The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รัฐศาสตร์เบื้องต้น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by jarunsaipin.js.js, 2020-05-26 02:38:42

รัฐศาสตร์เบื้องต้น

รัฐศาสตร์เบื้องต้น

Political

Science

ISBN974-94280-0-5

Asst.Prof.Dr.JarunSaipin

พมิ พค์ ร้งั ท่ี 6 มถิ นุ ายน 2561 จานวน 300 เล่ม
สงวนลขิ สทิ ธ์ิ ตาม พ.ร.บ.ลิขสทิ ธ์ิ พ.ศ.2547
ISBN 974-94280-0-5
คณะทป่ี รกึ ษา
พระครสู ทุ ศั นธ์ รรมสุนทร , รศ.ดร.ภาสกร ดอกจนั ทร์

ขอ้ มูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ
จ 371 จรัญ สายป่ิ น.
จ-ร

รัฐศาสตร์เบ้ืองตน้ . ขอนแก่น : บริษทั เพญ็ พรินติ้ง จากดั , 2561
463 หนา้ .
1.รัฐศาสตร์. 2.การเมือง-การปกครอง. ชื่อเร่ือง

จดั พมิ พ์ บริษทั เพญ็ พรินติง้ จากัด ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000
พิมพ์ท่ี บริษทั เพ็ญพรินติง้ จากัด โทร. 043 – 220582, -043 - 326739
ราคา 300 บาท

คำนำ

ตารา “รัฐศาสตร์เบ้ืองต้น” ได้เรียบเรียงข้ึนเพ่ือใช้เป็นตาราในรายวิชา ความรู้เบ้ืองต้นเก่ียวกับ
รัฐศาสตร์ ซึ่งใช้ในการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยราชภัฎเลย ในสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ รหัสวิชา
2551101 และสาขาวิชาคุรุศาสตร์ เอกสังคมศาสตร์ รหัสวิชา 1281101 เนื้อหาในตาราประกอบด้วย ความรู้
ทั่วไปเกี่ยวกับรัฐศาสตร์ รัฐ การเมือง ปรัชญาการเมือง การเมืองเปรียบเทียบ สถาบันทางการเมือง การ
ปกครอง กฎหมาย ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเบ้ืองต้นและรัฐประศาสนศาสตร์ ซ่ึงเป็นความรู้ทั่วไปและ
พ้ืนฐานเพื่อใช้ในการพิจาณาในการศึกษาข้ันสูงข้ึนไป จะทาให้ผู้ศึกษามีความรู้ความเข้าใจในภาพรวมของวิชา
รัฐศาสตร์ อันเป็นวิชาทีจ่ าเปน็ สาหรบั ผูท้ ่ศี ึกษาในระดับอุดมศกึ ษา ไม่ว่าจะศึกษาในสาขาวิชาใดๆ

เน้ือหาของวิชารัฐศาสตร์ในปัจจุบันมีขอบข่ายขยายออกไปอย่างกว้างขวาง และเจาะลึกโดยมี
เป้าหมายของการศึกษาเพื่อหาทางกาหนดกรอบ นโยบายเพ่ือแก้ไขปัญหาและความต้องการของประชาชน
และเพื่อพัฒนาคุณภาพชวี ิตการอยดู่ ีกนิ ดี ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศ โดยศึกษาพฤติกรรมของสถาบัน บุคคล
ทั้งภาครัฐและเอกชน เพ่ือหาข้อมูลหาต้นต่อแห่งปัญหาและความต้อง พร้อมทั้งกาหนดแนวทาง ในการ
ดาเนินการทางการเมอื งการปกครองของประเทศไปสู่การพัฒนาท่ียง่ั ยนื มเี สถยี รภาพ และมีความสงบและเป็น
ระเบียบเรียบรอ้ ย ต่อไป

คุณประโยชน์ประการใดๆ ที่พึงเกิดจากตาราเล่มน้ี ผู้เรียบเรียงขอมอบคุณประโยชน์น้ันแก่ ผู้รู้
ครู อาจารย์ ทั้งหลายที่ได้อุทิศให้ความรู้ ส่ังสอนศิษย์และนาความรู้สืบทอดต่อการมา และมอบให้แก่บิดา
มารดา อันเป็นครูคนแรกและเป็นผู้มีพระคุณย่ิงในการดาเนินชีวิตของผู้เรียบเรียง และผู้ท่ีให้การสนับสนุนทุก
ท่าน

จรัญ สายปิ่น
11 มิ.ย. 2549

สารบัญ

หนา้

คานา ก
สารบญั จ
สารบญั ตาราง ฉ
สารบัญรปู ภาพ
บทท่ี 1 ลกั ษณะทั่วไปของรฐั ศาสตร์ 1
6
ความหมายรฐั ศาสตร์ 8
การศกึ ษาวิชารัฐศาสตร์ 13
พฒั นาการของวิชารัฐศาสตร์ 18
ขอบข่ายหรอื สาขาของการศกึ ษาวิชารฐั ศาสตร์ 19
สาขาวชิ ารฐั ศาสตร์ 24
แนวทาง/วิธกี ารศกึ ษาวชิ ารฐั ศาสตร์ 32
ความสัมพันธ์ระหว่างวิชารฐั ศาสตร์กบั สาขาวชิ าอื่น
สรุป 35
บทท่ี 2 รฐั 36
แนวความคิดเบื้องตน้ เก่ยี วกับรัฐ 44
องคป์ ระกอบของรฐั 54
ทฤษฎีเก่ยี วกับการกาเนดิ รฐั 58
รฐั ชาติหรือรฐั ประชาชาติ 61
รปู แบบของรฐั 63
การรับรองรฐั 67
จุดมุ่งหมายและหน้าที่ของรัฐ
สรุป 69
บทที่ 3 การเมือง 75
คานยิ าม/ความหมายการเมือง 77
ความสาคัญของการเมือง 78
ธรรมชาติของการเมือง 82
อานาจทางการเมือง 92
การมีสว่ นรว่ มทางการเมือง 109
รูปแบบการมีส่วนรว่ มทางการเมืองในระบอบการปกครองประชาธิปไตย 113
วฒั นธรรมการเมือง
กระบวนการขดั เกลาทางการเมือง

สารบญั ข

การเปล่ียนแปลงทางการเมือง หน้า
การพฒั นาการเมือง
การพัฒนาเศรษฐกจิ 115
สรปุ 121
บทท่ี 4 การปกครอง 126
ความหมายการปกครอง 128
ความสาคัญของการปกครอง
รปู แบบการปกครอง 131
สรปุ 132
บทท่ี 5 ปรชั ญา อดุ มการณ์และลัทธทิ างการเมือง 134
ปรชั ญาการเมือง 163
อุดมการณ์การเมือง
ลัทธิการเมือง 165
ความสันพนั ธร์ ะหว่างลทั ธกิ ารเมอื งกับอดุ มการณ์ทางการเมือง 201
ประเภทของลทั ธทิ างการเมือง 207
สรปุ 211
บทที่ 6 ระบบการเมืองและการเมืองเปรยี บเทียบ 212
ลักษณะสาคญั ของระบบการเมือง 237
ประเภทของระบบการเมือง
ระบบเศรษฐกิจ 239
การเปรยี บเทียบระบบการเมือง 241
สรปุ 268
บทที่ 7 สถาบันทางการเมือง 280
ความหมายของสถาบันทางการเมือง 291
หนา้ ทขี่ องสถาบนั ทางการเมือง
ระดบั การพฒั นาของสถาบันทางการเมือง 293
รัฐธรรมนญู 295
สถาบันพระมหากษตั รยิ ์ 296
รัฐสภาหรือสถาบนั นิตบิ ัญญตั ิ 299
สถาบนั บรหิ ารหรือรฐั บาล 317
สถาบันตุลาการ 331
พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ 349
ระบบราชการ 356
361
376

สารบญั ค

บทที่ 8 กฎหมาย หน้า
ความหมายของกฎหมาย
ลักษณะของกฎหมาย 379
กฎหมายกบั ศีลธรรม 380
กฎหมายกับจารีตประเพณี 381
กฎหมายกับศาสนา 382
ที่มาหรือบ่อเกิดของกฎหมาย 383
ระบบกฎหมาย 383
ประเภทหรือสาขาของกฎหมาย 387
เน้ือหาของกฎหมาย 389
ลาดับชั้นของกฎหมาย 391
ประวัตคิ วามเปน็ มาของกฎหมายไทย 391
สรปุ 392
394
บทที่ 9 ความสมั พนั ธ์ระหว่างประเทศ
การศึกษาความสัมพนั ธร์ ะหว่างประเทศ 396
ตวั แสดงในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 398
นโยบายต่างประเทศ 401
องค์การระหว่างประเทศ 407
องค์กรสนบั สนนุ เอกชน 421
บรรษัทขา้ มชาติ 423
กฎหมายระหวา่ งประเทศ 424
สรปุ 425

บทท่ี 10 รัฐประศาสนศาสตร์ 431
คานยิ ามรัฐประศาสนศาสตร์ 433
การบรหิ ารรัฐกจิ และการบรหิ ารธรุ กจิ 435
วิวัฒนาการของวิชารฐั ประศาสนศาสตร์ 439
ขอบข่ายรัฐประศาสนศาสตร์ 443
กระบวนทัศน์ในการศกึ ษาวิชารฐั ประศาสนศาสตร์ 449
รัฐประศาสนศาสตร์ในความหมายใหม่ 452
การบริหารจดั การภาครฐั แนวใหม่ 454
สรปุ 457

บรรณานุกรม

สารบัญรูปภาพ ง

รปู ภาพท่ี 5.1 แสดงวฏั จักรปกครองและการเส่อื มของการปกครอง หน้า
รูปภาพที่ 5.2 การแบ่งอดุ มการณท์ างการเมืองตามแนวความคดิ
รูปภาพที่ 6.1 แสดงโครงสร้างของรัฐสภาไทยตามรฐั ธรรมนูญ พ.ศ.2560 184
รปู ภาพท่ี 6.2 แสดงอานาจหนา้ ท่ขี องรัฐสภา 206
335
336

สารบัญตาราง จ

ตารางที่ 4.1 รูปแบบการปกครองของอรสิ โตเติล หน้า
ตารางที่ 5.1 รปู แบบการปกครองของอรสิ โตเติล
ตารางที่ 8.1 กฎหมายท่ีตราโดยฝ่ายนติ บิ ัญญัติ 135
ตารางท่ี 8.2 กฎหมายทเ่ี สนอออกโดยฝ่ายบริหาร (คณะรฐั มนตรี) 178
384
385



บทที่ 1
ลกั ษณะท่วั ไปของรัฐศาสตร์

ในโลกนีม้ ีวชิ าความรู้ วทิ ยาการตา่ งๆ ทีใ่ ช้ในการศกึ ษาอย่างมากมายหลายสาขาวิชา
นานัปการ นับแต่มนุษย์ได้รวมตัวกันเป็นหมู่เหล่า เผ่าชนจนเป็นรัฐตามสัญชาตญาณของความ
เป็นสัตว์สังคม (Social Animal) มีการถ่ายทอดจากอดีตโบราณ มีการค้นคว้า เรียบเรียง ทดลอง
ศาสตร์ตา่ งๆ ทีม่ ีความจาเป็นของการอยู่ร่วมกันของมนษุ ย์ให้เกิดความผาสุกโดยการใช้ศาสตร์มา
บริหารจัดการในเร่ืองต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบ ระเบียบเรียบร้อยเป็นไปตามความต้องการของ
มนุษย์ในการอยู่รว่ มกัน

รัฐศาสตร์เป็นสาขาหนึ่งของสังคมศาสตร์ ซึ่งมีเน้ือหาและขอบเขตแห่งวิชาที่
กว้างขวาง เนื่องจากบทบาทรัฐกว้างใหญ่ไพศาล ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายในและ
ภายนอกรัฐ เนื้อหา วิชารัฐศาสตร์จึงมีแนวโน้มและเกี่ยวพันกับวิชาต่างๆ เช่น ประวัติศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา นิติศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สังคมวิทยา ภูมิศาสตร์และรัฐประศาสน
ศาสตร์ เปน็ ต้น นอกจากนี้ในสมยั ที่มนุษย์เริ่มศึกษาวิชารฐั ศาสตร์กันใหม่ๆ คือ ประมาณ 500 ถึง
300 ปีก่อนคริสตกาล และขอบเขตของวิชารัฐศาสตร์ มิได้จากัดอยู่ในวงแคบๆ แต่เพียงเร่ืองของ
การเมือง การปกครอง ดังในสมัยน้ันเท่านั้นแต่อริสโตเติล ซึ่งเป็นบิดาของวิชารัฐศาสตร์ ได้
กล่าวถึงวิชาอื่นๆ ด้วยอาทิ วิชาดนตรี วิชาปรัชญาและวิชาพันธุศาสตร์ ว่าเป็นสาขาหนึ่งของ
รัฐศาสตร์เหมือนกัน ในสมัยต่อมาได้วิวัฒนาการมาจนเป็นวิชาที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง
โดยเฉพาะ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นวิชาหนึ่งต่างหาก มิได้ศึกษาในลักษณะของการศึกษาวิชา
แขนงต่างๆ รวมกัน (Interdisciplinary)

1. ความหมายรัฐศาสตร์
รัฐศาสตร์ (political science) เป็นสาขาวิชาที่เกิดขึ้นในราวศตวรรษที่ 19 ซึ่งนัก

รัฐศาสตร์ยุคแรกน้ันพัฒนากระบวนวิชาขึ้นมาให้สอดคล้องกับแนวนิยมทางวิทยาศาสตร์
สารานุกรมบริทานิกา คอนไซส์ (Britanica Concise Encyclopedia) อธิบายรัฐศาสตร์ว่า เป็น
การศึกษาเกี่ยวกับการปกครองและการเมืองด้วยแนวทางประจักษ์นิยม (empiricism) นัก
รฐั ศาสตร์คอื นกั วิทยาศาสตร์ที่พยายามแสวงหา และทาความเข้าใจธรรมชาติของการเมอื ง

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2531 “รัฐศาสตร์” เป็นคานามมี
ความหมายว่า วิชาการด้านการเมืองและการปกครองประเทศ ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่าง

ประเทศ ส่วนใน Oxford Word Power Dictionary ให้ความหมายคาว่า “รัฐศาสตร์” (Political
Science) คือ การศึกษาเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง อย่างเป็นระบบ โดยใช้หลักการ
วิทยาศาสตร์

พจนานุกรมการเมืองของออกซ์ฟอร์ด (Oxford Dictionary of Politics) นิยามว่า
รัฐศาสตร์เป็นการศกึ ษาเรื่องรัฐ รัฐบาล/การปกครอง (government) และการเมอื ง

เดชชาติ วงศโ์ กมลเชษฐ์ (2508, 1-3) ให้นยิ ามของรัฐศาสตร์ว่าเป็น ศาสตร์ที่ว่าด้วย
รัฐ (Science of The State) โดยเป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับรัฐ วิวัฒนาการของรัฐ และรัฐในสภาพที่
เป็นอยู่ในปัจจุบัน เกี่ยวกับองค์การปกครองหรือสถาบันทางการเมืองของรัฐ และดาเนินการให้
เป็นไปตามกฎหมาย เกี่ยวกับการติดต่อสัมพันธ์ของเอกชนหรือกลุ่มชนกับรัฐ และความสัมพันธ์
ระหว่างรฐั กับรฐั ตลอดจนแนวการศกึ ษาความคิดทางการเมอื งอันมอี ิทธิพลมหาศาลต่อความคิด
ของนักการเมอื งเอกของโลก และวิวฒั นาการของรัฐและการเปลี่ยนแปลงของระบบการเมืองการ
ปกครอง ในทานองเดียวกัน

ยูเลา (Heinz Eulau 1963, 3) ซึ่งกล่าวว่า รฐั ศาสตร์ เป็นเร่ืองที่เกี่ยวกับการศึกษาว่า
ทาไมมนุษย์จงึ คิดสร้างการปกครองมนุษย์ข้นึ มา

จรูญ สุภาพ (2522, 1) ได้นิยามรัฐศาสตร์ว่าเป็น สาขาขององค์ความรู้ทางสังคม
ศาสตร์ (Social Science) ที่ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับรัฐ ซึ่งกล่าวถึงแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับ
การเมืองการปกครอง การจัดองค์การทางการเมืองการปกครอง รัฐบาลหรือผู้ใช้อานาจทาง
การเมืองการปกครอง และวิธีดาเนินการต่าง ๆ ของรัฐ โดยความหมายดังนี้ รัฐศาสตร์ จึงเป็น
เร่ืองของการ ศึกษาเกี่ยวกับ 3 สิ่งคือ รัฐ สถาบันทางการเมืองการปกครอง และแนวความคิด
ทางการเมอื งการปกครอง

อานนท์ อาภาภิรม ( 2545:1) ได้อธิบายความของรัฐศาสตร์ว่า รัฐศาสตร์ ถอด
ศัพท์มาจากภาษาอังกฤษว่า Political Science และคาว่า Political น้ันเป็นคุณศัพท์ของคาว่า
Politics ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคาว่า Polis ในภาษากรีก มีความหมายว่า การจัดองค์การทางการ
เมืองในรูปหนึ่ง วิชารัฐศาสตร์เป็นสาขาหนึ่งของสังคมศาสตร์ ( Social Sciences) เป็นวิชาที่มุ่ง
ศึกษาถึงการที่มนุษย์รวมกันอยู่ในสังคม ฉะนั้นจึงยังไม่สามารถที่จะแสวงหาทฤษฎีหรือกาหนด
กฎเกณฑ์ทีแน่นอนเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคม เช่น ในด้านพฤติกรรมทาง
การเมอื ง ก็ยังไม่สามารถจะวางหลกั เกณฑท์ ี่แน่นอนว่ามีวธิ ีใดบ้างจึงจะได้รูปแบบการปกครองที่
ดีที่สุด หรือจะดาเนินการอย่างไรที่จะมีรัฐบาลที่ดีที่สุด รัฐศาสตร์ (Political Science) เป็น
ศาสตร์ที่ว่าด้วยรัฐ (the science of the state) ซึ่งถือว่าเป็นสาขาหนึ่งของสังคมศาสตร์ที่
กล่าวถึงทฤษฎีการจดั ตง้ั องค์การรฐั บาลและการดาเนินงานของรัฐ (practice of the state)

รฐั ศาสตรเ์ บื้องต้น หน้า 2

พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว (2526:1) รัฐศาสตร์ คือ วิชาการที่ว่าด้วยการปกครอง และสิ่งที่
เกี่ยวเนื่องกับการปกครอง เป็นต้นว่า การกาเนิด การรวมตัว การแปลงรูป และความเสื่อมโทรม
ของชมุ ชนทางการเมือง โดยมีขอบข่ายรวมไปถึงรูปธรรมขององค์กร กฎ ระเบียบ แนวปฏิบัติ อัน
จะนาไปสู่การแก้ไขความขดั แย้งของชมุ ชน และการตัดสินใจของชมุ ชน ในกรณีสาคัญ ๆ ต่าง ๆ

โกวิท วงศส์ ุรวัฒน์ (2543:12–14) ได้อธิบายว่าก่อนที่จะเรียนรู้ว่ารัฐศาสตร์ คือ วิชา
ความรมู้ ีการจาแนกประเภทของความรู้ออกเป็น 3 สาขาใหญ่ ๆ คือมนุษยศาสตร์ (Humanities)
วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (Natural Science) และสังคมศาสตร์ (Social Sciences) สังคมศาสตร์
คือ ความรู้เกี่ยวกับสังคมและมนุษย์ที่มาอยู่ร่วมกันในสังคม ตลอดจนปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทาง
สังคม ในวิชาสังคมศาสตร์น้ัน การแสวงหาความรู้ก็ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (
Scientific Method) เช่นกัน แต่ทฤษฎีต่าง ๆ ทางสังคมศาสตร์ได้มาจากการสังเกตพิจารณา
มากกว่าการทดลอง เพราะเหตวุ ่าสิง่ แวดล้อมตา่ งๆ ของสงั คมมนุษย์นั้นเราไม่สามารถควบคุมได้
อย่างแน่นอน (Lack of control over all Variables) กล่าวคือ สังคมมนุษย์และตัวมนุษย์เอง
เปลี่ยนแปลงเสมอ เพราะการที่จะเอาสังคมท้ังสังคมนามาทาการทดลองเป็นสิ่งที่เป็นไป
ไม่ได้ หรอื จะกระทากับบุคคลก็จะเป็นการผิดศีลธรรม เพราะฉะน้ันทฤษฎีในสังคมศาสตร์ จึงไม่
สามารถพิสูจน์ได้แน่นอนเหมือนทฤษฎีวิทยาศาสตร์ธรรมชาติเป็นเพียงการสังเกตการณ์และ
พยายามอธิบายปรากฏการณ์น้ันๆวิชาในสาขาสังคมศาสตร์ มี รัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ สงั คมวิทยา จติ วิทยา มานุษยวิทยา ภมู ศิ าสตร์ ฯลฯ

รัฐศาสตร์ คือ วิชาที่ว่าด้วยรัฐ (state) โดยเน้นศึกษาในเร่ืองของรัฐบาล
(Government) อย่างกว้างขวางและเป็นระบบ

สันสิทธิ์ ชวลิตธารง (2546: 1) กล่าวว่า รัฐศาสตร์แปลความหมายตามตรงได้ว่า
ศาสตร์ทีว่ ่าด้วยรฐั หรอื ความรทู้ ี่เกีย่ วกบั รฐั

อุไรวรรณ ธนสถิตย์ (2543 : 2) ให้นิยามว่า รัฐศาสตร์เป็นการเรียนเร่ืองเกี่ยวกับ
รฐั ในทกุ ๆ แง่เปน็ วิชาในหมวดสังคมศาสตร์ที่เน้นในแง่ของการปฏิบัติ (Practice) เป็นเร่ืองที่เน้น
ประวัติความเปน็ มาขององค์การ รัฐบาล ภาคทฤษฎีและปฏิบัติเกี่ยวกับรัฐเหล่านี้เป็นความหมาย
ดั้งเดิมของรัฐศาสตร์ ในยุคปัจจุบันแนวความคิดนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคปัจจุบันที่มี
ความซับซ้อนขึ้น ความหมายของรัฐศาสตร์กลายเป็นการศึกษาเร่ืองการเมือง
(politics) ความสัมพันธ์ของมนุษย์ ในแง่การบังคับบัญชาและการถูกบังคับบัญชา การควบคุม
และการถูกควบคมุ การเป็นผู้ปกครองและถกู ปกครอง สิ่งดังกล่าวท้ังหมดเกี่ยวกับอานาจหรือ
อาจเรียกได้ว่า อานาจทางการเมอื ง ความเกีย่ วพนั นี้ เกีย่ วพันในแง่ของการได้มาซึ่งอานาจ และ

รฐั ศาสตร์เบอื้ งตน้ หนา้ 3

การรกั ษาไว้ซึ่งอานาจดังกล่าวว่าทาอย่างไรจึงจะได้อานาจนี้มา และเม่ือได้มาแล้วจะรักษาไว้ได้
อย่างไร

ณัชชาภัทร อุ่นตรงจิตร (2548 : 4) ได้อธิบายความหมายของคาว่า “รัฐศาสตร์”
คือการศึกษาการเมืองด้วยหลักการทางวิชาการ การศึกษารัฐศาสตร์จึงเป็นการใช้หลักการแห่ง
เหตุผล ทฤษฎีขอ้ มูลเชงิ คณุ ภาพและเชิงปริมาณ เพื่อการศกึ ษาการเมอื งการปกครอง

จากความหมายของคาว่ารัฐศาสตร์ สรุปได้ว่า รัฐศาสตร์ คือ รัฐศาสตร์เป็นสาขา
หนึ่งของสังคมศาสตร์ ความรู้ได้มาจากวิธีการทางวิทยาศาสตร์โดยการสังเกตการณ์ และ
อธิบายปรากฏการณ์ไม่ใช่การทดลองพิสูจน์ และรัฐศาสตร์ เป็นศาสตร์ว่าด้วยรัฐหรือศาสตร์ว่า
ด้วยการปกครอง หรือศาสตร์ว่าด้วยรัฐบาล หรือศาสตร์ว่าด้วยอานาจ ดังนั้น รัฐศาสตร์ใน
ปัจจุบันเป็นเร่ืองของการศึกษาเร่ืองของการเมืองการปกครอง อานาจหรืออานาจทางการเมือง
กล่าวได้ว่า รฐั ศาสตร์ คือ วิชาที่วา่ ด้วยของรัฐ การเมอื งและการบริหาร

ทินพันธ์ นาคะตะ (2541, 3) อธิบายว่า รัฐศาสตร์เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งสาคัญ
ต่าง ๆ ประกอบด้วยการกาเนิดและลักษณะของรัฐ สถาบันการเมืองการปกครอง อานาจ การ
ตัดสินตกลงใจและนโยบายสาธารณะ ระบบการเมือง รวมทั้งการจัดสรรสิ่งที่มีคุณค่าต่าง ๆ เพื่อ
แสวงหาความรคู้ วามเข้าใจ และหาคาอธิบายต่อปรากฏการณ์ทางการเมืองที่บงั เกิดขึน้

Rais A. Khan and Others (อ้างใน ทินพนั ธ์ นาคะตะ. 2541) ได้แสดงความคิดเห็นว่า
รัฐศาสตร์ เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการปกครอง ที่มุ่งเน้นไปที่การควบคุม การกระจายและใช้
อานาจเหนอื กิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ในสังคม

รฐั ศาสตร์ในเชงิ ทีเ่ ปน็ ระเบียบการปกครอง อันแตกต่างไปจากคาว่า “การปกครอง”
ที่หมายถึง ตัวกิจกรรมที่ปฏิบัติ รัฐศาสตร์ในประการนี้จึงหมายความถึง ระบบของการปฏิบัติ
ปกครอง โดยการจัดมาตรฐานและระเบียบภายในประชาคม (Society) (เกษม อุทยานิน 2513, )
ซึง่ เปน็ วิชาหน่งึ ในสาขาสังคมศาสตร์ที่เปน็ วิชาใหญ่ในบรรดาวิชาการว่าด้วยสังคมมนุษย์ (เกษม อุ
ทยานนิ 2513.)

รัฐศาสตร์ ก็คือศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาเร่ืองการเมือง (Science of Politics)
การศกึ ษารฐั ศาสตร์จึงไม่เหมอื นการศกึ ษาศาสตร์อื่น เช่น วิทยาศาสตร์ เราจะมองไปที่สิ่งที่วัดได้
คาดเดาได้ มองเห็น ทฤษฎี กฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ทดสอบได้ พิสูจน์ได้ หรือในคณิตศาสตร์ หรือวิชา
ฟิสิกส์ เป็นต้น กว่า 2,500 กว่าปีมาแล้ว ไม่มีใครปฏิเสธทฤษฎีของปีทอกอรัส ที่พิสูจน์
สามเหลี่ยมมุมฉาก และเราก็เห็นลูกแอปเปิ้ลตกจากต้นลงสู่พื้นดิน และสิ่งต่างๆก็ตกลงสู้พื้นดิน
เสมอไม่ว่าจะเป็นที่ไหนๆในโลก ตามกฎแรงโน้มถ่วงของโลกอย่างที่ นิวตัน ได้เสนอไว้ วิชา
รัฐศาสตร์ ยังไม่สามารถที่จะสร้างทฤษฎีที่สามารถอธิบายพฤติกรรมทางการเมืองของมนุษย์

รฐั ศาสตร์เบื้องต้น หน้า 4

โดยปราศจากข้อโต้แย้งหรือถกเถียง อย่างกฎต่างๆในศาสตร์ของวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์
ฟิสิกส์ ได้

วิชารัฐศาสตร์ เป็นวิชาหนึ่งของสังคมศาสตร์ ที่เกี่ยวกับองค์การ สถาบันทาง
การเมือง รัฐบาล การปกครอง และแนวปฏิบัติของรัฐ ซึ่งในปัจจุบันการศึกษาวิชารัฐศาสตร์ จะ
เน้นไปที่การศึกษาระบบทางการเมือง หรือกระบวนการทางการเมือง (การเลือกต้ัง การมีส่วน
ร่วมทางการเมือง การกาหนดนโยบาย และการบริหารภาครัฐ) มากกว่าการศึกษารัฐศาสตร์ใน
แง่องค์การ (รัฐบาล รฐั ธรรมนูญ) ดังน้ันนักรัฐศาสตร์ในปัจจุบันจึงศึกษาวิชารัฐศาสตร์ในแง่มุมที่
เกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมืองของกลุ่ม องค์กร และสถาบันที่แข่งขันกันเพื่อมีอิทธิพลเหนือใน
การใชอ้ านาจรัฐ เชน่ การศกึ ษาพฤติกรรมการเลือกต้ัง การศึกษาพลังของกลุ่มอิทธิพลต่างๆที่มี
อิทธิพลต่อการกาหนดนโยบายของรัฐ การกาหนดนโยบายเศรษฐกิจ กระบวนการกาหนด
นโยบายต่างประเทศ การศึกษาปัจจัยที่กาหนดความรุนแรงทางการเมือง บทบาทของไทยใน
องค์การระหว่างประเทศ องค์การการค้าโลก และการปรับตัวทางการเมืองต่อการเปลี่ยนแปลง
วิกฤตรัฐจากภายนอก

โดยเม่ือพิจารณาในรายละเอียดเกี่ยวกับขอบข่ายเนื้อหาของการศึกษารัฐศาสตร์
สามารถที่จะได้นิยามความหมายของรัฐศาสตร์ว่าเป็น การศึกษาเกี่ยวกับการปกครองและเร่ือง
อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกาเนิด การรวม การเปลี่ยนแปลง และความเสื่อมของชุมชนการเมือง
ท้ังหลาย ตลอดจนรูปแบบของการปกครอง กฎเกณฑ์และการปฏิบัติที่ชุมชนต่าง ๆ แก้ไขปัญหา
ความขัดแย้ง หรือทาการตัดสินใจ รวมท้ังนโยบายต่าง ๆ ที่ต่อกัน โดยเร่ืองสาคัญ ๆ ที่ศึกษา
ได้แก่เร่ืองความรุนแรง การปฏิวัติ การสงคราม ความสงบเรียบร้อย การปกครองแบบ
ประชาธิปไตยและแบบเผด็จการ การเลือกต้ัง การบริหาร หน้าที่พลเมือง การสรรหาผู้นา ความ
ปลอดภัยของชาติกับองค์การระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างฝุายบริหารและฝุายนิติ
บัญญตั ิ กระบวนการยตุ ิธรรม พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์กับพฤติกรรมทางการเมือง การ
กาหนดนโยบายสาธารณะ อุดมการณ์ทางการเมือง รวมท้ังความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของฝูงชน
(Eulau and March 1975, 5)

จากความหมายที่กล่าวมาข้างต้นนั้นพอสรุปได้ว่า รัฐศาสตร์ (Political Science) คือ
ศาสตร์ที่ว่าด้วยรฐั อนั เป็นสาขาหนึ่งของวิชาสังคมศาสตร์ ที่กล่าวถึงเร่ืองราวเกี่ยวกับรัฐ ว่าด้วย
ทฤษฎีแห่งรัฐ การวิวัฒนาการ มีกาเนิดมาอย่างไร สถาบันทางการเมืองที่ทาหน้าที่ดาเนินการ
ปกครองมีกลไกไปในทางใด การจัดองค์การต่างๆ ในทางปกครอง รูปแบบของรัฐบาล หรือ
สถ าบั น ทางการเมือ งที่ต้องอ อก กฎหมาย แล ะรัก ษ าก ารณ์ ใ ห้เ ป็น ไ ปต ามก ฎหมายเ กี่ ยว กั บ
ความสัมพันธ์ของเอกชน (Individual) หรือกลุ่มชน (Group) กับรัฐ และความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ

รฐั ศาสตร์เบือ้ งต้น หน้า 5

กับรัฐ ตลอดจนแนวคิดทางการเมืองที่มีอิทธิพลต่อโลก ตลอดจนการแสวงหาอานาจของกลุ่ม
การเมืองหรือภายในกลุ่มการเมือง หรือสถาบันการเมืองต่างๆ เพื่อการปกครองรัฐให้เป็นไป
ด้วยดีที่สดุ รัฐศาสตร์จึงมีความเกี่ยวพันกับสังคมศาสตร์ทุกสาขาวิชาอย่างแยกไม่ออก การที่เรา
จะศกึ ษาวิชารฐั ศาสตร์จาเป็นต้องกาจดั ขอบเขต โดยวิชารัฐศาสตร์จะมุ่งเน้นศึกษาเป็นพิเศษใน 3
หัวข้อ คือ รัฐ (State) สถาบันการเมือง (Political Institutions) ปรัชญาการเมือง (Political
Philosophy)

1. รัฐ (State) เป็นหัวใจของวิชารัฐศาสตร์ เราจาเป็นที่จะต้องศึกษาว่า รัฐคืออะไร
ความ หมายและองค์ประกอบของรัฐ การกาเนิดของรัฐ และการวิวัฒนาการของรัฐ และรวมทั้ง
ศกึ ษาแนวคิดตา่ งๆ ทีเ่ กีย่ วข้องกับรฐั

2. สถาบันทางการเมือง (Political Institutions) หมายถึง องค์กรหรือหน่วยงานที่
ก่อตั้งขึ้น เพื่อประโยชน์ในการปกครองและดาเนินกิจการต่างๆ ของรัฐท้ังภายในและภายนอก
ประเทศ ซึ่งอาจจะก่อต้ังขึ้นโดยกฎหมายของรัฐ หรืออาจก่อต้ังขึ้นโดยการร่วมใจกันของเอกชน
หรือตามประเพณีก็ได้ สถาบันทางการเมืองมี สภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐบาล พรรคการเมือง
เปน็ ต้น

3. ปรัชญาทางการเมอื ง (Political Philosophy) คือ ความคิดความเชื่อของบุคคลกลุ่ม
ใดกลุ่มหนึ่ง ในยุคใดยุคหนึ่ง อันเป็นรากฐานของระบบการเมืองที่เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมและ
ความตอ้ งการของตน หมายความรวมถึง อุดมการณ์หรือเปูาหมายที่จะเป็นแรงผลักดันในมนุษย์
ปฏิบัติการต่างๆ เพือ่ ให้บรรลุเปูาหมายนั้นๆ เชน่ ผู้บริหารประเทศไทยมีปรัชญาทางการเมืองที่มุ่ง
ในทางพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรมและทางกสิกรรม กับปรารถนาให้
ประชาชาติมีการกินดีอยู่ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นวัตถุประสงค์ (Objective or Ends) แต่การที่จะปฏิบัติ
(Means) นั้นอาจจะใช้ระบบประชาธิปไตยแบบไทยๆ ซึ่งก็เป็นวิถีทางที่อาจจะนามาถึงจุดมุ่งหมาย
นั้นๆ ก็ได้

การศึกษารัฐศาสตร์ในปัจจุบัน จะมีการพัฒนามาอย่างยาวนานและมียุคของ
การศึกษาเปลี่ยนผ่าน แต่รัฐศาสตร์ยังจะต้องศึกษาเกี่ยวกับ สถาบันทางการเมือง รัฐ อานาจ
การเมือง รวมทั้งปรัชญาต่างๆ ซึ่งในการศึกษารัฐศาสตร์ มีหลายยุคและหลายวิธีการศึกษา
รวมทั้งการศึกษาร่วมกบั ศาสตร์อ่นื ๆ แนวทางการศกึ ษาวิชารฐั ศาสตร์น้มี วี ิวัฒนาการมาเรือ่ ยๆ

2. การศึกษาวิชารัฐศาสตร์
วิชารัฐศาสตร์เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งในสาขาวิชาสังคมศาสตร์ วิชาการต่างๆใน

สาขาวิชาสังคมศาสตร์ก็เช่น ประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยา จิตวิทยา

รัฐศาสตร์เบ้ืองต้น หนา้ 6

ฯลฯ ซึ่งวิชารัฐศาสตร์นั้นได้มีส่วนสัมพันธ์กับทุกศาสตร์วิชาการเหล่านั้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อัน
นามาสู่ความเป็นธรรมชาติของวิชารัฐศาสตร์ กล่าวคือ วิชารัฐศาสตร์น้ันไม่มีวิธีการศึกษาเป็น
ของตนเอง ดงั นนั้ จงึ ตอ้ งหยิบยืมวิธีการศึกษาตลอดจนแนวคิด ทว่าการหยิบยืมวิธีการศึกษาจาก
แขนงวิชาต่างๆนี้กลับกลายเป็นจุดแข็งของ วิชารัฐศาสตร์ เพราะทาให้วิชารัฐศาสตร์น้ันมีความ
หลากหลายของวิธีการที่จะเลือกใช้ในการศึกษามากและผู้ที่จะศึกษาวิชารัฐศาสตร์ได้ดีนั้นก็
จาเป็นผู้ที่มีความรู้ในสาขาวิชาอื่นๆ อย่างกว้างขวางด้วยการลาดับสมัยการศึกษาของวิชา
รัฐศาสตร์ เราอาจสรุปเป็นหัวข้อการแบ่งของยุคสมัยของการศึกษารัฐศาสตร์ออกเป็น 4 สมัย
ด้วยกัน ดังที่ ทินพันธ์ นาคะตะ (2541, 14-17) ได้เสนอดงั น้ี

2.1 สมยั ที่ศึกษาเกี่ยวกบั ปรัชญาทางศลี ธรรมทัว่ ไป
ในสมัยนี้ นับเน่ืองจากสมัยกรีกโบราณจนถึงช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นเวลา
ยาว นานประมาณ 2,500 ปี ลักษณะสาคัญของการศึกษารัฐศาสตร์ยุคนี้คือวิชาการเมืองยังคง
รวมศึกษาอยู่ใน การศึกษาเกี่ยวกับสังคมท่ัวไป จึงยังไม่ปรากฏสาขาวิชาย่อยใด ๆ การศึกษาได้
เน้นในเรือ่ งความเปน็ มาของความคิดทางการเมืองในสังคมตะวันตก รัฐศาสตร์ในยุคนี้มิได้มีความ
เป็นศาสตร์อันแท้จริงและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เน้ือหาสาระของวิชาส่วนใหญ่จึงประกอบด้วย
หัวข้อที่มีความสัมพันธ์กันน้อย ขาดแนวคิดทางทฤษฎีที่ชัดเจนและขาดระเบียบวิธีการศึกษาที่
รัดกุม โดยมีลักษณะเป็นการรวบรวมการศึกษาเกี่ยวกับปัญหาสังคมในสมัยหนึ่งๆ ซึ่งไม่ค่อยซ้า
แบบกันมาศึกษาเท่าน้ัน
2.2 สมยั การศกึ ษาในเร่อื งทฤษฎีเกี่ยวกบั รัฐ
การศกึ ษารฐั ศาสตร์ในยุคนี้กล่าวได้ว่าเริ่มตน้ ต้ังแตช่ ่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งถือ
เป็นการเปิดศักราชใหม่ของการศึกษารัฐศาสตร์ที่เน้นวิชาการเมืองที่มี ลักษณะเป็นศาสตร์ โดย
เน้นความสนใจศึกษาในเร่ืองความก้าวหน้าของกฎหมาย ข้อกาหนดทางกฎหมายเกี่ยวกับการ
ปกครองแบบต่าง ๆ อานาจที่เป็นทางการของฝุายนิติบัญญัติ ฝุายบริหาร และศาล ประกอบ
ควบคู่กับการศกึ ษาเรือ่ งปรชั ญาการเมอื งโบราณเปูาหมายของการปกครองและ เปูาหมายของรัฐ
และเน้นศกึ ษาความเป็นจริงทางการเมอื งต่าง ๆ มากขึ้น
2.3 สมัยการศกึ ษารฐั ศาสตร์เชิงอานาจ หรอื ระยะทีส่ าม
การศกึ ษาการเมอื งในยุคนไี้ ด้เน้นความสนใจศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มต่าง ๆ ที่ต่อสู้แข่งขัน
กันเพื่อมีอานาจทางการเมือง เป็นการศึกษาที่เน้นในเร่ืองกลุ่มที่มีอิทธิพลทางการเมือง ซึ่งเป็น
ความพยายามอธิบายว่าการเมืองเป็นการตอ่ สู้ระหว่างกลุ่มตา่ ง ๆ เพือ่ มอี ิทธิพลหรืออานาจเหนือ
การปกครองและนโยบายสาธารณะ อนั เปน็ การขยายขอบเขตของการศึกษาให้กว้างขวางมากขึ้น
ไปกว่าการยึดหลักกฎหมาย และสถาบันที่มีอยู่ในสังคม ในระยะนี้การศึกษาวิชารัฐศาสตร์ได้

รัฐศาสตร์เบอื้ งต้น หน้า 7

ประกอบไปด้วยเร่ืองปรัชญาทางการเมือง กฎหมายมหาชน การปกครองภายในประเทศ รัฐ
ประศาสนศาสตร์หรือการบริหารรัฐกิจ การปกครองเปรียบเทียบและความสัมพันธ์ระหว่าง
ประเทศ

2.4 สมัยการศกึ ษารฐั ศาสตร์เชิงพฤติกรรมศาสตร์
เป็นยุคที่การศึกษารัฐศาสตร์มีพัฒนาก้าวหน้ามากขึ้นภายหลังสงครามโลกคร้ังที่ 2
เป็นการศึกษารัฐศาสตร์โดยหันมาให้ความสนใจอธิบายสาเหตุของปรากฏการณ์ทางการเมืองที่
เป็นอยู่ มีการนาเทคนิคในเชิงศาสตร์ (Science) อย่างมีแนวคิดและทฤษฎีเป็นกรอบกาหนด
ความสัมพันธ์ของสิ่งที่ศึกษา มาศึกษาพฤติกรรมทางการเมืองของตัวบุคคล เช่น การศึกษา
ทัศนคติ สิ่งจูงใจ ค่านิยมแทนการศึกษาในรัฐศาสตร์ในเชิงโครงสร้างและสถาบัน ซึ่งมีผลทาให้
วิชาการเมืองหรือรัฐศาสตร์ได้ก้าวเข้าสู่การเป็นศาสตร์เชิงวิเคราะห์มากขึ้น ซึ่งเป็นการใช้แนว
ทางการวเิ คราะหร์ ัฐศาสตร์ดว้ ยปรัชญาทางการเมืองคลาสสิค อันจัดว่าเป็นวิธีการที่ถือว่าเก่าแก่
ที่สุด และมีลักษณะสาคัญเน้นในการประเมินค่าทางการเมือง การวินิจฉัยสถาบันหรือ
วิธีดาเนนิ การทางการเมอื งว่าอย่างไรดี อย่างไรเลว อย่างไรจงึ จะยุติธรรม และนาไปสู่การมีชีวิตที่
ดีของประชาชน ด้วยการอนุมาน (Deductive) มากกว่าการพิจารณาความเป็นเหตุเป็นผล
(Rationality) เช่นได้กล่าวถึงแนวความคิดของเพลโต้และอริสโตเติ้ลเป็นตัวอย่าง ด้วยเหตุนี้ในปี
1920 นักรัฐศาสตร์อเมริกันบุคคลสาคัญซึ่งสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยชิคาโก้ชื่อ ชาร์ลส์ เมอร์เรี่ยม
(Charles E.Merrian) จึงได้นาเสนอรูปแบบการวิเคราะห์ทางการเมืองแบบพฤติกรรมขึ้น โดยนา
วิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการแสวงหาความรู้สาหรับทาความเข้าใจ เกี่ยวกับปรากฏการณ์
ทางการเมือง โดยเฉพาะพฤติกรรมทางการเมืองของปัจเจกบุคคลอย่างเป็นระบบมากขึ้น ซึ่งมี
ขอบเขตตั้งแตก่ ารใชว้ ิธีการทางวิทยาศาสตร์มีลักษณะของการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantification) ที่
เป็นระบบและใช้การสังเกตการณ์ ไปจนถึงการใช้หลักการและสมมติฐานทางการวิจัยโดยมี
จุดมุ่งหมายที่จะพัฒนาข้อสรุปทั่วไปที่สร้างข้อมูลเชิงประจักษ์ (Empirical Generalization) และ
สร้างทฤษฎีที่เป็นระบบ (Systematic Theory) หรือมีทฤษฎีไว้เป็นแนวทางที่ใช้ในการศึกษา
วิเคราะห์ นาไปอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง ช่วยให้นักรัฐศาสตร์สามารถมุ่งความสนใจ
ศึกษาปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มีความสาคัญต่อสังคมและศึกษาได้ง่ายขึ้น เช่น การศึกษา
พฤติกรรมในการออกเสียงเลือกต้ังของประชาชน เป็นต้น

3. พฒั นาการของวชิ ารัฐศาสตร์
ในการศึกษาเกี่ยวกับวิชารัฐศาสตร์หรือศาสตร์แห่งรัฐนี้ ได้มีประวัติการเรียนรู้มา

ยาวนานพร้อมกบั สังคมมนษุ ย์หรอื มีมาพร้อมกบั ประวัติศาสตร์ของสังคมมนุษยชาติ ความสาคัญ

รัฐศาสตร์เบอื้ งตน้ หนา้ 8

ของรัฐศาสตร์สมัยโบราณมีลักษณะเชิงปทัสถาน (Normative) มากว่าจะเป็นศาสตร์เชิงประจักษ์
(Empirical) อย่างไรก็ตามในการศึกษาเกี่ยวกับวิชารัฐศาสตร์ก็ได้มีการเรียนรู้กันอย่างกว้างขวาง
ในสงั คมมนุษย์ตลอดมา ในทีน่ ้ีขอเสนอในการพฒั นาการศกึ ษาวิชารฐั ศาสตร์แบ่งออกเป็นยุคสมัย
ตามความเจริญรงุ่ เรอื งของสงั คมมนษุ ย์ ดังน้ี

3.1 ยคุ สมัยกรีกโบราณ
ในการศึกษาวิชารัฐศาสตร์ในสมัยกรีกโบราณเป็นการศึกษาประมาณ 500 ถึง 300
ปีก่อนคริสตกาล นกั ปราชญ์ทีย่ ิ่งใหญ่ในทางวิชารฐั ศาสตร์ทีท่ ุกคนยอมรับ ได้แก่ โซเคติส, เพลโต
และอริสโตเติล ท้ังสามท่านถือว่าเปน็ ปราชญ์ทางการเมืองการปกครองผู้ยิ่งใหญ่ ดังเช่น โซเคติส
ได้รับการยกย่องเป็นบิดาของวิชาปรัชญาการเมือง เพลโตได้รับการยกย่องเป็นบิดาของวิชา
ทฤษฎีการเมือง และอริสโตเติลได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของวิชารัฐศาสตร์ ปราชญ์ทั้งสาม
ท่านได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับรัฐในแนวปรัชญา สว่ นอริสโตเติลได้เปน็ ผู้รเิ ริ่มในการศกึ ษารัฐศาสตร์
โดยใช้แนวทางวิทยาศาสตร์เข้ามาทาการศึกษา จนได้รับการยอมรับว่าเป็นบิดาแห่งการเมือง
เปรียบเทียบ แนวปรชั ญาของนกั ปราชญ์ทั้งสามท่านได้ก่อเกิดความคิดทางการเมืองการปกครอง
ในยุคต่อๆ มา เช่น การปกครองในอุดมคติของเพลโต ในหนังสือเร่ือง The Republic การปกครอง
โดยราชาปราชญ์ (Philosopher King) ผู้ปกครองต้องผู้เฉลียวฉลาดและรักความยุติธรรม ส่วน
อริสโตเติลเสนอการปกครองที่ดีน่าจะปกครองโดยยึดหลักกฎหมาย (The Rule of Law) ในการ
บริหารบ้านเมืองน่าจะผสมผสานกันระหว่าง คณาธิปไตยและประชาธิปไตย โดยยึดคุณภาพ
(ความมั่งค่ัง) และจานวนหรือที่เรียกกันว่า มัฌฉิมวิถีอธิปไตย (Polity) ในการศึกษารัฐศาสตร์ใน
สมัยกรีกโบราณเป็นการศึกษาในเชิงอุดมคติ (Idealism) คิดค้น เสนอสิ่งที่ดีๆ เร่ืองการเมืองการ
ปกครองรัฐ ยังคงเปน็ ลักษณะเพ้อฝนั การเรียนการสอนในสมยั นี้เป็นแบบสนทนาโต้ตอบกนั
สรุปนักปรัชญากรีกโบราณโดยเฉพาะสายโสคราตีส, เพลโต และอริสโตเติลจะเชื่อ
ว่า การศึกษาการเมืองคือเร่ืองที่สาคัญที่สุด (Politics is a Master of Science) การศึกษาปรัชญา
โดยใช้การเมืองเป็นศูนย์กลางคือรากฐานของวิชาปรัชญาการเมือง และประวัติศาสตร์ความคิด
ทางการเมือง
3.2 ยุคสมยั โรมัน
ในยุคสมัยนี้หลังจากยุคกรีกล่มสลายลงเม่ือสิ้นสุดของการปกครองพระเจ้าอเล็ก
ซานเดอร์ มหาราช เกิดการแยกตัวพันธมิตรนครรัฐต่างๆ กรุงโรมเป็นนครรัฐหนึ่งที่พัฒนาและ
เจริญก้าวหน้าถึงขั้นปกครองนครรัฐอื่นในยุโรป จนเรียกว่า “จักรวรรดิโรมัน” มรดกทาง
รัฐศาสตร์ที่จักรวรรดิโรมันให้กับโลก ได้แก่ ความคิดทางกฎหมาย หลักนิติศาสตร์และหลัก
ในทางรัฐประศาสนศาสตร์ หลักการเหล่านี้มาจากปรัชญาแบบ สตอยอิก (Stoic) ซึ่งถือว่ามนุษย์

รัฐศาสตรเ์ บ้อื งต้น หน้า 9

ทุกคนมคี วามเสมอภาค ภาราดรภาพและมีที่มาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน เสมือนว่าทุกคนบนโลก
นเี้ ปน็ บุตรของพระเจ้าองค์เดียวกนั พรอ้ มในปรัชญาแบบประชาธิปไตยหลักการที่ว่ามนุษย์เป็นผู้มี
เหตมุ ผี ล มีศีลธรรม มีความเท่าเทียมกัน ได้เสนอผ่านมาจากแนวความคิดกฎหมายธรรมชาติและ
สิทธิตามธรรมชาติ เกิดจากการเสนอแนวความคิดทางการเมืองโดยยึดหลักกฎหมายธรรมชาติ
ของ Stoic นักปราชญ์ทีช่ ือ่ วา่ Cicero

ในสมัยโรมันการศกึ ษาการเมอื งไม่ได้ให้ความสาคัญมากนัก อย่างไรก็ตามมรดกทาง
ความคิดที่สาคัญคือการสร้างระบบกฎหมายที่ต่อมากลายเป็น รากฐานที่สาคัญของวิชา
นิติศาสตร์ และระบบการบริหารจัดการสาธารณรัฐ ที่ต่อมากลายเป็นรากฐานของวิชาการ
บริหารจดั การสาธารณะ

3.3 ยคุ สมัยกลางหรอื ยคุ มดื หรอื ยุคศักดินา
หลังสิ้นสุดยุครุ่งเร่ืองของปรัชญากรีก และการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน (โรมัน
ตอนต้นปกครองโดยสภาเรียกว่าสาธารณะรัฐ ส่วนในตอนปลายปกครองโดยจักรพรรดิจึง
เรียกว่าจักรวรรดิ) ศาสนาคริสต์เข้ามามีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของชาวยุโรปในทุกเร่ือง การศึกษา
การเมืองจึงเป็นไปเพื่ออธิบายความว่าเหตุใดมนุษย์ซึ่งเป็นคนบาปตามความเชื่อของศาสนาน้ัน
สามารถปกครองกันเองได้อย่างไร และกษัตรยิ ์มีอานาจชอบธรรมจากพระเจ้าอย่างไรจึงสามารถ
ปกครองคนบาปได้ ตามทฤษฎีดาบสองเล่มพระผู้เป็นเจ้าประทานมา เล่มแรกเป็นดาบทางธรรม
และเล่มที่สองเป็นดาบทางโลก หรือแบ่งออกเป็นสองส่วนคืออาณาจักรและศาสนจักร ภายใต้
พระผู้เป็นเจ้า แต่ศาสนจักรจะเหนือกว่าเพราะเป็นผู้ถือโองการของพระเจ้า ส่วนอาณาจักรเป็น
เพียงตวั แทนที่พระเจ้าส่งมาปกครองมนุษย์ อาณาจักรหรือรัฐเกิดขึ้นเพราะบาป (Sin) ของมนุษย์
เอง ส่ังสอนให้คนมุ่งกระทาดีเม่ือสิ้นไปจากอาณาจักรก็จะได้ไปอยู่ในอาณาจักของพระเจ้า
อย่างเช่นในหนังสือ The City of God ของ ออกัสติน ในยุคมืดหรือยุคกลางนี้การปกครองที่ดียัง
เป็นกษัตริย์แต่กษัตริย์จะต้องอยู่ใต้ศาสนจักรคือพระสันตะปาปา และอานาจการปกครองแบ่ง
ออกเป็นแวน่ แคว้นตา่ งภายใต้อานาจของขนุ นาง (Lords) ซึ่งมีกองทพั ของตนเอง
3.4 สมยั ฟื้นฟศู ิลปะวิทยาการถึงสมยั ใหม่ตอนต้น (ราวศตวรรษ ที่ 13 - 19)
ยุคฟื้นฟูนี้เกิดการปฏิวัติทางความคิดทางศาสนาคริสต์ การเติบโตขึ้นของแนวคิด
มนุษย์นิยม (Humanism) ทาให้การศึกษาการเมืองในยุคนี้มีการพูดถึงการเมืองของมนุษย์มากขึ้น
โดยปรากฏชัดในงานเขียนเร่ือง "เจ้าผู้ปกครอง" (The Prince) ของ มาเคียเวลลี ที่สอนการ
ปกครองอย่างตรงไปตรงมา และในบางเรอ่ื งดูจะโหดร้าย และน่ารังเกียจหากมองด้วยสายตาของ
ผู้ที่เคร่งครัดในจารีตทางความเชื่อแบบมี ศีลมีธรรมแบบยุโรป โดยเป็นผู้ริเริ่มแยกการเมืองออก
จากศาสนา ไม่ยอมรับอานาจของสันตะปาปาและศาสนจักร แต่ต่อมามีการปฏิรูปคร้ังสาคัญ

รฐั ศาสตร์เบ้ืองตน้ หน้า 10

(Reformation) โดยศาสนจกั รอยู่ภายใต้การคุ้มครองและควบคุมโดยกษัตริย์ มีการสร้างดุลยภาพ
ใหม่ระหว่างอานาจฝุายอาณาจกั รกับฝาุ ยศาสนจกั ร

รัฐศาสตร์ในยุคนี้เริ่มให้ความสนใจที่จะหาคาอธิบายเร่ืองต่างๆ เช่น ที่มาของรัฐ
หน้าที่ความรับผิดชอบของราษฎร สิทธิของประชาชน ความรับผิดชอบที่ผู้ปกครองพึงมีต่อ
ประชาชน ลักษณะของเสรีภาพ

การปฏิวัติทางความคิดวิทยาศาสตร์ยุคแรก (The Scientific Revolution) ส่งผลให้ใน
ยุโรปเกิดกระแสการนาเอาวิทยาศาสตร์เข้ามาศึกษาการเมือง โดยปรากฏอย่างชัดเจนในงาน
ทฤษฎีสัญญาประชาคม (Social Contract Theory) ในผลงานเร่ือง เลอไวธัน (Leviathan) ของ
ฮอบส์ ที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสังคม การเกิดรัฐและการปกครองกันของ
มนุษย์เกิดจากสภาพธรรมชาติที่ไม่ดีของมนุษย์ ส่วน จอห์น ล็อค (John Locke) ได้เสนอผลงาน
เรื่อง Two Treaties of Government ซึ่งเป็นแนวคิดเกี่ยวกบั เสรีภาพ ประชาชนมีสิทธิไม่เชื่อฟังและ
มีสิทธิปฏิวัติต่อต้านหากการปกครองของประมุขของรัฐขัดต่อกฎหมาย (ก่อให้เกิดความอ
ยุติธรรมและความไม่สงบ) รวมท้ังการล้มล้างการปกครองเพื่อรักษาอานาจอธิปไตยซึ่งเป็นของ
ประชาชนเอาไว้

3.5 ยคุ สมัยปจั จุบัน
ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง (คริสต์ศตวรรษที่ 19) นักรัฐศาสตร์ได้หันไปสนใจ
ศึกษาเกี่ยวกับแนวความคิดเร่ืองรัฐ อันหมายถึงโครงสร้างและกฎเกณฑ์ที่เป็นทางการตาม
รฐั ธรรมนูญ โดยเฉพาะประเดน็ เรอ่ื งกาเนดิ และลกั ษณะของรัฐว่ามีองค์ประกอบอย่างไร และได้มี
การนาแนวคิดเรอ่ื งรัฐมาใช้ ต่อมาหลงั สงครามโลกครั้งที่สอง การศึกษาวิชารัฐศาสตร์ได้ขยายตัว
ออกเป็นสาขาวิชาเฉพาะ เช่น ปรัชญาการเมือง กฎหมายมหาชน การเมืองเปรียบเทียบ รัฐ
ประศาสนศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นต้น มีการนาเทคนิควิธีการของสาขาวิชา
อื่นนามาใช้ประยุกต์เข้ากับการศึกษาวิชารัฐศาสตร์มากขึ้น เป็นยุคที่วิชารัฐศาสตร์มีการศึกษาที่
นาเอาวิทยาศาสตร์ เข้ามาช่วยในการศึกษาและเรียกการศึกษาการเมืองว่า "รัฐศาสตร์" (Political
Science) เป็นครั้งแรก ในช่วงทศวรรษที่ 1960 โดยเริ่มต้นในสหรัฐอเมริกาซึ่งแต่เดิมมีการเรียน
การสอนอยู่ในคณะประวัติศาสตร์ ซึง่ ศาสตราจารย์คนแรกของวิชารัฐศาสตร์ คือ ฟรานซ์ ลีแบร์
(Francis Lieber) นักปรัชญาอเมริกันเชื้อสายเยอรมัน โดยดารงตาแหน่งเป็นศาสตราจารย์
ประวตั ิศาสตร์และรัฐศาสตร์ประจามหาวิทยาลยั โคลัมเบีย
การศึกษาวิชาในยุควิทยาศาสตร์นี้ได้สร้างวิธีการศึกษาการเมืองขึ้นมา น่ันคือ
การศึกษาการเมืองผ่านการสร้างทฤษฎีการเมือง นักรัฐศาสตร์ที่เรียกตัวเองว่านักทฤษฎี
การเมืองจะมองว่าทฤษฎี คือเคร่ืองมือในการทาความเข้าในสภาพการเมืองโดยรวม ซึ่งผลิตผล

รฐั ศาสตร์เบอื้ งตน้ หน้า 11

ของการศึกษาทาความเข้าใจดังกล่าวจะได้มาซึ่งองค์ความรู้ที่สามารถ นามาประยุกต์สร้างตัว
แบบ (Model) เพื่ออธิบายความจริง (Fact) ที่เกิดขึ้น ในยุคนี้ยังเชื่อว่าการศึกษาการเมืองโดยใช้
ปรัชญา และประวัติศาสตร์เป็นเร่ืองพ้นสมัย การศึกษาการเมืองในยุคนี้จึงเน้นศึกษาพฤติกรรม
ทางการเมือง แล้วนามาวัดประเมินค่าในเชิงคณิตศาสตร์และสถิติ จึงเรียนรัฐศาสตร์ในยุค
เริ่มแรกว่า สานักพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral)
อย่างไรก็ตามในเวลาช่วง ทศวรรษที่ 1970 - 1980 นักรัฐศาสตร์จานวนมากก็ตั้งข้อกังขาว่า
การเมืองนั้นสามารถวัดค่าเป็นตัวเลข ได้หรือไม่ การถกเถียงดังกล่าวเกิดในวงวิชาการอเมริกัน
อันนาไปสู่การปฏิวัติการศึกษาการเมืองที่พยายามดึงเอาปรัชญา และประวัติศาสตร์กลับมาอีก
ครั้ง เรียกว่านักรฐั ศาสตรส์ ายหลังพฤติกรรมศาสตร์ (Post-Behavioral)

ปัจจบุ ันการศึกษารฐั ศาสตร์ในปจั จุบันมี 2 กระแส กระแสแรกคือสายที่ยังศึกษาแนว
พฤติกรรมศาสตร์ คือเชื่อม่ันว่าการศึกษาการเมืองผ่านตัวเลข และสถิติมีความม่ันคงเชื่อถือได้
ส่วนอีกกระแสคือสายที่พยายามกลับไปใช้ปรัชญา และประวัติศาสตร์เป็นเคร่ืองมือในการศึกษา
รฐั ศาสตร์ในปจั จุบันจึงมีลกั ษณะสาขาวิชาที่เป็นสหวิทยาการ (Interdisciplinary) สูงมากสาขาวิชา
หน่งึ

3.6 การศกึ ษารฐั ศาสตร์ของไทย
การศึกษาด้านรัฐศาสตร์ของไทยเริ่มต้นคร้ังแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง มีพระราชดาริจัดตั้ง โรงเรียนฝึกหัดวิชาข้าราชการพลเรือน เพื่อ
รับคัดเลือกนักเรียนเข้ามาฝึกหัดเป็นข้าราชการตามกระทรวงต่าง ๆ (สาขาวิชารัฐประศาสน
ศาสตร์) ต่อมาได้มีการขยายการศึกษาให้กว้างขวางยิ่งขึ้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวจงึ ทรงพฒั นาโรงเรียนดงั กล่าวเปน็ โรงเรยี นข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ซึ่งภายหลงั ได้สถาปนาเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จากเหตุดังกล่าวนี้ การศกึ ษารัฐศาสตร์จึงเริม่ ตน้ ขึน้ โดยคณะรัฐศาสตร์แห่งแรก คือ
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แห่งที่สอง คือ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์และแห่งที่สาม คือ ภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์
ข้อสังเกตคือในยุคเริ่มแรกนั้นรัฐศาสตร์ไทยน้ันเน้นผลิตบัณฑิตเข้าสู่วงราชการ โดย
เฉพาะกระทรวงมหาดไทย ซึ่งต่อมาจึงเป็นที่มาของการใช้ตราสิงห์เป็นสัญลักษณ์ของสาขาวิชา
และอีกส่วนหน่งึ คอื การเรียนการสอนรฐั ศาสตร์ไทยในยุคแรก อันที่จริงเป็นการเรียนการสอนวิชา
รัฐประศาสนศาสตร์เพื่อสร้างข้าราชการปูอนให้กับรัฐไทย หรือก็คือสอนวิชาบริหารจัดการ
สาธารณะภายไต้ชื่อรัฐศาสตร์ทาให้ในเวลาต่อมา เกิดความสับสนในวงวิชาการว่ารัฐศาสตร์กับ

รัฐศาสตร์เบอ้ื งตน้ หนา้ 12

รฐั ประศาสนศาสตร์นน้ั มคี วามแตกต่าง การแบ่งสาขาวิชารัฐศาสตร์ในประเทศไทย มหาวิทยาลัย
ในประเทศไทยที่มีการสอนรัฐศาสตร์แบ่งสาขารัฐศาสตร์ต่าง ๆ กัน ก็ได้กาหนดให้เป็น 3 แผน
เชน่ เดิม ได้แก่

ก. แปลน A สาขาการปกครอง (Government) ครอบคลุมเน้ือหา เช่น ทฤษฎี
การเมือง, ระบบการเมือง, พฤติกรรมเชิงการเมือง สถาบันการเมืองต่าง ๆ เช่น รัฐสภา พรรค
การเมอื ง ฯลฯ

ข. แปลน B สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relations) ครอบคลุม
เร่ืองราวเกี่ยวกับนานาประเทศ เช่น 1) สงคราม 2) การจัดต้ัง และดาเนินงานขององค์การ
ระหว่างประเทศ 3) ความสัมพันธ์ทางการทูต (diplomacy) ของนานาชาติ 4) การเมืองเร่ือง
เชอ่ื มโยง (linkage politics)

ค. แปลน C สาขารัฐประศาสนศาสตร์หรือการบริหารรัฐกิจ (Public Administration)
ครอบคลุมการจัดและบริหารองค์การของรัฐ ระเบียบปฏิบัติ เช่น พระราชบัญญัติข้าราชการพล
เรือน การพิจารณาบุคคลเข้ารับราชการ การพิจารณาความดีความชอบ การบริหารงานราชการ
เพื่อการพฒั นาธรรมาภบิ าล (good governance)

4. ขอบขา่ ยหรอื สาขาของการศึกษาวชิ ารฐั ศาสตร์
วิชารัฐศาสตร์ในปัจจุบันได้ขยายขอบเขตไปมาก เนื่องจากรัฐ รัฐบาลในปัจจุบันได้

เปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่ รวมทั้งอานาจของรัฐ รัฐบาล สถาบัน องค์กรต่างๆ จะเห็นได้ว่าใน
ปัจจุบันนักรัฐศาสตร์ต่างยังไม่อาจหาข้อยุติได้ว่าการศึกษารัฐศาสตร์ควรมี ขอบข่ายวิชา
ครอบคลุมไปในเร่ืองขอบข่ายอะไรบ้างและควรศึกษาอย่างไรและวิชารัฐศาสตร์ได้ขยายขอบข่าย
เพิ่มขึ้นมากมากมาย การศึกษาวิชารัฐศาสตร์หรือแขนงวิชารัฐศาสตร์น้ัน ได้มีนักวิชาการทั้ง
ต่างประเทศและนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ไทยได้จาแนกแยก ย่อยขอบเขตของวิชารัฐศาสตร์ไว้
หลายแขนง

เดชชาติ วงศ์โกมลเชษฐ์ (2515, 10-11) ได้จาแนกขอบเขตการศึกษารัฐศาสตร์เพื่อ
ความสะดวกและประโยชน์ในการวิจัย ออกเป็น 6 แขนงประกอบด้วยดงั น้ี

1. ทฤษฎีการเมืองและประวัติความคิดทางการเมือง (Political Theory and History of
Political Thought) กลุ่มนี้วิจัยถึงทฤษฎี ตาราและความคิดเห็นต่าง ๆ ที่สาคัญตั้งแต่สมัยโบราณ
จนถึงสมัยปัจจุบันเพื่อทราบถึงเหตแุ ละผล รวมทั้งการตอ่ เนื่องกนั ของสถาบันการเมอื ง

2. สถาบันทางการเมือง (Political Institutions) สาขาวิชานี้เจาะจงวิจัยและนิยาม
ระบบ องค์ประกอบ และอานาจของสถาบันทางการเมือง รวมท้ังนโยบายการจัดตั้งและโครงร่าง

รฐั ศาสตรเ์ บือ้ งตน้ หน้า 13

ของการปกครองของรัฐ (รวมทั้งการปกครองส่วนท้องถิ่น) และการปกครองเปรียบเทียบระหว่าง
รฐั (Comparative Government)

3. กฎหมายสาธารณะ (Public Laws) กลุ่มนี้มุ่งไปในงานวิจัยรากฐานของรัฐรวมท้ัง
ปญั หาของการแบ่งแยกอานาจ ค้นคว้าถึงความสัมพันธ์ของกฎหมายทั่วไปกับกฎหมายสูงสุดของ
รัฐ และปัญหาการบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย การพิจารณาถึงอานาจหน้าที่ของระบบศาล
ยตุ ิธรรมและความสัมพันธ์ระหว่างจารีต ประเพณีกับกฎหมายด้วย

4. พรรคการเมือง กลุ่มอิทธิพลและประชามติ (Political Parties, Pressure Groups
and Publics Opinion) กลุ่มนีพ้ ิจารณาถึงบทบาท จุดประสงค์การจัดต้ังและผลของพรรคการเมือง
กลุ่มอิทธิพล และประชามติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความพยายามที่จะมีอิทธิพลต่อสถาบันทาง
การเมอื งรวมท้ัง การประเมินผลการใชป้ จั จัยทั้งสามโดยนักการเมอื ง

5. รัฐประศาสนศาสตร์ (Public Administration) ศึกษาเกี่ยวกับการจัดการกาลังคน
เงินและวัตถุ ในอันที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามเจตจานงของการปกครองของรัฐ กลุ่มนี้จึงเกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติ (Execution) ให้เป็นไปตามอุดมคติและจุดประสงค์ของรัฐ
อย่างมสี มรรถภาพและได้ผลที่สดุ

6. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relation) พิจารณา เกี่ยวกับเร่ือง
นโยบาย หลักการและวิธีการในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐแขนงวิชาที่รวมอยู่ในกลุ่มนี้ ได้แก่
นโยบายต่างประเทศ การเมืองและการบริหารระหว่างประเทศ องค์การระหว่างประเทศ
กฎหมายระหว่างประเทศและการดาเนินการทางการทตู

จรูญ สุภาพ (2522, 7-10) ได้จาแนกขอบเขตการศึกษารัฐศาสตร์ออกเป็น 8 แขนง
ประกอบด้วย

1. ปรัชญาการเมือง (Political Philosophy) สาขาวิชาปรัชญาการเมือง จะรวมเอก
การศึกษาวิชาปรัชญาการเมือง (Political Philosophy) การศึกษาทฤษฎีทางการเมือง (Political
Theory) หรือทฤษฎีรัฐศาสตร์ และการศึกษาแนวคิดทางการเมือง (Political Thought) ไว้ด้วยกัน
การศกึ ษาในแนวทางปรัชญาการเมืองจะมุ่งเน้นศึกษาเกี่ยวกับหลักการ ทฤษฎีทางรัฐศาสตร์ ซึ่ง
เปน็ การศึกษาทีเ่ ก่าแก่ทีส่ ุด ในอดีตการศกึ ษาในแนวนีเ้ น้นทางด้านศลี ธรรมจรรยา หลักจริยธรรม
ซึ่งถือเป็นแนว ทางในการกาหนดนโยบายของสังคม อันเป็นเสมือนหลักการแห่งเหตุผล การพูด
ถึงสังคมอุดมคติ ควบคู่ไปกับอุดมการณ์ทางการเมือง (Political Ideology) ซึ่งเป็นเสมือน
เปูาหมายทางการเมืองที่เป็นพลังผลักดันให้มนุษย์มีพฤติกรรม หรือปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใด
เพื่อให้เป็นไปตามเปูาหมายน้ัน เหตุที่ทฤษฎีทางการเมืองเกี่ยวข้องกับปรัชญาทางการเมือง และ
ความคิดทางการเมอื งกเ็ นือ่ งมาจาก ทฤษฎีการเมืองเป็นสาขาวิชาที่มีรากฐานมาจากวิชาปรัชญา

รฐั ศาสตร์เบือ้ งต้น หนา้ 14

การเมืองหรือความคิดทางการเมือง (ทินพันธ์ นาคะตะ 2541, 19) แขนงนี้ทาการศึกษาถึงทฤษฎี
รัฐศาสตร์ยคุ สมยั เพลโต มาจนถึงปัจจุบนั โดยศึกษาวิเคราะหผ์ ลงานของนักรัฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียง
ในสมัยต่างๆ เชน่ อรสิ โตเติล้ , โทมสั ฮอบบ์, จอห์น ล๊อคและรุสโซ เป็นต้น เพื่อค้นหาเจตนารมณ์
ที่ทาให้เกิดทฤษฎีรฐั ศาสตร์ตา่ งๆ ขึน้

2. สถาบันการเมือง (Political Institutions) การศึกษาวิชารัฐศาสตร์แขนงนี้ จะ
พิจารณาถึงการจัดระเบียบและโครงสร้างการปกครองบทบาทของฝุายบริหาร ฝุายนิติบัญญัติ
และฝุายตุลาการ การใช้อานาจขององค์การปกครองต่างๆ (รวมท้ังการปกครองส่วนท้องถิ่น)
และการปกครองเปรียบ เทียบระหว่างรัฐ (Comparative Government) มุ่งให้ผู้ศึกษามีความ
เชี่ยวชาญในเร่ืองเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ องค์กรต่างๆของรัฐบาล การเลือกต้ัง กลุ่มผลประโยชน์
การปกครองส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น

3. กฎหมายมหาชน (Public Law) การศึกษาในสาขานี้มุ่งเน้นถึงกระบวนการบัญญัติ
กฎหมายของรัฐ การศึกษากฎหมายมหาชนเป็นการศึกษากฎหมายที่มีความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ
กบั ประชาชน ซึ่งตา่ งจากกฎหมายเอกชน (Private Law) ที่ใช้กาหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชน
ด้วยกันเอง การศึกษากฎหมายมหาชนให้ความสาคัญกับรัฐธรรมนูญ กับกฎหมายในสังคมที่
เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของประชาชนพลเมืองและรัฐบาล การศึกษากฎหมายมหาชนจะประกอบ
ไปด้วย กฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายรัฐธรรมนญู และกฎหมายปกครอง

4. การเมืองเปรียบเทียบ (Comparative Political) สาขาวิชาการเมืองเปรียบเทียบ
เปน็ สาขาวิชาที่เก่าแก่มาก มีการศึกษาพร้อมๆกับการศึกษาปรัชญาการเมืองในสมัยกรีกโบราณ
โดยอริสโตเติ้ล ผู้ซึ่งได้พยายามศึกษาและเปรียบเทียบรูปแบบของรัฐบาลในนครรัฐต่างๆในสมัย
น้ัน

การศกึ ษาการเมอื งเปรียบเทียบศกึ ษาถึงรปู แบบของการปกครองประเทศต่างๆ ด้วย
ความประสงค์ที่จะเปรียบเทียบหาลักษณะดีเด่นหรือรูปแบบการปกครองที่ประสบผลสาเร็จรูป
หน่งึ เพื่อหาทางให้มีการปฏิรูปการปกครองทีเ่ หมาะสมกบั สภาพทางสงั คม ต้องการวิเคราะห์และ
ศึกษาการเมืองโดยเปรียบเทียบ ทั้งในเชิงประวัติศาสตร์การเมืองและสังคมการเมือง รวมถึง
การศึกษารัฐธรรมนูญ องค์กรการบริหารและขั้นตอนในการบริหาร บทบาทของกลุ่มการเมือง
นอกจากรัฐบาล รวมท้ังการศึกษาเปรียบเทียบนโยบายต่างๆของแต่ละรัฐด้วย การศึกษา
การเมอื งเปรียบเทียบจงึ ตอ้ งการความรคู้ วามเข้าใจทุกด้านทางรัฐศาสตร์

5. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relation) วิชาความสัมพันธ์ระหว่าง
ประเทศก็เป็นวิชาที่เพิ่งขยายตัวมาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่
เดิมการศึกษาวิชานี้มุ่งหวังที่จะผลิตบุคลากรเพื่อเข้าทางานในองค์การระหว่างประเทศหรือ

รฐั ศาสตร์เบือ้ งตน้ หน้า 15

กระทรวงการต่างประเทศ แต่ในปัจจุบันที่การเมืองระหว่างประเทศเข้ามาอิทธิพลในการเมือง
ภายในประเทศมากขึ้น สาขาวิชานี้จึงมีความสาคัญในการศึกษารัฐศาสตร์มากขึ้นเป็นลาดับดู
ประหนึ่งว่าจะแยกออกเป็นเอกเทศ ทั้งนี้เพราะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็ดี กฎหมาย
ระหว่างประเทศและการทูต เป็นเร่ืองที่สลับ ซับซ้อนมีขอบเขตกว้างขวางและเป็นเร่ืองใหญ่ของ
สังคมระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเร่ืองที่รัฐต่างๆ จะต้องมีต่อกันโดยมี
กฎหมายระหว่างประเทศเป็นเคร่ืองมือกาหนดกฎเกณฑ์พฤติกรรมของรัฐ การดาเนินการ
ทางการฑูตก็มีระเบียบปฏิบัติตอ่ กันเปน็ พิเศษ

6. พรรคการเมอื ง กลุ่มอทิ ธิพล และมตมิ หาชน การศกึ ษาในสาขาวิชานี้นับได้ว่าเป็น
เรือ่ งใหม่และเปน็ สาขาใหญ่ทีไ่ ด้รบั ความสนใจกันท่ัวไป โดยเป็นสาขาวิชาที่ศึกษาถึงพลังต่าง ๆ ที่
มีผลต่อรัฐบาลและการเมือง สาขานี้ครอบคลุมถึงการศึกษาที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ องค์การ
และวิธีการตา่ ง ๆ ของพรรคการเมอื ง บทบาทของกลุ่มอทิ ธิพล การวัดและการใช้มติมหาชน การ
วิเคราะหก์ ารโฆษณาชวนเชอ่ื และคาที่สื่อความหมายทางการเมือง ประโยชน์ของวิชานี้คือช่วยใน
การวิเคราะหท์ างการเมอื ง โดยเฉพาะที่เกีย่ วกับพฤติกรรมทางการเมอื ง

7. รัฐประศาสนศาสตร์ (Public Administration) รัฐประศาสนศาสตร์ หรือวิชา การ
บริหารภาครัฐ เป็นสาขาวิชาที่ค่อนข้างใหม่ในวิชารัฐศาสตร์ ซึ่งเป็นผลของการขยายอานาจของ
รัฐบาล รัฐประศาสนศาสตร์เป็นการเรียนเกี่ยวกับการพัฒนาของการบริหารในส่วนของรัฐบาล
ซึ่งแตกต่างจากการบริหารในส่วนของเอกชนเพราะเป็นการบริหารองค์กรขนาดใหญ่กว่า และ
ไม่ได้มุ่งหวังที่ผลกาไรเหมือนการบริหารภาคเอกชน แต่มุ่งหวังที่ความอยู่ดีกินดีมีสุข ความพึง
พอใจของผู้รับบริการคือประชาชนทั้งหลาย วิชารัฐประศาสนศาสตร์ มีขอบเขตกว้างขวาง
ต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถทั้งแบบเฉพาะทาง และความสามารถในด้านการ
บริหาร ในการนานโยบายของรัฐบาลไปปฏิบัติให้ได้ตามเปูาหมายโดยวิชารัฐประศาสนศาสตร์
ประกอบไปด้วย 4 สาขาวิชาย่อยคือ การบริหารองค์การ การบริหารงานบุคคล การบริหารการ
คลงั และการบริหารงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างภาคเอกชนกับรฐั บาล ในการศึกษาการบริหาร
ภาครัฐนั้นไม่ได้เน้นเฉพาะภาคปฏิบัติการบริหาร แต่ยังรวมถึงการสร้างและเตรียมการกาหนด
นโยบายของรัฐบาลอีกด้วย

ในปัจจุบันสังคมมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น รัฐจะต้องเข้าไปจัดการแก้ปัญหาใหม่ๆ
ขึ้นแทบทุกวันไม่ว่าจะเป็นเร่ืองกฎหมาย การค้า การเงิน การธนาคาร หรือปัญหายาเสพติด
ปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งล้วนแต่ต้องการความรู้ใหม่ๆ เข้ามาจัดการกับประเด็นปัญหาเหล่านี้
รัฐศาสตร์ จึงมีการขยายสาขาวิชาเพิ่มขึ้นมากมาย เช่น สาขาวิชาการเมืองการปกครองท้องถิ่น
สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ สาขาจติ วิทยาการเมอื ง เปน็ ต้น

รัฐศาสตร์เบ้อื งตน้ หน้า 16

8. รัฐบาลท้องถิ่นหรือการปกครองท้องถิ่น รัฐศาสตร์สาขานี้จะทาการศึกษาเฉพาะ
เร่ืองการปกครองท้องถิ่น ซึ่งหมายถึงการปกครองที่รัฐบาลมอบอานาจให้ประชาชนจัดการ
ปกครองกันเองและดาเนินการบางอย่างเพื่อสนองความต้องการของตน โดยจัดรูปองค์การ
ปกครองโดยประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ ซึ่งประชาชนเลือกต้ังขึ้นทั้งหมดหรือบางส่วน มีงบประมาณ
เป็นของตนเองและมีความอิสระในการบริหาร การศึกษาเกี่ยวการปกครองท้องถิ่นจะเน้นถึง
รูปแบบการปกครองท้องถิ่น ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐบาลท้องถิ่น ตลอดจน
บทบาทหนา้ ที่ขององค์การปกครองท้องถิน่

อไุ รวรรณ ธนสถิตย์ (2543: 4 – 5) ได้พิจารณาขอบข่ายของรัฐศาสตร์ตามรายวิชา
ทีบ่ ัญญัติไว้ใน American Political Science Association ของประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าการเรียน
วิชารัฐศาสตร์ได้ขยายรวมถึงสาขาวิชาย่อยต่าง ๆ รวม 9 สาขาด้วยกัน คือ

1. ทฤษฎีการเมอื ง หรอื ปรชั ญาการเมอื ง
2. กฎหมายมหาชน
3. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ และองค์การระหว่าง
ประเทศ
4. การปกครอง (ระดับชาติและราชการบริหารส่วนท้องถิน่ )
5. การปกครองเปรียบเทียบ
6. รัฐประศาสนศาสตร์
7. พลวตั ทางการเมอื ง (พรรคการเมือง ความคิดเหน็ ทางการเมอื ง)
8. กระบวนการนติ ิบัญญตั ิ
9. ธรุ กิจและรฐั บาล
สรปุ ขอบข่ายของการศกึ ษารัฐศาสตร์มีพัฒนาการมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและ
ในอนาคตคาดวา่ จะมีการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับยุคสมัยต่อไปอีก สาหรับผู้ที่เริ่มต้นศึกษา
รัฐศาสตร์ ผเู้ ขียนเห็นว่าควรทราบและเข้าใจในประเดน็ ต่อไปนี้
1. ความรเู้ กีย่ วกับรฐั ศาสตร์
2. รฐั
3. อานาจอธิปไตย
4. ความสมั พันธ์ระหว่างรฐั กับประชาชน
5. อุดมการณท์ างการเมอื ง
6. สถาบนั ทางการเมือง
7. กระบวนการทางการเมือง

รัฐศาสตร์เบ้ืองตน้ หนา้ 17

8. ความสมั พนั ธ์ระหว่างประเทศ

5. สาขาวิชาทางรฐั ศาสตร์
อุไรวรรณ ธนสถิต (2543 : 4) อธิบายว่า นักวิชาการทางรัฐศาสตร์ได้อธิบายแบ่ง

สาขาวิชารัฐศาสตร์ ไว้ดังนี้ วิชารัฐศาสตร์ เป็นวิชาที่ว่าด้วยเร่ืองของรัฐ สามารถแตกแขนงสาขา
ย่อยไปได้อกี ในยุคก่อนสงครามโลกคร้ังที่ 1 รัฐศาสตร์แบ่งการเรียนออกเป็น 4 สาขาใหญ่ ๆ คือ
ทฤษฎีรัฐศาสตร์ การปกครอง การปกครองเปรียบเทียบ และตัวบทกฎหมาย แต่ถ้าจะพิจารณา
จากที่ว่ารัฐศาสตร์มุ่งศึกษาเป็นพิเศษถึงรัฐ สถาบันทางการเมืองและปรัชญาทางการเมือง
โดยทัว่ ไปแล้วจะแบ่งออกเป็น 7 สาขา โกวิท วงศส์ ุรวฒั น์ (2543: 15 – 16) อธิบายไว้ดงั นี้

1. รัฐบาล (Government) คือ การศึกษาการศึกษาเกี่ยวกับสถาบันทางการเมืองต่าง
ๆ การแบ่งอานาจระหว่างนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ศึกษารัฐบาลกลางกับรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่ง
เน้นไปทางดา้ นโครงรา่ งของการปกครอง วิชานเี้ รียกอีกอย่างหนง่ึ ว่า วิชาการปกครอง

2. กลุ่มการเมอื ง (Political Parties) คือ การศกึ ษาถึงความสาคัญของพรรคการเมือง
ที่มบี ทบาทต่อรฐั ศกึ ษาประชามติ และกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ด้วย

3. กฎหมายมหาชน (Public Law) คือ การศึกษาเกี่ยวกับรากฐานรัฐธรรมนูญของ
รัฐต่าง ๆ ปัญหาของการกาหนดและแบ่งอานาจปกครองประเทศ และความสัมพันธ์ระหว่าง
เอกชนกบั รฐั

4. รัฐประศาสนศาสตร์ (Public Administration) คือ การศึกษาการบริหารงานของ
รัฐบาล การบริหารกฎหมาย การจัดการเกี่ยวกับคน เงินตรา วัตถุ รัฐประศาสนศาสตร์ นับเป็น
แขนงวิชาใหม่ของวิชารัฐศาสตร์ เน่ืองจากการที่รัฐบาลมีขอบเขตภาระหน้าที่กว้างขวางขึ้นตาม
ยุคสมยั ทาให้ตอ้ งมวี ิชาการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว เป็นวิชาที่เน้นไปทางปฏิบัติ
ให้เป็นไปตามเจตจานงในการปกครองของรัฐให้เป็นไปตามจุดประสงค์และอุดมการณ์อย่างเป็น
ผลดแี ละมีประสิทธิภาพมากทีส่ ดุ วิชานีเ้ รียกอีกอย่างหนง่ึ ว่า การบริหารรฐั กิจ

5. รัฐบาลเปรียบเทียบ (Comparative Government) คือ การศึกษาถึงการปกครอง
ของประเทศต่าง ๆ หลายประเทศ เพื่อจะเปรียบกันทางประวัติศาสตร์เป็นพื้นฐาน แล้วจึง
เปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญ โครงร่างของการปกครองและสถาบันการเมืองต่าง ๆ เช่น พรรค
การเมือง สภานิติบัญญัติ ระบบศาล เป็นต้น นอกจากนี้ยังศึกษาถึงลักษณะทางเศรษฐกิจ
และสงั คม ขนบธรรมเนยี มประเพณีตลอดจนนโยบายต่างประเทศในอดีตเพื่อนามาประกอบการ
พิจารณาด้วย โดยรวมแล้วคือการศึกษาระบบการเมืองและการปกครองของแต่ละรัฐหาจุดเด่น
จุดด้อยของแต่ละระบบ อันจะนาไปสู่การปฏิรูปการปกครองที่เหมาะสมกับรัฐ ของตน

รัฐศาสตรเ์ บ้อื งต้น หน้า 18

ตัวอย่างเช่น การศึกษาวิชารัฐศาสตร์เปรียบเทียบในกรณีระบบรัฐสภาของประเทศที่พัฒนาแล้ว
กับประเทศกาลังพัฒนา

6. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International relations) คือ การศึกษาถึงความ
สัมพันธ์ระหว่างรัฐตอ่ รฐั การทูตองค์การระหว่างประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ

7.ปรัชญาทางการเมือง (Political Philosophy) คือ การศึกษาปรัชญาที่เกี่ยวกับ
การเมืองการปกครองต้ังแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันปรัชญาทางการเมืองเป็นเหมือนหลักการ
เหตุผลและความยึดม่ันของรัฐซึ่งย่อมแตกต่างกันไป การศึกษาก็เพื่อที่จะเรียนรู้เข้าใจท้ัง
จุดมุ่งหมาย (Ends) และวิถีทาง (Means) ของแต่ละปรัชญา โดยแสวงหาเหตุและผลนามาปฏิรูป
ความคิดและการปฏิบัติทางดา้ นการปกครอง ให้ได้รูปแบบที่ดีขึ้นจากตัวอย่างความบกพร่องของ
รฐั อืน่ ๆ

สรุป สาขาวิชาทางรัฐศาสตร์ประกอบด้วย 7 สาขา คือ รัฐบาล กลุ่ม
การเมือง กฎหมายมหาชน รัฐประศาสนศาสตร์ รัฐบาลเปรียบเทียบ ความสัมพันธ์ระหว่าง
ประเทศ ปรัชญาทางการเมือง ผู้ศึกษารัฐศาสตร์จะต้องศึกษาวิชาเหล่านี้เป็นวิชาพื้นฐาน ส่วน
ผเู้ ชย่ี วชาญขึ้นอยู่กับความรู้ความถนดั และความสนใจว่าจะสนใจเจาะลึกศึกษาสาขาใดเปน็ พิเศษ

6. แนวทาง/วิธีการศึกษารัฐศาสตร์
แนวทางการศึกษาวิชารัฐศาสตร์น้ันมีอยู่มากมายหลายแบบเหมือนกับคนที่เราจะ

ศกึ ษาบ้านหลงั หนึ่ง เราจะศกึ ษาตามแบบสุนทรียภาพ คือ ดูเร่ืองความงาม ศึกษาแบบโครงสร้าง
คือ ดูวสั ดใุ นการก่อสร้างและการใช้ประโยชน์ของบ้านก็ได้ หรือศึกษาในแง่ของสถานที่สร้างบ้าน
กับสิ่งแวดล้อม หรือศึกษาถึงเคร่ืองประดับบ้านที่มีผลทางจิตใจของผู้อยู่อาศัยหรือศึกษาถึง
วิธีการออกแบบบ้าน หรอื ศกึ ษาถึงวิธีการหาเงินมาสร้างบ้าน ฯลฯ

ด้วยประการสาคญั ที่เปูาหมายหลักของการศึกษารัฐศาสตร์คือ การแสวงหาหนทาง
หรือการที่จะทาความเข้าใจ (Understanding) ถึงที่มาและความเป็นไปของปรากฏการณ์ต่าง ๆ
ในทางการเมือง เพื่อที่จะหาคาอธิบายและคาดการณ์แนวโน้มของปรากฏการณ์ดังกล่าวใน
อนาคต การวิเคราะห์เป็นการจาแนกสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ ด้วยการชี้ให้เห็นถึง
ระดับ ประเภทและทิศทางของความสัมพันธ์ที่ดารงอยู่ในภาวการณ์หนึ่ง อันทาให้เข้าใจได้ว่า
ปรากฏการณ์ทางการเมืองน้ันคืออะไร ทาไมจึงเกิดขึ้นและเกิดขึ้นได้อย่างไร ความพยายามที่จะ
ทาความเข้าใจและอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองนี้ ได้ก่อให้เกิดแนวทางการศึกษาการเมือง
หรอื รฐั ศาสตร์ข้นึ มาอย่างหลาก หลายวิธีการ

รฐั ศาสตรเ์ บ้อื งตน้ หน้า 19

แนวทางการศกึ ษาวิเคราะห์ (Approach) หมายความได้วา่ เป็นวิธีการกว้าง ๆ ในการ
พิจารณาสืบสาวราวเรื่องหรอื ตรวจสอบในเร่ืองการเมือง เดวิด อี แอพเตอร์ (David E. Apter) ใน
หนังสือเร่ือง “Introduction to Political Analysis” ตีพิมพ์ในปี 1977 ได้แบ่งแนวทางการศึกษา
วิเคราะหก์ ารเมอื งออกเปน็ 6 แนวทาง ดงั น้ี

6.1 แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แบบปรัชญาการเมือง (Political Philosophy
Approach) ในยุคกรีกโบราณ การศึกษารัฐศาสตร์ในแนวนี้เฟื่องฟูเป็นอย่างมาก นักรัฐศาสตร์คน
สาคัญในยุคนั้นได้แก่ เพลโต (Plato) และ อริสโตเติ้ล (Aristotle) การศึกษารัฐศาสตร์ในยุค
ดังกล่าวมีท้ังการศึกษาในด้านปรัชญาและวิทยาศาสตร์ ยุคกรีกโบราณจะเน้นความสาคัญของ
ศีลธรรมจรรยา มุ่งเสาะแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดมาให้รัฐ ในทางหนึ่งยุคกรีกโบราณจึงเป็นการศึกษา
รัฐศาสตร์ในแนวอุดมคติ ส่วนการศึกษาในแนววิทยาศาสตร์ก็ได้รับการพัฒนาในสมัยกรีก
เช่นเดียวกัน คือการศึกษาการเมืองเปรียบเทียบกัน และพยายามหาจุดร่วมที่ดีของระบอบ
การเมือง เพื่อสร้างระบอบการเมืองที่ดีที่สุด แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แบบปรัชญาการเมือง
(Political Philosophy) ถือได้ว่าเป็นแนวทางศกึ ษาทีเ่ ก่าแก่ทีส่ ุด สาระสาคัญของแนวทางการศึกษา
วิเคราะห์แบบนี้เป็นการพิจารณาถึงรูปแบบการ ปกครองที่ดี มีความสัมพันธ์กับชีวิตที่ดีของ
มนุษย์ โดยมุ่งที่จะแสวงหาแนวทางการปรับการดารงชีวิตของมนุษย์ให้ใกล้เคียงสอดคล้อง กับ
คุณค่าหรืออุดมคติที่ดีงาม ตามทัศนะของนักปรัชญาการเมืองโบราณ เราอาจกล่าวได้ว่าเพลโต
เป็นบิดาของปรัชญาการเมือง (Political Philosophy) ในขณะที่ อริสโตเติ้ลเป็นบิดาแห่งวิชา
รัฐศาสตร์ (Political science) ทั้งนี้เพราะเพลโตได้พยายามเสนอหลักการทางปรัชญากี่ยวกับ
รูปแบบรัฐที่ดีที่สุด ในขณะที่อริสโตเติ้ลได้นาเอาหลักการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาใช้ในการศึกษา
รฐั ศาสตร์มากขึน้ โดยเขาเป็นคนแรกที่ศึกษารูปแบบของรัฐบาลหลายๆ รูปแบบแล้วเปรียบเทียบ
วิเคราะห์ และสรุปออกมาเป็นทฤษฎี

6.2 แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับรัฐ (State Approach) แนวทางการศึกษา
วิเคราะห์แบบนี้ เกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 จากอิทธิพลแนวคิดของมาเคียเวลลี่
(Machiavelli) ซึ่งมองสภาพความเป็นจริงทางการเมืองและได้สร้างทฤษฎีเกี่ยวกับชนชั้นนัก
ปกครองขึ้นมา ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 20 แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เร่ืองรัฐนี้ได้รับการ
ปรับปรุงไปตามบริบทของสังคม โดยเน้นในเร่ืองโครงสร้างแห่งกฎเกณฑ์ที่เป็นทางการตาม
รัฐธรรมนูญ หรือมองรัฐในแง่กฎหมายมากขึ้น โดยเน้นถึงการกาเนิดรัฐและรูปแบบลักษณะของ
รฐั

6.3 แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เชิงสถาบันการเมืองการปกครอง (Institutional
Approach) แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แบบนี้ เน้นในเร่ืองของที่มาแห่งอานาจและการแบ่งแยก

รฐั ศาสตรเ์ บ้ืองตน้ หนา้ 20

อานาจ โดยการศึกษากฎหมายรัฐธรรมนูญและรูปแบบการปกครองและสถาบันในการปกครอง
ได้แก่ สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันฝุายบริหาร และสถาบันตุลาการ รวมท้ังเน้นไปที่การศึกษา
วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น แนวทางการศึกษาวิเคราะห์
การเมอื งแบบนีม้ ักนาไปศกึ ษาในการเมอื งเปรียบเทียบ

6.4 แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับอานาจ (Power Approach) แนวทาง
การศึกษาวิเคราะห์แนวนี้ ได้ให้ความสาคัญของการเมืองว่าเป็นเร่ืองเกี่ยวกับอานาจอันเป็นการ
กาหนดการมีสว่ นร่วมในเรื่องอานาจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะที่มนุษย์พยายามไขว่คว้าให้ได้มา
ซึง่ อานาจเพือ่ การตัดสินใจ และบังคบั ให้เปน็ ไปตามความต้องการของผู้มีอานาจ และในแนวคิดนี้
รัฐมิใช่โครงสร้างที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์และกฎหมาย แต่เป็นโครงสร้างของกลุ่มต่าง ๆ ที่แข่งขัน
กนั เพื่อให้ได้มาซึ่งอานาจและเคร่ืองมือของรัฐ และจะเห็นได้ว่าแนวทางการศึกษาแบบนี้เป็นเร่ือง
ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับกลุ่มผลประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ ด้วย กระทั่งช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่
20 แนวการศึกษาวิเคราะห์เชิงอานาจได้ขยายความสนใจไปศึกษาถึงความสัมพันธ์ทางอานาจ
ระหว่างบุคคลกับชุมชนมากขึ้น อันมีส่วนทาให้รัฐศาสตร์เข้าใกล้ชิดเข้ากับสังคมศาสตร์มากขึ้น
เร่ืองของอานาจทางการเมืองนี้มีการศึกษากันมานานต้ังแต่สมัยอริสโตเติ้ล, มาเคียเวลลี จนถึง
ปัจจุบัน นักปรัชญามักให้ความสนใจในเร่ืองการใช้อานาจของผู้ปกครองควรใช้เช่นไรจึงจะ
เหมาะสม ที่สามารถทาให้สังคมมีเสถียรภาพและประชาชนผู้ถูกปกครองมีความสุข ท้ังนี้รวมทั้ง
นักรัฐศาสตร์ยังนาการวิเคราะห์เกี่ยวกับอานาจนาเข้าไปร่วมในการวิเคราะห์เชิงสถาบันด้วยในมุ
นมองของการใช้อานาจของสถาบันในการใช้อานาจหน้าที่ในทางการเมืองการปกครอง สามารถ
รักษากฎเกณฑ์ระเบียบข้อปฏิบัติ บรรทัดฐานตามอานาจหน้าที่ เช่น การใช้อานาจของฝุายนิติ
บัญญัติในการกาหนดกฎหมาย ตรวจสอบการทางานของฝุายบริหาร การให้ความเห็นชอบ การ
ถอดถอน, การใช้อานาจของฝาุ ยบริหารที่มีหน้าที่ในการกาหนดนโยบายและนานโยบายไปปฏิบัติ
เพือ่ ให้เกิดความผาสุกให้กับผู้ถูกปกครองรวมทั้งการปกปูองผลประโยชน์แห่งชาติ รวมทั้งการใช้
อานาจน้ันไปในทางมิชอบหรือมีการใช้อานาจเพื่อประโยชน์แห่งพรรคพวกตนโดยการคอรัปชั่น,
การใช้อานาจของฝุายตุลาการซึ่งมีอานาจหน้าที่ในการพิจารณาตัดสินความขัดแย้งในสังคม
เพื่อให้เกิดความยตุ ิธรรมและสนั ติสุขข้ึน ได้มกี ารยอมรบั ปฏิบตั ิตามและมีความเปน็ ธรรมหรอื ไม่

6.5 แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับการตัดสินใจและนโยบายสาธารณะ
(Process of Decision-Making Approach) แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แนวนี้ มองว่ารัฐศาสตร์เป็น
เรื่องที่เกีย่ วกับการตัดสินใจและเร่ืองนโยบายสาธารณะ ซึ่งได้ก่อรูปขึ้นมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่
20 จุดสาคญั ของแนวการศกึ ษาวิเคราะห์นี้กล่าวได้ว่าประกอบด้วย การเน้นที่กระบวนการตัดสิน
ตกลงใจ (Process of Decision-Making) และการเน้นที่เนื้อหานโยบาย (Policy Content) ภายหลัง

รฐั ศาสตร์เบือ้ งต้น หนา้ 21

ปี 1945 เม่ือวิธีการศึกษาเชิงพฤติกรรมศาสตร์ ได้มีส่วนผลักดันให้แนวการศึกษาวิเคราะห์ที่เน้น
กระบวนการตัดสินตกลงใจ มากกว่าการให้ความสาคัญของการเน้นในเร่ืองเนื้อหานโยบาย ซึ่ง
เป็นความต้องการที่จะหลีกเลี่ยงประเด็นเร่ืองการประเมินค่าและการเสนอแนะนโยบาย แต่
การศกึ ษาเนือ้ หานโยบายกไ็ ด้รับความสนใจจากนักรฐั ศาสตร์บางส่วนที่มุ่งศึกษาผลลัพธ์ต่อสังคม
อันเกิดจากผลงานนโยบาย (Policy Outcomes) David Easton ได้เสนอ System Analysis ชี้ให้เห็น
ว่าระบบการเมืองนั้นประกอบด้วยกระบวนการที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา โดยมี
ส่วนประกอบด้วยส่วนที่นาเข้า (input) ซึ่งประกอบไปด้วยข้อเรียกร้อง (demands) และส่วนที่
สนับสนุน (supports) เข้ามาสู่ระบบการเมืองและระบบการเมืองก็จะทาหน้าที่ในการแปร
(Conversion) ข้อเรียกร้องและข้อสนับสนุนเหล่านั้นผ่านกระบวนการ (Process) เช่น ในการเมือง
แบบประชาธิปไตยก็จะมีการอภิปราย แปรญัตติ ในฝุายนิติบัญญัติออกมาเป็นรูปการพิจารณา
นโยบายที่นาเสนอโดยฝุายบริหาร นาไปสู่การตัดสินใจเลือกนโยบายออกจากระบบการเมือง
(Output) และก็จะมกี ารนานโยบายไปปฏิบัติซึ่งจะมีผลกระทบต่อส่งิ แวดล้อมทางการเมือง (Politic
Environments) ซึ่งก็ย้อนกลับ (Feedback) ซึง่ ก็จะกลบั เข้าสู่ระบบใหม่ (new input) น้ันจะเห็นได้ว่า
การศึกษาวิเคราะห์เชิงนโยบายเป็นให้การศึกษาความสนใจในเร่ืองการจัดการ การปรับปรุง
วิธีการทางานของระบบการเมือง ทาให้รัฐศาสตร์สามารถชี้ปัญหาสาธารณะที่สาคัญๆ และ
สามารถช้ีประเดน็ นโยบายที่สาคัญ เช่น สวัสดิการ ภาษีอากร อาชญากรรม การศึกษา การอยู่ดี
กินดีของประชาชน ฯลฯ

6.6 แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เชิงระบบการเมือง แนวทางนี้ได้เริ่มใช้กันมาต้ังแต่
ช่วงกลางคริสต์ทศวรรษที่ 1950 โดยเป็นความมุ่งหมายที่จะมองการเมืองให้กว้างไปจาก
การศึกษาเฉพาะเร่ืองของรัฐและเร่ืองของสถาบันทางการเมืองการปกครองด้วยการพยายาม
สร้างทฤษฎีไปใช้ในการวิเคราะห์การเมืองได้ไม่ว่าจะเป็นที่ใดในโลก โดยมุ่งเน้นศึกษาเร่ือง
กระบวนการทางการเมือง การทาหน้าที่ต่างๆ ของระบบการเมืองมากกว่าการศึกษาวิเคราะห์
โครงสรา้ งหรอื สถาบนั การเมอื ง ระบบการเมอื งจะครอบคลุมทั้งสังคมซึ่งประกอบไปด้วยสิ่งต่างๆ
เช่น ระบบเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ค่านิยม การดาเนินชีวิตของประชาชนในระบบการเมืองน้ัน
รวมท้ังสถาบันทางการเมืองในด้านจานวนสถาบันและอานาจหน้าที่ วิธีการปฏิบัติในสถาบันทาง
การเมืองเหล่าน้ัน เช่น ระบบการเมืองแบบราชาธิปไตย ในแบบสมบูรณาญาสิทธิราช ก็จะมี
ระบบเศรษฐกิจแบบพาณชิ ย์นิยม วัฒนธรรมทางการเมอื งกเ็ ช่อื ว่ากษตั รยิ ์เป็นแบบสมมติเทพหรือ
เทวสิทธิ เป็นผู้มีบุญญาธิการเหนือจากการความเป็นมนุษย์ สถาบันทางการเมืองก็จะมีจานวน
จากัดส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยบุคคลที่กษัตริย์แต่งต้ัง หากเป็นแบบประชาธิปไตยก็จะมีความ
เชื่อในด้านสิทธิเสรีภาพ เศรษฐกิจก็มักใช้แบบทุนนิยมประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการประกอบ

รฐั ศาสตร์เบือ้ งต้น หนา้ 22

กิจการและเป็นเจ้าของทรัพย์สิน สถาบันทางการเมืองจะมีหลากหลายก่อต้ังขึ้นเพื่อการ
ตรวจสอบและถ่วงดุลเป็นการประกันไม่ให้มีสถาบันใดๆ มีอานาจมากจนจะสามารถลิดรอน
อานาจสถาบันอื่นและเชื่อว่าอานาจเป็นของประชาชน ส่วนระบบการเมืองแบบเผด็จการก็จะมี
การใชอ้ านาจโดยผู้เผด็จการหรือกลุ่มผู้มีอานาจเผด็จการ ประชาชนก็จะถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพ
สถาบันทางการเมืองก็มีจานวนจากัดและปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามความต้องการของผู้เผด็จการ
หรอื พรรคที่ปกครองในระบบการเมอื งนนั้ เช่น พรรคคอมมิวนสิ ต์ เป็นต้น

6.7 แนวการศึกษารัฐศาสตร์ในยคุ ร่วมสมัย
วิชารัฐศาสตร์พยายามที่จะเลียนแบบเอาวิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์เข้ามาใช้ใน
การศึกษาในรัฐศาสตร์ โดยการใช้วิธีการศึกษา “แบบเชิงประจักษ์ (Empirical)” ซึ่งเป็นรูปแบบที่
ใช้ในการศึกษาหมวดวิชาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (Pure Science) รัฐศาสตร์ได้อาศัยความรู้ทาง
สถิติและเหตุผลแห่งวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้และมีความแม่นตรง เข้ามาแทนข้อมูลที่มีความ
คลุมเครือ ไม่ตรงประเด็น โดยการใช้ระเบียบวิธีวิจัย (Methodology) ที่ถูกต้องและเป็นที่ยอมรับ
ของนักวิชาการมาใช้ในการศึกษา อย่างเช่นในประเทศสหรัฐอเมริกา ในการศึกษารัฐศาสตร์ได้
เปลี่ยนจาการศึกษาแบบ มหภาคหรือระดับแมคโคร (Macro – Politics) คือการศึกษาในระดับ
องค์การ สมาคม พรรคการเมือง รัฐประชาชาติ ได้หันมาศึกษาในระดับศึกษาในระดับ จุลภาค
หรือไมโคร (Micro – Politics) ศึกษาพฤติกรรมระดับบุคคล เช่น ศึกษามูลเหตุจูงใจของบุคคลว่า
ทาไมจึงสนใจหรือไม่สนใจเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองและมีความมากน้อยเพียงใด มีความ
สนใจไม่สนใจตดิ ตามข่าวสารทางการเมอื ง (Heinz Eulau. 1969)
แนวโน้มการศึกษารัฐศาสตร์ในยุคใหม่ให้ความสาคัญกับนโยบายสาธารณะ โดยใช้
แนวการศึกษาแบบ Policy Approach คือการพิจารณา การกาหนดนโยบาย (Policy Making)
กระบวนการและข้ันตอนการดาเนินการตามนโยบาย (Policy Implementation) การทานโยบายให้
เกิดผล (policy Executing) ซึ่งตามแนวการศึกษานี้รายวิชาอื่นไม่ว่า จิตวิทยา สังคมวิทยาก็
สามารถใช้แนวทางศึกษาวิเคราะหน์ ีไ้ ด้เช่นเดียวกัน ร่วมท้ังในยคุ ปจั จบุ ันรัฐศาสตร์ใช้วิธีการศึกษา
แบบเปรียบเทียบ ซึ่งไม่ได้จากัดเพียงภายในประเทศหรือกับประเทศใกล้เคียง นักรัฐศาสตร์
พยายามหาข้อมูลเปรียบเทียบเพื่อให้ได้มาซึ่งแนวคิดและทฤษฎีที่ถือว่ามีความสมบูรณ์กว่าเดิม
การเปรียบเทียบพยามยามให้เป็นข้ามเชิงวัฒนธรรม (Cross Cultural) คือพยายามเปรียบเทียบ
อย่างน้อยจาก 2 แหล่ง โดยที่เร่ืองซึ่งมีการเปรียบเทียบอาจเป็นเร่ืองท่ัวไปในระดับประเทศ เช่น
เร่ืองการทหาร วัฒนธรรมการเมือง ผู้นา ฯลฯ นามาสู่กับการศึกษาแบบผสมผสานในเร่ืองการ
จัดการทางองค์การเกี่ยวกับการบริหารของรัฐ เกี่ยวกับกับสาธารณะ การบริหารงานสาธารณะ
ขององค์การของรัฐเรียกว่า “รัฐประศาสนศาสตร์” (Public Administration) หรือ “การบริหารรัฐ

รัฐศาสตร์เบ้อื งต้น หนา้ 23

กิจ” ซึ่งเป็นสาขาวิชาที่มีความเกี่ยวพันอย่าสงมากมายจนเรียกว่า “สหศาสตร์ศึกษา” หรือ “สห
วิทยาการ”

7. ความสัมพันธ์ระหวา่ งวิชารัฐศาสตร์กับสาขาวิชาอื่น
ด้วยวิชารัฐศาสตร์เป็นศาสตร์สาขาหนึ่งในวิชาสังคมศาสตร์ ซึ่งวิชาสังคมศาสตร์มี

สาขา วิชาต่างๆ หลายแขนงวิชา วิชาการต่างๆในสาขาวิชาสังคมศาสตร์ เช่น ประวัติศาสตร์
มานุษยวิทยา เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยา จิตวิทยา ฯลฯ ซึ่งวิชารัฐศาสตร์นั้นได้มีส่วนสัมพันธ์กับ
ทกุ ศาสตรว์ ิชาการเหล่านั้นไมท่ างใดก็ทางหนึง่ การศกึ ษาวิชารฐั ศาสตร์จึงมีความจาเป็นเกี่ยวข้อง
และสัมพนั ธ์กับสาขาวิชาอืน่ ๆ มากมาย คือ (อานนท์ อาภาภริ ม. 2545. 11 – 12)

7.1 ความสัมพันธ์ระหว่างวิชารัฐศาสตร์กับประวัติศาสตร์ ท้ังสองสาขาวิชามีความ
เกี่ยวพันกันอย่างมาก มีผู้ต้ังข้อเกตว่า “ประวัติศาสตร์” คือการเมืองในอดีตและ “การเมือง” ก็
คือประวัติศาสตร์ที่เป็นปัจจุบัน ประวัติศาสตร์ให้หลักฐานและข้อมูลต่างๆ ในส่วนที่เกี่ยวกับ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตประวัติศาสตร์ให้ข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับสภาพของรัฐในอดีต เช่น ข้อมูล
ทางการเมอื ง เศรษฐกิจและสังคม ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ใช้เป็นรากฐานในการ
วิเคราะห์หาแนวโน้มของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต เป็นการให้ความสาคัญกับเหตุการณ์เชิง
การเมืองอันมีผลกระทบต่อเหตุการณ์ด้านต่าง ๆ ไม่ว่าสังคมและขนบธรรมเนียม รวมท้ังความ
เชื่อและวิถีชีวิต (Way of Life) ของประชาชนด้วย เช่น ในประเทศไทยนับถือศาสนาพุทธ ในวัน
สาคญั ทางศาสนา วนั อาสาฬหบูชา วันเข้าพรรณ รัฐจะไม่อนุญาตออกอาชญาบัตรในการฆ่าสัตว์
ไม่อนุญาตให้มีการฆ่าสัตว์ ทั้งสองวิชาอาศัยพึ่งพิงข้อมูลกันและกัน เช่น การเปลี่ยนชื่อประเทศ
จาก “สยาม : Siam” มาเป็น “ประเทศไทย : Thailand” ในปี พ.ศ.2482 ช่วงรัฐบาลจอมพล ป.
พิบูลสงคราม, การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐ
ประชาธิปไตยประชาชนจีน เม่ือ 1 กรกฎาคม 2518 ในสมัย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
นายกรัฐมนตรี โดยมี พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ และ นายประสิทธิ์ กาญจนวัตน์ (รู้จักกันในชื่อ
โคว ตงหมง) นายอนันต์ ปัญญารชุน และอีกหลายคนเป็นผู้ติดต่อเจรจาล่วงหน้าซึ่งนามาสู่
ความสัมพันธ์ในปัจจุบันแม้จะมีความแตกต่างทางอุดมการณ์, เหตุการณ์สงครามเดียน เบียน ฟู
(Dienbienfu) ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2497 ระหว่างเวียดนามโดยการนาของ โฮ จิมินทร์ (Ho Chi
Minh) กับกองทัพฝรง่ั เศส นามาสู่กบั รวมประเทศและเปน็ เอกราชของเวียดนามในปัจจุบัน เป็นต้น
รวมทั้งคาที่กล่าวว่า การเมืองในปัจจุบันเป็นเหตุการณ์ที่กาลังจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ เพราะ
เหตุการณ์ที่ผ่านไปก็กลายเป็นเร่ืองประวัติศาสตร์ เช่น การก่อปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง
จากแบบราชาธิปไตยเป็นแบบประชาธิปไตย ของคณะราษฎร์ พ.ศ.2475 รวมท้ังการรัฐประหาร

รัฐศาสตร์เบื้องตน้ หนา้ 24

ของคณะ คสช. ยึดอานาจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชิณวัตร เม่ือ 22 พฤษภาคม 2557 ก็จะกลายเป็น
ประวตั ิศาสตร์ทางการเมอื งของประเทศไทยในเวลาต่อไป

7.2 ความสมั พนั ธ์ระหว่างวิชารัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ศึกษาการ
ผลิต การใช้ทรัพยากร และการบริโภค การปกครองประเทศนาเอาเศรษฐศาสตร์มากาหนด
นโยบายทางการเมือง เพราะเศรษฐศาสตร์เป็นการศึกษาเร่ืองการผลิตสินค้าและบริการ การ
จาแนกแจกจา่ ยและการบริโภค เปน็ เร่ืองของการกินดีอยู่ดีของคนในสังคม สาหรับรัฐศาสตร์เป็น
วิชาที่ว่าด้วยการอยู่รวมกันของคนหมู่มาก และการอยู่รวมกันในด้านหนึ่งคือความต้องการอยู่ดี
กินดี มีความสงบราบรนื่ และให้พลเมืองได้รับความปลอดภัยและความยุติธรรม ความคาบเกี่ยวที่
สาคัญของสองวิชาก็คือ ความเป็นอยู่ของคน มีรายวิชาที่ใช้ในการเรียนการสอน เช่น “รัฐ
เศรษฐศาสตร์” หรือ “เศรษฐกิจการเมือง” (Political Economy) มีการศึกษาถึงอิทธิพลของปัจจัย
เศรษฐกิจที่มีผลต่อการเมืองและอิทธิพลขององค์ประกอบทางการเมืองที่มีผลต่อสภาวะทาง
เศรษฐกิจ โดยนักปรัชญาในโบราณอย่าง อริสโตเติ้ล ได้เสนอการปกครองแบบ “มัชฌิมวิถี
อธิปไตย (Polity)” โดยเขาวิเคราะห์ว่าสาเหตุการปฏิวัติและอาชญากรรม เกิดขึ้นจากสาเหตุทาง
เศรษฐกิจ คือ ความยากจน เสถียรภาพของการปกครองประชาธิปไตยขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจ
ที่ดีและโดยการสร้างชนช้ันกลาง (Middle Class) เป็นจานวนมากๆ ในสังคม ความสัมพันธ์
รฐั ศาสตร์กบั เศรษฐศาสตร์ในเรื่องนโยบายหรือการดาเนินงานของรัฐหรือองค์การทางการเมืองมี
ผลสะท้อนตอ่ ภาวะทางเศรษฐกิจ เช่น ในรูปแบบประชาธิปไตยส่วนใหญ่จะมีระบบเศรษฐกิจแบบ
ลัทธิทุนนิยม (Capitalism) หรือเศรษฐกิจแบบกลไกตลาด (Market Economics) ซึ่งเน้นการ
ประกอบการโดยเอกชน ไม่ว่าจะด้านการผลิต การจาหน่ายจ่ายแจกหรือการบริโภคสินค้าและ
บริการ หรือบางที่อาจมีเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม (Socialism) หรือเศรษฐกิจแบบส่ังการ
(Command Economics) คือให้ความสาคัญกับบทบาทของรัฐหรือรัฐบาล เพื่อเป็นการสร้าง
สวัสดิการให้กับสังคมก็ได้, เศรษฐกิจสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์อย่างใน
ประเทศจีนซึ่งเคยยึดอุดมการณ์ทางเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมตามแนวมาร์กซิสต์ เติ้ง เสี่ยว ผิง
ได้เปลี่ยนมายึดนโยบายทีย่ ืดหยุ่น ตามคากล่าว “แมวสีอะไรไม่สาคัญขอใหจ้ ับหนูได้ก็แล้วกัน” ซึ่ง
แมวหมายถึงอุดมการณ์หรือระบบ ส่วนหนูหมายถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งก็สามารถทา
ให้จนี เปน็ ผู้ทรงอานาจทางเศรษฐกิจอนั ดบั 2 ของโลกในปัจจุบัน, เศรษฐกิจยังมีบทบาทสาคัญใน
ความสาคัญระหว่างประเทศทาให้เกิดการรวมตัวของกลุ่มประเทศต่างๆ เพื่อเพิ่มอานาจในการ
ต่อรองการเจรจาทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น ประชาคมอาเซียน ซึ่งจะเริ่มต้นการรวมตัวในทาง
เศรษฐกิจในปี ค.ศ.2015 หรือ พ.ศ.2558 เรียกว่า AEC : Asian Economic Community เป็นการ
รวมตัวกันทางเศรษฐกิจโดยให้การเมืองเป็นสื่อในดาเนินการ จนในปัจจุบันจึงไม่สามารถแยก

รฐั ศาสตร์เบอ้ื งต้น หนา้ 25

การเมืองกับเศรษฐกิจออกจากกันได้จนมีคากล่าวว่า “การเมืองกับเศรษฐกิจเป็นคนละด้านของ
เหรียญเดียวกนั ”

7.3 ความสัมพันธ์ระหว่างวิชารัฐศาสตร์กับภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิรัฐศาสตร์เป็น
ความสาคัญของรัฐเชิงภูมิศาสตร์ อันมีผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของประเทศน้ันๆ เช่น
ลักษณะของพรมแดน ลักษณะและปริมาณประชากร ลักษณะทรัพยากร ที่ตั้งภูมิอากาศ ภูมิ
รฐั ศาสตร์เป็นปัจจยั บงั คับวิถีทางการเมอื งของแตล่ ะประเทศให้ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งการกิน
ดีอยู่ดี ม่ังคั่งหรือการขาดแคลน ซึ่งมีผลต่อเสถียรภาพและการพัฒนาการเมืองของประเทศ
รวมท้ังเกี่ยวข้องกับความม่นั คงปลอดภัยของประเทศและการกาหนดนโยบายทั้งต่างประเทศและ
ภายในประเทศ มีการศึกษาทางภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับรัฐศาสตร์อยู่ 3 แนวทาง คือ ทฤษฎีเขต
แดน (Frontier Theory) โดยสภาพภูมิศาสตร์ก็สามารถสร้างความปลอดภัย อย่างเช่น
สหรัฐอเมริกามีอาณาบริเวณเสมือนเกาะขนาดใหญ่มหึมา มีมหาสมุทรเป็นเขตแดนกั้นไว้ท้ังสอง
ด้านทาให้สหรัฐเอมริกาเป็นมหาอานาจในทางเศรษฐกิจและทางการทหารเพราะสามารถขยาย
เศรษฐกิจและสามารถหลีกเลี่ยงสงครามโดยไม่ได้เป็นพื้นที่สมรภูมิในสงครามโลกท้ังสองคร้ังที่
ผา่ นมา, การมเี ขตแดนที่ใหญ่ถึง 6 เท่าของประเทศไทยของประเทศอินเดีย แต่แห้งแล้งขาดความ
อุดมสมบูรณ์ในบริเวณส่วนใหญ่ก็ย่อมทาให้ไม่มีอานาจมากเท่าที่ควร, ภูมิศาสตร์การเมือง
(Political Geography) ให้ความสนใจ ทาเลทีต่ ง้ั แหล่งทรัพยากร ดินฟูาอากาศ สภาพภูมิศาสตร์มี
บทบาทต่อประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศ เช่น มีดินแดนที่ตั้งติดต่อกับทะเลก็จะทาให้
สะดวกในติดต่อทางเรือกับบ้านเมืองอื่น ส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการเมือง การค้าวัฒนธรรม
ส่วนรฐั ที่มภี ูมศิ าสตร์ทีถ่ กู ล้อมรอบด้วยผนื ดิน ภูเขาสูง ถูกปิดล้อมแผ่นดินของประเทศอื่น ๆ หรือ
ที่เรียกว่า “ปิดกั้นด้วยผืนดิน” (Land Locked) หรือไม่มีชายฝ่ัง (No Coastal) ก็จะทาให้อยากต่อ
การพัฒนาทางเศรษฐกิจ เช่น ลาว และภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ
ภูมิศาสตร์ในมิติทางการเมือง โดยภูมิรัฐศาสตร์เป็นศาสตร์ที่นักการทหารและนักยุทธศาสตร์ได้
ทาการศกึ ษาว่าชาติรัฐเป็นสิ่งมีชีวติ หรอื อินทรีย์ที่มกี ารเจรญิ เติบโตและดับสญู ไป

ในหนงั สอื หลักยทุ ธศาสตร์ ของ พล.ต.พจน์ พงศ์สุวรรณ (พจน์ พงศ์สุวรรณ, 2536)
ได้กล่าวถึงภูมิรัฐศาสตร์ไว้ว่า ภูมิรัฐศาสตร์มีวิวัฒนาการมาจาก นักรัฐศาสตร์ที่ชื่อ รูดอลฟ์ เจ
ลเลน (Rudolf Kjellen: 1864-1922) เป็นผู้รวบรวมแนวคิดของศาสตร์ทางด้านยุทธศาสตร์ใหม่ ที่
เกิดขึ้นตอนปลายของศตวรรษที่ 15 จนถึงศตวรรษที่ 18 และได้นาเสนอแนวคิดใหม่ที่ว่า รัฐ
เปรียบเสมือนสิ่งมีชีวิต (state as an organism) ที่ชีวิตของรัฐก็เหมือนกับชีวิตของมนุษย์ คือมีเกิด
แล้วเจริญเติบโต มีความปรวนแปรเปลี่ยนแปลง มีความเสื่อมสลายสิ้นไปตามอิทธิพลขอ ง
สิ่งแวดล้อม อันได้แก่ ภูมิประเทศ ดินฟูาอากาศ ปัจจัยทางธรรมชาติอื่น ๆ ตลอดจน

รัฐศาสตรเ์ บือ้ งต้น หนา้ 26

ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดย เจลเลนได้จัดรวมเข้าเป็นวิชารัฐศาสตร์สาขาใหม่ เรียกว่า
Geopolitics ซึ่งมาจากการสนธิคาว่า Geographical Politics ใน พ.ศ. 2457 (ค.ศ.1900) ในหนังสือ
ภูมิรัฐศาสตร์ ของ รศ. ดร.โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ (โกวิท วงศ์สุรวัฒน์, 2545) ได้ระบุถึงความ
แตกต่างระหว่าวิชาภูมิศาสตร์การเมือง กับ ภูมิรัฐศาสตร์ ว่าภูมิศาสตร์การเมืองจะเป็นเร่ือง
การศกึ ษาที่เน้นไปในเร่อื งของ การเมืองที่ปรากฏตามภมู ิศาสตร์ ส่วน ภูมิรัฐศาสตร์จะเป็นศาสตร์
ที่เน้นการศึกษาถึงภูมิศาสตร์ที่ไปเกี่ยวข้องในปรากฏการทางการเมือง หรือกล่าวง่าย ๆ คือ
ภมู ศิ าสตร์การเมอื งจะศกึ ษาภมู ศิ าสตร์เป็นหลกั รฐั ศาสตร์เป็นรอง ส่วนวิชาภูมิรัฐศาสตร์จะศึกษา
รัฐศาสตร์เป็นหลักภูมิศาสตร์เป็นรอง นอกจากนี้ในหนังสือภูมิศาสตร์ ยังได้กล่าวถึงการแบ่ง
ประเภทของของภมู ิรัฐศาสตร์ได้ 3 ลักษณะดงั น้ี

1. ภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการเน้นในข้อเท็จจริงทางด้าน
ภมู ศิ าสตร์กายภาพและภมู ิศาสตร์เศรษฐกิจในการเอือ้ หรอื จากดั ต่อจดุ มุ่งหมายทางการเมอื ง

2. ภูมริ ฐั ศาสตร์เกีย่ วกับเร่ืองที่เน้นระหว่างเร่ืองภูมิประเทศ พรมแดน สถานที่ต้ัง
ของประเทศ

3. ทฤษฏีทางด้านภูมิศาสตร์ที่เน้นถึงแนวความคิดทฤษฏีในรูปอุดมคติหรือสิ่งที่
ควรจะเปน็ หรอื สิ่งทีอ่ ยากใหเ้ ป็นในอนาคต

7.4 ความสัมพันธ์ระหว่างวิชารัฐศาสตร์กับสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา สังคม
วิทยาเป็นศาสตร์ที่ครอบคลุมชีวิตทางสังคม วิชาสังคมพิจารณาแง่โครงสร้าง การเปลี่ยนแปลง
การแข่งขัน หรือปัญหาสังคม มีขอบเขตกว้างขวางยิ่งกว่ารัฐศาสตร์ ท้ังนี้เพราะรัฐศาสตร์เน้น
เฉพาะมิติทางการเมืองหรือเร่ืองราวที่มีผลกระทบต่อส่วนรวมระดับ “สาธารณะ” (บรรพต จิร
โชค วีระสัย. 2520) ส่วนมานุษยวิทยา ครอบคลุมกว้างกว่าเร่ืองราวมิใช่เฉพาะเร่ืองของมนุษย์
ทางด้านสังคมเท่าน้ัน แต่รวมท้ังสภาวะทางกายภาพซึ่งเกี่ยวโยงกับเร่ืองต่างๆ รวมทั้งการ
วิวัฒนาการของมนุษย์ สังคมวิทยาการเมืองมีความสัมพันธ์กับรัฐศาสตร์ในเร่ืองต่างๆ ที่เป็น
ปัจจัยทางสังคมที่มีผลต่อทางการเมือง เช่นภูมิหลัง อายุ การศึกษา ฐานะทางเศรษฐกิจ
ครอบครัว ภูมิลาเนาของบุคคลที่มีผลกระทบต่อความคิดและการกระทาทางการเมือง ของ
นักการเมือง บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเมืองและปรากฏการณ์ทางการเมืองต่างๆ สังคมวิทยา
การเมืองยังช่วยตีความหมายข้อมูลหรือพฤติกรรมการเมืองบางอย่าง เช่น ก่อนที่จะเป็น
นายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย บุคคลผู้นั้นมักจะดารงตาแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
ศึกษามาก่อน ซึ่งแสดงบ่งบอกถึงบทบาทของครูประชาบาลในการเลือกตั้งมีมาก (จิรโชค วี
ระสัย. 2546) มานุษยวิทยากับรัฐศาสตร์ มีการผสมผสานกันเรียกว่า “มานุษยวิทยาการเมือง”
ซึ่งเน้นให้ความสนใจในเร่ืองลักษณะของผู้นาทางการเมือง การก่อต้ังขององค์กรทางการเมือง

รฐั ศาสตร์เบื้องตน้ หน้า 27

วิเคราะห์พฤติกรรมการทางการเมืองในเชิงการแข่งขันและการร่วมมือ โดยใช้แนวทาง
มานุษยวิทยาในทางสงั คม (F.G. Bailey. 1973)

7.5 ความสัมพันธ์ระหว่างวิชารัฐศาสตร์กับจิตวิทยา เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ
อารมณ์ และจิตใจรวมทั้งข้อมูลจูงใจให้บุคคลประพฤติปฏิบัติตลอดจนงดเว้นที่จะปฏิบัติสิ่งใดสิ่ง
หนึ่งประชาชนจะประพฤติปฏิบัติอย่างไรล้วนกระทบต่อการเมือง และความมั่นคง หรือความ
เจริญทางการเมืองและสิ่งดังกล่าวต้องได้รับการสนับสนุนจากประชาชนช่วยให้เกิดความเข้าใจ
อย่างถูกต้อง อันจะเป็นแนวทางช่วยในการกาหนดนโยบายอย่างเหมาะสม ช่วยให้การศึกษา
รัฐศาสตร์อธิบาย คาดการณ์ต่อปรากฏการณ์ทางการเมืองในด้านต่างๆ รัฐศาสตร์กับจิตวิทยา
ผสมผสานกันเป็น “จิตวิทยาการเมือง” (Political Psychology) มาอธิบายหรือศึกษาคาดการณ์
ปรากฏการณ์ทางการเมืองในด้านต่างๆ ได้แก่ การวิเคราะห์มติมหาชน (Public Opinion) เช่น
ความคิดเห็นของประชาชนที่มีตอ่ นโยบายต่างๆ ของรัฐบาลต่างๆ ที่ประกาศใช้แล้วโดยอาศัยการ
ทา “โพลล์ : (Poll)” ซึ่งเป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) สาหรับกลุ่มตัวอย่าง (Sample) รวมทั้ง
ใช้ศึกษาพฤติกรรมการลงคะแนนออกเสียงเลือกต้ัง การโฆษณาชวนเชื่อ การดาเนินการตัดสินใจ
ของนักการเมืองมีการศึกษาวิถีชีวิตของนัก การเมืองระดับสูง อุปนิสัยใจคออย่างไรจึงกาหนด
นโยบายหรือมีการกระทาทางการเมืองแบบนั้น เช่น จิตวิทยาการเมืองศึกษาเกี่ยวกับสภาพทาง
จติ ของผู้นยิ มเลื่อมใสในลทั ธิการเมืองแบบขวาสุดกับซ้ายสุดมักมีบุคลิกภาพพื้นฐานคล้ายกัน คือ
แบบอานาจนิยมเพียงแต่การเอนเอียงไปในคนละด้าน การศึกษายังพบว่าหากสุดโต่งไปทางใด
ทางหนึง่ ย่อมใชอ้ ารมณม์ ากกว่าเหตผุ ล ชอบใช้พละกาลังมากกว่าการเจรจาโดยสนั ติวิธี เปน็ ต้น

7.6 ความสมั พันธ์ระหว่างวิชารัฐศาสตร์กับปรัชญาและจริยศาสตร์ มีความเกี่ยวพัน
กันมาตงั้ แต่สมัยเพลโตและอริสโตเติ้ล ซึ่งเพลโตได้มีข้อเขียนสาคัญเกี่ยวกับปรัชญาการเมือง ใน
หนังสืออุตมรัฐ (The Republic) โดยมีจุดประสงค์ในการสร้างบ้านแปลงเมือง การก่อต้ัง การ
สถาปนารัฐในทรรศนะของเพลโต และอริสโตเติ้ลก็มีแนวความคิดในการสร้างคุณธรรมความดี
ความยุติธรรมจริยศาสตร์สอนในเร่ืองจริยธรรมมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับศีลธรรมและคุณธรรม
และเป็นคุณค่าที่มนษุ ย์ยอมรบั และนามาใช้ ดังนน้ั จงึ เป็นประโยชน์ตอ่ ชมุ ชน จริยธรรมเป็นสิ่งจูงใจ
ให้มนุษย์กระทากรรมดีหรือกระทาสิ่งที่เป็นประโยชน์ การดาเนินการทางการเมืองหากอยู่ใต้
กรอบจริยธรรมแล้วจะอานวยประโยชน์ต่อมนุษยชาติโดยส่วนรวม ความยุติธรรมหรือความเป็น
“สัมมา” (ความถูกต้อง ความเหมาะควร) ในปรัชญาและจริยศาสตร์ สนใจในเร่ืองความยุติธรรม
ความถูกต้องหรือความดีในแง่สากล และวิชารัฐศาสตร์ก็สนใจเร่ืองของความยุติธรรม ความดี
งามท้ังในสภาวะทางการเมืองต่างๆ กัน เช่นในระบอบประชาธิปไตย หรือในลัทธิคอมมิวนิสต์
รัฐศาสตร์ศึกษาวิธีการต่างๆ ท้ังยุติธรรมและมนุษยธรรม การปกครองบ้านเมืองทางรัฐศาสตร์ก็

รัฐศาสตร์เบือ้ งตน้ หน้า 28

ให้ความสนใจและองิ คาสอนทางศาสนา เชน่ ศาสนพุทธใช้หลักศีลธรรมในการปกครองบ้านเมือง
ตัวอย่างการใช้ทศพิธราชธรรมและหลักราชนิติ ศาสนาเซนก็สอนให้สานุศิษย์ยึดหลัก 4 ประการ
ได้แก่ หา้ มทารา้ ยหรือทาลายชวี ิตทุกอย่าง ให้พูดแต่ความจริง ไม่ลักขโมย และเสียสละทรัพย์สิน
มหาตมะ คานธี ในช่วงการกู้ชาติหรือในการต่อสู้เพื่อเอกราชโดยสมบูรณ์หรือสวาราชย์
(Sawaraj) ของอนิ เดีย ได้ใช้วธิ ีการสัตยาเคราะห์ หรือ พละกาลังแห่งวิญญาณ (Soul – Force) ซึ่ง
หมายถึงการใชว้ ิธีปฏิบัติตนตาม “อหงิ สาธรรม” คือ การไม่ทาร้ายผู้อื่น แม้ถูกรังแกและพยายาม
เจรจาด้วยเหตุผล เพื่อให้บรรลุข้อตกลงร่วมกัน จนได้เอกราชในที่สุด ในเชิงการปฏิบัติการมีจิรย
ธรรมทางการเมือง มีกรณีนักการเมืองที่มีจริยธรรมทางการเมืองรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิด
แม้จะเป็นเร่ืองสุดวิสัยเป็นอุบัติเหตุโดยการลาออกจากตาแหน่ง เช่น นายจุง ฮง วอน
นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ ได้กล่าวขอโทษที่ไม่สามารถปูองกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุและไม่สามารถ
รับมือกับเหตุการณ์เรือเซวอลล่มได้อย่างเหมาะสม ดังน้ันในฐานะนายกรัฐมนตรีจึงต้อง
รับผิดชอบและลาออก, นายวัลดิส โดมโบรฟสกิส นายกรฐั มนตรคี นปัจจบุ ันของประเทศลัตเวีย ที่
ออกมาแสดงความรับผิดชอบด้วยการสละตาแหน่งลาออกจากการเป็นผู้นาด้วยเ หตุผลที่ว่า
หลงั คาของห้างสรรพสินค้าแหง่ หนึ่งในกรงุ รกิ าประเทศลัตเวียได้พงั ถล่มลงและคร่าชีวิตประชาชน
ไปประมาณ 54 ศพ และบาดเจ็บ 40 ราย เป็นต้น

7.7 ความสัมพันธ์ระหว่างวิชารัฐศาสตร์กับนิติศาสตร์ นิติศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วย
กฎเกณฑ์ข้อบังคับที่ช่วยให้ประชาชนอยู่อย่างมีระเบียบ ทาให้ประชาชนรวมเป็นรัฐหรือประเทศ
ผปู้ กครองได้ใชก้ ฎหมายเปน็ เครื่องมอื ในการส่งเสริมให้หน่วยงานทางการเมืองและให้รัฐดาเนินได้
โดยปราศจากอุปสรรค ทุกยุคทุกสมัยต้องมีกฎหมายเพื่อใช้ภายในรัฐเสมอ เพราะกฎหมายคือ
คาสัง่ หรอื ข้อบงั คบั ของผู้มอี านาจรัฐ เพือ่ ประชาชนผู้อยู่ภายใต้การปกครองปฏิบัติหรืองดเว้นการ
ปฏิบัติ เพื่อก่อให้เกิดความสันติสุขในสังคม เช่น รัฐบาลเสนอกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหา
อาชญากรรม หรือคาส่ังคณะรัฐประหารเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยก็ถือว่าเป็นกฎหมายซึ่ง
ฝาุ ยการเมืองใชเ้ ป็นเครื่องมือในการปกครอง วิชานิติศาสตร์กับวิชารัฐศาสตร์มีความเกี่ยวพันกัน
อย่างมาก โดยบ้านเมืองย่อมมีกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครองประเทศต่างๆ มี
กฎหมายเพื่อเป็นมาตรฐานในการกาหนดพฤติกรรมของบุคคลเป็นการขีดเส้นให้พลเมืองควร
ปฏิบัติอย่างไรในสังคมการเมอื ง การรกู้ ฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย
การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ก็จะช่วยให้เข้าใจ
เหตุการณ์ทางการเมืองได้ดีขึ้น เช่น ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกต้ัง ผู้สมัครรับเลือกต้ังจะต้องมี
คุณสมบัติใดบ้างหรือผู้สมัครรับเลือกจะขาดคุณสมบัติทันทีหากไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งก่อนหน้า
น้ันและไม่ได้แจง้ ขอขดั ขอ้ งประการใดทีไ่ ม่สามารถไปเลือกตั้ง

รัฐศาสตรเ์ บอ้ื งต้น หน้า 29

7.8 ความสัมพนั ธ์ระหว่างวิชารฐั ศาสตร์กับวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ รัฐศาสตร์
เปน็ วิชาในเชิงคุณภาพทีเ่ น้นในการปกครอง การบริหารบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า การอยู่ดีกินดี
ของประชาชน ความยุติธรรมและยุดหลังพฤติกรรมศาสตร์รัฐศาสตร์พยายามสร้างทฤษฎีทาง
การเมอื งที่สามารถนาไปปฏิบัติและใช้ในสถานการณ์ที่ตอบปัญหาได้จึงหันมาทาการทดลองวิจัย
อย่างเช่น เดียวกับวิทยาศาสตร์อาจเรียกว่ารัฐศาสตร์เชิงเปรียบเทียบพร้อมทั้งการนาเอาสถิติ
ตัวเลขต่างๆ นามาช่วยในการตัดสินใจในการดาเนินนโยบายรวมท้ังใช้ในการศึกษาวิจัยทาง
รัฐศาสตร์เพื่อก่อให้เกิดความแม่นตรง เช่น พิจารณาเชิงกาลังอานาจ ความสาคัญทางการผลิต
การอุปโภคบริโภค การใช้จ่ายงบประมาณเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและคุ่มค่าในการบริหาร
ประเทศและตรงตามเปูาหมายเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดีตามวัตถุประสงค์ของระบบการเมือง
รัฐศาสตร์เป็นวิทยาการที่ว่าด้วยการปกครองบริหารบ้านเมืองให้อยู่ดีกินดีและมีความ
สะดวกสบาย จึงจาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การพัฒนา
บคุ ลากรทีม่ คี วามรคู้ วามสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น การพัฒนาด้านพละกาลัง
อานาจทางอาวุธร้ายแรงทันสมัยและมีประสิทธิภาพย่อมส่งผลต่อการถ่วงดุลอานาจใน
ความสมั พนั ธ์ระหว่างประเทศ เช่น ระเบิดปรมาณู ระเบิดนิวตรอน, การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อหา
พลังงานทางเลือกทดแทนการใช้น้ามัน เช่น การผลิตไฟฟูาจากพลังงานลม (Win Power) ของ
ประเทศเยอรมนีที่ถือว่าเป็นประเทศที่มีกาลังผลิตสูงสุด รองลงมาคือสเปนและสหรัฐอเมริกา
พลังงานน้า พลังงานแสงอาทิตย์ ทีเ่ รยี กว่า “เซลล์สรุ ิยะ” (Solar Cells) รวมทั้งการใช้พลังงานจาก
ความร้อนที่มีอยู่ใต้ผิวโลก ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้มาซึ่งอานาจและประโยชน์แห่งชาติ รวมทั้งความรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ยงั สามารถสร้างความร่วมมือมีการประกาศใช้พธิ ีสารเกียวโต (Kyoto
Protocol) เป็นร่วมลงนามนานาชาติลดการใช้คาร์บอนไดออกไซค์ (สหรัฐอเมริกาไม่ได้ลงนาม
ด้วย) และก่อให้เกิดความขัดแย้ง เช่น การขัดแย้งการอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะในทะเลจีนใต้
ระหว่างจีนกับเวียดนามและฟิลิปปินส์ (เซ้าท์เวสต์ เคย์ ภายใต้การครอบครองของเวียดนาม,
แนวปะการังมาริเวเลส ภายใต้การครอบครองของมาเลเซีย, เกาะทิตู ภายใต้การครอบครองของ
ฟิลิปปินส์, อิตู อาบา ภายใต้การครอบครองของไต้หวัน,แนวปะการังเฟียรี ครอส ภายใต้การ
ครอบครองของจีน,ชายฝั่งอาร์ดาสเลอร์ ภายใต้การครอบครองของมาเลเซีย และหมู่เกาะ
สแปรตลีย์ ภายใต้การครอบครองของเวียดนาม) เพื่อแสวงหาขุดค้นหาแหล่งพลังงานน้ามันและ
ก๊าซธรรมชาติ

7.9 ความสมั พนั ธ์ระหว่างวิชารฐั ศาสตร์กบั ประชากรศาสตร์ รัฐศาสตร์เกี่ยวข้องกับ
การกาหนดนโยบายและการบริหารด้านประชากร การจัดสวัสดิการ ที่ทากินที่อยู่อาศัย อัตรา
การจ้างงาน การย้ายถิ่นที่อยู่ อัตราการเกิดมีผลต่อการพัฒนาประเทศ เช่น ในประเทศจีนมี

รัฐศาสตรเ์ บือ้ งตน้ หนา้ 30

ประชากรจานวนมากจนรัฐบาลได้กาหนดนโยบายลดการเพิ่มของประชากรโดยอนุญาตให้แต่ละ
ครอบครัวมีบตุ รได้เพียงหนง่ึ คน “Have One Only” ในสิงคโปร์ซึง่ มีพ้ืนทีเ่ ปน็ เกาะในยุดแรกกลัวว่า
ประชากรจะล้นเกาะจึงมีนโยบายระดับชาติควบคุมประชากรโดยการเสนอนโยบาย “Two is
Enough” แตผ่ ลจากการดาเนินนโยบายปรากฏว่าอัตราการเกิดน้อยมาก ด้วยเหตุจากการพัฒนา
เศรษฐกิจ การศึกษาและความทันสมัยทาให้อัตราการแต่งงานและการเกิดลดต่าลงมาก
ก่อให้เกิดผลเสียในการพัฒนาประเทศขาดแคลนประชากรวัยทางาน จึงต้องหันกลับมาใช้
นโยบายส่งเสริมใหค้ นสิงคโปร์มีบุตรครอบครัวละ 3 คนหรือมากว่า “3 or more” ส่วนในประเทศ
ญี่ปุนด้วยความทันสมัยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วท้ังทางด้านเศรษฐกิจ สังคมการกินดีอยู่อัตรา
การตายลดน้อยลงทาให้ประชากรในชรามีมาก และการเจริญด้านการศึกษาทาให้ค่าแรงงาน
ประชากรสูง เป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิตจาเป็นต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุน
ค่าแรงต่า ส่วนประเทศไทยนับแต่มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 1 ปี พ.ศ. 2504 และต่อมาได้
เปลี่ยนเป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งในปัจจุบันเป็นฉบับที่ 11 ได้เร่งพัฒนาให้
เกิดขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งผลิตเพื่อส่งออกและงดการนาเข้า ทาให้เกิดเมืองอุตสาหกรรมใน
พืน้ ทีเ่ มืองใหญ่ ทาให้เกิดสงั คมชายขอบทีม่ กี ารพฒั นาไม่ถึง ทาให้เกิดการย้ายถิน่ ของประชากรไป
ยังเมืองที่เจริญและมีเศรษฐกิจที่ดี เกิดปัญหาทางสังคมด้านอาชญากรรม ยาเสพติด การค้า
ประเวณี ตลอดจนปัญหาทางครอบครวั เกิดการแยกย้ายเพื่อเข้าสู่เมอื งหารายได้ เกิดสังคมชนบท
ทีม่ แี ตค่ นชราและเด็ก ในอนาคตอนั ใกล้ก็จะเกิดการย้ายถิ่นของแรงงานต่างชาติเข้าสู่ประเทศเป็น
จานวนมากหลังจาก AEC (Asian Economic Community) มีผลบังคับ เน่ืองประเทศไทยมีอัตรา
ค่าจ้างแรงงานที่สูง ประชากรแรงงานในกลุ่มประเทศที่พัฒนาน้อยกว่า เช่น ลาว กัมพูชา พม่า
และเวียดนามก็ต้องย้ายถิ่นเข้ามาในประเทศไทยเพื่อหารายได้ที่สูงกว่า ปัญหาที่จะนามาก็คือการ
แย่งงาน ถิ่นที่อยู่อาศัยแออัดรวมท้ังสุขภาพอนามัย โรคติดต่อ การรักษาพยาบาลตลอดจน
ทรัพยากรด้านอาหาร รัฐบาลจาเป็นต้องกาหนดมาตรการเพื่อรองรับปัญหาประชากรที่จะเพิ่ม
มากขึ้นในอนาคตนี้ ตลอดจนกาหนดนโยบายเพื่อจะดาเนนิ การรองรับไว้อย่างมปี ระสิทธิภาพ

7.10 ความสมั พันธ์ระหว่างวิชารัฐศาสตร์กับวิชาอื่น ๆ
รัฐศาสตร์ยังมีความสัมพันธ์กับศาสตร์วิชาการอื่นอีก เช่น ศิลปกรรม จิตรกรรม
ประติมากรรม ดนตรี ภาพยนตร์ นวนิยายต่างๆ รัฐศาสตร์เข้าไปเกี่ยวข้องกับวิชาเหล่านี้เพื่อใช้
ประโยชน์ในปกครอง ทาให้ประชนชนภายใต้การปกครองมีความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียว เช่น ใน
ประเทศที่มีการปกครองแบบเผด็จการมักนิยมให้จิตกรรมและปติมากรรม ดนตรี โดยการติด
ภาพหรอื ปน้ั รูปป้นั ผู้นาที่มขี นาดใหญ่ ส่วนดนตรกี ็เปน็ ไปในลกั ษณะปลุกเร้ารักชาติ รักอุดมการณ์
แม้ในประเทศที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างสังคมไทย ก็ใช้ดนตรี การบันเทิง

รัฐศาสตรเ์ บอ้ื งต้น หนา้ 31

นนั ทนาการเข้ามามีบทบาทในการจงู ใจในขบวนการประท้วงช่วยใหผ้ รู้ ่วมชุมนุมประท้องเกิดความ
บันเทิงและปลุกเร้าอารมณ์ร่วม บ้างก็ใช้ศิลปะแบบจิตกรรมการวาดภาพล้อเลียนทางการเมือง
อย่างเช่น ชัย ราชวัตร ใช้การวาดการ์ตูนล้อเลียนทางการเมือง แม้ในช่วงการประท้วงเพื่อให้
รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชิณวัตร ลาออกจากตาแหน่งนายกรักษาการณ์ก็มีการใช้ศิลปศาสตร์เข้า
มาสัมพันธ์ด้วย เช่น แต่งเพลง วาดภาพ สกรีน และอื่นๆ อีกมากมายเพื่อสู้เปูาหมายของการได้
ชัยชนะทางการเมอื ง

8. สรปุ
วิชารัฐศาสตร์เป็นสาขาหนึ่งของสังคมศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับองค์การ สถาบันทาง

การเมือง รัฐบาล การปกครองและแนวทางปฏิบัติของรัฐ ซึ่งมุ่งศึกษาในเร่ือง รัฐ สถาบัน
การเมือง ปรัชญาการเมือง และในวิชารัฐศาสตร์ในปัจจุบันได้ขยายขอบเขตการศึกษาออกเป็น
ปรัชญาการเมือง การเมืองการปกครอง กฎหมายมหาชน การเมืองเปรียบเทียบ ความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศ เศรษฐศาสตร์การเมือง รัฐประศาสนศาสตร์ ในปัจจุบันสังคมมีความ
สลับซับซ้อนมากขึ้น รัฐจะต้องเข้าไปจัดการแก้ปัญหาใหม่ๆ ขึ้นแทบทุกวันไม่ว่าจะเป็นเร่ือง
กฎหมาย การค้า การเงิน การธนาคาร หรือปัญหายาเสพติด ปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งล้วนแต่
ต้องการความรู้ใหม่ๆ เข้ามาจัดการกับประเด็นปัญหาเหล่านี้ รัฐศาสตร์ จึงมีการขยายสาขาวิชา
เพิ่มขึ้นมากมาย เช่น สาขาวิชาการเมืองการปกครองท้องถิ่น สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์การเมือง
ระหว่างประเทศ สาขาจิตวิทยาการเมือง เป็นต้น รวมทั้งวิชารัฐศาสตร์มีธรรมชาติการศึกษา
เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาอื่นหลากหลาย เช่น นิติศาสตร์ วิชารัฐศาสตร์กับจริยธรรม วิชารัฐ
ศาสตร์กับจติ วิทยา รัฐศาสตร์กบั ภูมริ ัฐศาสตร์ รฐั ศาสตร์และเศรษฐศาสตร์และวิชารัฐศาสตร์กับ
ประวัติศาสตร์

การพฒั นาการของรัฐศาสตร์นั้น มีการศึกษาเกี่ยวกับวิชารัฐศาสตร์อย่างกว้างขวาง
ในสังคมมนุษย์ตลอดมา ตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ มีปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ เพลโต ได้ชื่อว่าบิดาของวิชา
ทฤษฎีการเมือง และอริสโตเติล ได้รับการยกย่องเป็นบิดาของวิชารัฐศาสตร์ สมัยโรมันต่อมา
มรดกของรฐั ศาสตร์ในยุคจกั รวรรดิโรมนั น้ีคอื ความคิดเกีย่ วกับกฎหมาย หลักนิติศาสตร์และหลัก
ในวิชาการบริหารกิจการบ้านเมืองหรอื เรียกว่าวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สมัยกลางฝุายศาสนาเข้า
มามีบทบาทการเมืองการปกครองโดยการเสนอเกี่ยวกับเร่ืองอานาจของพระเจ้า ได้มอบอานาจ
การปกครองนน้ั ผ่านทางกษัตรยิ ์ เหตทุ ี่เกิดการปกครองนน้ั เนือ่ งจากบาปของมนุษย์เอง รัฐศาสตร์
ยคุ นเี้ กีย่ วข้องกับคาสอนทางศาสนาโดยผ่านนักบวช ต่อมายุคฟื้นฟูการศึกษารัฐศาสตร์มองไปใน
เร่ืองของอานาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนจักร แยกการเมืองออกจากศาสนากษัตริย์รวบรวม

รฐั ศาสตร์เบ้อื งตน้ หน้า 32

อานาจไว้แต่ผู้เดียวเกิดการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช หลังจากน้ันเข้าสู่ยุคใหม่
แนวความคิดเกี่ยวกบั เสรีภาพ สิทธิ จากผลงานของจอหน์ ล๊อค รุสโซและมองเตสกิเออ

ขอบเขตของการศึกษาวิชารัฐศาสตร์ อันเป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับรัฐ การศึกษาจึง
รวมถึงส่วนประกอบท้ังภายในและภายนอกในความสัมพันธ์ ในการศึกษาวิชารัฐศาสตร์อาจแบ่ง
ออกเป็นสาขาหลักๆ เช่น ทฤษฎีการเมือง กฎหมายมหาชน การเมืองการปกครองเปรียบเทียบ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในปัจจุบันรัฐศาสตร์มีขอบเขตการศึกษากว้างขวางมากขึ้นซึ่งเกิด
จาการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง จึงได้จัดให้มีการศึกษาในสาขาวิชาย่อย
ออกมามากมาย เช่น ปรัชญาการเมือง การปกครองท้องถิ่น เศรษฐศาสตร์การเมือง นอกจากนี้
รัฐศาสตร์ยังมีความสมั พันธ์กับวิชาอืน่ ๆหรือศาสตร์อน่ื ๆ อีกหลายศาสตร์ เนื่องจากวิชารัฐศาสตร์
เปน็ ศาสตร์ของการรวมตัวกันของมนุษย์เปน็ รฐั มีความสัมพันธ์กันในทางการเมือง กฎเกณฑ์และ
วิธีการปกครองกันของมนุษย์ จึงจาเป็นต้องอาศัยความรู้ของศาสตร์อื่นๆ เข้าช่วยในการศึกษา
เช่น ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ภูมิศาสตร์ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา จิตวิทยา นิติศาสตร์
ฯลฯ เปน็ ต้น

รัฐศาสตร์เบื้องต้น หนา้ 33

บทที่ 2
รัฐ

สังคมหนึ่งๆ จะประกอบไปด้วยสังคมย่อยๆ มากมาย เช่น ครอบครัว สมาคมต่างๆ
บริษัทหา้ งรา้ น องค์การทางศาสนา ฯลฯ ส่งิ ทีอ่ ยู่เหนอื สังคมย่อยทั้งหลาย คือสังคมใหญ่ที่เรียกว่า
“รฐั ”

รัฐมีความแตกต่างจากสังคมอื่นๆ ตรงที่รัฐมีอํานาจทางการเมืองเพียงผู้เดียว กล่าว
อีกนัยหนึ่ง รัฐเป็นสังคมที่มีการจัดระบบการเมือง นั้นคือ เป็นสังคมที่อยู่ใต้อํานาจที่กําหนดขึ้น
อันหนง่ึ เพื่อวางวิถีและกําหนดระเบียบแหง่ ความสัมพันธ์ในสังคม (โภคิน พลกุล, 2525 : 43) รัฐ
จึงเป็นการรวมตัวของสังคมมนุษย์ภายใต้การจัดระเบียบร่วมกัน มีการใช้อํานาจในการปกครอง
รฐั จึงเป็นหนว่ ยการเมอื งที่สาํ คัญที่สดุ

ปรัชญาในการศึกษาวิชารัฐศาสตร์สมัยใหม่หลักการว่าด้วยรัฐ (State) มี
ความสําคัญที่ต้องเรียนรู้และทําความเข้าใจก่อนที่จะได้ศึกษาถึงเนื้อหาอื่นๆ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า
เป็นเร่ืองยากที่จะทําความเข้าใจ รัฐศาสตร์สมัยใหม่น้ันมุ่งเน้นทําการศึกษาเกี่ยวกับรัฐทั้งในด้าน
ความหมาย องค์ประกอบ การกําเนิด พฒั นาการ รูปแบบ หน้าทีแ่ ละการรับรองรฐั

1. แนวความคิดและความหมายเกี่ยวกบั รัฐ
ความหมายของรัฐ
รฐั (State, Country, Government) พจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถานให้ความหมายว่า

แว่นแคว้น บ้านเมือง ประเทศ
คําว่า รัฐ (State) มีผู้ให้ความหมายมากมายและยุ่งยากสับสน ยังหาข้อยุติไม่ได้

ความยุ่งยากสับสนมาจากแนวคิดหรือวิธีคิดของนักคิดต่างๆ เช่น นักประวัติศาสตร์ถือว่ารัฐเป็น
สิ่งที่จบั ต้องพิสูจนไ์ ด้ (Concrete Reality) แตน่ ักปรัชญามองรัฐในแง่ทีเ่ ป็นนามธรรม (Abstract) คือ
เป็นสภาวะในมโนคติ แล้วแต่จะจินตนาการกันไป ส่วนนักกฎหมายหรือนิติศาสตร์มองรัฐไปทาง
เดียว คือ รัฐเป็นนิติบุคคลหรือเป็นบุคคลที่มีสิทธิหน้าที่ตามกฎหมาย (จรูญ สุภาพ,2514 : 21)
ขณะเดียวกันนักรัฐศาสตร์บางท่านให้ความหมายของรัฐว่า “เป็นชุมชนทางการเมือง (Political
Community) ที่มีประชากรอาศัยอยู่ในเขตที่มีการปกครอง เป็นระเบียบเรียบร้อยโดยไม่ขึ้นกับ
ใคร” (ศิโรตม์ ภาคสุวรรณ, 2542 : 57) จากแนวความคิดที่หลากหลายเบื้องต้นจะเห็นว่าไม่มี
หลักเกณฑ์ คาํ นยิ ามทีแ่ นน่ อนไม่ได้ ขึน้ อยู่กับมมุ มองของแต่ท่าน เชน่

ฮอลแลนด์ (Holland) ให้คํานิยามของรัฐไว้ว่า “รัฐ คือ การรวมอยู่ร่วมกันของมนุษย์
ในเขตแดนที่มอี าณาเขตแน่นอนแห่งหนึ่ง ในบรรดามนุษย์ที่มารวมกันนี้ มติของคนหมู่มากจะเป็น
ผสู้ ิทธิมเี สียงเหนือมติสว่ นน้อย”

บล่ันชลี่ (Bluntschi) มีความเห็นว่า รัฐ คือ การรวมตัวของมนุษย์ในรูปที่มีรัฐบาลกับ
ผอู้ ยู่ใต้ปกครองอยู่ในดินแดนที่แน่นอน

วูดโรว์ วิลสัน (Thomas Woodrow Wilson) ให้นิยาม รัฐ ง่ายๆ ว่าคือ ประชากรที่มา
รวมกันเพื่อของความพิทกั ษ์ของกฎหมายในเขตแดนที่กาํ หนดแน่นอน

ดิเรก ชยั นาม ให้ความหมายคําว่า รัฐ ไว้ว่า รัฐ คือ บุคคลซึ่งรวมกันอยู่เป็นปึกแผ่น
ถาวร มีเอกราช มดี ินแดนแหง่ หนึ่งแน่นอนซึ่งตนเป็นเจ้าของและรวมกันอยู่ภายใต้อํานาจเดียวกัน
มีการปกครองเป็นระเบียบเพือ่ ให้บุคคลได้ใชเ้ สรีภาพของตนได้

เดชชาติ วงศ์โกมลเชษฐ์ ให้คําจํากัดความว่า รัฐ คือ สมาคมของมนุษย์จํานวนหนึ่ง
ครอบครองดินแดนแห่งหนึ่งที่มีขอบเขตแน่นอน รวมกันอยู่ภายใต้รัฐบาลหนึ่งถ้าเป็นกิจกรรม
ภายใน เป็นองค์กรแสดงออกซึง่ อาํ นาจอธิปไตยถ้าเปน็ กิจกรรมภายนอก เปน็ อิสระจากการบังคับ
บญั ชาของรัฐอ่นื (อทุ ยั หิรญั โต,2524 : 667)

จะเห็นว่าท้ังนี้ทั้งน้ัน รัฐ ก็เป็นที่ยอมรับของนักรัฐศาสตร์โดยท่ัวกันว่า รัฐเป็นชุมชน
ทางการเมืองของประชาชน โดยมีดินแดนที่แน่นอน และอาศัยอยู่ร่วมกัน มีรัฐบาลเดียวกัน พ้น
จากการควบคุมของรัฐภายนอก และในชุมชนดังกล่าวนี้สามารถกําหนดกฎเกณฑ์และระเบียบ
ต่างๆ ให้แก่ประชาชนทุกคนได้ใช้อย่างท่ัวถึง และพร้อมเพียงกันหรือนัยหนึ่งทุกคนต่างอยู่ภายใต้
กฎหมายเดียวกัน(จรญู สุภาพ, 2514 : 2)

ในการนยิ ามความหมายของรัฐ อาจเปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับบริบทของการใช้คํา ว่า
จะให้คําว่า “รัฐ” หมายแทนสิ่งใดรัฐ เช่นในความหมายของพื้นที่ รัฐในความหมายของรัฐบาล
และรัฐในความหมายของระบบราชการ โดยท่ัวไปรัฐประกอบด้วย 4 หน่วยหลัก คือ ประชาชน
เขตแดน อํานาจอธิปไตย และรฐั บาล

2. องคป์ ระกอบของรฐั
จากความหมายของรัฐดังที่กล่าวมาแล้วจะเห็นว่า รัฐมีองค์ประกอบ 4 ประการ

ได้แก่ ประชากร ดินแดน รัฐบาลและอํานาจอธิปไตย (สุภาพ ปริญญเสวีและคณะ, 2521 : 23-
26) คือ

2.1 ประชากร (Population) ถือว่าเป็นองค์ประกอบที่ขาดเสียไม่ได้ รัฐทุกรัฐจะต้องมี
ประชากรอาศัยอยู่ถึงจะเป็นรัฐได้ ในทางตรงกันข้ามประชากรที่ไม่มีดินแดนที่ร่อนเร่พเนจรก็ไม่

รฐั ศาสตรเ์ บื้องตน้ หน้า 36

อาจถือเป็นรัฐได้ ประชากรที่กล่าวนี้ต้องมีหลักแหล่งทํามาหากินและดํารงชีวิตอยู่ภายในขอบเขต
ดินแดนที่เรียกว่า “รัฐ” ที่เรียกว่า “พลเมือง” (Citizen) ซึ่งหมายถึงผู้ถือสัญชาติของรัฐนั้นๆ
พลเมืองเป็นผู้สิทธิเสรีภาพทางการเมืองอย่างเต็มที่เท่าที่รัฐนั้นจะพึงจัดให้ได้ พลเมืองของรัฐ
จะต้องมีความจงรักภักดีต่อรัฐน้ัน ประชากรนอกจากพลเมืองแล้วในรัฐนั้นอาจประกอบไปด้วย
ชนเผ่าต่างๆ และคนต่างด้าวซึ่งอาศัยอยู่ในรัฐนั้นแต่ไม่มีฐานะที่ถือสัญชาติรัฐน้ัน ประชากรในรัฐ
แต่ละรัฐอาจมีเชื้อชาติ ศาสนา ภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันได้ ประชากรที่อยู่ในรัฐมี
ลักษณะการอยู่แบบถาวรต้องอยู่รวมกันเป็นชาติ (Nation) ชาติก็คือกลุ่มคนที่มีลักษณะเป็น
อันหนึ่งอันเดียวกันในทางชาติพันธ์ุ วัฒนธรรมศาสนา ภาษา ซึ่งเป็นลักษณะองค์ประกอบ
ภายนอกแต่การอยู่ร่วมกันเป็นชาติอย่างสันติสุขน้ันจะต้องมีองค์ประกอบภายในนั้นคือจิตใจด้วย
ความสํานึกในจิตใจที่จะอยู่ร่วมกันแบบผูกพันในทางประวัติศาสตร์ เชื้อชาติ วัฒนธรรม ภาษา
การมีผลประโยชน์มีส่วนได้เสียร่วมกันและการมีโชคชะตากรรม ความหวังหรือมีอนาคตร่วมกัน
จะช่วยให้การอยู่รวมกันเป็นชาติได้อย่างม่ันคงและมีสันติสุข การเป็นสังคมสมานรูป
(homogeneous) คือ ความเป็นเอกภาพในทางเชื้อชาติและขนบธรรมเนียม หากพหุสังคม (plural
society) หรือสังคมพหุลักษณะ ได้แก่ การมีบุคคลต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา ต่างศาสนา รวมอาศัย
ปะปนกันอยู่ด้วยกัน มีความแตกต่างเชิงอนุวัฒนธรรม (subculture) ค่อนข้างมาก จะมีผลกระทบ
ในเชิงการเมอื งอย่างมาก อนวุ ัฒนธรรม หรอื วฒั นธรรมย่อย หมายถึง ส่วนประกอบ บางประการ
ของวัฒนธรรมซึ่งมลี กั ษณะพิเศษเฉพาะถิน่ เฉพาะกลุ่มเชือ้ ชาติ หรอื เฉพาะกลุ่มอาชีพ ในแอฟริกา
มี สาธารณรฐั ยกู านดา (Uganda) ประกอบด้วยเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ กว่า 12 เผ่า แต่เผ่าบันตู หรือแบน
ตู (Bantu) มีจํานวนคนมากกว่ากลุ่มอื่น มีความยุ่งยากในประเทศบ่อยคร้ัง สหรัฐอเมริกา
ประกอบด้วยชนหลายเชื้อชาติส่วนใหญ่มีเชื้อสายมาจากยุโรป มีคนผิวสี (นิโกร) จากแอฟริกา
และที่กาํ ลังเพิ่มมากขึ้นคอื คนเช้ือสายเมก็ ซิกนั และอเมริกาใต้ (เรียกกันว่า Hispanic American) ใน
ประเทศมาเลเซีย มีพลเมือง 3 เชื้อสายใหญ่ ๆ คือ มาเลย์ ทมิฬ และจีน คนเชื้อสายจีนใน
มาเลเซียมีเกินกว่า 35 ของประชากรท้ังประเทศ อนึ่ง มีคนมาเลย์เชื้อสายไทยอีกเป็นจํานวนมาก
ในบางมลรัฐของมาเลเซีย เช่น ในมลรัฐอลอ สตาร์ (Alor Setar) หรือ “ไทรบุรี” เก่าของไทย และ
มลรัฐอืน่ ๆ เชน่ ตรังกานู รวมทั้งในปีนัง

ภาษาทีใ่ ชเ้ ปน็ สือ่ ในรัฐ ๆ หนง่ึ อาจแตกต่างกัน โดยมีหลายภาษาได้ แตท่ ้ังนี้ต้องมีการ
กําหนดว่าอะไรเป็น “ภาษาทางราชการ” (official language) คือ ใช้ในการติดต่อกิจการของรัฐ
อย่างเป็นทางการ (formal) เชน่ ในหนังสือราชการ ในรายการวิทยุ และในการสอบข้าราชการเข้า
ทํางาน ประเทศสิงคโปร์กําหนด “ภาษาประจําชาติ” (national language) ขึ้น โดยสิงคโปร์
กําหนดให้ภาษา “ราชการ” เป็นภาษาอังกฤษแต่ภาษา “ประจําชาติ” ได้แก่ 1) ภาษาจีน (ซึ่งเป็น

รฐั ศาสตร์เบื้องตน้ หนา้ 37

ภาษาจีน “กลาง” หรือ mandarin) และ 2) ภาษามาเลย์ ข้อแตกต่างอยู่ที่ว่า ภาษาราชการใช้ใน
วงการหนังสือราชการ ส่วนภาษาประจําชาติมุ่งให้ระลึกถึงความหลากหลายของเชื้อชาติใน
สิงคโปร์ ประเทศจีนมีภาษาท้องถิ่น (dialects) มาก เช่น แต้จ๋ิว ฮกเกี้ยน กวางตุ้ง และแคระ
ภาษากลางของจีนเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า แมนดาริน (mandarin) คําว่า “แมนดาริน” ใน
ภาษาอังกฤษมีความหมายว่าเป็นขุนนาง ซึ่งหมายถึงภาษาที่ใช้ในแวดวงราชสํานักจีน ประเทศ
อินเดียมีภาษาท้องถิ่นเป็นจํานวนมาก ประมาณ 400 ภาษา 1) ภาษาราชการ มีระดับชาติ คือ
ภาษาองั กฤษและฮินดี (Hindi) 2) ภาษาราชการระดบั มลรัฐต่าง ๆ มีถึง 16 ภาษา

ศาสนาของพลเมอื ง อาจมีผลท้ังในทางบวกและในทางลบต่อความอยู่รอดและ
ความราบรน่ื ของรัฐ ในทางบวก ศาสนาช่วยทําให้เกิดความสมานฉนั ท์ภายในรัฐ ในทางลบ การมี
หลายศาสนาภายในชาติและมีคําสอนทีข่ ัดแย้งมากนักก่อใหเ้ กิดความแตกแยกเป็นชนกลุ่มน้อย
จนกลาย เป็นสาเหตุแหง่ การขาดเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐได้ ผวิ สีของประชากรก็เชน่ กนั
ผวิ สีอนั บ่งถึงเชอื้ ชาติอาจจะเป็นประเด็นสาํ คญั ในเรื่องเสถียรภาพภายในรัฐ

ปัญหาต่อมามีว่าจะมีประชากรจํานวนเท่าไรจึงจะมีฐานะเป็นรัฐ แต่เท่าที่ปรากฏยัง
ไม่มีใครให้จํานวนแน่นอนได้ (จรูญ สุภาพ, 2514 : 22) อย่างไรก็ดี จํานวนของประชากรของแต่
ละรัฐมีความแตกต่างกันมากมาย เช่น รัฐวาติกัน (Vatican State) มีประชากรประมาณหนึ่งพัน
คน อินเดียมีประชากรประมาณหนึ่งพันล้านคน และสาธารณรัฐประชาชนจีนมีประชากร
ประมาณหนึ่งพันสามร้อยล้านคน ฉะนั้น ขนาดของประชากรที่เป็นองค์ประกอบของรัฐน้ันจะมี
จํานวนเท่าใดไม่เป็นข้อสําคัญในการพิจารณาว่าเป็นรัฐหรือไม่ ข้อสําคัญก็คือว่าขนาดของ
ประชากรจะมากน้อยเท่าใด แต่ถ้าสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้และสามารถปกครองตนเองได้ก็มี
ฐานะเป็นรัฐ (อานนท์ อาภาภิรม, 2528 : 14) จากที่จํานวนประชากรไม่สําคัญต่อการเป็นรัฐ แต่
รัฐจะเจริญ รุ่งเรืองหรือก้าวหน้ามากน้อยเพียงใดกับขึ้นอยู่กับปัจจัยของประชากรคือทรัพยากร
มนุษย์ (Human Resources) ที่มีคุณภาพอย่างเช่นรัฐที่มีประชากรมากแต่ประชากรน้ันขาด
คุณภาพก็กลับกลายเป็นภาระของรัฐที่จะต้องดูแล กรณีประเทศในแถบแอฟริกาหรือในเอเชีย
อย่างอนิ เดียมีประชากรมากแตส่ ่วนใหญ่ขาดคุณภาพ ส่วนสงิ คโปร์แม้มีประชากรจํานวนน้อยกว่า
แต่ก็สามารถสร้างรัฐให้เจริญก้าวหน้าได้ คุณภาพของประชากรอาจพิจารณาจากการศึกษา
สขุ ภาพอนามยั การมวี ินยั และการมนี ้าํ ใจเป็นอันหน่งึ อนั เดียวกนั เปน็ ต้น

2.2 ดนิ แดน (Territory) เปน็ องค์ประกอบสําคัญของรัฐ เพราะประชากรต้องอาศัยใน
ดินแดน คือรัฐต้องมีดินแดนหรืออาณาเขตที่แน่นอน ไม่มีจํานวนพื้นที่อันแน่ชัด คําว่าดินแดนใน
ที่นี้หมายความรวมถึง พื้นดิน (Land) น่านน้ํา (Sea) อากาศ (Air) และไหล่ทวีป (Continental
Shelf) รวมด้วย (จริ โชค วีระสัย และคณะ, 2542 : 97)

รัฐศาสตรเ์ บื้องตน้ หน้า 38

2.2.1 พื้นดิน (Land) รัฐต้องมีเน้ือที่ คือมีพื้นดินที่แน่นอนและมีการบ่งอาณา
เขตกับรัฐที่ติดต่อกัน การกําหนดพรมแดนอาจกระทําโดยลักษณะธรรมชาติ เช่น สันเขา ร่องน้ํา
ลึกในแมน่ ้ําหรอื โดยการปกั ปนั เขตแดน โดยมีการยอมรับระหว่างรัฐที่มีผลประโยชน์ได้เสียในการ
แบ่งเขตแดนซึ่งมักปรากฏในสนธิสัญญา ส่วนขนาดของดินแดนที่เหมาะของรัฐนั้น (จรูญ สุภาพ,
2514 : 23) กล่าวว่า ขนาดของดินแดนไม่มขี ้อกําหนดไว้ว่าจะต้องมีจํานวนเท่าไร เช่น รัฐลิกเตนส
ไตน์ มีเนื้อที่ 62 ตารางไมล์ วาติกัน มี 109 เอเคอร์ ลักเซมเบอร์ก มี 999 ตารางไมค์
สหรัฐอเมริกามี 3,500,000 ตารางไมล์ ดินแดนไม่จําเป็นต้องเป็นผืนดินติดต่อกันเป็นผืนเดียว
อาจจะเป็นหมู่เกาะ เช่นในกลุ่มประเทศ ASEAN ประกอบด้วยรัฐที่มีผืนดินติดต่อกันเป็นผืนเดียว
มีไทย พม่า ลาว กัมพูชา มาเลเซีย เวียดนามส่วนที่เป็นหมู่เกาะก็มี บรูไรดารุสลาม ฟิลิปปินส์
อินโดนีเซียและสิงคโปร์

ดินแดนที่เป็นรัฐต้องเป็นดินแดนที่เหมาะสามารถเลี้ยงดูพลเมืองและสามารถให้
ชุมชนพัฒนาได้ ในทางรัฐศาสตร์แล้วควรจะศกึ ษาเพิม่ ปัจจัยเกี่ยวกับดินแดนด้วย ดงั น้ี

1) ที่ตั้ง (Location) ที่ต้ังหรือสภาพทางภูมิศาสตร์มีอิทธิพลต่อรัฐและ
ประชาชน เช่น ที่ดินตามลุ่มน้ํามักเป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ จึงมักเป็นต้นกําเนิดอารยธรรม เช่น
ประเทศอียิปต์ที่ลุ่มแม่น้ําไนล์ อารยธรรมบาบิโลเนียนและอัสซีเรียนที่ลุ่มแม่น้ําไทกรีส-ยูเฟตีส
อารยธรรมจีนที่ลุ่มแม่น้ําแยงซีเกียง ส่วนประเทศไทยก็ลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยาเป็นอู่วัฒนธรรมของ
เรา นอกจากนีล้ ักษณะทางภูมิศาสตร์ยังส่งผลถึงความเชียวชาญทางการทหาร เช่น รัฐที่มีพรหม
แดนกว้างใหญ่เป็นผืนเดียวกันมักจะมีความก้าวหน้าในเร่ืองทหารบก เช่น อดีตสหภาพโซเวียต
เยอรมนี เปน็ ต้น รัฐทีม่ ีดนิ แดนที่ตดิ ทะเลกจ็ ะมีความชํานาญและความก้าวหน้าในด้านกองทัพเรือ
เชน่ อังกฤษ สเปน สหรฐั อเมริกา ญี่ปุน

2) ภมู อิ ากาศ (Climate) ภมู ิอากาศที่เหมาะกับการต้ังถิ่นฐานของมนุษย์
มีส่วนทําให้การสร้างอารยะธรรมมีความเจริญก้าวหน้า เช่น ภูมิอากาศทางข้ัวโลกเหนือและข้ัว
โลกใต้มีความหนาวเย็น ไม่สามารถใช้เป็นแหล่งที่ต้ังมนุษย์จึงไม่มีอารยธรรมเกิดที่น้ัน หากแต่
ดินแดนที่มีอากาศที่เหมาะสมกับการดํารงชีวิตก็จะส่งเสริมให้รัฐนั้นมีความก้าวหน้า เช่น บริเวณ
อากาศอบอุ่นแถบเมดิเตอเรเนียน เป็นดินแดนทีม่ อี ารยธรรมเจรญิ รุ่งเรืองตงั้ แต่โบราณกาล

3) ทรัพยากรธรรมชาติ (Natural Resources) ทรัพยากรธรรมชาติเป็น
สิ่งที่สําคัญสําหรับดินแดนของรัฐ ทรัพยากรที่ดีและเพียงพอทําให้เกิดเศรษฐกิจของรัฐอุดม
สมบูรณ์ การค้นพบดินแดนที่มีความมั่งคั่งจะทําให้คนอพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐาน อย่างไรก็ตามคํา
กล่าวที่ว่ารัฐใดมีทรัพยากรที่ดีแล้วรัฐนั้นจะเจริญมั่งคั่งก็อาจจะไม่จริงเสมอไป จะเห็นตัวอย่างได้
จากประเทศโลกที่สามท้ังหลายที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ไทย เวียดนาม

รฐั ศาสตรเ์ บื้องตน้ หนา้ 39

ลาว อินโดนีเซีย แต่ก็ไม่มีความม่ังค่ังเท่าประเทศที่ไม่มีทรัพยากรเลย เช่น ประเทศสิงค์โปร์ หรือ
อิสราเอล นั่นเพราะประเทศโลกที่สามดังกล่าวไม่มีเทคโนโลยีที่จะนําทรัพยากรธรรมชาติมาใช้
เช่น การเจาะน้ํามัน การขุดแร่ดีบุก เป็นต้น หรือทรัพยากรธรรมชาติส่วนใหญ่ที่จะนําออกมาก็
ไม่ได้กระจายผลประโยชน์ให้ประชาชน แต่กลับเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ชนชั้นปกครองบาง
กลุ่มเท่าน้ัน

2.2.2 น่านน้ํา (Sea) อาณาเขตที่เป็นน่านน้ํา หมายถึง ส่วนของทะเลที่อยู่ใน
อํานาจปกครองของรัฐ เรียกว่า น่านน้ําประเทศ (Territorial Water) ส่วนของทะเลที่อยู่นอก
น่านน้ําประเทศออกไปเรียกว่าน่านน้ําสากล หรือ น่านน้ําระหว่างประเทศ (International Water)
หรอื ทะเลหลวง (High Sea) ตามหลักปฏิบัติเดิมเม่ือปี ค.ศ.1793 ได้กําหนดน่านน้ําออกไป 3 ไมล์
ทะเล(ประมาณ 5 กิโลเมตร) ซึง่ เท่ากับระยะของกระสุนปืนใหญ่สมยั นั้น ต่อมาภายหลังได้กําหนด
เปน็ 12 ไมล์ทะเล สาํ หรบั ปัจจบุ ันมหี ลายรัฐได้ประกาศเขตน่านน้ําของตนเองออกไปถึง 200 ไมล์
ทะเลประมาณ 250 กิโลเมตร (จิรโชค วีระสัย และคณะ,2542 : 98) การประกาศน่านน้ําซึ่ง
ขยายกว้างขึ้นนี้เรียกว่า “เขตเศรษฐกิจจําเพาะ” (EEZ : Exclusive Economic Zone) ซึ่งเป็นเขต
ต้องห้ามของรัฐนั้นไม่ให้ล่วงละเมิดได้การสัญจรหรือการกระทําใดๆในน่านน้ํานี้จะต้องได้รับ
อนญุ าตเสียก่อน สว่ นน่านน้าํ ที่พ้นจากเขตที่รัฐได้ประกาศออกไปเรียกว่า น่านน้ําสากลหรือทะเล
หลวง (High Sea) เป็นที่ยอมรับจากประเทศต่างๆว่าเปิดให้ใช้เป็นทางสัญจรไปมาได้ เพราะถือ
เปน็ น่านน้าํ ของนานาชาติไม่มีรัฐใดเป็นเจ้าของ

2.2.3 น่านฟูา (Air) หมายถึง ขอบเขตท้องฟูาที่อยู่เหนือพื้นดินและเหนือพื้น
น่านน้าํ ของรฐั นน้ั สําหรบั ความสงู ของท้องฟูานั้นไม่มีขอบเขต และตามหลักการแล้วย่อมขยายไป
ถึงเขตที่เป็นอวกาศ (Space) เหนือพื้นดินและน่านน้ําได้ ด้วยเหตุนี้แต่ละรัฐจึงมีอํานาจที่จะห้าม
หรอื ยินยอมใหม้ ีการเดินอากาศระหว่างชาติผ่าน่านฟูาของตนเองได้

2.2.4 ไหล่ทวีป (Continental Shelf) ซึ่ง ศ.ดร.จิรโชค วีระสัย และคณะ (2542
: 98) ให้ความหมายไหล่ทวีปว่า หมายถึง พื้นดินก้นทะเล (Seabed) และใต้ผิวดินไหล่ทวีปเป็น
แหลง่ ทรัพยากรของรฐั มาก และไหล่ทวีปกจ็ ัดเปน็ ส่วนหนึ่งของดนิ แดนเช่นกนั

การดํารงอยู่ของดินแดนนั้นมีความสําคัญต่อการดํารงอยู่ของรัฐเป็นอย่างยิ่ง รัฐที่
ปราศจากดินแดนก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นรัฐได้ คําว่าดินแดนตามแนวความคิดทางกฎหมายระหว่าง
ประเทศนั้นหมายถึงการกําหนดเขตแดนอย่างแน่ชัดบนพื้นที่โดยมีชายแดนเป็นเคร่ืองบ่งชี้อาณา
เขต แนวชายแดนนั้นมีการเปลีย่ นแปลงได้ตามสถานการณ์ แตก่ ารเสียดินแดนบางส่วนไปนั้นไม่ได้
หมายถึงการสูญเสียความเป็นรัฐไป เช่น กรณีในสมัยรัฐกาลที่ 5 เราต้องยอมสูญเสียดินแดน
บางส่วนไปเพื่อรักษาความเป็นรัฐไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นหรืออาณานิคม ในกรณีการเสียดินแดน

รัฐศาสตร์เบื้องต้น หนา้ 40

ฝ่ังซ้ายของแม่น้ําโขง พ.ศ.2436 ( รัตนโกสินทร์ศักราช 112) ฝร่ังเศสต้องการให้ลาวหรือฝั่งซ้าย
ของแม่น้ําโขงตกเป็นเมืองขึ้นของตน จึงใช้ข้ออ้างว่าญวนและเขมรเคยมีอํานาจเหนือลาวมาก่อน
เม่ือญวนกับเขมรเป็นเมืองขึ้นของฝร่ังเศสดินแดนต่างๆ เหล่านี้ก็ควรตกเป็นของฝร่ังเศสด้วยใน
พ.ศ.2436 (ร.ศ.112) ฝรงั่ เศสจงึ ส่งกองทัพเรือมาตามลุ่มแม่น้ําโขงและส่งเรือรบ 2 ลํา มาปิดปาก
แมน่ ้าํ เจ้าพระยา ทหารได้ทาํ การยิงต่อสไู้ ม่สําเรจ็ มคี นได้รับบาดเจ็บและเรือเสียหายมาก นายปา
วี ซึ่งเป็นเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจําประเทศไทย ได้ยื่นคําขาดที่จะปิดน่านน้ําไทย ถ้าไทยไม่
ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของฝรั่งเศส และปิดอ่าวไทยทันที่ รัฐบาลไทยจึงต้องปฏิบัติตามข้อ
เรียกร้องของฝรั่งเศสทุกประการเพื่อเอกราชและอธิปไตยของชาติ วิกฤตการณ์ ร.ศ.112 นี้นับว่า
ไทยสูญเสียดินแดนคร้ังสําคัญและมากที่สุด โดยต้องยอมยกอาณาจักรลาวเกือบท้ังหมดให้กับ
ฝรั่งเศส, การเสียดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ําโขง พ.ศ.2446 ( รัตนโกสินทร์ศักราช 122) จาก
วิกฤตการณ์ ร.ศ.112 ทําให้ฝรั่งเศสยึดดินแดนจันทบุรี ซึ่งนับว่าเป็นเมืองยุทธศาสตร์เมืองหนึ่ง
ของไทย ไว้เป็นประกนั ถึง 10 ปี ไทยจงึ หาทางแลกเปลี่ยนโดยยอมยกเมืองมโนไพรและจําปาศักดิ์
ซึ่งอยู่ตรงขา้ มกบั เมืองปากเซ และดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ําโขง ตรงข้ามกับเมืองหลวงพระบางให้
ใน พ.ศ.2448 ฝร่ังเศสจึงยอมถอนทหารออกจันทบุรี และการเสียรัฐไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู
และปะลิสให้อังกฤษ พ.ศ. 2452 รัตนโกสินทร์ศักราช 128 เพื่อแลกกับการแกไขสัญญาสิทธินอก
อาณาเขตของคนอังกฤษรวมท้ังคนในบังคับของอังกฤษจะต้องขึ้นศาลไทย เป็นต้น การดํารงอยู่
ของดนิ แดนทีแ่ นน่ อนนน้ั เป็นตวั สะท้อนให้เห็นถึงการใชอ้ าํ นาจรัฐเหนือดินแดนและเหนือประชากร
ที่อาศัยอยู่ในดินแดนนั้น กล่าวคือที่คนที่อยู่ในดินแดนน้ันๆ จะต้องอยู่ภายใต้หลักกฎเกณฑ์
เดียวกัน ถ้ามีการละเมิดกฎเกณฑ์รัฐหรือผู้ปกครองที่เป็นตัวแทนในการใช้อํานาจรัฐนั้นทําการ
ลงโทษ รัฐจะใช้อาํ นาจภายในเขตแดนของรัฐตนเท่าน้ัน จะเห็นได้ว่า ประชากร ดินแดน อํานาจรัฐ
มีความสัมพันธ์เกีย่ วเน่ืองกันตลอดเวลา ประชากรที่เร่รอนไม่มีดินแดนที่ปักหลักอยู่อย่างแน่นอน
ก็ไม่สามารถจะก่อต้ังเป็นรัฐได้และก็จะไม่สามารถก่อให้เกิดการใช้อํานาจรัฐได้ด้วยเช่นเดียวกัน
ดินแดนความสัมพันธ์กับประชากรที่อยู่ในดินแดนเดียวกันบ่งบอกถึงความเป็นชาติและการมี
สญั ชาติของประชากรในดินแดนนั้น มีความสํานึกและความตระหนักถึงความผูกพันเป็นหนึ่งเดียว
ของประชากรในชาติน้ันๆ แต่ก็ยังมีปัญหาที่จะต้องตอบว่าในองค์ประกอบดินแดน ประชากรนั้น
เป็นส่วนสําคัญของความเปน็ รัฐหรอื ไม่ เช่น กรณีปาเลสไตน์ไมม่ ีดนิ แดน แต่ก็มีการยอมรับว่าเป็น
รัฐ กรณีไต้หวันที่ประชากรก็คือชาวจีนที่มีภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี เชื้อชาติเดียวกับ
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน ซึ่งจีนแผ่นดินใหญ่ไม่ยอมรับความเป็นรัฐของไต้หวัน
พยายามให้ไต้หวันเป็นมณฑลหนึ่งเท่านั้นแต่ก็ส่วนทางกลับการปฏิบัติของไต้หวันที่พยายาม
ประกาศตนเองเป็นรฐั หนึง่ และมีการยอมรบั จากหลายรัฐด้วยกัน

รัฐศาสตรเ์ บื้องต้น หนา้ 41

2.3 รัฐบาล (Government) รัฐบาลเป็นองค์การหรือสถาบันทางการเมืองซึ่งเป็น
องค์ประกอบของรัฐ รัฐบาลเป็นองค์กรที่ทําหน้าที่แทนรัฐโดยการทําหน้าที่จัดระเบียบให้สังคม
พิทักษ์ความเป็นอันหนึ่งเดียวของสังคม ปกครองรัฐ ใช้อํานาจอธิปไตยแทนรัฐโดยได้รับการ
ยินยอมจากประชาชน เป็นสถาบันที่กําหนดนโยบายและดําเนินตามนโยบายเพื่อสนองความ
ต้องการของประชาชนในรัฐ รักษาผลประโยชน์ของรัฐและพลเมือง สถาปนาความยุติธรรม และ
ปูองกันการรุกรานจากรัฐอื่น อาจกล่าวได้ว่าเป็นเครื่องจกั รที่มหี น้าที่ปฏิบัติสนองเจตนารมณ์ของ
สาธารณะ (Public Will) รัฐบาลเป็นกลุ่มบุคคลผู้ทรงไว้ซึ่งอํานาจอธิปไตยในนามของปวงชน ซึ่ง
แบ่งออกเปน็ 2 ระดบั คือ ระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการ ระดับนโยบาย ได้แก่ กลุ่มบุคคลที่
มีหน้าที่กําหนดนโยบายได้แก่ คณะรัฐมนตรีหรือรัฐสภา ส่วนระดับปฏิบัติได้แก่ กลุ่มบุคคลที่มี
หน้าที่ปฏิบัติตามนโยบายของกลุ่มแรก ได้แก่ ข้าราชการของรัฐท้ังหมด ในรูปกระทรวง ทบวง
กรม ตลอดจนส่วนราชการต่างๆ ที่ทําหน้าที่ไม่ว่าทําหน้าที่นิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ
ตลอดจนสํานักงานหน่วยงานองค์กรอิสระ กรรมการและเจ้าหน้าที่รวมทั้งคนงานก็ย่อมเป็นส่วน
หนึ่งของรัฐบาลท้ังสิ้น ด้วยเหตุนี้นักรัฐศาสตร์จึงถือว่ารัฐบาลเป็นเคร่ืองมือของรัฐที่สําคัญซึ่งแต่
ละรฐั จะขาดเสียไม่ได้ หากรัฐใดไม่มรี ฐั บาลรฐั น้ันก็ไม่สามารถทีจ่ ะคงความเปน็ รัฐไปได้

ในข้อเท็จจริงบ้างช่วง รัฐบางรัฐอาจจะขาดรัฐบาลแต่เป็นระยะเวลาที่ส้ันๆ เช่น
ในช่วงที่มีการปฏิวัติ (Revolution) หรือในช่วงการยึดอํานาจหรือการทํารัฐประหาร (Coup–d’etat)
หรือในช่วงภาวะระส่ําระสายของบ้านเมือง หลังจากการปฏิวัติหรือรัฐประหารเสร็จสิ้นลงคณะ
ปฏิวัติหรือคณะรัฐประหาร ก็จะมีอํานาจและมีบทบาทเป็นรัฐบาลต่อไป เช่น กรณีการทํา
รัฐประหารในประเทศไทย ท้ัง 13 ครั้ง คณะรัฐประหารอาจจัดต้ังสภานิติบัญญัติและจัดตั้ง
รฐั บาลขึน้ มาหรอื ไม่คณะรฐั ประหารก็แต่งต้ังตนเองเปน็ รัฐบาลเสียเอง

2.4 อํานาจอธิปไตย (Sovereignty) องค์ประกอบที่สําคัญที่สุดของความเป็นรัฐคือ
อํานาจอธิปไตย (Sovereignty) ก็คือ อาํ นาจสูงสุด รฐั เอกราชทกุ รัฐต้องมีอํานาจสูงสุดที่จะดําเนิน
กิจการภายในรัฐและระหว่างรัฐ อํานาจสูงสุดในการปกครองรัฐนี้จะอยู่ที่บุคคลใดหรือใครเป็น
เจ้าของขึ้นอยู่กับระบบการปกครองของรัฐนั้นๆ กล่าคือถ้าเป็นระบบการปกครองแบบ
ประชาธิปไตย อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน และถ้าเป็นระบบการปกครองแบบเผด็จการ
อาํ นาจอธิปไตยกเ็ ปน็ ของผู้เผด็จการหรอื ผมู้ ีอาํ นาจสูงสดุ ในรัฐ การที่รัฐมีอํานาจอธิปไตยนี้เองทํา
ให้มีอํานาจเหนือองค์กรใดๆท้ังปวงในสังคม อํานาจอธิปไตยในที่นี้คือ อํานาจอธิปไตยท้ัง
ภายนอกภายในประเทศ อธิปไตยภายใน (Internal Sovereignty) หมายถึง การที่จะปกครอง
ตนเองและมีอํานาจสูงสุด (Supreme Authority) ที่จะดําเนินกิจการในประเทศได้เต็มที่ ส่วน
อธิปไตยภายนอก (External Sovereignty) หมายถึง ความเป็นอิสระและมีเอกราช ไม่จําเป็นต้อง

รัฐศาสตรเ์ บ้อื งต้น หน้า 42


Click to View FlipBook Version