The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รัฐศาสตร์เบื้องต้น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by jarunsaipin.js.js, 2020-05-26 02:38:42

รัฐศาสตร์เบื้องต้น

รัฐศาสตร์เบื้องต้น

5. กระบวนทศั น์ในการศึกษาวชิ ารฐั ประศาสนศาสตร์
ขอบข่ายในการศึกษาที่กว้างขวางของสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ ดังที่ได้กล่าว

มาแล้วมีความสัมพันธ์กับกระบวนทัศน์ (Paradigm) ในการศึกษาสาขาวิชานี้ ซึ่งมีการพัฒนาการ
ที่เปลีย่ นแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของยคุ สมัยและสภาพแวดล้อม

นโคลัส เฮ็นรี (Nicholas Henry, 1995 : 23 – 46) ได้เสนอร่างเค้าโครงการ
พัฒนาการขอบข่ายความรู้ในรูปพาราไดม์ (paradigms) ดังปรากฏในหนังสือ เร่ือง “Public
Administration and Public Affairs” 1975 โดยการนาแนวคิดเร่ือง locus และ focus มาใช้การ
พิจารณา ซึ่งสามารถจาแนกขอบข่าย ออกได้เป็น 5 พาราไดม์ คือ

5.1 พาราไดม์ 1 การแยกการบริหารออกจาการเมือง (The politics/administration
Dichotorny, 1900 – 1926) ในช่วงสมัยยุคแรกการศึกษารัฐประศาสนศาสตร์ในลักษณะที่เป็น
วิชาการ ได้เริ่มที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เริ่มโดยประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson)
ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาทางรัฐประศาสนศาสตร์” ได้เขียนหนังสือ The Study of
Administration ตีพิมพ์ในวารสาร The Political Science Quarterly ในปี ค.ศ.1887 โดยเสนอเร่ือง
การแยกการเมืองออกจากการบริหาร โดยชใี้ ห้เหน็ หนา้ ที่แตกต่างกัน 2 ประการของการปกครอง
คือ (1) การเมือง ซึ่งเป็นงานในหน้าที่การกาหนดนโยบายหรือการกาหนดเจตนารมณ์ของรัฐ (2)
ฝุายบริหารก็คือ เป็นเร่ืองของการปฏิบัติหรือการบริหารงานตามนโยบาย เป็นไปตามกฎหมาย
เป็นหน้าที่ของข้าราชการประจาในกระทรวง ทบวง กรม แนวความคิดของวิลสันเป็นการศึกษา
การบริหารงานของรัฐบาลแยกต่างหากจากการเมอื ง

ในวงการการรัฐประศาสนศาสตร์ของอเมริกาถือกันว่าเป็นจุดเริ่มต้น ซึ่งถือได้ว่าวิล
สันเป็นผู้เสนอแนวกรอบเค้าโครงความคิด (Paradigm) เร่ือง การแยกการบริหารออกจาก
การเมือง ทาให้เกิดแนวความคิดในการศึกษาด้านการบริหารขึ้นเป็นแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา
ด้วยเหตุนี้ วิลสัน จึงได้ชื่อว่าเป็นบิดาของวิชารัฐประศาสนศาสตร์ ในสหรัฐอเมริกา นอกจากวิล
สันแล้วได้มีนักวิชาการทางรัฐประศาสนศาสตร์เช่น Leonard D. White และ Frank J. Goodnow ก็
ได้เสนอผลงานข้อเขียนในเร่ือง Politics and Administration (1900) เสนอให้แยกการเมืองออก
จากการบริหาร ถือว่าการเมืองเป็นเร่ืองของกิจกรรมด้านนโยบายของรัฐหรือเจตจานงของรัฐ
ส่วนการบริหารคือกิจกรรมที่ปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายฝุายการเมือง หรือเจตจานงของ
นโยบาย

จากการเคลื่อนไหวตามกระบวนทัศน์นี้นามาสู่การให้ความสนใจอย่างจริงจังจ าก
นักวิชาการที่มีต่อสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ เกิดขึ้นเม่ือที่ประชุมสาขาวิชาการปกครองของ
สมาคมรัฐศาสตร์อเมริกัน (Committee on Instruction in Government of American Political

รัฐศาสตร์เบ้อื งต้น หนา้ 445

Science Association) เสนอให้วิชารัฐศาสตร์มีหลักสูตรการศึกษาสาหรับผลิตคนที่มีความ
เชี่ยวชาญเฉพาะเพื่อเตรียมคนเข้าสู่ตาแหน่งงานราชการ นับแต่นั้นเป็นต้นมา รัฐประศาสน
ศาสตร์จึงเปน็ มากกว่าสาขาย่อยของรฐั ศาสตร์ แตน่ ับเป็นสาขาใหม่

ในปี ค.ศ.1926 Leonard D. White เขียนหนังสือชื่อ Introduction to the study of
Public Administration นับเป็นตาราวิชาการเล่มแรก ที่มีเนื้อหาทางด้านรัฐประศาสนศาสตร์ท้ัง
เล่ม ส่งผลให้สาขาวิชานี้เริ่มมีความชอบธรรมในวงวิชาการ สาระสาคัญของหนังสือเล่มนี้คือ
การเมืองต้องไม่เข้าไปก้าวก่ายการบริหารงาน ศาสตร์การบริหารต้องมีความเป็นวิทยาศาสตร์
ปลอดค่านิยม (Value-Free) ซึง่ กค็ ือ ข้อเสนอใหแ้ ยกการเมอื งออกจากการบริหารนน้ั เอง

5.2 พาราไดม์ 2 หลักการบริหาร (The principles of administration 1927 – 1937)
พาราไดม์นีใ้ ห้ความสนใจในความรคู้ วามชานาญพิเศษในรปู แบบของ หลกั การบริหาร โดยมีความ
เชื่อว่าการบริหารจะสามารถนาไปใช้ได้ในการบริหารงานทุกรูปแบบ ทุกลักษณะโดยไม่ต้อง
คานึงถึงวัฒนธรรม หน้าที่ (function) สภาพแวดล้อม ลักษณะของงานหรือกรอบของสถาบัน ซึ่ง
น้ันก็คือ หลักการบริหารสามารถนาไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกหนทุกแห่ง ในพาราไดม์นี้ได้รับความ
สนใจมาก คือ

ในปี ค.ศ.1927 วิลเลี่ยม เอฟ. วิลลูบี (William F. Willougnby) เขียนตาราชื่อ Principle
of Public Administration ซึ่งนับเป็นตาราเล่มที่สองที่มีเน้ือหาทางด้านรัฐประศาสนศาสตร์ ตลอด
ทั้งเล่ม สาระสาคัญคือ หลักการบริหารวางอยู่บนแนวทางหรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมี
ลักษณะเป็นสากลนาไปใช้ได้ในทุกกรณี และจะประสบความสาเร็จหากดาเนินการตามหลักการ
บริหาร โดยไม่มีข้อจากัดในเร่ืองของความแตกต่างทางวัฒนธรรม สภาพแวดล้อม พันธกิจ หรือ
โครงสรา้ งขององค์การ

หนงั สือทีม่ ชี ื่อเสียงซึ่งเสนอการบริหารยังมอี ีกหลายเล่มในช่วงเวลานี้ เช่น หนังสือชื่อ
Creative Experience (1924) ของ แมรี ปาร์คเกอร์ ฟอลเล็ตต์ (Mary Parker Follet) หนังสือ
Industrial and General Management (1930) ของ เฮ็นรี ฟาโยล์ (Henri Fayol) และหนังสือ
Principle of Organization (1939) ของเจมส์ มูนนีย์ และอลัน ไรลีย์ (Jame Mooney and Alan
Rriley) หนังสือทั้งหมดสะท้อนถึงกระบวนทัศนข์ องรฐั ประศาสนศาสตร์ในช่วงเวลานี้ คือ หลักการ
บริหารบนแนวทางหรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ มีความเป็นวัตถุวิสัย (Objectivity) อาศัยวิธีการ
ศึกษาและอธิบายแบบปฏิฐานนิยม (Positivism) ซึ่งมักเรียกขานโดยท่ัวไปว่า “การจัดการเชิง
วิทยาศาสตร์” (Scientific Management) ซึ่งพัฒนามาจาการศึกษาวิจัยถึงความเคลื่อนไหวของ
ร่างกายของคนงานในสายการผลิตแต่ละข้นตอน เพื่อค้นหาการทางานแต่ละขั้นตอน ถึงวิธีการ
ทางาน การเคลื่อนไหนของร่างกายด้วยวิธีที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพสูงสุดเพียงวิธีเดียว (The

รฐั ศาสตรเ์ บื้องตน้ หน้า 446

One Best Way) ตามแนวคิดผู้บุกเบิกและเป็นที่มาของคาว่า “การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์” คือ
เฟรดเดอริค เทเลอร์ (Frederick Taylor) ซึ่งเขียนหนังสือ The Principles of Scientific
Management (1911)

นอกจากน้ันในช่วงเวลานี้ยังมีแนวความคิดของ Luther Gulick และ Lyndall Urwick
ได้เขียนหนังสือ Papers on the Science of Administration ได้เสนอหลักการบริหาร 7 ประการคือ
POSDCORB

P – Planning หมายถึง การวางแผน เป็นการวางเค้าโครงกิจกรรมและวิธีการ
ที่จะต้องปฏิบตั ิให้บรรลเุ ปูาหมายทีว่ างไว้

O – Organizing หมายถึง การจัดองค์การ เป็นการกาหนดโครงสร้างหน้าที่ที่
เป็นทางการของอานาจหน้าที่ขององค์การ โดยยึดหลักแบ่งหน่วยงานและทางานอย่างประสาน
ร่วมมือกัน

S – Staffing หมายถึง การบริหารงานบุคคล เป็นหน้าที่เกี่ยวกับการ
บริหารงานบุคคลเริ่มต้ังแตก่ ารสรรหา การปฐมนิเทศก่อนเรม่ิ งาน การพัฒนาปรับปรุงการทางาน
ด้วยการอบรม การแสวงหามาตรการจงู ใจให้บุคลากรทางานได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ

D – Directing หมายถึง การส่ังการ เป็นภารกิจในการใช้ภาวะผู้นาในองค์การ
ในการตดั สินใจ และทาให้การตัดสนิ ใจน้ันบรรลผุ ลสาเร็จ

Co – Coordinating หมายถึง การประสานงาน เป็นงานที่มีความสาคัญในการ
รวบรวมและประสานให้ส่วนหรือปัจจัยต่างๆ ของกระบวนการทางานมีความเกี่ยวเนื่องระหว่าง
กัน

R – Reporting หมายถึง การรายงานผล เป็นกระบวนการและเทคนิคของการ
รายงานให้ผู้บังคบั บัญชารบั รู้ถึงความก้าวหน้าของงาน

B – Budgeting หมายถึง การงบประมาณ เป็นภารกิจเกี่ยวกับการวางแผน
การทาบญั ชี การควบคุมเกีย่ วกับการเงนิ และการคลงั

การทา้ ทายกระบวนทศั น์ท่ี 1 และ 2 (1938 – 1947)
หลังจากรฐั ประศาสนศาสตร์มีการพัฒนาจากกระบวนทัศนท์ ี่ 1 มาถึงกระบวนทัศน์ที่
2 ได้เกิดปฏิกิรยิ าไม่เห็นด้วยต่อทิศทางดังกล่าว ประการแรก คือ การไม่ยอมรับแนวคิดเร่ืองการ
แยกการเมืองออกจากการบริหาร เพราะความเป็นจริงทั้งสองส่วนต่างมีความสัมพันธ์เชื่อมโยง
กัน แม้ว่าจะมีบทบาทหน้าที่คนละด้านก็ตาม แต่ภารกิจที่ทานั้นเป็นเร่ืองเดียวกัน และประการที่
สอง ไม่เหน็ ด้วยกับแนวคิดเรอื่ งหลักการบริหาร ซึง่ เชื่อวา่ เปน็ สากล สามารถนาไปใช้ได้ทั่วทุกแห่ง
โดยไม่มีขอ้ จากดั และที่สาคัญกค็ ือ การไม่เชอ่ื ว่า “หลักการบริหาร” มีอยู่จริง

รัฐศาสตรเ์ บอ้ื งตน้ หนา้ 447

โรเบิรต์ ดาห์ล (Robert Dahl) เขียนบทความชื่อ The Science of Public Admini-
stration : Three Problems(1947) ชี้ให้เห็นถึงปัญหาของการสร้างหลักการบริหารที่เป็นสากลว่า
ละเลยไม่สนใจเร่ืองค่านิยมที่มีอิทธิพลต่อองค์การ มองข้ามความแตกต่างในบุคลิกภาพของ
บคุ คลในองค์การ และสภาพแวดล้อมของแต่ละสังคม ซึง่ ย่อมส่งผลใหเ้ กิดความแตกต่างกนั

เฮอร์เบริต์ ไซมอน (Herbert Simon) เขียนหนังสือ Administrative Behavior : A
Study of Decision-Making Processes in Administration Organization (1947) ไม่เห็นด้วยกับ
หลักการบริหารที่เป็นสากล เช่นกรณีของกระบวนการตัดสินใจภายในองค์การ ข้อจากัดในการ
เลือกแนวทางการตัดสินใจไม่ได้มีเพียงปัจจัยภายนอก หรือสภาพแวดล้อมนอกองค์การ แต่ที่
สาคัญก็คือตัวมนุษย์ผู้ตัดสินใจในองค์การเอง ที่มีข้อจากัดท้ังในด้านความทรงจา ความมีเหตุผล
การมีข้อมูลข่าวสารที่เพียงพอ รวมถึงระยะเวลาทาการเลือกแนวทางการตัดสินใจตกอยู่ภายใต้
ข้อจากัด ไซมอน จึงสร้างทฤษฎีที่มีชื่อว่า “Bounded Rationality” หรือ “การตัดสินใจแบบมี
ขอบเขตจากัด” เขาเชื่อว่าคนทั้งหลายล้วนเป็นผู้มีเหตุผลในการตัดสินใจ แต่อยู่ภายใต้ข้อจากัด
ไม่สามารถตัดสินใจเลือกแนวทางที่ดีที่สุดโดยปราศจากเง่ือนไข ข้อเสนอของไซมอน จึงเป็นการ
ล้มล้างแนวคิดเร่ืองหลักการบริหารที่เป็นสากล ซึ่งไม่แตกต่างจากกฎวิทยาศาสตร์หรือกฎ
ธรรมชาติ

ปฏิกิรยิ าตอบโต้ตอ่ การทา้ ทาย (1947 – 1950)
ขณะที่ไซมอน เป็นหนึ่งในผู้วิพากษ์วิจารณ์คนสาคัญที่มีต่อกระบวนทัศน์ที่ 1 และ 2
เขาเองได้เสนอกระบวนทัศน์ใหม่เป็นทางออก เพื่อปรับปรุงทิศทางของวิชารัฐประศาสนศาสตร์
ในช่วงเวลานี้ด้วย โดยเสนอให้นักรัฐประศาสนศาสตร์กลุ่มใหญ่ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มุ่งพัฒนา
ศาสตร์ทางการบริหารเป็นวิทยาศาสตร์ บนพื้นฐานของวิชาจิตวิทยาสังคม กับกลุ่มมุ่งเน้นศึกษา
ค้นคว้าในเรอ่ื งนโยบายสาธารณะ ให้หนั มาร่วมมือกันแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน อย่างไรก็ตาม
นกั รฐั ประศาสนศาสตร์ท้ังหลายควรเลื่อนความสนใจในเร่ืองการสร้างวิชารัฐประศาสนศาสตร์ให้
เปน็ “ศาสตร์บริสุทธิ”์ (Pure Science) ออกไปก่อน เพราะที่ผ่านมาก็มีกรณีตัวอย่างของ “ศาสตร์
การบริหาร” หลายเร่ืองที่อ้างอย่างหนักหน่วง และสาหรับการศึกษาด้านนโยบายสาธารณะไม่
ควรใหค้ วามสนใจเพียงแงท่ างรฐั ศาสตร์ แตต่ ้องรวมถึงเศรษฐศาสตรแ์ ละสังคมวิทยา ด้วย
5.3 พาราไดม์ 3 รัฐประศาสนศาสตร์ คือ รัฐศาสตร์ (Public Administration as
Political Science, 1950 – 1970) ได้เกิดการท้าทายแนวความคิดหลักการแยกการบริหารออก
จากการเมืองในพาราไดม์ที่ 1 และเกิดหลักการบริหารที่เฟื่องฟูในพาราไดม์ที่ 2 นักรัฐประศาสน
ศาสตร์ได้หวนกลับไปนาแนวความคิดทางรัฐศาสตร์ซึ่งถือว่าเป็นวิชาแม่ ของสาขาวิชารัฐ
ประศาสนศาสตร์อีกคร้ังหนึ่ง โดยกาหนดตาแหน่งสถานะของสาขาว่า เป็นวิชาการบริหารงาน

รัฐศาสตรเ์ บื้องตน้ หนา้ 448

ของรัฐ จัดเป็นส่วนหนึ่งหรือสังกัดอยู่ในคณะรัฐศาสตร์ ด้วยเหตุนี้ในช่วงทศวรรษที่ ปี ค.ศ.1950
ข้อเขียนทางรัฐประศาสนศาสตร์ จึงมีลักษณะท่วงทานองไม่แตกต่างจากรัฐศาสตร์ คือ
แนวความคิดทางสถาบันระบบราชการ และนักรัฐศาสตร์ในยุคนี้ไม่ค่อยได้เสนอผลงานอะไร
ออกมา ความโดดเด่นของสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ ที่เคยเป็นมาในยุคก่อนหน้านี้ได้เสื่อม
ถอยลงไปอย่างยิ่ง ข้อเขียนต่างๆ ทางรัฐประศาสนศาสตร์ มีน้อยมากระหว่าง ค.ศ.1960 – 1970
อย่างไรกต็ ามรฐั ประศาสนศาสตร์ในช่วงเวลานีก้ ม็ ีการพฒั นาที่นา่ สนใจ 2 ประการ คือ การเข้าใจ
ด้านวิธีวิทยา หรือแนวทางการศึกษาในรูปแบบกรณีศึกษา (Case Study) และความนิยมและ
ความตกต่าของวิชาการบริหารการพัฒนา และการบริหารรัฐกิจเปรียบเทียบ ในฐานะเป็น
สาขาวิชาย่อยของรัฐประศาสนศาสตร์ นักวิชาการที่มีชื่อเสียงในด้านนี้ได้แก่ เฟรด ริกส์ (Fred
Riggs) ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกในการศึกษาเปรียบเทียบการบริหารรัฐกิจในประเทศกาลังพัฒนา รวมทั้ง
ประเทศไทยด้วย

การที่รัฐประศาสนศาสตร์หวนกลับไปยึดโยงสัมพันธ์กับรัฐศาสตร์อีกครั้ง ทาให้รัฐ
ประศาสนศาสตร์ได้รับอิทธิพลจากรฐั ศาสตร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บรรดาค่านิยม ความคิด ความ
เช่อื พืน้ ฐานของรฐั ศาสตร์อเมรกิ ัน เชน่ ความเชอ่ื ในระบอบประชาธิปไตย สังคมแบบพหุนิยม การ
มีส่วนร่วมทางการเมือง ความเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย เป็นตัวอย่างที่มีอิทธิพลต่อค่านิยม
ความเชือ่ ต่อนักวิชาการทางรฐั ประศาสนศาสตร์

5.4 พารมไดม์ 4 รัฐประศาสนศาสตร์ คือ การจัดการ (Public Administration as
Management Science, 1956 – 1970) กระบวนทัศน์ที่ 4 นี้ เราจะเห็นได้ว่าเกิดขึ้นในช่วงเวลา
เดียวกันกับกระบวนทัศน์ที่ 3 วิชารัฐประศาสนศาสตร์ อยู่ภายใต้ร่มเงาของวิชารัฐศาสตร์ ทาให้
นัก รัฐประศาสนศาสตร์มีความรู้สึกว่า ตนเองมีสถานภาพเป็นเพียงพลเมืองชั้นสองในคณะ
รัฐศาสตร์ นัก รัฐประศาสนศาสตร์ส่วนหนึ่งจึงได้พยายามแสวงหาทางเลือกใหม่ ซึ่งนั้นก็คือ
ศาสตร์การบริหาร (Administrative Science) หรือ ศาสตร์การจัดการ (Management Science)
แต่ก็ยังคงถูกวิจารณ์จากสาขารัฐศาสตร์ และสาขาการจัดการ ว่ากระบวนทัศน์ใหม่นี้ทาให้รัฐ
ประศาสนศาสตร์สูญเสียเอกลักษณ์ และคุณลักษณะเฉพาะของสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์
เน่ืองจากสาขาการจัดการ มีการศึกษาครอบคลุมประเด็นต่างๆ อย่างกว้างขวาง คือ ทฤษฎี
องค์การ พฤติกรรมองค์การ การวางแผน การตัดสินใจ เทคนิค วิธีการในการจัดการ เช่น การ
วิเคราะห์เส้นทาง (Path Analysis) การจัดการทรัพยากรมนุษย์ ภาวะผู้นา การจูงใจ การสื่อสาร
การจัดการระบบสารสนเทศ การงบประมาณ การตรวจสอบ รวมถึงการตลาด

อย่างไรก็ตามคาวิจารณ์ดังกล่าวไม่เป็นผล นักรัฐประศาสนศาสตร์ที่ยึดถือกระบวน
ทัศน์ รัฐประศาสนศาสตร์ คือ การจัดการ เห็นว่าการแยกภาครัฐกับภาคธุรกิจออกจากกันเป็น

รฐั ศาสตรเ์ บอ้ื งต้น หนา้ 449

เร่ืองที่ผิดพลาดเข้าใจผิด เพราะการบริหารก็คือการบริหาร ในปี ค.ศ.1956 นักรัฐประศาสน
ศาสตร์กลุ่มหนึ่งจึงก่อตั้งวารสารทางวิชาการของสาขาชื่อ Administrative Science Quarterly ใน
ปี ค.ศ. 1958 นักรัฐประศาสนศาสตร์ได้อ้างหลักฐานว่า รัฐกิจ (Public) ธุรกิจ (Business) และ
สถาบันการบริหารไม่มีความแตกต่างกัน ดังน้ัน การบริหาร ก็คือ การบริหาร (Administration as
Administration) โดย Nicholas Henry ได้อ้างผลงานของนักรัฐประศาสนศาสตร์ท่านหนึ่งคือ Keith
M. Henderson ได้เสนอทฤษฎีองค์การ ซึ่งได้เป็นและควรจะเป็นหลักของรัฐประศาสนศาสตร์
นอกจากนั้นยังมีหนังสือตีพิมพ์ออกมาหลายเล่ม เช่น Handbook of Organization (1965) by
James March, Organizations in Action (1967) by James Thompson) เปน็ ต้น ซึง่ พยายามสะท้อน
ให้เห็นเหตุผลในเชิงวิชาการว่าทาไมถึงเลือกการจัดการเป็นกระบวนทัศน์ของสาขาวิชารัฐ
ประศาสนศาสตร์ เมื่อพจิ ารณาเนือ้ หาทีใ่ ห้ความสาคญั กบั ทฤษฎีองค์การ

ในช่วง ค.ศ.1960 วิชาการพัฒนาองค์การ (Organization Development) ขยายตัว
เติบโตอย่างรวดเร็วจนมีความโดดเด่น กลายเป็นทางเลือกของนักรัฐประศาสนศาสตร์ที่ต้องการ
หลีกหนจี ากร่มเงาของสาขารฐั ศาสตร์ ในขณะเดียวกันบทความในวารสารด้านการจัดการจานวน
มากก่อให้เกิดการยอมรับว่า ศาสตร์การจัดการมีลักษณะเป็นสหวิทยาการ ใช้ได้ท้ังในสาขารัฐ
ประศาสนศาสตร์ และสาขาบริหารธรุ กิจ

ศาสตร์การจัดการ มีคุณูปการที่สาคัญอย่างยิ่งต่อสาขารัฐประศาสนศาสตร์ อย่าง
น้อย 3 ประการ คือ

(1) การพิจารณาบทบวนความหมายของคาว่า “สาธารณะ” (Public) ของสาขาวิชา
สาธารณบริหารศาสตร์ หรอื รัฐประศาสนศาสตร์ (Public Administration) ว่ามีความหมายที่แน่ชัด
อย่างไร ซึ่งนามาสู่การตระหนักว่า การจัดการในสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ น้ันมีจุดมุ่งหมาย
ไปที่สาธารณะไม่ใช่เอกชน

(2) การใช้ระเบียบวิธีศึกษา หรือวิจัยแบบใหม่ ที่แตกต่างไปจากสาขาวิชารัฐศาสตร์
เช่น การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Operation Research) การวิจัยประเมินผล (Evaluation Research)
การประเมินผลโครงการ (Program Evaluation) ทฤษฎีประเมินความเป็นไปได้ (Probability
Theory) การวิเคราะหต์ ้นทุน-กาไร (Benefit-Cost Analysis) เปน็ ต้น

(3) การหันกลับมาพิจารณาทบทวนตนเองในเร่ืองของเน้ือวิชา หลักสูตรและความ
เอาใจใส่ต่อผู้ศึกษาอย่างจริงจัง เหมือนอย่างที่สาขาวิชาบริหารธุรกิจเป็นตัวอย่างสาขาวิชาที่ให้
ความสาคัญกับเร่ืองนี้เป็นอย่างยิ่ง จนสามารถพัฒนาเจริญก้าวหน้าและมีผู้ให้ความสนใจศึกษา
เพิ่มมากขึ้น

รฐั ศาสตร์เบ้อื งตน้ หน้า 450

แนวคิด “การพัฒนาองค์การ” (Organization Development) ได้เติบโตอย่างรวดเร็วในฐานะที่เป็น
ความเชี่ยวชาญพิเศษของศาสตร์การบริหารได้รับความสนใจจากนักรัฐประศาสนศาสต ร์รุ่นใหม่
เปน็ อย่างมาก ทาให้เกิดปัญหาในเส้นทางศาสตร์การบริหาร คือ หากศาสตร์การบริหารถูกเลือก
ให้เป็นเส้นทางที่สนใจของรัฐประศาสนศาสตร์ อาจจะทาให้รัฐประศาสนศาสตร์อาจถูกดูดกลืน
หายไปอยู่ในคณะธุรกิจบัณฑิต ทั้งพาราไดม์ที่ 3 รัฐประศาสนศาสตร์ คือ รัฐศาสตร์ และพารา
ไดม์ที่ 4 รฐั ประศาสนศาสตร์ คือ ศาสตร์การบริหาร เปน็ สิ่งที่ทาให้รัฐประศาสนศาสตร์ได้สูญเสีย
ความเป็นเอกลักษณ์ของตนเองไป

5.5 พาราไดม์ 5 รัฐประศาสนศาสตร์ คือ รัฐประศาสนศาสตร์ (Public
Administration as Public Administration) นับแต่ปี ค.ศ.1970 รัฐประศาสนศาสตร์ก็มีความชัดเจน
ในตัวเอง ได้ปรากฏแนวความคิดร่วมกันของนักรัฐประศาสนศาสตร์ ว่าเป็นสาขาทางด้านการ
บริหารรัฐกิจ มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาองค์การภาครัฐและคุณภาพบุคลากรที่ทางานในภาครัฐ
เป็นสาคัญ มีความเกี่ยวข้องกับรัฐประศาสนศาสตร์ในฐานะเป็นปัจจัยอันสาคัญบนพื้นฐานของ
สังคมที่มีต่อการพัฒนาประเทศ ให้ความสนใจที่ประโยชน์สาธารณะ (Public Interest) และ
กิจกรรมสาธารณะ (Public Affairs) โดยมีการนาเอาระเบียบวิธีการศึกษาเศรษฐศาสตร์มา
ผสมผสานกับศาสตร์อื่นๆ ทางการเมือง การบริหาร เพื่อแก้ไขปัญหาสังคม มีการแยกตัวออก
จากสาขารัฐศาสตร์และการจัดการ โดยมีการจัดตั้ง The Nation Association of School of Public
Affairs and Administration (NASPAA) ซึ่งเป็นสมาคมวิชาชีพให้การรับรองหลักสูตรบัณฑิตศึกษา
สาขารฐั ประศาสนศาสตร์ ที่ได้รบั การยอมรับเป็นอย่างสงู ในหมนู่ ักวิชาการ นักศึกษาและนายจ้าง
ขอบข่ายสาขาวิชาครอบคลุมเร่ือง ทฤษฎีองค์การ ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ และเทคนิค
ประยุกต์สาหรับรัฐประศาสนศาสตร์ การบริหารงานรัฐบาลกลางและส่วนท้องถิ่น การจัดการ
สาหรับนักบริหาร การจัดการการเงินและงบประมาณภาครัฐ การบริหารงานบุคคลภาครัฐ
กฎหมายปกครอง และประเด็นอืน่ ๆ ที่เกีย่ วข้องกับผลประโยชน์ของสาธารณะ

6. รัฐประศาสนศาสตร์ในความหมายใหม่
รัฐประศาสนศาสตร์ในความหมายใหม่ หรือ New Public Administration (NPA) โดย

ในราวปี ค.ศ.1967 ในสหรัฐอเมริกา ได้มีการขยายกระทรวง ทบวง กรมต่างๆทาให้ต้องการผู้มี
ความรู้ทางการบริหารมากขึ้น ขณะเดียวกันกันสหรัฐอเมริกาก็ประสบปัญหาเกี่ยวกับสงคราม
เวียดนาม ปัญหาเร่อื งชนกลุ่มน้อย ปัญหาเร่ืองผิว ปัญหาความยากจน จึงทาให้เกิดการเรียกร้อง
ในสหรัฐฯหันมาสนใจปัญหาตัวเองเป็นเหตุให้นักรัฐประศาสนศาสตร์หนุ่มกลุ่มหนึ่งเห็นว่าควรจะ
ได้มกี ารประชมุ หาทิศทางใหมใ่ ห้กบั รฐั ประศาสนศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้มคี วามรเู้ พียงพอ

รัฐศาสตร์เบ้อื งต้น หนา้ 451

ซึ่งเริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1968 แนวทางการศึกษารัฐประศาสนศาสตร์ได้เปลี่ยนไปเม่ือมี
การประชุมสัมมนานักรัฐประศาสนศาสตร์ที่ทะเลสาบ Minnowbrook มหาวิทยาลัยซีราคิ๊วส์
(Syracuse University) มลรัฐนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเสนอแนวความคิดการพัฒนา
รฐั

นักวิชาการที่ได้แสดงความห่วงใยต่อปัญหานี้มากที่สุดผู้หนึ่ง คือ Dwight Waldo นัก
รัฐประศาสนศาสตร์ชาวอเมริกัน โดยเขาได้เขียนบทความเร่ือง “Public Administration in a time
of Revolution” ลงในวารสาร Public Administration Review (July, August,1968) เพื่อเรียกร้อง
และกระตนุ้ ให้หน่วยงานของรัฐ หรือหน่วยงานราชการหาหนทางแก้ไขปัญหาที่ก่อกวนความสงบ
เรียบร้อยของสงั คม

Waldo ได้จัดประชุมทางวิชาการเกี่ยวกับวิชารัฐประศาสนศาสตร์ขึ้นที่ มินโนบรุค
มหาวิทยาลัยซิราคิ๊วส์ เพื่อค้นหาปัญหาของการบริหารราชการ และลักษณะวิชาของรัฐ
ประศาสนศาสตร์ ว่าเพียงพอหรือไม่สาหรับการแก้ไขปัญหาความวุ่นวายในประเทศขณะนั้น ถ้า
ไม่พอควรจะมีลักษณะวิชาเป็นประการใด โดยได้มอบหมายให้นักวิชาการรัฐประศาสนศาสตร์รุ่น
ใหม่ 3 คน คือ Frank Marini , H. George Frederickson และ W. Henry Lambright เป็นผู้จัดการ
ดาเนินการประชุม และผู้ที่มาร่วมประชุมล้วนแต่เป็นนักรัฐประศาสนศาสตร์รุ่นหนุ่มที่มีอายุต่า
กว่า 40 ปี จากมหาวทิ ยาลัยต่างๆ 27 แหง่ ผทู้ ี่มาประชุม นอกจากจะมีอาจารย์มหาวิทยาลัยแล้ว
ยงั มีการศกึ ษารุ่นหนมุ่ ด้วย รวมท้ังสนิ้ 31 คน

ในการประชุมได้มีการถกเถียงปัญหาและเสนอความคิดเห็นต่างๆเร่ืองรัฐประศาสน
ศาสตร์ กว้างขวางต่อมาได้พิมพ์ออกมาเป็นหนังสือ Toward a New Public Administration : The
Monnowbrook Perspective โดยมี Frank Marini เป็นบรรณาธิการ ซึ่งจุดนี้เองเป็นจุดกาเนิดรัฐ
ประศาสนศาสตร์แนวใหม่

รัฐประศาสนศาสตร์แนวใหม่ มีสาระสาคญั 4 ประการ ได้แก่
1.สนใจเรื่องที่สอดคล้องกับความตอ้ งการของสงั คมคือเน้นนโยบายสาธารณะ

ที่จาเปน็
2.ให้ความสนใจเรื่องคา่ นิยม
3.ให้ความสนใจดา้ นความเสมอภาคทางสังคม
4.ชี้ว่านักบริหารจะต้องเป็นฝุายริเริ่มการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ความเสมอภาค

ทางสงั คมประสบความสาเรจ็

รัฐศาสตร์เบอื้ งตน้ หน้า 452

กล่าวโดยสรุปวิชารัฐประศาสนศาสตร์ยุคร่วมสมยั ได้หันมาสนใจเร่ืองการปฏิบัติการ
ในรูปของนโยบายและโครงการ ให้ความสาคัญน้อยในการสร้างทฤษฎี สนใจทฤษฎีที่นามาใช้
ปฏิบัติงานมากกว่า

ลักษณะของวัตถุประสงค์ของรัฐประศาสนศาสตร์ยุคก่อนหน้านั้นหรือยุดก่อนยุค
ปจั จบุ ัน (หลงั ค.ศ.1968) พยายามทีจ่ ะตอบคาถามเหล่านคี้ ือ

1.จะสามารถให้บริการที่ดีกว่าหรือมากกว่าด้วยการใช้ทรัพยากรเท่าที่มีอยู่ได้
อย่างไร(เป็นเรือ่ งประสิทธิภาพ)

2.จะสามารถธารงรกั ษาระดับของการบริการของเราให้อยู่คงที่โดยใช้จ่ายเงิน
ให้นอ้ ยลงอย่างไร (เปน็ เรื่องของการประหยดั )

แต่สาหรับนักรัฐประศาสนศาสตร์แนวใหม่ จะมีคาถามเพิ่มอีกคาถามหนึ่งคือ
บริการน้ีสง่ เสริมความเปน็ ธรรม (Social Equity) ทางสังคมหรือไม่ ความเป็นธรรมถือว่าสาคัญยิ่ง
กว่าเรือ่ งประสิทธิภาพหรอื ประหยดั

ผลการประชุมพอจะสรุปสาระสาคัญของแนวความคิดของรัฐประศาสน
ศาสตร์ในความหมายใหมเ่ กีย่ วกับความเปน็ ธรรมในสังคม คือ

1. เห็นว่านักบริหาร (Administrator) เป็นผู้ปฏิบัติงานท้ัง 2 อย่าง คือกาหนด
นโยบายและบริหารนโยบายดังน้ันเร่ืองนโยบายและการบริหารจึงควรเป็นเร่ืองที่ต่อเน่ืองกัน นัก
บริหารควรได้รับการมอบหมายทั้งเร่ืองการจัดการที่ดีและความเป็นธรรมในสังคม ซึ่งถือเป็น
ค่านยิ ม วัตถุ-ประสงค์ หรอื เหตผุ ลร่วมกนั ของรัฐประศาสนศาสตร์

2. รัฐประศาสนศาสตร์แนวใหม่ให้ความห่วงใยในเร่ือง การเปลี่ยนแปลง คือ
รัฐประศาสนศาสตร์ จะต้องพยายามแสวงหาหนทางที่จะเปลี่ยนแปลงนโยบายและโครงสร้าง
ต่างๆที่เป็นอุปสรรคขัดขวางความเป็นธรรมในสังคม ท้ังนี้โดยม่ังส่งเสริมวัตถุประสงค์ของรัฐ
ประศาสนศาสตร์แนวใหม่ คือ 1.การจัดการที่ดี 2.มีประสิทธิภาพ 3.ประหยัด และ 4.มีความเป็น
ธรรมในสงั คม

3. รัฐประศาสนศาสตร์แนวใหม่มีแนวโน้มที่จะศึกษาทดลอง หรือสนับสนุน
รูปแบบของการจัดองค์การราชการที่ได้มีการแก้ไขในแนวคิดบางประการ เช่น การกระจาย
อานาจ, การมอบอานาจ อานาจลดหล่ันกันตามลาดับ, โครงการ, สัญญาการฝึกอบรมแบบรับรู้
ความต้องการต่างๆ อย่างที่เรียกว่าขยายความรับผิดชอบ การเผชิญหน้าและการนาเอา
ผู้รับบริการเข้ามาร่วมด้วย ล้วนเป็นแนวคิดที่เป็นปฏิปักษ์กับระบบราชการในแง่ของสาระสาคัญ
ท้ังสิน้

รัฐศาสตรเ์ บ้ืองต้น หน้า 453

แนวคิดที่ถูกกาหนดขึ้นเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงท้ังระบบและนโยบาย
ท้ังนเี้ พื่อเปน็ การเพิ่มพนู โอกาสหรอื หนทางทีเ่ ป็นไปได้สาหรับเรื่องความเปน็ ธรรมทางสงั คม

4. รัฐประศาสนศาสตร์แนวใหม่ สนบั สนุนการปกครองโดยฝุายบริหารที่ไม่แต่
เพียงพยายามแสวงหาทางที่จะให้ฝุายบริหารปฏิบัติหน้าที่ในการกาหนดนโยบายตามอานาจที่
ได้รับมอบหมายเป็นผลสาเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ และประหยัดที่สุด แต่ต้องพยายามแสวงหา
หนทางทีจ่ ะบริหารนโยบายเพือ่ ปรบั ปรงุ คุณภาพชวี ิตความเป็นอยู่ของประชาชน

5. รัฐประศาสนศาสตร์แนวใหม่พยายามที่จะให้มีการมุ่งความสนใจไปที่ตัว
ปญั หา และพยายามพิจารณาทางเลือกต่างๆ ที่เป็นไปได้ในการเผชิญกับปัญหานั้นๆ โดยสถาบัน
เช่น ปัญหายาเสพติด, ปัญหาอาชญากรรม เป็นต้น ซึ่งนักรัฐประศาสนศาสตร์ได้พยายามที่จะ
แก้ไขเปลี่ยนแปลงสถาบันต่างๆ หรือไมก่ ็ปรับปรุงใหเ้ ปน็ สถาบันที่สามารถเปลีย่ นแปลงได้ง่ายกว่า
โดยมีจุดมงุ่ หมายเพือ่ ให้สามารถบรรลถุ ึงการแก้ปญั หาที่ใกล้เคียงความเปน็ จริงมากกว่า

6. รัฐประศาสนศาสตร์แนวใหม่เน้นในส่วนที่เป็นราชมากกว่าบริหารท่ัวๆไป
ในการแก้ปญั หา

7. การบรหิ ารจดั การภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management : NPM)
7.1 ความหมายของการบริหารงานภาครัฐแนวใหม่
การบริหารงานภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) คือ การปรับเปลี่ยนการ

บริหาร จัดก ารภาครั ฐ โด ย นาหลัก ก าร เ พิ่ม ป ร ะสิท ธิภาพข อ ง ร ะบบ ร าชก าร และก าร แสว งหา
ประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศ โดยการนาเอาแนวทางหรือวิธีการ
บริหารงานของภาคเอกชนมาปรับใช้กับการบริหารงานภาครัฐ เช่น การบริหารงานแบบมุ่งเน้น
ผลสัมฤทธิ์ การบริหารงานแบบมืออาชีพ การคานึงถึงหลักความคุ้มค่า การจัดการโครงสร้างที่
กะทัดรัดและแนวราบ การเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาแข่งขันการให้บริการสาธารณะ การให้
ความสาคัญต่อค่านิยม จรรยาบรรณวิชาชีพคุณธรรมและจริยธรรม ตลอดทั้งการมุ่งเน้นการ
ให้บริการแก่ประชาชนโดยคานงึ ถึงคุณภาพเป็นสาคญั

7.2 เหตุผลที่ตอ้ งนาแนวคิดการบริหารงานภาครัฐแนวใหมม่ าใช้
1.กระแสโลกาภิวัตน์ ส่งผลให้สภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกประเทศ
เปลีย่ นแปลงไปอย่างรวดเร็วจึงมีความจาเป็นอย่างยิ่งสาหรับองค์กรท้ังภาครัฐและเอกชน ที่ต้อง
เพิ่มศักยภาพและความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองความต้องการของระบบที่
เปลี่ยนแปลงไป

รฐั ศาสตร์เบอื้ งตน้ หนา้ 454

2.ระบบราชการไทยมีปัญหาที่สาคัญคือ ความเสื่อมถอยของระบบราชการ และขาด
ธรรมาภิบาล ถ้าภาครัฐไม่ปรับเปลี่ยนและพัฒนาการบริหารจัดการของภาครัฐเพื่อไปสู่องค์กร
สมยั ใหม่ โดยยึดหลักธรรมาภบิ าล กจ็ ะส่งผลบนั่ ทอนความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ท้ัง
ยังเปน็ อุปสรรคต่อการพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมในอนาคตดว้ ย

ดังนั้นการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่( New Public Management) จึงเป็นแนวคิด
พื้นฐานของการบริหารจัดการภาครัฐซึ่งจะนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบต่าง ๆ ของภาครัฐและ
ยุทธศาสตรด์ ้านต่าง ๆ ทีเ่ ปน็ รปู ธรรม มแี นวทางในการบริหารจัดการดงั นี้

1.การให้บริการที่มคี ณุ ภาพแก่ประชาชน
2.ลดการควบคมุ จากส่วนกลางและเพิ่มอิสระในการบริหารใหแ้ ก่หนว่ ยงาน
3.การกาหนด การวัด และการให้รางวัลแก่ผลการดาเนินงานทั้งในระดับองค์กร
และระดับบุคคล
4.การสรา้ งระบบสนบั สนุนท้ังในด้านบุคลากร (เช่น การฝึกอบรม ระบบค่าตอบแทน
และระบบคุณธรรม) เทคโนโลยี เพือ่ ช่วยใหห้ นว่ ยงานสามารถทางานได้อย่างบรรลวุ ตั ถุประสงค์
5.การเปิดกว้างต่อแนวคิดในเร่ืองของการแข่งขัน ทั้งการแข่งขันระหว่างหน่วยงาน
ของรฐั ด้วยกนั และระหว่างหน่วยงานของรัฐกับหน่วยงานของภาคเอกชน ในขณะเดียวกันภาครัฐ
ก็หันมาทบทวนตวั เองว่าสิง่ ใดควรทาเองและสิง่ ใดควรปล่อยใหเ้ อกชนทา
7.3 แนวคิดการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่
หลกั ใหญ่ของการจัดการภาครัฐแนวใหม่ คอื การเปลี่ยนระบบราชการที่เน้นระเบียบ
และข้ันตอนไปสู่การบริหารแบบใหม่ซึ่งเน้นผลสาเร็จและความรับผิดชอบ รวมท้ังใช้เทคนิคและ
วิธีการของเอกชนมาปรับปรุงการทางาน
Hood เหน็ ว่าสิง่ ที่เรยี กว่า “การจดั การภาครัฐแนวใหม”่ มีหลกั สาคัญ 7 ประการ คือ
1.จัดการโดยนักวิชาชีพที่ชานาญการ (Hands-on professional management)
หมายถึง ให้ผู้จัดการมืออาชีพได้จัดการด้วยตัวเอง ด้วยความชานาญ โปร่งใส และมี
ความสามารถในการใช้ดุลพินิจ เหตุผลก็เพราะเม่ือผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายแล้ว ก็จะ
เกิดความรบั ผิดชอบต่อการตรวจสอบจากภายนอก
2.มีมาตรฐานและการวัดผลงานที่ชัดเจน (Explicit standards and measures of
performance) ภาครัฐจึงต้องมีจุดมุ่งหมายและเปูาหมายของผลงาน และการตรวจสอบจะมีได้ก็
ต้องมีจุดมุ่งหมายทีช่ ัดเจน
3.เน้นการควบคุมผลผลิตที่มากขึ้น (Greater emphasis on output controls) การใช้
ทรัพยากรต้องเปน็ ไปตามผลงานทีว่ ัดได้ เพราะเน้นผลสาเร็จมากกว่าระเบียบวิธี

รฐั ศาสตรเ์ บ้ืองต้น หน้า 455

4.แยกหนว่ ยงานภาครฐั ออกเป็นหน่วยย่อยๆ (Shift to disaggregation of units in the
public sector) การแยกหน่วยงานใหญ่ออกเป็นหน่วยงานย่อยๆ ตามลักษณะสินค้าและบริการที่
ผลติ ให้เงินสนับสนนุ แยกกนั และติดต่อกนั อย่างเป็นอิสระ

5.เปลี่ยนภาครัฐให้แข่งขันกันมากขึ้น (Shift to greater competition in the public
sector) เป็นการเปลี่ยนวิธีทางานไปเป็นการจ้างเหมาและประมูล เหตุผลก็เพื่อให้ฝุายที่เป็น
ปรปกั ษ์กนั (rivalry) เปน็ กญุ แจสาคัญที่จะทาให้ตน้ ทุนตา่ และมาตรฐานสูงข้ึน

6.เน้นการจัดการตามแบบภาคเอกชน (Stress on private sector styles of
management practice) เปลีย่ นวิธีการแบบข้าราชการไปเปน็ การยืดหยุ่นในการจา้ งและให้รางวลั

7.เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีวินัยและประหยัด (Stress on greater discipline and
parsimony in resource use) วิธีนี้อาจทาได้ เช่น การตัดค่าใช้จ่าย เพิ่มวินัยการทางาน หยุดยั้ง
การเรียกร้องของสหภาพแรงงาน จากัดต้นทุนการปฏิบตั ิ เหตผุ ลกเ็ พราะต้องการตรวจสอบความ
ต้องการใช้ทรัพยากรของภาครัฐ และ “ทางานมากขึ้นโดยใช้ทรัพยากรน้อยลง” (do more with
less)

8. สรุป
รัฐประศาสนศาสตร์สามารถพิจารณาได้เป็น 2 นัย คือ ในฐานะเป็นสาขาวิทยา

การศกึ ษา เรยี กว่าวิชารัฐประศาสนศาสตร์ ซึ่งเปน็ วิชาทีศ่ ึกษาเกี่ยวกบั การบริหารงานของรัฐ เป็น
ศาสตร์ หรือวิชาการซึ่งสามารถศึกษาได้อย่างเป็นระบบมีกฎเกณฑ์และหลักการ และในฐานะที่
เป็นกิจกรรม ซึ่งมีความหมายตรงกับคาว่าการบริหารรัฐกิจ หรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นวิชาที่ว่าด้วย
ศิลปและศาสตร์การบริหารราชการของประเทศเพื่อมุ่งถึงการประหยัด และประสิทธิภาพเป็น
สาคญั

รัฐประศาสนศาสตร์มีการวิวัฒนาการการศึกษาแยกออกได้เป็นยุคๆ คือ ยุคก่อน
สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดแนวความคิดแยกการเมืองออกจากการบริหาร และได้พัฒนาหา
หลักการเกี่ยวกับการบริหารเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เช่น หลักการบริหารของ กูลิคและ
เออวิค เสนอหลักการบริหารที่จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพ คือ POSDCoRB ยุคที่สอง คือ ยุค
พฤติกรรมศาสตร์ เกิดแนวความคิดให้ความสาคัญต่อการเมือง ค่านิยม และสิ่งแวดล้อมที่มีผล
ต่อการบริหาร ยุคนี้แสดงข้อขัดแย้งต่อยุคแรกว่าการเมืองและการบริหารไม่สามารถแยกออก
จากกันได้ “การบริหารเป็นส่วนหนึ่งของการเมือง” และนักวิชาการอีกกลุ่มให้ความสนใจ
พฤติกรรมมการบริหารต่างๆ เพื่อเสริมแนวคิดหลักการบริหาร โดยถือว่า “การบริหารเป็นส่วน
หนง่ึ ของศาสตร์การบริหาร” ยุคทีส่ ามเปน็ ยุคปจั จุบันถือว่าเปน็ รัฐประศาสนศาสตร์แนวใหม่ซึ่งยุค

รัฐศาสตรเ์ บ้อื งตน้ หน้า 456

นี้เราเรียกว่าเป็นยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งกรอบเค้าโครงความคิดเบ็ดเสร็จ ซึ่งก็คือ การ
นาเอาแนวคิด “การบริหารเปน็ ส่วนหนึ่งของการเมอื ง” และ “การบริหารเป็นส่วนหนึ่งของศาสตร์
บริหาร” มารวมกับแนวความคิด “ทฤษฎีเพื่อความสอดคล้องกับความต้องการของสังคม” จึง
เป็นกรอบเค้าโครงความคิดเบ็ดเสร็จที่ครอบคลุมการเมือง สังคม พฤติกรรมศาสตร์ เทคนิคการ
บริหาร และสอดคล้องกบั ความตอ้ งการของสังคม ซึ่งถือว่าเป็นรัฐประศาสนศาตร์ในความหมาย
ใหม่ (New Public Administration : NPA) และกระทั้งในปัจจุบันได้นาแนวความคิดการจัดการใน
ภาคเอกชนเข้ามาร่วมผสมผสานและการปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการภาครัฐโดยนาหลักการ
เพิ่มประสิทธิภาพของระบบราชการและการแสวงหาประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการที่มุ่งสู่
ความเป็นเลิศ โดยการนาเอาแนวทางหรือวิธีการบริหารงานของภาคเอกชนมาปรับใช้กับการ
บริหารงานภาครัฐ เช่น การบริหารงานแบบมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ การบริหารงานแบบมืออาชีพ การ
คานงึ ถึงหลกั ความคุ้มค่า การจัดการโครงสร้างที่กะทัดรัดและแนวราบ การเปิดโอกาสให้เอกชน
เข้ามาแข่งขันการให้บริการสาธารณะ การให้ความสาคัญต่อค่านิยม จรรยาบรรณวิชาชีพ
คุณธรรมและจริยธรรม ตลอดท้ังการมุ่งเน้นการให้บริการแก่ประชาชนโดยคานึงถึงคุณภาพเป็น
สาคัญ เรียกว่า การบริหารจัดการภาครฐั แนวใหม่

รฐั ศาสตรเ์ บอ้ื งตน้ หน้า 457

บรรณานกุ รม

กนก วงศ์ตระหงา่ น. (2536). พรรคการเมืองไทย. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์จฬุ าลงกรณ์แหง่ ประเทศไทย.
โกวิทย์ พวงงาม. (2546). การปกครองทอ้ งถนิ่ ไทย. กรุงเทพฯ : วิญญชู น.
โกวิท วงศส์ ุรวัฒน์. (2545). การวิจยั เร่ือง การพฒั นาขดี สมรรถนะของส่วนกลางและสว่ นภมู ภิ าค

ในการการกากบั ดูแลองคก์ รปกครองส่วนท้องถ่ินและส่วนทอ้ งถิ่น. กรุงเทพฯ :
งานวิจยั ของสถาบันดารงราชานุภาพ.
โกสินทร์ วงศส์ รุ วฒั น์. (2521). พรรคการเมือง. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
กระมล ทองธรรมชาติ. (2514). รฐั สภาในระบบการปกครองของไทย. กรุงเทพฯ :
คณะรฐั ศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
-----------------------. (2517). ความร้เู ร่อื งรัฐธรรมนญู ไทย. กรงุ เทพฯ : บรรณกจิ
กมล สมวเิ ชยี ร. (2516). ประชาธปิ ไตยกบั สังคมไทย. กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ
เกษม อทุ ยานิน (2513) ความรูเ้ กี่ยวกับรัฐศาสตร์. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
-----------------. (2521). ความรเู้ กย่ี วกบั รฐั ศาสตร์. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช
โกวิท วงศ์สุรวฒั น.์ (2523). รฐั วิทยา. พมิ พค์ รัง้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ: พฆิ เณศ
โกสนิ ทร์ วงศ์สรุ วัฒน.์ (2540). “รัฐสภา” ในสาขาวิชา รฐั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช.
เอกสารการสอนชุดวชิ า สถาบันและกระบวนการ ทางการเมอื งไทย. นนทบรุ ี :
มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช
โกสนิ ทร์ วงศส์ ุรวัฒน์ และ นรนติ ิ เศรษฐบตุ ร. (2540). พรรคการเมือง. กรุงเทพฯ :
มหาวทิ ยาลัย สโุ ขทยั ธรรมิราช.
งามพิศ สงวนสัตย์. (2534). หลกั มานุษยวทิ ยา. พมิ พ์คร้ังที่ 2. กรุงเทพฯ : เจ้าพระยาการพิมพ์.
จรูญ สุภาพ. (2534). ลทั ธกิ ารเมืองและเศรษฐกิจเปรยี บเทยี บ. พมิ พค์ รัง้ ท่ี 4. กรุงเทพฯ :
ไทยวฒั นาพานิช.
_________. (2514). หลกั รฐั ศาสตร์. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช.
_________. 2518). หลกั รฐั ศาสตรฉ์ บบั พิศดาร. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ .
_________. (2534). สารานกุ รมรัฐศาสตร์. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช.
จรญู สภุ าพ และรงุ่ พงษ์ ชยั นาม. (2543). “สถาบันพระมหากษัตรยิ ์” ใน สถาบนั และกระบวนการ
ทางการเมืองไทย. พมิ พ์ครัง้ ที่ 21. นนทบรุ ี. มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช.
จกั รพนั ธ์ วงศ์บรู ณาวาทย.์ (2531). ความรเู้ บื้องตน้ เกีย่ วกบั รฐั ศาสตร์. เชยี งใหม่ :
คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม.่

จริ โชค วีระสยั และคณะ. (2542). รัฐศาสตร์ทัว่ ไป. พมิ พ์คร้ังท่ี 12. กรุงเทพฯ :
มหาวิทยาลัยรามคาแหง.

จริ โชค วรี ะสัย. (2520) สงั คมวทิ ยา-มานษุ ยวทิ ยา. ฉบับแกไ้ ขปรับปรงุ , กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์
มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง.

จิรโชค (บรรพต) วีระสยั . (2546) สงั คมวิทยาการเมอื ง. ฉบับแก้ไขปรบั ปรงุ , กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์
มหาวิทยาลัยรามคาแหง.

จุมพล หนมิ พานิช. (2545). กลมุ่ ผลประโยชนก์ ับการเมอื งไทย. นนทบรุ ี :
มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช.

จุมพล หนิมพานิช. (2540). “แนวคดิ เก่ยี วกบั สถาบันและกระบวนการทางการเมืองไทย”
ในสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช.
เอกสารการสอนชุดวิชาสถาบนั และกระบวนการทางการเมืองไทย.
พมิ พ์ครง้ั ที่ 17. นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช.

-------------------. (2541).“ลกั ษณะของรฐั และอานาจอธปิ ไตย” ในสาขาวิชา รัฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช. เอกสารการสอนชุดวิชาหลักรัฐศาสตร์
และการบรหิ าร. นนทบรุ ี, มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช.

------------------. (2535). “ลกั ษณะของรฐั และอานาจอธิปไตย” ใน หลักรฐั ศาสตร์และการบริหาร.
พมิ พ์ครงั้ ท่ี 4. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์นวกนก.

ชยั อนนั ต์ สมุทวณิช. (2538). 100 ปีแหง่ การปฏิรูประบบราชการ ววิ ฒั นาการ
ของอานาจรัฐและอานาจการเมอื ง. กรุงเทพฯ : บริษัทสขุ มุ และบุตร จากัด.

_______________. (2514). Good Governance กบั การปฏิรูปการศึกษาการปฏิรปู การเมอื ง.
กรงุ เทพฯ : วชริ าวุธราชวิทยาลัย.

_______________. (2537). การเปลย่ี นแปลงกับความรู้ในยคุ โลกานุวัตร. กรุงเทพฯ : ผ้จู ดั การ.
_______________. (2537). การเมอื งเปรยี บเทยี บ : ทฤษฎแี ละแนวความคิด. กรงุ เทพฯ :

เจา้ พระยา.
_______________. (2520). ประชาธิปไตย สงั คมนิยม คอมมิวนิสตก์ ับการเมอื งไทย. กรุงเทพฯ :

โรงพมิ พ์พฆิ เณศ.
_______________. (2535). รัฐ. กรุงเทพฯ : สานักพมิ พแ์ ห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
_______________. (2523). อุดมการณท์ างการเมือง. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. กรุงเทพฯ : บรรณกจิ .
ชยั อนันต์ สมุทวณชิ และคณะ. (2535). ขอ้ มูลพ้นื ฐานกึง่ ศตวรรษแหง่ การเปล่ียนแปลงการ

ปกครองไทย. พมิ พค์ รง้ั ที่ 3. กรงุ เทพฯ : สมาคมสงั คมศาสตรแ์ ห่งประเทศไทย.
ชาญชยั แสวงศักด์.ิ (2538). กฎหมายปกครอง. กรุงเทพฯ : วญิ ญูชน.
ชบุ กาญจนประกร. (2530). การบริหารงานบคุ คลภาครฐั . พมิ พ์ครั้งที่ 2. นนทบรุ ี :

มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช.
ชบุ กาญจนประกร. คาบรรยายหลักรัฐประศาสนศาสตร์. สถาบนั บัณฑติ พัฒนบริหารศาสตร์.

โรเนยี ว.
ชูชยั ศุภวงศ,์ ยุวดี คาดการณไ์ กล, บรรณาธิการ. (2541). ประชาสงั คม : ทรรศนะนักคิดใน

สังคมไทย. กรุงเทพฯ : มติชน, พมิ พค์ ร้ังท่ี 2.
ชูชาติ อารจี ิตรานสุ รณ.์ (2542). การเลือกต้งั ระบบใหม่ : 333 คาถาม. ขอนแกน่ :

โรงพิมพค์ ลังนานาวทิ ยา.

รฐั ศาสตร์เบอ้ื งต้น หนา้ 460

ชูวงศ์ ฉายะบุตร. (2539). การปกครองท้องถ่ินไทย. กรุงเทพฯ : พฆิ เณศ พรินต้ิง เซน็ เตอร์.

เชาว์ ไพรพริ ณุ โรจน์. (2530). ลัทธแิ ละอุดมการณ์ทางการเมอื ง. กรงุ เทพฯ :
มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์.

_______________. (2528). เอกสารงานวิจัย ลทั ธิและอุดมการณ์ทางการเมือง. กรงุ เทพฯ :
สถาบนั บัณฑติ พฒั นาบริหารศาสตร์.

เชาวนะ ไตรมาศ. (2545). การใชก้ ลไกรฐั ธรรมนูญสาหรับประชาชน. กรงุ เทพฯ :
พ.ี เพรส.จากดั .

ณัชชาภทั ร อ่นุ ตรงจิตร. (2548). รัฐศาสตร์. กรงุ เทพฯ : สานักพมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์
มหาวิทยาลยั .

ณรงค์ เส็งประชา. (2532). มนุษย์กับสังคม. กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร.์
ณรงค์ สินสวสั ด.์ิ (2539). จิตวิทยาการเมอื ง. พมิ พค์ รงั้ ที่ 4. กรุงเทพฯ : ออเรยี นแทลสกอล่า.
เดชชาติ วงศ์โกมลเชษฐ์. (2515). หลกั รฐั ศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรงุ เทพฯ :

สมาคมสังคมศาสตร์แหง่ ประเทศไทย.
ทินพนั ธุ์ นาคะตะ. (2538). การปกครองไทย. พิมพค์ รงั้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : อักษรเจรญิ ทศั น์.
______________. (2541). การเมอื งการบริหารไทย : ภาระของชาติ. กรงุ เทพฯ : สานกั พมิ พ์

จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
ธเนศวร์ เจรญิ เมอื ง. (2537). จากโลกานวิ ัตรถงึ โลกาภวิ ัฒน์. เชียงใหม่ : คณะสงั คมศาสตร์

มหาวิทยาลยั เชียงใหม.่
นันทา โชติกะพกุ กณะ. (2541). “มนุษยก์ บั การปกครอง” ในสาขาวชิ าศิลปะศาสตร์

มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช. เอสารการสอนชุดวิชามนุษย์กบั อารย
ธรรม. พิมพ์ครัง้ ท่ี 7. นนทบรุ ี : มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช.
นยั นา เกิดวิชัย. (2541). กฎหมายปกครอง. กรงุ เทพฯ : พิทกั ษ์อกั ษร. นติ กิ รสถาบัน
พฒั นานักกฎหมายมหาชน. (2542). “ประวตั ิความเป็นมาของกฎหมายวา่ ด้วย
ระเบียบบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ ” ในวารสารกฎหมายปกครอง เลม่ ที่ 18 ตอน
2, สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, กรุงเทพฯ : พ.ี เอ.ลฟิ ว่ิง จากัด.
นิธิ เอยี วศรีวงศ์. (2529). สังคมไทยกระแสการเปล่ยี นแปลง. กรุงเทพฯ : คณะกรรมการ
เผยแพรแ่ ละส่งเสรมิ งานพฒั นา (ผสพ.).
นยิ ม รฐั อมฤต. (2520). การปกครองส่วนภมู ิภาค. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
น้าเงนิ บุญเปีย่ ม. (2539). โลกรว่ มสมัย. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง.
บรรพต วีระสัย. (2525) “อดุ มการณ์ทางการเมือง” ในสาขาวชิ ารฐั ศาสตร์
มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช. เอกสารการสอนชุดวิชาหลกั รัฐศาสตร์และ
การบริหาร. นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
บุรีรักษ์ นามวฒั น.์ (2525). “กระบวนการนิติบัญญตั ิ” ในสาขาวิชา รัฐศาสตร์
มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช. เอกสารการสอนชดุ วิชาสถาบนั และ
กระบวนการ ทางการเมอื งไทย. นนทบุรี : มหาวทิ ยยั สุโขทัยธรรมาธิราช.

รฐั ศาสตร์เบอื้ งตน้ หน้า 461

บวรศักดิ์ อุวรรณโณ. (2545). วฒุ ิสภาไทย : ความรเู้ ร่อื งวฒุ สิ ภา. กรุงเทพฯ :
สถาบันพระปกเกลา้ .

ปฐม มณีโรจน์ (2523). ขอบขา่ ยและสถานภาพรัฐประศาสนศาสตร์. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์แสงรงุ้
การพิมพ์.

ปภาวี ดุลยจนิ ดา. (2540). “หลกั เกย่ี วกบั บรหิ ารราชการ” ในสาขาวิชาวทิ ยาการจดั การ
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช. เอกสารสอนชดุ วิชา การบริหารราชการไทย.
พิมพค์ รัง้ ที่ 15. นนทบุรี : มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช.

ปทมุ พร วัชรเสถียร. (2548). โลกรว่ มสมัย. กรุงเทพฯ : ปาเจรา.
ประยูร กาญจนดลุ . (2538). กฎหมายปกครอง. พมิ พ์คร้งั ที่ 4. กรงุ เทพฯ : จฬุ าลงกรณ์

มหาวทิ ยาลยั .
ปรชี า ชา้ งขวัญยืน. (2538). ปรัชญาแหง่ อดุ มการณท์ างการเมือง. พิมพ์ครัง้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ :

จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
ปรีชา หงษ์ไกรเลศิ . (2538). ระบบพรรคการเมืองและปัญหาพรรคการเมอื งไทย. กรงุ เทพฯ :

ไทยวัฒนาพานชิ .
ประเวศ วส.ี (2534). อนาคตการเมอื งไทย. กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพห์ มอชาวบา้ น.
พงศเ์ พญ็ ศกนุ ตาภัย. (2524). กฎหมายรฐั ธรรมนญู และสถาบนั การเมอื ง. กรุงเทพฯ :

ปรเมษฐการพมิ พ.์
พจน์ พงศ์สวุ รรณ์, พล.ต., (2536). หลักยทุ ธศาสตร์. กรงุ เทพฯ. โอ เอส พร้นิ ต้ิง เฮาส.์
พจนานุกรมราชบัณฑติ สถาน พ.ศ.2542. (2546). กรงุ เทพฯ : นามมบี ุ๊คพับลิเคชน่ั .
พรศกั ดิ์ ผ่องแผ่ว. (2542). “การเลือกต้ังกับการพัฒนาทางการเมืองไทย” ในสาขาวชิ ารัฐศาสตร์

มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.เอกสารการสอนชดุ วชิ าปญั หาการพฒั นาการ
เมืองไทย. นนทบุรี : โรงพิมพ์มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช.
พระราชวรมุนี (ประยูร ธมมจิตโต). (2540). ปรชั ญากรีก : บ่อเกิดภูมิปัญญาตะวนั ตก.
กรงุ เทพฯ : สานักพมิ พ์สยาม.
พทิ ยา บวรวฒั นา. (2541). ทฤษฎีองคก์ ารสาธารณะ. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
พมิ ลจรรย์ นามวัฒน์. (2540). แนวคิดเกย่ี วกับการจูงใจ. เอกสารการสอนชดุ วิชาการบริหาร
งานบคุ คล หน่วยท่ี 10. นนทบรุ ี : มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช.
ไพโรจน์ ชยั นาม. (2524). สถาบันการเมอื งและกฎหมายรัฐธรรมนญู . กรงุ เทพฯ :
สารศึกษาการพิมพ์.
ภารดี มหาขันธ.์ (2527). ประวตั ศิ าสตรก์ ารปกครองไทย. กรุงเทพฯ : อรณุ การพมิ พ.์
โภคิน พลกลุ . (2525). เอกสารประคาบรรยายหลกั กฎหมาย. คณะนติ ิศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์(เอกสารโรเนียว).
มานิตย์ จมุ ปา. (2546). ความรพู้ นื้ ฐานเก่ยี วกบั กฎหมาย. พมิ พ์ครั้งท่ี 4. กรงุ เทพฯ :
จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
ยศ สันตสมบตั ิ. (2540). มนุษยก์ ับวฒั นธรรม. พิมพค์ ร้ังที่ 2. กรงุ เทพฯ :
มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.

รัฐศาสตร์เบอื้ งตน้ หนา้ 462

รจุ ิรา เดชางกรูและสุรพนั ธ์ ทับสวุ รรณ. (2531). หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมอื ง.
กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคาแหง.

ลขิ ิต ธีรเวคนิ . (2537). วิวฒั นาการการเมืองการปกครอง. กรงุ เทพฯ :
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

_________. (2515). “อุดมการณท์ างการเมอื งและการพฒั นาประเทศ” ในอุดมการณก์ บั
สงั คมไทย. กรุงเทพฯ : สมาคมสงั คมศาสตรแ์ หง่ ประเทศไทย.

วิทยา นภาศริ กิ ลกจิ และ สรุ พล ราชภัณฑารักษ์. (2537). พรรคการเมืองและกลุม่ ผลประโยชน์.
กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั รามคาแหง.

วนิ ิต ทรงประทมุ . (2539). การประสานแนวคิดและขอบขา่ ยของรฐั ประศาสนศาสตร.์
พมิ พค์ ร้งั ที่ 2. กรงุ เทพฯ : สถาบนั บณั ฑิตพฒั นบริหารศาสตร์.

วิษณุ เครอื งาม. (2530). กฎหมายรฐั ธรรมนญู . กรงุ เทพฯ : แสวงสทิ ธิการพมิ พ.์

วสิ ทุ ธิ์ โพธ์ิแทน่ . (2540). ประชาธิปไตย : แนวความคิด และตัวแบบประเทศประชาธิปไตยใน
อดุ มคติ. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.

ศโิ รจน์ ภาคสุวรรณ. (2542). ความสมั พันธ์ระหว่างประเทศเบือ้ งต้น. พิมพค์ รั้งท่ี 12.
กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง.

ศรีสมบัติ โชคประจกั ษ์ชัด. (2547). ทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์. เอกสารการสอน. ชลบุรี :
มหาวทิ ยาลัยบรู พา.

สมคดิ เลศิ ไพฑรู ณ.์ (2549). กฎหมายปกครองท้องถ่นิ . กรุงเทพฯ : สานักเลขาธิการคณะรฐั มนตร.ี

สมบัติ ธารงธญั วงศ์. (2539). การเมือง : แนวคดิ และการพฒั นา. กรงุ เทพฯ : สถาบันบณั ฑิตพฒั น
บริหารศาสตร์.

_______________. (2545). การเมอื งอเมรกิ า. กรงุ เทพฯ : เสมาธรรม.
สมศักดิ์ เก่ยี วกง่ิ แก้ว. (2525). ความรเู้ บ้อื งต้นเกย่ี วกับรัฐศาสตร์. กรุงเทพฯ :

มติ รนราการพมิ พ์.
สมบรู ณ์ สุขสาราญ. (2527). การเมอื งการปกครองสหราชอาณาจักร. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.
สยาม ดาปรดี า (2547). สงั คมกบั การปกครอง. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ไทยรายวนั .
สิทธพิ ันธ์ พทุ ธหนุ . (2541). ทฤษฎีการเมอื งและจริยธรรม 3. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง.
สุขมุ นวลสกลุ และวศิ ษิ ฐ์ ทวเี ศรษฐ. (2542). การเมอื งและการปกครองไทย. พิมพ์คร้ังท่ี 13.

กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง.
สุจติ บุญบงการ. (2531). การพัฒนาการเมอื งของไทย : ปฏิสัมพันธร์ ะหว่างทหาร

สถาบันทางการเมอื งและการมีสว่ นรว่ มทางการเมืองของประชาชน. กรุงเทพฯ :
สานกั พมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
สพุ ตั รา สภุ าพ. สงั คมวทิ ยา. พิมพค์ รง้ั ท่ี 3. (2519). กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช.
สุพิศวง ธรรมพันตา. (2532). มนุษย์กบั สงั คม. กรงุ เทพฯ : ดี.ดี. บ๊คุ สโตร.์

รัฐศาสตร์เบื้องตน้ หน้า 463

สภุ าพ ปรญิ ญาเสวี. (2521). รฐั ศาสตรว์ ่าด้วยพื้นฐานการเมอื งและการปกครอง. พมิ พค์ รัง้ ท่ี 2.
กรุงเทพฯ : ประสานมติ ร.

สุรักษ์ ศิวรักษ์. (2531). อธบิ ายแนวคิดปรัชญาการเมืองฝรง่ั . กรงุ เทพฯ : สถาบันไทยคดีศึกษา
มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์.

เสน่ห์ จามริก. (2528). การเมอื งไทยกบั การพัฒนารฐั ธรรมนูญ. กรุงเทพฯ :
สถาบันไทยคดศี กึ ษามหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ : ตาราสงั คมศาสตร์และ
มนุษยศาสตร.์

เสนห่ ์ จามรกิ . (2529). การเมอื งไทยกับพัฒนาการรัฐธรรมนูญ. กรุงเทพฯ : เจริญวทิ ย์การพิมพ.์
หยุด แสงอทุ ยั . (2521). ความรเู้ บือ้ งตน้ เกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป. พมิ พ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ :

ประสานมิตร.
---------------. (2538). หลกั รฐั ธรรมนญู ทั่วไป. พมิ พ์ครั้งท่ี 9. กรงุ เทพฯ : วิญญูชน.
_________ . (2513). คาอธิบายชน้ั ปริญญาโทคณะรฐั ศาสตร์ : หลกั รัฐธรรมนญู และกฎหมาย

เลือกตั้งท่วั ไป. พมิ พ์คร้ังท่ี 7. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร.์
อมร รักษาสัตย.์ (2544). “ววิ ฒั นาการการเมอื งการปกครองไทย” ใน การเมอื งการปกครอง

ไทย. กรุงเทพฯ : วี.เจ.พรนิ ติ๊ง.
อวยชัย ชบา. (2538). ภาวะผ้นู าและวัฒนธรรมองคก์ ร. ใน พฤตกิ รรมองคก์ รและการจดั การตลาด

หน่วยที่ 7 (หน้า 165 – 166). นนทบุรี: มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช.
เอกวิทย์ มณธี ร. (2554). รฐั ศาสตร.์ พมิ พ์ครัง้ ท่ี 3. กรงุ เทพฯ : ห้างหุ่นสว่ นจากดั เอ็ม. ที. เพรส.
อานนท์ อาภาภริ มณ์. (2528). รฐั ศาสตร์เบอ้ื งต้น. กรุงเทพฯ : โอเดย้ี นสโตร์.
________________. (2545). รัฐศาสตร์เบอ้ื งตน้ . พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. กรุงเทพฯ : โอเดี้ยนสโตร์.
อุทัย หิรัญโต. (2519). รัฐศาสตรป์ ระยกุ ต์. กรงุ เทพฯ : โอเดียนสโตร.์
อทุ ยั เลาหวเิ ชียร. (2541). รฐั ประศาสนศาสตร์ : ลกั ษณะวิชาและมิติต่างๆ. พิมพ์คร้ังที่ 2.

กรุงเทพฯ : ทพี เี อ็นเพรส.

รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2534.
รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช 2540.
รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช 2550.
รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช 2560.
พระราชบญั ญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญว่าด้วย พรรคการเมือง พ.ศ. 2541.
พระราชบัญญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยคณะกรรมการการเลอื กตั้ง พ.ศ.2541.
พระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยการเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรและสมาชิก

วฒุ ิสภา พ.ศ. 2541.
พระราชบัญญตั ิประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าดว้ ยการเลือกต้งั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรและสมาชกิ

วุฒสิ ภา (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2542.
พระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ว่าด้วยการเลอื กตั้งสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรและสมาชิก

วฒุ ิสภา (ฉบบั ที่ 3 ) พ.ศ. 2543.

รัฐศาสตร์เบ้ืองตน้ หน้า 464

พระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญว่าด้วย พรรคการเมือง พ.ศ. 2560.
พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู ว่าด้วยการเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรและการ

ได้มาซ่ึงสมาชิกวฒุ ิสภา พ.ศ. 2560.
พระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนูญวา่ ด้วยการออกเสยี งประชามติ พ.ศ. 2560.
พระราชบญั ญัติประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าด้วยการออกเสยี งประชามติ พ.ศ. 2552.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. แก้ไขเพิม่ เตมิ 2554.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช 2560.

เอกสารภาษาตา่ งประเทศ
Alan R. Ball. (1971). Modern Politics and Government. London. Macmillan Company
Alec Nove and D.M. Nuti. (1972). Socialist Economics. Ontario. Canada.

Penguin Education. Inc.
Andrew Hacker. (1961). Political Theory, New York. Macmillan.
Andrew Heywood. (1997). Politics. New York. Macmillan.
Antony Flew. (1979). A Dictionary of Philosophy. London. Pan Books.
Austin Ranney. (1968). Political Science and Public Policy. Chicago. Markham

Publishing Company.
Barry Holden. (1973). The Nature of Democracy. London. Nelson Company.

Inc.
C.L. Wayper. (1969). Political Thought. London. St. Paul’s House Warwick Lane,

Teacher Yourself Book.
Chester Irving Banard. (1968). The Functions of the Executive. Harvard University. Press.
Carole Patenan. (1970). Participation and Democratic theory. Cambridge University

Press.
D.R. Matthews. (1960). U.S. Senators and Their World. University of North Carolina

Press.
David Easton. (1953). The Political System. New York. Knopf.
David Ernest Apter. (1977). Introduction to Political Analysis. Massachusetts.

Winthrop.
Dwight Waldo. (1955). The Study of Public Administration. New York.

Random House.
Dwaine Marvick. (1961). Political Decision-Makers. Glencoe. Free Press.
F.G. Bailey. (1973) Strategems and Spoils : The Social Anthropology of Politics.

New York. Schocken Book.
Field, George Lowel. (1951). Governments in Modern Society. Reprint. New York.

McGraw Hill.

รฐั ศาสตรเ์ บือ้ งตน้ หน้า 465

Frederick Pollock. (1960). An Introduction to the History of Politics. Boston.
Beacon Press.

Frederick W. Taylor. (1947). Principles of Scientific Management. New York. Harper.
Gabriel A. Almond. And Powell Bringham. (1966). Comparative Politics :

A Development Approach. Boston. Little Brown and Company.
Gabriel A. Almond. And James S. Coleman. (1960). The Politic of Development Areas.

Princeton. Princeton University Press.
Gabriel A. Almond. And Verba Sydney. (1965). The Civil Culture. Boston. Little Brown

and Company
Georg Daltton. (1975) Economic Systems and Society, Capitalism, Communism and

the Third World. Auckland. New Zealand. Pengiun Education. Penguin
Books.
Georg Wilhelm Friedrich Hegel. (1821). Philosophy of Right. Reprinted. Oxford
University Press, 1967
George P. Adam. (1958). Competitive Economic System. Binghamton.
N.Y. Vail-Ballou Press, Inc.
George Soule. (1952). Ideas of the Great Economists. London. The New England
Library Ltd.
Goals for Americans. (1960). American Assembly. Columbia University.
Harold D. Lasswell. (1960). Psychopathology and Politics. The University of Chicago
Press.

Heinz Eulau. (1963). The Behavioral Persuasion in Politics.
American Political Science Review.

-------------------. (1969). Micro – Macro Politics Analysis. Chicago. Alding.
Herbert A. Simon. (1997). Administrative Behavior 4th Edition. New York.

A division of Simon & Schuster Inc.
Herbert H. Hyman. (1959). Political Socialization. Glencoe, III. Free Press.
Herbert M. Levine. (1993). Political Issues Debated : An Introduction to Politics.

New York : Prentice Hall.
Herbert Mc Closkey. (1969). Political Inquiry. London. Macmillan.
Herbert Mc Closkey and John E. Turner. (1960). The Soviet Dictatorship. New York.

McGrawhill Book Company. Inc.
Heywood, Andres. (1997). Politics. London. Macmilland Press.
International Encyclopedia of the Social Science. (1968). New York : Macmillan and

Free Press.

รฐั ศาสตร์เบื้องตน้ หน้า 466

Jacobsen G.A. & Lipman M. H. (1962). Political Science (College Outline Series).
Barnes & Noble, Inc.

James Flynn and William Dunham. (1966). American Political Documents, New York:
Monarch Press.

James Roland Pennock, David G. Smith. (1964). Political Science : An Introduction.
New York : Macmillan Company.

Jean Jacques Rousseau. cf. Rodee, ea al. (1983). Introduction to Political Science, 4th
ed., McGraw-Hill.

Jean-Jacques Rousseau. Du Contrat Social. Reprint. BiblioBazaar. 2010.
John Locke, The Two Treatises of Government (Hollis ed.) (1689) The Online

Library of Liberty.
Joseph Lapalobala. (1963). Bureaucracy and Political Development. Princeton.

Princeton University Press.
Julius Gould and W.E. Kolb, eds. (1965). A Dictionary of the Social Sciences. Free

Press of Glencoe.
Karl Marx. Friedrich Engels. (1975). The Communist Manifesto. Auckland, N.Z.

Penguin Books. Ltd.
Lipson Walter. (1964). The Democratic Civilization. Bombay. Vikili Eeffer and Simons

Private.
Levine, Herbert M. (1990). Political Issues Debated : An Introduction to Politics.

New Jersey : Prectrice-Hall Inc.
Lucian W. Pye. (1966). Aspects of Political Development, Boston : Little, Brown.
Lucas J. R. (1976). Democracy and Participation. Penguin book.
Max Weber. (1947). The Theory of Social and Economic Organizations. Translated by

A.M. Handerson and T. Parsons. New York : Free Press.
Michael Curtis. (1978). Comparative Government and Politics : An Introductory

Essay In Political Science. Second edition. New York. Harper & Row
Publishers.
Michael G. Roskin and other. (1988). Political Science : Introduction.
New Jersey : Prectrice-Hall Inc.
Newton, Ken and Van Deth, Jan W. (2005). Foundations of Comparative Politics.
New York. Cambridge University Press.
Nicholas Henry. (1975). Public Administration and Public Affairs. Englewood Cliffs,
NewJersey. Prentice-Hall.
Patenan Carole. (1970). Participation and Democratic Theory. Cambridge University
Press.

รฐั ศาสตรเ์ บ้ืองต้น หน้า 467

Peter H. Odegard and Victor Rosenbaum. (1961). Documents and Readings in
American Government. New York. Holt, Rinehart and Winston.

Peter Sinnger. (1973). Democracy and disobedience. Clarendon Press.
Raney, Austin. (1962). The Governing of Men. New York : Holt, Rinehart and

Winston.
------------------. (1971). Governing : A Brirf Introduction to Political Science. New York.

Holt, Rinchart and Winson. Inc.
Robin Cohen and Pual Kenedy. (2000). Global Sociology. New York University.
Robert A. Dahl. (1977). Modern Political Analysis. Englewood Cliffs. New Jersey.

Prentice – Hall.
--------------------. (1967). Pluralistic Democracy in United State : Conflict and

Consent. Chicago. R. McNally.
Robert Freedman. (1973). Marx on Economics. Victorai. Australia. Penguin Books.
Rodee Carton C. and others. (1988). Introduction to Political Science. 2nd Edition.

New Jersey : McGreaw-Hill Inc.
Roland Pennock and David G. Smith. (1964). Political Science, New York. Macmillan.
Roy C. Macridis. (1955). Modern Political Regimes : Patterns and Institutions.

New York : Macmillan Company.
S. N. Eisenstadt. (1965). Other : The Political Systems of Empires. New York :

Article First.
Samuel Huntington. (1976). Comparative Modernization: A Reader, New York : Free

Press.
---------------------------. (1968). Political Order in Changing Societies. New Havan. Yale

University Press.
Seymour M. Lipset. (1960). Political Man “The Social Bases of Politics” New York.

Doubleday & Company. Inc.
Shafritz M. Jay. (2007). Introduction Public Administration. 5thed. New York. Pearson

Longman.
Silvert Kalman. (1977). The Reason for Democracy. New York. The Viking Press.
Stella Z. Theodoulou. (2002). Policy and Politics in Six Nations : A Comparative

Perspective on Policy Making. New Jersey. Prentics Hall.
Talcott Parsons. (1971). The System of Modern Societies. Englewood Cliffs, N.J.

Prentice Hall.
Terrence E. Cook and Patrick M. Morgan, (1971). Participatory Democracy.

San Francisco, Canfield Press.

รฐั ศาสตร์เบอ้ื งตน้ หนา้ 468

The Spirit of Laws. Vol.1 (Classic Reprint) by Charles De Secondat Montesquieu.
Author Forgotten Books.(2012)

Thomas Hobbs. (1651). HOBBS’S LEVIATHAN. Reprint from The Edition of 1651.
Oxford at the Clavender Press.

Waldo Dwight. (1955). The Study of Public Administration. Reprint. Garden City.
New York. Doubleday.

Weiner Myron. (1971). ”Political Participation : Crisis of The Political Process.”N.J.
Princeton University.

William N. Chambers. (1963). Political Parties in a New Nation. New York. Oxford
University Press.

William Ebenstein, et al. (1980). American Democracy in World Perspective, 5th
ed., New York: Harper Row

-------------------------. (1960). Great Political Thinkers, Plato to the Present. New York.
Holt, Rinehart and Winston.

Wolff Robert Paul. (1968). The Poverty of Liberalism. Boston. Beacon Press.
Wolf – Phillips, Leslies. (19672). Comparative Constitutions. London. Macmillan.

รัฐศาสตร์เบือ้ งต้น หน้า 469

จรญั สายปิ่น
ตาแหนง่ ทางวิชาการ ผชู้ ่วยศาสตราจารย์
การศึกษา ศศ.บ. (รฐั ประศาสนศาสตร)์ สถาบันราชภัฎอดุ รธานี

ศศ.ม. (รฐั ศาสตร)์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง
Ph.D. (Political Science) Magadh University Bihar India
ประวัติการทางาน
-ขา้ ราชการตารวจ
-อาจารยพ์ เิ ศษ มหาวิทยาลัยมหามกฎุ ราชวทิ ยาลัย
วทิ ยาเขตศรลี า้ นช้าง เลย, ศูนย์การศกึ ษาชมุ แพ ขอนแก่น
- อาจารย์มหาวทิ ยาลัยราชภฎั อดุ รธานี วิทยาเขตบงึ กาฬ หนองคาย
- กรรมการประจาสาขาวชิ ารฐั ประศาสนศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฎั เลย
ผลงานดา้ นตาราและเอกสารการสอน
- รัฐศาสตรเ์ บอ้ื งตน้
- ระบบบรหิ ารราชการไทย
- ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
- การเมืองการปกครองไทย
- ปรชั ญาและลทั ธทิ างการเมือง (รว่ ม)
- เทคนิคการบรหิ าร
- การเมืองการปกครองเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้


Click to View FlipBook Version