รัฐธรรมนูญที่ให้อานาจในการตรากฎหมายน้ันด้วยบทบัญญัติในวรรคหนึ่งและวรรคสองให้
นามาใช้บังคับกับกฎที่ออกโดยอาศัยอานาจตามบทบัญญตั ิแหง่ กฎหมายด้วยโดยอนุโลม
ข.ความเสมอภาคต่อการปฏิบตั ิของกฎหมาย บุคคลทุกคน
ต้องได้รับการปฏิบัติจากกฎหมายอย่างเสมอภาคกัน กล่าวคือบุคคลจะได้รับการคุ้มครองจาก
กฎหมายโดยเท่าเทียมกันเมือ่ กระทาผิดจะต้องใช้กฎหมายเดียวกัน การลงโทษอย่างเดียวกันและ
ได้รับเหตุอันควรปราณีก็ควรได้รับเช่นเดียวกัน มาตรา30บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและ
ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกันชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกันการเลือกปฏิบัติ
โดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเร่ืองถิ่นกาเนิดเชื้อชาติภาษาเพศอายุ
ความพิการสภาพทางกายหรือสุขภาพสถานะของบุคคลฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคมความเชื่อ
ทางศาสนาการศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่ง
รัฐธรรมนูญจะกระทามไิ ด้
ค. ความเสมอภาคในโอกาส สังคมประชาธิปไตยต้องเป็น
สงั คมทีเ่ ปิดโอกาสใหแ้ ก่คนทกุ คนในสังคมโดยทดั เทียมกัน คนทกุ คนต้องได้รับโอกาสที่จะใช้ความ
สามารถของเขาในการศกึ ษาหรอื ประกอบธุรกิจการงาน โอกาสที่จะแสวงหาเพื่อความเจริญก้าว
หน้าของการดารงชีพหรือการเลื่อนสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของเขาเองเช่น มาตรา 43
บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการประกอบกิจการหรือประกอบอาชีพและการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็น
ธรรมการจากัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทามิได้เว้นแต่โดยอาศัยอานาจตามบทบัญญัติแห่ง
กฎหมาย เฉพาะเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐหรือเศรษฐกิจของประเทศการ
คุ้มครองประชาชนในด้านสาธารณูปโภคการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของ
ประชาชนการจัดระเบียบการประกอบอาชีพการคุ้มครองผู้บริโภคการผังเมือง การรักษา
ทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมสวัสดิภาพของประชาชนหรือเพื่อปูองกันการผูกขาดหรือ
ขจัดความไม่เปน็ ธรรมในการแข่งขนั
ง. ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ ไม่ได้หมายความถึงการที่
ทุกคนจะต้องมีรายได้เท่าเทียมกัน เพราะเป็นเร่ืองที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่อาจหมายถึงสภาพความ
ใกล้เคียงกนั ในฐานะทางเศรษฐกิจ มีการกระจายรายได้(Income distribution) ที่เป็นธรรมเพื่อมิให้
ช่องว่างระหว่างชนช้ันมากนัก นอกจากนี้ในสังคมประชาธิปไตยแต่ละบุคคลควรจะมีความม่ันคง
ทางเศรษฐกิจ (Economic security) พอสมควรเพราะถ้าปราศจากความมั่นคงทางเศรษฐกิจ คือมี
รายได้เพียงพอในการดารงชีพแลว้ กเ็ ป็นการยากที่ระบบประชาธิปไตยจะดาเนินไปได้อย่างราบร่ืน
เน่ืองจากคนในสังคมจะต้องกังวลในเร่ืองหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไม่มีเวลาหรือโอกาสที่จะสนใจ
รัฐศาสตรเ์ บ้ืองตน้ หน้า 145
ความเป็นไปของบ้านเมืองเช่น มาตรา55บุคคลซึ่งไร้ที่อยู่อาศัยและไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยัง
ชีพ ย่อมมสี ิทธิได้รบั ความช่วยเหลือทีเ่ หมาะสมจากรัฐ
จ.ความเสมอภาคทางสังคม คนทุกคนจะต้องได้รับการ
เคารพว่าความเป็นคนน้ันมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน จะต้องไม่มีอุปสรรคจอมปลอมเป็นเคร่ืองกีด
ขวางการคบหาสมาคมระหว่างคนรวยกับคนจนหรือคนต่างอาชีพกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ควร
ให้ความแตกต่างทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นเคร่ืองกาหนดให้บุคคลหนึ่งเหนือกว่าบุคคลหนึ่ง
ควรคิดว่าทุกคนเท่าเทียมกันในฐานะความเป็นมนุษย์เหมือนกันเช่น มาตรา26การใช้อานาจโดย
องค์กรของรัฐทุกองค์กรต้องคานึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์สิทธิและเสรีภาพตามบทบัญญัติ
แหง่ รัฐธรรมนูญนี้
4) อานาจทางการปกครองของรัฐบาลเกิดขึ้นจากความยินยอม
ของประชาชน การให้ความยินยอมเท่ากับเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับกาลังหรืออานาจ
ดังนั้นรัฐบาลที่ชอบธรรมจึงเป็นรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของประชาชนเช่น มาตรา 67 ...การดาเนิน
โครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงท้ังทางด้านคุณภาพ
สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพจะกระทามิได้ เว้นแต่จะได้ศึกษาและประเมินผล
กระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน และจัดให้มีกระบวนการรับฟัง
ความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อนรวมท้ังได้ให้องค์การอิสระซึ่งประกอบด้วย
ผู้แทนองค์การเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการ
การศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติหรือด้านสุขภาพให้ความเห็นประกอบก่อนมี
การดาเนินการดงั กล่าว
สิ ท ธิ ข อ ง ชุ ม ช น ที่ จ ะ ฟู อ ง ห น่ ว ย ร า ช ก า ร ห น่ ว ย ง า น ข อ ง รั ฐ
รัฐวิสาหกิจราชการส่วนท้องถิ่นหรือองค์กรอื่นของรัฐที่เป็นนิติบุคคล เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตาม
บทบญั ญัติน้ยี ่อมได้รับความคุ้มครอง
5) สถาบันการเมือง เศรษฐกิจและสังคมที่เป็นกลไกของรัฐน้ันมี
อยู่เพือ่ รับใช้บคุ คลในสังคม คนเข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลก็เพราะเขาคิดว่า รัฐบาล
จะเป็นเคร่ืองมือในการที่จะช่วยให้เขามีชีวิตดีกว่าแต่ก่อน มีเสรีภาพ ความมั่นคงปลอดภัยใน
ทรัพย์สิน และสิทธิในทรัพย์สินส่วนบุคคล เหนือสิ่งอื่นใดอานาจควรมีอยู่อย่างจากัด รัฐควร
ปล่อยใหเ้ อกชนทากิจการและดาเนินชีวิตในด้านต่างๆเองโดยรัฐเข้าแทรกแซงน้อยที่สุด รัฐจะเข้า
แทรกแซงในวิถีชีวิตและการจัดระเบียบสังคมของคนก็ต่อเม่ือกิจการน้ันเอกชนไม่สามารถจะทา
เองได้เท่าน้ันเช่น มาตรา26การใช้อานาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กรต้องคานึงถึงศักดิ์ศรีความ
เป็นมนุษย์สิทธิและเสรีภาพ มาตรา27 สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้โดยชัดแจ้งโดย
รฐั ศาสตร์เบื้องต้น หน้า 146
ปริยายหรือโดยคาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญย่อมได้รับความคุ้มครองและผูกพันรัฐสภา
คณะรัฐมนตรีศาลรวมท้ังองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐโดยตรงในการตรา
กฎหมายการใชบ้ งั คับกฎหมายและการตีความกฎหมายท้ังปวง
6) รัฐเป็นเพียงอุปกรณ์ที่ช่วยให้คนในสังคมบรรลุถึงความสุข
สมบูรณ์และรัฐอยู่ได้ก็ด้วยเปูาหมายที่จะคุ้มครองชีวิต ทรัพย์สินและการแสวงหาความสุข ดังน้ัน
ประชาชนมีสิทธิที่จะทาการ ต่อต้านรัฐบาลที่ไม่ปฏิบัติตามจุดมุ่งหมายดังกล่าว หรือรัฐบาลที่ใช้
อานาจไม่เป็นธรรมหรือรัฐบาลที่ไม่ได้ใช้ธรรมเป็นอานาจ เช่น มาตรา70 บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์
รั ก ษ า ไ ว้ ซึ่ ง ช า ติ ศ า ส น า พ ร ะ ม ห า ก ษั ต ริ ย์ แ ล ะ ก า ร ป ก ค ร อ ง ร ะ บ อ บ ป ร ะ ช า ธิ ป ไ ต ย อั น มี
พระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้
3.3.1.3 ประชาธิปไตยในฐานะเป็นระบบการปกครองหลักการสาคัญ
ในการปกครองหรืออุดมการณ์ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้นได้เน้นในเร่ืองสาคัญๆ
ต่างๆ(สมศกั ดิ์ เกี่ยวกิ่งแก้ว,2525 : 139-141) ดังต่อไปนี้
1) อานาจอธิปไตยมาจากประชาชน (Popular sovereignty) หรือ
ถือว่าประชาชนเป็นเจ้าของรัฐ ประชาชนเปน็ ผู้สรา้ งรัฐขึ้นมา มิใช่รัฐเป็นผู้สร้างประชาชนหรือพระ
เจ้าเป็นผู้สร้างรัฐ ดังน้ันประชาชนจึงมีสิทธิที่จะกาหนดรูปแบบการปกครองและรัฐบาลจะต้อง
รับผิดชอบต่อประชาชน
2) ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ หรือ
ปกครองตนเอง (Self -Government) แต่โดยที่ประชาชนไม่สามารถที่จะเข้าไปทาการปกครอง
ตนเอง ดงั นน้ั ประชาชนจงึ มสี ิทธิทีจ่ ะดาเนนิ การในเรอ่ื งตอ่ ไปนี้
ก. ทาการเลือกตัวแทนเข้าไปปกครองแทนตน
ข. แสดงมติหรอื ความคิดเห็นในรูปแบบต่างๆ
ค. จัดต้ังพรรคการเมืองขึ้นเพื่อทาหน้าที่แทนประชาชนใน
เรือ่ งขบวนการทางการเมือง
ง.การเสนอข้อคิดเห็นต่างๆต่อรัฐบาลโดยตรงหรือผ่าน
สือ่ มวลชนเปน็ ต้น
3) รักษาผลประโยชน์ของฝุายข้างมากในการปกครอง (Majority
Rules) เพราะเสียงข้างมากคือเจตจานงร่วม (General Will) ของประชาชนแต่ในขณะเดียวกันก็
ต้องให้ความสาคัญและรกั ษาผลประโยชน์ใหแ้ ก่ฝุายข้างนอ้ ยด้วย (Minority Rights)
4) หลักกฎหมาย (The Rule of Law) เป็นหลักในการปกครองจะ
ยึดถือความเห็นส่วนตัวหรืออารมณ์ส่วนตัวไม่ได้ ดังน้ันรัฐบาลจึงจาเป็นที่จะต้องตั้งอยู่บนหลัก
รัฐศาสตร์เบอ้ื งต้น หนา้ 147
แห่งกฎหมาย การที่บุคคลจะได้มาซึ่งสิทธิหรือเสียไปซึ่งสิทธินั้น จะต้องเป็นไปตามตัวบท
กฎหมายที่บัญญตั ิไว้ในขณะนน้ั เท่านั้น
5) หลักความยินยอมเห็นชอบร่วมกัน (Consensus) หรือความ
สมัครใจของประชาชนเป็นหลัก ดังนั้นจึงไม่นิยมการบังคับเพราะความยินยอมและหลักของ
ความเห็นพ้องต้อง กันน้ันจะนาไปสู่มนุษยสัมพันธ์อันดี การที่รัฐบาลจะกระทาในสิ่งซึ่งจะเป็นผล
ให้ประชาชนส่วนใหญ่เสียประโยชน์นน้ั ประชาชนส่วนใหญ่จะต้องให้ความยินยอมเห็นชอบก่อน
6) หลักการปกครองที่ว่ารัฐบาลที่ดีต้องมีอานาจจากัด (The
Least Government is the Best Government) ดังนั้นจึงจาเป็นต้องกาหนดขอบเขตอานาจของ
รัฐบาลไว้ เช่นด้วยการกาหนดไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายสาคัญๆของรัฐ หลักการ
จากัดอานาจของรัฐประการหนึ่งคือหลักการถ่วงและได้ดุลแห่งอานาจ (Checks and Balances)
กล่าวคือให้อานาจนติ ิบัญญัติ อานาจบริหาร และอานาจตุลาการ ต่างมีอิสระแก่กันและสามารถ
ที่จะตรวจสอบซึ่งกันและกนั
7) ห ลั กค วา ม เส มอ ภ าค (Equality) ก าร ป กค รอ ง ระ บ บ
ประชาธิปไตยถือว่า ประชาชนทุกคนมีความเสมอภาคในเร่ืองโอกาส เช่นโอกาสที่จะมีส่วนร่วม
ทางการเมืองเท่าเทียมกัน เช่นมีโอกาสที่จะได้เป็นผู้แทนหรือเข้าไปร่วมในวงการของรัฐบาล เป็น
ต้น
8) หลักการใช้เหตุผล (Rationality) ซึ่งเป็นหลักที่ยอมรับว่า
มนุษย์เป็นสัตว์ฉลาด (Homo sapiens) ดังนั้น การปกครองในระบบประชาธิปไตยจึงยอมให้มีการ
โต้เถียง ยอมให้มีการอภิปรายเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ท้ังนี้เพราะวิธีการดังกล่าวเป็น
วิธีการที่จะให้ได้มาซึ่งเหตุผลและข้อสรุป การเอาชนะทางการเมืองน้ันควรเอาชนะด้วยเหตุผล
มิใช่กาลังหรือเล่ห์กล เพราะเหตุผลที่ดีน้ันจะก่อให้เกิดความเห็นพ้องต้องกันอีกด้วย และเม่ือ
ปรากฏว่าต่างฝุายต่างก็มีเหตุผลพอๆกันก็อาจต้องใช้วิธีการตัดสินด้วยการออกเสียงแสดงมติ
ต่อไป
9) หลักความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันได้ โดยการ
ยอมรับในเร่อื งขอ้ คิดเหน็ ที่แตกต่างกันคือหลักความสาคัญของแต่ละบุคคล ดังนั้น การปกครอง
ในระบบประชาธิปไตยจึงยอมให้มีพรรคการเมืองได้เกินกว่าหนึ่งพรรคและพรรคการเมืองจะทา
หน้าที่เป็นผู้นาในการแสดงทัศนะต่างๆทางการเมือง การรวมตัวกันเป็นกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ
มากมายย่อมสามารถกระทาได้อย่างอสิ ระ
รฐั ศาสตรเ์ บ้อื งตน้ หน้า 148
10) หลักมองมนุษย์ในแง่ดี (Optimistic) ระบบประชาธิปไตยเชื่อ
ว่ามนุษย์เชื่อว่ามนุษย์แต่ละคนมีความดีอยู่ในตัวเอง มีคุณค่าในตัวเอง มนุษย์เกิดมาเป็นคนดี
ดังนน้ั รฐั บาลจึงไม่จาเปน็ ที่จะต้องทาการควบคมุ มากเกินไป
11) หลักเสรีภาพ (Liberty) เสรีภาพเป็นสิ่งจาเป็นของมนุษย์ที่จะ
ช่วยให้มนุษย์สามารถแสดงออกซึ่งปัญญาและเหตุผลของเราได้ โดยปกติแล้วเสรีภาพจะถูก
บญั ญัติไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ ทั้งนีเ้ พือ่ เป็นหลักประกันว่าการใชเ้ สรีภาพของแต่ละบุคคลต้อง
ไม่ละเมดิ เสรีภาพของผู้อน่ื ด้วย ซึ่งเป็นการใชเ้ สรีภาพที่ชอบธรรมและมีเหตุผลอย่างแท้จริง
12) หลักความสาคัญทางวิธีการ (Mean) ว่ามีความสาคัญเท่ากับ
ปลายทาง (Aims) ประชาธิปไตยยอมรับว่า วิธีการจะไปสู่จุดหมายปลายทางน้ันมีหลายวิธีและ
แตกต่างกันตามความเหมาะสมกบั สภาพสงั คมและสิง่ แวดล้อม แตก่ ารปกครองแบบเผด็จการมัก
มีจุดมุ่งหมายปลายทางโดยไม่คานึงถึงความเหมาะสมของวิธีการว่าประชาชนพอใจหรือส่วนใหญ่
จะเห็นด้วยหรอื ไม่
3.3.1.4 ประชาธิปไตยในฐานะวิถีชีวติ การปกครองแบบประชาธิปไตย
อาจมีรูปแบบและวิธีการที่แตกต่างกันไปมากมาย แต่ประชาธิปไตยไม่ได้มีฐานะเป็นรูปแบบการ
ปกครองเพียงอย่างเดียว แตเ่ ปน็ หลกั การสาคัญ ค่านิยมและทศั นคตขิ องบคุ คลในสังคมด้วยว่าจะ
มีวิถีทางการดาเนินชีวิตที่เรียกว่า เป็นประชาธิปไตยหรือไม่ (ชัยอนันต์ สมุทวณิช,2520 : 23)
และการทีป่ ระเทศใดหรือสังคมใดจะเปน็ ประชาธิปไตยได้นน้ั ไม่ใช่เพียงแต่ว่ามีระบบการเมืองเป็น
ประชาธิปไตยเท่านั้นเป็นใช้ได้ ความจริงแล้วอุปนิสัยของคนในสังคมและวิถีดาเนินชีวิตประจาวัน
ต้องมีลักษณะเปน็ ประชาธิปไตยด้วย จงึ จะมีสว่ นชว่ ยหล่อเลี้ยงระบบประชาธิปไตยทาการเมืองให้
ไพบลู ย์สถาวรต่อ ไปได้ ลักษณะของวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยนั้นอาจจาแนกเป็นข้อๆ(สุขุม นวล
สกุล,2542 : 20-22) ดังน้ีคอื
1) เคารพเหตุผลมากกว่าบุคคล คือต้องไม่ศรัทธาหรือเชื่อในตัว
บุคคลหนึ่งบุคคลใดจนลืมนึกถึงความสามารถที่แท้จริง โดยต้องยอมรับว่าคนทุกคนมี
ความสามารถและมีสติปัญญาอยู่ในวงจากัดอาจมีทัศนะที่ถูกต้องในบางเร่ืองและอาจผิดในบาง
เร่ือง จะต้องไม่เคร่งครัดในระบบอาวุโส (Seniority) มากเกินไป ต้องยอมรับความคิดเห็นของคน
อื่นเพื่อค้นหาเหตผุ ลทีถ่ กู ต้องอย่างแท้จริง เพราะเหตุผลจะช่วยจรรโลงให้ประชาธิปไตยดาเนินไป
ได้
2) รจู้ ักประนีประนอม ผทู้ ี่เลือ่ มใสในระบอบประชาธิปไตยจะต้อง
รู้จักยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่ยึดม่ันในความคิดของตนอย่างไม่ยอมผ่อนปรนแก้ไขและ
ต้องใช้เหตุผลให้มากที่สุดในการตัดสินปัญหาต่างๆ การรู้จักประนีประนอมคือการยอมรับการ
รฐั ศาสตรเ์ บ้อื งต้น หนา้ 149
แก้ไขปัญหาความขดั แย้งอย่างสันตวิ ิธี ผู้มจี ติ ใจเปน็ ประชาธิปไตยต้องไม่นิยมการแก้ไขปัญหาด้วย
วิธีที่รุนแรง
3) มรี ะเบียบวินยั สงั คมประชาธิปไตยจะดาเนนิ ไปได้ด้วยดี คนใน
สังคมจะต้องเปน็ ผู้ทีม่ รี ะเบียบวินยั ประพฤติปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และตามกฎหมายบ้านเมืองอย่าง
สม่าเสมอถ้ามีความรู้สึกว่ากฎหมายที่ใช้อยู่ไม่เป็นธรรมก็ต้องหาทางเรียกร้องให้มีการแก้ไข
กฎหมายน้ัน ไม่ใช่ฝุาฝืนไม่ยอมรับ เพราะถ้าคนบางคนละเมิดกฎหมายได้คนอื่นก็ย่อมทาได้
เช่นกัน ประชาธิปไตยเป็นลัทธิที่บูชาสิทธิและเสรีภาพก็จริง แต่การอ้างสิทธิเสรีภาพน้ันต้องมี
ความระมัดระวังให้อยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย การใช้สิทธิเสรีภาพเกินขอบเขตของกฎหมาย
จนละเมิดหรอื ก้าวก่ายในสิทธิเสรีภาพของผู้อ่นื หรือทาให้เกิดความไม่สงบในสังคมย่อมเป็นสิ่งที่มิ
ชอบและไม่ควรปฏิบัติอย่างยิ่ง สังคมประชาธิปไตยจะดาเนินไปได้ด้วยดีคนในสังคมจึงจาเป็น
ต้องมีระเบียบวินยั
4) มีความรับผดิ ชอบต่อสว่ นรวม ความรับผิดชอบต่อส่วนรวมจะ
เกิดขึ้นจากความรู้สึกของคนในสังคมว่าตนเป็นเจ้าของประเทศและประเทศเป็นของทุกคน การ
ประพฤติตนให้เป็นพลเมืองดีได้แก่ การช่วยรักษาทรัพย์สมบัติของส่วนรวมหรือสมบัติของ
สาธารณะ เปน็ ต้น
วิถีชีวิตประชาธิปไตยเกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพที่เป็นประชาธิปไตย
(Democratic Personality) โดยตรงผู้ที่มีบุคลิกภาพที่เป็นความรับผิดชอบต่อส่วนรวมน้ัน (ชัย
อนนั ต์ สมุทวณิช,2523 : 63-65) ได้แก่บคุ คลซึง่
1) มีความคิดเห็นเป็นของตนเอง ไม่นิยมการตามความคิดเห็น
ของผู้อน่ื เว้นเสียจะถูกชักจงู ให้คล้อยตามได้ว่า ความคิดนนั้ มเี หตมุ ผี ลควรทีเ่ ชอ่ื ถือ
2) เป็นคนทีป่ รบั ตวั ใหเ้ ข้ากับสภาพการณ์ใหมๆ่ ได้ง่าย
3) มีความรับผิดชอบพร้อมที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่เขาได้กระทา
4) ไม่มอี คติตอ่ ศาสนาอ่นื หรอื ดถู กู เหยียดหยามชนชาติอื่น
5) คิดถึงบุคคลอื่นในฐานะที่เขาเป็นตัวของเขาเอง ไม่ใช่ไปจัด
ประเภทใหเ้ ขา เชน่ ไม่เรียกเขาว่า “พวกหัวรุนแรง” หรอื “พวกฝาุ ยซ้าย”
6) มองโลกในแง่ดอี ยู่เสมอ มีศรัทธาและความหวงั ตอ่ ชีวติ
7) ไม่ยอมก้มหัวให้กับผู้ยิ่งใหญ่ง่ายๆ แม้ว่าจะยอมรับอานาจแต่
อานาจนนั้ ต้องมีเหตุผลหรอื มีความชอบธรรม
รฐั ศาสตร์เบื้องตน้ หน้า 150
ส่วนบุคลิกภาพที่ไม่เกื้อกูลต่อการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้นได้แก่
บุคิกภาพแบบเผด็จการหรือนิยมอานาจ ผู้ที่มีทีท่าว่าจะเป็นเผด็จการ(ถ้าเป็นผู้นา)หรือชอบการ
ปกครองแบบเผด็จการ คือบุคคลซึ่ง
1) ยอมรับอะไรง่ายๆ ยอมตามสังคมอยู่เสมอโดยไม่มีความ
คิดเห็นโต้แย้งต่อค่านิยมของสังคมท้ังนี้เพราะบุคคลประเภทนี้ต้องการการยอมรับจากสังคม
ต้องการความม่ังค่ัง ไม่สามารถจะพบกับการที่ตนเองเกิดไปมีความคิดเห็นที่ผิดแผกแตกต่างไป
จากคนหมมู่ ากได้ ในทานองเดียวกันถ้าใครมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ตนก็ทนเขาไม่ได้เชน่ กนั
2) มองโลกว่าเต็มไปด้วยความหลอกลวง ไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัย
ไม่น่าอยู่ ไม่มีอะไรแน่นอน เม่ือมีความรู้สึกเช่นนี้อยู่แล้วก็มักเกิดความป่ันปุวนกวนใจต้องหันหน้า
เข้าไปพึ่งบุคคลหรือสิ่งของเอาไว้คอยยึดม่ันอย่างงมงายบุคคลประเภทนี้จึงชอบผู้เผด็จการ ชอบ
การใช้อานาจเด็ดขาดและมีทัศนคติว่าสิ่งที่โลกเราหรือชาติต้องการมากที่สุดคือการมีผู้นาที่
เข้มแข็ง
3) เป็นคนที่เคร่งครัดจนเกินไป ไม่รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวไม่ค่อย
ยอมปรับตัว ไม่ค่อยจิตนาการหรือจะเรียกว่าเป็นพวกอนุรักษ์นิยมก็ได้ ไม่ค่อยมีปฏิกิริยาเท่าไร
เป็นพวกทองไม่รรู้ ้อนและนยิ มคติที่ว่า “พูดไปสองไพเบีย้ นิ่งเสียตาลึงทอง”
4) เป็นผู้นยิ มชาติจนเกินไปจนใจแคบต่อเพื่อนร่วมโลก คนอื่นๆที่
มีเชื้อชาติ ภาษาต่างไปจากตน คนที่มีเชื้อชาติคนละอย่างกับตนหรือมีความคิดเห็นแตกต่างไป
จากตนมักจะถูกมองว่าเป็นคนประหลาด น่ากลัว น่าอันตรายและชอบประทับตราให้คนอื่นว่า
เปน็ โน่นเป็นนี่ เชน่ “ไอ้คนชาติน้มี นั ข้ีเกียจ” หรอื “ไอ้พวกน้ันหัวรนุ แรง” เป็นต้น
จากการแยกแยะอธิบายหลักการประชาธิปไตยมาข้างต้น (สุขุม นวล
สกลุ ,2542 : 22-23) จะเหน็ ได้ว่าการที่สังคมใดจะเป็นประชาธิปไตยได้น้ันไม่ใช่สิ่งที่ง่ายนัก ไม่ใช่
เพียงแต่มีระบบการเมอื งเปน็ ประชาธิปไตยแล้วสังคมน้ันจะกลายเปน็ สังคมประชาธิปไตยขึ้นมาได้
ความจริงแล้วอุดมการณ์และวิถีดาเนินชีวิตของคนในสังคมรวมท้ังบรรยากาศอื่นๆของสังคม
จะต้องมีลักษณะสอดคล้องกับประชาธิปไตยด้วยจึงจะมีส่วนช่วยหล่อเลี้ยงระบอบประชาธิปไตย
ทางการเมือง ให้ไพบูลย์สถาวรไปได้ไม่ใช่เพียงแต่รัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง แล้วก็ถือว่าเป็น
ประชาธิปไตยเพราะนั้นเป็นเพียงลักษณะหนึ่งของประชาธิปไตยเท่าน้ัน นอกจากนี้ถ้าวิถีการ
ดาเนินชีวิตของคนมิได้มีลักษณะประชาธิปไตยแล้ว ประชาธิปไตยทางการเมืองก็ยากที่จะเกิดขึ้น
เพราะเม่ือเกิดขึ้นแล้วจะมีความสับสนวุ่นวายเนื่องจากคนในสังคมไม่ คุ้นเคยกับวิถีชีวิตแบ บ
ประชาธิปไตย กล่าวโดยสรุปแล้วหลักการประชาธิปไตยท้ัง 3 คือ อุดมการณ์ , การปกครอง
และวิถีชีวิต จาเป็นที่จะต้องไปด้วยกัน การปกครองแบบประชาธิปไตยจึงจะมีเสถียรภาพ และ
รัฐศาสตร์เบื้องต้น หน้า 151
สามารถสร้างความไพบลู ย์ให้กับสังคมได้ เน่ือง จากหลักการท้ัง 3 ดังกล่าวมีความเกี่ยวพัน เป็น
ปัจจยั กัน
3.3.2 รูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตย (Democratic Government
System)สาหรับรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตยน้ันสามารถแยกออกเป็น 3 ระบบใหญ่ๆ
ด้วยกันคือ 1)ระบบรัฐสภาแบบอังกฤษ 2) แบบประธานาธิบดีแบบอเมริกันและ 3) แบบผสมซึ่งมี
ใน ฝร่ังเศส ศรีลังกาและ อินโดนีเซีย ซึ่งอาจเรียกว่าแบบ “กึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี” หรือ
“กึ่งประธานาธิบดีกึ่งรฐั สภา” หรอื ระบบคณะรัฐมนตรีแบบฝรง่ั เศส (French Cabinet System)
3.3.2.1 ระบบรัฐสภา (Parliamentary System) รูปแบบการปกครองที่
เรียกว่า ระบบรฐั สภา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Parliamentary Government นั้น เป็นรูปแบบการ
ปกครองที่เริ่มต้นและใช้อยู่ในประเทศอังกฤษ และประเทศอื่นๆนาไปใช้ เช่น เยอรมัน นอร์เวย์
เบลเยี่ยม ญป่ี ุน และไทย เป็นต้น การปกครองรปู แบบนี้มิได้หมายแต่เพียงว่าเป็นการปกครองที่มี
รัฐสภาแล้วก็ถือเป็นระบบรัฐสภา ทั้งนี้เพราะการปกครองที่มีรัฐสภาน้ันหมายถึงการปกครองที่
ประชาชนใช้อานาจอธิปไตยทางผู้แทน เปิดโอกาสให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ังได้เลือกตั้งผู้แทน
ในเขตของตนเข้าไปน่ังในรัฐสภาทาหน้าที่ใช้อานาจอธิปไตยแทนประชาชน แต่การที่มีรัฐสภาก็
ไม่ได้หมายความว่าเป็นการปกครองระบบรัฐสภา เพราะการปกครองแบบอื่นก็มีรัฐสภา เช่น
สหรฐั อเมริกา สวิตเซอร์แลนด์
ระบบรัฐสภาเป็นการปกครองที่ฝุายนิติบัญญัติและฝุายบริหารมีอานาจ
ก้ากึ่งกัน อานาจทั้งสองไม่ได้เป็นอิสระต่อกัน แต่มีการร่วมมือประสานงานกันในการบริหาร
ราชการแผ่นดิน โดยมีองค์การหนึ่งเรียกว่า คณะรัฐมนตรี เป็นผู้รับภาระในการอานวยการ
ปกครอง แต่การอานวยการปกครองของคณะรัฐมนตรีนี้จะดาเนินไปด้วยโดยการไว้วางใจจาก
รัฐสภา และคณะรฐั มนตรีจะต้องรับผิดชอบต่อรฐั สภา
การปกครองในระบบรฐั สภานี้ถือหลักการว่ารัฐสภาเป็นผู้มีอานาจสูงสุด
(Supremacy of the Parliament) เพราะเป็นสถาบันทีเ่ ป็นตวั แทนของประชาชน การจัดแบ่งอานาจ
และหนา้ ที่ของสถาบนั ต่างๆทางการเมอื งของระบบรฐั สภามีดงั น้ี
ก. ประมุขของรัฐ (Chief of State) ประมุขของรัฐอาจเป็นคน
ธรรมดาหรือกษัตริย์ก็ได้ สาหรับประมุขของรัฐที่เป็นกษัตริย์ (King) ราชินี (Queen) หรือ
จักรพรรดิ (Emperor) จะทาหน้าที่เป็นเพียงประมุขของรัฐอย่างแท้จริง แต่ไม่มีอานาจการบริหาร
ประเทศ คือไม่ทาตัวเป็นนักการเมืองและจะต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง จะใช้
อานาจบริหารได้ก็แต่เพียงในด้านพิธีการเท่าน้ันเช่นเป็นผู้เปิดและปิดรัฐสภา เป็นผู้แต่งต้ังและ
ถอดถอนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ยุบสภาตามข้อเสนอของฝุายบริหาร เป็นประธานพิธีต่างๆ
รัฐศาสตร์เบื้องตน้ หน้า 152
ของรัฐและเป็นผู้รับรองทูตต่างประเทศ เป็นต้น ส่วนการใช้อานาจอธิปไตยของรัฐนั้นได้ใช้ผ่าน
องค์กรทั้ง 3 คือใช้อานาจนิติบัญญัติผ่านทางรัฐสภา ใช้อานาจบริหารผ่านคณะรัฐมนตรี และใช้
อานาจตุลาการผ่านศาลยุติธรรม ดังนั้นกษัตริย์จึงมิได้เป็นผู้ปกครอง แต่ทาหน้าที่ปกเกล้า (The
King Reigns and not Rules) และเมื่อมีขอ้ ผดิ พลาดอันเนื่องมาจากการบริหารราชการของรัฐบาล
กษัตริย์ไม่ต้องรับผิดชอบหรือเรียกว่า“กษัตริย์กระทาผิดมิได้ ” (The King can do no wrong) ไม่
เกี่ยวกับพรรคการเมือง (non-partisan) เพราะพระมหากษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ของบรรดาอานาจ
ในบ้านเมืองแต่โดยไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวในกิจกรรมแห่งการปกครองหรือการกาหนดนโยบายมี
บทบาทหนักไปในทางพิธีการ (ceremonial) ตามประเพณีปฏิบัติกฎหมายซึ่งได้ผ่านรัฐสภาแล้วจะ
ประกาศได้ก็ต่อเม่ือได้รับความเห็นชอบอย่างเป็นทางการ (formal assent) จากพระมหากษัตริย์
เสียก่อนทรงไม่แสดงทรรศนะเกี่ยวกับกฎหมายใดๆอย่างเปิดเผยทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีทรง
สามารถ “ยบุ รฐั สภา” (dissolve the Parliament) ทั้งนีต้ ามถวายคาแนะนาจากนายกรัฐมนตรีอนึ่ง
ทรงโปรดให้นายกรัฐมนตรีเข้าเฝูาถวายรายงานและปรึกษาข้อราชการในประเทศไทย
พระมหากษัตรยิ ์ถือว่าเป็นส่วนสาคัญของชีวิตคนไทยในฐานะที่เป็นส่วนที่เป็น “ศักดิ์ศรี” หรือ “มี
เกียรติ” (Honor)เป็นเร่ืองของสัญลักษณ์ (symbolic) เป็นภาพซึ่งกระตุ้นเร้าให้เกิดความรู้สึกหรือ
อารมณ์เช่นความรักชาติความภูมิใจในระบบของตนส่วนปฏิบัติการลงมือกระทาหรือส่วนที่เป็น
“ประสิทธิภาพ” (efficient parts) คือหน้าที่อื่นๆเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินเช่น รัฐบาล
อังกฤษในความหมายของรัฐบาลของสมเด็จพระบรมราชินี (Her Majesty’s Government) ซึ่ง
หมายถึงองค์ประมุขถือว่า “เป็นกลาง” หรือ “เหนือการเมือง” ดังนั้นฝุายค้านก็ถือว่าเป็นฝุาย
ค้านในนามของสมเด็จพระบรมราชินีด้วยอย่างที่เรียกว่า “ฝุายค้านที่สวามิภักดิ์” หรือ Her
Majesty’s Loyal Opposition (Richard Rose.1964)สาหรับอานาจหน้าที่หรือสิทธิของประมุขใน
รูปแบบการปกครองแบบรัฐสภานี้กล่าวโดยสรุปมีอยู่ 3 ประการใหญ่ๆ (วิสุทธิ์ โพธิ์แท่น,2524 :
116) คอื
1. อานาจหน้าที่หรือสิทธิที่จะได้รับการปรึกษาหารือจาก
รฐั บาล (The Right to be consulted)
2. อานาจหน้าที่หรือสิทธิที่จะสนับสนุนส่งเสริมรัฐบาล
เมื่อเหน็ รัฐบาลทาถกู ต้อง (The Right to encourage) และ
3. อานาจหน้าที่หรือสิทธิที่จะตักเตือนรัฐบาลเม่ือเห็น
รัฐบาลกระทาการไม่ถูกต้อง (The Right to warn)
รัฐศาสตร์เบ้อื งตน้ หนา้ 153
สาหรับประมุขของรัฐที่เป็นบุคคลธรรมดามักเรียกว่า ประธานาธิบดี
และเป็นผู้ที่ไม่มีอานาจทางการเมืองเช่นเดียวกับกษัตริย์ เข้าดารงตาแหน่งโดยการแต่งต้ังจาก
รฐั สภาและอยู่ในวาระเท่ากบั วาระของรัฐสภา
ข. ฝุายนิติบัญญัติ (Legislative) การปกครองในระบบรัฐสภานี้
บทบาทในการปกครองซึ่งอาจจะมีสภาเดียวหรือสองสภาก็ได้ โดยปกติแล้วสมาชิกฝุายเสียงข้าง
มากในรัฐสภาจะเป็นผู้กาหนดตัวบุคคลให้ทาหน้าที่ในฝุายบริหารซึ่งได้แก่นายกรัฐมนตรีและ
คณะรัฐมนตรีทั้งชุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรีมักจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองฝุายเสียง
ข้างมากในสภา สมาชิกรัฐสภาจะอยู่ในตาแหน่งตามวาระที่กาหนดไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่
อาจพ้นจากตาแหน่งก่อนการครบวาระก็ได้ถ้ารัฐสภาถูกยุบ และในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่น้ัน
สมาชิกรัฐสภาจะได้รับเอกสิทธิ์ต่างๆ เช่น การแสดงความคิดเห็นในรัฐสภาอย่างไรก็ได้โดยไม่มี
ใครจะนาไปฟูองร้องได้ ส่วนหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาก็คือ ทาหน้าที่ในการออกกฎหมายและ
หน้าที่ในการควบคุมฝุายบริหาร ดังนั้นจึงถือว่าการปกครองในระบบรัฐสภานี้ไม่มีการแบ่งแยก
อานาจนิติบัญญัติกับอานาจบริหารออกจากกันโดยเด็ดขาดหรือที่เรียกว่ายังมีการเชื่อมโยง
(Fusion of Power) กนั อยู่ซึ่งมีลกั ษณะสาคัญดังน้ี
1. ฝุายบริหารได้รับการแต่งต้ังโดยรัฐสภา กล่าวคือรัฐ
สภาจะเปน็ ผู้ซาวเสียงหาตัวนายกรัฐมนตรแี ละเมือ่ ได้ตัวนายกรัฐมนตรีแล้ว นายกรัฐมนตรีจะเป็น
ผู้กาหนดตั้งรัฐมนตรีประจากระทรวงต่างๆแล้วนาบัญชีรายชื่อคณะรัฐมนตรีไปให้รัฐสภา
พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนหากรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วประมุขของรัฐก็ จะเป็นผู้แต่งตั้ง
หลังจากนั้นจึงจะบริหารราชการต่อไปได้ หากไม่เห็นชอบด้วยท้ังหมดหรือบางส่วน
นายกรฐั มนตรกี ็จะตอ้ งมกี ารกาหนดตัวรฐั มนตรีใหมเ่ พื่อรัฐสภาพิจารณาเห็นชอบต่อไป
2. ฝุายนิติบัญญัติมีสิทธิที่จะต้ังกระทู้ถามหรือเปิด
อภปิ รายท่ัวไป เพือ่ ซักถามหรือซักฟอกคณะรัฐมนตรีเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่ง
หรอื ทั้งคณะได้ และหากปรากฏว่ารัฐสภาลงมติไม่ไว้วางใจในนายกรัฐมนตรีก็ดี คณะรัฐมนตรีก็ดี
คณะรฐั มนตรีจะต้องลาออกจากตาแหน่งเพื่อให้มีการกาหนดฝาุ ยบริหารใหม่
3. เม่ือมีการประชุมรัฐสภา ฝุายบริหารมีสิทธิที่จะเข้าร่วม
ประชุมกับฝุายนิติบัญญัติได้ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสฝุายนิติบัญญัติได้สอบถามปัญหาต่างๆอัน
เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินและโดยปกติแล้วระบบนี้ไม่ห้ามสมาชิกรัฐสภาดารงตาแหน่ง
รัฐมนตรีในขณะเดียวกันได้บางประเทศกาหนดในรัฐธรรมนูญว่าคณะรัฐมนตรีจะต้องมาจาก
สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร
รฐั ศาสตรเ์ บอ้ื งต้น หน้า 154
4. กรณีที่เกิดการขัดแย้งกันอย่างรุนแรงระหว่างฝุายนิติ
บัญญัติกับฝุายบริหาร ฝุายบริหารมีสิทธิที่จะขอให้ประมุขของรัฐทาการยุบสภา เพื่อให้มีการ
เลือกตั้งใหมไ่ ด้ท้ังน้เี พื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเป็นผู้พิสูจน์ว่าฝุายบริหารหรือฝุายนิติบัญญัติเป็น
ฝาุ ยถกู และในกรณีการยบุ สภาน้ันฝุายบริหารก็จะต้องพ้นหน้าที่ไปด้วยเพราะฝุายบริหารมาจาก
การซาวเสียงของฝุายนิติบญั ญตั ิ
5. การปกครองในระบบนีไ้ ด้ให้สทิ ธิแก่ฝาุ ยบริหารที่จะเป็น
ผู้เสนอร่างกฎหมายได้ด้วย ทั้งนี้เน่ืองจากฝุายบริหารเป็นผู้พบเห็นปัญหาต่างๆในการบริหาร
ประจาวันอยู่แล้ว และในการเสนอกฎหมายนั้นจะเสนอในนามคณะรัฐมนตรี
ค. ฝุายบริหาร (Executive) ฝุายบริหารของระบบนี้ประกอบด้วย
นายกรัฐมนตรี (Prime Minister) และรัฐมนตรีประจากระทรวงต่างๆซึ่งเรียกว่า “คณะรัฐมนตรี”
(Cabinet) และโดยเหตุที่การปกครองในระบบนี้คณะรัฐมนตรีมีบทบาทมาก คือ มีบทบาทท้ังด้าน
นิติบัญญัติและด้านบริหารด้วย ตลอดจนนโยบายสาคัญๆในการบริหารประเทศน้ันก็มักจะออก
ในนามของ “มตคิ ณะรฐั มนตรี” ดงั นนั้ นกั รัฐศาสตรบ์ างท่านจงึ เรียกการปกครองแบบนี้อีกชื่อหนึ่ง
อย่างไม่เป็นทาง การว่า “ระบบคณะรัฐมนตรี” (Cabinet System)
การบริหารงานของฝุายบริหารนนั้ จะต้องเป็นไปตามนโยบายที่ได้
แถลงไว้กับรัฐสภาในวันเข้ารับตาแหน่งฝุายบริหารต้องบริหารราชการโดยรับผิดชอบต่อรัฐสภา
ตลอด เวลา ในขณะเดียวกนั รฐั สภาก็ต้องรับผิดชอบต่อประชาชนผู้เลือกตั้งตนเข้ามาอีกทอดหนึ่ง
ความมั่นคงของฝุายบริหารจะมีมากหรือน้อยนั้นขนึ้ อยู่กับเสียงสนบั สนุนในรฐั สภาด้วย
ง. ฝาุ ยตลุ าการ (Judicial) ฝุายตุลาการหรือศาลสถิตยุติธรรมน้ัน
จะเป็นผู้ใช้อานาจด้านตุลาการโดยอิสระ ปลอดจากการแทรกแซงของฝุายบริหารหรือฝุายนิติ
บัญญัติ เพื่อเป็นหลักประกันอิสระของศาล กฎหมายรัฐธรรมนูญจึงกาหนดให้ฝุายตุลาการมี
อานาจอิสระจากองค์ การอื่น และมีอิสระในการพิจารณาอรรถคดีทั้งปวงได้โดยไม่ถูกการเมือง
เข้าแทรกแซง การแต่งต้ังและถอดถอนผู้พพิ ากษานั้นประมุขของรฐั เป็นผู้แต่งตั้งและถอดถอนและ
การพิจารณาอรรถคดีต่างๆ ก็พิจารณาในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์เม่ือผู้พิพากษา
ตดั สินไปอย่างใดแล้วผู้ใดจะไปวิจารณ์คาตัดสินนน้ั ไม่ได้
เพื่อความเป็นอิสระจากอิทธิพลทางการเมือง ฝุายตุลาการจึงมี
คณะกรรม การชุดหนึ่งเรียกว่าคณะกรรมการตุลาการ มีหน้าที่ในการพิจารณาเกี่ยวกับความดี
ความชอบ การโยกย้ายหรือการแต่งต้ังผู้พิพากษาคณะกรรมการตุลาคมนี้ประมุขของรัฐจะเป็นผู้
แตง่ ตง้ั ไม่ได้อยู่ภายใต้อานาจของฝาุ ยบริหารหรอื นิตบิ ญั ญตั ิตลอดจนรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม
กไ็ ม่มีอานาจที่จะเข้าไปแทรกแซงในกิจการของฝุายตลุ าการได้
รฐั ศาสตรเ์ บ้ืองต้น หน้า 155
สรปุ สาระสาคญั ของระบบรัฐสภา ดงั น้ี
1) ประมขุ ของรัฐไม่ตอ้ งรบั ผดิ ชอบในทางการเมือง
2) รัฐสภามีหน้าที่บัญญัติกฎหมาย และควบคุมคณะรัฐมนตรีในการ
บริหารราช การแผ่นดนิ
3) รัฐมนตรีประกอบกันเป็นคณะและรับผดิ ชอบในทางการเมืองร่วมกัน
และเฉพาะตัวต่อรฐั สภา
3.3.2.2 ระบบประธานาธิบดี (Presidential System) เม่ือกล่าวถึงระบบ
ประธานาธิบดีโดยทั่วไปจะหมายถึงระบบประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นระบบที่มีลักษณะ
พิเศษเฉพาะ ประเทศที่มีประมุขของรัฐเป็นประธานาธิบดีน้ัน มิได้หมายความว่าประเทศน้ัน
ปกครองในระบบประธานาธิบดี แต่อาจจะปกครองในระบบรัฐสภา ซึ่งประธานาธิบดีไม่มีอานาจ
ในการบริหาร ทาหน้าที่เพียงประมุขแห่งรัฐอานาจการบริหารอยู่ที่นายกรัฐมนตรีหรือ
คณะรัฐมนตรี
ระบบประธานาธิบดีเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยซึ่งถือว่า
อานาจอธิปไตย มาจากประชาชน ประมุขของรัฐกับประมุขของฝุายบริหารเป็นคนๆเดียวกันและ
ได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชนเรียกว่า “ประธานาธิบดี” การปกครองในระบบนี้เป็นการ
ปกครองแบบสาธารณรัฐ (Republic) และแยกอานาจนิติบัญญัติกับอานาจบริหารออกจากกัน
(Separation of Power) นอกจากน้ันผู้ใช้อานาจทั้งสองฝุายยังเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกันอีกด้วย ดังน้ัน
จึงให้ผู้ใช้อานาจทั้งสองฝุายต่างก็ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง เพื่อให้มีฐานะเป็น
ตัวแทนของเจ้าของอานาจสูงสุดของรัฐโดยเท่าเทียมกัน นอกจากนั้นรัฐธรรมนูญของระบบการ
ปกครองแบบนีย้ งั ถือว่าศาลซึ่งเป็นสถาบันอิสระมีฐานะเท่าเทียมกับสถาบนั อืน่ ๆ อีกด้วย
อย่างไรก็ตามแม้ว่าผู้ใช้อานาจท้ังสามจะเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน แต่
สถาบันท้ังสามน้ีตา่ งมอี านาจทีจ่ ะคอยยบั ย้ังและถ่วงดลุ (Checks and Balances) ซึ่งกันและกัน ซึ่ง
เป็นวิธีการที่จะปูองกันมิให้การใช้อานาจเกินขอบเขต เช่น ประธานาธิบดีมีสิทธิที่จะไม่เห็นด้วย
(Veto) ในร่างกฎหมายทีร่ ฐั สภาส่งมาให้ลงนามหรือศาลตัดสินว่ากฎหมายที่รัฐสภาออกเป็นโมฆะ
ใช้บังคับไม่ได้ เพราะขัดกบั รัฐธรรมนูญ หรือประธานาธิบดีอาจถูกรัฐสภาลงโทษ (Impeachment)
เช่นกรณีถูกกล่าวว่าทรยศประเทศชาติหรือกระทาผิดทางอาญาอย่างร้ายแรง รับสินบน เป็นต้น
ส่วนการจัดแบ่งอานาจหน้าที่ของสถาบันต่างๆทางการเมืองของระบบการปกครองในรูปแบบนี้มี
ดังน้ี
ก. ประมุขของรัฐ ประมุขของรัฐเป็นคนธรรมดาสามัญเรียกว่า
ประธานาธิบดีมีฐานะเป็นนักการเมืองเต็มตัวมีอานาจหน้าที่ในงานด้านบริหารอย่างเต็มที่
รฐั ศาสตร์เบ้ืองตน้ หน้า 156
ประธานาธิบดีเป็นทั้งประมุขของรัฐ (Chief of State) และเป็นหัวหน้าฝุายบริหาร (Chief of
Executive) หรือเป็นหัวหน้ารัฐบาลด้วย ประมุขของรัฐและประมุของฝุายบริหาร ได้มาจากการ
เลือกต้ังของประชาชนทั้งประเทศ และอยู่ในตาแหน่งตามวาระที่กฎหมายกาหนดไว้ ดังน้ันประมุข
จงึ สามารถบริหารประเทศได้ด้วยความอิสระและไม่ต้องปฏิบตั ิตามคาแนะนาของใครและไม่มีใคร
มารับผิดชอบแทน แต่ประธานาธิบดีจะต้องรับผิดชอบต่อประชาชนในการสั่งการในเร่ืองต่างๆที่
ได้ตัดสนิ ใจไป
ข. ฝุายนิติบัญญัติรัฐสภาในระบบนี้อาจจะมีสภาเดียวหรือสอง
สภาก็ได้ กรณีที่เป็นสภาเดียวประชาชนจะเป็นผู้เลือกสมาชิกรัฐสภาท้ังประเทศแต่กรณีที่เป็นสอง
สภา สภาที่สองอาจจะเป็นสภาตัวแทนของรัฐที่เรียกว่าสภาซีเนต (Senate) เช่น กรณีของ
สหรัฐอเมริกาน้ัน การเข้าดารงตาแหน่งจะไม่พร้อมกันกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (House of
Representative) รฐั สภาในระบบนีม้ ีความอิสระในการออกกฎหมายโดยฝุายบริหารไม่มีสิทธิเสนอ
ร่างกฎหมายและประธานาธิบดีไม่มสี ิทธิยุบสภา ดังน้ันสมาชิกรฐั สภาจึงสามารถอยู่ในตาแหน่งได้
ตามวาระ นอกจากนี้สมาชิกรัฐสภาไม่มีสิทธิไปเป็นรัฐมนตรี หากประสงค์เป็นรัฐมนตรีจะต้อง
ลาออกจากตาแหน่ง
สมาชิกรัฐสภาในระบบนี้ได้รับเอกสิทธิเช่นเดียวกับสมาชิกรัฐสภาใน
ระบบรัฐสภา แต่มีบทบาทและหนา้ ทีค่ วบคมุ ฝาุ ยบริหารแตกต่างจากระบบรัฐสภา คือรัฐสภาไม่มี
อานาจควบคมุ ฝาุ ยบริหารด้วยการลงมติไม่ไว้วางใจหรอื ต้ังกระทู้ถามเพื่อซักฟอก การควบคุมนั้น
กระทาได้เพียงแต่ควบคุมโดยการไม่อนุมัติร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจาปีเท่านั้น
นอกจากนีส้ ภาซเี นตอาจทาหนา้ ที่เปน็ ศาลสงู พจิ ารณาโทษประธานาธิบดีและบุคคลสาคัญๆในวง
ราชการ เช่นรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆในข้อหาว่าเป็นภัยต่อประเทศชาติที่เรียกว่า กระบวนการ
Impeachmentโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยื่นเร่ืองต่อสภา Senate โดยสภา Senate จะเป็นผู้ชี้
ขาดคดี
ค. ฝุายบริหารฝุายบริหารระบบนี้ประกอบด้วยประธานาธิบดี
(President) และรัฐมนตรีประจากระทรวงต่างๆซึ่งทาหน้าที่ให้ความช่วยเหลือแก่ประธานาธิบดี
และรับผิดชอบโดย ตรงต่อประธานาธิบดี แตเ่ พียงผเู้ ดียว ฝุายบริหารจะเข้าไปอภิปรายและแสดง
ความคิดเห็นในรัฐสภามิได้ แต่อาจจะไปให้ความคิดเห็นแก่คณะกรรมาธิการของรัฐสภาได้เม่ือ
ได้รับเชิญหรือการไปอ่านสารประจาปี (Annual Message) ในรัฐสภาคองเกรส (Congress)โดย
ประธานาธิบดี นอกจากนี้ฝุายบริหารอาจติดต่อกับฝุายนิติบัญญัติได้โดยติดต่อผ่านพรรค
การเมืองที่ประธานาธิบดีสังกัดอยู่ หรือโดยวิธีส่งแถลงการณ์ทางหนังสือพิมพ์เพื่อให้รัฐสภาเห็น
ใจ ทั้งน้เี พราะการปกครองในระบบนีแ้ ยกอานาจนิติบัญญัติกับอานาจฝุายบริหารออกจากกัน ใน
รฐั ศาสตรเ์ บ้ืองต้น หนา้ 157
การปฏิบัติงานนั้นประธานาธิบดี จะมีรองประธานาธิบดี (Vice President) เป็นผู้ช่วยเหลือ และมี
รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆเป็นที่ปรึกษา การแต่งตั้งและถอดถอนรัฐมนตรีน้ันเป็นอานาจของ
ประธานาธิบดีแต่เพียงผู้เดียว กล่าวโดยทั่วไปแล้วในระบบนี้ประธานาธิบดีจะทาหน้าที่สอง
บทบาทคือ เปน็ ทั้งประธานาธิบดีและเป็นนายกรัฐมนตรีไปในตัวเพราะระบบนี้ไม่มีนายกรัฐมนตรี
หรอื เป็นทั้งประมขุ รฐั และหัวหน้ารฐั บาล
ง. ฝุายตุลาการฝุายตุลาการหรือศาลในระบบนี้ก็ได้รับหลักประ
กันให้มีความเป็นอิสระไม่ขึ้นกับสถาบันอื่นใดผู้พิพากษาของศาลในระบบนี้จะทาหน้าที่สองอย่าง
ในขณะเดียวกัน คือเป็นท้ังตุลาการตัดสินคดีท้ังทางแพ่งและอาญา และในขณะเดียวกันก็เป็นผู้
คอยพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญไว้มิให้ผู้ใช้อานาจนิติบัญญัติหรือฝุายบริหารละเมิด ถ้าศาลเห็นว่า
กฎหมายของรัฐสภาหรือคาส่ังใดๆของฝุายบริหารขัดรัฐธรรมนูญ ศาลสูงมีอานาจพิพากษาว่า
กฎหมายหรือคาสั่งนน้ั เปน็ โมฆะใชบ้ ังคับไม่ได้
3.3.2.3 ระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี (Semi-Presidential) การ
ปกครองรูป แบบนี้ได้เกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศสต้ังแต่มีการปฏิรูปในปี ค.ศ.1962 เป็นต้นมา ใน
การปกครองระบบนี้รัฐสภาจะไปใช้อานาจบริหารในขณะเดียวกันไม่ได้ ส่วนประธานาธิบดีใน
ระบบนี้มีอานาจมากกว่าประธานาธิบดีในระบบรัฐสภา เพราะสามารถใช้อานาจบริหารได้อย่าง
กว้างขวางแบบเดียวกับระบบประธานาธิบดี และเนื่องจากระบบนี้เป็นระบบกึ่งรัฐสภาดังนั้น จึงมี
ตาแหน่งนายกรฐั มนตรอี ยู่ด้วยแต่นายกรฐั มนตรมี ักไม่มีบทบาทสาคัญนัก ส่วนการจัดแบ่งอานาจ
หนา้ ที่ของสถาบันต่างๆทางการเมอื งของระบบการปกครองแบบนมี้ ีดงั นคี้ ือ
ก. ประมุขของรัฐประมุขของรัฐเป็นบุคคลธรรมดาสามัญ
เรียกว่าประธานาธิบดีซึ่งได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนด้วยเหตุนี้ประธานาธิบดีจึงมี
อานาจมาก และเป็นนักการเมืองเต็มตัวประธานาธิบดีเป็นผู้แต่งต้ังนายกรัฐมนตรี และ
คณะรัฐมนตรีและยังมีอานาจยุบสภาได้ด้วยกรณีที่ประธานาธิบดีไม่เห็นด้วยกับการลงมติไม่
ไว้วางใจในคณะรัฐมนตรีของรัฐสภา ประธานาธิบดีอาจสั่งยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการ
เลือกตั้งใหม่ได้ประธานาธิบดีเป็นผู้ลงนามประกาศ ใช้กฎหมายร่วมกับนายกรัฐมนตรีกล่าวคือ
โดยปกติแล้วนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามในกฎหมายแต่ในบางเร่ือง บางเร่ืองกฎหมาย
รัฐธรรมนญู กาหนดว่าให้เป็นอานาจของประธานาธิบดีเปน็ ผู้ลงนาม
ข. ฝุายนิติบัญญัติรัฐสภาจะประกอบด้วยสภาเดียวหรือสองสภา
ก็ได้ รัฐสภาในระบบนี้มีบทบาทและอานาจมากกว่ารัฐสภาในระบบประธานาธิบดี กล่าวคือ
นอกจากจะมีอานาจทางนิติบัญญัติคือออกกฎหมายแล้วยังมีอานาจควบคุมการบริหารราชการ
ของฝุายบริหารอีกด้วย เช่น มีอานาจที่จะต้ังกระทู้ถามและอภิปรายฝุายบริหารได้ด้วย แต่ก็มี
รฐั ศาสตร์เบอ้ื งตน้ หน้า 158
อานาจน้อยกว่าระบบรัฐ-สภาทั้งนี้เพราะสมาชิกรัฐสภาไม่สามารถดารงตาแหน่งสมาชิกรัฐสภา
และรัฐมนตรใี นขณะเดียวกนั ได้
ค. ฝุายบริหารการปกครองในระบบนี้มีนายกรัฐมนตรีและ
คณะรัฐมนตรีรับผิด ชอบงานด้านบริหาร และขึ้นกับประธานาธิบดี นอกจากนี้คณะรัฐมนตรียัง
ต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภาอีกด้วยจึงเท่ากับว่าประธานาธิบดีและรัฐสภาต่างก็มีอานาจที่จะให้
นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ต้องพ้นจากตาแหน่งได้ คณะรัฐมนตรีอาจเข้าร่วมประชุมและ
อภิปรายในรัฐสภาได้ แต่ไม่มีสิทธิออกเสียงเน่ืองจากการปกครองในระบบนี้มีปัญหายุ่งยากและ
สับสนในเร่ืองการกาหนดบทบาท และหน้าที่ระหว่างประธานาธิบดีกับนายกรัฐมนตรี เพราะท้ัง
สองต่างมีอานาจทางการบริหาร กล่าวคือประธานาธิบดีทาหน้าที่ท้ังเป็นประมุขของรัฐและมี
บทบาททางการบริหารด้วย โดยให้ประธานาธิบดีรับผิดชอบเกี่ยวกับอานาจหน้าที่ทางการเมือง
(Political Powers) ส่วนนายกรัฐมนตรี น้ันให้รับผิดชอบเกี่ยวกับอานาจบริหาร (Executive
Powers) ดังน้ันนายกรัฐมนตรีจึงเป็นผู้แต่งตั้งข้าราชการประจาและมีอานาจควบคุมการ
บริหารงานของกระทรวง ทบวง กรมตา่ งๆ
ง. ฝุายตุลาการศาลในการปกครองระบบนี้มีอิสระในการ
พิจารณาพิพากษาอรรถคดีต่างๆคลอดจนเป็นอิสระจากการแทรกแซงจากหน่วยงานอื่นๆ
เชน่ เดียวกนั ในระบบรัฐสภาและประธานาธิบดี
3.2.3 เผดจ็ การ (Dictatorship)
ลัทธิเผด็จการมีคาในภาษาอังกฤษที่ใช้โดยนัยแห่งความหมายเดียวกันอยู่
มากมายหลายคา เช่น Dictatorship, Despotism, Authoritarianism, Absolutism และ
Totalitarianism ลัทธิเผด็จการในสมัยจักรวรรดิโรมันถือว่าเป็นลัทธิที่ดี หรือเป็นลัทธิการเมืองที่
สร้างความมั่นคงให้แก่รัฐมากที่สุด Dictator ซึ่งแปลว่าผู้เผด็จการ มีรากศัพท์มาจากคาว่า
Dictureในภาษาลาติน แปลว่าการบังคับบัญชา Dictator เป็นตาแหน่งประมุขแห่งรัฐในสมัย
จักรวรรดิโรมัน ผู้เผด็จการในยุคนั้นได้รับการยกย่องอย่างสูง ดังเช่นยกย่องซีซาร์ว่าเป็นผู้ปราบ
ยุคเข็ญ ส่วนลัทธิเผด็จการสมัยใหม่เป็นผลที่เกิดจากปรัชญาของลัทธิฟาสซิสม์และลัทธินาซี ซึ่ง
นิยมการใช้อานาจปกครองประเทศและมีความเชื่อกันว่าอานาจเท่านั้นจะยังความสงบเรียบร้อย
และความยิ่งใหญ่ของรฐั
ปัจจุบันรูปแบบการปกครองแบบเผด็จการมีใช้อยู่ท่ัวไปในประเทศที่กาลัง
พัฒนาและด้อยพัฒนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเอเชียและแอฟริกาตลอดจนแถวลาติน
อเมริกา รูปแบบของเผด็จการในปัจจุบันอาจจาแนกได้เป็น 2 รูปแบบด้วยกัน คือเผด็จการ
รฐั ศาสตร์เบอื้ งตน้ หน้า 159
ธรรมดาหรือเผด็จการอานาจนิยม (Authoritarianism) และเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ
(Totalitarianism)
3.2.3.1 เผด็จการธรรมดาหรอื เผด็จการอานาจนยิ ม
(Authoritarianism) อานาจนยิ ม มาจากคาว่า Authority (อานาจ) หมายถึง การมีอานาจอย่างเป็น
ทางการ เช่น เจ้าหน้าที่ในสังคมเสรีมีอานาจจับกุมคนทาความผิดกฎหมาย เป็นต้น ส่วนอานาจ
นิยม หมายถึง ความเชื่อในระบบการเมืองที่เน้นอานาจและขนบธรรมเนียมประเพณี แทนที่จะให้
ความสาคัญกับเสรีภาพส่วนบคุ คล หลักการปกครองอานาจนิยมคือ ต่อต้านระบบประชาธิปไตย
นั้นคือการปกครองคนโดยคนส่วนน้อยเป็นสิ่งที่ดีที่สุดการปราบปรามฝุายค้านและความเชื่อใน
การใช้กาลังบังคับมากกว่าการใช้กฎหมายบังคับ ตามรายละเอียดของหลักการดังต่อไปนี้
(Herbert M. Levine,1990 : 41-42) คือ
1) การปกครองโดยคนกลุ่มน้อยหรือคนเดียวเป็นการปกครองที่
ดีที่สุด (Rule by a Select Few) หมายถึง รูปแบบการปกครองเผด็จการอานาจนิยมที่เป็นการ
ปกครองโดยคนส่วนน้อยเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ระบบนี้ปฏิเสธการเลือกต้ังเสรีที่อาจเป็นเคร่ืองมือนา
ผปู้ กครองใหมเ่ ข้าสู่อานาจ ในระบบเผด็จการอานาจนยิ มนั้น รัฐบาลจะรับผิดชอบตนเองมากกว่า
รบั ผิดชอบต่อประชาชน กิจกรรมของฝุายค้านถกู จากัด และพฤติกรรมทางการเมืองของฝุายค้าน
กถ็ ูกจากัดใหอ้ ยู่ในวงแคบๆทีร่ ัฐบาลอานาจนยิ มเปน็ ผู้กาหนด
2) การปราบปรามฝุายค้าน (Suppression of Opposition)
หมายถึง การที่รัฐบาลระบบเผด็จการอานาจนิยมมีความกลัวว่า ฝุายค้านจะจัดต้ังรัฐบาลใหม่
สาเร็จ ดังน้ัน รัฐบาลของระบบนี้จึงต้องจากัดกิจกรรมของฝุายค้านในหลายๆเร่ือง เช่น การ
ประกาศให้พรรคฝุายค้านเป็นพรรคผิดกฎหมาย การจับกุมคุมขังผู้นาฝุายค้าน การสั่งปิด
หนังสือพิมพ์หรือวารสารที่คัดค้านรัฐบาล การเซนเซอร์สิ่งพิมพ์ต่างๆที่เห็นว่าเป็นอันตรายต่อ
ระบบการปกครอง การกวาดล้างผู้ชมุ นมุ ประท้วงและจบั กมุ ผู้นาประท้วง
3) การใช้กาลังบีบบังคับ (Physical Coercion) คือ การปกครอง
เผด็จการอานาจนิยมมักจะแสดงออกถึงสัญญาลักษณ์ของความเข็มแข็ง ได้แก่ การมีกองกาลัง
ทหารและตารวจลับ (Secrete Police) ในประเทศที่มีการปกครองแบบนี้ มีผู้นาหลายประเทศเป็น
ทหารด้วย เช่นประธานาธิบดี อันโตนิโอ ซาลาซาร์ (Antonio Salazar) แห่งโปรตุเกส
ประธานาธิบดี อนาสตาซิโอ โซโมซา(AnastasioSomaza) แห่งนิคารากัว และประธานาธิบดีฟราส
ซิสโก ฟรงั โก (Fransico Franco) แหง่ สเปน กองกาลังทหารและตารวจลับช่วยสนับสนุนระบบการ
ปกครองแบบนี้ทั้งในทางลับและเปิดเผย โดยตารวจลับจะใช้วิธีการต่างๆ ตั้งแต่การลอบสังหาร
รฐั ศาสตรเ์ บอ้ื งตน้ หนา้ 160
และการทารุณกรรมไปจนถึงการกดดันทางเศรษฐกิจและทางจิตวิทยาเพื่อหยุดย้ังผู้ไม่เห็นด้วย
กับการปกครอง หรอื ต่อตา้ นระบอบการปกครองแบบเผด็จการอานาจนิยม
ประเทศที่ใช้รูปแบบการปกครองเผด็จการอานาจนิยมนั้น ประชาชน
ส่วนใหญ่ยังไม่มีความสานึกทางการเมืองดีพอ ตลอดจนความเข้าใจในเร่ืองกระบวนการและ
ระบบการเมืองยังไม่ดีพอ ดังนั้นอานาจทางการเมืองจึงไปตกอยู่กับบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งซึ่งมี
ความรู้ความเข้าใจทางการเมืองการปกครองและมีอานาจอยู่ก่อน ซึ่งกลุ่มบุคคลดังกล่าวมักจะ
ผูกขาดอานาจตลอดไป หรอื ผลดั เปลี่ยนกนั เข้าปกครองอานาจ
3.2.3.2 เผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) ในศตวรรษที่ 20
ปรากฏมีเผด็จการรูปแบบใหม่เกิดขึ้นคือ เผด็จการเบ็ดเสร็จซึ่งรัฐบาลระบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ
เป็นรัฐบาลในระบบเผด็จการอีกรูปแบบหนึ่งที่รัฐบาลได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว และควบคุมเกี่ยวกับ
พฤติกรรมของมนุษย์ในแทบจะทุกอริยบท กล่าวคือรัฐบาลจะเข้าควบคุมทั้งในด้านเศรษฐกิจ
สงั คมและการเมอื ง หรอื กล่าวอีกนัยหนง่ึ ว่าประชาชนไม่มีสิทธิเสรีภาพท้ังในด้านเศรษฐกิจ สังคม
และการเมอื ง อย่างส้ินเชิง
รูปแบบการปกครองในระบบนี้มีลักษณะคล้ายกับรูปแบบการปกครอง
ใน ระบบอานาจนยิ มกล่าวคือมลี กั ษณะทกุ อย่างที่รัฐบาลในระบบอานาจนิยม แต่มีลักษณะพิเศษ
เพิม่ เติมคอื รัฐบาลถือวา่ กิจกรรมทุกอย่างของประชาชน รวมทั้งวิถีชีวิตทั้งปวงของประชาชนไม่ว่า
จะเป็นเร่ืองที่เกี่ยว กับเศรษฐกิจสังคมหรือการเมืองจะต้องอยู่ในอานาจรัฐบาลแต่เพียงผู้เดียว
เช่น การทางาน การสมรส การศึกษาตลอดจนการดารงชีวิตประจาวัน รัฐบาลจะเข้าควบคุม
ทั้งสิน้
ประเทศที่ปกครองโดยรูปแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จได้แก่ อดีตสหภาพโซ
เวียตในสมัย โจเซฟสตาลิน (Joseph Stalin) เยอรมนีในสมัย อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) และ
อิตาลีในสมัยของ เบนิโต มุสโสลินี (Benito Mussolini) รวมท้ังประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตย
ประชาชนจีน ในสมัยเหมา เซ ตุง รัฐบาล ดังกล่าวได้รับการกล่าวอ้างว่าเป็นตัวอย่างของเผด็จ
การเบ็ดเสร็จ อย่างไรก็ตามอิตาลีในสมัยมุสโสลินี ก็ไม่ได้เป็นประเภทเดียวกับสหภาพรัสเซียใน
สมัยสตาลิน เยอรมนีในสมัยฮิตเลอร์ หรือในจีนสมัยของเหมา เซ ตุง ดังน้ันอาจกล่าวได้ว่า
รูปแบบการปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จนี้ออกได้เป็น 2 ลักษณะด้วยกันคือ กลุ่มขวาจัด ซึ่ง
ได้แก่การปกครองในลัทธิฟาสซิสม์โดยมุสโสลินีผู้นาอิตาลี กับลัทธินาซีโดยฮิตเลอร์ผู้นาแห่ง
เยอรมนี และกลุ่มซ้ายจดั ซึ่งได้แก่การปกครองในประเทศที่ปกครองโดยลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างไร
ก็ตามได้มีนักรัฐศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงสองท่านคือ Carl J. Friedrich และ Zbigniew K. Brzezinski
รัฐศาสตรเ์ บ้ืองต้น หน้า 161
(อ้างในHerbert M. Levine,1993 : 42-43) ได้กล่าวสรุปว่า เผด็จการเบ็ดเสร็จต้องมีลักษณะ
ดังตอ่ ไปนี้
1) อุดมการณ์ (Ideology) ในรูปแบบการปกครองเผด็จการเบ็ดเสร็จนั้น
อุดมการณ์เป็นสิ่งสาคัญ ทุกคนในสังคมจะต้องยึดม่ันในอุดมการณ์ ในระบบนี้อุดมการณ์จะมุ่ง
สร้างสังคมทีส่ มบูรณ์
2) การมีพรรคมวลชนพรรคเดียว (Single Mass Party) การปกครอง
ระบบนี้มีพรรคการเมืองมวลชนเพียงพรรคเดียว มีผู้นาคนเดียวเป็นเผด็จการ พรรคการเมือง
ประกอบด้วยประชาชนกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่ง พรรคการเมอื งในระบบนี้เน้นอุดมการณ์และรูปแบบที่
เข้ากันได้ระบบการปกครองเผด็จการเบ็ดเสร็จ เช่น พรรคนาซีของฮิตเลอร์ พรรคฟาสซิลส์ของ
มุสโสลินี และพรรคคอมมิวนสิ ต์ของสหภาพโซเวียตและจีน
3) การสร้างความหวาดกลัว (Terror) การปกครองแบบนี้จะใช้ตารวจ
เป็นเคร่ืองมือในการสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ต่อต้านหรือผู้ที่ไม่เห็นด้วย เพื่อปูองกันการท้า
ทายอานาจรฐั การสร้างความหวาดกลวั ได้ถกู นามาใช้เพื่อจากัดและปูองกันคนที่ไม่เห็นด้วย หรือ
คนที่คัดค้านทั้งภายในพรรคและกลุ่มคนภายนอกพรรค
4) การควบคุมสื่อสารมวลชน (Control of Mass Communication)
รัฐบาลในระบบนี้จะควบคุมสื่อทั้งหมด และจะไม่อนุญาตให้มีการเปิดสื่ออิสระใดๆในระบบการ
ปกครองแบบนีโ้ ดยเดด็ ขาด
5) การควบคุมกองทัพ (Control of the Armed Force) กล่าวคือ อาวุธ
สงครามก็ดี กองกาลังหรือกองทัพกด็ ีตอ้ งอยู่ภายใต้การควบคมุ ของรัฐบาลในระบบนีท้ ้ังหมด
6) ระบบเศรษฐกิจที่ถูกควบคุมโดยส่วนกลาง (Central Direction of the
Economy) กล่าวคือรัฐบาลจะเป็นผู้ควบคุมระบบเศรษฐกิจภายในประเทศท้ังหมดโดยไม่มีเอกชน
เข้ามาเกี่ยวข้อง
กล่าวโดยสรุปการปกครอบแบบเผด็จการไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด จะมี
การรวมอานาจและสรา้ งอานาจ ซึ่งสามารถควบคุม กาหนด บนั ดาลทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไปตาม
ผเู้ ผดจ็ การปรารถนา โดยมีอุดมการณ์เป็นแรงผลักดันที่สาคัญ และความกลัวของประชาชนช่วย
ให้อานาจดารงอยู่ได้ อานาจการปกครองของระบบเผด็จการจะไม่มีขอบเขตจากัด เอกชนจะ
โต้แย้งไม่ได้ หากมีการขัดขืนหรือคัดค้านก็จะใช้กาลังเข้าปราบปรามอย่างรุนแรง เพื่อให้
ประชาชนอยู่ด้วยความหวาดกลัว พอสรุปลกั ษณะสาคัญของลทั ธิเผด็จการได้ดังน้ี
1) มีการจากัดเสรีภาพส่วนบุคคล
รัฐศาสตร์เบื้องตน้ หนา้ 162
2) ปกครองด้วยการสร้างความกลัว โดยการใช้อานาจที่เด็ดขาดและ
รนุ แรง
3) มีศูนย์อานาจอยู่ที่แห่งเดียว คืออยู่ที่ผู้เผด็จการหรือคณะของผู้เด็จ
การ วิถีชีวิตของบุคคล ประเพณี ค่านิยมความผูกพันระหว่างกัน ความจงรักภักดี สร้างขึ้นจาก
ศูนย์แหง่ อานาจดงั กล่าว
4) ถือหลักปกครองโดยชนชั้นสูง (Elite Leadership) คือ หลักที่ว่าชน
ช้ันสงู มีคณุ สมบัติพิเศษเหนือบคุ คลอืน่ และชนช้ันสงู เท่าน้ันทีม่ สี ิทธิปกครองคนอ่ืน
5) บ่อนทาลายองค์การอิสระหรือศูนย์รวมแห่งอานาจอื่นๆ ท้ังนี้เพราะ
ระบบเผด็จการถือว่าศูนย์อื่นๆ ซึ่งอาจเป็นกลุ่มอาชีพ กลุ่มผลประโยชน์หรือองค์การศาสนาจะ
เป็นอนั ตรายต่ออานาจของตน จงึ ตอ้ งกาจัดใหส้ ิน้ ซาก
6) ใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อเป็นหลักใหญ่ในการสร้างอานาจและธารง
อานาจที่มอี ยู่มิใหส้ ั่นคลอน
7) ใช้หลกั การสรา้ งความกังวล ความหวาดกลัว ความรู้สึกไม่ปลอดภัย
ให้มอี ยู่เสมอในหมปู่ ระชาชน เพือ่ ทาให้ประชาชนไม่กล้าคดิ ไม่กล้าทาในสิ่งทีต่ นไม่แนใ่ จ
4. สรุป
ในสังคมมนุษย์มีการอยู่ร่วมและมีการจัดระบบการปกครองซึ่งกาหนดรูป แบบของ
การอยู่ร่วมกันว่าผู้ใดมีอานาจในการปกครองหรือผู้ใดเป็นเจ้าของอานาจ การปกครอง คือ การ
กากับดแู ลและการบริหารจัดการของรัฐ เพื่อให้ประชาชนอยู่ร่วมกันโดยความสงบเรียบร้อยตาม
ระเบียบกฎเกณฑ์ของสังคม อีกทั้งยังเป็นการกระจายผลประโยชน์และการบริการต่างๆ ให้แก่
ประชาชนในสงั คมอย่างมีหลักการ ระเบียบแบบแผน โดยบคุ คลหรือกลุ่มบุคคลที่ได้รับมอบหมาย
ให้ใช้อานาจปกครองนั้น โดยส่วนใหญ่แบ่งออกเป็น 2รูปแบบใหญ่ คือรูปแบบการปกครองของ
อริสโตเติ้ล โดยแบ่งรูปแบบออกเป็น 6 รูปแบบ โดยใช้เกณฑ์การตัดสินว่าเป็นการปกครองที่ดี
หรือเลว ดุที่การใช้อานาจการปกครองนั้นเพื่อผู้ใด หากเพื่อประชาชนเป็นการปกครองที่ดีและ
หากเพื่อผู้ปกครองเองถือว่าเป็นการปกครองที่เลว ส่วนอีกแบบใช้การอนุญาตให้ประชาชนใช้
อานาจในการปกครองร่วมด้วยหรือไม่หากให้ใช้ร่วมด้วยเรียกว่าประชาธิปไตย หากไม่ให้ใช้หรือ
ให้ใช้แต่น้อยมากเรียกว่าเผด็จการ ประชาธิปไตยได้มีการแบ่งรูปแบบการปกครองออกเป็นแบบ
รัฐสภา แบบประธานาธิบดีและแบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี ซึ่งการปกครองแต่ละรูปแบบ
จะต้องประกอบด้วยอดุ มการณ์และประชาชนที่อยู่ในรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตยต้อง
ทราบและเข้าถึงอดุ มการณ์และต้องมีวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับอุดมการณ์และรูปแบบการปกครอง
รัฐศาสตรเ์ บ้ืองตน้ หน้า 163
นั้นด้วย จึงจะทาให้รูปแบบการปกครองเหล่าน้ันเจริญงอกงามและนามาซึ่งความอยู่ดีมีสุขของ
ประชาชน ส่วนการปกครองในรูปแบบเผด็จการเป็นการรวมอานาจในการปกครองไว้ผู้ที่อานาจ
โดยคนเดียวหรือกลุ่มคนเลก็ ๆ อาจให้เสรีภาพในด้านอื่นๆ เชน่ เศรษฐกิจ สังคม การเดินทาง การ
นับถือศาสนา แตไ่ ม่อนญุ าตเขา้ มีสว่ นร่วมทางการเมอื งเรียนว่าเผดจ็ การแบบอานาจนิยม หากผู้มี
อานาจเข้าจดั การและแทรกแซงวิถีชีวติ ของประชาชนทกุ ๆด้านโดยกาหนดกฎเกณฑ์ให้ปฏิบัติตาม
อย่างเคร่งครัดเรียกว่าเผดจ็ การแบบเบ็ดเสร็จ
รฐั ศาสตร์เบือ้ งตน้ หนา้ 164
บทที่ 5
ปรชั ญา อดุ มการณแ์ ละลทั ธิทางการเมอื ง
นับแต่มวลมนุษยชาติซึ่งรวมกันอยู่เป็นกลุ่มเป็นชุมชน เป็นรัฐ เป็นชาติหรือประเทศ
ได้มีนักคิด นักวิชาการ นักบริหาร นักปกครอง นักการเมือง นักรัฐศาสตร์มากหลาย ได้เสนอ
แนวคิดทางการบริหาร การปกครอง ระบบการปกครอง ระบบการเมือง และรูปแบบการ
ปกครองอย่างหลากหลายที่เห็นว่าดี เหมาะสมกับสังคม รัฐ ชาติ หรือประเทศ ของตนแนวคิด
ดังกล่าวในทางวิชาปรัชญา (Philosophy) นักวิชาการ เรียกว่า ปรัชญาการเมือง (Political
Philosophy) กม็ ี รัฐศาสตร์ปรัชญาก็มี ปรัชญารัฐศาสตร์ก็มี ปรัชญาทางการบริหารการปกครอง
ก็มี รัฐปรัชญาก็มี แต่ในวงนักวิชาการ ในวงการนักการศึกษา และในวงการนักรัฐศาสตร์นิยม
แปลคาว่า Political Philosophy ว่า ปรัชญาการเมืองซึ่งหมายถึงปรัชญาในทางการเมือง ซึ่งเป็น
ปรัชญาในการบริหาร ในปกครอง โดยปรัชญาการเมืองน้ัน ใช้เป็นภาษาอังกฤษว่า Political
Philosophy หรือ Philosophy of Politics ก็ได้ปรัชญาการเมืองคือ สาขาของปรัชญาประยุกต์ที่
ศึกษาถึงชีวิตทางสังคมหรือชีวิตทางการเมืองของมนุษย์ ปัญหาที่ปรัชญาการเมืองศึกษาจึงเป็น
เรือ่ งของสังคม (Society) และรัฐ (The State) ในแง่ของธรรมชาติ (Essence) บ่อเกิด (Origin) และ
คุณค่า (Value) ของรัฐและสังคม ความยุติธรรม (Justice) และวิถีที่จะนาไปสู่ความยุติธรรมของ
สงั คม การออกกฎและการเคารพกฎหรอื อาจกล่าวได้ง่าย ๆ ว่านักปรัชญาการเมืองเป็นกลุ่มของ
นกั ปรชั ญาที่ต้องการเสนอความคิดเกีย่ วกับองค์กรทีเ่ หมาะสมสาหรับมนุษย์ในการรวมตัวกันเป็น
กลุ่มหรอื สงั คม
1. ปรัชญาการเมือง
1.1 นิยามและความหมายปรชั ญาการเมือง
ก่อนที่จะได้ศึกษาให้รู้ให้เข้าใจเร่ือง ปรัชญาการเมือง ควรที่จะได้ทราบความหมาย
อันแท้จรงิ ของคาวา่ ปรัชญา เป็นเบอื้ งตน้ ทั้งน้ีเพือ่ ให้เข้าใจตรงกันว่าแท้ที่จริงแล้วปรัชญา นั้นคือ
อะไร มีความหมายอย่างไร
คาว่า ปรัชญา เป็นศัพท์ที่เกิดจาการที่พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหม่ืนนราธิปพงศ์
ประพันธ์ ทรงบัญญัติจากคาภาษาอังกฤษว่า Philosophy คาว่า ปรัชญา เป็นคามาจากภาษา
สนั สกฤต คาว่า “ปรุ ช.ญา” คาว่า “ปรุ” แปลว่า ประเสริฐ คาว่า “ช.ญา” แปลว่า ความรู้ ฉะนั้น
ปรชั ญา จงึ แปลว่า “ความรอู้ นั ประเสริฐ” ซึ่งหมายความว่า “ความรทู้ ีป่ ราศจากข้อสงสัยแล้ว”
จานง ทองประเสริฐ ศาสตราจารย์พิเศษสาขาวิชาปรัชญาได้ให้คาอธิบายที่ชัดเจน
ว่าคาว่า ปรัชญา ซึ่งตรงกับคาภาษาอังกฤษว่า Philosophy นั้น ปรัชญา กับ Philosophy มี
ความหมายตรงกันทีเดียวคาว่า ปรัชญา หมายถึง ตัวปัญญา คือความรู้แท้ที่ได้รับหลังจากหมด
ความสงสัยแล้ว ส่วนคาว่า Philosophy มาจากภาษากรีกโบราณ คาว่า “Philos” แปลว่า ความรัก
และคาว่า “Sophia” แปลว่า ความรู้ ฉะนั้นคาว่า Philosophy จึงแปลว่า “ความรักในความรู้”
(Love of Wisdom) เดิมทีเดียวหมายถึง ความรักในความรู้ ที่ว่าต้องรักในความรู้ก็
เพราะว่า ความรหู้ รอื Wisdom นั้นเปน็ ของพระผู้เป็นเจ้า (God) เท่านั้น ผู้อื่นจะไปครอบครองตัว
ปัญญาหรือ Wisdom นั้นไม่ได้ เพียงแต่รักเท่าน้ัน เป็นเจ้าของไม่ได้เรียกว่า ตัวปัญญา หรือ
Wisdom น้ัน พระผู้เป็นเจ้าทรงผูกขาดไว้แต่เพียงผู้เดียว ส่วนปัญญา หรือ ปรัชญา น้ันไม่มีใคร
ผูกขาด ทกุ คนสามารถที่จะบรรลุถึงตัวปัญญาหรือปรัชญาได้ทั้งน้ันถ้าหากบุคคลน้ันจะดาเนินไป
ตามวิถีทางที่จะนาไปสู่ปญั ญา
1.2 ลักษณะของปรัชญาการเมอื ง
ปรัชญา มีลักษณะเป็นแนวความคิด เป็นทฤษฎี เป็นนามธรรม เป็นมโนภาพ เป็น
อุดมคติ อุดมการณ์ ซึ่งแม้ในการปัจจุบันก็ยังไม่มีปรัชญาการเมืองสากล จะมีก็เพียงปรัชญา
การเมอื งของ นักคิด นักปราชญ์ นักปรัชญาการเมืองผนู้ ั้นผู้น้ีจริงอยู่ แม้องค์การสหประชาชาติ
จะพยายามสร้างปรัชญาการเมืองสากล ขึ้นไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ (The Charter of the
United Nations) เช่น สิทธิมนุษยชนสากล (Universal Human Rights) ก็ตาม แต่ก็หามีสมาชิก
ของสหประชาชาติทุกประเทศ นาไปปฏิบัติให้ครบถ้วนสมบูรณ์ไม่ จึงทาให้เกิดกรณีพิพาท การ
กระทบกระทัง่ การเบียดเบียน การเอาเปรียบ ฯลฯ ระหว่างประเทศปรากฏใหเ้ ห็นไม่ขาดสาย
ปรัชญาการเมือง (Political Philosophy) เป็นความพยายามศึกษาถึงธรรมชาติของ
สิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ความถูกต้องเหมาะสม ความดีงามของระเบียบทางการเมือง
ตลอดจนเป็นความพยายามคิดค้นหาแนวความคิดมาชี้นากาหนดความดีขึ้น หรือ เลวลงของการ
กระทา และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเมือง การเปลี่ยนแปลงกับความต่อเนื่องหรือความมี
เสถียรภาพของสังคมการเมือง ท้ังยังเห็นว่า การวิพากษ์วิจารณ์การครุ่นคิด คานึง การเสวนา
การแสวงหาในแนวทางเช่นว่านั้น จะเป็นวิธีที่พัฒนายกระดับทางศีลธรรมให้สูงขึ้น โน้มนาไปสู่
การมจี ติ สานึกรบั ผดิ ชอบต่อสงั คมสว่ นรวมมากขึ้น ปรัชญาการเมอื ง เป็นแขนงหรือสาขาวิชาหนึ่ง
ของปรัชญา ซึ่งได้ศึกษาที่เกี่ยวโยงเอาปัญหาของมนุษย์เข้าไว้ด้วย เริ่มต้นด้วยโซเครตีส (469-
399 B.C.) เพราะโซเครตีสเป็นผู้เริ่มตั้งคาถามทานองที่ว่า อะไรคือความดีอะไรคือความกล้า
หาญ อะไรคือความยุติธรรม อย่างจริงจัง จะเห็นได้ว่าคาถามเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะใกล้ตัวมนุษย์
รฐั ศาสตร์เบอ้ื งต้น หน้า 166
ยิ่งกว่าคาถามที่ปรัชญาเมธีรุ่นแรก ๆ ตั้งเท่าน้ัน หากแต่มีการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงและ
โดยตรงตอ่ ความเหน็ ในเรือ่ งทางการเมอื งของชุมชนอีกด้วย
1.3 ปรชั ญาการเมอื งในยคุ สมยั ต่างๆ
1.3.1 ปรัชญาการเมอื งกรีกสมยั โบราณ
หมายถึง ปรชั ญาการเมอื งของนักปรัชญากรีกโดยเฉพาะแนวความคิดของโซเค
รติสเพลโต และอริสโตเติลซึ่งเชื่อในความจาเป็นและความเป็นธรรมชาติของรัฐ โดยเฉพาะ
อริสโตเติลถือว่า มนุษย์คือสัตว์สังคมหรือสัตว์การเมือง หมายถึงความจาเป็นที่มนุษย์ต้องอยู่
ร่วมกันในสังคมโดยธรรมชาติเพราะอริสโตเติล เห็นว่ารัฐเป็นส่วนที่สามารถอานวยประโยชน์ให้
มนุษย์ได้พฒั นารปู แบบของตนหรอื พัฒนาลักษณะเฉพาะของตน น่ันคือ ความมีเหตุผลของมนุษย์
รัฐจึงสามารถทาให้มนุษย์มีคุณธรรมทางปัญญาได้ส่วนเพลโตนั้นเชื่อในความดีของรัฐที่ปกครอง
โดยราชาปราชญ์ผู้ที่มีจิตภาคปัญญาเด่น และมีพวกจิตใจกล้าหาญเป็นทหารและมีพวกลุ่มหลง
ในกิเลสเป็นคนงาน
1.3.1.1 ประวัตินครรฐั กรีก สภาพสังคม สถาบันทางการเมอื ง
การศึกษาความคิดของมนุษย์นั้นจาเป็นต้องศึกษาสภาพแวดล้อมทั้งทาง
ธรรมชาติและสังคมของเจ้าของความคิดประกอบด้วย สิ่งแวดล้อมมีส่วนหล่อหลอมหรือมี
อิทธิพลต่อความ คดิ ของมนุษย์ จะเห็นได้ว่าเมธีการเมืองในยุคต้นมักจะมีแนวความคิดอยู่ในแวด
วงความเป็นนครรัฐเล็กๆเม่ือสร้างภาพพจน์ สังคมในอุดมคติก็มักจะสร้างในรูปของนครรัฐไม่
กว้างขวางใหญ่โตเหมือนรัฐหรือประเทศในปัจจุบันเพราะนักปราชญ์เหล่าน้ันก็ได้รับอิทธิพลจาก
นครรัฐที่ตนเองอาศัยอยู่และคุ้นเคย ดังน้ันในบทนี้จึงต้องบรรยายถึงสภาพนครรัฐในยุคกรีก
โบราณเพือ่ ให้เห็นสภาพความเป็นอยู่และทัศนะคติของชาวกรีกโบราณโดยเฉพาะนครรัฐเอเธนส์
ซึ่งเปน็ ดินแดนที่หล่อหลอมนักทฤษฎีการเมืองคนสาคัญหลายท่านด้วยกนั
กรีกสมัยที่เรียกกันว่าเฮเลนนิค (Helenic) ในศตวรรษที่ 8 และที่ 9 ก่อน
คริสตกาลประกอบด้วยนครรัฐต่างๆ ตั้งแยกย้ายกระจัดกระจายตามหุบเขาของกรีกและดินแดน
แถบชายฝ่ังทะเลเมดิเตอรเ์ รเนียน ตลอดจนบนเกาะใหญ่น้อยท้ังหลายบรรดานครรัฐเหล่านี้มีขนบ
ธรรม-เนียม, ระบบสงั คมและลทั ธิทางศาสนา คล้ายคลึงกันทางด้านการเมืองต่างก็มีอิสระและมี
อธิปไตยเป็นของตนเอง, รวมกันเป็นพันธมิตร แม้ว่านครรัฐใหญ่ๆ บางนครรัฐพยายามที่จะ
ครอบงาหรอื เป็นรฐั ผนู้ าของบรรดาๆเลก็ ๆ อืน่ ๆ
ระบบการปกครองในสมัยแรกๆ ของบรรดานครรัฐเหล่านี้ เป็นระบบกษัตริ-
ยาธิปไตยหรือราชาธิปไตย (Monarchy) ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นคณาธิปไตย (Oligarchy) ซึ่งคณะ
ผู้ปกครองประกอบด้วยหัวหน้าเผ่าใหญ่ๆในนครรัฐ และต่อมาระบอบคณาธิปไตยได้เสื่อมคลาย
รฐั ศาสตรเ์ บือ้ งตน้ หนา้ 167
ลง เพราะบรรดาผู้ปกครองเกียจคร้านและมีความแตกแยกกันเอง ในที่สุดระบอบทรราชหรือทุ
ชนาธิปไตย(Tyranny) ได้เข้ามาแทนที่ประมาณ 700 – 500 ปี ก่อนคริสตกาล ในการขึ้นสู่อานาจ
น้ันบรรดาทรราชจะปรากฏโฉมในรูปแบบขวัญใจของประชาชน รูปแบบของอัศวินเข้ามากวาด
ล้างอธรรมและมาสร้างความรุ่งเร่ืองให้กับนครรัฐ แต่ภายหลังก็กลับกลายเป็นการปกครองตาม
อาเภอใจและแสวงหาผลประโยชน์สู่ตนเองท้ังสิ้น จนกระท้ังประชาชน เหล่าขุนนาง ผู้ทรงความรู้
ท้ังหลายทาการตอ่ สู้ทรราช เกิดมีการกบฏปฏิวตั ิเกิดขึน้ บ่อยคร้ังในนครรัฐต่างๆ ของกรีก จนกระ
ทั้ง 500 – 400 ปีก่อนคริสตกาล ทุกๆนครรัฐกรีกได้เปลี่ยนรูปการปกครองแบบประชาธิปไตย
โดยตรง (Direct Democracy) ท้ังสิน้
นครรัฐกรีกซึ่งมีจานวนมากมายไม่ได้หมายความว่าทุกนครรัฐมีความ
เหมือนกันทุกๆด้าน แต่มีความแตกต่างกันทั้งทางสังคมและการเมือง โดยเฉพาะด้านความ
คิดเห็นทางการเมืองและสถาบันการปกครอง ในบรรดานครัฐต่างๆ นครรัฐเอเธนส์และสปาร์ต้า
ได้รับการยอมรับว่าเป็นนครรัฐที่ยิ่งใหญ่และมีความเป็นผู้นานครรัฐอื่นๆ เคยร่วมมือกันต่อต้าน
การรุกรานของชนเปอร์เซีย แม้ตอนท้ายท้ังสองนครรัฐกลายเป็นคู่สงครามในสงครามเพโลโพนิ
เซี่ยน จบลงโดยการชนะของนครรัฐสปาร์ต้า
นครรัฐเอเธนส์เป็นนครรัฐที่น่าสนใจศึกษามากกว่านครรัฐสปาร์ต้า ด้วย
เหตุผลที่วา่ นครรัฐเอเธนส์เป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมและเป็นศูนย์กลางการศึกษาของโลกยุค
โบราณ ชาวเอธนส์ชิงชังการปกครองแบบอัตตาธิปไตย (Autocracy) นครรัฐเอเธนส์สามารถ
ประสบความสาเร็จในการดารงชีวติ ทีด่ ีในระบอบประชาธิปไตย แต่นครรัฐสปาร์ต้าดารงชีวิตแบบ
ค่ายทหาร เม่อื อานาจทางทหารสิ้นสุดลงทุดสิ่งทุกอย่างของนครรัฐสปาร์ต้าก็สูญสิ้นไปด้วย ส่วน
นครรัฐเอเธนส์ยงั คงรักษาความโดดเด่นไว้ ในด้านการตั้งใจที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนร่วมรัฐของเขา
ด้วยจิตใจแห่งความเสมอภาคและมิตรภาพ ยังคงรกั ษามรดกทางวัฒนธรรมความเป็นชาวนครรัฐ
เอเธนส์ไว้ได้ (แมน้ จะสญู เสียอานาจอธิปไตย)
1.3.1.2 นครรัฐเอเธนส์
(1) ชนชั้นในสังคมสภาพทางสังคมในนครรัฐเอเธนส์มีลักษณะที่เป็นชน
ชั้น ซึง่ แบ่งออกเปน็ 3 ชนช้ัน คือ
1) พลเมือง (Citizen) พลเมืองถือว่าเป็นชนชั้นสูงสุดเป็นชนชั้น
สาคัญซึ่งถือว่าเป็นสมาชิกหรือประชากรที่แท้จริงของนครรัฐ พลเมืองทุกคนถือว่า “ตนเป็นส่วน
หนง่ึ ของนครรฐั และนครรัฐเป็นส่วนหนึ่งของตัวเขาเอง” ฐานะของการพลเมืองมาจากการกาเนิด
สิทธิการเป็นพลเมืองโดยเฉพาะพลเมืองชายนั้นได้แก่การมีส่วนมีเสียงในการปกครองและ
กิจกรรมของนครรัฐโดยเท่าเทียมกัน “ชาวนครรัฐเอเธนส์เห็นว่าการเป็นพลเมืองไม่ใช่ทรัพย์สินที่
รัฐศาสตร์เบื้องตน้ หนา้ 168
ใครจะถือเอาได้คนเดียว แต่เป็นสิ่งที่ต้องยอมให้พลเมืองคนอื่นใช้ร่วมกับตนได้เหมือนเครือญาติ
หรือครอบครัวเดียวกัน” ในทางการเมืองถือว่าเป็นบุคคล จึงมีสิทธิและมีเสียงทางการเมืองและ
การปกครอง มีสิทธิ์ในการเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง พลเมืองของนครรัฐเท่านั้นจึงสามารถ
เข้าไปปฏิบตั ิหน้าที่ในสภาเมือง (General Assembly) ได้
2) คนต่างด้าว (Metics) หมายถึง เสรีชนทั้งหลายที่บิดามารดา
ไม่ใช่คนนครรัฐเอเธนส์คนต่างแดนที่เข้ามาพานักและประกอบอาชีพอยู่ในนครรัฐส่วนเป็นพวก
พ่อค้าวานิช ซึ่งชาวกรีกเรียกว่า Meticsถือว่าเป็นคนชั้นกลางและเนื่องจากเข้าไปประกอบอาชีพ
ระยะเวลาหลายปี บางคนแตง่ งานและสร้างครอบครัวขึ้น แต่ว่าถึงแม้จะอยู่มาหลายชั่วอายุคนแต่
พวกคนต่างดา้ วกไ็ ม่ได้มีฐานะโอนสญั ชาติเปน็ พลเมืองอย่างแท้จริง บทบาทของคนต่างด้าวพวกนี้
จงึ ไม่มสี ิทธิตา่ งๆ ตามที่พลเมืองของรัฐนั้นๆ พึงมี เช่น การเข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่ในสภาเมือง หรือ
สิทธิในการแต่งต้ังให้ทาหน้าที่สาคัญต่างๆ แต่ในทางสังคมก็ไม่มีการเลือกปฏิบัติหรือเหยียด
หยามแตอ่ ย่างใด แต่ถูกควบคุมด้วยกฎหมายมากกว่าพลเมืองและต้องเสียภาษีพิเศษซึ่งพลเมือง
ได้รบั การยกเว้ย รวมท้ังตอ้ งเสียค่าบารงุ กองทัพ
3) ทาส (Slave) เป็นชนช้ันต่าสุด ซึ่งในสมัยโบราณถือเป็นเร่ือง
ธรรมดาที่การมีทาส ทาสจานวนมากและทาหน้าที่เป็นผู้ผลิต ทางานหนัก โดยส่วนใหญ่เป็นการ
ใช้งานด้านกาลงั กายคือปฏิบตั ิหนา้ ทีแ่ ทนนาย ช่วยให้นายมีเวลามากขึ้นในการเข้าไปมีส่วนร่วมใน
กิจกรรมของรัฐ ทาสของนครรัฐเอเธนส์มีสิทธิและเสรีภาพไม่น้อยโดยเฉพาะในการเขียนการพูด
กฎหมายของรัฐให้การพิทักษ์บรรดาทาสเป็นอย่างดีนายไม่มีสิทธิที่จะทาอันตรายทาสของเขาจน
เสียชีวติ ไม่มีสทิ ธิทีจ่ ะทาร้ายร่างกายทาสซึ่งไม่ใช่ทาสของตนและเขาอาจถูกบังคับให้ขายทาสน้ัน
หากเขาข่มเหงทาสอย่างปราศจากมนษุ ยธรรม
(2) สถาบันการปกครอง
องค์การทางการปกครองของนครรฐั เอเธนส์มดี ้วยกนั ท้ังหมด 4 องค์กร
ด้วยกนั คอื
1) สภาเมืองหรือสภาประชาชน (Assembly of Ecclesia) สภานี้
ประกอบด้วยพลเมืองในนครรัฐทุกคน เฉพาะชายอายุ 20 ปี ขึ้นไป ยกเว้นพลเมืองหญิง ถือว่า
เป็นสถาบันที่แสดงเจตจานงของประชาชน รัฐธรรมนูญของนครรัฐเอเธนส์กาหนดอานาจหน้าที่
ของสภานี้ไว้สูงกว่าสถาบันอื่นคือทาหน้าที่นิติบัญญัติควบคุมนโยบายต่างประเทศและควบคุม
ฝุายบริหาร พลเมืองมีสิทธิในการเข้าร่วมประชุมในสภาเมือง ประชาธิปไตยในกรีกจึงเป็น
ประชาธิปไตยโดยตรง (Direct Democracy) คือ พลเมืองเข้าร่วมประชุมพร้อมกันหมดทุกคน สภา
เมืองหรือสภาประชาชนจะมีการประชุมกันในรอบหนึ่งๆ ปีประมาณ 10 ครั้ง การประชุมทุกคร้ัง
รัฐศาสตร์เบอื้ งตน้ หนา้ 169
จะมีการพิจารณาเร่ืองต่างๆ และจะออกเป็นมติ ซึ่งที่มีลักษณะเป็นกฎหมายของรัฐสภาใน
ปัจจุบัน นอกจากนี้ในการประชุมจะมีการอภิปรายปัญหาต่างๆ ตลอดจนมีการกาหนดนโยบาย
ของนครรัฐเนือ่ งจากสภาประชาชนเปน็ สถาบนั ใหญ่และมีสมาชิกเป็นจานวนมาก ประสิทธิภาพใน
การดาเนินงานย่อมมคี วามบกพร่องและขาดความรวดเร็ว
2) สภาห้าร้อยหรือคณะมนตรีห้าร้อย(Council of Five Hundred)
เปน็ องค์กรที่ปกครองที่สาคัญอีกฝุายหนึ่งเป็นองค์การปกครองประจาปฏิบัติงานเป็นฝุายบริหาร
การบริหารงานของนครรัฐจะมีข้าราชการซึ่งเป็นสมาชิกของสภาประชาชนนั้นเอง แต่ได้รับเลือก
จากสภาประชาชนให้ทาหน้าทีบ่ ริหาร โดยมีระยะเวลาจากัดท้ังนีโ้ ดยผู้ใดได้รับเลือกให้เป็นสมาชิก
ของฝุายบริหารและจะไม่ได้รับเลือกใหมอ่ ีกท้ังนี้เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนได้มีส่วนในการ
บริหารกิจการของนครรัฐเสมอหน้ากัน ในนครรัฐเอเธนส์มีสมาชิก 500 คน มากจาการตัวแทน
จากชนเผ่าต่างๆในเอเธนส์ ซึ่งมีอยู่จานวน 10 เผ่าๆ ละ 50 คน ในนครเอเธนส์จะหมุนเวียนให้
ตัวแทน 50 คนของแต่ละชนเผ่าทาหน้าที่บริหารเป็นระยะเวลา 36 วันต่อ 1 ปี เม่ือหมดสมัยชน
เผ่าอื่นก็จะรับช่วงต่อ ในคณะผู้บริหารทั้ง 50 คนนี้จะมีการเลือกประธานทุกๆ วัน ประธานอยู่ใน
ตาแหน่งได้เพียง 1 วนั เม่ือเปลี่ยนวันใหม่ก็เปลี่ยนประธานใหม่ ในทางปฏิบัติคณะผู้บริหารท้ัง 50
เป็นผู้มีอานาจอย่างแท้จริงในการบริหารนครรัฐ ไม่ใช่คณะผู้บริหารท้ัง 500 คนหรื อสภา
ประชาชน สภาห้าร้อยเดิมมีหน้าที่เสมือนคณะกรรมาธิการ คือรับฟังเร่ืองราวจากผู้แทนของ
ประชาชน ศึกษาพิจารณาเพื่อนาเข้าสู่สภาเมืองหรือสภาประชาชน ต่อมาสภาห้าร้อยมีอานาจ
มากขึ้น คือมีอานาจในการปกครองและอานาจบริหารด้วย นอกจากนี้สภานี้ยังทาหน้าที่
ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งรัฐ การเงนิ ภาษี อาวุธ และกาลงั ทหาร
3) สภาสิบนายพล (Ten General) ได้แก่ ในทางทฤษฎีคณะสิบ
นายพลเปน็ ตาแหน่งหนา้ ทีท่ างการทหาร แต่ในทางปฏิบัตินายพลเหล่านมี้ ีอทิ ธิพลในทางการเมือง
เป็นอย่างมาก เป็นตาแหน่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงและสามารถที่จะครองตาแหน่งต่อได้อีก
เมื่อหมดวาระถ้าได้รบั เลือกมาอีก กฎหมายกาหนดอานาจหน้าที่นายพลทุกคนเท่าเทียมกันและมี
การแบ่งงานกันทาเปน็ ประเภทๆ แต่ในทางปฏิบัติกย็ งั มกี ารครอบงากันจากผู้ทีม่ อี ิทธิพลเหนือกว่า
หน้าที่ของคณะสิบนายพลแม้จะเน้นหนักไปทางนโยบายต่างประเทศและการทหาร แต่บางครั้งก็
ขยายครอบคลมุ นโยบายคลังด้วยและแต่บุคลิกภาพของหัวหน้านายพล โดยจะทาหน้าที่ประธาน
คณะกรรมการซึ่งมีอานาจมากหากเทียบในปัจจุบันก็คล้ายกับนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน สามารถ
วางแผนกาหนดนโยบาย ตัดสินใจ และมีหน้าที่เป็นประมุขของรัฐอาจยื่นข้อเสนอต่อสภา
ระยะเวลาการดารงตาแหน่งขึ้นอยู่กับการสนับสนุนของสภา หากไม่ได้รับการสนับสนุนเพียงพอ
ตาแหน่งก็อาจได้รับการกระทบกระเทือน
รัฐศาสตร์เบื้องตน้ หนา้ 170
4) ศาล (Count) เป็นสถาบันที่ถือเป็นตัวแทนแสดงอานาจ
อธิปไตยโดยสมบูรณ์ของประชาชนประกอบด้วยพลเมืองอายุ 30 ปีขึ้นไป จับฉลากมาจากชน
เผ่าๆละ600 คนรวมแล้วคณะศาลมีจานวน 6,000 คน ได้รับมอบหมายการพิจารณาคดี ในการ
พิจารณาคดีแต่ละคดี จะมอบอานาจในการเป็นผู้พิพากษาให้กับสมาชิกของศาลจานวนหนึ่ง ซึ่ง
ต้องเป็นผู้แทนแต่ละชนเผ่าจานวนเท่ากัน และไม่มีการแจ้งล่วงหน้าให้ทราบว่าจะมอบเร่ืองใดให้
พิจารณาเพื่อปูองกันการอยุติธรรม ศาลนี้ทาหน้าที่พิพากษาทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา คาตัดสิน
ถือเป็นเด็ดขาดไม่มีการอุทธรณ์ สมาชิกของศาลเป็นท้ังตุลาการและลูกขุน ไม่มีอัยการทั้งจาเลย
และโจทย์จะเป็นผู้แก้ต่างด้วยตนเองไม่มีทนายความขบวนการตัดสินจะเริ่มด้วยศาลจะลงมติว่า
ผดิ หรอื ไม่ หากไม่ผิดกใ็ หย้ กฟูองหากผิดกห็ ามติกาหนดโทษโดยเลือกเอาโทษอย่างใดอย่างหนึ่งที่
คู่กรณีเสนอแนะ นอกจากตัดสินคดีศาลยงั ทาหนา้ ที่ควบคุมเจ้าหนา้ ที่ของรฐั ข้อบกพร่องของศาล
อยู่ที่การเป็นสมาชิกศาลต้องมาจากการสมัครใจ มีค่าตอบแทนเพียงเล็กน้อย เป็นเหตุให้ผู้มี
ความสามารถแต่ต้องทามาหาเลี้ยงชีพไม่ประสงค์เข้ามาเป็นสมาชิกก็เลยมีแต่สมาชิกส่วนใหญ่
ประกอบด้วยคนชราและผู้ที่ไม่มีความสามารถอย่างแท้จริง ศาลนี้เคยตัดสินให้ โซเครติส
(Socrates) ให้ดืม่ ยาพิษเพือ่ สงั หารตนเองในข้อหาก่อต้ังลัทธิศาสนาตัวเอง และยุยงให้เยาวชนหลง
ผดิ
1.3.1.3 ปรัชญาการยุคก่อนเพลโตหรอื ยคุ กรีกโบราณเริม่ แรก
(1) กลุ่มซอฟฟิสต์ (Sophists)
กลุ่มซอฟฟิสต์เป็นชื่อที่ใช้เรียกกลุ่มนักปรัชญาการเมืองพวกหนึ่งใน
สมัยกรีกตอนต้น ซึ่งหากินด้วยการสัญจรหารับจ้างสอนบรรดาผู้กระหายความรู้ทั้งหลาย ซอฟ
ฟิสต์ชั้นนาได้แก่ โปรทากอรัส (Protagoras), จอเจียส (Gorgias), โปรดิสคุส (Prodicus),ฯลฯ กลุ่ม
ซอฟฟิสต์เป็นชาวต่างด้าวที่เข้ามาพานักในนครรัฐเอเธนส์ในสมัยของเพริคลิส (ช่วงก่อน 400
ก่อน ค.ศ.) พวกชาตินยิ มในเอเธนส์จึงไม่ค่อยจะวางใจพวกนี้เท่าใดนัก พวกซอฟฟิสต์นี้ไม่ได้เขียน
หนงั สือเปน็ หลักฐานไว้เลย การเรียนรู้แนวความคิดของพวกเขาศึกษาผา่ นทางข้อเขียนของเมธีคน
อื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่มีอคติต่อพวกซอฟฟิสต์ และในบรรดาซอฟฟิสต์ด้วยกันเองก็มีข้อคิดเห็นและ
ทัศนะในบางเร่อื งแตกต่างกนั
1. เคร่ืองมือที่ทามาหากิน คือ การสอนสิ่งที่เขาเรียกว่า “โซเฟีย
(Sophia)” ซึ่งหมายถึงความเฉลียวฉลาด, ความรอบรู้และความชานาญซึ่งพวกเขาคิดว่าเป็นสิ่ง
สาคัญและจาเป็น จะทาให้เยาวชนคนหนุ่มสาวประสบความสาเร็จในกิจการอาชีพและในการใช้
ชีวติ พลเมืองทีด่ ี ซอฟฟิสต์ ฝกึ หดั อบรมให้ผู้รักการศึกษามีความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติหน้าที่
รฐั ศาสตร์เบ้อื งต้น หน้า 171
ในสภาประชาชนในศาล แนะนาวาทศาสตร์วิธีการอภิปรายชักจูงให้คนเห็นคล้อยตามเพื่อนาไปใช้
ในสภาประชาชน ให้คาแนะนาวิธีการให้การเมือ่ ตกเป็นจาเลยในต่อศาลหรอื เมื่อเป็นโจทก์
2.พวกซอฟฟิสต์มีความเชื่อมั่นในลัทธิปัจเจกชนนิยมหรือเอก
บคุ คลนิยม (Individualism) เชอ่ื ว่า “คนเปน็ เครื่องวัดของทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ละคนมีความสามารถ
ที่จะวัดสิ่งใดผิดตามความเชื่อและความปรารถนาของเขา” การศึกษาที่เหมาะสมสาหรับมนุษย์
ชาติคอื การศกึ ษาเรื่องของคน คนไม่ใช่สัตว์สังคมโดยธรรมชาติและเห็นแก่ตัว ไม่ชอบการรวมกัน
เป็นสังคมและไม่มีความเท่าเทียมกันในเร่ืองกาลัง ดังน้ันการเกิดรัฐเกิดขึ้นจึงไม่ใช่ปรากฏการณ์
ธรรมชาติแต่รากฐานมาจากอานาจ คือ มีบุคคลบางคนใช้อานาจก่อต้ังขึ้น ผลที่ตามมาคืออานาจ
ทางการเมอื งมจี ดุ มงุ่ หมายคือความเหน็ แก่ตัวของผปู้ กครองแฝงอยู่
3. ในเรือ่ งความยุติธรรม พวกซอฟฟิสต์เชื่อว่าเป็นเร่ืองที่ปัจเจก
ชนแต่ละคนมีสิทธิที่ยึดสิ่งที่ตนเห็นว่ายุติธรรมสาหรับตน โปรทากอรัส อธิบายว่า “สิ่งที่บุคคล
หนึ่งเห็นว่าเป็นความยุติธรรมก็เป็นความยุติธรรมเฉพาะตัวเขาเท่าน้ัน สิ่งที่เห็นว่าเป็นความ
ยุติธรรมของเมอื งหนึ่งก็เปน็ ความยตุ ิธรรมเฉพาะเมืองน้ัน” ธราสิมาคุส สรุปว่า “หลักสาคัญของ
ความยตุ ิธรรมในทกุ หนทกุ แห่งคือผลประโยชน์ของผทู้ ีแ่ ขง็ แรงกว่า”
4. พวกซอฟฟิสต์เห็นว่ากฎหมายในนครรัฐกรีกบิดเบือนจาก
กฎหมายธรรมชาติ บางนครรัฐเป็นเร่ืองที่ผิดกฎหมาย แต่บางนครรัฐสนับสนุนให้กระทา จะเห็น
ว่ากฎหมายแต่ละนครรัฐมีความแตกต่างกัน ดังน้ันพวกซอฟฟิสต์ให้ความเห็นว่า กฎหมายที่มีอยู่
เป็นเพียงธรรมเนียมปฏิบัติที่ยึดถือต่อเน่ืองกันมา หาใช่กฎหมายธรรมชาติที่ไม่สามารถ
เปลี่ยนแปลงได้ “กฎหมายที่มีอยู่อาจเป็นเพียงข้อตกลงระหว่างผู้ที่แข็งแรงเพื่อใช้กดขี่ผู้ที่อ่อนแอ
หรือไม่ก็คือข้อตกลงจากการรวมกันของผู้อ่อนแอเพื่อปูองกันตนเองจากผู้ที่แข็งแรงกว่า” พวก
ซอฟฟิสต์เชื่ออานาจสร้างความชอบธรรม ดังนั้นกฎหมายซึ่งมีรากฐานมาจากอานาจจึงมักบีบ
บังคบั ใหค้ นต้องทาอะไรทีข่ ัดตอ่ เหตุผลอยู่เสมอ
5. พวกซอฟฟิสต์เสนอแนะให้คนหันไปหากฎหมายธรรมชาติ
เพราะจรรยาและศีลธรรมจะเกิดขึ้นก็ต่อเม่ือมีการสนับสนุนและเชื่อกฎหมายธรรมชาติ ความ
ยุ่งยากที่เกิดขึ้นเพราะรัฐยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเร่ืองเกี่ยวกับศีลธรรมโดยพยายามที่จะสร้าง
กฎเกณฑ์ต่างๆ โดยหวังที่ส่งเสริมจรรยาในหมู่ประชาชนวิธีที่จะลดข้อยุ่งยากนี้คือ รัฐต้อง
หลีกเลี่ยงที่จะบัญญัติกฎหมายแห่งธรรมชาติด้วยการลดบทบาทไม่ยุ่งเกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนให้
มากนกั
6. คนที่ควรได้รับการยกย่องสรรเสริญน้ัน ตามทัศนะพวกซอฟ
ฟิสต์ ได้แก่ คนที่รู้จักการหลบหลีก ไม่อยู่กับร่องกับรอย รู้จักฉวยโอกาส “กระทาการใดที่จะให้
รฐั ศาสตร์เบ้ืองตน้ หน้า 172
ได้มาซึ่งสิ่งที่เป็นคุณค่าแห่งชีวิต คือ เกียรติ อานาจและความม่ังคั่ง หาใช่คนที่ไม่มีคุณธรรม ไม่
เป็นการดาเนินชีวิตไม่ถูกเพราะ ถูกคือสิ่งที่ทาให้เราไปสู่ความสาเร็จ ผิดคือสิ่งที่เป็นอุปสรรค
ความยุติธรรมคอื สิง่ ที่เราพอใจ สุขและทกุ ข์เท่านั้นที่เปน็ จริง ดี ช่ัว หามีอะไรจริงไม่”
1.3.1.4 ปรชั ญาการเมอื งกรีกยคุ โซเครติส เพลโต อรสิ โตเติล
(1) โซเครติส (Socretes : 473 – 399 ก่อน ค.ศ.)
โซเครติสเป็นอาจารย์ของเพลโตหลักปรัชญาและแนวคิดของเขาไม่ได้
รวบรวมไว้เป็นหนังสือ เพราะเขานิยมเผยแพร่ทัศนะด้วยการสนทนาอภิปรายเท่านั้น
ชีวิตประจาวัน โซเครติสคือการเสาะหาคู่สนทนาปัญหาการเมือง การสนทนาเป็นในรูปการตั้ง
ปญั หาและนาหวั ข้อมาอภิปรายจนกระทั้งพบข้อสรุป วิธีการแบบนี้เรียกว่า Dialogue ซึ่งศิษย์ของ
เขาคือเพลโต นิยมมากและนาไปเป็นแบบอย่างในข้อเขียนของเขา โซเครติสจบชีวิตลงด้วยการ
ตัดสินพิพากษาของศาลเอเธนส์ลงโทษให้ดื่มยาพิษสังหารชีวิตตนเองด้วยข้อหาพยายามสร้าง
ลัทธิศาสนาของตนเองและชกั จงู เยาวชนไปในทางที่ผดิ หลักปรัชญาของโซเครติส คือ
1. โซเครติสเชื่อในความเป็นอมตะของวิญญาณ คนเราเม่ือตาย
แล้ววิญญาณจะออกจากโลกนี้ไปยังอีกโลกหนึ่งซึ่งดีกว่าและมีคุณค่าแก่วิญญาณมากกว่า สิ่งที่
จะหล่อหลอมให้ วญิ ญาณดี คือการใช้ชีวติ ที่ถูกต้องตามทานองคลองธรรมในครั้งมีชีวิตในโลกนั้น
คือการใช้ชีวติ ในกรอบแห่งศีลธรรม จะคิดจะประพฤติอะไรควรมีเหตุมีผลเป็นมาตรการวัดความ
ดีหรือเลว ถูกหรือผิด “คุณธรรม (Virtue) คือ ความรอบรู้ (Knowledge) สามารถที่จะค้นหาได้
สามารถที่จะสั่งสอนและเรียนรู้กันได้” ในการมชี ีวติ ทีด่ ีนนั้ ต้องมีความรอบรู้ 2 ประการ คือ ความ
รอบรู้ทีแ่ ท้จริงเกีย่ วกับธรรมชาติที่เปน็ อยู่ และความรอบรู้ทีแ่ ท้จริงของค่าแหง่ ศีลธรรม
2. มนุษย์เป็นสัตว์สังคม (Social Animal) มีสัญชาตญาณแห่ง
ความตอ้ งการที่จะอยู่ร่วมกนั กับเพือ่ นมนุษย์ด้วยกัน รัฐเป็นสิ่งที่ดีเป็นสิ่งจาเป็นเพราะเป็นแหล่งที่
สามารถพบกับชีวติ ทีด่ ี คนสามารถเรียนรู้คุณธรรมจากเพื่อนร่วมสังคมของเขา ถ้าไม่มีรัฐคนก็ไม่
มีโอกาสจะได้สัมผัสกับคุณธรรม รัฐยังเป็นที่สนองตอบต่อความต้องการหลากหลายของคน
เพราะคนมารวมกันในรัฐทาให้มีการแบ่งหน้าที่กันทา คนมีความสามารถบริการกันและกัน การ
อยู่มีสุขในรัฐดีกว่าการอยู่มีสุขโดยการแยกตัวออกไปนอกรัฐเพียงลาพัง
3. กฎหมายแห่งรัฐ คือ กติกาข้อบังคับที่ลิขิตให้คนในสังคมมี
ชีวติ ทีถ่ ูกต้องตามทานองคลองธรรม กฎหมายทีแ่ ท้จริงมาจากความฉลาดความรอบรู้ของรัฐบุรุษ
ควรกาหนดบทบัญญัติแห่งกฎหมายบนพื้นฐานธรรมชาติและความรู้ กฎหมายของรัฐอาจไม่ใช่
ผลผลิตของความฉลาดและความรอบรู้เสมอไปอาจเป็นเพียงผลผลิตของนักการเมืองซึ่งไม่นึกว่า
จะมีเหตผุ ลเป็นเครื่องสนบั สนุน
รัฐศาสตรเ์ บอ้ื งตน้ หนา้ 173
4. คนทุกคนมพี นั ธะทีย่ ิ่งใหญ่ 3 ประการ คือ พันธะต่อมโนสานึก
ของตนเอง, พันธะต่อความจริง และพันธะต่อการแสวงหาคุณธรรม ถ้าหากเขาถูกรัฐกาหนดให้
ทาในสิ่งที่เขาคิดว่าผิดต่อพันธะที่เขามีสิ่งที่กล่าวมาน้ัน เขาควรยินดีละชีวิตของเขาเสีย แต่ไม่ควร
ยอมโอนอ่อนหรือเปลี่ยนแปลงความคิดของเขา เพราะไม่มีอะไรน่ากลัวหลังความตาย วิญญาณ
ของมนุษย์เป็นสิ่งอมตะ เมือ่ ส้ินจากโลกนกี้ ็จะไปจตุ ยิ งั อีกโลกหนง่ึ ซึ่งดกี ว่า
5. โซเครติสโจมตีระบอบประชาธิปไตยในนครรัฐเอเธนส์ เพราะ
เขาเชื่อว่าโดยธรรมชาติมนุษย์ไม่มีความทัดเทียมกันในด้านความเฉลียวฉลาดและความสามารถ
ในการปกครอง รัฐที่ดีสามารถสร้างศีลธรรมให้กับประชาชนได้ จาเป็นต้องปกครองโดยคนที่
เฉลียวฉลาดและมีความสามารถ การปกครองของประชาชนแบบกรีกเป็นการปกครองโดย
รฐั บาลทีป่ ราศจากคุณธรรมและอยตุ ิธรรม ไม่อาจเชือ่ ได้ว่าจะสามารถนาคนไปสู่ชีวติ ทีถ่ ูกต้องได้
6. แนวคิดเกี่ยวกับรูปการปกครองของโซเครติส จึงเป็นผู้ที่
สนับสนุนรูปแบบการปกครองแบบอภิชนาธิปไตย (Aristocracy) คือ อานาจอธิปไตยอยู่กับคณะ
บุคคลที่มีความเฉลียวฉลาด มีความรู้ความสามารถในการปกครองเหนือกว่าคนอื่นในสังคม
คณุ ธรรมในการปกครองนน้ั โซเครติสเน้น “ความเฉลียวฉลาด” การปกครองโดยคนส่วนน้อยที่มี
คุณสมบตั ิเหนอื กว่าคนส่วนใหญ่เท่านั้นจึงจะสามารถใหค้ นภายในรฐั ประสบความสขุ ได้
(2) เพลโต (Plato)
เพลโตเกิดทีน่ ครเอเธนส์ เมือ่ ปี 427 ก่อนคริสตศกั ราชและเสียชีวิตในปี
347 ก่อนคริสตกาลเขาเกิดในครอบครัวของคนชั้นสูงเพลโตซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของโซเครติสเม่ือ
โซเครติสถูกตัดสินประหารชีวิตนั้นเพลโตก็อยู่ด้วย เขาได้จัดตั้งสานักศึกษาปรัชญาขึ้นเรียกว่า
Academy ซึง่ เปน็ ทีท่ ี่สอนวิชาคณิตศาสตร์และปรัชญาสาขาต่างๆ ในการสอนสานักอคาเดมี่เพล
โตได้ใช้ 2 วิธี คือ วิธีบรรยายและการสนทนาระหว่างอาจารย์กับศิษย์เพลโตถึงแก่กรรมเม่ือ
347 ก่อนครสิ ตกาล
ผลงานของเพลโตมีมากมาย วิธีเขียนหนังสือเผยแพร่ทรรศนะความคิด
ของเขาใช้ รูปแบบการสนทนาโต้ตอบ (Dialogues) เลียนแบบ โซเครติสผู้เป็นอาจารย์ของเขาเคย
ปฏิบัติมา หนังสือเล่มสาคัญและได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณกรรมทางการเมืองชิ้นเอกของเขา
ได้แก่ อุตมรัฐ (The Republic), รัฐบุรุษ (The States Man) และกฎหมาย (The Laws) เพลโตถือว่า
เปน็ ปราชญ์ทางการเมืองที่ยิง่ ใหญ่ที่สดุ
อุตมรัฐ (The Republic) หนังสือเร่ือง อุตมรัฐ เป็นการเขียนออกมาใน
รูปแบบของการสนทนาโต้ตอบ โดยเพลโตได้แฝงความคิดเห็นของเขาไว้ในบทสนทนาเหล่านั้น
โดยเน้นจริยธรรม (Virtue) พอสรปุ ได้ดังนี้
รฐั ศาสตรเ์ บ้อื งตน้ หนา้ 174
1. คณุ งามความดคี ือความรู้ (Virtue is Knowledge) คือ ความคิด
ที่ว่ามนุษย์จะต้องเรียนรู้สิ่งที่ดีเหล่านี้ด้วยการแสวงหา สืบเสาะ สังเกต เพื่อที่จะสร้างสังคมใน
อดุ มคติ แตค่ นที่จะค้นพบความดีงามไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นคนบางประเภท เช่น นักปราชญ์ ซึ่ง
สมควรจะได้ปกครอง เพราะเขาค้นพบความดีงามนี้ให้กับรัฐ ดังน้ันรัฐที่ดีคือรัฐที่ให้ผู้มีความรู้
ปกครอง เขาสนับสนุนการปกครองโดย ราชาปราชญ์ (Philosopher King) ถือว่าเป็นผู้ทรงปัญญา
สามารถรู้ซึ่งถึงการปกครอง การเมืองเป็นศิลปะ ผู้รู้ซึ่งศิลปะแห่งการเมือง ผู้รอบรู้ดีเลิศเพราะ
ปราชญ์เปน็ ผู้ทรงแห่งปัญญาจะค้นพบวิธีการใชเ้ หตุและผล และนาความยุติธรรมมาสู่รฐั ได้
2. ไม่สนบั สนุนการปกครองแบบประชาธิปไตย เน่ืองจากเพลโต
เชื่อว่าคนที่เป็นผู้ปกครองต้องเป็นผู้มีความรู้ เพลโตจึงไม่สนับสนุนการปกครองแบบคนหมู่มาก
หรอื ประชาธิปไตย ซึง่ คนจานวนมากอาจจะหาคนที่มคี วามรจู้ รงิ ๆ ได้ยาก ขาดระเบียบวินัยและไร้
สมรรถภาพ นอกจากนี้ระบบประชาธิปไตยยังเป็นระบบที่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก ทาให้คน
จงรกั ภักดีตอ่ กลุ่มของตนเอง
3. การแบ่งงานกันทา เพลโตเชื่อว่าในสังคมมนุษย์ควรมีการแบ่ง
งานกันทา ต่างคนต่างทางานที่ตนเองถนัด เพื่อที่จะสามารถจัดระบบบริการให้แก่กันอย่างมี
ประสิทธิภาพมากที่สุด ในความคิดของเพลโต รัฐจึงมีหน้าที่เปรียบเสมือนองค์กรกลางที่จะ
จัดระบบบริการให้ดีที่สุดและสอดคล้องกันมากที่สุด และผู้ที่จะจัดระบบได้ดีที่สุดนี้จึงเป็น
นักปราชญ์ซึ่งจะได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ปกครอง นอกจากนี้เพลโตยังแบ่งชนช้ันในรัฐอุดมคตินี้
เป็น 3 ชนช้ัน ชนช้ันผู้ผลิต ซึ่งจะทางานที่ใช้แรงกายเพื่อผลผลิตทางเศรษฐกิจ ชนชั้นที่สองคือ
กลุ่มทหาร ซึ่งมีความเหมาะสมกับงานการจับอาวุธปูองกันรัฐจากการรุกรานจากภายนอก กลุ่ม
ชนช้ันที่สาม คือ ชนชั้นปกครอง ถ้ามีคนเดียวเรียกว่า ราชาธิปไตย (Monarchy) ถ้าเป็นคณะ
ปราชญ์ เรยี กว่า อภิชนาธิปไตย (Aristocracy) เพื่อให้เข้าใจ “รัฐสมบูรณ์” Plato แบ่งรัฐออกเป็น 2
ประเภท คือ รัฐที่ชอบด้วยกฎหมาย และรัฐที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และในแต่ละประเภทแบ่งเป็น
รัฐที่ดมี าก ดีปานกลาง และดีนอ้ ย
4. ความกลมกลืนระหว่างผลประโยชน์ของรัฐและผลประโยชน์
ของบุคคล เพลโตเชื่อว่าอะไรที่ดีสาหรับบุคคลก็เป็นสิ่งที่ดีสาหรับรัฐด้วย เพลโตเชื่อว่ามนุษย์ไม่
สามารถอยู่อย่างโดยเดียวได้ รัฐเกิดขึ้นจากความจาเป็น (Needs) เพื่อตอบสนองความต้องการ
อันหลากหลายของบุคคล เพราะบุคคลไม่สามารถตอบสนองความต้องการของตนได้ ดังน้ันรัฐที่
ดีตอ้ งมผี ลประโยชน์เดียวกันกับบุคคล หากรัฐและบุคคลในรัฐมีผลประโยชน์ที่ขัดแย้งก็จะนาไปสู่
การล่มสลาย สู่ภาวะอันตรายต่อบุคคลและรฐั รฐั ที่ดตี ้องสร้างและสง่ เสริมชีวติ ทีด่ ีให้แก่พลเมอื ง
รัฐศาสตรเ์ บ้ืองตน้ หนา้ 175
5. รัฐจะต้องให้ความยุติธรรม ความยุติธรรมก็คือ การที่ทุกคน
ได้สง่ิ ทีเ่ ขาควรจะได้ ซึง่ ก็คือผลตอบแทนที่สังคมจะมอบให้แก่บุคคลตามกาลังและความสามารถ
ของบุคคล รัฐที่ดีคือรัฐที่มีความยุติธรรมสถิตอยู่เป็นหลักของรัฐ น้ันคือพลเมืองทุกคนในรัฐทา
หนา้ ทีต่ ามคณุ ธรรมประจาใจของตน ไม่ก้าวก่ายหน้าทีข่ องผอู้ ื่น
6. ลักษณะสังคมแบบคอมมิวนิสต์ ในลักษณะพิเศษของรัฐใน
อุดมคติของเพลโต คือ การที่เขาวางกฎเกณฑ์ไว้ว่า ชนช้ันผู้ปกครองและชนชั้นนักรบจะต้องไม่มี
ทรัพย์สินส่วนตัวและห้ามการมีครอบครัว รฐั เป็นฝุายบริการด้านอุปกรณ์แห่งการดารงชีวิตแก่ชน
ชั้นสูงนี้เป็นส่วนรวม การสืบพันธ์ุของชนช้ันสูงนี้ถือว่าเป็นหน้าที่และต้องมีระเบียบ ความสัมพันธ์
ในรูปคู่ผัวตัวเมียห้ามโดยเด็ดขาด การมีความสัมพันธ์จะมีเป็นคร้ังคราว และเพื่อที่จะได้มาซึ่ง
พันธุ์ทีด่ ีทีส่ ุดเท่าน้ัน เด็กทีเ่ กิดมาจากการผสมพนั ธุ์ภายใต้การควบคุมนี้จะอยู่ในการเลี้ยงดูของรัฐ
ไม่มคี วามสมั พันธ์ส่วนตัวในฐานะ พ่อ แม่ ลูก เพราะภาวะครอบครัวจะทาให้ชนช้ันปกครองเสื่อม
ความใส่ใจในกิจการของรัฐ และการแสวงหาความรู้ เพลโตยอมรับการคุมกาเนิด การทาแท้ง
และการทาลายทารก ตลอดจนทอดทิ้งคนที่เจ็บปุวยเร้ือรังและไม่แข็งแรง เพื่อควบคุมคุณภาพ
ของประชาชน
(3) อริสโตเติล (Aristotle)
อริสโตเติล เกิดเม่ือปี 384 ก่อนคริสตกาลที่เมืองสตากิรัส (Stagirus)
ทางชายฝ่ังของมาเซโดเนีย (Macedonia) บิดาของเขาเป็นแพทย์ประจาราชสานักมาเซโดเนีย เม่ือ
อริสโตเติ้ล อายไุ ด้ 18 ปี ได้เดินทางไปศกึ ษาที่สานกั อคาเดมีข่ องเพลโตที่กรงุ เอเธนส์ เขาเป็นศิษย์
ของเพลโตอยู่ถึง 20 ปี หลงั จากน้ันเขาก็ได้ศกึ ษาเพิม่ เติมอกี มากมาย เขาได้ถูกพระเจ้าฟิลลิปแห่ง
มาเซโดเนีย เรียกตัวให้เป็นครูสอนการศึกษาให้แก่เจ้าชายอเล็กซานเดอร์ จนกระท้ังเจ้าชายได้
ขึ้นครองบัลลังก์ ต่อมากรุงเอเธนส์เป็นรัฐในการยึดครองของอาณาจักรมาเซโดเนีย แล้วอริสโต
เติ้ลได้เปิดสานักศึกษาของตนเองชื่อ ลีเซียม (Lyceum) สานักของเขาเป็นที่เฟื่องฟูและเป็นที่นิยม
มาก ถึงแก่กรรมที่น้ันในปี 322 ก่อนครสิ ตกาล
ผลงานของ อริสโตเติลส่วนใหญ่มิได้รับการวมเล่มหรือจัดพิมพ์ด้วยตัว
เขาเอง วรรณกรรมของเขาเป็นเพียงข้อเขียนที่ใช้สาหรับการสอนที่สานักของเขา แม้ว่าบางเร่ือง
อาจจะเขียนขึ้นก่อนที่เขาจะเปิดลีเซียม (Lyceum) หนังสือและผลงานของ อริสโตเติลได้รับการ
จัดพิมพ์ขึ้นภายหลังจากเขาสิ้นชีวิตไปประมาณ 400 ปี ที่สาคัญมี รัฐธรรมนูญของกรุงเอเธนส์
(The Constitution of Athens) และ การเมอื ง (Politics)
รฐั ศาสตรเ์ บ้อื งตน้ หนา้ 176
การเมอื ง (Politics)
หนังสือเร่ืองการเมืองเป็นผลงานของ อริสโตเติลได้รับการจัดพิมพ์ขึ้น
ภายหลังจากเขาสิน้ ชีวติ ซึง่ มีสาระสาคัญ ดงั น้ี
1. มนุษย์เป็นสัตว์สังคม (Social Animal) มนุษย์ต้องอยู่รวมกัน
เพื่อความปลอดภัย และตอบสนองบริการที่จาเป็นให้แก่กัน เพื่อให้ชีวิตดารงอยู่ได้ ซึ่งในการนี้
จะต้องจัดระบบการปกครองเพือ่ รกั ษาความสงบสุขและความยตุ ิธรรม
2. แนวคิดเกี่ยวกับรัฐ รัฐเป็นประชาคมเมืองขั้นสูงสุด ซึ่งรับรอง
ความสงบสุขท้ังหมดของประชาชน โดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ความดีอันสูงสุดเหนือความดีท้ังมวล
อริสโตเติลมองว่ามนุษย์ต่างกับสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆเพราะนอกจากจะเพื่อความปลอดภัย
แล้ว มนุษย์ยังอยู่ร่วมกันเพื่อสร้างสิ่งที่ดีๆในสังคมอีกมาก มนุษย์จึงไม่อาจอยู่ลาพังในโลกได้
สาหรับอริสโตเติล ถือว่าสิง่ ที่ไม่อยู่ในเมืองคือ สตั ว์ หรือไม่ก็ พระเจา้
3. สนับสนุนการปกครองโดยกฎหมาย อริสโตเติลมีความ
แตกต่างจากเพลโต ในประเด็นการปกครอง โดยเพลโตเสนอให้คนมีความรู้เป็นผู้ปกครอง เป็น
ราชาปราชญ์ส่วนอรสิ โตเติลเขาเข้าใจลกั ษณะของมนษุ ย์ว่ามีความเห็นแก่ตัวและเอารัดเอาเปรียบ
เขาจึงไม่เช่อื การปกครองโดยบุคคล ไม่วา่ บคุ คลนั้นจะฉลาดเพียงใด ดังนนั้ การปกครองที่ดีจึงต้อง
ปกครองโดยกฎหมาย (Rule of Laws) ซึง่ อริสโตเติลเห็นว่ากฎหมายที่ดีก็คือกฎหมายที่ช่วยรักษา
ความยตุ ิธรรมของสังคมไว้ได้ ก็เป็นสิ่งทีใ่ ห้มนษุ ย์อยู่รว่ มกนั ในสงั คม
4. สนับสนุนให้ถือครองสมบัติ เป็นสิ่งที่อริสโตเติลเห็นขัดแย้ง
จากเพลโตอีกประการหน่งึ เพราะอริสโตเติล คิดว่ามนษุ ย์ควรมีสมบัติส่วนตัว ถือว่าเป็นสิ่งที่ใช้ใน
การดารงชีวิตมนุษย์ต้องมีปัจจัย 4 อริสโตเติลไม่เชื่อว่าชนช้ันปกครอง ของเพลโตจะทุ่มเทให้กับ
รัฐได้ขนาดน้ัน
5. อริสโตเติลเชื่อว่ารัฐอาจเป็นรัฐที่ดีที่สุดแม่ปราศจากความ
สมบูรณ์ และคนน้ันอาจจะประพฤติดีที่สุดได้แม้ว่าเขาจะอยู่ในรัฐที่เลว มาตรการที่ใช้วัดความดี
หรอื
6. ความยตุ ิธรรมของรัฐ คอื ความสามารถทีจ่ ะรับใช้ผลประโยชน์
ร่วมของคนในรัฐ รฐั ที่เลวคือรฐั ทีม่ ีรปู การปกครองที่อานวยผลประโยชน์แก่ผู้ปกครองเท่านั้น เขา
เขียน
ใน “Politics”ว่า “รัฐธรรมนูญจาพวกที่คานึงถึงประโยชน์ส่วนรวม เป็นรัฐธรรมนูญที่ถูกต้อง เม่ือ
ตัดสินดว้ ยมาตรฐานความยุติธรรมอันสูงสดุ ส่วนรฐั ธรรมนญู ซึง่ คานึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวของ
ผู้ปกครอง เป็นรัฐธรรมนูญที่ผิดและเบี่ยงเบนไปจากสิ่งที่ถูกต้อง” เขาได้เสนอรูปแบบการ
รฐั ศาสตรเ์ บอ้ื งตน้ หนา้ 177
ปกครอง 6 ระบบด้วยกัน โดยใช้การวิเคราะห์บนหลักการ 2 ประการคือ จานวนคนที่ปกครอง
และจุดมงุ่ หมายของการปกครองโดยดูว่าเพือ่ ผลประโยชน์แก่ผใู้ ด
ตารางที่ 5.1 รูปแบบการปกครองของอริสโตเติล
จานวนผปู้ กครอง เพือ่ ประชาชน เพื่อผู้ปกครอง
คนเดียว ราชาธิปไตย ทุชนาธิปไตย
คณะ (Monarchy) (Tyranny)
อภชิ นาธิปไตย คณาธิปไตย
ประชาชนทั้งหมด (Aristocracy) (Oligarchy)
มชั ฌิมวิถีอธิปไตย ประชาธิปไตย
(Democracy)
(Polity)
จะเหน็ ได้ว่าอริสโตเติลมีทศั นะคติที่ไม่ดีเกีย่ วกบั การปกครองแบบประชาธิปไตย เพราะเขามองว่า
ประชาธิปไตยเปน็ ระบอบการปกครองที่ไม่คานงึ ถึงราษฎร ปล่อยใหอ้ านาจทางการเมืองขึ้นอยู่กับ
กรรมการหรือสภา ซึ่งชอบใช้อานาจอย่างฟุมเฟือย เป็นการปกครองแบบฝูงชน (Mob Rule)
หากแต่สนบั สนนุ การปกครองแบบโพลิต้(ี Polity) หรอื การปกครองโดยชนชั้นกลาง
อริสโตเติลสนับสนุนการปกครองแบบ Polity เพราะเป็นรูปแบบการปกครองโดยชน
ช้ันกลาง เหตทุ ีเ่ ขาชืน่ ชอบชนช้ันกลางเนื่องจากเขาพบว่า รฐั ทั่วๆไปจะประกอบไปด้วยชนชั้น 3 ชน
ชั้น คือ คนรา่ รวย ซึ่งมีจานวนไม่มาก เห็นแก่ตัว โลภมาก และขาดความเมตตา เห็นอกเห็นใจคน
อื่น และไม่มีเหตุผล พวกคนยากจน ซึ่งมีอยู่จานวนมาก แต่มีความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุดและมี
ความละโมบ จึงเป็นกลุ่มขาดเหตุผลเช่นเดียวกับคนร่ารวย ถ้าคนสองกลุ่มรวมกันในรัฐก็จะเกิด
การปะทะกันระหว่างทั้งสองกลุ่ม ดังนั้นชนช้ันกลางจึงเป็นกลุ่มที่มีเหตุผลมากที่สุด เพราะไม่โลภ
แบบคนรวยและไม่มคี วามตอ้ งแบบไม่มที ี่ส้ินสดุ แบบคนจน
1.3.1.5 ปรัชญาการเมอื งยุคกรีกโบราณตอนปลาย
หลังจากที่กรีกตกอยู่ใต้การปกครองของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ แห่งมาเซโด
เนีย และต่อมาพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ ทายาทบางพระองค์ที่สืบทอดต่อมาก็อ่อนแอ ในที่สุด
สมาพันธรัฐท้ังหลายก็สลายตัวโดยสิ้นเชิง ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโรมัน
ลักษณะรูปการปกครองของกรีกที่หลงเหลืออยู่บ้างในเวลานั้นจึงเป็นเพียงแต่ลักษณะการ
ปกครองท้องถิ่นของอาณาจักรเท่าน้ันเม่ือยุคทองของกรีกเสื่อมคลายลง ความคิดเห็นทางการ
เมืองในลักษณะของกรีก คือ มีส่วนสัมพันธ์กับโครงสร้างการปกครองนครรัฐก็เสื่อมลง
รัฐศาสตร์เบื้องต้น หนา้ 178
เช่นเดียวกัน ปรัชญาและทฤษฎีทางการเมืองในช่วงศตวรรษที่ 3 และ 2 ก่อนคริสตกาลเปลี่ยน
แนวไป เน่ืองจากการสูญเสียเสรีภาพบางอย่างที่สาคัญคือเสรีภาพในการมีส่วนร่วมในการ
ปกครองโดยตรง
(1) อีพิควิ เลียน (Epicureanism)
อีพิคิวเลียน มีต้นกาเนิดมากจากความคิดของอีพิคิวรุส (Epicurus)
342-270 ก่อนครสิ ตกาล เมธีชาวเอเธนส์ซึ่งเคยศึกษาที่สานักอคาเดมี ของเพลโต เป็นเวลา 1 ปี
อีพิควิ รสุ ผยู้ ึดถือคตชิ ีวติ ว่า “จงมีชีวติ อยู่อย่างไม่ก้าวร้าว” ได้ก่อต้ังสานักศึกษาอีพิคิวเลียนขึ้นใน
บริเวณบ้านของตนเอง เขามีเมตตาต่อคนทุกประเภท สานกั ของเขาต้อนรับทาสเสมือนเป็นเสรีชน
รวมทั้งส่งเสริมสตรใี ห้เข้าศกึ ษาเฉกเช่นบุรุษปรชั ญาของอีพิควิ เลียนพอสรปุ ได้ ดังน้ี
1. ลัทธิอีพิคิวเลียนนอกจากจะเป็นลัทธิปรัชญาปัจเจกชนนิยม
วัตถุนิยมประโยชน์นิยมและจักรวาลนิยมแล้วยังเป็นปรัชญาเชิงปฏิเสธนิยม (negativism) ปฏิเสธ
ความเป็นจริงของสังคมไม่กล้าเผชิญหน้ากับปัญหาและไม่ต้องการแก้ปัญหาแต่ต้องการหลีกหนี
ปัญหาสังคมด้วยการแสวงหาความสุขส่วนตัวตามสภาพและความพึงพอใจที่ตนเองจะพึง
แสวงหาได้แต่เม่อื มองด้านเศรษฐศาสตร์จะเห็นว่าลัทธิเอพิคิวเรียนเป็นลัทธิที่เบื่อหน่ายท้อแท้สิ้น
หวังจากสภาพเศรษฐกิจสงั คมที่เปน็ อยู่เพราะเป็นสังคมที่ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบปลาใหญ่กินปลา
เล็กและมองว่าไม่สามารถที่จะเอาชนะปัญหาสังคมลักษณะนี้ได้ความทุกข์ยากของสังคมใน
ขณะนั้นสะท้อนให้เห็นได้จากคาสอนของนักเอพิคิวเลียนที่ว่า“พระเจ้าแม้จะมีอยู่จริง ........มนุษย์
ไม่ควรเกรงกลัวหรือศรัทธาในพระเจ้าเพราะกิจกรรมของมนุษย์ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับกิจกรรม
ของพระเจ้า ....... ขณะเดียวกันกิจกรรมของพระเจ้าก็ไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของมนุษย์” เป็น
การสะท้อนการไม่ยอมรับการดารงอยู่ของพระเจ้าพระเจ้าไม่สามารถช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจาก
ความยากจนได้พระเจา้ ไม่สามารถแก้ปญั หาการรดี นาทาเร้นที่มนุษย์ทากับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้
บุคคลต้องยึดหลักตนเป็นที่พึ่งแห่งตนคนที่ฉลาดต้องรู้จักเอาตัวรอดแสวงหาความสุขความพึง
พอใจทีต่ ัวเองพึงแสวงหาได้
2. พวกอีพิคิวเลียนจัดได้ว่าเป็นพวกสาราญนิยม (Pleasurism)
เพราะเชอ่ื ว่าจุดหมายปลายทางของชีวิตคนแต่ละคนคือความสุขเฉพาะตัว ความสุขสาราญได้แก่
ความรู้สึกสงบและความสุข เม่ือเราสามารถหลีกหนีความเจ็บปวด ความกังวลและความกระวน
กระวาย คนฉลาดควรหลกี หนีจากการเมือง เพราะเป็นสิ่งนาความยุ่งยากมาให้ และเป็นอุปสรรค
สาคญั ที่ทาให้ไมส่ ามารถจะคน้ พบจุดหมายปลายทางของชีวติ นั้นคอื ความสุขสาราญ
3. ลัทธิอีพิคิวเลียนมีทัศนะว่า “ชีวิตที่ประเสริฐคือ ชีวิตที่อยู่
อย่างง่ายๆ สงบ ไม่ใช่ชีวิตที่ทะเยอทะยานใฝุฝันและมีเกียรติในสังคม สิ่งเหล่านี้จะบ่ันทอน
รัฐศาสตร์เบอื้ งตน้ หนา้ 179
ความสขุ ของมนุษย์ เพราะจะเปน็ นายบังคับใหม้ นุษย์ตอ้ งทาอย่างน้ี อย่างน้ัน มนุษย์ควรไม่ตกเป็น
ทาสของอะไร ฉะนั้นควรปลีกตัวออกจากสังคม ไม่ควรรับผิดชอบอะไรในสังคม เพราะจะเป็น
ภาระทาให้ขาดความเปน็ อิสระ มีแต่กังวลใจ”
4. ลัทธิอีพิคิวเลียน มีทัศนะต่อสถาบันปกครองเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย
เป็นอุปสรรคต่อความสุขของมนุษย์ แต่มีความจาเป็นต้องจัดต้องขึ้นเพื่อผดุงเสถียรภาพของ
สังคม เพ่ือขจัดความรุนแรงและความอยุติธรรม โดยลัทธิอีพิคิวเลียนเห็นว่าธรรมชาติของมนุษย์
เหน็ แก่ตัว ส่งิ น้ีจะนาไปสู่ความขดั แย้งเพราะความสุขของบุคคลหนึ่งอาจเป็นความทุกข์ของอีกคน
หนึ่ง กฎหมายจึงเปรียบเสมือนเคร่ืองประกันเสถียรภาพระหว่างบุคคล “มนุษย์เคารพกฎหมาย
เพราะว่าเขากลวั ผลร้ายอันจะเกิดจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย”
5. ความยตุ ิธรรม โดยธรรมชาติของคนแล้วไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ย่อม
เหมือนกันทั้งน้ัน รัฐและกฎหมายถูกสร้างขึ้นเพื่อให้คนเคารพสิทธิของผู้อื่น และต้องการให้ผู้อื่น
เคารพสิทธิของตนเอง กฎหมายและรัฐจึงเปรียบเสมือนสัญญาที่ให้ประโยชน์ในความสัมพันธ์
ระหว่างกนั ของมนษุ ย์ สญั ญาน้ีจะก่อใหเ้ กิดความยุติธรรม ลัทธิอีพิคิวเลียนเห็นความยุติธรรมน้ัน
ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ด้วยการกระทาบางอย่างอาจถูกต้องเหมาะสมในบางเวลาหรือสถานที่
แห่งหนึ่งเท่านั้น ความยุติธรรมจึงแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับเวลา สถานที่และสิ่งแวดล้อม
บทบญั ญัติใดก็ตามที่กาหนดขึ้นเป็นกฎหมายหากพิสูจน์แล้วว่าสามารถสนองตอบความต้องการ
ร่วมกันได้บทบัญญัตินั้นถือว่ายุติธรรม แต่หากเวลาผ่านไปอาจจะไม่เป็นที่ต้องการของสังคมน้ัน
อีกก็ถือว่าบทบัญญัตินน้ั ได้ขาดความยตุ ิธรรมแล้วแม้จะเคยถกู ยอมรับมาแล้วสมัยก่อนก็ตาม
6. ในเรือ่ งเกี่ยวกบั การปกครองพวกอีพิควิ เลียนยอมรับว่าจะเป็น
รูปแบบการปกครองใดก็ได้ที่สามารถรักษาสันติภาพและส่งเสริมให้คนพบกับความสาราญ แต่
พวก อีพิคิวเลียนส่วนใหญ่มีแนวโน้มเลื่อมใสในระบอบการปกครองแบบอานาจนิยม
(Authoritarianism) เพราะเชื่อว่าอานาจเท่านั้นที่สามารถบังคับจิตใจช่ัวของคนได้ ดังที่
ศาสตราจารย์เซไบน์ เน้นว่า “พวกอีพิคิวเลียนให้ความสนใจในเร่ืองอานาจขณะเดียวก็ให้ความ
สนใจเร่ืองรูปแบบของรัฐบาลน้อย พวกอีพิคิวเลียนรู้สึกพึงพอใจนิยมระบบกษัตริย์ราชาธิปไตย
เพราะเชอ่ื ว่าเป็นระบบที่แขง็ แกร่งมเี สถียรภาพและรับประกันความปลอดภยั ได้ดกี ว่า”
(2) ซินนคิ ส์ (Cynics)
ซินนิค เป็นลัทธิผู้ก่อตั้งลัทธิมีชื่อว่า แอนทิสธเนส แห่งเอเธนส์
(Antisthenes of Athens 444 - 365 ปีก่อน ค.ศ.) ซึ่งเคยเป็นศิษย์ของโซเครติสมาก่อนปรัชญา
ของซินนคิ ส์เกิดข้ึนเพราะการถูกกดดันและจากัดสิทธิหลายอย่างของพวกทาสและคนต่างด้าวใน
รัฐศาสตรเ์ บื้องตน้ หน้า 180
นครรฐั เอเธนส์ อาจกล่าวได้ว่าพวกซินนิคส์เป็นกลุ่มแรกของปรัชญาชนช้ันกรรมชีพโดยมีปรัชญา
แนวคิดดงั น้ี
1.แนวคิดกลุ่มซินนิคส์มุ่งต่อต้านนครรัฐ ตลอดจนสถาบันต่างๆ
ทั้งทางการปกครองและสังคมที่มอี ยู่ในขณะนนั้ โดยกล่าวว่าสิ่งเหล่านั้นทาให้คนไม่สามารถบรรลุ
ถึงศลี ธรรม ความฉลาด ความสมบูรณ์ในตัวเอง และความเป็นอิสระ นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งที่ทาให้
คนมีสถานะแตกต่างกันเปน็ คนจน คนรวย ทาส ซึ่งในความเป็นจริงคนเราไม่ว่ายากดีมีจน เจ้าฟูา
ยาจก ก็เท่าเทียมกัน กลุ่มซินนิคส์เชื่อว่าความเป็นอยู่อย่างเรียบง่ายเท่านั้นที่เป็นกุญแจทองที่
แท้จริงในการนาคนไปสู่ชีวิตที่ดี ยิ่งเรามีความเกี่ยวข้องกับสิ่งอื่นๆ น้อยลงเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมี
ความสุขขึ้นเท่านั้น กลุ่ม ซินนิคส์สอนให้เราตัดสิ่งที่ไม่จาเป็น หรือที่เรียกว่ากิเลสทั้งหลายให้
น้อยลงที่สุดจนไม่มกี ิเลสเหลืออยู่เลย ชีวติ ทีไ่ ม่มีกิเลสจึงเปน็ ชีวติ ที่มีความสขุ ที่สดุ
2. ความเท่าเทียมของคนประการหนึ่งที่กลุ่มซินนิคส์ให้
ความสาคัญ คือ ความเท่าเทียมในโอกาสทีจ่ ะแสวงหาชีวติ ที่ดี แต่ก็ไม่สามารถบรรลุถึงชีวิตที่ดีได้
ทุกคนนอกจากคนที่ฉลาดเท่าน้ัน คนฉลาดในทัศนะของกลุ่มซินนิคส์ คือ คนที่มีคุณสมบัติที่
สมบูรณ์ในตวั เอง มีทั้งพลังและสติปัญญา และอื่นๆ ที่จาเป็นในการบรรลุถึงชีวิตที่ดี “คนฉลาดมี
ความเสมอภาคเท่าเทียมกันไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เขาไม่ได้ต้องการสถาบัน ไม่ว่าจะเป็นรัฐ กฎหมาย
เพราะว่าคุณธรรมในตัวเขาก็คือกฎหมายของตัวเขาเอง”
3. คณุ ธรรมเท่าน้ันทีเ่ ป็นความดี ความสัมพนั ธ์ของคนกบั สถาบัน
เหน็ สมควรตดั ทิง้ เสีย รฐั ที่แท้จริงมีอยู่รัฐเดียวคือ รัฐแห่งพิภพ คนฉลาดทุกคนจากทุกหนทุกแห่ง
ก่อตั้งประชาคมหนึ่งขึ้นมาเรียกว่า “นครแห่งพิภพ (City of the world) คนฉลาดแต่ละคนคือ
พลเมืองของโลก” แนวความคิดกลุ่มซินนิคส์มีลักษณะเพ้อฝัน ที่จะสร้างอาณาจักรครอบคลุม
โลกเปน็ นครเดียว คล้ายความคดิ ของพวกคอมมิวนสิ ต์
4. พวกซินนิคส์มีแนวคิดที่จะสร้างสังคมใหม่ที่ไม่มีการ
ครอบครองทรัพย์สิน ไม่มีระบบครอบครัว ไม่มีชาติหรือกฎหมาย เพราะมนุษย์ทุกคนฉลาด
สามารถปกครองตวั เองได้อยู่แลว้ แนวคิดของพวกซินนคิ ส์ จึงเป็นแนวคิดของพวกอนาธิปไตยคือ
การปกครองแบบไม่มผี ปู้ กครองหรอื การปกครองไร้รฐั ไม่มอี านาจอธิปไตยน้ันเอง
5. กลุ่มซินนิคส์ต้องการให้คนกลับไปสู่ยุคดึกดาบรรพ์ สมัยที่
สถาบันทางสงั คมยังไม่เกิดขึน้ กลุ่มซินนคิ ส์โจมตีวา่ ชีวิตแห่งอารยชนและนักการเมืองเป็นสิ่งที่ไม่
เป็นธรรมชาติ เพราะเป็นชีวิตที่ละทิ้งความเป็นอยู่อย่างง่ายๆแห่งสมัยดึกดาบรรพ์ กลุ่มซินนิคส์
เป็นพวกนิยมอนาธิปไตย (Anarchy) ไม่ต้องการมีรัฐบาลหรือสถาบันการเมืองต่างๆให้คนอยู่
กันเองตามธรรมชาติใหม้ า
รฐั ศาสตร์เบ้อื งตน้ หน้า 181
6. จริยธรรม ของกลุ่มซินนิคส์ จึงมุ่งไปสู่การตัดกิเลสต่างๆ เพื่อ
มิให้มีจิตมายุ่งอยู่กับกิเลสเม่ือจิตไม่มีกิเลสก็จะเกิดความสุขแก่จิต จึงถือว่าเป็นการกระทาที่ดี
ที่สุดซินนิคส์ บางพวกสอนว่า “คนเราควรอยู่อย่างสุนัข หิวก็หากิน ง่วงก็นอนไปเร่ือยๆไม่ต้อง
คานงึ ถึงวา่ ทีน่ อนนั้นจะเป็นอย่างไร” พวกนี้เราพบเห็นอยู่ในปัจจุบัน เช่น พวกฮิปปี้ อยู่กินกันตาม
พืน้ ดิน เปลือยกายตามทีส่ าธารณะชน เปน็ ต้น
1.3.2 ปรัชญาการเมอื งยุคโรมัน
ความยิ่งใหญ่และเลิศเลอที่สุดของอาณาจักรโรมันและเสริมสร้างอารยะธรรม
ตะวันตก ได้แก่ การพัฒนาการทางด้านกฎหมาย กฎหมายโรมันในสมัยแรกๆ วางรากฐานบน
จารีตประเพณี อย่างเช่น กฎหมายสิบสองโต๊ะ (Law of the Twelve Tables) ในระยะเวลา 451 –
50 ก่อน ค.ศ. เป็นการเริ่มต้นของการเขียนกฎหมายโรมมันเป็นลายลักษณ์อักษรในระยะต่อมา
บทบัญญัติต่างๆ ของกฎหมายโรมันเป็นฝีมือของบรรดาผู้พิพากษาซึ่งเรียกกันว่า “เพรเตอร์
(Praetors) ในระหว่าง ค.ศ. 483 – 565 จักรพรรดิจัสติเนียน (Justinian) ได้สร้างคัมภีร์กฎหมาย
ขึ้นเรียกว่า“กฎหมายจัสติเนียน” (Code of Justinian) ซึ่งใช้บังคับต่อมาอีกหลายพันปี โดย
หลกั การกฎหมายโรมันอาจแบ่งออกเปน็ 3 ชนิดดว้ ยกนั คือ
1.3.2.1 กฎหมายภายใน (Jus civil) เป็นกฎหมายที่ใช้บังคับและคุ้มกันคน
โรมันเท่านั้น ชนชาติอื่นๆ แม้นจะอยู่ในความพิทักษ์ของอาณาจักรโรมันก็ไม่อาจจะเรียกร้อ ง
แสวงหาการคุ้มครองจากกฎหมายนี้ได้ไม่ ยึดถือกันว่าเป็นกฎหมายศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากพระเจ้าจะ
ไม่มีการเปลี่ยนแปลง กฎหมายฉบับนี้มีปัญหาเพราะในกรุงโรมมีคนต่างชาติอยู่มากเม่ือเกิดข้อ
พิพาทกับพลเมอื งโรมนั บรรดาคนต่างชาติไม่ได้รับความเปน็ ธรรมจากกฎหมายอย่างทัดเทียมคน
โรมัน
1.3.2.2 กฎหมายทั่วไป (Jus Gentium) บัญญัติดัดแปลงจากหลักกฎหมาย
ของบาบิเนีย, ฟีนีเซีย, และกรีก กฎหมายนี้มีผลบังคับต่อชาวต่างชาติทุกคนที่อาศัยอยู่ภายใต้ร่ม
ใบบุญของอาณาจักรโรมัน ให้ความยุติธรรมในกรณีเป็นคู่กรณีกับชาวโรมัน เม่ือจักรพรรดิออก
ประกาศ Edict of Caracalla มีผลให้ทุกคนที่อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโรมันเป็น
พลเมอื งโรมันเหมอื นกนั หมดให้ใชก้ ฎหมายฉบบั เดียวกนั
1.3.2.3 กฎหมายธรรมชาติ (Jus Natural) ถือกันว่าเป็นกฎหมายสากลเป็น
รากฐานของกฎหมายอื่นๆ ของอาณาจักรโรมัน แต่บางครั้งก็มีกรณีในกฎหมายภายในและ
กฎหมายทั่วไป ขัดแย้งกับกฎหมายธรรมชาติบ้าง เช่น กฎหมายธรรมชาติถือว่ามนุษย์เกิดมามี
ความเป็นอิสรเสรีและมีความเสมอภาคกัน แต่กฎหมายทั่วไปยอมรับการมีทาส ในกรณีอื่นๆ
นอกเหนอื ไปจากกฎหมายทวั่ ไปให้ใชห้ ลักกฎหมายธรรมชาติเข้ามาตัดสินความ
รัฐศาสตรเ์ บอื้ งตน้ หนา้ 182
กฎหมายโรมนั เป็นกฎหมายสลบั ซับซ้อนและยุ่งเหยิงมาก กฎหมายโรมันมีผล
กระ-ทบและมีอทิ ธิพลต่อปรชั ญาในยุดกลางและการพัฒนากฎหมายในประเทศตะวนั ตกอยู่มาก
อาจสรุปได้ดงั น้ี
1. กฎหมายลายลักษณ์อักษรไม่ว่าจะบัญญัติโดยสถาบันใดหรือบุคคล
ใดจะมีคุณค่าก็ต่อเม่ือสอดคล้องกับปทัสถาน (Norms) ซึ่งกาหนดไว้โดยธรรมชาติ เพราะถือว่า
กฎหมายธรรมชาติเปน็ กฎหมายสงู สุด มีเหตุผล เปน็ สากล ไม่เปลีย่ นแปลงและมีความศกั ดิส์ ิทธิ์
2. กฎหมายจะต้องมีจุดมุ่งหมายในการรักษาความยุติธรรมและสิทธิ์
ของมนุษย์ เออล์เฟียน (Ulpaian) นักกฎหมายชาวโรมันกล่าวว่า “ความยุติธรรมเป็นสิ่งที่แน่นอน
และพนั ธะกรณีทีจ่ ะให้คนทกุ คนในสิทธิของเขา จงมีชีวิตอยู่อย่างมีเกียรติ, อย่าทาร้ายใคร, ให้ทุก
คนได้รับสิ่งที่เขาควรได้รับ”
3. อานาจของผปู้ กครองมาจากประชาชน เหตุทีจ่ ักรพรรดิมีอานาจ
บังคบั ของกฎหมาย เพราะประชาชนได้ยินยอมมอบอานาจทั้งหมดให้จักรพรรดิ แสดงว่าอานาจ
ต้องมาจากประชาชน
4. รัฐบาลที่เคารพกฎหมายจัดว่าเป็นรัฐบาลที่เคารพเสรีภาพและ
เกียรติ ภมู ิของมนุษย์ เพราะการทีป่ ระชาชนยอมถูกปกครองดว้ ยกฎหมายก็เพราะว่าหวังที่จะเป็น
เสรีชน เพราะ ฉะนนั้ รัฐบาลที่ไม่ใชก้ ฎหมายเป็นหลกั แม้จะปกครองอย่างมีประสิทธิภาพเพียงไรก็
ถือได้ว่าได้ทาลายศกั ดิศ์ รีความเป็นเสรีชนของมนุษย์
1.3.2.4 โพลิเบียส (Polibius)
โพลิเบียส (204 – 111 ก่อนคริสตกาล) เป็นบุตรของรัฐบุรุษคนสาคัญแห่ง
เมือง อาร์คาเดีย (Arcadia) โพลิเบียสใช้ชีวิตในเป็นนักการเมืองเฉกเช่นบิดาของเขา และเขาได้
เป็นสมาชิกคนสาคัญในสันนิบาตเอเชเอียน (Achaean League) เขามีผลงานที่สาคัญก็ คือ
Universal History สรุปปรชั ญาของโพลิเบียส ได้ดังนี้
1. เขาเสนอข้อสรุปว่าเหตุใดโรมจึงมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นมหา
อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ เพราะเหตุผลที่โรมน้ันมีรัฐธรรมนูญการปกครองที่ดีเยี่ยม ซึ่งสามารถ
แก้ปัญหาและขจัดสิ่งที่ถือว่าเป็นความช่ัวร้าย และสามารถจัดรูปแบบการปกครองแบบใดแบบ
หนง่ึ โดยเฉพาะได้
2. โพลิเบียสเสนอทัศนะเกี่ยวกับการปกครอง เขามีทัศนะว่าการ
ปกครองทุกรูปแบบก็จะมีข้อพกพร่องในตัวมันเองและมันก็จะสร้างสิ่งช่ัวร้ายขึ้นมาทาลายตัวเอง
แล้วเกิดรปู แบบการปกครองใหม่ข้นึ มาแทนและก็จะทาลายตวั เองอีกเกิดเป็นวัฏจักร คือ แรกเป็น
การปกครองรูปแบบกษัตริย์หรือราชาธิราช มีกองกาลังกองทัพสนับสนุนและประประชาชนให้
รฐั ศาสตรเ์ บือ้ งต้น หนา้ 183
เคารพศรัทธาในช่วงที่ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม หลังจากครองอานาจนานกษัตริย์ก็จะหลงใน
อานาจของตนเองกลายเป็นการปกครองแบบตามอาเภอใจ กดขี้ข่มเหงราษฎร รูปแบบการ
ปกครองก็จะเปลี่ยนไปเป็นทุชนาธิปไตยหรือทรราช ก็จะเกิดคณะบุคคลที่มีเฉลียวฉลาดมีอานาจ
ราชศักดิ์เข้าเสนอตัวโค่นล้มทรราช แล้วเปลี่ยนรูปปกครองเป็นแบบอภิชนาธิปไตยนานเข้าก็อภิ
ชนาธิปไตยกจ็ ะหลงอานาจปกครองแสวงหาผลประโยชน์ทางทรัพย์สินให้กบั พรรคพวกตนเอง ทา
ให้ประชาชนรวมพลังขึ้นต่อต้านปฏิวัติก็จะกลายเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตย จากน้ัน
ประชาชนใช้สทิ ธิเสรีภาพของตนจนไร้ขอบเขตจากัดจนกลายเป็นฝูงชนบ้าคล่ัง (Mob Rule) ก็จะมี
นักฉวยโอกาสทางการเมืองที่มีสานวนโวหารที่สามารถทาประชาชนหลงเชื่อ ปลุกระดมให้พลัง
ประชาชนน้ันสนับสนุนตนเองขึ้นครองอานาจ ใช้จิตวิทยาครองใจประชาชนก็กลับสู่การปกครอง
แบบราชาธิปไตย และก็เกิดวัฏจักรหมุนเวียนไม่จบสิ้น เพราะการปกครองแบบต่างๆ ไม่สามารถ
รักษารูปแบบไว้ได้ตลอดเวลาจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเมืองสภาพแวดล้มและเวลาเปลี่ยนไป
Monarchy Tyranny Aristocracy
Mob-Rule Democracy Oligarchy
รูปภาพที่ 5.1 แสดงวัฏจักรปกครองและการเสือ่ มของการปกครอง
3. โพลิเบียสเสนอว่าหากจะแก้ปัญหาวัฏจักรแบบดังกล่าวข้างต้นและ
จะสามารถสร้างเถียรภาพในการปกครองได้ โดยวิธีการผสมผสานโดยรวมเอาสิ่งที่ดีของแต่ละ
แบบการปกครองมาสร้างรูปแบบการปกครองขึ้นมาใหม่ ซึ่งอาณาจักรโรมันเป็นแบบอย่างที่
สามารถทาได้สาเร็จ คือ รัฐธรรมนูญของโรมัน เป็นแบบลักษณะราชาธิปไตย และมีสภาซีเนต
เป็นลักษณะให้ความสาคัญของอภิชนาธิปไตย และมีสภาประชาชนในลักษณะประชาธิปไตย
สถาบันทั้งสามได้ถ่วงดุลยแห่งอานาจกันและกันไม่มีสถาบันที่จะสามารถมีอานาจโดยพละการ
โดยไม่ได้รับความยินยอมจากสถาบันอื่นก่อน ระบบการปกครองแบบถ่วงดุลยและตรวจสอบใน
โรมนั เป็นสิง่ ทีส่ รา้ งให้อาณาจกั รโรมันยิ่งใหญ่และเจริญรุ่งเรอื ง
รัฐศาสตร์เบอื้ งต้น หน้า 184
4. ซึ่งตามทศั นะการวางแนวทางรัฐธรรมนญู แบบผสมและการปกครอง
แบบผสมผสาน แบบถ่วงดุลยและตรวจสอบ (Check and Balance) อย่างชัดแจ้งนี้ จึงถือได้ว่าเขา
เป็นเมธีคนแรกที่แนวความคิดและก็เป็นอิทธิพลต่อแนวความคิดของนักปราชญ์ทางการปกครอง
ในสมยั ต่อๆ มา
1.3.2.5 ซิซีโร (Cicero)
ซิซีโร เกิดในช่วง 106 – 43 ก่อนคริสตกาลเป็นนักนิติศาสตร์และรัฐบุรุษที่มี
ชื่อเสียงและเกียรติคุณดีเด่นพอสมควรแห่งกรุงโรม เป็นตัวแทนเผยแพร่แนวความคิดแบบสตอย
อิกส์ ในสมัยสาธารณรัฐตอนปลาย หลักการของเขาเน้นเร่ืองกฎหมายธรรมชาติ, อาณาจักร
พิภพ และความเสมอภาคของบคุ คล หนังสือที่เขียนได้แก่ Republic, On the Commonwealth และ
Laws
1. ซิซีโร มีความเลื่อมใสและยกย่องความเลิศเลอรูปการปกครองแบบ
ผสมของอาณาจักรโรมันเช่นเดียวกับโพลีเบียส โดยการปกครองแบบเฉพาะทั่วๆไปนั้นมีการ
หมุนเวียนเป็น วัฏจักร ซิซีโรเห็นว่าการปกครองที่ดีที่สุดจะต้องผสมผสานระหว่างราชาธิปไตย
(Monarchy)อภิชนาธิปไตย (Aristocracy) และประชาธิปไตย (Democracy) เพื่อเป็นรูปแบบการ
ปกครองทีม่ เี สถียรภาพและปูองกนั ทรราชย์
2. ความคิดของซิซีโร ทางการเมืองได้แก่ความคิดเห็นเกี่ยวกับกฎหมาย
ธรรมชาติเขาเชื่อว่ากฎหมายธรรมชาติเป็นกฎหมายแห่งจักรวาลเกิดขึ้นโดยพระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็น
ผปู้ กครองโลก กฎหมายนี้ไม่มีการเปลีย่ นแปลงในทุกสถานการณแ์ ละทุกที่พนั ผูกคนทุกคนและรัฐ
ทกุ รฐั บทบญั ญตั ิกฎหมายใดก็ตามที่บัญญัติข้นึ มาด้วยมนุษย์ถ้าขดั กบั กฎหมายธรรมชาติ จะต้อง
ถือว่าบทบัญญตั ิกฎหมายน้ันมิใช่กฎหมายในความเป็นจริงซิซีโรกล่าวใน On the Commonwealth
ว่า มีกฎหมายที่แท้จริงอยู่เพียงหนึ่ง คือ สัจจะเหตุผล (Right Reason) ซึ่งเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับ
ธรรมชาติ, ใชก้ ับคนทุกคน, ไม่มีการเปลีย่ นแปลงและคงอยู่ช่ัวนิรันดรความต้องการของกฎหมาย
นี้ คือ ความปรารถนาให้คนทุกคนทาตามหน้าที่ของตน และข้อห้ามของกฎหมายนี้ เป็นสิ่งยึด
เหนี่ยวให้คนพ้นจากการกระทาผิด ทั้งข้อต้องการและข้อห้ามมีอิทธิพลต่อคนดีเสมอ แต่จะไม่มี
ผลอะไรต่อคนเลว การเปลี่ยนแปลงหรอื ขัดขวางกฎหมายนี้ไม่ใหใ้ ช้บงั คบั เปน็ เรือ่ งบาป
3. ซิซีโร เชื่อวา่ ความยุติธรรมเกิดขึ้นจากการค้นพบกฎหมายธรรมชาติ
คนฉลาดเท่านน้ั ที่ใช้เหตุผลเป็นมาตรวดั ความดคี วามช่วั ความยุติธรรมและความอยุติธรรม ใครก็
ตามเลื่อมใสศรัทธากฎหมายนอกเหนือไปจากกฎหมายธรรมชาติ เรียกว่าเป็นคนซึ่งปราศจาก
ความยุติธรรม
รฐั ศาสตร์เบ้อื งต้น หนา้ 185
4. ความเท่าเทียมของบุคคล ซิซีโรกล่าวว่าทุกคนเท่ากัน ความเท่า
เทียมกันไม่ได้หมายถึงในเร่ืองวัตถุ เช่น ทรัพย์สมบัติ แต่เป็นการเท่าเทียมกันในความสามารถที่
จะเป็นเจ้าของสัจจะและเหตุผล ที่ให้เราสามารถหยั่งรู้กฎหมายธรรมชาติ ความเสมอภาคคือ
ความสามารถของคนทุกคนที่จะแยกว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก ก็คือ การเท่าเทียมกันในด้านจิตใจและ
ศลี ธรรมหรอื เท่าเทียมในส่วนทีเ่ กีย่ วกับกฎหมายธรรมชาติ
5. ในแนวความคิดเกี่ยวกับรัฐ ซิซีโร รัฐประชาคมแห่งศีลธรรมมี
จรยิ ธรรมเปน็ กฎหมายคิดว่ารัฐเป็นสมบตั ิของประชาชน เพราะรฐั คือการอยู่ร่วมกันของบุคคลที่มี
จุดประสงค์ร่วมกันว่าจะสร้างชีวิตที่ดีกว่า รัฐที่ดีจึงมีรากฐานที่ว่าทุกคนในรัฐต้องมีภาระต่อกัน
เง่ือนไงในการอยู่ร่วมกันนั้นคือ บุคคลจะต้องเคารพกันซึ่งสิทธิเสรีภาพ และกฎเกณฑ์ของความ
ยุติธรรมระหว่างกันอีกด้วย
6. การที่รัฐเป็นสมบัติของประชาชน รัฐจึงต้องใช้อานาจในนาม
ประชาชน เพราะประชาชนเป็นที่มาของอานาจรัฐบาลจะเป็นตัวกลางที่นาเอาเจตนารมณ์ของ
ประชาชนไปใช้บรรลจุ ุดหมายซึ่งได้กลายเป็นแนวความคิดทางการเมืองที่โลกตะวันตกได้นาไปใช้
อย่างแพร่หลาย
1.3.3 ปรชั ญาทางการเมอื งยคุ กลางหรอื ยคุ มดื หรอื ยุคศักดินา
เม่ือโรมันถูกทาลายโดยอารยชน (คนเถื่อน) แล้วกฎหมายก็ถูกทาลายไปพร้อม
กบั อารยธรรมโรมันไปด้วย สิ่งที่เหลืออยู่หลังการล่มสลายของโรมันก็คือ ความปุาเถื่อน โหดร้าย
ไร้กฎระเบียบ ดว้ ยเหตุน้ีระบบสงั คมจงึ ตอ้ งมกี ารจดั ใหมข่ นึ้ การจดั ระเบียบสงั คมใหม่นี้มี 2 สิ่งที่มี
ความสาคัญคือ ศาสนาคริสต์และระบบฟิวดัลศาสนาคริสต์ คริสต์ศาสนาเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง
กับกิจการการเมืองอย่างหลีก เลี่ยงไม่ได้ ท้ังที่ๆที่พระเยซูองค์ศาสดา มิได้ปรารถนาที่จะเข้ามา
เกี่ยวข้องกบั การเมือง คัมภีร์ของพระองค์ถูกสร้างขึ้นเพื่อปูองกันวิญญาณ ไม่ได้มุ่งหวังที่จะสร้าง
รัฐและรัฐบาล หรือเสนอข้อแนะนาว่าสถาบันทางโลกควรมีหน้าที่อย่างไร ศาสนาคริสต์เข้ามามี
อิทธิพลในยคุ กลางหรอื อาจเรียกว่า ยคุ มดื (Dark Age) พร้อมๆกับความกลวั กบั ความกลัวของคน
ในยุคน้ัน สิ่งที่พวกเขากลัวก็ก็คือชีวิตหลังความตาย สถาบันที่ให้คาตอบสาหรับความกลัวนี้คือ
ศาสนาครสิ ต์ และศาสนาคริสต์สอนคนที่ได้กระทาดีตลอดจนศรัทธาในพระเจ้า จะได้การยกเว้น
จากบาปและได้ไปสู่สวรรค์ระบบฟิวดัล (Feudalism) คาว่า “Feudalism” หรือ Feudal system
เป็นระบบการปกครองหรือระบบสังคมระบบหนึ่งที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าของแผ่นดินทั้ง
ประเทศ และพระองค์ทรงแบ่งที่ดินเหล่าน้ันออกเป็นส่วนๆ แล้วพระราชทานแก่ขุนนางให้หา
ประโยชน์บนแผ่นดินน้ันคาว่า “Feudalism” มาจากภาษลาตินว่า Feodum หรือ Feudom ซึ่งตรง
กบั ภาษอังกฤษว่า Fee หรอื Fief แปลว่าทีด่ นิ ผืนหนึ่ง ซึ่งบุคคลยึดถือทากินโดยได้รับอนุญาตจาก
รัฐศาสตร์เบอื้ งต้น หน้า 186
ขนุ นาง และต้องเคารพเชือ่ ฟงั หรอื รบั ใช้เป็นสิ่งตอบแทนสิทธิที่ได้ใช้ที่ดินน้ัน ลักษณะของรัฐฟิวดัล
ที่เกิดขึ้นภายหลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน มีลักษณะสาคัญคือการยึดพื้นที่เป็นหลัก
สาคัญโดยพวกขุนนาง (Lord) เม่ือสภาพเศรษฐกิจในโรมันล่มสลาย ทาให้เกิดความวุ่นวาย เม่ือ
บ้านเมืองไร้กฎระเบียบ เกิดความไม่ปลอดภัย พวกชาวนาที่มีที่ดินเพียงเล็กน้อยก็ต้องแสวงหา
บคุ คลทีต่ นเองหวังจะให้เขาปูองกันอันตรายให้ จึงได้มอบที่ดินให้กับขุนนางที่ตนเองไปสวามิภักดิ์
และตนเองก็กลายเปน็ ผู้เช่าทีด่ นิ น้ันเพราะปลกู ซึ่งขุนนางก็จะมี อัศวิน ในสังกัดเพื่อเป็นกองกาลัง
คอยปูองกันอาณาเขตของตนและปกปูองประชาชนด้วย ในยุคฟิวดัล จะมีชนช้ัน 3 ชนชั้น คือ ก็มี
ขุนนาง อัศวิน และชาวนา ซึ่งเป็นผู้สวามิภักดิ์ ต่อขุนนางลักษณะสาคัญของระบบฟิวดัลในฐานะ
เป็นระบบสังคม พอประมวลได้เปน็ ข้อๆ ดังน้ี
- เป็นระบบความสัมพันธ์ระหว่างนายกับข้า ความสัมพันธ์ในที่นี้
หมายถึงการให้ความคุ้มครองปูองกันภัยโดยผู้เป็นนาย และหมายถึงการข้าต้องให้ความเคารพ
และรบั ใช้ผู้เป็นนาย
- ความสัมพนั ธ์ระหว่างบุคคล ผูกพันด้วยกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ผู้ใดทามา
หากินบนทีด่ ินของนายบคุ คลนั้นก็ต้องเปน็ ข้าของนายบุคคลน้ัน และผู้เป็นนายก็มีอานาจปกครอง
ข้าและอานาจน้ีถือเป็นทรัพย์อย่างหนง่ึ ทีโ่ อนใหก้ นั ได้
- ความสมั พันธ์ระหว่างนายกับข้าเกิดข้ึนการสมคั รใจท้ังสองฝุาย โดยมี
ทีด่ นิ และความคุ้มครองเป็นเครื่องพันธนาการระหว่างนายกบั ข้าให้มอี ยู่ตลอดไป
-พวกขุนนางหรือผู้ที่เป็นนายมีศาลส่วนตัวสาหรับพิจารณาพิพากษา
คดีความผู้เป็นข้าของตน พระเจ้าแผ่นดินมีอานาจตุลาการไม่มากนัก กล่าวคือมีอานาจพิพากษา
คดีระหว่างหวั หน้าผถู้ ือทีด่ ินและคดีแผน่ ดินซึ่งถือพระเจ้าแผ่นดินเป็นโจทก์
- ระบบฟิวดัลทาให้ประเทศซึ่งเคยอยู่ใต้การปกครองของรัฐหรือพระ
เจ้าแผ่นดิน อันเป็นอานาจแหล่งเดียวในรัฐ ต้องแบ่งแยกออกเป็นแคว้นต่างๆ แต่ละแคว้นก็มีขุน
นางปกครองมอี านาจเป็นอิสระที่จะปกครองบงั คบั บัญชาราษฎรในแคว้นของตนอย่างสมบรู ณ์
- ระบบฟิวดัล หากเรียกอีกอย่างก็คือ ระบบศักดินา ซึ่งในไทยน้ันก็มี
แตเ่ พียงแตกต่างจากยุโรปตรงที่ ศกั ดินาของยุโรเน้นที่การมีที่ดินมาก แต่ส่วนของไทยเน้นที่มีไพร่
ที่อยู่ในสังกัดมากน้อยเพียงใดในยุดกลางนี้ซึ่งเป็นยุคที่ศาสนาคริสต์มีความรุ่งเรืองและมีอิทธิพล
ต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ท้ังในความเชื่อ ความศรัทธาหลักการความเชื่อของคริสต์ศาสนา
ซึ่งเผยแพร่โดยนักบวช ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวความคิดเกี่ยวกับ
เรือ่ ง ความสัมพนั ธ์ระหว่างสถาบนั ทางศาสนากบั สถาบันทางการปกครอง
รฐั ศาสตร์เบือ้ งตน้ หนา้ 187
1.3.3.1 เซน็ ต์ออกสั ติน (St. Augustine)
ในบรรดา ฟาเธอร์ของคริสต์ศาสนาท้ังหลายในยุคกลาง เซ็นต์ออกัสติน (
ค.ศ. 354 – 430) เป็นผู้เผยแพร่แนวความคิดที่มีอิทธิพลต่อความคิดทางการเมืองสมัยน้ัน และ
สมัยต่อมามากที่สุด ผลงานเลื่องชื่อที่สุดของท่านผู้นี้ คือ นครของพระเจ้า (City of God) และคา
สารภาพ (Confession) แนวคิดทางการเมืองของ เซ็นต์ออกัสติน ในหนังสือ นครของพระเจ้า พอ
สรุปได้ดังนี้
1. เซ็นต์ออกสั ติน มีความเชื่อว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม คือ ต้องมีชีวิตอยู่
ร่วมกันในรัฐจะแยกอยู่โดยโดดเดี่ยวมิได้ โดยเขามีความเห็นว่า ความสุขเกิดขึ้นได้ก็โดยอาศัย
ความดอี ันสูงสดุ นับเปน็ คุณธรรม ถ้าปราศจากคณุ ธรรมดงั กล่าว ร่างกายและจติ ใจจะมีดไี ปไม่ได้
2. ชีวิตที่มีความสุข ต้องสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม ฉะน้ันความดีอัน
สงู สุดย่อมตอ้ งหาได้ในสงั คมเท่าน้ัน มนษุ ย์ตอ้ งการใหเ้ พือ่ นมนุษย์ดดี ้วย
3. มนุษย์เริ่มแรกสมัยที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ คนทุกคนมีความเสมอ
ภาคกนั มีสันตภิ าพในการอยู่รว่ มกนั ต่อมาสภาพธรรมชาติของคนถูกทาลายลงด้วยบาป (Sin) ใน
ความจาเป็นที่ต้องมีผู้ปกครอง มีกฎหมายเพื่อจัดระเบียบและผดุงไว้ซึ่งสันติภาพจึงเกิดขึ้น อาจ
กล่าวได้ว่ารัฐบาลหรอื สถาบันการปกครองเกิดขึ้นเพราะผลแห่งบาปทีม่ นษุ ย์สร้างขึน้
4. เซ็นต์ออกสั ติน ถือว่าสถาบันการปกครองเหล่านีเ้ กิดข้ึนตามประสงค์
ของพระเจ้า หาใช่สถาบันแห่งความช่ัวร้ายไม่ แม้ว่าในบางคร้ังคนอาจจะถูกปกครองโดยกษัตริย์
ซึง่ ขาดธรรมะ บรรดาผปู้ กครองเหลา่ น้ันกค็ ือตวั แทนของพระเจ้าบนพืน้ พิภพ
5. ความยุติธรรม หน้าที่ความสาคัญของรัฐ คือ รักษาสันติสุขของ
มวลชน นครรัฐและอาณาจักรหลายแห่งมีมาก่อนคริสต์ศาสนา แต่ไม่มีแห่งใดนาความยุติธรรม
มาสู่พลเมือง จนกระทั้งครสิ ต์ศาสนาเกิดขึ้น นับต้ังแต่นั้นมานครรัฐหรืออาณาจักมีโอกาสที่จะนา
ความยตุ ิธรรมมาสู่ชนผู้อาศยั ด้วยการสถาปนาคริสตศ์ าสนาเป็นศาสนาประจาชาติ
6. เซ็นต์ออกัสติน ให้ความสาคัญแก่สถาบันทางศาสนามากกว่า
สถาบันการปกครอง เขาถือว่าพระเจ้าได้จัดตัวแทนเพื่อช่วยเหลือคนให้พ้นบาป และประสบ
ความสาเร็จในชีวิต ตัวแทนที่ว่าก็คือ วัด และ รัฐ วัดมีความสาคัญมากกว่ารัฐ อันที่จริงแล้วรัฐ
อาจจะเป็นอุปสรรคในการที่จะล้างบาป หากรัฐนั้นไม่ใช่คริสต์รัฐ วัดเป็นสถาบันที่ยิ่งใหญ่เป็น
ตัวแทนของพระเจ้าในพื้นพิภพ ฉะน้ันมนุษย์ต้องนับถือศาสนาคริสต์เหมือนกัน ความเชื่อในพระ
เจ้าองค์เดียวกัน และพยายามไถ่บาปหรอื ทางรอดไปสู่สวรรค์เพื่อไปอยู่เมืองของพระเจ้า
รฐั ศาสตรเ์ บอื้ งต้น หนา้ 188
1.3.3.2 เซ็นต์ธอมัสอไควนสั (St. Aquinas)
อไควนสั (ค.ศ.1225 – 1274) กาเนิดในครอบครัวขุนนางที่เมืองคาลาเบรีย
(Calabria) ประเทศอติ าลี เป็นนกั คิดทางการเมืองที่มีชื่อเสียงในยุคกลางอีกคนหนึ่ง งานเขียนของ
เขาที่สาคัญ คือ Summa Theologica และ Rule of the Prince มีแนวความคิดสนับสนุนการ
ปกครองอนั มีศาสนจกั รเปน็ ผู้นาอาณาจกั ร แนวคิดทางการเมอื งของเขาพอสามารถสรุปได้ดงั นี้
1. รัฐมหี นา้ ที่ในการสนบั สนุนชว่ ยเหลือประชาชนสามารถดารงชีวิตให้ดี
และชีวติ ทีด่ ีนน้ั คือ การมชี ีวติ อยู่ภายใต้การนาของพระเจ้า นั้นก็คือการนับถือศาสนาคริสต์นั่นเอง
ในทุกๆ กรณี ศาสนจักรจะต้องมีอานาจมากกว่ารัฐเพราะศาสนจักรถือโองการของพระเจ้าที่ไม่มี
ผใู้ ดสามารถล่วงละเมดิ ได้
2.เซ็นต์ธอมัสอไควนัส สนับสนุนการปกครองแบบราชาธิปไตย เพราะ
รัฐมีความมั่นคงในการรักษาความเป็นเอกภาพและการบริหาร เซ็นต์ธอมัสอไควนัส ถือว่าการ
ปกครองแบบประชาธิปไตย จะนาไปสู่การแตกแยก แต่ในการปกครองแบบราชาธิปไตย เขากลับ
ไม่สนับสนุนการสบื ราชบัลลงั ก์ แต่สนบั สนนุ ใหเ้ ลือกตั้งมาจากคนดีข้นึ มาปกครอง ประชาชนต้อง
เชอ่ื ฟงั ผู้ปกครองทุกอย่าง หากผู้ปกครองเป็นทรราช การต่อต้านคือการสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้า
เท่านั้น
1.3.4 ปรชั ญาทางการเมอื งในยุคฟื้นฟู
หลังจากการต่อสู้ระหว่างแนวความคิดทางโลก (รัฐ) และแนวคิดทางธรรม
(ศาสนา) เป็นการต่อสู้ที่มีตลอดยุคกลาง จนกระทั้งประมาณศตวรรษที่ 14 การค้าขายนามาซึ่ง
ความเจริญทางวัตถุที่แพร่สะพัดมาจากตะวันตก ศาสนาคริสต์ซึ่งเคยเป็นศูนย์รวมจิตใจอัน
ศกั ดิ์สิทธิ์ ถูกมนุษย์ทาให้เสื่อมทรามลง พระหลายคนคอร์รัปช่ัน พระมีฐานะร่ารวย พร้อมกันนั้น
เกิดแนวคิดฟื้นฟูความรู้ทางด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์ขึ้นมาใหม่ เรียกว่า Renaissance มีการ
เปลี่ยนแปลงแนวคิดในด้านศลิ ปะ จากเดิมงานศลิ ปะมีไว้เพือ่ บชู าพระเจา้ มาเป็นงานศิลปะเพื่อรับ
ใช้มนษุ ย์ มีการฟื้นฟูศลิ ปะกรีกและโรมัน รวมทั้งการพฒั นาวิทยาศาสตร์และฟิสิกส์ คิดค้นพบเข็ม
ทิศ มกี ารพฒั นาการเดินเรอื และการตดิ ต่อกับตะวันออก ทาให้การค้าขายขยายตัวอย่างมาก ทา
ให้สงั คมมคี วามตอ้ งการกฎหมายและระบบเงินตราผู้คนเริ่มค้าขาย มีกฎหมายและเงินตรา ทาให้
สิ่งทีส่ าคญั ที่สุดของระบบฟิวดัล คือระบบอุปถมั ภ์ระหว่างขุนนาง กับชาวนาได้เสือ่ มคลายลง และ
สิน้ สดุ ในเวลาต่อมา ความสัมพนั ธ์ของกษตั รยิ ์กับ ศาสนจักรก็เริ่มเปลี่ยนแปลงโดยอานาจรัฐหรือ
กษัตริย์ได้เพิ่มอานาจและความสาคัญเหนืออานาจของ ศาสนจักรสาหรับนักคิดในยุคฟื้นฟูนี้ ใน
ทีน่ ้ขี อนาเสนอนักคิดและแนวความคิดทางการเมอื งการปกครอง ของนกั คิดในยคุ ฟื้นฟู ดังน้ี
รฐั ศาสตร์เบื้องต้น หนา้ 189
1.3.4.1 นิคโคโล มาเคียเวลลี่
นิคโคโล มาเคียเวลลี่ (Niccolo Machiavelli) เกิดที่เมืองฟลอเรนซ์
(Florence) ในอิตาลี เม่ือ ค.ศ.1469 โดยเขามีอาชีพส่วนใหญ่ เกี่ยวข้องกับทางการเมืองเขามี
โอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศหลายครั้ง พร้อมทั้งได้พบปะกับประมุขของรัฐต่างๆ ได้สังเกต
เกี่ยวกับการปกครองของประเทศต่างๆในยุโรป ทาให้ มาเคียเวลลี่เห็นความสาคัญของการมี
กองทพั ที่เข็มแข็งในการสร้างเสถียรภาพให้กับรฐั และสาธรณรฐั
งานเขียนส่วนใหญ่ของมาเคียเวลลี่ มที ้ังในด้านการเมอื ง ได้แก่ ผู้ปกครองหรือ
มุขชน (The Prince) มาเคียเวลลี่เป็นเมธีคนแรก ที่ได้เสนอทฤษฎีเมือง เขาได้ละทิ้งสิ่งที่ไม่ใช่
การเมืองอย่างแท้จริง ศาสนาที่เคยมีอิทธิพลอย่างมากต่อความคิดทางการเมืองในสมัยกลาง
ไม่ได้รับความสนใจหรือมีอิทธิพลต่อความคิดของ มาเคียเวลลี่ ข้อเขียนของเขาไม่ได้สนใจเร่ือง
กฎหมายธรรมชาติหรืออาณัติจากสวรรค์ สิ่งที่เขาสนใจเป็นอย่างมากคือการวิเคราะห์เพื่อ
แสวงหาวิธีการทีส่ ามารถปฏิบัติในการได้มาซึ่งอานาจ ซึ่งเขาเชื่อวา่ เป็นหวั ใจของการเมือง มาเคีย
เวลลี่ ได้เสนอแนวความคิดเกี่ยวกับรัฐและมนุษย์ไว้ว่าโดยธรรมชาติเริ่มแรกนั้นมนุษย์ไม่ได้อยู่
ร่วมกันต่างคนต่างอยู่ และธรรมชาติของมนุษย์เป็นสัตว์ที่เห็นแก่ตัว ก้าวร้าว, และแสวงหา
พยายามหลีกเลี่ยงอันตรายพร้อมทั้งโลภ ทาให้ชีวิตอยู่ในภาวะที่ต้องดิ้นรนแสวงหาและแข่งขัน
ตลอดเวลา เม่ือมนุษย์ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการอยู่ร่วมกันได้ สังคมจึงเกิดขึ้น แต่ธรรมชาติอันช่ัว
ร้ายของคนนีเ้ องต้องทาให้สังคมเตม็ ไปด้วยการแขง่ ขันตอ่ สู้ ซึ่งหากไม่มีอานาจใดมาบังคับให้เกรง
กลวั แล้ว สงั คมกจ็ ะยุ่งเยิงปราศจากความสงบสุข ดังน้ันรฐั หรอื สงั คมการเมอื งจึงไม่ได้เกิดขึ้นตาม
ธรรมชาติหรือการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้า แต่มีรากฐานมากจากความอ่อนแอและไร้
ประสิทธิภาพของมนุษย์เอง
อานาจของผู้ปกครองน้ัน มาเคียเวลลี่ กล่าวว่ามีมาได้ 2 ทาง คือการสืบราช
บัลลังก์ และการปราบดาภิเษก ผู้ที่ได้อานาจมากจากการสืบทอดบัลลังก์ก็ได้รับการสนับสนุน
การครองอานาจอยู่แล้ว ไม่จาเป็นต้องเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมคือควรรักษาแบบแผน
ประเพณีดังเดิมของประเทศไว้ เพราะการปฏิรปู จะสร้างศัตรจู ากผู้ทีเ่ คยได้ประโยชน์จากแบบแผน
เดิม สว่ นผไู้ ด้ประโยชนจ์ ากการปฏิรปู อาจสนบั สนุนแต่อาจไม่เต็มที่เพราะยังไม่ม่ันใจในผู้ปกครอง
ใหม่ ส่วนผู้ที่ได้อานาจโดยการจาการปราบดาภิเษกหรือการยึดอานาจ ผู้ปกครองต้องระลึก
เสมอว่าความมั่นคงในอานาจนั้นขึ้นอยู่กับประชาชนมากกว่าขุนนาง เพราะประชาชนต้องการ
เพียงเป็นอิสรภาพจากการกดขี่ข่มเหง แต่ในทางตรงข้ามพวกขุนนางหรือข้าราชการกลับมีความ
ต้องการแข่งอานาจกับผู้ปกครองจงหลีก เลี่ยงการประจบและสอพลอ นั้นคือบ่อเกิดความ
อ่อนแอและลุ่มหลง
รัฐศาสตรเ์ บือ้ งตน้ หนา้ 190
มาเคียเวลลี่เสนอว่าต้องแยกการเมืองออกจากศาสนา การเมืองในแนวคิด
ของมาเคียเวลลี่ ไม่จาเป็นต้องคานึงถึงศีลธรรมหรือมีจริยธรรม เขาถือว่ารัฐเป็นสิ่งสาคัญที่สุด
ผลประโยชน์ของรัฐต้องมาก่อนอื่นใดดังน้ันจึงไม่อาจพูดได้ว่ารัฐทาผิดหรือทาถูก เช่นเดียวกับ
ผู้ปกครองตัวแทนของรัฐ (รัฐบาล กษัตริย์ ผู้ครองนคร) จะวินิจฉัยว่าเขาทาถูกหรือผิดไม่ได้
เชน่ กันเพราะผลประโยชน์ของรัฐย่อมเหนือกว่าความถูกผดิ ทั้งปวง
มาเคียเวลลี่ ได้เสนอคุณสมบัติของผู้ปกครองใน The Prince ไว้หลายประการ
เชน่ ตอ้ งเปน็ ผู้มธั ยัสถ์, เด็ดขาด, รอบคอบ, เปน็ ที่ยาเกรงของผู้ถูกปกครอง, และมีคุณสมบัติแห่ง
จ้งิ จอกและราชสีหเ์ ข้าไว้ดว้ ยกัน
1. มาเคียเวลลี่เสนอว่าผู้ปกครองตอ้ งมธั ยัสถ์นั้นเพราะการมีเมตตามาก
เกินไปจะนาไป สกู่ ารมนี ิสยั ที่สุรยุ่ สรุ ่าย และบางทีจนแต้มเข้า ความต้องการเป็นคนที่มีชื่อเสียงใน
ฐานะผมู้ ีความกรุณาปราณี จะต้องแสวงหาเงินทองจากการสร้างภาระกับประชาชนก็คือการเก็บ
ภาษี คนที่เดือนร้อนก็คือประชาชน แต่การมัธยัสถ์น้ันมุ่งหวังเพื่อเก็บออมให้ประชาชน ตอนแรก
ผปู้ กครองอาจถูกมองวา่ ตระหน่ี แตก่ จ็ ะได้รบั การสรรเสริญภายหลงั
2. ความเด็ดขาดนั้นผู้ปกครองหากมีความเมตตามากเกินไปอาจถูก
มองวา่ อ่อนแอ ผู้ปกครองจะต้องใช้ความเดด็ ขาดเพื่อรักษาผถู้ กู ปกครองให้มีเอกภาพและซื่อสัตย์
ต่อผู้ปกครอง โดยไม่เกรงกลัวจะถกู มองวา่ โหดร้าย
3. ระหว่างความรักและความยาเกรงของพลเมือง มาเคียเวลลี่เสนอให้
ผปู้ กครองเลอื ก ความยาเกรง เพราะความยาเกรงนั้นทาให้เกิดความเชื่อฟัง ไม่กระด้างกระเดื่อง
แต่ผู้ปกครองต้องไม่ลืมว่าความยาเกรงนั้นไม่ใช่ความเกลียดกลัว ผู้ปกครองต้องไม่ทาตัวให้
พลเมอื งรังเกียจเพราะความเกลียดจะบั่นทอนอานาจของผู้ปกครองเอง
4. มาเคียเวลลี่เขาเชื่อว่าแม้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนั้นไม่แน่นอนเป็นไป
ตามโชค ชะตา (Fortuna) ก็ตามแต่ผู้ปกครองไม่ควรปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตา หรือหาก
ล้มเหลวในการบริหารก็ไม่ควรโทษที่โชคชะตา มาเคียเวลลี่ว่าหากผู้ปกครองมีความรอบคอบ
พอที่จะระมัดระวงั ผลรา้ ยจากโชคชะตาอาจจะไม่ทาความเสียหายใหแ้ ก่เรามากนกั
5. คณุ สมบตั ิสุดท้ายก็คือคุณสมบัติแห่งสนุขจ้ิงจอกและราชสีห์รวมเข้า
ด้วยกัน มาเคียเวลลี่ หมายความว่าผู้ปกครองต้องมีความเฉลียวฉลาดดุจสุนัขจ้ิงจอก และมี
ความเข้มแขง็ อย่างราชสีห์ สามารถผจญกับเล่หเ์ หลี่ยมและปราบปรามผู้ทีต่ นปกครอง
มาเคียเวลลี่ กล่าวว่าผู้ปกครองจะต้องมีคุณสมบัติข้างต้นทุกประการ แต่ต้อง
แอบแฝงอยู่ในตัวผู้ปกครอง ผู้ปกครองอาจสร้างความนิยมด้วยการแสดงให้ผู้ถูกปกครองเห็นว่า
เขาเป็นคนมีเมตตา, ซื่อสัตย์, และเต็มไปด้วยมนุษยธรรม แต่เบื้องหลังภาพลักษณ์นั้นเขาจะต้อง
รัฐศาสตร์เบ้อื งตน้ หนา้ 191
พร้อมที่จะเด็ดขาด เข็มแข็ง ไร้เมตตา กลับกรอกเม่ือสถานการณ์บังคับเพราะผู้ปกครองมีพันธะ
ผกู พันคือ การรกั ษาเสถียรภาพแหง่ รฐั และผลประโยชน์ของรัฐโดยส่วนรวม
จากทัศนะดังกล่าวของมาเคียเวลลี่ทาให้เขาถูกโจมตีว่าเป็นนักคิดไร้ศีลธรรม
เพ รา ะ เข า พูด ค วา ม จริ ง ใน สิ่ งที่ ไ ม่มี ใ คร เ คย พูด คื อค ว าม จ ริง ข อง ธ รร ม ชา ติ ขอ ง มนุ ษ ย์จ า ก
แนวความคิดของเขามีส่วนผลักดันให้เกิดปรากฏการณ์ทางการเมืองใหม่คือ การก่อต้ังรัฐชาติ
(Nation State) อันเปน็ ระบบการเมอื งในปจั จบุ นั
1.3.4.2 ชอง โบแดง (Jean Bodin)
โบแดง (ค.ศ.1530 – 1596) เขาเป็นนักกฎหมายชาวฝร่ังเศสที่มีชื่อเสียง
และได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ที่นาการเมืองเข้าสู่หลักของเหตุผล และเป็นนักคิดคนแรกที่พูดถึง
เร่ืองของอานาจอธิปไตย ผลงานชิ้นสาคัญของเขาได้แก่ “หนังสือหกเล่มว่าด้วยรัฐ” (Les Six
Lives de la Republicque) หรือ Six Books Concerning the State และอีกเล่มก็คือ A Method for
the Easy Understand of History (วิธีงา่ ยๆทีจ่ ะเข้าใจประวัติศาสตร์)
โบแดงเป็นผู้ที่ให้ความสาคัญกับระบอบอานาจเด็ดขาด ให้ความสาคัญแก่รัฐ
โดยถือวา่ รัฐเป็นประชาคมทีป่ กครองกันอย่างมศี ลี ธรรมซึ่งรัฐก็มีครอบครัวเป็นพื้นฐานครอบครัว
ในความหมายของโบแดงก็คือ สมาคมอาชีพต่างๆ และกลุ่มศาสนา โดยกลุ่มที่เข้ารวมกันเป็นรัฐ
คุณลักษณะสาคัญรัฐตามความคิดของโบแดงก็คือ การมีอานาจอย่างหนึ่งที่ถาวรเป็นอานาจ
สูงสุด ความเป็นอานาจสูงสุดนี้ ต้องไม่ถูกจากัดด้วยเวลาหรือข้ออ้างต่างๆของฝุายศาสนจักร
หรอื แมแ้ ตก่ ารจากัดโดยกฎหมาย เหตุที่อานาจสูงสดุ นนั้ ไม่สามารถจากัดด้วยกฎหมายก็เพราะว่า
อานาจนน้ั เป็นผู้ออกกฎหมาย อานาจสูงสดุ ทีว่ ่าน้ันก็คือ “อานาจอธิปไตย”
อานาจอธิปไตย คือ อานาจสูงสุดที่มีอานาจเหนือประชาชนทุกคนโดยไม่ถูก
จากัดโดยกฎหมาย (Sovereignty is supreme power over citizens and subjects unrestrained by
laws) อานาจอธิปไตยที่มาจากประชาชน โดยมีตัวแทนคือกษัตริย์หรือรัฐบาลเป็นผู้ใช้อานาจนี้
โบแดงถือว่าอานาจอธิปไตยนี้ เป็นอานาจที่สามารถออกกฎหมายและยกเลิกกฎหมายได้ตาม
ต้องการ ทั้งยังเปน็ พลงั ที่ใช้สรา้ งความเปน็ อันหน่งึ อันเดียวกันของประชาคมการเมอื ง
โบแดง ถือว่าเป็นผู้ให้กาเนิดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ขึ้นมาอย่าง
สมบูรณ์แบบ เนื่องจากแนวคิดของเขาต้องการให้อานาจอธิปไตยที่สาคัญยิ่งนี้ตกอยู่ในมือของ
กษัตริย์เพียงผู้เดียว (มิใช่แบ่งออกไปอยู่กับศาสนจักรและอาณาจักร) อย่างไรเพื่อปูองกันไม่ใช้
กษัตริย์ใช้อานาจตามอาเภอใจ กษัตริย์ถูกปกครองอีกชั้นหนึ่งภายใต้กฎหมายธรรมชาติ นั้นคือ
ถูกปกครองโดยศีลธรรมและเหตุผล (Morality and Reason) จากจุดนี้เองที่อานาจเปลี่ยนมาสู่
กษัตริย์อย่างสมบูรณ์แบบและก่อให้เกิดชาติรัฐขึ้นในยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 15 – 17 บรรดา
รฐั ศาสตรเ์ บือ้ งต้น หน้า 192
กษัตริย์ต่างๆในยุโรปก็พยายามดึงอานาจเข้าสู่ศูนย์กลาง และได้ลดบทบาทของพวกขุนนาง
รวมท้ังพระให้เหลอื เพียงทาหนา้ ทีใ่ นการสนับสนุนความชอบธรรมของกษัตรยิ ์ในการปกครอง
1.3.5 ปรชั ญาทางการเมอื งของยคุ สมัยใหม่
หลังจากอานาจได้ตกมาสู่กษัตริย์แล้ววิวัฒนาการของแหล่งที่มาแห่งอานาจก็
ดาเนนิ ต่อไป ทาให้อานาจเริ่มเคลือ่ นออกจากมือของกษัตริย์และเคลื่อนเข้ามาสู่มือของประชาชน
มากขึ้นที่มาของการต่อต้านอานาจกษัตริย์นี้เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงศตวรรษที่ 17 เกิดขึ้นครั้ง
แรกในประเทศอังกฤษ ซึ่งแนวความคิดนี้ได้ลุกลามจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองในช่วง
ระหว่าง ค.ศ.1642 – 1689 เป็นเวลานานถึง 47 ปี โดยกษัตริย์ในสมัยน้ันคือ พระเจ้าชาร์ลที่ 1 มี
ความขัดแย้งกับสภาผู้แทน โดยที่ปัญญาชนท้ังหลายเข้าข้างสภาผู้แทน ในขณะที่กลุ่มอานาจเก่า
คือ ขุนนาง พ่อค้าใหญ่ๆและเจ้าของที่ดินเข้าข้างกษัตริย์ ในที่สุดสงครามกลางเมืองก็เกิดขึ้น
(เอี่ยม ฉายางาม, 250 : 115 – 141)
1.3.5.1 โธมัสฮอบส์ (Thomas Hobbes)
ในบรรดานักปราชญ์การเมอื งขององั กฤษช่วงคริสตวรรษที่ 17 โธมัสฮอบส์
(ค.ศ.1588 – 1679) แนวความคิดทางการเมืองของฮอบส์ ปรากฏในหนังสือ "เลอไวอะทัน"
(Leviathan) (ค.ศ. 1651) เป็นศาสตรนิพนธ์ชิ้นเอกด้านปรัชญาทางการเมืองที่ฮอบส์ใช้เผยแพร่
"ลัทธิพื้นฐานของสงั คมกับรฐั บาลทีช่ อบธรรม" แปลว่า ส่งิ ที่น่ากลัว หมายถึงอานาจที่เด็ดขาดของ
ผู้ปกครองที่ทาให้ผู้อื่นต้องเกรงกลัว ซึ่งเนื้อหาของหนังสือนี้ได้กลายเป็นต้นตาหรับของงาน
วิชาการทางปรัชญาด้าน "สัญญาประชาคม" และในหนังสือ "สภาวะตามธรรมชาติของมวล
มนุษย์" ฮอบส์เปน็ ผู้มแี นวคิดสนบั สนุนอานาจกษตั รยิ ์ และตอ่ ต้านศาสนาในช่วงเกิดสงครามกลาง
เมืองของอังกฤษ เขาได้หนีภัยการเมืองไปอยู่ฝร่ังเศส แนวความคิดทางการเมืองของฮอบส์ พอ
สรุปได้ดังนี้ (Thomas Hobbs. (1651). HOBBS’S LEVIATHAN. Reprint from The Edition of
1651.Oxford at the Clavender Press.)
1. ฮอบส์ มีความเห็นว่าสภาพด่ังเดิมของมนุษย์(Thomas Hobbes
famously said that in a "state of nature" human life would be "solitary, poor, nasty, brutish,
and short") เป็นสภาพที่วุ่นวาย โดดเดี่ยว (Solitary) ยากแค้น (Poor) โสโครก (Nasty) ปุาเถื่อน
(Brutish) และอายุส้ัน (Short) ทุกคนจะแสวงหาประโยชน์กันและกัน ไม่มีกฎระเบียบ ไม่มี
กฎหมายหรืออานาจใดๆที่จะประกันความยุติธรรมของสังคม ซึ่งสภาวะเช่นนี้ไม่เป็นที่ปรารถนา
ของมนษุ ย์
2. มนุษย์เข้ามาอยู่รวมกันเป็นสังคมและสละอานาจให้องค์อธิปัตย์
มนุษย์จึงเข้ามาอยู่รวมกันในสังคมและสละอานาจอธิปไตยของตน มอบให้กับองค์กรกลางซึ่งจะ
รัฐศาสตร์เบอ้ื งตน้ หน้า 193
เป็นสิ่งอานาจสูงสุด เรียกว่า อธิปัตย์(Sovereign) มีอานาจสูงสุดไม่อยู่ภายใต้กฎหมายใดๆ เพียง
รับผิดชอบแตเ่ พียงพระผู้เป็นเจา้ เบอื้ งบนเท่านั้น
3. ฮอบส์ถือว่าระบบกษัตริย์เป็นระบบการปกครองที่ดีที่สุด เพราะ
สามารถสร้างความสามัคคีให้เกิดกับชาติได้ และอานาจอันเด็ดขาดของกษัตริย์จะสามารถสร้าง
รฐั บาลทีม่ ปี ระสิทธิภาพได้แต่ฮอบส์ไม่ได้สนับสนุนลัทธิเทวสิทธิ์ กษัตริย์ขึ้นปกครองอาณาประชา
ราษฏร์ด้วยสิทธิที่มีมาแต่กาเนิด หรือได้รับอาณัติจากสวรรค์ อานาจที่ได้เป็นมาจากการทา
สญั ญาระหว่างประชาชน โดยทกุ คนเหน็ พ้องต้องกันทีจ่ ะมอบอานาจให้แก่ผปู้ กครอง
จะเห็นได้ว่าฮอบส์ ได้ให้ความสาคัญต่อความเป็นเอกภาพของรัฐมากกว่าการ
ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน ถือวา่ เปน็ การสง่ เสริมการปกครองแบบเผด็จการ แต่ผู้ปกครองหรือ
องค์อธิปัตย์กลับเป็นบุคคลหรือคณะบุคคล ที่ได้อานาจโดยการยินยอมของประชาชน ฮอบ ส์
เสนอให้ผู้ปกครองมีอานาจเด็ดขาด แต่ลักษณะการใช้อานาจก็มีขอบเขตหรือเง่ือนไขที่จะไม่ทา
อันตรายต่อชีวิตของผู้ใต้ปกครอง ฮอบส์ให้ประชาชนยอมจานนต่ออานาจองค์อธิปัตย์อย่างไม่มี
เง่ือนไข เพียงเพื่อจะได้รับการคุ้มครอง ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเป็นการตอบแทน
เท่านนั้
1.3.5.2 จอห์น ล็อค (John Locke)
ล๊อค เกิดเม่ือ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1632 ชาวอังกฤษ บิดาเขาเป็นนัก
กฎหมาย ในช่วงสงครามกลางเมืองบิดาของล๊อค อยู่ฝุายกองกาลังของรัฐสภา เขาเป็นนักคิดที่
สนับสนุนเสรีภาพของประชาชน เม่ือพูดถึงลัทธิประชาธิปไตย ก็มักกล่าวกันว่าเป็นแนวคิดของ
ล๊อค เสมอมา ลอ๊ คได้เขียนหนงั สือหลายเล่มทีส่ นับสนุนเสรีภาพทางศาสนาส่วนทางการเมืองการ
ปกครองเขาได้เสนอผลงานเร่ือง Two Treaties of Government ซึ่งเป็นแนวคิดเกี่ยวกับเสรีภาพ
พอสรุปแนวคิดทางการเมืองของ ล๊อค ได้ดังนี้ (John Locke, The Two Treatises of Government
(Hollis ed.) (1689) The Online Library of Liberty.)
1. ธรรมชาติโดยทั่วไปแล้วมนุษย์มีคุณธรรมพอสมควร พระผู้เป็นเจ้า
ประทานให้มนุษย์คือความมีเหตุผล มนุษย์มีสิทธิและเสรีภาพ และมีความเท่าเทียมกันภายใต้กฎ
ธรรมชาติ มนุษย์จะไม่ทาร้ายซึ่งกันและกัน มนุษย์ในภาวะธรรมชาติ มีลักษณะสาคัญ 2 ประการ
คือ ประการแรกเป็นภาวะที่ทุกคนมีเสรีภาพอย่างเต็มเปี่ยมที่จะกระทาสิ่งใดๆ ไม่ว่าจะการใช้
ทรพั ย์สินหรือร่างกาย ตามที่เขาเห็นว่าเหมาะสม โดยไม่จาเปน็ ต้องขออนุญาตจากผู้ใด ประการที่
สองคือสภาวะแหง่ ความเสมอภาคหมายความว่าในภาวะธรรมชาติมนุษย์มีความเท่าเทียมในสิทธิ
และอานาจ โดยอานาจท้ังหมดอยู่ที่บุคคลแต่ละคน เพราะฉะนั้นในฐานะเป็นมนุษย์ด้วยกันจึงไม่มี
ผู้ใดที่มีอานาจหรือสิทธิเหนือกว่าผู้อื่น ถึงแม้สภาวะทางธรรมชาติจะสงบสุขแต่ก็มีความไม่
รฐั ศาสตรเ์ บือ้ งต้น หนา้ 194