ คลทวั่ ไปเช่ือวา่ ตนเป็นพระภิกษุที่แทจ้ ริง มีประชาชนบางหมู่เล่ือมใสศรัทธา ดงั น้ี นางอ๊ิดกบั นาง
อ๋อยมีความผิดฐานใดหรือไม่ (ขอ้ สอบเนติบณั ฑิตสมยั ที่ 37)
ตอบ นางอิ๊ดกบั นางอ๋อยเป้นสตรีเพศยอ่ มไม่อาจอปุ สมบทเป็นพระภิกษุได้ การท่ีนาง
อิ๊ด นางอ๋อยแต่งกายแสดงวา่ เป็นพระภิกษุเป็นการมิชอบ และไดก้ ระทาโดยเจตนาเพื่อใหบ้ ุคคลอื่น
เช่ือวา่ ตนเป็นพระภิกษุที่แทจ้ ริง เป็นความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208
คาถาม นายชิต นายชุบกบั พวกรวม 8 คน นดั หมายกนั ไปชุมนุมประทว้ งเพื่อทาลาย
โรงแรมแห่งหน่ึง โดยนายชุบขบั รถอีกคนั หน่ึงตามหลงั รถนายชิดกบั พวกไป ระหวา่ งทางนายชุบ
แวะไปที่สถานีบริการน้ามนั ของนายชอบขอน้ามนั เช้ือเพลิงเพ่ือเอาไปเผาโรงแรมดงั กล่าวน้นั
นายชอบทราบความประสงคแ์ ลว้ จึงเอาน้ามนั เบนซินใส่ถงั ใหน้ ายชุบไป 5 ลิตร ขณะท่ีนายชิดกบั
พวกกาลงั ประทว้ งก่อนความวนุ่ วายกนั อยนู่ ้นั นายชุบไดย้ กถงั น้ามนั ลงจากรถ มีเจา้ หนา้ ที่ตารวจ
เขา้ ไปหา้ มปรามระงบั เหตุ นายชิด นายชุบ กบั พวกเห็นท่าไมด่ ีจึงขบั รถหลบหนีไป ใหว้ นิ ิจฉยั วา่
นายชิด นายชุบและนายชอบกบั พวก มีความผิดฐานใดหรือไม่ (ขอ้ สอบเนติบณั ฑิตสมยั ท่ี 39)
ตอบ นายชิต นายชุบกบั พวกรวม 8 คน มีความผดิ ฐานเป็นซ่องโจรตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 210 การท่ีนายชุบไปขอน้ามนั เช้ือเพลิงจากนายชอบเพื่อเอาไปเผาโรงแรม และเอาถงั
น้ามนั ลงจากรถแลว้ แต่ยงั ไม่ทนั ไดเ้ ผาโดยตารวจไประงบั เหตุเสียก่อน นายชุบจึงมีความผิดฐาน
ตระเตรียมการเพ่อื การกระทาการวางเพลิงตามมาตรา 219 ประกอบดว้ ยมาตรา 218
นายชอบทราบความประสงคข์ องนายชุบว่าจะเอาน้ามนั เช้ือเพลิงไปเผาโรงแรม ไดใ้ ห้
น้ามนั เบนซินไป 5 ลิตร นายชอบมีความผดิ ฐานเป็นผสู้ นบั สนุนตามมาตรา 219, 218 ประกอบดว้ ย
มาตรา 86
ส่วนนายชิดกบั พวกไมป่ รากฎวา่ ไดร้ ู้เห็นในการท่ีนายชุบเอาน้ามนั เช้ือเพลิงจะไปเผา
โรงแรม นายชิดกบั พวกจึงไม่ตอ้ งรับผิดในฐานความผิดน้ีดว้ ย
212
คาถาม นายแดงกบั นางดาร่วมกนั ออกเงินปลูกบา้ นเพือ่ ใชอ้ ยอู่ าศยั ท่ีกลางทงุ่ นา ห่างไกล
จากบา้ นเรือนท่ีอยอู่ าศยั และทรัพยส์ ินของผอู้ ่ืน ต่อมานายแดงโกรธนางดา จึงวางเพลิงเผาบา้ นหลงั
ดงั กลา่ ว เป็นเหตใุ หบ้ า้ นหลงั น้นั ถูกเพลิงไหมห้ มดไดร้ ับความเสียหายเป็นเงิน 300,000 บาท ดงั น้ี
การกระทาของนายแดงเป็นความผดิ ฐานใด หรือไม่ (ขอ้ สอบเนติบณั ฑิตสมยั ที่ 48)
ตอบ นายแดงไมม่ ีความผิดฐานวางเพลิงเผาโรงเรือนท่ีคนอยอู่ าศยั ตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 218 (1) เพราะมาตรา 218 เป็นเหตุฉกรรจข์ องมาตรา 217 โดยมาตรา 218 บญั ญตั ิให้
ผกู้ ระทาผิดต่อทรัพยท์ ี่ระบุไวใ้ นมาตรา 218 (1) ถึง (6) ตอ้ งรับโทษหนกั ข้ึน ดงั น้ี การกระทาอนั
มิไดเ้ ป็นความผิดตามาตรา 217 แมก้ ระทาตอ่ ทรัพยท์ ี่ระบุในมาตรา 218 ผกู้ ระทายอ่ มไม่มีความผิด
เช่นกนั เม่ือมาตรา 217 บญั ญตั ิไวโ้ ดยชดั แจง้ วา่ การวางเพลิงเผาทรัพยผ์ อู้ ื่นเป็นความผิด ไมม่ ีความ
วา่ หรือผอู้ ่ืนเป็นเจา้ ของรวมอยดู่ ว้ ยเป็นความผดิ เม่ือนายแดงเป็นเจา้ ของกรรมสิทธ์ิในโรงเรือนหลงั
ดงั กล่าวร่วมกบั นางดา จึงไมเ่ ป็นความผดิ ตามมาตรา 217
นายแดงไมม่ ีความผิดตามมาตรา 220 เพราะโรงเรือนของนายแดงกบั นางดาปลกู อยกู่ ลาง
ทงุ่ นา ห่างไกลจากบา้ นเรือนที่อยอู่ าศยั และทรัพยส์ ินของผอู้ ่ืนจึงไม่น่าจะเกิดอนั ตรายแก่ผอู้ ื่นหรือ
ทรัพยส์ ินของผอู้ ่ืน
นายแดงมีความผิดฐานทาใหเ้ สียทรัพย์ ตามมาตรา 358 เพราะความผดิ ตามมาตรา 358
น้นั แมเ้ ป็นทรัพยท์ ่ีมีผอู้ ่ืนเป็นเจา้ ของรวมอยดู่ ว้ ยกเ็ ป็นความผดิ (คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 747/2484,
3643/2526 และ 5364/2536)
คาถาม นายกิ่งประสงคจ์ ะฆา่ นางแกว้ จึงไปซ้ือยาเบ่ือหนูซ่ึงเป็นอนั ตรายต่อชีวิตมนุษย์
และสตั วน์ ามาใส่ในโอง่ น้าดื่มในบา้ นของนางแกว้ แต่นางแกว้ ทราบเสียก่อนไมย่ อมด่ืมน้าดงั กลา่ ว
นางแกว้ จึงไมถ่ ึงแก่ความตาย ดงั น้ี การกระทาของนายก่ิงจะเป็นความผิดฐานใดหรือไม่ (ขอ้ สอบ
เนติบณั ฑิตสมยั ท่ี 49)
ตอบ การท่ีนายก่ิงประสงคจ์ ะฆา่ นางแกว้ จึงไปซ้ือยาเบื่อหนูซ่ึเงป็นอนั ตรายต่อชีวิต
มนุษยแ์ ละสัตวน์ ามาใส่โอง่ น้าด่ืมในบา้ นนางแกว้ แต่นางแกว้ ทราบเสียก่อนไมย่ อมด่ืมน้าดงั กลา่ ว
นางแกว้ จึงไมถ่ ึงแก่ความตายเช่นน้ี การกระทาของนายก่ิงยอ่ มเป็นความผิดฐานพยายามฆ่านางแกว้
โดยเจตนาโดยไตร่ตรองไวก้ ่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ประกอบมาตรา 80 และ
เขา้ ลกั ษณะเป็นการปลอมปนเครื่องอปุ โภคบริโภคเพอื่ บคุ คลอื่นเสพยห์ รือใช้ และการปลอมปนน้นั
น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอนั ตรายแก่สุขภาพ จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 236
ดว้ ย
213
บรรณานุกรมท้ายบท
หนังสืออ้างองิ
ตารา
เกียรติขจร วจั นะสวสั ด์ิ. (2557). กฎหมายอาญา ภาคความผิด เล่ม 2 (พมิ พค์ ร้ังที่ 6). กรุงเทพฯ:
กรุงสยาม พบั ลิชช่ิง.
คาถามพร้ อมธงคาตอบ ข้อสอบความรู้ชั้นเนติบัณฑิต ภาคหน่ึง ตัง้ แต่ปี การศึกษา 2542-2561.
(2562). กรุงเทพฯ: เนติบณั ฑิตยสภา.
คาถามพร้ อมธงคาตอบ ข้อสอบความรู้ชั้นเนติบณั ฑิต ภาคหนึ่ง ตง้ั แต่ปี การศึกษา 2520-2544.
(ม.ป.ป.). กรุงเทพฯ: เนติบณั ฑิตยสภา.
ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ. (2556). หลักกฎหมายอาญา ภาคความผิด. (พิมพค์ ร้ังท่ี 10). สานกั พิมพว์ ญิ ญู
ชน. กรุงเทพมหานคร.
วรี ะวฒั น์ ปวราจารย.์ (2560). รวมคาบรรยายเนติบัณฑิต สมยั ท่ี 70 กฎหมายอาญา มาตรา 209-287,
มาตรา 367-398. กรุงเทพฯ:สานกั อบรมเนติบณั ฑิตยสภา.
214
บทท่ี 4 ความผดิ เกยี่ วกบั การปลอมและการแปลง
จุดม่งุ หมายของรายวิชา
1. เพื่อใหผ้ เู้ รียนทราบและเขา้ ใจบทบญั ญตั ิของกฎหมายอาญาเกี่ยวกบั การปลอมและ
แปลงเงินตรา ดวงตรา แสตมป์ ตว๋ั เอกสาร บตั รอิเลก็ ทรอนิกส์ หนงั สือเดินทาง การคา้ และความผิด
เกี่ยวกบั เพศ
2. เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจถึงกฎหมายอาญาเก่ียวกบั การปลอมและแปลงเงินตรา ดวงตรา
แสตมป์ ตว๋ั เอกสาร บตั รอิเลก็ ทรอนิกส์ หนงั สือเดินทาง การคา้ และความผดิ เก่ียวกบั เพศ
3. เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนสามารถนาไปปรับใชก้ บั การศึกษากฎหมายรายวิชาอื่นได้
4. เพื่อใหผ้ เู้ รียนสามารถนาไปปรับใชก้ บั ชีวิตประจาวนั และสามารถนาไปสอบได้
เนื้อหาของบทเรียน
1. กฎหมายอาญาเกี่ยวกบั การปลอมและแปลงเงินตรา ดวงตรา แสตมป์ ตว๋ั เอกสาร
บตั รอิเลก็ ทรอนิกส์ หนงั สือเดินทาง
2. กฎหมายอาญาเก่ียวกบั การคา้
3. กฎหมายอาญาเกี่ยวกบั ความผิดเก่ียวกบั เพศ
กจิ กรรมและวิธกี ารสอน
1. การบรรยาย
2. การอภิปรายและสรุปผล
สื่อการสอน
PowerPoint ประกอบการบรรยาย
การวดั ผลและประเมินผล
1. การมีส่วนร่วมและซกั ถามในช้นั เรียน
2. ประเมินความเขา้ ใจในการอภิปรายผล
3. แบบฝึกหดั
215
ลกั ษณะ 7 ความผิดเกย่ี วกบั การปลอมและการแปลงเงนิ ตรา
หมวด 1 ความผิดเก่ียวกบั เงินตรา
ความผิดฐานปลอมเงินตรา
มาตรา 240 ปลอมเงนิ ตรา
มาตรา 240 ผใู้ ดทาปลอมข้นึ ซ่ึงเงินตรา ไม่วา่ จะปลอมข้นึ เพ่ือใหเ้ ป็นเหรียญกระษาปณ์
ธนบตั รหรือส่ิงอ่ืนใด ซ่ึงรัฐบาลออกใชห้ รือใหอ้ านาจให้ออกใช้ หรือทาปลอมข้นึ ซ่ึงพนั ธบตั ร
รัฐบาลหรือใบสาคญั สาหรับรับดอกเบ้ียพนั ธบตั รน้นั ๆ ผูน้ ้นั กระทาความผิดฐานปลอมเงินตรา
ตอ้ งระวางโทษจาคุกตลอดชีวิต หรือจาคกุ ต้งั แต่สิบปี ถึงยีส่ ิบปี และปรับต้งั แต่สองแสนบาทถึงสี่
แสนบาท
คาวา่ เงินตรา หมายถึง เหรียญกษาปณ์ และธนบตั ร
คาวา่ ส่ิงอ่ืนใดซ่ึงรัฐบาลออกใชเ้ ป็นการออกใชอ้ ยา่ งเงินตราสามารถใชช้ าระหน้ีไดต้ าม
กฎหมายตอ้ งออกโดยรัฐบาลไทยเทา่ น้นั หากออกโดยรัฐบาลตา่ งประเทศตอ้ งดูมาตรา 247
คาวา่ “ทาปลอมข้นึ ” ซ่ึงเงินตราซ่ึงรัฐบาลออกใช้ หมายถึง ตอ้ งปลอมเงินตราท่ีมีใชอ้ ยู่
จริง ถา้ ปลอมเงินตราที่เลิกใชแ้ ลว้ ยอ่ มไม่ผดิ มาตรา 240
ตา่ งจากมาตรา 264 คาวา่ “ทาเอกสารปลอมข้ึนท้งั ฉบบั หรือส่วนหน่ึงส่วนใด” ถา้ ได้
กระทาเพ่อื ใหผ้ หู้ น่ึงผใู้ ดหลงเชื่อวา่ เป็นเอกสารท่ีแทจ้ ริงตามตวั บทไม่ไดบ้ งั คบั วา่ เอกสารที่จะปลอม
ตอ้ งมีเอกสารท่ีแทจ้ ริงอยกู่ ่อน
การปลอมเอกสารไม่จาตอ้ งมีเอกสารที่แทจ้ ริงอยกู่ ่อน
ทาปลอมหมายถึงกระทาโดยต้งั ใจใหเ้ หมือนจริง
ดูเจตนาตามมาตรา 59 วา่ มีเจตนาท่ีจะทาใหเ้ หมือนของจริงหรือไม่ ไมไ่ ดด้ ูผลวา่ ปลอม
เหมือนมากหรือเหมือนนอ้ ย
แมผ้ กู้ ระทามีเจตนาจะทาปลอมคือมีเจตนาที่จะทาใหเ้ หมือนจริงแมท้ าออกมาแลว้ ไม่
เหมือนกบั ของจริงก็เป็นความผิดสาเร็จไมใ่ ช่พยายาม
คาพิพากษาฎีกาท่ี 10941/2555 การทาปลอมข้ึนซ่ึงเงินตรา ไม่ว่าจะเป็ นการปลอมข้ึน
เพื่อให้เป็ นเหรียญกระษาปณ์หรือธนบตั รหรือสิ่งอื่นใดซ่ึงรัฐบาลออกใช้หรือให้อานาจให้ออกใช้
หากส่ิงท่ีทาข้ึนมีลกั ษณะอย่างเดียวกบั เงินตราท่ีรัฐบาลออกใชห้ รือให้อานาจให้ออกใชพ้ อท่ีจะลวง
ตาใหเ้ ห็นวา่ เป็นเงินตรา ก็ถือไดว้ า่ เป็นการทาปลอมข้ึน โดยไม่จาตอ้ งถึงกบั ตอ้ งพิจารณาดูหรือจบั
ตอ้ งเสียก่อนจึงจะรู้ว่าเป็ นของปลอม สาหรับธนบตั รปลอมของกลางเห็นได้ชัดว่าทาข้ึน โดยมี
216
รูปร่างลกั ษณะ ขนาด สีสัน ลวดลายและตวั อกั ษรบนธนบตั รเหมือนกบั ธนบตั รฉบบั ละ 1000 บาท
ที่แท้จริงทุกประการ แมส้ ีสัน ความคมชัดและกระดาษแตกต่างจากของจริงไปบ้างก็เป็ นเร่ือง
ธรรมดา เพราะในการทาปลอมตามปกติย่อมตอ้ งมีความแตกต่างจากของจริงไม่มากก็นอ้ ย จะให้
เหมือนของจริงไปเสียทุกอย่างย่อมไม่ได้และวสั ดุที่ใชย้ ่อมตอ้ งด้อยคุณภาพกว่าของจริง หากแต่
รูปลกั ษณะภายนอกก็เพียงพอต่อการลวงตาให้เห็นว่าเป็ นเงินตราแลว้ จึงเป็ นการทาปลอมข้ึนซ่ึง
เงินตราเพื่อใหเ้ ป็นธนบตั รซ่ึงรัฐบาลไทยออกใชห้ รือใหอ้ านาจใหอ้ อกใช้ หาใช่มีเจตนาเพียงทาบตั ร
ใหม้ ีลกั ษณะและขนาดคลา้ ยคลึงกบั เงินตรา อนั เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 249 วรรคแรก เทา่ น้นั
ไม่ จาเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 240
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 744/2521 การทาการปลอมผิดจากของจริงที่ต้งั ใจใหเ้ หมือนมากนอ้ ย
เพยี งใดไม่สาคญั ไม่จาเป็นตอ้ งเหมือนของแทจ้ นดูไม่ออกดงั น้นั ไมจ่ าเป็นตอ้ งปลอมไดด้ ีถึงขนาดที่
ดูไมร่ ู้วา่ ฉบบั ไหนเป็นของปลอมฉบบั ไหนเป็นของแท้
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1394/2522 เหรียญ 5 บาทปลอมมีแร่ผสมทาใหด้ า้ นไม่ข้ึนเงา
นาออกไปใชไ้ ม่ไดต้ อ้ งขดั ก่อนจาเลยใชน้ ้ายาขดั เหรียญเท่าน้นั ไมพ่ อฟ้องวา่ จาเลยทาปลอมเหรียญ
ขอ้ สงั เกต ฎีกาน้ีเป็นเร่ืองการรับฟังขอ้ เท็จจริงวา่ เหรียญท้งั หมดเป็นเงินตราปลอมแต่ฟัง
ไม่ไดว้ า่ จาเลยเป็นผปู้ ลอม ศาลจึงยกฟ้องฐานน้ี แต่การที่จาเลยนาเหรียญปลอมไวใ้ ชเ้ ป็นการมีไว้
เพ่ือนาออกใชซ้ ่ึงสิ่งใด ๆ อนั ตนไดม้ าโดยรู้วา่ เป็นของปลอมตามมาตรา 240 จึงมีความผิดตาม
มาตรา 244
คาพิพากษาฎีกาที่ 1969/2505 (ประชุมใหญ่) บุคคลอ่ืนนาเคร่ืองมือสาหรับปลอมเหรียญมา
ทดลองทาเงินตราปลอมท่ีบา้ นจาเลยเพ่อื ใหจ้ าเลยดู จาเลยไมใ่ ช่ตวั การในการทาเงินตราปลอม
เพราะมิไดร้ ่วมในการทดลองดว้ ยแต่การท่ีจาเลยยอมใหใ้ ชส้ ถานที่ภาชนะเตาไฟของตนน้นั เป็นการ
ใหค้ วามสะดวกในการทาปลอมเงินตราซ่ึงผดิ ฐานสนบั สนุนตามมาตรา 240 ประกอบมาตรา 86
ตอ้ งมีเจตนาตามมาตรา 59 คือเจตนาท่ีจะทาการปลอมเงินตราและตอ้ งมีเจตนาพิเศษเพ่ือใหเ้ ป็น
เงินตราความผิดสาเร็จเม่ือทาการปลอมข้ึนและส่ิงที่ทาปลอมข้นึ น้นั มีลกั ษณะท่ีเห็นไดว้ า่ เป็น
เงินตราเพยี งทาใหม้ ีลกั ษณะขนาด ลวดลายอยา่ งเดียวกบั เงินตราท่ีรัฐบาลออกใชพ้ อท่ีจะลงใหเ้ ห็น
วา่ เป็นเงินตราไดอ้ าจจะมีบางอยา่ งผิดไปจากของจริงบา้ งก็ไมใ่ ช่ขอ้ สาคญั และไมจ่ าตอ้ งมีการนา
ออกใชห้ รือนาออกแสดงใหผ้ อู้ ื่นหลงเชื่อวา่ เป็นของแท้
217
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1969/2505 จาเลยทาเหรียญสลึงปลอมแมเ้ หรียญดงั กล่าวจะทาฝีมือ
ไมด่ ีจนไม่ดีจนไม่น่าจะมีคนหลงเชื่อวา่ เป็นของแทก้ ็ไมท่ าใหจ้ าเลยพน้ ผดิ ไปไดเ้ พราะเหรียญ
สตางคเ์ ม่ือนาสภาพเป็นเงิน็อาจมีผเู้ ช่ือได้ จาเลยจึงมีความผิด
ความผิดฐานแปลงเงินตรา
มาตรา 241 แปลงเงินตรา
มาตรา 241 ผใู้ ดแปลงเงินตรา ไมว่ า่ จะเป็นเหรียญกระษาปณ์ ธนบตั รหรือส่ิงอ่ืนใด ซ่ึง
รัฐบาลออกใชห้ รือใหอ้ านาจใหอ้ อกใช้ หรือแปลงพนั ธบตั รรัฐบาล หรือใบสาคญั สาหรับรับ
ดอกเบ้ียพนั ธบตั รน้นั ๆ ใหผ้ ิดไปจากเดิม เพ่ือใหผ้ อู้ ื่นเช่ือวา่ มีมูลคา่ สูงกวา่ จริง ผนู้ ้นั กระทาความผดิ
ฐานแปลงเงินตรา ตอ้ งระวางโทษจาคุกตลอดชีวิต หรือจาคุกต้งั แต่หา้ ปี ถึงยส่ี ิบปี และปรับต้งั แต่
หน่ึงแสนบาทถึงส่ีแสนบาท
คาวา่ “แปลง” หมายถึง การเปลี่ยนสิ่งเดิมใหผ้ ิดแปลกออกไป
การแปลงตามมาตราน้ีตอ้ งกระทาตอ่ เงินตราที่แทจ้ ริงที่รัฐบาลออกใชแ้ ลว้ ยงั ไม่ได้
ยกเลิกและตอ้ งมีเจตนาพเิ ศษคือเพ่อื ใหผ้ อู้ ื่นหลงเช่ือวา่ มีมูลค่าสูงกวา่ จริง
การแปลงตามมาตราน้ีตอ้ งเป็นการแกไ้ ขมูลคา่ เท่าน้นั แลว้ ตอ้ งมีการแกไ้ ขมูลค่าให้
สูงข้ึนมิใช่แกใ้ หม้ ลู ค่าลดลง
การแกไ้ ขส่ิงอ่ืนอื่น ๆ เช่นแกล้ วดลาย/แกป้ ี ท่ีผลิตแกเ้ ลขพ. ศ. ในเงินตราไม่ใช่เป็นการ
แกไ้ ขมลู คา่ ใหส้ ูงข้นึ จึงไม่เป็นความผิดตามมาตราน้ี
คาวา่ มลู คา่ สูงกวา่ จริงหมายถึงกฎหมายไมไ่ ดบ้ ญั ญตั ิวา่ มูลค่าของเงินตราชนิดท่ีแปลง
จะตอ้ งเป็นเงินตราท่ีรัฐบาลออกใชจ้ ึงไมต่ อ้ งมีเงินตราที่ออกใชต้ ามลกู คา้ ที่แปลงเช่นแปลงจาก
10 บาท เป็น 15 บาท ก็ถือเป็นความผดิ น้ีได้
คาวา่ เพอ่ื ใหผ้ อู้ ื่นเช่ือวา่ มีมลู ค่าสูงกวา่ จริงหมายถึงถา้ ไดแ้ ปลงเงินตราดว้ ยเจตนาดงั กลา่ ว
กเ็ ป็นความผดิ สาเร็จทนั ทีโดยไมต่ อ้ งนาออกใชห้ รือมีผอู้ ่ืนเช่ือ เช่น แปลงเงินการโดยมีเจตนาจะไป
ใชแ้ ตห่ ลงั จากแปลงไดเ้ อาใส่ลิ้นชกั ไวย้ งั ไมไ่ ดน้ าออกใชก้ ็เป็นความผดิ สาเร็จแลว้
การทาให้เหรียญกษาปณ์มนี า้ หนักลดลงและนาออกใช้ซึ่งเหรียญกษาปณ์
มาตรา 242 โดยทจุ ริตทาให้เหรียญมีน้าหนักลดลง
มาตรา 242 ผใู้ ดกระทาโดยทุจริตใหเ้ หรียญกระษาปณ์ซ่ึงรัฐบาลออกใชม้ ีน้าหนกั ลดลง
ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไมเ่ กินเจ็ดปี และปรับไมเ่ กินหน่ึงแสนสี่หม่ืนบาท
218
ผใู้ ดนาเขา้ ในราชอาณาจกั ร นาออกใชห้ รือมีไวเ้ พือ่ นาออกใช้ ซ่ึงเหรียญกระษาปณ์ที่มี
ผกู้ ระทาโดยทุจริตใหน้ ้าหนกั ลดลงตามความในวรรคแรก ตอ้ งระวางโทษเช่นเดียวกนั
การกระทาใหเ้ หรียญมีน้าหนกั ลดลดลงน้นั ตอ้ งเป็นการกระทาโดยทุจริตเช่น เจาะเอา
เน้ือเงินไปทาประโยชนอ์ ยา่ งอื่น
การทาใหเ้ หรียญมีน้าหนกั ลดลงถา้ มิไดท้ ุจริตไมม่ ีความผิดเช่นนาเหรียญไปเจาะทา
เครื่องประดบั (เกียรติขจร วจั นะสวสั ด์ิ, 2557, หนา้ 105)
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 599/2476 จาเลยเป็นช่างเงินมีคนนาเหรียญท่ีมีผอู้ ื่นเจาะขา้ งขอบ
เหรียญทาใหน้ ้าหนกั ลดลงอยแู่ ลว้ มาใหจ้ าเลยอุดรูจาเลยไม่มีความผดิ ตามมาตราน้ีเพราะจาเลยไมไ่ ด้
เป็นผทู้ าใหเ้ หรียญมีน้าหนกั ลดลงและจาเลยมิไดน้ าออกใชห้ รือมีไวเ้ พื่อนาออกใช้
ความผิดฐานนาเข้าซ่ึงเงินตราที่ปลอมหรื อแปลง
มาตรา 242 วรรคสอง ผนู้ าเขา้ ในราชอณาจกั รนาออกใชห้ รือมีไวเ้ พือ่ นาออกใชซ้ ่ึงเหรียญ
ที่มีผกู้ ระทาโดยทุจริตทาให้น้าหนกั ลดลง
คาวา่ “ราชอาณาจกั ร” หมายถึงนาเขา้ มาในประเทศไทยเทา่ น้นั ไม่ไดห้ มายความรวมถึง
นาเขา้ มาในเรือไทยหรืออากาศยานไทย
ราชอาณาจกั รหมายถึงดินแดนน่านน้าอากาศของประเทศ
สถานทตู ไทยในตา่ งประเทศเป็นสถานท่ีท่ีไดร้ ับความคมุ้ กนั ทางการทูตเท่าน้นั ไมไ่ ดเ้ ป็น
ราชอาณาจกั รไทย
คาวา่ “มีไวเ้ พอื่ นาออกใช้ “ หมายถึงมีแมย้ งั ไม่ไดน้ าออกใชก้ เ็ ป็นความผดิ แลว้ การนา
ออกใชต้ อ้ งนาออกใชอ้ ยา่ งเงินตราไมใ่ ช่ใชอ้ ยา่ งของเก่าหรือใชเ้ ป็นตวั อยา่ งหรือใชเ้ ป็น
เคร่ืองประดบั (ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ, 2556, หนา้ 112)
มาตรา 243 นาเข้าในราชอาณาจกั รซ่ึงเงนิ ปลอม หรือเงินแปลง
มาตรา 243 ผใู้ ดนาเขา้ ในราชอาณาจกั รซ่ึงส่ิงใด ๆ อนั เป็นของปลอมตามมาตรา 240
หรือของแปลงตามมาตรา 241 ตอ้ งระวางโทษดงั ท่ีบญั ญตั ิไวใ้ นมาตราน้นั ๆ
คาวา่ “ส่ิงใด ๆ อนั เป็นของปลอมหรือของแปลง” หมายถึง ตอ้ งเป็นเงินตราปลอมหรือ
เงินตราแปลงท่ีจะทาสาเร็จแลว้ ความผดิ สาเร็จเม่ือไดน้ าเงินตราปลอมหรือเงินตราแปลงเขา้ มาใน
ราชอาณาจกั ร
219
ความผิดฐานมไี ว้เพื่อออกใช้ซ่ึงเงินตราปลอมหรือแปลง
มาตรา 244 มีไวเ้ พื่อนาออกใชโ้ ดยรู้วา่ เป็นเงินปลอมและเงินแปลง
มาตรา 244 ผใู้ ดมีไวเ้ พือ่ นาออกใชซ้ ่ึงส่ิงใด ๆ อนั ตนไดม้ าโดยรู้วา่ เป็นของปลอมตาม
มาตรา 240 หรือของแปลงตามมาตรา 241 ตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แต่หน่ึงปี ถึงสิบหา้ ปี และปรับต้งั
แตส่ องหม่ืนบาทถึงสามแสนบาท
คาวา่ “มีไวเ้ พ่ือนาออกใช”้ หมายถึง ถา้ มีเจตนาท่ีจะมีเงินตราปลอมหรือเงินตราแปลงไว้
เพือ่ นาออกใชก้ เ็ ป็นความผดิ สาเร็จทนั ทีโดยยงั ไมต่ อ้ งนาออกใชแ้ ตถ่ า้ ไมม่ ีเจตนาจะนาออกใชก้ ไ็ ม่
เป็ นความผดิ
คาพิพากษาฎีกาท่ี 4017/2481 จาเลยยา้ ยเงินปลอมจากเรือของ ล.ผทู้ าปลอมมาไวท้ ่ีเรือ
ของจาเลยก่อนที่จะถกู เจา้ พนกั งานจบั กุม เม่ือเจา้ พนกั งานมาคน้ กน็ าเงินปลอมน้นั ทิ้งน้า ดงั น้ีไม่ใช่
เป็นการมีไวเ้ พอ่ื นาออกใช้ จึงไม่มีความผิดตามมาตรา244
โดยรู้วา่ เป็นของปลอมหรือของแปลง หมายถึงขณะที่ไดเ้ งินตราปลอมหรือเงินตราแปลง
มาน้นั ผกู้ ระทาผิดตอ้ งรู้วา่ เป็นเงินตราปลอมหรือเงินตราแปลง
ถา้ ขณะที่ไดม้ ายงั ไมร่ ู้วา่ เป็นเงินตราปลอมหรือเงินตราแปลงก็ไม่ผดิ มาตรา 244 น้ี การ
ไดม้ าซ่ึงเงินตราปลอมหรือเงินตราแปลงโดยรู้หรือไม่รู้วา่ เป็นขอ้ เทจ็ จริงท่ีพิจารณาไดจ้ าก
พฤติการณ์ในคดี
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 311/2463 ธนบตั รปลอมของการสังเกตไดย้ ากเป็นธนบตั รที่มีผอู้ ่ืน
นามาใชใ้ หจ้ าเลยการที่จาเลยนาไปใชซ้ ้ือตวั๋ รถไฟแสดงวา่ จาเลยไมร่ ู้วา่ เป็นธนบตั รปลอมจาเลยจึง
ไมม่ ีความผดิ
คาพิพากษาฎีกาที่ 487/2467 ความรู้สึกของจาเลยในขณะทอนเงินวา่ เป็นธนบตั รอาจ
ปลอมไม่ไดค้ วามชดั วา่ จาเลยรู้วา่ ธนบตั รของกลางเป็นธนบตั รปลอม จาเลยจึงไมม่ ีความผดิ ตาม
มาตราน้ี
คาพิพากษาฎีกาที่ 165/2500 จาเลยมีธนบตั รปลอมไวแ้ ลว้ นาออกไปขายแสดงวา่ จาเลยรู้
วา่ เป็นธนบตั รปลอมเป็นการมีไวเ้ พอ่ื นาออกใชจ้ ึงผิดมาตรา 244
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 143/2527 จาเลยนาธนบตั รปลอมมาใช้ 2 ฉบบั แลว้ นาออกใชอ้ ีก 1
ฉบบั ยงั คน้ พบอีก 5 ฉบบั ที่ตวั จาเลยพฤติการณ์เชื่อไดว้ า่ จาเลยทราบดีวา่ ธนบตั รท้งั หมดเป็นธนบตั ร
ปลอม จาเลยจึงมีความผดิ 244
220
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 2484/2530 จาเลยที่ 1 ตกลงขายธนบตั รปลอมใหก้ บั ผขู้ อซ้ือเมื่อจาเลย
ที่ 1 นาธนบตั รปลอมมามอบใหก้ บั ผขู้ อซ้ือจาเลยที่ 2 เป็นผสู้ ่งมอบซองบรรจุธนบตั รปลอมให้
พฤติการณ์ของจาเลยท้งั สองเป็นความผดิ ฐานร่วมกนั มีไวเ้ พื่อนาออกใชซ้ ่ึงธนบตั รปลอมมาตรา 244
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 2177/ 2542 จาเลยมีธนบตั รปลอมไวเ้ พ่ือนาออกใชแ้ ละไปใชซ้ ้ือผลไมจ้ าก
ผเู้ สียหายถือวา่ เป็นความผิดสาเร็จมาตรา 244 แลว้ วา่ ผเู้ สียหายยงั ไม่ทนั รับไวส้ มบรู ณ์ดว้ ยการทอน
เงินท่ีเหลือจากคา่ ซ้ือผลไมแ้ ก่จาเลยกต็ าม
คาพิพากษาฎีกาท่ี 4103/2541 จาเลยท่ี 1, 3, 4 ร่วมกนั มีไวเ้ พอ่ื นาออกใชซ้ ่ึงธนบตั รไทย
และธนบตั รดอลลาร์โดยรู้วา่ เป็นธนบตั รปลอมเป็นความผิดตามมาตรา 244 และมาตรา 274
ประกอบมาตรา 244 อีกบทหน่ึง กรรมเดียวผดิ กฎหมายหลายบทตอ้ งลงโทษมาตรา 244 ซ่ึงเป็น
บทหนกั ตามมาตรา 90
ความผิดเม่ือได้มาซึ่งเงินตราปลอมหรื อแปลง
มาตรา 245 ไดม้ าโดยไมร่ ู้แต่ยงั ขนื ใชเ้ งินตราปลอมหรือเงินตราแปลง
มาตรา 245 ผใู้ ดไดม้ าซ่ึงส่ิงใด ๆ โดยไมร่ ู้วา่ เป็นของปลอมตามมาตรา 240 หรือของ
แปลงตามมาตรา 241 ถา้ ต่อมารู้วา่ เป็นของปลอมหรือของแปลงเช่นวา่ น้นั ยงั ขนื นาออกใช้ ตอ้ ง
ระวางโทษจาคกุ ไมเ่ กินสิบปี หรือปรับไมเ่ กินสองแสนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
ถา้ ต่อมารู้วา่ เป็นของปลอมหรือของแปลงแลว้ ยงั ขืนนาออกใชห้ มายถึงผกู้ ระทาผดิ
จะตอ้ งรู้วา่ สิ่งที่ตนไดม้ าเป็นเงินตราปลอมหรือเงินตราแปลงต้งั แตก่ ่อนนาออกใช้
ถา้ ตอนไดม้ ายงั ไมร่ ู้และนาออกใชโ้ ดยไมร่ ู้วา่ เป็นเงินตราปลอมหรือเงินตราแปลงกไ็ ม่
เป็ นความผิด
คาพิพากษาฎีกาท่ี 210/2467 มีคนนาธนบตั รปลอมมาใหเ้ ป็นของขวญั แตง่ งานใหจ้ าเลย
จาเลยเกบ็ ไวแ้ ลว้ นาไปเล่นไพ่ การนามาเลไ่ พเ่ ป็นการนาออกใชแ้ ต่เม่ือมีคนบอกวา่ เป็นเงินตรา
ปลอมจาเลยกต็ อ้ งเก็บไวพ้ ฤติการณ์แสดงวา่ จาเลยไม่รู้วา่ เป็นเงินปลอมเพราะไดม้ าตอนแต่งงานช่ือ
วา่ จาเลยไมท่ ราบวา่ เป็นธนบตั รปลอมเม่ือรู้แลว้ กเ็ ก็บไวไ้ ม่ไดข้ ืนนาออกใชจ้ ึงไม่ผิดมาตรา 245
ความผิดเกีย่ วกบั เคร่ืองมือปลอมแปลงเงินตรา
มาตรา 246 ทาเครื่องมือหรือวตั ถุสาหรับปลอมหรือแปลงหรือมีเครื่องมือ เพอ่ื ใชใ้ นการปลอมหรือ
แปลง
มาตรา 246 ผใู้ ดทาเคร่ืองมือหรือวตั ถสุ าหรับปลอมหรือแปลงเงินตราไม่วา่ จะเป็น
เหรียญกระษาปณ์ ธนบตั ร หรือสิ่งใด ๆ ซ่ึงรัฐบาลออกใชห้ รือให้อานาจใหอ้ อกใช้ หรือสาหรับ
ปลอมหรือแปลงพนั ธบตั รรัฐบาลหรือใบสาคญั สาหรับรับดอกเบ้ียพนั ธบตั รน้นั ๆ หรือมีเครื่องมือ
221
หรือวตั ถุเช่นวา่ น้นั เพอ่ื ใชใ้ นการปลอมหรือแปลง ตอ้ งระวางโทษจาคุกต้งั แตห่ า้ ปี ถึงสิบหา้ ปี และ
ปรับต้งั แตห่ น่ึงแสนบาทถึงสามแสนบาท
คาวา่ เครื่องมือหรือวตั ถุหมายถึงเฉพาะเคร่ืองมือหรือวตั ถุท่ีใชใ้ นการปลอมหรือแปลง
เงินตรา
คาพิพากษาฎีกาที่ 92/2521 จาเลยทาและมีแบบพมิ พอ์ นั เป็นเครื่องมือสาหรับปลอม
เหรียญกษาปณ์ราคาอนั ละ 5 บาท
คาพพิ ากษาฎีกา 744/2521 จาเลยมีเคร่ืองพมิ พท์ ี่ใชพ้ มิ พธ์ นบตั รปลอมแมข้ าดอปุ กรณ์แต่
ถา้ มีอุปกรณ์ประกอบเขา้ ก็ใชพ้ มิ พไ์ ดเ้ ป็นความผิดมาตรา 246
คาวา่ มีเคร่ืองมือหรือวตั ถุหมายถึงมีไวใ้ นความยดึ ถือหรือครอบครอง
การรับฝากไวก้ ็เป็นการมีไวใ้ นครอบครอง
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1969/2505 บุคคลอ่ืนนาเครื่องมือไปทาเหรียญกษาปณ์ปลอมที่บา้ น
จาเลยแตไ่ มเ่ หมือนของจริงจึงฝากเครื่องมือไวท้ ่ีบา้ นจาเลยไดช้ ่ือวา่ จาเลยมีเครื่องมือไวเ้ พื่อใชใ้ น
การปลอมเงินตรา
“เพ่อื ใชใ้ นการปลอมหรือการแปลง” แมย้ งั ไมไ่ ดใ้ ชส้ าหรับทาการปลอมหรือแปลง
หากมีไวเ้ พื่อใชก้ ็เป็นความผิดแลว้
การปลอมแปลงเงินตราต่างประเทศ
มาตรา 247 ปลอมแปลงเงินตราต่างประเทศ
มาตรา 247 ถา้ การกระทาดงั กลา่ วในหมวดน้ีเป็นการกระทาเกี่ยวกบั เงินตรา ไมว่ า่ จะ
เป็นเหรียญกระษาปณ์ ธนบตั รหรือสิ่งอ่ืนใด ซ่ึงรัฐบาลตา่ งประเทศออกใช้ หรือใหอ้ านาจใหอ้ อกใช้
หรือเก่ียวกบั พนั ธบตั รรัฐบาลตา่ งประเทศ หรือใบสาคญั สาหรับรับดอกเบ้ียพนั ธบตั รน้นั ผกู้ ระทา
ตอ้ งระวางโทษก่ึงหน่ึงของโทษท่ีบญั ญตั ิไวใ้ นมาตราน้นั ๆ
ตอ้ งเป็นเงินตราท่ีรัฐบาลต่างประเทศใชอ้ ยใู่ นขณะท่ีกระทาการปลอมหรือแปลงถา้ เป็น
เงินท่ีรัฐบาลต่างประเทศยกเลิกไปแลว้ ไม่เป็นความผิด
ถา้ ณ กระทาการปลอมหรือแปลงเงินตรา เงินดงั กล่าวกเ็ ป็นเงินตราที่รัฐบาลต่างประเทศ
ยงั ใชอ้ ยู่ แมต้ ่อมาภายหลงั รัฐบาลต่างประเทศจะไดป้ ระกาศยกเลิกแลว้ กไ็ มท่ าใหผ้ กู้ ระทาพน้ ผิด
เพราะความผิดท่ีไดก้ ระทาข้ึนโดยสมบรู ณ์แลว้ ถา้ ไมใ่ ช่เป็นการยกเลิกบทกฎหมายท่ีบญั ญตั ิถึง
ความผดิ แลว้ ผกู้ ระทาผิดกย็ งั คงตอ้ งรับโทษอยู่
222
มาตรา 244 ประสงคจ์ ะลงโทษผทู้ ่ีมีไวเ้ พอ่ื นาออกใชซ้ ่ึงสิ่งใดๆอนั ตนไดม้ าโดยรู้วา่ เป็น
ของปลอมตามมาตรา 240 โดยมีเง่ือนไขวา่ ถา้ เป็นของรัฐบาลไทยลงโทษตามมาตรา 244 ถา้ เป็น
ของรัฐบาลต่างประเทศลงโทษลงโทษเพยี งก่ึงหน่ึงตามมาตรา 247
มาตรา 248 กระทาผดิ ในหมวดปลอมหรือแปลงเงนิ ตราให้ลงโทษเพยี งกระทงเดยี ว
มาตรา 248 ถา้ ผกู้ ระทาความผิดตามมาตรา 240 มาตรา 241 หรือมาตรา 247 ไดก้ ระทา
ความผิดตามมาตราอ่ืนที่บญั ญตั ิไวใ้ นหมวดน้ีอนั เก่ียวกบั ส่ิงท่ีตนปลอมหรือแปลงน้นั ดว้ ย ให้
ลงโทษผนู้ ้นั ตามมาตรา 240 มาตรา 241 หรือมาตรา 247 แตก่ ระทงเดียว
“ไดก้ ระทาความผดิ อื่นในหมวดน้ีดว้ ย” หมายถึงความผิดท่ีไปกระทาแต่ละกรรมเป็น
ความผดิ ต่างกรรมกนั และกฎหมายบงั คบั วา่ ความผิดอื่นที่ไปทาน้นั ตอ้ งเป็นความผิดที่เกี่ยวกบั
เงินตราเท่าน้นั ไม่ใช่ความผิดอยา่ งอ่ืนจึงจะลงโทษตามมาตรา 240, 241, 247 แตก่ ระทงเดียวได้
ตวั อยา่ งทาเคร่ืองมือสาหรับปลอมเป็นความผิดมาตรา 246 ตอ่ มาไดท้ าปลอมเงินตราเป็น
ความผิดมาตรา 240 ต่อมาไดน้ าเงินตราปลอมออกใชเ้ ป็นความผดิ มาตรา 244 แมจ้ ะเป็นการกระทา
หลายกรรมต่างกนั แต่เป็นกรณีที่ผกู้ ระทาความผิดตามมาตรา 240 ไดก้ ระทาความผิดอื่น ๆ
ในหมวดท่ี 1 ความผิดเก่ียวกบั เงินตราจึงตอ้ งลงโทษตามมาตรา 240 แตก่ ระทงเดียว
ใหล้ งโทษตามมาตรา 240, 241 หรือ 247 แตล่ ะกระทงเดียวหมายถึงแมผ้ กู้ ระทาจะได้
กระทาความผิดหลายกรรมต่างกนั ตามมาตรา 91 ก็ไม่ตอ้ งลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป
คงลงโทษตามมาตรา 240 หรือมาตรา 241 หรือมาตรา 247 แต่กระทงเดียวกนั เป็นบทยกเวน้ มาตรา
91
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 2846/2519 มาตรา 248 เป็นบทบญั ญตั ิในภาค 2 อนั เป็นบทเฉพาะ
จึงเป็นขอ้ ยกเวน้ ของมาตรา 91 จาเลยมีเครื่องมือสาหรับทาเงินตราปลอม ทาเงินตราปลอมและมี
เงินตราปลอมเพื่อนาออกใชต้ อ้ งลงโทษตามมาตรา 240 แต่กระทงเดียวตามมาตรา 248
ขอ้ สงั เกตมาตรา 248 ใชบ้ งั คบั กบั ผสู้ นบั สนุนดว้ ย
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1969/2505 จาเลยทาผิดฐานสนบั สนุนการปลอมเงินตราตามมาตรา
240 ประกอบมาตรา 86 และมีเคร่ืองมือทาเงินปลอมตามมาตรา 246 ลงโทษจาเลยตามมาตรา 240
ประกอบมาตรา 86 แต่เพยี งกระทงเดียวตามมาตรา 248
ความผดิ ฐานปลอมเงินตราเป็นความผิดท่ีตอ้ งรับโทษในราชอาณาจกั รตามมาตรา 7
การทาส่ิงที่คล้ายคลึงกบั เงินตรา
มาตรา 249 ทาให้คล้ายคลงึ กบั เงินตราไทย
223
มาตรา 249 ผใู้ ดทาบตั รหรือโลหะธาตอุ ยา่ งใด ๆ ใหม้ ีลกั ษณะและขนาดคลา้ ยคลึงกบั
เงินตรา ไมว่ า่ จะเป็นเหรียญกระษาปณ์ ธนบตั รหรือส่ิงใด ๆ ซ่ึงรัฐบาลออกใชห้ รือใหอ้ านาจใหอ้ อก
ใช้ หรือพนั ธบตั รรัฐบาล หรือใบสาคญั สาหรับรับดอกเบ้ียพนั ธบตั รน้นั ๆ หรือจาหน่ายบตั รหรื
อโลหะธาตเุ ช่นวา่ น้นั ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไม่เกินหน่ึงปี หรือปรับไม่เกินสองหม่ืนบาท หรือท้งั จา
ท้งั ปรับ
ถา้ การจาหน่ายบตั รหรือโลหะธาตุดงั กลา่ วในวรรคแรก เป็นการจาหน่ายโดยการนาออก
ใชด้ งั เช่นสิ่งใด ๆ ท่ีกลา่ วในวรรคแรก ผกู้ ระทาตอ้ งระวางโทษจาคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกิน
หกหม่ืนบาท หรือท้งั จาท้งั ปรับ
ลกั ษณะหรือขนาดคลา้ ยคลึงหมายถึงตอ้ งมีเจตนาเพียงทาใหค้ ลา้ ยคลึงหรือมีเจตนาปลอม
ถา้ ต้งั ใจทาใหเ้ หมือนของจริงมากๆกแ็ สดงใหเ้ ห็นเจตนาวา่ มีเจตนาปลอมมากกวา่ ทาให้คลา้ ยคลึง
เจตนามาตรา 249 เป็นเจตนาทาใหม้ ีลกั ษณะและขนาดคลา้ ยคลึงเทา่ น้นั ไม่ไดม้ ีเจตนาเลย
ไปถึงปลอมถา้ มีเจตนาเลยไปถึงปลอม ก็ไมม่ ีขอ้ ที่จะตอ้ งมาวินิจฉยั ตามมาตราน้ีตอ้ งไปเขา้ มาตรา
240
คาพิพากษาฎีกาท่ี 10941/2555 การทาปลอมข้ึนซ่ึงเงินตรา ไม่ว่าจะเป็ นการปลอมข้ึน
เพื่อให้เป็ นเหรียญกระษาปณ์หรือธนบตั รหรือสิ่งอื่นใดซ่ึงรัฐบาลออกใชห้ รือให้อานาจให้ออกใช้
หากส่ิงท่ีทาข้ึนมีลกั ษณะอย่างเดียวกบั เงินตราที่รัฐบาลออกใชห้ รือให้อานาจให้ออกใชพ้ อที่จะลวง
ตาใหเ้ ห็นว่าเป็นเงินตรา ก็ถือไดว้ ่าเป็นการทาปลอมข้ึน โดยไม่จาตอ้ งถึงกบั ตอ้ งพิจารณาดูหรือจบั
ตอ้ งเสียก่อนจึงจะรู้ว่าเป็ นของปลอม สาหรับธนบตั รปลอมของกลางเห็นได้ชัดว่าทาข้ึน โดยมี
รูปร่างลกั ษณะ ขนาด สีสัน ลวดลายและตวั อกั ษรบนธนบตั รเหมือนกบั ธนบตั รฉบบั ละ 1000 บาท
ท่ีแทจ้ ริงทุกประการ แมส้ ีสัน ความคมชัดและกระดาษแตกต่างจากของจริงไปบา้ งก็เป็ นเรื่อง
ธรรมดา เพราะในการทาปลอมตามปกติยอ่ มตอ้ งมีความแตกต่างจากของจริงไม่มากก็นอ้ ย จะให้
เหมือนของจริงไปเสียทุกอย่างย่อมไม่ไดแ้ ละวสั ดุที่ใชย้ ่อมตอ้ งด้อยคุณภาพกว่าของจริง หากแต่
รูปลกั ษณะภายนอกก็เพียงพอต่อการลวงตาให้เห็นว่าเป็ นเงินตราแลว้ จึงเป็ นการทาปลอมข้ึนซ่ึง
เงินตราเพอื่ ใหเ้ ป็นธนบตั รซ่ึงรัฐบาลไทยออกใชห้ รือใหอ้ านาจให้ออกใช้ หาใช่มีเจตนาเพยี งทาบตั ร
ใหม้ ีลกั ษณะและขนาดคลา้ ยคลึงกบั เงินตรา อนั เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 249 วรรคแรก เท่าน้นั
ไม่ จาเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 240
คาพิพากษาฎีกาท่ี 2828/2551 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 249 มิไดบ้ ญั ญตั ิไวด้ ว้ ยวา่
การทาบตั รใหม้ ีลกั ษณะและขนาดคลา้ ยคลึงกบั เงินตรา ตอ้ งกระทาเพอื่ ใหผ้ อู้ ่ืนเช่ือวา่ เป็นธนบตั รที่
แทจ้ ริง แตค่ าวา่ คลา้ ยคลึง แสดงวา่ เกือบเหมือนหรือไม่ตอ้ งเหมือนทีเดียว เพียงแตม่ ีลกั ษณะสีสัน
รูปร่างและขนาดคลา้ ยเงินตราท่ีแทจ้ ริงกเ็ ป็นความผดิ ตามมาตราน้ี แตส่ าเนาธนบตั รที่จาเลยทาข้นึ วา่
224
เกิดจากการถา่ ยสาเนาธนบตั รฉบบั ละ 1,000 บาท ของจริงลงในกระดาษธรรมดา สีสันในส่วน
สาเนาธนบตั รเป็นสีขาว มิไดม้ ีสีสนั เหมือนธนบตั รฉบบั จริง แมว้ า่ ขนาดของกระดาษจะเท่าของจริง
เม่ือวิญญูชนทวั่ ไปดูแลว้ ยอ่ มทราบไดท้ นั ทีวา่ ไมใ่ ช่ธนบตั รที่แทจ้ ริง ยอ่ มถือไมไ่ ดว้ า่ จาเลยทาบตั ร
ใหม้ ีลกั ษณะและขนาดคลา้ ยคลึงกบั เงินตรา
หมวด 2 ความผิดเก่ียวกบั ดวงตรา แสตมป์ และตวั๋
ความผิดเกยี่ วกับดวงตรา
มาตรา 250 ปลอมดวงตราแผ่นดินหรือรอยตราแผน่ ดินหรือพระปรมาภิไธย
มาตรา 250 ผใู้ ดทาปลอมข้นึ ซ่ึงดวงตราแผน่ ดิน รอยตราแผน่ ดิน หรือพระปรมาภิไธย
ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ต้งั แต่ห้าปี ถึงยสี่ ิบปี และปรับต้งั แตห่ น่ึงแสนบาทถึงส่ีแสนบาท
คาวา่ ดวงตรา หมายถึง สิ่งที่ทาข้นึ ใหม้ ีรูปรอยเพ่ือประทบั ใหป้ รากฏทาดว้ ยวตั ถุใด ๆ
กไ็ ดเ้ ช่น ไมง้ าชา้ งโลหะ
คาวา่ ดวงตราแผ่นดิน หมายถึง ดวงตราของรัฐบาลเป็นส่วนรวมไม่ใช่ดวงตราของ
กระทรวง ทบวง กรมใดโดยเฉพาะ
ดวงตราแผน่ ดิน เช่น ตราประทบั ในใบประกาศประกอบเคร่ืองราช ฯ
รอยตราแผน่ ดิน เช่น รอยตราประทบั ในพระบรมราชโองการหรือพระราชสาส์นตราต้งั
พระปรมาภิไธยคอื ลายมือชื่อขององคพ์ ระมหากษตั ริย์
มาตรา 251 ของปลอมดวงตรารอยตราของทบวงการเมืองขององค์การสาธารณะหรือของเจ้า
พนกั งาน
มาตรา 251 ผใู้ ดทาปลอมข้ึนซ่ึงดวงตราหรือรอยตราของทบวงการเมือง ขององคก์ าร
สาธารณะ หรือของเจา้ พนกั งาน ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ต้งั แต่หน่ึงปี ถึงเจ็ดปี และปรับต้งั แต่สองหมื่น
บาทถึงหน่ึงแสนส่ีหม่ืนบาท
ทบวงการเมือง หมายถึง กระทรวงทบวงกรมในรัฐบาลเทศาภิบาลปกครองทอ้ งถ่ิน
ประชาบาลท้งั หลาย
องคก์ ารสาธารณะ หมายถึง องคก์ ารที่มีกฎหมายจดั ต้งั ข้นึ เพอื่ กิจการสาธารณะ เช่น
เนติบณั ฑิต สภากาชาด แต่ไม่หมายรวมถึงบริษทั จากดั องคก์ ารที่จดั ต้งั เพ่อื การคา้ ซ่ึงทากิจการใน
ฐานะเอกชน
225
ดวงตราของเจา้ พนกั งาน หมายถึง ดวงตราที่มีกฎหมายกาหนดข้ึนเพ่ือใหใ้ ชใ้ นการ
ปฏิบตั ิหนา้ ที่ราชการแสดงตาแหน่งหนา้ ท่ีราชการของเจา้ พนกั งาน เช่น ดวงตราของเจา้ พนกั งาน
ฝ่ายปกครอง รอยตราประทบั ของกรมการขนส่งทางบกที่ประทบั ในใบอนุญาตใหข้ บั รถยนต์
ดวงตราของกระทรวงการตา่ งประเทศท่ีใชป้ ระทบั ในหนงั สือเดินทาง ปลอมรอยตราของสถาน
กงสุล รอยตราชกั ลากไมต้ ราตรวจไม้ และตราชาระคา่ ภาคหลวงของรัฐบาล
ข้อสังเกต มาตรา 251 ตอ้ งเป็นตราที่ใชใ้ นราชการไม่ใช่ตราที่ใชใ้ นทางการคา้ ซ่ึงเป็น
กิจการที่ทาในฐานะเอกชน
คาพิพากษาฎีกาที่ 1011/2494 กรมโรงงานอุตสาหกรรมเอาตราไปปิ ดที่ปากขวดสุราแม่
โขงเพอื่ การขายสุราไมถ่ ือวา่ เป็นการตราตามความหมายของมาตราน้ี จาเลยปลอมดวงตราท่ีปลอก
ตะกว่ั ไมใ่ ช่ตราท่ีใชใ้ นราชการของกรมโรงงานอตุ สาหกรรมหากเป็นตราที่ใชใ้ นการขายสุราแมโ่ ขง
จาเลยปลอมตราดงั กล่าวจึงไมเ่ ป็นการปลอมดวงตราตามมาตรา 251
คาพิพากษาฎีกาที่ 1315/2503 ปลอมดวงตรานกวายภุ กั ษซ์ ่ึงเป็นเคร่ืองหมายการคา้ ของ
กรมสรรพสามิตเพ่อื แสดงวา่ เป็นไพ่ของกรมสรรพสามิตผลิตข้ึน การใชด้ วงตรานกวายภุ กั ษน์ ้นั หา
ใช่เป็นการใชด้ วงตราตามความหมายของกฎหมายไม่ การกระทาของจาเลยจึงเป็นเพียงเจตนาทาไพ่
ปลอมเทา่ น้นั
ปลอกตะกว่ั ซ่ึงปิ ดไวท้ ่ีขวดสุราแมโ่ ขงก็ดี ตรานกวายภุ กั ษก์ ็ดี ไมไ่ ดเ้ ป็นดวงตราหรือรอย
ตราท่ีใชใ้ นราชการของกรมโรงงานอุตสาหกรรมหรือกรมสรรพสามิตแต่ใชเ้ ป็นเคร่ืองหมายการคา้
จาเลยไมม่ ีเจตนาปลอมดวงตราของกรมโรงงานอตุ สาหกรรมหรือกรมสรรพสามิตกม็ ีแตเ่ จตนาที่จะ
ปลอมสุราหรือปลอมไพเ่ ท่าน้นั
กฎหมายประสงคค์ มุ้ ครองเฉพาะดวงตราหรือรอยตราของทางราชการท่ีใชใ้ นราชการ
ตามระเบียบแบบแผนปกติเท่าน้นั เม่ือนาไปใชท้ างอื่นกฎหมายก็ไมค่ มุ้ ครอง
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 3593/2524 ตว๋ั ภาพยนตร์ของกรมสรรพากรมีตราพระอุเทนดีดพิณ
พมิ พไ์ วใ้ นเน้ือของตว๋ั น้นั เองไมใ่ ช่ใชต้ ราประทบั ดวงตรารูปน้ีจึงเป็นส่วนหน่ึงของรูปลกั ษณะของ
ตวั๋ หาใช่เป็นการทาดวงตราปลอมหรือรอยตราปลอมตามมาตรา 251 ไม่
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1269/2503 อกั ษรเลขหมายท่ีพานทา้ ยปื นเป็นเครื่องหมายทะเบียนอาวธุ ปื นของ
เจา้ พนกั งานเท่าน้นั ไม่ใช่รอยตราของเจา้ พนกั งานตามมาตรา 241 แต่เป็นเอกสารตามมาตรา 1 อนุ 7
มาตรา 252 ผ้ใู ช้ดวงตรา รอยตราหรือพระปรมาภไิ ธยในมาตรา 250 มาตรา 251 ปลอม
226
มาตรา 252 ผใู้ ดใชด้ วงตรา รอยตราหรือพระปรมาภิไธยดงั กลา่ วมาในมาตรา 250 หรือ
มาตรา 251 อนั เป็นดวงตรา รอยตราหรือพระปรมาภิไธยที่ทาปลอมข้ึน ตอ้ งระวางโทษดงั ท่ีบญั ญตั ิ
ไวใ้ นมาตราน้นั ๆ
การใชค้ อื ใชอ้ ยา่ งดวงตราหรือรอยตราท่ีแทจ้ ริง ไมใ่ ช่การใชอ้ ยา่ งของปลอมเช่นใช้
แสดงเป็นตวั อยา่ งของปลอมใหเ้ จา้ หนา้ ที่หรือผเู้ ก่ียวขอ้ งไดท้ ราบเพ่ือไมใ่ หถ้ กู หลอกลวง
การนามาขายอยา่ งตราปลอมถา้ ขายเพอื่ ใหผ้ ซู้ ้ือนาไปใชอ้ ยา่ งดวงตราหรือรอยตราท่ี
แทจ้ ริงกเ็ ป็นการใชต้ ามมาตราน้ีดว้ ยถา้ คนท่ีมาซ้ือรู้วา่ ปลอมก็จะตอ้ งมีเจตนาที่จะนาไปใชอ้ ยา่ ง
ดวงตรา รอยตราท่ีแทจ้ ริงเพื่อลวงคนอ่ืน
มาตรา 252 ไม่ไดบ้ ญั ญตั ิวา่ การใชต้ อ้ งใชใ้ นประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ื่น
หรือประชาชนเหมือนอยา่ งมาตรา 268 การใชเ้ อกสารปลอมถา้ ผกู้ ระทาความผดิ รู้วา่ ดวงตรารอยตรา
หรือพระปรมาภิไธยเป็นของปลอมแลว้ นาไปใชก้ ็เป็นความผิด โดยไม่ตอ้ งคานึงวา่ จะเป็นการใช้
อยา่ งของจริงหรือของปลอม
ตวั อยา่ ง ก. นาหนงั สือเดินทางปลอมมาแสดงให้ ข. ผซู้ ้ือดูวา่ ปลอมไดเ้ หมือนกบั ของจริง
หรือไม่และหนงั สือเดินทางดงั กลา่ วมีรอยตราของกระทรวงการตา่ งประเทศปลอมประทบั อยู่ ก. มี
ความผิดตามมาตราน้ี
มาตรา 253 ได้มาซ่ึงดวงตรา รอยตราในมาตรา 250, 251 ปลอม
มาตรา 253 ผใู้ ดไดม้ าซ่ึงดวงตราหรือรอยตราดงั กล่าวในมาตรา 250 หรือมาตรา 251 ซ่ึง
เป็นดวงตราหรือรอยตราอนั แทจ้ ริง และใชด้ วงตราหรือรอยตราน้นั โดยมิชอบในประการที่น่าจะทา
ใหผ้ อู้ ื่นหรือประชาชนเสียหาย ตอ้ งระวางโทษสองในสามส่วนของโทษท่ีบญั ญตั ิไวใ้ นมาตรา 250
หรือมาตรา 251 น้นั
คาวา่ ใชโ้ ดยมิชอบหมายถึงใชด้ วงตรารอยตราโดยไมม่ ีอานาจหรือโดยไมไ่ ดร้ ับอนุญาตให้
ทาไดโ้ ดยอาศยั กฎหมายใด ๆ
คาวา่ ในประการท่ีน่าจะทาใหเ้ กิดความเสียหาย หมายถึงโจทกต์ อ้ งนาสืบใหเ้ ห็น
พฤติการณ์ประกอบการกระทาดว้ ย ศาลสามารถวนิ ิจฉยั ไดต้ ามความรู้ของวิญญูชนธรรมดาทวั่ ไป
ไม่ตอ้ งถึงกบั มีผลคือความเสียหายเกิดข้ึนเสียก่อน
มาตรา 263 กระทาผิดในหมวดปลอมดวงตราแผน่ ดินรอยตราแผ่นดินใหล้ งโทษเพียง
กระทงเดียว
227
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 3121/2530 ปลอมรอยตราเจา้ พนกั งานประทบั รอยตราปลอมใน
ใบสาคญั ทะเบียนทหารและนาไปใชเ้ ป็นความผดิ ฐานปลอมและใชเ้ อกสารราชการปลอมตาม
มาตรา 265 และมาตรา 268 วรรคแรกประกอบมาตรา 265 ทาปลอมและใชร้ อยตราปลอมมาตรา
251 และมาตรา 252 ตอ้ งลงโทษตามมาตรา 251 ไดเ้ พียงกระทงเดียวมาตรา 263
คาพิพากษาฎีกาท่ี 3942/2529 ปลอมหนงั สือเดินทางซ่ึงเป็นเอกสารราชการ และปลอม
รอยตราของสถานกงสุลและประทบั รอยตราปลอมในหนงั สือเดินทางท่ีจาเลยปลอมข้ึนเองเพอ่ื ให้
ผอู้ ื่นหลงเชื่อวา่ เป็นหนงั สือเดินทางท่ีแทจ้ ริงเป็นความผิดกฎหมายหลายบทคือมาตรา 265 กบั
มาตรา 251 ต่อมาจาเลยนาหนงั สือเดินทางปลอมไปใช้อีก 3 คร้ังตา่ งกรรมตา่ งวาระกนั จาเลยผดิ
มาตรา 268 วรรคแรกประกอบมาตรา 265 และมาตรา 251 ประกอบ 252 ซ่ึงมาตรา 263 ใหล้ งโทษ
เทียนกระทงเดียว การใชค้ ร้ังท่ี 2 และ 3 จาเลยไมไ่ ดป้ ลอมรอยตราข้นึ อีกคนใชร้ อยตราปลอมอนั เก่า
น้นั เองจึงมีความผิดฐานใชร้ อยตราปลอมอยา่ งเดียวตามมาตรา 352 อีก 2 กระทงรวมท้งั สิ้น 3
กระทง
ความผิดเกีย่ วกับแสตมป์
มาตรา 254 ปลอมหรือแปลงแสตมป์ รัฐบาล ซ่ึงใชส้ าหรับการไปรษณีย์ การภาษีอากร
หรือการเก็บค่าธรรมเนียม แตไ่ ม่หมายรวมถึงแสตมป์ การกศุ ล กรณีการแปลงตอ้ งมีมลู เหตชุ กั จูงใจ
เพอ่ื ทาใหม้ ูลคา่ สูงกวา่ ความจริง
มาตรา 255 นาเขา้ ในราชอาณาจกั รซ่ึงแสตมป์ ปลอมหรือแสตมป์ ตามมาตรา 254
ซ่ึงผกู้ ระทาตอ้ งรู้ขอ้ เทจ็ จริงน้นั ดว้ ย
มาตรา 256 ทาการลบ ถอนหรือกระทาดว้ ยประการใดตอ่ แสตมป์ ปลอม ซ่ึงเป็นแสตมป์
ท่ีใชไ้ มไ่ ดแ้ ลว้ ใหน้ ามาใชอ้ ีก
มาตรา 257 ซ้ือขาย เสนอขาย แลกเปลี่ยน หรือเสนอแลกเปลี่ยน ซ่ึงแสตมป์ ปลอมหรือ
แปลงไมว่ า่ จะกระทาผดิ ในราชอาณาจกั รหรือนอกราชาอาณาจกั ร กม็ ีความผิด ท้งั น้ี ผกู้ ระทาตอ้ งรู้
ขอ้ เทจ็ จริงวา่ เป็นแสตมป์ ปลอมหรือแปลงดว้ ย
ความผิดเก่ยี วกับต๋ัว
มาตรา 258 ปลอมหรือแปลงตวั๋ โดยสาร
มาตรา 258 ผใู้ ดทาปลอมข้ึนซ่ึงตว๋ั โดยสารซ่ึงใชใ้ นการขนส่งสาธารณะ หรือแปลงตวั๋
โดยสารซ่ึงใชใ้ นการขนส่งสาธารณะใหผ้ ดิ ไปจากเดิม เพื่อใหผ้ อู้ ื่นเช่ือวา่ มีมลู คา่ สูงกวา่ จริง หรือลบ
ถอน หรือกระทาดว้ ยประการใด ๆ แก่ตวั๋ เช่นวา่ น้นั ซ่ึงมีเครื่องหมายหรือการกระทาอยา่ งใด แสดง
228
วา่ ใชไ้ มไ่ ดแ้ ลว้ เพื่อใหใ้ ชไ้ ดอ้ ีก ตอ้ งระวางโทษจาคุกไมเ่ กินสองปี หรือปรับไมเ่ กินส่ีหม่ืนบาท หรือ
ท้งั จาท้งั ปรับ
อาจารยจ์ ิตติเห็นวา่ ถา้ ไดม้ ีการกระทากบั ตว๋ั เช่นผนึกรอยฉีกใหต้ ิดกนั ดูเป็นตว๋ั ใหม่ที่ยงั
ไม่ไดฉ้ ีกจึงจะเป็นความผิด
คาพิพากษาฎีกาท่ี 861/2497 การปลอมตวั๋ รถไฟเป็นความผิดมาตรา 258 ซ่ึงเป็นบท
เฉพาะแลว้ จะไม่ผดิ มาตรา 265 ซ่ึงเป็นบททว่ั ไปอีก
มาตรา 259 ปลอมหรือแปลงตว๋ั ที่จาหน่ายแก่ประชาชนเพื่อเขา้ สถานที่ใดๆ
เป็นกรณีเฉพาะเรื่องตว๋ั ท่ีจาหน่ายแก่ประชาชนเพื่อเขา้ ชมสถานที่ตา่ งๆ เช่น โรงละคร
พิพิธภณั ฑ์ สถานที่จดั แสดงงานต่างๆ เป็นตน้
มาตรา 260 ใชต้ ว๋ั โดยสารปลอมหรือแปลง
ใชข้ ายเสนอขายแลกเปล่ียนหรือเสนอแลกเปลี่ยนไมม่ ีขอ้ ความวา่ มีไวเ้ พื่อใชด้ งั น้นั เพียง
แคม่ ีไวเ้ พอื่ ใชห้ รือเพ่ือขายแต่ยงั ไม่ไดใ้ ชห้ รือขายหรือเสนอขายยงั ไม่ผิด
มาตรา 261 ทาเครื่องมือหรือวตั ถุสาหรับใชป้ ลอมตวั๋
มาตรา 262 ปลอมหรือแปลงแสตมป์ รัฐบาลต่างประเทศ
มาตรา 263 กระทาผดิ ในหมวดน้ีใหล้ งโทษเพียงกระทงเดียว
หมวด 3 ความผิดเกี่ยวกบั เอกสาร
ความผิดฐานปลอมเอกสารท่ัว ๆ ไป
ความผดิ เกี่ยวกบั เอกสาร
มาตรา 264 ผใู้ ดทาเอกสารปลอมข้ึนท้งั ฉบบั หรือแต่ส่วนหน่ึงส่วนใด เติมหรือตดั ทอนขอ้ ความ
หรือแกไ้ ขดว้ ยประการใด ๆ ในเอกสารที่แทจ้ ริง หรือประทบั ตราปลอม หรือลงลายมือช่ือปลอมใน
เอกสาร โดยประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ื่นหรือประชาชน ถา้ ไดก้ ระทาเพือ่ ใหผ้ หู้ น่ึงผใู้ ด
หลงเชื่อวา่ เป็นเอกสารที่แทจ้ ริง ผนู้ ้นั กระทาความผิดฐานปลอมเอกสาร ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไมเ่ กิน
สามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือท้งั จาท้งั ปรับ
ผใู้ ดกรอกขอ้ ความลงในแผน่ กระดาษหรือวตั ถุอ่ืนใด ซ่ึงมีลายมือช่ือของผอู้ ่ืนโดยไมไ่ ดร้ ับ
ความยนิ ยอม หรือโดยฝ่าฝืนคาสั่งของผอู้ ่ืนน้นั ถา้ ไดก้ ระทาเพ่อื นาเอาเอกสารน้นั ไปใชใ้ นกิจการท่ี
อาจเกิดเสียหายแก่ผหู้ น่ึงผใู้ ดหรือประชาชน ใหถ้ ือวา่ ผนู้ ้นั ปลอมเอกสาร ตอ้ งระวางโทษ
เช่นเดียวกนั
มาตรา 264 วรรคแรกแยกองคป์ ระกอบไดด้ งั น้ี
1. ตอ้ งเป็นเอกสาร
229
2. การกระทาที่เป็นการปลอมเอกสาร ไดแ้ ก่
2.1 ทาเอกสารปลอมข้ึนท้งั ฉบบั หรือแตส่ ่วนหน่ึงส่วนใด
2.2 เติมหรือตดั ทอนขอ้ ความหรือแกไ้ ขดว้ ยประการใด ๆ ในเอกสารท่ีแทจ้ ริง
2.3 ประทบั ตราปลอม
2.4 ลงลายมือชื่อปลอม
3. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ่ืน หรือประชาชน
4. ตอ้ งมีเจตนาพิเศษเพือ่ ให้ผหู้ น่ึงผใู้ ดหลงเช่ือวา่ เป็นเอกสารที่แทจ้ ริง
เอกสารมาตรา 1 (7) หมายถึง กระดาษหรือวตั ถุอื่นใดซ่ึงทาใหเ้ กิดปรากฏความหมายดว้ ย
อกั ษรตวั เลขผงั หรือแบบแผนอยา่ งอ่ืนจะเป็นโดยวิธีพิมพห์ รือถ่ายภาพหรือวิธีอ่ืนใดอนั เป็น
หลกั ฐานแห่งความหมายน้นั
กระดาษหรือวตั ถุอ่ืนใดจะเป็นเอกสารไดจ้ ะตอ้ งทาใหป้ รากฏความหมายดว้ ย
ยกตวั อยา่ งของ “วตั ถอุ ่ืนใด” เช่น ตวั เลขที่พานทา้ ยปื น กระดาษที่ปิ ดขวดสุรา หลกั เขตที่ดิน ป้าย
ทะเบียนรถ หมายเลขเคร่ืองยนต์ ตีตราสัตว์ ขอ้ มลู อิเลก็ ทรอนิกส์ท่ีบนั ทึกไวใ้ นเครื่องคอมพวิ เตอร์
(วรี ะวฒั น์ ปวราจารย,์ 2560, เลม่ ที่ 11,หนา้ 68) จดหมายอิเลก็ ทรอนิกส์ เป็นตน้
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1989/2564 การส่งขอ้ มลู ในรูปแบบทางจดหมายอิเลก็ ทรอนิกส์ผา่ น
เครือข่ายอินเทอร์เนต็ ถือเป็นการใชเ้ ครื่องคอมพิวเตอร์หรือเคร่ืองอิเลก็ ทรอนิกส์อื่น ซ่ึงเป็นวตั ถุอ่ืน
ใดทาใหป้ รากฎและสามารถอา่ นและเขา้ ใจความหมายได้ อนั เป็นหลกั ฐานแห่งความหมาย จึงเป็น
เอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (7)
ส่วนกรณีท่ีกฎหมายไมถ่ ือว่าเป็น เอกสารตาม มาตรา 1 (7) ไดแ้ ก่ กระดาษเปลา่
แบบฟอร์ม หรือรูปถา่ ย ที่ไม่ปรากฏตวั อกั ษร ตวั เลข อนั ปรากฏและจะทาใหส้ ามารถอา่ นและเขา้ ใจ
ความหมายได้ อนั เป็นหลกั ฐานแห่งความหมายไดต้ ามกฎหมาย
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 5674/2544 เช็คที่ยงั ไมไ่ ดก้ รอกรายการตวั เลขไมเ่ ป็นเอกสารตาม
มาตรา 1 (7) จาเลยเอาแบบพิมพเ์ ช็คของผเู้ สียหายไปไม่ผดิ มาตรา 188 แตก่ ารเอาไปโดยทุจริตเป็น
ลกั ทรัพยไ์ ด้
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1209/2522 ภาพถา่ ยหอ้ งไมเ่ ป็นเอกสารตามมาตรา 1 (7) เพราะ
เมื่อถา่ ยออกมาก็อยใู่ นสภาพอยา่ งน้นั ไมม่ ีความหมายใดๆและฟิ ลม์ ก็ไม่ใช่เอกสารดว้ ยจาเลยไม่ผิด
มาตรา 188
คาพิพากษาฎีกาที่ 1530/2522 ภาพถา่ ยรับปริญญาที่จาเลยเอาหวั ตนเองไปติดไวแ้ ละ
230
หอ้ งอดั ขยายใหม่เป็นภาพถา่ ยที่ไม่ไดท้ าใหป้ รากฏความหมายไมเ่ ป็นเอกสารตามมาตรา 1 (7) ส่วน
ตวั เลข พ.ศ. ท่ีจาเลยเปล่ียนจาก 2508 เป็น 2504 ก็ไมป่ รากฏความหมายในตวั เองจึงไม่เป็นเอกสาร
ปลอมและใชเ้ อกสารปลอม
อาจารยจ์ ิตติไม่เห็นดว้ ยกบั ฎีกาน้ีท่านเห็นวา่ ตวั เลขพ.ศ.บอกอยใู่ นตวั วา่ รับเม่ือใดไม่เป็น
เอกสารไมไ่ ดท้ า่ นวา่ เป็นเอกสารเทจ็ ไม่ใช่ปลอม (เกียรติขจร วจั นะสวสั ด์ิ, 2557, หนา้ 190-191)
คาพิพากษาฎีกาที่ 769/2540 มาตรา 264 คาวา่ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่
ผอู้ ่ืนหรือประชาชนถือเป็นพฤติการณ์ประกอบการกระทา (ไม่ใช่กระทาโดยแทแ้ ละไม่ใช่เจตนา
พเิ ศษ) ถา้ หากการปลอมมีพฤติการณ์ท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ื่นหรือประชาชนก็เป็นความผิด
สาเร็จโดยไมจ่ าตอ้ งรอใหเ้ กิดความเสียหายข้ึนมาเสียก่อน
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1277/2537 จาเลยเอาภาพถา่ ยของตวั เองไปแปะไวใ้ นหนงั สือเดินทาง
ของผอู้ ื่นที่ตนไดแ้ กะรูปของเขาออก แมภ้ าพถา่ ยจะไมใ่ ช่เอกสารจะเอารูปไปติดท่ีหนงั สือเดินทาง
ทาใหค้ วามหมายท่ีแทจ้ ริงเปล่ียนแปลงไฟจึงเป็นการปลอมเอกสารราชการและเม่ือนาไปแสดงต่อ
เจา้ หนา้ ที่ยอ่ มผดิ ฐานใชเ้ อกสารราชการปลอมดว้ ยใชห้ ลายคราวกเ็ ป็นความผิดหลายกรรมตา่ งกนั
คร้ังแรกปลอมและใชผ้ ดิ มาตรา 265 ประกอบมาตรา 268 วรรคแรกประกอบ 265 ลงโทษมาตรา
268 วรรคสอง คร้ังที่ 2 ใชเ้ อกสารปลอมอนั เดิมจึงผิดมาตรา 268 วรรคแรกบวก 264 ดงั น้นั จึงเรียง
กระทงลงโทษตามมาตรา 91
คาพิพากษาฎีกาท่ี 4766/2538 จาเลยเอารูปถ่ายของน.มาติดกบั รูปของ มาตรา ในบตั ร
ประชาชนโดยคดิ ค่าทา 15 บาทถือวา่ จาเลยมีเจตนาทาใหผ้ อู้ ื่นหลงชื่อวา่ เป็นบตั รประชาชนที่แทจ้ ริง
ของ น.โดยบตั รประชาชนเป็นเอกสารราชการตามมาตรา 1 (8) แมบ้ ตั รประชาชนที่จาเลยทาปลอม
ข้นึ น้นั จะเป็นเพียงภาพถ่ายเอกสารแตก่ ารกระทาของจาเลยมีลกั ษณะเพื่อการใชอ้ ยา่ งบตั รประชาชน
ฉบบั จริงซ่ึงผิดฐานปลอมเอกสารราชการ
คาพิพากษาฎีกาท่ี 275/2461 จาเลยชาระค่าเรือไป 4 บาทแต่ทารายงานเบิกเงินแก่ทาง
ราชการ 10 บาทเมื่อเอกสารการจ่ายเงินเป็นเอกสารที่แทจ้ ริงไมใ่ ชเ้ อกสารปลอมลายมือช่ือก็ไม่ใช่
ลายมือปลอมเพยี งแตข่ อ้ ความไมต่ รงกบั ความจริงซ่ึงเป็นเอกสารเทจ็ จึงไมผ่ ดิ ฐานปลอมหนงั สือแต่
ผดิ ฐานฉอ้ โกง
คาพิพากษาฎีกาท่ี 973/2480 ข.เอาลอตเตอรี่ท่ีไม่ถูกรางวลั มาเขยี นขอ้ ความท่ีดา้ นหลงั
ขอ้ ความน้ีไมไ่ ดแ้ สดงวา่ ผอู้ ่ืนเป็นผเู้ ขียนไมผ่ ิดฐานปลอมเอกสารเพราะเป็นการเขียนขอ้ ความเร็ว
ข. เอง
คาพิพากษาฎีกาที่ 2179/2524 จาเลยเป็นผจู้ ดั การฝ่ายบญั ชีไดก้ รอกขอ้ ความในแบบพมิ พ์
ใบนาฝากเงินวา่ มีการนาใชเ้ งินสดเขา้ บญั ชีลูกคา้ และลงช่ือซ่ึงจาเลยทาในหนา้ ที่ของจาเลย
231
แมข้ อ้ ความจะไมเ่ ป็นความจริงเพราะไมม่ ีเช็คเขา้ บญั ชีจึงเป็นเพยี งจาเลยทาหนงั สืออนั มีขอ้ ความ
อนั เป็นเทจ็ เทา่ น้นั จาเลยไม่ผิดฐานปลอมเอกสารสิทธ์ิ แมจ้ าเลยจะนาไปใชก้ ไ็ ม่ผดิ ฐานใชเ้ อกสาร
ปลอม
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 2995/2537 จาเลยนาแผน่ กระดาษมาเขียนใหเ้ หมือนกบั ป้ายทะเบียน
ของทางราชการและนากระดาษน้นั ไปติดไวก้ บั รถของจาเลย กรณีมิใช่การทาเอกสารปลอมเพราะ
จาเลยใชป้ ้ายน้นั เป็นตวั อยา่ งในการโฆษณาการจดั ทาป้ายทะเบียนเพือ่ จาหน่ายรถ ไม่ไดท้ าเพ่ือให้
ผใู้ ดหลงเช่ือวา่ เป็นเอกสารที่แทจ้ ริงแมจ้ าเลยจะนาไปติดกบั รถจาเลยกไ็ มผ่ ดิ ฐานใชเ้ อกสารปลอม
ภาพถ่ายเป็นภาพจาลองวตั ถไุ ม่ไดแ้ สดงความหมายจึงไม่เป็นเอกสารตามมาตรา 1 (7) แต่
ถา้ ภาพถา่ ยดงั กลา่ วเป็นภาพถ่ายขอ้ ความที่มีความหมายและเป็นหลกั ฐานแห่งความหมายภาพถ่าย
น้นั เป็นเอกสารเช่นภาพถ่ายบตั รประชาชน
สลากกินแบ่งรัฐบาล ใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ ใบอนุญาตขบั รถคนทวั่ ไปจะทาข้ึน
ใชเ้ องไมไ่ ดถ้ า้ ไปจดั พมิ พข์ ้นึ ใชเ้ องกเ็ ป็นการปลอมเอกสารได้
การปลอมเอกสารตอ้ งมีเจตนาพิเศษคอื เพือ่ ใหผ้ พู้ บเห็นเอกสารเขา้ ใจวา่ เป็นเอกสารท่ี
แทจ้ ริง การทาเอกสารเป็นของตนเองไมไ่ ดป้ ลอมเอกสารของผใู้ ดและไมไ่ ดท้ าใหผ้ พู้ บเห็นเอกสาร
เขา้ ใจวา่ เป็นเอกสารที่แทจ้ ริงท่ีผอู้ ่ืนทาข้ึน ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1046-7/2526 จาเลยทาสญั ญาซ้ือขายรถหลงั วนั ที่รถไปทางละเมิด
เพอ่ื ใหต้ นพน้ ผดิ ทางแพ่งจาเลยทาสญั ญาและเช่าซ้ือกนั เองโดยลงลายมือช่ือตนเอง ไมไ่ ดป้ ลอม
ลายมือช่ือผใู้ ดเท่ากบั จาเลยไม่ไดก้ ระทาเพ่ือให้เห็นวา่ เป็นเอกสารที่แทจ้ ริงที่ผอู้ ื่นทาข้ึนจึงไม่ผดิ ฐาน
ปลอมเอกสาร แต่การการทาเอกสารเทจ็ น้ีเพื่อใชเ้ ป็นพยานในคดีแพ่งยอ่ มเป็นการใชเ้ อกสารเทจ็
มาตรา 180 และเบิกความเทจ็ มาตรา 177 ได้
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1363/2508 จาเลยทาบญั ชีเทจ็ โดยไมล่ งรายการชาระหน้ีของนายนอ้ ย
เป็นการทาเอกสารเทจ็ ไมไ่ ดท้ าปลอมเอกสารอนั แทจ้ ริงของผใู้ ด เพราะบญั ชีน้นั เป็นบญั ชีของจาเลย
ทาข้นึ เองท้งั ฉบบั เม่ือไม่ใช่การปลอมเอกสารจึงไม่ผิดฐานใชเ้ อกสารปลอมตามมาตรา 264, มาตรา
268
ข้อสังเกต
1. การทาเอกสารมีขอ้ ความเป็นเทจ็ โดยลงลายมือช่ือของตนเองไม่ไดป้ ลอมลายมือช่ือ
ผใู้ ดแต่ถา้ ทาเพือ่ ใหผ้ พู้ บเห็นเอกสารเขา้ ใจวา่ เป็นเอกสารท่ีแทจ้ ริงท่ีผอู้ ่ืนทาข้ึนเป็นความผิดฐาน
ปลอมเอกสารได้
232
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1733/2514 จาเลยทาเอกสารมีขอ้ ความเทจ็ และเซ็นช่ือรับรองสาเนา
ถกู ตอ้ งแมต้ น้ ฉบบั อนั แทจ้ ริงกไ็ มม่ ีเทา่ กบั เป็นการปลอมข้ึนท้งั ฉบบั เพ่ือให้เห็นวา่ คดั มาจากตน้ ฉบบั
ท่ีแทจ้ ริงถือไดว้ า่ เป็นเอกปลอมเอกสาร
2. การทาเอกสารเองและลงวนั ท่ียอ้ นหลงั ถา้ เป็นการทาข้ึนเพอื่ ให้เห็นวา่ เป็นเอกสาร
ท่ีผอู้ ื่นทาข้นึ ตามวนั ท่ีที่ลงในเอกสารเป็นการปลอมเอกสารได้
คาพิพากษาฎีกาที่ 769/2540 จาเลยทาสญั ญากแู้ ละลงลายมือช่ือส.ผใู้ หส้ ัญญาดว้ ย
ตนเองเมื่อปี 2536 หลงั จากที่ส.ตายเมื่อปี 53 และลงวนั ท่ียอ้ นหลงั วา่ ไดท้ าสัญญาเม่ือ 15 ธนั วาคม
2531 โดยขอ้ ความในสัญญาไมเ่ ป็นความจริงซ่ึงน่าจะเกิดความเสียหายแก่ทายาทของส. เป็นการทา
เพือ่ ใหผ้ อู้ ื่นเชื่อวา่ สัญญากเู้ งินเป็นเอกสารที่แทจ้ ริงจาเลยผิดปลอมเอกสารมาตรา 265
การทาเอกสารโดยไมม่ ีอานาจที่จะทาไดเ้ พ่ือใหผ้ อู้ ื่นหลงช่ือวา่ เป็นเอกสารที่แทจ้ ริงที่
ผมู้ ีอานาจทาเอกสารข้ึนเป็นความผดิ ฐานปลอมเอกสาร
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 635/2507 นายอาเภอเป็นผมู้ ีอานาจลงนามในใบอนุญาตใชป้ ื น
ปลดั อาเภอกรอกขอ้ ความในใบอนุญาตและลงชื่อตนเป็นนายทะเบียนประทบั ตรานายอาเภอ
ปลดั อาเภอปิ ดผดิ มาตรา 161 เพราะปลอมตนวา่ เป็นเจา้ พนกั งานผมู้ ีอานาจลงนาม
คาพิพากษาฎีกาที่ 795/2518 จาเลยลงช่ือในใบสุทธิโดยระบุตนเป็นครูใหญ่ อาจารย์
ใหญเ่ ป็นการปลอมตนวา่ เป็นผมู้ ีอานาจลงนามในเอกสารน้นั เอกสารน้ีจึงไม่ใช่เอกสารที่แทจ้ ริง
แมข้ อ้ ความในใบสุทธิน้นั จะเป็นความจริงก็ไม่ใช่วา่ เอกสารปลอมจะมีขอ้ ความตรงกบั ความจริง
มิไดส้ าระสาคญั อยทู่ ่ีจาเลยมีอานาจลงนามในเอกสารน้นั ไดห้ รือไม่ การกระทาของจาเลยจึงเป็น
การปลอมเอกสารมาตรา 264 วรรคแรก
อาจารยจ์ ิตติ มีความเห็นวา่ เป็นการปลอมเอกสารโดยปลอมตาแหน่งจาเลยไมม่ ีอานาจ
โดยตาแหน่งที่จะลงลายมือชื่อทาเอกสารน้นั ไดแ้ ต่ลงลายมือชื่อตนในตาแหน่งโดยไม่มีอานาจ แม้
จะลงลายมือช่ือตนเองกเ็ ป็นปลอมตวั บุคคลในตาแหน่งหนา้ ที่น้นั
การลงลายมือช่ือแทจ้ ริงในเอกสารของผอู้ ื่นเพ่ือใหผ้ ทู้ ่ีพบเห็นเขา้ ใจวา่ เป็นการลงชื่อโดย
ผมู้ ีอานาจเป็นการปลอมเอกสาร
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 2202/2531 จาเลยเป็นลูกจา้ งหา้ งโจทกร์ ับเช็คจากผอู้ ื่นท่ีชาระหน้ี
ใหโ้ จทกแ์ ทนที่จะมอบใหโ้ จทก์ แตก่ ลบั นาเชค็ ไปเรียกเกบ็ จากธนาคารโดยจาเลยลงชื่อและ
ประทบั ตราสาคญั ของหา้ งโจทกแ์ มจ้ ะเป็นลายมือชื่อของจาเลยแตเ่ ป็นการทาเพือ่ ลวงใหธ้ นาคาร
หลงเชื่อวา่ เป็นการลงช่ือโดยผมู้ ีอานาจกระทาการแทนโจทกจ์ ึงเป็นการปลอมเอกสารโดย
เติมขอ้ ความในเอกสารที่แทจ้ ริงและเช็คเป็นตวั๋ เงินจึงผิดมาตรา 266(4) และปลอมเอกสารสิทธิ
233
มาตรา 265 ดว้ ยเพราะเช็คเป็นเอกสารสิทธ์ิดว้ ย
ข้อสังเกต การแกไ้ ขโดยเพ่ิมเติมตดั ทอนหรือแกไ้ ขดว้ ยประการใดๆในเอกสารที่แทจ้ ริง
ตอ้ งระวงั ถา้ เป็นการเติมโดยผมู้ ีอานาจแลว้ ไมเ่ ป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร
คาพิพากษาฎีกาท่ี 197/2509 จาเลยเป็นเจา้ พนกั งานท่ีดินลบวนั เดือนปี ลายมือชื่อของ
ตนเองก่อนที่จะออกโฉนดและแจกใหแ้ ก่จาเลยการแกไ้ ขน้ีจาเลยมีอานาจแกไ้ ขไดจ้ าเลยไมผ่ ดิ
ปลอมเอกสาร
คาพิพากษาฎีกาท่ี 2907/2526 จาเลยเป็นปลดั และเลขาเทศบาลจาเลยใชใ้ ห้ ส.แกไ้ ข
รายงานการประชุมที่ ส.ทาข้นึ โดยจาเลยไม่มีอานาจให้แกไ้ ขจาเลยผิดฐานใชใ้ หผ้ ูอ้ ื่นปลอมเอกสาร
มาตรา 265 ประกอบมาตรา 84 จาเลยมีหนา้ ที่ดูแลรักษาเอกสารจาเลยผดิ มาตรา 161 ดว้ ยและเมื่อ
จาเลยนาเอกสารปลอมไปใชจ้ าเลยจึงผิดมาตรา 268 อีกกระทง
จาเลยเป็นเลขามีหนา้ ที่ทารายงานการประชุมและลงชื่อตนเป็นผทู้ ามิไดท้ าในนามผอู้ ่ืน
เอกสารน้นั จึงเป็นเอกสารท่ีแทจ้ ริงที่จาเลยทาข้ึน แมข้ อ้ ความจะไม่เป็นความจริงกไ็ ม่ทาใหเ้ ป็น
เอกสารปลอม มาตรา 161 แต่เป็นการทาเอกสารเทจ็ มาตรา 162 แต่โจทกไ์ มไ่ ดบ้ รรยายฟ้องและ
ขอใหล้ งโทษมาตรา 162 จึงลงโทษจาเลยไม่ได้ การที่จาเลยแกไ้ ขมติในรายงานโดยไม่มีเจตนา
เพือ่ ใหเ้ กิดความเสียหายแก่เทศบาลหากเป็นการเขา้ ใจผิดตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยจาเลย
จึงไม่ผดิ มาตรา 157
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 4582/2543 จาเลยทาสาเนาภาพถ่ายสญั ญาเช่าโดยการปกปิ ดขอ้ เท็จจริง
บางอยา่ งไวแ้ ต่หากไม่ไดท้ าใหเ้ น้ือหาตามขอ้ สญั ญาตอ้ งเปลี่ยนแปลงไปหรือเพมิ่ เติมขอ้ ความใหม่
การปกปิ ดเช่นน้นั จึงถือไมไ่ ดว้ า่ เป็นการตดั ทอนขอ้ ความอนั จะเป็นความผดิ ฐานปลอมเอกสาร
อีกท้งั ไมก่ ่อใหเ้ กิดหรือไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ื่นหรือประชาชนท้งั โจทกก์ ็ไมไ่ ดร้ ับความ
เสียหายจากการที่จาเลยปกปิ ดขอ้ เท็จจริง จาเลยจึงไม่ผิดมาตรา 264 และการท่ีจาเลยเบิกความ
โดยอา้ งถึงสญั ญาเช่าดงั กล่าวกไ็ ม่ถือวา่ เป็นการเบิกความเทจ็ มาตรา 177 เพราะมีการทาสัญญา
ดงั กล่าวจริง อีกท้งั ศาลเห็นว่าขอ้ ความที่ถูกปกปิ ดไม่ใช่เป็นขอ้ สาคญั ในคดี
การกระทาท่ีจะเป็นการปลอมเอกสารมี 4 ลกั ษณะ
1. ทาเอกสารปลอมท้งั ฉบบั หรือแต่ส่วนหน่ึงส่วนใด
2. เติมหรือตดั ทอนขอ้ ความหรือแกไ้ ขดว้ ยประการใดใดในเอกสารท่ีแทจ้ ริง
3. ประทบั ตราปลอม
4. ลงลายมือชื่อปลอม
234
ลกั ษณะของการปลอมเอกสารดังนี้
1. ผู้ใดทาเอกสารปลอมขนึ้ ท้ังฉบบั หมายถึงไม่จาเป็ นต้องมีเอกสารท่ีแท้จริงอย่กู ่อนทจี่ ะลงชื่อ
ปลอมจะมีเอกสารที่แท้จริงอย่กู ่อนหรือไม่มกี ไ็ ด้
การทาเอกสารข้ึนมาท้งั ฉบบั โดยไม่เคยมีเอกสารท่ีแทจ้ ริงอยเู่ ลยถา้ ทาเพื่อใหผ้ หู้ ลงเชื่อวา่
เป็นเอกสารท่ีแทจ้ ริงและน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ื่นหรือประชาชนแลว้ ยอ่ มเป็นความผดิ ฐาน
ปลอมเอกสารได้
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1733/2514 จาเลยทาเอกสารมีขอ้ ความเทจ็ ท้งั สิ้นและจาเลยเซ็นรับรอง
สาเนาถูกตอ้ งและตน้ ฉบบั อนั แทจ้ ริงกไ็ ม่มีเทา่ กบั เป็นการปลอมข้นึ ท้งั หมดเพ่ือใหเ้ ห็นวา่ คดั มาจาก
ตน้ ฉบบั ท่ีแทจ้ ึงถือวา่ เป็นการปลอมเอกสาร
ข้อสังเกต
1. บนั ทึกขอ้ ตกลงเร่ืองกรรมสิทธ์ิรวม (ท.ด.70) เป็นเอกสารสิทธ์ิตามมาตรา 1 (9)
2. จาเลยเป็นผปู้ ลอมจึงผดิ มาตรา 265 ต่อมานาไปใชซ้ ่ึงผิดมาตรา 268 จาเลยเป็น
ผปู้ ลอมเอกสารสิทธ์ิน้นั เองจึงตอ้ งโทษฐานใชเ้ อกสารสิทธ์ิปลอมแตก่ ระทงเดียวคือมาตรา 268
วรรคสอง
3. การปลอมเอกสารข้นึ ท้งั ฉบบั ไม่จาตอ้ งปลอมจากเอกสารที่มีอยจู่ ริงแทเ้ สมอไป
คาพิพากษาฎีกาท่ี 12/2519 ตารวจใหส้ ายลบั วา่ จา้ งจาเลยทาสาเนาทะเบียนบา้ นปลอม
ศาลฎีกาวา่ จาเลยทาสาเนาทะเบียนบา้ นปลอมข้นึ แมจ้ ะมิไดน้ าไปใชใ้ นกิจการที่จาเลยทาและไมม่ ี
ผใู้ ดมีเจตนานาไปใชแ้ ตก่ ารทาสาเนาทะเบียนบา้ นปลอมข้นึ จึงเห็นไดว้ า่ จาเลยไดก้ ระทาเพ่อื ให้
ผหู้ น่ึงผใู้ ดหลงเช่ือวา่ เป็นเอกสารที่แทจ้ ริงจึงเขา้ ประกอบมาตรา 264 ท่ีวา่ คือประการที่น่าจะเกิด
ความเสียหายแก่ผอู้ ่ืนหรือประชาชนและไดก้ ระทาเพื่อให้ผหู้ น่ึงผใู้ ดหลงเชื่อวา่ เป็นเอกสารที่แทจ้ ริง
แลว้
ข้อสังเกต
1. สาเนาทะเบียนบา้ นเป็นเอกสารท่ีเจา้ พนกั งานไดท้ าข้ึนจึงเป็นเอกสารราชการ
มาตรา 1 (8) จาเลยผดิ ฐานปลอมเอกสารราชการจาเลยทาสาเนาทะเบียนบา้ นปลอมข้ึนแมจ้ าเลยจะ
ไมไ่ ดเ้ ป็นเจา้ พนกั งานแต่จาเลยมุ่งหมายใหม้ ีการนาไปใชอ้ ยา่ งเอกสารราชการ
2. เมื่อจาเลยนาสาเนาทะเบียนบา้ นไปแสดงต่อสายลบั ตารวจเป็นการใชเ้ อกสาร
ปลอมซ่ึงอาจถูกนาไปใชอ้ ยา่ งเอกสารที่แทจ้ ริงต่อไป อนั อาจเกิดความเสียหายแก่ผอู้ ่ืนหรือ
ประชาชนไดแ้ ตศ่ าลไม่ใหไ้ มไ่ ดล้ งโทษฐานใชเ้ อกสารราชการปลอมเพราะโจทกไ์ มไ่ ดฟ้ ้องใน
ขอ้ หาน้ีมาดว้ ย
235
3. สาเนาทะเบียนบา้ นเป็นทรัพยท์ ่ีไดม้ าจากการกระทาความผดิ ฐานปลอมเอกสารจึง
ตอ้ งริบตามมาตรา 33 (2) ส่วนเกิน 500 บาทท่ีสายลบั ไปล่อซ้ือน้นั ไมใ่ ช่ทรัพยท์ ่ีไดใ้ ชใ้ นการกระทา
ความผดิ หรือไดม้ าโดยการกระทาความผดิ
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 2497/2522 จาเลยที่ 1 เป็นผตู้ ิดต่อและรับเงินจากผตู้ อ้ งการได้
ประกาศนียบตั รปลอม ส่วนจาเลยที่ 2 เป็นผไู้ ปติดตอ่ กบั คนท่ีปลอมเอกสารเมื่อไดเ้ งินมากแ็ บง่ กนั
แมจ้ าเลยท้งั สองมิไดท้ าการปลอมเองก็ตาม แต่เห็นไดช้ ดั วา่ ไดร้ ่วมกนั กบั คนที่ทาปลอมข้นึ โดยแบ่ง
หนา้ ท่ีกนั ทาจึงผิดฐานร่วมกนั ปลอมเอกสารราชการ
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 2316/ 2527 จาเลยทาคาส่ังต้งั ขา้ ราชการปลอมโดยตดั ลายเซ็นผวู้ า่
ราชการจงั หวดั ที่ลงนามมาติดทา้ ยคาสั่งท่ีจาเลยทาและโรเนียวคาส่ังออกมาเพ่ือใหห้ ลงเช่ือวา่ เป็น
คาส่งั ที่แทจ้ ริงจึงผิดปลอมเอกสารราชการ
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 614/2535 จาเลยที่ 2 ลกั สมุดเช็คของโจทกไ์ ปใชจ้ าเลยท่ี 1 กรอก
จานวนเงินและปลอมลายมือชื่อโจทกห์ ลงั จากปลอมใชจ้ าเลยที่ 2 พาจาเลยท่ี 1 ไปธนาคารเมื่อเบิก
เงินไดแ้ ลว้ กลบั บา้ นดว้ ยกนั จาเลยที่ 2 ร่วมกบั จาเลยท่ี 1 ทาผิดฐานปลอมและใชเ้ อกสารปลอม
จาเลยท่ี 2 ลกั เชค็ แลว้ ปลอมและใชเ้ ช็คปลอมดงั กล่าวมีเจตนาแยกตา่ งหากยอ่ มเป็นความผดิ ต่าง
กรรมกนั
“ไดก้ ระทาเพื่อใหผ้ หู้ น่ึงผใู้ ดหลงเชื่อวา่ เป็นเอกสารท่ีแทจ้ ริง” ซ่ึงมิไดเ้ จาะจงผทู้ ่ีถูก
กระทาใหห้ ลงเชื่อไวโ้ ดยเฉพาะวา่ จะตอ้ งเป็นผใู้ ด ท้งั บคุ คลที่จะถกู ทาใหห้ ลงเชื่อในกฎหมายมิได้
กาหนดวา่ จาตอ้ งเก่ียวโยงเป็นบคุ คลกลมุ่ เดียวกบั บุคคลท่ีน่าจะเกิดความเสียหาย อาจเป็นบคุ คลหน่ึง
บคุ คลใดกไ็ ด้
การปลอมเอกสารโดยทาเอกสารข้นึ เพียงส่วนหน่ึงส่วนใดยงั ไมพ่ บฎีกาแตย่ กตวั อยา่ ง
เช่นในกรณีที่มีผทู้ าเอกสารข้ึนจริงแตย่ งั ทาไมเ่ สร็จหากมีผูใ้ ดไปเติมขอ้ ความข้นึ อีกจนเป็นเอกสาร
ท่ีสมบรู ณ์เพื่อใหบ้ คุ คลอื่นลงชื่อวา่ เป็นเอกสารท่ีแทจ้ ริงเท่ากบั เป็นการปลอมแตส่ ่วนหน่ึงส่วนใด
ตามมาตรา 264
2. การปลอมโดยเติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง
ตอ้ งกระทาต่อเอกสารท่ีแทจ้ ริงเทา่ น้นั จึงจะเป็นความผิดและตอ้ งเป็นการเติมหรือตดั
ทอนหรือแกไ้ ขขอ้ ความในเอกสารโดยตนไมม่ ีอานาจที่จะกระทาได้ การแกไ้ ขขอ้ ความในขณะที่
ตนมีอานาจท่ีจะแกไ้ ขไดไ้ ม่เป็นการปลอมเอกสาร
คาพิพากษาฎีกาท่ี 4073/2545 การปลอมเอกสารมี 2 ประการที่เป็นความผิดคือการทา
เอกสารปลอมข้ึนท้งั ฉบบั หรือแต่ส่วนหน่ึงส่วนใดไม่จาตอ้ งกระทาลงในเอกสารที่แทจ้ ริงตา่ งไป
236
จากการเติมหรือตดั ทอนขอ้ ความหรือแกไ้ ขดว้ ยประการใด ๆ ในเอกสารจะตอ้ งกระทาในเอกสารที่
แทจ้ ริงเท่าน้นั จึงจะเป็นความผดิ
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 584/2508 บิลซ้ือเช่ือสินคา้ เป็นหลกั ฐานแห่งการก่อหน้ีสินและสิทธิ
เรียกร้องจึงเป็นเอกสารสิทธ์ิจาเลยปลอมบิลโดยเปล่ียนตวั ผซู้ ้ือคอื ตวั ลูกหน้ีจากนายสมบรู ณ์เป็น
นางทองคาเม่ือจาเลยอา้ งส่งในคดีแพ่งเป็นเวลาท่ีโจทกท์ ่ี 1 ซ่ึงเป็นหลานเขา้ รับมรดกแทนนาง
ทองคาแลว้ โจทกท์ ี่ 1 จนเป็นผเู้ สียหายตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญามาตรา 2 อนุ 4
การเติมขอ้ ความเอกสารที่จาเลยทาข้ึนเองแต่จาเลยหมดอานาจที่จะเติมแลว้ เพราะไดน้ าไปใชเ้ ป็น
หลกั ฐานในการขายสินคา้ ใหแ้ ก่นายสมบูรณ์จนนายสมบรู ณ์ไดต้ รวจรับของไวแ้ ลว้ จาเลยจึงผิดฐาน
ปลอมเอกสาร
คาพิพากษาฎีกาที่ 123/2507 การตดั ทอนแกไ้ ขหนงั สือท่ีตนเองทาข้ึนก่อนส่งมอบใหแ้ ก่
บุคคลอ่ืนไปเป็นการกระทาที่ไม่อาจใหเ้ กิดความเสียหายแก่ผใู้ ดไดจ้ ึงไมเ่ ป็นความผดิ ฐานปลอม
เอกสาร
การแกไ้ ขขอ้ ความในเอกสารขณะท่ีตนไม่มีอานาจที่จะแกไ้ ขไดเ้ ป็นความผิดฐานปลอม
เอกสาร
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1532/2526 จาเลยกูเ้ งินเพยี ง 3 หม่ืนบาท โจทกใ์ หล้ งชื่อโดยไม่ได้
กรอกขอ้ ความเมื่อตวั เลข 4 หม่ืนบาทถูกเขยี นข้นึ ภายหลงั โดยไม่ตรงกบั ความเป็นจริง สัญญากูจ้ ึง
เป็นเอกสารปลอม โจทกไ์ มอ่ าจแสวงสิทธิจากเอกสารปลอมไดถ้ ือไดว้ า่ การกนู้ ้ีไมม่ ีหลกั ฐานแห่ง
การกูย้ มื เป็นหนงั สือไม่อาจฟ้องร้องบงั คบั คดีไดต้ ามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653
คาพิพากษาฎีกาที่ 1819/2532 จาเลยแกไ้ ขตาแหน่งในบนั ทึกการขอบรรจุขา้ ราชการเป็น
ปลอมเอกสารราชการ
คาพิพากษาฎีกาท่ี 825/2506 จาเลยชาระหน้ีใหแ้ ก่เจา้ หน้ีเพียงหน่ึงหม่ืนบาทแตจ่ าเลย
แกไ้ ขในใบรับเงินที่เจา้ หน้ีเซ็นตเ์ ป็น 70,000 บาท ต่อมาจาเลยนาใบรับเงินปลอมน้ีมาแสดงตอ่ ศาล
ทาใหเ้ จา้ หน้ีไดร้ ับความเสียหายเพราะถา้ ศาลเช่ือวา่ เป็นเอกสารที่แทจ้ ริงผดิ ปลอมเอกสารมาตรา
264 แลว้ จาเลยปลอมใบรับเงินเป็นการปลอมเอกสารสิทธ์ิตามมาตรา 265 แลว้ นามาอา้ งตอ่ ศาลจึง
ผดิ 268 ดว้ ยลงโทษมาตรา 268 ตามอตั ราโทษในมาตรา 265
คาพิพากษาฎีกาที่ 305/2508 สญั ญากเู้ งินเป็นเอกสารสิทธ์ิมี 2 ส่วนคือหนงั สือสญั ญากู้
และบนั ทึกการชาระหน้ีบางส่วนแต่จาเลยลบบนั ทึกการชาระหน้ีออกเพื่อใหศ้ าลหลงเช่ือวา่ ไมเ่ คยมี
การผอ่ นชาระหน้ีกนั เลยเท่ากบั เป็นการตดั ทอนหรือแกไ้ ขดว้ ยประการใดๆในเอกสารที่แทจ้ ริงเป็น
ปลอมเอกสารมาตรา 264 และจาเลยผิดฐานปลอมเอกสารสิทธ์ิมาตรา 265 และการนาเอกสารสิทธ์ิ
237
ปลอมมาฟ้องโจทกก์ เ็ ป็นการใชเ้ อกสารสิทธ์ิปลอมดว้ ยตามมาตรา 268 ศาลลงโทษมาตรา 268
วรรคสอง และมาตรา 265
ข้อสังเกต
1. ถา้ บนั ทึกการชาระหน้ีเขียนไวใ้ นกระดาษอีกแผน่ ตา่ งหากไม่ไดเ้ ขยี นใหส้ ญั ญากู้
การไปลบขอ้ ความเสียท้งั หมดจนไม่มีเน้ือความใดๆ เหลืออยอู่ ีก ยอ่ มเป็นความผดิ ฐานทาลาย
เอกสารตามมาตรา 188 ไมเ่ ป็นการปลอมเอกสาร
คาพิพากษาฎีกาที่ 6266/2545 การที่จาเลยขดู ลบเครื่องหมายทะเบียนอาวุธปื นออก
ท้งั หมดเป็นเพียงการทาลายเอกสารไมใ่ ช่ปลอมเอกสารเพราะไมม่ ีเอกสารเหลืออยใู่ หผ้ หู้ น่ึงผใู้ ด
หลงชื่อวา่ เป็นเอกสารที่แทจ้ ริง จาเลยไม่ผิดฐานปลอมเอกสารราชการมาตรา 265
2. สญั ญากูย้ มื เงินเป็นเอกสารสิทธ์ิเพราะเป็นหลกั ฐานแห่งการก่อสิทธิ
บนั ทึกการรับชาระหน้ีก็เป็นเอกสารสิทธ์ิเพราะเป็นหลกั ฐานแห่งการระงบั ไปซ่ึงสิทธ์ิ
การไปลบรายการรับชาระหน้ีออกให้เหลือแตส่ ัญญากยู้ มื อยา่ งเดียว ยอ่ มเป็นการตดั
ทอนขอ้ ความในเอกสารท่ีแทจ้ ริงผิดปลอมเอกสารในลกั ษณะที่ 2
3. จาเลยปลอมเอกสารสิทธ์ิผดิ มาตรา 265 และเม่ือนาไปแสดงต่อศาลกผ็ ิดใชฐ้ านใช้
มาตรา 268 วรรคแรกจาเลยเป็นผปู้ ลอมเอกสารน้นั เองก็ตอ้ งลงโทษฐานใชเ้ อกสารสิทธ์ิปลอม
กระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรค 2 คือมาตรา 268 วรรคแรกประกอบมาตรา 265
คาพิพากษาฎีกาที่ 245/2507 จาเลยเขยี นกากบาทในสมุดบญั ชีผอู้ ่ืนโดยมิไดต้ ดั ทอนหรือ
แกไ้ ขขอ้ ความในเอกสารให้ผดิ ไปจากขอ้ ความเดิมแมก้ ระทาเพื่อใหห้ ลงเช่ือวา่ จาเลยชาระหน้ีแลว้ ก็
ตามไมผ่ ิดมาตรา 264
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1126/2505 ทาสัญญากแู้ ต่ไมม่ ีพยานต่อมาผใู้ หก้ ูไ้ ดใ้ หค้ นอ่ืนเป็นพยาน
โดยผกู้ ูไ้ ม่ไดร้ ู้เห็นดว้ ยศาลฎีกาวา่ เมื่อสัญญากสู้ มบรู ณ์ (กฎหมายไม่ไดบ้ งั คบั วา่ ตอ้ งมีพยาน) การที่
ผใู้ หก้ ูน้ าไปใหพ้ ยานลงช่ือในภายหลงั ไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทกจ์ ึงไม่ผิดปลอมเอกสารไม่
ผดิ เพราะขาดองคป์ ระกอบเร่ือง ในประการท่ีน่าจะทาใหเ้ กิดความเสียหายแก่ผอู้ ่ืนหรือประชาชน
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 1062/2475 ถา้ ลงชื่อเป็นพยานตามท่ีพยานรู้เห็นจริงแตไ่ ม่ไดล้ งช่ือ
เป็นพยานไวแ้ ต่เดิมมาลงช่ือในภายหลงั กไ็ มเ่ ป็นความผิดเพราะประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์
มาตรา 9 ไม่ไดบ้ งั คบั วา่ ตอ้ งลงลายมือช่ือรับรองขณะพมิ พล์ ายนิ้วมือ แลว้ ท่ีไมเ่ ป็นปลอมก็เพราะ
พยานลงลายมือช่ือรับรองตามความเป็นจริงไม่ไดก้ ระทาในประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผกู้ ู้
จึงขาดองคป์ ระกอบความผิด
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 40/2507 การเปล่ียนรูปถ่ายในใบอนุญาตขบั รถเป็นรูปคนอ่ืนแกช้ ่ือแก้
อายเุ ป็นความผิดฐานปลอม
238
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 790/2483 แตถ่ า้ รูปถา่ ยที่ปิ ดในใบประจาตวั ตา่ งดา้ วของจาเลยหลุดไป
จาเลยก็เอารูปตวั เองปิ ดเขา้ ไปไม่ผิดฐานปลอมเอกสารเพราะไมน่ ่าจะทาใหเ้ กิดความเสียหายแก่ผอู้ ่ืน
หรือประชาชน
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 213/2539 การท่ีจาเลยเอาภาพถ่ายของตนเองมาปิ ดทบั ลงในสาเนา
ภาพถ่ายใบอนุญาตขบั รถของจาเลยกเ็ พื่อใหต้ ารวจหลงช่ือวา่ เป็นตน้ ฉบบั เอกสารที่แทจ้ ริงแตเ่ ม่ือ
รูปถา่ ยและใบขบั ขีเ่ ป็นของจาเลยเองจึงไมผ่ ดิ ฐานปลอมเอกสาร แมจ้ าเลยจะนาไปใชก้ ไ็ ม่ทาให้
จาเลยผิดฐานใชเ้ อกสารปลอมปัญหาน้ีเป็นขอ้ กฎหมายเก่ียวความสงบเรียบร้อยแมไ้ ม่ไดย้ กข้นึ ใน
ศาลช้นั ตน้ สามารถยกข้นึ อา้ งในช้นั ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195
วรรคสองประกอบมาตรา 225
การเติมขอ้ ความโดยมีกฎหมายใหอ้ านาจไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1505/2514 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยม์ าตรา 910 วรรคทา้ ย
ใหอ้ านาจผทู้ รงเชค็ โดยชอบดว้ ยกฎหมายท่ีจะจดวนั ตามท่ีถูกตอ้ งแทจ้ ริงลงในตวั๋ เงินท่ีไมไ่ ดล้ งใน
ตว๋ั ไวไ้ ด้
ความยนิ ยอมของผเู้ สียหายทาใหไ้ ม่เป็นความผิดเพราะเม่ือยนิ ยอมกไ็ ม่น่าจะเกิดความ
เสียหาย
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1811/2531 จดยนื่ ใบสมคั รเขา้ ทางานโดยกรอกขอ้ ความในใบสมคั ร
โดยเวน้ วา่ งเฉพาะเจา้ หนา้ ที่ดา้ นหลงั ใบสมคั รจาเลยเป็นผ.อาจารยไ์ ดก้ รอกขอ้ ความดงั กล่าวเป็น
กรณีท่ีจาเลยทาโดยไดร้ ับความยนิ ยอมจากโจทกไ์ ม่ก่อใหเ้ กิดความเสียหายกบั โจทก์
คาพพิ ากษาฎีกาท่ี 1797/2536 จาเลยท่ี 1 เป็นตารวจไดท้ าบนั ทึกการจบั กมุ แลว้ ใหโ้ จทก์
คือผตู้ อ้ งหาลงช่ือ การท่ีจาเลยท่ี 1 เติมขอ้ ความอีกวา่ สอบถามผตู้ อ้ งหาแลว้ ใหก้ ารรับสารภาพ
ตลอดขอ้ กล่าวหาซ่ึงไม่เป็นความจริงจึงเป็นการทาเอกสารปลอมข้นึ บางส่วนโดยอาศยั โอกาส
ท่ีตนมีหนา้ ที่จาเลยผดิ มาตรา 161 และเป็นการปฏิบตั ิหนา้ ที่โดยมิชอบดว้ ยเกิดความเสียหายแก่
โจทกจ์ าเลยผิดมาตรา 157 อีกดว้ ย
คาพิพากษาฎีกาท่ี 1568/2521 แกไ้ ขตวั เลขในสลากกินแบง่ เพอื่ ใหเ้ พื่อนเล้ียงอาหารจาเลย
ก่อนแลว้ จาเลยทิ้งสลากไปมี ผเู้ กบ็ สลากน้นั ไดไ้ ปขอรับรางวลั นอกจากนอกความรู้เห็นของจาเลย
จาเลยไมผ่ ดิ ฐานปลอมเอกสารเพราะการหลอกใหเ้ พ่ือนเล้ียงเป็นการลอ้ เลน่ กบั เพอ่ื นไม่เสียหายแก่
ประชาชนหรือเพื่อนของจาเลย
คาพพิ ากษาฎีกาที่ 394 4-4 5/2506 โจทกเ์ ป็นพยาบาลมาลงชื่อแต่ไม่อยทู่ างานจาเลยท่ี 1
เป็นเสมียนมาเขียนขอ้ ความวา่ “ใหม้ นั ยตุ ิธรรมหน่อย” จาเลยท่ี 2 เป็นผ.อาจารย์ ขีดฆา่ ลายมือช่ือ