ลดน้อยลง ในแง่นี้จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างประเทศที่มีการเลือกต้ังอย่างเป็นกิจ
ลักษณ์กับประเทศที่ปราศจากการเลือกต้ังแตเ่ ตม็ ไปด้วยการปฏิวตั ิรัฐประหาร
นอกจากน้ันการเลือกตั้งยังช่วยลดความขัดแย้งทางสังคมลงได้อีกด้วย กลุ่ม
ทางสังคมทั้งหลายต่างกลุ่มต่างมีความต้องการซึ่งทําให้เกิดความขัดแย้งกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แตก่ ลุ่มเหลา่ น้ันต่างอยากได้สิ่งที่ตนต้องการโดยการเรียกร้องผ่านกระบวนการการเลือกต้ังแบบ
เปิด ซึง่ ดกี ว่าการตอ้ งใชก้ าํ ลังเข้าแย่งชิงกัน
ในแงข่ องบทบาททางด้าน “สัญญาลักษณะ” การเลือกต้ังเป็น “พิธี” ที่สําคัญ
อย่างหนึ่งในการปกครองระบอบประชาธิปไตย การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งช่วยทําให้ระบบ
การเมืองเกิดบูรณาการ พร้อมกับการปฏิบัติหน้าที่ในส่วนอื่นๆ ที่ได้กล่าวมาแล้ว การได้เข้าไปมี
ส่วนรว่ มทางการเมืองโดยการเลือกต้ังทําให้ประชาชนรู้สึกว่าตนมีส่วนเป็นเจ้าของประเทศ ทําให้
ประชาชนมีความรู้สึกว่าตนมีส่วนในการสร้างรัฐบาลและมีอิทธิพลต่อการกระทําของรัฐบาลไม่
มากก็น้อย ดว้ ยเหตนุ ้ีจึงกล่าวได้ว่า การเลือกต้ังช่วยบํารุงรักษาประชาธิปไตย และการลงคะแนน
เสียงเลือกตั้งทําให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าตนได้ “ปฏิบัติ” กิจของพลเมือง (civic duty) ที่
พลเมอื งพึงกระทําอกี ด้วย
โดยสรปุ การเลือกต้ังมีความสาํ คญั ดังตอ่ ไปนี้
1.เป็นการเลือกผู้ปกครองหรือรฐั บาลที่จะมาทําการปกครอง
2.เป็น “หา้ มล้อ”ทางการเมอื ง
3.เป็นกลไกเชื่อมโยงความต้องการของประชาชนเข้ากับนโยบาย
สาธารณะ
4.สร้างความชอบธรรมทางการเมอื งให้แก่ผปู้ กครอง
5.ลดความตงึ เครียดและความขัดแย้งทางการเมืองและสงั คม
6.ทาํ ให้เกิดการบรู ณาการทางการเมอื ง
7.ทําให้เกิดการระดมมวลชนเข้าสู่กระบวนการปกครองในระบอบ
ประชาธิปไตยในลักษณะของความจําเป็นในการปฏิบตั ิหนา้ ที่พลเมืองดี
6.1.2 วัตถุประสงค์ของการเลือกตั้ง การเลือกต้ังจะมีความหมายอย่าง
แท้จรงิ ตอ้ งตอบสนองวตั ถปุ ระสงค์ดงั ต่อไปนี้ (สมบรู ณ์ สขุ สาํ ราญ, 2527 : 64-65)
6.1.2.1 ประชาชนมีเจตนาที่จะออกเสียงเลือกต้ังเพื่อเลือกบุคคล หรือ
คณะบุคคลเข้าทําการปกครองแทนตน อํานาจในการปกครอง ณ ที่นี้หมายถึง อํานาจในการ
บริหารประเทศซึ่งผู้ใช้อํานาจนี้ได้แก่ รัฐบาล อํานาจในการควบคุมการบริหารซึ่งแสดงออกโดย
รัฐศาสตรเ์ บอื้ งตน้ หนา้ 94
การออกกฎหมายหรืออนุมัตกิ ฎหมาย นโยบายทีร่ ัฐบาลเสนอ ตลอดถึงการควบคุม ตรวจสอบให้
มีการปฏิบตั ิตามกฎหมายและนโยบาย องค์การที่ใช้อาํ นาจน้ไี ด้แก่รัฐสภา
6.1.2.2 คณะผู้ปกครองต้องเคารพในเจตนารมณ์ของผู้เลือกต้ังการที่
ประชาชนเลือกผู้ปกครองเข้าไปทําหน้าที่ใช้อํานาจอธิปไตยแทนตนน้ัน ก็เพื่อวัตถุประสงค์ที่
สําคัญยิ่ง คือ ความสุข ความมั่นคงและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน กล่าวอีกนัยหนึ่ง
เพื่อให้ได้มาซึ่งหลักประกันและความม่ัน คงในสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค เม่ือใดคณะ
ผู้ปกครองไม่อาจสนองตอบต่อความต้องการดังกล่าวได้หรือกลับใช้อํานาจปกครองก่อให้เกิด
ความเดือดร้อนละเมิดและบ่อนทําลายหลักประกันและความมั่นคงในสิทธิเสรีภาพและความ
เสมอภาคแล้ว การเลือกตั้งกไ็ ม่มีความหมายที่แท้จริง แต่จะเปน็ เพียงเครอ่ื งมือเพื่ออ้างความชอบ
ธรรมในการปกครองของผู้ปกครอง
6.1.3 หลักเกณฑ์ของการเลือกตั้ง การเลือกตั้งจะมีความหมายและถือเป็น
ฐานที่มาของความชอบธรรมในอํานาจ ของรัฐบาลและผู้ปกครองนั้น จะต้องมีลักษณะตาม
หลักเกณฑ์ทีไ่ ด้รบั การยอมรับเปน็ สากล (หยุด แสงอุทัย,2513 : 353-358) ดงั ต่อไปนี้
6.1.3.1 หลักอิสระแห่งการเลือกตั้ง (Freedom of election) หมายถึง
การแสดงเจตนารมณใ์ นการเลือกต้ังจะต้องเปน็ ไปอย่างอิสรเสรีปราศจากการบีบบังคับ ข่มขู่ด้วย
ประการใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้อามิสสนิ จา้ งหรอื การใช้อทิ ธิพลบีบบงั คบั
6.1.3.2 หลกั การเลือกต้ังตามกําหนดเวลา (Periodic election) หมายถึง
เม่ือเลือกต้ังไปแล้วก็ต้องมีการเลือกตั้งใหม่อีกโดยมีการกําหนดระยะเวลาที่แน่นอ น เช่น
กําหนดให้มีการเลือกตั้งโดยปกติทุก 4 ปีหรือ 5 ปี เป็นต้นท้ังนี้ให้ประชาชนมีโอกาสตรวจสอบ
การปฏิบัติหนา้ ที่ของผปู้ กครองว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ไปตามเจตนารมณ์ของประชาชนหรือไม่ ซึ่งเป็น
เง่ือนไขสําคัญในการพิจารณาความ ชอบธรรมในการใช้อํานาจของผู้ปกครอง และเป็นเง่ือนไข
เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสสามารถเปลี่ยนแปลงตัวผู้ปกครองได้โดยสันติวิธี ผู้ปกครองที่ใช้อํานาจ
โดยชอบธรรมในระหว่างอยู่ในอํานาจ เม่ือครบวาระแล้วก็มีโอกาสที่จะได้รับความไว้วางใจจาก
ประชาชน และได้รบั เลือกเข้ามาใหม่
6.1.3.3 หลักการเลือกตั้งอย่างแท้จริง (Genuine Election) หมายถึง
การดําเนินการใหก้ ารเลือกต้ังได้เป็นไปโดยบริสุทธิ์ รฐั บาลจะต้องถือเป็นหนา้ ที่สําคัญทีจ่ ะปูองกัน
มิให้การคดโกงการเลือกต้ังเกิดขึ้น พร้อมนี้รัฐบาลก็จะต้องระวังไม่ให้ราษฎรคดโกงในการ
เลือกตั้ง วิธีที่จะให้การเลือกตั้งเป็นการเลือกต้ังอย่างแท้จริงคือ การจัดให้ราษฎรจัดการเลือกตั้ง
ของตนเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ท้ังนี้โดยให้ราษฎรร่วมมือในการเลือกต้ัง เช่น ให้เป็น
รัฐศาสตรเ์ บ้อื งต้น หนา้ 95
กรรมการตรวจคะแนนเป็นต้นนอกจากนี้จะต้องเปิดโอกาสให้มีการคัดค้านการเลือกต้ังได้ เม่ือ
เหน็ ว่าการเลือกตั้งไม่เปน็ ไปอย่างบริสุทธิ์ยตุ ิธรรม
6.1.3.4 หลักการออกเสียงโดยท่ัวถึง (Universal Suffrage) หมาย ถึง
การให้บคุ คลออกเสียงลงคะแนนโดยไม่จํากัด กล่าวคือ บุคคลทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายที่เป็นผู้มี
สญั ชาติของประเทศใด ต้องมีสทิ ธิเลือกต้ังผู้แทนราษฎรของประเทศน้ัน ข้อยกเว้นที่รับรองกันอยู่
ทว่ั ไปคือ ไม่ให้สิทธิเลือกตั้งแก่เดก็ บคุ คลวิกลจริตหรือจิตบกพร่อง ผู้ที่ต้องโทษจําคุกมาแล้วและ
พ้นโทษมายงั ไม่เกินกําหนดเวลาทีก่ ําหนดไว้เปน็ ต้น
6.1.3.5 หลักการเลือกตั้งอย่างเสมอภาค (Equal Suffrage) หมายถึง
คนหนึ่งมีคะแนนเสียงเพียงหนึ่งและคะแนนเสียงทุกเสียงย่อมมีน้ําหนักเท่ากัน หลักการเลือกต้ัง
อย่างเสมอภาคนี้เป็นหลักที่เป็นรากเหง่าของระบอบประชาธิปไตย เพราะในการปกครอง
ระบอบประชาธิปไตยนั้น ความสําคัญไม่ได้อยู่ที่เสรีภาพเพรา ะในการปกครองระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ เสรีภาพของบุคคลก็ย่อมมีได้ แต่ความสําคัญของการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยย่อมอยู่ที่ความเสมอภาค คือบุคคลทุกคนไม่ว่าม่ังมี ยากจน มีการศึกษา มี
ทรพั ย์สินหรือกาํ เนิดอย่างใดย่อมมีสทิ ธิเท่าเทียมกนั
6.1.3.6 หลักการลงคะแนนเสียงแบบลับ (Secret Vote) หมายถึง การ
ลงคะแนนเสียงที่ไม่ได้มีผู้อื่นใดนอกจากเจ้าตัวทราบว่าได้มีการลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้ใด ซึ่งจะ
กระทําโดยวิธีการเอาบัตรเลือกตั้งลงคะแนนผนึกในซองหรือพับแล้วมอบให้กรรมการประจํา
หน่วยเลือกต้ัง หรือใส่หีบบัตรเลือกต้ังเองหลักการลงคะแนนเสียงลับได้กําหนดไว้ เพื่อให้การ
เลือกต้ังเป็นไปโดยบริสุทธิ์ เป็นการปูองกันการใช้อิทธิพลต่างๆ ผู้มีสิทธิเลือกต้ังต้องกา ร
ลงคะแนนเสียงให้ผู้ใดกส็ ามารถลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้นน้ั ได้ตามตอ้ งการ
6.1.4 วิธีการเลือกตั้ง วิธีการเลือกต้ังทีร่ จู้ ักกนั โดยทั่วไปนั้นมีอยู่ 2 วธิ ี
(พิมลจรรย์ นามวฒั น์,2540 : 726) คอื
6.1.4.1 การเลือกต้ังโดยตรง (Direct Election) หมายถึง การเลือกต้ังที่
ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ใช้วิจารณญาณของตนในการออกเสียงลงคะแนนผู้สมัครรับการ
เลือกตั้ง ในแต่ละตําแหน่งโดยตรง คะแนนเสียงที่ได้รับจากการออกเสียงลงคะแนนของผู้มีสิทธิ
เลือกตั้ง จะเป็นเคร่ืองวัดที่ผู้สมัครรับเลือกต้ังคนใดชนะการเลือกตั้งในครั้งนั้นๆ เช่นการเลือกตั้ง
สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรของประเทศไทยเป็นการเลือกตั้งโดยตรง
6.1.4.2 การเลือกตั้งโดยอ้อม (Indirect Election) หมายถึง การที่
ประชาชนไปออกเสียงลงคะแนนเลือกคณะบุคคลคณะหนึ่งเข้าทําหน้าที่เลือกตั้งแทนตน
(Electoral College) เป็นการมอบหมายสิทธิ์ในการเลือกตั้งให้แก่คณะบุคคลผู้ทําการเลือกต้ังโดย
รฐั ศาสตร์เบอ้ื งต้น หนา้ 96
เด็ดขาด การเลือกต้ังแบบนี้ใช้กรณีที่เห็นว่าคณะบุคคลที่เข้าไปทําการเลือกต้ังนั้นจะมีสติปัญญา
ความรคู้ วามสามารถ ในการใช้วิจารณญาณได้ดีกว่าซึ่งจะเป็นหลักประกันได้ว่าประชาชนจะได้ผู้
แทนทีด่ มี ีความสามารถอย่างแท้จริง
6.1.5 การเลือกตั้งของไทยปจั จุบนั (ณัชชาภทั ร อุ่นตรงจิตร 2548 : 174)
6.1.5.1 มกี ารใชเ้ งินในการเลือกตั้งสูง การเลือกต้ังของไทยในปัจจุบันใช้
เงินในการเลือกตั้งสูง ทั้งนี้ไม่เฉพาะเพียงแต่เงินใช้ในกิจกรรมการประชาสัมพันธ์ผู้สมัครรับ
เลือกต้ัง เชน่ จัดแถลงนโยบาย โฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆหรือหนังสือพิมพ์เพื่อหาเสียง
เท่านั้น ผู้สมัครบางคนนําเงินไปใช้ในกิจการอื่นๆ ก่อนการเลือกตั้ง เช่น การซื้อเสียงหรือการจัด
งานเลี้ยง แม้แต่การซื้อของนําไปแจกให้กับประชาชนในช่วงใกล้การประกาศเลือกตั้ง(ในช่วงการ
รณรงคเ์ ลือกตั้งจะไม่สามารถจดั เลี้ยงหรอื แจกของได้)
6.1.5.2 บทบาทของสื่อมวลชนยังมีความสําคัญน้อย ถึงแม้ว่า
นักการเมืองจะใช้สื่อมวลชนในการเข้าถึงประชาชน โดยการประชาสัมพันธ์นโยบายพรรคตาม
หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ แต่ผู้สมัครก็ยังนิยมประชาสัมพันธ์ตนเองที่คัตเอาต์ขนาดใหญ่ หรือ
แผ่นปูายประชาสัมพันธ์ที่ติดตามเสาไฟฟูามากกว่า การที่ผู้สมัครเลือกต้ังจะมาโต้วาที (Debate)
กันในสถานีโทรทัศนเ์ หมอื นการเลือกต้ังที่สหรัฐอเมรกิ าเปน็ ไปได้ยาก
6.1.5.3 การเข้าถึงตัวประชาชนมีความสําคัญมากกว่าการ
ประชาสัมพันธ์ตัวเองของผู้เลือกต้ัง โดยการเข้าถึงตัวประชาชนมีความสําคัญมาก เพราะการ
ประชาสัมพันธ์ตัวเองโดยนโยบายต่างๆของพรรคของตนยังไม่มีความชัดเจน การเข้าไปหา
ประชาชนแนะนาํ ตัวเองถึงหน้าประตูบ้านของประชาชนยงั เปน็ ทีน่ ิยมใชก้ นั อยู่ในปจั จุบัน
6.1.5.4 ในเมอื งใหญ่มแี นวโน้มทีจ่ ะเลือกตั้งตามกระแส คนในเมืองใหญ่
โดยเฉพาะกรุงเทพ มหานคร น้ันมีการกล่าวอยู่เสมอว่าไม่เคยรักใครจริงเพราะในแต่ละคร้ังของ
การเลือกตั้งคนกรุงเทพมักจะเลือกพรรคการเมืองตามกระแส เช่น เคยมีกระแสสมัครฟีเวอร์
เพราะว่าสมัครมีนโยบายอนุรักษ์นิยมขวาจัดในขณะที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ยังมีอิทธิพลในบ้านเมือง
ไทย กระแสจาํ ลอง ฟีเวอร์เพราะคนกรุงเทพชอบภาพลักษณ์ความบริสุทธิ์ไม่โกงกินของพลตรี
จําลอง ยคุ ประชาธิปัตย์เพราะศรัทธาในมือขุนพลเศรษฐกิจของประชาธิปัตย์ และล่าสุดทักษิณฟี
เวอร์ เพราะมีนโยบายด้านการพัฒนาเศรษฐกิจที่แน่นอนและความชื่นชมในตัวนักธุรกิจผู้ประสบ
ความความสําเร็จผู้นี้สุดท้ายก็คนกรุงเทพได้ขับไล่ทักษิณให้พ้นจากหน้าที่บริหารประเทศเพราะ
พบว่ามีความไม่ชอบธรรม
6.1.5.5 การเลือกตั้งโดยศรัทธาตัวบุคคลมากกว่านโยบายพรรค พรรค
การเมืองในประเทศไทยโดยส่วนใหญ่ไม่มีนโยบายที่ชัดเจนแตกต่างจากพรรคอื่นๆ เช่น
รัฐศาสตร์เบ้อื งต้น หนา้ 97
พรรคชาติไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคมหาชน พรรคไทยรักไทย และพรรคเล็กพรรคน้อย ที่มี
ความแตกต่างกนั คือชื่อพรรคและหวั หน้าพรรคเท่าน้ัน ในการเลือกต้ัง 2 เมษายน 2549 เป็นการ
ต่อสู้ระหว่างพรรคไทยรักไทยกับพลังของประชาชน เพราะพรรคฝุายค้านไม่ว่าจะประชาธิปัตย์
ชาติไทย มหาชน ไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง จึงเกิดปรากฏการณ์จ้างพรรคเล็กลงแข็งในเขตที่
ผสู้ มัครไม่ม่นั ใจจะได้คะแนน 20% ของผู้มีสิทธิเลือกต้ัง และเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดในโลก
คือการมีคะแนนที่แสดงเจตจาํ นงไม่เลือกผู้รับสมคั รเลือกตั้งมากกว่าคะแนนที่ผู้สมัครได้รับ และมี
บัตรเสียมากเป็นประวัติการณ์ แต่ผู้สมัครก็ถือว่าได้รับการเลือกตั้งซึ่งดูเป็นการขัดต่อเจตจํานง
ของประชาชนตามอุดมการณ์ของระบอบประชาธิปไตย การได้เป็นผู้แทนต้องได้รับฉันทานุมัติ
ของประชาชนโดยเสียงส่วนใหญ่
6.1.5.6 เริ่มเลือกต้ังโดยมองนโยบายพรรคมากขึ้น ปัจจุบันนี้มีการนํา
กลยุทธ์นโยบายพรรคเข้ามาหาเสียงกันมากขึ้น หลายๆพรรคเริ่มปรับตัวตามกระแสพรรค
การเมอื งสมัยใหม่ พรรคไทยรักไทยได้เป็นแกนนําจัดต้ังรัฐบาลด้วยนโยบายการเงินที่ถูกใจคนใน
เมือง และนโยบายช่วยเหลือคนจนที่ถูกใจคนต่างจังหวัด พรรคพลังธรรมเคยชูนโยบายกําจัด
คอร์รัปช่ันทําให้เป็นที่นิยมในอดีต พรรคประชาธิปัตย์เองก็ชูนโยบายว่าหัวหน้าพรรคเป็นคน
สะอาดปราศจากคอร์รัปช่ันจงึ ทาํ ให้เป็นที่นยิ มในหลายๆสมัย เป็นต้น
6.1.6 การเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2560 ได้กําหนดให้มีการเลือกตั้ง โดยมี
รายละเอียดดังนี้
6.1.6.1 คณะกรรมการการเลือกต้ัง (ก.ก.ต.) เป็นองค์กรอิสระเข้ามาทํา
หน้าที่รับผิดชอบการเลือกตั้งแทนกระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้เพื่อให้ได้องค์กรกลางทําหน้าที่อย่าง
บริสุทธิย์ ตุ ิธรรม โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้อทิ ธิพลของข้าราชการการเมอื งและข้าราชการประจํา
6.1.6.2 การเลือกต้ังเป็นหน้าที่ของปวงชนชาวไทย ผู้มีคุณสมบัติ
ตาม มาตรา 95
(1) มีสัญชาติไทย แต่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ ต้อง
ได้สญั ชาติไทยมาแล้วไม่นอ้ ยกว่าหา้ ปี
(2) มีอายุไม่ต่ํากว่าสิบแปดปีในวนั การเลือกต้ัง
(3) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า
เก้าสิบวันนับถึงวันเลือกต้ัง ผู้มีสิทธิเลือกต้ังซึ่งอยู่นอกเขตเลือกต้ังที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
หรอื มีชือ่ อยู่ในทะเบียนบ้าน ในเขตเลือกต้ังเปน็ เวลานอ้ ยกว่าเก้าสิบวันนับถึงวันเลือกต้ัง หรือมีถิ่น
ที่อยู่นอกราชอาณาจักร จะขอลงทะเบียน เพื่อออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งนอกเขตเลือกต้ัง ณ
สถานที่ และตามวนั เวลา วธิ ีการ และเงอ่ื นไข ที่บัญญตั ิไว้ในพระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
รัฐศาสตรเ์ บอ้ื งตน้ หนา้ 98
ว่าด้วยการเลือกต้ังสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรก็ได้ ผู้มีสิทธิเลือกต้ังซึ่งไม่ไปใช้สิทธิเลือกต้ังโดยมิได้
แจ้งเหตุอันสมควรตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง
สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร อาจถกู จํากดั สิทธิบางประการตามทีก่ ฎหมายบัญญัติ
6.1.6.3 ผู้อยู่นอกเขตเลือกต้ังสามารถลงคะแนนเลือกตั้งได้ โดย
กําหนดให้ผู้ที่อาศัยอยู่นอกเขตเลือกตั้งเช่นผู้ที่ต้องไปทํางานต่างจังหวัดหรือผู้อยู่
ต่างประเทศสามารถเลือกตั้งได้ก่อนกําหนด
6.1.6.4 กําหนดจํานวน ส.ส. คงที่ คือ 500 คน จากการแบ่งเขตเลือก
ต้ัง 350 คน และจากบัญชรี ายชอ่ื พรรคการเมอื ง 150 คน (มาตรา 83 รฐั ธรรมนญู 2560)
6.1.6.5 วฒุ ิสภาประกอบด้วยสมาชิกจํานวนสองร้อยคน ซึ่งมาจากการ
เลือกกันเอง ของบคุ คลซึ่งมีความรู้ ความเชย่ี วชาญ ประสบการณ์ อาชีพ ลักษณะ หรือประโยชน์
ร่วมกัน หรือทํางาน หรือเคยทํางานด้านต่างๆ ที่หลากหลายของสังคม โดยในการแบ่งกลุ่มต้อง
แบ่งในลักษณะที่ทําให้ประชาชน ซึ่งมีสิทธิสมัครรับเลือกทุกคนสามารถอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้
(มาตรา 107)
6.1.6.6 ในการเลือก ส.ส. , ส.ว.ให้นับคะแนนที่หนว่ ยเลือกต้ัง
6.1.6.7 กําหนดคุณสมบัติเพิ่มเติมของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.
และ ส.ว. จะต้องจบการศกึ ษาไม่ตาํ่ กว่าระดับปริญญาตรี
คณุ สมบตั ิผู้มสี ิทธิลงรับสมคั รเลือกต้ังเป็น ส.ส. (มาตรา 89)
1) มีสญั ชาติไทยโดยกําเนิด
2) มีอายุยี่สบิ หา้ ปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้ง
3) เปน็ สมาชิกพรรคการเมอื งใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคเดียว
เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับถึงวันเลือกต้ัง เว้นแต่ในกรณีที่มีการเลือกตั้งท่ัวไป
เพราะเหตุยุบสภา ต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคเดียวเป็น
เวลาติดตอ่ กนั ไม่น้อยกว่าสามสิบวนั นบั ถึงวันเลือกตั้ง
4) ผสู้ มัครรบั เลือกต้ังแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ต้องมีลักษณะอย่างใดอย่าง
หน่งึ ดังต่อไปนีด้ ้วย
(1) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่สมัครรับเลือกต้ังมาแล้ว
เป็นเวลาติดตอ่ กนั ไม่น้อยกว่าหา้ ปีนับถึงวันสมคั รรบั เลือกตั้ง
(2) เป็นบุคคลซึ่งเกิดในจงั หวดั ที่สมคั รรับเลือกต้ัง
(3) เคยศกึ ษาในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในจังหวัดที่สมัครรับเลือกต้ัง
เปน็ เวลาติดตอ่ กันไม่น้อยกว่าหา้ ปีการศึกษา
รัฐศาสตร์เบือ้ งตน้ หน้า 99
(4) เคยรับราชการหรือเคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่
สมัครรับเลือกต้ังเปน็ เวลาติดตอ่ กันไม่น้อยกว่าหา้ ปี
5) บุคคลผู้มีลกั ษณะดังตอ่ ไปนี้ เป็นบคุ คลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับ
เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร (มาตรา 98)
(1) ติดยาเสพติดให้โทษ
(2) เป็นบคุ คลล้มละลายหรอื เคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต
(3) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือ
สื่อมวลชนใดๆ
(4) เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิก
สภา ผแู้ ทนราษฎรตามมาตรา 96 (1) (2) หรอื (4)
(5) อยู่ระหว่างระงบั การใชส้ ิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการช่ัวคราว
หรอื ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรบั เลือกตั้ง
(6) ต้องคําพิพากษาให้จําคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล
(7) เคยต้องคาํ พิพากษาให้จําคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสิบปีใน
วนั เลือกตั้ง เว้นแตใ่ นความผดิ อนั ได้กระทําโดยประมาทหรอื ความผิดลหุโทษ
(8) เคยถูกส่ังให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือ
รัฐวิสาหกิจเพราะทุจรติ ต่อหน้าที่ หรอื ถือว่ากระทาํ การทุจริตหรอื ประพฤติมิชอบในวงราชการ
(9) เคยต้องคําพิพากษาหรือคําส่ังของศาลอันถึงที่สุดให้
ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เพราะร่ํารวยผิดปกติ หรือเคยต้องคําพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษ
จําคกุ เพราะกระทาํ ความผดิ ตามกฎหมาย ว่าด้วยการปูองกันและปราบปรามการทุจรติ
(10) เคยต้องคําพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทําความผิดต่อ
ตาํ แหน่งหนา้ ที่ราชการ หรือต่อตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทําความผิดตามกฎหมาย
ว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่
กระทําโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็น
การฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดในความผิด ฐานเป็นผู้ผลิต นําเข้า ส่งออก หรือ
ผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสํานัก กฎหมายว่าด้วยการ
ปูองกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วยการปูองกันและปราบปราม การฟอก
เงินในความผดิ ฐานฟอกเงนิ
(11) เคยต้องคําพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทําการอันเป็นการ
ทุจรติ ในการเลือกต้ัง
รฐั ศาสตรเ์ บ้อื งต้น หนา้ 100
(12) เป็นข้าราชการซึ่งมีตําแหน่งหรือเงินเดือนประจํานอกจาก
ข้าราชการการเมอื ง
(13) เป็นสมาชิกสภาท้องถิน่ หรอื ผบู้ ริหารท้องถิ่น
(14) เป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิก
ภาพสิ้นสุดลงแล้วยังไม่เกินสองปี
(15) เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของ
รัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรอื เปน็ เจ้าหนา้ ที่อน่ื ของรัฐ
(16) เป็นตุลาการศาลรฐั ธรรมนูญ หรือผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กร
อิสระ
(17) อยู่ในระหวา่ งตอ้ งห้ามมใิ ห้ดํารงตําแหนง่ ทางการเมอื ง
(18) เคยพ้นจากตําแหน่งเพราะเหตุตามมาตรา 144 หรือมาตรา
235 วรรคสาม
มาตรา 108 สมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม
ดังตอ่ ไปนี้
ก. คณุ สมบตั ิ
(1) มสี ญั ชาติไทยโดยการเกิด
(2) มอี ายไุ ม่ตํ่ากว่าสี่สิบปีในวันสมัครรบั เลือก
(3) มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ หรือทํางานในด้านที่
สมัครไม่น้อยกว่าสิบปี หรือเป็นผู้มีลักษณะตามหลักเกณฑ์และเง่ือนไขที่บัญญัติไว้ใน
พระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าด้วยการได้มาซึง่ สมาชิกวฒุ ิสภา
(4) เกิด มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ทํางาน หรือมีความเกี่ยวพันกับพื้นที่ที่
สมคั รตามหลกั เกณฑ์ และเงื่อนไขทีบ่ ญั ญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ
ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา
ข. ลักษณะต้องหา้ ม
(1) เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกต้ังตามมาตรา 98 (1)
(2) (3) (4) (5) (6) (7) (8) (9) (10) (11) (15) (16) (17) หรอื (18)
(2) เปน็ ข้าราชการ
(3) เป็นหรือเคยเปน็ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร เว้นแต่ได้พ้นจากการเป็น
สมาชิก สภาผแู้ ทนราษฎรมาแล้วไม่นอ้ ยกว่าหา้ ปีนบั ถึงวนั สมคั รรับเลือก
(4) เป็นสมาชิกพรรคการเมือง
รฐั ศาสตร์เบ้ืองต้น หน้า 101
(5) เป็นหรือเคยเป็นผู้ดํารงตําแหน่งใดในพรรคการเมือง เว้นแต่ได้พ้น
จากการดํารงตาํ แหน่ง ในพรรคการเมอื งมาแล้วไม่นอ้ ยกว่าหา้ ปีนบั ถึงวนั สมคั รรับเลือก
(6) เป็นหรือเคยเป็นรัฐมนตรี เว้นแต่ได้พ้นจากการเป็นรัฐมนตรีมาแล้ว
ไม่น้อยกว่าห้าปี นบั ถึงวันสมคั รรับเลือก
(7) เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น เว้นแต่ได้
พ้นจากการเป็น สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปีนับถึงวันสมัคร
รบั เลือก
(8) เปน็ บพุ การี คู่สมรส หรอื บุตรของผู้ดํารงตาํ แหน่งสมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎร สมาชิกวฒุ ิสภา ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ผู้สมัครรับ
เลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาในคราวเดียวกัน หรือผู้ดํารงตําแหน่งในศาลรัฐธรรมนูญหรือในองค์กร
อิสระ
(9) เคยดํารงตาํ แหน่งสมาชิกวุฒิสภาตามรฐั ธรรมนญู นี้
มาตรา 109 อายุของวุฒิสภามีกําหนดคราวละห้าปีนับแต่วันประกาศผลการ
เลือก สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาเริ่มตั้งแต่วันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการ
เลือก
6.1.7 การเลือกต้ังเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ.
2560 พอสรุปให้เข้าใจง่ายๆ ดังน้ี
1. จํานวน ส.ส. มีจํานวน 500 คนประกอบด้วยสมาชิกซึ่งมาจากการ
เลือกตั้งแบบแบ่งเขตฯ 350 คน และจาก party list 150 คน (มาตรา 83)
2. ผู้สมัครแบบแบ่งเขตฯต้องสังกัดพรรคการเมือง ผู้สมัครฯ ส.ส.แบบ
แบ่งเขตฯต้องเป็นผู้ซึ่งพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิกส่งสมัครรับเลือกต้ัง และจะสมัครรับ
เลือกตั้งเกินหนง่ึ เขตมไิ ด้ (มาตรา 87)
3.หน่งึ เขตหนง่ึ คนและต้องได้คะแนนมากกว่า Vote No ถ้าคะแนนสูงสุด
ของผู้สมัคร ส.ส.ที่ได้รับแพ้ Vote Noต้องเลือกตั้งใหม่โดยคนเก่าไม่มีสิทธิลงอีกและไม่ให้นํา
คะแนนไปคิดรวม ให้แต่ละเขตเลือกตั้งมี ส.ส.ได้เขตละหนึ่งคน และผู้มีสิทธิเลือกต้ังมีสิทธิออก
เสียงลงคะแนนเลือกต้ังได้คนละหนึ่งคะแนน และให้ผู้สมัครฯซึ่งได้รับคะแนนสูงสุดและมีคะแนน
สูงกว่าคะแนน Vote No เป็นผู้ได้รบั เลือกต้ัง (มาตรา 85)
เขตเลือกตั้งที่ไม่มีผู้สมัครฯรายใดได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งมากกว่า
คะแนน Vote No ในเขตเลือกต้ังนั้นแล้วให้ กกต.จัดการเลือกตั้งใหม่และรับสมัครฯใหม่ และมิให้
รฐั ศาสตรเ์ บื้องตน้ หน้า 102
นับคะแนนที่ผสู้ มคั รฯเดิมแต่ละคนที่ได้รับไปใช้ในการคํานวณ party list โดยผู้สมัครฯ เดิมทุกราย
ไม่มสี ิทธิสมัครฯในการเลือกต้ังที่จะจดั ขนึ้ ใหม่นนั้ (มาตรา 92)
4.พรรคการเมืองมีสิทธิเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีได้ไม่เกิน 3 ชื่อหรือ
จะไม่เสนอชื่อก็ได้ ในการเลือกต้ังทั่วไป ให้พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแจ้งรายชื่อ
บุคคลซึ่งพรรคการเมืองน้ันมีมติว่าจะเสนอให้สภาผู้แทนฯเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้ง
เปน็ นายกรัฐมนตรไี ม่เกิน 3 รายชอ่ื (จะเป็นคนนอกหรือคนในกไ็ ด้) ต่อ กกต.ก่อนปิดการรับสมัคร
ฯ และให้ กกต.ประกาศรายชื่อบุคคลดังกล่าวให้ประชาชนทราบ ซึ่งพรรคการเมืองจะไม่เสนอ
รายชอ่ื ฯดงั กล่าวกไ็ ด้ (มาตรา 88)
5.พรรคการเมอื งที่ส่งผสู้ มคั รแบบแบ่งเขตฯแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถส่ง
แบบparty listได้และบัญชีรายชื่อฯต้องคํานึงถึงภูมิภาคและสัดส่วนชายหญิง พรรคการเมืองใดที่
ส่งผู้สมัครฯแบบแบ่งเขตฯแล้วให้มีสิทธิส่งผู้สมัครฯแบบparty listได้ ซึ่งการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง
แบบparty listน้ัน ให้พรรคการเมืองจัดทําบัญชีรายชื่อพรรคละหนึ่งบัญชี โดยผู้สมัครฯของแต่ละ
พรรคการเมืองต้องไม่ซ้ํากัน และไม่ซ้ํากับรายชื่อผู้สมัครฯแบบแบ่งเขตฯ โดยส่งบัญชีรายชื่อ
ดงั กล่าวให้ กกต.ก่อนปิดการรับสมคั รรบั เลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตฯ และการจัดทาํ บัญชีรายชื่อฯ
ต้องให้สมาชิกของพรรคการเมืองมีส่วนร่วมในการพิจารณาด้วย โดยต้องคํานึงถึงผู้สมัครฯจาก
ภมู ภิ าคต่าง ๆ และความเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิง (มาตรา 90)
6.1.8 การคาํ นวณจํานวน ส.ส. party list
1) นําคะแนนรวมทั้งประเทศที่พรรคการเมืองทุกพรรคที่ส่งผู้สมัครรับ
เลือกตั้งแบบ party list ได้รับจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งหารด้วย 500 อันเป็นจํานวน
สมาชิกท้ังหมดของสภาผแู้ ทนราษฎร
2) นําผลลัพธ์ตาม 1) ไปหารจํานวนคะแนนรวมทั้งประเทศของพรรค
การเมืองแต่ละพรรคที่ได้รับจากการเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตฯทุกเขต จํานวนที่ได้รับให้ถือเป็น
จาํ นวนส.ส.ที่พรรคการเมอื งนนั้ จะพึงมีได้
3) นําจํานวน ส.ส.ที่พรรคการเมืองจะพึงมีได้ตาม 6.2 ลบด้วยจํานวน
ส.ส.แบบแบ่งเขตฯท้ังหมดทีพ่ รรคการเมืองน้ันได้รับเลือกต้ังในทุกเขตเลือกตั้ง ผลลัพธ์คือจํานวน
ส.ส.แบบ party list ทีพ่ รรคการเมอื งนนั้ จะได้รับ
4) ถ้าพรรคการเมืองใดมีผู้ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.แบบแบ่งเขตฯเท่ากับ
หรือสูงกว่าจํานวน ส.ส.ที่พรรคการเมืองน้ันจะพึงมีได้ตาม 2) ให้พรรคการเมืองนั้นมี ส.ส.ตาม
จํานวนที่ได้รับจากการเลือกต้ังแบบแบ่งเขตฯ และไม่มีสิทธิได้รับการจัดสรร ส.ส.แบบ party list
และให้นําจาํ นวน ส.ส.แบบ party list ไปจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองที่มีจํานวน ส.ส.แบบแบ่งเขต
รฐั ศาสตร์เบอ้ื งตน้ หน้า 103
ฯตํ่ากว่าจํานวน ส.ส.ทีพ่ รรคการเมืองนนั้ จะพึงมีได้ตาม 2) ตามอัตราส่วน แต่ต้องไม่มีผลให้พรรค
การเมอื งใดดงั กล่าวมี ส.ส.เกินจาํ นวนที่จะพึงมีได้ตาม 2)
5) เมือ่ ได้จํานวนผู้ได้รับเลือกต้ังแบบparty listของแต่ละพรรคการเมือง
แล้วให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งตามลําดับหมายเลขในบัญชีรายชื่อ ส.ส.แบบ party list ของพรรค
การเมอื งนน้ั เป็นผู้ได้รบั เลือกตั้งเป็น ส.ส. (มาตรา 91)
6.2 ประชาพิจารณ์ (Public Hearing)
ประชาพิจารณ์เปน็ การแสดงความคิดเหน็ ของประชาชน ต่อประเด็นปัญหาใดปัญหา
หนึ่งโดยที่การจัดทําประชาพิจารณ์นี้อาจจะทําโดยองค์กรของรัฐหรือหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
ท้ังนี้เพื่อที่จะรับฟังความเห็นของประชาชนในกรณีที่ประชาชนเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น
ประเด็นเร่อื งการสรา้ งท่อก๊าซไทย – มาเลเซีย เป็นต้น
ที่จริงแล้วประชาพิจารณ์เป็นสิ่งที่จะต้องทําเป็นอย่างแรก โดยจะต้องทําก่อนออก
เสียงประชามติ หรอื อาจจะทําประชาพิจารณ์เพื่อเปน็ เพียงการสะท้อนความคิดเห็นของประชาชน
โดยไม่ต้องมีการลงคะแนน เพื่อทีร่ ฐั บาลหรอื รฐั สภาจะได้นาํ เอาความคิดเห็นของประชาชนไปเป็น
ส่วนหนง่ึ ในการตัดสินใจในนโยบายบางส่งิ บางอย่าง
ประชาพิจารณ์ก็เช่นเดียวกับการทําประชามติ คือ ต้องมีการให้ความรู้ มีการ
ส่งเสริมการอภิปราย การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับประเด็นสาธารณะต่างๆ ที่จะมากระทบต่อ
ประชาชน เท่าทีผ่ ่านมาเรามักสังเกตว่าประเด็นสาธารณะต่างๆเม่ือมีการทําประชาพิจารณ์มักจะ
มีเร่อื งวุ่นวาย ความแตกแยก การยกพวกตีกัน การบาดเจ็บ การแบ่งฝักแบ่งฝุายทําให้หลายๆคน
มีความรสู้ ึกว่าประชาพิจารณ์อาจจะไม่เหมาะสมกบั สังคมทีไ่ ม่ชอบการเผชิญหน้าแบบสงั คมไทย
แต่การทําประชาพิจารณ์ที่ผ่านมานั้น เป็นการทําประชาพิจารณ์หลังการทํา
โครงการขนาดใหญ่ ซึ่งทาํ ให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝุายระหว่างผู้ที่ได้รับและเสียผลประโยชน์ ทําให้
เกิดปัญหาในชุมชนที่มีการทําประชาพิจารณ์ ที่จริงการทําประชาพิจารณ์ควรทําพร้อมๆกับการ
ทําการประเมินด้านสิ่งแวดล้อม หรือ EIA (Environment Impact Assessment) และการประเมิน
ด้านสุขภาพ HIA (Health Impact Assessment) ก่อนที่จะมีการตกลงใจทํากิจการสาธารณะขนาด
ใหญ่ต่อไป
6.3 การออกเสียงประชามติ (Referendum)
แนวความคิดหรือทฤษฎีทางรัฐศาสตร์ที่สําคัญและถกเถียงกันเป็นอันมาก ทฤษฎี
หนึ่ง คือปัญหาที่ว่าใครเป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตย ใครเป็นผู้แสดงเจตนารมณ์ของรัฐ เกี่ยวกับ
ปัญหานี้มีผู้ให้ความเห็นไว้มาก เช่น กษัตริย์เป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตย, ปวงชนเป็นเจ้าของ
อํานาจอธิปไตย,ใครเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญคนนั้นเป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตย และ องค์กรนิติ
รฐั ศาสตร์เบอ้ื งต้น หนา้ 104
บัญญัติเป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตย เป็นต้น ความคิดดังกล่าวนี้ข้อที่ว่าปวงชนเป็นเจ้าของอํานาจ
อธิปไตย มกี ารยอมรบั มากทีส่ ุดและอย่างกว้างขวางกว่าแนวคิดอื่นๆ
ทฤษฎีที่ว่าปวงชนเป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตยนี้ รัฐพยายามกําหนดระบบการ
ปกครองข้ึนใหป้ ระชาชนได้มีโอกาสแสดงออกซึง่ อาํ นาจอธิปไตย ได้หลายทาง คือ
1) การออกเสียงเลือกตั้ง
2) การออกเสียงแสดงประชามติ
3) การให้ประชาชนมสี ิทธิเสนอร่างกฎหมาย
4) การให้ประชาชนตดั สินปัญหาสําคัญๆ ของรัฐ
5) การให้ประชาชนมสี ิทธิเปลี่ยนตัวเจ้าหนา้ ที่ทางการเมืองได้
จะเห็นว่าการออกเสียงแสดงมติเป็นการแสดงออกซึ่งอํานาจอธิปไตยของประชาชน
อย่างหนึ่ง การออกเสียงแสดงมติ (Referendum) เป็นวิธีการหนึ่งที่รัฐจัดให้มีขึ้นเพื่อเป็นการ
แสดงออกซึ่งอาํ นาจอธิปไตยของประชาชน
ณัชชาภัทร อุ่นตรงจิตร (2548 : 183-190) การออกเสียงประชามติ คือ การที่
รัฐบาลขอฟังเสียงจากประชาชนซึ่งกล่าวได้ว่าการออกเสียงประชามติ เป็นพฤติกรรมทาง
การเมืองอย่างหนึ่งในระบอบประชาธิปไตย ที่รัฐสภาหรือผู้บริหารประเทศได้คืนสิทธิเสรีภาพใน
การออกเสียงรับรองหรือคัดค้านในเร่ืองใดเร่ืองหนึ่งให้แก่ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่า ต้องการ
ดําเนินการอย่างไรในกรณีใดกรณีหนึ่งที่ถือว่าเป็นเร่ืองสําคัญมากกว่าการออกกฎหมาย
ธรรมดาๆ ซึ่งอาจจะเป็นรับรองกฎหมายสําคัญๆ เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.
2560 เป็นต้น
กล่าวโดยสรุป การออกเสียงแสดงมติ ก็คือ วิธีการหรืออํานาจของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ในอนั ที่จะออกความเห็นในร่างกฎหมายที่ได้ผ่านการพิจารณาของฝุายนิติบัญญัติมาแล้ว ผู้มีสิทธิ
เลือกตั้งส่วนใหญ่เห็นชอบด้วย ร่างกฎหมายนั้นจะมีผลบังคับได้ แต่ถ้าผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่
ไม่เห็นด้วย ร่างกฎหมายนั้นนนั้ จะนํามาประกาศใชบ้ ังคับไม่ได้
6.4 มตมิ หาชน (Public Opinion)
มติมหาชนคือความคิดเห็นของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตย ถือได้ว่าเป็น
การแสดงออกถึงอุดมการณ์ “อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน” ซึ่งเป็นพฤติกรรมทางการเมือง
หน่งึ ในประเทศทีป่ กครองในระบอบประชาธิปไตย
มติมหาชนเป็นการส่งเสียงของประชาชนสู่รัฐบาล โดยมติมหาชนเริ่มใช้เป็นครั้งแรก
ในประเทศฝรั่งเศส โดยรุสโซเป็นผู้ที่ริเริ่มใช้คําๆนี้ในช่วงก่อนปฏิวัติฝรั่งเศส การแสดงออกซึ่งมติ
มหาชนนี้ เป็นการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นของประชาชนในกรณีที่รัฐบาลผู้ซึ่งเป็นตัวแทนของ
รฐั ศาสตร์เบ้อื งตน้ หน้า 105
ปวงชนได้ปฏิบัติหรือออกนโยบายที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาชน มติมหาชนจึงเป็นความ
พยายามของประชาชนที่จะส่งสัญญาณต่อรัฐบาลว่าไม่พอใจในประเด็นปัญหาอะไรบางอย่าง ซึ่ง
ต่างจากการทําประชาพิจารณ์และประชามติตรงที่ว่า ประชาพิจารณ์และประชามติเป็นสิ่งที่ต้อง
ทําก่อนประเด็นหรือโครงการสาธารณะจะมีออกมาปฏิบัติหรือมีผลบังคับใช้ จะต้องคํานึงให้
ชัดเจนว่า การทํามติมหาชนต้องให้ประชาชนรับรู้ข่าวสารให้รอบด้านที่สุด ไม่ควรให้ใครครอบงํา
แนวทางการตดั สินใจของประชาชน การแสดงออกซึ่งประชามตินั้นขึ้นอยู่กับว่าประชาชนจําเป็นที่
จะต้องรับรู้รายละเอียดในสิ่งที่ตนสนใจในหลายๆทาง ท้ังจากผู้ที่สนับสนุนและผู้ที่คัดค้าน ทั้งนี้
เพื่อให้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจให้เกิดประโยชน์ที่สุด ดังน้ันหากข่าวสารหรือข้อมูลได้รับการ
บิดเบือนหรือปิดบัง มติมหาชนอาจจะไม่เกิดผลที่ดีในทางปฏิบัติ ดังน้ันการนํามติมหาชนมาใช้ให้
เกิดผลดีจงึ ตอ้ งคํานึงถึงขอ้ มูลข่าวสารที่มหาชนจะได้รบั ด้วย
6.5 ประชาสงั คม – การมสี ่วนรว่ มทางการเมอื งภาคประชาชน
ความจําเป็นในการมีส่วนร่วมทางการเมืองภาคประชาชน จากการที่รัฐศาสตร์เป็น
เร่ืองที่เกี่ยวกับการศึกษารูปแบบของการใช้อํานาจของรัฐทําให้นักรัฐศาสตร์โดยท่ัวไปได้ข้อ
สรุปว่า ถึงแม้ว่าอํานาจจะเป็นของประชาชน แต่ด้วยรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตย
ทางออ้ มทีท่ าํ ให้เราไมส่ ามารถแสดงเจตนารมณ์ในทางการเมืองของเราได้อย่างตรงไปตรงมา แต่
ต้องผ่านตัวแทนของเราเข้าไปในระบบการเมือง ซึ่งได้แก่วิธีการเลือกตั้ง นอกจาก นี้หากในกรณี
เกิดประเด็นสําคัญๆทางการเมืองที่ด้านตัวแทนของเราอยากย้อนกลับมาถามความเห็นของเรา
อีกครั้งหนึ่ง กอ็ าจจะใช้วธิ ีการทําประชามตเิ พือ่ ขอความเห็นของเราอีกคร้ังกเ็ ปน็ ไปได้
อย่างไรก็ตามไม่อยากให้ประชาชนทุกคนคิดว่าการมีส่วนร่วมทางการเมืองจะจบลง
แค่การหย่อนบัตรลงในหีบเลือกตั้ง แล้วก็กลับบ้านรอให้ผู้ได้รับฉันทามติจากเราไปปฏิบัติหน้าที่
เป็นตวั แทนของพวกเรา ถ้าไม่ดจี รงิ คราวหน้าเราก็ไม่เลือก วิธีการนี้ไม่น่าจะถูกต้องนักเพราะกว่า
เราจะได้เลือกตั้งอีกทีก็ต้องรอไปอีกสมัยหนึ่ง ซึ่งถึงตอนนั้นผลประโยชน์ที่ควรจะแบ่งมาให้เราก็
คงจะถูกปล้นไปโดยตัวแทนจอมปลอมของเราแล้ว ในที่นี้พวกเราจึงน่าจะคิดเสียใหม่ว่า มีความ
จําเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราจะต้องพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างสม่ําเสมอ เพราะ
การเมืองเป็นเร่ืองที่เกี่ยวข้องกับพวกเราอย่างมากมายหลายขั้นตอน ไม่ใช่เฉพาะการไปเลือกต้ัง
เท่าน้ัน
นอกจากนั้นเราจะเห็นได้ว่าสังคมของเราในปัจจุบันประสบปัญหาหลายๆประการ
อันล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนยากที่รัฐบาล (แม้จะเป็นรัฐบาลที่ดีที่สุด) จะ
ดําเนินการแก้ไขได้เพียงฝุายเดียว ปัญหาต่างๆที่พบอยู่ในปัจจุบัน เช่น การแย่งชิง
ทรัพยากรธรรมชาติ การพฒั นาประเทศเราในปัจจุบันที่เน้นด้านการผลิตแบบทุนนิยมเพื่อผลิตส่ง
รัฐศาสตรเ์ บ้ืองต้น หน้า 106
ขายตลาดทําให้เราต้องผลิตมากกว่าที่ตัวเราต้องการบริโภค ยิ่งผลิตได้มากขึ้นเท่าใดเราก็ยิ่งมี
ความมั่งคั่งขึ้นเท่าน้ัน แต่ด้วยระบบการคิดแบบนี้จึงทําให้มีการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติกัน
อย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นการแย่งชิงที่ดินทํากิน แย่งชิงน้ําและการแย่งชิงสิทธิต่างๆเป็นต้น ซึ่ง
ความขัดแย้งในเร่ืองการแย่งชิงทรัพยากรนี้ไม่ได้เป็นปัญหาระหว่างชาวบ้านกับชาวบ้านอย่าง
เดียวเท่าน้ัน แต่ปัญหานี้ได้ขยายกลายไปเป็นปัญหาของชาวบ้านกับรัฐและระหว่างชาวบ้านกับ
องค์กรของรัฐ และชาวบ้านกับนายทุน ในที่นี้ก็มีนายทุนข้ามชาติและนายทุนท้องถิ่น เกิดการ
สลบั ซบั ซ้อนกันไปหมด เชน่ ปัญหาเร่ืองเข่ือนปากมูล ปัญหาโรงไฟฟูาหินกรูด - บ่อนอก เป็นต้น
ซึ่งแมก้ ระทั้งในปัจจบุ ันรฐั บาลก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาดงั กล่าวได้อย่างเป็นทีย่ อมรบั โดยท่ัวไปนัก
และนับวันปญั หาเรือ่ งการแย่งชิงสิ่งแวดล้อมก็จะมีมากขึ้นและรุนแรงขนึ้ เรื่อยๆ
อุดมการณ์ของสังคม ปัจจุบันสังคมของเราถูกครอบงําไปด้วยอุดมการณ์ตะวันตก
และอุดมการณ์ทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นระบบการศึกษา สื่อมวลชน และการโฆษณาอยู่ในมือของ
อาํ นาจทนุ มากขึน้ เรื่อยๆ ทําให้อดุ มการณข์ องสังคมที่เน้นความเอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ แบ่งปัน กลายเป็น
สังคมชิงดีชิงเด่นเกิดค่านิยมแบบฟุมเฟือย และทําให้คนธรรมดาหันไปมีความสัมพันธ์ต่อกันแบบ
คนเป็นสินค้าในตลาดกันมากขึ้น โดยอาศัยผลประโยชน์เป็นสื่อกลางในการติดต่อสัมพันธ์กัน
ลักษณะเช่นนี้ทําให้พฤติกรรมบางอย่าง เช่น การฉ้อราษฎร์บังหลวง การให้เงินใต้โต๊ะ การซื้อ
สิทธิขายเสียง การขายยาเสพติด การลักลอบการตัดไม้ทําลายปุา การขายบริการทางเพศในวัย
เรียน ดเู ป็นธรรมดาๆไปเสียแล้วในทกุ วันนี้
6.5.1 ประชาสังคม : การแก้ไขปัญหาที่ต้นตอของปัญหา จากปัญหาสังคม
ที่มารุมล้อมหลายด้าน ทําให้รัฐบาลไม่สามารถเป็นคําตอบสุดท้ายในการแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง
ครั้นจะให้ฝุายตลาดหรือภาคเอกชนเป็นผู้แก้ไขปัญหา ตามแนวคิดเสรีนิยมก็ไม่อาจทําได้
หลกั การพืน้ ฐานของฝาุ ยตลาดและรัฐแตกต่างกนั เกินไปทีจ่ ะทําให้เราเชือ่ มั่นในตลาดได้เต็มที่
คําถามที่เราต้องตอบให้ได้ตอนนี้ก็คือ ในเม่ือรัฐในปัจจุบันกลายเป็นสิ่งที่
เชื่องช้าไม่สามารถตอบสนองปัญหาสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพและเอกชนก็เห็นแก่ตัวเกินไปที่
จะช่วยแก้ไขปัญหาของสว่ นรวม ดว้ ยเหตนุ ้หี ากทําใหร้ ฐั ใหญ่ข้ึนก็ยิ่งกลายเป็นรัฐเทอะทะ จะทําให้
รัฐเล็กลงก็เปิดโอกาสให้เอกชนกอบโกยกันเอง เราจะหันไปทางไหนดีการเรียนรัฐศาสตร์ในยุค
ปัจจุบันจึงหันมาศึกษาเร่ืองบทบาทของประชาชนในการเข้ามามีส่วนร่วมในการกําหนดนโยบาย
สาธารณะมากขึ้น ที่นกั วิชาการหลายท่านในปัจจุบนั เรียกว่า “ประชาสังคม” (Civil Society)
ประชาสงั คม (Civil Society) คือ สงั คมที่ประชาชนมีส่วนร่วม มีการเคลื่อนไหว
มีความตน่ื ตัวในกิจการสาธารณะในระดบั ต่างๆท้ังในระดบั ท้องถิ่นตลอดจนระดับชาติ ซึ่งเป็นการ
เคลื่อนไหวอย่างเอาจริงเอาจังและเข้มข้นไม่ใช่การเคลื่อนไหวแบบปัจเจกชน แต่มีลักษณะของ
รัฐศาสตรเ์ บ้ืองตน้ หน้า 107
การสรา้ งเครือขา่ ย ทั้งนีก้ ารเคลื่อนไหวน้ันจะต้องเป็นอิสระจากรัฐ (ไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่มาจาก
การสงั่ ของรฐั ) และทนุ (ไม่ใช่การเคลือ่ นไหวทีท่ าํ ไปเพื่อเงินหรอื ผลประโยชนเ์ ฉพาะหนา้ )
ประชาสังคม มีคําจํากัดความที่สั้นและน่าจะจดจําได้ง่าย คือ “ประชาสังคม”
(Civil Society) คือ เครือขา่ ย กลุ่ม ชมรม สมาคม มูลนิธิ สถาบันและชุมชนที่มีกิจกรรมหรือมีการ
เคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง (state) กับปัจเจกชน (Individual) (อเนก เหล่าธรรมทัศน์ อ้างใน พระ
ไพศาล วิสาโล, 2544 : 4) จะเห็นได้ว่าแนวคิดพื้นฐานของประชาสังคมนั้น เน้นที่การมีส่วนร่วม
ของประชาชนอย่างเข้มแขง็ ดังรายละเอียดดงั ต่อไปนี้
6.5.2 แนวคิดพืน้ ฐานของประชาสงั คม
6.5.2.1 จิตสํานึกสาธารณะ หลักการประการแรกที่เกิดขึ้นในกลุ่ม
ประชาชนที่จะสามารถรวมตัวกันเป็นประชาสังคม คือ ต้องเป็นกลุ่มประชาชนที่มี “จิตสํานึก
สาธารณะ” (public mind) หมายความว่า เป็นสังคมที่ประชาชนในสังคมรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วน
หนึ่งของสังคม ต้องการมีส่วนร่วมในการกําหนด แก้ไข เปลี่ยนแปลงและทําให้สังคมที่ตัวเองอยู่
น้ันดขี นึ้ กว่าเดิมไม่ใชเ่ ป็นสังคมทีต่ ่างคนตา่ งอยู่ อะไรจะเกิดขนึ้ ก็ปล่อยใหเ้ ป็นไปตามบุญตามกรรม
และไม่ใช่สงั คมทีค่ นในสังคมต่อตา้ นทกุ สิง่ ทุกอย่างทีไ่ ม่ใชผ่ ลประโยชน์ของตน
การที่จะสร้างประชาสังคมขึ้นมาได้ เราจึงต้องสนับสนุนให้ทุกคนใน
สังคมรวู้ ่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคมสรา้ งแนวคิดให้มองสังคมแบบสังคมแบนราบ หมายความ
ว่าคนเราที่เกิดมามีโอกาสเท่าเทียมกัน ไม่มีใครเกิดขึ้นมาเพื่อเป็นเจ้านาย ไม่มีใครเกิดมาเพื่อเป็น
ข้ารบั ใช้ แตท่ ุกคนเกิดมาเพื่อทีจ่ ะเปน็ พลังส่วนหนึ่งของสังคมที่สามารถช่วยเปลี่ยนแปลง ผลักดัน
ทําให้สังคมให้ดขี ึน้ ด้วยกนั
6.5.2.2 สิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียม ในสังคมที่มีความเป็นประชา
สงั คม รัฐบาลต้องเปิดโอกาสให้คนในสังคมมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ไม่ปิดก้ัน ไม่
ทําร้าย ไม่ดูถูกกันและกัน ยอมรับในบทบาทของกันและกัน เพราะกิจกรรมของประชาสังคมคือ
กิจกรรมของประชาชน ซึ่งต้องเป็นกิจกรรมที่มีต้นกําเนิดจากความต้องการของประชาชน การ
ยอมรับในบทบาทซึ่งกันและกันของประชาชนจะเป็นการดึงให้ประชาชนกลุ่มต่างๆ มองว่า
การเมืองเป็นเร่ืองของทุกคน พวกเขาจึงเข้ามามีบทบาทในทางการเมือง นอกเหนือจากการ
เลือกต้ัง
6.5.2.3 ความร่วมมือ การรวมกลุ่มและการสร้างเครือข่าย แนวคิด
พื้นฐานอีกประการหนึ่งของประชาสังคมก็คือ ความเชื่อม่ันที่ว่า 1 + 1 ต้องได้มากกว่า 2
หมายความว่า การที่ประชาชนในลักษณะที่เป็นปัจเจกบุคคลที่เป็นเสียงเดียว เม่ือเรียกร้องอะไร
เข้าไปในระบบการเมืองจะเงียบหายเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง แต่หากการเรียกร้องในรูปแบบของ
รัฐศาสตรเ์ บ้ืองต้น หนา้ 108
ความร่วมมือที่เป็นการสร้างกลุ่มและมีความสัมพันธ์ในลักษณะเครือข่ายโยงใยระหว่าง กลุ่ม จะ
ทําให้ความต้องการของปวงชนแต่ละคนเข้ามาหลอมรวมกันกลายเป็นความต้องการของมวลชน
ซึ่งมีความสําคัญและมบี ทบาทในการผลกั ดันนโยบายสาธารณะเป็นอย่างมาก
6.5.2.4 ศักยภาพและบทบาทของปัจเจกชน ประชาสังคมใช่ว่าจะเป็น
การปฏิเสธบทบาทของปัจเจกชนเพราะปัจเจกชนจะต้องมีศักยภาพ มีความรู้ และมีความ
ตระหนักถึงบทบาทของตวั เองในประเด็นสาธารณะ เพราะเร่ืองประชาสังคมไม่ใช่เร่ืองของสามัญ
สํานกึ อย่างเดียว แตเ่ ป็นเรือ่ งของความรู้ความสามารถและการตระหนักถึงประเด็นปัญหาที่กําลัง
ประสบอยู่ด้วยแล้วยิง่ รฐั ศาสตร์ในปัจจุบนั มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก จนไม่สามารถให้ความสนใจ
เกีย่ วกับประเด็นด้านการเมืองอย่างเดียว ประชาชนที่มีความสนใจในการมีส่วนร่วมทางการเมือง
จะต้องรอบรู้ทางด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นเร่ืองผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม การจัดทรัพยากร
ธรรมชาติ ไปจนถึงเรื่องของกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อจะได้ทราบว่าขอบเขตของประเด็นที่เรา
ต้องการมีส่วนร่วมทางการเมืองอยู่ที่ไหน และเราจะตัดสินใจอย่างไรให้เกิดผลประโยชน์กับเรา
มากที่สดุ
ในปจั จบุ ันรฐั บาลและแวดวงนักวิชาการได้สนับสนุนบทบาทของประชา
สังคม ในการสง่ เสริมประชาธิปไตยอย่างกว้างขวาง เพื่อที่ประชาธิปไตยจะได้แผ่ขยายสู่ระดับราก
หญ้า (คณะ คปค. แก้ไขให้เรียกว่า “รากแก้ว”) ซึ่งน่าจะทําให้ความตึงเครียดทางการเมืองใน
สงั คมปจั จบุ ันผอ่ นคลายลงได้บ้าง
7. วัฒนธรรมการเมือง (Political Culture)
เม่ือกล่าวถึงคําว่า “วัฒนธรรม” (Culture) ก็อาจให้หมายความอย่างง่ายๆ ว่า
หมายถึงความเจริญงอกงามที่มนุษย์สร้างขึ้น และกระทําสืบต่อกันมาเป็นมรดกตกทอดจากชน
รุ่นก่อนมาสู่ชนรุ่นหลัง มรดกทางสังคมดังกล่าวนี้มีลักษณะเป็นการครองตนและการดําเนินชีวิต
ในสงั คม
7.1 ความหมายวัฒนธรรมการเมือง
วัฒนธรรมในแง่สังคมศาสตร์ หมายถึง มรดกทางสังคมที่ตกทอดมาเป็นสมบัติซึ่ง
มนุษย์สมัยปัจจบุ นั นํามาใช้ในการครองชีวติ หรอื ใช้เปน็ แบบแผนในการดาํ รงตนในสังคม กล่าวอีก
นัยหนึ่งวัฒนธรรม เป็นแบบแผนที่กําหนดพฤติกรรมแห่งชีวิตของคนลงไปว่า คนจะต้องทําอะไร
ทําอย่างไร รู้สกึ อย่างไร อะไรดี อะไรช่วั และอะไรเป็นสิง่ ทีม่ คี ่าสงู สุดในชีวติ
Lucian W. Pye ได้ให้นิยามของคําว่า วัฒนธรรมทางการเมอื ง ไว้ดังต่อไปนี้
รฐั ศาสตรเ์ บอื้ งตน้ หนา้ 109
“วัฒนธรรมทางการเมือง” คือ แบบแผนของทัศนคติ ความเชื่อ สภาวะอารมณ์
ความรู้สึก ซึ่งเป็นสิ่งที่สั่งการและมีความหมายต่อกระบวนการทางการเมือง เป็นกรอบของ
พฤติกรรมของระบบการเมืองน้ันๆ ส่วนประกอบของวัฒนธรรมทางการเมืองมีทั้งอุดมคติทาง
การเมืองและปทัสถาน ในการดําเนินการของระบบการเมืองกล่าวอีกนัยหนึ่ง วัฒนธรรมทาง
การเมือง คือ รูปแบบมิติทางจิตวิทยาและอัตวิสัยของการเมืองที่ปรากฏอยู่ในระบบการเมืองแต่
ละระบบ
วัฒนธรรมทางการเมืองแต่ละสังคมน้ัน ถูกกําหนดขึ้นหรือได้รับอิทธิพลจากสภาวะ
แวด ล้อมหลายประการ เช่น ประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศาสนา โดยผ่าน
กระบวนการขัดเกลาทางสังคม โดยสถาบันต่างๆเพื่อจะถ่ายทอดวัฒนธรรมทางการเมืองจากรุ่น
หนึ่งไปสู่รุ่นหนึ่งอย่างต่อเน่ืองและมีลักษณะเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมต่างๆเสมอ
ทัศนคติหรือความเชื่อจะเป็นตัวกําหนดว่าเขาควรบทบาทอย่างไรและแค่ไหนในระบบการเมือง
และการปกครองของชุมชน พฤติการณท์ างการเมอื งของบุคคลจะเป็นไปในลักษณะใดหรือมีเร่ือง
อะไรบ้างมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของการเมืองที่เขาอยู่นั้นเอง และโดยท่ัวไปแล้ว
พฤติกรรมทางการเมืองของบุคคล จะตกอยู่ในอิทธิพลของวัฒนธรรมส่วนรวมด้วย กล่าวคือ ถ้า
สังคมใดวัฒนธรรมส่วนรวมเน้นการใช้อํานาจไม่ว่าในครอบครัว ในวงราชการหรือระบบการ
ปกครองของรัฐ วัฒนธรรมทางการเมืองในสังคมดังกล่าวก็จะเป็นไปในลักษณะที่ประชาชนไม่
กล้าแสดงออกซึ่งความคิดเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์ การใช้สิทธิทางการเมืองอยู่ในขอบเขตจํากัด
เสรีภาพใดๆ จะถูกจํากัด แต่ถ้าสังคมใดมีวัฒนธรรมส่วนรวมเป็นประชาธิปไตย วัฒนธรรมทาง
การเมืองของประชาชนก็จะเน้นเป็นไปในแนวทางของประชาธิปไตย คือ ประชาชานจะมีสิทธิ
เสรีภาพอย่างกว้างขวาง จึงกล่าวได้ว่าวัฒนธรรมการเมืองเป็นปัจจัยหรือเง่ือนไขที่เอื้ออํานวยให้
การเมอื งการปกครองของรัฐเปน็ ไปในทิศทางใด
7.2 ประเภทของวัฒนธรรมทางการเมอื ง
Almond กับ Verba ได้จําแนกวัฒนธรรมทางการเมืองตามลักษณะแนวโน้มทาง
การเมอื งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆคือ
7.2.1 วฒั นธรรมทางการเมอื งแบบด้ังเดิม (Parochial Political Culture) นั้นเป็น
วฒั นธรรมทางการเมอื งของสงั คมดั้งเดิม คอื วัฒนธรรมทางการเมอื งของบุคคลที่ไม่รู้และไม่สนใจ
การเมอื งและไม่คดิ ว่าจะได้รับผลกระทบจาการเมือง คนที่มีความคิดทางการเมืองแบบนี้จึงไม่คิด
ว่าจะเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง ทําให้ประชาชนมีสํานึกทางการเมืองตํ่า ขาดการมีส่วนร่วม
ทางการเมือง ความโน้มเอียงทางการเมืองของสมาชิกของสังคมก็ไม่อาจแยกออกจากความโน้ม
เอียงทางศาสนาและสังคมได้ เราจึงพบว่า ความรู้ ความเข้าใจและความผูกพันที่คนพึงมีต่อระบบ
รัฐศาสตร์เบ้ืองตน้ หนา้ 110
การเมืองท่ัวๆไป จึงไม่มี เช่น ไม่รู้ว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่รู้ถึงระบอบการปกครองที่เป็นอยู่
ไม่เรียกร้องต่อระบบการเมอื ง ไม่รู้จกั กฎเกณฑห์ รอื นโยบายใดๆ
7.2.2 วัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟูา (Subject Political Culture) ใน
สังคมทีม่ ีลักษณะของวัฒนธรรมทางการเมอื งแบบนี้ สมาชิกของสังคมจะมีความรู้ ความเข้าใจใน
ระบบการเมืองทั่วๆไปเช่น รู้ว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรี ระบอบการปกครองที่เป็นอยู่เป็นระบอบ
ประชาธิปไตย ในขณะเดียวกันพวกนี้ก็ยอมรับอํานาจรัฐ เคารพเชื่อฟังและปฏิบัติตามกฎหมาย
แต่พวกนี้จะไม่เรียกร้อง ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยถือว่าตนเองกับการเมืองอยู่คนละ
โลก การเมืองเป็นเร่ืองของผู้มีอํานาจหรือบารมี ส่วนตนเป็นเพียงประชาชนซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชร
และมีหน้าที่ทีจ่ ะต้องปฏิบัติตามคําสั่งหรอื นโยบายเท่าน้ัน
7.2.3 วัฒนธรรมทางการเมืองแบบเข้ามีส่วนร่วม (Participant Political
Culture) หมายถึง วัฒนธรรมทางการเมืองของสังคมที่บรรดาสมาชิกต่างมีความรู้ ความเข้าใจ มี
ความผูกพันต่อระบบการเมือง พวกนี้จะเรียกร้องหรือเข้าไปมีส่วนร่วมในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้
ระบบการเมอื งสนองตอบต่อความต้องการของพวกเขานั้นคือ คนในสังคมนี้จะมีความรู้สึกว่าเขา
สามารถที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองได้ นอกจากนี้พวกนี้ยังรู้และเข้าใจใน
กฎเกณฑแ์ ละนโยบายต่างๆเป็นอย่างดี
7.3 ความสําคัญของวฒั นธรรมทางการเมอื ง
7.3.1 วัฒนธรรมทางการเมืองช่วยสร้างความชอบธรรม (Legitimization)
ให้กับระบอบการปกครอง เพราะวัฒนธรรมทางการเมืองทําให้ประชาชนยอมรับระบอบการ
ปกครองน้ันๆ เช่นวัฒนธรรมการเมืองแบบไพร่ฟูาก็จะยอมรับระบอบเผด็จการ หลายๆประเทศ
ตระหนักถึงความสําคัญของการปลูกฝังวัฒนธรรมการเมืองจึงได้มีการผลิตซ้ําวัฒนธรรมทาง
การเมืองที่สนับสนุนระบอบการปกครองอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ เช่น ประเทศจีนหลังการปฏิวัติ
1949 ก็ได้สร้างวัฒนธรรมการเมืองให้เหมาะสมกับระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ส่วน
ประเทศไทยหลังจากที่ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้อํานาจเบ็ดเสร็จหลังจากการปฏิวัติตัวเองก็
พยายามปลูกฝังวัฒนธรรมการเมือง “เชื่อผู้นํา ชาติพ้นภัย” เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับ
ตนเอง
7.3.2 วัฒนธรรมทางการเมือง ช่วยกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทาง
การเมือง ซึ่งจะเห็นได้จากกลุ่มบุคคลที่ได้รับการศึกษาจากตะวันตกในช่วงการเปลี่ยนแปลงการ
ปกครอง ในปี 2475 ซึ่งคณะราษฎรที่เป็นผู้นําในการปฏิวัติล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ได้รับการศึกษา
จากต่าง ประเทศโดยเฉพาะยุโรปและโดยเฉพาะอย่าประเทศฝรั่งเศส จึงได้รับวัฒนธรรมทาง
การเมอื ง ที่เน้นสิทธิเสรีภาพของประชาชน และนาํ ไปสู่การเรยี กร้องรฐั ธรรมนญู เปน็ ต้น
รัฐศาสตรเ์ บอ้ื งต้น หนา้ 111
7.3.3 อิทธิพลของวัฒนธรรมทางการเมือง เน่ืองจากวัฒนธรรมทางการเมือง
เป็นเรื่องของความรู้สึก ความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม แนวคิดและพฤติกรรมของบุคคลในสังคมที่มี
ต่อระบบการเมืองและส่วนต่างๆของระบบ ดังนั้นวัฒนธรรมทางการเมืองในแต่ละสังคมจึงมี
อิทธิพลต่อบุคคลซึง่ เปน็ สมาชิกของสงั คมหลายประการดว้ ยกัน ซึง่ เราอาจสรุปได้ดงั น้ี
7.3.3.1 วิธีการทีบ่ คุ คลแตล่ ะคนโต้ตอบต่อเหตุการณ์ภายนอก เช่น เม่ือ
มีการปฏิวตั ิคนไทยอาจจะโต้ตอบในรปู ของการวิพากษ์วจิ ารณ์ คนฝรงั่ เศสอาจรวมตัวกันต่อสู้ คน
โบลิเวียอาจจะเพิกเฉย เปน็ ต้น
7.3.3.2 เปูาหมายของการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมทางการเมืองอยู่ใน
รูปใดน้ัน มกั จะเป็นผลมาจากวัฒนธรรมทางการเมือง
7.3.3.3 ปทัสถานที่เป็นตัวกําหนดวิธีการเพื่อให้บรรลุในเปูาหมายใดๆ
ตลอดจนความรู้ผูกพนั ต่อสง่ิ ใดๆในทางการเมอื ง
7.3.3.4 วิธีการทีบ่ ุคคลแต่ละคนเข้าไปเกี่ยวข้องกบั วิถีทางของการเมอื ง
7.3.3.5 วัฒนธรรมทางการเมืองจะกําหนดว่า ถ้ามีปัญหาเร่ืองใดเร่ือง
หนึ่งเราควรจะเข้าหาใครในเร่ืองนี้ ใครเป็นผู้มีอิทธิพลหรือมีอํานาจมากกว่ากันนั้นคือ สามารถ
บอกใหร้ ู้ถึงตาํ แหน่งของอํานาจและอทิ ธิพลทางการเมอื งในสงั คม
7.3.3.6 วัฒนธรรมทางการเมืองจะเป็นตัวกําหนดเนื้อหาสาระของการ
ติดตอ่ ทางการเมอื งและกาํ หนดผลที่จะตามมา กล่าวคือ จะเป็นตัวบอกว่าถ้าติดต่อในเร่ืองนี้ ควร
จะพดู ว่าอย่างไรและผลทีไ่ ด้จากการพดู ในลกั ษณะน้ันจะเปน็ อย่างไร
7.3.3.7 วัฒนธรรมทางการเมือง จะเป็นตัวกําหนดแนวทางในการ
ปฏิบัติให้กับสถาบันทางการเมืองในสังคม เราจึงเห็นได้ว่าในหลายสังคมต่างมีโครงสร้างทาง
การเมืองหลายประการที่เหมือนกัน เช่น มีรัฐสภา พรรคการเมือง แต่ปรากฏว่าแนวทางในการ
ปฏิบัติของสถาบันทางการเมืองในแต่ละสังคมอาจจะแตกต่างกันไป จึงเป็นสาเหตุประการหนึ่งที่
ทาํ ให้ระดบั ของความม่นั คงในแตล่ ะสงั คมมีไมเ่ ท่าเทียมกนั
7.4. วฒั นธรรมทางการเมอื งของไทย
7.4.1 ประเทศไทยอยู่ในกระแสแหง่ การเปลี่ยนผา่ น เม่ือ 80 กว่าปีที่ผ่านมาคน
ไทยมีวฒั นธรรมการเมอื งแบบไพร่ฟาู มากกว่ามีสว่ นร่วม จงึ ทาํ ให้เกิดผลคือ การเมืองถูกครอบงํา
ด้วยข้าราชการและทหารตดิ ต่อกันมาตั้งแต่สมัยเปลีย่ นแปลงการปกครอง
7.4.2 การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมทําให้เกิดวัฒนธรรมทางการเมืองใหม่
ช่วงปี 2500 เป็นต้นมา การพัฒนาเศรษฐกิจทําให้เกิดคนกลุ่มใหม่ในสังคมไทย ซึ่งคนกลุ่มใหม่นี้
เป็นผู้ได้รับการศึกษาแบบตะวันตก เป็นกลุ่มคนที่เติบโตกับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม มีความ
รฐั ศาสตร์เบื้องต้น หนา้ 112
มน่ั ใจตนเองและติดตอ่ กับประเทศทีเ่ ป็นประชาธิปไตยมาก ท้ังสื่อมวลชนหรือหลายๆ คนมีโอกาส
ไปท่องเที่ยวหรอื ศกึ ษาต่อในประเทศประชาธิปไตย
7.4.3 การพัฒนาทําให้เกิดคนกลุ่มใหม่ในสังคม คนกลุ่มใหม่ในสังคมไทยนี้
ได้รับผลกระทบจากการเมืองมาก เนื่องจากการขยายตัวในทางเศรษฐกิจของคนกลุ่มนี้ถูกจํากัด
และถูกให้โอกาสโดยการเมืองในระดับสูง พวกเขาจึงต้องการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองมาก
ขึน้
7.4.4 ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมทางการเมืองในเมืองกับชนบท เพราะ
มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมเกิดขึ้นในเมืองรวดเร็วกว่าในชนบท ยิ่งการกระจุกตัว
ของการพัฒนาเศรษฐกิจในเมืองมากเท่าใด ก็จะส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างวัฒนธรรมทาง
การเมอื งระหว่างในเมืองและชนบทมากยิ่งขนึ้
7.4.5 การเปลี่ยนแปลงของชุมชนชนบท ในหลายๆ ส่วนของชนบทได้มีการ
เปลีย่ นแปลง วฒั นธรรมทางการเมืองของชนบทได้เปลี่ยนแปลงไปตามการคุกคามของเมืองใหญ่
เป็นลําดับ การติดต่อสื่อสาร การที่คนชนบทเข้ามาทํางานในเมืองและการกลับไปรับใช้บ้านเกิด
ทําให้วฒั นธรรมทางการเมอื งในชนบทเกิดการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น วัฒนธรรมแบบไพร่ฟูาซึ่งเป็น
วัฒนธรรมทางการเมืองด้ังเดิมของไทยไม่สามารถอยู่รอดได้ในสภาพสังคมที่ต้องมีการแข่งขัน
และการพยายามเข้ามามีสว่ นร่วมทางการเมอื ง
8. กระบวนขัดเกลาทางการเมือง (Political Socialization)
การทีม่ นุษย์ตอ้ งอยู่ในสังคมร่วมกบั มนษุ ย์อื่นน้ัน ทาํ ให้มนุษย์ได้สมั ผัสกับสิ่งแวดล้อม
ทั้งมีชีวติ และไม่มชี ีวติ เม่อื มนุษย์มคี วามเกีย่ วข้องสัมพนั ธ์กับคนอืน่ หรอื สิง่ แวดล้อมตา่ งๆ เหล่านั้น
จะเป็นสิ่งเร้าให้มนุษย์มีปฏิกิริยาออกมาอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งเรียกว่าพฤติกรรมสังคม (Social
Behavior) การที่คนมีพฤติกรรมสังคมต่อกันจะก่อให้เกิดบทบาท (Role) ของแต่ละคนขึ้นและ
บทบาทที่แสดงออกจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาได้มาจากร่วม
สมาคมกับคนอื่น รวมท้ังสิง่ แวดล้อม อาจเรียกว่าเปน็ กระบวนขดั เกลาชีวติ ทางสงั คม
8.1 ความหมายกระบวนขดั เกลาทางการเมอื ง
การพิจารณาวิเคราะห์หาความหมายของกระบวนการขัดเกลาทางการเมือง อาจ
กล่าวได้ว่าหมายถึง กระบวนการพัฒนาคนให้เรียนรู้ทางการเมือง มีความเข้าใจ มีความสนใจ
และมีค่านิยมทางการเมือง โดยสถาบันหรือตัวแทนทางสังคม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า
กระบวนการขัดเกลาทางการเมือง หมายถึงการถ่ายทอดปทัสถานทางการเมืองคนรุ่นหนึ่งไปยัง
อีกคนรนุ่ หนง่ึ
รัฐศาสตรเ์ บื้องต้น หน้า 113
กระบวนการขัดเกลาทางการเมือง เป็นกระบวนการหนึ่งที่มีจุดประสงค์เพื่อที่จะทํา
ให้สมาชิกในสังคมนั้นรับเอาวัฒนธรรมทางการเมืองหนึ่งๆไปใช้ เช่น การเชื่อฟังครูในช้ันเรียน
การเชื่อฟังรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัย เป็นกระบวนการขัดเกลาทางสังคมที่พยายามสร้างวัฒนธรรม
ทางการเมอื งแบบไพร่ฟาู เปน็ ต้น
กระบวนการขัดเกลาทางการเมืองเป็นกระบวนการที่สําคัญที่นําเอาวัฒนธรรม
ทางการ เมืองเข้าสู่ประชาชน เป็นวิธีการเรียนรู้วิถีชีวิตทางการเมืองว่าม่ันคงอยู่และเปลี่ยนแปลง
ไปได้อย่างไร ซึ่งกระบวนการขัดเกลาทางการเมืองจะทําให้พลเมืองได้รับผลในการที่จะเชื่อ
หรือไม่เชื่ออํานาจ หรือการอดทนและไม่อดทนกับสิ่งที่ไม่เป็นธรรม การขัดเกลาทางสังคมให้
รางวัลกับคนที่เชื่อฟังอํานาจทางการเมืองและอดทนต่อสิ่งไม่เป็นธรรม ก็จะทําให้ได้วัฒนธรรม
ทางการเมอื งแบบไพร่ฟาู แต่ถ้าเปน็ กระบวนการขดั เกลาที่ให้รางวัลแต่คนที่ต้ังคําถามต่อความไม่
บริสุทธิ์ ยุติธรรมของการใช้อํานาจและให้รางวัลกับคนที่ใช้เหตุผล ก็จะได้กลุ่มคนที่มีวัฒนธรรม
ทางการเมอื งทีเ่ ปน็ ประชาธิปไตย
8.2 ตัวกลางในการขัดเกลาทางการเมอื ง
8.2.1 ครอบครัว กระบวนการขัดเกลาทางการเมืองในครอบครัวเป็น
กระบวนการขดั เกลาทางการเมอื งที่เกิดข้ึนก่อนตัวกลางอื่นๆ ในขั้นตอนนี้กระบวนการขัดเกลาจะ
ขึ้นอยู่กับครอบครัวเป็นหลัก เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา เด็กๆจะถูกสอนให้รักประธานาธิบดี
ก่อนที่เขาจะรู้ว่าประธานาธิบดีต้องทําอะไรบ้างและค่อยๆซึมซับจากครอบครัวไปเร่ือยๆ
นอกจากนี้ยังมีกระบวนการขัดเกลาทางอ้อมด้วย เช่น ในครอบครัวแบบอํานาจนิยม คือ พ่อแม่
เปน็ ใหญ่ ทําให้ลูกได้รับวัฒนธรรมทางการเมืองที่ไม่ต่อต้านเผด็จการในภายหลัง นอกจากนี้ลูกๆ
จะได้รบั อิทธิพลทางการเมืองมาจากพ่อแม่ดว้ ย
8.2.2 กลุ่มเพือ่ น กลุ่มเพื่อนในทีน่ ้ีก็คือกลุ่มเพือ่ นท่วั ๆไป กลุ่มเพื่อนในช้ันเรียน
และในที่ทํางานหรือสังคมอื่นๆกลุ่มเพื่อนนี้หากมีความคิดคล้ายกับครอบครัว ก็จะช่วยสนับสนุน
แนวคิดที่ได้รับจากครอบครัว แต่ถ้ามีความคิดตรงกันข้ามกันก็อาจจะสร้างให้บุคคลนั้นมีแนวคิด
ทางการเมืองแตกต่างออกไปก็ได้ เช่น มาจากครอบครัวอนุรักษ์นิยมแต่ด้วยกลุ่มเพื่อนทําให้
เปลี่ยนแปลงไปเปน็ เสรีนยิ มในภายหลงั
8.2.3 โรงเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการศึกษาสมัยใหม่ที่เด็กทุกคนต้องเข้า
โรงเรียน รัฐบาลจะใช้โรงเรียนเป็นเคร่ืองมือในการกล่อมเกลาทางการเมือง เช่น การเคารพธง
ชาติ การปฏิญาณวา่ จะภักดีตอ่ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นต้น นอกจากนี้การขัดเกลาทาง
การเมอื งผ่านทางการศกึ ษาและระบบวัฒนธรรมภายในโรงเรียน ซึ่งทําให้อิทธิพลทั้งทางตรงและ
ทางออ้ มตอ่ ตัวนักเรียน
รฐั ศาสตร์เบื้องต้น หนา้ 114
8.2.4 กลุ่มสังคม กลุ่มสังคมส่วนมากอาจเป็นกลุ่มอาชีพ กลุ่มศาสนาหรือ
องค์กรทางสังคม ซึง่ มอี ิทธิพลต่อกระบวนการขัดเกลาทางสังคมมากพอสมควร โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งอาจจะมีอิทธิพลในการลงคะแนนเสียงเลือกต้ังหากกลุ่มสังคมลงความเห็นว่านโยบายผู้สมัคร
คนใดทีม่ ปี ระโยชน์เข้ากันกบั กลุ่มอาชีพของตวั เอง
8.2.5 สื่อมวลชน สื่อมวลชนไม่ว่าเป็นแขนงใดมีบทบาทสําคัญอย่างมากใน
การขัดเกลาทางการเมืองในสังคมเผด็จการหรือสังคมอํานาจนิยมจึงจํากัดสิทธิเสรีภาพในก าร
เสนอข่าวของสื่อมวลชน เน่ืองจากไม่ต้องการให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริง แต่ในบาง
ประเดน็ สื่อมวลชนอาจจะไม่เสนอข่าวที่กระทบต่อทางความม่ันคง ศีลธรรม และขนบธรรมเนียม
ที่ดงี ามของสังคม
9. การเปลีย่ นแปลงทางการเมือง
การเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองแบบต่าง ๆ และส่วนใหญ่ ที่ประเทศกําลังพัฒนา
ประสบกค็ ือ วฏั จักรของการเข้ามีสว่ นร่วมแบบเทคโนแครต และมีบางประเทศที่อยู่ในรูปของมวล
ประชา น่ันคือ ลักษณะการเมืองของประเทศกําลังพัฒนาซึ่งผู้ปกครองมักจะมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจ
และเพื่อที่จะให้เกิดความสมั ฤทธิผลในการน้ีได้ ก็จําเป็นต้องจํากัดการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมือง
ของบรรดาสมาชิกของสังคมแต่เม่ือพัฒนาไปปรากฏว่าผลพวงของความเจริญก้าวหน้าตลอดจน
ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจน้ัน จะนํามาซึ่งความไม่เสมอภาคทางสังคมขึ้น กล่าวคือ ผู้ที่ได้รับ
ประโยชน์ก็คือกลุ่มชนชั้นสูง ซึ่งประกอบด้วยข้าราชการช้ันผู้ใหญ่และนักธุรกิจจํานวนหนึ่ง ส่วน
ประชาชนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่กลับยิ่งยากจน ช่องว่างระหว่างชนช้ันจะกว้างขึ้นทุกทีจนในที่สุด
เหตกุ ารณก์ ็จะนาํ ไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยการใชก้ ําลังรนุ แรง เพื่อล้มล้างผู้ปกครอง
เก่าหรอื สถาบนั ทางการเมืองแบบเก่าที่ไม่เอ้ือตอ่ คนส่วนใหญ่
9.1 การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองน้ันโดยทั่ว ๆ ไปเราอาจแบ่งเป็นวิธีการหลักๆได้
เปน็ 2 วธิ ีด้วยกนั คือ
9.1.1 การเปลี่ยนแปลงแบบสันติวิธี ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับการพัฒนาและนํามาใช้
ในระบบการเมอื งแบบประชาธิปไตยกันมาก กระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งการเปลี่ยนแปลงวิธีนี้จะ
ใช้ได้ดีก็ต่อเม่ือระบบการเมืองได้ให้ความม่ันใจต่อมวลชนในระดับหนึ่งว่า แม้ว่าจะมีพฤติกรรมที่
ผิดกฎหมายเกิดขึ้นในช่วงดําเนินการบ้าง รัฐก็จะไม่ใช้เคร่ืองมือของรัฐคือตํารวจหรือทหารหรือ
กฎหมายไปทําลายขบวนการนน้ั ๆ เสีย การดําเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทาง
การเมืองแบบสันติวิธีนี้มีอยู่หลายรูปแบบด้วยกัน เช่น การประท้วง การเดินขบวนที่ไม่อยู่ในรูป
รัฐศาสตรเ์ บือ้ งตน้ หน้า 115
ของการใช้กําลัง การเขียนบทความ วิพากษ์วิจารณ์ การลอบบี้ การติดต่อโดยตรงกับเจ้าหน้าที่
การเมอื ง เปน็ ต้น
เปูาหมายหลกั ทัว่ ๆไปของการดําเนินการนี้ก็เพื่อสร้างความสนใจให้เกิดขึ้นกับ
มวลชนในเร่อื งหรอื ประเด็นทางการเมอื งและการหาเสียงสนบั สนนุ เหน็ อกเห็นใจกับฝุายตนน้ันเอง
นอก จากนี้ในแงป่ รัชญาการดําเนินการน้จี ะเปน็ ไปได้วา่ กระทําเพื่อชี้ให้สมาชิกของสังคมส่วนอื่นๆ
ได้เห็นหรอื ตระหนกั ว่าทุกคนย่อมมสี ิทธิทีจ่ ะกระทาํ การใดตามที่ตนเองเชื่อได้ แม้ว่าจะขัดแย้งกับ
อํานาจรฐั ก็ตาม เชน่ การฉีกบตั รเลือกตั้งนักวิชาการทีเ่ กิดข้ึนเมอ่ื การเลือกต้ังคร้ังที่ผ่านมา
9.1.2 การเปลี่ยนแปลงแบบรุนแรง ในการดําเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งการ
เปลี่ยน-แปลงทางการเมืองน้ัน การใช้กําลังรุนแรงถือเป็นวิธีการที่จะนํามาใช้กันจนเป็นปกติวิสัย
ทางเมอื งปัจจุบนั วิธีการใชก้ ําลงั รุนแรงทางการน้เี ราอาจแบ่งได้อย่างหยาบๆเปน็ 4 วิธีด้วยกนั คือ
9.1.2.1 การก่อการร้าย เป็นวิธีการสามารถสร้างความสะพรึงกลัวได้
มาก กว่าแบบอื่นๆกล่าวคือจะใช้การทําลายล้างตับบุคคลและทรัพย์สิน ลักพาตัวบุคคล จ้ี
เคร่ืองบิน ฯลฯ เพื่อที่จะโจมตีหรือท้าทายอํานาจรัฐในการรักษากฎ ระเบียบ ตลอดจนให้ความ
ม่ันใจในความปลอดภัยแก่ประชาชน บางครั้งผู้ก่อการร้ายอาจใช้วิธีการใดๆเพียงเพื่อสร้างความ
สนใจใหเ้ กิดกบั กลุ่มของตน จงึ ทําให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ตอ้ งคอยรับเคราะหก์ รรมไปด้วย โ ด ย
ท่ัวๆ ไปแล้วการก่อการร้าย จะกระทําโดยใช้กลยุทธที่อยู่ในลักษณะลับ สมาชิกจํานวนน้อยที่
สามารถเกาะกลุ่มกนั แนน่ ได้รับการฝึกปรือในการปฏิบัติอย่างเข็มงวดเยี่ยงทหาร แม้ว่าเปูาหมาย
ของการก่อการร้ายประการหน่งึ คือเพื่อทาํ ลายความมัน่ ใจทีป่ ระชาชนมีต่อรัฐและสร้างความเห็น
อกเหน็ ใจให้กบั กลุ่มของตนเอง แตก่ ารก่อการรา้ ยนี้หาได้มฐี านมาจากประชาชนไม่
9.1.2.2 การจลาจล หมายถึง การที่กลุ่มบุคคลเข้าทําการรุนแรงต่อ
ทรัพย์ สินหรือบุคคล แต่เป็นการดําเนินการที่ปราศจากการวางแผน หรือมีขบวนการควบคุม
อย่างเช่นการก่อการรา้ ยท้ังผทู้ ีเ่ ข้าร่วมในการดําเนินการโดยไม่จํากัดจํานวน เนื่องจากการจลาจล
ขาดการจัด การเกี่ยวกับการรวมกลุ่มจึงเป็นที่มองกันว่า การจลาจลเป็นผลผลิตของอารมณ์ที่
เกิดข้ึนในขณะน้ัน แต่อย่างไรก็ตามการจลาจลก็มีผลต่อการเมืองด้วย ถ้าการจลาจลน้ันเป็นส่วน
หน่งึ ของขบวนการทางการเมือง เช่น ขบวนการของกรรมกร ขบวนการต่อต้านการแยกสีผิว เป็น
ต้น
9.1.2.3 รัฐประหาร หรอื การรัฐประหาร
รัฐประหาร หรือ การรัฐประหาร (ฝรั่งเศส : Coup d'état กูเดตา) ใน
วิชา การพัฒนาการเมืองซึ่งเป็นสาขาวิชาทางรัฐศาสตร์ จะถือว่าการรัฐประหารไม่ใช่วิธีทางของ
รัฐศาสตรเ์ บือ้ งตน้ หนา้ 116
วัฒนธรรมทางการเมอื งแบบประชาธิปไตย และถือเป็นความเสื่อมทางการเมือง (Political decay)
แบบหนง่ึ
รัฐประหาร หมายถึง การล้มล้างรัฐบาลที่ บริหารปกครองรัฐใน
ขณะน้ัน แต่มิใช่การล้มล้างระบอบการปกครองหรือรัฐทั้งรัฐ และมิจําเป็นต้องมีการใช้ความ
รุนแรงหรือนองเลือดเสมอไป เช่น หากกลุ่มทหารอ้างว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกต้ังบริหาร
ประเทศชาติผิดพลาด และจาํ เปน็ ต้องบังคับใหร้ ัฐบาลพ้นจากอํานาจ จงึ ใชก้ าํ ลังบงั คับให้ออกจาก
ตาํ แหน่งและประกาศรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ทันที เยี่ยงนี้ก็เรียก
ได้ว่าเป็นการก่อรัฐประหาร ความพยายามในการก่อรัฐประหารที่ไม่ประสบความสําเร็จมักถูก
ดําเนินคดีในข้อหากบฏ
คาํ ว่ารัฐประหารมาจากคําภาษาฝร่ังเศส คือ Coup d'état ซึ่งหากแยก
พิจารณาจากการสนธิคําจะแปลตรงตัวว่า การล้มล้างอย่างเฉียบพลัน (coup = blow of) ต่อรัฐ
(d'état = on state)
ในพจนานุกรมบริทานิกา คอนไซส์ (Britannica Concise Encyclopedia) นิยาม
ว่า คือ การยุบเลิกรัฐโดยฉับพลัน (Stroke of State) การเข้ามาเถลิงอํานาจโดยเฉียบพลัน มักจะ
เกิดด้วยความรุนแรง การกระทําดังกล่าวกระทําการโดยกลุ่มก่อการ (A Group of Conspirators)
การรัฐประหารจะเกิดในประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมืองต่ํา หรือไม่ก็ไร้เสถียรภาพทาง
การเมอื ง ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยการรฐั ประหารมกั ไม่ประสบความสาํ เร็จ
พจนานุกรรมศัพท์ทางการทหารของออกซ์ฟอร์ด (Oxford Companion to
Military History) อธิบายว่าความพยายามในการเปลี่ยนแปลกคณะปกครอง หรือรัฐบาลด้วย
กําลงั โดยมากมกั เกิดจากกองทพั
พจนานุกรมศัพท์ทางทหารอเมริกันของออกซ์ฟอร์ด (Oxford Dictionary of
the US Military) นิยามว่า คือการเข้ามาเถลิงอํานาจในรัฐบาลอย่างรวดเร็ว รุนแรง และผิด
กฎหมาย
พจนานุกรมศัพท์ทางการเมอื งของออกซ์ฟอร์ด (Oxford Dictionary of Politics)
การยุบเลิกรัฐบาลอย่างกะทันหันด้วยกําลังที่ผิดกฎหมาย มักกระทําการโดยกองทัพ หรือส่วน
หนึ่งของกองทัพ รัฐประหารมักเกิดขึ้นโดยความไม่เห็นชอบของประชาชน หรือไม่ก็มักเป็นความ
จากประชาชนบางสว่ น ซึ่งมักเป็นชนช้ันกลาง หรือไม่ก็ด้วยความร่วมมือของพรรคการเมือง หรือ
กลุ่มทางการเมอื ง
รฐั ศาสตร์เบอื้ งตน้ หนา้ 117
โดยสรุปการรัฐประหารคือการเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองรัฐ (Head of State)
หรือรัฐบาล (Government) โดยเฉียบพลันด้วยกําลัง ความรุนแรง และผิดกฎหมาย โดยไม่
จําเปน็ ต้องเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง (Regime)
คณะรัฐประหารในประเทศไทยที่ก่อการสําเร็จมักจะเรียกตนเองหลังก่อการ
ว่า "คณะปฏิรูป" หรือ "คณะปฏิวัติ" เพื่อให้มีความหมายไปในเชิงบวก อย่างไรก็ตามมีผู้เสนอว่า
การ "ปฏิวตั "ิ หรอื "อภวิ ฒั น์" (Revolution) ซึง่ เปน็ การเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองน้ันเกิดขึ้นใน
ประเทศไทยเพียงคร้ัง เดียวคือเมอ่ื 24 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2475 แต่ในความเห็นอีกด้านหนึ่ง กล่าวว่า
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นการปฏิวัติรัฐประหาร เพราะ
เปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) กลายเป็นระบอบ
ประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษตั รยิ ์เป็นประมุข (Constitutional Monarchy) อันเป็นการปฏิวัติ แต่ก็
เป็นการรัฐประหาร (ฝรั่งเศส: coup d'état กูเดตา) ด้วย เพราะใช้กําลังทหาร ในการควบคุม
บังคับ ทําให้อํานาจรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวสิ้นสุดลง แต่กลุ่มการเมือง
ฝาุ ยต่อต้านระบอบกษัตริย์ พยายามสร้างภาพให้เป็นเชิงบวก ว่าเป็นการปฏิวัติ หรืออภิวัฒน์ จน
เรียกว่า สยามภิวัฒน์ ทั้งทีเ่ ป็นการรัฐประหารด้วยเช่นกนั
ผทู้ ี่ก่อการรฐั ประหารได้สําเร็จในประเทศไทยมาจากฝุายทหารบกท้ังสิ้น ส่วน
ทหารเรือได้มีความพยายามในการก่อรัฐประหารแล้วแต่ไม่สําเร็จเป็น เช่นในกรณีกบฏวังหลวง
ใน พ.ศ. 2492 และ กบฏแมนฮัตตัน ใน พ.ศ. 2494 การรัฐประหารในประเทศไทย ต้ังแต่การ
เปลีย่ นแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 จนถึงปัจจุบันมดี ังน้ี
1) รฐั ประหาร 1 เมษายน พ.ศ. 2476 พระยามโนปกรณ์นิติธาดา
ได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาปิดสภาผแู้ ทนราษฎร พร้อมงดใช้รฐั ธรรมนูญบางมาตรา
2) รัฐประหาร 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 นําโดยพลเอกพระยา
พหลพลพยหุ เสนา ยึดอาํ นาจรฐั บาล พระยามโนปกรณ์นิตธิ าดา
3) รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 นําโดย พล.ท.ผิน ชุณ
หะวณั ยึดอํานาจรฐั บาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธาํ รงนาวาสวสั ดิ์
4) รัฐประหาร 6 เมษายน พ.ศ. 2491 คณะนายทหารกลุ่มที่ทํา
การรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 จ้ีบังคับให้ นายควง อภัยวงศ์ ลาออกจากตําแหน่ง
นายกรฐั มนตรี และมอบตําแหน่งต่อให้ จอมพล ป. พบิ ลู สงคราม
5) รัฐประหาร 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 นําโดยจอมพล ป.
พิบลู สงคราม ยึดอาํ นาจรฐั บาลตนเอง
รฐั ศาสตรเ์ บื้องตน้ หนา้ 118
6) รัฐประหาร 16 กันยายน พ.ศ. 2500 นําโดยจอมพลสฤษดิ์
ธนะรชั ต์ ยึดอํานาจรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม
7) รฐั ประหาร 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 นําโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะ
รัชต์ ยึดอํานาจรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร (ตามที่ตกลงกนั ไว้)
8) รัฐประหาร 17 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2514 นําโดย จอมพลถนอม
กิตติขจร ยึดอํานาจรัฐบาลตนเอง
9) รัฐประหาร 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 นําโดย พล.ร.อ.สงัด ชลอ
อยู่ ยึดอาํ นาจรฐั บาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
10) รัฐประหาร 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 นําโดย พล.ร.อ.สงัด
ชลออยู่ ยึดอาํ นาจรัฐบาล นายธานินทร์ กรัยวิเชยี ร
11) รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 นําโดย พล.อ.สุนทร
คงสมพงษ์ ยึดอาํ นาจรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชณุ หะวัณ
12) รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 นําโดย พล.อ.สนธิ
บุญยรัตกลิน ยึดอํานาจรัฐบาลรักษาการ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งในขณะน้ัน พ.ต.ท. ทักษิณ
ชินวตั ร รักษาการนายกรฐั มนตรี ได้เดินทางไปต่างประเทศ
13) รัฐประหาร เม่ือวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เวลา 16:30 น.
โดยคณะรกั ษาความสงบแหง่ ชาติ (คสช.) อันมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะ โค่น
รัฐบาลรักษาการ นายนิวฒั นธ์ าํ รง บญุ ทรงไพศาล นบั เปน็ รัฐประหารครั้งที่ 13
9.1.2.4 ปฏิวัติ (Revolution) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงระบบ อาจโดย
การยกเลิกระบบเดิมใช้ระบบใหม่ หรือร้ือโครงสร้างเดิม เช่น ปฏิวัติตนเอง คือ ปรับปรุงตัวเอง
ใหม่ คําว่าปฏิวัติในภาษา อังกฤษ (Revolution) มีรากศัพท์จากภาษาละตินคือ revolutio และ
revolvere แปลว่าการหมุนรอบ หรือแปลได้อีกทางหนึ่งว่าการพลิกฟูาควํ่าแผ่นดิน (to turn
around) คํานี้มีใช้ทั่วไปในทางสังคมศาสตร์ แต่ก็มีใช้ในทางวิทยาศาสตร์เช่นกัน เช่นการปฏิวัติ
วิทยาศาสตร์ เป็นต้น
สารานุกรมเมอร์เรียม-เวบสเตอร์ (Merriam-Webster Encyclopedia)
อธิบายว่า การปฏิวัติในทางการเมืองนั้นคือการเปลี่ยนแปลงการตัดรูปแบบของการเมืองการ
ปกครองในระดบั ฐานราก (Fundamentally)
สารานุกรมบริทานิกา คอนไซส์ (Briyanica Concise Encyclopedia)
อธิบายว่าการปฏิวัติในทางสังคมศาสตร์ และในทางการเมืองคือการกระทําความรุนแรงต่อ
โครงสร้าง, ระบบ, สถาบัน ฯลฯ ทางสังคมการเมือง การปฏิวัติทางสังคมการเมืองจะเป็นการ
รฐั ศาสตรเ์ บ้อื งตน้ หน้า 119
เปลีย่ นแปลงไปจากมาตรฐานต่างๆที่สังคม การเมืองเป็นอยู่เดิม เพิ่มจัดต้ัง หรือ สร้างมาตรฐาน
ของสงั คมการเมืองแบบใหม่ให้เกิดขึน้
โดยสรุปการปฏิวัติมีความหมายว่าการเปลี่ยนแปลงระบอบ (Regime)
ในทางสังคมการเมอื ง อาทิ วัฒนธรรมทางการเมือง อุดมการณ์ทางการเมือง เป็นต้น การปฏิวัติ
จึงไม่ต่างจากการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางการเมือง (Political Paradigm) ซึ่งเกิดได้ยากกว่าการ
รัฐประหาร ซึ่งเพียงการเปลี่ยนแปลงระบบทางการเมือง (Political System) อาทิ ผู้นําของรัฐ
(Head of State) หรอื รฐั บาล (Government) เท่าน้ัน
คาํ วา่ ปฏิวัตถิ กู ใช้ครง้ั แรกในองั กฤษ ค.ศ. 1688 - 89 เพื่ออธิบายการที่
กษัตริย์เจมส์ที่ 2 ถูกยึดอํานาจ ศัพท์ในทางสังคมศาสตร์เรียกเหตุการณ์นี้ว่า การปฏิวัติอัน
รุ่งโรจน์ (The Glorious Revolution) การปฏิวัติครั้งนี้ทําให้อํานาจสมบูรณ์ของกษัตริย์อังกฤษถูก
ถ่ายโอนมาสสู่ ภา
ในศตวรรษที่ 18 ในประเทศอเมริกาเกิดการปฏิวัติอเมริกา (The
American Revolution) ซึ่งเป็นการปฏิวัติประเทศอเมริกาให้ปกครองตนเองและแยกออกจากการ
ปกครองของอังกฤษ
ใน ค.ศ. 1789 เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส (The French Revolution) เม่ือ
ปัญญาชน และประชาชนนําโดยโรแบร์สปิแอร์ (Maximilien de Robespierre) ปฏิวัติการปกครอง
ของกษัตรยิ ์หลุยส์ที่ 16 (Louise XVI) การปฏิวตั ิครงั้ น้ีมักถูกยกย่องว่าเป็นการปฏิวัติประชาธิปไตย
ครั้งแรก รวมถึงเป็นการปฏิวตั ิครง้ั แรกของโลกสมัยใหมด่ ้วย
ในศตวรรษที่ 19 การแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์ (Communism)
ทําให้ประเทศจํานวนมากเกิดการปฏิวัติการปกครองโดยประชาชน (People Revolution) ขึ้น
จาํ นวนมาก โดยเฉพาะในประเทศทีต่ ้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสงั คมนยิ ม/คอมมิวนสิ ต์
สําหรับในสังคมการเมืองไทยเกิดการปฏิวัติทางการเมืองขึ้นเพียงครั้ง
เดียวคือ การปฏิวัติสยาม ในวนั ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นการปฏิวตั ิการปกครองโดยเปลี่ยน
ระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) กลายเป็นระบอบ
ประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ์เป็นประมขุ (Constitutional Monarchy) ส่วนการล้มล้างรัฐบาล
ในครั้งต่อมาน้ันเป็นเพียงการรัฐประหาร เพราะไม่ได้ต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง
ทว่าเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ผู้นําของรัฐบาล หรือเป็นการยืดอายุของรัฐบาลอุปถัมภ์
อาํ นาจนิยม (Suzerain-Authoritarianism) ของสงั คมไทยเพียงเท่าน้ัน
รัฐศาสตรเ์ บ้ืองตน้ หนา้ 120
10. การพฒั นาการเมือง
การพัฒนาการเมือง (Political Development) คําว่า “การพัฒนาการเมือง” มีผู้ได้ให้
คํานิยามไว้หลากหลาย เพื่อประโยชน์และความเข้าใจในที่นี้ของเสนอ คํานิยามของนักรัฐศาสตร์
ดังน้ี
Alfred Diamant อธิบายว่า การพัฒนาการเมือง หมายถึงกระบวนการซึ่งระบบ
การเมืองปรารถนาที่จะเพิ่มสมรรถภาพ (Capability) เพื่อยังไว้ซึ่งเปูาหมายและเจตจํานงใหม่ให้
เสรจ็ รวมท้ังการสรา้ งรปู แบบใหม่ๆ ขององค์การทางการเมอื งดว้ ย
Dankwart Rustow ให้คํานิยามว่า การพัฒนาการเมือง หมายถึง การเพิ่มเอกภาพ
ทางการเมือง (Political Unity) ในระดับชาติ และการขยายรากฐานของการเข้ามีส่วนร่วมทาง
(Political Participation) ของประชาชน
Garbiel A. Almond กล่าวว่า การพัฒนาการเมือง คือ การดําเนินค้นหาสมรรถภาพ
ใหม่ๆ ในแง่โครงสร้างทางบทบาทในการทํางานเฉพาะด้านและการทําให้บทบาทน้ันแตกต่างกัน
พร้อมๆ กัน การให้โอกาสแก่ระบบการเมืองที่จะตอบสนองต่อปัญหาใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นอย่าง
ได้ผล
S.N. Eisentadt ให้ความหมายว่า การพัฒนาการเมือง หมายถึง การที่ระบบ
การเมืองสามารถรักษาความเติบโตของตนเองให้ดํารงอยู่ได้โดยการปรับตัวให้เข้ากับความ
ต้องการ และประเด็นการตอ่ สู้ทางการเมอื งใหมๆ่ ทีเ่ กิดขึน้
Samuel Huntington ฮันติงตั้น เสนอให้ใช้แนวพินิจ (approach) แห่งการเปลี่ยนแปลง
ท่ัว ๆ ไปและโดยเฉพาะแนวพินิจแห่ง “การเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นนวสมัยหรือสมัยใหม่”
(modernization) ฮันติงต้ัน เสนอให้ศึกษา คือ 5 องค์ประกอบ (components) สําคัญของระบบ
การเมือง ได้แก่ 1) วัฒนธรรมทางการเมือง 2) โครงสร้างทางการเมือง 3) กลุ่มต่าง ๆ 4) ความ
เปน็ ผู้นํา และ 5) นโยบาย สามารถอธิบาย ดงั น้ี
1) วฒั นธรรมทางการเมือง ได้แก่ 1) ค่านิยม 2) ทัศนคติ 3) แนวการพิจารณา
หรือการตี ความเร่ืองราวต่างๆ (แห่งนิทานเร่ือง “ปรัมปรา” เกี่ยวกับจักรๆ วงศ์ๆ และ4) ความ
เช่อื อนั เกีย่ วข้องกับเร่อื งการเมอื งและมีความโดดเด่นอยู่ในสังคม
2) โครงสร้างทางการเมือง ได้แก่ การจัดองค์การแบบเป็นทางการ ซึ่งสังคม
ใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจในเร่ืองสําคัญ ๆ เช่น 1) พรรคการเมือง 2) การแบ่งออกเป็นฝุายนิติ
บัญญัติ ฝาุ ยบริหาร 3) ระบบราชการ
3) กลุ่มต่าง ๆ ได้แก่ การรวมตวั ทางเศรษฐกิจและสงั คม ไม่ว่าจะเป็นแบบเป็น
ทางการ (formal) หรอื ไม่เป็นทางการ (informal) ซึง่ มสี ่วนรว่ มทางการเมอื งมากบ้างนอ้ ยบ้าง
รฐั ศาสตร์เบ้ืองต้น หนา้ 121
4) ความเปน็ ผู้นาํ ทั้งในฐานะบุคคลคนเดียวและในฐานะกลุ่ม
5) นโยบาย ได้แก่ รูปแบบแหง่ กิจกรรมของรฐั บาลซึ่งใช้ในการกระจาย
Lucian W. Pye. ลูเซี่ยน พาย ได้ให้ทัศนคติ การพัฒนาทางการเมืองไว้ 10 ข้อ หรือ
ทศมติ ิ ดังนี
1) “บุพลักษณะ” (prerequisites) หรอื รากฐานอยู่ที่การพฒั นาทางเศรษฐกิจ
2) การเมอื งแบบที่มอี ยู่ในประเทศอตุ สาหกรรม
3) ความทนั สมัยทางการเมอื ง
4) สงั คมเข้าสู่สภาพแหง่ การจดั องค์การเปน็ รฐั ประชาชาติหรอื เปน็ ชาติรัฐ
5) การพฒั นาด้านบริหารและกฎหมาย
6) การเร่งระดมสรรพกําลัง (mobilization) และการเข้าไปมีส่วนร่วมแบบต่าง
ๆ หรอื ระดับต่าง ๆ ทางการเมอื งของมวลชนคนจาํ นวนมาก
7) การพยายามสร้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย
8) การที่บ้านเมืองมีเสถียรภาพ และการเปลีย่ นแปลงเป็นไปอย่างเป็นระเบียบ
เรียบร้อย (stability and orderly change)
9) การเร่งระดมพลงั ด้านต่าง ๆ และการทํางานอย่างมปี ระสิทธิภาพ
10) เปน็ มิติ หรือด้านหนึ่งของการเปลี่ยนทางสังคมซึ่งมีหลายด้านรวมท้ังด้าน
วัฒนธรรม
จะเห็นได้ว่าความหมายของการพัฒนาการเมือง มีหยิบขึ้นมาพิจารณามีข้อแตกต่าง
กันและคล้ายกันบ้าง แต่กล่าวถึงการพัฒนาการเมือง มักจะมุ่งเน้นไปในทางการสร้าง
ประชาธิปไตย และระดมสรรพกาํ ลงั ประชาชนให้เข้ามีส่วนร่วมทางการเมือง ทั้งนี้เพราะการเมือง
ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศใดก็ตาม เมอ่ื บรรลุถึงจุดหมายปลายทางแล้วประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมใน
กิจการทางการเมืองระดับสูง ดังที่ Eisentadt กล่าวไว้ว่า ท้ายสุดกระบวนการการพัฒนา
การเมือง คือ การที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการเลือกต้ังผู้ปกครองประเทศ และในการกําหนด
จุดหมายทางการเมืองที่สําคัญ แม้แต่ในประเทศคอมมิวนิสต์หรือเผด็จการอื่นๆ ซึ่งเราคิดว่า
ประชาชนไม่มีอิสรภาพในการเข้าร่วมในกิจการทางการเมืองของประเทศเ หมือนกับประชาชนใน
ระบอบประชาธิปไตยน้ัน กม็ ีความกลัวอํานาจของประชาชน ความคิดเห็นของประชาชน ประเทศ
ดังกล่าวกจ็ ะพยายามทีจ่ ะควบคุมประชาชนให้ออกเสียงเพือ่ มอบอาํ นาจทางการเมืองให้แก่บุคคล
หรอื กลุ่มบุคคลทีเ่ ผด็จการต้องการ ซึ่งก็เท่ากับประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองในทางปกครอง
น้ันเอง
รัฐศาสตรเ์ บือ้ งตน้ หน้า 122
นักรัฐศาสตรเ์ สนอว่า การเมอื งทีม่ กี ารพฒั นาแล้วจะมีลักษณะ ดังน้ี
1. ประชาชนในระบบการเมืองมีความเสมอภาคในการมีส่วนร่วมและเกี่ยวข้อง
กับกิจการทางการเมืองในระดับสูง ความเสมอภาค หรือความเท่าเทียมในด้านต่าง ๆ จัดได้ว่า
เป็น “หัวใจ” ของการพัฒนาทางการเมือง ท้ังนี้อยู่ในกรอบแห่งกฎหมาย ปกติมีความแตกต่างกัน
ในเร่ือง 1) ชาติวุฒิ (ชาติกําเนิดหรือตระกูล) 2) ธนวุฒิ (กําลังทรัพย์) 3) วัยวุฒิ (แตกต่างในเร่ือง
อายุ) 4) เพศวิสัย (ชายและหญิง) แต่กฎหมายย่อมถือว่าทุกคนไม่ว่าจะเป็นยาจกเข็ญใจหรือเป็น
มหาเศรษฐี เป็นผู้มีนามสกุลใหม่หรือนามสกุลเก่า เป็นผู้มีอายุ 18 ปี หรือ 50 ปี มีสถานภาพ
เท่ากัน เอกสิทธิ์หรือข้อแตกต่างในแง่กฎหมายมิได้เกิดขึ้นเพราะเหตุต่าง ๆ เช่น 1) ชาติวุฒิ 2)
วัยวุฒิ 3) คุณวุฒิ 4) เพศวิสัย 5) ความเชื่อ ซึ่งหมายความรวมถึงการออกกฎหมายทั่วไป และ
การคัดเลือกผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง โดยอาศัยหลักความสําเร็จ (achievement) มากกว่า
คุณสมบัติที่ติดตัวมา (ascription) เช่น ความเสมอภาคมีบทบาทในการพัฒนาของการเมืองด้วย
การนําหลักการนี้ไปใช้โดยท่ัวไป รวมท้ังในการเข้าร่วมการแข่งขันรับเลือกตั้งควรเปิดโอกาสให้มี
การแขง่ ขนั อย่างทัดเทียมกัน การแขง่ ขนั เป็นเร่ืองของคุณวุฒิ (qualifications) คือ ความสามารถที่
สร้างขึ้นมาภายหลัง (achieved status) มิใช่เป็นเร่ืองติดตัวมาแต่กําเนิด (ascriptive) แบบชาติวุฒิ
หรือวัยวุฒิ อนึ่ง วิธีการเลือกต้ังจะต้องเป็นไปโดยถือว่าทุกคนมีอายุและคุณสมบัติอยู่ในเกณฑ์มี
สิทธิ 1 เสียงเท่าน้ัน เรือ่ งนี้ Eisentadt มีความเหน็ ว่า ตามลักษณะของระบบการเมืองที่ทันสมัยนั้น
ชนช้ันผู้นาํ เก่า (Traditional elites) ซึง่ ครองอํานาจโดยอาศัยคุณสมบัติที่ติดตัวมา จะต้องมีจํานวน
น้อยและอ่อนกําลังลง ชนชั้นนําที่คัดเลือกมาโดยอาศัยหลักความสําเร็จจะต้องมีมากขึ้น และท้ัง
ผปู้ กครองและผู้อยู่ใต้ปกครองจะต้องมีความรับผดิ ชอบต่อกนั
2. ระบบการเมอื งมสี มรรถภาพสูงในการปฏิบัติงาน และมีการใช้เหตุผล (rationality)
ในการปกครอง กล่าวคือ สามารถทีจ่ ะขยายกิจกรรมทางการปกครอง และองค์การทางการเมือง
ให้ครอบคลุมไปได้ท่ัวทุกส่วน ทุกภาคของสังคม ตลอดจนกลุ่มต่างๆ ในสังคมด้วย การใช้หลัก
เหตุผลในการปกครองหมายความรวมถึงการที่ระบบการเมืองมีแนวโน้มเน้นหนักไปทางโลกมาก
ขึ้น การมีสมเหตุสมผลในการตัดสินใจและการวางนโยบายทางการเมือง แทนที่จะเดาสุ่มหรือใช้
อารมณ์หรือความเชื่อทางศาสนาเป็นหลัก การพัฒนาทางการเมือง ได้แก่ การที่รัฐบาลสามารถ
ทําประโยชน์ให้แก่ราษฎรได้มาก เช่น ทําให้ราษฎร 1) ได้รับการศึกษาดี 2) ประสบความ
สะดวกสบายในชีวติ ประจาํ วัน 3) ไม่ขาดแคลนสาธารณูปโภค 4) ไม่ต้องห่วงกังวลเร่ืองความขาด
แคลนปัจจัยสีท่ ีจ่ าํ เป็นสาํ หรับการดํารงชีวติ 5) ไม่ต้องห่วงกังวลเร่ืองโจรผู้ร้ายชุกชุม ฯลฯ เป็นต้น
รฐั บาลที่มสี มรรถภาพอนั เป็นลักษณะของการพัฒนาทางการเมือง คือ “สนองความต้องการแห่ง
ปจั จยั สีร่ าษฎรมงี านทํา” และ “นํ้าไหล ไฟสว่าง ทางดี สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบทุกหนทุกแห่ง”
รฐั ศาสตรเ์ บอ้ื งตน้ หนา้ 123
สมรรถภาพเกี่ยวข้องโดย ตรงกับการมีระบบบริหารงานที่ดี ต้องมีการวางแผนและมีการ
ดําเนินงานอย่างมีระเบียบเพื่อบรรลุเปูาหมาย (จุดประสงค์ หรือ ends) มักกล่าวกันว่า means
and ends จะต้องไปด้วยกนั การบริหารที่ดีนน้ั จะต้องรู้วิธีการว่าจะ “ทําอย่างไร” ไม่ใช่เพียงแต่ว่า
รู้ว่าควรทํา “อะไร” เท่านั้น กระบวนการหรือขั้นตอนว่าจะทําอย่างไรเพื่อบรรลุเปูาหมายนั้นเป็น
เร่ืองสําคัญมากต้องอาศัยความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ อีกท้ังรู้ว่าจะทําอย่างไร
(“know-how”)
3. ระบบการเมืองและสถาบันการเมืองในระดับสูง มีการแบ่งแยกบทบาท Talcott
Parsons ได้เสนอไว้ในหนังสือ The System of Modern Societies กล่าวว่า บางยุคบางสมัยการ
จัดระบบทางสังคมเป็นแบบกว้าง ๆ ทําหน้าที่คละกันหลายๆ อย่าง เช่น บิดา มารดา แต่เก่าก่อน
มีหน้าที่ท้ังเป็น 1) ผู้เลี้ยงดูบุตร 2) ผู้ให้ความรู้ทางวิชาการ เช่น การอ่านการเขียน 3) ผู้สอน
วิชาชีพ 4) ผู้อบรมศีลธรรม และ ฯลฯ แต่ต่อมามีสถาบันสังคมอื่น ๆ เกิดขึ้นซึ่งทําหน้าที่ “เฉพาะ
เร่ือง” เช่น 1) โรงเรียนประถมศึกษา 2) โรงเรียนฝึกอาชีพ 3) สถานรับเลี้ยงดูเด็ก ฯลฯ ทําให้
หน้าที่แบบคละกัน หลาย ๆ อย่างของบิดามารดาหรือสถาบันครอบครัวลดลงไป อาจกล่าว
เกี่ยวกับการแบ่งแยกงานตามหนา้ ที่เฉพาะด้าน เปน็ ลกั ษณะของการพัฒนาทางการเมอื ง คือ
ก. การแบ่งแยกศาสนาจักรออกจากอาณาจักร ฝุายศาสนาจักร คือ พระสงฆ์
ไม่ควรเข้าไปยุ่งกับฝาุ ยอาณาจกั ร คือ เร่ืองของฆราวาสหรือเร่ืองของบ้านเมือง ไม่ควรเข้าไปก้าว
ก่ายในเรอ่ื งของการปกครองของฝุายสงฆ์หรอื ศาสนาจกั ร
ข. การแบ่งแยกกันระหว่างอํานาจบริหาร อํานาจนิติบัญญัติ และอํานาจตุลา
การ อาํ นาจท้ังสามน้ีอาจเกี่ยวพันแตต่ ้องแยกจากกันเปน็ เอกเทศ
ค. การแบ่งแยกกันในหน้าที่ระหว่างทหารและพลเรือน ทหารอาชีพมีหน้าที่
ปกปูองคุ้มครองประเทศจากภยนั ตราย พลเรอื นมหี นา้ ที่ช่วยพัฒนาชาติในด้านอ่ืนๆ
ง. การแบ่งแยกหนา้ ทีอ่ ย่างเด่นชัดระหว่างรัฐบาล “ส่วนท้องถิ่น” กับ “รัฐบาล
กลาง” ในบางประเทศรัฐบาลกลางให้อํานาจกับรัฐบาลท้องถิ่น เช่นระดับมลรัฐ หรือการมี อบจ.
องค์การบริหารส่วนจังหวดั และ อบต. องค์การบริหารส่วนตาํ บล
4. การมีศีลธรรมหรือจริยธรรมทางการเมือง ควรให้ความสําคัญอย่างมาก
โดยเฉพาะในโลกร่วมสมัย ซึ่งมีความอลเวงและความยุ่งยาก ทั้งในระดับนานาชาติและภายใน
ชาติมาก การขาดจรยิ ธรรมท่วั ๆ ไปและการขาดจรยิ ธรรมทางการเมืองโดยเฉพาะมีผลเสียอย่าง
มาก ดังนั้น การใช้ความรุนแรง และการหาเสียงเลือกต้ังด้วยวิธีการ “ไม่สะอาด” การใช้ความ
รุนแรง มีตัวอย่าง ได้แก่ การใช้กําลังรุนแรงในการต่อสู้ทางการเมืองหรือการฆาตกรรมทาง
การเมืองท้ังในระหว่างหาเสียงเลือกตั้งหรือหลังจากการหาเสียงเลือกตั้งแล้ว จริยธรรมทาง
รัฐศาสตร์เบื้องต้น หน้า 124
การเมืองควรมีทั้งในผู้นํา และในราษฎรท่ัวไป ในหมู่ผู้นํา ควรประพฤติตนให้เหมาะสมไม่ผิด
ทํานองคลองธรรม ไม่แสวงหาผลประโยชน์จากตําแหน่งหน้าที่ในหมู่ประชาชนจะต้องเป็นผู้
ประกอบอาชีพสุจริต การหาเสียงแบบไม่สะอาด การรณรงค์เพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงอันไม่
สอดคล้องกับแนวจริยธรรมมีมาก เชน่
ก. การให้สัญญากบั ราษฎรเกินความเปน็ จริง
ข. การข่มขู่หรือการใช้เงินจนเกินขอบเขต ขุดคุ้ยเร่ืองส่วนตัวเพื่อทําลาย
ชื่อเสียงของฝุายตรงข้ามอย่างไม่เป็นธรรม (ในบางประเทศของยุโรปและในสหรัฐ อเมริกามีการ
ขุดค้นชีวติ ส่วนตัวเพือ่ ทําให้ฝุายถูกกล่าวหาเสียหายอยู่บ่อย ๆ ท้ังนี้หากมองในแง่ดีก็อาจถือได้ว่า
ผคู้ นของประเทศเหล่านั้นมุ่งม่ันให้ตวั แทนของตนบริสทุ ธิผ์ ดุ ผอ่ งในแทบทุกเรอ่ื ง) ในประเทศที่ด้อย
พัฒนามีการใช้กลไกหรือวิธีพลิกแพลงในการเลือกต้ัง เช่น 1) วิธีการ “พลร่ม” คือ จัดให้มีผู้ไป
ลงคะแนนโดยกําหนดพรรคหรือตัวบุคคลไว้ให้แล้วล่วงหน้า โดยผู้มีอํานาจ และ 2) การนับ
คะแนนแบบไม่สุจรติ
5. มีการเพิ่มการรวมอํานาจไว้ในรัฐบาลส่วนกลางมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้รัฐบาลส่วน
การสรา้ งพลังแหง่ ชาติ และขจดั ความแตกสามคั คีในชาติ แต่ท้ังนี้มิได้หมายความว่า รัฐบาลกลาง
จะรวมอาํ นาจไว้ทั้งหมดแต่ผู้เดียว แตร่ ัฐบาลกลางอาจจะมีการแบ่งอํานาจหรือกระจายอํานาจใน
การปกครองให้แก่ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นให้มากเพียงใดก็ได้ สถาบันการเมืองของชาติที่มี
การจัดองค์การที่แตกต่างสลับซับซ้อนกันมากขึ้น ควบคู่กับการแบ่งงานกันทําตามความชํานาญ
เฉพาะด้านในองค์การการเมืองที่แตกต่างกันเหล่านั้น ท้ังนี้โดยมีเหตุผลอยู่ที่ว่าถ้าหากองค์การ
ของรัฐบาลมีองค์การที่สลับซับซ้อนและมีการกําหนดอํานาจหน้าที่การปฏิบัติโดยเฉพาะความ
ชํานาญเฉพาะด้านแลว้ ผลงานรัฐบาลกจ็ ะมีประสิทธิภาพสูง ในแง่ที่สามารถสนองความต้องการ
ของประชาชนได้มากขึ้น และต้องกับความตอ้ งการอย่างแท้จริง
6. ความชอบธรรมและประสิทธิภาพ การพัฒนาทางการเมือง เซย์มูร์ มาร์ติน ลิบ
เส็ท ให้ทัศนะในประเด็นสําคัญในการพัฒนาทางการเมืองควรมีสองประการ คือ 1) ว่าด้วย
ความชอบธรรม 2) ว่าด้วยประสิทธิภาพ (Seymour M. Lipset. 1960)
ความชอบธรรม (legitimacy) ได้แก่ ความรู้สึกของราษฎรว่า รัฐบาลเป็นรัฐบาลที่ถูก
ทาํ นองคลองธรรม ความรู้สึกนี้เป็นเร่ืองของศรัทธา (faith, confidence) ความไว้เน้ือเชื่อใจ (trust)
ซึง่ อาจไม่ตรงกับหลกั เหตุผลเลยก็ได้ หากพลเมืองเห็นว่าผู้ปกครองบริหารงานโดย ชอบธรรม ไม่
มีการคดโกงย่อมเปน็ การพัฒนาทางการเมอื ง ในแงท่ ีท่ าํ ให้เกิดเสถียรภาพ
รัฐศาสตรเ์ บื้องตน้ หน้า 125
ประสิทธิภาพ ประเด็นว่าด้วยประสิทธิภาพ (efficiency) ได้แก่ สมรรถภาพของ
รัฐบาลในการให้ราษฎรอยู่ดีมีสุขได้ หมายถึง ความสามารถของรัฐบาลในการให้พลเมืองได้รับ
ผลประโยชน์ตา่ ง ๆ อันพึงได้จากรัฐบาล เชน่
1) ความสามารถทาํ ให้เศรษฐกิจรงุ่ เรอื ง
2) ทําให้มกี ารศกึ ษาดี
3) ทาํ ให้มคี วามสงบเรียบร้อย
ลิบเส็ท กล่าวว่า ความรสู้ ึกของพลเมืองที่ว่ารัฐบาลที่ถูกต้องตามทํานองคลองธรรม
เปน็ ปัจจัยที่สําคญั ในการช่วยใหบ้ ้านเมืองมีเสถียรภาพยิ่งกว่าประเด็นที่ว่าด้วยประสิทธิภาพ หรือ
สมรรถภาพของรัฐบาล แต่ถ้ามีได้ท้ังสองอย่างบ้านเมืองย่อมมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น การมีท้ังสอง
ประการ ได้แก่ รัฐบาลทําให้ราษฎรรวู้ ่าตนได้รับความยุติธรรม และราษฎรได้รับผลประโยชน์จาก
รฐั บาล จรงิ ๆ คือ ไม่เดือดรอ้ นในเร่อื งดํารงชีวติ
การพฒั นาการเมอื งมสี ําคญั เท่าเทียมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ แม้การพัฒนาทั้งสอง
อย่างจะไม่เหมือนกันและวิธีก็ต่างกัน แต่การพัฒนาท้ังสองอย่างนี้จะต้องพัฒนาไปพร้อมๆ กัน
และการพฒั นาทั้งสองอย่างจะต้องสอดคล้องและสนับสนุนซึ่งกันและกัน จึงจะทําให้ประเทศชาติ
น้ันเจริญก้าวหน้าใด จากคําพูดทีว่ า่ “การเมอื งและเศรษฐกิจเป็นคนละดา้ นของเหรยี ญเดียวกัน”
11. การพัฒนาเศรษฐกิจ
การพัฒนาเศรษฐกิจ (Economic Development) ณัชชาภัทร อุ่นตรงจิตร (2548
:196-198) การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นภาระที่สําคัญของรัฐชาติสมัยใหม่ และเป็นวิธีการในการ
แสวงหาความชอบธรรมทางการเมืองด้วยหลายๆ คร้ังที่เราเห็นว่ารัฐบาลในประเทศที่มีความ
ม่ันคงทางเศรษฐกิจ จะมีฐานะความมั่นคงกว่ารัฐบาลที่อยู่ในประเทศที่มีเศรษฐกิจผันผวน
นอกจากนี้รัฐบาลอํานาจนิยมของหลายประเทศ ก็ใช้การพัฒนาเศรษฐกิจมาบดบังหน้าที่สิทธิ
เสรีภาพของประชาชน เช่น ในประเทศไทยสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ ประเทศสิงคโปร์
มาเลเซีย ไต้หวัน และประเทศอาํ นาจนยิ มอืน่ ๆ
การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นเร่ืองที่มีความสัมพันธ์กับการเมือง เพราะการเมืองก็เป็น
เรื่องเกี่ยวกับการจัดสรรอํานาจเพื่อมาจัดสรรเศรษฐกิจและในปจั จุบนั กล่าวได้ยากว่า เศรษฐกิจมี
อิทธิพลทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หรือการเมืองทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทาง
เศรษฐกิจ ทั้งสองอย่างนี้ที่จริงแล้วไปพร้อมๆ กันส่วนหนึ่งเป็นสิ่งสะท้อนของอีกส่วนหนึ่งจึงเป็น
การยากทีจ่ ะเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจอย่างเดียวโดยทีก่ ารเปลีย่ นแปลงทางการเมอื งจะไม่เกิดข้ึน
รัฐศาสตรเ์ บอื้ งต้น หนา้ 126
ในทางการเมือง ทฤษฎีที่ช่วยอธิบายความสําคัญของการพัฒนาทางเศรษฐกิจคือ
ทฤษฎีการเจริญเติบโต ซึ่งมีแนวคิดว่า การที่จะพัฒนาเศรษฐกิจให้โตขึ้นเร่ือยๆน้ันต้องระดม
ปัจจัยการผลิต อันได้แก่ ที่ดิน ทุน แรงงาน และเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มผลผลิตของประเทศยิ่ง
ผลผลิตของประเทศซึ่งวัดได้จากผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (Gross Domestic Product :
GDP) สงู เท่าใดแสดงวา่ การพฒั นาเศรษฐกิจบรรลจุ ดุ หมาย
อย่างไรก็ตามการพัฒนาเศรษฐกิจที่มุ่งแต่การเจริญเติบโตหรือ Growth อย่างเดียว
น้ันทําให้เกิดข้อผิดพลาดตา่ งๆ ตามมาหลายประการ เชน่ ความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจ คือในการ
พัฒนาเศรษฐกิจไปเร่ือยๆ นั้นจะทําให้กลุ่มคนบางกลุ่มได้รับผลประโยชน์มาก กลุ่มบางกลุ่ม
อาจจะได้น้อยหรือไม่ได้เลย ธุรกิจบางประเภทจะโตเร็วเกินไปในขณะที่ธุรกิจบางประเภทอาจจะ
หายไปจากตลาดได้
นอกจากนี้การพัฒนาเศรษฐกิจยังทําให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าต้นทุนทางสังคม และ
สิง่ แวดล้อม คือ การระดมทนุ ของภาคธุรกิจทําให้คนบางกลุ่มหรอื สิง่ แวดล้อมถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับ
การเอาใจใส่ไยดี ด้วยเหตุนี้การพัฒนาเศรษฐกิจที่ย่ังยืนนั้นจะต้องพัฒนาไปพร้อมๆกันทุกๆด้าน
ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรม รวมท้ังการเอาใจใส่กลุ่มบุคคลที่ถูก
ทอดทงิ้ หรอื ที่เรยี กว่า กลุ่มชายขอบ เช่น ชาวนา ชาวเขา คนเฒ่าคนแก่ที่อยู่ในชนบท เป็นต้น การ
พฒั นาเศรษฐกิจจงึ จะประสบความสาํ เรจ็
อีกประเด็นหนึ่งที่มีความสําคัญในทางการเมืองคือ การพัฒนาเศรษฐกิจอาจนําไปสู่
สงคราม เปน็ ทีเ่ หน็ ชดั ในหลายๆ ครั้งในประวัติศาสตร์ว่าการพัฒนาเศรษฐกิจนั้นอาจจะทําให้เกิด
ทุกข์เข็ญกับมนุษย์หรือหลายๆ คร้ังที่ทําให้เกิดสงคราม การปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศ
อังกฤษ การคิดค้นเคร่ืองจักรไอน้ําและเรือกลไฟ ทําให้อังกฤษเป็นเจ้าสมุทรและช่วงชิงอาณา
นิคม ท้ังนี้เพื่อนํามาปูอนกิจกรรมทางเศรษฐกิจของตัวเองนอกจากนี้การพัฒนาเศรษฐกิจของ
เยอรมนีและญี่ปุนในช่วงก่อนสงครามโลกคร้ังที่ 2 ก็เป็นบ่อเกิดสําคัญที่ทําให้เกิดสงครามที่มี
ขอบเขตใหญ่ที่สุดในโลก
สาเหตุทีท่ าํ ให้การพฒั นาเศรษฐกิจเกิดผลเสียควบคู่ไปกับผลดี การพัฒนาเศรษฐกิจ
ที่มุ่งเน้นกับการเจริญเติบโตและการระดมทรัพยากรต่างๆ เพื่อตัวเลข GDP น้ันเอง เป็นวิถีการ
พัฒนาเศรษฐกิจทีไ่ ม่ครอบคลุมและเปน็ สาเหตุทีท่ ําให้เกิดผลเสียต่างๆ ต้ังแตค่ วามไม่เท่าเทียมกัน
การถูกทอดทิ้ง และสงคราม การพัฒนาเศรษฐกิจที่ทําให้เกิดความยั่งยืนจะต้องเป็นการพัฒนา
เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ควบคู่กันไป ซึ่งการพัฒนาอย่างใดอย่างหนึ่งจะทําให้สังคมเกิดการ
พฒั นาแบบพิกลพิการ วันใดวันหนึ่งก็จะตอ้ งประสบกบั ความลม้ เหลว
รฐั ศาสตรเ์ บอ้ื งต้น หนา้ 127
12. สรปุ
ในการศึกษารัฐศาสตร์น้ัน นอกจากการศึกษาเร่ืองรัฐศาสตร์และการปกครองใน
รูปแบบต่างๆ แล้วสิ่งที่สําคัญที่จะต้องศึกษาอย่างขาดเสียมิได้คือการเมือง (Politics) รัฐศาสตร์
บางครง้ั จะถูกเรียกว่าศาสตร์แหง่ การเมอื ง ถือว่าเป็นวิชาที่เรียนรู้การเมืองอย่างเป็นระบบอย่างมี
หลักเกณฑ์และอย่างมเี หตผุ ลรองรับ มนุษย์ทุกคนจะต้องเกี่ยวข้องทางการเมือง ในทัศนะของนัก
รัฐศาสตร์ฝุายพฤติ กรรมการเมือง (Political Behaviorist) มีความเห็นว่าการเมืองเป็นเร่ืองการ
ต่อสู้ (Struggle for Power) หรือเพื่อที่จะมีอํานาจเหนือผู้อื่น การเมืองนัยนี้มีความหมายสอง
ประการ คือ ประการที่หนึ่งการเมืองเป็นการต่อสู้แสวงเพื่อหาอํานาจ ซึ่งอํานาจในที่นี้มี
ความหมายว่าการที่บุคคลหนึ่งหรือหลายคนมีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมของบุคคลอื่น ประการที่
สองการเมืองเป็นเร่ืองการต่อสู้ในอันที่จะปกครองซึ่งกันและกัน และการต่อสู้นั้นจะมีกฎเกณฑ์
หรอื ไม่ก็ได้ แตก่ ม็ ีเปูาหมายที่จะดูแลจัดการใหส้ ังคมมนุษย์ดาํ รงอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ได้ให้ความหมายไว้แตกต่างกันไปบ้างในรายละเอียด
ตามแตจ่ ะใช้ตัวแบบใดในการศกึ ษาวิเคราะหป์ รากฏการณ์ทางการเมืองในขณะที่สาระสําคัญของ
คําจํากัดความเปน็ ไปในทาํ นองเดียวกันกล่าวคือเป็นเร่ือง ของการใช้อํานาจแบบสองทางระหว่าง
ฝุายที่เป็นผู้ปกครอง (Rulers) และฝุายผู้ถูกปกครอง (Ruled) ซึ่งน่าจะเป็นคําจํากัดความของ
การเมืองที่ชัดเจนและรัดกุมมากที่สุด นักรัฐศาสตร์ได้รวบรวมและประมวลคํานิยามหรือ
ความหมายของคําว่า “การเมือง” และนําเสนอโดยจําแนกได้เป็น 6 กลุ่ม กลุ่มแรกการเมืองเป็น
เรื่องของ กลุ่มที่สองมองว่า การเมืองเป็นเร่ืองของการจัดสรรทรัพยากรของรัฐหรือสิ่งที่มีคุณค่า
ทางสงั คมอํานาจ กลุ่มที่สามมองว่า การเมืองเป็นเรือ่ งของความขัดแย้ง กลุ่มที่สี่ มองว่าการเมือง
เปน็ เรือ่ งของการประนีประนอมผลประโยชน์ กลุ่มที่ห้า ถือว่าการเมืองเป็นเร่ืองที่เกี่ยวกับรัฐและ
การบริหารประเทศและกลุ่มทีห่ ก การเมอื งเปน็ เรือ่ งของการกาํ หนดนโยบายของรฐั
อํานาจทางการเมือง (Political Power) เป็นอํานาจหน้าที่ทีมีความชอบธรรมในการ
ตดั สินใจ ตกลงใจในปญั หาของสงั คมและการกําหนดนโยบายสาธารณะ ผลของการตัดสินใจโดย
อํานาจทางการเมอื งจะต้องถูกบังคบั ใหม้ ีผลการปฏิบตั ิ อํานาจทางการเมืองมีลักษณะสําคัญ เช่น
สิทธิและหน้าที่ ความชอบธรรม อํานาจทางการเมอื งที่เกิดจากจารตี ประเพณีและอํานาจทางการ
เมืองทีเ่ กิดจากกฎหมาย
การมีส่วนร่วมทางการเมืองกิจกรรมที่ประชาชนโดยส่วนบุคคลมุ่งที่จะมีอิทธิพลต่อ
การตัดสินนโยบายของรัฐบาล ท้ังนี้การเข้ามีส่วนร่วม หมายถึง กิจกรรมต่างๆ แต่ไม่รวมถึง
ทศั นคตหิ รอื ความรู้สึก กิจกรรมของประชาชนโดยส่วนบุคคล ต้องมีกิจกรรมหรือการดําเนินการ
ได้ เช่น การพบปะพูดคุยการติดต่อประสานงาน ต้องเป็นกิจกรรมที่ทําโดยความสมัครใจและ
รฐั ศาสตร์เบือ้ งต้น หนา้ 128
เป็นเร่ืองที่แสดงออกโดยส่วนบุคคล และ ต้องมีทางเลือกในการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง
หลากหลายอยู่เสมอ สมบัติ ธํารงธัญวงศ์ ได้ให้ทัศนะการมีส่วนร่วมทางการเมือง ว่าเป็นทั้ง
เปูาหมายและกระบวนการทางการเมือง กล่าวคือ การมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นเปูาหมาย
สําคัญของการพฒั นาระบบการเมอื ง ให้เป็นประชาธิปไตยการมสี ่วนรว่ มทางการเมอื งเป็นดัชนีวัด
ระดับความเป็นประชาธิปไตยได้ สาเหตุการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมือง เช่น กระบวนการสร้าง
ความทันสมัย การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างชนชั้นทางสังคม อิทธิพลของปัญญาชนและการ
คมนาคมสื่อสารแบบใหม่ อิทธิพลของการศึกษา รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองในแบบ
ประชาธิปไตยมีหลากหลาย การเลือกตั้ง การทําประชาพิจารณ์ การลงประชามติ
“วัฒนธรรมทางการเมือง” คือแบบแผนของทัศนคติ ความเชื่อ สภาวะอารมณ์
ความรู้สึก ซึ่งเป็นสิ่งที่สั่งการและมีความหมายต่อกระบวนการทางการเมือง เป็นกรอบของ
พฤติกรรมของระบบการเมืองนั้นๆ วัฒนธรรมทางการเมืองก็มีความสําคัญทางการเมือง สร้าง
ความชอบธรรม ช่วยกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทาง เร่ืองของความรู้สึก ความเชื่อ ทัศนคติ
ค่านิยม แนวคิดและพฤติกรรมของบคุ คล
กระบวนการขดั เกลาทางการเมอื ง เปน็ กระบวนการพฒั นาคนใหเ้ รียนรู้ทางการเมือง
มีความเข้าใจ มีความสนใจและมีค่านิยมทางการเมือง โดยสถาบันหรือตัวแทนทางสังคม หรือ
กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า กระบวนการขัดเกลาทางการเมือง หมายถึงการถ่ายทอดปทัสถานทาง
การเมอื งคนรนุ่ หนง่ึ ไปยงั อีกคนรุ่นหนึ่ง
การเปลี่ยนแปลงแบบสันติวิธี ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับการพัฒนาและนํามาใช้ในระบบ
การเมืองแบบประชาธิปไตยกัน การเปลี่ยนแปลงแบบรุนแรง การก่อการร้าย การจลาจล
รัฐประหาร การปฏิวตั ิ
การพัฒนาการเมือง หมายถึงกระบวนการซึ่งระบบการเมืองปรารถนาที่จะเพิ่ม
สมรรถภาพ (Capability) เพื่อยังไว้ซึ่งเปูาหมายและเจตจํานงใหม่ให้เสร็จ รวมทั้งการสร้างรูปแบบ
ใหม่ๆ ขององค์การทางการเมืองด้วย การพัฒนาการเมืองมีสําคัญเท่าเทียมกับการพัฒนา
เศรษฐกิจ การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นภาระที่สําคัญของรัฐชาติสมัยใหม่ และเป็นวิธีการในการ
แสวงหาความชอบธรรมทางการเมอื งดว้ ย
รัฐศาสตรเ์ บอื้ งตน้ หน้า 129
บทที่ 4
การปกครอง
การปกครอง (Government) เกิดข้ึนพรอ้ มๆกับสังคมมนษุ ย์ หรอื สงั คมเกิดข้ึนมา
พร้อมกับการปกครอง โดยการปกครองนน้ั เริ่มตงั้ แต่สังคมครอบครัว ซึ่งเปน็ การปกครองไม่เป็น
ทางการโดยมีหวั หน้าครอบ ครัวเป็นผู้ปกครอง แตเ่ มือ่ สงั คมใหญ่ข้ึนมีความซบั ซ้อนมากขึ้น
รปู แบบการปกครองก็ย่อมมีความแน่นอนมากขึ้นและวิวัฒนาการการปกครองไปสู่การปกครอง
ในระดับรัฐการปกครองเกิดขึน้ เพื่อสนองความจาเป็นในการจดั ระเบียบ การดารงชีวิตรว่ มกนั ของ
คนในสงั คมหากสังคมใดมีการจดั ระเบียบการปกครองทีด่ ีก็ส่งผลใหส้ ังคมน้ันมีความเป็นปึกแผ่น
(Solidarity) มีเอกภาพ (Unity) อนั ทาให้สังคมมคี วามเข้มแขง็ ก้าวหนา้ มีความผาสุกทั้งในระดบั บุ
คมระดบั รฐั โดยรวม การปกครองมคี วามหลากหลายท้ังรูปแบบและวิธีการปกครอง ท้ังน้ีสงั คมรฐั
ต่างๆ จึงมคี วามแตกต่างกนั ไปตามความเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลาและตามตอ้ งการของ
ผปู้ กครองและประชาชนในรัฐน้ันๆ
1. ความหมายของการปกครอง
การปกครอง (Government) และการเมือง (Politics) มักมีถูกนามาใช้ควบคู่กนั โดยมี
ความเข้าใจว่าเป็นเรือ่ งเดียวกัน แตใ่ นความเป็นจริงแล้วการเมอื งกับการปกครองมีความหมายที่
แตก ต่างกัน กล่าวคือ การเมืองมกั หมายถึงเรือ่ งทีเ่ กี่ยวกบั อานาจ การตอ่ สู้ การจดั สรรส่งิ ที่มี
คุณค่าหรอื ทรพั ยากรทางสังคม เป็นต้น แตก่ ารปกครองนนั้ หมายถึงการบริหารโดยวางระเบียบ
กฎเกณฑ์สาหรับสังคม เพือ่ ทีจ่ ะทาให้สงั คมอยู่รว่ มกันอย่างเป็นสุข
คาวา่ “Government” มีความหมายถึง “การปกครอง” และหมายถึง “รฐั บาล” ด้วย
คนท่วั ไปมีความเข้าใจตรงกันว่าหากพดู ถึงการปกครองแล้วผู้ปกครองกจ็ ะหมายถึง รฐั บาล ซึ่ง
เป็นสถาบนั ที่ใชอ้ านาจอธิปไตย ซึ่งมีอานาจครอบคลมุ อานาจนติ ิบัญญตั ิ (อานาจในการตรา
กฎหมายซึง่ เป็นอานาจของฝาุ ยรฐั สภา) อานาจบริหาร (อานาจในการควบคุมให้เป็นไปตาม
กฎหมายซึ่งเปน็ อานาจของคณะรัฐมนตร)ี อานาจตลุ าการ (เป็นอานาจในการตคี วามกฎหมายซึง่
เปน็ อานาจของศาล) รวมท้ังเจ้าหน้าทีข่ องรฐั เปน็ ผปู้ ฏิบัติโดยมีจดุ มงุ่ หมายใหป้ ระชาชนในรัฐนั้น
อยู่ร่วมกนั ด้วยความผาสุกพร้อมท้ังคมุ้ ครองผลประโยชน์ของบคุ คลและส่วนรวมและพัฒนา
ประเทศชาติเจริญก้าวหน้าในด้านความหมายของการปกครองได้มผี ใู้ ห้คานิยามความหมายไว้
มากมาย ในที่น้ีขอเสนอดังนี้
การปกครอง คือการใช้อานาจอธิปไตยตามกฎหมายในการบริหารและจัดการ
ประเทศ การปกครองมีหลายรูปแบบ เชน่ การปกครองแบบประชาธิปไตย และการปกครองแบบ
เผดจ็ การ นอกจากนีก้ ารปกครองยังมไี ด้หลายระดบั เช่น การปกครองส่วนกลาง การปกครอง
ส่วนภูมิภาค และ การปกครองสว่ นท้องถิ่น
รฐั บาล คือองค์การที่มีอานาจในการออกและบงั คับใช้กฎหมาย สาหรบั ดินแดน
หน่งึ ๆ นิยามที่ชดั เจนของรฐั บาลน้ันมีอยู่หลายนิยาม ในกรณีทัว่ ไป รัฐบาล คือผู้ทีม่ ีอานาจในการ
ปกครอง กล่าวคือมีอานาจในการบริหารจดั การเหนอื พืน้ ทีใ่ ดๆ หรอื เหนือกลุ่มคน
The New Collins Dictionary and Thesaurus การปกครองหมายถึง การใชอ้ านาจที่มี
ผลบงั คบั ใช้ทางการเมืองหรือเหนอื การกระทาหรอื กิจกรรมของ หน่วยทางการเมืองและพลเมอื ง
เป็นต้น กล่าวคือ เปน็ การกระทาในการปกครอง หรือเปน็ การปกครอง หรอื การบริหารงานทาง
การเมอื ง
Oxford Paperback Dictionary and Thesaurus การปกครองคือ ลักษณะท่าทางหรือ
ระบบในการปกครองอาจหมายถึง องค์หรอื คณะบุคคลและสถาบันทีท่ าหนา้ ที่ในการบงั คบั ใช้
กฎหมายเพื่อสังคม
การปกครอง หมายถึงการใช้อานาจทีม่ ผี ลบังคบั ใช้ทางการเมอื งหรอื เหนอื การ
กระทาหรือกิจกรรมของหน่วยทางการเมอื งและพลเมอื ง เปน็ ต้น กล่าวคือ เป็นการกระทาในการ
ปกครองหรอื เปน็ การปกครอง หรอื การบริหารงานทางการเมอื ง
สุขุม นวลสกุล ได้นิยมการปกครอง คือ การวางระเบียบกฎเกณฑ์สาหรับสังคม
เพือ่ ให้สงั คมมคี วามสงบสขุ
กมล สมวเิ ชยี ร ได้สรปุ คาวา่ การปกครอง ได้แก่ การปฏิบัติการทั้งหลายท้ังปวงของ
เจ้าหน้าที่ต่างๆของรัฐโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้อยู่ด้วยกันอย่างมีระเบียบและได้รับ
ผลประโยชนจ์ ากอยู่ในรฐั น้ัน
การปกครอง อาจหมายถึง องค์หรือคณะบุคคลและสถาบันที่ทาหน้าที่ในการบังคับ
ใช้กฎหมายเพื่อสงั คม
การปกครอง หมายถึง กิจกรรมทีเ่ กิดขึ้นทีไ่ ด้รับการหนุนหลงั โดยการใช้อานาจที่มี
ผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะเป็นอานาจที่ทาให้เกิดการจัดระเบียบเพื่อสร้างหลักประกัน
ว่าการนานโยบายทีม่ อี ยู่มาปฏิบัติได้ผล
สรุปจากคานิยามทั้งหลายข้างต้น อาจสรุปได้ว่าการปกครอง คือ การกากับดูแล
และการบริหารจัดการของรัฐ เพื่อให้ประชาชนอยู่ร่วมกันโดยความสงบเรียบร้อยตามระเบียบ
กฎเกณฑ์ของสังคม อีกทั้งยังเป็นการกระจายผลประโยชน์และการบริการต่างๆ ให้แก่ประชาชน
รัฐศาสตร์เบอื้ งต้น หนา้ 132
ในสังคมอย่างมีหลักการ ระเบียบแบบแผน โดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ใช้
อานาจปกครองนน้ั
2. ความสาคัญของการปกครอง
การปกครองเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกับรัฐเสมือนว่าเป็นคนละด้านของเหรียญเดียวกัน
การ ศกึ ษารฐั เป็นการมองในด้านทฤษฎี ส่วนการปกครองเป็นการมองในด้านปฏิบัติ การปกครอง
เปน็ การขยายวัตถปุ ระสงค์ของรฐั ใหเ้ ปน็ รปู ธรรม การปกครองถือว่าเปน็ กิจกรรมที่สาคญั ในโลกนี้
ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับมนุษย์ แม้กระทั้งสัตว์ก็จะมีการปกครองกันในรูปของจ่าฝูง จ่าโขลง
ผู้ปกครองจะใช้อานาจและจัดระเบียบในการอยู่รวมกัน มนุษย์ถือว่าการปกครองเป็นกิจกรรมที่
เก่าแก่ตงั้ แต่เกิดมีมนษุ ย์ข้ึนมาในโลกนีก้ ็มีการจัดการปกครองกัน ตั้งแต่ครอบครัว ชนเผ่า นครรัฐ
จักรวรรดิ รัฐชาติ ซึ่งมีการปกครองรูปแบบใดแบบหนง่ึ ผนู้ าหรอื ผปู้ กครองจะต้องมีเคร่ืองมือที่ใช้
ในการปกครองคือเป็นสิ่งที่สามารถอานวยการใชอ้ านาจของผปู้ กครองตอ่ ผถู้ ูกปกครองของตนได้
อย่างราบรน่ื ในที่มอี ยู่ 2 หลกั คือ
2.1 หลกั ศาสนาและความเช่อื
ธรรมชาติของสังคมมนุษย์ทุกสงั คมจะมีหลักยึดเหนียวนั้นก็คือความเชื่อร่วมกัน ส่วน
ใหญ่เรียกว่าศาสนา ลทั ธิ ความเช่อื หมายถึง ความศรัทธาที่มีต่อสิ่งหนึ่งที่ตนเองและหมู่เหล่าของ
ตนให้ความเคารพและยึดสิ่งนน้ั เปน็ แบบอย่างและปฏิบัติตอ่ สิ่งน้ันว่าศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่เคารพบูชา
ของคนในสังคมนั้น อาจจะเป็นศาสนา ภูติ ผี ปีศาจ จิตวิญญาณ ก็แล้วแต่ความเชื่อเป็นศูนย์รวม
จิตใจที่สามารถทาให้คนในสังคมร้อยรวมจิตใจเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน (Solidarity) ศาสนาเป็นสิ่ง
หนึ่งที่ทาให้มนุษย์เกิดความเชื่อแต่ศาสนาก็มีหลักคาสอนที่แตกต่างกัน สังคมแต่ละสังคมก็มี
ศาสนาซึ่งเป็นศูนย์รวมความเชื่อของคนในสังคมน้ัน ผู้ปกครองจึงอาศัยศาสนาและความเชื่อน้ัน
มาใช้เป็นเครือ่ งมอื ในการปกครองในการโน้มเหนยี วจิตใจของผู้ถกู ปกครองให้สังคมเกิดความเป็น
หน่งึ เดียวหรอื เปน็ ปึกแผ่น ซึง่ จะทาให้สังคมนั้นเกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยยึดหลักความ
เช่อื ทางศาสนาเป็นวินยั
ในการเคารพเชื่อศรัทธาต่อศาสนาในสังคมเหล่านั้น ก่อให้เกิดพฤติกรรมการปฏิบัติ
สืบต่อกนั มาจนกลายเปน็ ธรรมเนียม ประเพณี วฒั นาธรรม อกี ท้ังยงั เป็นสิ่งที่ทาให้คนในสังคมน้ัน
เกิดความภาคภูมใิ จในความมีอารยธรรมของสงั คมตนเองที่สืบทอดกันมา สังคมที่มีความเข้มแข็ง
ในขนบธรรมเนียมประเพณีและวฒั นธรรม สังคมนนั้ เป็นสงั คมที่เข้มแข็งและมีความม่ันคงเพราะผู้
ถูกปกครองเป็นหนึ่งเดียวกันในความเชื่อและศรัทธา ผู้ปกครองต้องพยายามหาทางใช้ความเชื่อ
ความศรัทธานั้นให้เป็นประโยชน์ในการปกครอง ผู้ปกครองที่ชาญฉลาดต้องให้การสนับสนุนต่อ
รฐั ศาสตรเ์ บอื้ งตน้ หน้า 133
กิจกรรมความเชื่อและความศรัทธาน้ันๆ ที่ไม่ขัดหรือเป็นภัยต่อสังคมหรือขัดต่อกฎหมายของ
สงั คม ความเชอ่ื ความศรทั ธาจะส่งผลต่อการดารงอยู่ในอานาจของผู้ปกครองอย่างมั่นคง ในทาง
กลับกันหากสังคมใดมีความเชื่อความศรัทธาที่ขัดแย้งกัน สังคมน้ันก็จะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
ขาดความสงบสุขและจะส่งผลต่อการปกครองและความม่ันคงในอานาจของผู้ปกครองด้วยใน
เวลาเดียวกนั
2.2 หลกั กฎหมาย
ในทุกสงั คมล้วนมีกฎเกณฑห์ รอื กติกาใดๆ ที่ใช้เป็นเคร่ืองในการอยู่รวมกันของคนใน
สงั คม กฎเกณฑ์หรอื กติกาเป็นสิง่ ที่กาหนดความประพฤติของบคุ คลที่รวมกนั อยู่ในสังคมนั้นว่าสิ่ง
ให้ทาสิ่งไม่ให้ทา สิ่งใดถูกต้องสิ่งใดเป็นสิ่งผิด กฎเกณฑ์หรือกติกาของสังคมนี้อาจเรียกว่า
กฎหมาย เป็นการรวมกฎเกณฑ์หรือกติกาต่างๆ มาเป็นบทบัญญัติสูงสุดเพื่อให้คนในสังคมน้ันๆ
ยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด กฎเกณฑ์หรือกติกาใดๆ จะมีความสมบูรณ์ได้จะต้องได้รับการ
เคารพและสามารถบังคับคนปฏิบัติตามได้ กฎหมายหรือกฎเกณฑ์หรือกติกา จะต้องมีความ
ยุติธรรม เกิดขึ้นจากหลักความเป็นจริงมีเหตุมีผล มีผลการปฏิบัติหรือบังคับใช้กับคนทุกคนใน
สังคมนั้น กฎเกณฑ์หรือกติกาที่กาหนดขึ้นจะต้องไม่ขัดกับจารีตประเพณีอันดีงามของสังคมนั้น
ส่วนใหญ่แล้วกฎเกณฑ์หรือกติกาของสังคมต่างๆ จะพัฒนามาจากจารีตประเพณีรวมท้ังศาสนา
ด้วย
กฎหมายเป็นหลักยึดปฏิบัติของสังคม เป็นกฎเกณฑ์หรือกติกาในคนสังคมนั้น
ยอมรับหากผู้ปกครองใช้กฎหมายในการปกครองอย่างไม่เป็นธรรม ก็จะทาให้สังคมน้ันเกิดการ
ระส่าระสาย ซึ่งจะนามาซึ่งความไม่ศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย ประชาชนหรือคนในสังคมขาดความ
เชื่อศรัทธาต่อกฎหมาย สังคมก็จะเกิดความปั่นปุวนอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า ไร้รัฐไร้การปกครอง
(Anarchy) นักปกครองที่ใช้อานาจทางกฎหมายปกครองอย่างไม่เป็นธรรม ปกครองอย่างตาม
อาเภอใจ ออกกฎหมายข้อบัญญัติต่างๆ เพื่อให้ตนหรือพรรคได้รับผลประโยชน์จากกฎเกณฑ์
หรอื กติกาเหล่าน้ัน การปกครองเหล่านั้นถือว่าผิดท้ังวิธีการใช้อานาจที่ไม่ชอบธรรม ผิดหลักการ
ปกครองคอื ขาดคุณธรรม ซึง่ จะส่งผลให้ผู้ปกครองในลักษณะนี้จะกลายเป็น “ทรราช” (Tyranny)
และผลที่ตามมาก็จะถูกโค่นล้มลงในที่สุดเสมอมานบั แต่อดีตจนปัจจบุ ัน
3. รูปแบบการปกครอง
ปัจจุบันได้มีการแบ่งรูปแบบการปกครองมากมายหลายรูปแบบ แต่รูปแบบที่เป็นที่
ยอมรับของนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์มีอยู่หลากหลายรูปแบบ คือ รูปแบบการปกครองด้ังเดิม
ของอริสโตเติ้ล โดยพิจารณาจากจานวนผู้ปกครองและจุดมุ่งหมายในการปกครองเป็นเกณฑ์ใน
รัฐศาสตรเ์ บ้ืองตน้ หนา้ 134
การแบ่ง และตามแนวของรอเบิรต์ แมคไคเวอร์ 7 รูปแบบ และพิจารณาจากการมีส่วนร่วมในการ
ใช้อานาจอธิปไตยของประชาชนเป็นเกณฑ์ในการแบ่งได้แก่ รูปแบบการปกครองแบบ
ประชาธิปไตยและรูปแบบการปกครองแบบเผดจ็ การ
3.1 รูปแบบการปกครองของอริสโตเติล
เป็นการแบ่งรูปแบบการปกครองที่เก่าแก่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดเป็นที่ยอมรับมาก
ทีส่ ุดอรสิ โตเติ้ลได้แบ่งรปู แบบการปกครองโดยพิจารณาจากจานวนผู้ปกครองและจุดมุ่งหมายใน
การปกครองเพื่อประชาชนหรอื เพือ่ ตนเอง โดยแบ่งรูปแบบการปกครองที่ดี 3 รูปแบบที่ใช้อานาจ
การปกครองตามกฎหมายและเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและอีก 3 รูปแบบที่ใช้อานาจในการ
ปกครองเพื่อประโยชน์แห่งตนเองและพวกพ้องรูปแบบการปกครองอริสโตเติ้ลท้ัง 6 รูปแบบ ดัง
แสดงในตาราง 3.1
ตารางที่ 4.1 รปู แบบการปกครองของอริสโตเติ้ล
จานวนผปู้ กครอง จดุ มงุ่ หมายของการปกครอง
คนเดียว เพื่อประชาชน เพื่อผู้ปกครอง
(One person)
คณะบุคคล ราชาธิปไตย ทุชนาธิปไตย
(A few people)
คนส่วนมาก (Monarchy) (Tyranny)
(The Majority)
อภชิ นาธิปไตย คณาธิปไตย
(Aristocracy) (Oligarchy)
โปลิต้ี ประชาธิปไตย
(Polity) (Democracy)
ที่มา : ดัดแปลงมาจาก จริ โชค (บรรพต) วีระสัย 2540, 182
จากตารางที่ 3.1 รูปแบบการปกครองของอริสโตเติล ได้อธิบายถึงรูปแบบการ
ปกครองโดยใช้จานวนผู้ปกครองและจุดมุ่งหมายการใช้อานาจในการปกครองเพื่อใคร สามารถ
อธิบายได้ดงั นี้
3.1.1 ราชาธิปไตย(Carton C. Rodee,1967:45-46) อาจเป็นรูปแบบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute) หรือแบบอานาจจากัด (Limited) หรืออาจเป็นแบบตาม
อาเภอใจ (Arbitrary) หรอื ตามแบบรัฐธรรมนูญ(Constitution)ก็ได้ส่วนสถาบันรัฐสภาอาจมีหรือไม่
มีก็ได้ พระมหากษัตริย์อาจจะรวมอานาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการไว้ในตัวเองพระองค์
เดียว หรืออาจจะมอบอานาจบางอย่างให้คนอื่นก็ได้ กษัตริย์อาจครองราชย์บัลลังก์โดยสืบทอด
รัฐศาสตร์เบ้ืองตน้ หน้า 135
มาหรอื อาจใชก้ าลงั ยึดอานาจการปกครองก็ได้ ซึ่งการใช้กาลังยึดอานาจการปกครองนั้นกษัตริย์
จะได้รบั การเรียกจากนกั ปราชญ์การเมอื งว่า ทรราชย์ (Tyranny) หรือแบบทุชนาธิปไตย ซึ่งคาๆนี้
มักจะถูกนาไปใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับผู้ปกครองที่อยู่เหนือกฎหมาย ซึ่งเป็นการ
ปกครองเพื่อประโยชน์ตนเองมากกว่าที่จะทาเพื่อประชาชน นักปรัชญาการเมืองมักแบ่งรูปแบบ
ราชาธิปไตยออกเป็น “ดี” หรือ “มีมาตรฐาน”หากกษัตริย์ปกครองตามกฎหมายหรือเพื่อ
ประโยชน์ของประชาชนทั้งหมด และ “เลว” หรือ “นอกลู่นอกทาง” หากกษัตริย์ไม่เคารพ
กฎหมายที่มอี ยู่หรอื แสวงหาแตส่ ิง่ ทีต่ นเองพงึ พอใจ
ปจั จุบนั รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยส่วนใหญ่จะเป็นแบบกษัตริย์อยู่
ภายใต้รัฐธรรมนูญและมีอานาจจากัด ซึ่งอานาจกษัตริย์จะตกอยู่ที่คณะรัฐมนตรีและรัฐสภา
พระองค์จะทาหน้าที่เป็นองค์ประมุของรัฐทางพิธีการ ไม่มีอานาจทางการเมืองไม่มีส่วนในการ
บริหารประเทศ แมพ้ ระองค์จะได้รับการเคารพจากประชาชนอย่างมากมายกต็ าม
3.1.2 อภิชนาธิปไตย (สมบัติ ธารงธัญวงศ์, 2539 : 79-81) เป็นรูปแบบการ
ปกครองที่มงุ่ เน้นเพียงวฒั นธรรมและคณุ ธรรมของคนชั้นสูงในสังคมเป็นสาคัญ โดยกาหนดว่าชน
ชั้นปกครองคือผู้ที่มีวัฒนธรรมสูงและมีคุณธรรม รูปแบบนี้อาจเป็นทางเลือกเพื่อลดระดับความ
เป็นรูปธรรมแบบอุดมคติของราชาธิปไตยให้มาสู่รูปแบบที่มีความเป็นไปได้มากขึ้น เพราะโดย
เหตุผลการมอบอานาจไว้แก่คนคนเดียวแม้ว่าในชั้นต้นอาจจะเห็นว่าเป็นผู้มีคุณธรรมแต่การมี
อานาจอาจทาให้หลงอานาจได้ง่ายที่สุดด้วยเหตุนี้การกาหนดให้ผู้ปกครองเป็นคณะบุคคลผู้ ทรง
คุณธรรมเพื่อให้ทาหน้าที่ตรวจสอบในการใช้อานาจซึ่งกันและกัน จะเป็นรูปแบบที่มีความเป็นไป
ได้และความน่าเชื่อถือมากกว่า ส่วนคณาธิปไตยเป็นรูปแบบการปกครองที่มุ่งหวังทรัพย์สินเป็น
ที่ต้ังโดยชนชั้นผู้ปกครองคือชนช้ันที่มั่งค่ังที่สุดของสังคมกล่าวได้ว่า เป็นชนช้ันที่มีอานาจการ
ปกครองสูงสุดและทรัพย์สินสูงสุด จึงมีความม่ังคั่งทั้งอานาจและทรัพย์สมบัติ รูปแบบการ
ปกครองแบบคณาธิปไตยอาจแปรผันมาจากรูปแบบอภิชนาธิปไตย กล่าวคือเม่ือใดก็ตามที่
ผู้ปกครองผู้ทรงคุณธรรมในแบบอภิชนาธิปไตยเริ่มสนใจแสวงหาทรัพย์สิน จนในที่สุดเห็นชอบ
ร่วมกันในหมู่ผู้ปกครองที่จะใช้อานาจเพื่อประโยชน์แห่งตนและพรรคพวกโดยไม่คานึงถึงรัฐและ
ประชาชน เปน็ การละทิง้ คณุ ธรรมท้ังปวงเพื่อแลกกับทรัพย์สมบัติในที่สุดรูปแบบอภิชนาธิปไตยก็
จะล่มสลายเป็นรูปแบบคณาธิปไตยโดยสมบูรณ์ เพราะผู้มีอานาจโดยปราศจากผู้ควบคุมกากับ
และตรวจสอบมีโอกาสทีจ่ ะหลงอานาจ (Abuse) ได้มากที่สดุ
3.1.3 โปลิตี้ (จิรโชค วีระสัย และคณะ,2542 : 182) ให้ความหมายว่ามัชฌิม
วิถีอธิปไตยเปน็ ทางสายกลาง ซึ่งมลี กั ษณะทั้งที่เป็นประชาธิปไตยและคณาธิปไตย ประชาธิปไตย
มีดตี รงที่มจี านวนและคนจานวนมากอาจช่วยในการปูองกันการใช้อานาจของคนๆเดียวหรือกลุ่ม
รฐั ศาสตร์เบ้ืองต้น หนา้ 136
คนเพื่อหาประโยชน์เฉพาะคนเดียวหรือเฉพาะกลุ่มได้ แต่การปกครองจะระส่าระสายง่ายเพราะ
มวลชนจานวนมากไม่รู้จกั วิธีการปกครอง ส่วนคณาธิปไตยน้ันก็เป็นรูปแบบการปกครองที่ถือเอา
แต่คุณสมบัติทางการเป็นเจ้าของทรัพย์สินแต่เพียงอย่างเดียว คนส่วนน้อยที่มีทรัพย์สินมักจะ
ปกครองเพื่อผลประโยชน์เฉพาะพวกพ้องที่มีทรัพย์สินรักษาผลประโยชน์ของกลุ่ม รูปแบบการ
ปกครองที่ดีที่สุดจึงเป็นแบบสายกลาง คือ คนจานวนมากมีอานาจพอที่จะคอยตรวจตราปูองกัน
การที่ผู้ปกครองจะใช้อานาจที่ไม่เป็นธรรม แต่คุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นผู้ปกครองเป็นเจ้าหน้าที่
ของรัฐนนั้ จะต้องมีขอ้ จากัดบ้าง เชน่ ขอ้ จากดั และหลกั เกณฑ์ทางการมีทรัพย์สินแต่ก็ต้องไม่มาก
เกินไปนัก สังคมที่มีชนช้ันกลางมาก ไม่มีคนรวยเกินไป และไม่มีคนจนมากจนเกินไปเป็นสังคมที่
จะมีรปู การปกครองสายกลาง
สาหรับประชาธิปไตยน้ัน (ชัยอนันต์ สมุทวณิช, 2518 : 3-4) อริสโตเติ้ลมอง
ว่าเป็นการปกครองโดยคนจานวนมาก ซึ่งคนส่วนมากก็คือมวลชนที่อาจจะไม่รู้จักตัดสินใจได้
ถูกต้อง และที่สาคัญก็คือ การตัดสินปัญหาเป็นไปในลักษณะของฝูงชนที่ไม่มีความรับผิดชอบ
(Mob) หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่ง ประชาธิปไตยตามความหมายอริสโตเติ้ลไม่ได้มีสมมติฐานว่าคน
จานวนมากน้ันจะเปน็ ฝูงคนที่มีเหตผุ ล มีวจิ ารญาณและมีความรับผิดชอบ คุณสมบัติอย่างเดียวที่
ฝูงชนอ้างความชอบธรรมที่จะมีอานาจได้ก็คือจานวนที่มีอยู่มากกว่ากลุ่มใดๆซึ่งอาจมีคุณสมบัติ
พิเศษทางอน่ื ทีไ่ ม่ใช่จานวน คณุ สมบตั ิทางทรพั ย์สนิ ทางสติปัญญาความสามารถเป็นต้น ความไม่
มีศรัทธาในความสามารถที่จะใช้เหตุผลของคนส่วนมากนี้ ทาให้อริสโตเติ้ลเชื่อว่า ฝูงชนที่มีภาษี
เหนือกว่าคนอื่นๆทางด้านจานวนเพียงอย่างเดียวจะกลายเป็นฝูงชนที่บ้าคล่ัง (Mob) ที่ถูกชักนา
โดยพวกที่ดีแต่พูดปลุกระดมโดยไม่ต้องรับผิดชอบขาดเหตุผลได้ง่ายและทาให้การปกครอง ขาด
เสถียรภาพ เหตุผลที่อริสโตเติ้ลมีความเห็นเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะว่าประชาชนส่วนใหญ่ของกรีก
โบราณน้ันไมม่ ีการศกึ ษาเพราะยากจน และเพราะยากจนขาดการศึกษาจึงไม่สามารถจะให้ความ
สนใจศึกษากิจการบ้านเมืองและไม่มคี วามสามารถที่จะปกครองได้
3.2 ตามแนวของรอเบิรต์ แมคไคเวอร์
รอเบิร์ตแมคไคเวอร์นักรัฐศาสตร์อเมริกันได้แบ่งรูปแบบการปกครองโดยพิจารณา
เชงิ รัฐธรรมนูญ (ยังไม่ใช่เชิงเศรษฐกิจหรือการรวมตัวกันทางสังคม) ออกเป็น 7 ประเภทได้แก่ 1)
ราชาธิปไตย 2) ลัทธิเผด็จการ 3) เทวาธิปไตย 4) พหุประมุข 5) ประชาธิปไตยโดยตรง 6) รา
ชาธิปไตยซึง่ มีอานาจจากดั 7) สาธารณรัฐหรอื มหาชนรัฐ
3.2.1 ราชาธิปไตยศัพท์นี้ในภาษาอังกฤษใช้ว่า “monarchy” ซึ่งมาจากคาว่า
“mono” กับ “archy” ; “mono” แปลว่า “หนึ่ง” และ “archy” เทียบได้กับคาว่า “อัคร” คือความ
เป็นใหญ่ “monarchy” ซึ่งอาจแปลตามรูปศัพท์ได้ว่า “ผู้เป็นใหญ่มีเพียงคนเดียว” และแม้จะใช้
รัฐศาสตร์เบือ้ งต้น หนา้ 137
โดดๆคือไม่ขยายด้วยคาว่า “absolute” เป็น absolute monarchy (สมบูรณาญาสิทธิราชย์) ก็
มักจะใช้ในความหมายเช่นน้ันการเป็นกษัตริย์คือการแยกออกจากพลเมืองทั่วไปได้แก่การสืบต่อ
อยู่ในวงจากัดและมีการใช้ศัพท์เฉพาะเรียกกันว่าราชาศัพท์โดยปกติการสืบต่อเป็นไปโดย
สายโลหิตแต่มีราชาธิปไตยแบบเลือกต้ัง (elective monarchy) เช่นในประเทศมาเลเซีย ระบบการ
เลือกพระราชา เรียกว่าพระราชา ธิบดี หรือ ยังดี เปอร์ตวน อากง : Yang di-Pertuan Agong
ในภาษามลายู หมายถึงผู้ปกครองสูงสุด เป็นตาแหน่งอย่างเป็นทางการของ สหพันธรัฐ
มาเลเซีย ในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รฐั ธรรมนญู โดยมาจากเลือกจากเจ้า (สุลตาน) ผู้ครองรัฐ
ท้ัง 9 รัฐ บนคาบสมุทรมาเลย์ จากทั้งหมด 13 รัฐของมาเลเซียโดยการเลือกจากรัฐต่างๆ ที่มีสุ
ลตาน (sultan) เป็นประมุขดารงตาแหน่งคราวละ 5 ปี และหมุนเวียนกันไปตามลาดับ พระอัคร
มเหสีในยังดี เปอร์ตวน อากง มีตาแหน่งเรียกว่า รายา ประไหมสุหรี อากง : Raja Permaisuri
Agong โดยปกติการเปน็ กษตั รยิ ์สามารถเปน็ ได้ตลอดชีพแต่ก็มีการสละราชย์เช่นกรณีสมเด็จองค์
นโรดมสีหนแุ หง่ กัมพชู าซึ่งทรงเคยสละราชย์และถวายราชสมบัติให้แก่พระราชบิดาต่อมาคือค.ศ.
2004ก็กลับมาเป็นกษตั รยิ ์อีกคร้ัง
3.2.2 ลัทธิเผด็จการมักเข้าใจกันอย่างไม่ถูกต้องว่าผู้เผด็จการมีอานาจแต่
เพียงผู้เดียวเม่ือมีการพิจารณาตามหลักเหตุผลและดูตามหลักฐานหรือข้อมูลเชิงพฤติกรรม
ศาสตร์หรือเชิงประจักษ์วาท (empirical) ผู้เผด็จการต้องอาศัยกลุ่มบุคคลที่ใกล้ชิดและไว้ใจอย่าง
ที่เรียกกันว่า “กลุ่มวงใน” (inner circle) กลุ่มวงในย่อมมีอานาจสูงเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเข้าใจกัน
ว่าการมีผู้นาแบบเด็ดขาดคงจะอยู่เพียงช่ัวคราวคือยอมให้มีการใช้อานาจเด็ดขาดไปก่อนโดยถือ
ว่าไม่นานแต่เหตุการณ์มักหาเป็นเช่นนั้นไม่เพราะเม่ือครองอานาจแล้วมักพยายามเป็นต่อไป
เร่ือยๆเช่นผู้นาเกาหลีเหนือซึ่งสืบทอดอานาจในสายเดียวกันมาเกินกว่า 60 ปีและกรณีซูฮาร์โต
แหง่ อนิ โดนีเซีย
ผู้นาแบบเผด็จการอาจเป็น 1) เผด็จการแบบธรรมดา (dictatorship) ซึ่งใช้
อานาจโดยไม่มกี ฎเกณฑ์ปฏิบัติตามความพอใจของตนใช้อานาจบาทใหญ่ข่มเหงรังแกละเมิดสิทธิ
บุคคลและปฏิบัติการต่างๆโดยไม่คานึงถึงกฎเกณฑ์แห่งศีลธรรมและจริยธรรมและมนุษยธรรม
และ 2) เผด็จการแบบถ้วนท่ัว (totalitarianism) ใช้อานาจตามอาเภอใจของผู้นาและกลุ่มพรรค
พวก (clique) มีลักษณะเพิ่มเติมจากแบบธรรมดาคือไม่ได้มุ่งเฉพาะอานาจทางการเมืองอย่าง
เดียวหรือเป็นส่วนใหญ่แต่มุ่งควบคุม “ทั่วท้ังสังคม” ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองเศรษฐกิจศาสนาศึกษา
ศลี ธรรมและวัฒนธรรมนานาประการ
รูปแบบการปกครองประเภทนี้มีการเอนเอียงในเชิงนโยบายแบบสุดกู่คือแบบ
ซ้ายสดุ และขวาสุดแบบซ้ายสุดเริ่มขึ้นก่อนโดยเห็นชัดแจ้งภายหลังการปฏิวัติใหญ่ของรัสเซียในปี
รัฐศาสตร์เบอื้ งตน้ หน้า 138
ค.ศ.1917 (พ.ศ.2460) โดยเลนิน (Lenin) เป็นผู้นาอันเป็นผลให้รัสเซียเปลี่ยนรูปแบบจากราชาธิป
ไตยโดยมีพระเจ้าซาร์ (czar) เป็นประมุขไปเป็นรูปแบบสังคมนิยมแบบมาร์กซิสต์ (Marxist
socialism) โดยเชื่อว่าจะกรุยทางไปสู่การเป็นรูปแบบคอมมิวนิสต์ในกาลอนาคตแบบขวาสุดเริ่ม
เห็นชัดครั้งแรกในขบวนการทางการเมืองที่เรียกว่า “ฟาสซิสต์” (fascist) ของมุสโสลินีในอิตาลี
รปู แบบการปกครองแบบฟาสซิสต์ถกู นาไปใช้ในประเทศเยอรมนีโดยอด๊อลฟฮิตเลอร์
3.2.3 เทวาธิปไตย (theocracy) รูปแบบนี้แตกต่างจากระบบราชาธิปไตยหรือ
กษัตรยิ าธิปไตยเพราะผนู้ าไม่มกี ารสบื ต่อโดยสายโลหิตแตกต่างจากแบบเผด็จการเพราะการขึ้นสู่
อานาจไม่ได้โดยอาศัยการปฏิวตั ิหรอื รฐั ประหารเชน่ ในอดีตในการปกครองทิเบตสมัยหนึ่งซึ่งองค์
ดาไลลามะหรอื ทะเลลามะ (Dalai Lama) เป็นหัวหน้าหรือประมุขก่อนที่จีนจะยึดทิเบตและเปลี่ยน
รปู แบบการปกครองทิเบตเป็นแบบเทวาธิปไตยองค์ดาไลลามะดับขันธ์ไปทั้งนีผ้ จู้ ะเปน็ ผู้นาแทนน้ัน
จะต้องถูกสรรหาโดยวิธีเสี่ยงทายจนกระทั่งได้บุคคลที่เหมาะสมผู้ซึ่งปฏิสนธิในเวลาใกล้เคียง
ภายหลงั การดับขันธ์ของดาไลลามะองค์ก่อน
3.2.4 พหุประมขุ (plural headship) “พหุประมุข” หรือ “หลายผู้นา” คือมีผู้นา
ต้ังแต่ 2 คนขึ้นไปโดยฐานะทัดเทียมกันแต่ละฝุายสภาพเช่นนี้เป็นของปกติในเผ่าชนซึ่งอาจมี
หัวหน้า 2 คนโดย 1) คนหนึ่งรับผิดชอบฝุายศาสนาและพิธีกรรม 2) อีกคนหนึ่งรับผิดชอบด้าน
การปกครองโดยทั่วไปการปกครองในยุคไอยคุปต์หรืออียิปต์โบราณซึ่งประมุขหรือหัวหน้าฝุาย
อาณาจักรคู่กับประมุขฝุายศาสนจักรสมัยกลางของยุโรปซึ่งฝุายศาสนจักรคือองค์สันตะปาปา
(Pope) มีอานาจทางบ้านเมือง(อาณาจกั ร) ในบางเร่ืองด้วยยุคนครรัฐโรมซึ่งมีผู้นาสองคนเรียกว่า
“กลสุล” หรือ “คอนซุล” (consuls) ในช่วงเวลาก่อนที่โรมจะกลายเป็น “จักรวรรดิ” หรือ“สากล
รัฐ”และตัวอย่างในประเทศกัมพูชาหลังการเลือกตั้ง ค.ศ.1993 พรรคประชาชนกัมพูชา
(Cambodian People’s Party : CPP) หรือพรรคปฏิวัติประชาชนกัมพูชา ในชื่อเดิมโดยการนาของ
หวั หนา้ พรรคนาย ฮนุ เซน และพรรคฟุนซินเปก (FUNCINPEC) นาโดยเจา้ นโรดม รณฤทธิ์ ร่วมกัน
เป็นรัฐบาลโดยมี สมเด็จกรมพระนโรมดม รณฤทธิ์ ดารงตาแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 1 และ
สมเด็จฮุนเซน ดารงตาแหน่งนายกรฐั มนตรีคนที่ 2ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1997ฮุนเซน ได้ทาการ
รัฐประหารยึดอานาจ เจ้านโรดม รณฤทธิ์ ได้ถูกปลดออกจากตาแหน่งและได้ล้ีภัยไปอยู่ที่ฝรง่ั เศส
3.2.5 ราชาธิปไตยแบบมีอานาจจากัด (limited monarchy) กรณีประเทศ
อังกฤษซึ่งกษัตริย์ “ครองราชย์” แต่ไม่ได้ “ปกครอง” (reigns but does not rule) กษัตริย์อังกฤษ
ครองราชย์คือมีฐานะเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นเอกภาพทรงมีฐานะเป็น “ประมุขของรัฐ”
(chief of state) แต่ไม่ใช่ “ประมุขของรัฐบาล” (head of government) ของไทยเรียกว่ารูปแบบ
รฐั ศาสตร์เบื้องตน้ หนา้ 139
พระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (constitutional monarchy) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงเปน็ ทีเ่ คารพอย่างสงู ยิง่ ของพสกนิกรไทย
3.2.6 สาธารณรัฐหรือมหาชนรัฐ (republic) อาจหมายถึงประเทศเผด็จการ
หรอื ประเทศประชาธิปไตยก็ได้ในกรณีทีเ่ ป็นประเทศเผด็จการนยิ มคอมมิวนสิ ต์ตัวอย่างได้แก่อดีต
สหภาพ โซเวียตและประเทศเผด็จการอื่นๆเช่นหลายประเทศอเมริกาใต้ในกรณีที่เป็นประเทศ
ประชาธิปไตยเช่นสวิตเซอร์แลนด์ฝรั่งเศสสหรัฐอเมริกาอินเดียสิงคโปร์สหภาพแอฟริกาใต้และ
บราซิล
3.2.7 ประชาธิปไตยแบบโดยตรง (direct democracy) เคยปรากฏในนครรัฐ
เอเธนส์ปัจจุบันมักมีในระดับท้องถิ่นเท่านั้นเช่นในเมืองหรือชุมชนเล็กๆบางแห่งทางภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกานักปรัชญาชาวฝร่ังเศสชื่อ ฌังฌางคส์รุสโซกล่าวว่า
เง่ือนไขของการเป็นประชาธิปไตยแบบโดยตรงมี 4 ประการได้แก่ 1) พลเมืองจานวนน้อย 2)
ราษฎรมีความอยู่ดีกินดีทั่วถึง 3) สังคมจะต้องมีสมานรูป (homogeneous) คือมีวัฒนธรรม
คล้ายคลึงกันและ 4) ผู้ซึ่งคุมอานาจกฎหมายต้องปฏิบัติตามเสียงของราษฎร(Jean Jacques
Rousseau. cf. Rodee, ea al. 1983)
3.3 รูปแบบการมสี ่วนรว่ มในการใชอ้ านาจอธิปไตยของประชาชนเป็นเกณฑ์
ในศตวรรษที่ 20 ได้มกี ารแบ่งรูปแบบการปกครองซึ่งที่เป็นที่รู้จักและยอมรับโดยทั่ว
มีอยู่ 2 รูปแบบ คือ ประชาธิปไตย (Democracy) กับเผด็จการ (Dictatorship) โดยพิจารณาจาก
การยินยอมให้ประชาชนมสี ่วนรว่ มในการใชอ้ านาจอธิปไตยมากน้อยเพียงใด ถ้ารัฐบาลยินยอมให้
ประชาชนมีส่วนร่วมในการใช้อานาจอธิปไตย คือ อานาจนิติบัญญัติ อานาจบริหาร และอานาจ
ตุลาการได้มากที่สุดและมีขอบเขตอานาจจากัด มีการแบ่งแยกอานาจในการปกครองหรือ
กระจายอานาจการปกครองและถือว่าอานาจในการปกครองเป็นอานาจที่ได้รับอาณัติมาจาก
ประชาชนแล้วก็ถือว่า รัฐบาลน้ันเป็นรัฐบาลแบบประชาธิปไตย แต่ถ้ารัฐบาลมีขอบเขตการใช้
อานาจอย่างกว้างขวางหรือมีการรวมอานาจบริหารท้ัง 3 เข้าด้วยกันหรือมีการรวมอานาจเข้าสู่
ส่วนกลางอย่างเด็ดขาด โดยยินยอมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการใช้อานาจอธิปไตยน้อยที่สุด
หรือไม่มีเลย เรียกว่าเป็นการปกครองแบบเผด็จการ ตามรายละเอียดและลักษณะของรูปแบบ
การปกครองแต่ละรปู แบบดงั ตอ่ ไปนี้
3.3.1 ประชาธิปไตย (Democracy)
คาว่า “ประชาธิปไตย”(Democracy) มาจากรากศัพท์ภาษากรีก คือ Demos
แปลว่า ประชาชน กับ Kratien แปลว่า อานาจหรือการปกครองดังน้ันคาว่า ประชาธิปไตย จึง
หมายความว่า การปกครองโดยประชาชน (Andrew Heywood, 1997: 66)
รัฐศาสตร์เบ้ืองต้น หน้า 140
ความหมายประชาธิปไตยอาจแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ (จรูญ สุภาพ
,2518 : 321-322) คือความหมายแคบ ถือว่าประชาธิปไตยเป็นเพียงรูปแบบการปกครองแบบ
หนึ่งเท่าน้ันแต่มีลักษณะพิเศษคือ ประชาชนในแต่ละประเทศมีสิทธิ อานาจ และโอกาสที่จะเข้า
ควบคุมกิจการทางการเมืองของชาติ หรือพูดง่ายๆก็คือประชาชนมีอานาจปกครองตนเอง
ความหมายกว้างๆ หมายถึงปรัชญาของสังคมมนุษย์หรือวิถีชีวิตที่ยึดถือ อุดมคติ และหลักการ
บางประการที่กาหนดแบบแผนแห่งพฤติกรรมระหว่างมนุษย์ในแบบประชาธิปไตย เช่นในกิจการ
ทางการเมืองก็ต้องการให้ประชาชนแต่ละคนมีส่วนในการกาหนดนโยบายในการปกครอง
บ้านเมืองในทางเศรษฐกิจก็มุ่งให้ประชาชนมีเสรีภาพในการประกอบการทางเศรษฐกิจหรือ
มิฉะน้ันก็ให้บุคคลได้รับหลักประกันในการดาเนิน การทางเศรษฐกิจ หรือได้รับประโยชน์ทาง
เศรษฐกิจ ในด้านสังคมก็ต้องการให้ประชาชนได้รับความยุติธรรมทางสังคมไม่ต้องการให้มีการ
กีดกันระหว่างกลุ่ม ระหว่างชนช้ันหรือเกิดระบอบอภิสิทธิ์ชนในชาติ ส่วนในทางวัฒนธรรมก็มุ่ง
สร้างค่านิยมและแบบแผนประเพณีที่ยึดถือการประนีประนอม การใช้เหตุผล การยอมรับนับถือ
คณุ ค่าและศักดิศ์ รีความเปน็ มนุษย์ ความเข้าใจและเห็นประโยชน์ในการรว่ มมอื กบั กิจการงานเพื่อ
ส่วนรวม ความเข้าใจและเห็นความสาคัญของประโยชน์ส่วนรวมโดยไม่คิดกอบโกยผลประโยชน์
เพื่อส่วนตัวแต่ฝุายเดียว เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผู้ให้ความหมาย ประชาธิปไตยไว้หลายแนวคิด
ด้วยกัน ดังจะนามากล่าวไว้ทีน่ ี(้ เชาว์ ไพรพิรณุ โรจน,์ 2530 : 47-48) ดงั ตอ่ ไปนี้
3.3.1.1 ความหมายประชาธิปไตย
ประชาธิปไตย (Henry Maine) เป็นแต่เพียงรูปแบบการปกครองแบบ
หนึ่งเท่านั้น แต่มีลักษณะพิเศษคือประชาชนในแต่ละประเทศมีสิทธิ อานาจ และโอกาสที่จะเข้า
ควบคมุ กิจการทางการเมอื งของชาติ
ประชาธิปไตย (Austin Ranney) หมายถึง รูปแบบการปกครองประเภท
หนึ่งซึ่งจัดระบบการปกครองตามหลักการใหญ่ๆที่ยึดถือหลักอานาจอธิปไตยของปวงชน ความ
เสมอภาคทางการเมอื งการปรึกษาหารอื จากประชาชน และการปกครองโดยอาศยั เสียงส่วนมาก
ประชาธิปไตย (C.C.Rodee and Other) หมายถึง ปรัชญาของสังคม
มนุษย์หรือวิถีชีวิตที่ยึดถืออุดมการณ์และหลักการบางประการที่กาหนดแบบแผนแห่งพฤติกรรม
ระหว่างมนษุ ย์ในสังคมในส่วนที่เปน็ กิจกรรมทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวฒั นธรรม
Abraham Lincohnได้กล่าวสุนทรพจน์ที่เกติสเบอร์ก เม่ือวันที่ 19
พฤศจกิ ายน 1862 ว่าประชาธิปไตย คือ “Government of the people, by the people and for the
people” หรอื “การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน”
รัฐศาสตร์เบอ้ื งตน้ หนา้ 141
ดงั นนั้ เน่อื งจากการปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้ยึดอุดมการณ์ที่
เน้นทั้งรปู แบบการปกครอง ลัทธิทางการเมอื ง และเน้นทั้งในเรื่องรูปแบบวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของ
ประชาชนในชาติด้วยจึงอธิบายความหมายของประชาธิปไตยได้เป็น 3 ลักษณะด้วยกัน(สมศักดิ์
เกี่ยวกิ่งแก้ว,2525 : 134-135) คือ
3.3.1.2 อุดมการณ์ประชาธิปไตย มีลักษณะสาคัญดังต่อไปนี้คือ (ชัย
อนนั ต์ สมุทวณิช,2523 : 56-61)
1) การมีศรัทธาในความสามารถของมนุษย์ มีศรัทธาใน
สติปัญญาในการที่มนุษย์สามารถร่วมมือกันทางาน ความสามารถของมนุษย์ที่สาคัญ ได้แก่การ
รู้จักเหตุผล และการยึดหลักเหตผุ ลด้วยวิธีการทดลองค้นหาแบบวิทยาศาสตร์เช่นในรัฐธรรมนูญ
พ.ศ.2550 มาตรา4ศกั ดิ์ศรีความเปน็ มนษุ ย์สทิ ธิเสรีภาพและความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับ
ความคุ้มครอง
2) เชื่อในสิทธิเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็น เนื่องจากวิธีการ
หาข้อเท็จจริงตามอุดมการณ์ประชาธิปไตยถือหลักการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ จึงเชื่อว่าการ
ยอมให้ทุกฝุายเสนอข้อเท็จจริง เหตุผลและความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาที่กาลังพิจารณาอยู่ให้
หมดเสียก่อนแล้วจึงร่วมกันตัดสินใจจะเป็นวิธีดีที่สุด จากหลักข้อนี้จึงเกิดสิทธิเสรีภาพขึ้นมา ซึ่ง
สุขุม นวลสกุล (2542 : 13-14) ได้อธิบายความหมายของสิทธิเสรีภาพไว้ว่า สิทธิ คืออานาจอัน
ชอบธรรมหรอื ความสามารถทีจ่ ะกระทาการได้โดยชอบธรรม สิทธิของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเป็น
สิ่งที่ได้รับการยอมรับโดยธรรมเนียมประเพณีหรือกฎหมาย เพราะฉะน้ันอานาจอื่นแม้กระทั้ง
อานาจของรัฐจะก้าวก่ายในสิทธิของบุคคลไม่ได้ ส่วนเสรีภาพ หมายถึงความมีอิสระในการ
กระทาใดๆได้ตามปรารถนาแต่มีขอบเขตจากัดว่า การกระทาน้ันๆจะต้องไม่ละเมิดกฎหมาย
ขนบธรรมเนียมประเพณีหรือสิทธิของบุคคลอื่นและได้แบ่งสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย
ออกเปน็ ข้อๆดงั น้ี
ก. เสรีภาพในการพูด การพิมพ์ และการโฆษณา บุคคลมี
เสรีภาพในการแสดงความคดิ เหน็ ไม่ว่าจะเป็นการพูด การพิมพ์ หรือการโฆษณาตราบที่ข้อความ
ที่นามาเผยแพร่น้ันไม่หยาบคายลามก หมิ่นประมาท หรือละเมิดสิทธิของคนอื่น เสรีภาพในการ
แสดงความคิดเห็นนี้มีค่าสูงมาก และเชื่อว่าหากยอมให้ทุกฝุายแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีแล้ว
ความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงจะไม่ปรากฏขึ้นในสังคมเช่น มาตรา45บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการ
แสดงความคิดเห็นการพูดการเขียน การพิมพ์การโฆษณาและการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นการ
จากัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทามิได้เว้นแต่โดยอาศัยอานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
เฉพาะเพือ่ รกั ษาความมนั่ คงของรัฐเพือ่ คุ้มครองสิทธิเสรีภาพเกียรติยศ ชื่อเสียงสิทธิในครอบครัว
รฐั ศาสตร์เบือ้ งตน้ หนา้ 142
หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของ
ประชาชนหรอื เพือ่ ปูองกนั หรอื ระงบั ความเสือ่ มทรามทางจิตใจหรอื สุขภาพของประชาชน
ข. เสรีภาพในการนับถือศาสนา ศาสนาเป็นเร่ืองความเชื่อ
ของคนแต่ละคนย่อมมีสิทธิโดยสมบูรณ์ที่จะเลือกนับถือศาสนาหรือศรัทธาในศาสนาหรือลัทธิใด
ลัทธิหนึ่ง ตราบเท่าที่ความเชื่อหรือความศรัทธานั้นไม่ไปละเมิดสิทธิของคนอื่นหรือละเมิด
กฎหมายบ้านเมืองเชน่ มาตรา37บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนานิกายของศาสนา
หรือลัทธินิยมในทางศาสนาและย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนธรรมศาสนบัญญัติหรือ
ปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน เม่ือไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและไม่เป็นการ
ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนในการใช้เสรีภาพตามวรรคหนึ่งบุคคล
ย่อมได้รับความคุ้มครองมิให้รัฐกระทาการใดๆอันเป็นการรอนสิทธิหรือเสียประโยชน์อันควรมี
ควรได้เพราะเหตทุ ีถ่ ือศาสนานิกายของศาสนาลัทธินิยมในทางศาสนาหรือปฏิบัติตามศาสนธรรม
ศาสนบัญญัติหรอื ปฏิบตั ิพธิ ีกรรมตามความเชือ่ ถือ แตกต่างจากบุคคลอื่น
ค. เสรีภาพในการสมาคมหรือรวมกลุ่ม บุคคลย่อมมี
เสรีภาพในการที่จะรวมกลุ่มกัน ซึ่งอาจจัดตั้งขึ้นในรูปสมาคมเพื่อวัตถุประสงค์ใดที่ไม่ขัดต่อ
กฎหมายก็ได้ อย่างไรก็ตามกลุ่มหรือสมาคมที่จัดตั้งขึ้นน้ันต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์แห่งกฎหมาย
และไม่เปน็ อันตรายหรืออปุ สรรคต่อผลประโยชน์สว่ นรวม นอกจากนี้ประชาชนต้องมีเสรีภาพที่จะ
รวมกลุ่มกันเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลดาเนินการเร่ืองใดเร่ืองหนึ่งตราบเท่าที่การกระทานั้นเป็นไป
อย่างสันติและไม่เกินเลยขอบเขตแห่งกฎหมายเสรีภาพของประชาชนที่จะชุมนุมกันโดยสงบและ
ปราศจากอาวุธจะต้องได้รับการรับรองและถือว่าเป็นสิทธิพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตยควบคู่
กันไปกับเสรีภาพในการพูด การพิมพ์ การโฆษณาเช่น มาตรา63บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการ
ชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธการจากัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทามิได้ เว้นแต่โดย
อาศัยอานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะในกรณีการชุมนุมสาธารณะและเพื่อคุ้มครอง
ความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่างเวลา
ที่ประเทศอยู่ในภาวะสงครามหรือในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศใช้
กฎอยั การศกึ
ง. สิทธิในทรัพย์สิน บุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิที่จะมีทรัพย์
สมบัติเป็นของตนเอง รฐั จะต้องทาหนา้ ทีป่ ูองกนั ภัยอนั จะเกิดตอ่ ทรัพย์สินของประชาชนภายในรัฐ
ด้วยเช่น มาตรา41สิทธิของบุคคลในทรัพย์สินย่อมได้รับความคุ้มครอง ขอบเขตแห่งสิทธิและ
การจากัดสิทธิเช่นว่านี้ย่อมเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติการสืบมรดกย่อมได้รับความคุ้มครอง
สิทธิของบุคคลในการสืบมรดกย่อมเป็นไปตามที่กฎหมายบญั ญตั ิ
รัฐศาสตร์เบอ้ื งตน้ หน้า 143
จ. สิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย หากบุคคลใด
ตกเป็นผู้ต้องหาไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งหรืออาญา บุคคลน้ันมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อกล่าวหาจาก
เจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมตลอดถึงการได้รับทราบสิทธิที่จะสามารถกระทาได้ เช่น ขอพบทนายเพื่อ
รับคาปรึกษา หรือผลัดการให้การ ที่สาคัญที่สุดบุคคลจะต้องไม่ถูกลงโทษถึงแก่ชีวิต เสีย
อิสรภาพหรือเสียทรัพย์สินโดยปราศจากการพิจารณาตามกระบวนกฎหมายเช่น มาตรา39
บุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทาการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทานั้นบัญญัติ
เป็นความผิดและกาหนดโทษไว้และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่กาหนดไว้ใน
กฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทาความผิดมิได้ในคดีอาญาต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือ
จาเลยไม่มีความผิดก่อนมีคาพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทาความผิด จะปฏิบัติ
ต่อบุคคลนั้นเสมอื นเปน็ ผู้กระทาความผิดมไิ ด้
ฉ. สิทธิส่วนบุคคล สิทธิมูลฐานที่ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลมี
หลายประการ เช่น สิทธิในร่างกาย การไปไหนมาไหน การเลือกประกอบอาชีพ การสมรส การ
หย่าร้าง ความสัมพันธ์ในครอบครัว เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิทธิส่วนบุคคลท้ังสิ้นเช่น มาตรา43
บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการประกอบกิจการหรือประกอบอาชีพและการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็น
ธรรม
3) มนุษย์ทกุ คนมคี วามเท่าเทียมกัน ความเท่าเทียมกันหรือเสมอ
ภาคนี้ไม่ได้หมาย ความถึงความเท่าเทียมกันทางสติปัญญาหรือทางกายภาพ แต่เป็นความเสมอ
ภาคตามกฎหมายและทางการเมอื ง ทกุ คนควรได้รับการปฏิบัติจากเจา้ หนา้ ที่ของรัฐและกฎหมาย
โดยเท่าเทียมกนั ควรมีเสรีภาพทางการเมืองและการดาเนินชีวิตเท่าเทียมกัน โดยไม่แบ่งแยกเพศ
ใด มีกาเนิดอย่างไร มีฐานะทางเศรษฐกิจสังคมเช่นใด ความเสมอภาคนี้ หมายถึงการได้รับ
โอกาสในการแสวงหาการศึกษา การทางานที่เท่าเทียมกันด้วย สุขม นวลสกุล (2542 : 14-15)
ได้จาแนกความเสมอภาคออกเป็น 5 ประการด้วยกนั คือ
ก. ความเสมอภาคทางการเมือง หมายถึงทุกคนมี
คณุ สมบตั ิครบถ้วนตามที่กาหนดสิทธิที่จะเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองเท่าๆกัน ได้แก่ การออก
เสียงเลือกตั้ง และสิทธิที่จะสมัครรับเลือกต้ัง มาตรา29 การจากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่
รัฐธรรมนูญรับรองไว้จะกระทามิได้เว้นแต่โดยอาศัยอานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะ
เพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กาหนดไว้และเท่าที่จาเป็น และจะกระทบกระเทือนสาระสาคัญแห่งสิทธิและ
เสรีภาพนั้นมิได้กฎหมายตามวรรคหนึ่งต้องมีผลใช้บังคับเป็นการท่ัวไปและไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับ
แก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง ท้ังต้องระบุบทบัญญัติแห่ง
รฐั ศาสตรเ์ บ้อื งต้น หนา้ 144