The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รัฐศาสตร์เบื้องต้น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by jarunsaipin.js.js, 2020-05-26 02:38:42

รัฐศาสตร์เบื้องต้น

รัฐศาสตร์เบื้องต้น

สะดวกอยู่อย่างหนึ่งคือสภาวะน้ไี ม่มีอานาจจากส่วนกลางที่จะตัดสินความเป็นธรรมและยุติความ
ขัดแย้งของมนุษย์ เม่ือมนุษย์ไม่มีอานาจส่วนกลางมาตัดสินความเป็นธรรมย่อมนาไปสู่สภาวะ
สงครามได้ นี่คือเหตุผลสาคัญที่ทาให้มนุษย์ละทิ้งจากสภาวะธรรมชาติและอยู่ร่วมกันเป็นสังคม
การเมอื ง

2. ล๊อค กล่าวว่าสังคมการเมืองเกิดขึ้นโดยประชาชนรวมกันเพื่อที่จะ
สถาปนาสังคมการเมอื งเปน็ การตกลงที่จะเปลีย่ นแปลงอานาจที่ทุกคนมีในสภาวะธรรมชาติให้มา
อยู่ในมือของชุมชนโดยการตกลงยินยอมน้ันเป็นไปได้ 2 ลักษณะคือ การยินยอมโดยแจ้งชัด
(Express Consent) เป็นการสมัครใจหรือการยินยอมออกมาให้ปรากฏคนอื่นสามารถรู้ได้เห็นได้
และในลกั ษณะของการยินยอมโดยปริยาย (Tacit Consent) คือกลุ่มบคุ คลยินยอมโดยภายหลัง ซึ่ง
ไม่มโี อกาสแสดงความยินยอมโดยแจ้งชัดเหมอื นบคุ คลกลุ่มแรก

3. รัฐบาลหรืออานาจกลางในฐานะผู้รับมอบอานาจ สังคมการเมือง
เกิดขึ้นเพราะการทาสัญญาในหมู่ผู้ร่วมกันจัดต้ัง ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับประชาชน แม้
จะเกิดจาการยินยอมก็ตามแต่รัฐบาลอยู่ในฐานะผู้รับฝากอานาจและใช้เพื่อประโยชน์ของ
ประชาชนฝุายเดียวเท่านั้น

4. ผู้ปกครองทุกคนย่อมอยู่ภายใต้กฎหมาย (Rule of Law) ถึงแม้ว่า
ผู้ปกครองเป็นผู้ใช้อานาจสูงสุดน้ัน แต่อานาจนั้นต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเพราะการปกครองโดย
กฎหมายย่อมต่อตา้ นการเปน็ ทรราชย์ และขณะเดียวกันย่อมประกันเสรีภาพ

5. อานาจทางการเมืองที่ประชาชนมอบให้แก่รัฐบาลประชาชนไม่ได้
มอบอานาจทั้งหมดแก่รัฐบาล อานาจทางการเมืองจึงถูกจากัด คือมีอานาจตามกฎหมายกาหนด
หากรัฐบาลทาอะไรที่เกินขอบเขตของกฎหมายก็เท่ากับรัฐบาลน้ันได้ละเมิดเสรีภาพของประชาชน
เม่ือรัฐบาลใช้อานาจเกินขอบเขตที่กฎหมายกาหนด ประชาชนสามารถใช้สิทธิล้มล้างรัฐบาลที่ใช้
อานาจอย่างไม่ชอบธรรมนั้น ล๊อคเสนอว่าประชาชนสามารถใช้สิทธินี้ได้อย่างรุนแรงเพื่อพิทักษ์
เสรีภาพไม่ให้ถูกล่วงละเมิดโดยรัฐบาล หรือมีสิทธิที่จะปฏิวัติ (the right of revolution) เม่ือใดที่
รฐั บาลได้ทาผิดกฎเกณฑท์ ีไ่ ด้ตกลงกันไว้กับประชาชน ถึงแม้ว่าจะได้รับการเลือกตั้งมาตามระบบ
อย่างถกู ต้องก็ตาม

จากแนวคิดของล็อคดังที่กล่าวมาแล้วอิทธิพลของล็อคได้ส่งผลโดยสมบูรณ์
ต่อการปฏิวัติสหรัฐอเมริกา ในศตวรรษที่ 18 ในศตวรรษน้ันแนวความคิดของล็อคนิยม
โดยท่ัวไปความคิดแบบล็อคได้กลายเป็นสามัญสานึกของนักคิด บรรดาผู้นาและปัญญาชนก็ล้วน
แต่ได้รับการศึกษาอบรมมาทางทฤษฎีแบบของล็อค เม่ือเกิดกรณีพิพาทระหว่างชาวอาณานิคม
กบั รฐั บาลอังกฤษ ชาวอาณานิคมได้นาหลักการของล็อคมาใช้ตัดสินว่ารัฐบาลอังกฤษกระทาการ

รฐั ศาสตรเ์ บ้ืองตน้ หน้า 195

โดยมิชอบธรรม นักปฏิวัติอเมริกันได้นาทรรศนะของล็อคเร่ืองสิทธิธรรมชาติ และเร่ืองหน้าที่
ของรัฐที่จะปกปูองสิทธิเหล่านี้ไปใช้อ้าง กล่าวคือ นักปฏิวัติอ้างว่า รัฐบาลอังกฤษละเมิดสิทธิ
ทางธรรมชาติบางอย่างของตน ดังนน้ั พวกตนมสี ิทธิทีจ่ ะแขง็ ข้อตอ่ รฐั บาลอังกฤษ และตั้งรัฐบาล
ของตนข้นึ มา

1.3.5.3 มองเตสกิเออ (Montesquieu)
มองเตสกิเออ เกิดเม่อื 18 มกราคม ค.ศ.1689 ในตระกูลขุนนาง มองเตสกิ
เออ เขาเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยบอร์โด และยึดอาชีพทางกฎหมาย ผลงานชิ้นสาคัญของ
มองเตสกิเออ คือหนังสือชื่อ เจตนารมณ์แห่งกฎหมาย (The Spirit of the Laws) ตีพิมพ์เม่ือ ค.ศ.
1748 (The Spirit of Laws. Vol.1 (Classic Reprint) by Charles De Secondat Montesquieu.
(Author) Forgotten Books.(2012)) หลังจากพิมพ์หนังสือเล่มนี้ไม่นานเขาก็ถึงแก่กรรมเม่ือ 10
กมุ ภาพันธ์ ค.ศ. 1755
มองเตสกิเออก็เช่นเดียวกับนักคิดคนอื่นโดยเขาได้เริ่มพิจารณาเกี่ยวกับ
คุณสมบัติประจาตัวของมนุษย์ เป็นอย่างไร มีเหตุผลและความจาเป็นอย่างไรที่ต้องเข้ามาอยู่ใน
สงั คมการเมอื ง โดยเขาให้ทัศนะดงั นี้

1. มองเตสกิเออว่าธรรมชาติของมนุษย์เป็นสัตว์โลกที่อ่อนแอ ขี้ขลาด
และหวาดกลัว ด้วยเหตุนีม้ นษุ ย์จึงไม่กล้ารกุ รานซึ่งกันและกนั กฎธรรมชาติเป็นกฎเกณฑ์ให้ความ
ยุติธรรมแก่มนุษย์ก่อนเข้าสู่สงั คมการเมือง

2. กฎธรรมชาติเป็นเง่ือนไขที่ทาให้เกิดสังคมการเมือง กฎธรรมชาติที่
มองเตสกิเออกล่าวถึงที่เป็นสาเหตุการเกิดสังคมการเมือง คือ มนุษย์ต้องการสันติภาพ คือ
ธรรมชาติของมนุษย์เปน็ ผู้รักความสงบไม่ต้องการรุกรานซึง่ กนั และกัน มนุษย์มีความต้องการ
และแสวงหาสิ่งที่บาบัดความต้องการของตน มนุษย์ต้องการที่จะคบหาสมาคมกับเพื่อนมนุษย์
ด้วยกันในฐานะที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน มนุษย์ปรารถนาที่จะดารงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคม
ขณะเดียวกันก็ต้องการสงั คมทีม่ รี ะเบียบและกฎเกณฑ์ในการอยู่รว่ มกบั กฎธรรมชาติ

3. มองเตสกิเออ สนับสนุนการปกครองแบบประชาธิปไตย ถึงแม้ว่า
มองเตสกิเออ จะแบ่งระบอบการปกครองเป็น 3 แบบใหญ่ๆ คอื

1) แบบทรราชย์ (Despotism) เปน็ การปกครองทีป่ ราศจากกฎหมาย
2) แบบกษัตริย์ (Monarchy) เป็นการปกครองคนเดียวภายใต้
กฎหมาย
3) แบบสาธารณรฐั (Republic) ซึง่ แบ่งเปน็

รัฐศาสตร์เบอ้ื งต้น หน้า 196

- อภิชนาธิปไตย(Aristocracy) คือการปกครองด้วยกลุ่ม
บุคคล

- ประชาธิปไตย (Democracy) คือการปกครองด้วยคนกลุ่ม
ใหญ่ มองเตสกิเออ มองว่าระบบประชาธิปไตยเป็นการปกครองที่น่าประทับใจที่สุด เพราะ
ประชาชนเป็นผู้มอี านาจทางการเมอื งอย่างแท้จริง แต่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอานาจทางการเมือง
นี้จะต้องมีคุณงามความดี หมาย ถึง 2 สิ่ง คือ ความพอดีทางเศรษฐกิจ และความเสมอภาคของ
ประชาชน

4. มองเตสกิเออ ยังให้ความสาคัญกับการศึกษา คือการศึกษามี
อิทธิพลต่อการเมือง มองเตสกิเออกล่าวว่า การศึกษามักส่งผลให้เกิดผลในระบบการเมือง และ
ระบบการเมืองก็มีแนวทางการศึกษาเพื่อปลูกฝังจิตใจของคนแตกต่างกันไป ในระบบ
ประชาธิปไตยการให้การศึกษาควรย้าถึงสิทธิเสรีภาพ การอุทิศตนเพื่อส่วนรวม และการเคารพ
กฎหมายของบ้านเมือง

5. บุคคลพึงมีเสรีภาพตามกฎหมาย เสรีภาพทางการเมืองเป็นสิ่งที่
ประชาชนทุกคนมีอยู่ และ ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้ ทั้งนี้ประชาชนทุกคนสามารถให้เสรีภาพได้ตาม
ต้องการ ภายในขอบเขตที่กฎหมายกาหนด เพื่อเป็นการรักษาเสรีภาพทางการเมือง มองเตสกิ
เออจึงสนบั สนนุ ให้แบ่งแยกการใชอ้ านาจท้ัง 3 ทางได้แก่ นติ ิบัญญัติ บริหาร และตุลาการ โดยให้
อานาจทั้ง 3 ทางมีความเท่าเทียมกัน ตรวจสอบและถ่วงดุลกัน เพื่อไม่ให้มีอานาจใดเข้ามา
ลิดรอนเสรีภาพของประชาชน

6. อานาจนิติบัญญัติ อานาจนี้เปรียบเสมือนเจตจานงท่ัวไปของรัฐ
เพราะฉะน้ันจึงควรอยู่กับประชาชน แต่การมอบอานาจให้ประชาชนท้ังมวลออกกฎหมายพร้อม
กันเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิบัติได้ในรัฐขนาดใหญ่และก็ไม่มีความสะดวกในรัฐขนาดเล็ก มองเตสกิเออ
จึงเสนอให้มีระบบผู้แทน ราษฎรโดยการเลือกตั้งจากประชาชนเกี่ยวกับการใช้อานาจนิติบัญญัติ
มองเตสกิเออเสนอให้มี 2 สภา สภาหนึ่งประกอบด้วยผู้แทนที่มาจากการเลือกต้ังจากประชาชน
ส่วนอีกสภาหนง่ึ มาจากกลุ่มคนชั้นสงู ซึ่งมีการสืบทอดกันได้ จะก่อใหเ้ กิดระบบการตรวจสอบและ
ยับยั้งระหว่างกลุ่มคนท้ังสอง กล่าวคือ ผู้แทนจากประชาชนออกกฎหมายที่มีลักษณะเป็นการ
ละเมิดสิทธิของชนช้ันสูง ตัวแทนของชนชั้นสูงในสภาสามารถใช้สิทธิยับย้ังซึ่งเป็นการตรวจสอบ
และถ่วงดุลในองค์กรที่ใช้อานาจเดียวกัน

7. อานาจบริหาร การปฏิบัติหน้าที่ของฝุายบริหารเป็นเสมือนผู้นาเอา
เจตจานงท่ัวไปของรัฐมาปฏิบัติหรือบริหารให้เป็นไปตามเจตจานงน้ัน ผู้ที่ใช้อานาจนี้ได้แก่
กษัตริย์โดยมีบรรดาขุนนางเป็นผู้ช่วยเหลือ การมอบอานาจให้กษัตริย์เป็นผู้ใช้ มองเตสกิเออ

รฐั ศาสตร์เบื้องต้น หนา้ 197

ชี้ให้เห็นว่าจะมีประสิทธิ ภาพมากที่สุดสาหรับกลุ่มขุนนางหรือชนชั้นสูง นอกจากจะคอย
ช่วยเหลือกษัตริย์แล้วยังเป็นสถาบันที่ตรวจสอบและจากัดอานาจกษัตริย์ไม่ให้ใช้อานาจ
นอกเหนอื จากที่กฎหมายกาหนด ซึง่ ก็สามารถปูองกันไม่ใหเ้ กิดผู้บริหารทีเ่ ป็นทรราชย์ได้อกี ด้วย

8. องค์กรตุลาการ สาหรับฝุายที่ทาหน้าที่ลงโทษผู้กระทาผิด และ
ประนีประนอมข้อพิพาท มองเตสกิเออเสนอว่าควรให้คนอีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้ใช้ต่างหากแต่ไม่ควร
เป็นองค์กรประจา หมายความว่าการใช้อานาจตุลาการนี้ให้มีลักษณะชั่วคราว เม่ือตัดสินเสร็จก็
หมดหน้าที่

แนวความคิดที่มองเตสกิเออ ที่เสนอขึ้นเพื่อแก้ไขความเสื่อมโทรมของสังคม
โดย เฉพาะการใช้อานาจทางการเมืองเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่ออิสรภาพของประชาชน หลักการ
ที่จะให้ประชาชนมีอิสรภาพน้ันมองเตสกิเออได้พยายามวิเคราะห์ให้เห็นว่าสิ่งที่มนุษย์ไม่มี
อิสรภาพ ก็คือ กฎเกณฑ์ต่างๆที่ครอบงามนุษย์ทั้งหลายก่อนเข้าสู่สังคมเมือง มนุษย์ก็ตกอยู่
ภายใต้กฎเกณฑ์ธรรมชาติแต่เพียงอย่างเดียว แต่คร้ังเข้าสู่สังคมการเมือง มนุษย์ก็ตกอยู่ภายใต้
กฎหมายทีม่ นษุ ย์ด้วยกันสร้างข้ึนมาอีก กฎเกณฑ์เหล่านี้แหละที่ทาให้อิสรภาพของประชาชนต้อง
เสื่อมสูญ เพราะต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายที่ไม่เหมาะสมกับเจตจานงของกฎหมาย การแก้ไข
สภาวะที่ประชาชนไม่มีอิสรภาพและหลักประกันนี้ มองเตสกิเออ เสนอจัดตั้งรัฐบาลสายกลางซึ่ง
ยึดถือหลักอิสรภาพโดยเฉพาะ อิสรภาพทางการเมืองเป็นหลักสาคัญ สาระสาคัญของรัฐบาล
สายกลางก็คือจัดให้มีระบบการแบ่งแยกองค์กรที่ใช้อานาจปกครอง ซึ่งประกอบด้วยฝุายนิติ
บัญญัติ บริหารและตุลาการ โดยให้แต่ละองค์กรเป็นผู้ใช้อานาจเพียงอานาจเดียว และแต่ละ
อานาจมีฐานะเสมอกันคือต่างก็ไม่สามารถถอดถอนซึ่งกันและกัน หลักการสาคัญอีกส่วนหนึ่ง
ของรัฐบาลสายกลางก็คือการสร้างระบบตรวจสอบและถ่วงดุล ซึ่งจะมีระบบตรวจสอบและ
ถ่วงดุลระหว่างอานาจที่มอบให้แต่ละองค์กรเป็นผู้ใช้ ขณะเดียวกันก็ยังมีระบบตรวจสอบภายใน
อานาจเดียวกัน ซึ่งแบ่งแยกให้องค์กรต่างๆใช้ร่วมกัน ระบบตรวจสอบและถ่วงดุลอานาจตาม
ทัศนะของมองเตสกิเออนับว่ามีอิทธิอย่างมากต่อความคิดของผู้ร่างรัฐธรรมนูญของประเทศ
สหรฐั อเมริกาในยุคต้น แม้ปจั จบุ ันยังปรากฏให้เห็นอยู่ หากจะสรุปเอาว่าทัศนะของมองเตสกิเออ
ที่เสนอไว้ในรปู แบบรฐั บาลสายกลางก็คือรากฐานของระบบประธานาธิบดี (Presidential System)
ที่มใี ช้อยู่ในประเทศสหรฐั อเมรกิ าในปจั จุบัน ก็นับว่าเปน็ ข้อสรุปที่จะหาเหตุผลมาโต้แย้งได้ลาบาก
(เสถียร หอมขจร พร้อมพวก, 2537:62)

1.3.5.4 ฌ็อง ฌัก รูโซ
ฌอ็ ง ฌกั รโู ซ (Jean Jacques Rousseau) เป็นนักปราชญ์ทางการเมืองในค
ริสตวรรษที่ 18 เกิดที่เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เม่ือ 28 มิถุนายน ค.ศ.1712 ความจริงต้น

รฐั ศาสตรเ์ บอื้ งต้น หน้า 198

ตระกูลของ รูโซ เป็นชาวฝร่ังเศส กล่าวกันว่ารูโซ เป็นนักคิดที่มีชื่อเสียงเด่นและเป็นที่ยกย่องกัน
มากในอดีตจนปัจจุบนั

ผลงานที่สาคัญของรูโซคือ Du Contrat Social (The Social Contract) หนังสือ
เล่มนี้รูโซได้ เสนอข้อแก้ไขความบกพร่องของระบบสังคมและการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อฐานะ
และความเป็น อยู่ของประชาชน โดยรูโซเห็นว่าเร่ืองของเสรีภาพเป็นสิ่งสาคัญควบคู่ไปกับความ
เปน็ มนุษย์ (Jean-Jacques Rousseau. Du Contrat Social. Reprint. BiblioBazaar. 2010.)

1. รูโซได้ต้ังสมมติฐานเบื้องต้นเกี่ยวกับธรรมชาติมนุษย์และการเกิด
สังคมการเมือง มนุษย์มีความต้องการที่จะรวมตัวกันเป็นสังคม โดยมนุษย์ที่มีความสนใจในสิ่ง
เดียวกัน ความมรี ปู ร่างลักษณะคล้ายคลึงกัน มนุษย์ความเมตตาสงสารเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน สิ่งที่
มนุษย์รวมกันสังคมได้เพราะมีความสัมพันธ์ทางใจ ซึ่งเป็นลักษณะพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันอัน
เป็นคุณงามความดที ีช่ ่วยเสริมสร้างสนั ตภิ าพ

2. ลักษณะเด่นของมนุษย์ในสภาพธรรมชาติก็คือมนุษย์มีเสรีภาพที่
แท้จรงิ และสมบรู ณ์แบบคือไม่ตอ้ งข้ึนกับผใู้ ดอยากทาอะไรกไ็ ด้สมใจปรารถนาตามพละกาลังที่จะ
เอื้ออานวยให้ มนุษย์ยังมีความเสมอภาคกันอย่างแท้จริง ไม่มีนาย ไม่มีทาส แต่จะไม่มีความเท่า
เทียนกนั บ้างเช่น เพศ หญิง ชาย พละกาลัง และสติปญั ญา

3. ความคิดเกี่ยวกับสัญญาประชาคมของรูโซว่าเป็นพันธะสัญญาที่
มนุษย์ทากับมวลมนุษย์ ผปู้ ระสงค์ทีจ่ ะต้ังสังคมการเมอื งรว่ มกัน ผเู้ ข้าร่วมสัญญาแต่ละคนจะต้อง
สละสิทธิ์ของตนท้ังหมดให้แก่สังคม เม่ือทุกคนมอบตัวให้แก่สังคมเหมือนกันหมด ก็ไม่มีใครมี
ฐานะดีกว่ากนั ทุกคนเท่าเทียมกนั หมดการสละสิทธิ์ไม่ได้หมายความว่าเสรีภาพจะหมดไป หากแต่
จะเกิดเสรีภาพใหม่ คือ เสรีภาพร่วมหรือเจตจานงร่วมหรือเจตนารมณ์ท่ัวไป (General will)
เจตนารมณท์ วั่ ไปนีจ้ ะวางมาตร ฐานความประพฤติท้ังหมดในสังคม

4. เจตนารมณ์ทั่วไป (General will) หมายถึงเจตจานงที่แสดงออกมี
ลักษณะ 3 ประการด้วยกัน คือ ประการแรก เจตนารมณ์ทั่วไป คือ เจตจานงของชุมชนหรือของ
สังคม เจตนารมณ์ทั่วไป จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเม่ือมนุษย์แต่ละคนคิดด้วยตนเองในฐานะที่เป็นส่วน
หนึ่งขององค์อธิปัตย์ (ผู้ปกครอง) ประการที่สอง เจตนารมณ์ทั่วไปแสดงตนออกมาให้ปรากฏได้
ในรูปกฎหมายเพียงอย่างเดียวประการที่สาม เจตนารมณ์ท่ัวไปหรือกฎหมายจะต้องปรับให้เข้า
กับสมาชิกทั้งหมดในสงั คม

5. เจตนารมณ์ท่ัวไป เป็นอันหนึ่งอันเดียว แบ่งแยกมิได้ แทนตัวกันมิได้
และเป็นผลดีต่อทุกคน เจตนารมณ์ท่ัวไป มาจากทุกคนและใช้บังคับกับทุกคน นั้นคือกฎหมาย

รฐั ศาสตรเ์ บื้องตน้ หน้า 199

หรอื เจตนารมณท์ ่ัวไป ในการสร้างแบบแผนการดาเนินชีวติ และบังคับใช้ให้ตรงตามเจตจานงของ
เจตนารมณท์ ั่วไป

1.3.6 ปรชั ญาการเมอื งยคุ ปฏิวตั อิ ตุ สาหกรรม
การปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 19 เป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของ
มนษุ ย์อกี ครั้งหน่งึ นบั เปน็ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มนุษย์ได้นาเอาความเจริญทางวิทยาศาสตร์
ที่ได้พัฒนามาต้ังแต่ยุคฟื้นฟูนามาใช้เป็นประโยชน์ต่อการดารงชีวิตประจาวัน การนาเคร่ืองยนต์
กลไกมาช่วยในการผลิต สามารถเพิ่มผลผลิตและรายได้สูงขึ้น มนุษย์ได้สะสมส่วนเกินทางการ
ผลิตจนเกิดความมั่งคั่งให้กับตนเองและสังคมอย่างเต็มที่ ในที่สุดก็เกิดระบบเศรษฐกิจแบบทุน
นิยมข้ึนในยุโรป
การปฏิวัติอุตสาหกรรมได้ส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะ
อย่างยิง่ ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิธีการผลิต การเกิดนายทุนและการจ้างงาน การเอารัดเอา
เปรียบของนายทุนที่มีต่อแรงงาน สาหรับคาร์ล มาร์กซ์ การเอารัดเอาเปรียบเช่นนี้คือความอ
ยตุ ิธรรมของสังคมที่เขาจะต้องปฏิรูปแก้ไขให้ได้ เขาเป็นผู้กาเนิดลัทธิปฏิวัติสังคมอย่างถึงรากถึง
โคนเปน็ คนแรกในประวัติศาสตร์โลก(ณัชชาภัทร อุ่นตรงจิตร, 2547: 79 – 80)

1.3.6.1 คารล์ มาร์กซ์ (Karl Mark)
มาร์กซ์นักคิดชาวเยอรมันที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อโลก เขายังเป็นท้ัง นัก
ปรชั ญา นกั เคลือ่ นไหว นกั หนงั สอื พิมพ์ และนักเศรษฐศาสตร์การเมือง เขาไม่ได้เป็นแค่นักทฤษฎี
ทางสังคมและการเมืองเท่านั้นแต่ยังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสาคัญในการจัดต้ัง สมัชชากรรมกรสากล
(International Workingmen & acute Association) ในช่วงสมัยหลังปฏิวัติยุโรปด้วยมาร์กซ์เป็นนัก
คิดสาคัญที่คอยวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาต่างๆในลักษณะของนักหนังสือพิมพ์และนักปรัชญา
ผลงานโดดเด่นของเขามีมากมายมหาศาล โดยมีแนวคิดหลักที่สาคัญและทรงอิทธิพลอย่างยิ่ง
จนถึงปัจจุบัน คือ บทวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ที่มองผ่านการปะทะกันระหว่างชนชั้นดังคานาใน
หนังสือ "แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ " (The Communist Manifesto ) ว่า: ประวัติศาสตร์ของ
สังคมท้ังหมดที่ผ่านมา ล้วนแต่เป็นประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ระหว่างชนชั้นงานเขียนต่างๆ ของ
มาร์กซ์ ต่อมาได้กลายเป็นแกนหลักของการเคลื่อนไหวในแนวทางลัทธิคอมมิวสต์, สังคมนิยม,
ลัทธิเลนิน และลัทธิมาร์กซ์ มาร์กซ์ได้เขียนหนังสือมากมาย แต่มีหนังสือเล่มหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อ
อุดมการณแ์ ละขบวนการคอมมวิ นิสมน์ ้ันคอื ถ้อยแถลงแห่งคอมมิวนิสม์หรือคาประกาศของคอม
มิวนิสม์ (Communism Manifesto) ตีพิมพ์เม่ือ ค.ศ.1848 เป็นสิ่งที่อิทธิพลต่อการปฏิวัติในรัสเซีย
ในปี ค.ศ.1917 ในถ้อยแถลงแห่งคอมมิวนิสม์ (จรูญ สุภาพ,2534 : 110) ได้กล่าวถึงการต่อสู้
ระหว่างชนชั้นระหว่างนายทนุ กบั กรรมกรและเช่อื ว่าทกุ คนจะมีเสรีภาพซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับชัยชนะ

รฐั ศาสตรเ์ บื้องตน้ หนา้ 200

ในขั้นสุดท้ายของชนช้ันกรรมาชีพและเม่ือชนชั้นกรรมาชีพได้เข้าควบ คุมวิธีทางในการผลิตแล้ว
ในตอนท้ายของถ้อยแถลงแห่งคอมมิวนิสม์นี้ได้กล่าวว่าชนชั้นกรรมาชีพไม่มีอะไรจะสูญเสีย
นอกจากโซ่ตรวนและจะมีโลกที่ตนจะได้ชัยชนะ ฉะน้ันชนชั้นกรรมมาชีพของทุกประเทศจะต้อง
รวมตัวกัน และในถ้อยแถลงแห่งคอมมิวนิสม์มีนโยบายระบุไว้ 8 ข้อ (บรรพต วีระสัย, 2525 :
291-292) คอื

1.การยึดที่ดินเป็นของรัฐและการใช้ค่าเช่าจากที่ดินเหล่าน้ันเพื่อเป็น
ค่าใช้จ่ายของรฐั ระหว่างทีย่ ังไม่บรรลคุ วามเป็นสงั คมคอมมวิ นิสต์

2.ภาษีเงินได้เก็บในอัตราส่วนที่สูงขึ้นเม่ือมีรายได้สูงขึ้น หรือที่เรียกว่า
ภาษีก้าวหน้า(Progressive Tax)

3. ยกเลิกสิทธิในมรดก
4. ให้มศี นู ย์กลางของสนิ เชอ่ื โดยการจดั ตง้ั ธนาคารของรฐั
5. กิจการขนสง่ เป็นของรฐั
6. ให้รัฐเป็นเจ้าของโรงงานมากยิ่งขนึ้ และให้มีการแบ่งสรรที่ดินใหม่
7. ใหเ้ ปน็ หนา้ ที่ของทุกคนทีจ่ ะต้องทางาน
8. ให้มกี ารศกึ ษาของรัฐแก่เดก็ ทกุ คนและไม่ให้มกี ารใชแ้ รงงานเด็ก

2. อุดมการณท์ างการเมือง
คาว่า อุดมการณ์ (Ideology) ในภาษาไทยมีผู้แปลกันมากมายหลายอย่าง เช่น

แปลว่า ลัทธินิยม อุดมคติ ความคิด และอุดมการณ์ ในที่นี้ขอแปลว่า อุดมการณ์ซึ่งหมายถึง
ความคิดตา่ งๆ ทีร่ วมกนั เปน็ ระบบ ที่บคุ คลยึดถือเปน็ แนวทางแหง่ การดาเนินชีวติ ฉะน้ันเม่ือกล่าว
อุดมการณ์ย่อมมีความหมายแสดงออกซึ่งค่านิยม ความดีงามหรือการอันควรปฏิบัติ แต่
อดุ มการณเ์ ชน่ ว่านีบ้ ุคคลแต่ละคนมีเหมือนกันไม่ อุดมการณเ์ ป็นคุณลักษณะอย่างหนึ่งของบุคคล
ซึง่ มีความเช่อื กันว่า คนที่มอี ุดมการณจ์ ะดาเนนิ กิจการใดๆ มักประสบผลสาเรจ็

2.1 ความหมายของอดุ มการณท์ างการเมอื ง
อดุ มการณท์ างการเมอื ง หมายถึง ระบบความคิดหรอื ความเชื่ออันเกี่ยวเนื่องกับการ
ปกครองประเทศ ซึง่ เปน็ คุณลักษณะประการหนง่ึ ทีป่ รากฏอยู่ในชุมชนทางการเมืองทุกแหง่
อุดมการณท์ างการเมอื ง หมายถึง แนวความคิดทางการเมืองทีน่ าไปปฏิบตั ิจริงมี
อิทธิพลต่อกระบวนการทางการเมอื ง ตลอดจนการใชอ้ านาจรัฐและการให้ความชอบธรรมแก่
รฐั บาลนอกจาก น้ียังสะท้อนสภาพของสงั คมและวัฒนธรรมทางการเมืองของแต่ละชุมชน

รฐั ศาสตรเ์ บอ้ื งตน้ หน้า 201

อุดมการณท์ างการเมอื งจะมีสว่ นประกอบที่สาคญั คือ 1) ลกั ษณะที่ชดั เจน 2) ประติดประตอ่ กนั
3) เป็นระบบ

อดุ มการณก์ ็คือความคิดชุดหน่งึ เกี่ยวกบั การเปลีย่ นแปลงหรอื การปกปูองโครงสรา้ ง
ของการเมอื งทีอ่ ยู่ รวมทั้งเรื่องทีเ่ กีย่ วข้องจะเป็นเรื่องเกีย่ วกับการกระจายอานาจทางการเมอื ง
และมีลักษณะเป็นข้อถกเถียงเชิงบรรทดั ฐานทีส่ นับสนนุ โครงสรา้ งปฏิรูปหรือตอ่ ต้านการ
เปลี่ยนแปลง เพราะฉะน้ัน อุดมการณ์จงึ มใิ ช่เปน็ เพียงปรชั ญาการเมอื งอุดมการณ์ทางการเมือง
จะเรียกร้องให้มีการกระทา อุดมการณท์ างการเมอื งมักจะเชอ่ื มโยงกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเปน็
พิเศษ

ในทางวิชาการถือว่าอุดมการณ์เป็นทฤษฎีแห่งความคิดที่แยกออกมาต่างหากจาก
ความรู้สึก แต่อุดมการณ์เริ่มจากความรู้สึก (Sensation) แล้วก็เก็บเอามานึก (Reflection) แล้วก็
เกิดความคิดหรืออุดมการณ์ขึ้น กระบวนการที่ทาให้เกิดอุดมการณ์จะต้องใช้กระบวนการหล่อ
หลอม จนมีความคิดอย่างถาวรและฝังแน่นอยู่ในจิตใจ การหล่อหลอมของความรู้สึกจนเกิดเป็น
ความคิดหรอื เป็นอดุ มการณ์น้ัน สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลเป็นอันมาก และสิ่งแวดล้อมก็มีอิทธิพลทา
ให้อดุ มการณซ์ ึ่งมีอยู่แล้วแปรเปลี่ยนไปจากเดิมได้เช่นกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือสิ่งแวดล้อมทาให้
มนุษย์เปลี่ยนแปลงอุดมการณ์ให้สอดคล้องกับสภาพของสังคมเพื่อความอยู่รอด ถ้าเป็น
อุดมการณ์การเมืองก็จะเป็นผลทาให้กลไกทางการเมืองการปกครองผันแปรไปตามเจตนารมณ์
ของอดุ มการณ์นนั้ ๆ ด้วย

อุดมการณ์ทางการเมืองหมายถึง แนวความคิดทางการเมืองที่นาไปปฏิบัติจริงมี
อิทธิพลต่อกระบวนการทางการเมือง ตลอดจนการใช้อานาจรัฐและการให้ความชอบธรรมแก่
รัฐบาลนอกจาก นี้ยังสะท้อนสภาพของสังคมและวัฒนธรรมทางการเมืองของแต่ละชุมชน
อุดมการณ์ทางการเมืองจะมีส่วนประกอบที่สาคัญคือลักษณะที่ชัดเจน ประติดประต่อกัน เป็น
ระบบในแง่มุมนี้อุดมการณ์ก็คือความคิดชุดหนึ่งเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงหรือการปกปูอง
โครงสร้างของการเมืองที่อยู่ รวมทั้งเร่ืองที่เกี่ยวข้องจะเป็นเร่ืองเกี่ยวกับการกระจายอานาจทาง
การเมอื งและมีลกั ษณะเป็นข้อถกเถียงเชิงบรรทดั ฐานที่สนับสนุนโครงสรา้ งปฏิรูปหรือต่อต้านการ
เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น อุดมการณ์จึงมิใช่เป็นเพียงปรัชญาการเมืองอุดมการณ์ทางการเมือง
จะเรียกร้องให้มีการกระทา อุดมการณ์ทางการเมืองมักจะเชื่อมโยงกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็น
พิเศษ

การพิจารณาความหมายของอุดมการณ์การเมือง ในทางรัฐศาสตร์นั้นอาจแยก
ขยายความหมายออกได้เป็น 5 ประการดงั น้ี

รฐั ศาสตร์เบ้อื งตน้ หน้า 202

ประการแรก ถือว่าอุดมการณ์เป็นความคิด (Though) ความเชื่อ (Belief) ที่มีแบบ
แผน ไม่ใช่ความคิดที่เลื่อนลอยไม่มีหลักเกณฑ์ ตรงกันข้ามเป็นความคิดความเชื่อที่มีแนวทาง
แนน่ อน มีเหตุผล มีจุดหมายปลายทางและวตั ถปุ ระสงค์ทีจ่ ะดาเนินการให้บรรลถุ ึงได้

ประการที่สอง ถือว่าความคิดความเชื่อน้ันเกี่ยวพันกับการเมือง การปกครองหรือ
เป็นวิถีชีวิตทางการเมือง ซึ่งมีความมุ่งหมายที่กาหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ในด้านการเมืองการ
ปกครองใหถ้ กู ต้องสมบูรณ์

ประการที่สาม ความคิดความเชื่อดังที่ได้กล่าวมาแล้วมีผลทาให้เกิดการเชื่อฟัง
ปฏิบัติตาม ซึ่งถึงการยอมรับว่าสิ่งต่างๆ มีอุดมการณ์กาหนดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องใช้ได้ หรือมี
ผลดสี มควรทีจ่ ะนาไปประยกุ ต์ใชใ้ ห้บังเกิดผล

ประการที่สี่ ความคิดความเชื่อน้ันกลายเป็นแหล่งทาให้เกิดความเห็นพ้องต้องกัน
ภายในรัฐ หมายความว่าเมื่อมนุษย์ในชมุ ชนทีย่ ึดถือสง่ิ ตา่ งๆ ที่ปรากฏอยู่ในอุดมการณ์ว่าเป็นสิ่งที่
ถูกต้องแล้ว อุดมการณ์น้ันจะมีอิทธิพลผลักดันให้มนุษย์เห็นพ้องต้องกันในหลักการ ความมุ่ง
หมาย กระบวนการ รวมท้ังผลของอุดมการณน์ ้ันเมอ่ื นามาปฏิบัติจริง

ประการสุดท้าย ความคิดความเชื่อดังกล่าวแล้วจะทาให้เกิดกลไกในการควบคุมขึ้น
ซึ่งหมายความว่าเม่ือมนุษย์ในชุมชนมีความเชื่อม่ัน ปฏิบัติตามและความเห็นพ้องต้องกันใน
หลักการและจุดหมายปลายทางของอุดมการณน์ ั้นแล้ว เม่อื นาอดุ มการณ์มาประยุกต์ใช้กับสภาพ
อันแท้จริงของชุมชนก็ต้องพยายามดาเนินการให้ดีที่สุดเพื่อให้บรรลุเปูาประสงค์แห่งอุดมการณ์
นั้น โดยจาเป็นต้องมีการกาหนดกลไกควบคุมความประพฤติต่างๆ เพื่อให้อุดมการณ์ดารงอยู่ได้
ตัวอย่าง เช่น อุดมการณ์ของลัทธิคอมมิวนิสม์ ซึ่งเชื่อว่าจุดหมายปลายทางคือปราศจากชนช้ัน
หรือระเบียบกฎหมายใดๆ ที่เป็นเคร่ืองบีบค้ันมนุษย์หรือเป็นการขูดรีด เพื่อให้เป็นไปตาม
วัตถุประสงค์หรือจุดหมายดังกล่าวจะมีกลไกควบคุมคือพรรคคอมมิวนิสม์ อุดมการณ์การเมือง
ของลัทธิประชาธิปไตย ก็มีลักษณะเช่นเดียวกันคือมีกลไกต่างๆ ควบคุมเพื่อให้เป็นไปตามความ
มุ่งหมาย เชน่ การเลือกต้ังเสรี การแสดงประชามตแิ ละการออกเสียงรบั รองนโยบาย เป็นต้น

การศึกษารัฐศาสตร์ในปัจจุบันได้ยอมรับนับถือความสาคัญของอุดมการณ์ เพราะ
เชอ่ื กันว่าอดุ มการณเ์ ป็นเครือ่ งสร้างความเปน็ อนั หน่งึ อันเดียวกนั ของรัฐ และผลักดันให้ประชาชน
ดาเนนิ การใดๆ ร่วมกันด้วยเหตทุ ี่ว่า

1. อุดมการณ์เปน็ แรงชักจงู ใจที่เปน็ เสมือนแรงผลักดันทาให้เกิดการกระทาสิ่ง
ใดสิง่ หน่งึ สงั คม

2. อุดมการณ์เป็นแรงดลใจให้เกิดความเชื่อฟัง และในที่สุดก็จะนาไปสู่การ
ปฏิบัติหน้าทีข่ องตนด้วยความรบั ผดิ ชอบ

รฐั ศาสตร์เบือ้ งตน้ หนา้ 203

3. อุดมการณ์เป็นลักษณะของความเชื่อถือยึดมั่นที่มีความแน่นอนอันหนึ่งอัน
เดียว ซึง่ มอี ิทธิพลในการสร้างทัศนคติและพฤติกรรมของมนุษย์ให้เป็นไปในแนวใดแนวหน่งึ เฉพาะ

การศึกษาอุดมการณ์ทางการเมืองโดยท่ัวไป จะทาการศึกษาในประเด็นที่สาคัญ 4
ประเดน็ ดังน้ี

1. แหลง่ ที่มาของอดุ มการณ์
2. การกระจายตัวของอดุ มการณ์
3. อทิ ธิพลของอุดมการณ์ทีม่ ตี ่อโครงสรา้ งและกระบวนการทางการเมือง
4. การขัดกนั ของอดุ มการณ์
แหล่งที่มาของอุดมการณ์ อาจกล่าวได้ว่าอุดมการณ์มีที่มาหลายแหล่ง แต่แหล่งที่
สาคัญได้แก่บุคคลที่มีอิทธิพลในทางความคิด ซึ่งเป็นที่ยอมรับนับถือ เช่น นักปราชญ์ทาง
การเมอื ง ผนู้ าประเทศที่ประสบความสาเรจ็ ในการปกครอง เมื่อบุคคลอื่นเลื่อมใสในแนวความคิด
แล้วก็ก่อให้เกิดความเชือ่ ฟงั และปฏิบัติตาม
เมื่ออุดมการณ์เกิดขึน้ แลว้ ก็ต้องมีการกระจายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง จากชนหมู่หนึ่ง
ไปอีกหมู่หนึ่งหรือสังคมอื่น วิธีการกระจายตัวของอุดมการณ์อายเป็นไป 3 ทาง คือ การบังคับ
การขเู่ ขญ็ คุกคามหรอื การปลกู ฝังให้เชอ่ื
ส่วนอิทธิพลของอุดมการณ์ที่มีต่อโครงสร้างและกระบวนการทางการเมืองนั้น
กล่าวได้ว่าเป็นไปโดยตัวของอุดมการณ์การเอง คือเม่ือบุคคลมีความคิดความเชื่อในอุดมการณ์
แล้ว ก็จะบีบบังคับให้แสดงพฤติกรรมออกมาตามแนวทางอุดมการณ์น้ัน เช่น อุดมการณ์ของ
ประชาธิปไตย มีความเชื่อว่าอานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน เป็นการปกครองของประชาชน เพี่อ
ประชาชน โดยประชาชน กจ็ ะแสดงออกโดยการจัดให้มีการเลือกต้ัง การออกเสียงประชามติหรือ
ให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางคิดเห็น การรวมกลุ่มและถึงที่สุดให้ประชาชนมี
อานาจเปลีย่ นรัฐได้บาล หากรัฐบาลน้ันบริหารงานไม่สนองเจตนารมณข์ องประชาชน
การขัดกันของอุดมการณ์ ด้วยเหตุแห่งอุดมการณ์ของบุคคล ของชาติ ที่มีลักษณะ
รุ่นแรงหรือฝังแน่นอยู่ในจิตใจ และมีท้ังประเภทที่มีวัตถุประสงค์เหมือนกันและต่างกัน โอกาส
ขดั แย้งกันกม็ ีมาก สาหรบั ความขัดแย้งกันของอุดมการณ์ระหว่างประเทศที่แบ่งแยกโลกออกเป็น
สองค่ายกค็ ือ ค่ายคอมมวิ นิสมแ์ ละค่ายเสรีประชาธิปไตย
สรุปได้ว่าอุดมการณ์การเมือง เป็นเร่ืองสาคัญในทางรัฐศาสตร์ แม้อุดมการณ์จะมี
ลักษณะเป็นนามธรรมแต่ก็มีอิทธิพลที่จะบังคับพฤติกรรมทางการเมืองของชุมชนและประเทศ
อุดมการณ์มีความสาคัญต่อการดารงอยู่และความเป็นไปของรัฐ ดังที่ De Toqudville นัก
รัฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของฝรั่งเศสกล่าวว่า “หากปราศจากอุดมการณ์เสียแล้ว สังคมก็มิ

รฐั ศาสตรเ์ บอื้ งต้น หนา้ 204

อาจจะต้ังอยู่หรอื เจริญเติมโตไปได้ เพราะเหตวุ ่าเมื่อมนษุ ย์ไม่มีความเช่อื ม่ันรว่ มกันในความคิดอัน
ใดอันหนึ่ง มนุษย์ก็ไม่อาจดาเนินการใดๆ ร่วมกันได้ เม่ือขาดพฤติกรรมดังกล่าวแม้มนุษย์จะ
ดารงชีวิตอยู่ในโลกได้ แต่ก็จะปราศจากสิ่งที่รู้จักกันว่า “สังคม” (อุทัย หิรัญโต, 2524 : 531 –
532)

2.2 การแบ่งประเภทของอดุ มการณท์ างการเมอื ง
2.2.1 อุดมการณ์แบบเปิดและแบบปิด (Open and Closed Ideologies)
1) อดุ มการณ์แบบเปิด มีความหมาย 3 ประการใหญ่ ๆ คอื ในทาง

การเมอื ง ในทางสงั คมและในทางจิตวทิ ยา
ประการแรก ในทางการเมอื ง หมายถึง การเปิดโอกาสใหป้ ระชาชนมสี ิทธิ

มีเสียงในการปกครองบ้านเมือง การเปิดโอกาสนีห้ มายถึง การยอมให้มีสว่ นร่วมทางการเมอื ง
คือ การแสดงความคิดเหน็ โดยเสรี การมสี ิทธิออกเสียงการเลือกตั้ง เปน็ ต้น

ประการที่สอง ในทางสังคม หมายถึง การมีสภาพแวดล้อมในการดาเนิน
ชีวติ อย่างเสรี คือ อย่างทีเ่ รียกว่า “สังคมแบบเปิด” (Open Society) คือ ประชาชนมีความเป็นเสรี
ในการดาเนินชีวิตของตน โดยที่รัฐบาลเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือต้ังข้อกาหนดกฎเกณฑ์และวิธีปฏิบัติ
ต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ อุดมการณ์แบบเปิดจึงหมายถึง การปกครอง
แบบประชาธิปไตยน้ันเอง เพียงแต่วา่ เป็นการใชค้ าพูดทีแ่ ตกต่างออกไป

ประการที่สาม ในทางจิตวิทยา เป็นเร่ืองของจิตใจหรือบุคลิกภาพของ
บคุ คลทีจ่ าต้องมีใจกว้าง ยอมรับความคิดเหน็ ที่แตกต่าง

2) อุดมการณ์แบบปิด หมายถึง อุดมการณ์ที่รัฐบาลพยายามต้ังกฎเกณฑ์
บังคับประชาชน และไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมหรือมีสิทธิมีเสียงในการปกครอง
รัฐบาลมักไม่ยอมให้มีการวิพากษ์วิจารณ์การบริหารงานของรัฐบาลอย่างเสรี นอกจากนี้รัฐ
พยายามให้สังคมเป็นแบบ “ปิด” (Closed Society) คือ มีการกาหนดวงกรองแห่งการดาเนินชีวิต
ไม่ว่าจะในด้านการนับถือศาสนา การศึกษาและการประกอบอาชีพ ประชาชนมีเสรีภาพและสิทธิ
ต่างๆ น้อย อนึง่ ผ็มีอานาจเปน็ ผู้มจี ติ ใจแบบปิด คือใจแคบถือความคิดเห็นของตนเองเปน็ ใหญ่

2.2.2 อุดมการณ์แบบประชาธิปไตยและไม่ใช่ประชาธิปไตยและแบบกึ่ง
ประชาธิปไตย (Democratic, Non-Democratic and semi-Democratic)

1) อุดมการณ์แบบประชาธิปไตย มีปรากฏในรูปการปกครอง เช่น ใน
สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนนาดา สวิสเซอร์แลนด์ สวีเดน นอรเวย์ เยอรมันนี สิงคโปร์ อินเดีย
ญีป่ ุน

รฐั ศาสตรเ์ บ้ืองตน้ หนา้ 205

2) อดุ มการณ์แบบไม่ใช่ประชาธิปไตย ได้แก่ แบบที่เรียกว่า เผด็จการหรือ
อานาจนิยม (Dictatorship or Authoritarianism) คือ การใช้อานาจโยไม่คานึงถึงหลักประกัน
เสรีภาพและสิทธิของประชาชน และอีกแบบหนึ่งเรียกว่า ระบบควบคุมถ้วนทั่วหรืออานาจนิยม
แบบเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) ได้แก่ ฟาสซิสม์ และ คอมมิวนสิ ต์

3) อุดมการณ์แบบกึ่งประชาธิปไตย ได้แก่ การปกครองในประเทศกาลัง
พัฒนา อย่างที่เรียกกันว่า ประชาธิปไตยไม่เต็มรูปแบบ ประชาธิปไตยแบบครึ่งใบ หรือ
ประชาธิปไตยแบบเน้นผู้นา เป็นต้น

นอกจากนี้แล้ว จิรโชค วีระสัยและคณะ ได้นาเสนอถึงการแบ่ง
ประเภทอุดมการณท์ างการเมอื งไว้ในรูปแบบอื่นๆ ว่าในการแบ่งน้ันสามารถทาได้โดย 1) ระบุเป็น
รายชื่อ เช่น ระบุว่าเป็นชาตินิยม จักรวรรดินิยม เสรีนิยม ปัจเจกชนนิยม อนุรักษ์นิยม
ประชาธิปไตยและเผด็จการ 2) อาจแบ่งตามแนวความคิดทางการเมือง ออกเป็น 2 ประเภท
ใหญ่ๆ ได้แก่ ก) กลุ่มประชาธิปไตย เช่น ลัทธิเสรีนิยม ข) กลุ่มซึ่งไม่ใช่ประชาธิปไตย คือ ลัทธิ
ฟาสซิสต์และคอมมิวนิสต์แนวการแบ่งประเภทที่นิยมกันมากคือการจัดออกเป็นแบบซ้ายกลาง
และขวาดังรูปภาพตอ่ ไปนี้

แนวความคิดทางอุดมการณ์ทางการเมือง
ซ้าย กลาง ขวา

ก.คอมมวิ นิสต์ เสรีนิยม อนุรกั ษ์นยิ ม ก.อานาจนิยม
จารีตนิยม ข.พวกรุนแรงท่ัวๆไป
ข.อรัฐนิยม

ค.พวกรุนแรงทัว่ ๆไป

สังคมนยิ มแบบประชาธิปไตย

ภาพที่ 5.2 การแบ่งอุดมการณท์ างการเมอื งตามแนวความคิด (ดัดแปลงจาก จิรโชค
วีรสยั : รฐั ศาสตร์ทั่วไป หนา้ 238)

ส า เ ห ตุ แ ห่ ง ก า ร แ บ่ ง อุ ด ม ก า ร ณ์ ห รื อ ท ฤ ษ ฎี เ ป็ น ซ้ า ย แ ล ะ ข ว า เ กิ ด ขึ้ น ใ น
ประวัติศาสตร์คือภายหลังการปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศส ค.ศ.1789 มีการประชุมสภานิติบัญญัติ
แห่งชาติ (French National Assembly) ปรากฏว่าสมาชิก (เรียกว่า deputies) ผู้มีแนวคิดแตกต่าง
กันได้จับกลุ่มน่ังแยกกันกล่าวคือ 1) ผู้ที่ต่อต้านอานาจรัฐโดยเฉพาะระบบกษัตริย์น่ังด้านซ้ายสุด
ของประธาน 2) ผทู้ ีส่ นบั สนุนกษัตรยิ ์น่ังอยู่ขวาสดุ และ 3) ผนู้ าแนวคิดแบบกลางๆน่งั อยู่ตรงกลาง

รัฐศาสตร์เบอื้ งต้น หนา้ 206

ในรัฐสภาฝรั่งเศสและแห่งอื่นๆในปัจจุบันการน่ังประชุมก็ยังมักเป็นแบบสมัยของ
ปฏิวัติใหญ่ในฝร่ังเศสกล่าวคือสมาชิกฝุายรัฐบาลจะน่ังอยู่ทางขวามือของประธานสภาและฝุาย
ค้านจะนงั่ ทางซ้ายมือของประธานในที่ประชุม

ความคิดทางการเมอื งแบบซ้าย (left, leftist) หมายถึงจุดหมายปลายทางที่จะให้รัฐมี
อานาจน้อยหรือไม่มีอานาจเลย (คือเท่ากับไม่มีรัฐ) และเน้นความสาคัญของปัจเจกชนหรือเอก
บุคคลจุดหมายคือประสงค์ให้พลเมืองมีสิทธิเสรีภาพเต็มที่แนวคิดแบบซ้ายไม่ให้ความสาคัญกับ
“หน้าที่พลเมือง” แต่เน้น “หน้าที่ของรัฐ” ที่จะให้บริการต่อพลเมืองอุดมการณ์แบบซ้ายตั้ง
จุดหมายปลายทางไว้คือเสรีภาพและสิทธิของปัจเจกชนแต่ในระหว่างทางหรือในช่วงเวลาซึ่งที่ยั ง
ไม่บรรลุเปูาหมายน้ันอาจใช้วิธีการที่ตรงกันข้ามกับอุดมการณ์บั้นปลายของตนคือการใช้อานาจ
รฐั บงั คับปจั เจกชนตวั อย่างสาคัญได้แก่อุดมการณ์แบบคอมมิวนสิ ต์

3. ลทั ธิทางการเมือง
ลัทธิการเมอื ง (Political Doctrine) เป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในยุคสมัยเดียวกันหรือต่างกัน

และวิวัฒนาการไปโยลาดบั ลัทธิการเมืองบางลทั ธิเมอ่ื เกิดข้ึนมาแล้วไม่มีผู้นิยมก็ไม่สามารถนาไป
ปฏิบตั ิได้ จึงยงั มีเน้ือหาสาระในลกั ษณะเดิม ลทั ธิเหล่าน้ันมักไม่ได้รับความสนใจและไม่เป็นที่รูจัก
กนั มากนกั ท้ังในประชาชนและนกั วิชาการ

ส่วนลัทธิการเมืองบางลัทธิได้รับความนิยมจนมีการนาไปปฏิบัติไปใช้ ก็จะได้รับการ
พฒั นาใหก้ ้าวหน้าหรอื เหมาะสมสอดคล้องกบั สภาพการณ์แวดล้อมและความเปน็ จริง และเพื่อให้
สามารถใช้ได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ

3.1 ความหมายลัทธิการเมอื ง
ลัทธิ (Doctrine) คือความคิด ความเชื่อ คาส่ังสอนที่มีผู้เชื่อถือและมีอิทธิพลต่อการ
ดาเนนิ ชีวติ ของมนษุ ย์ซึง่ มีลกั ษณะเป็นแบบแผน ความคิด ความเชื่อนี้จะเป็นที่นิยมและยอมรับใน
กลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรืออาจจะหลายกลุ่ม เช่น ลัทธิทางการเมือง ลัทธิเศรษฐกิจ ลัทธิ
ปรชั ญา ลทั ธิทางศาสนา เป็นต้น
ลัทธิการเมืองหมายถึง แนวความคิดเกี่ยวกับระบบการ เมือง โยมุ่งอธิบาย
สาระสาคัญแห่งระบบการเมือง อันได้แก่ อานาจทางการเมืองและอานาจของรัฐ ขอบเขต ที่มา
ที่ต้ังของอานาจดังกล่าวนี้ และความเกี่ยวพันระหว่างองค์การหรือหน่วยงานที่ใช้อานาจรัฐกับ
บุคคล ซึ่งเป็นองค์ประกอบแห่งรัฐนั้น ตลอดจนถึงผลประโยชน์และคุณค่าที่จะบังเกิดขึ้นต่อ
บุคคล ซึง่ รวมกันขึ้นเป็นสงั คมหรอื ชุมชน

รฐั ศาสตร์เบ้อื งตน้ หน้า 207

สมศักดิ์ เกี่ยวกิ่งแก้ว เสนอว่า ลัทธิการเมือง ได้แก่ หลักการทางการเมืองซึ่งมี
ลักษณะผสมผสานจากความคิดหรือทฤษฎีของนักปราชญ์หลายท่านมาประกอบกันเป็น
แนวความคิดเกี่ยวกับระบบการเมือง การปกครองต่างๆ โดยได้ชี้แนะถึงการจัดวางอานาจ การ
จัดโครงสร้างทางการเมืองระบุถึงความเกี่ยวกันระหว่างองค์กรที่ใช้อานาจกับบุคคลและ
ประโยชน์คุณค่าจะพึงได้รับการปฏิบัติตามลัทธินั้นๆ ลัทธิทางการเมืองหนึ่งอาจนาเอาความคิด
จากปรัชญาการเมืองหลาย ๆ ความคิดมารวมกันผสมผสานกันก็ได้ หรือปรัชญาการเมืองหนึ่งๆ
อาจก่อให้เกิดลัทธิการเมืองมากกว่าหนึ่งก็ได้ และทุกลัทธิมักจะมีสาระสาคัญเกี่ยวกับ ขอบเขต
อานาจของรฐั ทีม่ าอานาจของรฐั ความสัมพนั ธ์ของผู้ปกครองกับผถู้ ูกปกครอง

ลัทธิการเมือง (Political Doctrine) กับอุดมการณ์ทางการเมืองมีความหมาย
เหมือนกัน คือ ระบบความคิด ความเชื่อ หรือความศรัทธาของกลุ่มสังคมใดสังคมหนึ่งที่มีต่อ
ระบบการเมือง การปกครอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นรูปแบบของการเมือง หลักในการปกครอง
วิธีดาเนนิ การปกครอง ใครเปน็ ผู้มอี านาจในการปกครอง มีบทบาทและอานาจกว้างขวางเพียงใด
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและผู้ใต้ปกครองจะมีลักษณะอย่างไร ผู้อยู่ใต้ปกครองจะมีสิทธิ
และเสรีภาพมากน้อยแคไ่ หน

ลัทธิการเมืองเป็นการจัดระบบความคิดทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมที่มีการ
วางเปูาหมาย แนวทางในการบรรลุตามเปูาหมายและการจัดองค์การเพื่อให้บรรลุตามเปูาหมาย
ตามแนวความคิดและอุดมการณ์อันเป็นแหล่งที่มาของลัทธิการเมืองน้ันๆ ลัทธิการเมืองอาจเป็น
แกนนาระบอบการเมือง ระบอบเศรษฐกิจและสังคม หรืออาจจะเป็นลัทธิการเมืองที่ท้าทายต่อ
ระบอบการเมืองเดิม เช่น การท้าทายต่อลัทธิทางการเมืองของฝุายตรงข้ามและลัทธิทาง
การเมอื งสามารถสร้างความชอบธรรมหรอื ความถูกต้องต่อปกครองและการใชอ้ านาจ

ดังนน้ั จงึ ปรากฏว่าลัทธิบางลัทธิสนับสนุนให้อานาจรัฐหรืออานาจทางการมีมาก ซึ่ง
มีผลทาให้สิทธิและบทบาทของประชาชนมีน้อยลง แต่บางลัทธิได้สนับสนุนให้บทบาทและอานาจ
ของบุคคลมีมากและมุ่งจากัดอานาจทางการเมืองหรืออานาจไม่ให้มีมากเกินไป ผลที่เกิดขึ้นคือ
ความสมั พนั ธ์ระหว่างรฐั และบคุ คลจึงมีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามแบบลทั ธิทีไ่ ด้เกิดข้ึน

ที่สาคัญก็คือ ทุกลัทธิมีเหตุผลที่จะสนับสนุนคุณประโยชน์แห่งลัทธิ ซึ่งหมายถึง
คุณค่าที่อาจเกิดขึ้นได้จากการใช้ลัทธินั้นในการกาหนดวิถีชีวิตความเป็นอยู่ร่วมกันของมนุษย์ใน
สังคมเสมอ

3.2 ความเป็นมาของลทั ธิการเมอื ง
ลัทธิการเมืองสว่ นใหญ่แล้วมที ี่มาจาก

รัฐศาสตรเ์ บ้อื งต้น หนา้ 208

3.2.1 แนวความคิด ลัทธิการเมืองที่สาคัญๆ ในปัจจุบันเกิดจากแนวความคิด
ของบุคคลที่มีสติปัญญา สามารถนาเอาความรอบรู้ ประสบการณ์และข้อสังเกตเกี่ยวกับ
ปรากฏการณ์ของสังคม เช่น พฤติกรรมของบุคคล ความปรารถนา ความต้องการ ความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคลที่อยู่ในสังคมเดียวกัน ความร่วมมือหรือความขัดแย้งกัน รวมตลอดถึงปัจจัยที่
ก่อใหเ้ กิดความสงบสุข หรือปัญหาต่างๆ ที่ทาให้หลักประกันในชีวิตของบุคคลต้องเสื่อมคลายลง
ทาให้เกิดความไม่มน่ั คงในการดารงชีวิต นอกจากนั้นก็เป็นข้อคิดเกี่ยวกับการมีและการใช้อานาจ
การปกครองในสังคมว่าควรจะเป็นไปในแนวใด เพื่อให้บังเกิดผลหรือประโยชน์สูงสุดต่อบรรดาผู้
เปน็ สมาชิกแหง่ สงั คมนั้น

3.2.2 ปรัชญาทางการเมือง หมายถึง จินตนาการหรือการคาดการณ์ต่างๆ
หรือความปรารถนาที่จะกาหนดลักษณะในด้านการเมืองและการปกครองที่ดีที่สุดและสมบูรณ์
ที่สุด ดังน้ันปรัชญาทางการเมืองจึงอาจไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะสิ่งที่ปรากฏในปรัชญาทาง
การเมืองมักจะเน้นจิตนาการหรือความมุ่งหวังหรือความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้บรรลุถึง
ซึง่ ความสมบูรณ์แบบแหง่ การเมอื งและการปกครอง ปรัชญาทางการเมืองมุ่งค้นหาสิ่งต่างๆ หรือ
หาความสัมพนั ธ์ระหว่างสง่ิ ตา่ งๆ ในส่วนที่วทิ ยาศาสตร์เขา้ ไปไม่ถึง

ปรัชญาทางการเมืองมุ่งอธิบายปรากฏการณ์ท้ังหลายทางการเมือง ซึ่งต่าง
จากทฤษฎีทางการเมือง ซึ่งมุ่งอธิบายปรากฏการณ์หรือหลักการบางประการ ประโยชน์ของ
ปรัชญาทางการเมืองในแง่ที่มีขอบเขตในการอธิบายสิ่งต่างๆ กว้างขวางกว่าวิทยาศาสตร์และมี
วิธีการต่างๆ หลายแบบหลายประเภทซึ่งอาจไม่เป็นวิธีการในแนววิทยาศาสตร์เสมอไป ปรัชญา
ทางการเมืองจึงไม่มีลักษณะเป็นทฤษฎี แต่ก็อาจถือว่าเป็นแนวความคิดที่พยายามอธิบาย
ปรากฏการณ์ทางการเมืองอย่างมีเหตุผล ซึ่งในบางกรณีอาจไม่เป็นความจริงก็ได้ พร้อมกับ
ข้อเสนอแนะทีเ่ กีย่ วกับการเมอื งการปกครองทีด่ ีที่สุด ประโยชน์ของปรัชญาทางการเมืองที่เห็นได้
ชดั ทีส่ ุด เปน็ เสมอื นหนทางที่จะช่วยให้มนุษย์สามารถค้าหาสิ่งซึ่งตนเองปรารถนาที่จะรู้ แต่สิ่งนั้น
ยังเป็นสิ่งลีล้ บั ไม่อาจจะรู้ได้อย่างชัดเจน

3.2.3 ทฤษฎีการเมือง ทฤษฎีการเมืองมีลักษณะชัดเจนและแน่นอนกว่า
ปรัชญาทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับสาระ คาอธิบายและความหมาย โย
ทั่วไปทฤษฎีการเมืองจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากการศึกษาค้นคว้าและพิสูจน์ได้ว่าความจริงที่อาจ
รบั กันได้ (แต่อาจไม่เป็นความจริงสมบรู ณ์เหมอื นกับวิทยาศาสตร์)

1) ลักษณะที่สาคัญของทฤษฎีการเมือง ทฤษฎีการเมืองมีลักษณะที่สาคัญ
อยู่อย่างนอ้ ย 3 ประการ คอื ขอ้ เทจ็ จริงหรอื ข้อมูลต่างๆ ที่ได้มาจากการศึกษารวบรวมความเป็น
จรงิ , หลกั ทวั่ ไป ซึง่ ได้มาจาการวิเคราะห์ข้อมูลและทดสอบข้อมูลเหล่าน้ันจากสภาพที่เป็นจริงใน

รฐั ศาสตรเ์ บือ้ งตน้ หนา้ 209

สังคม, หลักคุณค่า ซึ่งหมายถึงประโยชน์ที่พึงจะบังเกิดได้และน่าจะเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะใช้
เป็นแนวทางปฏิบัติ

2) จุดมุ่งหมายของทฤษฎีการเมือง ทฤษฎีการเมืองยังเสนอแนะเกี่ยวกับ
จุดหมายปลายทางของรัฐหรือการปกครองได้ด้วย จุดหมายปลายทางนี้เป็นเร่ืองสาคัญ เช่น
ทฤษฎีการเมืองจะให้แนวความคิดดังนี้ ความหมายของวัตถุประสงค์และจุดหมายปลายทางของ
การปกครอง โอกาสที่เข้าถึงจดุ หมายปลายทางดังกล่าว

3) แนวความคิดที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีการเมือง ทฤษฎีการเมืองมุ่งให้
หลักเกณฑ์เกี่ยวกบั เรื่องทีส่ าคญั ต่อไปนี้

1. กลุ่ม หมายถึงกลุ่มอทิ ธิพลทีเ่ กิดขึน้ จากการรวมตัวของบุคคล
2. ดุลยภาพ หมายถึง สภาวะทีส่ ามารถดารงอยู่ได้
3. อานาจ การควบคุมและอิทธิพล ปัจจุบันถือเป็นแนวความคิดที่
สาคัญอย่างยิง่ ในทฤษฎีการเมอื ง
4. การดาเนินการหรือการปฏิบัติการ หมายถึง พฤติกรรมของบุคคล
หรอื กลุ่มในสภาวการณ์อย่างใดอย่างหนึง่ เพื่อนาไปสู่จดุ มุ่งหมายปลายทางทีม่ งุ่ หวงั
5. ชนช้ันนา หมายถึง กลุ่มผู้นาหรอื ช้ันผู้นา ซึ่งจะปรากฏอยู่ในทุกระบบ
การเมอื ง
6. การตัดสินใจ ถือเป็นแนวความคิดพื้นฐานประการหนึ่งในทาง
การเมือง ระบบ กระบวนการและผลของการตัดสินใจนั้นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะแห่ง
ระบบการเมอื งตา่ งๆ ได้
7. ปฏิกิริยาและเกม หมายถึง การกระทาที่มีลักษณะโต้ตอบต่อการ
กระทาใดๆ เป็นการศึกษาในทานองคาดคะเนว่าปฏิกิริยาตอบโต้ควรจะเป็นประการใด
แนวความคิดในข้อนถี้ ือได้ว่าเปน็ แนวความในระบบรองของแนวความคิดที่เกีย่ วกับการตัดสินใจ
8. หน้าที่ หมายถึง การมุ่งศึกษาหน้าที่หรือการดาเนินการให้บังเกิดผล
หน้าที่เหล่านี้บางคร้ังก็อาจจะมีผลกระทบต่อสังคม หรือบางทีอาจเป็นสิ่งที่สนับสนุนสังคมนั้นได้
เชน่ หนา้ ทีข่ องความเชื่อ แบบแผนแห่งพฤติกรรม สถาบนั
ทั้ง 8 แนวความคิดที่กล่าวมาข้างต้น นับเป็นเร่ืองใหม่ในทฤษฎี
การเมอื ง แตแ่ นวความคิดทีม่ ีอยู่เดิมของทฤษฎีการเมืองนั้นก็ยังคงมีความสาคัญอยู่ เช่น สถาบัน
รัฐบาล เสรีภาพ ความยุติธรรม ความเสมอภาค อานาจอธิปไตยและลักษณะสาคัญสากลของ
มนษุ ย์ เป็นต้น

รัฐศาสตร์เบอ้ื งต้น หน้า 210

กล่าวโยสรุป ทฤษฎีการเมืองช่วยให้วิชาการปกครองหรือวิชารัฐศาสตร์มีลักษณะเป็นปึกแผ่น มี
กฎเกณฑ์และแนน่ อนมากขึ้น

ผลจากทฤษฎีการเมอื งน้ีเป็นรากฐานที่สาคญั ประการหนึ่งที่ช่วยให้ลัทธิ
ทางการเมืองได้ก่อรูปขึ้น และสร้างเสริมให้ลัทธิทางการเมืองมีขอบเขตกว้างขวาง ทั้งในด้าน
สาระเน้ือหา รวมตลอดจนเป็นสิ่งที่ช่วยให้ลัทธิทางการเมืองนามาใช้ประโยชน์เพื่อกาหนดระบบ
การเมืองแห่งลัทธิทางการเมืองน้ันๆ ข้อคิดจากทฤษฎีการเมืองจึงถือเสมือนเป็นข้อมูลและ
หลักเกณฑ์สาคญั ประการหน่งึ ทีช่ ่วยเสริมสร้างลัทธิทางการเมอื งให้บงั เกิดข้ึนได้

จะเห็นได้ว่าลัทธิทางการเมืองน้ันเป็นผลมากจากเหตุผลหลายประการดังกล่าว
ข้างต้น ลัทธิทางการเมืองอาจนาเอาแนวความคิดหลายแนว ปรัชญาการเมือง ทฤษฎีการเมือง
หลายส่วนมาผสมผสานกันได้ หรืออาจเกิดขึ้นจากแนวความคิดเดียวหรือปรัชญาทางการเมือง
เดียวได้ นอกจากน้ันแนวความคิดและปรัชญาการเมืองบางอย่างมีซึ่งมีสาระที่ลึกซึ้ง ดังจะเห็นได้
ว่าปรัชญาการเมืองบางประการ เช่น ปรัชญาในเร่ืองเสรีภาพของบุคคล จะปรากฏให้เห็นเน้ือหา
สาระสาคัญของลัทธิทางการเมืองแบบปัจเจกนิยม เสรีนิยม อนาธิปไตยและสังคมนิยมแบบ
ประชาธิปไตย

4. ความสัมพันธ์ระหว่างลทั ธิการเมืองกบั อุดมการณ์ทางการเมือง
จากความหมายแห่งอุดมการณ์ทางการเมืองและความหมายของลัทธิการเมืองที่ได้

กล่าวไปแล้วในข้างตน้ จะเห็นได้ว่าทั้งสองอย่างนี้ความสัมพันธ์กันอย่างมาก เช่น ในเม่ือลัทธิทาง
การเมืองเป็นเร่ืองพื้นฐานสาคัญเกี่ยวข้องกับระบบการเมืองการปกครองอย่างใดอย่างหนึ่ง และ
อุดมการณ์ทางการเป็นเร่ืองความเชื่อความเข้าใจ ดังน้ัน หลักการที่ปรากฏในลัทธิทางการเมือง
จงึ เป็นเหตใุ ห้เกิดความเชือ่ อันเปน็ ลักษณะของอดุ มการณ์ทางการเมือง

ในทางกลับกนั อดุ มการณท์ างการเมอื งๆ หรือความเชื่อใดๆ ที่มีต่อหลักการใด หาก
เป็นความเชือ่ ที่ลกึ ซึง้ หรอื เปน็ ศรัทธาที่มน่ั คงหนกั แนน่ ก็อาจเป็นเหตุให้เกิดความคิดอ่านและคาม
ปรารถนาทีจ่ ะช่วยใหเ้ กิดความพยายามในการค้นหาหรือสร้างลัทธิทางการเมืองขึ้นให้สอดคล้อง
กับ อุดมการณ์ทางการเมือง น้ันๆได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุมชนที่มีความเจริญก้าวหน้า มีอารย
ธรรมสงู มีความสานึกกว้างไกล มคี วามคิดอา่ นและสติปัญญาที่ลึกซึ้ง ย่อมจะมีแนวความเชื่อมั่น
ในหลักการใดซึ่งอาจจะถือเป็น อุดมการณ์ ซึ่งอุดมการณ์เช่นว่าน้ันอาจเป็นสาเหตุสาคัญส่วน
หนึ่งที่ก่อให้เกิดการพัฒนาลัทธิทางการเมืองที่เป็นไปตามแนวอุดมการณ์ น้ันๆได้ ข้อสังเกตโดย
ทั่วๆ ไปมักจะเป็นไปในทางที่ว่า หลักการที่ปรากฏในลัทธิทางการเมือง น่าจะเป็นสาเหตุสาคัญที่
ช่วยใหเ้ กิดความเช่อื หรอื อุดมการณท์ างการเมอื งข้นึ มา ตัวอย่างเชน่

รฐั ศาสตรเ์ บือ้ งตน้ หน้า 211

ลทั ธิทางการเมอื งแบบเสรีนิยม ซึง่ มีเนื้อหาเกี่ยวกับเสรีภาพและระบบการเมืองที่ยก
ย่องเสรีภาพเป็นหลักสาคัญ จุดเน้นคอื เสรีภาพ ซึง่ ในทีส่ ดุ ก็ทาให้เกิดอุดมการณห์ รือความเชื่อใน
เรือ่ งเสรีภาพซึ่งเปน็ แรงผลักดนั ให้เกิดการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เพื่อให้ได้มา
ซึง่ เสรีภาพอย่างแท้จริงในหลายประเทศ

ในลัทธิทางการเมืองและเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมประชาธิปไตย ซึ่งเน้นความเป็น
ธรรมทางสังคมเป็นประการสาคัญน้ัน หลักเกณฑ์เกี่ยวกับความเป็นธรรมทาให้เกิดความเชื่อมั่น
หรอื อดุ มการณท์ ี่ยกย่องความเป็นธรรมและศรทั ธาในเรอ่ื งน้เี ป็นอย่างยิ่ง อุดมการณ์ดังกล่าวก็จะ
เป็นผลผลักดันให้มีการปฏิรูปในหลายประเทศ และได้มีส่วนเกี่ยวกับการเปลี่ยนระบบการเมือง
และเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ทุนนิยมให้กลายมาเป็นระบบการเมอื งและเศรษฐกิจแบบสงั คมนยิ ม

ฉะนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าลัทธิทางการเมืองและอุดมการณ์เมืองมีความเกี่ยวพันกัน
อย่างใกล้ชิดและมีสว่ นเกือ้ กูลสนับสนนุ กันและกนั ดังเหตผุ ลที่อธิบายแล้วข้างต้น อนึ่ง อุดมการณ์
ทางการเมอื งหนึง่ อาจสอดคล้องกับลัทธิทางการเมอื งหนึ่งหรือลัทธิทางการเมืองอื่นๆ ในประเภท
เดียวกัน แตอ่ าจขดั กบั ลัทธิทางการเมอื งหนึง่ หรอื ลัทธิทางการเมอื งอืน่ ๆ ก็ได้

5. ประเภทของลทั ธิทางการเมือง
ปัจจุบันจะพบว่ามีลัทธิทางการเมืองหลายลัทธิ เช่น ลัทธิปัจเจกชนนิยม เสรีนิยม

สังคมนิยม ประชาธิปไตย อนุรักษ์นิยม สหนิยมประชาธิปไตย ประโยชน์นิยม อุดมคตินิยม
อนาธิปไตย ซินดิกัลป์ลสิ ม์กิลด์โซเชยี ลิสม์ พหนุ ิยม มาร์กซิสม์ (คอมมิวนิสต์) ฟาสซิสม์ นาซี เป็น
ต้น แต่ละลัทธิก็มีเนื้อหาที่เด่นชัดของตัวเอง กล่าวคือ มีแนวความคิดที่เป็นสาระสาคัญเกี่ยวกับ
ระบบการเมืองการปกครองที่ต้องการให้เกิดขึ้น รวมท้ังจุดหมายปลายทางที่จะพยายาม
ดาเนนิ การไปให้ถึง

ลัทธิการเมืองในปัจจุบัน บางลัทธิก็มีเนื้อหาไปในทางการเมืองการปกครอง
โดยเฉพาะหรอื เน้นไปในทางการเมอื งเป็นพิเศษ ตวั อย่างเชน่ ลัทธิอนาธิปไตย ลัทธิปัจเจกชนนิยม
ลัทธิเสรีนิยมหรือลัทธิฟาซิสม์ เป็นต้นแต่บางลัทธิการเมืองบางลัทธิก็ไม่อาจจะถือว่าเป็นลัทธิ
การเมืองแท้ๆ หรือลัทธิการเมืองที่บริสุทธิ์ เพราะมีเน้ือหาสาระที่เกี่ยวข้องกับลักษณะอย่างอื่น
ของสังคมด้วย เช่น เกี่ยวข้องกับลักษณะเศรษฐกิจหรือลักษณะทางสังคม อย่างตัวอย่าง ลัทธิ
อนุรักษ์นิยม ซึ่งนอกจากจะมีข้อเสนอเกี่ยวกับการเมืองแล้วก็ยังให้ความสาคัญแก่ขนบประเพณี
ซึ่งถือเป็นลักษณะสาคัญประการหนึ่งของสังคม, ลัทธิสังคมนิยมประชาธิปไตย นอกจากจะ
กล่าวถึงเร่ืองการปกครองแล้วก็ยังพิจารณารวมไปถึงโครงสร้างและแนวนโยบายทางเศรษฐกิจ
ด้วย, ซินดิกัลป์ลิสม์และกิลด์โซเชียลิสม์ ก็ถือว่าลัทธิการเมือง แต่ยึดแนวเศรษฐกิจบางประการ

รฐั ศาสตรเ์ บือ้ งต้น หน้า 212

เป็นสาระสาคัญ เช่น ลัทธิซินดิกัลป์ ต้องการให้มีสหพันธ์ทางเศรษฐกิจและให้สหพันธ์กรรมกร
เป็นพื้นฐานของสหพันธ์ทางเศรษฐกิจ ให้สังคมเป็นเจ้าของทรัพย์สินท้ังปวง ส่วนลัทธิกิลด์โซเชีย
มุ่งให้กิจการสาธารณปู โภคและอุตสาหกรรมท้ังปวงเป็นของรัฐ ให้มกี ารคุ้มครองผบู้ ริโภค เป็นต้น

ลัทธิการเมืองเท่าที่ปรากฏอยู่ในชุมชนมนุษย์ทั้งในอดีต – ปัจจุบัน มีหลายลัทธิ
ดังน้ันเพื่อความสะดวกในการศึกษาและเข้าใจจึงอาจแบ่งประเภทของลัทธิการเมืองออกเป็น 2
ประเภทใหญ่ๆ โดยถือเอาเกณฑ์อานาจทางการของเมืองของรัฐหรืออานาจรัฐ และเสรีภาพของ
ประชาชนหรอื ของบคุ คลเป็นสาคญั คือ

5.1 ลทั ธิการเมืองที่เน้นอานาจรฐั เปน็ สาคัญ หรือเรียกว่า “อานาจรัฐนิยม” ซึ่งจะทา
ให้เสรีภาพของบุคคลมีความสาคัญน้อยลง ลัทธิการเมืองแบบอานาจนิยมเป็นลัทธิแบบนิยม
อานาจรัฐเป็นใหญ่หรือเรียกส้ันๆ ว่า “แบบอานาจนิยม” มีอยู่หลายรูปแบบแต่ละแบบมีสาระที่
สาคญั พอสังเขป ดงั น้ี มีดงั นี้

5.1.1 ฟาสซิสม(์ Fascism)
คาว่า ฟาสซิสม์ ถูกนามาใช้หลายคร้ังในการศึกษาการเมืองการปกครอง คา
ว่า“ฟาสซิสม์”(Fascism) เป็นคาที่ยืมมาจากภาษาโรมันว่า “ฟาสซิโอ” หรือ “Fascio”แปลว่า
“กลุ่ม” หรอื “ขบวนการ” แตบ่ างท่านกว็ ่ามาจากคาในภาษาอิตาลีว่า “Fases” แปลว่า รูปกิ่งไม้ที่
ผูกอยู่รอบขวานเป็นสัญญาลักษณะอานาจทางการเมืองและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายใน
ชาติ ในสมัยโรมันเวลากงสุลเดินไปที่ไหนจะมีคนถือขวานที่มัดด้วยกิ่งไม้ หรือเรียกว่าขวานมัดไม้
เดินนาหนา้
ฟาสซิสม์ เป็นลัทธิเผด็จการลัทธิหนึ่ง ซึ่งเคยใช้เป็นหลักการปกครองใน
ประเทศอติ าลีฟาสซิสมถ์ ือกาเนิดในอิตาลีโดย เบนิโต มุสโลลินี(Benito Mussolini) ในปี ค.ศ. 1919
เพื่อต่อต้านระบอบคอมมิวนิสต์ และได้ยึดอานาจในประเทศอิตาลี ปี ค.ศ. 1922 – 1945
ฟาสซิสม์เป็นลัทธิทางการเมืองที่ใช้อานาจที่เด็ดขาด โครงสร้างและความปึกแผ่นของสังคม
ต้ังอยู่บนรากฐานของการบังคับใช้อานาจ วิธีการปกครองใช้ระบบพรรคเดียวโดยมีนโยบายไป
ในทางปลกุ ปนั ให้ประชาชนมีความรู้สึกชาตินิยมรุนแรงและบางคร้ังก็ให้มีความหลงในชาติตนเอง
การแก้ปัญหาระหว่างประเทศนิยมใช้กาลังรวมทั้งการขยายอานาจไปในประเทศต่างๆ ลัทธิ
ดังกล่าวมีเน้ือหาสาคญั ดงั น้ี
ตามแนวลทั ธิฟาสซิสมน์ ้ันถือว่าประชาชนไม่มีความสามารถ ขาดความรู้ และ
มีอารมณ์แปรปรวนไม่สามารถปกครองตนเองได้ ประชาชนจะต้องถูกแกครองโดยกลุ่มชนชั้นนา
(Elite) ซึ่งมีคณุ ลกั ษณะสงู กว่ามวลชนโดยท่ัวไป ทั้งในด้านสติปัญญา ความสามารถ กาลังใจและ
จรยิ ธรรม

รัฐศาสตรเ์ บอ้ื งตน้ หนา้ 213

เมือ่ ได้นาลทั ธินีม้ าใช้ในระบบการเมอื ง พรรคการเมืองท้ังหลายก็ถูกกวาดล้าง
โดยสิ้นเชิงและได้ห้ามมิให้มีการวิพากษ์วิจารณ์รับบาลและการปกครอง ผู้ใดละเมิดจะถูกลงโทษ
ห้ามมิให้มีจัดต้ังสหภาพแรงงานและกลุ่มธุรกิจใดๆ โดยเสรี รัฐเข้าควบคุมกิจการทางเศรษฐกิจ
อย่างเตม็ ที่

ระบบฟาสซิสม์ก็เหมือนกับระบบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จโดยท่ัวไปที่มุ่งใช้
สัญญาลักษณ์ เทคนิคและสถาบันต่างๆ ตามแบบรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการ
เลียนแบบ เช่น มีการใชค้ าวา่ “เสรีภาพ” “ประชาธิปไตยที่แท้จริง” “สิทธิกรรมกร” “เจตนารมณ์
ของประชาชน” แต่มีความไปอีกทางหนึ่ง นอกจากน้ันวิธีการโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองได้
ลอกเลียนแบบกระบวนในประชาธิปไตย เช่น การใช้หนังสือพิมพ์ ใบปลิว การเดินขบวน การ
ประท้วง เป็นต้น แต่กระบวนเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้ที่มีอานาจปกครองสร้างขึ้นทั้งสิ้น ลัทธิฟาสซิสม์มี
สาระสาคัญ 7 ประการ ดงั น้ี

1. ความไม่เชื่อในเหตุผลต้องการให้บุคคลมีความเชื่อโดยไม่ต้องคานึงถึง
เหตุผล กล่าวคือ พยายามสั่งสอนโน้มนาให้บุคคลเชื่ออย่างงมงายในการยึดถือชาติและผู้นา
ความจงรักภักดีและความผูกพันที่มนุษย์พึงมีต่อระบบการปกครองด้วยความเชื่อที่คล่ังไคล้
หลงใหล ทาให้ประชนเป็นกลไกในการปกครองของชาติ สิทธิเสรีภาพบางประการถูกจากัดโดย
ถือเอาความมนั่ คงและปลอดภัยของชาติเป็นสิ่งสาคัญเหนือกว่าสิ่งอื่นใด ประชาชนจะต้องเชื่อฟัง
และปฏิบตั ิตามอานาจนนั้ อย่างเคร่งครัด มิฉะนั้นจะต้องถกู ลงโทษ

2. ไม่เชื่อว่ามนุษย์มีความเท่าเทียมกัน กล่าวคือระบบฟาสซิสม์พยายาม
ชี้ให้เห็นว่าความเชื่อเกี่ยวกับความเท่าเทียมของมนุษย์ตามแนวของระบบประชาธิปไตยนั้นไม่
ถูกต้อง เหตุว่าตามสภาพความเป็นจริงแล้ว มนุษย์ไม่เท่าเทียมกันท้ังทางด้านร่างกายและ
พฤติกรรม เช่น ชายมีคุณสมบัติเหนือกว่าหญิง ทหารมีคุณสมบัติเหนือกว่าพลเรือน สมาชิกของ
พรรคฟาสซิสมม์ ีคุณสมบัติเหนอื กว่าประชาชนทั่วไป ชาติย่อมมีฐานะเหนอื กว่าเอกชน คนแข็งแรง
ย่อมอยู่ในฐานะทีเ่ หนอื กว่าคนอ่อนแอ และผู้ชนะย่อมมคี ณุ สมบตั ิเหนอื ผแู้ พ้ เป็นต้น จากหลักการ
ดงั กล่าวจึงเห็นได้ว่ามาตรฐานที่ใชเ้ กณฑต์ ัดสินความมีฐานะเหนือกว่าบุคคลใด คือ อานาจ ดังน้ัน
ความไม่เท่าเทียมกันจงึ เป็นอดุ มการณข์ องฟาสซิสม์ ซึ่งมผี ลตอ่ การกาหนดนโยบายท้ังภายในและ
ภายนอกประเทศ

3.มีหลักพฤติกรรมที่นิยมความรุนแรง และการโฆษณาชวนเชื่อหลักสาคัญ
ของฟาสซิสม์อยู่ที่การแบ่งชนชั้นในสังคมออกเป็น 2 พวก คือ เพื่อและศัตรู (friend and enemy)
ซึ่งหมายความว่าบุคคลที่ไม่ใช่เพื่อแล้วจะต้องเป็นศัตรูท้ังหมด ศัตรูอาจมีท้ังในประเทศและนอก

รฐั ศาสตร์เบอ้ื งตน้ หนา้ 214

ประเทศ ศตั รจู ะต้องถกู ทาลายให้หมดสิ้น และความเชื่อดังกล่าวนี้จึงทาให้เกิดสถาบันของการใช้
กาลงั รนุ แรงเพื่อเป็นเครือ่ งมอื ชองฟาสซิสม์

4. นิยมการปกครองแบบเผดจ็ การฟาสซิสม์มีความเชื่อตามหลักการปกครอง
แบบเบ็ดเสร็จ เพราะฟาสซิสม์ยึดมั่นในอานาจเด็ดขาดเป็นอานาจสูงสุดที่ครอบคลุมชีวิตของ
ประชาชนในชาติไว้ ดังน้ัน กิจการทุกอย่างรวมทั้งระบบที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม
วฒั นธรรมและการเมอื ง ก็จาตอ้ งอยู่ภายใต้การควบคุมของรฐั ด้วย

5.หลกั ความนยิ มในเช้ือชาติมีความเชอ่ื ว่าเชื้อชาติของคนมีความสาคัญ ชนชั้น
นาตามลัทธิฟาสซิสม์เป็นผู้ที่ต้องมีฐานะเหนือชนชั้นอื่น ชนช้ันนามีอานาจที่จะบังคับให้บุคคลอื่น
ยอมรับและนาเอาเจตนารมณ์ของตนไปปฏิบัติ ประเทศที่ประกอบด้วยชนช้ันนาจะเป็นประเทศ
มหาอานาจ ที่มีฐานะเหนือชาติอื่น ชนชั้นนาเป็นบุคคลที่มีเชื้อสายที่มีความบริสุทธิ์และมีความ
สามารถเป็นพิเศษ และโดยเหตุที่ชนชั้นนามีเชื่อเผ่าพันธ์ุเหนือชนช้ันอื่น ดังน้ัน จึงทาให้เกิด
วัตถุประสงค์ที่จะสนองตอบต่อความเชื่อดังกล่าว โดยการเพิ่มพูนฐานะ อานาจ และชื่อเสียง
เผ่าพันธ์ุของตน รวมทั้งการขยายเผ่าพันธุ์ขอตนไปครอบคลุมไปท่ัวโลก หลักสาคัญของความ
เชื่อมั่นในชาติอาจได้แก่ความเก่าแก่และมั่งคงของเผ่าพันธุ์ หรือการสืบเชื้อสายมาจากผู้ที่มี
ความรคู้ วามสามารถและอานาจอนั พิเศษเหนือมนษุ ย์เชือ้ ชาติอื่น เช่น ชาวญี่ปุนถือว่าเป็นพวกที่มี
เช้ือสายมาจากพระอุทยั เทวีซึง่ เป็นเทพ ดังนน้ั ชาวญี่ปุนตอ้ งเปน็ ผู้เข้มแขง็ ปกครองชนชาติอื่นได้ทั่ว
โลก ชาวเยอรมันยึดม่ันในความบริสุทธิ์ในสายเลือดของชาวอารยัน ชาวอิตาลีเป็นเชื้อสายของ
ชาวกรุงโรมอนั รงุ่ โรจนม์ าก่อน

6. นิยมรัฐบาลหรือการปกครองโดยชนช้ันนา ความเชื่อในหลักการนี้อยู่ที่ว่า
ผนู้ าของรัฐบาลหรอื ประเทศนน้ั เปน็ ผู้ทีม่ คี วามสามารถ มีการกระทาทีถ่ กู ต้อง ไม่ผิดพลาด เพราะ
เหตุว่าผู้นานั้นได้เลือกสรรมาจากบุคคลในแนวคิดที่ว่า ผู้ปกครองประเทศต้องเป็นคนกลุ่มน้อยที่
มีความสามารถ ชนกลุ่มน้อยนี้จะต้องเป็นชนช้ันนา ชนชั้นปกครองต้องเป็นบุคคลที่ได้รับการ
ฝึกฝนมาเพื่อเป็นผู้นาโดยเฉพาะ เป็นผู้อยู่ในฐานะสูงในสังคม เป็นผู้ที่ทราบความต้องการของ
ชุมชนเป็นอย่างดี สามารถสนองความต้องการของชุมชนได้ สามารถใช้ความต้องการน้ันเป็น
เครือ่ งมือในการสรา้ งฐานะของตนเอง ชนช้ันนาต้องผูกขาดอานาจในการปกครองของชาติ

7. ไม่เชื่อถือในกฎหมายระหว่างประเทศ หรือจารีตประเพณีระหว่างประเทศ
ความเชื่อในหลักการที่ต้ังอยู่บนความเชื่อไม่เท่าเทียมกันระหว่างประเทศ ความรุนแรง เชื้อ
ชาตินิยม จักรวรรดินิยมและสงคราม ถือว่าเป็นหลักการและเคร่ืองมือสาคัญของรัฐ โดยเน้น
สงครามและอุดมคติเป็นสิ่งที่สาคญั

รัฐศาสตร์เบอื้ งตน้ หน้า 215

พวกฟาสซิสม์ถือว่าลัทธิของตนไม่ใช่ลัทธิทุนนิยมและไม่สังคมนิยม แต่
สนับสนุนรูปการปกครองแบบบรรษัทรัฐ (CorporationState) เป็นระบบที่นายจ้างและลูกจ้าง
รวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นายจ้างและลูกจ้างถือว่าเป็นคนของรัฐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพใน
ทางการผลิตมากที่สุดในเวลาน้อยที่สุด เพราะภายใต้ฟาสซิสม์ สังคมจะดาเนินไปพร้อมๆกัน
ภายใต้จุดมุ่งหมายเดียวกัน ประชาชนและกลุ่มธุรกิจต้องทางานเพื่ออุทิศแก่รัฐ โดยรัฐมีอานาจ
สูงสุดในการตดั สินชีข้ าด ไม่มกี ารคดั ค้านการนาของผู้นาสงู สดุ

5.1.2 ลทั ธินาซี Nazism
ลัทธินาซีมีกาเนิดเป็นผลต่อเน่ืองมาจากฟาสซิสม์ ในปี ค.ศ.1932 พรรค
คอมมิวนิสต์ในเยอรมันมีอิทธิพลในทางการเมืองมาก ความหวาดเกรงต่อการขยายตัวของลัทธิ
คอมมิวนสิต์เป็นสาเหตุอันสาคัญยิ่งที่ทาให้ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์(Adolf Hisler) กาหนดอุดมการณ์ที่
เป็นรากฐานของลัทธินาซีขึ้น ซึ่งโลกได้ยอมรับว่าฮิตเลอร์ เป็นผู้นาที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของเยอรมัน
และฮิตเลอร์ได้ใช้ลัทธินาซีจัดระเบียบการปกครองประเทศเยอรมัน หลักการอันเป็นสาระสาคัญ
ของลัทธินาซีน้ันมีอยู่หลายประการคล้ายกับลัทธิฟาสซิสม์เช่น การยกย่องผู้นา การใช้อานาจ
การใช้กาลังและการผูกขาดอานาจทางการเมือง เป็นต้น นอกจากนี้ลัทธินาซียังมีแนวความคิด
การปลูกฝังชาตินิยมและยกย่องชนช้ันปัญญาชนลัทธินาซีจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “สังคม
ชาตินิยม” อันจะเห็นได้ในทางปฏิบัติที่พยายามจะระดมสรรพกาลังเพื่อก่อให้เกิดอานาจรัฐ และ
ปลุกปลอบความรสู้ ึกชาตินยิ มที่รุนแรงเพือ่ ให้เกิดความจงรักภกั ดีตอ่ รัฐอย่างเตม็ เปี่ยม
ลัทธินาซีถือว่าลัทธิประชาธิปไตยมีข้อบกพร่องและไม่ถูกต้องหลายสิ่งหลาย
อย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุดมการณ์และวิธีการ โดยถือว่าการปกครองของประชาชน เพื่อ
ประชาชน โดยประชาชน เป็นสิ่งที่กระทาไม่ได้และทาให้ชาติเสื่อมเสียทาให้ชาติอ่อนแอ เพราะ
ธรรมชาติของมนษุ ย์มคี วามแตกต่างกัน เช่น คนมีความสามารถและมีประโยชน์ต่อสังคม แต่บาง
คนก็ไม่มีประโยชน์ต่อสังคมและบางคนไม่มีความสามารถ เป็นต้น ลัทธินาซีถือว่าคนที่ไม่มี
ความสามารถ ความไม่มีคุณค่าไม่อาจปรับปรุงได้ไม่ว่าจะเป็นโดยการศึกษาหรือการฝึกอบรม
ฉะน้ันการปกครองรัฐต้องให้คนที่มีความสามารถโดยกาเนิด และคนที่เข้มแข็งเท่าน้ันทาการ
ปกครอง จงึ จะนาพาประเทศไปสู่ความเจริญรงุ่ เรอื ง
มนุษย์ทีม่ คี วามสามารถสูงกจ็ ะมีคณุ ค่าสูงถือว่าเป็นประชาชนชั้นพิเศษ มีสิทธิ
ที่จะปกครองพวกชนช้ันต่าได้ แนวความคิดของลัทธินาซีเกิดความเชื่อของฮิตเลอร์ที่ว่า คนเชื้อ
ชาติเยอรมนั เปน็ ชนเช้ือชาติบริสุทธิ์ และคนเยอรมนั เปน็ พวกอารยันซึ่งมีความสามารถสูง ลัทธินา
ซีแสดงออกโดยการเหยียดผิวหรือเลือกที่รักมักที่ชังทางเชื้อชาติ (Racial Discrimination) เชื้อชาติ

รฐั ศาสตรเ์ บอื้ งต้น หนา้ 216

ฮิตเลอร์เห็นว่าเป็นศัตรูสาคัญคือพวกยิว ซึ่งฮิตเลอร์ถือว่าเป็นพวกชนช้ันต่า จาต้องขจัดให้หมด
ลทั ธินาซีให้ความสาคัญกับผนู้ า

สาระสาคัญของลัทธินาซี จากแนวความคิดอันเป็นที่มาของลัทธินาซีดังได้
กล่าวมาแล้วอาจกล่าวถึงหลกั การอันเป็นสาระสาคัญของลัทธินาซีได้ดงั น้ี

1. การจากัดแนวนึกคิดเร่ืองปัจเจกนิยม ตามความเชื่อในหลักการนี้อยู่ที่ว่า
รัฐพยายามส่งเริมสนับสนุนให้บุคคลใช้พลังงานในด้านความคิดและสติปัญญา แต่ให้ดาเนินการ
ไปตามที่ชาติปรารถนา โดยจะต้องผสานผลประโยชน์และวตั ถปุ ระสงค์ของชาติกับของมวลชนเข้า
ด้วยกัน ทั้งนี้โดยถือเอาผลประโยชน์ของชาติย่อมอยู่เหนือเสรีภาพและความคิดริเริ่มของปัจเจก
ชน รากฐานของชาติคอื สวัสดิภาพของชาติเป็นส่วนสาคัญที่จะต้องยกย่องไว้เหนือกว่าสวัสดิภาพ
ของประชาชน ตามหลักการนี้มิได้ที่จะพยายามระงับความคิดริเริ่ม ความสามารถ สติปัญญา
หรือพลังงานของบุคคลแต่อย่างใดหากการนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของชาติ ประชาชนเป็นส่วน
หน่งึ ของสงั คมและพฤติกรรมของประชาชนก็เปน็ ผลที่เกิดจากอิทธิพลของสังคม สังคมขนาดใหญ่
คือชาติ ดังนน้ั ชาติหรอื รฐั จึงเป็นแบบพิมพ์ของบคุ คลในชาติ

2. การจากัดความนึกคิดในแนวประชาธิปไตย ตามความเชื่อตามหลักการข้อ
นีล้ ทั ธินาซีพยายามที่จะให้ผู้นาของรัฐเป็นคนเขม็ แข็ง มีระเบียบวินยั เพื่อให้บริหารประเทศอย่างมี
ประสิทธิภาพ แนวความคิดทางประชาธิปไตยที่เปิดโอกาสให้ประชาชนหมู่มากเป็นผู้นา ย่อมจะ
ทาให้เกิดความอ่อนแอภายในชาติ เหตุที่ว่าในกลุ่มคนที่เป็นผู้นาน้ันย่อมประกอบด้วยคนที่มีความ
แข็งแรงและเข้มแข็งไม่เท่ากัน คนที่มีความแข็งแรงน้อยย่อมจะดึงให้พลังความสามารถของผู้
แขง็ แรงเสือ่ มไปด้วย ดังน้ันหลักการของลัทธินาซี จงึ ขัดกับหลกั ประชาธิปไตย

3. การจากัดความเสมอภาคของมนุษย์โดยธรรมชาติ ตามความหลักข้อนี้
ลทั ธิ นาซี มีความเชอ่ื ว่าธรรมชาติได้สร้างให้มนุษย์มีความแตกต่างกันในหลายประการ เช่น บาง
คนมีความสามารถและสามารถกระทาตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมได้ แต่บางคนก็ไม่มี
ความสามารถและไม่สามารถบาเพ็ญประโยชน์ให้แก่สังคมและชาติได้ ด้วยเหตุนี้มนุษย์ที่มี
ความสามารถสูงจึงเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่าและถือว่าเป็นประชาชนชั้นพิเศษ มีสิทธิที่จะปกครองคน
อื่นๆ ได้ และความไม่เท่าเทียมกันของบคุ คลในลัทธินาซีถือว่าเปน็ สิ่งที่แก้ไขไม่ได้

4. หลกั การให้ความสาคญั กบั ผนู้ า ลทั ธินาซีมีความเชื่อต่อผู้นาอย่างสูงสุดพอ
สรุปได้ดงั นี้

ผู้นาเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งเจตนารมณ์ส่วนรวมของประชาชน หมายความว่า
เจตนารมณ์ของประชาชนที่หลากหลายน้ันจะรวมอยู่ที่ผู้นา ผู้นาเป็นผู้กาหนด เป็นผู้รักษา เป็นผู้
ปกปูองเจตนารมณข์ องประชาชน

รัฐศาสตรเ์ บ้อื งตน้ หนา้ 217

ผู้นาเป็นผู้ประสานความรู้สึกของประชาชนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
โดยท่ัวไปความต้องการของประชาชนนั้นมีลักษณะกระจัดกระจายหรือไม่ตรงกับเปูาหมายทาง
การเมืองผู้นาเป็นผู้รับผิดชอบที่จะเปลี่ยนแปลงความรู้ของประชาชนใ ห้เป็นสิ่งที่ใช้ได้ในทาง
การเมือง พร้อมทั้งกาหนดแนวทางหรือเปูาหมายเพื่อให้เกิดการรวมตัว อันเป็นพลังผลักดัน
สาคัญทางการเมือง ผู้นาจึงอยู่ในฐานะเหนือประชาชน และถือว่าเจตนารมณ์ของผู้นาเป็น
เจตนารมณข์ องประเทศ ความรสู้ ึกของประชาชนต้องสอดคล้องกบั เจตนารมณ์ของผนู้ า

ผู้นาลัทธินาซีถือว่าตนเองทาอะไรไม่ผิดพลาด ไม่ว่าจะเป็นไปในทาง
ความคิดหรอื การปฏิบตั ิ

ผนู้ าลทั ธินาซีกับพรรคที่มีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิดเป็นอันหนึ่งอัน
เดียว-กนั ปวงชนจะต้องเชอ่ื ฟังพรรคและผู้นา เพราะไม่มโี อกาสจะผดิ พลาดได้เลย

5. หลักการภักดีต่อชาติ ลัทธินาซีเชื่อว่าบุคคลจะเป็นประโยชน์ต่อรัฐและ
สังคมและต่อมนุษยชาติ คือ บุคคลที่มีลักษณะดีเด่น มีความสามารถและเข้าใจเจตนารมณ์ของ
ชาติ สามารถรับใช้ชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ลัทธินาซีพยายามให้ประชาชนมีคุณลักษณะ 2
ประการ คือ ความจงรกั ภักดีต่อชาติ และความเข้าใจปรารถนาของชาติ

6. หลักการเหยียดผิว ลัทธินาซีเชื่อว่าชาวเยอรมันเป็นชาติที่เจริญ ชนชาติยิว
เปน็ ชนชั้นตา่ ต้อย ถ่วงความเจรญิ และเป็นต้นเหตแุ หง่ ความชวั่ ร้ายท้ังปวง แนวความคิดนี้เป็นที่มา
ของ ทฤษฎีเผ่าพนั ธุ์หรอื ทฤษฎีทีว่ ่าด้วยความยิ่งใหญ่แหง่ สายโลหิตของเยอรมัน

7. หลักการให้ความสาคัญกับบุคคล ลัทธินาซีเชื่อว่าความสามารถของ
บุคคลน้ันเป็นสิ่งที่เกิดโดยกาเนิด เผ่าอารยันเป็นเผ่าที่มีความสามารถอย่างยอดเยี่ยม
ความสามารถของชนเผ่านี้มีมาแต่กาเนิด เผ่าอารยันจึงมีความสาคัญกว่าชนเผ่าอื่น เผ่าอารยัน
เป็นผู้เข้มแข็งและแข็งแรงจึงมีสิทธิที่จะปกครองชนเผ่าอื่น และเผ่าอารยันเท่านั้นที่ควรเป็น
ผู้ปกครองโลก การศึกษาแม้จะเป็นสิ่งที่ดี แต่การศึกษาก็ไม่สามารถเปลี่ยนคนที่ไม่ใช่เผ่าอารยัน
เปน็ ชนอารยนั ได้

8. หลักการที่ว่าอานาจต้องมาก่อนสิ่งอื่น ลัทธินาซีเชื่อว่าอานาจเป็นทั้ง
แนวทางทางหรือวิธีการ (mean) และจุดหมายปลาย (ends) ลัทธินาซีชี้ให้เห็นว่าแม้บุคคลที่มี
การศึกษาน้อย แต่มีร่างกายแข็งแรงและจิตใจที่เข้มแข็งก็จะสามารถเป็นประโยชน์และมีคุณค่า
ต่อชาติกว่าคนที่ฉลาดแต่อ่อนแอ การศึกษานั้นควรเน้นในเร่ืองการสร้างร่างกายที่มีสุขภาพ
อนามัยดี มีอุปนิสยั ใจคอทีจ่ งรักภกั ดีตอ่ ชาติ ในด้านความรู้ควรให้เข้าใจด้านอุดมคติมากกวาด้าน
วตั ถุ เพื่อมุ่งหมายสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่ชาติ

รฐั ศาสตร์เบอื้ งตน้ หนา้ 218

9. หลกั จักรวรรดินยิ ม ลัทธินาซียกย่องว่าการขยายดินแดนเป็นสิ่งที่จาเป็นต่อ
รฐั และยกย่องสงครามเป็นสิ่งทีย่ ิง่ ใหญ่พึงปฏิบตั ิ

5.1.3 คอมมิวนสิ ม์ (Communism)
คาว่า “ลัทธิคอมมิวนิสม์” เป็นคาทับศัพท์ของคาว่า Communism ใน
ภาษาองั กฤษ มาจากคาในภาษาลาตินว่า Communisซึ่งแปลว่า ร่วมกัน ลักษณะที่เหมือนกันหรือ
เป็นของกลางร่วมกัน แนวความคิดลัทธิคอมมิวนิสม์เกิดมานับพันปีแล้ว ต้ังแต่สมัยเพลโต
กล่าวคือ ในหนังสืออตุ มรัฐ (The Republic) เพลโตได้เสนอสังคมในอุดมคติหรือสังคมที่มีเอกภาพ
น้ัน จะต้องมีลักษณะคล้ายครอบครัวใหญ่ ทุกคนไม่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนบุคคล (Private
property) และต้องยกเลิกระบบภรรยาคนเดียว ภรรยากับบุตรเป็นสมบัติของสังคมมิให้มีความ
ผูกพันกับบิดาผู้ให้กาเนิด ทฤษฎีนี้เกี่ยวกับสังคมในอุดมคติของเพลโตนี้ มีผู้เรียกว่า Plato’s
communism ทฤษฎีคอมมิวนิสม์ของเพลโตมีลักษณะสาคัญ 2 ประการ คือ1. ยกเลิกการมี
ทรัพย์สินส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน บ้านเรือนหรือเงินทอง แต่บุคคลที่จะอยู่ในฐานะนี้มี 2
ประเภทเท่าน้ันคือ นักปกครองกับทหาร กลุ่มคนเหล่านี้ต้องอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ในโรง
ทหารและรับประทานอาหารร่วมกันและ 2. ยกเลิกการสมรสผัวเดียวเมียเดียว และให้มีการผสม
พันธ์ุตามทีผ่ ปู้ กครองเหน็ สมควร เพื่อทีจ่ ะได้บตุ รที่ฉลาด
ทฤษฎีคอมมิวนิสม์ของเพลโตยึดหลักว่า การขัดแย้งในทางเศรษฐกิจของชน
ชั้นต่างๆ เป็นผลร้ายต่อรัฐบาล และความแตกต่างในฐานะเศรษฐกิจของชนชั้นต่างๆ ยิ่งมีมาก
เท่าใดก็ยิ่งจะเป็นภัยต่อรัฐบาลมากเท่าน้ัน การที่จะกาจัดความเลวร้ายนี้ได้โดยการยกเลิก
ทรัพย์สินส่วนบุคคลในบรรดาชนชั้นปกครอง ทั้งนี้เพื่อที่จะจากัดความโลภของนักปกครองโดย
หา้ มมใิ ห้ชนช้ันปกครองมที รัพย์-สินของตนเอง เพลโตเชื่อว่าเอกภาพของรัฐจะมีไม่ได้หากมีการมี
ทรัพย์สินส่วนตัว กจ็ ะเกิดการแก่งแย่งทรัพย์สินกันเพื่อหวังความร่ารวย ส่วนเร่ืองการสมรส เพล
โตเห็นว่าความรักในครอบครัวหรือความจงรักภักดีต่อผู้หนึ่งผู้ใดในครอบครัวเป็นเคร่ืองบ่ันทอน
ความจงรักภักดีที่มีต่อรัฐ ยกเลิกสายสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดาและบุตร และยกเลิกทรัพย์สิน
ส่วนบุคคลหมดสิน้ ไป รัฐก็จะมีเอกภาพอย่างแท้จริง
แนวความคิดลัทธิคอมมิวนิสต์ในสมัยใหม่บุคคลแรกที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้
วางรากฐานของลัทธิคอมมวิ นิสต์ คือ คาร์ล มาร์กซ์(Karl Marx) เปน็ ชาวเยอรมนี เชื้อสายยิว โดย
จุดเริ่มต้นลัทธินี้เริ่มขึ้นในระหว่างปี ค.ศ.1760 – 1790 ซึ่งเป็นระยะที่การอุตสาหกรรมในยุโรป
กาลังเฟื่องฟู เนื่องจากได้มีการประดิษฐ์เคร่ืองจักรมาใช้ในการผลิตแทนแรงงานคน และได้
ประกอบการผลิตสินค้าแบบที่เรียกว่า Mass Production ซึ่งเรียกภาวะสังคมในยุคน้ันว่า “ยุค
ปฏิวัตอิ ตุ สาหกรรม” การปฏิวตั ิอุตสาหกรรมทาให้เกิดโรงงานขนาดใหญ่ๆ เกิดขึ้นและผลิตสินค้า

รฐั ศาสตร์เบ้ืองตน้ หนา้ 219

ได้อย่างมหึมา ซึ่งโดยสภาพสังคมแล้วน่าจะทาให้มนุษย์มีความสมบูรณ์พูนสุข และมีรายได้มาก
ขึ้น แต่สภาพจริงปรากฏว่าคนงานตกอยู่ในสภาพที่ยากจนและถูกขูดรีดแรงงาน ความร่ารวยตก
อยู่กับพวกนายทุนซึ่งเป็นคนส่วนน้อย พวกคนงานในประเทศอุตสาหกรรม เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส
และเยอรมนั ได้รวมตวั กันจัดตง้ั เปน็ สมาคมแตโ่ ดยมากเป็นสมาคมลับ เพราะกฎหมายไม่อนุญาต
ให้จัดตง้ั ได้

ในปี ค.ศ. 1874 องค์การหรือสมาคมต่างๆ ที่กระจัดกระจายกันอยู่ได้รวมตัว
กันชื่อว่า “สันนิบาตคอมมิวนิสม์” (Communist Leaque) มาร์กซ์และเฟรดริช เองเจลส์ (Friedrich
Angels) ได้รับมอบหมายในที่ประชุมสันนิบาตที่กรุงลอนดอนให้เขียนถ้อยแถลงแห่งคอมมิวนิสต์
(Communism Manifesto) คาแถลงการณ์แล้วเสร็จในเดือนมากราคม ค.ศ.1848 และพิมพ์เป็น
ภาษาเยอรมันเผยแพร่ที่กรุงลอนดอน และต่อมาแปลเป็นภาษาต่างๆ อีกมากมาย

ถ้อยแถลงแห่งคอมมิวนิสต์ได้ยืนยันให้เห็นถึงความดิ้นรนต่อสู้ระหว่างชนช้ัน
ซึ่งมาร์กเห็นว่าเป็นการต่อสู้กันระหว่าง 2 ชนชั้น คือ ชนชั้นกรรมาชีพ (Proletariat) ซึ่งได้แก่
กรรมกร ซึ่งไม่มีทุนและอุปกรณ์การผลิตของตนเอง จาต้องขายแรงงานเพื่อการยังชีพกับชนช้ัน
นายทนุ (Bourgeoisie) การตอ่ สู้ของสองชนชั้นนี้ มาร์กให้ความเห็นว่าผลสุดท้ายชนช้ันกรรมกรจะ
มีชัยชนะ นอกจากนี้มาร์กได้เขียนหนังสือขึ้นอีกเล่มหนึ่งชื่อ ดัส คะบิดาล (Das Kapital) ซึ่งมาร์ก
เสนอให้เห็นวิธีการต่างๆ ที่นายทุนใช้ในการขูดรีดกรรมกร ลัทธิคอมมิวนิสม์ของมาร์ก (Marxian
Communism) เรียกชื่ออกี อย่างหนึ่งว่า Marxism

ลัทธิคอมมิวนิสม์ของมาร์ก ได้แพร่เข้าไปในรัสเซีย เพราะอิทธิพลของ
Communism Manifesto และ Das Kapital ซึ่งแปลเป็นภาษารัสเซีย เม่ือปี ค.ศ.1872 แนวความ
คิดของมาร์กเป็นที่เลื่อมใสของรัสเซียที่ต้องการแก้ไขความไม่เท่าเทียมของบุคคล และคนงานที่
ถูกกดขี่ขูดรีด ในปี ค.ศ.1917 เกิดการปฏิวัติในรัสเซีย พระเจ้าซาร์ นิโคลาส ที่ 2 (Czar Nicholas
II) กษตั รยิ ์รัสเซีย โดยพวกบอลเชวิค (Bolshevic) ภายใต้การนาของอาเลคซานเดอร์เคเร็นสกี้ ทา
การยึดอานาจจากรัฐบาลกษัตรยิ ์และสถาปนาตนเองเป็นประธานาธิบดี ต่อมาเลนินร่วมกับทรอส
กี้ได้ยึดอานาจต่อจาก เคเร็นสกี้ และเปลี่ยนชื่อพรรคบอลเชวิค เป็นพรรคคอมมิวนิสม์ และจัด
ระเบียบการปกครองประเทศตามลัทธิคอมมิวนิสม์และเลนินได้จัดต้ังองค์การกลางบัญชาการ
ปฏิบัติงานของพรรคคอมมวิ นิสมท์ วั่ โลก ซึง่ เรยี กว่า “องค์การคอมมิวนิสม์สากล” ด้วยเหตุนี้คอม
มิวนสิ ม์ท่วั โลกจงึ ยกย่องว่า เลนินเปน็ นักปฏิวตั ลิ ัทธิคอมมิวนิสม์ เม่ือกล่าวถึงลัทธิคอมมิวนิสม์จึง
อาจเรียกอีกนัยหนึ่งว่า ลัทธิมาร์ก – เลนิน (Marxism – Leninism) เพราะมาร์กเป็นนักทฤษฎี
แตเ่ ลนินเป็นนกั ปฏิบัติจึงได้ชือ่ วา่ เปน็ บิดาแหง่ พรรคคอมมวิ นิสม์

รฐั ศาสตร์เบือ้ งต้น หน้า 220

การดาเนินงานของพวกคอมมิวนิสม์มีจุดมุ่งหมายที่จะล้มล้างระบบทุนนิยม
และจัดระบบสังคมขึ้นมาใหม่โดยให้บรรดาทรัพย์สินท้ังหมดจะเป็นของส่วนรวมคือสังคมเท่านั้น
การทีจ่ ะดาเนนิ งานให้บรรลุผลน้ี คอมมิวนสิ ม์มีวธิ ีการปฏิบตั ิ ดังน้ี

1. โอนทรัพย์สินของเอชนมาเป็นของส่วนรวมของรัฐ เว้นไว้แต่สิ่งเล็กๆน้อยๆ
ที่เป็นเครือ่ งใช้สอยส่วนตัว

2. การกระทาทั้งปวงกระทาเพือ่ ชนช้ันกรรมาชีพแตเ่ พียงพวกเดียวเท่าน้ัน โดย
ขจดั ชนชั้นใหห้ มดไปจากสงั คม

3. ลิดรอนเสรีภาพส่วนบคุ คล
การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอานาจรัฐของพวกคอมมิวนิสม์นั้น พลังที่เป็นแกนนา
ภารกิจคือ พรรคคอมมิวนิสม์ ดังที่ เหมาเจ๋อตุง กล่าวไว้เม่ือ ค.ศ.1948 เม่ือจะปฏิวัติก็ต้องมี
พรรคปฏิวัตพิ รรคหนึง่ หากไม่มีพรรคทีก่ ่อตง้ั ข้ึนตามทฤษฎีการปฏิวตั ิตามลทั ธิมาร์กเลนินพรรคห
นึ่งแล้ว กเ็ ปน็ ไปไม่ได้ที่จะนาชนชั้นกรรมาชีพและมวลชนอันไพศาลไปชนะรัฐบาลได้ การต่อสู้แย่ง
ชิงอานาจของพรรคคอมมิวนิสม์นั้น มีลักษณะแตกต่างกับการปฏิบัติการของพรรคการเมืองใน
โลกเสรีทั่วไป ซึ่งจะต่อสดู้ ้วยการส่งสมาชิกเข้าสมคั รรบั เลือกตั้ง พรรคใดได้รับเลือกต้ังมากที่สุดก็
จะมีเสียงข้างมากในรัฐสภาอย่างเด็ดขาด ก็จะเป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาลได้อานาจรัฐไป ส่วนพรรค
คอมมิวนิสม์มิได้จากัดการดาเนินการเพียงเท่านี้แต่ยังได้ใช้วิธีการต่อสู้ด้วยกองกาลังอาวุธหรือ
วิธีการที่ผิดกฎหมายอื่นๆอีกหลายประการ ซึง่ พรรคการเมืองท่วั ไปไม่กระทากนั
การทาความเข้าใจต่อพรรคคอมมิวนิสม์ที่แท้จริง ก็ควรทาความเข้าใจต่อ
ลักษณะต่างๆ 3 ด้าน ก็คือ
1. ด้านการเมือง ซึ่งจะเกี่ยวข้องการทฤษฎี นโยบาย และยุทธศาสตร์และ
ยุทธวิธี พรรคคอมมิวนิสม์ยึดถือลัทธิหรือทฤษฎีมาร์กเลนิน หรือลัทธิเหมาเจ๋อตุง เป็นเข็มทิศใน
การนาทาง ส่วนนโยบายน้ัน พรรคคอมมิวนิสม์ได้กาหนดนโยบายเป็นข้ันๆ โดยเริ่มจากข้ันแรก
ปฏิวัติประชาธิปไตย เพื่อให้ได้มาซึ่งอานาจรัฐก่อน ข้ันต่อมาคือการปฏิวัติสังคมนิยม และข้ัน
สุดท้ายนาสังคมไปสู่สังคมคอมมิวนิสม์ ส่วนด้านยุทธศาสตร์หรือยุทธวิธี พรรคคอมมิวนิสม์มี
ลักษณะการสู้รบด้วยกองทัพที่จัดต้ังขึ้นเพื่อทาสงครามทุกรูปแบบ (ตามลัทธิมาร์กเลนินเรียกว่า
กองทัพปฏิวัติ) พรรคคอมมิวนิสม์จะกาหนดยุทธศาสตร์ไว้อย่างกว้าง 3 ข้ัน คือ ยุทธศาสตร์ขั้น
รับ ยุทธศาสตร์ขั้นยัน ยุทธศาสตร์ขั้นรุก ส่วนยุทธวิธีไม่ได้กาหนดไว้ตายตัวท้ังนี้จะขึ้นอยู่กับ
สถานการณ์และเง่ือนไขที่จะอานวย บางขณะอาจจะต้องใช้รูปแบบการต่อสู้ทางการเมืองหรือ
บางขณะอาจมีความจาเป็นต้องใช้กองกาลังติดอาวุธเข้าต่อสู้ หรือในบางสถานการณ์อาจต้องใช้
ทั้งรปู แบบผสมผสานกันไป

รฐั ศาสตรเ์ บอ้ื งตน้ หนา้ 221

2. ดา้ นการจัดตั้งองค์การ พรรคคอมมวิ นิสม์มีการตัดตั้งพรรคในลักษณะการ
รวบรวมเข้าสมาชิกด้วยวิธีการชีแ้ นะ ให้การศกึ ษาเสนอแนะความคิดทางการเมืองที่สอดคล้องกับ
ผลประโยชน์ ความรู้สึกและความต้องการของประชาชน พรรคจะเลือกใช้จังหวะและโอกาส
เ ลื อ ก เ ปู า ห ม า ย ที่ เ ห ม า ะ ส ม เ ส น อ ใ น สิ่ ง ที่ ป ว ง ช น เ รี ย ก ร้ อ ง แ ล ะ ท า ตั ว ป ร ะ ห นึ่ ง เ ป็ น ผู้พิ ทั ก ษ์
ผลประโยชน์ของมวลชนอย่างแท้จริง ทาให้องค์การพรรคคอมมิวนิสม์มีเอกภาพ มีความกระชับ
มั่นและในทีส่ ดุ สมาชิกพรรคจะเป็นกองกาลงั ทีเ่ ข้มแข็ง

3. ด้านแนวความคิด พรรคคอมมิวนิสม์เคลื่อนไหวเพื่อผูกใจสมาชิกและแนว
ร่วมให้อุทิศตัวเพื่ออุดมการณ์ โดยยึดหลักทางเศรษฐกิจต้องรักษาผลประโยชน์ของชนชั้นผู้ใช้
แรงงาน โดยยึดหลักอานาจทางการเมืองต้องอยู่ในมือชนช้ันผู้ใช้แรงงาน โดยสร้างสรรค์สังคมที่
ปราศจาการขดู รดี และปราศจากชนชั้น โดยใช้เหตุการณ์ที่ประสบพบเห็นความเลื่อมล้าต่อสูงของ
คน ความอยุติธรรมในสังคมและเศรษฐกิจ การกดขี่ขูดรีดของชนชั้นนายทุน ตลอดจนการ
ประพฤติอันมิชอบของชนชั้นปกครอง ด้วยความชิงชังในสิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งหล่อหลอมและ
รวมตัวเป็นความคิดหรือที่เรียกว่าอุดมการณ์ (Ideology) ด้วยเหตุแห่งอุดมการณ์พรรคคอม
มิวนิสม์จึงมีลักษณะรุนแรง ไม่มีลักษณะประนีประนอม มีแต่ลักษณะการทาลายล้างแบบขุดร้าง
ถอนโคน

การดาเนินงานของพรรคคอมมิวนิสม์เพื่อเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสม์ ไม่ว่าใน
ประเทศใดๆ มักมีการดาเนินการเป็น 2 ขั้น คือ การจัดต้ังมวลชน (Mass Organization) และ
จัดต้ังกองกาลังติดอาวุธ (Guerrilla Organization) โดยมีพฤติกรรมในการดาเนินงานต่อสู้รัฐบาล
อยู่ 2 ทาง คือ

1. การต่อสู้ในทางการเมือง (Political Struggle) การต่อสู้ในทางการเมือง
คอมมิวนิสม์ใช้เพื่อการจัดต้ังมวลชน กาหนดความมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ต่อความเป็นอยู่ของ
ประชาชน เพื่อจะได้รับความนิยมชมชอบและสมัครเข้าเป็นสมาชิกหรือเป็นแนวร่วม คอมมิวนิสม์
รณรงคโ์ ดยการโฆษณาชวนเชอ่ื หลอกลวงในพืน้ ที่ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลและ
ธุระกันดาร ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปไม่ถึงโดยการโจมตีชีจุดอ่อนให้เห็นว่ารัฐบาลไม่มี
ความสามารถเพียงพอที่จะทาให้ประชาชนมีความผาสุก อยู่ดีกินดี พร้อมทั้งดาเนินการแทรกซึม
ยแุ หย่ ยุยงส่งเสริมด้วยการสรา้ งเงอ่ื นไขเร่อื งราวต่างๆ เพือ่ ยกความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับ
รัฐบาลใหแ้ ตกแยกและเหินห่างข้ึนจนทาตวั เปน็ ปรปักษ์กับฝาุ ยรฐั บาล

2. การตอ่ สู้ด้วยกาลังอาวธุ (Armed Struggle) การตอ่ สู้ด้วยกาลังอาวุธนฝี้ าุ ย
คอมมิวนิสม์จะเริ่มดาเนินการภายหลังที่สามารถจัดตั้งมวลชนได้เป็นปึกแผ่นแล้ว โดยนาเอา
สมาชิกหรือพลพรรคที่ได้รับการคัดเลือกหรือพิจารณาถึงความเชื่อม่ันและไว้วางใจแล้ว ออกไป

รฐั ศาสตร์เบอื้ งตน้ หน้า 222

ฝึกอบรมวิชาการเมืองและทหารตามที่ต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ คอมมิวนิสม์จะ
ดาเนนิ การจัดต้ังกองกาลังถืออาวุธทาการรบแบบกองโจร จนทาให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพในการ
ปกครอง และยังใช้เป็นกาลังบังคับขู่เข็ญประชาชนให้อยู่ในอิทธิพล และสุดท้ายกองกาลังจะ
ทาลายล้างกาลังฝุายรัฐบาลให้หมดสิ้นไป เพื่อทาการยึดครองพื้นที่จากหมู่บ้านเป็นตาบล จาก
ตาบลเป็นอาเภอ อาเภอเป็นจังหวัดและจากจังหวัดเป็นเขตเป็นภาค และยึดครองท่ัวท้ังประเทศ
ในที่สุด ซึ่งยุทธวิธีนเี้ รียกว่า “ปุาล้อมบ้าน บ้านล้อมเมอื ง เมืองล้อมกรุง หรอื ปุาประสานเมอื ง”

5.2 ลัทธิการเมืองแบบเสรีภาพนิยม
ลัทธิการเมืองที่นิยมเสรีภาพบคุ คล หรอื เรียกกันว่า แบบเสรีภาพนิยม แต่ละลัทธิก็มี
สาระทีส่ าคัญพอสรปุ ได้ดังนี้

5.2.1 ประเภททีใ่ ห้มีเสรีภาพในวงเขตอนั จากดั ได้แก่
1) ลทั ธิเสรีนยิ ม (Liberalism)
ลัทธิเสรีนิยมหรือปัจเจกชนนิยม (Individualism) แนวคิดตามลัทธินี้ต้อง การ
ให้บุคคลมีสิทธิตามธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับชีวิต ทรัพย์สินและโอกาสต่างๆ ที่จะ
ประกอบการตามปรารถนา ไม่ต้องการให้รัฐเข้ามาแทรกแซงทางเศรษฐกิจ สังคมของบุคคล
ต้องการให้กิจกรรมเหล่านี้เป็นไปตามธรรมชาติ ให้มีการแข่งขันโดยผู้ที่มีความสามารถสูงย่อม
ได้รับผลประโยชน์ ต้องการให้กฎธรรมชาติเป็นสิ่งที่กาหนดเสรีภาพของบุคคล ลัทธินี้ต้องการ
จากัดอานาจรัฐให้มีขอบเขตจากัด แต่ในระยะต่อมาก็ได้ยอมรับอานาจรัฐมากขึ้น เช่น ให้มีความ
รับผิดชอบในการกาหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกิจการเศรษฐกิจที่สาคัญลัทธิปัจเจกชนนิยมแบบเก่า
ต้องการให้บคุ คลมีเสรีภาพอย่างเตม็ เปี่ยม แต่ปัจเจกชนนยิ มแบบใหม่ต้องการให้รัฐบาลมีบทบาท
ที่จะเข้ามากาหนดกฎเกณฑ์ทางเศรษฐกิจ ส่วนเสรีภาพทางการเมืองน้ันต้องการให้บุคคลมีมาก
ที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ลัทธิเสรีนิยมเป็นลัทธิการเมืองที่มีความสาคัญ และได้รับความนิยม
แพร่หลายอยู่ในประเทศท่ัวโลก ท้ังนี้เพราะเหตุว่าลัทธิเสรีนิยมมีรูปแบบแตกต่างกันไปใน
รายละเอียด เช่น เสรีนิยมประเภทคลาสสิก เสรีนิยมในยุโรปและอเมริกา เสรีนิยมสมัยใหม่และ
เสรีนิยมในอนาคต เป็นต้น
ก. ความหมาย
เสรีนิยม หมายถึง ความเชื่อและการยอมรับในหลักการ แนวนโยบายและ
วิธีการใดๆ ที่มงุ่ ไปสู่จุดหมายปลายทางที่สาคัญที่สุด คือ การรักษาและเพิ่มพูเสรีภาพของบุคคล
ให้กว้างขวางมากทีส่ ุดเท่าที่จะทาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสรีนิยมในการแสดงความคิดเห็นและการ
แสวงหาความสขุ

รัฐศาสตร์เบือ้ งต้น หนา้ 223

ข. หลักการ
แนวความคิดเสรีนิยมเชื่อว่า โดยพื้นฐานมนุษย์น้ันมิได้เป็นคนเลว แต่มนุษย์
เป็นสัตว์ที่มีเหตุผล ดังนั้น ความร่วมมือ ทางเศรษฐกิจ การเมือง รวมถึง สันติภาพระหว่าง
ประเทศจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ นักเสรีนิยมเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นเป็นเร่ืองการมุ่ง
แสวงหาการพึ่งพาระหว่างกันมากกว่าแสวงหาความมั่นคงทางอานาจ ดังน้ันจึงเป็นที่มาของการ
สร้างสถาบันระหว่างประเทศร่วมกัน รวมถึงจารีต แนวปฏิบัติระหว่างประเทศเพื่อรักษาสันติภาพ
ระหว่างรัฐให้คงอยู่หลักการของเสรีนิยมที่สาคญั ดังตอ่ ไปนี้
1. ให้คุณค่าในการแสดงความคิดเห็นโดยเสรี
2. ถือว่าเสรีภาพในการที่บุคคลจะแสดงออกซึ่งบุคลิกภาพของตนน้ัน เป็นสิ่ง
ที่มคี วามหมายและสาคญั เป็นอย่างยิง่
3. มีความเชื่อว่าการที่บุคคลมีเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิด
สติปัญญาและการกระทาตา่ งๆ น้ันจะเป็นประโยชน์ท้ังต่อตนเองและสงั คม
4. รักษาสถาบันและนโยบายต่างๆ ที่ช่วยให้สามารถปกปูองคุ้มครองและ
เพิม่ พนู การแสดงออกโดยเสรีได้
5. มีความเชื่อถือและยึดมั่นในเสรีภาพว่าเป็นสิ่งสาคัญและสามารถที่จะ
นาไปใช้ได้
6. ไม่ยอมให้มีการใช้อานาจโดยปราศจากการควบคุม และประสงค์จะใช้
วิธีการอน่ื ในทางสังคมเขา้ มาแทนที่การใช้อานาจนน้ั
7. ถือว่าการแสดงออกแห่งบุคลิกภาพน้ันเป็นสิ่งสาคัญที่มีคุณค่า ประโยชน์
และพึงรักษาไว้
8. ไม่พึงใจในการใช้อานาจที่มิชอบ แต่ต้องการให้บุคคลหลุดพ้นจาการใช้
อานาจตามอาเภอใจของผู้มอี านาจ
9. ลัทธิเสรีนิยมปรารถนาที่จะให้การควบคุมสังคมทางการเมืองในลักษณะที่
มิใช่เปน็ เร่ืองของบุคคล คือ ไม่ใช่เป็นอานาจของบุคคลใดหรือกลุ่มใดโดยเฉพาะ แต่เป็นอานาจที่
เกิดข้ึนจากหลักการที่ถกู ต้อง เชน่ การยึดหลกั แหง่ กฎหมาย และหลักการตลอดโดยเสรี
10. ลัทธิเสรีนิยมให้ความสาคัญแก่บุคคลเป็นอย่างยิ่ง ดังน้ัน พวกเสรีนิยมจึง
มกั เปน็ ปัจเจกชนนิยมด้วย นอกจากนั้นเสรีนิยมยังสนับสนุนความเป็นพหุนิยม น่ันคือ ไม่ต้องการ
ให้กลุ่มใดมีอานาจแต่เพียงกลุ่มเดียว หรือมีการรวมอานาจโดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเป็น
พิเศษ ให้ประชาชนสามารถรวมกลุ่มได้โดยเสรี ต้องการให้มีการปกครองท้องถิ่น ยกย่องวิธีการ
แสวงหาความยินยอมและการชักจูงเพือ่ ให้เกิดการยอมตามเสรี

รัฐศาสตรเ์ บือ้ งต้น หน้า 224

11. เสรีนยิ มเป็นลัทธิที่ตอ้ งการใหบ้ คุ คลมีเสรีภาพในการหาความสุขและความ
คิดเห็น ยึดหลกั กฎธรรมชาติเป็นรากฐาน (ซึ่งถือว่าเป็นสิง่ ซึง่ อาจรไู้ ด้โดยใช้เหตุผล)

ค. จุดหมายปลายทาง ลัทธิเสรีนิยมมีความมุ่งหมายที่ถือว่าเป็นจุดหมาย
ปลายทางหลายประการ คือ

1. ต้องให้มีเสรีภาพในลักษณะที่เป็นสิ่งที่อานวยประโยชน์ได้ และสามารถ
ปฏิบัติได้และบคุ คลพึงมีและใชเ้ สรีภาพในทางปฏิบัติได้อย่างจริงจัง

2. ต้องการเสริมสร้างให้บุคคลได้รับโอกาสและมีความสามารถที่จะ
แสดงออก และเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวนี้ ลัทธิเสรีนิยมจึงต้องการให้ใช้วิธี
ดงั ตอ่ ไปนี้ คอื จดั ใหม้ ีการแบ่งปันเสรีภาพโดยเท่าเทียมกัน เลิกการผูกขาดต่างๆ ขจัดอภิสิทธิ์ใดๆ
ของบคุ คล ให้มีกฎหมายที่ใชบ้ ังคับได้ท่ัวไป การกาหนดนโยบายและกฎหมายทั้งหลายโดยการใช้
หลักของเหตผุ ลอนั ชอบ

3. มุ่งขยายโอกาสต่างๆ ให้บุคคลโดยท่ัวไป ซึ่งการขยายโอกาสนี้อาจต้อง
อาศัยรัฐให้เข้ามาดาเนินการต่างๆ เพื่อรัฐสามารถเพิ่มขยายโอกาสให้บุคคลอย่างกว้างขวางและ
เท่าเทียม

4. ลัทธิเสรีนิยมน้ันสนับสนุนวิทยาศาสตร์ วิทยาการและการทดลองต่างๆ ที่
จะเปน็ ประโยชน์แก่ส่วนรวม

5. ไม่ต้องให้มีการแทรกแซงโดยรัฐ วัตถุประสงค์ในข้อนี้ลัทธิเสรีนิยมดั้งเดิม
ถือว่าการแทรกแซงโดยรฐั เป็นสิ่งทีไ่ ม่ชอบ และจะเป็นการจากัดเสรีภาพของบุคคลเป็นอย่างมาก
ลทั ธิเสรีนิยมดั้งเดิมจงึ มลี ักษณะเป็นอดุ มคติ

แต่เสรีนิยมในปัจจุบันถือว่า การแทรกแซงโดยชอบของรัฐนั้นอาจจะต้อง
กระทาบ้าง แต่ในขอบเขตที่จากัดและจะต้องมีเหตุผลโดยชอบ คือ ความยุติธรรมของบุคคล จึง
ถือว่า “เป็นการแทรกแซงเพื่อเพิ่มพนู เสรีภาพของบคุ คล” ที่ต้องการให้รัฐเข้ามาช่วยเหลือบ้างนั้น
เพราะเหตุว่าถ้ารัฐไม่เข้าแทรกแซงเลย อาจทาให้บุคคลขึ้นอยู่กับธรรมชาติ สังคม กลุ่มและ
อานาจทางเศรษฐกิจมากเกินไป ซึ่งจะก่อใหเ้ กิดผลเสียกบั บุคคลนั้นเอง

6. การขยายสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง คือ มุ่งขยายสิทธิดังกล่าวให้กับ
ประชาชนโดยท่ัวไป เพือ่ ให้ได้สามารถมีส่วนในการปกครองประเทศ

7. จากการวิวัฒนาการทาให้เสรีนิยมในยุดหลังมุ่งยึดหลักเหตุผล และสภาพ
ความเป็นจริงด้วย เชน่ พิจารณาถึงความต้องการของสงั คม ปัจจยั และโอกาสต่างๆ ที่บุคคลใช้ได้

ง. ประเภทของลทั ธิเสรีนิยม
1. เสรีนยิ มประเภทคลาสสกิ

รฐั ศาสตร์เบือ้ งตน้ หน้า 225

เสรีนิยมประเภทนี้จัดว่าเป็นเสรีนิยมที่เกิดขึ้นในระยะแรก มีลักษณะเป็นลัทธิการเมือง
และเป็นโครงการทางการเมือง ได้เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษระหว่างยุคการปฏิบัติกลอเรียส ใน
ค.ศ.1688 ลัทธิเสรีนิยมมีจุดเริ่มต้นสาคัญในศตวรรษที่ 17 โดยนักปรัชญาชาวอังกฤษชื่อจอห์น
ล๊อค (John Locke) ทั้งนี้โดยสืบเน่ืองจากทฤษฎีสัญญาประชาคมแนวคิดของล๊อคและของนัก
ทฤษฎีอื่นๆซึ่งรวมกันแล้วเรียกว่า “เสรีนิยมแบบต้นตารับ” หรือ “เสรีนิยมแบบคลาสสิก”
(classical liberalism) ประกอบด้วยหลกั การ 8ประการ

1) เสรีภาพของปัจเจกชน ลัทธิเสรีนิยมให้ความสาคัญกับเสรีภาพของ
ปัจเจกชนคือแต่ละคนเร่ืองการเมืองเศรษฐกิจศาสนาแต่ให้จากัดบทบาทและอานาจรัฐองค์การ
ศาสนาและกองทัพซึ่งอาจทาให้เกิดการกระทบกระเทือนเสรีภาพการเน้นย้าเร่ืองเสรีภาพของ
ปัจเจกชนนี้ชัดเจนยิ่งในข้อเขียนในศตวรรษที่ 19 ของนักปรัชญาอังกฤษจอห์นสจวร์ตมิลล์ (John
Stuart Mill, 1806-73) มิลล์ถือว่ารัฐไม่มีสิทธิ์ที่จะปิดปากปัจเจกชนแม้ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่มีเสียงน้อย
ที่สดุ คือกระแสเสียงเดียวซึ่งเห็นแตกต่างจากผู้อ่นื

2) มนุษย์โดยธรรมชาติเป็นคนดีตามทฤษฎีสัญญาประชาคมของจอห์น
ล๊อคในสภาวะแหง่ ธรรมชาติยุคเก่าก่อนมนุษย์อยู่แบบไม่มีปัญหาอะไรมากที่ขาดคือความสะดวก
ในการอยู่รว่ มกันจึงได้ทา “สญั ญา” เพื่อตั้งรฐั ขึน้ มา

3) หลักเหตุผลผู้มีแนวคิดเสรีนิยมตระหนักดีว่ามีปัญหานานาประการ
ในโลกทั้งเร่ืองปัจจัย 4 และปัญหาอื่นๆแต่มิได้อ้างง่ายๆว่ามนุษย์มีธรรมชาติแห่งการเป็นคนเลว
หากเป็นเช่นน้ันย่อมเป็นการปิดทางแห่งการแก้ไขนักเสรีนิยมมองว่าบรรดาปัญหาเหล่าน้ัน
สามารถแก้ไขได้โดยใช้หลักเหตุผลด้วยการพิจารณาถึงสาเหตุที่แท้จริงซึ่งผลสุดท้ายมักจะ
เกี่ยวข้องกับการขาดความรู้ขาดความเข้าใจและขาดการศึกษาการมองเหตุผลทา นองดังกล่าว
ย่อมสามารถนาไปสู่การแก้ไขเยียวยาปัญหาต่างๆได้ในภายหลังดังนั้นจะเห็นว่านักเสรีนิยมให้
ความสนใจกบั การศึกษาแบบกว้างๆอย่างที่เรียกว่า “ศิลปศาสตร์ศึกษา” (liberal education) เพื่อ
ความเจรญิ แหง่ สตปิ ญั ญาเพื่อที่จะใช้เหตผุ ลได้ถกู ต้องนักเสรีนยิ มไม่ทึกทกั ว่าปัญหาเกิดขึ้นเพราะ
มนษุ ย์มสี ันดานไมด่ ีแต่เหน็ วา่ เปน็ เพราะขาดความรแู้ ละอีกสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะสภาวะทางสังคม
เป็นปัจจยั สาคญั ทางเศรษฐกิจและอืน่ ๆที่ผลักดันให้เกิดอาชญากรรม

4) เชื่อในความก้าวหน้าโลกอนาคตอาจทาให้ดีขึ้นได้ด้วยการกล้า
เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง นั ก เ ส รี นิ ย ม ไ ม่ ติ ด เ ก า ะ อ ยู่ กั บ ค่ า นิ ย ม ห รื อ ส ภ า พ ก า ร ณ์ เ ดิ ม นั ก เ ส รี นิ ย ม ก ล้ า
เปลีย่ นแปลงโดยใช้เหตผุ ลและต้องไม่ใช้วธิ ีการรนุ แรง

5) ความเสมอภาคในโอกาสในศตวรรษที่ 19 นักเสรีนิยมยังไม่ “ใจ
กว้างมากพอ” หรอื ยงั “ไม่ไปไกลมาก” ทีจ่ ะสนับสนนุ ให้มสี ิทธิออกเสียงทวั่ กนั หมดในหมู่พลเมือง

รฐั ศาสตรเ์ บื้องตน้ หนา้ 226

(universal suffrage) สิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งของสตรีอเมริกันยังไม่มีกฎหมายรับรอง
จนกระท่ังปี ค.ศ.1920 คือ 2 ปีภายหลังมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่นักเสรีนิยมยุคนั้นให้การ
สนับสนนุ ความเสมอภาคในโอกาส (equality of opportunity)

6) ความเสมอภาคในโอกาสในศตวรรษที่ 19 นักเสรีนิยมยังไม่ “ใจ
กว้างมากพอ” หรอื ยัง “ไม่ไปไกลมาก” ที่จะสนบั สนุนให้มสี ิทธิออกเสียงท่ัวกันหมดในหมู่พลเมือง
(universal suffrage) สิทธิในการออกเสียงเลือกต้ังของสตรีอเมริกันยังไม่มีกฎหมายรับรอง
จนกระท่ังปีค.ศ.1920 คือ 2 ปีภายหลังมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่นักเสรีนิยมยุคน้ันให้การ
สนบั สนุนความเสมอภาคในโอกาส (equality of opportunity)

7) หลักสากลนิยมนักเสรีนิยมแบบคลาสสิกหรือต้นตารับเห็นว่าคุณค่า
หรือค่านิยมบางอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับประเทศใดประเทศหนึ่งแต่เป็นเร่ืองที่จะต้องมีเป็นสากล
ตวั อย่างได้แก่ “สิทธิของมนุษย์” หรอื “สิทธิมนุษยชน” (rights of man)

8) การมีรัฐบาลนักเสรีนิยมเทิดทูนเสรีภาพของปัจเจกชนแต่ยอมรับว่า
อานาจรัฐเปน็ ของจาเปน็ แตภ่ ายในขอบเขต

2. เสรีนิยมแบบปัจจบุ ัน
เท่าทีก่ ล่าวมาข้างตน้ 8 ข้อเป็นความพยายามระบุลักษณะกว้างๆของเสรีนิยม
ทั้งในแนวคิดเดิม (เสรีนิยมแนวเก่า, เสรีนิยมตามตารับ, เสรีนิยมแบบคลาสสิก) ในตอนปลาย
ศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 นนั้ เสรีนิยมแบบคลาสสิกไม่สามารถคงรูปเดิมไว้อย่างเต็มที่
แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลักการและแนวคิดใหม่คือเสรีนิยมในยุคปัจจุบันมีข้อแตกต่างบาง
ประการระหว่างเสรีนยิ มแบบเดิม (หรอื แนวเก่า) กบั แนวปัจจบุ ันดังจะได้กล่าวต่อไป
ประเภทที่ 1 : เสรีนิยมแบบคลาสสิก (สมัยต้นศตวรรษที่ 19) เสรีนิยมแบบเก่า
เน้นเสรีภาพของเอกชนอย่างสูงสุดเสรีนิยมในต้นศตวรรษที่ 19 ไม่ต้องการให้รัฐบาลเข้าไปยุ่ง
เกี่ยวหรือให้ความช่วยเหลือในกิจการของเอกชนโดยไม่จาเป็น ลัทธิเสรีนิยมแบบเก่าต้องการให้
รฐั บาลมีอานาจภายในขอบเขตจงึ สนบั สนนุ ใหม้ ีการควบคมุ ซึง่ กนั และกันหลายทอดเช่น 1) ให้ฝุาย
นิตบิ ญั ญัติคุมฝุายบริหาร 2) ให้ฝุายบริหารควบคุมฝุายนิติบัญญัติ (บางส่วน) 3) ให้ฝุายตุลาการ
ถูกควบคุมบางส่วนและศาลมีบทบาทในการควบคุมฝุายนิติบัญญัติลัทธิเสรีนิยมแนวเก่าเป็น
รากฐานแห่งความเชือ่ ประชาธิปไตยเพราะประชาธิปไตยเน้นเรือ่ งตัวบุคคลมากกว่ารฐั
ประเภทที่ 2 : เสรีนิยมใหม่ (ศตวรรษที่ 20) วิวัฒนาการกลายเป็นเสรีนิยม
ใหมใ่ นศตวรรษที่ 20 เสรีนิยมใหมห่ ว่ งในเร่ืองสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลแต่เปลี่ยนแนวคิดบ้างคือไม่
รังเกียจทีจ่ ะให้รฐั บาลมีบทบาทในการคุ้มครองผลประโยชน์ต่างๆของบุคคลเสรีนิยมใหม่ไม่ถือว่า
รัฐบาลเป็นศัตรูของเอกชนหรือปัจเจกชนเสรีนิยมใหม่มักยอมรับทัศนะ “ปฏิบัตินิยม” หรือ “เล็ง

รฐั ศาสตร์เบอ้ื งตน้ หนา้ 227

ผลปฏิบตั ิ”(pragmatism) คือยืดหยุ่นเพื่อให้สามารถลงมอื กระทาได้ไม่ยึดม่ันกบั อดุ มการณ์หนึ่งจน
ไม่ยอมเปลีย่ นแปลงหากเหน็ ว่าสิทธิซึ่งเคยเชือ่ ถอื ใช้การไม่ได้เม่ือทดลองปฏิบัติตามดูก็พร้อมที่จะ
เปลี่ยนแปลงทัศนคติหรือความเห็นเพื่อให้เกิดผลดีในทางปฏิบัติเสรีนิยมใหม่ที่ใช้ในความหมายนี้
ตรงกับรากศัพท์ “เสรี” (ลิบร์, libreในภาษาฝรั่งเศส) คือไม่มีอุปาทาน “อคติ” อยู่กับของเดิมหรือ
สภาพที่เปน็ อยู่แล้วเสรีนิยมใหม่เอนเอียงทางสังคมนิยมประชาธิปไตย (democratic socialism) คือ
ยอมให้รัฐบาลเข้ามามีส่วนในกิจกรรมบางอย่างโดยเฉพาะที่เกี่ ยวข้องโดยตรงกับ
สาธารณประโยชน์เช่นกิจการไปรษณีย์การขนส่งการประปาการไฟฟูาเห็นควรให้รัฐวางมาตรการ
ควบคุมอย่างใกล้ชิดในเร่ืองมาตรฐานสินค้าการกาหนดค่าแรงงานและสภาพของการทางานเป็น
ต้น

อาจกล่าวโดยสรุปลัทธิเสรีนิยมเก่า (มีอิทธิพลมากในช่วงต้นศตวรรษที่ 19) มี
แนวโน้มไปทางปัจเจกชนนิยมหรือเอกชนนิยมลัทธิเสรีนิยมใหม่ (ศตวรรษที่ 20) เอนเอียงไปทาง
“ส่วนรวมนิยม” (collectivism) คือการให้รัฐหรือสังคมมีบทบาทในการควบคุมพฤติกรรมของ
มนุษย์

3. เสรีนิยมทางเศรษฐกิจ
นอกจากลัทธิเสรีนิยมคลาสสิกจะได้ให้ความสาคัญแก่เสรีภาพทางการเมือง
ของบคุ คลแล้ว ก็ได้มุ่งสร้างเสรีภาพในด้านเศรษฐกิจด้วย อาจกล่าวได้ว่าเสรีนิยมคลาสสิกที่เกิด
ในองั กฤษและได้เกิดหลักปรชั ญาทีก่ ่อให้เกิดหลักการสาคญั 2 ประการ คือ

1. เสรีภาพทางการเมอื งการปกครองของประชาชน และเสรีภาพบุคคล
ของเอกชน

2. เสรีภาพทางเศรษฐกิจของบุคคล
สาหรับเสรีนิยมในเร่ืองทางเศรษฐกิจ (economic liberalism) ได้เกิด
ทฤษฎีทางเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ได้มีนักเศรษฐศาสตร์แบบเสรีนิยมเกิดขึ้นใหม่ในอังกฤษในยุค
นั้น นาโดยอดัมสมิท (Adam Smith) อดัม สมิท และนักเศรษฐศาสตร์สานักเสรีนิยมของอังกฤษ
มิได้เป็นกลุ่มแรกหรือกลุ่มเดียวที่ได้คิดทฤษฎีเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ แต่ถือได้ว่าเป็นกลุ่มนัก
เศรษฐศาสตร์สานักเสรีนยิ มที่มอี ิทธิพล
หลักเสรีนยิ มในเรือ่ งทางเศรษฐกิจของอังกฤษประเภทคลาสสกิ มีดังนี้
1. ในทางนิตินัย ต้องการให้มีการทานิติกรรมโดยเสรีและใช้หลัก
กฎหมาย

รฐั ศาสตร์เบ้อื งต้น หนา้ 228

2. ในทางเศรษฐกิจ จะต้องปล่อยให้มีตลาดสามารถควบคุมตนเองได้
ไม่ต้องการให้มีผูกขาดในการตลาด (แบบพาณิชย์นิยม) และไม่ต้องการให้มีการแทรกแซงทาง
การเมอื งตอ่ ทางการตลาดดว้ ย

3. ในทางสังคม ต้องการให้ใช้หลักความสมัครใจของบุคคล และการ
ร่วมมือโดยเสรีเพื่อประโยชน์ร่วมกนั

เสรีนิยมในเร่ืองทางเศรษฐกิจปัจจุบัน เซย์มูร์ มาร์ติน ลิบเส็ท (Seymour M.
Lipset) นกั สงั คมวิทยาทางการเมืองที่มีชื่อมากของสหรัฐอเมริกาได้แบ่งเสรีนิยมออกเป็นเสรีนิยม
ทางเศรษฐกิจและเสรีนิยมทีไ่ ม่ใชเ่ รือ่ งทางเศรษฐกิจ

ประการแรกเสรีนิยมในเร่ืองทางเศรษฐกิจ (economic liberalism) เห็นว่า
รัฐบาลควรสงเคราะหป์ ระชาชนในเรอ่ื งทีเ่ กีย่ วกบั เรื่องปากท้องและสวัสดิการโดยทัว่ ไป เชน่

1) ให้มีการประกันสุขภาพคือเม่ือปุวยก็ได้รับการรักษาโดยไม่ต้องเสีย
ค่าบริการหรอื เสียแต่เพียงเล็กน้อย

2) มีการจา่ ยเงนิ ทดแทนเมื่อตกงาน (การประกันการว่างงาน)
3) สนับสนุนให้ชนชั้นกรรมาชีพได้รายได้สูงขึ้นและสนับสนุนองค์การ
กรรมกร
4) ให้เก็บภาษีที่แตกต่างกันมากระหว่างคนจนกับคนรวยคือให้คนรวย
เสียในอัตราสูงกว่าของคนจน (เก็บภาษีแบบก้าวหน้าหรือภาษีเสริม) ผลการวิจัยพบว่าผู้มีรายได้
น้อยหรอื มีการศกึ ษาน้อยสนบั สนนุ เสรีนยิ มทางเศรษฐกิจมากท้ังนีเ้ พราะได้ประโยชน์โดยตรง
ประการที่สองเสรีนิยมในเร่ืองอื่นๆที่ไม่ใช่เศรษฐกิจโดยตรง (non-economic
liberalism) เสรีนิยมประเภทนี้ตรงกับรากศัพท์ของคาว่าเสรีที่แปลว่าเป็นอิสระไม่ผูกพันกับ
อุปาทานหรอื การมอี คติรายละเอียดมีดังน้ี
1) มีใจกว้าง
2) สนบั สนุนสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคดิ เห็น
3) ไม่หลงในหมพู่ รรคพวกพ้อง
4) ไม่เป็นนักชาตินยิ มจนเกินขอบเขต
5) ไม่หลงงมงายในลทั ธิศาสนา
6) ไม่นิยมวิธีรนุ แรง
7) เห็นความดีงามของชาติอื่นๆ บ้างด้วยการคบหาสมาคมและไม่
พยายามทาให้ชาติของตนโดดเดีย่ วหรอื ถูกทาให้โดดเดี่ยว
8) การสนบั สนนุ องค์การระหว่างประเทศ

รัฐศาสตร์เบ้ืองต้น หน้า 229

จ. ข้อสังเกตเกีย่ วกบั เสรีนิยม
ลัทธิเสรีนิยมนนั้ มสี ิ่งที่นา่ พิจารณาหลายประการ คือ

1. เป็นสิ่งที่ช่วยเกื้อกูลระบอบประชาธิปไตย เน่ืองจากลัทธินี้ได้ให้
ความสาคัญแก่บุคคลและเสรีภาพซึ่งถือว่าเป็นท้ังหลักเกณฑ์และจุดหมายปลายทางของระบอบ
ประชาธิปไตย

2. เปน็ ลทั ธิที่มคี วามสอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ ตรงที่ว่ายกย่อง
ความสาคญั ศกั ดิศ์ รแี ละเสรีภาพของบุคคล ซึง่ น่าจะเปน็ ผลดีแก่มนุษย์ชาติ

3. แนวความคิดของลทั ธิเสรีนิยมแบบเดิมที่ต้องการให้บุคคลมีเสรีภาพ
เต็มทีโ่ ดยปราศจากการแทรกแซงของรัฐ นา่ จะเหมาะสมกับยุคสมัยหนึ่งซึ่งประชากรน้อย ปัญหา
ไม่มากและไม่ใช่เป็นสังคมอุตสาหกรรมที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ดังน้ัน แนวความคิดหรือ
หลกั การทีน่ ่าจะเปน็ อดุ มคติมากกว่าความเป็นจริงในยุคปัจจุบัน

4. ลัทธิเสรีนิยมนน้ั เช่อื ในความดีงามและคุณธรรมของมนุษย์ ที่น่าจะใช้
เสรีภาพของตนโดยสุจริต ยุติธรรม แต่ในความเป็นจริงมนุษย์มีความบกพร่องมากมาย จึงมัก
ขยายโอกาสประโยชน์และสิทธิของตนไปอย่างกว้างขวาง กลที่ก็คือ ทาให้เกิดการเอารัดเอา
เปรียบ ทาให้ผู้ที่มีความสามารถสูงและสติปัญญาได้เปรียบเหนือบุคคลอื่นหรือผู้ที่สติปัญญาต่า
กว่า ทาให้เกิดช่องว่างระหว่างประชาชนระดับต่างๆ ซึ่งนับว่าเป็นข้อเสียซึ่งเกิดจากลัทธิเสรีนิยม
น้ันเอง

5. สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปทางสังคมและเศรษฐกิจนั้น ทาให้มี
การปรับปรุงเสรีนิยมเสียใหม่จนกระทั่งทาให้เกิดลัทธิเสรีนิยมแนวใหม่ ที่แม้จะเหมือนลัทธิเสรี
นิยมแบบเดิมตรงที่ให้ความสาคัญกับเสรีภาพของบุคคล แต่ก็ต้องการให้รัฐและรัฐบาลเข้ามามี
บทบาทช่วยเหลือให้บคุ คลมีเสรีภาพมากขึน้ โดยเฉพาะผทู้ ี่ยากไร้และผู้ใชแ้ รงงานทั้งหลาย

2) สังคมนิยมแบบประชาธิปไตย (Democratic Socialism) หมายถึง ลัทธิ
การเมืองและเศรษฐกิจทีม่ หี ลักการสาคัญ ดงั ตอ่ ไปนี้

1. การปกครองโดยประชาชน ด้วยการให้ประชาชนปกครองตนเองตาม
วิถีทางประชาธิปไตย

2. ต้องการให้ส่วนรวม (รัฐ) เป็นเจ้าของหรือควบคุมการผลิตบางอย่าง
หรอื กิจการทีส่ าคัญบางประเภทเพื่อประโยชน์สว่ นรวม ในรูปการโอนกิจการบางประเภทเป็นของ
รัฐโดยมีค่าตอบแทนหรอื รฐั ออกกฎเกณฑ์ควบคุมกิจการตา่ งๆ เพือ่ ความเปน็ ธรรม

3. ยอมให้เอกชนดาเนินกิจการทางเศรษฐกิจบางประเภทที่ไม่กระทบ-
กระเทือนผลประโยชน์ของประชาชนโดยทัว่ ไป

รัฐศาสตร์เบอื้ งตน้ หนา้ 230

4. รัฐเป็นผู้ให้หลักประกันความผาสุกและความมั่นคงในชีวิตของ
ประชาชนทกุ คน โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในกิจการตา่ งๆ ทีเ่ กีย่ วข้องกบั ปจั จยั ในการดารงชีพ

หลายประเทศในยุโรปตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอังกฤษได้ให้
ความ สาคัญลัทธิสังคมนิยมเป็นอันมากและได้นาลัทธิสังคมนิยมมาใช้ในประเทศ ในทางปฏิบัติ
ลัทธิสงั คมนิยมแบบประชาธิปไตย มีแนวทางและสาระสาคญั คือ

1. ยอมรับอานาจรฐั สภามากขึ้น โดยใหร้ ฐั สภามากขึ้น โดยให้รัฐบาลได้มี
บทบาทในทางเศรษฐกิจและสังคม ให้รัฐมีส่วนช่วยเหลือและให้หลักประกันแก่ชีวิตของบุคคล
โดยนัยนี้รัฐบาลจึงมีอานาจในการกาหนดนโยบาย ออกกฎหมายต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตาม
วตั ถุประสงค์ดังกล่าว ลัทธิสังคมนิยมประชาธิปไตยจึงมีแนวโน้มไปในทางการเพิ่มอานาจรัฐบาล
ในกิจการบางลักษณะ และพร้อมกันน้ันก็ลดเสรีภาพของบุคคลในเร่ืองน้ันๆ ด้วยหรืออีกนัยหนึ่ง
เปน็ การเพิม่ อานาจรัฐและจากัดเสรีภาพของบคุ คลเพื่อประโยชน์ของประชาชนท่ัวไป

2. ไม่ต้องการให้ใช้วิธีการปฏิวัติหรือวิธีการอันรุนแรงใดๆ ทั้งสิ้น แต่จะ
เข้าไปมีอานาจด้วยวิธีการรัฐสภาเท่านั้น เชน่ การเลือกตั้ง รวมตลอดจนกระทั้งพร้อมที่จะเข้าเป็น
รฐั บาลผสมร่วมกบั รัฐบาลอื่น ซึ่งไม่ใช่เปน็ รัฐบาลสงั คมนิยม

3. ต้องการให้พรรคการเมืองของประชาชน คือ พรรคที่มองในวงกว้าง
มิใช่พรรคของชนช้ันเพือ่ ชนช้ัน (กรรมาชีพ) แตพ่ วกเดียวเท่านั้น

4. ต้องการผสมผสานหลักประชาธิปไตยเข้ากับอุดมคติทางสังคมและ
เศรษฐกิจ ซึ่งข้อนี้แตกต่างกับแนวความคิดของสังคมนิยมแบบมาร์กซิสม์ที่ไม่ยอมรัฐหลัก
ประชาธิปไตย โดยอ้างว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้นเป็นการปกครองของชนช้ัน แต่สังคม
นิยมประชาธิปไตยถือว่ารัฐบาลเปน็ ของประชาชนโดยทัว่ ไปและไม่มีอคติใดๆ ต่อรัฐบาลที่เลือกต้ัง
มาจากประชาชน

5. ใช้หลักการโอนกิจการเป็นของรัฐ รวมตลอดถึงการควบคุมและ
วางแผนกิจการทางเศรษฐกิจโดยรัฐ เพือ่ เปน็ การเพิ่มผลผลิตทางเศรษฐกิจและการจัดสรรรายได้
ให้เป็นธรรม ซึ่งเท่ากับเป็นการยอมรับอานาจทางการเมืองของรัฐบาลเพื่อการพัฒนาทาง
เศรษฐกิจ

6. ให้มีเศรษฐกิจแบบผสม คือ ผสมผสานกิจการทางเศรษฐกิจที่
ดาเนนิ การโดยรัฐบาลและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดาเนินการโดยบคุ คลเข้าด้วยกนั

7. ต่อต้านระบบเผดจ็ การทกุ รปู แบบ
3) อนุรักษ์นิยม (Conservatism) เป็นลัทธิการเมืองที่ให้ความสาคัญกับอดีต
ไม่นิยมการปฏิรปู หากจะมีการเปลี่ยนแปลงก็ควรจะเป็นไปตามสภาของสังคมโดยไม่ต้องทาลาย

รัฐศาสตร์เบือ้ งต้น หน้า 231

คุณธรรมที่ดีงามที่ได้ยึดถือกันมาก่อน เหตุผลมิได้เป็นสิ่งสาคัญเพียงประการเดียวแต่ประเพณีที่
ได้ยึดถือกันมาแต่เดิมนั้นเป็นเคร่ืองพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่ใช้ได้ ควรจะนามาเป็นเคร่ืองยึด
เหนี่ยวการกระทาท้ังหลายในสงั คม

อย่างไรก็ตามแนวความคิดแห่งอนุรักษ์นิยมที่ปรากฏในประเทศต่างๆ อาจจะ
ไม่ตรงกันนักในสาระสาคัญบางประการ เช่น ลัทธิอนุรักษ์นิยมที่นิยมกันอยู่ในสหรัฐอเมริกายอม
ให้มกี ารเปลี่ยนแปลงได้ และยอมรับรับการแตกต่างกันในทางการเมือง ต้องการให้มีเสรีภาพทาง
เศรษฐกิจ ความเท่าเทียมกันทางสังคม ยึดหลักเสียงข้างมากและเชื่อในความก้าวหน้า ส่วนลัทธิ
อนรุ กั ษ์นยิ มในยุโรปและอังกฤษ น้ันยึดม่ันในหลกั ศาสนาดั่งเดิม ยอมรบั การแบ่งชนชั้นแบบเก่า

นอกจากนั้นยังมี ลัทธิอนุรักษ์นิยมขวาขัด ซึ่งต่อต้านท้ังลัทธิคอมมิวนิสต์
สังคมนยิ มประชาธิปไตย สหนิยมและเสรีนิยม ไม่ต้องการมีองค์การระหว่างประเทศ คัดค้านการ
ผสมผสานทางเชื้อชาติ ไม่ยอมให้มีการช่วยเหลือระหว่างประเทศ ส่งเสริมการเชื่อม่ันในพระเจ้า
อนุรักษ์นยิ มขวาจดั นีน้ ิยมกนั ในหมชู่ นบางกลุ่มในสหรฐั อเมริกา

4) สหนิยมแบบประชาธิปไตย หรือสหนิยมแบบทดลอง(Democratic
Collectivism) ลัทธินี้แพร่หลายในสหรัฐอเมริกาและหลายประเทศในยุโรป ได้เกิดขึ้นแก้ไข
ข้อบกพร่องของลัทธิการแบบเสรีนยิ มทีจ่ ากดั อานาจรัฐและลัทธิเศรษฐกิจแบบทุนนิยมให้บุคคลมี
เสรีภาพทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ รวมทั้งเพื่อให้ทันกับปัญหายุคใหม่ เช่น ปัญหาประชากรเพิ่ม
มากขึ้นในอัตราสูง ปัญหาของความขาดแคลนในด้านทรัพยากร หลักการสาคัญของสหนิยม
ประเภทนี้คอื ตอ้ งการใหก้ ารเมอื งการปกครองประเทศเป็นอานาจของประชาชน คือ ให้ประชาชน
ได้ปกครองตนเองอย่างเตม็ ที่ ใหร้ ัฐบาลของประชาชนน้ันเข้าควบคุมกิจการธุรกิจบางอย่างและให้
มีสหพันธ์กรรมกร ออกกฎหมายเพื่อกาหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการสร้างสังคมสงเคราะห์และ
กิจการทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของประชาชนน้ันเอง ลัทธิสหนิยมมีลักษณะค่อนไปทาง
สังคมนิยม คือ ให้รัฐหรือรัฐบาลเข้ามารับผิดชอบความผาสุกของประชาชน ลัทธินี้จึงเป็นการ
ส่งเสริมอานาจรัฐและรัฐบาลให้มีมากขึ้นเพื่อจะดูแลและควบคุมให้กิจการทางเศรษฐกิจและ
สงั คม หรอื กิจการอย่างอ่นื เปน็ ไปในลกั ษณะที่ประชาชนพึงได้รบั ประโยชน์อย่างเป็นธรรม

ลัทธิสหนิยมแม้จะเป็นการยกย่องอานาจรัฐหรือรัฐบาล และหากมองดูเผินๆ
ก็เหมือนจะขัดกับลัทธิปัจเจกชนนิยมดั้งเดิม แต่ถ้าศึกษาให้ลึกซึ้งจะเห็นได้ว่ามุ่งรักษา
ความสาคัญของบุคคลทุกคน เพราะถ้ารัฐไม่เข้าแทรกแซงแล้วก็จะมีบุคคลบางคนเท่าน้ันที่จะได้
ประโยชน์ บุคคลส่วนใหญ่ที่มีความสามารถน้อยหรือมีจุดอ่อนอย่างอื่นๆ ก็ไม่อาจที่จะได้
ผลประโยชน์เท่าที่ควร หรือต้องเสียผลประโยชน์อย่างยิ่ง ลัทธิสหนิยมจึงต้องการให้รัฐออก
กฎหมายเพื่อควบคุมกิจการที่กระทบกระเทือนต่อสังคม และแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจสังคมที่ทา

รฐั ศาสตร์เบอ้ื งตน้ หนา้ 232

ให้ประชาชนต้องเดือดร้อน เช่น แก้ปัญหาการว่างงาน ปัญหาค่าครองชีพ ปัญหาการเอารัดเอา
เปรียบต่างๆ ปัญหาที่ปรากฏในกิจการอุตสาหกรรม เกษตร-กรรมและการดารงชีวิตของ
ประชาชนทว่ั ไป

ข้อสงั เกตที่ชดั เจนเกีย่ วกับลัทธิสหนิยม คือ ลทั ธิสหนิยมเกิดจากสาเหตุสาคัญ
ประการหนึ่ง คือ ความล้มเหลวของลัทธิเสรีนิยมทางเศรษฐกิจหรือลัทธิทุนนิยม ลัทธิสหนิยมทา
ให้เกิดหลกั การทีเ่ รียกว่า รัฐสวสั ดิการ ในประเทศที่ใช้รูปการปกครองที่ยกย่องอานาจรัฐอย่างยิ่ง
และมีแนวทางการเมืองในแบบที่จะใช้อานาจเด็ดขาด เช่น ในระบบสังคมนิยมปฏิวัติ (สหภาพโซ
เวียต) ซึง่ ใชล้ ัทธิสงั คมนิยมแบบมาร์กซิสม์ก็ถือว่ามีลักษณะเป็นสหนิยมด้วย คือ รัฐหรือรัฐบาลมี
ความรับผิดชอบสาคัญเพื่อให้รัฐสวัสดิการแก่ประชาชน แต่กฎเกณฑ์ท้ังหลายเพื่อประโยชน์ของ
ประชาชนน้ันได้กาหนดขึ้นโดยคาส่ังและนโยบายของผู้นา หรือคณะผู้นาของพรรคการเมืองที่มี
อานาจท้ังสิ้น โดยที่ประชาชนทั้งปวงจะไม่มีส่วนร่วมในการกาหนดนโยบายที่สาคัญอย่างเต็มที่
เ ห มื อ น ดั ง ที่ ป ร า ก ฏ อ ยู่ ใ น ป ร ะ เ ท ศ ที่ ใ ช้ ลั ท ธิ ก า ร เ มื อ ง ใ น แ บ บ ที่ ย ก ย่ อ ง เ ส รี ภ า พ ข อ ง บุ ค ค ล
(ประชาธิปไตย)

5) ลทั ธิประโยชนน์ ิยม (Utilitarianism)
หลักลัทธิประโยชน์นิยมแนวคิดกลุ่มนี้ต้องการปฏิเสธระบบความคิดที่ตายตัว
ไม่สนใจแรงจูงใจอันเน่ืองมาจากไม่สามารถมองเห็นได้ ดูแต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทา
อย่างเดียว จึงเรียกแนวคิดนี้ว่า ทฤษฎีแนว อันตนิยม (Teleological Theory)เป็นแนวคิดที่อยู่ตรง
กลางระหว่างแนวคิดที่เป็นอัตนิยมและอัญนิยม โดยถือว่าทุกคนเท่าเทียมกันหมด แนวคิดนี้
เกิดขึ้นในปลายคริสตศตวรรษที่ 18 ถึงต้นคริสตวรรษที่ 19 โดยนักปรัชญาชาวอังกฤษ 2 คนคือ
เจอเรมีเ่ บนธมั ผเู้ ปน็ อาจารย์ และจอหน์ สจ๊วตมิลล์ ผู้เป็นลูกศษิ ย์
มิลล์ได้เขียนแนวคิดของเขาลงในงานเขียนอันมีชื่อว่า ลัทธิประโยชน์นิยม
(Utilitarianism)ในปี ค.ศ.1861 ซึ่งแนวคิดของเขาเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หลักมหสุข (The
Greatest Happiness Principle)แนวคิดนี้สืบเนื่องมาจากการยึดความสุขเป็นเปูาหมายหลักในชีวิต
หลักมหสุขในตอนแรกเรียกว่า ลัทธิประโยชน์นิยมแบบการกระทา (Act-Utilitarianism)โดยมี
แนวคิดว่า การกระทาที่จะถือว่าถูกได้นั้น จะต้องเป็นการกระทาที่ก่อให้เกิดความสุขแก่มหาชน
ความผิดของการกระทาอยู่ที่ก่อให้เกิดความทุกข์แก่มหาชน โดยการพิจารณามหสุขนั้นพิจารณา
ผลทีเ่ กิดขึ้นจากการกระทาในแต่ละครั้งการกระทาโดยตัวมันเองไม่ได้ ดี ชั่ว ถูก ผิด แต่ขึ้นอยู่กับ
ว่ามันจะก่อใหเ้ กิดประโยชน์แค่ไหน ลทั ธิน้ีจึงสงั กดั สุขนิยม เพราะถือว่าความสุขเป็นสิ่งดีที่สุดของ
มนุษย์ ดีกับสุขเป็นเร่ืองเดียวกันตัวอย่าง ตารวจจับนักเลงผู้มีอิทธิพลได้และทราบว่า ถ้าส่ง

รฐั ศาสตร์เบ้อื งต้น หน้า 233

บุคคลนี้ข้นึ ฟอู งศาลเขาจะต้องหลุดคดีแน่ จึงทาฆ่าทิ้งด้วยคิดว่า ถ้าเขาตายประชาชนจะเป็นสุข
มากขึ้น ดังนนั้ การฆ่านักเลงจงึ เปน็ ความถูกต้อง

ต่อมาพบว่ายังมีขอ้ บกพร่อง จงึ แก้ไขแนวคิดเสียใหม่ให้มีความเป็นสากลมาก
ยิ่งขึ้น เรียกแนวคิดนี้ว่า “กฎประโยชน์นิยม” (Rule -Utilitarianism) หมายถึง ไม่ต้องพิจารณา
การกระทาในแต่ละคร้ัง แต่ให้พิจารณาว่าถ้าทุกคนกระทาเหมือนกันประโยชน์สุขจะเกิดขึ้นอย่าง
มากตัวอย่าง ถ้าตารวจจับนักเลงผู้มีอิทธิพลได้และจากประจักษ์พยานทาให้มั่นใจได้ว่า เขาเป็นผู้
ทีอ่ ยู่เบื้องหลังความชวั่ มากมาย จับมาดาเนินคดกี ห็ ลุดรอดจากตารางไปได้ทกุ ครั้ง ดังนั้นการยิง
ทิ้งจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ถ้าตารวจทุกคนในโลกยึดหลักการนี้โลกจะเกิดความสงบอย่างแน่นอน
แนวคิดน้เี ปน็ แนวคิดทีม่ คี วามเป็นสากลมากยิ่งขนึ้ กว่าเดิม

ประโยชน์นยิ มจะไม่สนใจแรงจูงใจหรอื เจตนา ตัวอย่างเช่น การช่วยเหลือคนที่
ตกน้าไม่ว่าจะเกิดเพราะสงสารหรือหวังค่าตอบแทนมีผลเท่ากันคือดีเท่ากันเพราะช่วยเหลือชีวิต
คน กลุ่มนี้ตัดสินคนที่การกระทา การดูเจตนาดูได้ยากเพราะอยู่ข้างในใจคน การดูแรงจูงใจคือ
การดอู ดีตของการกระทา การดูผลคือการดูอนาคตของการกระทา

วิธีการคานวณ มหสุขหลักมหสุขบอกว่า “การกระทาที่ถูกคือการกระทาที่
ก่อใหเ้ กิดความสขุ มากทีส่ ุดแก่มหาชนมากที่สดุ ”ดงั นน้ั ในทุกสถานการณ์และทุกสิ่งแวดล้อม เรา
จึงต้องเป็นนักคานวณตลอดเวลาว่า ในแต่ละการกระทาจะก่อให้เกิดความสุขและความทุกข์
เท่าไหร่ เมือ่ หกั ลบแล้ว ถ้าก่อให้เกิดสขุ มากกว่าทุกข์ นั้นเปน็ สิง่ ที่ควรทา ถ้าไม่ทาเราผดิ

เบนธัมเสนอแนวคิดว่า “คนทุกคนมีค่าเท่ากับหนึ่งและไม่มีใครมีค่ามากกว่า
หนึ่ง”ส่วนมิลล์ผู้เป็นลูกศิษย์นั้นได้เสนอแนวคิดที่คล้ายกันว่า “คนทุกคนมีสิทธิในความสุขเท่าๆ
กัน”ด้วยหลักการนี้วิธีการคานวณความสุขจึงต้องกระจายความสุขไปสู่คนทุกคน แนวคิดนี้จึง
ขดั แย้งกับกลุ่มอัตนิยมที่เห็นแก่ตนและอัญนยิ มทีเ่ ห็นแก่ผอู้ ื่นประโยชน์นิยมอยู่ตรงกลาง คือไม่ลด
ค่าตัวเองน้อยกว่าผู้อื่นและก็ไม่ลดค่าผู้อื่นให้น้อยกว่าตน ในการคานวณความสุข ให้นับตนเอง
เปน็ สมาชิกคนหนึง่ เท่า ๆ กับคนอื่น อย่ามีฝกั ฝุายให้ทาตนเป็นตาชั่งที่เที่ยงตรงตัวอย่างเช่น กาลัง
ดูหนังสือสอบ เพื่อนเหงาชวนไปแทงสนุ๊กเกอร์ก็คานวณดูว่า ระหว่างไปเที่ยวกับเพื่อนกับอยู่ดู
หนังสืออันไหนจะเกิดประโยชน์มากกว่ากัน การไปเที่ยวกับเพื่อน ความสุขคือการทาให้เพื่อน
หายเหงา ส่วนการดูหนังสือน้ันมีประโยชน์มากกว่าเพราะทาให้เราไม่ต้องสอบตก เหตุผลนี้ชาว
ประโยชน์นิยมเห็นด้วย แต่ในขณะที่เรากาลังดูหนังสืออยู่นั้น เพื่อนถูกรถชนอยู่หน้าบ้านของเรา
เราตอ้ งเลือกเอาระหว่างเอาเพื่อนไปส่งโรงพยาบาลกับอยู่อ่านหนังสือต่อไป โดยสามัญสานึกเรา
จะต้องพาเพื่อนไปโรงพยาบาลแน่ เพราะชีวิตคนย่อมสาคัญกว่าการสอบตก การสอบตกน้ัน

รฐั ศาสตรเ์ บ้ืองตน้ หนา้ 234

สามารถลงทะเบียนเรียนใหม่ได้ แตช่ ีวติ เพื่อนไม่สามารถเรียกกลับมาได้ถ้าอาการเพื่อนหนักมาก
และไปถึงมอื แพทย์ช้าเกินไป

ในการคานวณเร่ืองมหสุขนั้น สิ่งสาคัญคือเร่ืองเวลาจะมัวมาชักช้าโอ้เอ้อืด
อาดก็ไม่ได้ ดังนั้น ท่านจึงต้องใช้สามัญสานึกและการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ซึ่งการที่ท่าน
ตดั สินใจนาเพือ่ นทีถ่ ูกรถชนไปส่งโรงพยาบาลถือวา่ เปน็ การตัดสินใจทีถ่ กู ต้องแล้ว

มหสุขกบั จารีตประเพณี ศาสนาและกฎหมาย
จารีตประเพณี โดยท่ัวไปควรปฏิบัติตามสิ่งเหล่านี้ ในเม่ือไม่มีเวลาในการ
คานวณหรือชั่งน้าหนัก เพราะการปฏิบัติตามจารีตประเพณีย่อมเกิดประโยชน์สุขมากกว่าโทษ
การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคมถือว่าเป็นความฉลาดรอบคอบอย่างมาก แต่แน่นอน
สาหรับมหสขุ ไม่มกี ฎอะไรที่แน่นอนตายตัว จารีตประเพณีก็หนีไม่พ้นกฎนี้ ตัวอย่างเช่น ในกรณี
จารีตประเพณี เม่ือร้อยกว่าปี มิลล์ เคยเสนอให้คุมกาเนิดเพราะเกาะอังกฤษเล็กนิดเดียว อีก
หน่อยคนจะล้นเกาะถ้าไม่คุมกาเนิด ปรากฏว่าเขาถูกโจมตีหาว่าหยาบช้าปุาเถื่อน แต่ปัจจุบัน
กลายเป็นเร่ืองธรรมดาตัวอย่าง เม่ือ 40 ปีที่แล้ว เบอร์ทรันด์รัสเซ็ลล์ (Bertrand Russell : 1872
– 1969) เป็นนักปรัชญาชาวอังกฤษ เขียนหนังสือชื่อ การสมรสและศีลธรรม (Marriage and
Moral) เขาเสนอให้ผู้ที่จะแต่งงานทดลองอยู่กินกันก่อน แต่อย่าให้มีลูก ถ้าเห็นว่าไปกันได้ ก็ให้
แต่งงาน ถ้าไปกันไม่ได้ ก็ให้เลิกกันจะได้ไม่มีปัญหาต่อลูกและตนเอง ปรากฏว่า เขาถูกด่าหาว่า
เป็นคนลามกอนาจาร สาหรับแนวคิดกลุ่มนี้ ประเพณีไม่ใช่ตัวสุดท้ายที่จะตัดสินว่าควรทาอะไร
แต่ขึ้นอยู่กับว่าประเพณีนั้นมันจะก่อประโยชน์สุขหรือไม่ต่างหาก ดังนั้น ท่าทีที่มหสุขมีต่อจารีต
ประเพณีนั้นจึงเป็นท่าทีที่เป็นกลางๆ ขึ้นอยู่กับการตรวจสอบขั้นสุดท้ายเสียก่อนว่าเป็นประโยชน์
หรอื โทษต่อสงั คม
ทางศาสนามหสขุ ไม่มที ่าทีเป็นศตั รูต่อศาสนาเลย ถ้าศาสนามีหลักคาสอนเพื่อ
ประโยชน์สุขต่อมนุษยชาติ ให้เมตตาเกื้อกูลกัน แต่ถ้าศาสนาดูถูกเหยียดหยามความสุขทางกาย
หรือสอนให้คนเห็นแก่ตัวมุ่งกอบโกยความสุขเพื่อตนอย่างเดียว ท่าทีของมหสุขที่มีต่อศาสนาจะ
เปลี่ยนเปน็ ศัตรูทนั ที ในเรือ่ งของศลี 5ก็เหมอื นกนั เช่น การฆ่ามนุษย์ก็ไม่ได้เปน็ ความเลวในตัวของ
มนั แตข่ ึน้ อยู่กับว่าจะเป็นประโยชน์ตอ่ มหาชนหรือไม่ การประหารชีวิตนักโทษที่มีความผิดรุนแรง
ถ้าสังคมคิดว่าดีทาให้สังคมเป็นสุขมหสุขก็เอาด้วย แต่ถ้าสังคมคิดว่าการประหารนักโทษไม่เกิด
ประโยชน์มีแต่ความสูญเสีย ควรหามาตรการอื่นมาลงโทษและควรยกโทษประหารชีวิตเสีย ถ้า
ท่านมเี หตุผลทีท่ าให้คนอ่นื ยอมรับได้ มหสุขกพ็ ร้อมจะยืนอยู่เคียงข้างกบั ท่านทันที
ในทางกฎหมายโดยหลักการกฎหมายมีไว้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อมหาชน แต่ถ้า
เราตอ้ งการช่วยเหลอื ชีวติ คน บางครั้งกต็ ้องยอมละเมิดกฎหมายเช่นเราขับรถไปส่งคนปุวยหนักที่

รฐั ศาสตร์เบ้อื งตน้ หนา้ 235

โรงพยาบาล พอถึงถึงสแ่ี ยกซึง่ ถนนว่างแตร่ ถเราต้องติดไฟแดง สาหรับประโยชน์นิยมเห็นว่าควร
ที่จะละเมิดกฎหมายด้วยการยอมขับรถฝุาไฟแดงเพื่อช่วยชีวิตคน กรณีนี้ถือว่าใช้ได้ แต่ถ้าขับรถ
ฝาุ ไฟแดงเพื่อจะได้ไปทันดูหนงั ดงั หลังละคร อย่างน้ถี ือวา่ เป็นการกระทาทีใ่ ชไ้ ม่ได้เลย

สรปุ สาหรับมหสุขแล้วไม่มีอะไรที่แน่นอนตายตัว กฎเกณฑ์ทุกอย่างมีไว้เพื่อ
เป็นประโยชน์สาหรับมหาชน แต่ถ้ากฎเหล่าน้ันซึ่งเคยสร้างความสุขและต่อมากลายเป็นการ
สร้างความทุกข์ ก็ไม่ใช่สิ่งยากที่จะเปลี่ยนแปลง กฎมีไว้สาหรับเป็นประโยชน์แก่คน ไม่ใช่มีคน
เอาไว้เป็นทาสกฎ

6) ลัทธิอดุ มคตนิ ิยม (Idealism)
ความหมายตาม พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2542 อุดมคติ
หมายถึง จนิ ตนาการทีถ่ ือวา่ เปน็ มาตรฐานแหง่ ความดี ความงาม และความจริง ทางใดทางหนึ่งที่
มนุษย์ถือว่าเป็น เปูาหมายแห่งชีวิตของตน อุดมคติน้ันประกอบไปด้วยคติ และคุณค่า ซึ่งมี
บทบาทสาคัญในจริยธรรม เพราะ คติ และ คุณค่า ที่ผู้คนยึดถือนั้น ขึ้นอยู่กับลาดับความสาคัญ
ของมันต่อแต่ละคนสาหรับอุดมคตินิยม คนที่อ้างว่ามีความซื่อตรงเป็นอุดมคติ แต่กลับพูดโกหก
เพือ่ ปกปูองเพือ่ นนนั้ แสดงว่าคนๆน้ันมีมิตรภาพเป็นอดุ มคติที่สาคญั กว่าความซื่อตรงอุดมคติ นั้น
ต่างจากวีรบุรุษหรือฮีโร่ซึ่งเป็นแบบอย่างของศีลธรรม จรรยาบรรณ และ ความประพฤติการใช้
อุดมคติในเชิงปฏิบัติน้ันไม่ง่าย ทั้งยังต้องแก้ไขความขัดแย้งระหว่างหลายอุดมคติที่ขัดกัน
บ่อยคร้ังหลักความเชื่อ หรือลัทธิศาสนาจึงกลายเป็นทางออก เพื่อหลีกเลี่ยงผลลัพธ์นี้ เรา
สามารถใชค้ ุณงามความดี ซึง่ เป็นอดุ มคติที่เราสามารถทาให้เป็นนิสัยได้
เป็นลัทธิที่ไม่อคติต่อรัฐ เชื่อว่ารัฐเป็นสิ่งดีงามโดยสมบูรณ์และส่งเสริมให้
บุคคลมีชีวิตที่ดีได้ รัฐมีความรับผิดชอบและบทบาที่สาคัญที่จะส่งเสริมให้บุคคลได้รับประโยชน์
นานาประการด้วยการขจัดอปุ สรรคต่างๆ ของบุคคล ปูองกันสิทธิและประโยชน์ของประชาชน ให้
หลกั ประกันเกีย่ วกบั ความตอ้ งการต่างๆ ที่เป็นวัตถุ ลัทธิอุดมคตินิยมถือว่าจุดหมายที่แท้จริงของ
ชีวิตก็คือ คุณธรรมและศีลธรรมซึ่งอยู่เหนือวัตถุ บุคคลควรจะมีชีวิตที่ดี คือ มีความรู้สึกและ
จิตใจสูง รัฐจะต้องมีหน้าที่ช่วยเหลือส่งเสริมในด้านนี้ ยอมรับให้มีการปฏิรูปสังคมเพื่อผลทาง
ศลี ธรรม
7) ลัทธิซินติกัลป์ลิสม์(Syndicalism) ในภาษาฝร่ังเศสแปลว่า ลัทธิแรงงาน
Syndical แปลว่า “แรงงาน” ส่วนคาว่า Syndic แปลว่า “ผ็จัดการมรดกหรือทรัพย์สิน” เป็นลัทธิ
การเมืองที่ยกย่องกรรมกร ให้ความสาคัญแก่สหพันธ์กรรมกรยิ่งกว่าพรรคการเมือง สนับสนุน
การต่อสู้ของกรรมกรต่อนายทุนและรัฐด้วยวิธีการรวมพลังต่างๆ เช่น การก่อกวน การชุมนุม
การเดินขบวน ถือว่าสหพันธ์กรรมกรเป็นหน่วยงานหลักของสหพันธ์ทางเศรษฐกิจที่เป็นองค์การ

รัฐศาสตรเ์ บอ้ื งต้น หน้า 236

ขนาดใหญ่ ทรัพย์สินทั้งปวงเป็นของสังคม และสหพันธ์กรรมกรจะต้องเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน
เหล่าน้ัน ลทั ธินีป้ ระสงค์ให้สหพนั ธ์กรรมกรมีฐานะเป็นรัฐบาลและกรรมกรเป็นชนชั้นนา ลัทธิซินติ
กัลป์ลิสม์จึงขัดหลักกับหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยท่ัวไป เพราะเป็นการยกย่อง
ประชาชนเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น

8) ลัทธิกิลด์โซเชียลิสม์(Guild Socialism)ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า “สังคมนิยม
สมาคม”เป็นลัทธิที่ต้องการเลิกระบบค่าจ้าง โดยให้บุคคลรวมเป็นกลุ่มอาชีพต่างๆ ให้กิจการ
สาธารณูปโภคเป็นของรัฐ แต่ให้กรรมกรและเจ้าหน้าที่เทคนิคเป็นผู้ดาเนินงาน ตามลัทธินี้ให้
กิจการเศรษฐกิจเป็นเร่ืองของกลุ่มอาชีพต่างๆ กลุ่มอาชีพจะรวมกันขึ้นเป็นกลุ่มใหญ่เรียกว่า
สหพันธ์กลุ่มอาชีพ ส่วนรัฐทาหน้าที่ในด้านการปกครองเฉพาะอย่าง กล่าวโดยสรุปลัทธิกิลด์โซ
เชียลิสม์ มุ่งส่งเสริมสนับสนุนกลุ่มอาชีพต่างๆ และพร้อมกันนั้นก็ให้มีการคุ้มครองผู้บริโภค เห็น
ความสาคัญของกรรมกรและผู้ประกอบอาชีพ ให้ความสาคัญกับกลุ่มอาชีพที่จะมีส่วนร่วมกับ
กิจการของรัฐและกิจการที่เปน็ ประโยชน์ท่ัวไป

9) ลัทธิพหุนิยม (Pluralism)เป็นลัทธิการเมืองที่มุ่งยกย่องให้ความสาคัญแก่
สมาคมต่างๆ ที่บคุ คลรวมกนั ขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นสมาคมเศรษฐกิจหรือสมาคมอื่นใด ยังต้องการให้
มีการคงรัฐเอาไว้แต่ให้รัฐมีจานวนน้อย โดยให้สมาคมเหล่านี้เป็นอิสระและมีเสรีภาพในการ
ดาเนนิ งาน รวมทั้งมีส่วนใช้อานาจอธิปไตยกับรัฐบาล ลัทธิพหุนิยมจึงเป็นลัทธิที่ต้องการส่งเสริม
อานาจและเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสรีภาพในการรวมกลุ่มและการแสดงออก
ต่างๆ ของบุคคล

5.3 ประเภทที่ให้เสรีภาพแก่บุคคลโดยไม่จากัดลัทธิการเมืองที่เน้นเสรีภาพของ
บคุ คล หรอื ทีเ่ รยี กกันว่า “นิยมเสรีภาพ” ซึ่งจะทาให้อานาจรฐั มไี ม่มากหรือไม่มีเลย ได้แก่

ลัทธิการเมืองแบบอนาธิปไตย เป็นลัทธิการเมืองที่ยึดถือและยกย่องเสรีภาพ
ของบุคคลอย่างเตม็ ที่ถือวา่ รัฐและรฐั บาลเปน็ สิ่งช่วั ร้าย เพราะเป็นอุปสรรคต่อเสรีภาพของมนุษย์
จึงต้องทาลายล้างรัฐและการปกครอง ตามลัทธินี้อานาจของรัฐจึงไม่ควรมีอยู่และมีปริมาณ
เท่ากบั ศนู ย์ แตเ่ สรีภาพของบุคคลแต่ละคนจะต้องมีอย่างเต็มที่

6. สรปุ
ปรชั ญา จงึ แปลว่า “ความรู้อันประเสริฐ” ซึ่งหมายความว่า “ความรู้ที่ปราศจาก

ข้อสงสยั แล้ว” คาวา่ “Philos” แปลว่า ความรัก และคาว่า “Sophia” แปลว่า ความรู้ ฉะนั้นคาว่า
Philosophy จึงแปลว่า “ความรักในความรู้” (Love of Wisdom) ปรัชญามีลักษณะเป็น
แนวความคิด เป็นทฤษฎี เป็นนามธรรม เป็นมโนภาพ เป็น อุดมคติ อุดมการณ์ ปรัชญา

รฐั ศาสตร์เบ้ืองตน้ หนา้ 237

การเมือง (Political Philosophy) เป็นความพยายามศึกษาถึงธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
กับการเมือง ความถูกต้องเหมาะสม ความดีงามของระเบียบทางการเมือง ตลอด จนเป็นความ
พยายามคิดค้นหาแนวความคิดมาชี้นากาหนดความดีขึ้นหรือเลวลงของการกระทา ปรัชญา
การเมอื งกรีกสมยั โบราณ โดยเฉพาะแนวความคิดของโซเครติสเพลโต และอริสโตเติล

ลัทธิ (Doctrine) คือความคิด ความเชื่อ คาสั่งสอนที่มีผู้เชื่อถือและมีอิทธิพลต่อการ
ดาเนนิ ชีวติ ของมนษุ ย์ซึง่ มีลกั ษณะเป็นแบบแผน ความคิด ความเชื่อนี้จะเป็นที่นิยมและยอมรับใน
กลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรืออาจจะหลายกลุ่ม เช่น ลัทธิทางการเมือง ลัทธิเศรษฐกิจ ลัทธิ
ปรัชญา ลัทธิทางศาสนา ลัทธิการเมือง (Political Doctrine) กับอุดมการณ์ทางการเมืองมี
ความหมายเหมือนกัน คือ ระบบความคิด ความเชื่อ หรือความศรัทธาของกลุ่มสังคมใดสังคม
หนึ่งที่มีต่อระบบการเมือง การปกครอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นรูปแบบของการเมือง หลักในก าร
ปกครอง วิธีดาเนินการปกครอง ใครเป็นผู้มีอานาจในการปกครอง มีบทบาทและอานาจ
กว้างขวางเพียงใด ความสมั พนั ธ์ระหว่างผู้ปกครองและผู้ใต้ปกครองจะมีลักษณะอย่างไร ผู้อยู่ใต้
ปกครองจะมีสิทธิและเสรีภาพมากน้อยแค่ไหน ทฤษฎีการเมืองนี้เป็นรากฐานที่สาคัญประการ
หนึ่งที่ช่วยให้ลัทธิทางการเมืองได้ก่อรูปขึ้น ลัทธิทางการเมืองอาจนาเอาแนวความคิดหลายแนว
ปรชั ญาการเมอื ง ทฤษฎีการเมืองหลายส่วนมาผสมผสานกนั

อุดมการณท์ างการเมอื ง หมายถึง ระบบความคิดหรอื ความเชื่ออนั เกี่ยวเน่ืองกับการ
ปกครองประเทศ ซึ่งเป็นคุณลักษณะประการหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในชุมชนทางการเมืองทุกแห่ง
อุดมการณ์เป็นแรงชักจูงใจที่เป็นเสมือนแรงผลักดันทาให้เกิดการกระทาสิ่งใดสิ่งหนึ่งสังคม
อุดมการณ์เป็นแรงดลใจให้เกิดความเชื่อฟัง และในที่สุดก็จะนาไปสู่การปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วย
ความรบั ผดิ ชอบ อุดมการณ์เป็นลักษณะของความเชื่อถือยึดมั่นที่มีความแน่นอนอันหนึ่งอันเดียว
ซึ่งมีอิทธิพลในการสร้างทัศนคติและพฤติกรรมของมนุษย์ให้เป็นไปในแนวใดแนวหนึ่ง ลัทธิทาง
การเมืองและอุดมการณ์เมืองมีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิดและมีส่วนเกื้อกูลสนับสนุนกัน
อุดมการณท์ างการเมอื งหนึ่งอาจสอดคล้องกับลัทธิทางการเมืองหนึ่งหรือลัทธิทางการเมืองอื่นๆ
ในประเภทเดียวกัน แตอ่ าจขัดกบั ลัทธิทางการเมอื งหนึง่ หรอื ลทั ธิทางการเมอื งอน่ื ๆ ก็ได้

รัฐศาสตร์เบื้องตน้ หนา้ 238

บทที่ 6
ระบบการเมืองและการเมืองเปรยี บเทยี บ

ระบบการเมืองที่ใช้อยู่ในประเทศต่างๆ มีหลายแบบหลายอย่าง ท้ังที่คล้ายคลึงกัน
เป็นแบบเดียวกนั กม็ ีและแตกต่างกันกม็ ี ระบบการเมอื งเท่าที่ปรากฏอยู่โดยทว่ั ไปน้ัน มีทั้งลักษณะ
ที่เป็นระบบใหญ่หรือเป็นระบบรองในระบบใหญ่ อย่างไรก็ดีอาจกล่าวถึงลักษณะของระบบ
การเมอื งได้ ดังน้ี

1. ลกั ษณะสาคัญของระบบการเมือง
ระบบการเมืองทุกระบบจะปรากฏคุณลักษณะบางประการและแน่นอนชัดเจน น่ัน

คือมักจะมีส่งิ ตอ่ ไปนีป้ รากฏใหเ้ ห็นอยู่เป็นประจา่ แนน่ อน สม่าเสมอตามควร คือ
1. มจี ุดหมายปลายทาง ในทางการเมอื งอย่างใดอย่างหนึง่ หรอื หลายอย่าง
2. มีองค์การ ซึ่งมีหน้าที่และความรับผิดชอบ โดยเฉพาะในการใช้อ่านาจทาง

การเมอื งตา่ งๆ
3. มีกระบวนการ ในการใชอ้ า่ นาจตามขั้นตอนและวิธีการทีไ่ ด้กา่ หนดขนึ้
4. มีหลกั การสา่ คญั ทีไ่ ด้ก่าหนดขึน้ เพือ่ ใชเ้ ปน็ เกณฑใ์ นการจดั ตงั้ องค์การหรือในการ

ด่าเนินการตามกระบวนการ หลักการนี้เป็นไปเพื่อก่าหนดลักษณะในการใช้อ่านาจให้เป็นไปใน
แนวใดแนวหนึ่ง เช่น ระบบการเมืองบางระบบใช้หลักการรวมอ่านาจอย่างเต็มที่ บางระบบใช้
หลักการกระจายอา่ นาจ บางประเทศใช้หลักการมอบอ่านาจให้กับองค์การหรือหน่วยอ่านาจทาง
การเมืองเป็นพิเศษ เช่น ระบบการเมืองแบบรัฐสภา ก็มีหลักการที่ให้อ่านาจกับหน่วยนิติบัญญัติ
ให้ใช้อ่านาจสูงสุดแต่หน่วยเดียว บางแห่งก็ใช้หลักการแยกอ่านาจออกเป็น 3 ส่วน คือ ให้แต่ละ
องค์การหรือแต่ละหน่วยอ่านาจทางการเมือง เช่น หน่วยอ่านาจนิติบัญญัติ หน่วยอ่านาจบริหาร
และหน่วยอ่านาจตุลาการ มีอ่านาจเป็นของตนเองโดยเฉพาะเท่าเทียมกัน ดังนั้นหน่วยอ่านาจ
เหล่านีส้ ามารถคานอา่ นาจกันได้

5. มีอุดมการณ์ หมายถึง ความเชื่อม่ันและศรัทธาในคุณค่าอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ
หลายอย่าง และอดุ มการณน์ ีเ้ ปรียบเสมือน “พลงั หรอื แรงดลใจ” ที่ปรากฏในระบบการเมอื งนน้ั

6. มีรูปแบบแห่งโครงสร้าง หมายถึง การก่าหนดสถานภาพ ต่าแหน่ง ที่ต้ังของ
องค์การทางการเมืองต่างๆ และความสัมพันธ์ระหว่างองค์การดังกล่าวในลักษณะหรือแนวทาง
อย่างใดอย่างหนึ่งตามที่เห็นว่าเหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการ อุดมการณ์และให้

สามารถดา่ เนินการตามกระบวนการทีก่ ่าหนดข้ึนได้ เพื่อให้สามารถบรรลุถึงจุดหมายปลายทางที่
ปรารถนา

นักรัฐศาสตร์ได้มีการพิจารณาลักษณะร่วมของระบบการเมือง เช่น Gabriel A.
Almond และ Robert A. Dahl ได้เสนอลกั ษณะร่วมของระบบการเมอื งตา่ ง ดังน้ี

Almond เห็นว่าระบบการเมืองทุกระบบไม่ว่าจะแตกต่างกันอย่างไรก็ตาม ระบบ
การเมอื งเหล่านั้นต้องมีลกั ษณะร่วม 4 ประการ คือ

ประการแรก ระบบการเมอื งทุกระบบจะต้องมีโคร้างสร้างหน้าที่ (Political Structure)
ไม่ว่าระบบการเมืองน้ันจะมีระดับการพัฒนามากน้อยเพียงใด (ระดับของการพั ฒนาท่าให้
โครงสร้างทางการเมืองมีลักษณะและรูปแบบของการท่างานเฉพาะด้านตามความช่านาญ
(Specialization) แตกต่างกนั ไป)

ประการที่สอง ระบบการเมืองทุกระบบจะต้องมีหน้าที่ (Function) ที่เหมือนกันไม่ว่า
หน้าที่น้ันจะกระท่าโดยโครงสร้างทางการเมืองใดๆ (ซึ่งในทางปฏิบัติของโครงสร้างที่ท่าหน้าที่
ต่างๆ ย่อมแตกต่างกนั ไปตามรูปแบบ ลักษณะและความชา่ นาญ)

ประการทีส่ ามระบบการเมอื งทกุ ระบบจะต้องมีหน้าทีห่ ลายด้าน (Multifunction)
ประการที่สี่ ระบบการเมืองทุกระบบเป็นระบบผสม (Mixed) ทางด้านวัฒนธรรม
กล่าวคือ ไม่มีระบบการเมืองใดที่จะมีวัฒนธรรมและโครงสร้างทันสมัยในทุกสิ่ง (all – modern)
และไม่มีระบบการเมืองใดที่ล้าหลังไปเสียทั้งหมด (all – primitive) กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ระบบ
การเมืองทุกระบบต้องมีส่วนทีทันสมัยและส่วนที่ล้าหลัง ระบบการเมืองใดมีส่วนที่ทันสมัย
มากกว่าส่วนทีล่ ้าหลังก็จะมีลกั ษณะ “พัฒนา” สว่ นระบบการเมอื งใดมีส่วนที่ล้าหลังมากกว่าส่วน
ทีท่ นั สมยั กจ็ ะมีลักษณะ “ด้อยพฒั นา”
Dahl เห็นว่าลกั ษณะร่วมของระบบการเมอื งมดี ังตอ่ ไปนี้
1. ระบบการเมืองทุกระบบย่อมมีการควบคุมทรัพยากรทางการเมือง ที่แตกต่างกัน
(ทรัพยากรทางการเมืองในที่นี้หมายถึง อิทธิพลในการชักจูงหรือบังคับให้ผู้อื่นปฏิบัติตามที่ตน
ต้องการ บุคคลแต่ละคนย่อมมีทรัพยากรทางการเมืองในระดับต่างกัน อันเป็นผลมาจากก่าเนิด
ประสบการณ์ ต่าแหน่งหน้าที่และทัศนะที่มีต่อ “อ่านาจและอิทธิพลทางการเมือง” ที่แตกต่างกัน
ในแต่ละบุคคล)
2. ระบบการเมืองทุกระบบย่อมมีการแสวงหาอิทธิพล เพื่อใช้อิทธิพลน้ันๆ ผลักดัน
นโยบายและกฎเกณฑท์ ี่เป็นประโยชน์ตอ่ บคุ คลและกลุ่มบุคคล
3. ในระบบการเมอื งทุกระบบย่อมมกี ารใชอ้ ิทธิพลทางการเมืองไม่เท่าเทียมกันในแต่
ละบุคคลหรอื กลุ่มบุคคล เนื่องจากการมที รพั ยากรทางการเมอื งทีแ่ ตกต่างกนั

รัฐศาสตรเ์ บือ้ งตน้ หน้า 240

4. ในระบบการเมืองทุกระบบย่อมมีการการขัดแย้ง เนื่องจากแต่ละคนหรือกลุ่มมี
เปูาหมายและผลประโยชน์ขดั แย้งกันเสมอ จงึ เป็นหน้าทีข่ องรัฐบาลในการขจัดข้อขัดแย้งน้ัน

5. ระบบการเมืองทุกระบบย่อมมีการแสวงหาความชอบธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่จ่าเป็น
ส่าหรับผู้ปกครองหรือรัฐบาล

6. ระบบการเมืองทุกระบบย่อมมีความเชื่อ อุดมการณ์และสัญลักษณ์ที่ใช้ในการ
ปกครอง เพือ่ การสรา้ งความจงรกั ภกั ดีตอ่ ระบบการเมอื ง

7. ระบบการเมืองทุกระบบย่อมมีปฏิสัมพันธ์กับระบบการเมืองอื่นๆ และอยู่ภายใต้
สภาพแวดล้อมทางการเมืองระหว่างประเทศ จงึ มไิ ด้อยู่โดดเดี่ยว

8. ระบบการเมอื งทกุ ระบบย่อมมไิ ด้หยุดนิ่งคงที่ แตย่ ่อมมกี ารเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
จะเห็นได้ว่า แนวความคิดของ Almond และ Dahl แตกต่างกันอยู่ที่ Almond ได้เน้น
ลักษณะร่วมของระบบการเมืองโดยพิจารณาจากโครงสร้างและหน้าที่ระบบการเมือง แต่ Dahl
เสนอลักษณะร่วมของระบบการเมืองโดยพิจารณาจากลักษณะพลวัตรของระบบการเมือง
อย่างไรก็ตามแนวความคิดของทั้งสองท่านก็นับมีประโยชน์ที่จะช่วยให้เข้าใจคุณลักษณะในมิติ
ต่างๆ ของระบบการเมอื งได้ยิง่ ข้ึน

2. ประเภทของระบบการเมือง
โดยทวั่ ไปแล้วอาจแบ่งระบบการเมอื งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ระบบการเมืองแบบ

เผด็จการ และ ระบบการเมอื งแบบประชาธิปไตย
2.1 ระบบการเมอื งแบบเผด็จการ
ระบบการเมอื งแบบเผดจ็ การ หมายถึง ระบบการเมอื งที่เน้นอ่านาจมาก ยกย่องและ

ให้ความส่าคัญกับอ่านาจของรัฐที่ผู้ปกครองเป็นผู้ใช้เหนือกว่าเสรีภาพของบุคคล ผู้ปกครอง
อาจจะเป็นบุคคลคนเดียวหรือหลายคนก็ได้ ถือประโยชน์ของรัฐมากกว่าของบุคคล เช่น ยกย่อง
เกียรติภูมิของประเทศหรือการขยายอ่านาจของชาติ โดยไม่ค่านึงถึงการสูญเสียชีวิตหรือ
ทรัพย์สินของบุคคล

ระบบเผด็จการมีค่าในภาษาอังกฤษที่ใช้โดยนัยแห่งความหมายเดียวกันอยู่มากมาย
หลายค่า เช่น Dictatorship, Despotism, Authoritarianism, Absolutism และ Totalitarianism ลัทธิ
เผด็จการในสมยั จกั รวรรดิโรมันถือว่าเป็นลทั ธิที่ดี หรอื เป็นลัทธิการเมืองที่สร้างความมั่นคงให้แก่
รัฐมากที่สุด Dictator ซึ่งแปลว่าผู้เผด็จการ มีรากศัพท์มาจากค่าว่า Dicture ในภาษาลาติน
แปลว่า การบังคับบัญชา Dictator เป็นต่าแหน่งประมุขแห่งรัฐในสมัยจักรวรรดิโรมัน ผู้เผด็จการ
ในยุคนั้นได้รบั การยกย่องอย่างสงู ดังเชน่ ยกย่อง ซีซาร์ ว่าเป็นผู้ปราบยคุ เข็ญ สว่ นลทั ธิเผด็จการ

รัฐศาสตร์เบือ้ งต้น หน้า 241

สมัยใหม่เป็นผลที่เกิดจากปรัชญาของลัทธิฟาสซิสม์และลัทธินาซี ซึ่งนิยมการใช้อ่านาจปกครอง
ประเทศและมีความเช่อื กนั ว่าอ่านาจเท่าน้ันจะยังความสงบเรียบร้อยและความยิ่งใหญ่ของรฐั

ปัจจบุ ันรูปแบบการปกครองแบบเผด็จการมีใช้อยู่ทว่ั ไปในประเทศที่ก่าลังพัฒนาและ
ด้อยพัฒนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเอเชียและแอฟริกาตลอดจนแถวลาตินอเมริกา รูปแบบ
ของเผดจ็ การในปัจจุบันอาจจ่าแนกได้เป็น 2 รูปแบบด้วยกัน คือเผด็จการธรรมดาหรือเผด็จการ
อา่ นาจนยิ ม (Authoritarianism) และเผดจ็ การแบบเบ็ดเสรจ็ (Totalitarianism)

ลักษณะส่าคัญของระบบการเมืองเผด็จการทุกระบบ ได้แก่ การถืออ่านาจเป็น
สิ่งส่าคัญเหนือสิ่งอื่นใด ดังนั้น จึงมีค่าในภาษาอังกฤษเรียกระบบเผด็จการ “Authoritarianism”
แปลว่า “อา่ นาจนยิ ม” ซึ่งมาจากคา่ ว่า “Authority” แปลว่า อา่ นาจหน้าที่ ในระบบการเมืองแบบ
เผด็จการยังสามารถแยกระบบเผด็จได้อีกประเภทหนึ่ง คือ เผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ
“Totalitarianism”

2.1.1 เผดจ็ การแบบธรรมดาหรอื เผดจ็ การแบบอ่านาจนิยม (Authoritarianism)
อ่านาจนิยม มาจากค่าว่า Authority (อ่านาจ) หมายถึง การมีอ่านาจอย่างเป็นทางการ เช่น
เจ้าหน้าที่ในสังคมเสรีมีอ่านาจจับกุมคนท่าความผิดกฎหมาย เป็นต้น ส่วนอ่านาจนิยม หมายถึง
ความเชื่อในระบบการเมอื งทีเ่ น้นอา่ นาจและขนบธรรมเนียมประเพณี แทนที่จะให้ความส่าคัญกับ
เสรีภาพส่วนบุคคล หลักการปกครองอ่านาจนิยมคือ ต่อต้านระบบประชาธิปไตย นั้นคือการ
ปกครองคนโดยคนส่วนน้อยเป็นสิ่งที่ดีที่สุดการปราบปรามฝุายค้านและความเชื่อในการใช้ก่าลัง
บังคับมากกว่าการใช้กฎหมายบังคับ ตามรายละเอียดของหลักการดังต่อไปนี้ (Herbert M.
Levine,1990 : 41-42) คือ

1) การปกครองโดยคนกลุ่มน้อยหรือคนเดียวเป็นการปกครองที่ดีที่สุด
(Rule by a Select Few) หมายถึง รูปแบบการปกครองเผด็จการอ่านาจนิยมที่เป็นการปกครอง
โดยคนส่วนน้อยเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ระบบนี้ปฏิเสธการเลือกตั้งเสรีที่อาจเป็นเคร่ืองมือน่าผู้ปกครอง
ใหม่เข้าสู่อา่ นาจ ในระบบเผดจ็ การอา่ นาจนยิ มนั้น รัฐบาลจะรับผิดชอบตนเองมากกว่ารับผิดชอบ
ต่อประชาชน กิจกรรมของฝุายค้านถูกจา่ กดั และพฤติกรรมทางการเมืองของฝุายค้านก็ถูกจ่ากัด
ให้อยู่ในวงแคบๆที่รัฐบาลอา่ นาจนยิ มเปน็ ผู้ก่าหนด

2) การปราบปรามฝุายค้าน (Suppression of Opposition) หมายถึง การ
ที่รัฐบาลระบบเผด็จการอ่านาจนิยมมีความกลัวว่า ฝุายค้านจะจัดต้ังรัฐบาลใหม่ส่าเร็จ ดังนั้น
รัฐบาลของระบบนี้จึงต้องจ่ากัดกิจกรรมของฝุายค้านในหลายๆเร่ือง เช่น การประกาศให้พรรค
ฝาุ ยค้านเป็นพรรคผดิ กฎหมาย การจับกุมคุมขังผู้นา่ ฝาุ ยค้าน การส่ังปิดหนังสือพิมพ์หรือวารสาร

รฐั ศาสตรเ์ บอื้ งต้น หน้า 242

ที่คัดค้านรฐั บาล การเซนเซอร์ส่งิ พิมพ์ตา่ งๆทีเ่ ห็นวา่ เปน็ อันตรายต่อระบบการปกครอง การกวาด
ล้างผู้ชมุ นมุ ประท้วงและจบั กมุ ผนู้ ่าประท้วง

3) การใช้ก่าลังบีบบังคับ (Physical Coercion) คือ การปกครองเผด็จ
การอ่านาจนิยมมักจะแสดงออกถึงสัญญาลักษณ์ของความเข็มแข็ง ได้แก่ การมีกองก่าลังทหาร
และต่ารวจลับ (Secrete Police) ในประเทศที่มีการปกครองแบบนี้ มีผู้น่าหลายประเทศเป็นทหาร
ด้วย เช่นประธานาธิบดี อันโตนิโอ ซาลาซาร์ (Antonio Salazar) แห่งโปรตุเกส ประธานาธิบดี
อนาสตาซิโอ โซโมซา (Anastasio Somaza) แห่งนิคารากัว และประธานาธิบดีฟราสซิสโก ฟรังโก
(Fransico Franco) แหง่ สเปน กองก่าลังทหารและต่ารวจลับช่วยสนับสนุนระบบการปกครองแบบ
นีท้ ้ังในทางลับและเปิดเผย โดยต่ารวจลับจะใช้วิธีการต่างๆ ตั้งแต่การลอบสังหารและการทารุณ
กรรมไปจนถึงการกดดันทางเศรษฐกิจและทางจิตวิทยาเพื่อหยุดย้ังผู้ไม่เห็นด้วยกับการปกครอง
หรอื ต่อตา้ นระบอบการปกครองแบบเผด็จการอ่านาจนยิ ม

ประเทศที่ใช้รูปแบบการปกครองเผด็จการอ่านาจนิยมน้ัน ประชาชนส่วนใหญ่ยัง
ไม่มีความส่านึกทางการเมืองดีพอ ตลอดจนความเข้าใจในเร่ืองกระบวนการและระบบการเมือง
ยังไม่ดีพอ ดังน้ันอ่านาจทางการเมืองจึงไปตกอยู่กับบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งซึ่งมีความรู้ความ
เข้าใจทางการเมอื งการปกครองและมีอ่านาจอยู่ก่อน ซึ่งกลุ่มบุคคลดังกล่าวมักจะผูกขาดอ่านาจ
ตลอดไป หรอื ผลัดเปลีย่ นกนั เข้าปกครองอ่านาจ

2.1.2 เผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) ในศตวรรษที่ 20 ปรากฏมี
เผด็จการรปู แบบใหม่เกิดขึน้ คือ เผด็จการเบ็ดเสร็จซึ่งรัฐบาลระบบเผด็จการเบ็ดเสร็จเป็นรัฐบาล
ในระบบเผด็จการอีกรูปแบบหนึ่งที่รัฐบาลได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว และควบคุมเกี่ยวกับพฤติกรรมของ
มนุษย์ในแทบจะทุกอริยบท กล่าวคือรัฐบาลจะเข้าควบคุมท้ังในด้านเศรษฐกิจ สังคมและ
การเมือง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าประชาชนไม่มีสิทธิเสรีภาพท้ังในด้านเศรษฐกิจ สังคมและ
การเมอื ง อย่างส้ินเชิง

รูปแบบการปกครองในระบบนี้มีลักษณะคล้ายกับรูปแบบการปกครอง
ใน ระบบอา่ นาจนยิ มกล่าวคือมีลกั ษณะทุกอย่างที่รฐั บาลในระบบอ่านาจนิยม แต่มีลักษณะพิเศษ
เพิม่ เติมคอื รฐั บาลถือวา่ กิจกรรมทกุ อย่างของประชาชน รวมทั้งวิถีชีวิตท้ังปวงของประชาชนไม่ว่า
จะเป็นเร่ืองที่เกี่ยว กับเศรษฐกิจสังคมหรือการเมืองจะต้องอยู่ในอ่านาจรัฐบาลแต่เพียงผู้เดียว
เช่น การท่างาน การสมรส การศึกษาตลอดจนการด่ารงชีวิตประจ่าวัน รัฐบาลจะเข้าควบคุม
ทั้งสิน้

ประเทศที่ปกครองโดยรูปแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จได้แก่ อดีตสหภาพโซ
เวียตในสมัย โจเซฟสตาลิน (Joseph Stalin) เยอรมนีในสมัย อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) และ

รฐั ศาสตรเ์ บอื้ งตน้ หนา้ 243

อิตาลีในสมยั ของ เบนิโต มสุ โสลินี (Benito Mussolini) รวมทั้งประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ใน
สมัยเหมา เซ ตุง รัฐบาล ดังกล่าวได้รับการกล่าวอ้างว่าเป็นตัวอย่างของเผด็จการเบ็ดเสร็จ
อย่างไรก็ตามอิตาลีในสมัยมุสโสลินี ก็ไม่ได้เป็นประเภทเดียวกับสหภาพรัสเซียในสมัยสตาลิน
เยอรมนีในสมัยฮิตเลอร์ หรือในจีนสมัยของเหมา เซ ตุง ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า รูปแบบการ
ปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จนี้ออกได้เป็น 2 ลักษณะด้วยกันคือ กลุ่มขวาจัด ซึ่งได้แก่การ
ปกครองในลัทธิฟาสซิสม์โดยมุสโสลินีผู้น่าอิตาลี กับลัทธินาซีโดยฮิตเลอร์ผู้น่าแห่งเยอรมนี และ
กลุ่มซ้ายจดั ซึ่งได้แก่การปกครองในประเทศที่ปกครองโดยลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างไรก็ตามได้มีนัก
รัฐศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงสองท่านคือ Carl J. Friedrich และ Zbigniew K. Brzezinski (อ้างในHerbert
M. Levine,1993 : 42-43) ได้กล่าวสรปุ ว่า เผดจ็ การเบด็ เสรจ็ ต้องมีลกั ษณะดงั ตอ่ ไปนี้

1) อุดมการณ์ (Ideology) ในรูปแบบการปกครองเผด็จการเบ็ดเสร็จน้ัน
อุดมการณ์เป็นสิ่งส่าคัญ ทุกคนในสังคมจะต้องยึดมั่นในอุดมการณ์ ในระบบนี้อุดมการณ์จะมุ่ง
สร้างสังคมที่สมบรู ณ์

2) การมีพรรคมวลชนพรรคเดียว (Single Mass Party) การปกครอง
ระบบนี้มีพรรคการเมืองมวลชนเพียงพรรคเดียว มีผู้น่าคนเดียวเป็นเผด็จการ พรรคการเมือง
ประกอบด้วยประชาชนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง พรรคการเมืองในระบบนี้เน้นอุดมการณ์และรูปแบบ
ที่เข้ากนั ได้ระบบการปกครองเผด็จการเบ็ดเสร็จ เช่น พรรคนาซีของฮิตเลอร์ พรรคฟาสซิลส์ของ
มสุ โสลินี และพรรคคอมมิวนสิ ต์ของสหภาพโซเวียตและจีน

3) การสร้างความหวาดกลัว (Terror) การปกครองแบบนี้จะใช้ต่ารวจ
เป็นเคร่ืองมือในการสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ต่อต้านหรือผู้ที่ไม่เห็นด้วย เพื่อปูองกันการท้า
ทายอ่านาจรัฐ การสร้างความหวาดกลัวได้ถูกน่ามาใช้เพือ่ จ่ากัดและปูองกันคนที่ไม่เห็นด้วย หรือ
คนทีค่ ัดค้านทั้งภายในพรรคและกลุ่มคนภายนอกพรรค

4) การควบคุมสื่อสารมวลชน (Control of Mass Communication)
รัฐบาลในระบบนี้จะควบคุมสื่อท้ังหมด และจะไม่อนุญาตให้มีการเปิดสื่ออิสระใดๆในระบบการ
ปกครองแบบนีโ้ ดยเดด็ ขาด

5) การควบคุมกองทัพ (Control of the Armed Force) กล่าวคือ อาวุธ
สงครามกด็ ี กองก่าลังหรือกองทัพก็ดีตอ้ งอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลในระบบนีท้ ั้งหมด

6) ระบบเศรษฐกิจที่ถูกควบคุมโดยส่วนกลาง (Central Direction of the
Economy) กล่าวคือรัฐบาลจะเป็นผู้ควบคุมระบบเศรษฐกิจภายในประเทศทั้งหมดโดยไม่มีเอกชน
เข้ามาเกี่ยวข้อง

รฐั ศาสตร์เบือ้ งตน้ หน้า 244


Click to View FlipBook Version