กล่าวโดยสรุปการปกครอบแบบเผด็จการไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด จะมี
การรวมอา่ นาจและสรา้ งอา่ นาจ ซึง่ สามารถควบคมุ ก่าหนด บันดาลทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไปตาม
ผเู้ ผดจ็ การปรารถนา โดยมีอุดมการณ์เป็นแรงผลักดันที่ส่าคัญ และความกลัวของประชาชนช่วย
ให้อ่านาจด่ารงอยู่ได้ อ่านาจการปกครองของระบบเผด็จการจะไม่มีขอบเขตจ่ากัด เอกชนจะ
โต้แย้งไม่ได้ หากมีการขัดขืนหรือคัดค้านก็จะใช้ก่าลังเข้าปราบปรามอย่างรุนแรง เพื่อให้
ประชาชนอยู่ด้วยความหวาดกลวั พอสรปุ ลกั ษณะสา่ คัญของลัทธิเผดจ็ การได้ดงั น้ี
1) มีการจา่ กัดเสรีภาพส่วนบุคคล
2) ปกครองด้วยการสร้างความกลัว โดยการใช้อ่านาจที่เด็ดขาดและ
รุนแรง
3) มศี นู ย์อา่ นาจอยู่ทีแ่ ห่งเดียว คืออยู่ที่ผู้เผด็จการหรือคณะของผู้เผด็จ
การ วิถีชีวิตของบุคคล ประเพณี ค่านิยมความผูกพันระหว่างกัน ความจงรักภักดี สร้างขึ้นจาก
ศนู ย์แหง่ อ่านาจดงั กล่าว
4) ถือหลักปกครองโดยชนชั้นสูง (Elite Leadership) คือ หลักที่ว่าชน
ชั้นสูงมีคุณสมบัติพิเศษเหนือบุคคลอืน่ และชนชั้นสงู เท่านั้นที่มสี ิทธิปกครองคนอื่น
5) บ่อนท่าลายองค์การอิสระหรือศูนย์รวมแห่งอ่านาจอื่นๆ ทั้งนี้เพราะ
ระบบเผด็จการถือว่าศูนย์อื่นๆ ซึ่งอาจเป็นกลุ่มอาชีพ กลุ่มผลประโยชน์หรือองค์การศาสนาจะ
เปน็ อนั ตรายต่ออ่านาจของตน จงึ ตอ้ งกา่ จัดใหส้ ิน้ ซาก
6) ใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อเป็นหลักใหญ่ในการสร้างอ่านาจและธ่ารง
อ่านาจทีม่ อี ยู่มิใหส้ ่ันคลอน
7) ใชห้ ลักการสร้างความกังวล ความหวาดกลัว ความรู้สึกไม่ปลอดภัย
ให้มอี ยู่เสมอในหมปู่ ระชาชน เพือ่ ท่าให้ประชาชนไม่กล้าคดิ ไม่กล้าทา่ ในสิง่ ทีต่ นไม่แนใ่ จ
ระบบการเมืองของแต่ละประเทศถึงแม้ว่าจะใช้แบบเดียวกัน แต่ก็อาจไม่
เหมือนกันได้ ความแตกต่างก็อยู่ที่ระดับของเสรีภาพหรือระดับของการใช้อ่านาจ ความแตกต่าง
เกี่ยวกับระบบการควบคุมของรัฐที่มีต่อบุคคล ในระบบการเมืองเผด็จการแบบอ่านาจนิยมมีการ
ใช้อ่านาจควบคุมบุคคลน้อย แต่มีการควบคุมทางการเมืองในระดับสูงหรือเรียกว่าผูกขาด
ทางการเมือง แต่ยอมให้บุคคลมีเสรีภาพอย่างอื่น ได้แก่ เสรีภาพทางสังคมและเศรษฐกิจส่วน
ระบบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ รัฐหรือผู้ปกครองที่ท่าหน้าที่แทนรัฐจะใช้อ่านาจควบคุมประชาชน
ทุกทาง เรียกว่าเป็นการจ่ากัดเสรีภาพทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและการด่ารงชีวิต
ท่ัวไป อาจกล่าวได้ว่า ประเทศใช้ระบบการเมืองแบบเผด็จการอ่านาจนิยมอาจไม่เป็นเผด็จการ
รัฐศาสตรเ์ บือ้ งตน้ หน้า 245
แบบเบ็ดเสร็จ แต่เผด็จการแบบเบ็ดเสร็จจะต้องมีลักษณะของเผด็จการแบบอ่านาจนิยมอยู่ด้วย
เสมอ
ในประเทศเผด็จการก็มีความแตกต่างในระดับของการใช้อ่านาจ บางประเทศ
อาจมีระบบการปกครองที่เข้มงวดกว่าอีกประเทศหนึ่ง และบางประเทศในยุคหนึ่งอาจจะใช้
อ่านาจเด็ดขาดยิ่งกว่าอีกยุคหนึ่ง เช่น โซเวียตในสมัยสตาลินกับโซเวียตในมันเบรสเนฟแตก
ต่างกัน ในสมัยเบรสเนฟ มีการปกครองแบบผ่อนคลายกว่าสมัยสตาลิน หรือในประเทศจีนใน
สมัยเหมา เซ ตุง เข้มงวดในด้านเศรษฐกิจแบบเข้าสู่ส่วนกลาง แต่ในสมัยเติ้ง เสี่ยว ผิง ก็มีการ
ปรบั เปลีย่ นเป็นเศรษฐกิจแบบทนุ นิยม
2.1.3 การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างเผด็จการแบบอ่านาจนิยม
(Authoritarianism) และเผดจ็ การแบบเบด็ เสร็จ (Totalitarianism)
เผดจ็ การท้ังสองแบบนมี้ ีความแตกต่างกันบางประการ ดังน้ี
1. ในด้านจุดหมายปลายทาง รัฐบาลเผด็จการแบบอ่านาจนิยมมีความ
มุ่งหมายที่จะเข้าควบคุมกิจกรรมทางการเมืองของบุคคลเท่าน้ัน ส่วนรัฐบาลเผด็จการแบบ
เบด็ เสรจ็ มีความมุ่งหมายเป็นพิเศษนั้นคือ ต้องการควบคุมกิจการทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม
หรอื อีกนยั หนึง่ กค็ ือปรารถนาจะควบคุมกิจกรรมของบุคคลท้ังส่วนที่เป็นการเมืองและส่วนที่ไม่ใช่
การเมือง ในทางปฏิบัติประเทศในระบบเผด็จการแบบอ่านาจนิยมน้ัน บุคคลแต่ละคนคงมี
เสรีภาพในทางศาสนา ครอบครัว ธุรกิจ สามารถด่าเนินชีวิตส่วนตัวได้โดยอิสระและยังคงมี
ศกั ดิศ์ รไี ด้ตามสมควร เพียงแตไ่ ม่มีบทบาททางการเมืองเท่านั้น ตัวอย่าง ประเทศพม่าที่ปกครอง
รัฐบาลทหาร ที่ปกครองภายใต้“สภาฟื้นฟูระเบียบและกฎหมายแห่งรัฐ หรือ สลอร์ค (State Law
and Order Restoration Council : SLORC)”
2. ในด้านสถาบันและองค์การทางสังคม ประเทศที่ใช้ระบบเผด็จการ
แบบอ่านาจนิยมไม่มีความปรารถนาที่จะเข้าควบคุมครอบครัว ศาสนา การศึกษา ชมรมหรือ
สมาคมต่างๆ ที่มีลักษณะทางสังคมโดยเฉพาะ แต่ประเทศที่เป็นเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จถือว่า
องค์การและสถาบนั ต่างๆ ในสังคมจะต้องอยู่ภายใต้การควบคมุ ของรัฐโดยสิ้นเชิง และต้องปฏิบัติ
ตามอุดมการณท์ ีร่ ฐั ได้ก่าหนดข้ึน
3. ในด้านวิธีการ ระบบเผด็จการแบบอ่านาจนิยมอาจจะใช้วิธีการ
ลงโทษที่รุนแรง แต่ยังใช้กระบวนการแห่งกฎหมายหรือกระบวนการยุติธรรมอยู่บ้าง เช่น
เจ้าหนา้ ทีท่ ีร่ กั ษากฎหมายเพื่อให้ความยุติธรรมแก่ประชาชน ตามนโยบายที่ได้ก่าหนดขึ้นเท่าที่รัฐ
จะพึงให้ได้ ในระบบนี้อาจจะเป็นไปได้ว่าบุคคลรู้ฐานะตนเองว่าถ้าพยายามจะด่าเนินการใน
ลักษณะที่เปน็ การเสี่ยงก็อาจจะมีโทษ บุคคลรู้ขอบเขตว่าตนสามารถจะกระท่าได้แค่ไหน เพียงไร
รฐั ศาสตร์เบือ้ งตน้ หนา้ 246
ส่วนระบบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จน้ัน รัฐมีอ่านาจที่จะใช้วิธีการต่างๆ บังคับประชาชนได้โดยไม่
จ่ากัดโดยที่รัฐอ้างว่ากระท่าไปเพื่อรักษาความเจริญหรือความม่ันคงภายในชาติ กระบวนการ
ยุติธรรมหรือการรักษาความยุติธรรมนั้นมิได้ถือว่าเป็นเร่ืองส่าคัญ แต่มักจะถือผลประโยชน์ของ
ชาติทีผ่ ู้ปกครองก่าหนดขึน้ หรอื รักษาความม่นั คงและอุดมการณเ์ ปน็ หลัก การละเมิดเสรีภาพของ
บุคคลย่อมจะกระท่าได้เสมอโดยไม่มีขอ้ จา่ กัดใดๆ มักมีวิธีการลงโทษที่รุนแรงหรือมีระบบที่ก่อให้
ความประหวน่ั พรั่นพรึงอย่างยิ่ง
4. ในด้านการปฏิบัติตน ในระบบเผด็จการแบบอ่านาจนิยมน้ัน
ประชาชนมีหน้าที่ที่ต้องเคารพเชื่อฟังค่าส่ังของรัฐหรือผู้ปกครองประเทศโดยเคร่งครัด มีหน้าที่
และความรับผิดชอบที่ส่าคัญ คือ จะต้องไม่ด่าเนินการใดๆ ที่เป็นการขัดขวางนโยบายทางการ
เมืองของรัฐ สว่ นในระบบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ หน้าที่ของประชาชนหมายถึงการปฏิบัติตนเป็น
พิเศษ น้ันคือ นอกจากจะต้องปฏิบัติตามค่าสั่งรัฐแล้ว ประชาชนทุกคนจะต้องแสดงความ
จงรักภักดีทั้งในด้านการกระท่าและจิตใจ หรืออีกนัยหนึ่งจะต้องมีความส่านึก ความรู้สึก ความ
ผูกพันหรือจะต้องพิสูจน์ด้วยการแสดงว่ามี “จิตใจ” (Spirit) ที่จะสนับสนุนระบบการเมืองที่มีอยู่
โดยดุษฎีภาพ กล่าวโดยย่อคือ ระบบเผด็จการแบบอ่านาจนิยมให้ความสนใจและความส่าคัญกับ
การแสดงออกภายนอกของบุคคล เพียงเป็นการแสดงออกให้เห็นความจงรักภักดีก็เป็นพอ ส่วน
ระบบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จน้ันเพียงการแสดงออกภายนอกยังไม่พอ จะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่ามี
ความผูกพันทางจิตใจด้วย
2.2 ระบบการเมอื งเผด็จการแบบเบ็ดเสรจ็
2.2.1 ระบบฟาสซิสม์ (Fascism) ยึดถือปรชั ญาอุดมคติ ชาตินยิ ม หลักการบาง
ประการของสังคมนิยมโดยเฉพาะการที่รัฐ สั่งสอนให้บุคคลเชื่อในชาติและผู้น่า ฟาสซิสม์ถือ
ก่าเนิดในอิตาลีโดยการน่าของแต่ เบนิโต มุสโลลินี (Benito Mussolini) ฟาสซิสม์เป็นลัทธิทาง
การเมืองที่ใช้อ่านาจที่เด็ดขาด โครงสร้างและความปึกแผ่นของสังคม ตั้งอยู่บนรากฐานของการ
บงั คับใช้อ่านาจ วิธีการปกครองใชร้ ะบบพรรคเดียวโดยมีนโยบายไปในทางปลุกปันให้ประชาชนมี
ความรู้สึกชาตินิยมรุนแรงและบางคร้ังก็ให้มีความหลงในชาติตนเองดังรายละเอียดได้กล่าวแล้ว
ในบททีผ่ ่านมา
เปรียบเทียบแนวความคิดลทั ธิฟาสซิสม์กบั ลัทธิอื่นๆ พอสรุปได้ดังนี้
1.รัฐมีความส่าคัญกว่าปัจเจกบุคคล ฟาสซิสม์ มีแนวคิดว่ารัฐส่าคัญ
กว่าปัจเจกบุคคล ซึ่งตรงข้ามกับเสรีนิยม ซึ่งเห็นว่ารัฐจะต้องเป็นผู้รับใช้ผลประโยชน์ต่อปัจเจก
บุคคล ส่วนฟาสซิสม์มองตรงกันข้ามปัจเจกบุคคลจะต้องรับใช้ผลประโยชน์ของรัฐ รัฐใน
ความหมายฟาสซิสมจ์ งึ มอี ่านาจเผด็จการเบด็ เสร็จ (Totalitarianism)
รัฐศาสตร์เบอื้ งต้น หน้า 247
2. ชาตินิยม ฟาสซิสม์ ยอมรับความเป็นชนชั้นในขณะที่สังคมนิยม
ปฏิเสธความมีชนชั้น จะเห็นว่าฟาสซิสม์ได้ท่าให้ความหมายของค่าว่าชาติ ซึ่งบางครั้งค่าว่าชาติ ก็
มีความหมายถึงประชาชน เชื้อชาติเดียวกัน ส่วนฟาสซิสม์ต้องการให้ประชาชนสนับสนุนสัญญา
ลกั ษณ์หรอื เครือ่ งหมายความเป็นชาติใหเ้ หนือกว่าสิ่งอืน่ ใดทั้งปวง
3. ต่อต้านเสรีนิยม ฟาสซิสม์ ไม่ได้ต่อต้านรัฐที่เป็นเสรีนิยมเท่าน้ัน แต่
ฟาสซิสม์ยังต่อต้านท้ังแนวคิดรวมท้ังทุกสิ่งอย่างของเสรีนิยม ไม่ว่าจะเป็นสถาบัน รัฐบาล ระบบ
รัฐสภา ฟาสซิสม์เห็นว่าไม่มีความจ่าเป็นที่จะต้องมีพรรคฝุายค้านเพราะจะท่าให้ประเทศพัฒนา
ไปอย่างเชื่องช้าเพราะมัวแตถ่ กเถียงกัน
4. ลัทธิทหารนิยม ฟาสซิสม์ให้ความส่าคัญกับความเข็มแข็งลัทธิทหาร
นิยมเพื่อน่ามาใช้สร้างอ่านาจเด็ดขาดของผู้น่าระบบฟาสซิสม์ ในกรณีนโยบายต่างประเทศ
ฟาสซิสม์มกั จะรุกรานประเทศอ่นื เพื่อขยายดินแดน การบุกเอธิโอเปีย ของมุสโสลินี ใน ค.ศ.1935
เป็นการเริ่มลัทธิทหารหรือแสนยานุภาพแบบฟาสซิสม์ ดังที่มุสโสลินีกล่าวว่า “การวางนโยบาย
ต่างประเทศของฟาสซิสม์พดู ได้ค่าเดียวว่าคือ การขยายอาณาเขต”
5. ลัทธิเผด็จการ ลักษณะที่ส่าคัญอีกประการหนึ่งของลัทธิฟาสซิสม์
คือ ความเป็นเผด็จการของผู้น่าเพียงคนเดียว นอกจากนี้ยังต้องเชิดชูผู้น่าหลายวิธีการ ไม่ว่าจะ
เป็นการติดรูปภาพขนาดใหญ่ กล่าวค่าสาบาน การสร้างรูปปั้นของผู้น่า ผู้น่าจะมีความเฉลียว
ฉลาดสูงสุดและมักท่าอะไรถูกไปหมด
6. ตอ่ ต้านคอมมวิ นิสมฟ์ าสซิสม์มีอดุ มการณ์ที่ตอ่ ต้านลัทธิคอมมิวนิสม์
เพราะคอมมิวนิสม์ปฏิเสธรัฐ ส่วนฟาสซิสม์เห็นว่า รัฐ และรัฐบาลเป็นสิ่งส่าคัญสิ่งเดียว ด้วย
ฟาสซิสม์ต่อต้านคอมมิวนิสม์นี้เองในช่วงสงครามเย็น สหรัฐอเมริกา จึงใช้เผด็จการทางทหาร
แบบฟาสซิสม์เป็นเคร่ืองมือในการต่อต้านคอมมิวนิสม์ เช่น มาร์กอส ของฟิลิปปินส์, ซูฮาโต ใน
อินโดนีเซีย และ จอมพล สฤษดิ์ธะนะรัตน์ จอมพลถนอม กิตติขจร เปน็ ต้น
2.2.2 ระบบนาซี (Nazism) ยึดหลักนิยมผู้น่า ชนชั้นน่า ความบริสุทธิ์แห่งเชื้อ
ชาติ ความยิ่งใหญ่แห่งประเทศชาติหรือชาตินิยมอย่างรุนแรง ต่อต้านหลักปัจเจกชนนิยม ให้
ความส่าคัญกับประเทศชาติหรือรัฐ ถือหลักความไม่เท่าเทียมกัน โดยถือเผ่าชนบางเผ่าไม่เป็นที่
พึงปรารถนา เชน่ พวกยิว ไม่ยอมรบั หลกั เหตุผลว่าเป็นสิ่งสากล นยิ มหลักของความเป็นผู้น่า การ
ขยายอ่านาจแบบจักรวรรดินิยมและต้องการให้รัฐเข้าควบคุมดูแลกิจการท้ังปวงภายในประเทศ
ทั้งทางดา้ นการเมอื ง การปกครอง เศรษฐกิจ การศกึ ษาและสงั คม
2.2.3 ระบบคอมมิวนิสต์ (ลัทธิมาร์กซิลม์) หรือสังคมนิยมมาร์กซิสม์
(Marxism) ลัทธินี้อาจเรียกว่า ลัทธิมาร์กซิลม์ ตามชื่อผู้ก่อตั้งลัทธิ คือ คาร์ล มาร์ก (Karl Marx)
รฐั ศาสตรเ์ บือ้ งต้น หนา้ 248
แต่คนทั่วมักเรียกว่าลัทธิคอมมิวนิสต์ หลักการย่อๆ คือ ถือว่าการเมืองการปกครองระบอบอื่น
เปน็ ระบบการปกครองและเศรษฐกิจทีม่ ีความบกพร่อง เพราะมีการเอรัดเอาเปรียบหรือการกดขี้
ข่มเหง จา่ เปน็ ต้องมีการแก้ไขด้วยการใชแ้ นวทางลทั ธิน้ี ซึง่ ได้เน้นรูปการปกครองเผด็จการโดยชน
ชั้นกรรมาชีพ ประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์ (พรรคคอมมิวนิสต์เป็นแกนกลางแต่พรรคเดียว) การ
ยกย่องอ่านาจรัฐ ซึ่งมีชนช้ันกรรมาชีพเป็นเจ้าของอ่านาจน้ัน และพรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้ปฏิบัติ
แทน
ตามหลักลัทธิมาร์กซิสม์น้ัน อาจแบ่งการวิวัฒนาการของสังคมเป็น 3 ขั้น
ใหญ่ๆคือ
1) ข้ันที่สังคมบกพร่องอยู่ ซึ่ง คาร์ล มาร์ก เห็นว่าเป็นการปกครองแบบ
ทาส ศักดินา นายทุน เป็นยุคที่มีการกดขี่โดยผู้ที่อยู่ในฐานะสูงปฏิบัติต่อผู้ที่อยู่ในฐานะต่ากว่า
ระบบเหล่านี้ไม่สามารถมองเห็นข้อบกพร่องของตนเองได้และมีความช่ัวร้ายอยู่ตลอด การแก้ไข
จะต้องทา่ การตอ่ สู้และปฏิวัติ
2) ข้ันสังคมนิยม หมายถึงรูปแบบการปกครองที่ชนช้ันกรรมาชีพมี
อ่านาจอย่างสมบูรณ์ เป็นการปกครองโดยอ่านาจชนช้ันกรรมาชีพในลักษณะ “เผด็จการชนช้ัน
กรรมาชีพ” ซึ่งมาร์กถือว่าจะไม่มีการกดขี่ข่มเหงเอารัดเอาเปรียบแต่อย่างใด รัฐในรูปนี้จะมี
รัฐบาลโดยชนชั้นที่ใช้แรงงาน สังคมจะไม่มีชนชั้นและพร้อมที่จะก้าวไปสู่ความเป็นสังคม
คอมมิวนิสต์โดยสมบูรณ์ในอนาคต ในทางปฏิบัติสังคมนิยมในแบบมาร์กก็คือ ข้ันปกครองโดย
พรรคคอมมิวนสิ ต์แต่เพียงพรรคเดียว ซึ่งจะเปน็ ผู้ท่าหน้าที่แทนชนช้ันกรรมาชีพทั้งปวง
3) ข้ันคอมมิวนิสต์ หมายถึงสังคมที่ปราศจากชนชั้นอย่างสิ้นเชิง บุคคล
สมบูรณ์เต็มที่ทั้งในด้านความสามารถ ความส่านึกรับผิดชอบและความสัมพันธ์ต่อกัน ฉะนั้นจึง
เป็นการด่ารงชีวิตที่ไม่จ่าเป็นจะต้องมีรัฐหรืออ่านาจรัฐ ไม่จ่าเป็นต้องมีกฎหมาย กฎเกณฑ์บังคับ
ใดๆ เพราะมนุษย์จะไม่เบียดเบียนกดขี่ข่มเหงกันและกัน
ลัทธินี้มีความเชื่อว่าที่ใดมีการปกครองหรืออ่านาจรัฐ แสดงว่าบุคคลและ
สงั คมนน้ั ยงั บกพร่อง อา่ นาจปกครองโดยทั่วไปมิได้เป็นสิง่ ดีงาม เพราะเป็นการจ่ากัดเสรีภาพของ
บุคคล เมือ่ สงั คมได้วิวัฒนาการมาสู่ข้ันที่มนุษย์ไม่เห็นแก่ตัวโดยสิ้นเชิงเช่นนี้แล้ว บุคคลทั้งปวงจึง
อยู่อย่างเสรีโดยไม่จ่าเป็นต้องมีการปกครองอีกต่อไป เนื่องจากเหตุที่ว่าทุกคนเป็นคนดีสมบูรณ์
แบบ กจ็ ะไม่มอี ่านาจการปกรองรฐั บาลหรอื กฎหมายใดๆ ความจ่าเป็นที่จะใช้อ่านาจบังคับของรัฐ
ก็หมดไป ชีวติ ของบคุ คลจึงเปน็ อิสระปราศจากข้อจ่ากดั ต่างๆ
ในข้ันนี้ คาร์ล มาร์กซ์ เชื่อว่า “ทุกคนจะได้ท่างานตามความสามารถและจะ
ได้รับผลเท่าทีต่ นตอ้ งการ” ซึง่ จะกลายเป็นหลักการทีเ่ ป็นวิถีชีวติ ของบคุ คลท้ังปวง
รฐั ศาสตร์เบ้ืองตน้ หนา้ 249
ลัทธิมาร์กซิสม์นั้นเกิดขึ้นในแบบของขบวนการปฏิรูปหรือแก้ไขข้อบกพร่อง
ของสังคมในศตวรรษที่ 19 ความบกพร่องที่ส่าคัญที่สุดตามความคิดของมาร์กซ์คือ ความไม่เท่า
เทียมในทางสังคม ความไม่เท่าเทียมในเร่ืองฐานะ รากฐานของแนวความคิดของมาร์กซ์ ได้แก่
โครงรา่ งสงั คมในองั กฤษตอนกลางศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นข้อมูลส่าคัญที่เขาน่ามาใช้ก่าหนดทฤษฎี
และลัทธิของตน สิ่งที่เขาประสงค์ก็คือ การแก้ไขผลร้ายจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมด้วยการ
ต่อตา้ นการใชแ้ รงงานผหู้ ญิงและเด็ก การกระท่าที่ขาดมนุษยธรรมที่กรรมกรได้รับการปฏิบัติจาก
นายจ้าง ความเสื่อมเสียเสรีภาพของเอกชน ความโง่เขลา ความยากจนและความสกปรกของ
แหลง่ เสือ่ มโทรมทีเ่ กิดจากโรงงานอตุ สาหกรรม
กล่าวโดยย่อลัทธิมาร์กซิสม์เป็นอุดมการณ์ทางการเมืองที่เชื่อว่า มนุษยชาติ
จะมคี วามสขุ อย่างเตม็ ที่ด้วยการล้มเลิกสิง่ ต่างๆ ดังต่อไปนี้ กรรมสิทธิ์ทรัพย์สินของบุคคล ชนช้ัน
ฐานะในทางสังคม สถาบันทางสังคมเก่าแก่ ความเชื่อในทางศาสนา รัฐและการปกครอง ความ
เป็นคอมมิวนิสต์นั้นเป็นจุดหมายปลายทางที่อาจบรรลุได้ด้วยการใช้เวลาประการหนึ่ง ด้วยการ
ทา่ ลายแนวความคิดและสถาบันของพวกชนช้ันผู้ม่ังค่ังหรือพวกกระฎุมพี และด้วยการท่าลายรัฐ
และการปกครองให้ส้ินสุดลง
คาร์ล มาร์กซ์ ได้เสนอความคิดแบบคอมมิวนิสต์ในเอกสารชื่อว่า
“คอมมิวนสิ ต์แมนนเิ ฟสโต” (Communism Manifesto) ซึง่ พิมพ์ข้นึ ในปี ค.ศ.1848 โดยเขียนร่วมกับ
ฟรีดริกซ์ เองเกลล์ถ้อยแถลงแห่งคอมมิวนิสต์ได้ยืนยันให้เห็นถึงความดิ้นรนต่อสู้ระหว่างชนชั้น
ซึ่งมาร์กเห็นว่าเป็นการต่อสู้กันระหว่าง 2 ชนช้ัน คือ ชนชั้นกรรมาชีพ (Proletariat) ซึ่งได้แก่
กรรมกร ซึ่งไม่มีทุนและอุปกรณ์การผลิตของตนเอง จ่าต้องขายแรงงานเพื่อการยังชีพกับชนช้ัน
นายทุน (Bourgeoisie) การตอ่ สู้ของสองชนช้ันนี้ มาร์กให้ความเห็นว่าผลสุดท้ายชนช้ันกรรมกรจะ
มีชัยชนะ และในหนังสือเร่ือง ดัส คะบิดาล (Das Kapital) ซึ่งมาร์กเสนอให้เห็นวิธีการต่างๆ ที่
นายทุนใช้ในการขูดรดี กรรมกร
2.3 ระบบการเมอื งแบบประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยเปน็ ระบบการเมอื งระบบหนึ่ง ซึ่งหมายถึงระบบการเมืองการปกครอง
ที่ให้ประชาชนได้มีโอกาสปกครองตนเอง ซึ่งประกอบด้วยหลักการขั้นพื้นฐานหลายประการ
กล่าวคือ
1. ถือวา่ บุคคลทุกคนมคี ุณค่าและมีความเท่าเทียมกนั
2. มนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลและสามารถในกระบวนการปกครองตนเองได้เป็น
อย่างดี
รัฐศาสตรเ์ บอื้ งตน้ หน้า 250
3. ถือวา่ บุคคลพึงมีเสรภี าพและได้รับหลักประกันในการที่จะมีและใช้เสรีภาพ
นั้น
2.4 ลกั ษณะสา่ คญั ของระบบการเมอื งประชาธิปไตย
ชัยอนนั ต์ สมทุ วณิช ได้เสนอว่าประชาธิปไตย มีลักษณะส่าคัญดงั ตอ่ ไปนคี้ ือ
1. การมีศรัทธาในความสามารถของมนุษย์ มีศรัทธาในสติปัญญาในการที่
มนษุ ย์สามารถร่วมมอื กันทา่ งาน ความสามารถของมนษุ ย์ที่ส่าคญั ได้แก่การรู้จักเหตุผล และการ
ยึดหลักเหตผุ ลด้วยวิธีการทดลองค้นหาแบบวิทยาศาสตร์
2. เชื่อในสิทธิเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็น เน่ืองจากวิธีการหาข้อเท็จจริง
ตามอุดมการณ์ประชาธิปไตยถือหลักการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ จึงเชื่อว่าการยอมให้ทุกฝุาย
เสนอข้อเทจ็ จริง เหตผุ ลและความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาที่ก่าลังพิจารณาอยู่ให้หมดเสียก่อนแล้ว
จึงร่วมกันตัดสินใจจะเป็นวิธีดีที่สุด จากหลักข้อนี้จึงเกิดสิทธิเสรีภาพขึ้นมา ซึ่งสุขุม นวลสกุล
(2542 : 13-14) ได้อธิบายความหมายของสิทธิเสรีภาพไว้ว่า สิทธิ คืออ่านาจอันชอบธรรมหรือ
ความสามารถทีจ่ ะกระท่าการได้โดยชอบธรรม สิทธิของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเป็นสิ่งที่ได้รับการ
ยอมรับโดยธรรมเนียมประเพณีหรือกฎหมาย เพราะฉะนั้นอ่านาจอื่นแม้กระทั้งอ่านาจของรัฐจะ
ก้าวก่ายในสิทธิของบุคคลไม่ได้ ส่วนเสรีภาพ หมายถึงความมีอิสระในการกระท่าใดๆได้ตาม
ปรารถนาแต่มีขอบเขตจ่ากัดว่า การกระท่าน้ันๆจะต้องไม่ละเมิดกฎหมาย ขนบธรรมเนียม
ประเพณีหรือสิทธิของบุคคลอื่นและได้แบ่งสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย ออกเป็นข้อๆ
ดงั น้ี
ก. เสรีภาพในการพูด การพิมพ์ และการโฆษณา บุคคลมีเสรีภาพใน
การแสดงความคิดเห็นไม่ว่าจะเป็นการพูด การพิมพ์ หรือการโฆษณาตราบที่ข้อความที่น่ามา
เผยแพร่นั้นไม่หยาบคายลามก หมิ่นประมาท หรือละเมิดสิทธิของคนอื่น เสรีภาพในการแสดง
ความคิดเห็นนี้มีค่าสูงมาก และเชื่อว่าหากยอมให้ทุกฝุายแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีแล้วความ
ขัดแย้งกนั อย่างรนุ แรงจะไม่ปรากฏขึน้ ในสังคม
ข. เสรภี าพในการนบั ถือศาสนา ศาสนาเป็นเร่ืองความเชื่อของคนแต่ละ
คนย่อมมีสิทธิโดยสมบูรณ์ที่จะเลือกนับถือศาสนาหรือศรัทธาในศาสนาหรือลัทธิใดลัทธิหนึ่ง
ตราบเท่าที่ความเชื่อหรือความศรัทธานั้นไม่ไปละเมิดสิทธิของคนอื่นหรือละเมิดกฎหมาย
บ้านเมือง
ค. เสรีภาพในการสมาคมหรือรวมกลุ่ม บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการที่
จะรวมกลุ่มกัน ซึ่งอาจจัดตั้งขึ้นในรูปสมาคมเพื่อวัตถุประสงค์ใดที่ไม่ขัดต่อกฎหมายก็ได้ อย่างไร
ก็ตามกลุ่มหรือสมาคมที่จัดตั้งขึ้นนั้นต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์แห่งกฎหมายและไม่เป็นอันตราย
รัฐศาสตร์เบอื้ งตน้ หนา้ 251
หรืออุปสรรคต่อผลประโยชน์ส่วนรวม นอกจากนี้ประชาชนต้องมีเสรีภาพที่จะรวมกลุ่มกันเพื่อ
เรียกร้องให้รัฐบาลด่าเนินการเร่ืองใดเร่ืองหนึ่งตราบเท่าที่การกระท่านั้นเป็นไปอย่างสันติและไม่
เกินเลยขอบเขตแห่งกฎหมายเสรีภาพของประชาชนที่จะชุมนุมกันโดยสงบและปราศจากอาวุธ
จะต้องได้รับการรับรองและถือว่าเปน็ สิทธิพ้ืนฐานในระบอบประชาธิปไตยควบคู่กันไปกับเสรีภาพ
ในการพูด การพิมพ์ การโฆษณา
ง. สิทธิในทรัพย์สิน บุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิที่จะมีทรัพย์สมบัติเป็นของ
ตนเอง รัฐจะต้องทา่ หนา้ ที่ปูองกนั ภัยอันจะเกิดตอ่ ทรพั ย์สินของประชาชนภายในรัฐด้วย
จ. สิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย หากบุคคลใดตกเป็น
ผตู้ ้องหาไม่ว่าจะเปน็ คดีแพง่ หรอื อาญา บุคคลนั้นมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อกล่าวหาจากเจ้าหน้าที่
ของรัฐ รวมตลอดถึงการได้รับทราบสิทธิที่จะสามารถกระท่าได้ เช่น ขอพบทนายเพื่อรับ
ค่าปรึกษา หรือผลัดการให้การ ที่ส่าคัญที่สุดบุคคลจะต้องไม่ถูกลงโทษถึงแก่ชีวิต เสียอิสรภาพ
หรอื เสียทรัพย์สินโดยปราศจากการพิจารณาตามกระบวนกฎหมาย
ฉ. สิทธิส่วนบุคคล สิทธิมูลฐานที่ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลมีหลาย
ประการ เชน่ สทิ ธิในรา่ งกาย การไปไหนมาไหน การเลอื กประกอบอาชีพ การสมรส การหย่าร้าง
ความสมั พนั ธ์ในครอบครวั เปน็ ต้น ส่งิ เหล่านเี้ ปน็ สิทธิสว่ นบุคคลท้ังสิน้
3. มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ความเท่าเทียมกันหรือเสมอภาคนี้ไม่ได้
หมาย ความถึงความเท่าเทียมกันทางสติปัญญาหรือทางกายภาพ แต่เป็นความเสมอภาคตาม
กฎหมายและทางการเมือง ทุกคนควรได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ของรัฐและกฎหมายโดยเท่า
เทียมกัน ควรมีเสรีภาพทางการเมืองและการด่าเนินชีวิตเท่าเทียมกัน โดยไม่แบ่งแยกเพศใด มี
ก่าเนิดอย่างไร มีฐานะทางเศรษฐกิจสังคมเช่นใด ความเสมอภาคนี้ หมายถึงการได้รับโอกาสใน
การแสวงหาการศึกษา การท่างานที่เท่าเทียมกันด้วย สุขุม นวลสกุล (2542 : 14-15) ได้จ่าแนก
ความเสมอภาคออกเป็น 5 ประการด้วยกัน คือ
ก. ความเสมอภาคทางการเมือง หมายถึงทุกคนมีคุณสมบัติครบถ้วน
ตามที่ก่าหนดสิทธิที่จะเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองเท่าๆกัน ได้แก่ การออกเสียงเลือกตั้ง และ
สิทธิที่จะสมัครรบั เลือกตั้ง
ข. ความเสมอภาคต่อการปฏิบัติของกฎหมาย บุคคลทุกคนต้องได้รับ
การปฏิบตั ิจากกฎหมายอย่างเสมอภาคกัน กล่าวคือบุคคลจะได้รบั การคุ้มครองจากกฎหมายโดย
เท่าเทียมกันเมือ่ กระท่าผิดจะต้องใช้กฎหมายเดียวกัน การลงโทษอย่างเดียวกันและได้รับเหตุอัน
ควรปราณีกค็ วรได้รบั เช่นเดียวกัน
รฐั ศาสตร์เบอ้ื งตน้ หน้า 252
ค. ความเสมอภาคในโอกาส สังคมประชาธิปไตยต้องเป็นสังคมที่เปิด
โอกาสให้แก่คนทุกคนในสังคมโดยทัดเทียมกัน คนทุกคนต้องได้รับโอกาสที่จะใช้ความ สามารถ
ของเขาในการศกึ ษาหรอื ประกอบธุรกิจการงาน โอกาสที่จะแสวงหาเพื่อความเจริญก้าว หน้าของ
การด่ารงชีพหรอื การเลื่อนสถานะทางเศรษฐกิจและสงั คมของเขาเอง
ง. ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ ไม่ได้หมายความถึงการที่ทุกคน
จะต้องมีรายได้เท่าเทียมกนั เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึน้ ได้ยาก แต่อาจหมายถึงสภาพความใกล้เคียง
กันในฐานะทางเศรษฐกิจ มกี ารกระจายรายได้ (Income Distribution) ที่เป็นธรรมเพื่อมิให้ช่องว่าง
ระหว่างชนชั้นมากนัก นอกจากนี้ในสังคมประชาธิปไตยแต่ละบุคคลควรจะมีความม่ันคงทาง
เศรษฐกิจ (Economic Security) พอ สมควรเพราะถ้าปราศจากความม่ันคงทางเศรษฐกิจ คือมี
รายได้เพียงพอในการด่ารงชีพแลว้ กเ็ ปน็ การยากที่ระบบประชาธิปไตยจะด่าเนินไปได้อย่างราบร่ืน
เนื่องจากคนในสังคมจะต้องกังวลในเร่ืองหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไม่มีเวลาหรือโอกาสที่จะสนใจ
ความเปน็ ไปของบ้านเมือง
จ. ความเสมอภาคทางสังคม คนทุกคนจะต้องได้รับการเคารพว่าความ
เป็นคนนั้นมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน จะต้องไม่มีอุปสรรคจอมปลอมเป็นเคร่ืองกีดขวางการคบหา
สมาคมระหว่างคนรวยกับคนจนหรือคนต่างอาชีพกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ควรให้ความ
แตกต่างทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นเคร่ืองก่าหนดให้บุคคลหนึ่งเหนือกว่าบุคคลหนึ่ง ควรคิดว่า
ทกุ คนเท่าเทียมกนั ในฐานะความเปน็ มนษุ ย์เหมอื นกัน
4. อา่ นาจทางการปกครองของรัฐบาลเกิดขึ้นจากความยินยอมของประชาชน
การให้ความยินยอมเท่ากับเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับก่าลังหรืออ่านาจ ดังน้ันรัฐบาลที่
ชอบธรรมจึงเป็นรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของประชาชน
5. สถาบันการเมือง เศรษฐกิจและสังคมที่เป็นกลไกของรัฐน้ันมีอยู่เพื่อรับใช้
บุคคลในสังคมคนเข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลก็เพราะเขาคิดว่า รัฐบาลจะเป็น
เคร่ืองมือในการที่จะช่วยให้เขามีชีวิตดีกว่าแต่ก่อน มีเสรีภาพ ความม่ันคงปลอดภัยในทรัพย์สิน
และสิทธิในทรพั ย์สินส่วนบุคคล เหนอื สิ่งอืน่ ใดอ่านาจควรมอี ยู่อย่างจ่ากัด รัฐควรปล่อยให้เอกชน
ทา่ กิจการและด่าเนินชีวิตในด้านต่างๆเองโดยรัฐเข้าแทรกแซงน้อยที่สุด รัฐจะเข้าแทรกแซงในวิถี
ชีวติ และการจดั ระเบียบสงั คมของคนก็ต่อเม่อื กิจการนนั้ เอกชนไม่สามารถจะท่าเองได้เท่านั้น
6. รัฐเป็นเพียงอุปกรณ์ที่ช่วยให้คนในสังคมบรรลุถึงความสุขสมบูรณ์และรัฐ
อยู่ได้ก็ด้วยเปูาหมายทีจ่ ะคุ้มครองชีวติ ทรพั ย์สนิ และการแสวงหาความสุข ดังนั้นประชาชนมีสิทธิ
ที่จะท่าการ ต่อต้านรัฐบาลที่ไม่ปฏิบัติตามจุดมุ่งหมายดังกล่าว หรือรัฐบาลที่ใช้อ่านาจไม่เป็น
ธรรมหรอื รัฐบาลที่ไม่ได้ใชธ้ รรมเป็นอา่ นาจ
รัฐศาสตร์เบือ้ งต้น หน้า 253
เพื่อให้เป็นตามหลักการขั้นมูลฐานและลักษณะส่าคัญของระบบการเมืองแบบ
ประชาธิปไตย จึงได้มีการก่าหนดให้มีสถาบัน องค์การและกระบวนการในแบบประชาธิปไตยขึ้น
ได้แก่
1. สถาบันตัวแทน ตามระบบประชาธิปไตย โดยถือว่าประชาชนปกครอง
ตนเองได้โดยผ่านทางผู้แทน ซึง่ ประชาชนจะเปน็ ผู้เลือกต้ังเข้ามาท่าหน้าทีแ่ ทนปวงในแบบตัวแทน
2. สถาบันลัทธิในการออกเสียงเลือกต้ัง ซึ่งถือว่าเป็นสิทธิและอ่านาจของ
ประชาชนในการที่จะก่าหนดนโยบาย เลือกรัฐบาล รวมท้ังควบคุมและเปลี่ยนแปลงนโยบายและ
รฐั บาล
3. กระบวนการเลือกตั้ง ซึ่งก่าหนดให้ประชาชนใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งโดย
เสรีอย่างเตม็ ที่ ดว้ ยการยึดถือหลกั ที่วา่ ทุกคนมสี ิทธิออกเสียงเลือกตั้งเท่าเทียมกัน ประชาชนของ
ประเทศย่อมได้รับสิทธินีอ้ ย่างทั่วถึง และในการออกเสียงเลือกต้ังจะต้องกระท่าโดยวิธีลับ ห้ามมิ
ให้จ่ากดั การใชส้ ิทธิน้ีดว้ ยการอ้างเหตผุ ลความแตกต่างเร่ืองเพศ ศาสนา เผ่าพันธุ์หรือเหตุอื่น แต่
ท้ังนี้อาจมีข้อก่าหนดคุณสมบัติในการใช้สิทธินี้ไว้บ้างตามความจ่าเป็น เช่น ความรู้ อายุ และ
ภูมลิ ่าเนา คุณสมบตั ิเช่นวา่ นีห้ ากก่าหนดข้ึนแล้วจะต้องใชด้ ้วยความยตุ ิธรรม
4. องค์การพรรคการเมือง ซึ่งอาจจะเป็นระบบสองพรรคหรือระบบหลาย
พรรค พรรคการเมืองจะเป็นหน่วยงานที่ช่วยให้ประชาชนได้มีทางเลือกในด้านคณะบุคคลและ
นโยบาย
5. องค์การรัฐบาล ที่ถือกันว่าจะต้องเป็นหน่วยงานที่มีความรับผิดชอบและ
เปน็ ของประชาชนและยึดหลกั กฎหมายเปน็ รากฐานในการใช้อา่ นาจ
6. หลกั การเสียงข้างมาก ในการตดั สินปัญหาหรือหาข้อยุติ แต่จะต้องยอมรับ
สิทธิของฝุายข้างน้อย ไม่ว่าฝุายข้างน้อยน้ันจะเป็นบุคคลหรือกลุ่ม ด้วยการให้ฝุายข้างน้อยมี
เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและมีสิทธิในการที่กลายเป็นฝุายเสียงข้างมากตามวิถีทางที่
ชอบธรรม
2.5 ความหมายของประชาธิปไตย
ค่าว่า “ประชาธิปไตย” มีต้นก่าเนิดจากภาษากรีก หมายถึงการปกครองโดยหมู่
ประชาชน การปกครองแบบนี้ตรงกับภาษาอังกฤษ คือ Democracy ซึ่งมีรากศัพท์เดิม Demos ซึ่ง
แปลว่า ประชาชน
ส่าหรับในภาษาไทย ค่าว่า “ประชาธิปไตย” อาจแยกเป็น 2 ค่า คือ “ประชา”
หมายถึงประชาชน และค่าว่า “อธิปไตย” ซึ่งแปลว่าอ่านาจสูงสุดในแผ่นดิน เม่ือรวมกันขึ้นจึง
หมายถึง “การปกครองทีอ่ ่านาจสูงสดุ เปน็ ของประชาชนหรอื มาจากประชาชน”
รฐั ศาสตร์เบือ้ งตน้ หนา้ 254
ประชาธิปไตย ในความหมายอื่นๆ ดังนี้ “การปกครองของประชาชน โดยประชาชน
และเพื่อประชาชน (Government of the people, by the people and for the people)”, “การ
ปกครองโดยเสียงของคนสว่ นมาก โดยค่านึงถึงสิทธิของคนส่วนน้อย (Majority Rule and Minority
Right)”, “การปกครองโดยหลักนิติธรรม”, “การปกครองที่ถือว่าเสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์”
หรอื “การปกครองที่รฐั บาลมีอ่านาจจา่ กัด”
ประชาธิปไตย จึงมีความหมายทั้งในรูปแบบและหลักของการปกครอง รวมตลอดถึง
การดา่ รงชีวติ รว่ มกนั ของมนุษย์
ในแง่การปกครองน้ัน มุ่งถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนในการที่จะเข้าร่วมก่าหนด
นโยบายต่างๆ อันเกีย่ วกบั ประโยชน์สว่ นตนและส่วนรวม
ส่วนในแง่การด่าเนินชีวิตน้ัน หมายถึง การยอมรับสิทธิเสรีภาพ ความส่าคัญและ
ประโยชน์ซึ่งกนั และกนั โดยมีเหตแุ ละผลเปน็ เครือ่ งน่าทาง เพื่อความผาสุกร่วมกัน
2.6 หลักการของระบบการเมอื งประชาธิปไตย
จรูญ สุภาพ ได้กล่าวถึงหลักการประชาธิปไตยไว้อย่างละเอียด ในหนังสือ
“ลทั ธิเศรษฐกิจและการเมอื งเปรียบเทียบ” ดังน้ี
1. หลักที่ถือว่าประชาชนเป็นแหล่งที่เกิดและเป็นเจ้าของอ่านาจสูงสุดในการ
ปกครองประเทศ นั้นคือ ประชาชนเป็นผู้มีอ่านาจในการปกครองตนเอง การปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยในสมัยโบราณอาจเป็นการปกครองตนเองโดยตรง แต่ในสมัยปัจจุบันเป็นการ
ปกครองโดยอ้อม คือ จะต้อมีผู้แทนที่ประชาชนเลือกต้ังขึ้นเพื่อให้ท่าหน้าที่ปกครองแทน
ประชาชน
ในความเป็นเจ้าของอ่านาจสูงสุดหรืออ่านาจอธิปไตยของประชาชนนั้น
รัฐบาลจึงเป็นเพียงสมบัติที่ประชาชนร่วมกันจัดต้ังขึ้น ซึ่งประชาชนก็มีหน้าที่จะปกปูองรักษาไว้
หรอื ถอดถอนได้หากรัฐบาลไม่มีประสทิ ธิภาพหรอื ไม่ทา่ ตามสญั ญา
2. หลักการในการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นการปกครอง
ของประชาชน ซึ่งประชาชนกส็ ามารถใช้วธิ ีการตา่ งๆ เชน่
การเลือกต้ังผแู้ ทนราษฎร เพื่อให้ไปท่าหน้าที่ในการนิติบัญญัติ และประชาชน
สามารถควบคุมสภานิติบัญญัติน้ันด้วยการควบคุม ติดตามพฤติกรรมของผู้แทนราษฎร และท่า
ให้ผู้แทนราษฎรนน้ั ต้องรบั ผิดชอบต่อประชาชน
สภาผู้แทนราษฎรหรือสภานิติบัญญัติน้ัน มีอ่านาจออกกฎหมาย เป็นเสนอ
และจัดตั้งรัฐบาล ก็เท่ากับความประชาชนมีส่วนในการใช้อ่านาจนั้นในการออกกฎหมาย และมี
รัฐศาสตรเ์ บอ้ื งต้น หนา้ 255
ส่วนในการบริหารร่วมด้วย จึงอาจกล่าวได้ว่าท้ังสภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาล (คณะรัฐมนตรี)
ล้วนแลว้ แตเ่ ป็นสถาบันที่ประชาชนได้มีสว่ นร่วมจัดตั้ง กา่ หนดข้นึ และควบคุมได้
3. หลกั การสามารถแสดงประชามตใิ นรปู แบบต่างๆ ที่กฎหมายอาจก่าหนดให้
มีขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการมีส่วนร่วมของประชาชน เช่น อาจก่าหนดให้ประชาชนริเริ่มเสนอกฎหมาย
หรืออาจก่าหนดให้ประชาชนให้ประชาชนยินยอมในกฎหมายฉบับใดๆได้ หรือการยุบสภาเพื่อให้
ประชาชนสามารถเลือกต้ังผู้แทนราษฎรและก่าหนดตัวผู้ที่จะเป็นรัฐบาลใหม่ ก็ถือว่าเป็นการมี
ส่วนรว่ มที่สา่ คัญในการตดั สินใจเกีย่ วกบั นโยบายและคณะผปู้ กครองประเทศ
4. หลักการปกครองเพื่อประโยชน์ของประชาชน ซึ่งหมายถึงการกระท่าทุก
อย่างในทางการเมืองการปกครองจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไป น้ันคือ ผลงาน
ขององค์การในการปกครองทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นรัฐสภา คณะรัฐมนตรีหรือฝุายตุลาการ จะต้อง
ดา่ เนนิ ไปให้บังเกิดผลดีแก่ราษฎรท้ังหลาย
5. หลักการใช้เหตุผล เชื่อกันว่ามนุษย์เป็นสัตว์โลกที่มีเหตุผล การใช้เหตุผล
น้ันนับเป็นความสามารถอันสูงยิ่งของมนุษย์ ซึ่งได้แสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจนจาก
ความก้าวหน้าในด้านต่างๆ ซึ่งมนุษย์สามารถพัฒนาขึ้นทั้งในด้านจิตใจและวัตถุโดยปรากฏในรูป
อารยธรรม (วฒั นธรรมอนั สงู ) และวิทยาการ เชน่ สิ่งประดิษฐ์
ประชาธิปไตยต้องการให้บุคคลใช้เหตุผลในการแสดงออกและในการ
ด่าเนินงาน รวมตลอดถึงความสัมพันธ์กัน การก่าหนดนโยบาย การแสดงความคิดเห็น การ
แก้ปญั หา การพฒั นา การเปลีย่ นแปลงและการปรับปรุง เชื่อกันว่าถ้าใช้หลักเหตุผลอย่างเต็มที่ก็
จะช่วยใหเ้ กิดความสงบเรียบร้อย ความเจรญิ ก้าวหน้าและความมเี สรีภาพย่ังยืน
6. หลักความยินยอม ประชาธิปไตยไม่ต้องการให้มีการบังคับ หรือมีการ
กระทา่ ที่หลอกลวงใดๆ แต่ตอ้ งการใหบ้ คุ คลเป็นตัวของตัวเองในการตัดสินใน ดังนั้น เม่ือมีปัญหา
หรอื ความปรารถนาสิง่ ใดก่อนจะมีการปฏิบัติในสิ่งเหล่านั้น ก็จะต้องให้ประชาชนให้ความยินยอม
หรอื เห็นพ้องต้องกัน โดยผ่านตวั แทนของประชาชน (รัฐสภาและรัฐบาล) เสียก่อน
ความยินยอมจงึ เป็นการแสวงหาความเห็นพ้องต้องกัน โดยให้บุคคลแต่ละคน
มีเสรีภาพในการคิดและตัดสินใจของตนเองโดยเฉพาะ หากเป็นความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ก็
นับได้ว่าเป็นความยินยอมพร้อมใจอันอันจะก่อให้เกิดเป็นประโยชน์ยิ่ง เพราะจะท่าให้กิจการ
เหล่าน้ันดา่ เนินไปได้ดว้ ยดี
7. หลักการปกครองโดยเสียงข้างมากโดยไม่ละเมิดสิทธิของฝุายข้างน้อย
หมายความว่าการแก้ปัญหากด็ ี การหาข้อยุติก็ดีและการตดั สินใจก็ดี จะต้องให้หลักเสียงข้างมาก
ดังนน้ั ในการปฏิบตั ิการใดๆ ก็ต้องดูว่าเปน็ ความตอ้ งการของคนหมมู่ ากหรือไม่
รัฐศาสตรเ์ บื้องต้น หน้า 256
การตัดสินปัญหาต่างๆ หรือการแสวงหาทางออกใดๆ จะต้องใช้วิธีการ
แสวงหาความปรารถนาของคนหมู่มากเป็นแนวทางส่าคัญ เช่น การเลือกตั้งผู้แทนราษฎรหรือ
กฎเกณฑ์ท้ังปวงที่จะใช้บังคบั ในประเทศก็จะต้องพิจารณาจากเสียงข้างมาก
แต่การใช้เสียงข้างมากก็จะต้องกระท่าด้วยความระมัดระวัง มิฉะนั้นก็จะ
กลายเปน็ เผด็จการโดยเสียงขา้ งมาก หลกั เกณฑ์เกี่ยวกับใช้เสียงขา้ งมาก มีดงั นี้
1. เสียงข้างจะต้องตงั้ อยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาค คือ ก่อนที่จะใช้
เสียงข้างมากน้ัน ต้องถือว่าทกุ คนมเี สียงเท่ากัน คือ หนง่ึ คนหน่งึ เสียง
2. จะต้องยอมให้ฝุายข้างน้อยได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นหรือความ
ต้องการ หรอื เหตุผลของตนได้ด้วย
3. เม่ือเสียงข้างมากเห็นไปทางใดแล้ว ทุกฝุายจะต้องยอมรับแม้จะไม่
เหน็ พ้องก็ตาม
4. การใชเ้ สียงข้างมากจะตอ้ งให้หลักเหตผุ ลและไม่ใช้อารมณ์
5. จะต้องใช้เสียงข้างมากในลักษณะที่ไม่มุ่งลิดรอนสิทธิของฝุายข้าง
น้อยโดยไม่เป็นธรรม การใช้เสียงข้างมากเพื่อการปกครองที่เด็ดขาดก็ดี การใช้เสียงข้างมากเพื่อ
มุ่ง “ปิดปาก” ฝุายเสียงข้างน้อยหรือเอาเปรียบฝุายข้างน้อยโดยปราศจากเหตุผลหรือ
มนษุ ยธรรมกด็ ี ถือว่าเป็นทรราชโดยฝุายเสียงขา้ งมาก
8. หลกั กฎหมายหรือหลักนิติธรรม ซึ่งหมายถึงการยึดถือกฎหมายเป็นเกณฑ์
หรือกติกาในการด่าเนินการต่างๆ การถือกฎหมายเป็นหลักนี้ถือกันว่าเป็นนโยบายและความ
ต้องการของประชาชนเพราะกฎหมายได้ก่าหนดขึ้นโดยผู้แทนของประชาชน จึงถือว่ามาจาก
ประชาชนนั้นเอง
การใชก้ ฎหมายเป็นหลกั นับว่าเปน็ ประโยชน์ คือ
1. ถือว่าเป็นการปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของประชาชน ท้ังนี้เนื่องจาก
ผแู้ ทนของประชาชนนน่ั เองเปน็ ผู้สร้างกฎหมายเหล่านั้นข้นึ
2. ถือว่าเป็นหลักประกันที่ส่าคัญ เพราะกฎหมายย่อมเป็นสิ่งที่บัญญัติ
ขึ้นโดยชัดแจ้งและเปิดเผย เป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าใจ รู้เห็นและรับทราบ ตัวบทกฎหมายเป็นสิ่งที่ไม่มี
ชีวิตจิตใจ จึงไม่มีอคติย่อมใช้ได้โดยเท่าเทียมกัน ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ส่วนการยึดถือความรู้สึก
ของบุคคลย่อมจะเป็นการล่อแหลม เพราะบุคคลมีจุดอ่อน คือ มีรัก โลภ โกรธ หลงและอคติ
การใช้ความคิดของหมู่ชนหรือความต้องการของฝูงชนซึ่งเกิดขึ้นในเหตุการณ์ต่างๆ น้ันย่อมมิได้
เป็นหลกั ประกันที่ดีเพราะอาจมีอคติ อารมณ์ ความต้องการแกว่งไกวหรือเจตนาที่ไม่สุจริต แอบ
แฝงอยู่ ดงั นนั้ การใชห้ ลักเกณฑ์นา่ จะเปน็ หลกั ประกนั ดีกว่า แมจ้ ะไม่ดีทีส่ ุด
รฐั ศาสตรเ์ บอื้ งตน้ หน้า 257
3. หลกั กฎหมายหรือหลักนิติธรรมนี้ หมายถึงการใช้หลักกฎหมายเพื่อ
ก่อให้เกิดความยุติธรรมแก่บุคคล เพื่อคุ้มครองเสรีภาพของบุคคล โดยก่าหนดให้มีข้ันตอนต่างๆ
ที่แน่ชัด โดยการใช้หลักการพิสูจน์ที่มีเหตุผลที่สุดเท่าทีจะท่าได้โดยสงบและรวดเร็ว มิใช่เป็นการ
กล่าวหากันด้วยการใช้อารมณ์ หรือการลงโทษกันเองโดยมิได้ยึดหลักหรือกระบวนการยุติธรรม
แตอ่ ย่างใด ในลกั ษณะที่เป็น “ศาลเตี้ย” วิธีการเช่นนี้อาจจะเป็นแบบที่ใช้ในระบบเผด็จการได้ คือ
ชนชั้นนา่ อาจสรา้ งกฎหมแู่ บบศาลเตี้ยขึน้ เพือ่ ท่าลายเสรีภาพของบุคคลต่างๆ ได้
4. หลักกฎหมายท่าให้เกิดการปกครองที่ยึดหลักกฎหมาย ไม่ใช่ตัว
บุคคลซึ่งท่าให้เกิดหลักประกันที่ส่าคัญแก่บุคคล เป็นการจ่ากัดอ่านาจรัฐหรือรัฐบาลมิให้ละเมิด
เสรีภาพของบุคคล หรือกระท่าตามอ่าเภอใจ หลักการนี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่าง
ประชาธิปไตยกับเผด็จการ
9. หลักการปกครองที่รัฐบาลมีอ่านาจจ่ากัด ประชาธิปไตยไม่ต้องการให้
รัฐบาลมีอ่านาจเหลือล้นอาจจะละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นมูลฐานของประชาชน จึงได้มีวิธีจ่ากัด
อ่านาจของรฐั บาลหลายทาง เชน่ การกา่ หนดขอบเขตอ่านาจของรัฐบาลไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือให้
อ่านาจนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ สามารถถ่วงดุล รั้งกันและกันได้ ให้ราษฎรมีเสรีภาพใน
การตง้ั พรรคการเมืองหรือกลุ่มผลประโยชน์ๆ เพื่อคอมติดตามการปฏิบัติและผลงานของรัฐบาล
ใช้หลักการกระจายอ่านาจ คือ การปกครองท้องถิ่น เพื่อไม่ให้มีการรวมอ่านาจไว้ที่รัฐบาลกลาง
มากจนเกินไป ก่าหนดให้มีการจ่ากัดระยะเวลาในการด่ารงต่าแหน่งของฝุายนิติบัญญัติ ฝุาย
บริหารเหล่านีล้ ้วนเป็นวิธีการทีจ่ ะบังคับใหร้ ัฐบาลมีอ่านาจในลักษณะและปริมาณทีเ่ หมาะสม
อย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้ประชากรของแต่ละประเทศจะเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย
จนท่าให้ทรัพยากรมีจ่านวนลดน้อยลง วิทยาการสมัยใหม่ท่าให้กระทบกระเทือนต่อสวัสดิภาพ
ของประชาชนเปน็ จ่านวนมาก บคุ คลมีความสามารถต่างกนั ท่าให้เกิดความเหลื่อมล้่าในเร่ืองของ
ผลประโยชน์ ดงั นน้ั จงึ ท่าให้รฐั บาลมีบทบาทเพิ่มขึ้นและมีอ่านาจมากขึ้นด้วย แต่ก็เป็นไปเพื่อที่จะ
สนองความต้องการของประชาชนและคุ้มครองประชาชนให้ได้รับประกนั ต่างๆ โดยท่ัวถึงกนั
10. หลักการรับฟังและถือเอาเจตนาของประชาชนเป็นหัวใจส่าคัญ เจตนา
และความต้องการของประชาชนนี้ หมายถึงความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ ซึ่ง
ในทฤษฎีของประเทศตะวันตกถือว่าเป็นสิ่ง “ศักดิ์สิทธิ์” ซึ่งรัฐบาลจะต้องรับฟังด้วยดีและต้อง
น่าไปปฏิบัติ เพือ่ บังเกิดผลตามความตอ้ งการของประชาชน
11. หลักความเสมอภาค ซึ่งหมายถึงความเท่าเทียมกันในทางการเมือง
กฎหมายและความเท่าเทียมในโอกาส ความเท่าเทียมในโอกาสหมายถึงการทีใ่ ห้บุคคลทุกคนพึงมี
โอกาสเสมอกนั ในการที่จะได้รบั ผลประโยชน์หรือหลักประกันต่างๆ ส่วนที่บุคคลใดจะสามารถได้
รฐั ศาสตรเ์ บื้องตน้ หนา้ 258
ประโยชน์หรือความส่าเร็จมากน้อยต่างกันนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน ซึ่งมีไม่
เหมอื นกนั ตามธรรมชาติ ตราบใดทีร่ ฐั ได้ให้โอกาสเหมอื นกันแล้วก็ถือว่าเป็นความเสมอภาคอย่าง
ยิ่ง
บุคคลพึงเสมอกันต่อหน้ากฎหมาย คือ บุคคลต้องได้รับการคุ้มครองปูองกัน
จากกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเหมือนๆ กัน ท้ังนี้เพื่อปกปูองสิทธิและผลประโยชน์อัน
ชอบธรรมของตน
บุคคลพึงมีความเท่าเทียมกันในทางการเมือง คือ เป็นเจ้าของประเทศเท่า
เทียมกนั เชน่ การมสี ิทธิเลือกตั้ง การเข้าชือ่ เสนอกฎหมาย การสมัครรบั เลือกต้ัง ฯลฯ
นอกจากนี้ความคุ้มครองและการให้หลักประกันแก่พลเมืองของชาติจะต้อง
เป็นไปในลักษณะที่มีความเสมอภาค นั้นคือ บุคคลทุกคนพึงมีสิทธิที่จะได้รับหลักประกันที่จะ
ได้มาซึ่งปัจจัยสี่ รวมตลอดทั้งการศกึ ษาอบรม อาชีพและการบริการตา่ งๆ ของรัฐ
12. หลักศีลธรรม ศีลธรรมเป็นหลักการที่ควบคุมมิให้บุคคลกระท่าการที่เป็น
การเบียดเบียนกันโดยมิชอบ แต่มุ่งสนับสนุนให้มนุษย์ได้เอื้อเฟื้อช่วยเหลือกัน และมีจิตใจในการ
ปฏิบตั ิประกอบด้วยคุณธรรม เพือ่ ให้บังเกิดผลประโยชน์แก่ตนเองและบุคคลอื่น
ศีลธรรมช่วยสร้างจิตใจของบุคคล ซึ่งจะท่าให้บุคคลมีคุณภาพอย่างแท้จริง
อันจะเป็นผลดีต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะเม่ือบุคคลได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
แล้วก็จะช่วยลดปัญหาท้ังหลายท้ังปวงลงได้อย่างมาก ท่าให้หลักการ สถาบัน กระบวนการและ
องค์การของการปกครองประชาธิปไตยได้บังเกิดผลดีมั่นคงถาวรอย่างแท้จริง
จะเห็นได้ว่าในหลายประเทศแม้จะจัดโครงสร้าง องค์การและวิธีกระบวนการ
ของประชาธิปไตยก็ตาม แต่ก็ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะบุคคลที่เป็นหัวใจส่าคัญ
ของการปกครองประชาธิปไตย แม้จะเป็นระบบการเมืองที่ดีแต่บุคคลปราศจากคุณภาพ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การไม่มีความสุจริต เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน คอรัปช่ันมุ่งแสวงหา
ผลประโยชน์อันมิชอบ ผลที่เกิดก็คือ “มีการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยเพียงเค้าโครงเท่าน้ัน
วิญญาณและเนือ้ แท้ของประชาธิปไตยมิได้ปรากฏอยู่เลย”
13. หลักการพัฒนาและการปกครองของตนเอง ระบอบประชาธิปไตยน้ันเชื่อ
ว่ามนุษย์มคี วามสามารถในการปรบั ปรุงตนเองให้ก้าวหน้า ท้ังในด้านความคดิ สติปัญญาและการ
กระท่าตา่ งๆ จงึ เปน็ การสมควรอย่างยิ่งที่จะให้บุคคลได้ก่าหนดการปกครองที่ประชาชนสามารถ
แก้ปญั หาของตนเองได้ เพื่อความเจริญก้าวหน้าและเพื่อการปกครองตนเอง โดยเปิดโอกาสให้มี
การแสดงความคิดเห็นมีเสรีภาพในการเลือกองค์การเพื่อท่าหน้าที่ปกครองแทนประชาชน และ
วิธีต่างๆเพือ่ ใหค้ วามตอ้ งการของคนส่วนใหญ่สามารถใช้เป็นหลักในการปกครองได้
รัฐศาสตรเ์ บือ้ งต้น หนา้ 259
14. หลักเสรีภาพ เสรีภาพหมายถึงโอกาสที่บุคคลเลือกปฏิบัติได้ในสิ่งที่เป็น
ประโยชน์แก่ตนเองมากทีส่ ดุ
ระบอบประชาธิปไตยมีความมงุ่ หมายทีจ่ ะให้ได้มาซึ่งเสรีภาพและพร้อมกันนั้น
ก็จะให้ความคุ้มครองเสรีภาพของบุคคลให้มีความมั่นคง แต่การมีและการใช้เสรีภาพในระบอบ
ประชาธิปไตยนีจ้ ะต้องไม่ละเมดิ ประโยชน์ของบุคคลอื่น เสรีภาพจะต้องมีขอบเขตและเหตุผล
เสรีภาพที่เปน็ พนื้ ฐานนน้ั ได้แก่ เสรีภาพทีเ่ กีย่ วข้องกับบุคคล คือ ชีวิต ร่างกาย
ทรัพย์สิน ชื่อเสียง ความก้าวหน้าและเสรีภาพในทางการเมืองของบุคคล ได้แก่ การมีส่วนร่วมใน
การปกครองตนเอง
เสรีภาพช่วยให้บุคคลมีก่าลังใจในการพัฒนาตนเองและชุมชน ท่าให้มีโอกาส
ในการสร้างความเจริญก้าวหน้าทุกทาง ทั้งในด้านส่วนตัวและส่วนรวม ท่าให้เกิดการคิดค้นและ
ผลิตสิ่งใหม่ๆ ขึ้น เสรีภาพจึงเป็นสิ่งส่าคัญที่ทุกประเทศละเลยมิได้ จะต้องรักษาและให้
หลักประกนั แก่ประชาชนทุกคนใหไ้ ด้รับแพะใช้เสรีภาพอย่างท่วั ถึง
เสรีภาพจะต้องเป็นไปในลักษณะที่มีความรับผิดชอบ ดังน้ัน ประชาชนที่มีและ
ใช้เสรีภาพจึงต้องมีหน้าที่ดว้ ย เชน่
- บุคคลมีเสรีภาพในการที่จะรักษาชีวิตตนเอง และมีหน้าที่ในการรักษาชีวิต
บุคคลอื่นด้วย
- บคุ คลมีเสรีภาพในการใชอ้ วัยวะต่างๆ ของร่างกาย แต่ก็มีหน้าที่ที่จะต้องไม่
ละเมดิ ร่างกายของบุคคลอืน่ เชน่ ทา่ ให้เกิดเสียหายบาดเจบ็
- บุคคลมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แต่ก็มีหน้าที่เคารพชื่อเสียงของ
บคุ คลอื่น โดยไม่กระท่าการทีเ่ ป็นการใส่ความใหบ้ ุคคลอืน่ เสียหายหรือเส่อื มเสียช่อื เสียง
- บุคคลมีเสรีภาพในการใช้ทรัพย์สิน แต่ก็มีหน้าที่ แต่ก็มีหน้าที่จะต้องใช้
ทรัพย์สินโดยไม่ละเมดิ ประโยชน์สุขของบุคคลอื่น เช่น การขับขี่ยานพาหนะจะต้องระมัดระวังมิให้
เกิดอุบัติเหตุหรือประมาท จนกระท้ังท่าให้ยานพาหนะหรือชีวิตของบุคคลอื่นต้องเป็นอันตราย
การเปิดวิทยุ โทรทศั น์เปน็ เสรีภาพแต่ต้องมีหน้าที่ที่จะไม่ทา่ ให้รบกวนบคุ คลอื่น
- บุคคลมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แต่มีหน้าที่เคารพ
ความคิดเห็นของบคุ คลอื่น การยดั เยียดความคิดเหน็ ของตนเองให้กบั ผอู้ ื่นก็ดี การบังคับให้บุคคล
อืน่ เชอ่ื ตามความคดิ ของตนเองก็ดี การเหยียดหยามหรอื กล่าวหาว่าความคิดของบุคคลอื่นเป็นสิ่ง
ล้าสมัยหรือไม่ถูกต้องโดยสิ้นเชิง และถือว่าความคิดของตนเองเท่านั้นที่ถูกต้องอย่างแท้จริง
นบั เปน็ การใชส้ ิทธิเสรีภาพโดยมิชอบ อาจเรียกได้ว่าเปน็ เผด็จการในด้านความคิดเห็น
รัฐศาสตรเ์ บือ้ งตน้ หนา้ 260
15. หลักศักดิศ์ รแี หง่ ความเป็นมนษุ ย์ ประชาธิปไตยถือว่าบุคคลมีความส่าคัญ
ยิ่ง การปกครองจึงต้องเป็นไปเพื่อรักษาประโยชน์ของบุคคล “รัฐและรัฐบาลเกิดมาเพื่อ
ประชาชน” ดังน้ัน กฎหมาย นโยบาย หน่วยงานและการปฏิบัติต่างๆ มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะ
ให้บริการแก่บุคคล การรักษาสิทธิเสรีภาพของเอกชนนับเป็นสิ่งที่ส่าคัญอย่างยิ่ง ถือเป็นหัวใจ
ส่าคัญของการปกครองของประชาธิปไตยทุกแบบ ประเทศเผด็จการน้ันมีปรัชญาที่เน้นให้
ความส่าคัญของรัฐ ของกลุ่มชนหรือชนชั้นใดชนชั้นหนึ่ง ฐานะของบุคคลในระบบดังกล่าวจึงไม่มี
ความส่าคัญเท่าใดนกั
16. หลักการประนีประนอม ประชาธิปไตยต้องการให้มีการประนีประนอมใน
ด้านความคิดเห็นและการกระท่าด้วยการให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยเสรี ซึ่งเชื่อว่าจะ
ช่วยให้หาข้อยุติได้ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชื่อม่ันว่าบุคคลยอมรับเหตุผลที่ดีที่สุดเป็นข้อ
ประนีประนอม บางครง้ั ฝุายหนึ่งถูก แตใ่ นปัญหาอ่นื ฝุายที่เคยผิดอาจถกู กไ็ ด้
17. หลักการยอมรบั ข้อสงสัย เน่ืองประชาธิปไตยยึดหลักเหตุผล ดังน้ัน จึงถือ
ว่าความคิดทางการเมืองและนโยบายต่างๆ มีอาจกล่าวอ้างว่าเป็น “สัจธรรม” จะต้องมีการ
พิสูจน์ทดลองให้รู้แจ้งเห็นจริงเสียก่อนว่า สิ่งนั้นๆ เป็นสัจธรรมจริงหรือไม่ หลักการนี้จึงช่วยให้
เกิดความคิดทีก่ ว้างขวาง มีใจกว้างและยับยั้งการผูกขาดความคิดเห็นหรือการกระท่าที่เป็นเผด็จ
การ ดงั นนั้ ในทางปฏิบตั ิจงึ เน้นถึงวิธีการทีไ่ ด้มาซึ่งความถูกต้องด้วยยอมรบั ฟังความคิดเห็นต่างๆ
ก่อนที่จะก่าหนดนโยบายใดๆ และแม้จะก่าหนดขึ้นแล้วก็ตาม ก็จะต้องเปิดโอกาสให้มีการ
ปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมกบั กาลสมยั ในเวลาต่อมา หลกั แหง่ ความสงสัยจึงเป็นแนวความคิดทาง
วิทยาศาสตร์ทีส่ อนให้บคุ คลมิใหเ้ ชอ่ื สิง่ ใดสิ่งหนง่ึ อย่างงมงาย แต่มุ่งพิจารณาจากสภาพความเป็น
จริง ความจริงทางการเมืองอาจเปลี่ยนแปลงได้ ความจริงยุคหนึ่งในสมัยหนึ่งอาจไม่เป็นความ
จริงในยุคอื่นสมัยอื่น เพราะสภาพการณ์และสิ่งแวดล้อมได้เปลี่ยนแปลงไป และจะต้องรู้จัก
แยกแยะระหว่าง “ข้อเท็จจริง” (fact) กับ “ความจริง” (truth) เพราะข้อเท็จจริงอาจจะไม่เป็น
ความจริงตลอดไปหรอื เป็นสจั ธรรม(จรูญ สุภาพ. 2527, 29 – 35)
2.7 วิถีชีวติ แบบประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยนอกจากจะหมายถึงการปกครอง ยังเป็นวิถีชีวิตที่บุคคลอาจจะใช้ชีวิต
ร่วมกนั ได้อย่างมีเหตมุ ีผล มเี สรีภาพและอย่างยุติธรรม วิถีชีวิตในระบอบประชาธิปไตยน้ันเป็นสิ่ง
ที่พบเห็นได้ในประเทศที่ประชาธิปไตยได้หย่ังรากไว้อย่างม่ันคง วิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยอาจจะ
แยกกล่าวได้ ดงั น้ี
รฐั ศาสตรเ์ บอ้ื งต้น หนา้ 261
1. การใช้เหตุผลด้วยการทดลองหรือทดสอบจากสภาพความเป็นจริง
ประชาชนในประเทศประชาธิปไตยต้องเชื่อมั่นว่าเหตุผลเป็นสิ่งที่ดีงามและสามารถใช้เหตุผล
ประยกุ ต์ใชไ้ ด้ในสถานการตา่ งๆ และความสมั พนั ธ์ระหว่างมนุษย์
วิถีชีวิ ตแบ บ ป ระ ชาธิ ป ไ ตย มุ่งที่ จะใ ห้ควา มส่า คัญแก่ ก ระ บ วนก ารที่ จะห า
ค่าตอบต่างๆ ให้ได้ดีที่สุดจึงเปิดโอกาสให้มีการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นและการแสวงหา
ข้อเท็จจริงต่างๆ เพื่อจะได้ใช้ในการตัดสินตกลงใจ ดังน้ัน ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยและ
ประเทศที่เป็นเผด็จการต่างก็มีกฎหมายและใช้กฎหมายเป็นเคร่ืองมือในการปกครอง แต่
กระบวนการในการบัญญัติกฎหมายนั้นอาจจะมีความแตกต่างกันอย่างยิ่ง เพราะระบบการ
ปกครองแบบประชาธิปไตยต้องการฟังความเห็นของทุกฝุาย ยอมรับเหตุผลและมีการประมวล
ข้อเท็จจริงต่างๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการออกกฎหมาย แต่ระบบเผด็จการอาจใช้อ่านาจ
และแนวความคิดเดียวของผมู้ ีอา่ นาจในการปกครองเท่านั้น
ในประเทศตะวันตกจึงได้ใช้หลักเหตุผลและการทดสอบสิ่งๆ จากสภาพความ
เป็นจรงิ หรอื เรียกกันว่า การหาเหตผุ ลจากคามเปน็ จรงิ (empiricism) เปน็ หลกั ส่าคัญ
2. การให้ความส่าคัญแก่บุคคล หลักข้อนี้ท่าให้วิถีชีวิตแบบเสรีประชาธิปไตย
แตกต่างจากระบบเผด็จการอื่นๆ นั้นคือ สถาบันทางการเมืองในสังคม เช่น กลุ่มชนหรือพรรค
การเมอื งจะต้องจดั ตง้ั ข้ึนเพื่อรบั ใช้บคุ คล
หลักเสรีนยิ มแบบประชาธิปไตยต้องการให้บคุ คลมีเสรีภาพในชีวิต และในการ
แสวงหาความสุข ดังนน้ั จงึ ตรงข้ามกับระบบเผด็จการที่ถือว่าพลเมืองมีหน้าที่ มีวินัยและต้องตาย
เพือ่ รัฐ ระบบเผด็จการมีหลักการว่า รัฐเป็นนายและบุคคลเป็นบ่าวในหนังสือเร่ือง Philosophy of
Right (1821) ของ Georg W. F. Hegel เขากล่าวว่า “บุคคลจะมีเสรีภาพก็ต่อเม่ือเชื่อฟังรัฐ บุคคล
จะส่านกึ และเข้าถึงเสรีภาพอย่างแท้จริงก็ต่อเม่ือบุคคลนั้นตายเพื่อรัฐ การตายเพื่อรัฐน้ันจะท่าให้
บุคคลพ้นจากสภาพใดๆ ที่มลี ักษณะส่วนบคุ คล แตจ่ ะกลายเป็นส่วนหนึง่ ของรัฐโดยสมบูรณ์”
ล๊อค ถือว่าความส่าคัญของมนุษย์อยู่ตรงที่สามารถต่อต้านรัฐได้เม่ือมีความ
จ่าเปน็ ทีจ่ ะต้องกระทา่ เชน่ นั้น ไม่ใช่การเชอ่ื ฟงั รัฐอย่างหลบั หูหลับตา
โทมัสเจฟเฟอร์สัน ได้กล่าวยกย่องว่า “สิทธิอันศักดิ์สิทธิ์ของบุคคล ก็คือ
ความมเี สรีภาพ สิทธิเกี่ยวกับชีวิตและการแสวงหาความสุข ซึ่งสิทธิเหล่านี้ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้
รัฐบาลรูปแบบใดก็ตามที่มุ่งท่าลายสิทธิเสรีภาพดังกล่าว ประชาชนก็มีสิทธิจะเปลี่ยนแปลงหรือ
ล้มเลิกรัฐบาลนีเ้ สียได้ และต้ังรฐั บาลใหม่ที่ตั้งอยู่บนรากฐานแห่งเสรีภาพดังกล่าวข้างต้น และจัด
ระเบียบการใชอ้ ่านาจให้เป็นไปตามการใช้เสรีภาพของบคุ คล เพือ่ ให้เกิดความปลอดภัยและความ
ผาสุกแก่บคุ คล”
รฐั ศาสตร์เบือ้ งต้น หน้า 262
3. มีความเชื่อในเร่ืองที่ว่ารัฐบาลเป็นเพียงเคร่ืองมือเท่าน้ัน ความเชื่อนี้เห็นว่า
รฐั บาลเปน็ เพียงกลไกทีจ่ ะต้องใช้เพือ่ วัตถุประสงค์ที่สา่ คญั กว่าตัวรฐั บาลนั้น
4. การยึดถือหลักความสมัครใจ วิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยน้ันต้องการให้
บุคคลท่ากิจการต่างๆ ด้วยความสมัครใจ ดังน้ัน การปฏิบัติกิจการต่างๆ ของบุคคลจึงควรจะ
เป็นไปตามความรู้สกึ ความตอ้ งการไมม่ ีการบงั คบั
หลักความเชื่อข้อนี้ช่วยให้เกิดการรวมกลุ่มต่างๆ ด้วยความสมัครใจ เช่น
ในทางการเมอื งก็เกิดเป็นพรรคการเมือง ในทางการศึกษาก็เกิดโรงเรียนเอกชน ในทางเศรษฐกิจ
เกิดสหพันธ์กรรมกรและสมาคมลูกจ้าง หลักความสมัครใจท่าให้เกิดทัศนคติที่ไม่ต้องการให้มี
การเมืองการปกครองแบบรวมอ่านาจจนเกินไป หรือไม่ต้องการการปกครองแบบรวมศูนย์อยู่
ส่วนกลางเพียงสว่ นเดียว
5. หลกั ที่เชื่อกันว่ามีกฎหมายสูงสุดอยู่เหนอื กฎหมายแห่งรัฐ กฎหมายสูงสุดนี้
หมายถึง ความสา่ นึกทีถ่ กู ต้องและหลกั ของเหตผุ ลทีเ่ ป็นสิง่ ดีงาม ล็อค ได้อธิบายไว้ว่า “รัฐบาลใน
ระบบประชาธิปไตยน้ันอาจจะถูกประชาชนต่อต้าน หากเห็นว่าเม่ือใดรัฐบาลปฏิบัติไม่เป็นธรรม
หรือเม่ือประชาชนได้รับความทุกข์ยาก แต่ประชาชนจะต่อต้านรัฐบาลไม่ได้ถ้าเป็นเพียงสาเหตุ
ทีว่ า่ รัฐบาลด่าเนินการในรายละเอียดผิดพลาดเท่าน้ัน” รัฐบาลที่ดีนอกจากมาจากประชาชนแล้ว
จะต้องยึดหลักความถกู ต้องดีงามสงู สดุ ซึ่งสิง่ เหล่านอี้ าจถือได้ว่าเป็นกฎหมายระดับสูงนนั้ เอง
6. การยึดถือหรือให้ความส่าคัญในเร่ืองวิธีการ ระบบประชาธิปไตยเชื่อว่า
ชีวิตของบุคคลแม้จะมีจุดหมายปลายทาง แต่จะต้องอาศัยวิธีการหรือวิถีทางด้วยเพื่อที่จะบรรลุ
ถึงวตั ถปุ ระสงค์เหลา่ นั้น
เหตุผลที่ท่าให้ประชาธิปไตยต่างจากระบบเผด็จการ ในระบบเผด็จการให้
ความสนใจที่เปูาหมายหรือวัตถุประสงค์เป็นส่าคัญ ไม่ค่านึงถึงวิธีการว่าจะใช้วิธีการแบบใดหรือ
การได้มาวัตถุประสงค์อย่างไร ส่วนระบบประชาธิปไตยเชื่อว่าวิธีการที่ดีและถูกต้องเท่านั้นจึงจะ
ได้เปูาหมายหรือวัตถปุ ระสงค์นนั้ ถกู ต้อง
วิธีการที่จะน่าไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยอาจได้แก่ การใช้หลักกฎหมาย
กระบวนการยุติธรรม การเลือกตั้งผู้แทนราษฎร การดา่ เนินการบริหารราชการแผ่นต้องใช้วิธีการ
ตามกฎหมายและหลกั ธรรมาภิบาล โปร่งใส ฯลฯ
7. ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับหลักของการอภิปรายและความยินยอม ระบบ
ประชาธิป-ไตย ไม่เชื่อว่าจะมีผู้ใดสามารถผูกขาด “ความจริง” ไว้แต่เพียงผู้เดียวหรือมิฉะนั้นก็
เชื่อว่าในทางการเมือง การปกครอง ต้องมีการอภิปราย ถกเถียง แสดงเหตุผล เพื่อหาข้อยุติที่
ถูกต้องที่เป็นความคิดเหน็ คนส่วนใหญ่และชอบธรรมหลกั ฐานข้อเทจ็ จรงิ
รฐั ศาสตรเ์ บ้ืองต้น หน้า 263
การแสดงความคิดเห็นโดยเสรีจึงเป็นการยอมรับสิทธิและความส่าคัญของ
บุคคลและความยินยอมของประชาชนท่ัวไปจะท่าให้เกิดการปกครองโดยประชาชน หลัก
ประชาธิปไตยที่ส่าคัญจึงต้องการให้บุคคลแสดงความคิดเห็น แต่ท้ังนี้จะต้องใช้เหตุผล ไม่ใช่การ
ดึงดนั พาลเกเรหรอื เปน็ การบงั คับให้เชอ่ื ตามชนิดฝังหวั
8. น้่าใจประชาธิปไตย คือ ความส่านึกและยึดม่ันในหลักการปกครองระบบ
ประชาธิปไตย ด้วยการยึดถือว่าเป็นการปกครองที่เป็นประโยชน์ต่อบุคคลและส่วนรวมมากกว่า
ระบบอื่น ดังน้ันบุคคลจะต้องฝึกหัดตัวเองให้มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย เช่น มีจิตใจกว้าง เห็น
ประโยชน์สว่ นรวมมากกว่าประโยชน์สว่ นตน ส่วนรวมตอ้ งมาก่อนเสมอ
9. ความส่านึกเกี่ยวกับคุณค่าและศักดิ์ศรีของบุคคล คือ ถือว่าบุคคลมีความ
เท่าเทียมกันในฐานะที่เป็นมนุษย์ แม้ว่าจะมีลักษณะอย่างอื่นไม่เหมือนกัน เช่น เพศ วัย ความรู้
รสนิยม ยอมรับความแตกต่างในด้านความคิดเห็น มีความอดทนต่อสภาพที่อาจไม่ถูกใจตน เช่น
พฤติกรรมของบุคคลอื่นที่ต่างกับตน แต่เป็นสิทธิโดยชอบของบุคคลน้ัน และไม่เป็นการขัดต่อ
ศีลธรรมหรือเสรีภาพของบุคคลใด ฝึกหัดที่จะหาทางออกด้วยการประนีประนอมและถือ
“แนวทางสงบ สนั ติ” เป็นหลกั ปฏิบตั ิที่สา่ คัญ
10. เคารพกฎเกณฑ์และกติกาของการปกครองแบบประชาธิปไตย ได้แก่ การ
เคารพเสียงข้างมากของประชาชน การปูองกันสิทธิของฝุายข้างน้อย ความเสมอภาคระหว่าง
บุคคล การวิพากษ์วิจารณ์ การปฏิบัติตามกฎหมายที่ได้บัญญัติขึ้นตามวิถีทางประชาธิปไตยและ
ขจัดความเห็นแก่ตวั หรอื การลุแก่อา่ นาจใดๆ
11. มคี วามสนใจที่จะมีส่วนร่วมในการปกครองตนเอง ต้องสร้างนิสัยเกี่ยวกับ
การหาความรู้ในกิจการบ้านเมือง ฝึกหัดใช้ความคิดเห็นในการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เป็นกิจการ
สาธารณะและควรเข้ามีส่วนร่วมในกลุ่มการเมืองหรือกิจการทางการเมือง เช่น เป็นสมาชิกของ
พรรคหรือการศึกษาติดตามนโยบายและกิจกรรมรัฐบาล การใช้ความคิดเห็น ความรอบคอบใน
การออกเสียงเลือกต้ัง
12. ความเป็นพลเมืองดี หมายถึง การปฏิบัติตนเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพใน
ระบบการปกครองประชาธิปไตย เช่น แสวงหาความรู้ ปฏิบัติตนไม่ละเมิดกฎหมาย มีส่วนร่วมใน
การท่านบุ ่ารงุ ประเทศชาติ เข้าร่วมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ตอ่ สงั คมและส่วนรวม
13. ฝึกหัดมองโลกในแง่ดีและความคิดเห็นที่ดี เช่น มีความศรัทธาและ
ความหวังว่าระบบประชาธิปไตยนั้นเป็นการปกครองที่สามารถให้ประโยชน์ได้ และเนื่องจากการ
ปกครองแบบนี้จะต้องยอมรับความเสมอภาคระหว่างมนุษย์และต้องร่วมมือกับบุคคลอื่นในการ
ปกครอง ฉะนั้นจะต้องรู้จักเคารพความส่าคัญและความคิดเห็นของบุคคลอื่น จะต้องมองคนอื่น
รฐั ศาสตรเ์ บือ้ งตน้ หนา้ 264
ในแง่ดีและมีข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลท่ัวไปมีความสุจริตและตั้งใจดี ซึ่งจะช่วยให้เกิดความ
ร่วมมือ
14. รู้จกั ใช้เหตุผล ทั้งในการคิด วิพากษ์วิจารณ์และการปฏิบัติ ท้ังนี้เพื่อจะท่า
ให้การปกครองเป็นไปด้วยดี เพราะการแสดงออกเช่นน้ันย่อมมีความหนักแน่นมั่นคงในตนเอง มี
น้่าหนักและก่อให้เกิดการกระท่าในทางสร้างสรรค์และเป็นการช่วยยับยั้งการกระท่าที่ใช้อ่านาจ
อันมชิ อบของผู้ทีท่ า่ หนา้ ที่ในการปกครอง
2.8 เงอ่ื นไขทีจ่ ะช่วยใหก้ ารปกครองแบบประชาธิปไตยได้รับความสา่ เร็จ
1. จะต้องมีความเห็นพ้องต้องกันในหลักการพื้นฐาน หลักข้อนี้หมายความว่า
ในประเทศประชาธิปไตยน้ันจะสามารถด่ารงรักษาระบบประชาธิปไตยอยู่ได้ ก็ต่อเม่ือผู้ที่เป็น
สมาชิกแห่งชุมชนยอมรับและเชื่อม่ันร่วมกันในหลักการพื้นฐานส่าคัญ เช่น เสรีภาพส่วนบุคคล
การปกครองที่มาจากประชาชนทัว่ ไป รัฐบาลที่รับผดิ ชอบต่อประชาชน เป็นต้น
2. จะต้องยอมรับการปกครองจากกลุ่มต่างๆ ที่มาจากการเลือกสรรของ
ประชาชนโดยสจุ รติ และชอบธรรม
3. จะต้องรู้จักรวมกลุ่มเพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของบุคคล การรวมกลุ่มนี้
จะต้องเป็นไปโดยสุจริต ยุติธรรมและการแข่งขันระหว่างกลุ่มน้ันจะต้องคิดถึงประโยชน์ของกลุ่ม
ผสมผสานเข้ากบั ประโยชน์สว่ นรวม
4. จะต้องเข้าใจและยอมรับ บุคคลก็ดี รัฐบาลก็ดี อาจผิดพลาดได้โดยไม่
เจตนา และพึงได้รบั โอกาสทีจ่ ะแก้ไขในสิ่งทีไ่ ด้กระท่าผิด
5. จะต้องให้บุคคลที่มีความสามารถในการท่างานร่วมกันกับบุคคลอื่น รู้จัก
แบ่งปนั ผลประโยชน์ รวมทั้งมีความรกั ในความยตุ ิธรรมและมีจิตใจกว้างขวาง ไม่ใช่เห็นแก่ตัวหรือ
มีความคิดทางเดียว
6. จะต้องปกครองโดยยึดหลักกฎหมายกฎหมาย เช่น ต้องมีรัฐธรรมนูญและ
กฎหมายอื่นๆ ซึ่งก่าหนดหลักเกณฑ์ส่าคัญๆ เกี่ยวกับขอบเขต เสรีภาพ อ่านาจหน้าที่ของบุคคล
และสถาบันต่างๆ ในการปกครอง รวมทั้งการปูองกนั สิทธิขน้ั พืน้ ฐานของบุคคล และประกันความ
เสมอภาคของประชาชนภายใต้กฎหมาย
7. จะต้องอาศัยความส่าเร็จในการสร้างชาติ ซึ่งหมายถึงการปลูกฝังถึงความ
รักชาติและหน้าที่ของพลเมือง การสร้างความยินยอมพร้อมในกันระหว่างผู้น่ากับประชาชนใน
ส่วนต่างๆ ของสังคม การจัดสรรทรัพยากรของประเทศให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม รวมทั้งการ
จัดตง้ั องค์การและก่าหนดนโยบายและโครงการต่างๆ เพือ่ ประโยชน์ตอ่ ชาติ
รัฐศาสตร์เบอื้ งตน้ หน้า 265
8. ความสามารถของรัฐบาลในการสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายใน
สังคม การรักษากฎหมาย การวางแผนเกี่ยวกับทรัพยากรเพื่อประโยชน์ระยะยาว และการ
กระจายรายได้ไปสู่ส่วนตา่ งๆ ของสังคมอย่างทว่ั ถึง โดยมุ่งตอบสนองความต้องของสว่ นรวม
9. การพัฒนาสถานและองค์การทางการเมืองในด้านกระบวนการและ
ประสิทธิภาพ หลักท่ัวไปมีว่า ถ้าสถานและองค์การทางการเมืองมีความเจริญน้อยกว่าการ
เปลีย่ นแปลงและความเคลื่อนไหวทางสงั คม จะท่าให้เกิดความเสือ่ มโทรมทางการเมือง ดังนั้น จึง
ต้องปรับปรุงสภานิติบัญญัติ คณะรัฐมนตรี ศาล การปกครองท้องถิ่น พรรคการเมือง การ
เลือกตั้งใหม้ นั่ คงเปน็ อนั ดบั แรก
10. การพฒั นาประสิทธิภาพการบริหาร คือ การพัฒนาการบริการสาธารณะ
ด้วยการปรับปรุง สถาบนั ข้าราชการให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้การรักษากฎหมายและความ
สงบเรียบร้อยของสังคมเป็นไปด้วยดี สถาบันข้าราชการต้องน่านโยบายทางการเมืองของรัฐบาล
ไปปฏิบัติให้บังเกิดผล ต้องเป็นกลางทางการเมือง และจะต้องอ่านาจตามสมควร พร้อมกันน้ัน
ควรส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและกลุ่มผลประโยชน์ของประชาชน เพื่อเป็นการฝึกหัดปกครอง
ตนเองและรกั ษาผลประโยชน์ของประชาชนเองดว้ ย
ข้าราชการต้องมีความรู้ความสามารถ รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ ซึ่งหมายถึง
ความรับผดิ ชอบต่อประชาชนผู้เป็นเจา้ ของอ่านาจนน่ั เอง
11. การพัฒนาเศรษฐกิจ จะต้องมีการปรับปรุงอาชีพ รายได้ของประชาชน
โดยมุ่งให้ประชาชนมีการกินดีอยู่ดี ลดช่องว่างระหว่างความมั่งมีกับความยากจน ด้วยกระจาย
รายได้ไปสู่สังคมอย่างกว้างขวาง การพัฒนาด้านนี้จะเร่งสร้างโครงสร้างและพื้นฐานทาง
เศรษฐกิจทีช่ ว่ ยในการประกอบอาชีพและเพิม่ รายได้ของประชาชน
12. ความเจริญทางสังคม หมายถึงการลดปัญหาสังคมที่ถ่วงความเจริญ
ต่างๆ เชน่ ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด วัยรุ่น การพนัน ปรับปรุงความเจริญในด้านต่างๆ เช่น
การวางผังเมืองเพื่อขยายเมือง การปรับปรุงการสื่อสารติดต่อ การส่งเสริมการรวมกลุ่ม
ผลประโยชน์ และให้มีการแบ่งงานกันท่าระหว่างกลุ่มและสถาบันต่างๆ ของสังคม ซึ่งจะช่วยให้มี
การกระจายความรบั ผิดชอบและอา่ นาจ
13. การปรับและพัฒนาให้ประชาชนมีส่วนรวมทางการเมือง ด้วยกระตุ้นให้
ประชาชนมีความสนใจและเห็นคุณค่าในกิจการอันเป็นประโยชน์ร่วมกัน เช่น การออกเสียง
เลือกตั้ง การแสดงความคิดเห็นโดยชอบเพื่อแก้ไขความบกพร่องต่างๆ ตลอดจนรู้จักติดตาม
ความเปน็ ไปของสังคมรอบตัว และการปฏิบัติงานขององค์การทางการเมืองและของรัฐบาล และ
มีสว่ นร่วมในกิจการตา่ งๆ ทีเ่ ป็นสาธารณประโยชน์
รฐั ศาสตรเ์ บ้ืองตน้ หน้า 266
14. การสร้างวฒั นธรรมทางการเมอื งทีม่ ่นั คง คือ ให้ประชาชนรู้จักวิถีชีวิตทาง
การเมืองแบบประชาธิปไตย เช่น ส่านึกในความส่าคัญของบุคคล คือ ให้ประชาชนรู้จักวิถีชีวิต
ทางการเมืองแบบใช้เหตุผล มีจิตใจกว้างขวางหนักแน่น รู้จักประนีประนอมและหาทางออกโดย
สันติ
2.9 รปู แบบกระบวนการหรอื วิธีการปกครองระบบประชาธิปไตย
โดยทั่วไปในทางปฏิบัติ กระบวนการหรือวิธีของประชาธิปไตยที่ปรากฏอยู่โดยท่ัวไป
มีอยู่ สามรูปแบบหรือสามวิธี แต่ละวิธีวิธีมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน นั้นคือ ต้องการให้ประชาชน
ปกครองตนเอง คงตา่ งกนั ในด้านลกั ษณะในรายละเอียดของกรรมวิธี พอสรุปดังน้ี
1. ระบบรัฐสภา คอื ให้ประชาชนเลือกผู้แทนไปปฏิบัติหน้าที่ในสภานิติบัญญัติ
ผู้แทนเหล่าน้ันจะเป็นผู้ก่าหนดตัวบุคคลที่จะเป็นฝุายบริหาร (หรือคณะรัฐบาล) สภานิติบัญญัติ
จะท่าหน้าที่ออกกฎหมาย พร้อมๆ กับการควบคุมก่ากับคณะรัฐบาล สภานิติบัญญัติมีอ่านาจ
สูงสุดเพื่อถือว่าเป็นตัวแทนของประชาชน คณะรัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อสภาฯ และจะอยู่ใน
ตา่ แหน่งได้เท่าที่ สภาฯ เห็นสมควร หากสภาฯ ลงมตไิ ม่ไว้วางใจ รฐั บาลต้องลาออก ประเทศส่วน
ใหญ่ในลกปัจจบุ ันนิยมแบบรฐั สภานี้ ซึง่ อาจจะมีประธานาธิบดีหรือพระมหากษัตริย์เป็นประมุขก็
ได้เชน่ ประเทศไทย อังกฤษ
2. ระบบประธานาธิบดี ให้ประชาชนได้เลือกผู้แทนในสภาซึ่งเป็นฝุายนิติ
บัญญัติ และเลือกประธานาธิบดีซึ่งเป็นฝุายบริหาร ให้อ่านาจนิติบัญญัติ (สภา) อ่านาจบริหาร
(ประธานาธิบดี) และอ่านาจตุลาการ (ศาล) มีฐานะเทียบเท่ากัน คอยยับย้ังและถ่วงดุลอ่านาจซึ่ง
กันและกัน เพื่อมิให้หน่วยใดมีอ่านาจมากที่สุด ด้วยวิธีนี้ประชาชนได้รับประกันในเร่ืองสิทธิและ
เสรีภาพอย่างเต็มที่ เชน่ สหรฐั อเมริกา ฟิลลิปปินส์ เปน็ ต้น
3. ระบบกึง่ รัฐสภากึ่งประธานาธิบดี เป็นผสมผสานระหว่างแบบแรกและแบบ
ที่สองเข้าด้วย คือ ให้ประชาชนเลือกสภานิติบัญญัติและเลือกประมุขของประเทศโดยตรง ให้
ประมุขก่าหนดตัวคณะรัฐบาล คณะรัฐบาลจะต้องรับผิดชอบต่อสภาฯ และประมุขของประเทศ
คือประธานาธิบดีด้วย คณะรัฐบาลมีอ่านาจทางการบริหารในเท่าน้ัน ส่วนประธานาธิบดีมีอ่านาจ
ทางการเมืองคือเป็นผู้ก่าหนดนโยบายแล้วคณะรัฐบาลเป็นผู้น่านโยบายไปปฏิบัติ สภาฯ ไม่
สามารถควบคุมตรวจสอบประธานาธิบดีได้ แต่ประธานาธิบดีสามารถยุบเลิกสภาฯ ได้ เช่น ใน
ฝรงั่ เศส อินโดนีเซีย เป็นต้น
รัฐศาสตร์เบอ้ื งต้น หน้า 267
3. ระบบเศรษฐกิจ
ระบบเศรษฐกิจ เป็นระบบที่มีความเกี่ยวข้องผูกพันกับระบบการเมืองอย่างมาก
ระบบเศรษฐกิจสามารถแบ่งออกเปน็ 2 ระบบใหญ่ๆ คือ
3.1 ระบบทุนนิยม (Capitalism)
ระบบทุนนิยมเป็นระบบเศรษฐกิจไม่ใช่ระบบทางการเมือง แต่นักวิชาการหลายท่าน
อาจจะมีความคิดเห็นว่า ระบบทุนนิยมเป็นต้นก่าหนดระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย คือ เม่ือ
ประชาชนสามารถเลือกที่จะซื้อ มี เก็บ สะสม และลงทุนกับทรัพย์สินของตัวเอง ในหนังสือเร่ือง
Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nation (หรือรู้จักในนาม The Wealth of
Nation) ที่เขียนโดย อดัมสมิท (Adam Smith) ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1776 ลัทธินี้เกิดมาเพื่อต่อต้าน
ระบบพาณชิ ย์นิยม (Mercantilism) คือระบบเศรษฐกิจที่อยู่ภายใต้ทฤษฎีทีค่ วามมั่งค่งั ของรัฐขึ้นอยู่
กบั ทองคา่ เงนิ และโลหะอืน่ ๆซึ่งรฐั บาลจะเป็นผู้ควบคุมระบบเศรษฐกิจทั้งหมด เพื่อการหามาซึ่ง
โลหะมีค่า ซึ่งท้ังนี้ความม่ังค่ังจะกระจุกอยู่ที่รัฐบาลและพันธมิตรของรัฐบาลเพียงกลุ่มเดียว
เท่านั้น
ระบบทุนนิยม หมายถึง ระบบเศรษฐกิจที่ถือว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งการเป็นเจ้าของและการลงทุนในการผลิตเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน และยอมให้
ผู้ประกอบการทางเศรษฐกิจมีโอกาสในการแข่งขันกันในทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลก่าไร
หรือผลประโยชน์อื่นใดตามความสามารถและความปรารถนาของแต่ละคน สาระส่าคัญของ
ระบบทุนนิยมจึงประกอบไปด้วย ดงั น้ี
1. การยอมรับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและการผลิตของบุคคลกรรมสิทธิ์ใน
ทรพั ย์สินส่วนบุคคลการมกี รรมสิทธิใ์ นทรพั ย์สินส่วนบคุ คลเป็นปัจจัยทีส่ า่ คัญอย่างหนึ่งของระบบ
ทนุ นิยม ซึง่ หมายความรวมถึงการอนญุ าตให้เอกชนสามารถถือครองทรัพย์สินได้มากเท่าที่เขาจะ
หาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
2. เสรีภาพในการประกอบการทางธุรกิจและเศรษฐกิจการแข่งขันเสรีและผู้
ขาดระบบทุนนิยมสนับสนุนให้มีการแข่งขันอย่างเสรี การตัดสินใจ การคิดค่านวณราคาและ
ปริมาณการผลิตเป็นไปตามกลไกตลาด การแข่งขันเสรีจะท่าให้ผู้ขายเสนอราคาที่เหมาะสมที่สุด
ด้วยศักยภาพการผลิตทีด่ ีที่สุด คนทีไ่ ม่เหมาะสมกับการผลิตประเภทนั้นๆก็จะออกจากตลาดและ
เหลือแต่ผู้ผลิตมีประสิทธิภาพและในที่สุดก็จะก่อให้เกิดการผูกขาด เพราะมีผู้ประกอบการผลิต
น้อยรายเสรีภาพของผู้บริโภคในการที่จะเลือกบริโภคหรือใช้บริการการแข่งขันในทางเศรษฐกิจ
และการแสวงหาผลกา่ ไรจากการด่าเนินงานทางเศรษฐกิจ
รฐั ศาสตรเ์ บื้องต้น หน้า 268
3. การยึดราคาในฐานะเป็นแกนกลางที่มีอิทธิพลต่อการควบคุมแรงงาน
ทรัพยากร ผลผลิตระบบเศรษฐกิจแบบตลาดกลไกของตลาด คือเร่ืองอุปสงค์ (Demand) หรือ
ความตอ้ งการใช้สนิ ค้าและบริการและอีกด้านหนึ่ง คืออุปทาน (Supply) หรือจ่านวนการผลิตหรือ
การให้บริการของสินค้าและบริการซึ่งขณะหนึ่งขณะใดถ้าหากมีความต้องการสินค้าและบริการ
มากกว่าการผลิตกจ็ ะกดดันให้ราคาสินค้าแพงขึ้น ในทางกลับกันถ้าหากปริมาณสินค้ามีมากกว่า
ความต้องการใช้ก็จะท่าให้ราคาสินค้าลดลงในที่สุดจะท่าให้ราคาของสินค้าและบริการอยู่ในจุด
สมดลุ (Equilibrium) คือจดุ ทีผ่ ู้ซือ้ และผผู้ ลติ มคี วามเหน็ ตรงกันว่าราคาอยู่ในช่วงที่เหมาะสม
4. อิสระในการบริหารลัทธิทุนนิยมต้องการอิสระในการบริหารงานโดย
ปราศจากการควบ คุมของรัฐบาล ในการบริหารธุรกิจรัฐควรเข้าแทรกแซงในธุรกิจของเอกชน
เพียงเพือ่ รกั ษาการแขง่ ขนั ทีเ่ สรีและยตุ ิธรรมไว้เท่านั้น
ระบบทุนนิยมมีท้ังผลดีและผลเสีย ซึ่งกระทบต่อสังคมและประเทศชาติ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง ระบบทนุ นิยมอตุ สาหกรรม ซึง่ อาจแยกกล่าวถึงลักษณะสา่ คัญได้ดังนี้
1. การใหบ้ คุ คลมีเสรีภาพในการประกอบการ และแสวงหาผลประโยชน์ต่างๆ
จากความสามารถของตนเอง ท่าให้เกิดก่าลังใจในทางท่างานและพยายามที่จะใช้ความสามารถ
ของตนเองที่มีอยู่ให้มากที่สุด เพื่อที่จะให้ได้ผลดีที่สุด ซึ่งอาจจะเป็นในรูปของดอกเบี้ย ผลก่าไร
และผลประโยชน์อน่ื ๆ
2. การแขง่ ขนั ท่าให้เกิดการพัฒนาและความก้าวหน้าในการประดิษฐ์คิดค้นสิ่ง
อ่านวยความสะดวกต่างๆ ผลก็คือ ความเจริญในด้านวิทยาการซึ่งมีอยู่ในโลกมากมายหลาย
ประการ
3. เคร่ืองจักรและโรงงานในระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมมีความสามารถใน
ผลิตสูง ท่าให้ต้นทุนการผลิตต่า ผลผลิตกรรมของแต่ละคนเพิ่มมากขึ้น ผลผลิตส่วนรวมของ
กรรมกรและโรงงานมปี ริมาณสงู ข้ึนอย่างมิเคยปรากฏมาก่อน
4. ผลเสียที่ตามมาก็คือ เสียงอึกทึกครึกโครม ความสกปรก สภาพน่าเบื่อ
หน่ายของผู้ใช้แรงงาน อันตรายต่อร่างกายและชีวิตเรียกกันว่าสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ได้แก่ อากาศ
น้่า เสียง เป็นมลภาวะที่เปน็ พิษต่อคนท้ังกรรมกรและประชาชนทั่วไป
5. ทา่ ให้เกิดเพิม่ พูนรายได้สูงข้นึ แตใ่ นขณะเดียวกนั กก็ ่อให้เกิดช่องว่างในเร่ือง
รายได้ ท่าให้เกิดบุคคลมีรายได้และมีความม่ังคั่งท่าให้กลุ่มฐานะทางเศรษฐกิจสูงและมีอ่านาจ
มากเกินไป เกิดช่องว่าในเร่ืองรายได้ โดยเฉพาะคนมีกับคนจน ระหว่างคฤหาสน์กับแหล่งเสื่อม
โทรม เกิดปัจเจกชนกับวัตถุนิยม อิทธิพลทางธุรกิจเข้าแทรกแซงในด้านศิลปะ ศาสนา อาชีพ
การเมอื งและกิจกรรมต่างๆ
รัฐศาสตรเ์ บอ้ื งต้น หน้า 269
6. ได้มกี ารใชว้ ิทยาการในการเพิ่มพูนการผลิตทางการเกษตรกรรม ท่าให้เกิด
การค้าระหว่างประเทศ ทา่ ให้มกี ารลดอตั ราการตาย ลดอันตรายของโลกติดต่อและอดอาหาร
7. ผลเสียของระบบทนุ นิยมอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นพร้อมกับๆ กับผลดีคือ การ
รวมตวั ของประชาชนเป็นเมืองใหญ่ เป็นการช่วยเร่งอัตราการเกิด ที่อยู่หนาแน่นแออัด เกิดแหล่ง
เสื่อมโทรมและเป็นสาเหตุให้สิ่งแวดล้อมต่างๆ ต้องสูญเสียไป ปุาไม้ ต้นน้่า สภาพตามธรรมชาติ
ต้องถกู ทา่ ลายไป
8. ทา่ ให้เกิดการแบ่งงานกันท่าและการใช้ความสามารถและทรัพยากร ท่าให้
บุคคลต้องพึงพาอาศัยกนั และกัน ท่าให้มนษุ ย์ตอ้ งผูกพันเกีย่ วข้องกบั ธรุ กิจ เชน่ ถ้ามีการจ่าหน่าย
มาก ค่าผลผลิต ค่าจา้ ง ผลก่าไรและการมีงานท่าก็จะสูงและมากขึ้นเป็นเงาตามตัวไป แต่ถ้าหาก
จ่าหน่ายตกต่า ค่าจ้างแรงงานก็ต้องตกต่าไปด้วย การว่างงานก็จะเกิดมากขึ้นสังคมก็จะมีความ
วุ่นวายมากขึน้ ด้วย เกิดอาชญากรรม การประกอบการผิดกฎหมายมากขนึ้ เชน่ เดียวกนั
เนื่องจากระบบทุนนิยมมีท้ังผลดีและผลเสีย แต่เม่ือเกิดการขยายตัวในทาง
อุตสาหกรรม ระบบทุนนิยมกม็ ีผลในทางเสียมากขึ้น ดังนั้น จึงได้มีการปฏิรูประบบทุนนิยม ซึ่งใน
รูปใหม่นี้มุ่งรักษาความเป็นธรรมในสังคมเป็นหลักส่าคัญ พร้อมๆ กับการรักษาเสถียรภาพของ
เอกชนในการผลิต การประกอบการ การแสวงหาผลกา่ ไรและกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
ระบบทุนนิยมแบบใหม่หรอื ระบบทนุ นิยมปฏิรปู จงึ เปน็ ระบบเศรษฐกิจทีใ่ ห้สวัสดิการ
แก่ประชาชน โดยถือว่าเม่ือประชาชนได้รับสวัสดิการแล้ว ความเป็นธรรมในสังคมก็จะเกิดขึ้น
ตามมา ระบบทุนนิยมแบบใหม่มชี ื่อเรยี กหลายชอ่ื เช่น ทุนนิยมสวัสดิการ , รัฐสวัสดิการ หรือ สห
นิยมแบบทดลอง
ระบบทนุ นิยมแบบใหม่เปน็ ระบบเศรษฐกิจที่มีหลักการโดยย่อ ดังน้ี
1. ให้บุคคลมีเสรภี าพในด้านต่างๆ ทางเศรษฐกิจ
2. ใหร้ ฐั บาลดูแลให้เกิดความเป็นธรรมในทางเศรษฐกิจต่อมวลชน
3. ให้มีโครงการสวัสดิการต่างๆ โดยรัฐเป็นผู้ก่าหนดนโยบาย เพื่อรัฐจะได้
ช่วยเหลือสนบั สนุนใหเ้ กิดสวัสดิการสว่ นหนง่ึ และให้เอกชนดา่ เนนิ การเองสว่ นหนง่ึ
ระบบเศรษฐกิจแบบทนุ นิยมกับระบบการเมอื ง ระบบทนุ นิยมน้ีอาจผสมผสานเข้ากับ
ระบบการเมอื งแบบต่างๆ กล่าวคือ
1. ระบบทุนนิยมกับระบบการเมืองแบบอ่านาจนิยม เช่น ประเทศที่มีการ
ปกครองผูกขาดอ่านาจทางการเมือง แต่ยอมให้บุคคลมีเสรีภาพในการประกอบการทาง
เศรษฐกิจ อย่างเช่นประเทศที่มรี ะบบเผดจ็ การโดยบุคคลคนเดียวหรือกลุ่มบุคคลที่ยึดอ่านาจจาก
การปกครอง ตวั อย่าง ประเทศพมา่ ช่วงยุคปกครองโดยทหาร
รฐั ศาสตรเ์ บอื้ งตน้ หนา้ 270
2. ระบบทุนนิยมกับระบบการเมืองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ เช่น ประเทศใน
การปกครองแบบเผด็จการ โดยรัฐบาลเข้าควบคุมกิจการทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นทางการเมืองและ
เศรษฐกิจ แต่ก็ให้บุคคลประกอบการทางเศรษฐกิจได้อย่างเสรีตามสมควร แต่รัฐสามารถใช้
อ่านาจเข้าควบคมุ ได้เสมอ อย่างเช่น ในประเทศเยอรมันที่ปกครองโดยระบบนาซี เปน็ ต้น
3. ระบบทุนนิยมกับระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย ใช้กลไกทางการเมือง
แบบประชาธิปไตย คอื ประชาชนปกครองตนเองและทางเศรษฐกิจให้บุคคลมีเสรีภาพอย่างเต็มที่
เชน่ ในประเทศองั กฤษ สมัยศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 เป็นต้น
4. ระบบทุนนิยมแบบใหม่กับระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย คือ ประชาชน
มีส่วนร่วมในการปกครองตนเองอย่างกว้างขวาง แต่ในทางเศรษฐกิจไม่ยอมให้บุคคลมีเสรีภาพ
อย่างเต็มที่เหมือนเดิม เพราะปรากฏความเสียหายหลายประการเช่น ช่องว่างและการไร้
เสถียรภาพในการด่ารงชีวิตของมนุษย์ ดังน้ัน รัฐจึงเข้ามีบทบาทเพื่อให้การเศรษฐกิจเป็นไปใน
ลักษณะให้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจเผ่ือแผ่ไปยังบุคคลที่ยากไร้ เป็นการให้สวัสดิการเรียกว่า รัฐ
สวสั ดิการ
3.2 สังคมนิยม (Socialism)
ลทั ธิสงั คมนิยมมผี ยู้ อมรับกันมากทั้งในประเทศประชาธิปไตยและไม่ใช่ประชาธิปไตย
ระบบสังคมนิยมเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีความเกี่ยวพันกับการเมือง หลักการส่าคัญของระบบ
สังคมนิยม คือ รัฐเข้าด่าเนินการหรือประกอบกิจการทางเศรษฐ กิจบางประเภทที่
กระทบกระเทือนต่อส่วนได้เสียของมหาชน สังคมนิยมในความหมายที่กว้าง หมายถึง การยอม
เสีย สละความผาสุกส่วนตนเพื่อประโยชน์สุขของสังคมทั้งหมด ส่วนในความหมายที่แคบ มีการ
จ่ากัดขอบเขตของสังคมนิยมลงมาว่า เป็นเร่ืองเศรษฐกิจที่มุ่งให้เกิดมีผลทางสังคม ตาม
ความหมายที่เสนอน้ัน สังคมนิยมได้แก่ หลักการที่ส่งเสริมให้มีระบบ “ส่วนรวมนิยมทาง
เศรษฐกิจ”(Economic Collectivism) ระบบส่วนรวมทางเศรษฐกิจนี้ต้องการให้รัฐบาลหรือกลุ่ม
อุตสาหกรรมเป็นเจ้าของเคร่ืองมือการผลิตและเจ้าของเคร่ืองมือในการตลาด จุดมุ่งหมายคือ
การขจัดการแข่งขันเพื่อแสวงหาก่าไรด้วยให้มีการร่วมมือกันและให้มีการรับผิดชอบทางสังคม
ร่วมกนั อกี ทั้งเพื่อให้เกิดการกระจายรายได้และการกระจายโอกาสที่เป็นธรรม (บรรพต วีระสัย,
2525 : 299)
ในขณะที่ จรูญ สุภาพ (2534 : 93) ให้ความหมายสังคมนิยม ว่าหมายถึงระบบ
เศรษฐกิจทีม่ ีแนวนโยบายมุ่งสนบั สนุนและปรารถนาจะให้ชุมชน สังคมหรือส่วนรวมถือกรรมสิทธิ์
หรอื ควบคมุ การผลิต โดยเฉพาะอย่างยิง่ ปัจจยั การผลิต เช่น ทุน ทรัพยากร ที่ดิน วิทยาการ ทั้งนี้
เพื่อมุ่งกระจายผลประโยชน์เหล่านี้เพื่อประชาชนทั้งมวลอุดมการณ์สังคมนิยมมีลักษณะส่าคัญ
รฐั ศาสตรเ์ บื้องต้น หน้า 271
แบบกว้างๆ 3 ลักษณะ 1) สังคมนิยมที่รัฐเข้าเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต 2) สังคมนิยมที่รัฐเข้า
ด่าเนินกิจการส่าคัญบางประเภท 3) สังคมนิยมที่รัฐเข้าจัดการในธุรกิจต่างๆ เสียเอง การ
ประกอบการธุรกิจมิได้ขึ้นอยู่กับผลก่าไรหากแต่ขึ้นอยู่กับการอ่านวยประโยชน์แก่ประชาชนและ
เพื่อกระจายได้อย่างเป็นธรรม สังคมนยิ มมีความมุ่งหมายทีจ่ ะโอนทรัพย์สินหรืออุตสาหกรรมบาง
ประเภทมาเป็นของรัฐ แตม่ ิได้มคี วามมงุ่ หมายหรือถือเป็นหลักอย่างเคร่งครัดว่าจะต้องโอนทรัพย์
ของเอกชนมาเปน็ ของรัฐเสียทกุ อย่าง โดยท่วั ไปแล้วทรัพย์สนิ หรอื ุตสาหกรรมมีลักษณะพิเศษ คือ
1) กิจการอตุ สาหกรรมบางอย่างที่มลี ักษณะเป็นการผูกขาดโดยธรรมชาติของ
มนั อยู่แลว้ เช่น การไฟฟูา การประปา การขนสง่ หรอื กิจการสาธารณะอืน่ ๆ ทา่ นองเดียวกัน
2) กิจการหรืออุตสาหกรรมบางอย่างที่มีความส่าคัญต่อส่วนรวม และถ้า
ปล่อยให้เอกชนจัดการเองแล้วอาจจะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร หรืออาจเป็นภัยต่อความมั่นลงของรัฐ
เชน่ การผลิตอาวธุ ยุทโธปกรณ์ เปน็ ต้นและ
3) กิจการหรืออุตสาหกรรมที่ต้องลงทุนริเริ่มอย่างมหาศาล ทั้งต้องใช้ผู้มี
ความรคู้ วามสามารถจา่ นวนมาก เอกชนอาจไม่สามารถท่าได้ หรือท่าได้แต่อาจไม่ดีพอเท่ากับรัฐ
จดั ท่า
การที่ระบบสงั คมนยิ มโอนทรัพย์สินหรอื อตุ สาหกรรมเป็นของรัฐ หรือรัฐเป็นเจ้าของ
อุตสาหกรรมนั้นรัฐกระท่าเพื่อใคร ประเทศสังคมนิยมมีจุดมุ่งหมายในการจัดท่าเพื่อความ
สมบูรณ์พูนสุขของประชาชนทุกช้ันทุกคน ให้มีความเป็นอยู่เสมอหน้ากัน ลัทธิสังคมนิยมไม่มี
ความประสงค์ท่าลายชนชั้นแต่อย่างใด ซึ่งแตกต่างจากลัทธิคอมมิวนิสม์ที่รัฐท่าเพื่อชนชั้น
กรรมาชีพ อันเป็นการท่าลายชนชั้นนายทุน ลัทธิสังคมนิยมด่าเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไปส่วน
ลทั ธิคอมมิวนสิ ม์กระท่าอย่างรุนแรงโดยฉบั พลนั
ระบบสังคมนิยมยอมรับการผลิตแบบนายทุน คือการใช้เคร่ืองจักรช่วยเพิ่มผลผลิต
ว่าเป็นสิ่งที่ดีแต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีกระจายรายได้ซึ่งเป็นผลจากการใช้แรงงานโดยเห็นว่า ความไม่
ยุติธรรมในการกระจายรายได้เกิดขึ้นก็เพราะการมีทรัพย์สินส่วนตัว หากสังคมไม่ปล่อยให้คนมี
ทรพั ย์สินส่วนตวั ปญั หาการกระจายรายได้ไม่เกิดขึ้น หลักการส่าคัญประการหนึ่งของสังคมนิยม
จงึ ได้แก่การทีส่ ังคมเป็นเจา้ ของและควบคมุ ปจั จยั การผลิตที่ส่าคญั ๆ
สงั คมนยิ มอีกแบบหนง่ึ ใชว้ ิธีการของประเทศแถบสแกนดิเนเวีย คือใช้ระบบสหกรณ์
อันได้แก่ กิจการที่มีกลุ่มคนร่วมกันเป็นเจ้าของ โดยท่างานร่วมกันและแบ่งปันผลผลิตกันในหมู่
สมาชิก ซึ่งมักจัดต้ังกรรมการขึ้นด่าเนินกิจการ ท่าให้การบริโภคสินค้าได้ในราคาถูกลง การที่
สหกรณ์เกิดขึ้นเช่นนี้ก็เพราะมีปัญหาในการโอนกิจการเป็นของรัฐ เพราะเม่ือกิจการเป็นของรัฐ
แล้วการด่าเนินการก็เป็นไปโดยอาศัยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งท่างานตามที่ได้รับมอบหมายมากกว่า
รฐั ศาสตรเ์ บอ้ื งตน้ หนา้ 272
จะมีความคิดรเิ ริ่ม ไม่สนใจความต้องการของประชาชนและความเปลี่ยนแปลงของตลาด กิจการ
บางอย่างจึงเลวลงกว่าเม่ือเอกชนเป็นผู้ด่าเนินการ การสหกรณ์ใช้ได้กับอุตสาหกรรมขนาดกลาง
และขนาดเล็ก ส่วนอุตสาหกรรมหนักและกิจการระดับชาติ เช่น การสาธารณูปโภค การโอน
กิจการเป็นของรัฐเป็นวิธีที่เหมาะสมกว่า กิจการส่าคัญๆ เช่น การผลิตอาวุธ การคมนาคมการ
สื่อสารก็ใหญ่เกินไปที่จะใช้วิธีการสหกรณ์ เหตุผลอีกประการหนึ่งในการโอนกิจการเป็นของรัฐก็
คือ เพือ่ ค้า่ จนุ เศรษฐกิจของรฐั เมื่อเศรษฐกิจตกต่า
ปัจจุบันประเทศสังคมนิยมท่ัวไปเห็นว่ากิจการส่าคัญบางอย่างควรปล่อยให้เอกชน
ท่า เช่นเกษตรกรรม หัตถกรรม อุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดกลาง การค้าภายในประเทศ
เป็นต้น
รัฐให้สวัสดิการแก่ประชาชนโดยการจัดรัฐสวัสดิการ นอกจากมีการโอนทรัพย์ สิน
บาง อย่างมาเป็นของรัฐแล้ว รัฐบาลสังคมนิยมยังมีวิธีการส่งเสริมอื่นๆ เพื่อให้ประชาชนมีความ
เท่าเทียมกันและมีสวัสดิ์ภาพมากขึ้น เช่น มีโครงการประกันสังคมกว้างขวาง มีนโยบายเก็บภาษี
แบบก้าวหน้า เก็บภาษีมรดก รางวัลต่างๆ เป็นต้น การกระจายความมั่งค่ังอีกวิธีหนึ่งคือการจัด
สวัสดิการสังคม โดยวิธีเก็บภาษีเงินต่างๆในอัตราสูงเพื่อน่ามาใช้จ่ายในการช่วยเหลือคนยากจน
และจัดระเบียบสังคมให้ประชาชนส่วนใหญ่อยู่ดีกินดี เช่นใช้ในการให้การศึกษา บริการด้าน
สาธารณสขุ ช่วยคนตกงาน คนกลุ่มน้อย คนชราและสตรี เป็นต้น ระบบนี้ไม่ได้มุ่งจะให้เกิดความ
เท่าเทียมกนั แตม่ ุ่งทา่ ให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกบั คนจนแคบเข้า
นักสังคมนิยมส่วนมากยอมรับความแตกต่างทางฐานะเช่นนี้เพราะถือว่า คนเรา
ฉลาดและขยนั ขนั แขง็ ไม่เท่ากนั คนขยนั จึงควรได้รับรางวัลในส่วนที่เขาขยันและสามารถเป็นพิเศษ
ในสังคมนี้คนจึงร่ารวยได้ แต่ไม่มีคนจนมากๆ จึงกล่าวได้ว่าลัทธิสังคมนิยมเป็นลัทธิที่สอดคล้อง
กบั ลทั ธิประชาธิปไตยทกุ ประการ หรอื อีกนัยหนึ่งเปน็ ลัทธิทีท่ ่าให้ประชาธิปไตยเป็นประชาธิปไตย
ยิ่งขึ้น ปัจจุบันนี้มีหลายประเทศในยุโรปที่ยึดถือลัทธิสังคมนิยมหรือมีนโยบายแบบสังคมนิยมใน
การบริหารประเทศ เชน่ อังกฤษ สวีเดน เดนมารก์ และนอร์เวย์ ฯลฯ
จดุ มงุ่ หมายของสังคมที่เป็นแก่นของสังคมนิยม ได้แก่ การท่าให้คนหลุดพ้นจากการ
เปน็ ทาสวัตถุซึ่งพันธนาการมนุษย์มาตั้งแต่โบราณ สังคมนิยมฝันถึงสภาวะเม่ือผลผลิตของสังคม
เพิ่มขึ้นจนเพียงพอส่าหรับทุกคน การเปลี่ยนความประพฤติ ทัศนคติ และความเชื่อของมนุษย์จะ
ทา่ ให้เข้าถึงสภาวะดงั กล่าวได้
สงั คมนยิ มคิดว่าในสมัยโบราณ ความลา่ บากยากเข็ญท่าให้มนุษย์ต้องการแข่งขันกัน
จงึ ตอ้ งปฏิบัติต่อกันอย่างปุาเถื่อนเพื่อเอาตัวรอด การขัดแย้งกันท่าให้คนไม่อาจพัฒนาลักษณะที่
สูงส่งของตนขึ้นได้ ส่วนในปัจจุบันเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าจนกระท้ังสามารถผลิตสิ่งที่ต้องการ
รฐั ศาสตร์เบอื้ งต้น หน้า 273
ข้ันพื้นฐานได้อย่างพอเพียง คนจึงสามารถสร้างสังคมใหม่ซึ่งมีคุณค่าและความประพฤติอย่าง
ใหม่ การแข่งขันซึ่งเป็นสิ่งจ่าเป็นแต่ท่าลายมนุษย์จะส่าคัญน้อยลงกว่าการร่วมมือกัน การ
ร่วมมือกันจะท่าให้ผลผลิตยิ่งเพิ่มขึ้นท่าให้ชีวิตของมนุษย์ดีขึ้น เม่ือสภาวะทางวัตถุดีขึ้นความ
แตกต่างกันของคนในแง่วัตถุจะลดลง การเอาทรัพย์สินเป็นเคร่ืองวัดค่าของคนจะหมดไป สังคม
ใหม่ซึง่ ทุกคนเท่าเทียมกนั จะเกิดข้ึน ความแตกต่างทางชนชั้นจะหมดไป ความวุ่นวายในสังคมก็จะ
ไม่มี สังคมจึงสงบและเป็นสุข พวกสังคมนิยมโดยทั่วไปเชื่อว่า ความสัมพันธ์ทางสังคมและ
การเมอื งก็คือ ความสมั พันธ์ทางวัตถุเมื่อกา่ จดั ความยากลา่ บากทางวัตถไุ ด้ สังคมและการเมืองก็
จะดีข้ึนได้เอง
แนวสังคมนิยมยุคแรกเกิดขึ้นช่วงที่มีการปฏิรูปศาสนา (The Reformation) ใน
คริสต์ศตวรรษที่ 16 เริ่มแรกมีทิศทางไปในทางที่ต่อต้านลัทธิคตินิยมหรือเอกัตถบุคคลนิยมหรือ
ปัจเจกชนนิยมคือให้ความส่าคัญกับคนในฐานะเป็นสมาชิกทางสังคมมากกว่าเป็นบุคคลโดดๆ
หรอื การเป็น “เอกตั ถบุคคล” แนวคิดสงั คมนยิ มถือวา่ ไม่อาจแยกบุคคลออกจากสังคมได้ แนวคิด
สังคมนิยมเน้นสาธารณประโยชน์ (Public Welfare) มากกว่าประโยชน์ส่วนตน สังคมนิยมมุ่งให้
เกิดความสะดวกสบายแก่คนโดยทั่วไปโดยรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของส่วนรวม จะต้องมีบทบาท
มากโดยเฉพาะการเป็นรัฐสวัสดิการ (Social Wealth Fare) ซึ่งเป็นลักษณะกว้างๆของสังคมนิยม
ซึ่งถือว่ารัฐเอาใจใส่ความเป็นอยู่ของทุกคนในสังคมไม่ว่าเร่ืองใด เช่น เร่ืองสุขภาพพลานามัย
เร่ืองอาหาร เร่ืองเคหสถานเร่ืองสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เร่ืองการศึกษา เร่ืองความปลอดภัย
ในชีวติ และทรพั ย์สิน ฯลฯ (บรรพต วรี ะสยั , 2525 : 299-300)
ในบางประเทศถือว่า รัฐเอาใจใส่ความเป็นอยู่ของประชาชนตั้งแต่เกิดจนตายเลยที่
เดียว เน่ืองจากแนวคิดสังคมนิยมมีแนวต่างๆ กันอาจท่าให้เกิดความเข้าใจสับสนไม่ชัดเจน ท้ังนี้
เพราะสังคมนิยมมีอยู่หลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเข้าใจว่าลัทธิคอมมิวนิสม์นั้นเหมือนกับ
ระบบสังคมนิยม ท้ังนี้เพราะลัทธิคอมมิวนิสม์มักจะเรียกนโยบายทางเศรษฐกิจ การเมืองและ
สังคมของตนว่านโยบายสังคมนิยม และจุดหมายปลายทางของลัทธิท้ังสองนี้เป็นไปในท่านอง
เดียวกนั คือ เปน็ ประเภทซ้ายด้วยกนั หรอื ต่างก็มุ่งจะแก้ไขข้อบกพร่องของระบบทุนนิยม แต่ความ
จริงแล้วระบบสังคมนิยมกับลัทธิคอมมิวนิสม์ มีความแตกต่างกันเป็นอันมาก ปัจจุบันจึงมีผู้นิยม
เรียกลทั ธิสังคมนิยมว่า “สังคมนยิ มประชาธิปไตย” (Democratic Socialism) เพื่อความเข้าใจระบบ
สังคมนิยมอย่างถูกต้อง ขอหยิบยกข้อแตกต่างอันเป็นสาระส่าคัญระหว่างลัทธิคอมมิวนิสม์กับ
ลทั ธิสงั คมนิยม ดังน้ี
รัฐศาสตรเ์ บือ้ งต้น หนา้ 274
1) ลัทธิคอมมิวนิสม์ถือเป็นหลักอย่างเคร่งครัดว่า จะต้องโอนทรัพย์สินของ
เอกชนมาเป็นของส่วนรวมหรือเป็นของรัฐ แต่สังคมนิยมจะโอนทรัพย์สินหรืออุตสาหกรรมบาง
ประเภทเท่านั้น
2) จุดหมายปลายทางของลัทธิคอมมิวนิสม์กระท่าเพื่อชนชั้นกรรมาชีพเพียง
พวกเดียวอย่างเด็ดขาด ขจัดชนช้ันให้หมดสิ้นไปจากสังคม แต่สังคมนิยมกระท่าเพื่อความ
สมบูรณ์พนู สขุ ของคนทกุ ชั้น
3) ลัทธิคอมมิวนิสม์ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของส่วนบุคคลมากกว่าระบบสังคม
นิยม
สังคมนิยมเป็นระบบเศรษฐกิจและการเมืองที่มีลักษณะพิเศษประการหนึ่ง คือ เป็นลัทธิที่มีแนว
ความหลายแนวอยู่รวมกันและได้แตกแขนงออกไปหลายสาขา มีผู้ต้ังตนเป็นเจ้าลัทธิแต่ละแบบ
อาจมีรายละเอียดต่างกัน แต่สังคมนิยมที่ส่าคัญในโลกที่จะหยิบยกมากล่าวในที่นี้ 3 รูปแบบคือ
สังคมนยิ มแบบอุดมคติ สังคมนยิ มแบบมาร์ก และสังคมนยิ มแบบประชาธิปไตย ดังตอ่ ไปนี้
3.2.1 สังคมนิยมสมบูรณ์แบบตามแนวอุดมคติ หรือสังคมนิยมยูโทเปีย
(Utopian Socialism)
ข้อเขียนของ ธอมัสมอร์ (Thomas More 1478 – 1535) ในหนังสือชื่อ ยูโธเปีย
(Utopia) ซึ่งแต่งขึ้นในปี ค.ศ.1516 โดยเป็นชื่อเกาะที่สร้างขึ้นในจินตนาการซึ่งมีระบบสังคมและ
ระบบการเมืองสมบูรณ์ที่ดี หนังสือเล่มนี้มีอิทธิพลมากจนกระทั้งชื่อหนังสือกลายเป็นศัพท์ที่มี
ความ หมายภาษาอังกฤษไปด้วยคือหมายถึงการสร้างจินตนาการ หรือวาดภาพสภาพสังคมที่
เลอเลิศ
แนวคิดสังคมนยิ มแบบอุดมคติน้เี รม่ิ มอี ิทธิพลจากศตวรรษที่ 19 โดยนักสังคม
นิยมในองั กฤษและฝรั่งเศส สงั คมนิยมแบบยูโทเปียหรือสังคมนิยมแบบอุดมคติ ยอมรับกันว่าเป็น
สังคมนิยมยุคเริ่มแรก พวกนี้มีความเห็นว่าโครงสร้างทางสังคมที่มีระเบียบประเพณียึดโยงอยู่ใน
ขณะนั้น ท่าให้คนที่แข็งแรงกว่ากดขี่คนที่อ่อนแอกว่า และถ้าคนสามารถหลุดพ้นจากระเบียบ
ประเพณีดังกล่าวได้แล้ว ก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติและไม่ขัดแย้งกัน พวกสังคมนิยมยู
โทปียเสนอให้จัดต้ังประชาคมขึ้นมาใหม่ นักทฤษฎีที่ส่าคัญในอังกฤษมี โรเบิร์ต โอเวน (Robert
Owen) ในฝรั่งเศสมี ชาร์ลส์ ฟูริเยร์(Charles Fourier) อย่างไรก็ดีสังคมนิยมแบบเพ้อฝันแบบ
ลมๆแล้งๆ มีแนวความคิดในท่านองเพ้อฝัน ซึ่งหวังก่อให้เกิดผลโดยสมบูรณ์แต่ยากที่จะเป็นจริง
ขึ้นมาได้ นักปราชญ์กลุ่มนี้พยายามแสวงหาสังคมที่อุดมและเพียบพร้อมด้วยความสุขสมบูรณ์
โดยสร้างสังคมในมโนคติที่น่าจะท่าให้มนุษย์ได้รับความสุขอย่างเต็มที่ นั่นคือความพยายาม
แสวงหาความบกพร่องของสงั คม และพยายามแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าว นอกจากนั้นมีความเห็น
รฐั ศาสตร์เบื้องตน้ หนา้ 275
ว่ามนุษย์มคี วามโน้มเอยี งทีจ่ ะเอาเปรียบซึง่ กนั และกัน อันเป็นสาเหตุของความบกพร่องของสังคม
และถ้าจะให้มนุษย์มคี วามสขุ สบายเท่าเทียมกันแล้ว มนษุ ย์ตอ้ งเลิกเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน
ซึ่งจะกระท่าได้โดยให้มนุษย์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน และร่วมมือร่วมใจกันประกอบกิจการ
รวมทั้งจัดสรรประโยชน์ที่ได้จากการท่างาน ฉะน้ันทรัพย์สินส่วนตัวจึงไม่เป็นที่พึงปรารถนาแก่
สงั คม เพราะเปน็ สาเหตขุ องการเอารดั เอาเปรียบซึง่ กันและกนั ข้างต้น
3.2.2 สังคมนิยมแบบมาร์ก (Marxian Socialism)
คาร์ล มาร์กได้เสนอทฤษฎีสังคมนิยมของเขาไว้ว่า ปรากฏการณ์หรือ
ขบวนการเปลีย่ นแปลงระบบสังคมถูกกา่ หนดโดยสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ การพัฒนาการใน
ประวัติศาสตร์ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบสังคมคือการเปลี่ยน แปลงวิธีการผลิตและการ
แลกเปลี่ยนสินค้า
มาร์กได้เน้นให้เห็นว่าในระบบเศรษฐกิจหนึ่งๆ ซึ่งมีแบบแผนเฉพาะของการ
ผลิตและการแลกเปลี่ยนน้ัน เม่ือพัฒนาถึงขั้นเต็มที่แล้วจะมีการขัดแย้งเกิดขึ้นภายในระบบและ
นา่ ไปสู่ความเสื่อมโทรมของระบบนั้น ในขณะเดียวกันระบบใหม่ซึ่งมีลักษณะตรงกันข้ามกับระบบ
เก่ากจ็ ะค่อยๆ เติบโตขึน้ และท้ายสดุ ก็จะเข้ามาแทนที่ระบบเก่า การเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์
จะเป็นเช่นนี้เร่ือยๆ จนกระท้ังบรรลุสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์หรือสังคมนิยมไร้ชนชั้น ซึ่งการ
เปลี่ยนแปลงระบบสังคมจะไม่เกิดขึ้นอีก มาร์กได้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตว่าเป็น
การเปลีย่ นแปลงระบบสังคมเป็นขั้นๆ ดังน้ี
3.2.2.1 ในสมัยบรรพกาล (Primitive) มนุษย์มีก่าลังการผลิตต่ามาก
ความสัมพันธ์ในการผลิตเป็นลักษณะการร่วมกันใช้เคร่ืองมือปัจจัยการผลิตเป็นของส่วนรวม
มาร์กเรียกสงั คมชนิดน้ีวา่ Primitive communal system
3.2.2.2 เม่ือก่าลังผลิตสูงขึ้นท่าให้เกิดผลผลิตส่วนเกิน ท่าให้เกิดมี
กรรมสิทธิ์ในทรพั ย์สิน ความสัมพนั ธ์ในการผลิตจึงเปลีย่ นจากการร่วมกันท่างาน มาเป็นฝุายหนึ่ง
เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตบังคับอีกฝุายหนึ่งซึ่งไม่เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตมีแต่แรงงานท่างาน
มาร์กเรียกสังคมชนิดน้ีวา่ Slave system
3.2.2.3 เมือ่ ก่าลงั การผลิตในระบบทาสสูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง ก็เกิดความ
ขัด แย้งกับความสัมพันธ์ในการผลิต แสดงออกโดยการต่อสู้ระหว่างกัน ระบบทาสถูกท่าลายลง
เจ้าของปัจจัยการผลิตก็ถูกท่าลายลง เจ้าของปัจจัยการผลิตกลายเป็นเจ้าของที่ดินและทาส
กลายเปน็ ทาสติดที่ดิน มาร์กเรียกสงั คมแบบนีว้ ่า Feudal system
3.2.2.4 กา่ ลังการผลิตพฒั นาต่อไป ดว้ ยการน่าพลังงานธรรมชาติมาใช้
ในการผลิต ท่าให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงกับความสัมพันธ์การผลิต แสดงออกด้วยการต่อสู้
รัฐศาสตร์เบือ้ งตน้ หน้า 276
ระหว่างทาสกับเจ้าของที่ดิน เม่ือถึงจุดระเบิดระบบศักดินาก็พังทลาย เจ้าของปัจจัยการผลิตก็
กลายเป็นนายทุน ทาสติดที่ดินก็กลายเป็นกรรมกรรับจ้างขายแรงงาน แบบการผลิตชนิดนี้
เรียกว่าระบบทุนนิยม (Capitalist System)
3.2.2.5 ก่าลังการผลิตก้าวหน้าต่อไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดอุต
สาห-กรรมขนาดใหญ่ขึ้นท่าให้เกิดการขัดแย้งกับความสัมพันธ์ในการผลิต แสดงออกด้วยการ
ต่อสู้ระหว่างกรรมกรกับนายทุน เม่ือถึงจุดระเบิดนายทุนถูกท่าลาย พร้อมกับการท่าลาย
กรรมสิทธิ์เอกชนและท่าให้ปัจจัยการผลิตเป็นสมบัติส่วนรวม แบบการผลิตชนิดนี้เรียกว่า ระบบ
สงั คมนยิ ม (Socialist System)
มาร์กเน้นประการสุดท้ายว่า เม่ือการกดขี่ขุดรีดของนายทุนจนไม่มีทาง
แก้ ไขแล้ว พวกกรรมกรจะเป็นผู้ปฏิวัติล้มล้างนายทุนและน่าสังคมไปสู่ระบบสังคมนิยม ระบบ
สงั คมนยิ มเช่น นีเ้ ป็นสภาพชว่ั คราว เพื่อน่าไปสู่สังคมแบบคอมมิวนสิ ต์ เม่ือถึงข้ันคอมมิวนิสต์แล้ว
มาร์กถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบสังคมข้ันสุดท้ายไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกสังคมจะมีแต่
ความสขุ ชว่ั นิรันดร์
3.2.3 สงั คมนิยมแบบประชาธิปไตย (Democratic Socialism)
เปน็ การผสมผสานหลักการเมอื งการปกครองแบบประชาธิปไตย เข้ากับระบบ
เศรษฐกิจที่รัฐหรือรัฐบาลมีอ่านาจจ่ากัดเสรีภาพทางเศรษฐกิจของเอกชนบางประการด้วยการ
เข้าด่าเนินการเป็นบางส่วน เพื่อประโยชน์ส่วนรวม (จรูญ สุภาพ,2534 : 151 – 152) ตามระบบ
การปกครองนี้จะเห็นว่า ประชาชนทั่วไปไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใดในสังคม สามารถมีส่วนในการ
ปกครองประเทศโดยเท่าเทียมกันคือมีความเสมอภาคทางการเมือง เป็นการปกครองที่ประชาชน
เป็นเจ้าของและเป็นผู้ใช้อ่านาจอธิปไตยได้โดยผ่านผู้แทนราษฎรด้วยการจัดให้มีรัฐบาลที่เลือก
ตั้งขึน้ โดยประชาชน
รัฐบาลมีบทบาทและอ่านาจทางเศรษฐกิจบางประการเพื่อให้บุคคลท่ัวไป
ได้รบั ผลประโยชนใ์ นการด่ารงชีวติ รัฐบาลจะใช้อ่านาจในด้านเศรษฐกิจและสังคมในส่วนที่ส่าคัญ
คือการวางแผนเศรษฐกิจโดยรัฐ โอนกิจการส่าคัญเป็นของรัฐเพื่อให้รัฐประกอบการเอง การ
ดา่ เนนิ การสาธารณูปโภคโดยรฐั และการจดั เก็บภาษีอากรตามความสามารถ
ส่วนในภาคเอกชน เอกชนก็ยังสามารถมีเสรีภาพในการประกอบการทาง
เศรษฐกิจในส่วนที่เป็นสิทธิอ่านาจของบุคคล เอกชนมีสิทธิ์ที่จะเป็นเจ้าของทรัพย์สิน แสวงหา
ผลประโยชน์หรอื ผลก่าไรในลักษณะทีถ่ กู ต้องชอบธรรมภายในขอบเขต
เพื่อความเป็นธรรมในสังคมและเพื่อขจัดการกดขี่เอารัดเอาเปรียบหรือการ
เบียดเบียนทั้งหลายน้ัน รัฐหรือรัฐบาลจะก่าหนดกฎเกณฑ์ต่างๆเพื่อปูองกันการแสวง
รัฐศาสตรเ์ บื้องต้น หนา้ 277
ผลประโยชน์โดยมิชอบของบุคคลและรัฐบาลจะเป็นการด่าเนินการให้สวัสดิการที่ส่าคัญแก่
ประชาชนทวั่ ไป เช่น การจัดหาที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาล การหางานให้ประชาชน การศึกษา
ที่เป็นการบริการให้เปล่าในระดับที่ส่าคัญ การด่าเนินการสาธารณูปโภคในลักษณะที่ท่ัวถึง
พอเพียงและราคาถูก การช่วยเหลือเยาวชน คนชรา คนพิการ การคุ้มครองผู้ใช้แรงงานท้ังหลาย
ซึ่งได้กรรมกรและเกษตรกร โดยให้หลักประกันเกี่ยวกับค่าจ้างและแรงงาน สภาพการท่างาน
สุขภาพอนามัย สวัสดิการอื่นๆ ที่จ่าเป็นในการครองชีพและอ่านาจการต่อรองกับนายจ้าง รวม
ตลอดถึงการช่วยเหลืออน่ื ๆ
ในระบบสังคมนิยมประชาธิปไตยนี้ เท่าที่ได้ปฏิบัติกันอยู่ในหลายประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอังกฤษได้ให้ความส่าคัญกับประชาชนท้ังหลายโดยไม่แย กชั้น
วรรณะ แต่พรอ้ มกนั นั้นก็สนบั สนุนให้ผู้ใช้แรงงานได้มีบทบาททางเศรษฐกิจ เช่น ได้รับการปฏิบัติ
ที่เป็นธรรม สามารถดูแลรักษาผลประโยชน์ของตนได้ และมีอ่านาจทางการเมืองการปกครอง
ด้วยการรวมตัวกนั ขึ้นเปน็ พรรคการเมืองและมีโอกาสจัดต้ังรัฐบาลได้
3.2.4 รูปแบบของสังคมนิยม ระบบสังคมนิยมเป็นระบบเศรษฐกิจที่เกี่ยวกับ
สังคมซึ่งมรี ปู แบบหลายรูปแบบ แตล่ ะรูปแบบก็มีองค์ประกอบไม่เหมอื นกนั เชน่
1. สังคมนิยมสมบูรณ์แบบตามแนวอุดมคติ มีสาระที่ส่าคัญดังนี้ เป็น
ชุมชนขนาดเล็ก ทกุ คนมีเท่าเทียมกัน มีความเสมอภาคในการมีส่วนร่วมในการปกครองตนเอง มี
การท่างานร่วมกัน ให้มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทรัพย์สินที่ส่าคัญเป็นของส่วนรวม แบ่งปัน
ผลประโยชน์ต่างๆ ที่ได้รับตามความเป็นธรรมจากสาระส่าคัญดังกล่าวข้างต้นจึงก่อให้เกิด
รปู แบบของสงั คมนิยม ดงั น้ี
ชมุ ชน ระบบเศรษฐกิจ ระบบการเมอื งการปกครอง
ขนาดเล็ก
-ท่างานรว่ มกัน สมาชิกมีสว่ นปกครองตนเอง
-แบ่งปันผลประโยชน์ระหว่าง
กนั ด้วยความเป็นธรรม
-ทรัพย์สินเป็นของสว่ นรวม
2. สังคมนิยมแบบมาร์กซิสม์ มีสาระที่ส่าคัญ คือ ให้ชนช้ันกรรมมาชีพ
ได้มอี ่านาจในการปกครองและเป็นเจ้าของควบคมุ การผลิตทั้งปวง ท้ังนเี้ พื่อขจัดการกดขี่ท้ังหลาย
จากระบบนายทุนนิยมอุตสาหกรรม ซึ่งมีนายทุนเป็นผู้มีอ่านาจ ดังนั้นสังคมนิยมแบบมาร์กซิสม์
จงึ มรี ปู แบบทีป่ ระกอบด้วยองค์ประกอบสา่ คญั ดังน้ี
รัฐศาสตร์เบือ้ งต้น หนา้ 278
ชมุ ชน ระบบเศรษฐกิจ ระบบการเมอื งการปกครอง
ประเทศหรือรฐั
- ช น ช้ั น ก ร ร ม า ชี พ เ ป็ น เผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ แต่ในทาง
เจ้าของและควบคุมการ ปฏิบัติให้พรรคคอมมิวนิสต์ผูกขาด
ผลติ ท้ังสิน้ (แตใ่ นทางปฏิบัติ อ่านาจในการปกครองประเทศแต่เพียง
ให้พรรคคอมมิวนิสต์ท่า พรรคเดียว และเป็นผู้ใช้อ่านาจสูงสุด
หนา้ ที่แทนชนช้ันกรรมาชีพ) ในประเทศตลอดไปในนามของชนช้ัน
กรรมาชีพ จนกว่ารัฐจะวิวัฒนาการ
ไปสู่ความเป็นคอมมวิ นิสตโ์ ดยสมบูรณ์
3. สังคมนิยมแบบประชาธิปไตย มีสาระส่าคัญ คือ ให้รัฐบาลได้เข้ามา
มีบทบาทในการสร้างความเป็นธรรมแก่สังคม รักษาผลประโยชน์ส่วนรวม และคงไว้ซึ่งเสรีภาพ
ส่วนบคุ คล โดยมุ่งทีจ่ ะจัดให้มรี ะบบเศรษฐกิจที่ปราศจากการกดขี่ เอารัดเอาเปรียบ แต่เป็นระบบ
เศรษฐกิจที่ช่วยให้เกิดความยุติธรรมอย่างดีที่สุดแก่ประชาชน ไม่ว่าบุคคลในระดับใดของสังคม
ด้วยการลดช่องว่างต่างๆ ที่มีรัฐบาลเป็นก่าไกส่าคัญ ที่ก่าหนดขอบเขต อ่านาจและบทบาทของ
ประชาชนทีม่ ีฐานะทางเศรษฐกิจดี เพื่อให้มีการแบ่งปันประโยชน์แก่ผ็ที่ด้อยในความสามารถหรือ
มีอุปสรรคต่างๆ ซึ่งไม่สามารถที่จะได้รับความส่าเร็จในด้านเศรษฐกิจได้อย่างดีเท่าเทียมกับผู้ที่
ได้รับความส่าเร็จในด้านน้ัน ความส่าคญั ของสังคมนิยมแบบนี้จึงอยู่ที่ การที่รัฐได้ท่าลายเสรีภาพ
ในการประกอบการทางเศรษฐกิจของบคุ คลที่มีความสามารถสูง แต่จะจ่ากัดให้บุคคลเหล่านั้นใช้
เสรีภาพอย่างถูกต้อง เพือ่ ความเป็นธรรมต่อประชาชนส่วนรวมโดยท่ัวไป รูปแบบสังคมนิยมแบบ
ประชาธิปไตยจงึ เปน็ ดงั น้ี
ชมุ ชน ระบบเศรษฐกิจ ระบบการเมอื งการปกครอง
ประเทศหรือรฐั
- รัฐบาลเข้าวางแผนและประกอบ ให้ประชาชนปกครองตนเองตาม
รัฐศาสตรเ์ บอ้ื งตน้
การเศรษฐกิจ ด้วยการโอนกิจการ ระบอบประชาธิปไตย โดยไม่มี
ทางเศรษฐกิจที่สา่ คัญเป็นของรฐั การผูกขาดโดยพรรคใดพรรค
- เอกชนมเี สรีภาพในการประกอบ หนึ่งเพียงพรรคเดียว ประชาชน
การทางเศรษฐกิจอย่างอื่นๆ ได้ ทุกชั้นมีสิทธิทางการเมืองเท่า
แต่โดยท่ัวไปบุคคลจะถูกจ่ากัด เทียมกัน
เสรีภาพทางเศรษฐกิจตามความ ประชาชนสามารถเปลี่ยนรัฐบาล
หน้า 279
จ่าเป็น เพื่อความเป็นธรรมใน ได้ตามความปรารถนาตามวิถีทาง
สังคม ของรัฐธรรมนูญ
- ลดช่องว่าทางเศรษฐกิจด้วย
ระบบภาษีที่ให้ผู้มีรายได้สูงต้อง
รบั ภาระมากตามความสามารถ
- รั ฐ บ า ล ใ ห้ ส วั ส ดิ ก า ร ท า ง
เศรษฐกิจและสังคมแก้ประชาชน
เพื่อขจัดความไม่เป็นธรรมและ
รกั ษา
ประโยชน์สว่ นรวม
3. การเปรียบเทยี บระบบการเมือง
ปัจจุบนั นรี้ ปู แบบการเมอื งการปกครองส่าคัญที่ใช้อยู่ในประเทศต่างๆ มีอยู่ 3 ระบบ
ด้วยกัน คอื
1. ประชาธิปไตยแบบทุนนิยมปฏิรูป คือ การผสมผสานหลักการเมืองการปกครอง
แบบประชาธิปไตยเข้ากับระบบเศรษฐกิจที่ให้บุคคลมีเสรีภาพในการประกอบการต่างๆ โดย
รัฐบาลจะเป็นผู้ดูแลให้เอกชนซึ่งประกอบการเหล่าน้ันได้ช่วยเหลือต่อกันในแนวสวัสดิการ และ
รัฐบาลก็จะเป็นผู้สนบั สนุนชว่ ยเหลอื ด้วย
อย่างไรก็ตามยังคือหลักการทางเศรษฐกิจทั้งหลายทั้งปวงน้ันเป็นสิ่งที่เอกชนพึง
ประกอบการเอง เอกชนมกี รรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน รฐั บาลมีหน้าที่คอยปูองกันมิให้เอารัดเอาเปรียบ
ต่อประชาชนด้วยการผูกขาดตัดตอน หรือการรวมทุนขนาดใหญ่ และรัฐบาลจะให้ความครอง
ช่วยเหลือผทู้ ี่ใชแ้ รงงานประเภทต่างๆ ด้วย
ผู้ใช้แรงงานจะต้องมีเสรีภาพในการท่างาน โดยที่จะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจาก
นายจ้าง หรอื ผทู้ ีม่ ฐี านะทางการเงินสูงกว่า ประชาธิปไตยแบบทนุ นิยมรูปนเี้ รียกอีกชื่อหนึ่งว่า “รัฐ
สวสั ดิการ”
2. ประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม คือ การผสมผสานหลักการเมืองการปกครองแบบ
ประชาธิปไตยเข้ากับระบบเศรษฐกิจที่รัฐหรือรัฐบาลมีอ่านาจจ่ากัดเสรีภาพทางเศรษฐกิจของ
เอกชนบางประการ ด้วยการทีร่ ฐั บาลเข้าไปด่าเนนิ การเองบางส่วน เพื่อประโยชน์สว่ นรวม
ตามระบบการปกครองนี้จะเห็นว่าประชาชนทั่วไปไม่ว่าจะอยู่ในส ภาพสถานใดใน
สงั คม สามารถมีส่วนในการปกครองประเทศโดยเท่าเทียมกัน คือ มีความเสมอภาคทางการเมือง
รัฐศาสตร์เบอื้ งต้น หน้า 280
เป็นการปกครองที่ประชาชนเป็นเจ้าของและเป็นผู้ใช้อ่านาจอธิปไตยโดยผ่านผู้แทนราษฎร ด้วย
การจัดให้มีรัฐบาลทีเ่ ลือกต้ังโดยประชาชน
รัฐบาลมีบทบาทและอ่านาจทางเศรษฐกิจบางประการ เพื่อให้บุคคลท่ัวไปได้รับ
ประโยชน์ในการดา่ รงชีวติ รฐั บาลจะใช้อ่านาจในด้านเศรษฐกิจและสังคมในส่วนที่ส่าคัญ คือ การ
วางแผนทางเศรษฐกิจโดยรัฐโอนกิจการส่าคัญมาเป็นของรัฐเพื่อให้รัฐบาลประกอบการเอง การ
ดา่ เนนิ กิจการสาธารณูปโภคโดยรัฐ และการจัดเกบ็ ภาษีอากาศตามความสามารถ
ส่วนในภาคเอกชน เอกชนก็ยังสามารถมีเสรีภาพในการประกอบการทางเศรษฐกิจ
ในส่วนที่เป็นสิทธิอ่านาจของบุคคล รัฐหรือรัฐบาลจะก่าหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อปูองกันการ
แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบของบุคคล และรัฐบาลก็จะเป็นผู้ด่าเนินการให้สวัสดิการที่ส่าคัญ
แก่ประชาชนท่ัวไป เช่น การจัดหาที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาล การหางานให้ประชาชน
การศึกษาที่เป็นบริการให้เปล่าในระดับที่ส่าคัญ การด่าเนินกิจการสาธารณูปโภคในลักษณะ
ทวั่ ถึงพอเพียงและราคาถกู การช่วยเหลือเยาวชน คนชรา ผู้ทุพพลภาพ การคุ้มครองผู้ใช้แรงงาน
ทั้งหลาย ซึ่งได้แก่กรรมกรและเกษตรกร โดยให้หลักประกันเกี่ยวค่าจ้างแรงงาน สภาพการ
ท่างาน สุขภาพอนามัย สวัสดิการอื่นๆ ที่จ่าเป็นในการด่ารงชีพ และอ่านาจต่อรองกับนายจ้าง
รวมตลอดถึงการช่วยเหลืออ่นื ๆ
ในระบบประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม ที่ปฏิบัติกันในหลายประเทศโดยเฉพาะอย่าง
ยิง่ ประเทศองั กฤษได้ให้ความส่าคัญกับประชาชนโดยไม่มีการแยกชั้นวรรณะ และพร้อมกันนั้นยัง
สนับสนุนให้ผู้ใช้แรงงานได้มีบทบาททางเศรษฐกิจ เช่น รับการปฏิบัติที่เป็นธรรม สามารถดูแล
รักษาผลประโยชน์ของตนได้ และมีอ่านาจทางการเมืองการปกครองด้วยการรวมตัวกันขึ้นเป็น
พรรคการเมืองและมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลได้ ชือ่ พรรคแรงงาน
3. ระบบสังคมนิยมแบบมาร์กซิสม์ (ลัทธิคอมมิวนิสต์) คือ การผสมผสานหลัก
การเมืองการปกครองแบบมาร์กซิสม์–เลนินนิสม์ คือ ระบบการปกครองเผด็จการชนช้ัน
กรรมาชีพ โดยพรรคคอมมิวนสิ ต์เปน็ ผู้ทา่ หน้าทีเ่ ปน็ รฐั บาลในนามชนช้ันกรรมาชีพ และเพื่อชนช้ัน
กรรมาชีพ เข้ากบั ระบบเศรษฐกิจที่รฐั บาลถือกรรมสทิ ธิ์ในการผลิตท้ังปวงภายในประเทศ
รัฐบาลจะเป็นผู้มีอ่านาจในการประกอบการทางเศรษฐกิจต่างๆ โดยถือว่ารัฐบาล
โดยพรรคคอมมิวนิสต์เป็นตัวแทนชนช้ันกรรมาชีพ การด่าเนินการรัฐบาลเท่ากับการกระท่าเพื่อ
ชนชั้นกรรมาชีพและโดยชนช้ันกรรมาชีพ เป็นการเตรียมการเพือ่ น่าสังคมไปสู่สงั คมที่ไม่มีชนชั้นใน
ขั้นสุดท้าย คือ การปกครองแบบคอมมิวนสิ ต์
รัฐศาสตร์เบือ้ งต้น หนา้ 281
ในด้านการเมือง พรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้น่าทางการเมือง ผูกขาดอ่านาจทางการ
เมืองและเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล รวมถึงการควบคุมรัฐบาลและการปกครองภายในประเทศอย่าง
แท้จรงิ
ในด้านเศรษฐกิจ พรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาลจะเป็นผู้ก่าหนดแผนทางเศรษฐกิจ
ควบคุมทรัพยากร ด่าเนินการผลิตและควบคุมการผลิตทั้งปวงภายในประเทศ ฉะนั้นหลักการ
ส่าคัญก็คือการผลิตโดยรัฐ ส่วนการที่จะให้เอกชนประกอบการใดๆ ถือเป็นอ่านาจของรัฐที่
ยินยอมใหไ้ ด้ตามสมควร
ในด้านสวัสดิการ รัฐบาลจะเป็นผู้ก่าหนดให้สวัสดิการแก่ประชาชนทั่วไปเท่าที่รัฐจะ
เห็นควร แต่โดยเหตุที่รัฐบาลมาจากพรรคคอมมิวนิสต์ ฉะน้ันพรรคจึงเป็นผู้ก่าหนดนโยบายใน
ด้านสวสั ดิการให้กับประชาชน
ระบบการเมืองของลัทธิการเมืองท้ัง 3 แบบน้ันมีความส่าคัญ เนื่องจากได้ใช้อยู่ใน
หลายประเทศ และดูมีรปู แบบ (model) ทีส่ ่าคัญทีห่ ลายประเทศได้นา่ ไปใช้
3.1 การเปรียบเทียบระบบการเมอื งของลทั ธิการเมอื งทั้ง 3 แบบ
1. หลกั การ
ประชาธิปไตยแบบทุนนิยมและประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม ยึดหลักการที่
ส่าคญั คือ
- ในทางการเมืองการปกครองได้รับอิทธิพลเสรีนิยม ดังนั้นจึงใช้หลักการ
วิธีการ กระบวนการทีม่ ุ่งให้เสรีภาพแก่ประชาชนทีจ่ ะปกครองตนเอง
- ให้ประชาชนสามารถเลือกตั้งผู้ปกครอง (รัฐบาล) ของตนเองได้และ
สามารถเปลีย่ นรัฐบาลได้เชน่ กัน
- ต้องการให้บคุ คลมีความเสมอภาคทางการเมือง คือ ยึดหลักการให้หนึ่งคน
มีหนึง่ เสียง ไม่ว่าจะมีความแตกต่างกนั ในทางเพศ ระดบั การศกึ ษา ฐานะทางสงั คมหรอื เศรษฐกิจ
- ให้ประชาชนมีเสรีภาพในการจัดตั้งองค์การทางการเมือง เช่น พรรค
การเมอื งหรอื กลุ่มผลประโยชน์ได้โดยเสรี เพื่อรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองของ
ตน
- ถือว่าหนว่ ยการปกครอง เชน่ องค์การนิติบัญญัติ (รัฐสภา) องค์การบริหาร
(รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี/ประธานาธิบดี) เป็นหน่วยงานที่มาจากประชาชน เป็นตัวแทนของ
ประชาชนและจะต้องท่าหน้าทีเ่ พือ่ ประชาชน
- บุคคลทุกคนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างเต็มที่
แมว้ ่าความคิดเหน็ น้ันอาจจะขดั แย้งกัน
รฐั ศาสตรเ์ บื้องต้น หนา้ 282
- ไม่ถือเอาหลักการใช้ความรุนแรงเป็นทางออกในการแก้ปัญหา แต่จะใช้
เหตุผลและความสงบเปน็ สาระสา่ คญั
- ถือหลกั เจตนารมณ์ของประชาชนทั่วไปเป็นแนวทางในการปกครอง มิใช่ชน
ชั้นเดียว
ส่วนประเทศที่ใช้การปกครองสังคมนิยมมาร์กซิสม์ (คอมมิวนิสต์) มีหลักการ
ดงั น้ี
- ในทางการเมืองการปกครองได้รับอิทธิพลจากลัทธิมาร์กซิสม์หรือเลนิน
นิสม์ ดังน้ันจึงใช้หลักการ วิธีการและกระบวนการที่มุ่งให้อิทธิพลและเสรีภาพแก่ชนชั้นเดียว คือ
ชนช้ันกรรมาชีพ
- ผทู้ ีม่ สี ่วนในการปกครองตนเอง ได้แก่ชนชั้นกรรมาชีพเท่านั้น
- ผู้ที่ท่าหน้าที่ปกครองแทนชนช้ันกรรมาชีพ เพื่อประโยชน์ของชนช้ัน
กรรมาชีพ ได้แก่พรรคคอมมิวนิสต์
- ยึดหลักการปกครองเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่งหมายถึงซึ่งยอมรับ
อ่านาจและฐานะพรรคคอมมิวนิสต์ว่าเป็นหน่วยงานที่สามารถผูกขาดอ่านาจทางการเมืองการ
ปกครองไว้ตลอดไป จนกว่าสังคมนั้นจะเปลี่ยนตัวเองเป็นระบบคอมมิวนิสต์หรือสังคมที่สมบูรณ์
แบบในข้ันสดุ ท้าย
- ในระหว่างที่สังคมยังไม่เปลี่ยนเป็นระบบคอมมิวนิสต์น้ัน ประชาชนซึ่งเป็น
ชนชั้นกรรมาชีพจะต้องยอมรับอ่านาจของพรรคคอมมิวนิสต์ในฐานะที่เป็นสถาบันการเมืองการ
ปกครอง และมีอ่านาจในการกา่ หนดระบบเศรษฐกิจภายในประเทศแทนชนชั้นกรรมาชีพทั้งปวง
- การจัดตง้ั พรรคอื่นหรือกลุ่มการเมืองอื่น ซึ่งมีลักษณะขัดหรือแย้งกับพรรค
คอมมิวนสิ ต์กระทา่ มิได้
- เสรีภาพในการแสดงความคดิ เหน็ ทางการเมืองจะขัดแย้งกับอุดมการณ์ทาง
การเมอื งตามแบบของลทั ธิคอมมวิ นิสตไ์ ม่ได้
- การใช้ความรุนแรงอาจจะกระท่าได้ หากเป็นไปเพื่อรักษาอุดมการณ์ทาง
การเมอื งคอมมวิ นิสตข์ องประเทศ
- เจตนารมณ์การปกครอง คือ เจตนารมณ์ของชนชั้นกรรมาชีพที่ก่าหนดขึ้น
โดยพรรคคอมมิวนสิ ต์
- ให้ความส่าคัญกับพรรคคอมมิวนิสต์ในฐานะที่เป็นสถาบันและองค์การ
ทางการเมอื งที่สา่ คญั ที่สุดในประเทศ
- พรรคคอมมิวนสิ ต์เป็นที่มาของรฐั บาลและการปกครองประเทศ
รัฐศาสตร์เบื้องต้น หนา้ 283
- หลักการปกครองประเทศ นโยบายและจุดหมายปลายทางของรัฐ จะต้อง
เป็นไปตามแนวลทั ธิมาร์ก –เลนินนสิ ม์
- บุคคลต้องยอมรบั การนา่ ของพรรคคอมมวิ นิสต์
- ใช้หลักการการปกครองแบบรวมอ่านาจ โดยให้รัฐบาลมีอ่านาจสูงสุด แต่
รฐั บาลนั้นตอ้ งเป็นองค์การทางการเมืองที่ยอมรบั การนา่ ของพรรคคอมมวิ นิสต์
- ให้ความส่าคัญกับชนช้ันกรรมาชีพ โดยถือว่าชนช้ันกรรมาชีพเป็นชนชั้น
เดียวที่เป็นเจ้าของอ่านาจอธิปไตย แต่ผู้ที่ใช้อ่านาจอธิปไตยแทนชนชั้นกรรมาชีพคือพรรค
คอมมิวนสิ ต์
2. รปู แบบ
ส่าหรับประชาธิปไตยแบบทุนนิยมและประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม อาจมี
รปู แบบทีส่ า่ คญั คือ
- อาจใช้รูปแบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาหรือประธานาธิบดี คือ อาจให้
รัฐสภามีอ่านาจสูงสุดเหนือเหนือฝุายบริหารและฝุายตุลาการ หรือให้ใช้หลักการแยกอ่านาจ
เพื่อให้สภากับประธานาธิบดีมอี า่ นาจเท่าเทียมกนั ตามแบบการปกครอง “แบบประธานาธิบดี”
- อาจใช้หลักการรวมอ่านาจหรือการกระจายอ่านาจแล้วแต่ความเหมาะสม
ของประเทศ ประเทศที่ใช้หลักการรวมอ่านาจจะเป็นการปกครองในรูป “รัฐเดี่ยว” ส่าหรับ
ประเทศทีม่ ขี นาดใหญ่ก็มกั ใช้หลกั การกระจายอา่ นาจ จงึ เปน็ การปกครองในรูป “รัฐรวม” ซึ่งจะมี
ช่อื เรียกว่า “สหพนั ธ์รัฐ” หรอื “สหภาพ” หรอื “สหรัฐ” กไ็ ด้
ส่วนประเทศที่ใช้การปกครองสังคมนิยมมาร์กซิสม์ (คอมมิวนิสต์) มีรูปแบบ
ดงั น้ี
-มักจะใช้รูปแบบการปกครองแบบรัฐสภาคล้ายแบบประชาธิปไตย เพียงแต่
รัฐสภาไม่มอี ่านาจอย่างแท้จริง อา่ นาจที่แท้จรงิ อยู่ทีค่ ณะรฐั มนตรแี ละพรรคคอมมวิ นิสต์
- อาจมีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ จึงท่าให้มีลักษณะเป็นรูป
ปกครองแบบมหาชนรัฐ เพียงแต่อ่านาจประธานาธิบดีนั้นอาจไม่มากเท่าประธานพรรคหรือ
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีอ่านาจสูงสุด แต่ถ้าประธานาธิบดีเป็นประธานพรรค
คอมมิวนสิ ต์หรอื หัวหนา้ พรรคคอมมิวนสิ ต์เสีย ก็ยิ่งจะมีอ่านาจมากขึ้นอกี
- อาจใชห้ ลกั การรวมอา่ นาจและกระจายอ่านาจ
- หลักการกระจายอ่านาจเห็นได้จากประเทศจีนใช้การปกครอง การ
ปกครองระดับมณฑล เขตเทศบาล และเขตการปกครองอิสระ อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาล
กลาง แต่มีอ่านาจปกครองที่อิสระ มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของมณฑล 2 สาย คือ สายพรรค
รฐั ศาสตร์เบอ้ื งต้น หน้า 284
คอมมิวนิสต์และสายการปกครองหรือรัฐบาล ได้แก่เลขาธิการพรรคประจ่ามณฑล ผู้ว่าการ
มณฑล สภาประชาชนในมณฑล และผบู้ ญั ชาการทหารประจ่ามณฑล
3. องค์การ
ส่าหรับประชาธิปไตยแบบทุนนิยมและประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม มีองค์การที่
ส่าคญั คือฝุายบริหาร ฝาุ ยนิติบัญญตั ิ ฝาุ ยตลุ าการและพรรคการเมอื ง
ส่วนประเทศที่ใช้การปกครองสังคมนยิ มมาร์กซิสม์ (คอมมิวนสิ ต์) มอี งค์การดงั น้ี
- แบ่งการปกครองออกเปน็ 2 ระดับ คือ ระดับพรรคและระดบั รฐั บาล
- ในกรณีประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชานจีน ระดับพรรค พรรค
คอมมิวนสิ ต์มอี า่ นาจในการก่าหนดนโยบายปกครองประเทศ รัฐบาลและรัฐสภาต้องปฏิบัติตาม
มติและนโยบายที่พรรคก่าหนด ซึ่งในพรรคคอมมิวนิสต์องค์กรน่าสูงสุดของพรรค คือ สมัชชา
พรรคแห่งชาติ มีหน้าที่พิจารณาให้ความเห็นชอบในการด่าเนินงานขององค์กรบริหารระดับสูง
ของพรรค องค์กรบริหารพรรคทีส่ ่าคญั ได้แก่
คณะกรรมการกลางของพรรค (Chinese Communist Party Central
Committee : CCPCC)
กรมการเมืองพรรค (Politburo) เป็นองค์กรบริหารสูงสุดของพรรค มี
สมาชิก 20 คน ในจา่ นวนน้ี เปน็ คณะกรรมการประจ่า 7 คน ซึ่งคณะกรรมการประจ่าท่าหน้าที่
เปน็ ศูนย์กลางอ่านาจในการก่าหนดนโยบายและควบคุมการปฏิบตั ิให้เปน็ ไปตามแนวทางที่
ก่าหนด
เลขาธิการพรรค (CCPCC Secretariat) เป็นผู้น่าสูงสุดของพรรค
- ระดบั รัฐบาล ตวั อย่างประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชานจีน ระดับรัฐบาล
ประกอบด้วย ประธานาธิบดี มีอ่านาจหน้าที่ประกาศกฎหมาย กฎอัยการศึก การนิรโทษกรรม
แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี คณะมนตรีแห่งรัฐและคณะรัฐมนตรีประกอบด้วย
นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และมนตรีแห่งรัฐ มีหน้าที่ควบคุมการบริหารนโยบายใน
กรอบกว้าง
- ฝาุ ยนิติบญั ญตั ิ สภาประชาชนแห่งชาติ เป็นองค์กรสูงสุดแห่งอ่านาจรัฐ มีอ่านาจ
หน้าที่บัญญัติและแก้ไขกฎหมายแต่งตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี แต่งต้ังและถอด
ถอนนายกรัฐมนตรีตามที่ประธานาธิบดีเสนอและแต่งต้ังคณะรัฐมนต รีตามที่นายกรัฐมนตรี
เสนอ รวมทั้งพิจารณาจดั สรรงบประมาณ และแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ
รัฐศาสตรเ์ บอื้ งต้น หนา้ 285
- ฝุายตุลาการ ศาลประชาชนสูงสุด มีหน้าที่ควบคุมด้านพิพากษาของศาล
ประชาชนระดบั ต่าง ๆ ในภูมิภาคมีสภาอัยการประชาชนสูงสุด มีหน้าที่ควบคุมดูแลด้านกฎหมาย
ของรัฐให้มกี ารปฏิบัติโดยถูกต้อง
- องค์การอน่ื ๆ
คณะกรรมาธิการทหารกลางแหง่ รฐั (PRC Central Military
Commission) ท่าหนา้ ที่กา่ หนดนโยบายด้านการปูองกนั ประเทศ
สภาทีป่ รึกษาทางการเมอื งแหง่ ชาติ ท่าหนา้ ที่เป็นองค์กรกลางประสาน
เชอ่ื มโยงระหว่างพรรคคอมมิวนสิ ต์ รฐั บาล และสภาประชาชนในการให้ค่าปรึกษา
4. กระบวนการ
ส่าหรับประชาธิปไตยแบบทุนนิยมและประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม มีองค์การที่
สา่ คัญ คอื กระบวนการหมายถึงหมายถึงวิธีการใชอ้ า่ นาจอธิปไตยของประชาชน แต่การใช้อ่านาจ
ผ่านทางรัฐบาล (รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือประธานาธิบดี) ในทางปฏิบัติ กระบวนการทาง
การเมอื งเปน็ ดงั น้ี
- ประชาชนรวมตัวกันต้ังพรรคการเมือง พรรคการเมืองจะแข่งขันกันลงสมัครรับ
เลือกตั้ง และพรรคการเมืองใดได้เสียงข้างมากพรรคน้ันก็จะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล (ตามรูปแบบ
รัฐสภา) เป็นผู้เสนอนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี หรือในประเทศที่ใช้ระบบประธานาธิบดี
พรรคก็จะผู้สมัครลงรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีและสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร พรรคที่ได้รับ
เลือกเป็นประธานาธิบดีก็จะจัดตั้งรัฐบาลโดยประธานาธิบดีจะแต่งตั้งรัฐมนตรี เข้ามาช่วยในการ
บริหาร
- รัฐสภามีหน้าที่ก่าหนดกฎหมายหรือบางครั้งอาจอนุญาตให้ฝุายบริหารออก
กฎหมายได้ด้วย (แบบรัฐสภา) และมีหน้าที่ควบคุมตรวจสอบ การให้ความเห็นชอบ รวมท้ังถอด
ถอนฝุายบริหาร เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจ (แบบรัฐสภา) ส่วนในระบบประธานาธิบดีใช้
กระบวน Impeachment
- ฝุายตุลาการเป็นอิสระจากฝุายนิติบัญญัติและฝุายบริหาร ท่าหน้าที่ตัดสินความ
ขดั แย้งทางกฎหมาย เชน่ ศาลรฐั ธรรมนูญในประเทศไทย หรอื ศาลสงู ในสหรฐั อเมรกิ า
ส่วนประเทศที่ใช้การปกครองสังคมนิยมมาร์กซิสม์ (คอมมิวนิสต์) มีกระบวนการ
ดังน้ี
- ใช้หลกั การรวมอ่านาจอยู่ในของหนว่ ยอ่านาจส่วนกลางของรฐั บาล
- อา่ นาจรัฐบาลจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของพรรค
- พรรคเป็นผู้กา่ หนดนโยบายส่าคัญและรัฐบาลน่าไปปฏิบัติ
รัฐศาสตร์เบื้องต้น หน้า 286
- รฐั บาลอาจก่าหนดนโยบายได้แต่ตอ้ งได้รบั ความยินยอมจากพรรค
- ประชาชนเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐ และมีกระบวนการออกกฎหมาย แต่ทั้งนี้
จะต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญและภายใต้การดูแลของพรรค ตามปกติไม่มีการแข่งขันเพื่อการ
เลือกต้ัง แตก่ ม็ ีการเลือกตั้งในบคุ คลของพรรคทีส่ ง่ มาให้ประชาชนเลือก
- รัฐบาลมีหน้าที่ด่าเนินการในด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ให้เป็นไปตาม
นโยบายของพรรค
- หนว่ ยงานตา่ งๆ ของรัฐบาลจะต้องขึน้ ตรงหนว่ ยงานของพรรค
ตารางเปรียบเทียบการเมืองระหว่างประชาธิปไตยแบบทุนนิยมปฏิรูป ประชาธิปไตยแบบสังคม
นิยมและสงั คมนยิ มมาร์กซิสม์
ประเดน็ สา่ คัญ ประชาธิปไตยแบบทุนนิยม ประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม สังคมนยิ มมาร์กซิสม์
ปฏิรปู
1. อา่ นาจอธิปไตย ปวงชนเป็นเจ้าของ หมายถึง เ ป็ น ข อ ง ช น ชั้ น ก ร ร ม า ชี พ
2. การจัดสรรอา่ นาจ ปวงชนเป็นเจ้าของ หมายถึง ป ร ะ ช า ช น ทุ ก ชั้ น แ ล ะ ไ ม่ ได้แก่กรรมกรและชาวนาเป็น
ทางการปกครอง ป ร ะ ช า ช น ทุ ก ชั้ น แ ล ะ ไ ม่ ย อ ม รั บ ห ลั ก ก า ร แ บ่ ง แ ย ก ส่าคญั
ย อ ม รั บ ห ลั ก ก า ร แ บ่ ง แ ย ก ประชาชนเป็นชนชั้น และ
3. สิทธิเสรีภาพ ประชาชนเป็นชนชั้น และ ได้รับอิทธิพลจากลัทธิเสรี
ได้รับอิทธิพลจากลัทธิเสรี นิยม
รัฐศาสตร์เบ้อื งตน้ นิยม
อาจใช้หลักการรวมอ่านาจ อาจใช้หลักการรวมอ่านาจ ให้หลักการรวมอ่านาจ โดย
ห รื อ ห ลั ก ก ร ะ จ า ย อ่ า น า จ ห รื อ ห ลั ก ก ร ะ จ า ย อ่ า น า จ ใ ห้ ร ว ม อ่ า น า จ อ ยู่ ที่ พ ร ร ค
แล้วแต่ความเหมาะสมกับ แล้วแต่ความเหมาะสมกับ พรรคมีอ่านาจสูงสุดในข้ัน
ประเทศแต่ที่ส่าคัญก็คือมุ่ง ประเทศแต่ที่ส่าคัญก็คือมุ่ง สดุ ท้ายโดยให้มีการขึ้นต่อกัน
กระจายอ่านาจการปกครอง กระจายอ่านาจการปกครอง ตามลา่ ดบั ข้ัน เช่น มีการแบ่ง
ไปยังส่วนต่างๆ ให้มากที่สุด ไปยังส่วนต่างๆ ให้มากที่สุด ระดับการปกครองและการ
ตามแนวการปกครองตนเอง ตามแนวการปกครองตนเอง ปกครองทุกระดับจะต้องมี
ในระดบั ท้องถิ่น ในระดบั ท้องถิ่น พรรคดูแล พรรคเองก็ยังมี
การแบ่งระดับต่างๆ ขึ้นต่อ
กนั จนถึงระดบั สูงสุด
รัฐธรรมนูญบัญญัติเสรีภาพ รัฐธรรมนูญบัญญัติเสรีภาพ รั ฐ ธ ร ร ม นู ญ บั ญ ญั ติ ถึ ง
ประเภทต่างๆ และกา่ หนดให้ ประเภทต่างๆ และก่าหนดให้ เสรีภาพแก่ประชาชนเฉพาะ
กลไกและหลักประกันในการ กลไกและหลักประกันในการ เสรีภาพทางการเมืองที่เป็น
มีและใช้เสรีภาพของบุคคล มีและใช้เสรีภาพของบุคคล พื้นฐานส่าคัญ เช่น การ
เ ส รี ภ า พ ที่ ส่ า คั ญ ไ ด้ แ ก่ เ ส รี ภ า พ ที่ ส่ า คั ญ ไ ด้ แ ก่ โต้แย้งนโยบายของรัฐบาล
เสรีภาพส่วนบุคคล เสรีภาพ เสรีภาพส่วนบุคคล เสรีภาพ เ ส รี ภ า พ ก า ร จั ด ต้ั ง พ ร ร ค
ก า ร เ มื อ ง เ ป็ น สิ่ ง ต้ อ ง ห้ า ม
หนา้ 287
ทางการเมืองและเสรีภาพ ทางการเมืองและเสรีภาพ ประชาชนทุกคนต้องมีหน้าที่
เ กี่ ย ว กั บ ก ร ร ม สิ ท ธิ์ ใ น เ กี่ ย ว กั บ ก ร ร ม สิ ท ธิ์ ใ น สนับสนุนพรรคและยอมรับ
ท รั พ ย์ สิ น แ ล ะ ก า ร ท รั พ ย์ สิ น แ ล ะ ก า ร ก า ร น่ า ข อ ง พ ร ร ค แ ต่ เ พี ย ง
ประกอบการ ประกอบการ พรรคเดียว ส่วนเสรีภาพอ่ืนๆ
ค ง มี ไ ด้ ต า ม ที่ พ ร ร ค
ประเดน็ ส่าคัญ เห็นสมควร
4. พรรคการเมือง ประชาธิปไตยแบบทุนนิยม ประชาธิปไตยแบบสงั คมนิยม สังคมนยิ มมาร์กซิสม์
5. การเลือกต้ัง ปฏิรปู
ประชาชนมีเสรีภาพในการ ประชาชนมีเสรีภาพในการ รัฐธ ร รม นู ญ บั ญ ญั ติให้ มี
จัดตั้งพรรคหรือเป็นสมาชิก จัดต้ังพรรคหรือเป็นสมาชิก พรรคการเมืองเพียงพรรค
พรรคได้ โดยท่วั ไปจะมีหลาย พรรคได้ โดยทัว่ ไปจะมีหลาย เดียว คือ พรรคคอมมิวนิสต์
พรรคและแข่งขันกันได้ ส่วน พรรคและแข่งขันกันได้ ส่วน
พรรคใดจะชนะขึ้นอยู่กับการ พรรคใดจะชนะขึ้นอยู่กับการ ประชาชนมีโอกาสออกเสียง
ได้ รั บ ก า ร ส นั บ ส นุน จ า ก ได้ รั บ ก า ร ส นั บ ส นุน จ า ก เลือกต้ัง แต่ไม่มีโอกาสเลือก
ประชาชน ประชาชน ตั ว แ ท น ข อ ง พ ร ร ค ต่ า ง ๆ
ประชาชนมีเสรีภาพในการ ประชาชนมีเสรีภาพในการ เพราะมีแต่เพียงพรรคเดียว
เ ลื อ ก ต้ั ง แ ล ะ มี ค ว า ม เ ส ม อ เ ลื อ ก ตั้ ง แ ล ะ มี ค ว า ม เ ส ม อ เท่าน้ัน คือพรรคคอมมิวนิสต์
ภาคทางการเมือง คือถือ ภาคทางการเมือง คือถือ และผู้สมัครก็มาจากพรรค
หลักหนึ่งคนหนึ่งเสียง ไม่ว่า หลักหนึ่งคนหนึ่งเสียง ไม่ว่า หรือได้รับความเห็นชอบจาก
บุ ค ค ล น้ั น จ ะใ น ส ถ า น ใ ด บุ ค ค ล นั้ น จ ะใ น ส ถ า น ใ ด พรรค
อาชีพใด อาชีพใด
6. อา่ นาจนิตบิ ญั ญัติ รัฐสภามีอ่านาจนิติบัญญัติ รัฐสภามีอ่านาจนิติบัญญัติ รัฐส ภ าไม่มีอ่านาจเพรา
คือออกกฎหมายและควบคุม คือออกกฎหมายและควบคุม อ่านาจในการออกกฎหมาย
7. การให้หลกั ประกันในเรื่อง ฝุายบรหิ ารได้ ฝุายบรหิ ารได้ เป็นอา่ นาจของคณะรฐั มนตรี
สิทธิเสรีภาพ ซึ่งโดยการยินยอมของพรรค
จัดให้มีหน่วยงาน เช่น ศาล จัดให้มีหน่วยงาน เช่น ศาล และพรรคมีอ่านาจเหนือทั้ง
สถิตยุติธรรม กระบวนการ สถิตยุติธรรม กระบวนการ คณะรฐั มนตรแี ละรัฐสภา
ยุติธรรมและหลักกฎหมาย ยุติธรรมและหลักกฎหมาย
เปน็ หลกั ประกนั สิทธิเสรีภาพ เป็นหลกั ประกันสิทธิเสรีภาพ ห ลั ก ป ร ะ กั น เ ส รี ภ า พ ข อ ง
ของประชาชน ของประชาชน ประชาชนถือเป็นเรื่องรอง
แ ล ะ ส่ า คั ญ น้ อ ย ก ว่ า ค ว า ม
มั่นคงปลอดภัยของรัฐ และ
ศาลสถิตยุติธรรมไม่ค่อยมี
บทบาทมาก ความผิดทาง
การเมืองมกั ได้รับโทษหนัก
รฐั ศาสตร์เบอื้ งตน้ หน้า 288
8. คณะรัฐมนตรีหรือฝุาย ระบบรัฐสภาพรรคที่ได้รับ ระบบรัฐสภาพรรคที่ได้รับ ม า จ า ก พ ร ร ค ค อ ม มิ ว นิ ส ต์
บรหิ าร เ สี ย ง ข้ า ง ม า ก เ ป็ น ผู้ จั ด ตั้ ง เ สี ย ง ข้ า ง ม า ก เ ป็ น ผู้ จั ด ตั้ ง และจัดตั้งตามนโยบายของ
รฐั บาลและคณะรัฐมนตรี รัฐบาลและคณะรฐั มนตรี พรรค
ผู้ที่ประชาชนเลือกตั้งให้เป็น ผู้ที่ประชาชนเลือกต้ังให้เป็น
ป ร ะ ธ า น า ธิ บ ดี ส า ม า ร ถ ป ร ะ ธ า น า ธิ บ ดี ส า ม า ร ถ
แต่งตั้งรัฐมนตรี แต่งตั้งรัฐมนตรี
ถือว่าประชาชนเป็นผู้จัดต้ัง ถือว่าประชาชนเป็นผู้จัดต้ัง
รฐั บาล รัฐบาล
9. ชนช้ัน ถือหลกั ว่าประชาชนทุกคนไม่ ถือหลกั ว่าประชาชนทกุ คนไม่ ให้ความสา่ คัญชนช้ันเดียวคือ
มี ก า ร แ บ่ ง แ ย ก ช น ชั้ น เ ป็ น มี ก า ร แ บ่ ง แ ย ก ช น ช้ั น เ ป็ น ชนชั้นกรรมาชีพและรังเกียจ
เจ้าของประเทศ มีความ เจ้าของประเทศ มีความ ชนช้ันที่เป็นเจ้าของทรัพย์สิน
รับผิดชอบในการสร้างชาติ รับผิดชอบในการสร้างชาติ ห รื อ ผู้ มี ส ถ า น ภ า พ สู ง ท า ง
และปูองกันชาติและรวมกัน และปูองกันชาติและรวมกัน สังคม ที่เรียกว่านายทุนและ
พฒั นาในด้านต่างๆ พัฒนาในด้านต่างๆ ศักดินา ถือว่าบุคคลเหล่านี้
เป็นผู้กดขี่ขุดรีด จึงจะต้อง
ถกู ขจดั ออกไป
10. การคานอ่านาจเพื่อ ให้ อ่า น าจ นิ ติบั ญ ญัติ กั บ ให้ อ่า น าจ นิ ติบั ญ ญัติ กั บ ใช้หลักการรวมอ่านาจสูงสุด
รักษาเสรภี าพของประชาชน อ่านาจบริหารสามารถคาน อ่านาจบริหารสามารถคาน ไว้ที่พรรคคอมมิวนิสต์ การ
อ่านาจกันได้ เพื่อคุ้มครอง อ่านาจกันได้ เพื่อคุ้มครอง ปกครองของรฐั บาลทุกระดับ
เสรภี าพของประชาชน เสรภี าพของประชาชน และหน่วยงานของพรรคทุก
บาง ป ระเท ศใช้ห ลัก ก าร บาง ป ระเท ศใช้ห ลัก ก าร ร ะ ดั บ ต้ อ ง ขึ้ น ต ร ง ต่ อ
แ บ่ ง แ ย ก อ่ า น า จ เ พื่ อ ใ ห้ แ บ่ ง แ ย ก อ่ า น า จ เ พื่ อ ใ ห้ ห น่ ว ย ง า น ข อ ง พ ร ร ค ใ น
อ่านาจนิติบัญญัติ บริหาร อ่านาจนิติบัญญัติ บริหาร ส่วนกลาง
แ ล ะ ตุ ล า ก า ร ส า ม า ร ถ แ ล ะ ตุ ล า ก า ร ส า ม า ร ถ
ตรวจสอบและถ่วงดลุ อา่ นาจ ตรวจสอบและถ่วงดลุ อ่านาจ
11. ความสัมพันธ์ระหว่าง ถือหลักแยกอ่านาจระหว่าง ถือหลักแยกอ่านาจระหว่าง ไม่มีการแยกอ่านาจระหว่าง
ข้ า ร า ช ก า ร ป ร ะ จ่ า กั บ การเมืองกับข้าราชการ ข้า การเมืองกับข้าราชการ ข้า ราชการประจ่ากับการเมือง
การเมือง ราช- การต้องเป็นกลาง ราช- การต้องเป็นกลาง พรรคคอมมิวนิสต์มีอ่านาจ
ทางการเมือง จะต้องปฏิบัติ ทางการเมือง จะต้องปฏิบัติ ใ น ก า ร ค ว บ คุ ม ห น่ ว ย ง า น
ห น้ า ที่ ต า ม น โ ย บ า ย ข อ ง ห น้ า ที่ ต า ม น โ ย บ า ย ข อ ง ราชการประจ่าทุกหน่วยไม่
รั ฐ บ า ล ข อ ง ทุ ก พ ร ร ค รั ฐ บ า ล ข อ ง ทุ ก พ ร ร ค ว่าจะเป็นทางการทหารและ
ก า ร เ มื อ ง ที่ ม า เ ป็ น รั ฐ บ า ล ก า ร เ มื อ ง ที่ ม า เ ป็ น รั ฐ บ า ล พลเรือน จะมีเจ้าหน้าที่ของ
ส่วนฝุายการเมืองก็ถูกห้าม ส่วนฝุายการเมืองก็ถูกห้าม พรรคเข้าไปควบคุม
เ ข้ า ไ ป ก้ า ว ก่ า ย ร า ช ก า ร เ ข้ า ไ ป ก้ า ว ก่ า ย ร า ช ก า ร
รัฐศาสตร์เบ้อื งตน้ หน้า 289
12. โครงสรา้ งของรัฐสภา ประจา่ มีอ่านาจเพียงก่าหนด ประจ่า มีอา่ นาจเพียงกา่ หนด ประเทศทีเ่ ปน็ คอมมิวนิสต์จะ
นโยบาย นโยบาย มีสภาเป็นองค์การปกครอง
ทุกระดับ แต่สมาชิกสภา
รัฐสภาระดับชาติอาจจะใช้ รัฐสภาระดับชาติอาจจะใช้ เหล่านั้นจะต้องเป็นสมาชิก
ระบบสภาเดี่ยวหรือสองสภา ระบบสภาเดี่ยวหรือสองสภา พรรคอมมิวนิสต์
กไ็ ด้ประเทศทีใ่ ช้ระบบรัฐรวม กไ็ ด้ประเทศที่ใช้ระบบรัฐรวม
ก็จะสภามลรัฐในระดับรอง ก็จะสภามลรัฐในระดับรอง
ไปด้วยประเทศที่ใช้ระบบรัฐ ไปด้วยประเทศที่ใช้ระบบรัฐ
เดี่ยวก็จะมีสภาท้องถิ่นใน เดี่ยวก็จะมีสภาท้องถิ่นใน
ระดับการปกครองท้องถิ่น ระดับการปกครองท้องถิ่น
เช่น สภาเทศบาล เป็นต้น เช่น สภาเทศบาล เป็นต้น
13. ความเสมอภาค ใช้หลักความเสมอภาคคือ ใช้หลักความเสมอภาคคือ ไ ม่ ย อ ม รั บ ช น ชั้ น ที่ มี
การให้โอกาสแก่ประชาชน การให้โอกาสแก่ประชาชน กรรมสิทธิ์ในทรพั ย์สิน ผู้ที่ม่ัง
ท่ัวไปโดยเท่าเทียมกันและ ทั่วไปโดยเท่าเทียมกันและ มี นายทุน ผู้มีสถานภาพทาง
คุ้มครองสิทธิของประชาชน คุ้มครองสิทธิของประชาชน สังคม
ทุกช้ัน ทกุ ช้ัน มุ่งคุ้มครองสิทธิของชนชั้น
ยอมรับชนชั้นเป็นธรรมชาติ ยอมรับชนช้ันเป็นธรรมชาติ กรรมาชีพ โดยโอนกิจการทั้ง
ข อ ง ม นุ ษ ย์ แ ล ะ สั ง ค ม แ ล ะ ข อ ง ม นุ ษ ย์ แ ล ะ สั ง ค ม แ ล ะ ปวง รวมทั้งกรรมสิทธิ์ในการ
สามารถร่วมมือกันได้ สามารถร่วมมือกนั ได้ ผลิตเปน็ ของรฐั
รัฐจะไม่ยอมให้สิทธิพิเศษแก่ รัฐจะไม่ยอมให้สิทธิพิเศษแก่
ชนช้ันใดโดยเฉพาะและไม่ ชนช้ันใดโดยเฉพาะและไม่
ย อ ม รั บ ห ลั ก ก า ร ต่ อ สู้ ห รื อ ย อ ม รั บ ห ลั ก ก า ร ต่ อ สู้ ห รื อ
ท่าลายระหว่างชนชั้น ทา่ ลายระหว่างชนชั้น
14. หลักการปกครองพนื้ ฐาน ให้ประชาชนปกครองตนเอง ให้ประชาชนปกครองตนเอง พ ร ร ค ค อ ม มิ ว นิ ส ต์ มี อ่ า น า
โดยไม่ค่านึงถึงฐานะ เพศ โดยไม่ค่านึงถึงฐานะ เพศ ผูกขาดในการปกครองแต่
เชื้อ ชาติ ศาสนา ด้วยการ เชื้อ ชาติ ศาสนา ด้วยการ เพียงพรรคเดียว ประชาชน
เปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมใน เปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมใน จะมีส่วนร่วมในการปกครอง
ก า ร ป ก ค ร อ ง ต า ม วิ ถี ท า ง ก า ร ป ก ค ร อ ง ต า ม วิ ถี ท า ง แค่ไหน เพียงใดก็เป็นไปตาม
ต่างๆ เช่น ต่างๆ เช่น พรรคก่าหนดให้ เช่น การ
- การเลือกตั้ง - การเลือกตั้ง เ ลื อ ก ตั้ ง ป ร ะ ช า ช น จ ะ ต้ อ ง
- การรวมกลุ่ม - การรวมกลุ่ม เลือกคนทีพ่ รรคเป็นผู้คัดสรร
- การรณรงค์ทางการเมือง - การรณรงค์ทางการเมือง มาให้เลือก
- การจดั ตั้งพรรคการเมือง - การจดั ตั้งพรรคการเมือง
- ก า ร ใ ช้ เ ห ตุ ผ ล ใ น ก า ร - ก า ร ใ ช้ เ ห ตุ ผ ล ใ น ก า ร
แสดงออกทางการเมืองโดย แสดงออกทางการเมืองโดย
สนั ติวธิ ี สนั ติวธิ ี
รฐั ศาสตรเ์ บื้องตน้ หน้า 290
15. ความสัมพันธ์ระหว่าง ถือหลักพลเรือน (ประชาชน) ถือหลักพลเรือน (ประชาชน) กองทัพกองก่าลังทหารต้อง
รฐั บาลกบั กา่ ลังทหาร อยู่เหนือทหาร เพราะเป็น อยู่เหนือทหาร เพราะเป็น อยู่ภายใต้การควบคุมดูแล
เจ้าของประเทศ ทหารถูก เจ้าของประเทศ ทหารถูก ของพรรคคอมมิวนิสต์ และ
จัดต้ังขึ้นเพื่อเป็นอ่านาจของ จัดต้ังขึ้นเพื่อเป็นอ่านาจของ ถือว่าเป็นเครื่องมือในการ
ชาติ ปูองกันประเทศมิใช่เป็น ชาติ ปูองกันประเทศมิใช่เป็น รักษาอ่านาจ และมีหน้าที่
ข อ ง พ ร ร ค ใ ด ห รื อ ก ลุ่ ม ใ ด ข อ ง พ ร ร ค ใ ด ห รื อ ก ลุ่ ม ใ ด ปกปูองและรักษาอุดมการณ์
โดยเฉพาะ โดยเฉพาะ ทางการเมือง พิทักษ์ปกปูอง
รัฐบาลมีอ่านาจบังคับบัญชา รัฐบาลมีอ่านาจบังคับบัญชา ประเทศ ระบบการปกครอง
ท ห า ร ต า ม บ ท บั ญ ญั ติ ท ห า ร ต า ม บ ท บั ญ ญั ติ ท ห า รต้ อง จง รัก ภั ก ดีต่ อ
กฎหมาย ทหารต้องว่างตัว กฎหมาย ทหารต้องว่างตัว พรรค
เปน็ กลางทางการเมือง เป็นกลางทางการเมือง พ ร ร ค จ ะ จั ด ตั้ ง ห น่ ว ย ข อ ง
พรรคเรียกว่าหน่วยทหาร
การเมือง อยู่ในกองก่าลัง
ทหารหน่วยต่างๆ
16. อา่ นาจตุลาการ อ่านาจตุลาการหมายถึงศาล อ่านาจตุลาการหมายถึงศาล ศ า ล ไ ม่ มี อ่ า น า จ ถ่ ว ง ดุ ล
มี อ่ า น า จ ห นึ่ ง ใ น อ่ า น า จ มี อ่ า น า จ ห นึ่ ง ใ น อ่ า น า จ อ่านาจอืน่ เช่นอ่านาจบริหาร
อธิปไตยในการถ่วงดุลปละ อธิปไตยในการถ่วงดุลปละ หรืออา่ นาจนิตบิ ัญญัติ ศาลมี
การตรวจ สอบอ่านาจนิติ การตรวจ สอบอ่านาจนิติ ฐานะต่าก ว่าพรรค แ ล ะ
บัญญัติ บริหาร เพื่อแสดง บัญญัติ บริหาร เพื่อแสดง พ ร ร ค มี อ่ า น า จ ก่ า ห น ด
บทบาทในการคุ้มครองสิทธิ บทบาทในการคุ้มครองสิทธิ นโยบ ายต่าง ๆ ให้ศาล ไ ป
เสรภี าพของประชาชน เสรภี าพของประชาชน ป ฏิ บั ติต า ม นโ ย บ าย ข อ ง
พรรค
4. สรปุ
ระบบการเมืองที่ใช้อยู่ในประเทศต่างๆ มีหลายแบบหลายอย่าง ท้ังที่คล้ายคลึง
กนั เปน็ แบบเดียวกนั ก็มีและแตกต่างกนั ระบบการเมอื งทุกระบบลักษณะร่วมกัน คือ โคร้างสร้าง
หน้าที่ มีหน้าที่ที่เหมือนกัน มีหน้าที่หลายด้าน ทุกระบบเป็นระบบผสม ทุกระบบย่อมมีการ
ควบคมุ ทรัพยากรทางการเมอื ง ทุกระบบย่อมมีการแสวงหาอิทธิพล การใช้อิทธิพลทางการเมือง
ไม่เท่าเทียมกัน ทุกระบบย่อมมีการการขัดแย้ง ทุกระบบย่อมมีการแสวงหาความชอบธรรมทุก
ระบบย่อมมคี วามเชือ่ ทุกระบบย่อมมีปฏิสัมพันธ์กับระบบการเมืองอื่นๆทุกระบบย่อมมิได้หยุดนิ่ง
คงที่
ระบบการเมืองออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ระบบการเมืองแบบเผด็จการ และ ระบบ
การเมืองแบบประชาธิปไตยระบบการเมืองแบบเผด็จการ หมายถึง ระบบการเมืองที่เน้นอ่านาจ
มาก ยกย่องและใหค้ วามสา่ คัญกบั อ่านาจของรัฐที่ผู้ปกครองเปน็ ผู้ใชเ้ หนือกว่าเสรีภาพของบุคคล
รฐั ศาสตรเ์ บ้ืองต้น หน้า 291
แบ่งออกเป็นเผด็จการแบบธรรมดาหรือเผด็จการแบบอ่านาจนิยมและเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ
เชน่ ฟาสซิสม์ นาซีและคอมมิวนสิ ต์ รูปแบบกระบวนการหรอื วิธีการปกครองระบบประชาธิปไตย
ระบบรัฐสภา ระบบประธานาธิบดีและระบบกึง่ รฐั สภากึ่งประธานาธิบดี
ระบบเศรษฐกิจ เป็นระบบที่มีความเกี่ยวข้องผูกพันกับระบบการเมือง ระบบเศรษฐกิจสามารถ
แบ่งออกเป็น 2 ระบบใหญ่ๆ คอื ระบบทนุ นิยมปฏิรูป สังคมนยิ ม
รฐั ศาสตรเ์ บื้องตน้ หน้า 292
บทที่ 7
สถาบันทางการเมือง
เมือ่ มนุษย์มาอยู่ร่วมกนั ในสังคมจาเป็นจะต้องก่อตั้งสถาบันขึ้นเพื่อทาหน้าที่ในสังคม
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.2542 ให้ความหมายของ “สถาบัน”ว่าสิ่งซึ่งคนใน
ส่วนรวมคือสังคมจัดตั้งให้มีขึ้น เพราะเห็นประโยชน์ว่ามีความต้องการและจาเป็นแก่วิถีชีวิตของ
ตน เชน่ สถาบนั ครอบครัว สถาบนั ศาสนา สถาบันการเมอื ง เป็นต้น
1. ความหมายของสถาบันทางการเมือง
สถาบัน (Institution) ได้แก่ แบบอย่างพฤติกรรมที่ต้ังขึ้นและปฏิบัติสืบต่อกันมาโดย
เป็นที่ยอมรับกันในสังคม ในทุกสังคมย่อมมีสถาบันเกิดขึ้นตามมิติต่างๆ ของพฤติกรรมมนุษย์
เช่น สถาบันครอบครัว สถาบันทางเศรษฐกิจ สถาบันทางศาสนาสถาบันที่เกี่ยวข้องกับ
นันทนาการ และสถาบันทางการเมือง เปน็ ต้น
สถาบันมีความหมายตามตัวคาศัพท์ว่า ก่อต้ังองค์การหรือสมาคม เช่น
มหาวิทยาลัยซึ่งมีความนัยรูปธรรม ส่วนความหมายในนามธรรม ได้แก่ ระเบียบหรือระบบที่
ปฏิบัติกันอยู่ในสังคมหนึ่งๆ สถาบันต้องมีหน้าที่ต่อสังคม หากสถาบันใดไม่มีประโยชน์ต่อสังคม
สถาบันก็จะสูญสลายไปในที่สุด สถาบันมีความจาเป็นต่อสังคม มีหน้าที่ธารงรักษาสังคมและ
ส่งเสริมสังคม เชน่ สถาบันทางการศกึ ษา สถาบนั ทางศาสนา สถาบันครอบครัว ฯลฯ
สถาบันทางการเมืองเป็นสถาบันสังคมอย่างหนึ่งในหลายๆ สถาบันของสังคม
การศึกษาสถาบันทางการเมืองจึงเป็นเนื้อหาที่สาคัญในการศึกษาวิชารัฐศาสตร์ เพื่อที่จะทา
ความเข้าใจว่าสถาบันทางการเมืองแต่ละสถาบันมีบทบาทหน้าที่ต่อการเมืองอย่างไร ในที่นี้จึง
ควรทาความเข้าในความหมายของสถาบนั ทางการเมืองว่าคืออะไร
สถาบันทางการเมือง (Political Institution) คือ องค์การของชุมชนทางการเมืองที่มี
ลักษณะเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการก็ได้ โดยจะทาหน้าที่ในการพิจารณาและตัดสินใจ
เกีย่ วกบั กิจกรรมทางการเมือง
สถาบันทางการเมือง หมายถึง แบบแผนที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อดารงไว้ซึ่งพฤติกรรม
ทางการเมอื ง ซึ่งอาจเปน็ ทางการหรอื ไม่เป็นทางการก็ได้ โดยจะทาหน้าที่สร้างความเป็นระเบียบ
เรียบร้อยและรักษาความสงบภายในสงั คม อีกทั้งยงั ทาหนา้ ที่ยตุ ิปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง
และเป็นหลักประกันของเสถียรภาพของระบบการเมือง ซึ่งจะสามารถดาเนินกิจกรรมและดารง
อยู่ภายใต้การเปลีย่ นแปลงของสิง่ แวดล้อม
Roy C. Macridis (1955) กล่าวว่าสถาบันการเมอื งหมายถึงองค์การทีเ่ ป็นทางการ
ของชุมชนทางการเมืองรวมทั้งโครงสรา้ งที่ไม่เป็นทางการ ทีท่ าหน้าทีพ่ ิจารณาและตดั สินใจใน
กิจกรรมทางการเมืองต่างๆ การพิจารณาสถาบันทางการเมอื งในแง่น้เี ป็นการพิจารณาสถาบนั ใน
ลักษณะทีม่ องเห็นได้ และมองสถาบนั ในลักษณะที่เป็นเครื่องมอื ทางสงั คมทีผ่ ลักดนั ชมุ ชน
ทางการเมอื งไปถึงซึง่ จดุ หมาย
Dell G. Hitchner and Carol Levine (1967) กล่าวว่า สถาบนั ทางการเมืองเปน็ สิ่งที่
รวบรวมและสะสมแบบแผนพฤติกรรมท้ังมวลที่เกีย่ วกับการเมอื ง ที่มนุษย์ได้วางและกาหนดเป็น
กฎเกณฑ์สาหรับการประพฤติปฏิบตั ิ การพิจารณาสถาบันทางการเมอื งในแงน่ เี้ ป็นการพิจารณา
สถาบันในลักษณะนามธรรม คือ เปน็ ทีร่ วมของระเบียบแบบแผน กฎเกณฑ์ทีเ่ กี่ยวกับการเมอื งที่
กาหนดระบไุ ว้วา่ ผทู้ ี่เข้ามาเกีย่ วข้องต้องปฏิบัติตนเช่นไร
S.N. Eisenstadt (1965) กล่าวว่า สถาบันทางการเมืองหมายถึงกิจกรรมที่ชีวิต
สงั คมและกลุ่มสังคมได้รับผลกระทบจากการกระทาขององค์การทางการ เมือง การกระทาของ
องค์การที่มุ่งรักษาความเป็นปึกแผ่นและความเป็นองค์การของตนเอง การพิจารณาสถาบนั ทาง
การเมอื งในแงน่ ีเ้ ป็นการพิจารณาที่เน้นว่าการที่สถาบนั มีกิจกรรมหน้าที่ต่างๆ กิจกรรมเหล่านมี้ ี
เปูาหมายหรอื วัตถปุ ระสงค์เช่นไร
จรญู สุภาพ (ใน กมล ทองธรรมชาติและคณะ,2525 : 143) กล่าวว่าสถาบันทาง
การเมอื งหมายถึง ความเชื่อมั่นยึดถือและใหค้ วามสาคัญเกีย่ วกับหลักการ องค์การ วิธีการใน
การปกครองจนกระท้ังมีการนาไปใช้ซึ่งเป็นผลให้เกิดรูปแบบแหง่ พฤติกรรม หรอื การจัดให้มี
องค์การหรอื วิธีการดาเนินการตามความเชือ่ มัน่ หรอื ความยึดถือน้ัน สาหรับในระบอบ
ประชาธิปไตยสถาบันทางการเมอื งที่สาคญั มีหลายแบบ ท้ังนีโ้ ดยมุ่งใหค้ วามสาคญั แก่ประชาชน
เปน็ เบือ้ งตน้
จากความหมายของสถาบันทางการเมืองขา้ งตน้ พอสรุปลกั ษณะของสถาบันทาง
การเมอื ง (อานนท์ อาภาภิรม,2528 : 56) ได้ดังน้ี
1.เป็นสถาบันที่มโี ครงสรา้ งแนน่ อนและศกึ ษาได้
2.มหี นา้ ทีใ่ นการปฏิบตั ิกิจกรรมทางการเมืองอย่างต่อเน่ือง
3.มีลักษณะเปน็ แบบแผนอย่างใดอย่างหน่งึ ของพฤติกรรมทางการเมอื งซึ่งประชาชน
ท่วั ไปยอมรบั และมีการปฏิบัติตามแผนน้ัน
รัฐศาสตรเ์ บื้องต้น หน้า 294