รับคําสั่ง เช่อื ฟงั อยู่ในอาณตั ิ หรอื อยู่ใต้การควบคุมของรฐั อน่ื หรอื องค์กรอื่นใดนอกประเทศ ด้วย
เหตุนี้ รัฐอาณานิคม รัฐในอารักขา หรือรัฐในอาณัติก็ดีจึงไม่มีฐานะเป็นรัฐเพราะขาดอิสรภาพ
หรือเอกราชดังกล่าว อย่างเช่นกรณี เยอรมนีและญี่ปุนภายหลังการแพ้สงครามก็ได้ถูกฝุาย
พันธมิตรผู้ชนะสงครามเข้ามาจัดการกําหนกฎเกณฑ์ในการบริหารภายในประเทศรวมท้ังการจัด
ร่างรัฐธรรมนญู การปกครองให้ดว้ ย (อานนท์ อาภาภริ ม,2528:39-40) ได้เสนออํานาจอธิปไตยมี
ลักษณะ ดงั น้ี
2.4.1 เด็ดขาด (Absoluteness) อํานาจอธิปไตยเป็นอํานาจสูงสุดในการ
ปกครองประเทศหรืออํานาจทางกฎหมายที่มีลักษณะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด (Final Legal Authority)
ได้แก่ การออกกฎหมายเพื่อใชบ้ ังคบั แก่ประชาชนของรัฐ อย่างไรกด็ ีการใช้อํานาจอธิปไตยในส่วน
ทีเ่ กีย่ วกบั การออกกฎหมายนี้จะต้องไม่ขัดต่อศีลธรรม หรือขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของ
ประชาชนเพราะท้ังศีลธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นสิ่งที่ประชาชนยึดถือปฏิบัติหากมี
กฎหมายใดไป ขัดแย้งย่อมส่งจะส่งผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจของประชาชน และในบางกรณีก็
เป็นการยากที่จะปฏิบัติตาม เช่น ประชาชนของรัฐหนึ่งมีขนบธรรมเนียมบริโภคข้าวเป็นอาหาร
หลักแต่รัฐออกกฎหมายห้ามประชาชนบริโภคข้าวโดยอ้างว่าจะขอส่งข้าวออกไปยังต่างประเทศ
เพื่อจะได้เงินต่างประเทศและแนะนําให้ประชาชนบริโภคข้าวโพดแทน ประชาชนย่อมไม่พอใจ
เพราะกฎหมายดังกล่าวขัดต่อขนบธรรมเนียมประเพณีที่ประชาชนยึดถือปฏิบัติเหล่านี้
เพราะฉะนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าความเด็ดขาดของอํานาจอธิปไตยถูกจํากัดโดยศีลธรรม และ
ขนบธรรมเนยี ม
2.4.2 ใช้ได้เป็นการทั่วไป (Universality) อํานาจอธิปไตยเป็นอํานาจที่สามารถ
ใช้ได้เป็นการท่ัวไปแก่ทุกสิ่งที่อยู่ในรัฐน้ัน หมายความว่า อํานาจอธิปไตยอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
นับต้ังแต่บุคคล กลุ่มบุคคล หรือองค์การที่อยู่ในอาณาเขตของรัฐ หากมีการละเมิดกฎหมาย
ข้อบังคับหรือระเบียบซึ่งอํานาจอธิปไตยได้กําหนดขึ้น บุคคลน้ันจะต้องได้รับโทษทัณฑ์ตามที่
กําหนดไว้ แต่มีข้อยกเว้น คือ เอกสิทธิ์ทางการทูต ซึ่งอํานาจอธิปไตยที่ไม่อาจใช้ในอาณาเขต
สถานทูตของผู้แทนรัฐอื่น รวมทั้งบุคคลในคณะทูต และพัสดุทางการทูตด้วย ซึ่งเป็นเร่ืองถ้อยที่
ถ้อยปฏิบตั ิตอ่ กันตามขนบธรรมเนยี มประเพณีทางการทตู ที่เคยปฏิบัติสบื ต่อกันมา อย่างไรก็ดี รัฐ
มีอํานาจทีจ่ ะยกเลิกเอกสิทธิค์ ุ้มกนั ทางการทูตนั้นได้ตามความเหมาะสมและความจาํ เป็น
2.4.3 ถาวร (Permanence) หมายความว่า อํานาจอธิปไตยมีอยู่ในรัฐนั้นโดย
ถาวร จะมีตราบเท่าที่รัฐน้ันยังมีอยู่ ถึงแม้ผู้ใช้อํานาจอธิปไตยของรัฐสิ้นสุดลง หรือมีการ
เปลี่ยนแปลงรูปการปกครองของรัฐ แต่อํานาจอธิปไตยยังคงอยู่ในรัฐอย่างถาวร เพราะ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวเป็นแต่เพียงการเปลี่ยนตัวผู้ใช้อํานาจอธิปไตยเท่านั้น มิได้มีการ
รัฐศาสตร์เบือ้ งตน้ หน้า 43
เปลี่ยนแปลงอํานาจอธิปไตยแต่ประการใด เว้นเสียแต่ว่ารัฐนั้นสลายตัวไป เช่น ประเทศที่ถูก
ปกครองโดยประเทศอน่ื ไม่ถือว่าเป็นรัฐโดยสมบูรณ์ เพราะรัฐน้ันไม่มีอํานาจอธิปไตยอย่างแท้จริง
เนื่องจากต้องคอยรับคาํ สัง่ จากประเทศทีม่ าปกครองเสียก่อน
2.4.4 แบ่งแยกมิได้ (Indivisibility) รัฐหนึ่งๆ ต้องมีอํานาจอธิปไตยเพียงหน่วย
เดียว เท่าน้ันหากมีการแบ่งแยกอํานาจอธิปไตยแล้วก็เท่ากบั ว่าอํานาจอธิปไตยได้ถูกทําลายลงซึ่ง
จะทําให้รัฐแตกสลายตัวไป อย่างไรก็ดี มีข้อน่าสังเกตว่าในการแบ่งอํานาจอธิปไตยให้องค์การ
ต่างๆในรัฐใช้น้ัน ถือเป็นการแบ่งอํานาจอธิปไตยตามหน้าที่เพื่อช่วยให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ
มั่นคงยิ่งขึ้น เพราะอํานาจอธิปไตยเป็นหน่วยเดียว หากมีการแบ่งออกเป็นส่วนๆแล้วอํานาจ
อธิปไตยก็จะแยกออกไปด้วย ซึ่งเป็นผลทําให้เกิดรัฐใหม่ เช่น แต่เดิมนั้นประเทศเกาหลีมีอํานาจ
อธิปไตยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่เม่ือมีการแบ่งออกทําให้เกิดรัฐใหม่ขึ้น คือ เกาหลีเหนือและ
เกาหลีใต้ เป็นต้น
อํานาจอธิปไตยเป็นอํานาจสูงสุดในการปกครองประเทศ สําหรับประเทศไทยน้ัน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนใน มาตรา 3 ว่า “อํานาจ
อธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อํานาจน้ันผ่านทาง
รัฐสภา คณะรัฐมนตรีและศาล” โดยแบ่งออกเป็น อํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และอํานาจ
ตุลาการ”
อํานาจนิติบัญญัติ คือ อํานาจในการออกกฎหมายไว้ใช้ในการปกครองประเทศตาม
หลกั การทั่วไป คอื รฐั สภา ซึ่งประกอบสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งประชาชนได้เลือกตั้งเข้า
มาทําหน้าที่แทนประชาชนในการออกกฎหมายต่างๆ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยภายในและ
เพื่อนาํ มาซึ่งความอยู่ดกี ินดีของประชาชนตลอดจนความม่ังค่ังของประเทศชาติ
อํานาจบริหาร คือ อํานาจซึ่งคณะรัฐมนตรีและข้าราชการท้ังหลายใช้ในการบริหาร
และปกครองประเทศตามกฎหมายซึ่งฝาุ ยนิติบัญญตั ิได้ตราขนึ้
อํานาจตุลาการหรืออํานาจศาล คือ อํานาจในการตัดสินคดีความข้อขัดแย้งต่างๆ
ระหว่างบุคคลกบั บุคคลหรือกบั รัฐ ตามกฎหมายที่ฝุายนิติบญั ญัติได้ตราขึน้
3. ทฤษฎีเกีย่ วกบั การกาเนิดรฐั
แน่นอนที่สุดว่าเราทั้งหลายเกิดมาหลังจากมีรัฐ รัฐเป็นสิ่งที่เกิดมาพร้อมกับการ
กําเนิดอารยะธรรมของมนุษย์หรือไม่ เป็นเวลานับศตวรรษที่นักวิชาการทางด้านรัฐศาสตร์ได้
พยายามค้นหาคําตอบของคําถามที่ว่า รัฐเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แต่คําตอบทีไ่ ด้ไม่สามารถหาข้อยุติ
ได้ จึงได้มีผู้ตั้งสมมติฐานขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาการกําเนิดของรัฐไว้หลายทฤษฎีซึ่ง
รฐั ศาสตรเ์ บอ้ื งตน้ หนา้ 44
แตล่ ะทฤษฎีต่างมงุ่ อธิบายถึงการเกิดรัฐต่างๆกัน (The Origin of The State) อาจมีส่วนถูกหรือผิด
อย่างในทฤษฎีเหลา่ นีไ้ ด้ เพราะรฐั กม็ ีสภาพเหมือนสถาบนั มนษุ ย์ทว่ั ๆไปที่ไม่อธิบายโดยอ้างทฤษฎี
ใดทฤษฎีหนึ่งเพียงทฤษฎีเดียว หรืออาศัยวิเคราะห์เพียงง่ายๆ ได้ยิ่งกว่าน้ันรัฐแต่ละรัฐก็ไม่
จําเป็นต้องเกิดมาในรูปแบบเดียวกันท้ังหมดด้วย (สุภาพ ปริญญเสวี, 2521 : 13 - 14) รัฐ (state)
อาจเป็นอาณาจักรกว้างใหญ่ที่เรียกว่าจักรวรรดิ(empire) หรืออาจเป็นราชอาณาจักร (kingdom)
ซึ่งเล็กกว่า รัฐในยุคร่วมสมัย หมายถึง รัฐ-ประชาชาติ หรือ รัฐ-ชาติ, ชาติ-รัฐ (nation state).
“ที่มาของรัฐ” ได้แก่ การวิเคราะห์ว่าอะไรน่าจะเป็นต้นเหตุให้คนในสังคมรวมตัวขึ้นมาเป็น
องค์การทางการเมือง ซึ่งมีทฤษฎีต่างๆ ที่อธิบายถึงการกําเนิดรัฐที่ควรนํามาพิจารณาศึกษา
ดงั ตอ่ ไปนี้ (Carlton C. Rodee, 1967 : 25-29)
3.1 ทฤษฎีเทวสิทธิ์ (The Devine Theory)
ทฤษฎีนี้ถือว่ารัฐเกิดมาจากสภาวะอันศักดิ์สิทธิ์ (Divine Origin) คือเทพยาดาหรือผู้
อยู่เหนือมนุษย์ ทฤษฎีเทวสิทธิ์ (ได้รับสิทธิจากพระเจ้ามาปกครอง) เป็นทฤษฎีที่เกี่ยวกับต้น
กําเนิดของรัฐที่มีความเก่าแก่ที่สุด ก็คือทฤษฎีนี้เชื่อว่าพระเจ้าได้ดลบันดาลหรือเป็นผู้สร้างรัฐ
ขนึ้ มา แนวคิดนีเ้ กิดจากอาณาจักรโบราณทางตะวนั ออกกลาง ผปู้ กครองเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจาก
พระเจ้า พวกฮิบบรู (Hebrews) โบราณเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างระเบียบกฎเกณฑ์ของการ
ปกครองขึ้นมา ในสมัยยุคกลางนักบวชในคริสต์ศาสนาก็ได้อ้างแนวความคิดนี้เพื่อว่า รัฐเป็นของ
พระเจา้ สร้างข้ึนมาเพื่อเปน็ การลงโทษการกระทาํ บาปของมนษุ ย์ ทฤษฎีมีความเชื่ออยู่ 3 ประการ
คือ
ประการแรก รฐั ได้รับการสถาปนาโดยเทวะองคก์ ารหรือโดยเทวดาประสงค์
ประการที่สอง ผู้ปกครองรัฐหรือเป็นประมุขของรัฐได้รับการแต่งต้ังโดยผู้มีสภาวะ
เหนอื มนษุ ย์ คือโดยพระผู้เป็นเจา้ หรอื เทวดาผู้ทรงฤทธิ์
ประการที่สาม ความรับผิดชอบหรือภารกิจที่ผู้นําหรือประมุขกระทําน้ันขึ้นอยู่กับ
อํานาจอนั ศกั ดิ์สทิ ธิน์ ั้นเท่านน้ั (Frederick Pollock. 1960)
ส่วนในทางตะวันออกหรือในทางเอเชีย มีลักษณะ สมมติเทพ หรือแบบเทวสมมุติ
เช่อื ว่าผปู้ กครองนน้ั มบี ญุ ญาธิการ อาวตานมาเกิดของเทวดา ยกตัวอย่าง เชน่
สมัยอียิปต์โบราณยุคไอยคุปต์มีความเชื่อว่า กษัตริย์หรือฟาโรห์ (Pharoah) สืบเชื้อ
สายมาจากเทพเจ้าทีช่ ือ่ รา (Ra)
ชาวทิเบตมีความเชื่อว่าองค์ดาไล ลามะ (Dali Lama) หรือ ทาไล หรือ ทาเลลามะ
สืบเช้ือสายมาจากพระพทุ ธเจา้
รฐั ศาสตรเ์ บอื้ งตน้ หนา้ 45
ชาวอินเดียโบราณ ในทางศาสนาฮินดู (Hinduism) มีความเชื่อว่ากษัตริย์เป็นองค์
“อวตาร” (Avatar) การแปลงกายของพระนารายณ์มาเพื่อช่วยเหลือยามบ้านเมืองไม่ปกติสุขหรือ
มีความสับสน กษัตริย์ได้รับการอวตารมาเพื่อสร้างและทําให้บ้านเมืองปกติสุข สิ้นยุคเข็ญ มีแต่
ความรุ่งเร่ืองเรียกว่า “รามราชย์” (Ram Rajya) แปบว่าแผ่นดินขององค์ราม เช่นในมหากาพย์ภา
รตะชื่อ รามเกียรต์ิ (The Ramayana)
ญี่ปุนก็มีความเชือ่ วา่ จกั รพรรดิ (Emperor) ของญีป่ ุนสบื เช้ือสายมากจากพระอาทิตย์
เทวี เขามกั เรียกตัวเองว่าชาวอาทิตย์อทุ ยั
ประเทศจีนโบราณ ลัทธิเทวสิทธิ์ปรากฏในรูปความเชื่อว่าฮ่องเต้ปกครองได้เพราะ
“อาณตั ิแหง่ สวรรค”์ (Mandate of Heaven) คือได้รับความเหน็ ชอบจากสวรรค์หรือพระเจ้า
สําหรบั ในประเทศไทยทฤษฎีเทวสิทธิ์มีอิทธิพลต้ังแต่ปลายสุโขทัยสืบเน่ืองจนกระท้ัง
ถึงสมัยอยุธยา,กรุงธนบุรีและสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ และมีอิทธิพลน้อยลงหลังรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลัย
พระมหากษัตริย์ไทยในสมัยทฤษฎีเทวสิทธิ์กับสังคมไทย พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ใน
ฐานะต่างๆ ดังน้ี
1.ทรงเป็นเจ้าชีวิต หมายความว่าทรงมีพระราชอํานาจเหนือชีวิตคนทุกคนใน
สังคม ไม่ว่าคนน้ันจะมีฐานะสูงต่ําอย่างไร จะเห็นในสมัยกรุงศรีอยุธยาพระมหากษัตริย์ทรงมี
อํานาจสั่งประหารชีวติ ผู้ใดก็ได้ข้ึนอยู่ที่พระมหากษัตริย์พระองค์เดียว บุคคลอื่นจะใช้อํานาจนี้ได้ก็
ต่อเมอ่ื ได้รับพระราชทานอาญาสทิ ธิ์
2.ทรงอยู่ในฐานะพระเจ้าแผ่นดิน หมายความ ว่าทรงเป็นเจ้าของที่ดินท่ัวพระ
ราชอาณาจักร จะพระราชทานที่ดินเป็นเนื้อที่เท่าใด ให้แก่ผู้ใดใช้ทํามาหากินก็ได้ หรือจะเรียกคืน
เมื่อใดก็ได้เช่นกัน
3.ทรงอยู่ในฐานะธรรมราชา ทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาและใช้พระราช
อํานาจปกครองรักษาสถาบันแห่งพระพุทธศาสนาตลอดจนศีลธรรม ทรงตราพระราชกําหนด
กฎหมายต่างๆให้คนในสังคมปฏิบัติโดยมีเง่ือนไขว่า จะต้องทรงปฏิบัติตามพระราชกําหนด
กฎหมายน้ันๆด้วยพระองค์เอง และทรงเป็นผชู้ ขี้ าดชน้ั สุดท้ายในข้อพพิ าทและความผดิ ถกู
4.ทรงเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ หมายถึงทรงอยู่ในฐานะเป็นจอมทัพไทย เป็นผู้
บัญชาการทหารสูงสุดของประเทศ ทรงเป็นผู้นําทหารในการศึกสงครามท้ังปวง ไม่ว่าจะเป็น
สงครามปูองกนั ประเทศหรือสงครามขยายพระราชอาณาเขต
5.ทรงเป็นเทวราช เม่ือมีพระบรมราชโองการแล้ว พระบรมราชโองการนั้นถือ
ว่าศักดิส์ ิทธิ์ผู้ใดจะขดั ขืนมิได้ แม้แตว่ ิจารณ์หรอื แสดงความคิดเห็นในทางใดๆไม่ได้ท้ังสิน้
รฐั ศาสตรเ์ บ้อื งต้น หนา้ 46
3.2 ทฤษฎีสญั ญาประชาคม (The Social Contract Theory)
ทฤษฎีสัญญาประชาคมเกี่ยวพันกับการสมมติฐานในเร่ือง “ภาวะธรรมชาติ” (state
of nature) และ “สิทธิโดยธรรมชาติ” (natural right) ท้ังนี้โดยอ้างว่าในสมัยดึกดําบรรพ์เป็นเวลา
ล่วงเลยนับหม่ืน ๆ ปีมาแล้ว มนุษย์โบราณยังไม่มีการรวมตัวเป็นบ้านเมืองหรือไม่มีการรวมตัว
เป็นรัฐนับได้ว่าเป็นภาวะธรรมชาติ โดยขาดความสัมพันธ์เชิงการเมือง ภาวะธรรมชาติเป็นเพียง
สภาพแห่งความเป็นองค์รวมของสังคม (society), ยังไม่มีสภาพเป็นสังคมการเมือง (political
society or polity) ในภาวะธรรมชาติคือเม่ือยังไม่มีการเกิดขึ้นของสังคมการเมือง มนุษย์ย่อมมี
สิทธิตามธรรมชาติ อันได้แก่ สิทธิที่มีมาแต่กําเนิดโดยเฉพาะในการปกครองตนเอง และเม่ือมีอยู่
ในตัวคนตั้งแต่เกิดย่อมสามารถมอบให้บุคคลอื่นได้ การมอบหมายยกสิทธิที่มีติดตัวเองมา (คือ
สิทธิธรรมชาติ) ให้ผู้อื่นนี้อาจทําได้ในรูปของการให้ทําหน้าที่อย่างหนึ่งหรือประกอบกิจหลาย
อย่างก็ได้ การมอบหมาย (delegate) มีลักษณะแห่งการให้เป็น “ตัวแทน” (representation) ในข้อ
สมมติฐานว่ามีการมอบหมายสิทธินี้ให้ถือว่าเป็นการกระทําพร้อม ๆ กันหลายคน เรียกว่ามีการ
ทํา “สัญญาประชาคม” หรือ “สัญญาสังคม” สัญญาประชาคม คือ ข้อสมมติฐานว่ามีการทํา
สัญญาโดยทีม่ กี ารมอบอํานาจหรือมอบสิทธิให้บคุ คลใดบุคคลหนึ่งให้เป็นผู้นําหรือผู้ปกครองของ
ชุมชนน้ัน
ทฤษฎีนี้ถือว่าอํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน (Popular Sovereignty) เป็นคําๆ
หนง่ึ ทางปรชั ญาการเมอื ง (Political Philosophy) และเป็นทฤษฎีทางรัฐศาสตร์ที่อธิบายถึงสาเหตุที่
ทาํ ให้มนุษย์มาอยู่ร่วมกัน และก่อตงั้ เป็นองค์การทางการเมืองขึ้น ซึ่งแนวความคิดอันเป็นทฤษฎีนี้
เริ่มมีมาต้ังแต่ยุคกลางตอนปลาย ทฤษฎีสัญญาประชาคมเสนอแนวความคิดที่ว่ามนุษย์เป็น
ผสู้ ร้างรฐั โดยมนษุ ย์ยินยอมร่วมกนั ทําสัญญาประชาคม (Social Contract) สําหรับนักทฤษฎีที่นิยม
ทฤษฎีสัญญาประชาคมที่เกิดขึ้นสมัยนั้น กล่าวได้ว่ามีนักทฤษฎีสัญญาประชาคมที่มีชื่อเสียงและ
มีอทิ ธิพลที่ได้รบั การยอมรับกันอย่างกว้างขวางมีอยู่ 3 ท่าน คือ โธมัส ฮอบล์ , จอห์น ล๊อค และ
ซัง ซากส์ รสุ โซ
3.3 ทฤษฎีแสนยานภุ าพหรอื ทฤษฎีพละกําลัง (Force Theory)
ทฤษฎีนี้เชื่อว่าการปกครองมีจุดเริ่มต้นมาจากการเข้ายึดครอง (Conquest) และการ
บังคับ (Coercion) ด้วยเหตุนี้รากฐานของรัฐ คือ ความอยุติธรรม (Injustice) และความชั่วร้าย
(Evil) ดังนั้นผู้ที่เข้มแข็งกว่าจึงสามารถข่มเหงผู้ที่อ่อนแอกว่า และได้สร้างกฎเกณฑ์ (Legitimacy)
เพื่อจํากัดสิทธิ์ของบุคคลอื่น ซึ่งแนวความคิดนี้พวกคริสเตียนในสมัยกลางเชื่อกันว่าอาณาจักร
โรมนั ได้ก่อกาํ เนิดข้ึนดว้ ยแสนยานุภาพ ซึ่งทางศาสนาเห็นว่าไม่ถกู ต้องและไม่เห็นด้วย
รัฐศาสตร์เบื้องตน้ หน้า 47
อย่างไรก็ตามมีความเห็นว่าอํานาจหรือพละกําลังนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เสียหายอย่างเดียว
ลทั ธินาซีในเยอรมนั ถือวา่ ชาตินยิ มเป็นลกั ษณะที่สาํ คัญของรัฐและเชื่อว่าอํานาจเป็นองค์ประกอบ
ที่สําคัญของรัฐบาล ทําให้เกิดความถูกต้องและความชอบธรรม (Might Makes Right) อํานาจ
สร้างความยุติธรรม ดังน้ันเผ่าชนที่มีพลังมากที่สุดคือเผ่าชนที่ดีที่สุด และรัฐคือองค์การที่มี
อาํ นาจเหนอื องค์การใดๆของมวลมนุษย์ นอกจากนั้นรัฐยังอยู่ในฐานะที่สูงกว่าศีลธรรมจรรยาท้ัง
ปวง แต่แนวความคิดนี้ก็สูญสลายลงไปพร้อมๆกับการพ่ายแพ้ของพวกนาซีในช่วงหลัง
สงครามโลกครั้งที่ 2
3.4 ทฤษฎีสญั ชาตญาณ หรอื ทฤษฎีธรรมชาติ (Instinct or Natural Theory)
ทฤษฎีนี้เริ่มต้นด้วยความเชื่อว่า โดยธรรมชาติมนุษย์เป็นสัตว์การเมือง ชาวกรีก
โบราณเชื่อว่ามนุษย์ไม่อาจแยกออกจากรัฐได้เพราะพิจารณาเห็นว่ารัฐเป็นสิ่งที่จําเป็นในการ
ดํารงอยู่ของมนษุ ย์และขณะเดียวกัน มนุษย์ก็สามารถประสบความสําเร็จมีชีวิตที่ดีได้ อริสโตเติ้ล
อธิบายว่าโดยธรรมชาติมนุษย์เป็นสัตว์การเมือง (by nature a political being) ผู้ซึ่งสามารถสร้าง
ความสําเร็จให้แก่ตนเอง โดยการมีชีวิตอยู่ในรัฐเท่าน้ัน มนุษย์ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในรัฐน้ันจะไม่ใช่
มนุษย์ แตจ่ ะเป็นพระเจา้ (a god) หรอื สัตว์ (a beast) อย่างใดอย่างหนึ่ง
ทฤษฎีนีเ้ ชอ่ื ว่า รฐั เกิดจากสญั ชาตญาณตามธรรมชาติของมนุษย์ ที่ไม่อาจจะอยู่โดด
เดีย่ วตามลําพังได้ การอยู่รวมกันเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ก่อให้เกิดชุมชนและสังคม
มนุษย์ขึ้น อันได้แก่ รัฐ ทฤษฎีนี้เชื่อว่ารัฐเป็นธรรมชาติ มีการเจริญเติบโต ซึ่งเป็นการหลีกเลี่ยง
ไม่ได้และเป็นสถาบนั ที่อาํ นวยประโยชน์แก่มนษุ ย์ทั้งปวง
3.5 ทฤษฎีววิ ัฒนาการ (Evolution Theory)
ทฤษฎีนี้มีความแตกต่างจากทฤษฎีอื่นๆคือเชื่อว่า รัฐได้ผ่านวิวัฒนาการเป็นข้ันๆ
ทฤษฎีเริ่มการอธิบายว่ามนุษย์อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็กมาจนเป็นรัฐในปัจจุบัน การอธิบาย
วิวัฒนาการของรัฐ (The Evolution of The State) นักรัฐศาสตร์บางท่านได้กล่าวถึงวิวัฒนาการ
ของรัฐในแง่กระบวนการเกิดรัฐ ทฤษฎีนี้พยายามใช้ประวัติศาสตร์การพัฒนาของมนุษย์เข้ามา
ประกอบ โดยทฤษฎีนีแ้ บ่งขน้ั ของการวิวฒั นาการออกเป็นหลายระดบั ต้ังแตร่ ะดับเล็กสุดไปจนถึง
ระดับใหญ่ที่สุด โดยเริ่มจากการเป็น เครือญาติหรือครอบครัว (Family) วิวัฒนาการไปเป็น ชน
เผ่า (Tribe) นครรัฐ (City State) จักรวรรดิ (Empire) ระบบศักดินา (Feudalism) และเป็น รัฐ
ชาติ (Nation State) ในปัจจุบันตามลําดับ โดยเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วก็จะกลายเป็น รัฐโลก (World
State) ซึ่งหมายถึงการสลายรฐั ประชาชนท้ังหมดทว่ั โลกอยู่ภายใต้การปกครองเดียวกนั
รัฐศาสตร์เบ้ืองตน้ หน้า 48
3.6 ทฤษฎีอภิปรชั ญา (Metaphysical Theory)
ทฤษฎีนี้เชื่อว่า รัฐมีสภาพพิเศษแตกต่างจากสังคมมนุษย์ทั่วไป เป็นสภาพนามธรรม
จับต้องสัมผัสไม่ได้ เป็นสภาวะที่มีอยู่จริง มีตัวตนเป็นเอกเทศจากสังคมมนุษย์ธรรมดา มีสภาพ
เฉพาะของตนเอง รัฐเป็นอมตะ คงอยู่ตลอดกาล มนุษย์เกิดมาเพื่อรัฐ แม้มนุษย์จะตายไป แต่รัฐ
จะต้องคงอยู่
3.7 ทฤษฎีทางกฎหมาย (Legal or Juristic Theory)
ทฤษฎีนีถ้ ือว่า เม่อื ประชากรมาอยู่รวมกนั ในสงั คมเป็นจํานวนมากขึ้น ย่อมมีการออก
กฎเกณฑ์ ข้อบังคับและบทบัญญัติต่างๆขึ้นมาใช้บังคับให้คนอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข องค์กรที่
ออกบทบญั ญตั ิ และมีอาํ นาจใชบ้ ทบัญญัติ หรอื กฎหมายน้ัน ก็คือ รฐั น่ันเอง
3.8 ทฤษฎีอัคคัญญสูตร (Akkhanyasuta Theory)
ในพระพุทธศาสนามีการกล่าวถึงไม่เพียงแต่กําเนิดรัฐอย่างเดียว แต่ยังกล่าวรวมไป
ถึงกาํ เนิดโลก กําเนิดมนษุ ย์ ตลอดจนชั้นวรรณะของมนุษย์อีกด้วย ซึ่งปรากฏในพระสุตตันตปิฎก
อคั คัญญสูตร พระพทุ ธองค์ไม่ได้ตรัสถึงเรื่องกาํ เนิดรัฐโดยตรง แตจ่ ดุ ประสงค์สําคัญเป็นการตรัส
สอนสามเณร 2 รูปที่เข้าเฝาู เกีย่ วกับการประพฤติปฏิบตั ิของมนษุ ย์ทางกาย วาจา ใจ ที่ทําให้เป็น
คนประเสริฐหรือไม่ประเสริฐ เป็นคนดีหรือเลวเพราะการกระทํา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชาติกําเนิด หรือ
ชน ช้ันวรรณะแต่อย่างใด เพราะมนุษย์ยุคแรกของโลกน้ัน มีกําเนิดเท่าเทียมกัน ไม่แตกต่างกัน
เลย ซึ่งตรัสถึงกาํ เนดิ รัฐ กาํ เนิดโลก และมนุษย์เพียงเป็นส่วนประกอบเท่านั้น ซึ่งเน้ือหาโดยย่อใน
พระสตู รดังกล่าว มีดงั ต่อไปนี้
พระผู้มพี ระภาคประทับ ณ ปราสาทของนางวิสาขาในบพุ พาราม ใกล้กรุงสาวัตถี
สมัยนั้น สามเณรชื่อ วาเสฏฐะและภารัทวาชะ (เดิมนับถือศาสนาอื่น) อยู่ปริวาส
(อบรม) ในภิกษุท้ังหลาย ปรารถนาความเป็นภิกษุ ชวนกันไปเฝูาพระผู้มีพระภาค ผู้กําลังจงกรม
อยู่ในที่แจง้ เพือ่ ฟังธรรม
พระผู้มพี ระภาคตรัสว่า พวกท่านมีชาติเป็นพราหมณ์ มีสกุลเป็นพราหมณ์ ออกบวช
พวกพราหมณ์ที่เป็นช้ันหัวหน้า ไม่ด่า ไม่บริภาษบ้างหรือ กราบทูลว่า ด่าอย่างเต็มที่ ตรัสถามว่า
ด่าอย่างไร กราบทูลว่า ด่าว่าพราหมณ์เป็นวรรณะประเสริฐ เป็นวรรณะขาว บริสุทธิ์ วรรณะอื่น
เลว เป็นวรรณะดํา ไม่บริสุทธิ์ พราหมณ์เป็นบุตรของพรหม เกิดจากปากพรหม เป็นพรหม
ทายาท พวกท่านละวรรณะอันประเสริฐ ไปเข้าสู่วรรณะเลว คือพวกสมณะศีรษะโล้น ซึ่งเป็นพวก
ไพร่ พวกดํา พวกเกิดจากเท้าของพระพรหม ซึง่ เป็นการไม่ดี ไม่สมควรเลย
รัฐศาสตรเ์ บือ้ งตน้ หนา้ 49
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า พราหมณ์พวกน้ันลืมตน เกิดจากองค์กําเนิดของนาง
พราหมณีแท้ๆ ยงั กล่าวว่าประเสริฐสดุ เกิดจากปากพรหมเป็นต้น ซึ่งเป็นการตู่พระพรหมและพูด
ปด
แล้วตรัสเร่ืองมนุษย์ 4 วรรณะ ที่ทําชั่วทําดีได้อย่างเดียวกัน และเร่ืองที่พระเจ้าป
เสนทิโกศล (ผู้เป็นกษัตริย์) แต่ปฏิบัติต่อพระองค์ซึ่งพวกพราหมณ์ถือว่าเป็นพวกดํา (เพราะปลง
ศรี ษะออกบวช) อย่างเต็มไปด้วยความเคารพ
คร้ันแล้วตรัส (เป็นเชิงปลอบใจ หรือให้หลักการใหม่) ว่าท่านทั้งหลายมาบวชจาก
โคตร จากสกลุ ต่างๆ เมือ่ มีผู้ถามว่าเป็นใคร ก็จงกล่าวตอบว่า พวกเราเป็นสมณะศากยบุตร ผู้ใด
มีศรัทธาต้ังมั่นในตถาคต ผู้นั้นย่อมควรที่จะกล่าวว่า เราเป็นบุตร เป็นโอรสของพระผู้มีพระภาค
เปน็ ผู้เกิดจากธรรม อนั ธรรมสร้าง เปน็ ธรรมทายาท (ผรู้ บั มรดกธรรม) ทั้งนีเ้ พราะคําว่า ธัมมกาย
(กายธรรม) พรหมกาย (กายพรหม) และผู้เป็นธรรม ผู้เป็นพรหม นี้เป็นชื่อของตถาคต (เป็นการ
แก้ข้อด่าของพวกพราหมณ์ โดยสร้างหลักการใหม่ให้พวกมาบวชจากทุกวรรณะ ได้ชื่อว่า มี
กาํ เนิดใหม่ที่ไม่แพ้พวกพราหมณ์)
คร้ันแล้วตรสั เร่อื ง สมัยหนึง่ โลกหมนุ เวียนไปสู่ความพินาศ สัตว์ทั้งหลายไปเกิดในช้ัน
อาภสั สรพรหมกันโดยมาก เม่ือโลกหมุนกลับ (คือเกิดใหม่ภายหลังพินาศ) สัตว์เหล่าน้ันก็จุติมาสู่
โลกนี้ เป็นผู้เกิดขึ้นจากใจ กินปีติเป็นภักษา (ยังมีอํานาจฌานอยู่) มีแสงสว่างในตัว ไปได้ใน
อากาศ (เชน่ เดียวกบั เมื่อเกิดในช้ันอาภัสสรพรหม)
อาหารช้ันแรก
แล้วเกิดมีรสดนิ (หรอื เรียกว่า ง้วนดิน) อันสมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น รส สัตว์ท้ังหลายเอา
นิ้วจ้ิมง้วนดินลิ้มรสดูก็ชอบใจ เลยหมดแสงสว่างในตัว เม่ือแสงสว่างหายไป ก็มีพระจันทร์ พระ
อาทิตย์ มีดาวนักษัตร มีคืนวัน มีเดือน มีกึ่งเดือน มีฤดู และปี เม่ือกินง้วนดินเป็นอาหาร กายก็
หยาบกระด้าง ความทรามของผิวพรรณก็ปรากฏ พวกมีผิวพรรณดี ก็ดูหมิ่นพวกมีผิวพรรณ
ทราม เพราะดูหมิ่นผู้อื่นเร่ืองผิวพรรณ เพราะความถือตัวและดูหมิ่นผู้อื่น ง้วนดินก็หายไป ต่างก็
พากันบ่นเสียดาย แล้วก็เกิดสะเก็ดดินที่สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรสขึ้นแทนใช้เป็นอาหารได้ แต่
เม่ือกินเข้าไปแล้วร่างกายก็หยาบกระด้างยิ่งขึ้น ความทรามของผิวพรรณนาก็ปรากฏชัดขึ้น เกิด
การดูหมิ่น ถือตัว เพราะเหตุผิวพรรณนั้นมากขึ้น สะเก็ดดินก็หายไป เกิดเถาไม้สมบูรณ์ด้วยสี
กลิ่น และรสขึ้นแทน ใช้กินเป็นอาหารได้ ความหยาบกระด้างของกาย และความทรามของผิว
พรรณนาก็ปรากฏมากขึ้น เกิดการดูหมิ่นถือตัว เพราะเหตุผิวพรรษนั้นมากขึ้น เถาไม้ก็หายไป
ข้าวสาลี ไม่มเี ปลือก มีกลิ่นหอม มีเมล็ดเป็นข้าวสารก็เกิดขึ้นแทน ใช้เป็นอาหารได้ ข้าวนี้เก็บเย็น
รฐั ศาสตร์เบื้องตน้ หน้า 50
เช้าก็แก่แทนที่ขึ้นมาอีก เก็บเช้าเย็นก็แก่แทนที่ขึ้นมาอีก ไม่ปรากฏพร่องไปเลย ความหยาบ
กระด้างของกาย ความทรามของผิวพรรณนาก็ปรากฏมากขนึ้
เพศหญิงเพศชาย
จึงปรากฏเพศหญิงเพศชาย เม่ือต่างเพศเพ่งกันแลกันเกินขอบเขต ก็เกิดความ
กําหนัดเร่าร้อน และเสพเมถุนธรรมต่อหน้าคนทั้งหลาย เป็นที่รังเกียจและพากันเอาสิ่งของขว้าง
ปา เพราะสมัยนั้นถือว่าการเสพเมถุนเป็นอธรรม เช่นกับที่สมัยนี้ถือว่าเป็นธรรม (ถูกต้อง) ต่อมา
จงึ รจู้ กั สร้างบ้านเรือน ปกปิดซ่อนเรน้
การสะสมอาหาร
ต่อมามีผู้เกียจคร้านที่จะนําข้าวสาลีมาตอนเช้าเพื่ออาหารเช้า นํามาตอนเย็นเพื่อ
อาหารเย็น จึงนํามาคร้ังเดียวให้พอทั้งเช้าและเย็น ต่อมาก็นํามาคร้ังเดียวให้พอสําหรับ ๒ วัน ๔
วัน ๘ วัน มีการสะสมอาหาร จึงเกิดมีเปลือกห่อหุ้มข้าวสาร ที่ถอนแล้วก็ไม่งอกขึ้นแทน ปรากฏ
ความพร่อง (เป็นตอนๆ ที่ถูกถอนไป) มนุษย์เหล่านั้นก็ประชุมกันปรารภความเสื่อมลงโดยลําดับ
แล้วก็มีการแบ่งขา้ วสาลี กาํ หนดเขต (เป็นของคนนนั้ คนนี)้
อกุศลธรรมเกิดข้ึน กษตั รยิ ์เกิดข้ึน
ต่อมาบางคนรกั ษาส่วนของตน ขโมยของคนอ่นื มาบริโภค เม่ือถูกจับได้ ก็เพียงแต่ส่ัง
สอนกันไม่ให้ทําอีก เขาก็รับคํา ต่อมาขโมยอีก ถูกจับได้ถึงคร้ังที่ 3 ก็ส่ังสอนเช่นเดิมอีก แต่บาง
คนกล็ งโทษ ตบด้วยมือ ขว้างดว้ ยก้อนดนิ ตีดว้ ยไม้ เขาจึงประชุมกันปรารภว่า การลักทรัพย์ การ
ติเตยี น การพูดปด การจับท่อนไม้เกิดขึ้น ควรจะแต่งต้ังคนขึ้นให้ทําหน้าที่ติคนที่ควรติ ขับไล่คนที่
ควรขับไล่ โดยพวกเราจะแบ่งส่วนข้าวสาลีให้ จึงเลือกคนที่งดงาม มีศักดิ์ใหญ่แต่งต้ังเป็นหัวหน้า
เพื่อปกครองคน (ติและขับไล่คนที่ทําผิด) ค่าว่า “มหาสมมต” (ผู้ที่มหาชนแต่งตั้ง) กษัตริย์ (ผู้เป็น
ใหญ่แหง่ นา) ราชา (ผทู้ าํ ความอม่ิ ใจ สุขใจแก่ผอู้ ื่น) จงึ เกิดขึน้
กษัตริย์ก็เกิดขึ้นจากคนพวกนั้น มิใช่พวกอื่น จากคนเสมอกัน มิใช่คนไม่เสมอกัน
เกิดขึ้นโดยธรรม มิใช่เกิดขึ้นโดยอธรรม ธรรมจึงเป็นสิ่งประเสริฐสุดในหมู่ชน ทั้งในปัจจุบันและ
อนาคต
เกิดพราหมณ์ แพศย์ ศูทร
ยังมีคนบางกลุ่มออกบวชมุ่งลอยธรรมที่ชั่ว ที่เป็นอกุศล จึงมีนามว่า พราหมณ์ (ผู้
ลอยบาป) สร้างกุฎีหญ้าขึ้น เพ่งในกุฎีนั้น จึงมีนามว่า ฌายกะ (ผู้เพ่ง) บางคนไปอยู่รอบหมู่บ้าน
รอบนิคม แต่งตํารา (อรรถกถาว่า แต่งพระเวทและสอนให้ผู้อื่นสวดสาธยาย) คนจึงกล่าวว่า ไม่
เพ่ง นามว่า อัชฌายกะ (ผู้ไม่เพ่ง) จึงเกิดขึ้น เดิมหมายความเลว แต่บัดนี้หมายความดี (อัชฌาย
กะ ปจั จุบนั นแี้ ปลว่า ผสู้ าธยาย)
รัฐศาสตร์เบ้ืองต้น หนา้ 51
ยังมีคนบางกลุ่ม ถือการเสพเมถุนธรรม ประกอบการงานเป็นส่วนๆ จึงมีชื่อว่า
เวสสะ (แพศย์ ประกอบการค้า)
ยังมีคนบางกลุ่ม ประกอบการฆ่าสัตว์ อาศัยการล่าสัตว์เลี้ยงชีวิต จึงมีชื่อว่า ศูทร
(พระไตรปิฎกฉบบั ไทยตกหาย ข้อความวรรคนที้ ั้งวรรค จงึ ตอ้ งแปลตามฝรั่ง อรรถกถาอธิบายคํา
ว่า สุทท (ศูทร) ว่าเพี้ยนมาจากคําว่า สุทท (นายพราน) หรือ ขุทท (งานเล็กๆน้อยๆ) เป็นเชิงว่า
พวกแพศย์ คือ ผทู้ าํ งานสาํ คญั แตพ่ วกศูทรทํางานเลก็ ๆน้อยๆ ทีเ่ ข้าใจกันท่ัวไป คือ ศูทรเป็นพวก
คนงาน หรอื คนรบั ใช้)
ครั้นแล้วตรัสสรปุ ว่า ทั้งพราหมณ์ แพศย์ ศูทร ก็เกิดจากคนพวกน้ัน มิใช่เกิดจากคน
พวกนั้น เกิดจากคนที่เสมอกัน มิใช่เกิดจากคนที่ไม่เสมอกัน เกิดขึ้นโดยธรรม มิใช่เกิดขึ้นโดย
อธรรม (แสดงว่าการแบ่งช้ันวรรณะนั้น ในชั้นเดิมมิได้มาจากหลักการอื่น นอกจากการแบ่งงาน
หรือแบ่งหน้าที่กันตามความสมัครใจ แล้วก็ไม่ใช่ว่าใครวิเศษกว่าใครมาแต่ต้น แท้จริงก็คนชั้น
เดียวกันมาแต่เดิม ท้ังนีเ้ ป็นการทาํ ลายทิฏฐมิ านะ ช่วยให้ลดการดูหมิ่นกันและกัน เป็นการปฏิเสธ
หลกั การของพราหมณ์ ทีว่ า่ ใครเกิดจากส่วนไหนของพระพรหม ซึ่งสูงต่ํากว่ากัน)
สมณมณฑล
แล้วตรัสต่อไปว่า มีสมัยซึ่งบุคคลในวรรณะท้ัง 4 มีกษัตริย์ เป็นต้น ไม่พอใจธรรมะ
ของตนออกบวช ไม่ครองเรือน จึงเกิดสมณมณฑล หรือ คณะของสมณะขึ้น จากคณะทั้ง 4 คือ
เกิดจากคนเหล่าน้ัน มิใช่เกิดจากคนพวกอื่น เกิดจากคนที่เสมอกัน มิใช่เกิดจากคนที่ไม่เสมอกัน
เกิดขึ้นโดยธรรม มิใช่เกิดขึ้นโดยอธรรม (อันนี้เป็นการพิสูจน์ว่า คนชั้นสมณะที่พวกพราหมณ์ดู
หม่นิ อย่างยิ่งนั้น กเ็ กิดจากวรรณะท้ัง 4 ซึ่งมีมูลเดิมมาด้วยกัน ไม่ใช่ใครสูงต่ํากว่ากนั )
การได้รับผลเสมอกัน
คร้ันแล้วตรัสสรุปว่า ท้ังกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร และสมณะ ถ้าประพฤติ
ทุจริตทางกาย วาจา ใจ มีความเห็นผิด ประกอบกรรมซึ่งเกิดจากความเห็นผิด เม่ือตายไปก็จะ
เข้าถึงอบาย ทคุ ติ วินบิ าต นรกเหมอื นกัน ถ้าตรงกันข้าม คือ ประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ มี
ความเห็นชอบ ประกอบการกรรมซึ่งเกิดจากความเห็นชอบ เม่ือตายไป ก็จะเข้าถึงสุคติ โลก
สวรรค์ เหมอื นกนั หรอื ถ้าทําท้ังสองอย่าง (คือชวั่ ก็ทาํ ดีกท็ ํา) กจ็ ะได้รบั ทั้งสุขท้ังทกุ ข์เหมอื นกนั
อนึ่ง วรรณะท้ัง 4 นี้ ถ้าสํารวมกาย วาจา ใจ อาศัยการเจริญโพธิปักขิยธรรม 7 ประการก็จะ
ปรินิพพานได้ในปัจจุบันเหมือนกัน และวรรณะท้ัง 4 เหล่านี้ ผู้ใดเป็นภิกษุ เป็นพระอรหันต์
ขีณาสพ หมดกิจ ปลงภาระ หลุดพ้นเพราะรู้โดยชอบ ผู้น้ันก็นับว่า เป็นยอดแห่งวรรณะเหล่าน้ัน
โดยธรรม มิใช่โดยอธรรม เพราะธรรมเป็นสิ่งประเสริฐสุดในหมู่ชนท้ังในปัจจุบันและอนาคต ใน
ที่สุด ตรสั ย้ําถึงภาษิตของสนงั กมุ ารพรหมและของพระองค์ ที่ตรงกนั ว่า
รฐั ศาสตรเ์ บ้อื งต้น หนา้ 52
“กษัตรยิ ์เป็นผู้ประเสรฐิ สดุ ในหมชู่ นผู้ถือโคตร แตผ่ ใู้ ดมีวชิ ชา (ความรู้) จรณะ (ความ
ประพฤติ) ผนู้ ้ันเปน็ ผปู้ ระเสริฐสดุ ในเทวดาและมนุษย์”
ใจความสําคัญของอัญคัญญสูตร และเม่ือวิเคราะห์เนื้อหาในพระสูตรนี้แล้วพอจะ
สรุปสาระสาํ คัญเกีย่ วกับกําเนิดของรัฐได้ดังน้ี
1. สภาพธรรมชาติ (State of Nature) ในทัศนะของอัคคัญญสูตรนั้น ตอนแรกเริ่มมี
ลักษณะบริสุทธิ์ผุดผ่อง เสมือนว่าโลกยุคนั้นเป็นสวรรค์ เพราะปรากฏว่า มนุษย์ยุคแรกมีบรรพ
บุรุษจุติมาจากอาภัสสรพรหม ซึ่งเป็นพรหมช้ันหนึ่งในจํานวน16 ช้ัน จึงเป็นมนุษย์ที่ไม่มีความ
อยากความต้องการ เพราะมีพร้อมทุกสิ่ง กายเป็นทิพย์ อาหารก็เป็นทิพย์ ความจําเป็นที่จะก่อ
เปน็ สังคม เป็นรฐั ก็ไม่มี เปน็ สภาวะทีส่ งบต่างคนตา่ งอยู่ ความขัดแย้งกนั กไ็ ม่มี
2. เม่ือมนุษย์เหล่านั้น ดํารงชีพอยู่ด้วยอาหารหยาบ และมีลักษณะเป็นสังคมก็ยังไม่
มีปัญหา เพราะปัจจัยเลี้ยงชีพขั้นพื้นฐานคืออาหารนั้น สามารถหาเอาได้จากพื้นดินอันอุดม
สมบูรณ์ ยงั ไม่รู้จักการเก็บสะสม เพราะยังไม่มีความจําเป็นต้องสะสม ทรัพย์สินส่วนบุคคลจึงยัง
ไม่มี ทรัพยากรที่มอี ยู่จงึ เป็นกรรมสทิ ธิส์ ่วนรวม
3. มนุษย์ยุคบรรพกาล ยังมีความดีพร้อม แต่มนุษย์เหล่าน้ัน ต้องสูญเสียความดี
ไป เม่ือมีความแตกต่างกันเกิดขึ้นโดยเฉพาะคือ ความแตกต่างทางผิวพรรณ จึงเกิดความช่ัว
ขึน้ คือ การดหู ม่นิ เหยียดหยามกนั ขึน้ ความดจี งึ เริม่ ถูกบดบงั
4. การสืบพันธุ์เป็นสัญชาติญาณดั้งเดิม และเป็นเหตุให้เกิดครอบครัว เม่ือเกิด
ครอบครัวขึ้นแล้ว ทําให้เกิดความผูกพันเฉพาะครอบครัว จึงเกิดความคิดสะสมต้องแบ่งปันปัก
เขตการทํามาหากินกนั เป็นสัดส่วน
5. เมือ่ สงั คมเติบโตขึน้ มนุษย์มมี ากขึ้น ภาวะทีแ่ ท้จริงของมนษุ ย์ตั้งแต่บรรพกาลจวบ
จนปจั จบุ นั ก็คือ มนษุ ย์มดี ีมชี ่ัว ความช่ัวที่ปรากฏครั้งแรกในหมู่มนุษย์ คือความโลภเป็นต้นเหตุให้
เกิดความเห็นแก่ตัว ความเกียจคร้าน และการลักขโมยความชั่วต่อมาคือ การเหยียดหยาม การ
ทะเลาะวิวาท ผลก็คือทาํ ให้สงั คมป่ันปุวนระสา่ํ ระสาย
6. แต่ความต้องการของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย ก็คือความสุขความสงบ ความ
ระส่ําระสายในสังคม จึงเป็นสิ่งขัดแย้งต่อความต้องการของมนุษย์ เป็นเหตุให้มนุษย์แสวงหาทาง
คืนสู่ความสงบสุขที่เคยมีมาแต่เดิม โดยร่วมใจกันไปขอให้ผู้มีความสามารถมีกําลังแข็งแรง
กว่า ทําหน้าที่ขจัดปัดเปุาความระสํ่าระสายในสังคมโดยให้อํานาจลงโทษผู้ทําผิด ซึ่งเป็นต้นเหตุ
แหง่ ความระสา่ํ ระสายน้ัน
รฐั ศาสตรเ์ บ้ืองตน้ หนา้ 53
7. ผทู้ ีไ่ ด้รบั เลือกนี้มีฐานะเป็นหัวหน้า เป็นตําแหน่งมหาชนสมมติ ตําแหน่งที่ได้มาจึง
คล้ายๆการเลือกตั้งประมุขของรัฐในบางประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างมหาชนสมมติกับคนอื่นๆ
ในสงั คม มีลกั ษณะคล้ายกบั ความสมั พันธ์ระหว่างประมุขของรฐั กบั พสกนิกร
8. มหาชนสมมติ ได้รับมอบอํานาจจากมหาชนให้เป็นผู้ปกปูองคุ้มครองชีวิตและ
ทรัพย์สิน ช่วยเป็นผู้ตัดสิน ในกรณีที่มีความขัดแย้งในสังคม หน้าที่หลักที่สําคัญที่สุด คือ การ
ลงโทษผกู้ ระทาํ ผิด
9. ตามอัญคัญญสูตร เราจึงสรุปได้ว่า ความขัดแย้ง การทะเลาะวิวาท และการเอา
รดั เอาเปรียบกันในหมู่มนุษย์เป็นเหตุสําคัญที่ทําให้เกิดความจําเป็นต้องมีรัฐ มีผู้ปกครอง และมีผู้
ใต้ปกครอง ท้ังนี้เพราะเม่ือมนุษย์จํานวนมากรวมตัวกันเป็นสังคม ปัญหาที่ตามมาคือความ
ขัดแย้ง แมแ้ ตใ่ นปจั จบุ นั นกี้ ม็ ีลักษณะเชน่ นั้นปรากฏอยู่
4. รฐั ชาติหรอื รัฐประชาชาติ
รัฐ ชาติและประเทศ (State Nation and Country) ศัพท์ที่เกี่ยวกับการจัดองค์การ
ทางการเมอื งมหี ลายคําด้วยกัน ศัพท์ทีใ่ ชก้ ันบ่อยมากในปจั จบุ ัน คือ 1) รัฐ 2) ประเทศ 3) ชาติ ท้ัง
สามคําศัพท์นี้มีความหมายคล้ายกัน สําหรับส่วนที่แตกต่างกัน คือ การเน้นหนักของความหมาย
ว่ามีความโน้มเอียงไปทางใด
1. รัฐ เป็นศัพท์ที่เน้นสภาวะทางการเมือง คือ ความเป็นอธิปไตย รัฐประชาชาติ :
ความหมายสากล เม่ือกล่าวถึงไทยในฐานะ“รัฐประชาชาติ” (หรือรัฐ) เป็นการเน้นว่าบ้านเมือง
ของเราน้ันเป็นที่ยอมรับของ “นานาชาติ”ว่าเป็นรัฐที่มีอธิปไตยคือ มีอิสรภาพเต็มทีในฐานะเป็น
ประเทศเอกราช
2. ประเทศ เป็นศัพท์ที่เน้นสภาวะทางภูมิศาสตร์ ประเทศ : เน้นสภาพภูมิศาสตร์
เมือ่ เรากล่าวถึงประเทศไทยในฐานะ “ประเทศ” เรามักหมายถึง 1) สภาพดินฟูาอากาศ 2) ความ
อุดมสมบูรณ์ของดิน 3) การมีแม่น้ํา, บึง, ลําคลอง, ภูเขา, ปุาไม้ ฯลฯ ลักษณะที่เน้นคือ สภาพ
ภูมศิ าสตร์
3. ชาติ เปน็ ศพั ท์ทีเ่ น้นสภาพทางวัฒนธรรมของประชากร ศัพท์ “ชาติ” บ่งให้เห็นถึง
เชื้อชาติ คือ รูปร่างหน้าตาของผู้คนบริเวณนั้นๆ ชาติ : เน้นเชื้อสายและวัฒนธรรม เม่ือกล่าวถึง
ไทยในฐานะ “ชาติ” เรามักนึกถึงภาพถึงเชื้อสายของคนไทย อุปนิสัยใจคอและขนบธรรมเนียม
ต่างๆลกั ษณะที่เน้นคือ วฒั นธรรมและเช้ือชาติ (จริ โชค วรี ะสัย, 2540 : 91)
4.1 องค์ประกอบของชาติหรอื ประชาชาติ
รฐั ศาสตรเ์ บือ้ งต้น หน้า 54
ชาติ หรอื ประชาชาติมีองค์ประกอบหรือลักษณะที่สําคัญ 5 อย่าง ได้แก่ การมีความ
ผูกพันต่อถิ่นที่อยู่, ประวัติศาสตร์ร่วมกัน, ภาษาและวรรณคดีร่วมกัน, วัฒนธรรมร่วมกัน และ
ความตอ้ งการอยู่อย่างอสิ ระ
4.1.1 การมคี วามผกู พันต่อถิ่นที่อยู่ การรู้สึกว่าเป็นสมาชิก หรือส่วนหนึ่งของชาติ
ใดชาติหนึง่ ขึ้นอยู่กับการที่ได้เคยอาศัยอยู่ ในสถานที่หนึ่ง เป็นเวลานานพอสมควรโดยปกติการมี
ภูมิลําเนาอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งนาน ๆ ย่อมทําให้ เกิดความรู้สึก หรือทําให้มีอารมณ์ผูกพันต่ออาณา
บริเวณนั้น ๆ ดนตรี กวีนิพนธ์ของแต่ละชาติมักสะท้อนภาพความผูกพันกับบ้านเกิดเมืองนอน
ความตรึงใจกับปิติภูมิ มาตุภูมิ เช่น เพลงลุ่มเจ้าพระยา เพลงบางปะกง เพลงลําน้ําพอง เพลงริม
ฝง่ั หนองหาน เพลงชาติ (National anthem) แตล่ ะชาติหรอื รัฐประชาชาติมีเพลงประจําชาติของตน
ซึง่ เป็นสญั ลักษณ์แหง่ ความเป็นชาติเดียวกัน
4.1.2 การมีประวัติศาสตร์ร่วมกัน ความรู้สึกว่าเป็น “ชาติ” น้ัน ขึ้นอยู่กับการ
ผ่านประสบการณ์ร่วมกันในอดีตต้ังแต่สมัยบรรพบุรุษ สายโยงจากอดีตสู่ปัจจุบันและสืบต่อสู่
อนาคตน้ัน ได้แก่ ประวัติศาสตร์ซึ่งบันทึกความเป็นมาของกลุ่มชน ท้ังที่เป็นตัวอักษรและ
“ประวัติศาสตร์บอกเล่า” (oral history) การได้ยินได้ฟังกิติศัพท์ของวีรชนเก่า ๆ เช่น พระร่วงกับ
ขอมดําดิน วีรชนบางระจัน ท้าวเทพสตรีท้าวศรีสุนทร วีรกรรมแห่การกู้ชาติของคนไทยในอดีต
การรู้จักประวัติศาสตร์ร่วมกันหรือรู้ว่าร่วมชะตากรรมกันมาแต่อดีตเสริมเกลียวสัมพันธ์ว่าเป็น
ชาติเดียวกนั
4.1.3 การมีภาษาและวรรณคดีร่วม ชาติหนึ่ง ๆ ย่อม มีภาษาและวรรณคดีอัน
เป็นเอกลักษณ์หรือลักษณะเฉพาะตัว ภาษาเป็นสื่อแห่งความเข้าใจ ชาติที่มีภาษาหลายภาษามัก
ประสบปัญหาในการรวมตัวเป็นชาติ ดังนั้น จึงมักมีความพยายามในสังคมแบบหลากหลาย หรือ
แบบพหุสังคม เช่น มาเลเซีย และอินโดนีเซียที่จะให้มีภาษาประจําชาติ กรณีที่เป็นวรรณคดีร่วม
หมายความว่า คนในชาติซึ่งเคยชินกับนิทานหรือวรรณกรรมของชาติ ย่อมมีความผูกพันว่าเป็น
กลุ่มเดียวกันหรือพวกเดียวกนั ความรสู้ ึกเช่นวา่ นั้นย่อมส่งเสริมความรู้สกึ ว่าเป็นชาติเดียวกัน
4.1.4 การมีวัฒนธรรมร่วม วัฒนธรรมเป็นผลิตผลทางสังคมจากการกระทําของ
มนุษยชน แตล่ ะชาติมีวัฒนธรรมทีเ่ ปน็ เอกลักษณ์ คือ ลักษณะพิเศษของตนเอง อัตลักษณ์ของแต่
ละชาติปรากฏในรูปของการแต่งกาย แนวความคิดสิ่งประดิษฐ์ลีลาแห่งการดํารงชีวิต วิธีการ
อบรมบ่มนิสัยเด็ก ขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ การขับรถชิดซ้ายหรือขวา วิธีการร่วมมือกัน
เช่น 1) การ “ลงแขกเกี่ยวข้าว” 2) พิธีการแห่นางแมวขอฝน 3) การนับถือศาสนา 4) การเคารพ
พระภูมิเจ้าที่ 5) ประเพณีปีใหม่ 6) การสร้างบ้านแบบมีนอกชาน 7) การแต่งกาย และอื่น ๆ ที่
กล่าวมานีล้ ้วนเป็นวัฒนธรรมตามความหมายแห่งสงั คมศาสตร์ทั้งสิ้น ซึ่งมีขอบเขตกว้างขวางเกิน
รฐั ศาสตรเ์ บอ้ื งต้น หน้า 55
กว่าเร่ืองขนบธรรมเนียมเท่าน้ัน การมี “ปทัสถาน” หรือ “บรรทัดฐาน” (norms) แห่งพฤติกรรม
คล้าย ๆ กันเป็นลกั ษณะของคนชาติเดียวกนั ตัวอย่าง คือ คนไทยถือเรอ่ื งบุญเรือ่ งบาปเป็นสําคัญ
อีกตวั อย่างหนึ่ง คือ วัฒนธรรมไทยเน้นเร่ืองการไม่ยืนค้ําศีรษะผู้ใหญ่ หรือการไม่เดินลงเท้าหนัก
เวลา เดินบนเรอื น เป็นต้น การมีวัฒนธรรมคล้าย ๆ กัน เป็นลักษณะของการเป็นชนชาติเดียวกัน
เพราะสามารถพูดกนั รเู้ รื่องและเข้าใจความคิดความอ่านกนั อย่างกว้าง ๆ หากเป็นคนละชาติกันก็
มักมีแนวปฏิบัติต่างกัน ตัวอย่าง คือ คนชาติอื่นอาจไม่ถือเร่ืองการยืนคํ้าศีรษะผู้ใหญ่เท่ากับคน
ไทย
4.1.5 การมีความประสงค์ที่จะมีอิสรเสรี โดยปกติคนแต่ละ ชาติไม่ต้องการอยู่
ภายใต้อาณัติหรือการปกครองของต่างชาติดังน้ัน จะเห็นได้ว่าภายหลัง สงครามโลกครั้งที่สอง
ชาติที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของต่างชาติพยายามดิ้นรนที่จะเป็น เอกราช ตัวอย่างของความ
ประสงค์ที่จะดําเนินชีวิตอย่างอิสระในยุคที่อยู่ภายใต้ชาติอื่นได้ มีขบวนการกู้ชาติ (nationalist
movement) ในอินเดีย อินโดนีเซีย และพม่า เปน็ ต้น
4.2 สญั ลกั ษณ์ของชาติ
4.2.1 ชื่อของประเทศ ชื่อของประเทศมีความสําคัญต่อประชากรไม่ใช่น้อย ก่อน
สงครามโลกคร้ังที่ 2 หลายประเทศที่เรารู้จักกันทุกวันนี้มีชื่ออย่างอื่น เช่น อินเดีย ซึ่งสมัยก่อน
ได้รบั เอกราชจากองั กฤษถกู เรียกว่า British India คอื อินเดียภาย ใต้อังกฤษและในช่วงนั้นบริเวณ
ที่เรียกว่า อินเดีย ครอบคลุมรวมถึงปากีสถาน บังกลาเทศ และพม่าด้วย, ประเทศมาเลเซีย ซึ่ง
แต่เดิมรู้จักกันในนามมลายู (Malaya), กรณีของประเทศไทย ซึ่งมีการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก
“สยาม” มาเปน็ “ไทย” และ Burma เปน็ Myanmar
4.2.2 ธงชาติ (National Emblem) และเพลงชาติ ธงชาติไทย หรือเรียกอีกอย่าง
หนง่ึ ว่า “ธงไตรรงค์” มีลักษณะเป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ใช้สีหลักในธง 3 สี คือ สีแดง ขาว และน้ํา
เงิน ภายในแบ่งเป็นแถบ 5 แถบ แถบในสุดสีน้ําเงิน ถัดมาด้านนอกท้ังด้านบนและล่างเป็นสีขาว
และสีแดงตามลาํ ดับ แถบสีน้ําเงินมีขนาดใหญ่กว่าแถบสีอื่นเป็น 2 เท่า ความหมายสําคัญของธง
ไตรรงค์น้ันหมายถึงสถาบันหลักทั้งสามของประเทศไทย คือ ชาติ (สีแดง) ศาสนา (สีขาว) และ
พระมหากษัตรยิ ์ (สีนํา้ เงิน) สีทั้งสามนี้เองคือที่มาของการเรียกชื่อธงนี้ว่าธงไตรรงค์ (ไตร = สาม,
รงค์ = สี) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ธงนี้เป็นธง
ชาติไทย (ขณะน้ันยังเรียกชื่อประเทศว่าสยาม) เม่ือช่วงปลายปี พ.ศ. 2460 เพื่อแก้ไขปัญหาการ
ชักธงช้างเผือก (ซึ่งใช้เป็นธงชาติมาตั้งแต่รัชกาลที่ 4) กลับด้าน และเพื่อเป็นอนุสรณ์ในการเข้า
ร่วมสงครามโลกคร้ังที่ 1 กับฝาุ ยสัมพันธมิตร สาํ หรบั เพลงชาตินนั้ กรณีของไทยมีการบรรเลงและ
ให้มีการเคารพทุกวัน เวลา 8.00 น.และ 18.00 น. ก็จะมีบทความว่า “ธงชาติไทยและเพลงชาติ
รัฐศาสตร์เบอ้ื งตน้ หนา้ 56
ไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจ
ในเอกราชและความเสียสละของบรรพบุรุษไทย” ซึ่งคุณสุรินทร์ แปลงประสบโชค อดีต
ผอู้ าํ นวยการสาํ นักงานประชาสัมพันธ์ เขต 8 กาญจนบุรี เป็นผู้คิดและเรียบเรียง ส่วนในกิจกรรม
ระหว่างชาติ เช่น การประชุมนานาชาติย่อมมีการประดับธงชาติ ตัวอย่างที่ การประชุม
สหประชาชาติ (UN) ณ มหานครนิวยอร์ค และที่ประชุมองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และ
วฒั นธรรม (UNESCO) มีการประดบั ธงชาติทีเ่ ปน็ สมาชิก
สรุป รัฐประชาชาติที่เกิดขึ้นนี้ประกอบด้วยกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเดียวกัน และอยู่
ภายใต้การปกครองของรฐั บาลเดียวกนั โดยมีดินแดนของรฐั ที่แน่นอน โดยมีลกั ษณะทีส่ ําคญั ดงั น้ี
1.ประชากรของรัฐมีความรู้สึกผูกพันต่อกันและภาคภูมิใจที่เป็นสมาชิกของชุมชน
เดียวกนั
2. มีประมุขแห่งรัฐคือพระมหากษัตริย์องค์เดียวกันหรืออยู่ภายใต้การปกครองของ
บคุ คลหรือคณะบคุ คลอันเดียวกนั
3. มีวิถีชีวิตและยึดถือวัฒนธรรมเดียวกัน เช่น นับถือศาสนนาเดียวกันและใช้ภาษา
เดียวกนั
4. มีรัฐบาล
5. มีอํานาจอธิปไตย
6. มดี ินแดนและพรหมแดนอาณาเขตทีแ่ นช่ ดั
นกั รัฐศาสตรไ์ ด้แบ่งการวิวฒั นาการของรฐั ประชาชาติ ออกเป็น 2 ยุค คือยุคกษัตริย์
และยคุ ประชาธิปไตย ดังน้ี
ยุคกษัตริย์ กล่าวได้ว่า รัฐประชาชาติ เริ่มแรกเกิดขึ้นมาในรูปที่อยู่ภายใต้การ
ปกครองของกษัตริย์ที่มีอํานาจสูงสุดในแผ่นดินหรือเรียกว่าราชาธิปไตย หรือ สมบูรณาญาสิทธิ
ราช (Absolute Monarchy) รัฐบาลรูปแบบนี้เป็นศัตรูสําคัญของพวกขุนนางมีอิทธิพลในท้องถิ่น
และต่อมาอาํ นาจของพวกขุนนางก็ถกู ทาํ ลายลง
ยุคประชาธิปไตย รัฐประชาชาติในยุคนี้เกิดจากความขัดแย้งระหว่างกษัตริย์กับ
ประชาชนในรัฐ เกี่ยวกับปัญหาข้อถกเถียงว่าผ็ใดมีอํานาจอธิปไตยหรือใครมีสิทธิปกครองโดย
ธรรม เม่ือประชาชนได้รับการศึกษามากขึ้นมีความคิด ความรู้มากขึ้นจึงเรียกร้องสิทธิทางการ
เมือง เกิดพวกนักปฏิวัติที่ไม่เชื่อว่ากษัตริย์ทรงมีเทวสิทธิ (Divine Authority) ประชาชนเชื่อม่ันว่า
อํานาจอธิปไตยเป็นของตนไม่ใช่ของกษัตริย์องค์เดียว โดยมีแนวคิดที่จะเลือกประมุขของรัฐด้วย
อํานาจของประชาชนเอง การปกครองประชาธิปไตยจงึ เกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ทฤษฎีเทวสิทธิ์
รฐั ศาสตรเ์ บือ้ งต้น หน้า 57
และระบอบราชาธิราช จึงค่อยๆ แตกสลายลง ส่วนประเทศที่ยังยอมรับและเคารพในสถาบัน
กษัตรยิ ์ กจ็ ดั ให้พระมหากษัตรยิ ์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญหรืออาํ นาจอนั จํากัดดังที่เห็นในปัจจุบัน
5. รูปแบบของรฐั (Form of State)
นักรฐั ศาสตรพ์ ยายามแบ่งรูปของรัฐเพื่อจําแนกความแตกต่างของแต่ละรัฐ แต่ยังไม่
ได้ผลเป็นที่น่าพอใจเพราะว่ารัฐมีลักษณะคล้ายกันมาก มีองค์ประกอบ 4 ประการเหมือนกัน รัฐ
อาจมีพลเมือง ภูมิศาสตร์ ภาษา ศาสนา แตกต่างกันแต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่พอเพียงที่จะยกมาเป็น
หัวข้อในการกําหนดรูปของรัฐให้แตกต่างกัน สิ่งที่พอจะใช้จําแนกให้แตกต่างกันได้อย่างชัดเจน
ทีส่ ุดในบรรดาองค์ประกอบท้ัง 4 ของรัฐสมยั ใหมก่ ค็ ือ รูปแบบของรัฐบาล (Form of Government)
เพราะรัฐบาลทําให้รัฐมีชีวิตอยู่ได้ถือว่ารัฐกับรัฐบาลใกล้เคียงกันมาก ถ้าหากใช้รูปของรัฐบาล
กาํ หนดรูปของรัฐแล้วก็พอจะสามารถทําได้ การจัดรูปแบบของรัฐ (The Form of State) อาจมอง
ได้เป็น 2 รปู แบบ (โภคิน พลกุล, 2525 : 90) คอื
5.1 การจัดแบบการเมือง เป็นการจัดโดยดูรูปแบบของการเมืองการปกครองของรัฐ
เป็นหลัก เพื่อทําให้เราเข้าใจดีขึ้นถึงระบอบและวิธีการปกครองในรัฐนั้น ๆ เช่น ระบอบ
ประชาธิปไตยแบบรัฐสภาเหมาะสมกับรัฐเสรีนิยม ระบอบเผด็จการเหมาะสมกับรัฐที่ควบคุม
ปจั จัยการผลิตใหญ่ๆ เชน่ รฐั สังคมนิยม
5.2 การจัดแบบกฎหมาย เป็นการจัดโดยดูโครงสร้างภายในของอํานาจเป็นหลัก
กล่าวคืออํานาจนนั้ มผี ใู้ ช้เด็ดขาดเพียงผู้/คณะบุคคลเดียวหรือองค์กรเดียว หรือมีผู้ใช้หลากหลาย
กนั ออกไป ถ้าเปน็ กรณีแรกเราเรียกว่า รัฐเดี่ยว (Unitary State) ถ้าเป็นกรณีที่สองเราเรียกว่า รัฐ
รวม (Composite State) การจัดแบ่งรัฐที่ใช้ศึกษาในที่นี้เป็นการจัดแบบกฎหมาย ซึ่งแบ่งออกเป็น
รัฐเดีย่ ว และ รฐั รวม ดงั น้ี
5.2.1 รัฐเดียว (Unitary State) รฐั ต่างๆในโลกนีส้ ่วนมากมักจะมีรปู แบบเป็นรัฐ
เดียว เช่น ไทย ญี่ปุน สวีเดน ฝรง่ั เศส อินโดนีเซีย ฯลฯ โดยรฐั เดีย่ วนีม้ ีรปู แบบที่รัฐบาลระบบเดียว
ที่มีอํานาจสูงสุดต้ังอยู่ที่นครหลวง (Capital City) เท่านั้นเป็นผู้ดําเนินการตามเจตนารมณ์และ
อาํ นาจหน้าที่ของรัฐ ตวั แทนในภมู ิภาคก็ต้องถกู ส่งไปจากรัฐบาลกลางดัง ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายๆก็
คือ ผวู้ ่าราชการจังหวัด นายอําเภอ ข้าราชการฝุายต่างๆ รัฐบาลกลางเป็นองค์กรเดียวที่สามารถ
ใช้อํานาจอธิปไตยทั้งทางด้านนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการได้อย่างเต็มที่ ท้องถิ่นหรือองค์กร
อื่นๆจะท้าทายมิได้ เพราะจะถือว่าเป็นกบฏภายในหรือกบฏแบ่งแยกดินแดน รัฐบาลได้รวบ
อํานาจเอาไว้หมด และก็แบ่งอํานาจ (De concentration)ในลักษณะการกระจายอํานาจ
รัฐศาสตร์เบื้องตน้ หน้า 58
(Decentralization) ให้องค์การท้องถิ่นสามารถปกครองตัวเองได้เพียงใดก็ตามแต่ที่รัฐบาลจะ
เห็นสมควรเท่านั้น
ในการปกครองแบบรัฐเดี่ยว ถือว่ารัฐบาลกลางน้ันมีอํานาจสูงสุดและเต็มที่
ในการใช้อํานาจอธิปไตยแต่เพียงผู้เดียวอํานาจนี้เป็นอํานาจตามรัฐธรรมนูญ รัฐสภาของรัฐเดี่ยว
มีอํานาจออกกฎหมายใช้บังคับทั่วประเทศ การปกครองในระดับท้องถิ่นภายใต้รูปแบบของรัฐ
เดี่ยวถือเปน็ ส่วนหนึง่ หรอื เปน็ เพียงตัวแทนของรัฐบาลเท่าน้ัน รัฐบาลแบ่งเขตการปกครองโดยแต่
ละเขตการปกครองจะส่งตัวแทนคือข้าราชการจากส่วนกลางไปประจําดูแล หรือดําเนินการ
เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลกลางหรอื ตามคําสง่ั ของรฐั บาลกลาง หนว่ ยการปกครองที่มี
อํานาจสูงสุดคือ รัฐบาลกลาง โดยฝุายบริหารหรือรัฐบาลเป็นผู้กําหนดนโยบายหรือกําหนดเป็น
แผนงานเพื่อให้ท้องถิ่นในเขตภูมิภาคต่างๆและหน่วยงานต่างๆรับไปปฏิบัติ ฝุายนิติบัญญัติหรือ
รัฐสภาและสมาชิกวฒุ ิสภาเป็นผู้ควบคมุ ตรวจสอบนโยบายและแผนงานต่างๆ
ประเทศไทยถือว่าเป็นรัฐเดียว ได้มีการกําหนดไว้ใน รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550
มาตรา 1 “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจกั รอันหน่งึ อันเดียวจะแบ่งแยกมิได้” มีการปกครองแบบรัฐ
เดี่ยวและมีการกระจายอํานาจมากขึ้น เน่ืองจากเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนในการปกครอง
ตนเอง ให้ประชาชนแต่ละท้องถิ่นซึ่งทราบความต้องการของตนเองเป็นผู้มีโอกาสในการ
บริหารงานในระดบั ท้องถิ่น ส่วนมากงานที่รัฐบาลกลางมอบให้เป็นงานที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ขั้น
มูลฐานของประชาชนในท้องถิ่น เช่น งานด้านเทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การ
บริหารส่วนตําบล ซึง่ เปน็ งานที่ประชาชนท้องถิ่นรู้ความต้องการของตนเอง ซึ่งจะสามารถบริหาร
และมีประสิทธิภาพมากกว่ารัฐบาลส่วนกลางเป็นผู้ดาํ เนินการ
5.2.2 รัฐรวม (Composite State) รัฐรวมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ตามสภาพ
การรวมกนั ของรฐั คือ สหพันธรัฐ (Federal State) สมาพนั ธ์รัฐ (Confederation State)
5.2.2.1 สหพันธรัฐ (Federal State) การปกครองแบบสหพันธรัฐ คือ
การรวมกันของรัฐต้ังแต่ 2 รัฐขึ้นไป มารวมกันโดยยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐที่มารวมกันเป็นความสัมพันธ์ทางรัฐธรรมนูญ โดยปกติจะกําหนดไว้ใน
รัฐธรรมนูญให้มีรัฐบาล 2 ระดับคือ รัฐบาลกลาง คือ รัฐบาลที่แต่ละรัฐที่มารวมมอบอํานาจให้
ส่วนหนึ่งตามบัญญัติของรัฐธรรมนูญร่วมกัน รัฐบาลระดับท้องถิ่น คือ รัฐบาลของแต่ละรัฐ การ
เปลี่ยนแปลงแก้ไขใดๆ จะกระทําได้โดยผ่านกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น โดยรัฐบาลทั้ง
สองระดับจะต้องเห็นพ้องร่วมกันและต้องผ่านการให้สัตยาบันจากรัฐบาลมลรัฐก่อนจึงจะมีผล
บังคบั รฐั ธรรมนูญในการปกครองรูปแบบสหพันธรัฐ จะกําหนดอํานาจของรัฐบาลในแต่ละระดับ
ดงั น้ี
รฐั ศาสตรเ์ บือ้ งตน้ หน้า 59
รัฐบาลกลาง (Federal Government) มีอํานาจควบคุมเกี่ยวกับกิจกรรม
ที่มีความสําคัญ และเกี่ยวพันกับความมั่นคงและกิจกรรมที่เกี่ยวประโยชน์โดยส่วนรวมของ
ประเทศ หรือเน้นกิจกรรมที่เกี่ยวกับความเป็นหนึ่งเดียวของประเทศคือ นโยบายการคลัง
นโยบายเศรษฐกิจ การต่างประเทศ และความม่ันคงของประเทศด้วยกลาโหม ซึ่งอํานาจเหล่านี้
รฐั บาลกลางจะดําเนนิ การเพียงผู้เดียวโดยไม่แบ่งอาํ นาจให้รฐั บาลท้องถิ่นเข้ามามีสว่ นเกีย่ วข้อง
รัฐบาลท้องถิ่น (State Government) หรืออาจเรียกว่า รัฐบาลมลรัฐ จะ
ทําหน้าที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ในแต่ละท้องถิ่น ทั้งนี้เพื่อความสะดวกรวดเร็วของผลประโยชน์
ท้องถิ่นน้ันๆ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมสาธารณะ เช่น การไปรษณีย์ การคมนาคมขนส่ง
สาธารณูปโภค แม้แต่กฎหมายที่ใช้บังคับในรัฐนั้น ซึ่งกฎหมายนั้นจะต้องไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ
หลักในการปกครองประเทศโดยรวม กฎหมายเอกชนต่างๆไม่ว่าจะเป็นกฎหมายอาญาหรือ
กฎหมายแพ่ง ซึ่งจริงๆแล้วชีวิตประจําวันของคนในมลรัฐน้ันๆ จะขึ้นอยู่กับอํานาจของมลรัฐ
มากกว่าอยู่ในอํานาจของรัฐบาลกลาง ไม่ว่าจะเป็นต้ังแต่การเกิด การเรียน การเสียภาษี การรับ
มรดก การตาย แมก้ ระท้ังคดีอาญาเช่นคดีฆ่ากันตาย การตัดสินคดีก็เป็นศาลของมลรัฐหรือศาล
ของรัฐบาลท้องถิน่ นนั้ ๆ การกาํ หนดบทลงโทษก็เป็นอํานาจของศาลมลรัฐน้ันไม่ต้องขึ้นกับรัฐบาล
กลาง แม้แต่การติดตามจับคนร้ายข้ามมลรัฐยังไม่อาจกระทําได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากมลรัฐ
นั้นทีค่ นร้ายเข้าหลบอยู่
รฐั บาลกลางและรฐั บาลท้องถิ่นต่างใช้อํานาจอธิปไตยท้ังในด้านบริหาร
นิตบิ ัญญตั ิ และตุลาการ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างสมบูรณ์ อันทําให้รัฐบาลกลางและ
รฐั บาลท้องถิ่นมีลักษณะเปน็ รฐั บาลซ้อนรฐั บาล (Dual Government)
รฐั สภาในสหพันธรัฐก็มีสองระบบคือ รัฐสภาของรัฐบาลกลางมีอํานาจ
เฉพาะที่รฐั ธรรมนญู ของสหพนั ธ์กาํ หนดให้เป็นรัฐบาลกลาง ส่วนอํานาจนอกจากที่กําหนดให้เป็น
ของรฐั บาลกลางก็เปน็ รัฐสภามลรัฐ ซึง่ แต่ละมลรฐั ก็มีรัฐสภาของตนเอง รฐั บาลหรือฝุายบริหารก็
มีสองรัฐบาล คือ รัฐบาลกลางซึ่งมีอํานาจรกั ษาการให้เปน็ ไปตามกฎหมายของรัฐบาลกลาง ส่วน
ในแต่ละมลรัฐก็มีรัฐบาลของตนมีอํานาจรักษาการให้เป็นไปตามกฎหมายของมลรัฐ เฉพาะ
ภายในเขตรัฐของตนเท่านั้น
ศาลยุติธรรมก็มีสองระบบคือศาลของรัฐบาลกลางและระบบศาลของ
รัฐบาลมลรัฐ ซึง่ ได้มีการแบ่งอํานาจศาลไว้อย่างแน่นอน เช่น ในมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐ
อเมิกามอบอํานาจให้ศาลสูงสหรัฐอเมริกา (The Supreme Court) มีอํานาจสูงสุดในการตีความ
กรณีข้อขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลมลรัฐ ศาลยุติธรรมมลรัฐมีอํานาจตีความตัดสิน
รฐั ศาสตร์เบอ้ื งตน้ หน้า 60
คดีความท่ัวไปในเขตมลรัฐของตน ระบบศาลทั้งสองมีศาลช้ันต้น ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาของ
ตนเอง
รัฐที่มีรูปเป็นสหพันธรัฐ เช่น สหรัฐเอมริกา ซึ่งประกอบด้วย 50 รัฐ
สหพันธ์มาเลเซีย ประกอบด้วย 13 รัฐ เปน็ ต้น
5.2.2.2 สมาพันธรัฐ (Confederation State) รูปแบบการปกครองแบบ
สมาพันธรัฐแตกต่างจากรูปแบบสหพันธรัฐ คือ มีลักษณะรัฐอธิปไตยจํานวนมากกว่าหนึ่งรัฐ
รวมกนั แบบหลวมๆ แต่ละรัฐยังคงไว้ซึ่งอํานาจอธิปไตยอย่างสมบูรณ์ทั้งภายนอกและภายในของ
ตนเอง แต่การรวมกันนั้นเป็นข้อผูกพันตามสนธิสัญญาหรือข้อตกลงเป็นกฎเกณฑ์ในการมา
รวมกัน นักรัฐศาสตร์บางท่านเห็นว่าไม่มีลักษณะเป็นรัฐ เป็นเพียงสมาคมของรัฐเอกราชเท่าน้ัน
รัฐที่มารวมกันไม่มีอํานาจสูงสุดใดอยู่เหนือรัฐเหล่าน้ัน ไม่มีรัฐบาลกลางทุกรัฐต่างมีอํานาจ
ปกครองตนเอง ซึ่งการรวมกันน้ันเป็นการรวมเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน เช่น การต่อรองการค้า
ปัจจุบันการรวมตัวกันของรัฐในรูปแบบสมาพันธรัฐที่ปรากฏ เช่น สมาคมอาเซียน (Asian :
Association Southeast Asia Nation) ซึง่ เปน็ การรวมตัวกันในทางเศรษฐกิจ และสังคม การเมือง ,
EU หรอื European Union , CIS : Commonwealth of Independence State เป็นการรวมตัวกันของ
ประเทศที่แตกออกจากอดีตสหภาพรัสเซีย ซึ่งประกอบด้วย มอลดาเวีย, ยูเครน, เบลารุส,
อาร์เมเนีย, อาเซอร์ไบจัน, คาซกั สถาน, สหพันธรัฐรัสเซีย, เติร์กเมนิสถาน, อุซเบกิสถาน, ทาชิก
สถาน, และเคอร์กีเซีย
6. การรบั รองรัฐ (The Recognition of the State)
การรับรองรฐั เป็นการแสดงออกใหเ้ ห็นว่า รัฐอื่นได้ให้ความเห็นชอบหรือเห็นว่า รัฐที่
มีคุณสมบัติครบถ้วนจึงให้การรับรอง (โกวิท วงศ์สุรวัฒน์, 2532 : 23) ยิ่งกว่านั้นการรับรองที่
เกิดข้ึนแต่ละคร้ังเป็นความสมคั รใจของรฐั หนึง่ ซึง่ ให้แก่อีกรัฐหนึ่ง ไม่ใช่การบังคับโดยเฉพาะอย่าง
ยิ่ง เม่ือรัฐทุกรัฐอยู่ในสังคมโลก ก็ต้องได้รับการรับรองจากสังคมโลกด้วย การรับรองรัฐมี 2
ประเภท ดังน้ี
6.1 การรับรองตามข้อเท็จจริง (de facto recognition) การรับรองตามข้อเท็จจริง
เป็นการรับรองรัฐใดรัฐหนึ่งในฐานะที่รัฐน้ันเกิดขึ้นตามสภาพความเป็นจริง แต่ยังไม่อาจให้การ
รบั รองในรปู กฎหมาย คือ ให้สัตยาบัน เพราะฉะน้ันจึงหมายความว่า รัฐใหม่อาจจะเกิดขึ้น แต่รัฐ
อื่นๆยังสงสัยในลักษณะบางอย่างของรัฐใหม่ จึงเพียงแต่ให้ความยินยอมหรือรับรองว่ารัฐนั้นมี
จรงิ แตย่ ังไม่รับรองในทางกฎหมาย ดงั นนั้ การรับรองตามข้อเท็จจริงอาจจะมีระยะเวลายาวนาน
เปน็ การรับรองไปก่อน จนกว่าจะมีการรับรองตามกฎหมาย
รัฐศาสตรเ์ บอื้ งตน้ หนา้ 61
6.2 การรับรองตามกฎหมาย (de juridical recognition) การรับรองตามกฎหมาย
หรือการรับรองโดยนิตินัย และมีผลถูกต้องตามกฎหมาย (legitimate) การรับรองแบบแรกเป็น
การรับรองซึ่งให้ก่อน และเป็นการรับรองที่ให้อยู่เสมอเวลามีรัฐใหม่เกิดขึ้น แต่การรับรองแบบนี้
เปน็ การรับรองตอ่ สภาพความถูกต้องของรัฐ จึงเป็นการรับรองซึ่งให้ยากประเทศที่ให้การรับรอง
จะต้องแน่ใจก่อนว่า ประเทศที่เกิดขึ้นใหม่นั้นมีสภาพที่ถูกต้องครบถ้วนบริบูรณ์ เช่น ในปี ค.ศ.
1948 สหรัฐอเมริกาให้การรับรองทางข้อเท็จจริงแก่ประเทศอิสราเอล เม่ือแน่ใจว่าอิสราเอลมี
ลักษณะเป็นทางการ และแน่นอนถาวร มีความสัมพันธ์ติดต่อทางการทูต มีการแลกเปลี่ยนผู้แทน
ทางการทูต เม่ือมีประเทศเกิดขึ้นใหม่ประเทศน้ันก็จะต้องอยู่ในสังคมโลก ด้วยเหตุนี้จึงมีความ
ประสงค์ที่จะได้รับการรับรองทั้ง 2 ประเภท ผู้ที่ให้การรับรองได้แก่รัฐที่มีอยู่ก่อนที่ถูกต้องตาม
กฎหมายและตอ้ งพิจารณาว่ารัฐที่เกิดใหมน่ ั้นประกอบด้วยดินแดนและพลเมือง หรือมีรัฐบาลซึ่งมี
อํานาจควบคุมกิจการภายในหรือภาย นอกเพียงไร เม่ือพิจารณาแล้วอาจให้การรับรองตาม
ข้อเท็จจริงก่อน จงึ ให้การรบั รองตามกฎหมายหรือใหพ้ ร้อมกันเลย
การให้รับรองโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางนิตินัยไม่ได้หมายความว่า ประเทศที่ให้การ
รับรองเห็นด้วยกับการกระทําของประเทศที่ถกู รับรอง แตท่ ี่เห็นดว้ ยเพราะว่ามีลักษณะเป็นรัฐได้
ในการรับรองรัฐใหม่ต้องเป็นรัฐที่เกิดขึ้นใหม่จริงๆ หรือรัฐที่มีอยู่แล้วแต่เปลี่ยน
รูปการปกครองอย่างมากมายจึงจะให้มีการรับรอง ประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงตามปกติ เช่น
หลังการเลือกต้ังประเทศเหล่านี้ไม่จําเป็นต้องมีการรับรอง เช่น การเลือกต้ังประธานาธิบดีของ
ประเทศสหรัฐอเมรกิ าซึง่ กระทําทกุ 4 ปี เป็นต้น
การรับรองรัฐเป็นเคร่ืองแสดงความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างรัฐต่อรัฐ และบาง
โอกาสการรับรองเป็นวิถีทางหรือกุศโลบายทางการเมือง เพื่อบีบให้รัฐใดรัฐหนึ่งปฏิบัติตนให้
เหมาะสมในสงั คมโลก
นอกจากนี้ยังมีการรับรองจากองค์การระหว่างประเทศ (International Organization)
ซึ่งการรับรองแบบนี้ หมายถึงการรับรองซึ่งรัฐได้รับจากองค์การระหว่างประเทศ โดยที่องค์การ
ระหว่างประเทศยอมรับประเทศน้ันเป็นสมาชิก องค์การระหว่างประเทศที่กล่าวถึงในที่นี้ คือ
องค์การสหประชาชาติ (United Nations) การให้การรับรองรัฐใดๆขององค์การสหประชาชาติพอ
สรปุ ได้ดังนี้
1.การให้การรบั รองรฐั ใด แสดงวา่ รัฐน้ันมฐี านะเปน็ รฐั โดยสมบรู ณ์
2.ในบางโอกาสที่องค์การสหประชาชาติรับรองรัฐใด ไม่ได้หมายความว่า รัฐมีสภาพ
สมบูรณ์ ทั้งนีอ้ าจจากเหตผุ ลทางการเมอื งระหว่างประเทศ
รฐั ศาสตรเ์ บอื้ งต้น หนา้ 62
3. การที่องค์การสหประชาชาติไม่รับรองรัฐใด ไม่ได้หมายความว่ารัฐนั้นไม่มีฐานะ
เปน็ รฐั โดยสมบูรณ์
7. จุดมุง่ หมายและหนา้ ทข่ี องรฐั (The Functions of the State)
จดุ มงุ่ หมายของรัฐนน้ั ได้มีนักวิชาการได้เสนอไว้วา่ รัฐมีจดุ มงุ่ หมาย ดงั ตอ่ ไปนี้
7.1 จุดมงุ่ หมายของรฐั
7.1.1 ทรรศนะของอริสโตเติ้ล ถือว่าหากมนุษย์มีชีวิตอยู่แบบโดดเดี่ยวอยู่กัน
เพียงระดับครอบครัว หรือแม้กระท่ังอยู่กันเป็นชุมชนระดับหมู่บ้านก็ยังหามีชีวิตที่สมบูรณ์ไม่
นักปราชญ์กรีกผู้นี้เห็นว่าการมีรัฐช่วยให้มีชีวิตที่สมบูรณ์ ซึ่งหมายถึงการมีคุณภาพชีวิตอันได้แก่
สภาวะชีวติ ที่ดีถกู ต้องตามครรลองแหง่ เหตผุ ล อริสโตเติ้ลกล่าวไว้ในหนังสือชื่อ การเมือง ของเขา
ไว้วา่ “จดุ ประสงค์ของรัฐไม่ใช่เพียงเพื่อมีชีวิตอยู่ แต่จะต้องเป็นไปเพื่อชีวิตซึ่งมีคุณภาพดี” (“The
end of the state is not mere life. It is rather, a good quality of life.”) อาริสโตเติ้ล กล่าวว่าการ
มีรัฐเพื่อ 1) ช่วยแก้ปัญหาเร่ืองความจําเป็นพื้นฐานปัจจัย 4 และให้ความสะดวกสบายหรือให้
สวัสดิภาพต่าง ๆ 2) มุ่งมั่นให้เกิดความดีงามหรือคุณธรรมขึ้นในรัฐด้วย “Any polis must devote
itself to the end of encouraging goodness.” (Andrew Hacker. 1961)
7.1.2 ทรรศนะของจอห์น ล๊อค จอห์น ล๊อค มีแนวคิดที่แตกต่างออกไปมาก จาก
อริสโตเติ้ล ซึง่ เน้นเรือ่ งคุณภาพชวี ิต ซึ่งให้ความสําคัญกับเรื่องทางวตั ถุไม่มากนัก คือ เอนเอียงไป
ในทางจิตนิยม จอห์น ล๊อค ให้ความสําคัญกับหน้าที่ของรัฐในการพิทักษ์ทรัพย์สิน (property)
ล๊อค กล่าวว่า “จุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่และสําคัญที่สุดทางการรวมตัวขึ้นเป็นรัฐ และอยู่ภายใต้
รัฐบาลได้แก่ การรักษาไว้ซึ่งทรัพย์สิน” (The great and chief end of men’s uniting into
commonwealths and putting themselves under government, is the preservation of their
property.” (Andrew Hacker. 1961)
7.1.3 ทรรศนะของม็องเตสกิเออ นกั ปราชญ์และนักนิติศาสตร์ชาวฝร่ังเศส กล่าว
ไว้ในหนังสือชื่อ จิตวิญญาณของบรรดากฎหมาย (The Spirit of Laws. 1748) ว่ารัฐมีหน้าที่ต่อ
ราษฎร คือ 1) คุ้มครองชีวติ 2) ให้มอี าหารทีเ่ หมาะสม 3) มีเส้ือผ้า 4) ครองชีวติ ที่เปน็ ปกติสุข
7.1.4 ทรรศนะของเจคอบเส็นและลิปแมน ทรรศนะของนักรัฐศาสตร์ร่วมสมัย 2
คน ดังกล่าวมีดังนี้ คือ 1) ให้สังคมมีความสงบสุข 2) ความผาสุกส่วนบุคคล 3) ส่งเสริมความ
ผาสกุ ส่วนรวม 4) ส่งเสริมคุณธรรม
1. จดุ มงุ่ หมายที่หนึ่ง จดั การให้สังคมมีความสงบสุข เพื่อบรรลุเปูาหมาย
ดังกล่าวเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องดูแลคุ้มครองรัฐคือประเทศชาติหรือสังคมส่วนรวม1) ไม่ให้ถูก
รัฐศาสตร์เบื้องตน้ หนา้ 63
เบียดเบียนย่ํายี จากภายนอก 2) ให้มีความสงบภายใน 3) ให้ได้รับความยุติธรรม (fairness,
justice)
2. จุดมุ่งหมายที่สอง ส่งเสริมความผาสุกส่วนบุคคล ซึ่งมุ่งให้สุขกาย
(สุขภาพร่างกายดี) และสบายใจ (สุขภาพจิตดี) ต่อปัจเจกชน คือระดับจุลภาค คือย่อมให้มี
เสรีภาพและสทิ ธิข้ันมลู ฐานในฐานะเปน็ พลเมือง (citizens)
3. จุดมุ่งหมายที่สาม ส่งเสริมความผาสุกส่วนรวม ซึ่งสอดคล้องกับ
พระพุทธศาสนาที่ว่า “ปชาสุขํ มหุตฺตมํ” คือ “ความสุขของราษฎรเป็นของเลิศโดยแท้” เป็น
มุมมอง (perspective) ในระดับองค์รวมหรือส่วนรวม (collective wholly) คือย่อมหมายถึงการได้
ผู้นํา ผู้บริหารที่ดีและมีความสามารถย่อมดําเนินการต่างๆ เพื่อให้เกิดความผาสุกในส่วนรวม
(Jacobsen and Lipman. 1962)
4. จุดมุ่งหมายที่สี่ ส่งเสริมคุณธรรม การที่รัฐมีจุดประสงค์ในการ
ส่งเสริมศีลธรรมอันดีงามของราษฎร จะเห็นได้จากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมี
พระราชดํารัสเน่ืองในโอกาสพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกไว้ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม
เพือ่ ประโยชน์สขุ ของมหาชนชาวสยาม”
7.1.5 จุดมุ่งหมายของการสถาปนาสหรัฐอเมริกา เอกสารประกาศอิสรภาพของ
สหรัฐอเมริกา Declaration of Independence ซึ่งร่างขึ้นโดย ธอมัส เจฟเฟอร์สัน และได้รับความ
เห็นชอบโดยรัฐสภาแห่งทวีป (Continental Congress) ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1776 (พ.ศ.2319)
ระบุว่าการสถาปนาประเทศสหรัฐอเมริกาเกิดจากการความเชื่อม่ันใน “ความจริงที่ปรากฏชัดใน
ตนเอง” (self-evident truths) ได้แก่ 1) มนุษย์เกิดมาทัดเทียมกัน 2) มนุษย์เกิดมาพร้อมกับสิทธิ
“ติดตวั ” ได้แก่ 1) การมชี ีวติ 2) การมีเสรีภาพ และ 3) การแสวงหาเพื่อได้มาซึ่งความสุข (pursuit
of happiness) James Flynn and William Dunham. (1966) จุดมุ่งหมายดังกล่าวเป็นคํายืนยัน
มุ่งม่ันช่วงต้นแห่งการประกาศอิสรภาพจากการยึดครองของจักรวรรดิอังกฤษ จุดมุ่งหมายของ
สหรัฐอเมริกาที่จะปรากฏในรัฐธรรมนูญอเมริกันซึ่งประกาศใช้ 11 ปีต่อมา (ค.ศ.1786) มีดังนี้ 1)
เพื่อสถาปนาความยุติธรรม 2) เพื่อความสงบสุขภายใน 3) เพื่อให้ประเทศปลอดภัยจากการ
รุกราน 4) เพื่อส่งเสริมความผาสุกของราษฎร และ 5) เพื่อคงไว้ซึ่งเสรีภาพ (Peter H. Odegard
and Victor Rosenbaum. 1961)
ในเรอ่ื งจุดหมายของชาติอเมรกิ ันนี้ประธานาธิบดีอเมรกิ นั ดไว้ท์ ดี. ไอเซ็นเฮาร์ ผู้
อยู่ในตําแหน่งระหว่าง 1952-1960 แต่งต้ังคณะกรรมาธิการขึ้นชุดหนึ่งให้ชื่อว่า
“คณะกรรมาธิการว่าด้วยจุดมุ่งหมายแห่งชาติ” (Commission on National Goals) ซึ่งให้
รฐั ศาสตรเ์ บอื้ งต้น หนา้ 64
ผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ แสดงทรรศนะออกมา คือ จุดมุ่งหมายภายในประเทศ ผลงานของ
คณะกรรมาธิการดังกล่าวระบุว่าจดุ มงุ่ หมายของชาติอเมรกิ นั มีดังน้ี
1) เกี่ยวกับปัจเจกชน ต้องส่งเสริมศักดิ์ศรีของพลเมือง สนับสนุนให้มีการ
พฒั นาศกั ยภาพ และให้โอกาสในการแสดงออกอย่างมคี วามรับผดิ ชอบและมีประสิทธิภาพ
2) ความเสมอภาค ต้องยึดหลกั ความทดั เทียมกนั หา้ มการกีดกันสตรีและการ
เหยียดผิว
3) กระบวนการประชาธิปไตย จะต้องส่งเสริมกระบวนการประชาธิปไตย
โดยเฉพาะในการแสดงออกซึ่งนานาทรรศนะต่อนโยบายสาธารณะและการมีส่วนร่วมในการ
เลือกผแู้ ทนของตน
4) การศกึ ษา ต้องมีการปรบั ปรุงใหด้ ีข้ึนในทุกระดบั และทกุ สาขา
5) ศิลปวิทยาการ ต้องส่งเสริมท้ังด้าน 1) ศิลปศาสตร์ และ 2) วิทยาศาสตร์
ทางดา้ นวิทยาศาสตร์ควรเน้นการวิจัยข้ันมลู ฐาน
6) การเศรษฐกิจแบบประชาธิปไตย (democratic economy) ระบบเศรษฐกิจ
ควรเป็นแบบกระจายกว้าง (diffused) และมีดุลยภาพ การกระจายกว้าง เศรษฐกิจต้องไม่ จํากัด
อยู่ในอํานาจของบรรษัทหรือสหพันธกรรมกรไม่กี่แห่ง การมีดุลยภาพ คือ บุคคลมีโอกาสในการ
เลือกงาน เลือกสินค้าและบริการต่าง ๆ และหากมีปัญหาย่อมใช้วิธีการต่อรองแบบหลายคน
ร่วมกัน (collective bargaining)
7) ความเจรญิ ทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจควรเติบโตในอตั ราสูง แตใ่ ห้เป็นไปตาม
ก. เกณฑแ์ หง่ การเปน็ เศรษฐกิจแบบเสรี ข. ไม่ให้เกิดเงนิ เฟูออย่างมาก
8) การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ควรส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ
(Goals for Americans, American Assembly: Columbia University, 1960)
7.2 หนา้ ทีข่ องรฐั
โดยทั่วไปมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ท้ังนี้แล้วแต่รูปแบบการปกครองหรือหลักการ
ปกครองของแตล่ ะประเทศ ประเทศใดที่รูปเผด็จการก็จะมีหน้าที่แตกต่างจากประเทศที่ปกครอง
แบบประชาธิปไตย ซึ่ง จุมพล หนิมพานิช (2525 : 81 – 82) กล่าวถึงหน้าที่รัฐว่า หมายถึง
กิจกรรมต่างๆที่รัฐจะต้องผกู พัน หนา้ ที่ของรฐั ทีเ่ ราพบท่ัวๆไปมีอยู่ดว้ ยกนั 3 ประการ
7.2.1หนา้ ที่ที่รัฐต้องกระทํา (Essential Function) หน้าที่นี้มีความสําคัญต่อการ
คงอยู่ของรัฐ หนา้ ที่รัฐที่ต้องกระทําน้ี มีดงั นี้
7.2.1.1 การปูองกนั การรกุ รานจากต่างชาติ
รฐั ศาสตร์เบ้อื งต้น หน้า 65
7.2.1.2 การปูองกันปราบปรามอาชญากรรม และการดําเนินการตาม
กฎหมายต่อผู้ประกอบอาชญากรรมหรือต่ออาชญากรเหล่าน้ัน
7.2.1.3 การลงโทษผู้กระทําผิด ปกปูองคุ้มครองสิทธิต่างๆของปัจเจก
บคุ คล การยตุ ิขอ้ โต้แย้งโดยใช้วธิ ีการทางกฎหมาย
76.2.1.4 การตดิ ต่อรกั ษาความสมั พนั ธ์ระหว่างประเทศ
7.2.1.5 การเกบ็ ภาษี เพือ่ ให้หนา้ ทีอ่ ่นื ๆดําเนินตอ่ ไปได้
7.2.2 หน้าที่ในการให้บริการ (Service Function) หน้าที่นี้เป็นหน้าที่ที่รัฐจะ
กระทําหรือไม่กระทําตามความต้องการหรือความปรารถนาของสังคมได้ หน้าที่นี้รวมเอา
กิจกรรมที่นําไป สู่การบรรลุจุดประสงค์ต่างๆของรัฐ บางครั้งเป็นการยากลําบากในการที่จะ
กําหนดหน้าที่ใดเป็นหน้าที่ในการให้บริการ หน้าที่ใดเป็นหน้าที่ที่รัฐต้องกระทํา ตัวอย่างเช่น การ
สร้างทางรถไฟ ทางหลวง ดูเหมือนเป็นหน้าที่ให้บริการแต่พิจารณาในแง่ยุทธศาสตร์ การสร้าง
ทางเหล่านี้เพื่อการปูองกันประเทศ ฉะนั้นหน้าที่นี้ดูเหมือนเป็นหน้าที่ที่รัฐจะต้องกระทํามากกว่า
ตัวอย่างหน้าที่ในการให้การบริการ ได้แก่ การดูแลสงเคราะห์คนยากจน คนพิการ การก่อสร้าง
ถนน ลําคลอง สะพาน ท่าเรือ การจัดการศึกษา การสร้างสวนสาธารณะ การสร้างศูนย์สันทนา
การ การสาธารณสขุ ฯลฯ
7.2.3 หน้าที่ในทางธุรกิจ (Business Function) ตามปกติแล้วเร่ืองเหล่านี้ควร
จะเป็นเร่ืองของประชาชนและเอกชนแต่ที่รัฐเข้าดําเนินการเสียเองก็ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ (จรูญ
สุภาพ, 2514 : 228) คอื
7.2.3.1 ประชาชนไม่มีความสามารถที่จะเข้าดําเนินกิจการได้ด้วยดี
เพราะขาดเงินทุน ความสามารถนานาประการ
7.2.3.2 หากปล่อยใหป้ ระชาชนทาํ เอง ประชาชนอาจมงุ่ หวังกําไรเกินไป
เปน็ เอาเปรียบผอู้ ืน่
7.2.3.3 กิจการบางอย่างกระทบกระเทือนประเทศชาติเป็นส่วนรวม รัฐ
จงึ เข้ากระทําเองแม้วา่ กิจการนนั้ เป็นเรือ่ งธุรกิจซึง่ เอกชนอาจเข้าทาํ ได้
นอกจากหน้าที่ดังกล่าวแล้ว รัฐยังมีหน้าที่ในการควบคุม ดูแล และ
ส่งเสริมการประกอบธุรกิจของเอกชนให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม โดยไม่เข้าข้างฝุายหนึ่ง
ฝุายใด รัฐเกิดมาเพื่อมนุษย์ เพื่อจะให้ประโยชน์นานาประการแก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในรัฐ ถือ
เป็นหน้าที่อันชอบธรรมที่รัฐจะพึงอํานวยประโยชน์สุขแก่ราษฎร และถือเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่
ประชาชนจะได้รับประโยชน์จากรัฐให้มากที่สุดที่จะทําได้รัฐไม่มีสิทธิที่จะปฏิเสธการทําหน้าที่
รัฐศาสตรเ์ บื้องต้น หน้า 66
ดังกล่าวหากประชาชนร้องขอ ถึงแม้ประชาชนไม่ร้องขอรัฐก็จะต้องทําเช่นกันเพราะนี้คือหน้าที่
ของรัฐ
8. สรุป
รัฐเป็นชุมชนทางการเมืองของประชาชน โดยมีดินแดนที่แน่นอน และอาศัยอยู่
ร่วมกัน มีรัฐบาลเดียวกัน พ้นจากการควบคุมของรัฐภายนอก และในชุมชนดังกล่าวนี้สามารถ
กําหนดกฎเกณฑ์และระเบียบต่างๆ องค์ประกอบของรัฐมีดินแดง ประชากร รัฐบาลและอํานาจ
อธิปไตย และรัฐมีรูปแบบท้ังรัฐเดียวและรัฐรวมซึ่งแบ่งออกเป็นสหพันธรัฐ คือรัฐตั้งแต่สองรัฐมา
รวมกันและอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเดียวกันและสมาพันธรัฐคือรัฐที่มารวมกันด้วยเหตุแห่ง
ผลประโยชน์แต่ละรัฐก็มีอิสระมีอํานาจอธิปไตยของตนเองแต่เกี่ยวข้องต่อกันภายใต้สนธิสัญญา
หรอื ข้อตกลงเท่านั้น การรบั รองรฐั จะต้องเกิดขึ้นอาจเป็นโดยการรับรองในข้อเท็จจริงและรับรอง
โดยกฎหมายโดยเฉพาะการรับรองโดยองค์การระหว่างประเทศเช่นเป็นสมาชิกขององค์การ
สหประชาชาติ และรัฐจะต้องมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ หน้าที่ต้องให้บริการกับประชาชนในรัฐและ
หน้าที่ในการจัดหารายได้ทางเศรษฐกิจเพื่อหารายได้นํามาใช้จ่ายในหน้าที่อื่นๆ ได้ดําเนินไปเพื่อ
ประชาชนในรฐั น้ันๆ
ในส่วนเรือ่ งเกี่ยวกบั ทฤษฎีการกําเนินรัฐน้ัน นักรัฐศาสตรไ์ ด้ให้แนวคิดแตกต่างกันไป
หลายทศั นะ เช่น ทฤษฎีเทวะสิทธิ์ ซึ่งเก่าแก่มากและพยายามอธิบายการเกิดของรัฐเกิดจากพระ
เจ้า มนษุ ย์เข้ามาอยู่ในรัฐและมีการปกครองกันโดยประสงค์ของพระเจ้า “พระเจ้าเป็นผู้สร้างรัฐ”
ทฤษฎีธรรมชาติ ก็อธิบายว่ารัฐเกิดขึ้นโดยธรรมชาติมนุษย์ไม่สามารถตลอดสนองความต้องการ
ของตนเองได้ทุกเร่ืองจึงต้องมาอยู่รวมเพื่อบริการกันและกันและเพื่อความปลอดภัย เพราะรัฐ
เท่านั้นที่สามารถสร้างความสุข ความอยู่รอดและชีวิตที่ดีให้กับมนุษย์ได้ ทฤษฎีวิวัฒนาการ ได้
อธิบายการเกิดของรัฐจาการที่มนุษย์มารวมกันเป็นครอบครัว หลายครอบครัวก็เป็นชนเผ่า
หลายชนเผา่ กก็ ลายเปน็ นครรฐั หลายนครรัฐก็เป็นจักรวรรดิ และก็วิววัฒนาการเร่ือยมาจนเป็นรัฐ
ชาติ เป็นประเทศในปัจจุบัน บางท่านยังอธิบายต่อไปว่าโดยรัฐเป็นธรรมชาติรู้จักเกิดและ
เจริญเติบโต และเสื่อมลงเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ ส่วนทฤษฎีสัญญาประชาคมก็พยายาม
อธิบายว่ารัฐเกิดจาการที่มนุษย์มาอยู่รวมกันและร่วมกันสัญญา ที่จะสร้างรัฐขึ้นมาเพื่อเป็นผู้
ควบคุม อํานวยความสะดวกให้กับมนุษย์ผู้ที่มาทําสัญญากันสร้างรัฐ และทฤษฎีพลังกําลัง
อธิบายการเกิดรัฐจากการใช้อํานาจที่เหนือกว่าปกครองอํานาจที่อ่อนแอกว่าเป็นการเกิดรัฐแบบ
อยตุ ิธรรม
รัฐศาสตร์เบือ้ งต้น หนา้ 67
บทที่ 3
การเมือง
ในการศึกษารัฐศาสตร์ นอกจากจะต้องศึกษาเร่ืองรัฐและการปกครองในรูปแบบ
ต่างๆ แลว้ สิง่ ทีส่ าํ คญั ของวิชารัฐศาสตร์คือการศึกษาเร่ืองการเมือง (Politics) วิชารัฐศาสตร์ถือได้
ว่าเป็นวิชาการที่เรียนรู้เร่ืองการเมืองอย่างเป็นระบบและมีเหตุมีผลรองรับ การเมืองถือเป็นเร่ือง
สาํ คญั กับมนษุ ย์ทกุ คนตั้งแตเ่ กิดจนกระท้ังเสียชวี ิตไปแล้วการเมืองยงั เข้าไปเกี่ยวข้อง แม้ว่าคนนั้น
จะต้องการเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่ก็ตาม มนุษย์ทุกคนควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ
การเมอื งเพราะการเมอื งมผี ลตอ่ การดํารงชีวติ แหง่ ตน
1. คานิยาม/ความหมายการเมือง
คําว่า การเมือง “Politics” ในทางรัฐศาสตร์มีความหมายหลายแง่หลายมุมยากที่จะ
กําหนดคํานิยามให้แน่ชัด นักปราชญ์ทางการเมืองแต่ละท่านก็มีความเห็นแตกต่างกัน การให้คํา
นิยามการเมืองจึงไม่นิยมเพราะไม่สามารถที่จะกล่าวให้ได้เน้ือหาที่ถูกต้อง รัดกุมและสมบูรณ์
อย่างแท้จริง โดยทั่วไปจะอธิบายถึงลักษณะของการเมืองหรือองค์ประกอบของการเมือง เช่น
Aristotle อธิบายไว้ในหนังสือ Politics ว่า การเมืองย่อมเกี่ยวพันกับอํานาจและการปกครอง Max
Weber มีความเห็นคล้ายๆ Aristotle แตเ่ ขาเน้นประเด็นสําคัญทีว่ า่ องค์การทางการเมืองนอกจาก
จะมีอํานาจทางการปกครองที่จะส่ังการใดๆ ได้แล้ว คําส่ังน้ันจะต้องมีผลบังคับตลอดเวลาใน
อาณาเขตแห่งใดแห่งหนึ่ง ท้ังนี้โดยการใช้อํานาจบังคับของเจ้าหน้าที่ฝุายปกครอง จะเห็นว่า
นกั ปราชญ์ทั้งสองมองว่าการเมอื งเป็นเรื่องเกีย่ วกบั การปกครอง
ในทัศนะของนักรัฐศาสตร์ฝุายพฤติกรรมการเมือง (Political Behaviorist) มีความเห็น
ว่าการเมอื งเปน็ เรื่องการตอ่ สู้ (Struggle for Power) หรอื เพื่อที่จะมีอํานาจเหนือผู้อื่น การเมืองนัย
นีม้ ีความหมายสองประการคือ
ประการที่หนึ่งการเมืองเป็นการต่อสู้แสวงเพื่อหาอํานาจ ซึ่งอํานาจในที่นี้มี
ความหมายว่าการที่บคุ คลหนง่ึ หรอื หลายคนมอี ิทธิพลเหนอื พฤติกรรมของบคุ คลอื่น
ประการที่สองการเมืองเป็นเร่ืองการต่อสู้ในอันที่จะปกครองซึ่งกันและกัน และการ
ต่อสู้นั้นจะมีกฎเกณฑ์หรือไม่ก็ได้ แต่ก็มีเปูาหมายที่จะดูแลจัดการให้สังคมมนุษย์ดํารงอยู่อย่าง
เปน็ ระเบียบเรียบร้อย
เม่ือกล่าวถึงการเมืองจึงมิใช่เป็นเร่ืองของประเทศหรือรัฐบาล หรือเร่ืองของ
ระดับชาติเท่านั้นหากแต่การเมืองเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในทุกหน่วยของสังคม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคน
องค์การหรอื สมาคมต่างๆ ท้ังที่เปน็ ของรฐั และเอกชน คํานิยามของการเมืองในปัจจุบันจึงออกมา
ในรูปความหมายกว้าง คือถือว่าการเมืองเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ เป็นแบบแผนของ
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับอํานาจและการปกครอง กล่าวได้ว่าการรวมกลุ่มของ
มนุษย์ที่ปรากฏขึ้นเป็นกลุ่มทางสังคม (Social Group) จะมีลักษณะการเมืองทั้งสิ้น ท้ังนี้เนื่องจาก
ลกั ษณะของกลุ่มชนหรอื องค์การจะมีการปกครอง มีการจัดระเบียบ มีวัตถุประสงค์ร่วมกันและมี
โครงสร้างซึ่งแสดงให้เห็นถึงผู้มีอํานาจสูงสุด พฤติกรรมภายในองค์การอาจจะมีการแข่งขัน การ
ต่อรอง การชกั จูง การใชอ้ ิทธิพลและการใชอ้ ํานาจบีบบงั คับเพือ่ ให้เปน็ ไปตามที่ตนปรารถนา
คําวา่ “การเมอื ง” นี้ นกั วิชาการด้านรฐั ศาสตร์ ได้ใหค้ วามหมายไว้แตกต่างกนั ไป
บ้างในรายละเอียด ตามแต่จะใช้ตวั แบบใดในการศกึ ษาวิเคราะหป์ รากฏการณ์ทางการเมอื ง และ
ด้วยตวั แบบที่เปน็ กรอบในการศกึ ษาวิเคราะหน์ ี้ จะยงั ผลใหก้ รอบการมองคําว่าการเมอื งต่างกัน
ไป ในขณะที่สาระสําคญั ของคาํ จํากัดความเปน็ ไปในทํานองเดียวกันกล่าวคือเปน็ เรื่อง ของการใช้
อาํ นาจแบบสองทางระหว่างฝุายที่เปน็ ผู้ปกครอง (Rulers) และฝุายผถู้ กู ปกครอง (Ruled) ซึ่งน่าจะ
เปน็ คําจาํ กัดความของการเมอื งที่ชดั เจนและรัดกุมมากที่สดุ พิจารณาได้จากทัศนะของ ชยั อนันต์
สมุทวณิช (2517, 61) ทีว่ า่ การเมอื งเป็นเร่อื งเกีย่ วกับรูปของรัฐและการจัดระเบียบความสมั พันธ์
ภายในรฐั ระหว่างผปู้ กครองและผถู้ กู ปกครอง โดยเมอ่ื สงั คมมนุษย์ยงั มคี วามจําเปน็ ทีจ่ ะต้องมี
รฐั บาล คนเราจึงต้องแบ่งออกเป็นสองพวกใหญ่ ๆ คือผู้ทีท่ ําหน้าทีบ่ ังคับกบั ผถู้ ูกบังคบั เสมอ มี
นักรฐั ศาสตรไ์ ด้รวบรวมและประมวลคํานิยามหรอื ความหมายของคําว่า “การเมือง” และ
นําเสนอโดยจําแนกได้เปน็ 6 กลุ่ม ดังน้ี
1.1 กลุ่มที่มองการเมืองเป็นเร่ืองของอํานาจ โดยเป็นการต่อสู้กันเพื่อให้ได้มาซึ่ง
อํานาจและอิทธิพลในการบริหารกิจการบ้านเมือง โดยคํานิยามของการเมืองในเชิงอํานาจที่
น่าสนใจได้แก่คํานิยามของ เพนนอคและสมิธ (Pennock and Smith 1964, 9) ที่กล่าวว่า
“การเมือง หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับอํานาจ สถาบันและองค์กรในสังคม ซึ่งได้รับการ
ยอมรบั ว่ามีอํานาจเดด็ ขาดครอบ คลุมสังคมนั้น ในการสถาปนาและทํานุรักษาความเป็นระเบียบ
เรียบร้อยของสังคม มีอํานาจในการทําให้จุดประสงค์ร่วมกันของสมาชิกในสังคมได้บังเกิดผล
ขึน้ มา และมีอาํ นาจในการประนปี ระนอมความคิดเห็นที่แตกต่างกันของคนในสังคม” และอีกหนึ่ง
คํานิยามการเมืองของ ณรงค์ สินสวัสดิ์ (2539, 3) ที่กล่าวว่า การเมืองเป็นการต่อสู้ช่วงชิง การ
รักษาไว้และการใช้อํานาจทางการเมือง โดยที่อํานาจทางการเมืองหมายถึง อํานาจในการที่จะ
วางนโยบายในการบริหารประเทศหรือสังคม อํานาจที่จะแต่งตั้งบุคคลเพื่อช่วยในการนํานโยบาย
รฐั ศาสตรเ์ บ้อื งต้น หน้า 70
ไปปฏิบัติและอํานาจที่จะใช้ข้าราชการ งบประมาณ หรือเคร่ืองมืออื่น ๆ ในการนํานโยบายไป
ปฏิบตั ิ แนวการมองการเมอื งเป็นเรื่องของอํานาจ (Power Approach) ดังที่ได้ยกตัวอย่างไปนี้ เป็น
แนวทางการศึกษาหนึ่งที่ได้รับความนิยมชมชอบในหมู่นักรัฐศาสตร์และนักสังคมศาสตร์ทั่วไป ที่
เห็นว่าการเมืองเป็นเร่ืองหรือมีบริบทเกี่ยวกับการใช้อํานาจเพื่อการปกครองประชาชน การเมือง
เป็นการปฏิสัมพันธ์ในเชิงการใช้อํานาจของรัฐาธิปัตย์ ต่อผู้อยู่ใต้อํานาจซึ่งก็คือประชาชนนั่นเอง
สิ่งหน่งึ ส่งิ ใดที่ออกมาจากสถาบันทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝุายนิติบัญญัติที่ทําหน้าที่ในการตรา
กฎหมายต่าง ๆ เพื่อบังคับใช้ มาจากรัฐบาลในรูปของนโยบายสาธารณะ (Public Policies)
โครงการพัฒนา (Development Program) และงานต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นหรือดําเนินไปโดยภาค
ราชการ รวมไปถึงการตัดสินคดีความหรือข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลต่อบุคคล และบุคคล
กับรัฐ จึงล้วนแต่เป็นเร่ืองที่การเมืองส่งผลกระทบต่อบุคคลทั่วไป นักรัฐศาสตร์บางท่านมองว่า
แท้จรงิ นน้ั การเมอื งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องการตอ่ สู่แย่งชิงกันของกลุ่มผลประโยชน์ (Interest Group)
ที่ดําเนินกิจกรรมทางการเมืองต่าง ๆ ในอันที่จะแย่งชิงกันเข้าสู่อํานาจการบริหารประเทศ หรือ
อย่างน้อยที่สุดก็ให้ผลผลิตจากระบบการเมือง (Political Outputs) ผลผลิตของระบบการเมืองอัน
ได้แก่ นโยบาย กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ โครงการหรือแผนงานพัฒนาของภาครัฐและภาค
ราชการ ซึ่งผลในทางทีเ่ ป็นประโยชน์ตอ่ กลุ่มของตนมากที่สุด
1.2 กลุ่มที่มองว่าการเมืองเป็นเร่ืองของการจัดสรรทรัพยากรของรัฐหรือสิ่งที่มี
คุณค่าทางสังคม ดังเช่น อีสตัน (David Easton) ซึ่งได้อธิบายไว้ว่า การเมือง เป็นการใช้อํานาจ
หน้าที่ในการจัดสรรแจกแจงสิ่งที่มีคุณค่าต่าง ๆ ให้กับสังคมอย่างชอบธรรม (The Authoritative
Allocation of Values to Society) ความหมายของการเมืองดังที่ยกตัวอย่างมานี้ เป็นนิยามที่ได้รับ
การยอมรับอย่างสูงจากสํานักพหุนิยม (Pluralism) อย่างไรก็ดี ชัยอนันต์ สมุทวณิช (2535, 4-5)
อธิบายว่า เราจะใช้ความหมายการเมืองดังกล่าวนี้ได้ก็ต่อเม่ือ ในสังคมนั้น ๆ บุคคลหรือกลุ่ม
บุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้รับผลกระทบจากทั้งทางตรงและทางอ้อม มีความเห็นพ้องต้องกันและ
ยอมรับในกติกาที่กําหนด การใช้อํานาจเพื่อแบ่งปันสิ่ง ที่มีคุณค่าเท่านั้น ส่วนในสังคมที่ยังไม่มี
ความเห็นพ้องต้องกันเกี่ยวกับกติกาการกําหนดสิ่งที่มีคุณค่าในสังคม ชัยอนันต์ อธิบายว่า
การเมืองยังคงเป็นเร่ืองของการแข่งขันกันเพื่อกําหนดหลักเกณฑ์ในการแบ่งปัน คุณค่าที่ให้
ประโยชน์แก่ฝุายตนมากที่สุด เท่าที่จะเป็นได้ หรือ “The competition for the authority to
determine the authoritative allocation of values to society” (ชัยอนนั ต์ สมุทวณิช 2535, 6)
นอกจากนี้ยังมี คํานิยามการเมืองซึ่งได้รับการกล่าวถึงอย่างสูงยังได้แก่ ทัศนะของ
ลาสเวลล์ (Harold D. Lasswell) ที่กล่าวว่า การเมือง เป็นเร่ืองของการศึกษาเกี่ยวกับอิทธิพลและ
ผู้มีอิทธิพล และการเมืองเป็นเร่ืองที่เกี่ยวข้องกับว่า ใคร ทําอะไร เม่ือไร และอย่างไร (Politics is,
รฐั ศาสตรเ์ บ้อื งต้น หนา้ 71
who gets “What”, “When” and “How”) การได้อะไร (What) น้ันเป็นเร่ืองของวัตถุธรรม
และอวตั ถธุ รรม อันเปน็ สิง่ ที่มีจํากัดและเป็นสิ่งที่คนอยากได้ เช่น ทรัพย์สิน ความมีเกียรติ สวัสดิ์
ภาพความปลอดภัย ความมั่นคง ความสะดวกสบายหรือความสุขกายสุขใจ ได้เม่ือใด (When)
เป็นเรื่องของกาลเวลาหรอื จังหวะเวลา ความช้าเร็ว คือเม่อื ใดซึ่งอาจมกี ารกําหนดไว้ล่วงหน้า เช่น
การสมัครรับเลือกต้ัง ได้อย่างไร (How) เป็นเร่ืองกระบวนการคือขั้นตอนและวิธีการอันหมายถึง
กลไกจะได้มา “การได้อย่างไร” มีผลทาํ นองเดียวกับคําถามที่วา่ “ทําไมถึงได้ส่งิ นน้ั เมื่อนน้ั เมื่อนี้”
1.3 กลุ่มที่มองว่าการเมืองเป็นเร่ืองของความขัดแย้ง ท้ังนี้เนื่องจากทรัพยากรของ
ชาติที่มีอยู่อย่างจํากัด ขณะที่ผู้คนซึ่งต้องการใช้ทรัพยากรน้ันมีอยู่มากและความต้องการใช้ไม่มี
ขีดจํากัดการเมืองจึงเป็นเร่ืองที่เกี่ยวข้องกับการที่คนในสังคมไม่อาจตกลงกันได้หรือเกิดมีความ
ขัดแย้งขึ้นการเมืองตามคํานิยามนี้เน้นเร่ืองการขัดแย้งหรือการไม่ลงรอยกันอันเกิดขึ้นในระดับ
สงั คม หรอื ที่เรยี กกนั ว่า ระดบั สาธารณะอย่างไรก็ดี การมองการเมืองในลักษณะนี้มีข้อโต้แย้งอยู่
มาก ว่าหากไม่อาจยตุ ิขอ้ ขดั แย้งที่เกิดขึ้นได้ บ้านเมืองย่อมตกอยู่ในสภาวะยุ่งยากวุ่นวาย ต่อมาจึง
มีผู้ให้มุมมองการเมืองใหม่ว่าเป็นเร่ืองของการประนีประนอมความขัดแย้งมากว่าเป็นเร่ืองของ
ความขัดแย้ง เอดเวิร์ด แบนฟิลด์ ได้ให้คํานิยาม “การเมืองเป็นเร่ืองเกี่ยวกับประเด็นที่มีการ
ขัดแย้ง เกี่ยวกับผลประโยชน์ของคนหมู่มากในส่วนที่เกี่ยวกับกระบวนการที่เกิดขึ้น และการขจัด
ข้อขัดแย้งให้หมดไป” การขัดแย้งภายในครอบครัวหรือในหมู่เพื่อนฝูงไม่จัดว่าเป็นการขัดแย้งใน
ระดับสังคม ดังน้ันจึงไม่เรียกได้ว่ามีการเมืองในกลุ่มบิดามารดาและบุตรธิดา การเมืองจะต้อง
เกีย่ วกับสาธารณชน คอื คนหมู่มาก คนหมู่มาก ณ ที่นี้ คือ ระดับที่รวมตัวกันใหญ่กว่าครอบครัว
หรอื วงศาคณาญาติ
กระบวนการขัดแย้ง (Process of Conflict) หมายถึง การเรียงลําดับเวลาแห่งการ
ขัดแย้งกัน กล่าวคือข้ันตอนของการขัดแย้งเริ่มต้นด้วย 1. สาเหตุ 2. การวิวัฒนาการของการ
ขัดแย้ง 3. การขยาย ตัวของการขัดแย้ง 4. การบรรเทาลงของการขัดแย้ง และ 5.การยุติการ
ขัดแย้งทางการเมอื ง
เชลดอน โวลิน ได้เสนอว่าการเมอื งประกอบด้วย 3 ประเด็นหลกั ได้แก่
ประเด็นที่หนึ่ง : การเมืองเป็นกิจกรรมที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ด้วยการ
แขง่ ขันกนั ในระดับบุคคล, กลุ่มบคุ คล และสังคมตอ่ สังคม
การเมืองเป็นกิจกรรมระหว่างบุคคลต่อบุคคล ตัวอย่างคือ การขัดแย้ง
ระหว่างนักการเมือง เช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือในระดับชาติ เช่น ระหว่างรัฐมนตรีหรือ
ระหว่างอธิบดี ตัวอย่างกรณีความขัดแย้งระหว่าง ส.ส. กลุ่มต่างๆในพรรคการเมือง, ความ
ขัดแย้งของ นายกรัฐมนตรที กั ษิณฯ กับนายเสนาะฯ หัวหนา้ กลุ่มวงั น้าํ เย็น
รัฐศาสตร์เบอ้ื งต้น หนา้ 72
หากเปน็ “การเมอื งระหว่างประเทศ” ก็เป็นการแข่งขันหรือขัดแย้งกันระหว่าง
การเมืองของ 2 ประเทศหรือมากกว่า เช่น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกา กับ อิหร่าน ใน
กรณีการพฒั นาอาวธุ นิวเคลียร์
การเมอื งเป็นกิจกรรมระหว่างกลุ่มคนกับกลุ่มคน กลุ่มคน ณ ที่นี้หมาย
ถึงรวมถึง กลุ่มอาชีพ สมาคม สโมสร สันนิบาต ชมรม ฯลฯ สภาพแห่งการเป็น “การเมือง” คือ
การแสวงหาผลประโยชน์หรือปกปูองสิ่งที่ประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรมหรือ
ผลประโยชน์ในความสมั พันธ์ระดับกลุ่มระหว่างองค์การต่างๆ
การเมืองเป็นกิจกรรมระดับสังคมต่อสังคม ในระดับนี้การเมืองเป็นเร่ือง
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เช่น การมีสัมพันธ์ไมตรีกลุ่มประเทศอาเซียน หรือการขัดแย้งกัน
ระหว่างรัฐบาลอิสราเอล กบั รฐั บาลของปารเ์ ลสไต
ประเด็นที่สอง : การเมืองเป็นกิจกรรมซึ่งมีแนวโน้มปรากฏได้ง่ายและมากใน
1.สถาน การณท์ ีม่ กี ารเปลีย่ นแปลง และ 2.ในสภาพที่ค่อนขา้ งขาดแคลน
การเมืองกับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลง หมายถึง สภาพที่เป็นไม่ปกติ
เป็นเร่ืองไม่เหมือนเดิม “การเมือง” มักปรากฏค่อนข้างมากในช่วงที่แปลกไปจากเดิมหรือสภาพ
ผิดปกติ เช่น การเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติอย่างมาก ได้แก่ ช่วงที่มีการจลาจล (Riot) การวุ่นวาย
ต่างๆความเป็น “การเมือง” ย่อมมีมาก เพราะความไม่แน่นอนมีสูง ในสภาพที่มีการเปลี่ยนผู้นํา
เชน่ ภายหลังการเลือกต้ัง
สภาพที่ค่อนข้างขาดแคลน การเมืองเกิดขึ้นได้ง่ายในสภาพที่ขาดแคลนหรือ
ผลประโยชน์มีจาํ กดั ดังตัวอย่างของสองกรณีต่อไปนี้
ก. ตําแหน่งมีจํากัด การเป็นนายกรัฐมนตรีไทย มีจํานวนจํากัด 1 คน
เท่าน้ัน เช่น เดียวกับตําแหน่งรัฐมนตรี มีได้เพียง 35 ตําแหน่ง เม่ือมีอยู่อย่างจํากัดย่อมจะมีการ
ขดั แย้งมาก
ข. สภาพขาดแคลนทางทรัพยากร บ้านเมืองที่มีสภาพอัตคัตขาดแคลน
ทางด้านต่างๆ ซึ่งช่วยอํานวยความสุขหรือความสะดวกสบายให้แก่พลเมืองย่อมมีการเมืองสูง
เพราะมีการแก่งแย่งกนั ว่าใครจะได้ประโยชนใ์ นสภาพขาดแคลนนั้น
ประเดน็ ที่สาม : การเมืองเป็นกิจกรรมเกี่ยวกับการแสวงหาผลประโยชน์อันมี
ผลกระทบต่อคนหมู่มาก ความหมายของโวลิน คือการแสวงหาผลประโยชน์มีในระดับต่างๆกัน
เช่น ในระดับหมู่บ้าน ในสมาคมหรือองค์การต่างๆแต่กิจกรรมเช่นว่าน้ันจะยังไม่เข้าข้ันแห่งการมี
สภาพเปน็ “การเมอื ง” ตราบเท่าที่ยังไม่มีผลกระทบอย่างสําคัญท้ังสังคมหรือส่วนใหญ่ กิจกรรม
รฐั ศาสตรเ์ บื้องตน้ หนา้ 73
ที่เข้าข่ายการเป็นการเมืองจะต้องมีผลกระทบไม่ว่าจะเป็นทางบวกหรือทางลบต่อบุคคลจํานวน
มากหรือตอ่ สังคมส่วนรวม (จริ โชค วีระสยั และคณะ, 2540 : 18 – 22)
1.4 กลุ่มที่มองว่าการเมืองเป็นเร่ืองของการประนีประนอมผลประโยชน์ เพื่อ
หลีกเลี่ยงมิใหเ้ กิดความขดั แย้งจากการดาํ เนินงานทางการเมอื งทีไ่ ม่มที างออก
1.5 กลุ่มที่ถือว่าการเมืองเป็นเร่ืองที่เกี่ยวกับรัฐและการบริหารประเทศในกิจกรรม
หลัก 3 ด้านคือ งานที่เกี่ยวกับรัฐ การบริหารประเทศในส่วนที่เกี่ยวกับนโยบาย และการ
อํานวยการบริหารราชการแผ่นดินซึ่งเป็นการควบคุมให้มีการดําเนินงานตามนโยบาย ซึ่งหาก
พิจารณาให้ละเอียดแล้ว การเมอื งโดยนัยความหมายประการนี้ เป็นเร่ืองที่คาบเกี่ยวกับการเมือง
ในความหมายเชิงอํานาจ ซึ่งก็เป็นเพราะอํานาจทางการเมืองน้ัน ได้ถูกนําไปใช้ผ่านกระบวนการ
นโยบายและการแต่งตั้งคัดสรรผนู้ ํานโยบายไปปฏิบัติ (ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ) ในรูปของ
อํานาจและการปฏิบัติงานทางการปกครอง และแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเมือง
และการบริหารหรอื การปกครองที่ ยากจะแยกออกจากกนั ได้
1.6 กลุ่มที่การเมืองเป็นเร่ืองของการกําหนดนโยบายของรัฐ กล่าวคือ การเมืองคือ
กิจกรรมใดใดที่เกี่ยวกับการกําหนดนโยบาย หน่วยงานและเคร่ืองมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการกําหนด
นโยบาย โดยนยั หนง่ึ การเมอื งก็คือกระบวนการกําหนดนโยบายของรฐั นนั่ เอง
สําหรับในส่วนนักรัฐศาสตร์ของไทยน้ัน ก็ได้ให้ความหมายของคําว่า “การเมือง” ไว้
อย่างนา่ สนหลายท่าน เชน่
ชัยอนันต์ สมุทรวาณิช กล่าวว่า การเมือง คือ กิจกรรมซึ่งมีผลประโยชน์ที่แตกต่าง
กันและมารวมกนั ในรปู การปกครองหนึ่งๆ ได้รับการประสานประโยชน์ โดยได้รับโอกาสที่จะร่วม
มีอํานาจตามสัดส่วนของความสําคัญของกลุ่ม ท้ังนีเ้ ปน็ ไปเพื่อสวัสดิภาพและการคงอยู่ของสังคม
พฤทธิสาณ ชุมพล ได้กล่าวถึงการเมืองว่า ระบบการเมืองคือระบบความสัมพันธ์
ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรสิ่งที่มีคุณค่าต่างๆ เพื่อสังคม โดยมีอํานาจรับรองการบังคับให้
ปฏิบัติตาม
สมบัติ ธํารงธัญวงศ์ ได้กล่าวว่า การเมือง หมายถึง การจัดสรรอํานาจเพื่อ
ประโยชน์สุขของประชาชนน้ันเอง
สุขมุ นวลสกุล ให้ความเหน็ ว่า การเมืองเป็นเร่ืองอํานาจที่มีผลกระทบต่อสังคมโดย
ส่วนรวม เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการแขง่ ขนั การตลาดในสังคมและทําให้สังคมแห่งน้ันเจริญพัฒนา
ในทางที่ดีข้ึน
รฐั ศาสตร์เบื้องตน้ หนา้ 74
อทุ ัย หิรัญโต สรุปว่า การเมืองเป็นเรื่องความหมายกว้างเปน็ อนั มาก เป็นนามธรรม
มองไม่เห็น ซึ่งถ้ากล่าวสรุปสั้นๆ ในเชิงวิชาการได้ว่า การเมืองก็คือศิลปะและศาสตร์ทางการ
ปกครองนน้ั เอง
จิรโชค วีระสัย อธิบายการเมืองว่าประกอบด้วย 7 P’s ได้แก่ 1) Public เป็นเร่ือง
ระดับมหาชน 2) Power อํานาจ 3) Person ตัวบุคคล ทั้งในระดับนํา (elite) และระดับรากหญ้า
(grassroots) 4) Policy นโยบาย 5) Practice การลงมือกระทํา 6) Party พรรคการเมือง และ 7)
Participation การมสี ่วนรว่ ม
2. ความสาคัญของการเมือง
คําว่า “การเมือง” ในปัจจุบันจึงมีความหมายกว้างขว้าง ซึ่งครอบคลุมวิถีชีวิตของ
มนุษย์เกือบทกุ คน จนมคี ํากล่าวว่า “ถ้าท่านไม่เล่นการเมอื งการเมืองก็เล่นท่าน หรือถ้าท่านไม่ยุ่ง
เกี่ยวกบั การเมอื ง การเมอื งก็จะมายุ่งเกีย่ วกับท่าน” ซึง่ หมายความว่า ในระบอบประชาธิปไตยน้ัน
อํานาจสูงสุดเป็นของปวงชน ถ้าประชาชนมิได้เลือกตัวแทนที่ดีไปทําหน้าที่แทนตน ในระบบ
การเมืองหรือละเลยไม่ใช่สิทธิ์ในการเลือกผู้แทน ผลที่ได้รับคือ การทํางานที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ของรัฐบาลและความทุกข์ยากน้ันก็จะส่งผลย้อนกลับมาสู่ประชาชนในฐานะเป็นสมาชิกของรัฐ
ประชาชนมีพันธะที่ต้องปฏิบัติตนตามกฎเกณฑ์ของสังคม เช่น กฎหมาย ต้ังแต่เกิดจนกระท้ัง
เสียชีวิต การเกิดก็ต้องมีการแจ้งเกิด เม่ือถึงวัยกําหนดก็ต้องเข้ารับการศึกษาภาคบังคับ เม่ือ
ประกอบอาชีพก็จะต้องเสียภาษีให้รัฐ กระทั้งเสียชีวิตก็ต้องแจ้งต่อทางการ กฎเกณฑ์เหล่านี้เป็น
หนึ่งของกิจกรรมทางการเมืองทั้งสิ้น การเมืองจึงเป็นวิถีชีวิตของมนุษย์ในรัฐ ประชาชนใน
ประเทศที่กําลังพัฒนาส่วนใหญ่มีความสนใจต่อกิจกรรมทางการเมืองในระดับตํ่า ทั้งนี้เพราะมี
ความเชื่อสว่ นหนง่ึ ว่าการเมอื งเปน็ เรือ่ งของรฐั บาลและผปู้ กครองคนชั้นสงู ไม่ใช่เร่อื งของประชาชน
ท่ัวไป ท้ังนี้การเมืองมีผลกระทบต่อสังคมทั้งโดยตรงและโดยอ้อม การตัดสินใจในรัฐสภาหรือ
คณะรฐั มนตรีอาจนาํ ไปสู่การกําหนดราคารบั ซือ้ ราคานํา้ มัน ราคาข้าว การลดหรือขึ้นค่าของเงิน
แม้กระทั้งการประกาศสงคราม ซึ่งจะมีผลกระทบต่อทุกคนในรัฐและทุกคนในรัฐก็ไม่สามารถ
หลีกเลี่ยงต่อผลกระทบน้ัน จากข้อกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ชัดว่ามนุษย์ในสังคมไม่สามารถหลีก
หลบหรือเลี่ยงจากผลกระทบจากกิจกรรมการทางการเมืองได้ เพราะการตัดสินใจทางการเมือง
สามารถส่งผลน้ันครอบคลุมและกว้างขวางทุกคน ทุกองค์การ ทุกเร่ืองที่เป็นวิถีชีวิตประจําวัน
ของมนุษย์
กิจกรรมทางการเมืองเกิดจากการตกลงกันไม่ได้ สังคมจึงแสวงหาอํานาจประเภท
หนึ่งที่สามารถแก้ไขความขัดแย้งให้เป็นไปในทางที่ต้องการ อํานาจนี้คืออํานาจทางการเมือง
รัฐศาสตร์เบื้องตน้ หน้า 75
การเมืองเป็นสิทธิอํานาจ (Authority) ในการตัดสินปัญหาสูงสุดของสังคม นโยบายหรือแนวทาง
แก้ปัญหาที่ผ่านการตัดสินใจ จะต้องได้รับการปฏิบัติตาม มีกฎหมายและกลไกของรัฐตรวจตรา
และควบคุมกํากับดูแลให้ปฏิบัติตามอํานาจทางการเมือง จึงเป็นอํานาจชี้ขาดความขัดแย้งทาง
การเมืองทั้งปวง อํานาจทางการเมืองเป็นอํานาจหน้าที่ของสถาบันทางการเมือง เช่น รัฐบาล
รัฐสภา เป็นต้น สถาบันการเมืองจึงเป็นเวทีทางการเมืองเพื่อแก้ปัญหาของสังคมกิจกรรมทาง
การเมือง ได้พยายามใช้สถาบันทางการเมืองเป็นเคร่ืองมือเพื่อก่ อให้ผลบางประการใน
สถานการณข์ องการขัดแย้ง
ออสติน แรนนีย์ (Austin Ranney. 1968) ได้นําเสนอในหนังสือ Political Science and
Public Policy ว่า การเมืองและการปกครองนับว่าเป็นกิจกรรมและเป็นสถาบันหนึ่งที่เก่าแก่ที่สุด
ของมนุษย์ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า การเมืองมีความเกี่ยวพันกับมนุษย์มาตั้งแต่โบราณ ท้ังนี้ เพราะ
การเมืองเกิดขึ้นจากความจําเป็นของชีวิตสังคมมนุษย์ ดังที่ อริสโตเติ้ล ได้กล่าวว่า มนุษย์โดย
ธรรมชาติน้ันเป็นสัตว์การเมืองและด้วยเหตุนี้จึงต้องอาศัยอยู่รวมกันเป็นชุมชน เม่ือมนุษย์อยู่
รวมกันเป็นชุมชนพฤติกรรมหรือการกระทําของบุคคลแต่ละคนอาจเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพ
หรือผลกระทบกระเทือนต่อสิทธิประโยชน์กับบุคคลอื่นๆ จึงมีความจําเป็นต้องอาศัยเคร่ืองมือ
ทางสังคมที่จะกําหนด หรือควบคุมกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน ในยุคดั้งเดิม
ครอบครัวจึงเป็นเคร่ืองมือสําคัญที่ช่วยประคับประคองให้เกิดความสงบ ความเป็นระเบียบ
เรียบร้อยในสังคม ต่อมาสังคมเม่ือสังคมมนุษย์มีการพัฒนาการและมีความหลากหลาย
สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ครอบครัวและจารีตประเพณีของชุมชน (สังคม) ไม่อาจตั้งรับต่อการ
เปลี่ยนแปลงและไม่อาจทนกับภารกิจที่ขาดความสงบ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยแก่ชุมชน
(สังคม) ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ องค์การทางการเมืองหรือสถาบันทางการเมือง ที่เรา
เรียกว่า “รัฐ” จึงก่อรูปขึ้นมาเพื่อทําหน้าที่ในการจัดระเบียบของสังคมแทนครอบครัว การเมือง
จึงเป็นเร่ืองของมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคม (Social Animal) มีภาษาพูดที่ใช้เป็นสื่อกลางในการอยู่
รวมกันเป็นสังคม และโดยธรรมชาติมนุษย์เป็นสัตว์ทางการเมือง (Political Animal) ด้วยกล่าวคือ
มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีความต้องการให้มีการปกครอง มีผลให้มนุษย์ในสังคมถูกแบ่งออกเป็น
ผู้ปกครองและผู้ถูกปกครองอีกฝุายหนึ่ง การเมืองจึงเกิดขึ้นในท่ามกลางชุมชนทางการเมืองที่
ประกอบด้วยกลุ่มหลากหลาย ซึ่งมีผลประโยชน์ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ค่านิยมที่แตกต่างกัน
และมาอยู่รวมกันภายในอาณาเขตการปกครองเดียวกัน โดยมีกิจกรรมทางการเมือง เป็น
เครื่องมือในการธาํ รงรักษาความเปน็ ระเบียบเรียบร้อยในชุมชนทางการเมอื งนน้ั
รัฐศาสตร์เบอื้ งตน้ หน้า 76
3. ธรรมชาติของการเมือง
ในบางครั้งการเมืองก็ถูกมองว่านอกจากจะสําคัญต่อวิถีชีวิตของมนุษย์แล้วก็ยังมี
ภาพพจน์ในทางลบอยู่ไม่น้อย ถูกมองว่าเป็นความช่ัวร้าย การมองธรรมชาติการเมืองจึงเป็น
ความพยายามกําหนดลักษณะเฉพาะของการเมือง เพื่อตอบคําถามในทางรัฐศาสตร์ว่า ลักษณะ
ของการเมืองแตกต่างไปจากลักษณะของสิ่งอื่นในสังคมอย่างไร อะไรเป็นลักษณะของระบบ
การเมอื งที่แตกต่างจากระบบเศรษฐกิจ ระบบการเมืองเป็นแบบแผนของความสัมพันธ์อย่างหนึ่ง
ของมนษุ ย์ประเดน็ ที่นา่ คิดคือ แบบแผนความสมั พันธ์ทางการเมืองมลี กั ษณะพิเศษอย่างไร
ความหมายของธรรมชาติของการเมือง เพลโต ( Plato ) นักปรัชญาเมธีการเมืองให้
แนวคิดว่า การเมือง หมายถึง การอาํ นวยความยุติธรรมแก่คนทั้งปวง อันหมายถึง การช่วยให้แต่
ละคนภายในรัฐได้มโี อกาสปฏิบัติหน้าที่ตามความสามารถและความถนัดตามธรรมชาติของตนไม่
ก้าวก่ายงานของคนอ่นื นอกจากนีน้ ักปราชญ์ชาวเยอรมัน ชื่อ แมก เวบเบอร์ ( Max Weber.1947
) มีแนวคิดว่าสิ่งทีถ่ ูกสร้างเป็นสมาคมกอ็ าจมลี กั ษณะเป็นการเมอื งได้ถ้าสามารถบังคับใช้ระเบียบ
ได้อย่างรฐั ถ้ามีอํานาจส่ังการ มีผลบงั คับภายในอาณาเขตน้ันและผู้ปกครองเป็นผู้ใช้อํานาจบังคับ
เพือ่ ให้รัฐปกติสขุ และตามแนวคิดน้เี ขาเชอ่ื ว่าลักษณะของการเมืองต้องประกอบไปด้วยอํานาจใน
การปกครองดินแดน แสดงให้เห็นว่า เวบเบอร์ถือเอาอํานาจหน้าที่หรือกฎเกณฑ์ เป็นลักษณะที่
สําคัญของการเมือง ฮาโร ลาสเวลร์ ( Harold Lasswell. 1960 ) นิยมว่ารัฐศาสตร์เป็น
การศึกษาเชิงประจักษ์สาขาหนึ่ง เพราะศึกษาถึงการกําหนดและการแบ่งปันอํานาจ และการ
กระทําต่างๆ ในทางการเมือง และได้กล่าวว่า ลักษณะทางการเมืองต้องมีลักษณะดังนี้คือ มี
ลักษณะผูกพันกับการปกครอง การมีและการใช้อํานาจ (Rule-Authority-Power) จากที่กล่าวมา
ข้างต้นจะเห็นได้ว่านักวิชาการเห็นพ้องต้องกันเป็นส่วนใหญ่ว่าการเมืองเกี่ยวข้องกับอํานาจ ด้วย
เหตุนี้การเมืองจึงเป็นแบบแผนความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่มีลักษณะเป็นไปอย่างต่อเน่ือง และมี
ลักษณะพิเศษอันหนึ่ง คือ เกีย่ วข้องกบั การควบคมุ การใชอ้ ิทธิพล อาํ นาจหรืออาํ นาจหน้าที่
ในทางปฏิบัติ การเมืองจึงเป็นวิธีการดําเนินการหรือสั่งการ โดยเฉพาะการจัดสรร
ทรัพยากรซึ่งมีอยู่จํากัด หลักการและวิธีการเมือง ก็คือการที่คนหรือกลุ่มคนได้อํานาจการ
ควบคุมหรือรักษาอํานาจการควบคุม สถานการณ์เอาไว้เหนือคนอื่น การเมืองจึงเป็นกิจกรรม
เหนือกิจกรรมอื่น ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางวัตถุ และสังคมและมีการแสดงออกแตกต่าง
กนั ในแตล่ ะแหง่ แตล่ ะเวลา การเมอื งจึงเกีย่ วข้องอย่างมากกับความรู้ในสาขาอื่นๆ เช่น เกี่ยวข้อง
กับเศรษฐศาสตร์ในแง่ความสัมพันธ์กับวัตถุ เกี่ยวข้องกับสังคมวิทยาในแง่มุนความสัมพันธ์ทาง
สังคม เกี่ยวข้องกับภูมิศาสตร์ในมุมของมิติพื้นที่และกับประวัติศาสตร์ในมุมของเวลา (เอกวิทย์
มณีธร. 2554)
รัฐศาสตรเ์ บอ้ื งต้น หนา้ 77
4. อานาจทางการเมือง
ความเข้าใจในนิยามคําว่า “อํานาจ (Power)” น้ัน เชื่อว่า คนโดยทั่วไปมักจะเข้าใจว่า
เป็นคําเดียวกับคําว่าอํานาจทางการเมือง “Political Power” และเม่ือเข้าใจเช่นนี้แล้ว ก็จะเปิด
มุมมองให้หยุดอยู่เพียงจุดนี้ และจะให้ความสําคัญเฉพาะส่วนที่เป็นอํานาจในทางการเมือง ว่า
เป็นส่วนที่นํา ครอบงํา หรืออยู่เหนือกว่าส่วนอื่นๆของระบบโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ
และสังคม แท้ ที่จริง อํานาจ มันคือ อะไรก็ตามที่มีผลต่อการบังคับ กํากับ เหนี่ยวนําให้คนอื่น /
ส่วนอ่นื ในสงั คม ท้ังในมิตกิ ารเมือง เศรษฐกิจ สังคม ชุมชน กลุ่ม ดําเนินไปตามที่ตนเองต้องการ
และอํานาจมคี วามเกีย่ วข้องกับส่วนอน่ื ไม่ใช่อาํ นาจทางการเมอื งเพียงส่วนเดียว
อํานาจทางการเมือง (Political Power) เป็นอํานาจหน้าที่ทีมีความชอบธรรมในการ
ตดั สินใจ ตกลงใจในปัญหาของสังคมและการกาํ หนดนโยบายสาธารณะ ผลของการตัดสินใจโดย
อาํ นาจทางการเมอื งจะต้องถูกบงั คบั ใหม้ ีผลการปฏิบัติ อํานาจทางการเมอื งมลี ักษณะสาํ คญั ดงั น้ี
4.1 สิทธิและหน้าที่ (Rights and Duties)
ความหมายของสิทธิ คือ อํานาจอันชอบธรรม ซึ่งบุคคลทุกคนพึงมีพึงได้ โดยไม่ไป
เบียดเบียนคนอื่น สิทธิ ที่มีอยู่นี้จะปรากฏในหลาย ๆ ด้าน เช่น สิทธิในบ้านเรือนที่อยู่อาศัย
ตลอดจนทรพั ย์สนิ ต่าง ๆ ของตนเอง ทีเ่ รียกว่า สิทธิตามกฎหมายแพ่ง หรือในการเลือกตั้งบุคคล
ทกุ คนกม็ ีสิทธิในการเลือกต้ัง ตามที่กฎหมายกาํ หนดเอาไว้ นอกจากนยี้ งั มีสทิ ธิในรา่ งกาย สิทธิใน
การประกอบกิจการต่าง ๆ ตามที่ตนเองต้องการและสิทธิที่สําคัญที่สุดของบุคคลก็คือ สิทธิตาม
กฎหมายสิทธิของประชาชนตามกฎหมาย เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยรัฐธรรมนูญได้กําหนด
สิทธิของประชาชนเอาไว้ โดยให้ถือว่าประชาชนไทยไม่ว่าแหล่งกําเนิด หรือศาสนาใด ย่อมอยู่ใน
ความคุ้มครอง แหง่ รัฐธรรมนญู นีเ้ สมอกันหมด เชน่
4.1.1 บุคคลย่อมมีสิทธิทางการเมือง หมายความว่า คนทุกคนย่อมสามารถ
เข้ามารับผิดชอบต่อบ้านเมือง โดยการใช้สิทธิตามกฎหมาย เช่น กฎหมายเลือกตั้ง เม่ือประชาชน
อายุครบ 18 ปี ย่อมมีสิทธิ ที่จะเลือกตั้งผู้แทนราษฎร เพื่อให้ผู้แทนราษฎรไปทําหน้าที่ทางการ
เมืองแทนตนเอง ทีเ่ ปน็ การตัดสินใจ ของประชาชนว่าจะได้ผู้แทนที่ไปทําหน้าที่ในด้านการเมืองได้
ดีเพียงใด
4.1.2 บุคคลย่อมมีสิทธิในทรัพย์สินและย่อมได้รับความคุ้มครอง ท้ังสิทธิอัน
น้ันสามารถใช้อา้ งองิ หรอื ยืนยนั กับบุคคลอื่นได้ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าทรัพย์สินจะไปอยู่ที่ใด จะถูก
ขโมยหรือ เคลื่อนย้ายไปที่อื่น ผู้เป็นเจ้าของก็ยังสามารถอ้างสิทธิอันนี้ได้โดยตลอด เพื่อให้
ทรัพย์สินเหล่านั้นกลับคืนมาอยู่ที่เดิมหรือ อยู่ในความครอบครองอย่างเดิม ถ้าหากบุคคลอื่น
รฐั ศาสตร์เบอื้ งตน้ หนา้ 78
ครอบครองเอาไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือโดยไม่มี สิทธิก็ย่อมสามารถฟูองร้องต่อศาล เพื่อ
บงั คบั ใหเ้ ปน็ ไปตามสิทธิได้
ความหมายของหน้าที่ หมายถึง ข้อปฏิบัติของบุคคลทุกคนที่จะต้องกระทําให้เกิด
ประโยชน์เป็นผลดีต่อ ประเทศชาติบ้านเมือง หน้าที่ต่าง ๆ ที่จะต้องปฏิบัติ ซึ่งกําหนดเอาไว้ใน
รฐั ธรรมนญู หลายประการหนา้ ทีต่ ามกฎหมายรัฐธรรมนญู
4.1.3 บุคคลมีหน้าที่รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการ
ปกครองระบอบประชาธิปไตย หนา้ ที่ในข้อน้ีถือวา่ เปน็ หนา้ ที่อันสาํ คัญ
4.1.4 บุคคลมีหน้าที่ปูองกันประเทศ หน้าที่ข้อนี้มิใช่ว่าจะเป็นหน้าที่ของทหาร
เท่าน้ัน คนไทยทุกคน ต้องมีหน้าที่เช่นเดียวกัน บุคคลมีหน้าที่รับราชการทหารเพราะการเป็น
ทหารน้ันจะได้ทําหน้าที่ปูองกัน ประเทศโดยตรง พอถึงวัยหรืออายุตามที่กฎหมายกําหนดก็
จะต้องไปรับราชการทหาร แตก่ ม็ ีข้อยกเว้นสาํ หรบั บางคน ที่กฎหมายบญั ญัติยกเว้นไว้
4.1.5 บุคคลมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายเน่ืองจากกฎหมายเป็นหลักปฏิบัติใน
การอยู่รว่ มกนั ในสงั คม จงึ จะละเว้นการปฏิบัติตามกฎหมายไม่ได้
4.1.6 บุคคลมีหน้าที่ช่วยเหลือราชการ เม่ือถึงคราวที่ประชาชนพอจะ
ช่วยเหลือได้ หรือเม่ือทางราชการ ขอความช่วยเหลือในฐานะที่เป็นประชาชนพลเมืองของชาติจึง
ต้องมีหน้าทีอ่ นั น้ี เชน่ การช่วยพัฒนา ถนนหนทาง การช่วยบริจาคทรพั ย์สินตา่ ง ๆ หรือแม้กระท่ัง
ช่วยกันดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง โดยการเปน็ หูเป็นตาให้ราชการ
4.2 ความชอบธรรม (Legitimacy) ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน ราชบัณฑิต กล่าวว่า
ความชอบธรรมทางการเมือง (Political Legitimacy) แตกต่างจากความถูกต้องทางกฎหมาย
(Legality) นกั กฎหมายมักจะเน้นความถูกต้องตามตัวกฎหมายหรือตามลายลักษณ์อักษร โดยไม่
เข้าใจว่าในทางการ เมืองและทางรัฐศาสตร์น้ันความถูกต้องตามกฎหมายแต่เพียงอย่างเดียวยัง
ไม่เพียงพอ จะต้องมีความชอบธรรมทางการเมืองด้วย ซึ่งหมายถึงการยอมรับโดยคนทั่วไปว่า
สิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายน้ัน นอกจากถูกต้องแล้วยังต้องมีเหตุมีผลเป็นที่ยอมรับได้ มีความ
พอเหมาะกับกาลและเทศะตวั อย่างเชน่ การใชง้ บประมาณแผ่นดนิ ของผู้กุมอํานาจรัฐแม้จะปฏิบัติ
ตามกฎหมายรัฐทกุ ประการแต่ใชใ้ นทางสรุ ยุ่ สรุ ่ายกจ็ ะไม่มคี วามชอบธรรมทางการเมอื ง
ความ ชอบ ธ รรมท างก ารเมืองขอ งผู้ใ ช้อําน าจรัฐ ประก อบด้ วยสามส่วน ใ หญ่ ๆ
ดังต่อไปนี้ คือ การเข้าสู่ตําแหน่งอํานาจ (Acquiring Power) ในระบบการเมืองจะกฎกติกาของ
การเข้าสู่ตําแหน่งอํานาจ เช่น ในสมัยโบราณกาลน้ันผู้ซึ่งมีความสามารถและแข็งแรงที่สุดก็จะ
กลายเป็นผู้ปกครอง หรือผู้ที่สามารถจะแก้ปัญหาที่สังคมกําลังเผชิญอยู่ก็จะมีความชอบธรรม
เข้าสู่ ตาํ แหน่งอํานาจได้ จนกระทง่ั ถึงจุดทีม่ ปี ระเพณีการสบื เช้ือสาย โอรสของกษัตริย์ก็มีสิทธิที่
รัฐศาสตรเ์ บอ้ื งต้น หน้า 79
จะสืบราชสมบตั ิต่อจากพระบิดาจนกลายเป็นประเพณี การสืบสันตติวงศ์ และในบางกรณีการ
ใช้กําลังเข้ายึดอํานาจจนกุมสถานการณ์ได้ก็จะกลายเป็นผู้ที่มีความชอบธรรมที่จะเป็นผู้ ครอง
อํานาจรฐั ในกรณีของจนี นั้นถือได้ว่าได้รับอาณัติจากสรวงสวรรค์ (The mandate of heaven) ใน
กรณีของไทยนั้นผู้กระทําการยึดราชบัลลังก์ได้สําเร็จก็จะอ้างว่ามีบุญบารมี และมีบุญญาธิการที่
จะครองสิริราชสมบัติ จึงมีประเพณีปราบดาภิเษกนอกเหนือจากราชาภิเษกทั้งหลายท้ังปวง
ดังกล่าวนี้คือสิ่งที่ แม็กซ์ เวปเบอร์ นักสังคมวิทยานามอุโฆษถือว่าเป็น traditional legitimacy แต่
มาในยุคระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน การ
ลงคะแนนเสียงของประชาชนจึงเป็นที่มาของความชอบธรรมทางการเมือง (Source of
Legitimacy) หรือที่เรียกว่า เสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์ (vox populi, vox dei) ผู้ที่ชนะการ
เลือกต้ังก็จะมีความชอบธรรมทางการเมอื ง ในส่วนนีแ้ มก็ ซ์ เวเบอร์ กล่าวว่าเป็นความชอบธรรม
ทางการเมอื งทีถ่ กู ต้องตามกฎหมายและมีเหตุผล (Legal-Rational Legitimacy)
4.3 การบังคบั และการยินยอม (Coercion and Consent) อํานาจน้ันมีความสามารถที่
จะบังคับในเม่ือมีการละเมิดอํานาจ โดยท่ัวไปมักจะเห็นกันว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ อํานาจมี
ความหมายรวมไปถึงสิทธิต่างๆ ที่เป็นเน่ืองจากอํานาจนั้น ได้รับการรับรองไว้ อํานาจจะต้องมี
การบังคับหรือการลงโทษ มิฉะน้ันแล้วสิทธิน้ันก็จะปราศจากความหมาย ไม่มีประโยชน์ถ้าสิทธิ
และหนา้ ที่นนั้ เป็นสิ่งทีไ่ ม่อาจบังคับใช้ได้
4.4 อํานาจและการปฏิวัติ (Authority and Revolution) ในสงั คมเผด็จการบุคคลทั่วไป
มักมีความคิดเห็นกันว่า รัฐมีอํานาจ เพราะการควบคุมกําลังเป็นการบังคับที่สําคัญในสังคม ถือ
ว่าการใช้กําลังบังคับเป็นสิ่งจําเป็นในการรักษาความเป็นระเบียบ และการใช้กําลังบังคับเป็น
สิ่งจําเป็นสิ่งจําเป็นในการรักษาความเป็นระเบียบ และการใช้กําลังบังคับเป็นสิ่งจําเป็นในการ
ปฏิบัติการทางการเมือง แต่อาจไม่เป็นจริงเสมอไป เม่ือประชาชนทั้งหลายร่วมใจกันปฏิบัติการ
อย่างใดอย่างหนึ่งทีต่ อ่ ต้านการบงั คบั น้ัน การบังคับนั้นกไ็ ร้ผล ความพยายามที่จะบังคับอาจทําให้
เกิดการปฏิวตั ซิ ึ่งเป็นการด้ินรนต่อสทู้ ี่จะเข้าควบคมุ องค์การทางการเมอื ง
4.5 สิทธิที่จะยุบเลิก (The Power to Dissolve) สมาชิกของทุกสังคมมีอํานาจที่จะยุบ
เลิกสังคม โดยวิธีการไม่ยอมเชื่อฟังหรือปฏิบัติตามอํานาจแห่งสังคมนั้น สังคมประกอบไปด้วย
ประชาชนซึ่งอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ ซึ่งกฎเกณฑ์เหล่าน้ันมาจากอํานาจภายในสังคมเม่ือใดที่สมาชิก
ไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ใด กฎเกณฑ์นั้นก็ใช้ไม่ได้ไม่ว่าจะใช้กําลังบังคับมากน้อยเพียงใด เม่ือใดที่
สมาชิกแหง่ สังคมปฏิเสธไม่ยอมปฏิบัติตามอาํ นาจแหง่ สงั คมนั้น สังคมนน้ั กส็ ลายตัวไป
4.6. อํานาจและความคิดเห็น (Authority and Opinion) มติมหาชนนั้นเป็นที่ยอมรับ
กันว่าเป็นส่วนหนึ่งของอํานาจทางการเมือง ส่วนอํานาจหน้าที่เป็นสิ่งที่สําคัญในทุกองค์การ
รฐั ศาสตรเ์ บอ้ื งต้น หน้า 80
ทางการเมอื ง หากรัฐบาลหรอื สถาบันทางการเมืองใดที่จะพยายามสร้างสิทธิ อํานาจหน้าที่ขัดต่อ
หลักความเชื่อพื้นฐานของประชาชน รัฐบาลหรือสถาบันทางการเมืองน้ันต้องเผชิญหน้ากับพลัง
ทางสงั คมทีม่ ตี ่ออาํ นาจหน้าที่ ที่จะต่อตา้ นสิง่ ทีร่ ฐั บาลและสถาบันทางการเมืองสร้างข้ึน
สําหรับแหล่งที่มาของอํานาจการเมืองนั้น ถือว่าเป็นแหล่งที่ชอบธรรมที่เป็นต้น
กาํ เนิดของอาํ นาจทางการเมอื ง ซึ่งมีทีม่ าจากหลายทางดังนี้
4.7 อํานาจทางการเมอื งที่เกิดจากจารตี ประเพณี (Tradition) อํานาจทางการเมืองใน
บางสังคมอาจเกิดจากแบบแผน การปฏิบัติที่ได้รับการยอมรับและสืบทอดกันมาเป็นเวลานาน
เช่น การยึดถือความอาวุโสสูงสุดเป็นเกณฑ์ในการรับมอบอํานาจทางการเมืองและการสืบเชื้อ
สายมาจากผู้ปกครองเดิม เป็นต้น
4.8 อํานาจทางการเมืองที่เกิดจากกฎหมาย (Rule of Laws) อํานาจทางการเมืองใน
ปัจจุบันมักอ้างถึงการได้อํานาจมาจากกฎหมาย เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง
เป็นต้น รัฐบาลมักใช้อํานาจทางการเมืองโดยอ้างอํานาจจากกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อย้ํา
ความชอบธรรมและการปฏิบตั ิ
4.9 อํานาจทางการเมืองที่เกิดจากหลักความศักดิ์สิทธิ์ (Holiness) อํานาจทาง
การเมืองประเภทนี้ ได้มาจากการอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์และความเชื่อตามศาสนา เช่น ลัทธิเทวสิทธิ์
(Divine Right Theory) ลัทธิเทวราชา (Divinity Theory) อํานาจทางการเมืองนี้ ได้แก่ อํานาจของ
พระมหากษัตริย์แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในปัจจุบันอํานาจทางการเมืองแนวนี้ได้รับการ
ยอมรบั ลดน้อยลง
4.10 อํานาจทางการเมืองที่เกิดจากผู้นําเปี่ยมบารมี (Charismatic Leader) อํานาจ
ทางการเมอื งนี้เกิดจากบุคคลพิเศษ ผู้นําบารมี บุคคลที่มีบุคลิกภาพพิเศษแตกต่างจากสามัญชน
ผู้ใกล้ชิดเกิดความเลื่อมใส ศรัทธาและยอมปฏิบัติตาม อํานาจทางการเมืองที่เกิดจากบารมีเป็น
อํานาจเฉพาะตัวและไม่คงทนและมีเสือ่ มลงได้
4.11 อํานาจทางการเมืองเกิดจากหลักปัจเจกชนนิยม (Individualism) อํานาจทาง
การเมืองประเภทนี้ ได้มาจากรับมอบอํานาจและความยินยอมจากปวงชน ซึ่งเป็นอํานาจทาง
การเมืองในระบอบประชาธิปไตย ดังน้ัน การใช้อํานาจทางการเมืองจึงมักคํานึงถึงสิทธิเสรีภาพ
ของปัจเจกชน รัฐบาลและรัฐสภา ในระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยมักอ้างถึงประชาชนและ
เจตนารมณข์ องปวงชนทสี่ นบั สนุนนโยบายและการกระทําของตนเสมอ
4.12 อํานาจทางการเมืองที่เกิดจากหลักสหนิยม (Top United) อํานาจทางการเมือง
ประเภทนี้ ถือว่ารากฐานของอํานาจทางการเมืองเกิดจากรัฐและสังคม หลักสหนิยม นิยมใช้ใน
ประเทศเผด็จการแบบต่าง ๆ เช่น พรรคคอมมิวนิสต์และพรรคนาซี เป็นต้น หลักสหนิยม ถือว่า
รฐั ศาสตรเ์ บ้อื งตน้ หนา้ 81
อํานาจทางการเมอื งนน้ั มาจากรัฐและสังคม มิได้เกิดจากประชาชน การใช้อํานาจทางการเมืองจึง
คํานึงถึงผลประโยชน์ ความยิ่งใหญ่ของรัฐและผลประโยชน์ของส่วนรวม เสรีภาพและ
ผลประโยชน์ของเอกชนไม่ได้รับความสนใจมากนกั
5. การมีส่วนร่วมทางการเมือง
การเมืองเป็นเร่ืองที่เกี่ยวกับ 1) รัฐ 2) อํานาจ และ 3) นโยบายสาธารณะ, อาริสโต
เติ้ลบิดาแห่งวิชารัฐศาสตร์ กล่าวว่า การเมืองไม่ใช่เป็นศาสตร์แห่งมโนทัศน์เชิงทฤษฎีเท่าน้ัน แต่
เป็น “ศาสตร์ที่เน้นภาคปฏิบัติ” (practical science) ในภาคปฏิบัติ คือ ในโลกแห่งความเป็นจริง
การเมอื งเป็นเรือ่ งของ 1) ชนชั้นระดบั นํา (elite) กบั 2) พลเมอื งทั่วไป
ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์นับตั้งแต่สมัยราชวงศ์ไอยคุปต์ของอียิปต์โบราณ หรือ
ยุคจ๋ินซีฮ่องเต้ จักรพรรดิจีนผู้ริเริ่มสร้างกําแพงเมืองจีน (The Great Wall of China) ประชาชนมี
ส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมืองน้อยมาก “ถูกส่ัง” ให้กระทําการต่าง ๆ โดยมีสิทธิมีเสียง
น้อยมาก
ในระบบแบบเผด็จการ ประชาชนมักถูกกําหนดให้มีบทบาทในวงจํากัดหรือถูก
กําหนดกรอบแห่งพฤติกรรมเชิงการมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมือง ในระบบการเมือง
แบบเสรีประชาธิปไตย ส่งเสริมให้ราษฎรมสี ่วนในกระบวนการทางการเมืองในรูปแบบต่าง ๆ ท้ังนี้
แล้วแต่วา่ เป็นระบบประชาธิปไตยแบบโดยตรง หรือระบบประชาธิปไตยแบบโดยอ้อม นอกจากนี้
ยังเกี่ยวโยงกับรปู แบบของรฐั บาล (ว่าเปน็ แบบรัฐสภาหรอื เปน็ แบบประธานาธิบดี)
จิรโชค วีระสัย อธิบายการเมืองว่าประกอบด้วย 7 P’s ได้แก่ 1) Public เป็นเร่ือง
ระดับมหาชน 2) Power อํานาจ 3) Person ตัวบุคคล ท้ังในระดับนํา (elite) และระดับรากหญ้า
(grassroots) 4) Policy นโยบาย 5) Practice การลงมือกระทํา 6) Party พรรคการเมือง และ 7)
Participation การมสี ่วนรว่ ม
ถ้าเรามองว่าการเมืองก็คือเร่ืองของอํานาจในการแจกแจงสิ่งที่มีคุ ณค่าของสังคม
Output ของระบบการเมอื ง ไม่ว่าอยู่ในรปู ของนโยบาย กฎ ระเบียบ ฯลฯ ย่อมที่จะต้องกระทบต่อ
บุคคลแต่ละคนในสังคมไม่ว่าทางใดทางหนึ่งโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เช่น นายดํา อาจจะคิดว่า
ตนเป็นอิสระชนโดยกําเนิดและต้องการจะตัดขาดกับการเมือง แต่การตัดขาดนี้ในแง่ของการ
ปฏิบตั ิแล้วกระทาํ ได้ยากยิ่ง เพราะทุกหนทุกแห่งบนพื้นพิภพจะถูกอ้างในความเป็นอธิปไตยเหนือ
ดินแดนโดยรฐั ต่างๆ ฉะน้ันตราบใดที่คนอยู่บนพื้นผิวโลกและยังติดต่อในระหว่างกันอยู่ การเมือง
จะเอือ้ มเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยทนั ที
รฐั ศาสตรเ์ บ้อื งตน้ หน้า 82
คําถามอาจมีว่าแม้การเมืองจะยุ่งเกี่ยวกับเรา แต่เราจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้
หรอื ไม่ คาํ ตอบต่อคาํ ถามนี้ก่อนอื่นจําเป็นต้องจําแนกลักษณะของ “การยุ่งเกี่ยว” เสียก่อนการที่
การเมืองยุ่งเกี่ยวกับเรามักจะอยู่ในรูปแบบลักษณะของการออกกฎเกณฑ์หรือนโยบายใดๆ เพื่อ
หวังที่จะแจกแจงสิ่งที่คุณค่าต่างๆ รวมท้ังควบคุมพฤติกรรมของคนในสังคมโดยมีเปูาหมาย
สุดท้ายคือการกินดีอยู่ดขี องปวงชน
จงึ เป็นไปได้วา่ ในบางสังคมกฎหรอื นโยบายที่ออกมาไม่ได้สนองตอบต่อความกินดีอยู่
ของสว่ นรวม แต่กลบั ไปสนองตอ่ ความตอ้ งการของกลุ่มทางสงั คมใดๆ เม่ือเรามองว่าทรัพยากรมี
อยู่อย่างจาํ กัด และจากความรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมรู้สึกว่าตนเองถูกฉกชิงในสิ่งที่
ตนเองควรจะได้รับ จะเป็นสาเหตุที่สําคัญประการหนึ่งอันจะนําไปสู่การเข้าไป “ยุ่งเกี่ยว” กับ
การเมืองและการที่ประชาชนเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในที่นี้คือ “การมีส่วนร่วมทางการเมือง”
(Political Participation) นั้นเอง (สิทธิพันธ์ พทุ ธหนุ , 2538 : 149–166)
5.1 ความหมายของการมสี ่วนรว่ มทางการเมอื ง
Huntington กับ Nelson ได้ให้นิยามของการเข้ามีสว่ นทางการเมอื งไว้ดงั ต่อไปนี้
การเข้ามีสว่ นรว่ มทางการเมอื ง หมายถึง กิจกรรมที่ประชาชนโดยส่วนบคุ คลมุ่งที่จะมีอทิ ธิพลต่อ
การตดั สินนโยบายของรฐั บาล ทั้งนีก้ ารเข้ามีสว่ นร่วม หมายถึง กิจกรรมต่างๆ แตไ่ ม่รวมถึง
ทัศนคตหิ รอื ความรสู้ ึก กิจกรรมของประชาชนโดยส่วนบุคคล หมายถึง กิจกรรมทางการเมอื ง
ของบคุ คลแตล่ ะคนในฐานะทีเ่ ปน็ ราษฎรเท่านั้น ไม่รวมถึงกิจกรรมของข้าราการ เจา้ หน้าที่พรรค
ผสู้ มคั รเข้ารบั การเลือกตั้ง นักลอบบีอ้ าชีพหรือนกั การเมอื งอาชีพ โดยปกติแล้วกิจกรรมทางการ
เมืองของผทู้ ี่เข้าไปมีสว่ นร่วมจะอยู่ในลักษณะที่ไม่ต่อเนื่อง ไม่เตม็ เวลาและไม่ถือเป็นอาชีพหลกั
นอกจากนีก้ ิจกรรมของประชาชนนี้ จะต้องเปน็ กิจกรรมทีม่ ุ่งที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินนโยบาย
ของรฐั บาลเท่านั้น ดังนน้ั การประท้วงเพื่อเรียกร้องให้ฝาุ ยบริหารของบริษทั เอกชนขนึ้ เงินเดือนให้
จงึ ไม่ถือวา่ เปน็ การเข้ามีสว่ นรว่ มทางการเมอื งและกิจกรรมน้ยี งั รวมถึงกิจกรรมทกุ รปู แบบที่มงุ่ ที่
จะมีอทิ ธิพลต่อการตดั สินนโยบายของรฐั บาล ไม่ว่ากิจกรรมน้ันจะก่อใหเ้ กิดผลหรือไม่ก็ตาม
Myron Weiner นําเสนอว่าการมสี ่วนรว่ มทางการเมืองนั้นมอี งค์ประกอบ 3 อย่าง
ได้แก่
1. ต้องมกี ิจกรรมหรอื การดําเนินการได้เช่น การพบปะพดู คยุ การตดิ ต่อประสานงาน
2. ต้องเป็นกิจกรรมทีท่ าํ โดยความสมัครใจและเปน็ เรือ่ งที่แสดงออกโดยส่วนบคุ คล
3. ตอ้ งมที างเลือกในการเข้าไปมีสว่ นร่วมทางการเมอื งหลากหลายอยู่เสมอ
สมบัติ ธํารงธัญวงศ์ ได้ให้ทัศนะการมีส่วนร่วมทางการเมือง ว่าเป็นทั้งเปูาหมาย
และกระบวนการทางการเมือง กล่าวคือ การมสี ่วนรว่ มทางการเมอื งเป็นเปูาหมายสําคัญของการ
รัฐศาสตร์เบือ้ งตน้ หนา้ 83
พัฒนาระบบการเมือง ให้เป็นประชาธิปไตยการมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นดัชนีวัดระดับความ
เป็นประชาธิปไตยได้ สังคมใดมีการพัฒนาทางการเมืองสูงหรือต่ําก็วัดได้จากการมีส่วนร่วม
ทางการเมอื ง ส่วนการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในระบบอํานาจนิยมหรือระบบเผด็จ
การกจ็ ะมีการมสี ่วนรว่ มทางการเมอื งนอ้ ยหรือบางครั้งอาจไม่มีเลย
โดยสรุปจึงอาจกล่าวได้ว่า การเข้ามีส่วนร่วมทางการเมือง โดยหลักการแล้ว
หมายถึง การเข้าร่วมหรอื การมสี ่วนรว่ มในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชน โดยมีจุดมุ่งหมาย
ที่จะมีสิทธิมีส่วนในการปกครองหรือเข้าไปมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของรัฐบาล คําว่าการมีส่วน
ร่วมทาง การเมืองจึงมีความหมายครอบคลุมถึงกิจกรรมของประชาชนในส่วนที่เกี่ยวกับการ
สนับสนุนการดําเนินงานของรัฐบาลและการเรียกร้องต่อรัฐบาลให้สนองตอบหรือดําเนินการต่อ
ความต้องการตามที่ตนเองหรือสังคมปรารถนา รวมถึงการเข้ามีอิทธิพลต่อการคัดเลือกบุคคล
การตดั สินนโยบายและกิจกรรมต่างๆของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการติดตามเร่ืองราวข้อมูลข่าวสาร
ทางการเมือง การแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ การเป็นสมาชิกพรรคการเมือง การร่วม
รณรงคห์ าเสียง ฯลฯ
5.2 ลักษณะของการมีสว่ นร่วมทางการเมอื งในระบอบประชาธิปไตย
5.2.1 การมีสว่ นร่วมในประชาธิปไตยแบบโดยตรง
รูปแบบการปกครองประชาธิปไตยแบบโดยตรงหรือแบบมีส่วน (Direct or
Participatory Democracy) เคยมีในนครรัฐเอเธนส์ยุคซอคราตีส ยุคเพลโต และยุคอริสโตเติ้ล
ประมาณ 2400 ปีมาแล้ว ในสมัยกรีกโบราณ ประชากรซึ่งมีสิทธิทางการเมืองเต็มที่ในฐานะ
พลเมือง (citizen) ในนครรัฐเอเธนส์ขณะน้ัน ผู้มีสิทธิทางการเมือง คือเป็น “พลเมือง” มีเพียง
ประมาณ 20,000-40,000 คนเท่านั้น พลเมืองเอเธนส์ยุคนั้นสามารถไปมีส่วนร่วมใน
กระบวนการทางการเมืองได้อย่างแข็งขันเป็นกิจวัตร ทั้งนี้โดยการชุมนุมพร้อมกันได้ท้ังหมด ไม่
ผ่านการมีตัวแทน มีสถาบันทางการเมือง ซึ่งราษฎรสามารถแสดงสิทธิและเสรีภาพได้ตาม
หลักการแห่งความทัดเทียม หรือความเสมอภาคทางการเมือง (political equality) คือแต่ละคนมี
สิทธิเท่ากันโดย 1 คน 1 เสียง (one man, one vote) ยกเว้นสตรีไม่มีสทิ ธิออกเสียง
ในร่วมสมัยปัจจุบัน 70 ปีเศษที่ผ่านมา มีแนวโน้มการกระจายอํานาจ คือ มีการ
สนับสนุนให้เกิดระบบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม โดยใช้วิธี “การกระจายอํานาจ ออกจาก
ศูนย์กลาง” (decentralization) จัดให้มีการปกครองท้องถิ่นเพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วม
ในการกําหนดนโยบายและแก้ไขปัญหาของของท้องถิน่ ตนเอง การตัดสินใจมงุ่ ให้เกิดมีขึ้นได้เองใน
ระดับท้องถิ่นหรือระดับ“รากต้นหญ้า"”(“grass-roots”) (Terrence E. Cook and Patrick M.
Morgan, eds. 1971)
รัฐศาสตร์เบ้อื งต้น หนา้ 84
5.2.2 กระบวนการมสี ่วนรว่ มในประชาธิปไตยแบบตัวแทนหรือแบบโดยอ้อม
หลายศตวรรษที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนแปลงในสังคมอย่างเห็นได้ชัดมากขึ้น
โดยเฉพาะใน 1) เชงิ ประชากร สังคมการเมอื งได้ขยายใหญ่กว่าเดิม เชน่ อินโดนีเซียมีพลเมืองเพิ่ม
เป็นอันดับ 4 ของโลก ประมาณ 235 ล้านคน และฟิลิปินส์กับเวียตนามมีพลเมืองแต่ละแห่งใกล้
90 ล้านคนและ 2) มีประเด็นปัญหา (issues) ต่าง ๆ มาก และสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น กลไกง่าย ๆ
แห่งความเป็นประชาธิปไตยแบบโดยตรงย่อมไม่สามารถกระทําได้ ดังนั้นจึงพัฒนากลไก
ประชาธิปไตยแบบตัวแทนหรือประชาธิปไตยแบบโดยอ้อม เกี่ยวโยงถึงการมีส่วนร่วมโดยกลไก
แหง่ กลุ่มสนใจหรอื กลุ่มผลักดัน (interest group or pressure group) และพรรคการเมือง
นักวิชาการผู้หนึ่ง คือ เลสเตอร์ มิลแบรธ (Milbrath) ได้จัดลําดับของการมี
ส่วนรว่ มทางการเมอื งออกเปน็ 14 ระดบั ด้วยกัน ดงั น้ี
1) รับฟังหรือรับทราบข่าวสารการเมือง (เป็นการเกี่ยวข้องกับการเมืองใน
ระดับตาํ่ สดุ หรอื น้อยทีส่ ุด แตม่ ีคนเกีย่ วข้องด้วยมากที่สดุ )
2) ไปออกเสียงลงคะแนน (voting) ด้วยตนเอง
3) ชกั ชวนให้ผู้อื่นสนทนาเรื่องการบ้านการเมอื ง
4) ชกั ชวนให้ผู้อน่ื ใช้สทิ ธิออกเสียงใหผ้ สู้ มคั รรับเลือกต้ังคนใดคนหนึ่ง
5) ช่วยโฆษณาให้พรรคการเมืองหรอื ผสู้ มัครรบั เลือกตั้งด้วยวิธีการต่าง ๆ กนั
6) ติดต่อแสดงความเห็นหรือข้อเรียกร้องต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองหรือ
นักการเมือง
7) สนับสนุนด้วยการบริจาคเงินให้พรรคการเมอื ง หรอื ผสู้ มัครรับเลือกต้ัง
8) ติดตามการหาเสียงของนกั การเมอื งบางคนหรอื หลายคน
9) เข้าช่วยผสู้ มัครรับเลือกต้ังรณรงคห์ าเสียง
10) เข้าเป็นสมาชิกพรรคโดยทาํ งานให้พรรคการเมอื งเปน็ ประจําเสมอ
11) เข้ามีสว่ นร่วมในการวางแผนของพรรค
12) ช่วยหาเงินเขา้ เป็นกองทุนของพรรค
13) ส่งสมัครเข้าแขง่ ขนั รบั เลือกตั้ง เพื่อตาํ แหน่งทางการเมอื ง
14) เข้าเป็นเจ้าหน้าที่ของพรรค หรือได้รับการเลือกต้ัง (เป็นการเกี่ยวข้องกับ
การเมอื งในระดบั ทีม่ ากทีส่ ุด แตม่ ีผู้เกี่ยวข้องโดยตรงนอ้ ยทีส่ ุด)
5.3 แบบแผนของการเข้ามีสว่ นร่วมทางการเมอื ง
การเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองในแต่ละรูปแบบของสังคมแต่ละสังคมอาจดําเนินไป
ใน 2 แบบแผนใหญ่ๆ ดงั ตอ่ นี้
รัฐศาสตร์เบ้อื งตน้ หนา้ 85
5.3.1 การเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างเป็นอิสระ (Autonomous Political
Participation) หมายถึงลักษณะที่ราษฎรเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองในรูปแบบใดๆ ด้วยความ
พึงพอใจส่วนตัว เป็นไปด้วยความสมัครใจหรือโดยพินิจพิเคราะห์ใช้วิจารณญาณของตนเอง
มองเห็นประโยชน์ของการเข้ามีส่วนร่วม และมองเห็นว่าตนเองสามารถที่จะก่อให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงทางการเมอื งได้อย่างแท้จริง
5.3.2 การเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองโดยถูกปลุกระดม (Mobilized Political
Participation) หมายถึง ลกั ษณะของการเขา้ มีสว่ นร่วมทางการเมอื งของราษฎรที่เป็นไปโดยที่ไม่ได้
เกิดจากเจต จํานงของตนเอง แต่เกิดจากผู้อื่นปลุกระดมให้เขาเข้าร่วมในการกระทํากิจกรรม
ทางการเมืองในรูป แบบต่างๆโดยการขู่เข็ญ บังคับ ชักจูง หรือใช้อิทธิพลทางวัตถุ เป็นต้น ท้ังนี้ก็
เพือ่ ให้เป็นไปตามที่ผปู้ ลกุ ระดมต้องการ
5.4 สาเหตขุ องการเข้ามีสว่ นร่วมทางการเมอื ง
การทีบ่ ุคคล หรือ กลุ่มบุคคลพยายามที่จะทําให้เปูาหมายของพวกเขาประสบความ
สาํ เรจ็ หรอื บรรลุได้น้ัน ถ้าพวกเขาเห็นว่าอาจจะกระทําได้โดยวิธีการที่ไม่เป็นการเมืองหรือเห็นว่า
วิธีการที่ไม่เป็นการเมืองน่าจะได้ผลดีกว่าวิธีการทางการเมืองแล้ว พวกนี้จะทุ่มเทให้กับวิธีการที่
ไม่เป็นการเมอื ง แตเ่ ปูาหมายบางประการจําเป็นต้องใช้วิธีการทางการเมืองเท่านั้นจึงจะบรรลุผล
ได้ เช่นในเร่ืองของการประกันราคาข้าว การกําหนดอัตราค่าแรงงานข้ันตํ่า เป็นต้นดังนั้นเม่ือมี
ปญั หาที่เกี่ยวข้องกับการเมอื งข้ึน พวกนกี้ ็จําตอ้ งเข้าไปมีสว่ นร่วมโดยไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงได้
นอกจากนี้สังคมที่มีความขัดแย้ง มีปัญหาเร่ืองเชื้อชาติ มีการช่วงชิงอํานาจทาง
การเมืองระหว่างกลุ่มต่างๆ ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะอยู่ในรูปของการเมือง และจะก่อให้เกิดการปลุก
ระดมอันจะนําไปสู่การเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองในรูปแบบที่รุนแรงขึ้นได้ ส่วนปัญหาอื่นๆที่
สงั คมประสบ เชน่ เร่อื งของการแจกแจงสวัสดิการ ปญั หาเงินเฟูอ ข้าวยากหมากแพง เหล่านี้อาจ
นํามาซึ่งการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองในรูปแบบใดๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการของรัฐบาลมี
ประสิทธิผลและเปิดโอกาสใหร้ าษฎรได้เข้ามีสว่ นร่วมมากน้อยเพียงไรเม่อื เทียบกับวิธี การอน่ื ๆ
ในทีน่ ้ีเราอาจสรุปประเด็นต่างๆ ที่เป็นสาเหตใุ ห้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมทางการเมือง
ได้ดงั ต่อไปนี้
5.4.1 กระบวนการสร้างความทันสมัย (Modernization) เป็นกระบวนการที่
เชื่อมโยงระหว่างสังคมด้ังเดิมกับสังคมทันสมัย กระบวนการนี้จะเป็นผลให้สังคมด้ังเดิมแปร
เปลี่ยนไปมี Urbanization to Industrialization ระดับการศึกษาของคนสูงขึ้น ความคาดหวัง ความ
ทะเยอทะยานของคนเพิ่มสูงขึ้นอันเป็นผลจากการขับเคลื่อนทางสังคม (Social Mobilization) ใน
ขณะเดียวกันในสังคมที่ระดับของการพัฒนาเศรษฐกิจอยู่ในอัตราที่ตํ่ากว่ากระบวนการ Social
รัฐศาสตรเ์ บื้องต้น หน้า 86
Mobilization แล้วความคับข้องใจก็จะเกิดขึ้น และถ้าความคับข้องใจเหล่านี้ไม่สามารถถูกขจัดไป
ได้แล้วประชาชนจะเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง สร้างความต้องการเข้าสู่ระบบการเมืองมาก
ยิ่งข้ึน
5.4.2 การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างชนชั้นทางสังคม การเปลี่ยนแปลงนี้เป็น
ผลโดย ตรงจากการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและจะมีส่วนเชื่อมโยงให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม
ทางการเมอื งเพิม่ ข้ึนอกี ด้วย
Nie , Powell และ Prewitt ได้ศึกษาคามสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 3 ตัวคือการ
พัฒนาเศรษฐกิจ โครงสร้างชนช้ัน และการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมือง พบว่าคนที่มีฐานะทาง
สังคมดีจะเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองมากกว่าชนช้ันอื่นๆ อาจอธิบายได้ว่าผลจากการพัฒนา
เศรษฐกิจจะช่วยเพิ่มการเข้ามีสว่ นร่วมโดยทาํ ให้เกิดชนช้ันกลางและชนชั้นสูงมากขึ้น และคนพวก
นี้มีแนวโน้มว่าจะเข้าเป็นสมาชิกองค์กรใดๆสูงกว่าชนชั้นอื่น นอกจากนี้ทั้งสามคนยังพบอีกว่า
สมาชิกปฏิบัติการ (Active members) ขององค์กรต่างๆมีแนวโน้มว่าจะเข้าไปมีส่วนร่วมทางการ
เมืองมากกว่าพวกทีไ่ ม่ได้เป็นสมาชิกองค์กรใดๆอีกด้วย
ดังน้ันเม่ือโครงสร้างทางชนชั้นเปลี่ยนไปจะเป็นผลให้ทัศนคติและพฤติกรรม
ทางการเมอื งของคนเปลีย่ นไปด้วย กล่าวคือ
1) มีความสาํ นึกในหน้าทีร่ าษฎรมากขึ้น
2) ได้รบั ข่าวสารทางการเมอื งเพิม่ ข้ึน
3) ตระหนักในผลกระทบที่นโยบายของรฐั พึงมตี ่อตนเองยิง่ ข้นึ
4) มีความสํานึกในฐานะทีเ่ ป็นสัตว์การเมือง
5) ให้ความสนใจอย่างยิ่งยวดในกิจกรรมทางการเมอื ง
จากทัศนคตแิ ละพฤติกรรมดังกล่าวจะเปน็ ผลใหค้ นเข้าไปมีสว่ นร่วมทางการเมืองมากยิ่งขึ้น
5.4.3 อทิ ธิพลของปัญญาชนและการคมนาคมสื่อสารแบบใหม่ ในสังคมที่เกิด
ใหม่หลายประเทศที่นกั ศึกษาปญั ญาชนได้เข้ามีบทบาทที่สําคัญในการก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ทางการเมือง เช่น ประเทศไทยในช่วง 14 ตุลาคม 2516 เหล่านี้มีส่วนกระตุ้นให้ประชาชนได้รู้ถึง
สิทธิหน้าทีข่ องราษฎร เชน่ ในโครงการเผยแพร่ประชาธิปไตยของศูนย์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศ
ไทย โดยการสนับสนุนจากทบวงมหาวิทยาลยั ของรัฐ ในปี 2517 เป็นต้น
นอกจากนี้อิทธิพลจากวิทยุโทรทัศน์ ตลอดจนหนังสือพิมพ์ต่างๆยังมีผลต่อ
การ เข้ามีสว่ นร่วมทางการเมืองเป็นอย่างยิ่ง ในบางสังคมจะใช้สื่อมวลชนเหล่านี้เพื่อการโฆษณา
ชวนเชื่อบ้างก็เพื่อให้การอบรมทางการเมืองแก่สมาชิกของสังคมแน่นอนว่าถ้าผู้ปกค รองไร้
รฐั ศาสตร์เบ้ืองตน้ หน้า 87
ประสิทธิภาพ ไม่สนองตอบต่อความตอ้ งการของสมาชิกในสังคม ก็จะเป็นผลให้ข้อเรียกร้องต่างๆ
อันเป็นผลจากการเข้ามีสว่ นร่วมทางการเมอื งก็จะเพิ่มมากขึ้นดว้ ย
5.4.4 ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้นําทางการเมือง ก็ถือเป็นสาเหตุประการ
สําคัญอันจะนําไปสู่การเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่กําลังพัฒนา
การขัดแย้งนี้มักจะเป็นความขัดแย้งระหว่างผู้นําที่อยู่ในอํานาจซึ่งไม่ต้องการที่จะให้ผู้นําใหม่ที่มี
ความคิดก้าวหน้าเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง เป็นเหตุให้ผู้นําใหม่จําเป็นต้องหาทางปลุกระดม
ประชาชนให้ประชาชนเกลียดชังระบบการเมืองที่เป็นอยู่ สร้างความชอบธรรมให้กับระบบ
การเมืองแบบใหม่ที่อ้างว่าสามารถให้ความยุติธรรมมากกว่าเดิม การขัดแย้งกันนี้มักจะนําไปสู่
การเข้ามีสว่ นร่วมทางการเมอื งในรูปแบบของการใช้กําลังรุนแรง
5.4.5 รัฐบาลเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเร่ืองราวในสังคม เศรษฐกิจ และ
วัฒนธรรมของสังคมมากยิ่งขึ้น ก็นับเป็นสาเหตุที่สําคัญอันจะนําไปสู่การเพิ่มของการเข้ามีส่วน
ร่วมทางการเมอื ง ในระบบสงั คมแบบดั้งเดิมน้ันเร่ืองราวในสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมจะตก
อยู่ภายใต้ของกระบวนการประเพณีและความเชื่อที่งมงาย เช่น เชื่อฐานะความเป็นอยู่ของคนน้ัน
เป็นผลกรรมแต่ในอดีต ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมมักจะได้รับการแก้ไขกันเอง และมองว่ารัฐบาล
เป็นเร่ืองของคนช้ันสูงในเมือง การเมืองกับตนเองอยู่กันคนละโลก ต่อมาเม่ือบ้านเมืองเป็นแบบ
ทันสมัย ระบบการเมอื งทันสมัยยิ่งขึน้ ความจําเป็นที่รัฐบาลจะต้องออกกฎระเบียบต่างๆก็จะยิ่งมี
มากขึ้น อํานาจของรัฐบาลกลางจะแผ่ขยายออกไปครอบคลุมในส่วนสัดต่างๆของภูมิภาค
กว้างขวางยิ่งขึ้น หมู่บ้านในชนบทสามารถติดต่อกับตัวเมืองสะดวกยิ่งขึ้นโดยผ่านถนนช้ันดี การ
บริการของรัฐในด้านสาธารณูปโภคอื่นๆ เช่น ไฟฟูา การศึกษาได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับ
ชีวิตประจําวันของคนในชนบทมากยิ่งขึ้น ในที่สุดชาวชนบทจะเกิดความสํานึกในบทบาทหน้าที่
ของตนเองและจะพยายามเรยี กร้องหรอื เข้าไปมีสว่ นร่วมทางการเมืองเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่พวกเขา
ต้องการมากยิ่งขึน้
5.4.6 อิทธิพลของการศึกษา มีงานวิจัยหลายชิ้นที่พบว่าคนที่ได้รับการศึกษา
ในระดับสูงมแี นวโน้มว่าจะเข้าไปมีสว่ นร่วมทางการเมืองในระดับที่สงู กว่าคนที่มกี ารศกึ ษาน้อย
ในหนังสอื The Civic Culture น้ัน Almond กบั Verba ได้สรุปความสัมพันธ์ของ
การศกึ ษากับการเข้ามีสว่ นร่วมทางการเมอื งไว้ดังตอ่ ไปนี้
1) บุคคลที่ยิ่งมีการศึกษาดีก็จะยิ่งตระหนักในผลกระทบที่รัฐบาลมีต่อ
บคุ คลแต่ละคนมากกว่าบคุ คลทีร่ ะดับการศกึ ษาน้อย
2) บุคคลที่ยิ่งมีการศึกษาดีจะมีท่าทีว่าจะอ้างว่าเขาติดตามข่าวคราว
การเมอื งและใหค้ วามสนใจตอ่ การรณรงค์หาเสียงมากกว่าบุคคลที่มรี ะดบั การศกึ ษาน้อย
รัฐศาสตร์เบ้อื งต้น หนา้ 88
3) บคุ คลทีย่ ิง่ มีการศกึ ษาดีจะยิง่ มขี ่าวสารทางการเมอื งมาก
4) บุคคลที่ยิ่งมีการศกึ ษาดีจะมีความคิดเหน็ ในเรือ่ งการเมืองกว้างขวาง
มากความสนใจต่อการเมอื งจะมีเปูาหมายหรือประเด็นทีก่ ว้างกว่า
5) บคุ คลที่ยิ่งมีการศกึ ษาดีมแี นวโน้มที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการถกเถียง
พูดคยุ ทางการเมอื งกนั
6) บุคคลที่ยิ่งมีการศึกษาดีก็จะยิ่งรู้สึกอิสระที่จะพูดคุยเร่ืองการเมือง
กับคนโดยทั่วไปส่วนพวกที่มีการศึกษาน้อยมีแนวโน้มว่าจะอ้างว่ามีคนจํานวนมากที่เขาไม่
อยากจะพดู คยุ การ เมืองด้วย
7) บุคคลที่ยิ่งมีการศึกษาดีจะมีแนวโน้มว่าจะมองว่าตนเองมี
ความสามารถทีจ่ ะใช้อทิ ธิพลบีบรัฐบาลได้
5.5 ฐานของการเข้ามีสว่ นร่วมทางการเมอื ง
คําวา่ ฐานในทีน่ ้ีหมายถึงกลุ่มหรอื องค์กรในสังกดั โดยมีจดุ มุ่งหมายตลอดจนวิธีการ
ที่เป็นของตนเอง ซึ่งแต่ละกลุ่มแต่ละองค์กรต่างก็มีจุดมุ่งหมายและวิธีการที่จะให้ได้มาซึ่งผลอัน
เปน็ ที่ปรารถนาอาจคล้ายคลึงกันหรือแตกต่างกนั หรืออาจขัดแย้งกบั อีกกลุ่มหรือองค์กรหนึ่งก็ได้
โดยผ่านทางกลุ่มหรือองค์กรเหล่านี้ที่ทําให้บุคคลเข้ารวมกันเข้ามีส่วนร่วมทางการเมือง ใน
รูปแบบใดๆ โดยมุ่งหวังที่จะใช้อิทธิพลต่อการกําหนดนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้เป็นไปในรูปของ
การเอื้อต่อประโยชน์ของกลุ่มหรือองค์กรเอง และการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองโดยผ่านกลุ่ม
หรือองค์กรนี้จะสร้างอิทธิพลในลักษณะที่กว้างขวางกว่าการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองของแต่
ละบุคคลมากฐานของการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองนี้อาจแบ่งได้เป็น 4 รูปแบบด้วยกัน
ดงั ตอ่ ไปนี้
5.5.1 ชนชั้นทางสังคม (Social Class) โดยปกติแล้วพวกที่รํ่ารวยกับพวกที่
ยากจนจะมีผลประโยชน์แตกต่างกัน และความแตกต่างนี้เองที่นําไปสู่การขัดแย้งทางการเมือง ผู้
ที่เสนอแนวความคิดในเร่ืองความขัดแย้งในระหว่างชนชั้นที่เด่นที่สุดคือ คาร์ล มาร์ก โดยมอง
สังคมนายทุนอุตสาหกรรมในปัจจุบันจะแบ่งออกเป็น 2 ชนช้ัน คือ ชนชั้นนายทุนกับชนชั้น
กรรมาชีพ ท้ังสองชนชั้นจะต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ชนชั้นนายทุนเป็นชนช้ันที่เป็น
เจ้าของปัจจัยในการผลิตจะพยายามทุกวิถีทาง ที่จะเพิ่มกําไรให้กับตน เองเป็นผลให้ชนช้ัน
กรรมาชีพซึ่งขายแรงงานเพื่อยังชีพถูกบีบค้ันถูกขูดรีดค่าจ้างแรงงาน จนในที่สุดชนช้ันกรรมาชีพ
เหล่านี้ทนต่อสภาวะที่ถูกบีบค้ันไม่ได้จะรวมตัวกันเกิดความสํานึกในฐานะที่เป็นชนชั้นซึ่งทํางาน
หรือใช้แรง งานอย่างหนัก แต่ความเป็นอยู่กลับเลวร้ายเสียยิ่งกว่าทาสในสมัยก่อน ในขณะที่ชน
ชั้นนายทนุ ซึ่งไม่ได้ลงแรงแต่อย่างใดกลับเป็นชนชั้นที่สะดวกสบายที่สุด และความสะดวกสบายนี้
รัฐศาสตร์เบ้ืองตน้ หนา้ 89
ได้มาจากผลพวงของแรงงานของชนช้ันกรรมชีพท้ังสิ้น ชนช้ันกรรมาชีพเหล่านี้จะเข้ามีส่วนร่วม
ทางการเมอื งในรปู ของการปฏิวตั ลิ ้มล้างสังคมนายทุนและนําไปสู่สังคมคอมมิวนิสต์ ซึ่งมาร์กเชื่อ
เป็นสังคมทีด่ ีกว่าและยตุ ิธรรมกว่าสังคมนายทนุ
5.5.2 กลุ่มชุมชน หมายถึง กลุ่มบุคคลที่มีเชื้อชาติ ศาสนา ภาษาและสัญชาติ
ที่เหมอื นกนั หรอื คล้ายคลึงกนั ในสังคมระดับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสูง รูปแบบของการเข้า
มีส่วนร่วมทางการเมืองของกลุ่มชุมชนจะอยู่ในรูปสันติวิธี ดําเนินตามกฎ ระเบียบของสังคม แต่
ในสงั คมทีม่ รี ะดับความเปน็ อันหน่งึ อันเดียวกันต่ํา ปัญหาการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองของกลุ่ม
ชุมชนในรูปแบบที่ใชก้ ําลังรนุ แรงจะเกิดข้ึน เช่น กรณีของชนกลุ่มน้อยในพม่า อันเป็นกะเหรี่ยง ข่า
คะฉิน่ เป็นต้นกลุ่มชมุ ชนเหล่านีไ้ ม่ยอมรบั ในความชอบธรรมของรัฐบาลของกลุ่มพม่า จึงต้องการ
ที่จะแยกตนมาจัดตั้งเป็นรัฐอิสระ ปัญหาความรุนแรงจึงเกิดขึ้นจากการระดมสรรพกําลังโดยใช้
ชมุ ชนเป็นฐานนําไปสู่การเขา้ มีสว่ นร่วมทางการเมอื งในรูปของสงครามภายใน
5.5.3 กลุ่มเพื่อบ้าน หมายถึง กลุ่มบุคคลที่ตั้งบ้านเรือนหรือที่อยู่อาศัยอยู่ใน
บริเวณใกล้เคียงกัน เช่น ชมรมหมู่บ้านเสรี ชมรมหมู่บ้านสหกรณ์ เป็นต้น บุคคลเหล่านี้อาจ
รวมตัวกันขึ้นยื่นข้อเรียกร้องหรือเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองในรูปแบบใดๆได้อย่างเช่นสมมติว่า
รัฐบาลดําริจะตัดถนนผ่านกลางหมู่บ้านเสรี ผลเสียเกิดขึ้นชาวบ้านในแง่ของความจอแจอึกทึก
ครึกโครมของเสียงยวดยานทีจ่ ะตามมา ความสงบร่มเย็นก็จะถูกทําลายไป ชาวบ้านจึงรวมตัวกัน
ขึ้นเป็นชมรมมีการดําเนินการติดต่อกับนักการเมืองบ้าง ส่งสารวิงวอนต่อคณะรัฐมนตรีให้ระงับ
โครงการนีบ้ ้าน เป็นต้น
5.5.4 กลุ่มขนาดเลก็ หมายถึงกลุ่มบคุ คลที่รวมตัวกันโดยมีความผูกพันต่อกัน
อย่างแน่นแฟูน เช่น กลุ่มอุปถัมภ์ซึ่งเป็นการจับกลุ่มกันระหว่างบุคคลที่มีฐานะความม่ังค่ังและ
อิทธิพลไม่เท่าเทียมกนั และอยู่ในรูปของการใหป้ ระโยชน์ระหว่างกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย
จงึ อาจกล่าวได้ว่า กลุ่มหรอื องค์กรจะเปน็ ฐานทีส่ าํ คัญยิ่งต่อการเข้ามีส่วนร่วม
ทางการเมอื ง จากผลการศกึ ษาจาํ นวนมากพบว่าผู้ที่เข้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรจะเข้าไปมีส่วน
ร่วมทางการเมอื งมากกว่าพวกทีไ่ ม่ได้เกี่ยวข้อง การที่บคุ คลได้มีโอกาสเข้ามีส่วนร่วมในองค์กรซึ่ง
จะเน้นในเร่ืองของการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล มุ่งที่เปูาหมายร่วมกันและการเข้าสู่ตําแหน่งหน้าที่
ใดๆ โดยอาศัยความสามารถท้ังในแง่ทักษะและการศึกษา จะเป็นผลให้บุคคลได้เรียนรู้ค่านิยม
ใหม่ๆ มีความตระหนักร่วมกันในผลประโยชน์ร่วมของกลุ่ม ซึ่งส่วนใหญ่ผลประโยชน์ของกลุ่มหนี
ไม่พ้นที่จะต้องเกี่ยวข้องกับการเมือง การเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองของบรรดาสมาชิกของกลุ่ม
องค์กรจงึ มแี นวโน้มที่จะเกิดข้ึนได้มาก
รัฐศาสตร์เบื้องต้น หน้า 90
5.6 รปู แบบของการมีสว่ นรวมทางการเมือง
Huntington กับ Nelson ได้จําแนกรูปแบบของการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองใน
ลักษณะที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็ได้เพื่อเติมบางรูปแบบเพื่อให้สมบูรณ์และครอบคลุมเนื้อหามาก
ยิ่งข้ึน ดังน้ี
5.6.1 กิจกรรมการเลือกต้ัง หมายรวมถึงกิจกรรมการไปใช้สิทธิเลือกต้ัง และ
การเข้าร่วมรณรงคห์ าเสียงในการเลือกตั้งด้วย
5.6.2 การลอบบี้ (Lobby) หมายถึงการเข้าหาเจ้าหน้าที่หรือผู้นําทางการเมือง
เพื่อหาทางเข้าไปมีอทิ ธิพลต่อการกําหนดนโยบายของรัฐบาลโดยให้ข้อมูลต่างๆ เพื่อผลประโยชน์
ของกลุ่มเป็นเกณฑ์
5.6.3 กิจกรรมองค์การ เป็นกิจกรรมทางการเมืองของกลุ่มองค์กรใดๆโดยมี
จุดมุ่งหมายที่จะเข้าไปมีอิทธิพลต่อประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์เฉพาะอย่าง หรืออาจเป็น
ผลประโยชน์สูงสดุ ของส่วนรวมกไ็ ด้
5.6.4 การติดต่อ หมายถึงการเข้าหาเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือข้าราชการเป็นการ
ส่วนตวั โดยปกติมุ่งหวังผลประโยชน์สว่ นตัวหรอื ครอบครัว
5.6.5 การใช้กําลังรุนแรง คือกิจกรรมที่พยายามจะสร้างผลกระทบต่อการ
ตัดสินนโยบายของรัฐบาลโดยการทําร้ายร่างกายหรือทําลายทรัพย์สิน กิจกรรมนี้อาจดําเนินไป
โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเปลี่ยนแปลงผู้นําทางการเมือง เช่นกิจกรรมของรัฐประหาร การลอบ
สังหารผู้นําทางการเมืองหรือหรืออาจจะมุ่งที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการเมือง เช่นการทําการ
ปฏิวัติก็ได้ ส่วน Almond กับ Powell ได้จําแนกรูปแบบของการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองที่
ค่อนข้างละเอียด กระจ่างชัดและครอบคลุมเน้ือหากว่าการจําแนกข้างต้น ในการนี้ Almond กับ
Powell ได้แบ่งรูปแบบของการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองออกเป็น 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือแบบเป็น
ทางการกบั ไม่เปน็ ทางการ
แบบเป็นทางการ แบบไม่เป็นทางการ
1.การออกเสียงการเลอื กต้ัง 1.การยืนเสนอข้อเรยี กร้อง
2.การพูดจาปรึกษาเรื่องการเมอื ง 2.การเดินขบวน
3.กิจกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกต้ัง 3.การเข้าประจญั หนา้ กนั
4.การจดั ตั้งและการเข้าร่วมเปน็ สมาชิกกลุ่มตา่ งๆ 4.การละเมิดกฎระเบียบของสังคม
5.การติดต่อส่วนตัวกับเจ้าหน้าที่ทางการเมืองและ 5.การใชค้ วามรนุ แรงทางการเมอื ง
การบริหาร 5.1ประทษุ ร้ายต่อทรพั ย์สิน
5.2 ประทษุ ร้ายต่อบคุ คล
รัฐศาสตรเ์ บ้ืองตน้ หน้า 91
6.สงครามกองโจรและการปฏิวัติ
ในการปกครองระบบประชาธิปไตยสมัยปัจจุบัน หลักการที่มีความสําคัญประการ
หน่งึ ที่จะส่งเสริมรูปแบบการปกครองแบบนีค้ ือหลักการทีจ่ ะทําให้เกิดระบบทีส่ ง่ เสริมให้ประชาชน
ธรรมดาเข้ามามีส่วนร่วมในทางการเมืองให้มากที่สุด การมีส่วนร่วมทางการเมือง อาจจะเป็นทั้ง
ในทํานองสนับสนุนหรือเชิงต่อต้านรัฐบาลที่กําลังคงอยู่น้ัน ด้วยเหตุนี้การรณรงค์ของประชาชน
เพื่อแสดงถึงข้อคิดเห็นของเขาประเด็นทางการเมืองทุกประเภทจึงเป็นการมีส่วนร่วมทางการ
เมืองได้ตั้งแต่การรณรงค์หาเสียงเลือกต้ัง การสมัครเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองหรือกลุ่ม
การเมือง การเป็นสมาชิกของกลุ่มผลประโยชน์ การมีส่วนร่วมในการประท้วงทางการเมือง การ
นัดหยุดงานด้วยวัตถุประสงค์ทางการเมือง หรือวิธีการต่างๆที่มุ่งจะเปลี่ยนแปลงนโยบาย
สาธารณะ รวมทั้งการต่อต้านรัฐบาลหลายๆประการ เช่น การปฏิเสธไม่จ่ายภาษีให้กับรัฐ หรือ
การหันเหไปเข้ากับกลุ่มการเมืองอื่น รวมถึงการเป็นสมาชิกของกรรมาธิการที่ปรึกษารัฐบาล
นอกจากนี้การมีส่วนร่วมทางการเมืองยังรวมไปถึงกิจกรรมการเมืองระดับท้องถิ่น เช่น การ
รณรงคเ์ รื่องที่พกั อาศยั หรอื ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมในระดับท้องถิ่น
6. รปู แบบในการมีส่วนรว่ มทางการเมืองในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
รูปแบบในการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้น
สามารถแจกแจงการมสี ่วนรว่ มทางการเมอื ง ได้ดงั นี้
6.1 การเลือกตั้ง (Election)
ค ว า ม ห ม า ย แ ล ะ ค ว า ม สํ า คั ญ ห ลั ก ก า ร สํ า คั ญ ข อ ง ร ะ บ บ ก า ร ป ก ค ร อ ง แ บ บ
ประชาธิปไตยเริ่มแรกน้ัน คือ การให้พลเมืองจํานวนมากที่สุดใช้อํานาจอธิปไตยในการปกครอง
โดยตรง แต่ต่อมาในทางปฏิบัติไม่สามารถทําได้เพราะพลเมืองมีจํานวนมาก พลเมืองคนก็ไม่มี
ความรู้ ความสามารถและไม่เข้าใจในการปกครองเพียงพอ จงึ แปรเปลี่ยนมาเป็นการให้ประชาชน
ใช้อาํ นาจอธิปไตยผ่านทางตัวแทน กล่าวคือให้ประชาชนเลือกต้ังบุคคลจํานวนหนึ่งทําหน้าที่แทน
ตน
หยุด แสงอุทัย (2513 : 344) กล่าวว่า การเลือกตั้ง คือ การที่บุคคลได้เลือกบุคคล
หนึ่งจากบุคคลหลายๆคน หรือบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกต้ังบัญชีหนึ่งจากบัญชีรายชื่อหลาย
บญั ชี เพื่อให้ไปกระทาํ การอนั ใดอันหนง่ึ เชน่ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร
พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว (2542 : 201) ให้ความหมายของการเลือกตั้งว่า การเลือกต้ังเป็น
กิจกรรมที่สําคัญยิ่งในกระบวนการทางการเมืองการปกครอง เพราะการเลือกตั้งเป็นการ
แสดงออกซึ่งเจตจํานงของประชาชนในการปกครองประเทศ เจตจํานงดังกล่าวปรากฏอยู่ใน
รัฐศาสตรเ์ บื้องตน้ หน้า 92
ลักษณะของการเรียกร้อง (demand) หรือสนับสนุน (support) ต่อการตัดสินใจทั้งหลายในระบบ
การเมอื ง
พิมลจรรย์ นามวัฒน์ (2540 : 716) ให้ความหมายการเลือกต้ังว่า การที่ประชาชนมี
ส่วนรว่ มทางการเมอื งโดยการออกเสียงลงคะแนนตามความเห็นของตนเองโดยอิสระว่า จะเลือก
ผใู้ ดเปน็ ผู้แทนของตนเขา้ ไปใช้อาํ นาจอธิปไตยบริหารกิจการของประเทศ ผู้ที่จะได้รับการเลือกตั้ง
นั้นจะเป็นผู้สมคั รใจเสนอตวั เข้ามาให้ประชาชนเลือกและผู้ที่ได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียงส่วนใหญ่
จะเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นผู้แทนของประชาชนทั้งหมด มีสิทธิตามที่ได้รับมอบหมายจาก
ประชาชนให้เข้าร่วมเป็นคณะบคุ คลดาํ เนินการบริหารและการปกครอง
สรปุ ความหมายการเลือกต้ังได้ว่า การเลือกตั้ง หมายถึง กิจกรรมทางการเมืองการ
ปกครองที่ประชาชนผู้มสี ิทธิออกเสียงเลือกตั้งไปแสดงตนใช้สิทธิออกเสียงเลือกบุคคล หรือคณะ
บคุ คลจากคนหลายๆคน หรอื เลือกจากบญั ชีรายชอ่ื ผสู้ มคั รรบั เลือกตั้งบญั ชีหนึ่งจากหลายๆบัญชี
เพือ่ ให้กระทาํ หรอื ละเว้นการกระทําอย่างใดอย่างหนึง่ ทางการเมอื งการปกครองแทนตน
6.1.1 ความสําคัญของการเลือกต้ัง การเลือกต้ังมีความสําคัญอย่างยิ่งใน
กระบวนการปกครองแทบทุกประเภท (พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว,2542 : 217-218) โดยเฉพาะการ
ปกครองในระบอบประชาธิปไตย การเลือกต้ังคือการเลือกรฐั บาลที่จะมาทาํ การปกครอง
การเลือกต้ังอาจเปน็ เสมือน “หา้ มล้อ” ของการปกครองผู้ที่ได้รับการเลือกตั้ง
ต้องตระหนกั ถึงความปรารถนาของปวงชนที่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยเฉพาะจากการตัดสิน
การกระทําของผู้สมัครที่จะลงสมัครเลือกตั้งซ้ําน้ัน คือ กระบวนการเลือกตั้งนํามาซึ่งการจัดต้ัง
รัฐบาลและจํากัดการกระทําของรัฐบาล นอกจากน้ันการเลือกต้ังยังเป็น “กลไกเชื่อมโยง”
ทัศนคติต่อกิจการสาธารณะของปวงชนกับนโยบายของรัฐบาล ความสําคัญยิ่งอีกอย่างหนึ่งใน
ระบอบประชาธิปไตยก็คือการกระทําของรัฐบาลต้องสอดคล้องกับความปรารถนาของปวงชน
การเลือกตั้งสร้างกลไกเชื่อมโยงสว่ นสาํ คญั สองส่วนเข้าด้วยกนั
นอกจากบทบาทดังกล่าวข้างต้นแล้ว การเลือกต้ังยังทําหน้าที่ ต่อระบบ
การเมืองอยู่อีกหลายประการ เป็นต้น ว่าการเลือกตั้งทําให้อํานาจหน้าที่ของรัฐบาลมีความชอบ
ธรรม ท้ังนี้เน่ืองจากทําให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้รับการยอมรับจากปวงชน โดยที่
ประชาชนเป็นผู้ให้การสนบั สนุนอยู่เบื้องหลัง แม้ไม่เห็นด้วยกับการกระทําของรัฐบาลในบางกรณี
ก็ตาม
การเลือกตั้งช่วยลดความตึงเครียดของความขัดแย้งทางการเมือง ตราบเท่าที่
การเลือกต้ังเป็นกระบวนการเปิด ความจําเป็นในการสะสมพลังเพื่อแสดงออกซึ่งความรุนแรงจะ
รฐั ศาสตร์เบื้องตน้ หน้า 93